Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_52

tripitaka_52

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:41

Description: tripitaka_52

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนา ท่ี 131 ไดยินวา ในกาลแหงพระผมู ีพระภาคเจา ทรงพระนามวา ปทมุ ุตตระเปนเศรษฐีสมบรู ณดว ยสมบัติในหงั สวดนี คร ดาํ รงอยดู วยอสิ รสมบตั อิ นัโอฬาร วันหน่งึ เหน็ พระศาสดาแวดลอ มไปดว ยพระขีณาสพ ๑๐๐,๐๐๐องค เสดจ็ เขา ไปสูนครดว ยพุทธานุภาพใหญ ดว ยพทุ ธลลี าใหญ มีจิตเลื่อมใส ถวายบงั คมแลว ไดย นื ประคองอญั ชลอี ยู ในปจฉาภัต ทา นพรอมดว ยอุบาสกท้ังหลาย ไปยงั วิหาร ฟง ธรรมอยใู นสํานกั ของพระผูม ีพระ-ภาคเจา เห็นพระศาสดาทรงตง้ั ภิกษรุ ปู หนึง่ ไวใ นตาํ แหนง เปนผเู ลิศ แหงภกิ ษผุ ูกลา วถอ ยคาํ อนั ไพเราะ แมต นเองก็ปรารถนาตาํ แหนงนัน้ จงึ ไดถวายมหาทาน ไดตั้งความปรารถนาไว. พระศาสดาทรงทราบความทคี่ วามปรารถนาของทานไมมอี ันตราย จึงทรงพยากรณวา ในอนาคตเธอจักไดเปนผเู ลศิ กวา ภิกษผุ กู ลาวถอ ยคาํ อันไพเราะ ในศาสนาของพระสมั มาสมั -พุทธเจา พระนามวา โคดม. ทา นบาํ เพญ็ บญุ ในนครนัน้ ตลอดชวี ิต ทองเท่ยี วไปในเทวโลกและมนษุ ยโลก ในกาลแหง พระผูมีพระภาคเจา พระนามวา วปิ สสี บวชในศาสนา บาํ เพ็ญวัตรปฏวิ ัตรใหบรบิ รู ณ ไดเ ย็บจวี รถวายแกภ กิ ษุรปู หน่งึ .เม่ือโลกวา งจากพระพทุ ธเจาอกี เปนชา งหกู ในกรงุ สาวัตถี ไดต อ คนั กลดทขี่ าดถวายแดพ ระปจ เจกพทุ ธเจารปู หนง่ึ , ทา นไดบาํ เพ็ญบุญในภพนั้นๆดว ยอาการอยา งน้ี ในพทุ ธปุ บาทกาลน้ี บงั เกดิ เปนบุตรเศรษฐีมีสมบัติมาก ในกุลฆรนคร๑ ในอวนั ตีรฐั พวกญาติไดต ั้งชื่อทานวา โสณะ.เพราะทานทรงเครอ่ื งประดบั หูมีราคาโกฏิ เมอ่ื ควรจะเรยี กวาโกฏกิ ัณณะกลับปรากฏช่อื วา กุฏิกณั ณะ.๑. บาลีเปน กรุ รฆร.

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนาท่ี 132 ทานเจริญโดยลาํ ดบั เก็บรวบรวมทรพั ย เมือ่ ทา นพระมหากัจจายนะอาศยั เรือนมีตระกูลอยใู นปวัตตบรรพต ฟงธรรมในสํานกั ของทาน ต้ังอยูในสรณะและศีล อปุ ฏฐากทา นดว ยปจ จยั ๔. คร้นั จําเนียรกาลนานมา ทานเกิดความสังเวช บรรพชาในสาํ นักของพระเถระ ใหป ระชุมสงฆท สวรรคไดโดยาก โดยฝด เคือง อปุ สมบทแลว อยูใ นสํานกั พระเถระส้นิ กาลเล็กนอ ย ลาพระเถระเขา ไปยังกรุงสาวตั ถีเพ่อื ถวายบงั คมพระศาสดา ไดอ ยูใ นคันธกฎุ เี ดยี วกัน กับพระศาสดา ถกูพระองคเ ชื้อเชญิ ในเวลาใกลร ุง ในท่ีสดุ แหง คาถาอทุ านวา เห็นโทษในโลกดังน้ี ทีพ่ ระองคใหสาธกุ ารกลา วไว ดวยการกลา วพระสตู ร ๑๖ สูตรในอฏั ฐกวรรค๑แลว เจริญวปิ ส สนาบรรลพุ ระอรหตั ดวยเหตนุ นั้ ทานจึงกลาวไวใ นอปทาน๒วา ครง้ั นน้ั พระพิชิตมารผสู มควรรบั เคร่อื งบูชา พระ- นามวา ปทมุ ตุ ตระ ไดเ สดจ็ เขา รูปยงั พระนคร พรอมทั้ง ภิกษสุ งฆผ ูมีอินทรียอนั สํารวมแลว แสนรปู ขณะน้นั ได มีเสียงสนัน่ กอ งไพเราะ รับเสด็จพระพุทธเจา ผสู งบระงับ ผคู งที่ ซ่ึงกาํ ลงั เสดจ็ เขา พระนคร โดยทางรถดว ยพทุ ธา- นุภาพ พณิ ที่ไมถกู ทําเพลง ไมล กู เคาะ ก็บรรเลงขน้ึ ได เอง ในเม่อื พระพทุ ธเจาเสดจ็ เขา สูบ ุรี เรานมัสการพระ พุทธเจาผูประเสริฐสดุ พระนามวา ปทุมตุ ตระ ผูเปน พระมหามุนี และเหน็ ปาฏิหารยิ แ ลว ไดย งั จิตใหเลื่อมใส ในปาฏิหารยิ นนั้ โอ พระพทุ ธเจา โอ พระธรรม โอ๑. ข. สุ. ๒๕/อฏั ฐกวรรคที่ ๔ มี ๑๖ สตู ร ตัง้ แตข อ ๔๐๘ ถึงขอ ๔๒๓.๒. ข.ุ อ. ๓๓/ขอ ๒๓.

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนา ท่ี 133 สมบัตแิ หง พระศาสดาของเรา ดนตรถี งึ ไมมีเจตนากย็ ัง บรรเลงไดเ องเทียว ในกปั ท่ีแสนกัปแตภ ทั รกัปน้ี เราได สญั ญาใดในกาลนั้น ดว ยการไดสญั ญาน้นั เราไมร จู กั ทุคตเิ ลย นเ้ี ปนผลแหงสญั ญาในพระพุทธเจา เราเผา กิเลสท้งั หลายแลว . . . ฯลฯ. . . พระพทุ ธศาสนาเราได ทําเสร็จแลว ดังน้.ี ก็ทานดํารงอยูใ นพระอรหัตแลว ขอพร ๕ ประการ คอื การอปุ สมบทดว ยคณะ มพี ระวินยั ธรเปนที่ ๕ ในชนบทปลายแดน โดยทาํ นองทีพ่ ระอุปช ฌายของทา นไดบอกไว การอยปู ระจํา การลาดแผนหนงั การสวมรองเทา เปน ช้ัน ๆ การไมอ ยูปราศจากจีวร ไดพรเหลา นั้นจากพระศาสดาแลว ไปยังทีต่ นอยูอีก บอกความนั้นแกพระอปุ ช ฌายในเรอื่ งน้มี คี วามสังเขปเพยี งเทา น้.ี สวนความพิสดารพึงทราบโดยนัยที่มาแลว ในอรรถกถา. แตใ นอรรถกถาองั คตุ ตรนกิ าย ทา นกลาวไวว า ทานไดอ ุปสมบทแลว เรียนพระกรรมฐานในสํานกั พระอปุ ช ฌายของตน เจริญวิปสสนาแลวบรรลพุ ระอรหัต. ครน้ั กาลตอ มา ทา นอยดู ว ยสขุ อนั เกิดแตว ิมุตติ พิจารณาขอ ปฏิบตั ิของตน เกดิ โสมนสั ไดก ลา วคาถา ๕ คาถา ดว ยอาํ นาจอุทาน๑วา เราไดอุปสมบทแลว เปน ผูหลดุ พน จากกเิ ลส ไมม ี อาสวะ ไดเห็นพระผมู พี ระภาคเจา และไดอ ยูรวมกับ พระองคใ นวิหารเดียวกนั พระผมู ีพระภาคเจาประทบั อยู ในทีแ่ จง ตลอดราตรเี ปนอันมากทีเดยี ว พระศาสดาผู๑. ขุ. เถร. ๒๖/ขอ ๓๔๕.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนา ที่ 134 ฉลาดในธรรมเปนเครือ่ งอยู ไดเ สดจ็ เขา ไปสูพ ระวิหาร เม่อื นัน้ พระโคดมทรงลาดผา สังฆาฏแิ ลว สําเรจ็ สีหไสยา ทรงละความขลาดกลัวเสียแลว เหมือนราชสหี อ ยใู นถ้าํ ภเู ขา ลําดับนน้ั ทา นโสณะผเู ปน สาวกของพระสมั มา- สัมพทุ ธเจา ผกู ลาววาจาไพเราะ ไดภ าษติ สทั ธรรมในท่ี เฉพาะพระพักตรของพระพทุ ธเจาผปู ระเสรฐิ ทานโสณะ กําหนดรเู บญจขนั ธแ ลว อบรมอัฏฐงั คกิ มรรคอันประเสริฐ พึงไดบรรลคุ วามสงบอยางยง่ิ จักเปน ผไู มม อี าสวะ ปรนิ พิ พาน ดังนี.้ บรรดาบทเหลา นัน้ บทวา อุปสมปฺ ทา ต เม ลทฺธา ความวาอปุ สมั ปทานนั้ ใด ท่ตี นประชมุ ภิกษุสงฆท สวรรคไดโ ดยยาก กแ็ ลอุปสัม-ปทาใดทพี่ ระผูมพี ระภาคเจาทรงอนญุ าตดวยคณะ มพี ระวินัยธรเปนที่ ๕ในชนบทปลายแดนทงั้ หมด ดว ยอํานาจการประทานพร, กลา วหมายเอาอุปสัมปทาทัง้ สองน้ัน. จ ศพั ท เปน สมจุ จยัตถะ. ดว ย จ ศัพทนน้ั ทา นสงเคราะหเอาพรทไี่ ดจากสํานักพระศาสดา แมนอกน.ี้ บทวา วิมุตโฺ ต จมฺหิ อนาสโว ความวา และเราเปน ผูหลดุ พน แลวดวยการหลดุ พน จากวัตถคุ ือกเิ ลสท้ังส้ิน ดว ยอรหตั มรรค. ประกอบความวา เราเปนผูไ มม อี าสวะดวยกามาสวะเปน ตน นนั้ น่ันแล. บทวา โส จ เม ภควา ทิฏโ ความวา เราจากรัฐอวนั ตไี ปยังกรงุ สาวัตถี เพื่อประโยชนแ ดพ ระผมู พี ระภาคเจา ใด ก็พระผมู ีพระภาคเจาพระองคน้ัน ทเี่ ราไมเ คยเห็น เราไดเ หน็ แลว.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนา ที่ 135 บทวา วิหาเร จ สหาวสึ ความวา เราไดเ ห็นพระผูมีพระภาคเจานั้นอยางเดียวเทา นัน้ กห็ าไม โดยทแ่ี ทเ ราไดอ ยรู วมกับพระศาสดาผกู าํ หนดเหตุการณ ประทบั อยใู นพระคนั ธกุฎีของพระศาสดาในวิหาร. อาจารยบางพวกกลา ววา บทวา วหิ าเร แปลวา ในทใี่ กลวิหาร. บทวา พหุเทว รตตฺ  ความวา พระผมู พี ระภาคเจา ประทับยับย้งัในโอกาสกลางแจง ตลอดราตรีเปนอันมากทีเดียว ดวยการแสดงธรรมแกภ กิ ษุทง้ั หลาย และดวยการชําระพระกรรมฐานใหห มดจดตลอดปฐมยามและดวยอํานาจตัดความสงสยั ของเทวดาและพรหมตลอดมัชฌิมยาม. บทวา วิหารกุสโล ไดแก เปนผูฉลาดในทิพยวหิ าร พรหมวิหารอาเนญชวหิ ารและอรยิ วหิ าร. บทวา วหิ าร ปาวิสิ ความวา เขาไปสพู ระคนั ธกุฎี เพอ่ื บรรเทาความกระวนกระวายที่เกิดข้นึ เพราะการนงั่ และการจงกรมเกินเวลา. บทวา สนฺถรติ ฺวาน สงฆฺ าฏึ เสยยฺ  กปฺเปติ ความวา ปลู าดสงั ฆาฏิ๔ ชั้น แลว ทรงสําเร็จสีหไสยา. ดวยเหตุน้นั จึงกลา ววา พระโคดมเปนประดจุ สีหะในถ้ําศิลา เปน ผลู ะความขลาดกลัวเสยี ได. พระเถระระบุพระผูมพี ระภาคเจา ดว ยพระโคตรวา โคตมะ ในพระคาถานั้น. บทวา สโี ห เสลคหุ าย ว ไดแ ก ในถ้ําแหง ภเู ขาอันลว นแลว แตห ิน สหี มิคราชละความขลาดกลัวเสียได เพราะเปน สตั วมเี ดชสงูสาํ เร็จการนอนเหล่อื มเทาโดยขางขวา ฉันใด พระผมู พี ระภาคเจาผูโคดมก็ฉันน้ัน เปน ผลู ะความขลาดกลวั เพราะตัดกิเลสอันเปนเหตใุ หหวาดเสยี วขนพอง สยอง สะดงุ แหง จติ ทรงสาํ เร็จสหี ไสยา.

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนา ที่ 136 บทวา ตโต แปลวา ในภายหลงั , อธิบายวา สาํ เรจ็ สีหไสยาแลวลุกขึ้นจากทน่ี ้ัน ถกู พระศาสดาเชิญวา ภกิ ษุ พระธรรมจงแจมแจง กะเธอเพื่อจะกลา ว. บทวา กลยฺ าณวากกฺ รโณ แปลวา ผกู ลา ววาจาอันไพเราะ อธิบายวา ลําดบั แหง ถอยคาํ เพยี บพรอ มดวยความงาม. บทวา โสโณ อภาสิ สทฺธมมฺ  ความวา ทา นโสณกฏุ กิ ัณณะไดก ลา วพระสูตรในอฏั ฐกวรรค ๑๖ สตู ร โดยประจกั ษ เฉพาะพระพทุ ธ-เจาผูประเสริฐ คอื พระสัมมาสัมพทุ ธเจา เพราะเหตนุ ้นั พระเถระจึงกลา วสอนตนนนั่ แหละเหมือนผูอื่น. บทวา ปจฺ กฺขนเฺ ธ ปริ ฺาย ความวา กาํ หนดรอู ุปาทานขันธ ๕ดวยปริญญาท้ัง ๓ แลว เม่อื กาํ หนดรูอุปาทานขนั ธ ๕ นัน่ แหละ ทาํหนทางคือ อรยิ มรรคมีองค ๘ ใหเกิดแลว บรรลุความสงบอยา งยิ่ง คือพระนิพพานดาํ รงอยู เปนผูไมม ีอาสวะ จากนั้นนัน่ แหละ จกั ปรนิ ิพพานณ บดั น้ี คือจักปรนิ พิ พานดว ยอาํ นาจอนปุ าทเิ สสนพิ พาน ฉะนแ้ี ล. จบอรรถกถาโสณกุฏิกัณณเถรคาถาที่ ๑๑

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนา ที่ 137 ๑๒. โกสยิ เถรคาถา วาดว ยคาถาของพระโกสิยเถระ [๓๔๖] ผูใ ดเปนธรี ชน เปนผรู ถู อ ยคําของครูทง้ั หลาย อยูใ น โอวาทของครนู น้ั และยงั ความเคารพใหเกดิ ในโอวาท ของครนู ้ัน ผูนนั้ ชอื่ วาเปน ผมู ภี ักดี และช่อื วาเปน บัณฑติ และพงึ เปน ผวู ิเศษ เพราะรธู รรมทั้งหลาย อนั ตราย อันรายแรงเกดิ ข้ึนแลว ไมค รอบงําบุคคลใดผูพจิ ารณาอยู บคุ คลนน้ั ยอมชือ่ วามกี ําลัง ช่อื วาเปน บณั ฑิต และพึงเปน ผูว เิ ศษเพราะรูธรรมทั้งหลาย ผูใดแลตั้งมั่นไมห ว่ันไหว เหมอื นมหาสมุทร มีปญ ญาลกึ ซึง้ เหน็ เหตผุ ลอนั ละเอียด ชอ่ื วาเปนผูไมงอนแงน ไมค ลอนแคลน ช่อื วาเปน บัณฑติ และพึงเปน ผูวิเศษเพราะรธู รรมทั้งหลาย ผใู ดเปนพหสู ูต ทรงธรรมและประพฤติธรรมสมควรแกธรรม ผูนนั้ ช่ือวา ผูคงท่ี เปนบณั ฑติ และพึงเปนผูวิเศษเพราะรูธรรม ทัง้ หลาย ผใู ดรเู น้ือความแหงสุภาษติ ครนั้ รูแลวทําตาม ทรี่ ู ผนู ้นั ชอื่ วา เปนบณั ฑติ อยใู นอาํ นาจเหตผุ ล และ พงึ เปนผูวิเศษเพราะรูธรรมทั้งหลาย. จบโกสิยเถรคาถา พระเถระ ๑๒ รูป กลาวคาถารูปละ ๕ คาถา รวมเปน ๖๐ คาถาคือ

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนาท่ี 138 ๑. พระราชทัตตเถระ ๒. พระสุภูตเถระ ๓. พระคริ มิ านันทเถระ๔. พระสุมนเถระ ๕. พระวัฑฒเถระ ๖. พระนทกี สั สปเถระ ๗. พระ-คยากัสสปเถระ ๘. พระวักกลเิ ถระ ๙. พระวิชิตเถระ ๑๐. พระยสทตั ต-เถระ ๑๑. พระโสณกฏุ กิ ัณณเถระ ๑๒. พระโกสิยเถระ. จบปญ จกนบิ าต อรรถกถาโกสยิ เถรคาถาท่ี ๑๒ คาถาของทานพระโกสิยเถระ มคี าํ เริ่มตนวา โย เว ครูน ดงั นี.้เรือ่ งน้นั มีเหตเุ กดิ ข้ึนอยางไร ? พระเถระแมนี้ ไดกระทําบุญญาธิการไวใ นพระพุทธเจาในปางกอ นสง่ั สมกุศลอนั เปนอปุ นิสยั แหง พระนพิ พานไวในภพนน้ั ๆ ในกาลแหงพระผมู ีพระภาคเจา พระนามวาวิปสสี บงั เกิดในเรือนมีตระกูล ถงึ ความเปน ผรู ูเดยี งสา วันหน่ึงเหน็ พระศาสดา มีจิตเลื่อมใส ไดถวายทอ นออย. ดว ยบุญกรรมนัน้ ทานทอ งเที่ยวไปในเทวโลกและมนษุ ยโลก ในพทุ ธุปบาทกาลนี้ บังเกดิ ในตระกลู พราหมณ เขาตั้งช่อื ทานดว ยอาํ นาจโคตรวา โกสิยะ. ทานถึงความเปน ผูรูเดยี งสาแลว เขา ไปหาทา นพระธรรม-เสนาบดเี นืองนติ ย ฟง ธรรมในสาํ นกั ของทา น. ทา นไดศรทั ธาในพระ-ศาสนาเพราะไดฟ งธรรมนัน้ ประกอบเนอื ง ๆ ซึ่งพระกรรมฐาน ไมนานนกั กบ็ รรลพุ ระอรหตั . ดว ยเหตนุ ้ัน ทานจึงกลา วไวในอปทาน๑วา๑. ข.ุ อ. ๓๓/ขอ ๒๕.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนาที่ 139 เราเปน คนเฝาประตู อยใู นพระนครพนั ธมุ ดี ไดเ ห็น พระพุทธเจาผูปราศจากธุลี ทรงรูจบธรรมทงั้ ปวง เรามี จิตเลือ่ มใสโสมนัส ไดถอื เอาทอนออ ยมาถวายแดพ ระ- พทุ ธเจา ผปู ระเสริฐสดุ พระนามวา วิปสสี ผแู สวงหา คุณอันยงิ่ ใหญ ในกัปท่ี ๙๑ แตกปั นี้ เราไดถวายออยใด ในกาลนน้ั ดวยการถวายออ ยนนั้ เราไมร จู ักทคุ ตเิ ลย นเ้ี ปน ผลแหงการถวายทอ นออย เราเผากเิ ลสท้งั หลาย แลว . . . ฯลฯ . . . พระพุทธศาสนาเราไดทาํ เสรจ็ แลว ดังน.ี้ ก็แลคร้นั บรรลุพระอรหตั แลว พจิ ารณาขอ ปฏบิ ตั ิของตน เมอื่ จะสรรเสรญิ การอยูรวมกับครู และเขา ไปอาศัยสัปบรุ ุษจึงกลาว ๕ คาถาเหลานีว้ า ผใู ดเปน ธรี ชน เปน ผูรถู อยคําของครทู ั้งหลาย อยูใน โอวาทของครูนน้ั และยงั ความเคารพใหเกิดในโอวาท ของครนู ้นั ผูน ัน้ ชอื่ วาเปนผมู ภี ักดี และชือ่ วา เปนบัณฑิต และพงึ เปนผูวเิ ศษ เพราะรูธรรมทัง้ หลาย อนั ตรายราย แรงเกิดแลว ไมครอบงาํ บคุ คลใดผูพิจารณาอยู บคุ คล น้ันยอ มชื่อวามีกาํ ลงั ชอื่ วา เปนบัณฑิต และพงึ เปน ผู วเิ ศษเพราะรธู รรมท้ังหลาย ผใู ดและตง้ั มน่ั ไมห วัน่ ไหว เหมอื นมหาสมทุ ร มีปญญาลกึ ซงึ้ เหน็ เหตผุ ลอนั ละเอยี ด ช่ือวาเปน ผูไมงอ นแงน ไมคลอนแคลน ชื่อวาเปน บณั ฑิต

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนาท่ี 140 และพงึ เปน ผวู เิ ศษเพราะรูธรรมทั้งหลาย ผใู ดรเู นอ้ื ความ แหง สภุ าษิต ครัน้ รูแลวทําตามทร่ี ู ผูน ั้นชื่อวา เปน บณั ฑิต อยใู นอํานาจเหตุผล และพงึ เปน ผวู เิ ศษ เพราะรูธรรม ทัง้ หลาย. บรรดาบทเหลานนั้ บทวา โย ไดแ ก ผูใ ดผูหน่งึ ในบรรดาบรษิ ทั ๔ มขี ัตตยิ บรษิ ัทเปนตน. บทวา เว แปลวา เปนผูป รากฏ.บทวา ครูน ไดเเก บณั ฑติ ผปู ระกอบดว ยคณุ มีศลี เปน ตน . บทวา วจนฺ ู ไดแก ผรู ถู อ ยคํา คืออนุสาสนีของบณั ฑติ เหลา น้นัอธบิ ายวา เมอื่ ปฏิบัตติ ามคําพรํา่ สอน กแ็ ลคร้ันปฏิบตั ิแลวรผู ลแหงการปฏิบัตนิ นั้ . บทวา วเส จ ตมฺหิ ชนเยถ เปม ความวา พงึ อยใู นคํา คือในโอวาทของครทู ง้ั หลาย คอื พงึ ปฏบิ ตั ิตามคาํ พรํ่าสอน ครัน้ ปฏบิ ัตแิ ลวพึงใหเ กิดความรัก ความเคารพในคําพราํ่ สอนเหลา นน้ั วา เราจกั เปน ผูลว งพน ทุกขม ชี าติทุกขเปนตนน้ี ดว ยโอวาทนห้ี นอ. กค็ ําทงั้ สองนีเ้ ปนการกระทาํ ความที่กลาวแลวนัน่ แล ดวยบทท้งั สองวา ธรี ชนเปนผูรูถอ ยคาํ ของครทู ั้งหลาย ดงั น้ี ใหปรากฏ. บทวา โส ความวา ผใู ดเปน ธรี ชน รถู อยคาํ ของครูทงั้ หลาย ผูนน้ัชือ่ วาเปนผูมคี วามภักดใี นครเู หลานน้ั ดวยการปฏิบัตติ ามท่ีพร่าํ สอน และชอ่ื วา บณั ฑิตเพราะไมลวงเลยขอ พราํ่ สอนน้ัน แมเพราะเหตุแหงชีวิต. บทวา ตฺวา จ ธมเฺ มสุ วิเสสิ อสฺส ความวา กเ็ มอื่ ปฏบิ ตั อิ ยางนน้ั ถึงเปนผูวเิ ศษวา เปนผูมวี ชิ ชา ๓ มอี ภญิ ญา ๖ บรรลุปฏสิ มั ภทิ า

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนาที่ 141ดว ยสามารถแหงวิชชา ๓ ในธรรมท้ังทเ่ี ปน โลกิยะและโลกุตระ เพราะเหตุแหง การรอู รยิ สัจ ๔ ดว ยขอ ปฏบิ ัตินนั้ นนั่ แล. บทวา ย ความวา อันตรายทป่ี รากฏมีความเยน็ ความรอน ความหวิ และความกระหายเปนตน และอนั ตรายทีป่ กปดมรี าคะเปนตน อันไดโวหารวา อนั ตราย เพราะทาํ อนั ตรายตอ การปฏิบัติ อุบัตคิ ือเกิดข้ึนมากมาย คอื มีกําลัง ยอ มไมขม ขบ่ี คุ คล คือไมทาํ ใคร ๆ ใหหว่นั ไหว. ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะไมครอบงาํ ผพู จิ ารณา อธบิ ายวา ผูพจิ ารณาอยู คอื ผตู ั้งอยูใ นกาํ ลงั แหง การพิจารณา. บทวา โสความวา ผใู ดแมถกู อนั ตรายรา ยแรงยงิ่ นักครอบงาํ ผนู ้นั กเ็ ปน ผชู ือ่ วามีกําลัง มปี ญญา มีความบากบ่นั มัน่ คง และชื่อวาเปน บัณฑิต เพราะพรงั่พรอ มดว ยกาํ ลังคือปญ ญา อันขมฝา ยกิเลสไมม ีสว นเหลอื . คําวา กผ็ ูเปนเชนนัน้ แล พงึ เปนผูวเิ ศษเพราะรธู รรมทงั้ หลายนั้น มอี รรถดังกลาวแลวนนั่ แล. บทวา สมทุ โฺ ทว โิ ต ความวา มคี วามตงั้ อยเู ปนสภาวะ เหมือนสมทุ รฉะน้นั . เหมือนอยา งวา มหาสมุทรใกลเ ชิงเขาสเิ นรซุ ง่ึ ลกึ ๘๔,๐๐๐โยชน ตงั้ อยไู มห ว่ันไหว ไมเอนเอียงไปดว ยลมตามปกติ ซง่ึ ตั้งขน้ึ จากทิศทัง้ ๘ และลกึ ซง้ึ ฉันใด ธรี ชนกฉ็ นั นน้ั ตั้งอยไู มห ว่ันไหว ไมเ อนเอยี งดว ยลมคอื กิเลส และดวยลมคือวาทะของพวกเดียรถยี . ธีรชนชอื่ วาเปนผมู ีปญ ญาอนั ลึกซ้ึง และผูเห็นประโยชน เพราะรูแจงอรรถแหง ปฏจิ จ-สมปุ บาทเปนตน อนั ลกึ ซ้งึ หยง่ั ลงไมได ดว ยญาณสมภารท่ไี มเ คยส่งั สมมาละเอยี ดสุขุม, บคุ คลนนั้ ช่ือวา เปนบัณฑติ ไมงอนแงน เปน ผคู งที่ ช่ือวาเปน ผไู มง อ นแงน เพราะไมง อนแงนดว ยกเิ ลส หรอื ดวยเทวบตุ รมาร

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนาท่ี 142เปนตน อยา งใดอยา งหน่งึ ชอื่ วา เปน บัณฑิตเพราะอรรถที่กลาวแลว คาํ ที่เหลือมีนยั ดงั กลาวแลว น่ันแล. บทวา พหสุ สฺ ุโต ความวา ช่อื วาเปน พหูสูต ดว ยอาํ นาจความเปนพหสู ตู ในทางปริยตั ิ ชอ่ื วา พหุสสตุ ะ เพราะไดสดับสุตตะและเคยยะเปน ตน มาก และช่ือวาทรงไวซ่งึ ธรรม เพราะทรงธรรมนน้ั นั่นแหละไวไมใหพ ินาศไป เหมอื นนา้ํ มนั เหลวแหงราชสหี  ทเี่ ขาใสไวใ นภาชนะทองคําฉะนน้ั . บทวา ธมฺมสฺส โหติ อนุธมฺมจารี ความวา ชอ่ื วาประพฤติธรรมสมควรแกธรรม เพราะรอู รรถรูธรรม ตามทฟ่ี งมา ตามทเี่ รียนมาแลวประพฤติ คือปฏบิ ตั ธิ รรมอนั สมควรแกโ ลกตุ รธรรม ๙ ธรรมตางดวยปาริสุทธิศีล ธุดงคและอสุภกรรมฐานเปนตน กลาวคอื ปุพพภาค-ปฏิปทา คือประพฤตหิ วังการแทงตลอดวา วนั นี้ วันน้ีแหละ ดงั น้.ี บทวา โส ตาทโิ ส นาม จ โหติ ปณฺฑโิ ต ความวา บุคคลใดเปนพหูสตู ทรงธรรมและประพฤตธิ รรมสมควรแกธรรม เพราะอาศัยครใู ด บคุ คลผูนน้ั แลเปน ผเู ชนนนั้ คือเปน เสมือนกับครนู น้ั ชอื่ วา เปนบัณฑติ เพราะมภี าวะแหง การปฏบิ ตั ิเหมือนกัน. กข็ อทีบ่ คุ คลผเู ปนเชนน้ัน พึงเปน ผูวเิ ศษเพราะรูธรรมทัง้ หลุดนน้ัมีเนือ้ ความกลา วไวแ ลว แล. บทวา อตฺถจฺ โย ชานาติ ภาสิตสฺส ความวา บคุ คลใด ยอมรอู รรถแหง พระปริยตั ธิ รรมทพ่ี ระสัมมาสมั พุทธเจาตรสั แลว กเ็ มื่อรู ยอมรอู รรถตามที่กลา วแลวในธรรมน้นั ๆ วา ศีล ตรสั ไวในทนี่ ี้ สมาธิ ตรัส

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนา ที่ 143ไวใ นท่ีนี้ ปญ ญา ตรสั ไวท่นี ้ี ดงั นี้ แลวการทาํ โดยประการน้นั คอื ยอมปฏิบัติตามที่พระศาสดาทรงพรํ่าสอน. บทวา อตฺถนฺตโร นาม ส โหติ ปณฑฺ โิ ต ความวา บุคคลนน้ัคอื เหน็ ปานนนั้ เปน ผูอยูภ ายในแหง เหตผุ ล กระทาํ เหตุเพยี งการรูเหตผุ ลศลี เปน ตน เทานัน้ เพราะเหตแุ หงผล ยอ มชอ่ื วาเปน บณั ฑิต คาํ ท่เี หลือมนี ยั ดงั กลา วแลว นัน่ แล. ก็ในคาถาเหลา นี้ ดว ยคาถาตน ทา นกลาวถงึ ความเปน ผวู เิ ศษอันมีศรทั ธาเปนอปุ นสิ ัย โดยนยั มีอาทวิ า โย เว ครูน ดงั น.้ี ดว ยคาถาท่ี ๒ทา นกลาวถึงความเปนผูวิเศษอันมีวริ ยิ ะเปนอปุ นสิ ยั โดยนัยมอี าทิวา ยอาปทา ดังนี.้ ดวยคาถาท่ี ๓ ทา นกลา วถึงความเปนผวู เิ ศษอนั มีสมาธิเปนอปุ นสิ ยั โดยนยั มีอาทิวา โย เว สมุทฺโทว ิโต ดังนี้. ดวยคาถาท่ี ๔ ทานกลา วถึงความเปนผวู ิเศษอันมสี ตเิ ปน อุปนสิ ยั โดยนัยมีอาทวิ าพหสุ ฺสุโต ดงั น.้ี ดวยคาถาท่ี ๕ พงึ ทราบวา ทา นกลาวถงึ ความเปนผูวิเศษอันมีปญ ญาเปน อุปนสิ ยั โดยนยั มอี าทิวา อตฺถจฺ โย ชานาติดงั น.้ี จบอรรถกถาโกสยิ เถรคาถาท่ี ๑๒ จบปรมัตถทปี นี อรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถา ปญ จกนบิ าต

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนาที่ 144 เถรคาถา ฉกั กนบิ าต ๑. อรุ ุเวลกัสสปเถรคาถา วาดว ยคาถาของพระอุรเุ วลกัสสปเถระ[๓๔๗] เรายังไมเ หน็ ปาฏหิ ารยิ ข องพระโคดมผเู รอื งยศ เพียงใด เรากย็ ังเปน คนลวงโลกดว ยความรษิ ยาและมานะ ไมนอบนอมเพียงน้ัน พระผูมีพระภาคเจา ผเู ปน สารถีฝก นรชน ทรงทราบความดาํ ริของเรา ทรงตกั เตอื นเรา ลาํ ดับนน้ั ความสลดใจไดเ กิดแกเรา เกดิ ความอัศจรรย ใจ ขนลกุ ชูชัน ความสําเร็จอนั เล็กนอ ยของเราผูเ ปนชฎลิ เคยมอี ยใู นกอ น เราไดส ละความสาํ เรจ็ อนั นั้นแลว บวช ในศาสนาของพระชนิ เจา เมื่อกอ น เรายนิ ดกี ารบชู ายญั หอมลอ มดวยกามารมณ ภายหลัง เราถอนราคะ โทสะ และโมหะไดแ ลว เรารูขันธปญ จกอันอาศยั อยใู นกาลกอน ชําระทพิ ยจกั ษหุ มดจด เปน ผมู ีฤทธ์ิ รจู ติ ของผูอ่ืน และ บรรลุทพิ โสต อน่งึ เราออกบวชเปนบรรพชติ เพ่อื ประ- โยชนใ ด ประโยชนนั้นเราไดบ รรลุแลว ความสนิ้ ไป แหง สงั โยชนท งั้ ปวงเราไดบรรลแุ ลว. จบอุรุเวลกัสสปเถรคาถา

พระสุตตันตปฎก ขุททกนกิ าย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนาที่ 145 อรรถกถาฉักกนิบาต อรรถกถาอรุ เุ วลกัสสปเถรคาถาท่ี ๑ ในฉักกนบิ าต คาถาของทา นพระอุรุเวลกัสสปเถระ มคี าํ เริม่ ตนวา ทสิ ฺวาน ปาฏิหรี านิ ดงั น.ี้ เรอ่ื งนนั้ มีเหตเุ กดิ ขึ้นอยา งไร. แมพ ระเถระน้กี เ็ ปนผมู ีบุญญาธกิ าร อันไดกระทําไวในพระพทุ ธเจาในปางกอ นท้งั หลาย กอ สรา งกศุ ลอันเปน อุปนิสัยแกพระนพิ พานในภพน้ัน ๆ ในกาลแหงพระผมู พี ระภาคเจา พระนามวาปทมุ ุตตระ ไดบังเกิดในเรอื นของตระกลู ถึงความเจริญวยั ฟงธรรมในสาํ นักของพระ-ศาสดา ไดเ หน็ พระศาสดาทรงตง้ั ภกิ ษรุ ูปหนง่ึ ไวในตําแหนง ผเู ลิศแหงบรษิ ทั ใหญ แมต นเองก็ปรารถนาฐานนั ดรน้นั จงึ ไดถ วายมหาทานแลวกระทําความปรารถนาไว. ฝา ยพระผมู พี ระภาคเจาไดทรงเหน็ วา ความปรารถนาของเขาไมมีอนั ตราย จึงทรงพยากรณวา ในอนาคตกาล เขาจักเปน เลิศแหงบรษิ ทั หมใู หญในศาสนาของพระโคดมพทุ ธเจา . เขากระทาํ บญุ ในชาตินั้นจนตลอดอายุ จตุ ิจากชาตนิ นั้ แลว ทองเทยี่ วไปในเทวดาและมนุษยท ั้งหลาย ในที่สดุ ๙๒ กปั แตภ ัทรกปั น้ี บงั เกิดเปนนอ งชายตางมารดากนั กบั พระผูมีพระภาคเจา พระนามวา ปสุ สะ เขามีนอ งชายแมอื่นอกี ๒ คน พนี่ องแมท ง้ั ๓ คนนั้น บชู าพระสงฆม ีพระพทุ ธ-เจาเปน ประธานดว ยการบชู าอยางยิง่ การทาํ กุศลตลอดชัว่ อายุ ทองเทีย่ วไปในเทวดาและมนุษย กอ นทพ่ี ระผมู พี ระภาคเจาของเราทง้ั หลายจะอบุ ัติ(เขา) เกดิ เปน พ่นี อ งชายกันโดยลําดบั ในตระกูลพราหมณในกรงุ สาวตั ถีแมท ัง้ ๓ คนก็มนี ามวากสั สปทัง้ นั้นเนอื่ งดว ยโคตร.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนา ที่ 146 พี่นอ งทงั้ ๓ นน้ั เตบิ โตแลว กเ็ ลา เรยี นไตรเพท. บรรดาพนี่ องชายทง้ั ๓ น้ัน พีช่ ายคนโตมมี าณพเปน บริวาร ๕๐๐ คนกลาง ๓๐๐ คนเลก็ ๒๐๐. พนี่ องท้งั ๓ นน้ั ตรวจดสู าระในคัมภีรข องตน เห็นแตประโยชนปจจุบนั เทาน้ัน จึงชอบการบวช. บรรดาพีน่ องทงั้ ๓ นนั้พี่ชายคนโตพรอมกบั บรวิ ารของตน ไปยงั ตําบลอุรุเวลาบวชเปน ฤๅษี จึงมีชอ่ื วา อรุ ุเวลากัสสป นองชายที่บวชอยู ณ โคง แมน้าํ มหาคงคา จึงมีช่อื วา นทีกัสสป นองชายผูท บ่ี วชอยู ณ คยาสสี ประเทศ จงึ มชี ่ือวาคยากสั สป. เมื่อพนี่ องทั้ง ๓ น้นั บวชเปน ฤาษี อยใู นที่นน้ั ๆ อยา งนแ้ี ลว เม่ือวนั เวลาลว งไปเปนอนั มาก พระโพธิสตั วของเราท้งั หลายเสดจ็ ออกมหา-ภเิ นษกรมณ ทรงรูแจง แทงตลอดพระสัพพัญุตญาณ ทรงประกาศพระ-ธรรมจกั รไปโดยลําดับ ทรงใหพระเบญจวคั คียเถระดํารงอยใู นพระอรหัตทรงแนะนาํ สหาย ๕๕ คนมียสะเปนประธาน แลว ทรงสง พระอรหนั ต ๖๐องค ไปดว ยพระดาํ รัสมวี า ภิกษทุ ั้งหลาย พวกเธอจงเทยี่ วจารกิ ไป ดังนี้เปน ตน แลว ทรงแนะนําภัตทวัคคียกมุ าร แลวเสด็จไปยังที่อยขู องอรุ เุ วล-กสั สป เสด็จเขาไปยงั โรงบชู าไฟเพือ่ จะประทับอยู ทรงแนะนําอรุ ุเวล-กัสสปพรอ มทงั้ บริษทั ดวยปาฏิหาริย ๓,๕๐๐ ประการ มกี ารทรมานพระยานาคทอี่ ยูใ นที่นัน้ เปนตน แลว ทรงใหบ รรพชา. ฝายนอ งชายท้ังสองรวู าอรุ เุ วลกสั สปนนั้ บวชแลวพรอ มท้ังบรวิ าร พากันมาบวชในสาํ นักของพระศาสดา. ทงั้ หมดนั่นแหละไดเ ปนเอหิภกิ ขุ ทรงบาตรและจวี รอันสาํ เรจ็ ดวยฤทธิ.์ พระศาสดาทรงพาสมณะ ๑,๐๐๐ รปู น้นั ไปยงั คยาสสี ประเทศ แลว

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนาท่ี 147ประทับนั่งบนหินดาด ใหสมณะทัง้ หมดดาํ รงอยูในพระอรหัต ดวยอาทิตต-ปริยายสูตรเทศนา. ดว ยเหตุนน้ั ทา นจึงกลาวไวในอปทาน๑วา ในกัปทแ่ี สนแตกปั นี้ พระพชิ ติ มารนามวา ปทุมตุ ตระ ผูรแู จง โลกทง้ั ปวง เปนนักปราชญม ีจักษุ ไดเ สดจ็ อบุ ัติ ขนึ้ แลว พระองคเ ปน ผตู รสั สอน ทรงแสดงใหส ตั ว รชู ดั ไดยงั สรรพสัตวใหข า มพน วฏั สงสาร ฉลาดใน เทศนา เปนผูเบกิ บาน ทรงชวยประชุมชนใหข า มพน ไป เปนอนั มาก พระองคเ ปน ผอู นเุ คราะห ประกอบดว ย พระกรณุ าแสวงหาประโยชนใหส รรพสัตว ยังเดียรถยี ท ่ี มาเฝา ใหด าํ รงอยใู นเบญจศลี ไดทกุ คน เมือ่ เปน เชนนี้ พระศาสนาจึงไมมีความอากลู วา งสูญจากเดยี รถีย วจิ ิตร ดวยพระอรหนั ตผูคงท่ี มคี วามชาํ นิชาํ นาญ พระมหามุนี พระองคน ั้น สูงประมาณ ๕๘ ศอก มพี ระฉวีวรรณงามดจุ ทองคาํ อันล้าํ คา มีพระลกั ษณะอนั ประเสริฐ ๓๒ ประการ ครั้งน้ัน อายุของสัตวแ สนป พระชินสีหพ ระองคนั้น เมอื่ ดํารงพระชนมอยูโดยกาลประมาณเทา นั้น ไดท รงยงั ประชุมชนเปนอันมากใหข า มพนวฏั สงสารเปนอันมาก ครัง้ นน้ั เราเปน พราหมณช าวเมืองหังสวดี อนั ชนสมมติวา เปนคนประเสรฐิ ไดเ ขาไปเฝา พระพุทธเจา ผูสองโลก แลว สดับพระธรรมเทศนา ครงั้ นั้นเราไดฟง พระผมู -ี พระภาคเจาทรงตั้งสาวกของพระองคใ นตําแหนง เอต- ทัคคะในทป่ี ระชุมใหญ กช็ อบใจ จึงนมิ นตพระมหาชินเจา๑. ขุ. อ. ๓๓/ขอ ๑๒๘.

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนาที่ 148 กับบรวิ ารเปนอันมากแลว ไดถวายทานพรอมกันกับพราหมณอีก ๑,๐๐๐ คน ครั้นแลวเราไดถวายบงั คมพระ-ผมู ีพระภาคเจา ผูนายก แลวยืนอยู ณ ที่ควรสวนขางหน่งึเปนผรู า เริง ไดกราบทูลวา ขา แตพ ระมหาวีรเจา ดว ยความเชอ่ื ในพระองคแ ละดวยอธกิ ารคุณ ขอใหข าพระ-องคผูเ กดิ ในภพน้นั ๆ มีบริษัทมากเถิด ครัง้ น้ันพระศาสดาผมู พี ระสุรเสียงเหมอื นคชสารคํารน มีพระสาํ เนยี งเหมอื นนกการเวก ไดตรัสกะบรษิ ทั วา จงดูพราหมณผ นู ี้ผมู วี รรณะเหมือนทองคํา แขนใหญ ปากและตาเหมอื นดอกบัว มกี ายและใจสงู เพราะปติ ราเรงิ มคี วามเชอ่ื ในคณุ ของเรา เขาปรารถนาตําแหนง แหง ภิกษผุ มู เี สียงกองดุจเสยี งราชสีหในอนาคตกาล เขาจกั ไดตาํ แหนง นี้สมความปรารถนา ในกัปนับแตน ข้ี น้ึ ไป ๑ แสน พระศาสดามีพระนามวา โคดมซงึ่ สมภพในวงศของพระเจาโอกกากราชจักเสด็จอบุ ัตขิ นึ้ ในโลก พราหมณน ้จี กั เปนธรรมทายาทของพระศาสดาพระองคน้นั เปนโอรสอันธรรมเนรมิตจกัเปน สาวกของพระศาสดา มีนามวากสั สป พระอคั รนายกของโลกพระนามวา ผสุ สะ ผเู ปน พระศาสดาอยา งยอด-เยยี่ ม หาผเู ปรยี บมไิ ด ไมม ใี ครจะเสมอเหมือน ไดเ สดจ็อุบัติขึ้นแลว ในกปั ท่ี ๙๒ แตภทั รกัปน้ี พระศาสดาพระนามวา ผุสสะ พระองคน้นั แล ทรงกาํ จัดความมดืท้งั ปวง ทรงสางรกชัฏใหญ ทรงยงั ฝนคืออมตธรรมให

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนา ท่ี 149 ตกลง ใหมนษุ ยและทวยเทพอม่ิ หนํา คร้งั น้นั เราสามคนพนี่ อ งเปนราชอํามาตยในพระนครพาราณสี ลวนแตเปน ทไี่ วว างพระทยั ของพระมหากษตั ริย รูปรางองอาจแกลว กลา สมบูรณด ว ยกําลังไมแ พใ ครเลยในสงครามคร้ังนน้ั พระเจา แผนดนิ ผูมเี มืองชายแดนกอ การกาํ เริบไดต รสั ส่งั เราวา ทา นท้งั หลายจงไปชนบทชายแดน พวกทา นจงยงั กาํ ลังของแผน ดนิ ใหเ รียบรอย ทาํ แวนแควนของเราใหเ กษม แลวกลบั มา ลําดบั นน้ั เราไดกราบทลูวา ถา พระองคจ ะพงึ พระราชทานพระนายกเจา เพ่อื ใหขา พระองคอ ปุ ฏฐากไซร ขา พระองคท ้งั หลายกจ็ ักทํากจิของพระองคใ หสําเรจ็ ลาํ ดับนั้น เราผรู บั พระราชทานพรสมเด็จพระภูมิบาลสง ไปทําชนบทชายแดนใหวางอาวธุแลวกลับมายังพระนครน้นั เราทลู ขอการอปุ ฏ ฐากพระ-ศาสดาแดพระราชา ไดพระศาสดาผูเปนนายกของโลกผปู ระเสริฐกวามุนี แลวไดบชู าพระองคตราบเทาสนิ้ ชวี ติเราทัง้ หลายเปน ผมู ศี ลี ประกอบดวยกรณุ า มใี จประกอบดว ยภาวนา ไดถวายผามีคา มาก รสอันประณตี เสนาสนะอนั นา ร่นื รมย และเภสชั ที่เปน ประโยชนท ตี่ นใหเกิดขึน้โดยชอบธรรม แกพระมุนีพรอ มทัง้ พระสงฆ อุปฏฐากพระองคดว ยจิตเมตตาตลอดกาล ครั้นพระศาสดาผูเ ลศิพระองคนน้ั นิพพานแลว ไดทาํ การบชู าตามกาํ ลัง เราทกุ คนจตุ ิจากอตั ภาพน้นั แลว ไปสสู วรรคชนั้ ดาวดงึ ส

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เลม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หนา ท่ี 150 เสวยมหนั ตสุขในดาวดงึ สน้ัน น้ีเปน ผลแหง พุทธบูชาเม่อื เราทอ งเทีย่ วอยูในภพ เปน เหมือนนายชา งดอกไมไดดอกไมแลวแสดงชนดิ แหงดอกไมแปลก ๆ มากมายฉะนน้ั ไดเ กิดเปนพระเจาวเิ ทหราช เพราะถอยคําของคณุ ะอเจลก เราจึงมีอธั ยาศยั อันมจิ ฉาทฏิ ฐกิ ําจดั แลว จึงขึน้ สูทางนรก ไมเอือ้ เฟอ โอวาทของธิดาเราผชู ื่อวารจุ าเมือ่ ถูกนารทพรหมสัง่ สอนเสยี มากมาย จงึ ละความเห็นท่ชี ว่ั ชา เสียได บาํ เพญ็ กุศลธรรมบถ ๑๐ ใหบ ริบูรณโ ดยพเิ ศษ ละทง้ิ รางกายแลว ไดไ ปสวรรค เหมือนไปที่อยูของตวั เองฉะน้นั เมื่อถงึ ภพสุดทาย เราเปนบตุ รของพราหมณ เกิดในสกลุ ท่สี มบูรณ ในกรุงพาราณสี เรากลัวตอ ความตาย ความปว ยไขแ ละความแกช รา จึงเขาปาใหญแสวงหาหนทางนิพพาน ไดบ วชในสํานักของชฎลิคร้งั น้ัน นองชายท้งั สองของเราก็ไดบ วชพรอมกับเรา เราไดส รา งอาศรม อาศยั อยทู ตี่ ําบลอรุ เุ วลา เรานี้นามตามโคตรวา กสั สป แตเ พราะอาศัยอยทู ี่ตาํ บลอุรุเวลา เราจงึมนี ามบญั ญตั ิวา อุรุเวลกสั สป เพราะนองชายของเราอาศยั อยทู ่ชี ายแมนาํ้ เขาจงึ ไดน ามวา นทกี สั สป และเพราะนองชายของเราอกี คนหนึ่ง อาศยั อยทู ต่ี าํ บลคยาเขาจึงถกู ประกาศนามวา คยากัสสป นอ งชายคนเลก็ มีศิษย ๒๐๐ คน นองชายคนกลางมี ๓๐๐ คน เรามี ๕๐๐ คนถวน ศิษยท กุ คนลวนแตป ระพฤติตามเรา คร้งั น้นั พระ-