Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_46

tripitaka_46

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:41

Description: tripitaka_46

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 205ส้นิ แลว โทสะก็ดี โมหะก็ดี กิเลสทัง้ หลายอน่ื กด็ ี ยอมเปนอนั สิน้ แลว ดวยจงึ ทรงพอพระราชหฤทยั วา พระสมณะเหลานเ้ี ปน พหูสตู โดยตรง เปรียบเหมือนบรุ ุษช้แี สดงแผน ดินใหญ หรอื อากาศ ดว ยน้ิวมือ กไ็ มเ ปนอนั ชี้แสดงประเทศสักนิว้ มอื เลย แตค วามจรงิ แล เปน อนั ช้ีแสดงแผนดินและอากาศเหมอื นกัน ฉันใด พระสมณะเหลา นี้ เมอ่ื ชแี้ สดงอรรถองคละขอ กเ็ ปน อันชแ้ี สดงอรรถอันหาปริมาณไมได ฉันนั้น. แตนนั้ ทา วเธอทรงปรารถนาอยูซง่ึ ความเปน พหสู ูต เห็นปานน้นั วา ชื่อในกาลไหนหนอ แมเราจกั เปนพหูสูตอยางน้ี ทรงสละราชสมบัติ ผนวชแลวเหน็ แจง อยู ไดทาํ ใหแ จง ซ่ึงปจเจกโพธิญาณแลว ตรัสอทุ านคาถานว้ี า พหสุ ฺสุต ธมฺมธร ภเชถ มิตฺต อฬุ าร ปฏิภาณวนฺต อฺาย อตฺถานิ วิเนยยฺ กงฺข เอโก จเร ขคฺควสิ าณกปฺโป บคุ คลพึงคบมติ รผเู ปน พหูสตู ทรง- ธรรม ผยู งิ่ ดวยคณุ ธรรม มีปฏภิ าณ รจู กั ประโยชนท ั้งหลาย กาํ จัดความสงสยั ไดแ ลว พงึ เทย่ี วไปผูเดยี ว เหมือนนอแรด ฉะน้นั ดังนี.้ ในคาถานนั้ มีเนือ้ ความโดยยอ ดงั น้ี บทวา พหสุ ฺสุต ความวามติ รผพู หสู ูตมี ๒ อยางคอื ผูพหสู ตู ทางปริยัติ เชย่ี วชาญโดยเนอ้ื ความ

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 206ในไตรปฎก ๑ ผพู หสู ูตทางปฏิเวธ เพราะความทมี่ รรค ผล วิชชา และอภิญญาอนั ตนแทงตลอดแลว ๑. ผมู ีอาคมมาแลว ช่อื วา ผูทรงธรรม กผ็ ูประกอบพรอมดว ยกายกรรม วจกี รรม และมโนกรรมอนั ย่งิ ช่ือวา ผูยง่ิดวยคุณธรรม ผมู ยี ตุ ตปฏิภาณ ๑ ผมู มี ุตตปฏภิ าณ ๑ ผมู ยี ตุ ตมุตตปฏภิ าณ ๑ชอื่ วา มีปฏภิ าณ พึงทราบผมู ปี ฏภิ าณ ๓ อยา ง ดว ยอาํ นาจแหง ปรยิ ตั ิปฏภิ าณปริปุจฉาปฏภิ าณ และอธคิ มนปฏิภาณ. จริงอยู ปรยิ ตั ิยอมแจม แจง แกม ติ รใด มิตรนัน้ ชื่อวา ปริยตั ิปฏภิ าณการสอบถามยอมแจม แจง แกมติ รใด ผสู อบถามอรรถ ญาณ ลกั ษณะ และฐานาฐานะ มติ รนัน้ ช่ือวา ปริปจุ ฉาปฏิภาณ ธรรมมีมรรคเปนตน อนั มิตรใดแทงตลอดแลว มติ รนัน้ ช่อื วา ปฏเิ วธปฏภิ าณ บคุ คลพงึ คบมิตรผูเ ปน พหูสตูทรงธรรม ผูย ง่ิ ดวยคณุ ธรรม มปี ฏิภาณนัน้ คอื มีรปู เห็นปานนน้ั แตน ัน้ รจู กัประโยชนท ัง้ หลายมีอเนกประการ โดยตางดวยประโยชนตน ประโยชนค นอนื่และประโยชนทั้งสอง หรือโดยตางดวยทฏิ ฐธมั มกิ ประโยชน สัมปรายิกประ-โยชน และปรมัตถประโยชน ดวยอานภุ าพแหงมติ รน้นั แตน้ัน กําจัดความสงสัยไดแ ลว ในฐานะเปนท่ีตัง้ แหงความสงสัยท้ังหลาย มอี าทวิ า ในอดตี กาลเราไดม แี ลวหรือหนอ ดังนีแ้ ลว นําออกไปซึ่งความเคลอื บแคลง ใหห มดไปมกี จิ ท้ังปวงอันทําแลว อยา งนี้ พึงเทีย่ วไปผูเดยี ว เหมอื นนอแรด ฉะนน้ั แล. พหสุ ตุ คาถาวณั ณนา จบบริบูรณ

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 207 คาถาท่ี ๒๕ คาถาวา ขฑิ ฑฺ  รตึ ดังน้ี มีอบุ ัติอยา งไร ? ในกรงุ พาราณสี พระราชาพระนามวา วิภูสกพรหมทัต เสวยยาคูหรือพระกระยาหารแตเชา ตรู ทรงใหตกแตง พระองค ดว ยเครอื่ งประดับนานาชนดิ ทรงสองพระวรกายท้ังสน้ิ ในพระฉายใหญ ทรงเอาเคร่ืองประดบัทไ่ี มต อ งการออกเสีย ใหพ นกั งานตกแตง ดว ยเครือ่ งประดับอยา งอนื่ ในวันหนึง่ เมื่อพระองคท รงกระทาํ อยา งน้ี กถ็ ึงเวลาเสวยพระกระยาหารตอนเทย่ี งครงั้ นั้นพระองคยังตกแตง ไมเสร็จเลย กท็ รงโพกพระเศียร ดว ยผนื ผา แลวเสดจ็ เขา ทีบ่ รรทมในกลางวนั เมื่อพระองคเ สด็จลุกขึ้น ทรงกระทําอยา งน้นัแมอ กี พระอาทิตยก ็อสั ดง. ในวนั ท่ี ๒ กด็ ี ในวนั ท่ี ๓ ก็ดี ก็ทรงกระทําอยา งนั้น เมอ่ื พระองคทรงขวนขวายในการตกแตง อยางนั้น กเ็ กดิ พระโรคปวดในพระปฤษฏางค. พระองคทรงพระราชดําริดังนีว้ า โอ ! โธเอย เราแมต กแตงอยูด ว ยเร่ียวแรงท้งั หมด ก็ไมพ อใจในเครอื่ งประดับท่ีสมควรนี้ ยงั ความโลภใหเ กิดขึน้ ได กข็ ึน้ ชื่อวา ความโลภน้นั ทําใหคนถงึ อบาย เอาเถอะ เราจะขมความโลภนัน้ ดังนีแ้ ลว ทรงสละราชสมบัติ ทรงผนวช เจริญวิปสสนาอยูก็ทรงกระทาํ ใหแ จง ซงึ่ ปจเจกโพธิญาณแลว จงึ ตรัสอทุ านคาถานีว้ า ขิฑฑฺ  รตึ กามสุขฺจ โลเก อนลงฺกรติ ฺวาน อนเปกฺขมาโน วิภสู นฏ านา วริ โต สจฺจวาที เอโก จเร ขคฺควสิ าณกปโฺ ป

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 208 บคุ คลไมพ อใจการเลน ความยนิ ดี และกามสขุ ในโลกแลวไมเ พง เลง็ อยเู วน จาก ฐานะแหงการประดับ มปี กตกิ ลา วคําสตั ย พึงเท่ยี วไปผเู ดียว เหมอื นนอแรด ฉะน้นั ดงั นี.้ การเลน ความยนิ ดใี นคาถาน้ัน ไดกลา วแลวในกาลกอนเทยี ว. บทวากามสุข ไดแ ก ความสขุ ในวตั ถุกาม. จริงอยู วัตถกุ ามทง้ั หลาย เรียกวาสขุ เพราะเปน อารมณเ ปน ตนของความสขุ . เหมือนอยา งพระผมู ีพระภาคเจาตรสั วา รปู มีอยู ความสุข ติดตามสุข ดงั นี้. บคุ คลไมพอใจ คอื ไมก ระทําวาพอละ ซึ่งการเลน ความยินดี และกามสขุ น่ัน ในโอกาสโลกน้ี อยางน้ีแลวไมถือส่งิ นั้นวา กอความเดอื ดรอ น หรอื ไมถ ือส่งิ นนั้ วา เปน สาระ. บทวา อนเปกขฺ มาโน ความวา มีปกติไมเ พง เล็ง คอื ไมม ีความอยาก ไมมคี วามทะยานอยาก. ในคําวา วภิ ูสนฏานา วริ โตสจจฺ วาที เอโก จเร น้ี พงึ เหน็ เนือ้ ความอยา งน้ีวา เครื่องประดับมี ๒อยาง คือ เครื่องประดับสําหรับฆราวาส ๑ เครอ่ื งประดบั สาํ หรับบรรพชติ ๑ก็เคร่อื งประดบั สาํ หรับฆราวาสมีผาสาฎก ผาโพก ดอกไม และของหอมเปนตน สว นเครือ่ งประดบั สําหรับบรรพชติ มเี ครื่องตกแตง คอื บาตรเปน ตนเคร่อื งประดับนนั่ เอง ชอื่ วา วภิ สู นฏั ฐานะ เวน จากฐานะแหงการประดบั นน้ัดวยวิรตั ิแม ๓ อยา ง ช่ือวา มีปกติกลาวคาํ สัตย เพราะพูดไมผ ดิ ดังนีแ้ ล. วิภสู นัฏฐานคาถาวณั ณนา จบบริบรู ณ

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 209 คาถาท่ี ๒๖ คาถาวา ปุตตฺ จฺ ทาร ดงั น้ี มอี ุบตั ิอยางไร ? ไดย ินวา พระราชโอรสของพระเจา พาราณสี ทรงอภิเษกแลวในกาลยังทรงพระเยาวน้ันเทยี ว เสวยราชสมบตั ิ. พระองคท รงเสวยพระสริ ิราชสมบัติดุจพระปจ เจกโพธสิ ตั วทกี่ ลา วแลว ในปฐมคาถา ในวันหน่งึ ทรงพระราชดํารวิ า เราสวยราชสมบัติ ยอ มทาํ ทกุ ขแกช นมาก เราจะมีประโยชนอ ะไรดวยบาปน้ี เพ่ือประโยชนแ กก ารเสวยคนเดยี วเลา เราจะยังสขุ ใหญใ หเ กิดขนึ้ดงั นแ้ี ลว ทรงสละราชสมบัติ ทรงผนวช เจรญิ วปิ ส สนาอยู ทรงกระทําใหแจงซง่ึ ปจ เจกโพธิญาณแลว ไดต รสั อุทานคาถาน้วี า ปุตตฺ จฺ ทาร ปต รจฺ มาตร ธนานิ ธฺานิ พนฺธวานิ หติ ฺวาน กามานิ ยโถธกิ านิ เอโก จเร ขคฺควสิ าณกปโฺ ป บคุ คลละบุตร ภรรยา บิดา มารดา ทรพั ย ขาวเปลอื ก พวกพอ ง และกามซ่ึง ต้งั อยตู ามสวนแลว พงึ เที่ยวไปผูเ ดยี วเหมอื น นอแรด ฉะน้ัน ดังน.ี้ บรรดาบทเหลานน้ั บทวา ธนานิ ไดแก รตั นะท้งั หลายมีแกวมกุ ดาแกวมณี แกว ไพฑรู ย สังข ศิลา แกวประพาฬ เงิน ทองเปน ตน. บทวาธฺานิ ไดแ ก อปรธัญชาติ ๗ อยา ง อนั ตางดวย ขา วสาลี ขาวเจาขาวเหนียว ขาวละมาน ขาวฟาง ลูกเดอื ย และหญากับแก.

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 210 บทวา พนธฺ วานิ ไดแ ก พวกพอง ๔ ประเภท คอื ญาติ โคตรมติ ร และเพ่อื นเรียนศิลปะ. บทวา ยโถธกิ านิ คอื ซ่ึงตั้งอยตู ามสว นของตน ๆ นั่นเทยี ว. บทท่ีเหลอื มนี ัยท่ีกลาวแลวน่ันแล. ปุตตทารคาถาวัณณนา จบบริบูรณ คาถาที่ ๒๗ คาถาวา สงโฺ ค เอโส ดังนี้ มีอุบตั อิ ยางไร ? ไดยินวา ในกรงุ พาราณสี มีพระราชาพระองคห น่งึ พระนามวาปาทโลลพรหมทตั ทา วเธอเสวยยาคู หรือพระกระยาหาร แตเ ชา ตรูทรงชมนักฟอน ๓ ประเภทในปราสาทท้งั ๓ คําวา นกั ฟอ น ๓ ประเภทไดแ ก นักฟอนทม่ี าจากพระราชาในอดตี ๑ นักฟอนทมี่ าจากพระราชาถดั มา ๑นักฟอนทตี่ ัง้ ข้นึ ในรัชกาลของพระองค ๑. ในวันหนึ่ง พระองคเ สด็จไปสูปราสาทของนกั ฟอ นรุนสาวแตเ ชาตรูสตรนี ักฟอ นท้ังหลายคิดวา พวกเราจกั ใหพ ระราชาทรงรืน่ เริง จึงประกอบการฟอ นราํ ขบั รอ ง และการประโคม อันนาจับใจยิ่ง ดจุ พวกนางอปั สรของทาวสักกะจอมทวยเทพฉะน้ัน พระราชาไมท รงพอพระราชหฤทยั วา การฟอนรําของนกั ฟอนรนุ สาวทั้งหลายนัน่ ไมอัศจรรย จงึ เสด็จไปสปู ราสาทของนักฟอ นรนุ กลาง สตรีนักฟอนแมเ หลา นนั้ กไ็ ดก ระทาํ อยา งนน้ั เหมือนกัน.พระองคไ มพอพระราชหฤทัยในสตรนี กั ฟอ นรุนกลางแมนน้ั เหมอื นกนั จงึ เสดจ็ไปสปู ราสาทของนกั ฟอ นรุน ใหญ สตรนี กั ฟอ นแมเหลา นน้ั กท็ าํ อยางนั้นเหมือนกนั .

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 211 พระราชาทรงเหน็ การฟอนรําเปนเชนกบั การเลน กระดกู เพราะสตรีนักฟอ นเหลา นั้นเปนคนแกเฒาลวง ๒-๓ รัชกาลมาแลว และทรงฟงเสียงขบั รองอนั ไมไ พเราะ จึงเสด็จสปู ราสาทของนักฟอ นรุนสาว ปราสาทของนักฟอนรุน กลางไป ๆ มา ๆ อยา งน้ี กไ็ มท รงพอพระราชหฤทยั ในที่แหงไหนเลยทรงพระราชดาํ รวิ า สตรีนกั ฟอนเหลา น้ี ประสงคจ ะใหเรารื่นเรงิ ดุจเหลานางอปั สรของทา วสกั กะ จอมทวยเทพฉะนั้น จงึ ประกอบการฟอ นราํ การขับรอ ง และการประโคม เตม็ ความสามารถทุกอยา ง เรานนั้ ไมพอใจในที่แหง ไหนเลย ทาํ ใหโลภะเจริญขึน้ เทา นั้น กข็ นึ้ ช่ือวา โลภะน้นั เปนธรรมพึงใหไ ปสอู บาย เอาเถิด เราจะขม โลภะ ดงั น้ีแลว ทรงสละราชสมบัติ ทรงผนวชแลว เจริญวปิ สสนาอยู ก็ทรงทําใหแ จง ซึง่ ปจเจกโพธญิ าณ จึงไดตรสั อทุ านคาถานีว้ า สงโฺ ค เอโส ปริตตฺ เมตถฺ โสขฺย อปฺปสสฺ าโท ทุกขฺ เมตถฺ ภยิ ฺโย คณโฺ ฑ เอโส อิติ ตวฺ า มตมิ า เอโก จเร ขคฺควสิ าณกปโฺ ป บัณฑติ ทราบวา ความเกี่ยวของใน เวลาบรโิ ภคเบญจกามคุณนี้ มีสุขนอย มี ความยินดีนอ ย มที ุกขม าก ดุจหวั ฝ ดังนี้ แลว มีความรู พงึ เทย่ี วไปผูเ ดยี ว เหมอื น นอแรด ฉะนัน้ ดงั น้ี.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 212 คาถาน้นั มอี รรถวา บทวา สงฺโค เอโส ความวา พระปจ เจก-พทุ ธเจาแสดงการอปุ โภคของตน ดวยวา ความเกย่ี วขอ งนน้ั ชือ่ วา สงั คะเพราะอรรถวาสัตวทง้ั หลายของอยูในเบญจกามคณุ น้นั ดุจชา งตกอยูในเปอกตมฉะน้ัน. บทวา ปริตตฺ เมตฺถ โสขฺย ความวา ในกาลแหง บริโภคเบญจ-กามคุณนี้ ชอ่ื วามีสุขนอย เพราะอรรถวา ลามก โดยใหเกดิ ความสาํ คญั ผดิหรือโดยเน่อื งดว ยกามาวจรธรรม มอี ธบิ ายวา มีนิดหนอ ย คอื มีชัว่ คราวดุจสขุ ในการชมดกู ารฟอนราํ ที่แสงฟา แลบใหสวางขึน้ ฉะนนั้ . โทษของกามทัง้ หลาย พึงทราบวา มีความยินดีนอย เปน เพียงหยดนํ้า เม่อื เทียบกบั ทุกขทพี่ ระผูมพี ระภาคเจา ตรัสไว โดยนัยอยา งนี้วา ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย กลุ บุตรในโลกนี้ ยอ มสําเรจ็ การเลีย้ งชพี ดวยการประกอบศลิ ปะใด คือ การคิดการนบั ดังนีเ้ ปนตน โดยทแี่ ท มที ุกขยง่ิ คอื มาก เปน เชน กับน้ําในสมุทรท้งั ส่ี เพราะฉะนั้น พระปจ เจกพทุ ธเจาจงึ กลา ววา มีความยินดีนอ ย มีทกุ ขมาก ดงั นี้. บทวา คณฺโฑ เอโส ความวา เบญจกามคณุ น้ี เปรยี บเหมอื นเบ็ด ดว ยสามารถแสดงความยนิ ดแี ลว ครา มา. บทวา อติ ิ ตวฺ า มติมาความวา บุรุษผูบัณฑิตท่ีมคี วามรู รูอยางน้แี ลว กพ็ ึงละกามท้งั หมดเสียเท่ยี วไปผูเ ดียว เหมือนนอแรด ฉะนน้ั แล. สงั คคาถาวณั ณนา จบบรบิ ูรณ

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 213 คาถาท่ี ๒๘ คาถาวา สนทฺ าลยติ วฺ าน ดังน้ี มีอบุ ตั ิอยา งไร ? ไดย ินวา ในพระนครพาราณสี มีพระราชาพระนามวา อนิวัตต-พรหมทัต ทา วเธอเสด็จเขา สสู งคราม ทรงปราชัยแลว ไมเสด็จกลับ หรอืทรงปรารภพระราชกจิ อยางอ่นื ยังไมสําเรจ็ กไ็ มเ สด็จกลบั เพราะฉะน้นั ชนทง้ั หลายจึงเรียกพระองคอ ยางนน้ั ในวนั หนงึ่ พระองคเสด็จไปสพู ระราชอุทยานกโ็ ดยสมยั นั้น ไฟปา ไดลกุ ไหม ไฟนนั้ ไหมไ มแ หง และวัตถมุ หี ญาเปน ตนท่ตี กหลน ลามไปไมหวนกลับ พระราชาทรงเหน็ ไฟน้ันแลว ทรงยงั นิมิตอนัเปรยี บดวยไฟน้นั ใหเกดิ ขึ้นวา ไฟปานฉี้ ันใด ไฟ ๑๑ อยา ง ก็ฉนั น้ันเหมอื นกนัไหมส ัตวท ง้ั หลายทัง้ ปวงไปไมห วนกลับ กอ ทกุ ขใ หญใหเกดิ ขน้ึ ชือ่ ในกาลไหนหนอ แมเ ราเพอ่ื ไมใหทุกขน หี้ วนกลับ พึงเผาไหมกเิ ลสทั้งหลาย ดว ยไฟคือ อรยิ มรรคญาณ เหมอื นไฟนี้ ไปไมห วนกลบั . แตนั้น พระองคเสดจ็ ไปสักครู ทรงเหน็ ชาวประมงท้ังหลายกาํ ลังจับปลาในแมน้ํา ปลาใหญตัวหน่ึงตดิ ขา ยของชาวประมงเหลานั้น ไดทาํ ลายขายหนีไป ชาวประมงเหลาน้นั รองวา ปลาทาํ ลายขา ยหนไี ปแลว พระราชาทรงฟงคาํ แมน ้ัน จงึ ยังนิมิตอนั เปรยี บเทียบดว ยปลานั้นใหเกิดขึ้นวา ชอื่ ในกาลไหนหนอ แมเ ราพงึ ทําลายขา ย คือ ตัณหาและทิฏฐิ ดว ยอรยิ มรรคญาณไปไมต ดิ ขัด ดงั น้ี พระราชานั้นทรงสละราชสมบัติ ทรงผนวชแลว ปรารภวิปสสนา ไดกระทําใหแจง ซึง่ ปจ เจกโพธญิ าณ และตรสั อุทานคาถานว้ี า สนฺทาลยิตฺวาน ส โยชนานิ ชาล ว เฉตวฺ า สลลิ มฺพจุ ารี อคคฺ ี ว ทฑฒฺ  อนิวตฺตมาโน เอโก จเร ขคคฺ วิสาณกปฺโป

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 214 บุคคลพงึ ทําลายสังโยชนทง้ั หลาย เหมอื นปลาทาํ ลายขา ยหนีไป เหมอื นไฟไม หวนกลับมาสทู ่ไี หมแลว พึงเท่ียวไปผูเ ดยี ว เหมือนนอแรด ฉะนน้ั ดังน.ี้ ในบทที่ ๒ แหง คาถานั้น วตั ถุทสี่ ําเรจ็ ดวยดายเรียกวา ชาล ขา ย.น้าํ เรยี กวา อมั พ.ุ ซง่ึ วา อมั พุจารี ปลา เพราะอรรถวา วายไปในนา้ํ นั้น.คาํ วา อัมพุจารี น้นั เปน ชอ่ื ของปลา ปลาที่วายไปในนํา้ ช่อื วา สลิลัมพุจารี.มอี ธิบายวา ดจุ ปลาทาํ ลายขา ยในนา้ํ แหงนทีนัน้ . ในบาทท่ี ๓ สถานท่ถี กู ไฟไหม เรียกวา ทฑฒฺ  แปลวาท่ีไหมแ ลว.มีอธบิ ายวา ไฟยอ มไมห วนกลบั ไปสูสถานท่ีไหมแลว คอื ไมม าในทไี่ หมแลวนัน้ โดยแทฉนั ใด บคุ คลไมก ลบั สทู แ่ี หง กามคณุ ท่ไี ฟ คอื มรรคญาณไหมแลวคือไมม าในทแี่ หงกามคณุ นน้ั โดยแท ฉันน้นั . บททเ่ี หลอื มนี ยั ท่ีกลา วแลวนัน้แล. สนั ทาลนคาถาวัณณนา จบบรบิ ูรณ คาถาท่ี ๒๙ คาถาวา โอกฺขิตฺตจกฺขุ ดังน้ี อุบตั ิอยา งไร ? ไดย นิ วา ในพระนครพาราณสี พระราชาพระนามวา จักขโุ ลล-พรหมทัต ทรงโปรดการดูนกั ฟอ น เหมอื นพระเจาปาทโลลพรหมทัต. สว นความแปลกกัน ดังนี้ :- พระเจาปาทโลลพรหมทัตทรงไมพ อพระราชหฤทยั แลว เสด็จไป ณที่นั้น ๆ พระเจาจกั ขุโลลพรหมทัตน้ี ทรงเห็นนักฟอ นนนั้ ๆ แลว ทรง

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 215เพลดิ เพลินย่งิ นัก เสดจ็ เทยี่ วทาํ ตัณหาใหเ จริญอยู ดวยการทอดพระเนตรดูนักฟอนทเ่ี ย้อื งกราย ไดยินวา พระองคท รงเห็นภริยาของกุฎมพคี นหนึ่ง ที่มาดูนักฟอ น ทรงยงั ราคะใหเกิดขน้ึ แตน ั้น ทรงสลดพระราชหฤทัยวา เรายงั ตัณหาน้เี จริญอยอู กี จักเปนผูเต็มในอบาย เอาเถดิ เราจักขมราคะนน้ัดงั นแี้ ลว ทรงผนวช เจรญิ วปิ ส สนาอยู ทรงกระทาํ ใหแจง ซึง่ ปจ เจกโพธิญาณเมอ่ื จะทรงติเตียนความประพฤตใิ นครัง้ กอนของพระองค จึงตรัสอุทานคาถานี้เพอ่ื ทรงแสดงคณุ อนั เปน ปฏปิ กษต อ การประพฤติน้นั วา โอกขฺ ิตตฺ จกฺขุ น จ ปาทโลโล คตุ ตฺ นิ ฺทรโิ ย รกขฺ ิตมานสาโน อนวสสฺ โุ ต อปรฑิ ยหฺ มาโน เอโก จเร ขคฺควิสาณกปโฺ ป บุคคลผมู ีจักษทุ อดลงแลว ไม คะนองเทา มีอนิ ทรียอ ันคมุ ครองแลว มีใจ อนั รกั ษาแลว ผูอันกิเลสไมร่ัวรดแลว และ ไฟคือกิเลสไมแ ผดเผาอยู พงึ เท่ยี วไปผเู ดียว เหมือนนอแรด ฉะนน้ั ดงั น้ี. ในบทเหลาน้ัน บทวา โอกขฺ ติ ฺตจกขฺ ุ ไดแก ผมู จี ักษทุ อดลงต่ํา.มอี ธิบายวา ผูวางทตี่ อ ทงั้ ๗ ตามลาํ ดับแลว เพงดูชั่วแอก เพอื่ งดเวน และดูสิ่งทคี่ วรละ แตไมใชเ อากระดูกคางกระทบกบั กระดกู อก เพราะผมู ีจักษทุ อดลงอยางน้ี ไมส มควรแกส มณะ.

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 216 บทวา น ปาทโลโล ความวา ไมเดนิ สา ยไป ดจุ สากเทา จาํ้ ไปเพราะรบี จะเขาไปในทา มกลางหมูอยางน้วี า ท่ี ๒ สําหรบั คนหน่งึ ท่ี ๓ สําหรบัคน ๒ คน หรอื เวนจากการเที่ยวไปนานและการเท่ยี วไปไมก ลับ. บทวา คตุ ฺตนิ ทฺ ริโย ไดแก มีอินทรยี อนั คมุ ครองแลว ในอินทรียท้งั ๖ ดว ยอํานาจที่กลา วไวแ ผนกหนึง่ ในคาถาน.้ี บทวา รกฺขติ มานสาโน ความวา มานสั นนั่ เอง ชื่อวา มานสานะมานสานะนั้น อนั บุคคลนัน้ รักษาแลว เพราะเหตนุ ัน้ บุคคลนนั้ จงึ ช่ือวารกฺขติ มานสาโน แปลวา มีใจอันตนรกั ษาแลว มีอธิบายวา มีจิตอนั ตนรกั ษาแลว โดยประการทจี่ ิตไมแปดเปอนดวยกเิ ลสทงั้ หลาย. บทวา อนวสฺสโต ความวา ผเู วนจากการร่วั รดของกเิ ลส ในอารมณน น้ั ๆ ดวยการปฏบิ ัติน.ี้ บทวา อปริฑยฺหมาโน ความวา เพราะเวนจากการรว่ั รดอยา งนเ้ี องอันไฟคือกิเลสทั้งหลายไมแผดเผาอยู หรืออนั ไฟคอื กิเลสทงั้ หลายไมรวั่ รดแลวในภายนอก ไมแ ผดเผาอยูในภายใน. บททเ่ี หลือมีนยั ทีก่ ลา วแลวน่นั แล. โอกขิตตจักขวุ ณั ณนา จบบริบูรณ คาถาที่ ๓๐ คาถาวา โอหารยติ ฺวา ดังนี้ มีอบุ ตั ิอยางไร ? ไดย ินวา ในกรุงพาราณสี พระราชาพระนามวา จาตมุ าสิกพรหมทตัพระองคอน่ื น้ี เสด็จไปทรงกฬี าในพระราชอุทยาน ทกุ ๔ เดอื น ในวันหนึ่งทา วเธอเมื่อเสด็จเขา พระราชอุทยาน ในเดือนทา มกลางแหง ฤดรู อน ทรงเห็น

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 217ตนทองหลางดุจตน ปารฉิ ตั รในสวรรค ซึ่งมคี าคบสะพรั่งดวยดอก สลางดว ยใบ ใกลพ ระทวารแหง พระราชอทุ าน จึงทรงเด็ดเอาดอกหน่ึงแลว เสดจ็เขาสพู ระราชอุทยาน แตน นั้ อาํ มาตยแมคนหน่งึ คดิ วา พระราชาทรงเด็ดเอาดอกงาม จึงยืนขน้ึ บนคอชา งน่นั แล เดด็ เอาดอกหน่งึ . โดยอบุ ายนัน่ เทียว พลกายทั้งหมด จงึ เดด็ เอาบา ง ผูไมไดด อก กเ็ ด็ดเอาแมซ งึ่ ใบตน ไมน นั้ จงึ ปราศจากใบและดอก เหลอื แตล ําตนเทาน้นั . ในสมัยเย็น พระราชาเสด็จออกจากพระราชอุทยาน ทรงเหน็ ตน ไมน้นั ทรงพระราชดาํ ริอยวู า ตน ไมน ใ้ี ครกระทําหรอื ในเวลาเรามา ก็สะพรงั่ดว ยดอกสวยงามเปน เชน กบั แกว ประพาฬ ในระหวา งกงิ่ ซงึ่ มสี ดี จุ แกวมณี บัดนี้กลายเปน ตนไมปราศจากใบและดอกเสียแลว ทรงเหน็ ตน ไมไ มผลดิ อกมีใบเหลอื งหลน เกลอื่ นกลน ในที่ใกลตนไมน ้ันแล ก็ครัน้ ทรงเหน็ แลว พระองคทรงพระราชดาํ รดิ ังน้ีวา ตนไมน ้ี เปน ที่ตั้งแหงความโลภของชนมาก เพราะมีกง่ิ สะพรง่ั ดวยดอก เพราะเหตุนั้น จึงถงึ ความยอ ยยบั เพยี งช่วั ครูเทา นน้ั สว นตนไมอ ่ืนน้ี คงดาํ รงอยูเหมือนเดมิ เพราะไมเ ปนทต่ี ั้งแหงความโลภ ราชสมบัติแมน ้ี พงึ เปน ทต่ี ้งั แหง ความโลภ เหมอื นตน ไมทม่ี ีดอก สวนความเปน ภกิ ษุไมพ ึงเปน ทต่ี ้ังแหง ความโลภ เพราะฉะน้นั ราชสมบตั แิ มนี้ ยังไมถ ูกแยง ชิงเหมอื นตน ไมน ตี้ ราบใด เราพึงเปนผปู กปดดว ยผากาสาวะ ดุจตน ทองหลางอ่นื นี้ เกลือ่ นกลน ดว ยใบเหลืองแลว บวชตราบน้นั พระราชาน้นั ทรงสละราช-สมบตั ิ ทรงผนวช เจริญวปิ ส สนาอยู ทรงการทําใหแจง ซงึ่ ปจ เจกโพธญิ าณแลว ตรัสอุทานคาถานวี้ า โอหารยิตวฺ า คิหพิ ฺยฺชนานิ สฉฺ ินฺนปตฺโต ยถา ปารฉิ ตโฺ ต กาสายวตโฺ ถ อภินกิ ขฺ มิตวฺ า เอโก จเร ขคคฺ วสิ าณกปฺโป

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 218 บุคคลละเพศแหงคฤหสั ถ ดจุ ตน ทองหลางมีใบรวงหลน แลว นงุ หมผากาสา- ยะ ออกบวชเปน บรรพชิต เทยี่ วไปผเู ดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น ดังน.้ี บรรดาบทเหลาน้ัน บทนี้วา กาสายวตฺโถ อภินิกขฺ มิตฺวา ดังน้ีบัณฑิตพงึ ทราบเนอ้ื ความอยา งนว้ี า ออกจากเรือนแลว นุงหมผากาสายะ.บทที่เหลืออาจเพ่ือรู โดยนัยทกี่ ลาวแลวนนั่ แล เพราะฉะนั้น จึงไมไดกลา วใหพสิ ดาร. ปารจิ ฉัตตกคาถาวณั ณนา จบบริบรู ณ วรรคท่ี ๓ จบ วรรคที่ ๔ คาถาท่ี ๓๑ คาถาวา รเสสุ ดงั นี้ มอี ุบัตอิ ยา งไร ? ไดยินวา พระเจา พาราณสีพระองคห นึง่ ทรงแวดลอ มดวยบุตรอาํ มาตยท้งั หลายในพระราชอุทยาน ทรงเลน กฬี า ในสระโบกขรณีท่มี แี ผน ศิลา วเิ สทถอื เอารสแหงเนอ้ื ทั้งปวง ปรงุ พระกระยาหารในระหวา ง ซงึ่ ปรงุ ดีอยา งยงิ่ ดจุอมฤตแลว นอมถวายแดพระองค พระราชานัน้ ทรงถึงความติดในพระกระ-ยาหารนัน้ ไมทรงประทานอะไรใหแกใ ครเลย เสวยแตพระองคเ ดียว เมื่อทรงเลนในนํา้ และเสดจ็ ออกในเวลามืด ก็รบี เสวย ไมไดนึกถึงบรชิ นซงึ่พระองคเคยเสวยดว ยกนั มาแตกาลกอน.

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 219 ตอมาภายหลัง พระองคทรงนกึ ไดว า โอ ! เราทาํ บาป ทเ่ี ราถกูความอยากในรสครอบงาํ ลมื นกึ ถึงปวงชน กนิ แตผ เู ดียว เอาเถดิ เราจะขมความอยากในรส ดังน้แี ลว ทรงสละราชสมบตั ิ ทรงผนวช เจริญวิปส สนาอยู ก็ทรงกระทําใหแ จง ซ่ึงปจเจกโพธญิ าณ ทรงติเตยี นการปฏบิ ตั ิในครั้งกอนของพระองค จึงตรสั อทุ านคาถาน้ี อนั แสดงถึงขอปฏิบตั อิ ันเปนปฏปิ ก ษตอ การปฏิบตั ิคร้งั กอ นน้ันวา รเสสุ เคธ อกร อโลโล อนฺโปสี สปทานจารี กุเล กเุ ล อปปฺ ฏพิ ทฺธจิตโฺ ต เอโก จเร ขคฺควสิ าณกปโฺ ป ภกิ ษไุ มกระทําความยินดีในรสทั้ง- หลาย ไมโลเล ไมเ ลีย้ งคนอนื่ มีปกติเทยี่ ว บณิ ฑบาตตามลาํ ดับตรอก ผูม ีจติ ไมผ กู พนั ในตระกลู พงึ เทีย่ วไปผเู ดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น ดังนี้. ในบทเหลาน้นั บทวา รเสสุ ความวา ไมกระทาํ ความยินดี คือไมกระทาํ ความตดิ ในรสอนั ควรลมิ้ ทง้ั หลาย อันตา งโดยรสเปร้ียว หวาน ขมเผด็ เคม็ เฝอ น และรสฝาดเปน ตน มอี ธบิ ายวา ไมยังความอยากใหเ กดิ ข้นึ . บทวา อโลโล ความวา ไมว นุ วายในรสพิเศษท้ังหลายวา เราจักลิ้มรสนี.้ บทวา อนฺ โปสี ความวา เวนจากคนมสี ทั ธิวหิ าริก อันตนจะพึงเลยี้ งดูเปน ตน มีอธิบายวา ยินดีแลว ดวยเหตสุ ักวาการสํารวมทางกาย.อกี อยางหนงึ่ พระปจเจกพุทธเจา แสดงวา ในกาลกอนเราเปน ผวู นุ วายใน

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 220การกระทาํ ความตดิ ในรสทงั้ หลาย ที่อุทยานแลว เปนผูเล้ียงคนอืน่ ฉนั ใดเราไมเปนฉนั นนั้ เปนผวู นุ วายดว ยตัณหาใดแลว ทําความยินดีในรสทั้งหลายภิกษลุ ะตณั หานั้น ไมเลย้ี งคนอ่ืน เพราะอัตภาพอ่นื อันมีตณั หาเปนมลู ไมเ กดิตอไป. อีกอยา งหนึ่ง กเิ ลส เรยี กวา อโฺ  (อ่นื ) เพราะอรรถวา หกั รานประโยชน. ในขอ น้ีมอี ธบิ ายอยางน้ีวา ภิกษชุ ื่อวา ไมเ ลี้ยงคนอืน่ เพราะไมเลยี้ งกเิ ลสเหลา นน้ั . บทวา สปทานจารี ความวา มีปกตเิ ทยี่ วไปดวยการไมข ามลาํ ดบัคอื มีปกตเิ ท่ยี วไปตามลําดบั ไมล ะลําดบั แหงเรือน เขาไปสูตระกลู ของคนมั่งคั่งและตระกูลของคนยากจน เพื่อบณิ ฑบาตเนือง ๆ. บทวา กเุ ล กุเล ลปฺปฏิพทฺธจติ ฺโต ความวา ผมู ีจิตไมเ ก่ียวขอ งดวยอํานาจแหง กิเลส ในตระกลู ใดตระกลู หน่งึ ในบรรดาตระกลู ทัง้ หลายมีตระกูลกษัตรยิ เปนตน เปนผใู หมเปนนิตย ดุจพระจนั ทร. บทท่ีเหลือมนี ยั ที่กลา วแลวนัน่ แล. รสเคธคาถาวัณณนา จบบริบรู ณ คาถาที่ ๓๒ คาถาวา ปหาย ปฺจาวรณานิ ดังนี้ มอี บุ ตั อิ ยางไร ? ไดยินวา พระราชาพระองคหน่งึ ในพระนครพาราณสี ทรงไดปฐมฌาน ทาวเธอทรงสละราชสมบัติ เพ่ือทรงตามรกั ษาฌาน ทรงผนวชแลวเจรญิ วปิ ส สนาอยู ทรงกระทาํ ใหแ จง ซ่ึงปจ เจกโพธิญาณ เพื่อจะทรงแสดงสัมปทาแหง การปฏบิ ตั ขิ องพระองค จึงตรสั อทุ านคาถานวี้ า

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 221 ปหาย ปฺจาวรณานิ เจตโส อุปกกฺ เิ ลส พยฺ ปนุชชฺ สพฺเพ อนสิ ฺสโิ ต เฉตวฺ า สเิ นหโทส เอโก จเร ขคคฺ วสิ าณกปโฺ ป บคุ คลละธรรมเปนเคร่อื งกัน้ จติ ๕ อยาง บรรเทาอปุ กเิ ลสทงั้ ปวงแลว ผอู นั ทิฏฐิ ไมอาศยั ตดั โทษคือความเยื่อใยไดแลว พึง เทยี่ วไปผเู ดยี ว เหมอื นนอแรด ฉะนนั้ ดงั น้.ี ในบทเหลา นน้ั บทวา อาวรณานิ ไดแ ก นิวรณท ้งั หลายนนั้ แล.นิวรณเ หลาน้นั โดยอรรถไดกลา วแลว ในอุรคสตู ร กน็ ิวรณเ หลา น้นั เพราะกนั้ จติ ดจุ หมอกเปน ตน ปด บังดวงจนั ทรและดวงอาทติ ย เพราะฉะน้นั จึงเรยี กวา ธรรมเปนเครื่องกัน้ จติ ละนิวรณเหลาน้ัน ดว ยอุปจาร หรอื ดว ยอปั ปนา. บทวา อปุ กเิ ลส ไดแก อกศุ ลธรรมทงั้ หลาย ซึ่งเขา มาเบียด-เบียน จิต หรือ ธรรมทงั้ หลายมอี ภิชฌาเปน ตน ทก่ี ลา วแลว ในสูตรทงั้ -หลายมวี ัตโถปมสูตรเปนตน . บทวา พยฺ ปนชุ ชฺ ความวา บรรเทาแลว คอื ใหพินาศแลว อธิบายวา ละแลว ดวยวิปสสนามรรค. บทวา สพฺเพ ไดแ ก ที่เหลือลง. บุคคลถึงพรอมดวยสมถะและวิปส -สนาอยา งน้ี ชอื่ วา ผูอนั ทิฏฐไิ มอ าศัย เพราะความที่ทิฏฐินิสสยั อนั ทา นละแลวดว ยปฐมมรรค ตดั โทษคือความเยือ่ ใย อนั ติดตามไตรธาตไุ ดแ ลวดว ยมรรค

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 222ทเี่ หลอื ทัง้ หลาย มีอธบิ ายวา ตดั ตัณหาราคะไดแลว กค็ วามเยื่อใยน่ันแลเรียกวา โทษ คอื ความเยอ่ื ใย. บททเ่ี หลือ มีนัยที่กลา วแลวนั่นแล. อาวรณคาถาวณั ณนา จบบริบรู ณ คาถาท่ี ๓๓ คาถาวา วิปฏกิ ตวฺ าน ดังนี้ มอี ุบตั อิ ยางไร ? ไดยินวา พระราชาพระองคหนึง่ ในกรุงพาราณสี ทรงไดจตตุ ถฌานทา วเธอทรงสละราชสมบตั ิ เพอ่ื ทรงตามรักษาฌาน ทรงผนวช เจรญิ วิปสสนาอยู ทรงทําใหแจง ซง่ึ ปจ เจกโพธญิ าณ เมือ่ จะทรงแสดงสัมปทาแหง การปฏบิ ัติของพระองค จงึ ตรสั อทุ านคาถานว้ี า วปิ ฏ  กิ ตวฺ าน สขุ  ทกุ ขฺ จฺ ปพุ ฺเพว จ โสมนสฺสโทมนสฺส ลทฺธานุเปกฺข สมถ วิสุทธฺ  เอโก จเร ขคฺควสิ าณกปโฺ ป บคุ คลละสขุ ทุกข โสมนัส และ โทมนสั ในกอ นได ไดอเุ บกขา และสมถะ อนั บรสิ ุทธิ์แลว พงึ เทย่ี วไปผเู ดียว เหมือน นอแรด ฉะนน้ั ดังน.ี้ ในบทเหลา นนั้ บทวา วปิ ฏิกตวฺ าร ความวา ทําไวขางหลังคือ ทิ้งแลว สละแลว. บทวา สขุ  ทุกฺขฺจ ไดแก ความสําราญทางกายและความไมสาํ ราญทางกาย. บทวา โสมนสฺสโทมนสสฺ  ไดแก ความสําราญทางใจและความไมสําราญทางใจ. บทวา อเุ ปกขฺ  ไดแก อุเบกขาใน

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 223จตุตถฌาน. บทวา สมถ ไดแก สมถะในจตตุ ถฌานน่ันเทียว. บทวา วิสุทฺธความวา ชอ่ื วา อันบริสทุ ธิ์แลว เพราะพน จากธรรมอนั เปน ขา ศกึ ทง้ั หลายกลา วคอื นวิ รณ ๕ วิตก วิจาร ปต แิ ละสขุ อธบิ ายวา ปราศจากอุปกเิ ลสแลว ดจุ ทองคําทไ่ี ลด แี ลว. ก็โยชนามดี ังนี้ ละสุขและทกุ ข อธบิ ายวา ทุกขในอุปจารภมู แิ หงปฐมฌานนั่นเทียว สุขในอปุ จารภูมแิ หงตติยฌาน. มีอธิการวา ละโสมนัสและโทมนัสในกอนได เพราะนํา จ อกั ษรท่ีกลาวไวขางตน ไปไวขา งหนา อีกดวย จ อักษรนน้ั พระปจ เจกพทุ ธเจาแสดงวา ละโสมนัสในอปุ จารแหงจตตุ ถฌาน และโทมนัสในอปุ จารแหง ทตุ ิยฌานนัน่ เอง. จริงอยู อปุ จารแหงจตตุ ถฌาน และอุปจารแหงทตุ ิยฌานเหลานนั้ เปนฐานะในการละโสมนัสและโทมนัสเหลานัน้ โดยทางออ ม. แตโดยทางตรง ปฐมฌานเปน ฐานะในการละทุกข ทุตยิ ฌานเปนฐานะในการละโทมนสั ตติยฌาน เปนฐานะในการละสขุจตตุ ถฌานเปนฐานะในการละโสมนัส. เหมือนอยางพระผูมพี ระภาคเจา ตรสั วาภิกษุเขาปฐมฌานอยู ทุกขนิ ทรียท่เี กิดแลว ในปฐมฌานนน้ั ยอมดับไมมสี วนเหลือ ดังนเ้ี ปนตน .* ขอความนั้นทั้งหมด ขาพเจากลาวไวแลว ในอรรถกถาธรรมสังคหะช่อื อฏั ฐสาลนิ ี. เพราะบุคคลละทุกข โทมนสั และสุขในกอนได คอื ในฌานทั้ง ๓ มีปฐมฌานเปน ตน แลว จงึ ละโสมนสั ในจตุตถฌานนนั้ เอง ไดอ เุ บกขาอนั สงบบรสิ ทุ ธิ์ ดวยปฏิปทาน้ี พงึ เท่ยี วไปผูเดียว. บทท่ีเหลอื ในท่ีท้งั ปวงปรากฏชัดแลว แล. วิปฏฐิกัตวาคาถาวณั ณนา จบบรบิ ูรณ* ส มหาวาร ๒๒๓.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ที่ 224 คาถาที่ ๓๔ คาถาวา อารทฺธวิรโิ ย ดังน้ี มีอบุ ัตอิ ยางไร ? ไดยินวา พระเจาปจ จันตราชาพระองคหน่ึง (พระเจาขุททกราช) ทรงมพี ลกายเปนทหารประมาณหนึ่งพัน ทรงมีพระราชสมบตั ินอย แตมพี ระปญ ญามาก ในวันหนึ่ง ทา วเธอทรงพระราชดาํ ริวา เราเปนผูขัดสนแมกจ็ ริง แตเ รามีปญ ญาอาจเพือ่ จะยดึ เอาชมพูทวปี ทง้ั สิ้นได ดังน้แี ลว กท็ รงสง ทูตแกพ ระเจาสามันตรราชวา ในภายในเจ็ดวัน จงใหราชสมบัติแกเรา หรือจงใหก ารรบ ตอจากน้นั พระองคทรงประชุมเหลา อาํ มาตยข องพระองคแลว ตรสั วา ขา พเจายังไมไดปรึกษาพวกทานเลย ไดท ําการผลุนผลัน ไดส งทตู อยางน้แี กพ ระราชาชื่อโนน จะพึงทําอยา งไร อํามาตยเหลานน้ั ทลู วา ขาแตมหาราช พระองคอาจทจี่ ะทรงเรยี กทูตนนั้ กลับหรือ ? ร. ไมอาจ ทตู น้นั ไปแลว อ. ถาอยา งนนั้ พวกขาพระองคก็ถกู พระองคใหพ ินาศแลว เพราะเหตนุ ้ัน การตายดวยมือของคนอื่นเปน ทุกข เอาเถิด พวกขา พระองคจะฆากนั ตาย จะฆา ตวั ตาย จะผูกคอตาย จะดื่มยาพษิ ตาย. ในอาํ มาตยเหลา นน้ั อํามาตยแตล ะคนไดพ รรณนาถงึ ความตายอยางน้ีเทานน้ั แตน นั้ พระราชาตรสั วา มีประโยชนดว ยอํามาตยเ หลา น้ี ดกู อนพนายฉนั มที หารอยูด ังน.้ี ขณะนัน้ ทหารหนึ่งพันนั้น ลุกขึน้ ทูลวา ขาแตมหาราชขาพระองคเ ปนทหาร พระราชาทรงพระราชดําริวา เราจักทดลองทหารเหลา นั้นดังน้ีแลว ทรงใหเ ตรียมเชิงตะกอนไว ตรัสวา ดกู อนพนาย ฉนั ไดทาํ การ

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย สุตตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาท่ี 225ผลุนผลันช่ือนี้ พวกอาํ มาตยคดั คานการกระทําของฉนั น้ัน ฉนั น้ันจะกระโดดเขาสเู ชงิ ตะกอน ใครบา งจะกระโดดเขา พรอมกับฉนั ใครยอมสละชีวติ เพ่ือฉนัครัน้ ตรัสอยางนแี้ ลว พวกทหาร ๕๐๐ คน พากันลกุ ขนึ้ ทูลวา ขาพระองคจะกระโดดเขา ไป มหาราช. ลาํ ดบั นั้น พระราชาตรสั กะทหาร ๕๐๐ อกี พวกวา ดกู อ นพอ บดั น้ีพวกเธอจกั ทําอยา งไร ? ทหาร ๕๐๐ เหลา นั้นกราบทูลวา ขาแตมหาราชน้ีไมใชการกระทําของลูกผูชาย นนั่ เปน การประพฤติของผูหญิง ความจรงิพระมหาราชทรงสง ทูตแกอ รริ าชแลว พวกขา พระองคจกั รบกับพระราชานัน้จนสิน้ ชีวติ . แตน้นั พระราชาตรัสวา พวกทา นยอมสละชีวติ เพ่อื เราดังนแี้ ลวทรงตระเตรียมจตุรงคินเี สนา ทรงแวดลอ มดวยทหารพนั หน่ึงนั้น เสด็จไปประทบั นงั่ ณ ชายแดนรชั สมี า. ฝายพระเจาปฏริ าชน้ันทรงสดบั ประพฤติการณน ัน้ แลว ทรงดพี ระทัยวา เออเฮอ ! เจาขุททกราชแมน ้นั ไมพอแมแ กท าสของเรา ดังน้ีแลว ทรงยกกองทัพท้งั หมดเสดจ็ ออก เพ่ือรบ พระเจา ขทุ ทกราชาทรงเหน็ พระเจาปฏิราชนน้ั ผยู กทพั ออกมาประเชญิ หนา จึงตรสั กะพลกายวา ดูกอนพอ พวกทานไมม ากทั้งหมดจงรวมกัน ถอื ดาบและโล ว่ิงไปตรงขา งหนาพระราชานี้โดยเรว็ ทหารเหลา นน้ั ไดก ระทาํ ตามพระดํารัส ขณะนน้ั กองทัพนนั้ แตกออกเปน ๒ ฝา ยชอ งวา งให พวกทหารเหลานนั้ จึงไดจับพระราชานัน้ ท้ังเปน พวกทหารเหลาอื่นก็หลบหนไี ป พระเจา ขุททกราชทรงวิ่งไปขา งหนา ดว ยพระดํารวิ าจักฆาพระราชาน้นั พระเจาปฏริ าชทรงทลู ขออภยั พระเจาขทุ ทกราชนน้ั .

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนบิ าต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 226 ตอ แตนนั้ พระเจาขทุ ทกราชทรงประทานอภัยแกพ ระเจา ปฏิราชนน้ัทรงใหพระเจาปฏิราชนน้ั ทาํ การสาบาน ทาํ ใหเ ปนพวกของพระองคแลว ทรงเริ่มเพือ่ จะจับพระราชาองคอน่ื ท้ังเปนอีก จงึ เสดจ็ ไปพรอ มกบั พระเจาปฏริ าชนั้น ประทับยืน ณ ชายแดนรัชสีมาของพระเจา ปฏริ าชนนั้ ทรงสงขาวไปวาจงใหราชสมบตั ิแกเรา หรือจงใหการรบ พระราชาน้ันทรงพระราชดําริวา เราไมกลา รบคนเดยี วได จึงทรงมอบราชสมบัต.ิ โดยอุบายน่ันแล พระราชาท้ังหลายรบอยู พระราชาเหลา นนั้ ก็จกั ทรงพายแพ. พระราชาเหลานัน้ จงึ ไมทรงรบ ยอมมอบราชสมบตั ใิ ห พระเจา ขทุ ทกราชจงึ ทรงพาพระราชาทง้ั หมดจบั พระเจา กรงุ พาราณสีในที่สดุ . พระราชาพระองคน นั้ ทรงมีพระราชา ๑๐๑พระองคแวดลอม ทรงครอบครองราชสมบัติในชมพทู วีปทัง้ สิ้น เสวยสิริราชสมบัต.ิ ในกาลตอ มา พระองคทรงพระราชดําริวา ในกาลกอ น เราเปนผูขดั สน ไดเ ปนใหญแ หง ชมพูทวปี ท้ังสน้ิ ดวยญาณสมบตั ิของตน ญาณของเราใดประกอบดว ยโลกยิ วริ ิยะ ญาณน้ัน ยอมไมเปนไปเพ่ือนพิ พิทา ยอ มไมเปน ไปเพอ่ื ปราศจากราคะ ดีทเี ดยี ว ถา เราพึงแสวงหาโลกตุ รธรรมดว ยญาณน้ี ลําดบั นน้ัจงึ ทรงพระราชทานราชสมบัติแกพ ระเจา กรงุ พาราณสี ทรงสงพระราชบตุ รและพระมเหสกี ลบั ชนบทของตนเรยี บรอยแลว ทรงสมาทานบรรพชา ปรารภวิปสสนา ทรงกระทําใหแ จงซึ่งปจเจกโพธิญาณ เมือ่ จะทรงแสดงวิริยสมบัติของพระองค จงึ ตรสั อุทานคาถาน้วี า

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 227 อารทธฺ วิริโย ปรมตถฺ ปตตฺ ยิ า อลีนจติ โฺ ต อกสุ ตี วตุ ตฺ ี ทฬหฺ นกิ ขฺ โม ถามพลูปปนโฺ น เอโก จเร ขคฺควิสาณกปโฺ ป บุคคลปรารภความเพียรเพือ่ บรรลุ ปรมตั ถประโยชน มจี ิตไมหดหู มคี วาม ประพฤติไมเ กยี จครา น มีความบากบั่นม่นั คง ถึงพรอ มแลว ดว ยกําลังกายและกําลงั ญาณ พึงเทยี่ วไปผเู ดยี ว เหมอื นนอแรด ฉะนั้น ดงั น้.ี ในคาถานัน้ ช่อื วา ปรารภความเพียร เพราะอรรถวา บุคคลน้นัปรารภความเพยี รแลว พระปจเจกพทุ ธเจา แสดงความเพยี รมีวิริยารัมภะเปน ตนของตน ดว ยบทนี้ นิพพานเรยี กวา ปรมตั ถะ เพ่อื บรรลปุ รมตั ถประโยชนดว ยการบรรลุนิพพานน้นั พระปจ เจกพทุ ธเจา แสดงผลอนั พงึ บรรลุดวยวริ ยิ า-รัมภะ ดว ยบทน้.ี พระปจ เจกพุทธเจาแสดงความท่จี ิตและเจตสิกอันพลวิรยิ ะสนับสนนุแลว เปน ธรรมชาตไิ มหดหู ดว ยบทวา อลีนจติ ฺโต น้ี แสดงความไมเ ฉื่อยชาแหงกาย ในการยนื การนั่ง และการจงกรมเปน ตน ดว ยบทวา อกุสีตวตุ ฺติ น้ีแสดงความเพยี รท่ตี ง้ั ม่นั ซ่ึงเปนไปแลว อยา งน้ีวา กาม ตโจ จ นหฺ ารุ จดว ยบทวา ทฬหฺ นกิ ฺกโม นี้ บุคคลตัง้ ความเพียรนน้ั ในกิจทงั้ หลายมีการศกึ ษาตามลาํ ดบั เปนตน เรยี กวา ยอมกระทําใหแจง ซ่งึ ปรมัตถสัจจะ ดวยกาย

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 228อกี อยางหน่งึ แสดงความเพยี รมสี ัมปยุตดว ยมรรค ดว ยบทน.้ี จรงิ อยู ความเพียรน้ัน ชอื่ วา นกิ ขมะ เพราะเปนความเพียรท่ีไดแลว ดว ยการภาวนามน่ั คงและเพราะเปนความเพียรที่ออกจากธรรมที่เปนปฏปิ กษโดยประการทั้งปวงเพราะฉะน้นั แมบคุ คลผูสมงั คดี วยความเพยี รนั้น จึงชอ่ื วา ทฬั หนิกกมะเพราะอรรถวา บคุ คลน้นั มคี วามบากบัน่ มัน่ คง. บทวา ถามพลปุ ปนฺโน ความวา ถึงพรอมแลวดว ยกาํ ลังกาย และกําลงั ญาณ ในขณะแหง มรรค. อกี อยางหนึ่ง บคุ คลใดถึงพรอ มแลว ดวยกาํ ลงั อันเปน เรย่ี วแรง เพราะเหตุนั้น บคุ คลน้นั ชือ่ วา ถึงพรอ มแลว ดว ยกําลังเรีย่ วแรง มีอธบิ ายวา ไมถึงพรอ มแลว ดว ยกําลงั ญาณ. พระปจ เจกพุทธเจาเมื่อจะแสดงการประกอบวิปส สนาญาณ จงึ ยงั ความที่ความเพียรนั้นเปน ประธานใหสาํ เร็จโดยแยบคาย ดว ยบทน้ี. อีกอยา งหน่ึง พึงประกอบบาทแมท ้ังสามดว ยอาํ นาจแหงความเพยี รท่ีเปน เบือ้ งตน ทามกลาง และที่อกุ ฤษฏ. บทท่ีเหลือมนี ยั ทีก่ ลาวแลว น่นั แล. อารัทธวริ ิยคาถาวัณณนา จบบริบูรณ คาถาท่ี ๓๕ คาถาวา ปฏสิ ลฺลาน ดงั นี้ มีอุบตั ิอยางไร ? คาถาน้มี ีอุบัตเิ ชน เดยี วกับอาวรณคาถาน่ันเทยี ว จงึ ไมมคี วามแปลกกนัอยางใดเลย แตพึงทราบวนิ จิ ฉยั ในอัตถวัณณนา. บทวา ปฏสิ ลฺลาน ไดแ ก การหมุนกลับจากสตั วส งั ขารเหลา นั้น ๆแลวหลกี เรน อธิบายวา ความคบคนผเู ดียว ความเปนผมู ีคนเดียว กายวิเวก.

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 229 จติ วิเวกเรียกวา ฌาน เพราะแผดเผาธรรมทีเ่ ปน ขา ศกึ และเพราะเขา ไปเพงอารมณและลกั ษณะ. ในบทนนั้ สมาบัติแปดเรยี กวา ฌาน เพราะแผดเผาธรรมอันเปน ขาศึกมนี ิวรณเปนตน และเพราะเขา ไปเพงอารมณ. ในคาถานี้ วปิ ส สนา มรรคและผล ช่อื วา ฌาน เพราะแผดเผาธรรมอันเปนขา ศึกมสี ตั ตสัญญาเปน ตน และเพราะเขา ไปเพงลกั ษณะนัน่ เอง. แตในทน่ี ี้ทา นประสงคเ อาอารมั มณูปนิชฌานเทา นน้ั ไมละ คอื ไมสละ ไมป ลอ ยซ่งึการหลีกเรน และฌานนั่น ดวยประการฉะน้.ี บทวา ธมเฺ มสุ ความวา ในธรรมมเี บญจขนั ธเปน ตน ท่เี ขาถงึวปิ สสนา. บทวา นจิ จฺ  ไดแ ก เนืองนติ ย สมํา่ เสมอ บอ ย ๆ . บทวา อนธุ มฺมจารี ความวา ประพฤติวิปส สนาธรรมอนั ไปตามเพราะปรารภธรรมเหลานนั้ เปนไป. อกี อยา งหนงึ่ โลกตุ รธรรม ๙ ช่ือวาธรรม. ธรรมอนั อนุโลมแกธ รรมเหลานนั้ ช่ือวา อนธุ รรม คาํ วา อนุธรรมนัน่ เปน ชอ่ื ของวิปส สนา. ในคาถานัน้ เม่อื ควรจะกลาว ธมมฺ าน นจิ ฺจอนธุ มมฺ จารี พระปจเจกพทุ ธเจาก็กลาววา ธมฺเมสุ ดวยการเปลี่ยนวภิ ตั ติเพือ่ สะดวกแกการผูกคาถา. บทวา อาทีนว สมฺมสิตา ภเวสุ ความวา บุคคลพิจารณาเห็นโทษมีอาการไมเท่ยี งเปนตน ในภพทง้ั สาม ดวยวิปส สนา กลาวคือความเปน ผูประพฤตติ ามธรรมน้ัน พึงทราบวา บรรลแุ ลวซ่งึ กายวเิ วกและจติ วิเวกน้ีดว ยปฏิปทา กลาวคือวิปสสนาอันถงึ ยอดอยา งนี้ พงึ เท่ยี วไปผเู ดียว พึงทราบการประกอบ ดังนี้แล. ปฏสิ ลั ลานคาถาวณั ณนา จบบรบิ ูรณ

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย สตุ ตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนา ท่ี 230 คาถาที่ ๓๖ คาถาวา ตณหฺ กฺขย ดงั น้ี มอี ุบตั ิอยางไร ? ไดยนิ วา พระเจา กรุงพาราณสีพระองคห น่งึ ทรงกระทาํ ประทกั ษิณพระนคร ดวยราชานภุ าพอันย่งิ ใหญ สตั วท งั้ หลายมีหัวใจหมนุ ไปแลว เพราะความงามแหงพระวรกายของทา วเธอ จงึ ไปขางหนาบา ง ไปขา งหลังบาง ไปโดยขางทงั้ สองบา ง ก็ยงั กลบั มาแหงนดพู ระราชาพระองคน นั้ แล ก็ตามปกติแลว ชาวโลกไมอ่มิ ในการดูพระพุทธเจา และในการดูพระจนั ทรเ พญ็ สมทุ รและพระราชา. ในขณะนั้น แมภ รรยาของกฎุ มพีคนหนึ่ง ขนึ้ ปราสาทช้นั บน เปดหนา ตา ง ยืนแลดูอยู พระราชาพอทรงเหน็ นางเทา นนั้ ก็มีพระราชหฤทัยปฏพิ ัทธ จงึ ตรสั ส่งั อาํ มาตยวา ดกู อนพนาย เจา จงรูกอ นวา สตรีนี้มีสามแี ลวหรือยงั ไมม ีสามี. อํามาตยนนั้ ไปแลว กลบั มาทูลวา มสี ามแี ลว พระเจาขา. ลําดับนั้น พระราชาทรงพระราชดํารวิ า กส็ ตรนี ักฟอ น ๒๐,๐๐๐ นางเหลาน้ี อภิรมยเ ราคนเดยี วเทา นนั้ ดจุ เหลา นางอปั สร บัดนี้ เราน้นั ไมยนิ ดีดวยนางเหลานนั้ เกิดตณั หาในสตรีของบุรุษอน่ื แมตัณหานน้ั เกดิ ข้ึนกอน ก็จะฉดุ ไปสอู บายเทาน้ัน ดงั นีแ้ ลว ทรงเหน็ โทษของตัณหาแลว ทรงพระราชดาํ ริวา เอาเถิด เราจะขมตณั หานัน้ ทรงสละราชสมบตั ิ ทรงผนวช เจรญิวิปสสนาอยู กท็ รงกระทําใหแ จง ซงึ่ ปจเจกโพธญิ าณแลว จงึ ตรัสอทุ านคาถานี้วา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต เลม ๑ ภาค ๕ - หนาที่ 231 ตณหฺ กฺขย ปฏ ย อปปฺ มตฺโต อเนลมูโค สตุ ฺวา สตมิ า สงขฺ าตธมโฺ ม นิยโต ปธานวา เอโก จเร ขคคฺ วิสาณกลปฺโป บุคคลผูป รารถนาความสิ้นตัณหา พึง เปนผูไมประมาท ไมเปน คนบาคนใบ มี การสดับ มสี ติ มธี รรมอนั กาํ หนดรูแ ลว เปนผเู ทย่ี ง มีเพียร พงึ เทย่ี วไปผเู ดียว เหมือน นอแรด ฉะน้ัน ดงั น.ี้ ในบทเหลาน้นั บทวา ตณหฺ กขฺ ย ไดแก พระนพิ พาน หรือความไมเปน ไป แหง ตณั หาที่มีโทษอันตนเหน็ แลว อยา งนน้ี นั่ เอง. บทวาอปปฺ มตโฺ ต ไดแ ก ผมู ีปกตกิ ระทาํ ติดตอ. บทวา อเนลมูโค ไดแก ไมเ ปน คนบา น้ําลาย. อีกอยา งหน่งึ คนไมบา และคนไมใบ เปนบณั ฑติ มอี ธบิ ายวา คนเฉลยี วฉลาด. สุตะอันใหถงึ หิตสขุ ของบคุ คลนน้ั มอี ยู เพราะเหตนุ ้ัน บคุ คลนัน้ชือ่ วา สุตวา มีการสดบั มีอธบิ าย ผูถึงพรอมดวยอาคม. บทวา สติมาไดแ ก ผรู ะลกึ ถึงกิจทงั้ หลายท่ที ําไวนานเปน ตนได. บทวา สงฺขาตธมฺโมไดแก มธี รรมอันกาํ หนดรแู ลว ดว ยการพจิ ารณาธรรม. บทวา นิยโตไดแก ถงึ ความเที่ยง ดว ยอรยิ มรรค. บทวา ปธานวา ไดแกถ งึ พรอ มแลวดวยวิรยิ คอื สัมมัปปธาน.






































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook