Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Mbu005-หนังสือรัฐศาสตร์เบื้องต้น

Mbu005-หนังสือรัฐศาสตร์เบื้องต้น

Description: Mbu005-หนังสือรัฐศาสตร์เบื้องต้น

Search

Read the Text Version

บทท่ี ๖ รปู แบบการปกครอง (Forms of Government) ความหมายของการปกครอง การปกครองตามความหมายของพจนานุกรมไทย ฉบบั ราชบัณฑติ สถาน ได้ให้ความหมายวา่ “การปกครองคอื การคุ้มครอง, ควบคมุ , ดแู ล, รกั ษา” การปกครอง (Government) หรือรัฐบาลน้ี มีผู้ใหค้ ำ� นิยามไวห้ ลายทศั นะ ดังนี้ ประสาร ทองภกั ดี ไดใ้ หค้ วามหมายว่า๗๒ ค�ำวา่ “รัฐบาล” นี้ ย่อมมคี วามหมายเป็น ๒ นัย คือ ๑. รฐั บาลในความหมายอยา่ งแคบ รัฐบาลตามความหมายนี้ได้แก่ บุคคลหรือคณะบุคคลผู้ได้รับมอบหมายให้ใช้เฉพาะอ�ำนาจ บริหารเท่าน้ัน ไม่รวมถึงผู้ใช้อ�ำนาจนติ ิบญั ญตั ิและอ�ำนาจตลุ าการด้วย กล่าวโดยเฉพาะเจาะจงกไ็ ดแ้ ก่ คณะรัฐมนตรีนั่นเอง เช่น เม่ือพูดว่า รัฐบาลคณะพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็หมายถึงพลเอกเปรม ตณิ สลู านนท์ นายกรัฐมนตรเี ป็นหวั หน้ารัฐบาล โดยมรี ฐั มนตรตี ่าง ๆ ประกอบกันขนึ้ เปน็ คณะรฐั บาล (Cabinet) ซึง่ ตอ้ งรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั ในนโยบายท่วั ไปของรฐั บาล ๒. รฐั บาลในความหมายอยา่ งกวา้ ง หมายถงึ บุคคลทไ่ี ด้รบั มอบให้เปน็ ผ้ใู ชอ้ �ำนาจอธปิ ไตยท้ังสามรวมเขา้ ด้วยกนั รฐั บาลในความ หมายอยา่ งกวา้ งน้ีถา้ เป็นระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ กไ็ ดแ้ ก่ กษตั รยิ ์ แตถ่ ้าเป็นประชาธปิ ไตย ก็ได้ แก่คณะบคุ คลทงั้ สามฝ่าย (คือ ฝ่ายนิติบญั ญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ) รวมเขา้ ด้วยกนั ดังเชน่ คำ� ว่า “รัฐบาลไทย” ในธนบัตรทกุ ฉบับ ค�ำวา่ รัฐบาลในท่นี ัน้ เปน็ รฐั บาลในความหมายอยา่ งกวา้ ง จรญู สุภาพ ได้ให้ความหมายว่า๗๓ รัฐบาล (Government) หมายถึง “องค์การของรัฐผู้ใช้อ�ำนาจบริหาร ตัวรัฐบาล มีทั้งความ ๗๒ ประสาร ทองภกั ดี พ.ท. เรอื่ งเดมิ หนา้ ๓๕ ๗๓ จรญู สภุ าพ พ.ศ. เรอื่ งเดมิ หนา้ ๑๒๑

150 รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งตน้ หมายแคบและกวา้ ง ความหมายแคบทส่ี ดุ คอื คณะรฐั มนตรี (Cabinet) ประกอบดว้ ยรฐั มนตรกี ระทรวง ทสี่ ำ� คัญ ๆ (แบบอังกฤษ) หรอื คณะรฐั บาล (ministry) ประกอบดว้ ยรฐั มนตรีทุกกระทรวง ความหมาย กวา้ งไดแ้ ก่คณะรัฐบาลและข้าราชการของรฐั ทกุ ๆ คน ทท่ี �ำหน้าทท่ี ้งั ทางบรหิ ารและการปกครอง” สุขมุ นวลสกุล และวศิ ิษฐ์ ทวีเศรษฐ ไดใ้ หค้ วามหมายวา่ ๗๔ “การปกครองมคี วามหมายเกย่ี วกบั การบรหิ ารวางระเบยี บกฎเกณฑส์ ำ� หรบั สงั คม เพอื่ ใหส้ งั คม มีความสงบสุข” ตามความหมายดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า การปกครองอาจหมายถึงองค์การของรัฐ ผู้ใช้ อำ� นาจบรหิ ารประเทศทเี่ รยี กวา่ “รฐั บาล” อยา่ งหนง่ึ และหมายถงึ การทำ� หนา้ ทขี่ องรฐั บาลโดยการใช้ อำ� นาจอธิปไตยในการค้มุ ครอง ควบคมุ ดูแล รักษาประเทศในรปู แบบของการปกครองและบรหิ ารให้ เกดิ ความสงบเรยี บรอ้ ยและเจรญิ กา้ วหนา้ ฉะนน้ั เมอื่ พดู ถงึ รปู แบบของการปกครอง กห็ มายถงึ รปู แบบ ของรัฐบาลน่ันเอง วิวัฒนาการของรปู แบบรฐั และการปกครอง รฐั มีววิ ัฒนาการรูปแบบและการปกครองโดยล�ำดบั ตอ่ เนื่องกนั มา ซึ่งจำ� แนกได้ ๓ อย่าง คอื ๑. นครรัฐ (City – State) ๒. รฐั ศกั ดนิ า (Feudal - State) ๓. รฐั ชาติ (Nation – State) นครรฐั ลักษณะส�ำคัญของนครรัฐ คือเป็นเมืองขนาดเล็ก มีประชากรประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน เช่น นครรฐั ของกรีก มรี ัฐบาลปกครองตนเอง ประชาชนมีสทิ ธเิ สรภี าพส่วนบคุ คล เชือ่ ถือกันวา่ นครรฐั ของ กรีกเป็นรากฐานของอารยธรรม ซึ่งส่งผลให้เกิดวิวัฒนาการของระบบการปกครองโดยผู้แทนและการ ปกครองท้องถิน่ การปกครองภายในของนครรัฐ มกี ารแบ่งคนออกเปน็ ๓ ช้นั คือ ทาส ชนชัน้ สงู กวา่ ทาส ไดแ้ ก่ ชาวต่างประเทศ ไม่มีฐานะเท่าเทียมกับพลเมืองของนครรัฐ และชนชั้นสูงสุดคือพลเมืองของนครรัฐ สิ่งทีเ่ ป็นมรดกตกทอดมาจากนครรฐั ของกรีก คือ “ประชาธปิ ไตย” ๗๔ สขุ มุ นวลสกลุ รศ. และวศิ ษิ ฐ์ ทวเี ศรษฐ รศ. เรอ่ื งเดมิ หนา้ ๑

รูปแบบการปกครอง (Forms of Government) 151 รฐั ศกั ดินา รูปแบบการปกครองระบบศักดินาเก่ียวข้องกับคน ๒ กลุ่ม คือ ข้าหรือคนรับใช้กับนายหรือ ขนุ นาง ลกั ษณะสำ� คญั ของการปกครองระบบน้ี คอื พระมหากษตั รยิ ย์ อมรบั อำ� นาจของขนุ นางในฐานะ ท่ีเป็นเจ้าที่ดิน ซึ่งมีอยู่เหมือนกับที่ข้าเคยเป็นเจ้าของท่ีดินมาก่อน การปกครองระบบนี้เป็นเร่ืองของ ความผกู พนั หรอื คำ� มนั่ สญั ญาระหวา่ งผทู้ เ่ี ปน็ เจา้ ทดี่ นิ และผใู้ ชท้ ด่ี นิ กลา่ วคอื ขนุ นางสญั ญาวา่ จะปกปอ้ ง คมุ้ ครองชวี ติ ทรพั ยส์ นิ และทด่ี นิ ของขา้ ผใู้ ชท้ ด่ี นิ และขา้ มหี นา้ ทเี่ คารพเชอ่ื ฟงั ขนุ นางเปน็ การตอบแทน ลกั ษณะของการปกครองระบบศกั ดินา มีรปู เป็น ปริ ะมดิ คอื ส่วนยอดคือกษัตรยิ ์ ส่วนกลางคือขุนนาง และสว่ นล่างคอื ข้า รัฐชาติ รัฐชาติเกิดจากการร่วมมือกันระหว่างพ่อค้ากับพระมหากษัตริย์ การปกครองระบบรัฐชาติ มวี ิวัฒนาการดังนี้ ๑. ระบบกษัตริย์ การปกครองเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กษัตริย์เป็นตัวแทนของรัฐ กฎหมายเป็นไปตามความประสงค์ของกษัตรยิ ์ อำ� นาจอธิปไตยอยทู่ ่กี ษตั รยิ ์ ๒. ระบบประชาธิปไตย มลี กั ษณะต่างกนั ในแตล่ ะประเทศ ในองั กฤษค่อย ๆ พัฒนามาอย่าง สงบ ส่วนในฝร่ังเศส ได้มาด้วยการปฏิวัติ หลักพ้ืนฐานของประชาธิปไตย คือยอมรับความส�ำคัญและ ศกั ดศิ์ รขี องปจั เจกชน คอื มคี วามเสมอภาพ เสรภี าพ และความเปน็ พน่ี อ้ งกนั ววิ ฒั นาการประชาธปิ ไตย ท�ำใหม้ กี ารปกครองท้องถ่ินของตนเอง ๓. ระบบเผด็จการ ระบบนี้เชื่อว่า คนนั้นมีท้ังโง่และฉลาด คนเก่งและฉลาดเท่าน้ันควรได้ ปกครองประเทศ เพราะเขามีคุณสมบัติเหมาะสม เช่น มีสติปัญญาสูง มีความสามารถพิเศษในการ ท�ำงาน และมีคุณสมบัติในการใช้ก�ำลัง โดยสรุปก็คือ การปกครองแบบเผด็จการ คือการท่ีรัฐเป็นผู้ใช้ อ�ำนาจเด็ดขาด เป็นการปกครองท่ีรัฐเข้าควบคุมกิจการทุกประเภทของรัฐ โดยพรรคการเมืองพรรค เดียวของประเทศ เชน่ ระบบคอมมวิ นสิ ต์ เปน็ ตน้ รูปแบบการปกครอง๗๕ ในการพิจารณารูปแบบการปกครองหรือรูปแบบของรัฐบาลของประเทศใดว่าเป็นอย่างไร จะตอ้ งดทู ี่องคก์ รหรอื สว่ นทเี่ ป็นเจ้าของหรอื ผ้กู �ำหนดอำ� นาจอธปิ ไตย เพลโต (Plato) และอริสโตเติล ๗๕ สขุ มุ นวลสกลุ รศ. วศิ ษิ ฐ์ ทวเี ศรษฐ รศ. “การเมอื งและการปกครองของไทย” (กรงุ เทพฯ โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามคำ� แหง : ๒๕๓๙) หนา้ ๒-๔

152 รัฐศาสตรเ์ บ้อื งตน้ (Aristotle) ปรมาจารยท์ างทฤษฎกี ารเมืองชาวกรีกไดเ้ คยวางหลกั การพิจารณาไว้เป็นแบบฉบับคล้าย ตารางตอ่ ไปนี้ จ�ำนวนผู้เปน็ เจา้ ของ จดุ มงุ่ หมายในการปกครอง อำ� นาจอธปิ ไตย เพอ่ื ประชาชน เพ่อื ผปู้ กครอง คนเดียว ราชาธปิ ไตย ทชุ นาธปิ ไตย คณะบุคคล Monarchy Tyranny ประชาชนท้ังหมด อภชิ นาธิปไตย คณาธปิ ไตย Aristocracy Oligarchy ประชาธิปไตย ฝูงชน Democracy Mob – rule หลกั การของทงั้ ๒ ปราชญเ์ พง่ เลง็ จำ� นวนผเู้ ปน็ เจา้ ของอำ� นาจอธปิ ไตย และจดุ มงุ่ หมายในการ ใช้อ�ำนาจการปกครอง ๑. การปกครองโดยคน ๆ เดียว หมายความว่าอ�ำนาจอธิปไตยอยู่กับบุคคลเพียงคนเดียว บคุ คลคนเดยี วน้อี ยู่ในฐานะเปน็ อธปิ ตั ยส์ ามารถวางกำ� หนดกฎเกณฑต์ ่าง ๆ ไดต้ ามลำ� พัง อำ� นาจสงู สดุ ในการปกครองเปน็ ของคน ๆ เดียว แมว้ ่าบคุ คลน้นั อาจจะมอบหมายใหอ้ งค์กรอ่ืนทำ� หนา้ ท่แี ทนกต็ าม แต่สิทธิ์ขาดและอ�ำนาจสูงสุดเป็นของบุคคลน้ันอยู่ รูปแบบการปกครองที่อ�ำนาจอธิปไตยอยู่ที่คน ๆ เดียวน้ี ได้แก่ราชาธิปไตยและทุชนาธิปไตย (ทรราช) โดยท่ีหากจุดมุ่งหมายเป็นไปเพ่ือความสมบูรณ์ พนู สขุ ของราษฎรกเ็ รยี กวา่ ราชาธปิ ไตย ถา้ หากจดุ มงุ่ หมายเปน็ ไปในทางบำ� รงุ สขุ เฉพาะผปู้ กครองหรอื พรรคพวกก็เป็นทรราชย์หรือทุชนาธิปไตย อย่างไรก็ตามส�ำหรับค�ำว่าราชาธิปไตยมักจะถูกคุ้นเคย และนึกถึงการเป็นกษัตริย์ตามระบบสมมติเทวสิทธิ์ (Divine Right) ซ่ึงเรียกเต็มแบบว่า สมบรู ณาญาสทิ ธิราช (Absolute Monarchy) ดังน้นั จงึ มกี ารใช้ค�ำว่า “เผดจ็ การ (Dictationship)” มาใช้แทนค�ำว่าราชาธิปไตยโดยหมายถึงระบบการปกครองของคน ๆ เดียวท่ีมีอ�ำนาจเหนือบุคคล ทัง้ หลายโดยเด็ดขาด เช่นเดียวกบั สมบูรณาญาสิทธิราชแตบ่ คุ คลนไ้ี ม่ได้รับการนบั ถือ หรืออ้างตนว่ามี เชอื้ สายทผ่ี ดิ แผกไปจากสามญั ชนคนธรรมดา โดยปกตริ ะบบเผดจ็ การมกั จะมจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ประชาชน ในระยะแรก เนอื่ งจากการทผ่ี เู้ ผดจ็ การจะฉกฉวยอำ� นาจจากผปู้ กครองเดมิ ไดน้ นั้ จำ� เปน็ ตอ้ งไดร้ บั ความ สนับสนุนจากประชาชน แต่ต่อมาภายหลังมักจะแปรเปล่ียนเป็นทุชนาธิปไตยหรือทรราชย์ เม่ือผู้ ปกครองเคยชินกับอ�ำนาจและพบว่าอ�ำนาจสามารถบันดาลความสุขและผลประโยชน์ให้กับตนเองได้ อยา่ งมหาศาล สมกบั คำ� ท่ีลอร์ดแอคต้ัน (Lord Acton) เมธีชาวองั กฤษเคยกล่าวไวค้ อื “ที่ใดมีอ�ำนาจ ทน่ี น่ั มคี วามฉอ้ ฉล ทใ่ี ดมอี ำ� นาจเหลอื ลน้ กลฉอ้ ฉลชว่ั เสยี ยอ่ มมมี ากสดุ ประมาณ” ดงั นนั้ ผปู้ กครองแบบ

รปู แบบการปกครอง (Forms of Government) 153 เผดจ็ การทปี่ ระชาชนไมส่ ามารถควบคมุ ถอดถอนได้ จงึ มกั จะเปน็ ทรราชเกอื บทงั้ นนั้ แมใ้ นตอนแรกจะ มที า่ ทจี ะเปน็ ผทู้ ่ีปกครองเพื่อประโยชนข์ องประชาชน ๒. การปกครองโดยคณะบุคคล ถ้าอ�ำนาจอธิปไตยตกอยู่ในมือของคนกลุ่มน้อยหรือคณะ บุคคล หมายความวา่ บุคคลคณะหนง่ึ เป็นผ้ทู ี่สามารถวางก�ำหนดกฎเกณฑ์หรอื บรหิ ารประเทศได้ตาม ท่ีกลุ่มของตนปรารถนา ในบางคร้ังบุคคลคณะนั้นอาจจะไม่เป็นผู้บริหารเอง อาจมอบหมายให้บุคคล อนื่ ทำ� หนา้ ที่ แตถ่ า้ บคุ คลคณะนนั้ ยงั มอี ำ� นาจและอทิ ธพิ ลสามารถควบคมุ หรอื บงการทศิ ทางการบรหิ ารได้ กต็ อ้ งถอื วา่ อำ� นาจอธปิ ไตยอยใู่ นกลมุ่ บคุ คลคณะนน้ั รปู การปกครองกจ็ ะเปน็ แบบใดแบบหนง่ึ ระหวา่ ง อภชิ นาธปิ ไตยกบั คณาธปิ ไตย ทงั้ นขี้ น้ึ อยกู่ บั จดุ มงุ่ หมายอกี เชน่ กนั หากคณะบคุ คลนน้ั มงุ่ ทจ่ี ะใชอ้ ำ� นาจ ปกครองไปในทางบำ� บดั ทกุ ขบ์ ำ� รงุ สขุ ใหก้ บั ราษฎร กเ็ รยี กระบบการปกครองหรอื รปู แบบรฐั บาลนนั้ วา่ อภิชนาธิปไตย ในทางตรงถ้ามงุ่ แต่ประโยชนส์ ุขของพรรคพวกของผู้ทเ่ี ป็นเจา้ ของอำ� นาจอธิปไตยกจ็ ะ กลายเปน็ คณาธปิ ไตย รปู แบบการปกครองทอ่ี ำ� นาจอธปิ ไตยตกอยใู่ นกลมุ่ ใดกลมุ่ หนงึ่ บางครง้ั อาจจะ เรยี กเปน็ ระบบเผดจ็ การดว้ ยกไ็ ด้ ในความหมายวา่ เผดจ็ การโดยคณะบคุ คล อยา่ งไรกต็ ามสำ� หรบั ระบบ อภชิ นาธปิ ไตยและคณาธปิ ไตยนี้ ในตำ� ราบางเลม่ ไดย้ ดึ ถอื หลกั การเรยี กดงั นี้ การปกครองแบบอภชิ นา ธปิ ไตยหมายถงึ การปกครองโดยคณะบคุ คลทมี่ คี ณุ สมบตั พิ เิ ศษหรอื คณุ ภาพเหนอื กวา่ ชนสว่ นใหญ่ เชน่ เปน็ กลุ่มขุนนาง กลุ่มคนมีความรหู้ รอื ปัญญาชน กลมุ่ คนทม่ี ีสายเลอื ดสงู ส่งพวกราชวงศ์ หรือกลุม่ ที่ได้ รบั การยอมรบั นบั ถอื จากประชาชน สว่ นระบบคณาธปิ ไตยนน้ั หมายถงึ การปกครองโดยกลมุ่ คนมง่ั หรอื คนรวย ๓. การปกครองโดยคนทั้งหมดหรือเสียงส่วนใหญ่ รูปแบบการปกครองโดยคนท้ังหมด หรือ ประชาชนเปน็ รากฐานของอำ� นาจ โดยปกตทิ ว่ั ไปรจู้ กั กนั ดใี นนามของประชาธปิ ไตย ซงึ่ มคี วามหมายวา่ ประชาชนเปน็ เจา้ ของอำ� นาจอธปิ ไตย บคุ คลหรอื กลมุ่ บคุ คลใดจะเปน็ ผปู้ กครองจะตอ้ งไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากประชาชน นโยบายในการปกครองประเทศจะต้องสอดคล้องกับความตอ้ งการของประชาชน สว่ นใหญ่ แตก่ ารทจ่ี ะเปน็ ประชาธปิ ไตยทแ่ี ทจ้ รงิ นนั้ จะตอ้ งเปน็ การปกครองโดยอาณตั ขิ องคนสว่ นมาก และเปน็ ประโยชนต์ อ่ คนสว่ นมาก ในประเทศทอ่ี ำ� นาจอธปิ ไตยเปน็ ของประชาชนแตว่ า่ ประชาชนหามี ความสุขไม่ กลับมีแต่ความระส่�ำระสายด้วยเหตุที่มีนักกวนเมืองหรือโวหารบุรุษ (Demagogue) คอยฉวยโอกาสหรือปลุกเร้าให้ฝูงชนกระทำ� การต่าง ๆ โดยขาดสติยับย้ังหรือไม่ได้ใช้วิจารณญาณให้ รอบคอบ และการกระท�ำน้ัน ๆ เกิดประโยชน์แก่โวหารบุรุษและกลุ่มของเขาหรือชนบางกลุ่มเท่านั้น เมอื่ นน้ั แทนทจ่ี ะเปน็ ประชาธปิ ไตยเพราะอำ� นาจอธปิ ไตยเปน็ ของประชาชน รปู การปกครองจะเปลยี่ น เปน็ การปกครองโดยฝงู ชนทันที ซึ่งมีสภาพใกล้เคียงกบั อนาธิปไตย (Anarchy) คือสภาพแหง่ การไมม่ ี รฐั บาลหรือกฎหมาย ทุกคนสามารถท�ำทุกสิ่งทกุ อย่างได้ตามความต้องการ สงั คมมีความระส�่ำระสาย ไม่มีความสงบสุข

154 รฐั ศาสตร์เบอื้ งตน้ รปู แบบการปกครองตามแนวคดิ ของอรสิ โตเติล (Aristotle) อริตโตเติลได้ท�ำการเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญของรัฐต่าง ๆ เป็นจ�ำนวน ๑๕๘ ฉบับจากพระ เจ้าอเลกซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great) ที่น�ำมาให้ อริสโตเติลได้จัดแบ่งรูปแบบการ ปกครองออกเป็น ๖ ประเภท คือ ราชาธิปไตย (Monarchy) ทรราชย์ (Tyranny) อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) คณาธปิ ไตย (Oligarchy) มชั ฌมิ วถิ อี ธปิ ไตย (Policy) และประชาธปิ ไตย (Democracy) โดยใช้หลักเกณฑ์คือ จ�ำนวนผู้ปกครอง และกฎหมายทางจริยธรรม (Normative) ของผู้ปกครองว่า เป็นไปเพ่อื ประโยชน์ของชุมชนเปน็ หลักหรือเพ่อื ประโยชน์แก่ตัวผู้ปกครองเอง ลักษณะการปกครอง รปู แบบทด่ี ี รปู แบบที่ไมด่ ี จ�ำนวนผูป้ กครอง (Legitimate) (Perverted) ปกครองโดยคนคนเดยี ว ราชาธิปไตย ทรราชย์ (one man) (monarchy) (tyranny) อภิชนาธปิ ไตย คณาธปิ ไตย ปกครองโดยคนกล่มุ นอ้ ย (aristocracy) (oligarchy) (a minority) มชั ฌมิ วถิ ธี ปิ ไตย ประชาธปิ ไตย (democracy) ปกครองโดยคนกลมุ่ ใหญ่ (polity) (a majority) รายละเอยี ดเกย่ี วกบั รปู แบบการปกครองตามท่อี ริสโตเตลิ จัดแบง่ ราชาธิปไตย (Monarchy) เป็นรูปแบบในอุดมคติ (ideal) ของอริสโตเติลท่ีเช่ือว่าเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีท่ีสุดและ เหมาะสมที่สดุ แต่ไม่สามารถเกดิ ข้นึ ไดใ้ นโลกแหง่ ความจรงิ ซ่ึงความเช่ือน้แี ตกตา่ งไปจากเพลโตผเู้ ป็น อาจารยท์ เี่ ชอ่ื วา่ การปกครองรปู แบบราชาธปิ ไตยสามารถเกดิ ไดด้ ว้ ยการสรา้ งผปู้ กครองใหเ้ ปน็ ปราชญ์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การปกครองด้วยราชาปราชญ์ (Philosopher king) ซึ่งเป็นผู้ท่ีมีทั้งความรู้และ คณุ ธรรม อนั ถอื วา่ เปน็ การปกครองทสี่ มบรู ณท์ สี่ ดุ (Perfect rule ) แตอ่ รสิ โตเตลิ กลบั เหน็ แตกตา่ งไปวา่ แม้จะพัฒนาบุคคลใดบุคคลหน่ึงขึ้นเป็นปราชญ์ได้ส�ำเร็จ แต่เขาเชื่อว่าผู้เป็นปราชญ์น้ันจะปฏิเสธการ เปน็ ผปู้ กครอง เพราะการเปน็ ผปู้ กครองเปน็ เรอื่ งยงุ่ ยากและถอื เปน็ ภาระทสี่ งู ซง่ึ ผเู้ ปน็ ปราชญท์ แี่ ทจ้ รงิ ยอ่ มไมป่ รารถนาในสง่ิ นนั้ เมอ่ื เปน็ เชน่ น้ี ผปู้ กครองในรปู แบบราชาธปิ ไตยจงึ มใิ ชป่ ราชญท์ ม่ี ที งั้ สตปิ ญั ญา และคุณธรรมเป็นผู้ปกครอง ท�ำให้กลายเป็นการปกครองโดยผู้ที่ขาดความฉลาดและเอาใจใส่ต่อ ประโยชน์สุขของส่วนรวม จนอาจกลายเป็นการปกครองในรูปแบบทรราชย์ได้

รปู แบบการปกครอง (Forms of Government) 155 ทรราชย์ (Tyranny) เป็นรูปแบบการปกครองโดยคนคนเดียวเหมือนรูปแบบราชาธิปไตยแต่ผู้ปกครองเป็นผู้ขาด คุณธรรม มุ่งแสวงหาผลประโยชน์เพ่ือตนเอง โดยมิได้ให้ความสนใจต่อประโยชน์สุขส่วนรวม การปกครองรปู แบบทรราชย์เปน็ ผลมาจากความเสือ่ มของการปกครองแบบราชาธิปไตย อภิชนาธปิ ไตย (Aristocracy) คือการปกครองโดยคนกลุ่มน้อยที่มีคุณธรรมและความสามารถ โดยมีจุดประสงค์เพ่ือผล ประโยชนข์ องสว่ นรวม แตห่ ากคนกลมุ่ นอ้ ยทเ่ี ปน็ ผปู้ กครองมไิ ดป้ กครองเพอ่ื ประโยชนส์ ขุ ของประชาชน ส่วนใหญก่ ม็ แี นวโนม้ ที่จะเปน็ การปกครองแบบคณาธปิ ไตย คณาธิปไตย (Oligarchy) เป็นการปกครองโดยคนส่วนน้อยที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มตน พรรคพวกตน การทคี่ นกลมุ่ นอ้ ยสามารถเขา้ มามอี ำ� นาจในการปกครองไดอ้ าจเพราะเปน็ การใชก้ ำ� ลงั หรอื อาจใชค้ วาม ร�่ำรวยเปน็ เคร่ืองมอื ในการสรา้ งอำ� นาจการปกครอง ประชาธิปไตย (Democracy) ในท่ีนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า ประชาธิปไตยในความหมายของอริสโตเติลจะแตกต่างไปจาก ประชาธิปไตยในสมัยนี้ การปกครองรูปแบบประชาธิปไตยในสมัยกรีกตามความหมายของอริสโตเติล อาจเรยี กวา่ การปกครองแบบมวลชนเปน็ ใหญ่ (Rule of the masses) เพราะเปน็ การปกครองแบบ ประชาธิปไตยทางตรง ยึดถือมตขิ องคนส่วนใหญ่ท่ขี าดเหตุผล ระเบยี บวินัย และความรู้ จงึ มักตกเปน็ เหยอื่ ของนกั พูดทไี่ มม่ ีหลกั การมุง่ แต่พดู เพื่อเอาใจผ้ฟู ังอนั ส่งผลดตี ่อตนเทา่ นน้ั อีกทง้ั เป็นการปกครอง ที่ใช้อารมณ์และความคิดเห็น (Opinion) ของคนส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์ในการตัดสินก�ำหนดและด�ำเนิน นโยบายมากกวา่ ทจ่ี ะใชค้ วามถกู ตอ้ งและความรู้ (Knowledge) เปน็ มาตรฐานการตดั สนิ ประเดน็ สำ� คญั อกี ประการกค็ อื ประชาชนสว่ นใหญใ่ นสงั คมทมี่ อี ยสู่ มยั นนั้ จะเปน็ ผมู้ สี ถานภาพทางเศรษฐกจิ และสงั คม ท่ตี ำ่� ขาดความรแู้ ละคณุ ธรรมจงึ กลายเป็นทรราชย์ของเสียงข้างมากได้ เพราะการอ้างว่ามนษุ ย์ทุกคน มีความเท่าเทียมกันเห็นสิ่งไม่ถูกต้อง เนื่องจากประชาธิปไตยมีปรัชญาพื้นฐานในเร่ืองความเท่าเทียม ที่ผิดพลาด นั่นคือใช้หลักการพิจารณาจากการที่มนุษย์มีความเท่าเทียมกันในบางเรื่อง แล้วน�ำไปเป็น ขอ้ สรปุ วา่ ทกุ คนมคี วามเทา่ เทยี มกนั ทกุ เรอื่ ง (Because men are equal in something’s, they are equal in all) อริสโตเตลิ จึงไมย่ อมรับในความเช่ือเรอ่ื งความเสมอภาค

156 รัฐศาสตรเ์ บอื้ งต้น มชั ฌิมวิถอี ธปิ ไตย (Policy) เปน็ ระบบการปกครองท่มี รี ปู แบบผสม ยดึ สายกลาง Aristotle ถือว่าเปน็ รูปแบบการปกครองดีทีส่ ดุ เท่าท่ีจะเกิดขึ้นได้ในสงั คม (Best possible) โดยจะมีลกั ษณะทผ่ี ู้ ปกครองหรอื ผมู้ อี ำ� นาจมจี ำ� นวนไมม่ ากซง่ึ ตอ้ งเปน็ กลมุ่ ผมู้ คี วามรู้ (Aristocratic principle of knowledge) อันหมายถึงคนช้ันกลางในสังคม แต่เป็นการขึ้นมามีอ�ำนาจการปกครองโดยความยินยอมของคนส่วน มากในสังคม (Democratic principle of power) จึงเป็นการปกครองรูปแบบพิเศษไปจากรูปแบบ อนื่ ๆ ทก่ี ลา่ วมา นนั่ คอื ผมู้ อี ำ� นาจปกครองจะถกู ปกครองจากการยอมรบั ของคนสว่ นใหญใ่ นสงั คมอกี ที รปู แบบการปกครองตามแนว โรเบริ ต์ แมคไอเวอร์ (Robert M.lver) โรเบิร์ต แมคไอเวอร์ นักรัฐศาสตร์อเมริกาได้แบ่งรูปแบบการปกครองโดยใช้รัฐธรรมนูญเป็น เกณฑอ์ อกเปน็ ๗ ประเภท คือ๗๖ ก. ราชาธปิ ไตย (Monarchy) หรอื ระบบกษตั รยิ ์ ซง่ึ โดยปกตกิ ารสอื่ ตอ่ อำ� นาจจะเปน็ ไปตาม สายโลหิต และด�ำรงต�ำแหน่งตลอดชีวิต เว้นแต่มีการสละราชบัลลังก์ แต่ในอดีตท่ีผ่านมาของบาง ประเทศอาจเป็นการปกครองรูปแบบราชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง (Elective monarchy) เช่น อนิ เดยี โบราณ และอาจมีการกำ� หนดวาระในการเปน็ กษัตรยิ ์ เชน่ ในประเทศมาเลเชยี กำ� หนดวาระใน การเปน็ กษตั ริย์ เชน่ ในประเทศมาเลเชียกำ� หนดวาระในการด�ำรงต�ำแหนง่ กษตั ริย์ไว้คราวละ ๕ ป๗ี ๗ ข. เผดจ็ การ (dictatorship and totalitarianism) ลักษณะของเผดจ็ การคอื การจำ� กัด อ�ำนาจของประชาชน และมีกลุ่มผู้มีอ�ำนาจกลุ่มหน่ึงท�ำหน้าที่ในการปกครอง ซึ่งในแต่ละประเทศท่ี ปกครองรูปแบบเผด็จการจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดของความเข้มงวดและรูปแบบของ กระบวนการใชอ้ ำ� นาจของผปู้ กครอง เชน่ การปกครองเผดจ็ การแบบขวาจดั (Extreme right) รปู แบบ ท่ีคุ้นเคยคือการปกครองของฟาสซิสม์ ท่ีให้อ�ำนาจแก่รัฐสูงสุดและต่อต้านหลักการเสรีภาพในบุคคล รวมทงั้ ต่อตา้ นการปกครองระบอบสังคมนิยมคอมมวิ นิสตอ์ กี ดว้ ย แตเ่ ผด็จการแบบซา้ ยจัด (Extreme lift) เช่น รัสเซียภายหลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบกษัตริย์สู่การปกครองระบอบ สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ จึงต่อต้านการปกครองในรูปแบบประชาธิปไตยท่ีให้เสรีภาพแก่ประชาชนโดย เฉพาะเสรีภาพในเศรษฐกจิ ระบบทนุ นิยม ค. เทวาธปิ ไตย (Theocracy) มคี วามเชอ่ื ในเรอ่ื งผนู้ ำ� การปกครองวา่ สบื เชอ้ื สายมาจากสรวง สวรรค์ แต่จะแตกต่างไปจากระบบกษัตริย์หรือราชาธิปไตยตรงที่ การสรรหาผู้ด�ำรงต�ำแหน่งผู้น�ำ ทางการเมืองจะไม่ได้ใช้ระบบการสืบสายโลหิต หรือการเลือกตั้ง แต่เป็นการเสี่ยงทายหรือเลือกสรร ๗๖ Robert M.lver, The Web of Govermment. (New York : Free Press ๑๙๖๖) pp. ๑๑๔ - ๑๑๘ ๗๗ บรรพต วรี ะสยั , สรุ พล ราชภณั ฑารกั ษ์ และสรุ พนั ธ์ ทบั สวุ รรณ์ รฐั ศาสตรท์ วั่ ไป พมิ พค์ รง้ั ที่ ๗ (กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั ประชาชนจำ� กดั ๒๕๒๘) น. ๒๑๓

รปู แบบการปกครอง (Forms of Government) 157 ตามความเชื่อของแตล่ ะประเทศ เช่น การปกครองในประเทศทเิ บต ที่องคด์ าไล ลามะ (Dalai Lama) จะเป็นประมุขทั้งด้านศาสนาและการปกครอง เม่ือองค์ดาไล ลามะดับขันธ์หรือจบชีวิตลง ก็จะมีการ เลือกสรรดาไล ลามะองคใ์ หม่โดยวิธกี รรมทางศาสนาและความเช่ือ เช่น ต้องเป็นผซู้ ง่ึ ปฏิสนธิในเวลาที่ ใกลเ้ คยกบั เวลาดบั ขนั ธข์ องดาไล ลามะองคเ์ ดมิ เพอื่ ใหไ้ ดบ้ คุ คลทเี่ หมาะสมตามเชอื่ วา่ เปน็ วญิ ญาณของ องค์ดาไล ลามะองคเ์ ดิมมาเกิดใหม่ ง. พหุประมุข (Plural headship) คือการปกครองท่ีมีผู้นำ� มากกว่าหนึ่งคนท่ีมีฐานะหรือ อำ� นาจทดั เทยี มกนั สว่ นมากแลว้ การปกครองรปู แบบนจ้ี ะเกดิ ขน้ึ ในสงั คมของเผา่ ชน โดยมผี นู้ ำ� คนหนง่ึ ท�ำหน้าท่ีเป็นผู้น�ำทางศาสนาและพิธีกรรม ส่วนผู้น�ำอีกคนหน่ึงจะรับผิดชอบในกิจการการปกครอง ทัว่ ไป เช่น ในสมัยยุโรปตอนกลางทมี่ สี ันตะปาปาทำ� หนา้ ที่เปน็ ผนู้ �ำทางศาสนาและพธิ กี รรมและอาจมี อำ� นาจในทางการปกครองในบางเรอ่ื งอกี ดว้ ย และมกี ษตั รยิ ท์ ำ� หนา้ ทใี่ นเรอ่ื งของการเมอื งการปกครอง ของอาณาจกั ร จ. ประชาธปิ ไตยทางตรง (Direct democracy) เปน็ รปู แบบการปกครองทเี่ คยมมี าในอดตี โดยเฉพาะในสมัยกรีกโบราณ ท่ีนครรัฐเอเธนส์ เป็นการเลือกต้ังคณะผู้ปกครองประเทศโดยตรงผลัด เปลย่ี นหมนุ เวยี นทำ� หนา้ ทบ่ี รหิ ารสว่ นกลาง การกำ� หนดกฎหมายหรอื ขอมตใิ ด ๆ กจ็ ะตอ้ งเขา้ ทปี่ ระชมุ ทปี่ ระกอบดว้ ยพลเมอื งของนครรฐั ทกุ คนเพอื่ ขอมตใิ นทปี่ ระชมุ ซง่ึ การปกครองในรปู แบบนไี้ มส่ ามารถ เกดิ ขนึ้ ไดใ้ นสมยั ปจั จบุ นั เพราะประชากรของแตล่ ะประเทศมมี ากขนึ้ จนไมส่ ามารถทจี่ ะทำ� การประชมุ เพือ่ ขอมติจากพลเมืองทัง้ หมดได้ ฉ. ราชาธิปไตยท่ีมีอ�ำนาจจ�ำกัด (Limited monarchy) เป็นลักษณะของการปกครองท่ี กษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายสูงสุดของประเทศหรือรัฐธรรมนูญ (Constitutional monarchy) เพราะ ฉะนั้น กษัตรยิ จ์ งึ ทำ� หนา้ ทเ่ี ป็นประมุขของรฐั (Chief of state) แตไ่ ม่ได้เป็นประมขุ ของรัฐบาล (Head of government) เพราะจะมีคณะบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งภายใต้การก�ำกับของผู้น�ำคอยท�ำหน้าท่ีในการ บรหิ ารปกครองประเทศโดยยดึ หลกั กษตั รยิ ท์ รงปกเกลา้ แตม่ ไิ ดป้ กครอง (Reigns but dose not rule) ช. สาธารณรัฐ (Republic) อาจเป็นของลัทธิคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตยก็ได้ แต่จะมี ลกั ษณะแบ่งการปกครองออกเป็นมลรฐั เลก็ ๆ ภายใตก้ ารปกครองของรฐั บาลกลาง ในแตล่ ะมลรัฐจะ สงวนอำ� นาจอธปิ ไตยในการมรี ฐั บาลทอ้ งถนิ่ เพอื่ ทำ� การบรหิ ารปกครองพลเมอื งในมลรฐั แตท่ ง้ั นจี้ ะตอ้ ง ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของรัฐบาลกลาง หรืออาจกล่าวได้ว่า การปกครองรูปแบบสาธารณรัฐเป็นการ ปกครองทม่ี รี ฐั บาลซอ้ น (Dual government) ระหวา่ งรฐั บาลมลรฐั หรอื รฐั บาลทอ้ งถน่ิ กบั รฐั บาลกลาง

158 รัฐศาสตรเ์ บอื้ งตน้ รปู แบบการปกครองพจิ ารณาในแง่การก�ำหนดบคุ คลเปน็ ผ้ปู กครอง ผู้ปกครองหรือหัวหน้ารัฐบาล (Head of government) เป็นผู้ที่มีอ�ำนาจในการบริหาร คือ อ�ำนาจในการปกครองอย่างแท้จริง หากพิจารณาจากวิธีการเลือกประมุขของรัฐอันหมายถึงหัวหน้า รัฐบาล (According to the manner of selecting the formal chief of state)๗๘ ทำ� ใหส้ ามารถ แบง่ รปู แบบการปกครองไดส้ องรูปแบบคอื ก. ราชาธิปไตย (Monarchy) วิธีการก�ำหนดบุคคลข้ึนเป็นผู้ปกครองมักเป็นไปในรูปแบบ การสบื สนั ตตวิ งศ์ หรอื สายโลหติ เปน็ รปู แบบการปกครองทก่ี ษตั รยิ จ์ ะเปน็ ทง้ั ประมขุ ของรฐั และหวั หนา้ รฐั บาลดว้ ย อำ� นาจของกษตั รยิ จ์ งึ มลี กั ษณะเบด็ เสรจ็ ทง้ั อำ� นาจบรหิ าร นติ บิ ญั ญตั ิ และตลุ าการ ลกั ษณะ ของการปกครองราชาธิปไตยจึงเป็นไปในรูปแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์(Absolute monarchy) อยา่ งไรกด็ ี การมีกษตั ริยเ์ ปน็ ประมขุ มิไดห้ มายความวา่ เป็นการปกครองรปู แบบประชาธปิ ไตยเสมอไป เพราะในบางประเทศกษัตริย์ท�ำหน้าที่เพียงประมุขของรัฐ ซ่ึงเป็นต�ำแหน่งเชิงพิธีการ (Ceremonial) หรือต�ำแหน่งแห่งสัญลักษณ์ (Symbolic) ที่มิได้มีอ�ำนาจในการบริหารประเทศอันเป็นหัวหน้าหรือ ประมุขของรัฐบาล ประเทศท่ีอาจจัดให้อยู่ในรูปแบบราชาธิปไตยในปัจจุบัน ได้แก่ ประเทศซาอุดิ อาราเบีย ประเทศเยเมน ในตะวนั ออกกลางเปน็ ต้น ข. สาธารณรัฐ (Republic) เป็นการปกครองท่ีประมุขของรัฐบาลหรือหัวหน้ารัฐบาลไม่ได้ มาจากการสืบสันตติวงศ์ แต่จะมาจากการเลือกต้ังเป็นตัวแทนของประชาชน การปกครองรูปแบบ สาธารณรฐั อาจมกี ษตั รยิ เ์ ปน็ ประมขุ ของรฐั แตอ่ ำ� นาจการบรหิ ารปกครองประเทศเปน็ ของประมขุ หรอื หวั นา้ ของรฐั บาล การขน้ึ มาเปน็ หวั หนา้ รฐั บาลภายใตว้ ธิ กี ารเลอื กตงั้ จากประชาชนจงึ เปน็ ลกั ษณะของ การกำ� หนดตวั บคุ คลขนึ้ มาทำ� หนา้ ทบ่ี รหิ ารปกครองของรปู แบบการปกครองแบบสาธารณรฐั ตวั อยา่ ง ประเทศที่ปกครองดว้ ยรปู แบบนี้ เชน่ สหรัฐอเมรกิ า อังกฤษ ญี่ปนุ่ และไทย เปน็ ตน้ รูปแบบการปกครองพิจารณาในแง่การแบง่ อำ� นาจการปกครอง หากพิจารณาถึงการแบ่งอ�ำนาจการปกครองว่ามีอยู่ในระดับใด แค่ไหน และเพียงไร ท�ำให้ สามารถแบง่ รปู แบบการปกครองได้สามลกั ษณะ คือ ก. รวมอ�ำนาจ (Centralization) จะมีการปกครองแบบรัฐเด่ียว หรือเอกรัฐ ท่ีมีรัฐบาล เดยี ว (Unitary government) ที่กฎหมายสงู สดุ ของรฐั ก�ำหนดใหอ้ �ำนาจตา่ ง ๆ เปน็ ของรฐั บาลกลาง แตเ่ พยี งองคก์ รเดยี ว ไมม่ กี ารกำ� หนดใหร้ ฐั บาลทอ้ งถนิ่ หรอื หนว่ ยงานอน่ื ใดของรฐั มอี ำ� นาจอธปิ ไตยมาก พอท่ีจะปกครองตนเองได้ แมจ้ ะมีการมอบหมายอ�ำนาจหนา้ ทีบ่ างอย่างจากรฐั บาลกลางให้แกร่ ฐั บาล ๗๘ Austin Renney, The Governing of Men. (New York : Holt Rinehart amd Winston ๑๙๖๒), pp. ๕๘

รูปแบบการปกครอง (Forms of Government) 159 ท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐท่ีเล็กกว่า ก็จะเป็นในลักษณะการมอบหน้าที่ให้ปฏิบัติตามนโยบายของ รัฐบาลกลาง ซึ่งจะเปล่ียนแปลง ยกเลิก หรือถอดถอนเม่ือไรก็ได้ ตามแต่ความเห็นชอบหรือนโยบาย ของรฐั บาลกลาง ประเทศท่ปี กครองรูปแบบการรวมอำ� นาจ เชน่ องั กฤษ ฟลิ ิปปนิ ส์ สิงคโปร์ และไทย เปน็ ตน้ ข. แบ่งอ�ำนาจ (Decentralization) เป็นการแบ่งอ�ำนาจของรัฐบาลกลาง (National government) ให้แก่รัฐบาลท้องถ่ิน (Local government) ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญอันเป็น กฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยมีการแบ่งแยกอ�ำนาจว่าในเรื่องใดบ้างที่รัฐบาลกลางมีอ�ำนาจสูงสุด และในเร่ืองใดบ้างที่รัฐบาลท้องถิ่นมีอ�ำนาจสูงสุด การปกครองในรูปแบบการแบ่งอ�ำนาจจึงเป็นไปใน ลักษณะรฐั บาลซ้อนทแ่ี บ่งแยกขอบเขตอ�ำนาจ เปน็ สหพนั ธรัฐ หรอื สมาพนั ธรัฐในบางประเทศ ซงึ่ ราย ละเอยี ดไดก้ ลา่ วมาแลว้ ในบทที่ ๒ เรอ่ื งรฐั ตวั อยา่ งประเทศทม่ี กี ารปกครองรปู แบบการแบง่ อำ� นาจ เชน่ สหรัฐอเมริกา สวิตเซอรแ์ ลนด์ แคนาดา และอินเดยี เป็นต้น รปู แบบการปกครองพิจารณาในแงอ่ ุดมการณ์ทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมือง หมายถึง ความคิด ความเชื่อม่ัน และความศรัทธาที่เกี่ยวพันกับ การเมอื งการปกครองหรอื วถิ ชี วี ติ ทางการเมอื ง ซง่ึ อดุ มการณท์ างการเมอื งทแี่ ตกตา่ งทำ� ใหเ้ กดิ ลกั ษณะ การปกครองทแ่ี ตกตา่ งไปจากกนั หากพจิ ารณาอดุ มการณท์ างการเมอื งเปน็ เกณฑใ์ นการจดั แบง่ รปู แบบ การปกครอง สามารถกระท�ำได้สามรปู แบบใหญ่ ๆ คอื ก. ประชาธปิ ไตย (Democracy) เปน็ รปู แบบการปกครองทยี่ อมรบั ในสทิ ธแิ ละเสรภี าพของ ประชาชนอนั เปน็ ลทั ธปิ จั เจกชนนยิ ม (Individualism) ยดึ หลกั อำ� นาจอธปิ ไตยเปน็ ของปวงชนยอมรบั ในเสยี งขา้ งมากโดยเคารพในเสยี งขา้ งนอ้ ย เพราะฉะนนั้ การปกครองรปู แบบประชาธปิ ไตยจงึ ตอ้ งมกี าร เลอื กตัง้ ผูน้ ำ� รฐั บาลไดอ้ ย่างเสรี รปู แบบของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยโดยท่วั ไปมอี ยู่ ๓ วิธีคือ ๑) รัฐสภา ให้ประชาชนเลือกผู้แทนเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในสภานิติบัญญัติ และผู้แทนในสภา นิติบัญญัติเหล่าน้ีจะท�ำการก�ำหนดตัวบุคคลข้ึนเป็นฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล ท�ำให้รัฐบาลจะต้องรับผิด ชอบตอ่ สภานติ บิ ญั ญตั เิ พราะถอื วา่ เปน็ ตวั แทนของประชาชนทงั้ ประเทศ รฐั สภาจงึ ทำ� หนา้ ทใ่ี นการออก กฎหมายและควบคุม ตรวจสอบการทำ� งานของรัฐบาลไปในขณะเดยี วกนั ๒) ประธานาธบิ ดี ประชาชนจะเลอื กผแู้ ทนมาปฏบิ ตั หิ นา้ ทใี่ นสภานติ บิ ญั ญตั ิ และจะตอ้ งเลอื ก ประธานาธิบดีโดยตรงเพ่ือเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร การปกครองในรูปแบบนี้จึงมีลักษณะการแบ่งแยก อ�ำนาจอธิปไตยโดยให้สมาชิกสภานิติบัญญัติทำ� หน้าที่ในการตรากฎหมาย ประธานาธิบดีท�ำหน้าที่ใน ดา้ นการบริหาร และศาลสถิตยุตธิ รรมทำ� หน้าที่ในดา้ นตลุ าการ

160 รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งต้น ๓) กึ่งรัฐสภา–ก่ึงประธานาธิบดี เป็นการผสมผสานระหว่างรูปแบบรัฐสภากับรูปแบบ ประธานาธิบดี คือให้ประชาชนเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติเพื่อท�ำหน้าที่ตรากฎหมายและเลือก ประธานาธิบดีโดยตรงเพ่ือเป็นผู้น�ำฝ่ายบริหารและด�ำรงต�ำแหน่งเป็นประมุขของประเทศอีกด้วย เพราะฉะนน้ั ประธานาธบิ ดีจงึ ไมต่ อ้ งรับผิดชอบต่อสภานติ บิ ญั ญตั ิ ประธานาธิบดที ำ� หนา้ ทีเ่ สนอชื่อผ้ทู ่ี จะไดร้ บั แตง่ ตง้ั เปน็ นายกรฐั มนตรี และเปน็ ผลู้ งนามแตง่ ตง้ั รฐั มนตรี๗๙ และใหส้ ภา นติ บิ ญั ญตั ทิ ำ� หนา้ ท่ี ก�ำหนดตัวบุคคลท�ำหน้าที่เป็นคณะรัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อสภานิติบัญญัติ แต่อ�ำนาจการบริหารใน ส่วนทส่ี �ำคญั เป็นของประธานาธบิ ดี ข. คอมมิวนสิ ต์ (Communism) เปน็ รปู แบบการปกครองที่ยดึ แนวคดิ ของ คาร์ล มารก์ ซ์ (karl Marx) จุดมุ่งหมายแห่งการปกครองคือ การปราศจากการกดข่ีทางชนช้ัน และการจบสิ้นของ ชนช้ันนายทุน ซึ่งจะมีการปกครองในรูปแบบสังคมนิยมโดยเผด็จการชนช้ันกรรมาชีพในระยะเปล่ียน ผา่ นไปสสู่ งั คมคอมมวิ นสิ ตท์ แ่ี ทจ้ รงิ และเมอ่ื รฐั สามารถบรรลถุ งึ สงั คมคอมมวิ นสิ ตไ์ ดอ้ ยา่ งสมบรู ณแ์ ลว้ รฐั บาลก็จะหมดความสำ� คัญและสลายตวั ไปในทส่ี ดุ ส่วนรายละเอียดการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ จะได้กล่าวอกี ครั้งหนง่ึ ในบทต่อไป ค. เผด็จการ (Dictatorship) จะเป็นการปกครองที่เน้นความเด็ดขาดและรุนแรง ยกย่อง และใหค้ วามสำ� คญั กบั อำ� นาจของรฐั ทผี่ ปู้ กครองเปน็ ผใู้ ชเ้ หนอื เสรภี าพของบคุ คล๘๐ มพี นื้ ฐานทไ่ี มย่ อมรบั ความเสมอภาคของมนษุ ย์ เพราะฉะนนั้ บคุ คลหรอื คณะบคุ คลทมี่ คี วามรแู้ ละความเหมาะสมทสี่ ดุ เทา่ นนั้ ที่ควรเป็นผู้ปกครอง และเมื่อมีผู้ปกครองแล้วประชาชนจะต้องให้การยอมรับและเคารพเชื่อฟังผู้ ปกครองในทุกกรณี ประชาชนที่ดีคือประชาชนท่ีเชื่อฟังและยอมปฏิบัติตามค�ำสั่งของรัฐบาล รัฐย่อม อยู่เหนือส่ิงอ่ืนใดและไม่มีบุคคลใดหรือองค์กรใดท่ีจะขัดแย่งต่อเจตนารมณ์ของรัฐได้ ประเทศที่มีการ ปกครองรูปแบบเผด็จการจะไม่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพ แต่จะมุ่งเน้นความเป็นระเบียบ และปราศจากการตอ่ ต้านอ�ำนาจรัฐ การปกครองรูปแบบเผดจ็ การอาจแบ่งยอ่ ยออกได้เปน็ ๑) เผด็จการอ�ำนาจนิยม (Authoritarianism) เป็นการปกครองที่ใช้อ�ำนาจเป็นหลักเกณฑ์ สำ� คญั นนั่ คอื อำ� นาจเปน็ วถิ ที าง (Means) และจดุ หมายปลายทาง (Ends) จงึ มลี กั ษณะของการปกครอง ทรี่ ฐั จะเขา้ ควบคมุ หรอื ผกู ขาดทางการเมอื ง แตย่ งั ยอมใหบ้ คุ คลมเี สรภี าพอยา่ งอนื่ ได้ เชน่ เสรภี าพทาง สังคมและเศรษฐกิจ ระบบเผด็จการอ�ำนาจนิยมอาจใช้วิธีการลงโทษที่รุนแรง แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงใช้ กระบวนการทางกฎหมายหรือกระบวนการยุตธิ รรมกอ่ นท่จี ะมกี ารลงโทษ ๗๙ S.E. Finer ed Finer Constitutions. (New York : Penguin Book, ๑๙๗๙) pp. ๒๘๑ - ๓๐๕ ๘๐ จรญู สภุ าพ ลทั ธกิ ารเมอื งและเศรษฐกจิ เปรยี บเทยี บ พมิ พค์ รงั้ ที่ ๒ (กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ ๒๕๒๘) น. ๑๘

รปู แบบการปกครอง (Forms of Government) 161 ๒.) เผดจ็ การเบด็ เสรจ็ นยิ ม (Totalitarianism) รฐั หรอื ผปู้ กครองทที่ ำ� หนา้ ทแี่ ทนรฐั จะใชอ้ ำ� นาจ เข้าควบคุมประชาชนทุกวถิ ีทาง ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง เศรษฐกิจ สงั คมหรอื แมแ้ ต่วิถีการดำ� รงชีวิต โดยทั่วไป รัฐจึงมีอ�ำนาจที่จะใช้วิธีการต่าง ๆ ในการบังคับประชาชนให้ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐได้ อย่างไม่มีขอบเขต กระบวนการยุติธรรมจึงไม่มีความหมายส�ำหรับรูปแบบการปกครองเผด็จการ เบ็ดเสรจ็ ประชาชนจึงเปน็ เพยี งเครือ่ งมือของรฐั เท่านั้น. รูปแบบการปกครองในปจั จุบัน ปัจจุบนั ได้แบง่ รปู แบบการปกครองออกเป็น ๒ ระบบใหญ่ๆ คอื ๑. รูปแบบการปกครองระบบประชาธิปไตย (Democracy) ๒. รปู แบบการปกครองระบบเผด็จการ (Dictatorship) ๑. ระบบประชาธปิ ไตย๘๑ ในคริสตศ์ ตวรรษที่ ๑๘ ประชาชนโดยเฉพาะปัญญาชนได้เรม่ิ รจู้ กั ใชเ้ หตแุ ละผลจนมกี ารเรยี กกนั วา่ เปน็ “สมยั เหตแุ ละผล” (The Age of Reason) ไดเ้ กดิ ขบวนการทาง ความคิดท่ีจะมุ่งสร้างสรรค์ความสุขให้แก่มนุษยชาติขึ้น ได้มีการเรียกขบวนการน้ีว่าขบวนการแห่ง ภมู ธิ รรม (The Enlightenment) อนั เปน็ สาเหตทุ ท่ี ำ� ใหร้ ะบอบการปกครองแบบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ เร่ิมเสอื่ มความนยิ มลงเป็นอันมาก มองเตสกิเออร์ นกั ปราชญช์ าวฝร่งั เศส กลา่ ววา่ ควรมีสถาบนั อน่ื ๆ มาจ�ำกัดการใช้พระราชอ�ำนาจของพระมหากษัตริย์ให้อยู่ในขอบเขตไว้บ้าง ฌอง–ฌาคส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้เสนอความเห็นในการวางโครงสร้างทางการเมืองขึน้ ใหม่ และระบอบ การปกครองทเ่ี ขาต้องการ ก็คอื ระบอบการปกครองแบบสาธารณรฐั การได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยของรัฐชาติมีความแตกต่างกันไป กล่าวคือในอังกฤษ ขบวนการน้ีได้เริ่มต้นวิวัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไปและโดยวิธีสงบ ส่วนในประเทศฝร่ังเศสได้ ประชาธิปไตยก็คือ การยอมรับนับถือความส�ำคัญและศักด์ิศรีของปัจเจกชน (Individual) อันได้แก่ ความเสมอภาค เสรีภาพ และความเป็นพ่ีน้องกัน อน่ึงผลของวิวัฒนาการของการปกครองระบอบ ประชาธปิ ไตยน�ำไปสู่การปกครองทอ้ งถน่ิ ตนเอง (Local self government) กล่าวได้ว่าประชาธิปไตยเจริญเติบโตด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่นว่า ควรมีการจ�ำกัดอ�ำนาจ การปกครองของกษัตริย์ให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม และให้มีการยอมรับว่าอ�ำนาจอธิปไตยเป็นของ ปวงชน (Popular sovereignty) กล่าวคือการยนิ ยอมให้ประชาชนได้มีโอกาสใช้สทิ ธิและเสรภี าพพน้ื ฐานของความเป็นมนุษย์ อันได้แก่สิทธิและเสรีภาพในการพูด การเขียน การเลือกนับถือศาสนา การเลอื กอาชีพและการเลอื กถนิ่ ทีอ่ ยู่อาศยั เหล่าน้ี เป็นต้น ๘๑ อานนท์ อาภาภริ ม เรอื่ งเดมิ หนา้ ๓๖

162 รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งต้น รูปแบบของประชาธิปไตย๘๒ รูปแบบของประชาธปิ ไตย ในฐานะทีเ่ ปน็ รปู แบบการปกครองแบง่ ออกได้ ๓ แบบ คือ ๑. ประชาธปิ ไตยแบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy) ประชาธิปไตยแบบน้ีถือว่า รัฐสภาซึ่งประกอบด้วยผู้แทนราษฎรที่ประชาชนเลือกมาโดย ตรงมอี ำ� นาจมาก โดยรฐั สภาจะทำ� หนา้ ทอี่ อกกฎหมายและควบคมุ การทำ� งานของรฐั บาล (ฝา่ ยบรหิ าร) รฐั สภามสี ทิ ธทิ ำ� ใหฝ้ า่ ยบรหิ ารพน้ จากตำ� แหนง่ ได้ โดยการเปดิ อภปิ รายทวั่ ไปเพอื่ ลงมตไิ มไ่ วว้ างใจรฐั บาล และรัฐบาลก็มีสิทธิที่จะยุบสภาได้เพ่ือให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในขณะเดียวกันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไปเปน็ รัฐมนตรไี ดใ้ นเวลาเดียวกัน ประชาธปิ ไตยแบบนปี้ ระมขุ อาจเปน็ พระมหากษตั รยิ ์ เชน่ องั กฤษ หรอื เปน็ ประธานาธบิ ดี เชน่ อินเดีย ประเทศท่ีเป็นผู้น�ำของประชาธิปไตยแบบนี้คืออังกฤษ และแพร่หลายไปยังประเทศต่าง ๆ ประชาธิปไตยระบบรฐั สภา ได้จัดแบง่ อ�ำนาจหนา้ ท่ขี องสถาบันตา่ ง ๆ ดงั น้ี ๑. ประมขุ ของรัฐ จะเปน็ กษัตริย์หรือประธานาธบิ ดกี ไ็ ด้ ประมุขจะไม่ท�ำตนเปน็ นกั การเมอื ง จะวางตนเปน็ กลางในทางการเมอื งอยา่ งแทจ้ รงิ และจะใชอ้ ำ� นาจบรหิ ารแตเ่ พยี งในดา้ นพธิ กี ารเทา่ นน้ั ๒. รัฐสภา จะมีสภาเดียวหรือ ๒ สภาก็ได้ มีอ�ำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เป็นผู้ใช้ อ�ำนาจนิติบัญญัติและอ�ำนาจบริหาร มีหน้าท่ีส�ำคัญในการออกกฎหมายและควบคุมการท�ำงานของ คณะรัฐมนตรี มสี ทิ ธทิ ่จี ะเปดิ อภิปรายท่ัวไปเพือ่ ลงมติไมไ่ ว้วางใจคณะรัฐมนตรไี ด้ ๓. คณะรฐั มนตรีทัว่ ไป ไดแ้ ก่ คณะบคุ คลท่ีได้รับความไวว้ างใจจากสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ให้ ท�ำหน้าท่ีบริหารประเทศ มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้า แต่เม่ือใดท่ีไม่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา ก็ต้องพ้นจากต�ำแหน่ง รัฐมนตรีส่วนมากในคณะจะต้องเป็นสมาชิกรัฐสภาด้วย คณะรัฐมนตรีอาจขอ ใหป้ ระมขุ ของรัฐยบุ สภาได้ เมอ่ื ตนตอ้ งการใหม้ ีการเลือกตั้งสมาชกิ รฐั สภาใหม่ ๔. ศาล เป็นผู้ใช้อ�ำนาจตุลาการโดยอิสระและปราศจากการแทรกแซงของฝ่ายบริหาร หรือ ฝ่ายนิตบิ ญั ญตั ิ ๒. ประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี (Presidential Democracy) ประชาธิปไตยแบบนี้ ถือหลักการแยกอ�ำนาจระหว่างอ�ำนาจนิติบัญญัติกับอ�ำนาจบริหาร เพราะต่างก็มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนเหมือนกัน คือประชาชนเลือกประธานาธิบดีเป็นฝ่าย บรหิ าร ซงึ่ ประธานาธบิ ดจี ะแตง่ ตงั้ รฐั มนตรรี ว่ มคณะทำ� หนา้ ทบี่ รหิ าร สว่ นฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ปิ ระชาชนจะ ๘๒ นงเยาว์ พรี ะตานนท์ เรอื่ งเดมิ หนา้ ๖๐-๖๒

รูปแบบการปกครอง (Forms of Government) 163 เลอื กสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรทำ� หนา้ ทอี่ อกกฎหมาย ตา่ งคนตา่ งทำ� หนา้ ทก่ี นั จนครบวาระ รฐั สภาไมม่ ี สิทธิเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และรัฐบาลก็ไม่มีสิทธิยุบสภาเพ่ือเลือกตั้งใหม่ และสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎรจะไปเป็นรฐั มนตรีในขณะเดียวกันไมไ่ ด้ ประชาธปิ ไตยแบบน้ี ประธานาธบิ ดที ำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ ทงั้ ประมขุ ของประเทศ และเปน็ หวั หนา้ ฝา่ ย บริหาร ไม่มีนายกรัฐมนตรี เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดีได้ก�ำหนด หน้าทข่ี องสถาบันการปกครองไว้ดังนี้ ๑. ประมขุ ของรฐั ตอ้ งเปน็ ประธานาธบิ ดเี สมอ และเปน็ นกั การเมอื งเตม็ ตวั และทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ นายกรฐั มนตรีดว้ ย (ระบบน้ีไม่มนี ายกรัฐมนตรี) ๒. รัฐสภา อาจมีสภาเดียวหรือ ๒ สภาก็ได้ สมาชิกรัฐสภาใช้ได้แต่อ�ำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น จะไปเปน็ รฐั มนตรดี ว้ ยในเวลาเดยี วกนั ไมไ่ ด้ มอี ำ� นาจหนา้ ทใี่ นการออกกฎหมายเทา่ นน้ั จะเปดิ อภปิ ราย หรอื ต้ังกระทถู้ ามฝา่ ยบรหิ ารไมไ่ ด้ ๓. คณะรฐั มนตรี มปี ระธานาธบิ ดเี ปน็ หวั หนา้ คณะรฐั มนตรเี ปน็ คณะกรรมการคอยชว่ ยเหลอื ประธานาธิบดี และรับผิดชอบโดยตรงตอ่ ประธานาธิบดีแต่ผู้เดยี ว ๔. ศาล เป็นสถาบันอิสระไม่ขึ้นกับสถาบันอ่ืนใด ผู้พิพากษาของศาลในระบบน้ีจะท�ำหน้าท่ี ๒ อย่าง ในขณะเดียวกันคือ เป็นตุลาการคอยตัดสินคดี และเป็นผู้คอยพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญไม่ให้ ฝ่ายนิติบัญญัติหรือบริหารมาละเมิดได้ ถ้าศาลเห็นว่ากฎหมายหรือค�ำสั่งใดของฝ่ายบริหารขัดกับ รฐั ธรรมนญู กม็ อี ำ� นาจพพิ ากษาใหก้ ฎหมายหรอื คำ� สั่งน้นั เป็นโมฆะได้ ๓. ประชาธปิ ไตยแบบก่งึ รฐั บาลหรอื กงึ่ ประธานาธบิ ดี (Semi Parliamentary or Semi Presidential Democracy) ประชาธิปไตยแบบน้ีประชาชนเลือกประธานาธิบดีซึ่งมีฐานะเป็นทั้งประมุขของประเทศและ หัวหน้าฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดีแต่งต้ังนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่น ๆ เพื่อท�ำหน้าท่ีบริหาร และประชาชนเลอื กสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรเปน็ ฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ทิ ำ� หนา้ ทอ่ี อกกฎหมายและควบคมุ การ ท�ำงานของคณะรัฐมนตรี สภาเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีได้ (แต่ลงมติไม่ไว้วางใจ ประธานาธบิ ดไี มไ่ ด)้ และประธานาธบิ ดสี งั่ ยบุ สภาเพอ่ื ใหม้ กี ารเลอื กตง้ั ใหมไ่ ด้ และปลดนายกรฐั มนตรไี ด้ สว่ นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะไปเปน็ รฐั มนตรใี นขณะเดยี วกนั ไม่ได้ ประเทศทเ่ี ปน็ ประชาธปิ ไตยแบน้ี คอื ฝรงั่ เศส ประชาธปิ ไตยระบบกง่ึ รฐั สภา กงึ่ ประธานาธบิ ดี ไดก้ ำ� หนดอ�ำนาจหนา้ ทขี่ องสถาบันต่างดงั น้ี

164 รัฐศาสตร์เบอื้ งตน้ ๑. ประมุขของรัฐ ต้องเปน็ ประธานาธิบดีท่ีได้รบั การเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน จงึ อย่ใู น ฐานะเสมอเป็นนกั การเมืองเตม็ ตวั ๒. รัฐสภา อาจมสี ภาเดียวหรือ ๒ สภากไ็ ด้ สมาชิกรฐั สภามีอำ� นาจออกกฎหมาย และควบคุม การบรหิ ารของฝา่ ยบรหิ ารโดยการตงั้ กระทถู้ ามหรอื เปดิ อภปิ รายไมไ่ วว้ างใจได้ แตส่ มาชกิ รฐั สภาจะไป เป็นรฐั มนตรดี ้วยในเวลาเดยี วกนั ไม่ได้ ๓. คณะรัฐมนตรี มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้า เป็นคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจาก ประธานาธิบดี ตอ้ งรบั ผดิ ชอบต่อทง้ั ประธานาธบิ ดีและรัฐสภา ทง้ั ประธานาธิบดี และรัฐสภา จะท�ำให้ นายกรฐั มนตรแี ละคณะรฐั มนตรีพน้ จากต�ำแหน่งเมอ่ื ไรกไ็ ด้ ๔. ศาล เป็นสถาบันอิสระ ทำ� หน้าท่ีตุลาการพิพากษาคดีต่าง ๆ ระบบเผด็จการ (Dictatorship)๘๓ ในขณะทป่ี ระชาธิปไตยได้เจริญถึงขดี สุด ในประเทศตะวนั ตกในคาบเวลาของคริสต์ ศตวรรษ ท่ี ๑๖–๑๙ นั้น ได้เกิดสงครามโลกคร้ังท่ี ๑ ในปี ค.ศ.๑๙๑๔ ซึ่งภายหลังท่ีสงครามสงบลงใน ปี ค.ศ.๑๙๑๘ ได้เกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต�่ำท่ัวโลก เกิดสภาวะการว่างงาน ระบอบประชาธิปไตย ไม่อาจแก้ไขสถานการณ์ท้ังทางด้านเศรษฐกิจ และความม่ันคงภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากน้ันยังเกิดการแตกแยกความคิดและอุดมการณ์ของนักการเมือง ท�ำให้นักการเมืองหัวรุนแรง มคี วามเหน็ วา่ ระบอบประชาธปิ ไตยลม้ เหลว เพราะไมม่ อี ำ� นาจเดด็ ขาดในการปกครองประเทศ อนั เปน็ ผลให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้ ฉะน้ันกลุ่มนักการเมืองท่ีนิยม ความเด็ดขาดรุนแรง จึงอ้างว่าการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประเทศชาตินั้นต้องใช้สิทธิอ�ำนาจนิยม (Authoritarianism) และเผดจ็ การรวบยอด (Totalitarianism) กล่าวได้ว่าระบบเผด็จการมีสมมติฐานอยู่ท่ีความไม่เช่ือถือในความเสมอภาคของมนุษย์ กล่าวคือมนุษย์น้ันมีท้ังคนโง่และคนฉลาด ฉะน้ันจึงสมควรให้บุคคลหรือคณะบุคคลที่มีความรู้และมี การศึกษาดีหรอื ชนชน้ั สูงเทา่ นั้น ท่สี มควรจะมสี ิทธิในการปกครองประเทศ ลัทธิเผดจ็ การเชื่อวา่ คนที่ ดีที่สุดเท่าน้ันสมควรจะเป็นผู้ปกครองประเทศ เพราะบุคคลเหล่าน้ีมีคุณสมบัติเหมาะสม เช่น มีสติ ปญั ญาสูง มคี วามสามารถพิเศษในการท�ำงาน และมีคณุ สมบัติในการใช้ก�ำลงั รวมความว่ากลุ่มบคุ คล ทม่ี คี ณุ สมบตั ดิ งั กลา่ วข้างตน้ เปน็ ผ้มู ีคณุ สมบตั ิเหมาะสมที่จะเปน็ ผนู้ ำ� ประเทศ ๖๓ อานนท์ อาภาภริ ม เรอ่ื งเดมิ หนา้ ๓๗

รูปแบบการปกครอง (Forms of Government) 165 ระบอบเผด็จการมีความเช่ือว่า ประชาชนควรจะมีบทบาทและความรับผิดชอบเพียงการเช่ือ ฟงั คำ� สงั่ ของรฐั เทา่ นน้ั เพราะรฐั ยอ่ มอยเู่ หนอื สง่ิ อน่ื ใดและไมม่ ผี ใู้ ดสามารถขดั แยง้ เจตนารมณข์ องรฐั ได้ ประชาชนต้องอยู่ในระเบียบวินัย ฉะนั้น รัฐจึงมีเอกภาพเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน นอกจากน้ัน ระบอบเผด็จการยังถือว่ารัฐเป็นสิ่งมีชีวิต รัฐมีสิทธิที่จะขยายตัวเองตามความเจริญ เช่น รัฐมีสิทธิจะ ขยายตัวออกไปในดินแดนอ่ืน แม้ว่าการกระท�ำเช่นน้ันจะเป็นการละเมิดอธิปไตยของชาติอื่นก็ตาม แต่ถือว่าเป็นการกระท�ำที่ชอบธรรม เพราะเม่ือรัฐเป็นเสมือนสิ่งท่ีมีชีวิต ย่อมต้องการความเจริญ เติบโต เช่นเดียวกับสงิ่ ที่มีชีวติ ท้ังหลาย ประเทศทม่ี กี ารปกครองระบอบเผดจ็ การ จะมพี รรคการเมอื งเพยี งพรรคเดยี ว ซง่ึ สมาชกิ ของ พรรคจะมจี ำ� นวนนอ้ ย แตจ่ ะเปน็ กลมุ่ บคุ คลทมี่ รี ะเบยี บวนิ ยั เปน็ อยา่ งดี พรรคจะเปน็ ผกู้ ำ� หนดนโยบาย และรูปการปกครองของรัฐ ซึ่งประชาชนจะต้องเช่ือฟัง หากมีผู้ใดมีความคิดเห็นขัดแย้งไปจากแนว นโยบายของรฐั บคุ คลนน้ั จะถกู จบั กมุ คมุ ขงั หรอื ถกู บงั คบั ใหท้ ำ� งานหนกั ในขอ้ หาวา่ เปน็ ผทู้ รยศตอ่ ผนู้ ำ� ของรัฐ กล่าวโดยสรุปได้ว่าระบบเผด็จการเป็นระบบการปกครองที่ให้รัฐใช้อ�ำนาจเด็ดขาด และ เปน็ การปกครองทร่ี ฐั เข้าควบคุมกจิ การทุกประเภทของรัฐ โดยผ่านพรรคการเมอื งท่มี ีเพียงพรรคเดยี ว ของประเทศ การปกครองแบบเผด็จการได้เกิดขึ้นและเจริญรุ่งเรืองในประเทศเยอรมนีภายใต้การน�ำของ ฮิตเลอร์ อิตาลีภายใต้การน�ำของมุสโสลินี ในห้วงเวลาของสงครามโลกครั้งท่ี ๒ และประเทศสเปน ภายใต้การนำ� ของนายพลฟรังโก ท่ีมาของเผด็จการ๘๔ อดุ มการณแ์ บบเผดจ็ การมมี าตงั้ แตส่ มยั โบราณ เชน่ สมยั จกั รวรรดโิ รมนั และรฐั ศกั ดนิ า เปน็ ตน้ แตอ่ ดุ มการณเ์ ผด็จการ ที่มีอิทธพิ ลในปจั จบุ ันนม้ี อี ยู่ ๓ แบบ คือ ๑. ลัทธิฟาสซิสม์ (Fascism) ลัทธินี้เกิดในอิตาลี โดยมีมุสโสลินีเป็นเจ้าลัทธิ ลัทธินี้เชื่อว่า ประชาชนไม่มีความสามารถ ขาดความรู้และมีอารมณ์ที่แปรปรวน ไม่สามารถปกครองตนเองได้ จงึ ตอ้ งถกู ปกครองโดยชนชนั้ นำ� ซงึ่ มคี ณุ ลกั ษณะสงู กวา่ มวลชนทว่ั ไป ทงั้ ในดา้ นความสามารถ สตปิ ญั ญา กำ� ลงั ใจและจริยธรรม ๘๔ นงเยาวพ์ รี ะตานนท์ เรอื่ งเดมิ หนา้ ๕๘

166 รัฐศาสตรเ์ บ้อื งตน้ ๒. ลัทธินาซี (Nazism) ลัทธิน้ีเกิดในเยอรมันสมัยฮิตเลอร์ ซึ่งเป็นสมัยเดียวกับมุสโสลินีของ อิตาลี ลัทธินาซีนมี้ ีสาระสำ� คญั คล้ายลทั ธิฟาสซิสม์ แตเ่ พิ่มเตมิ ดว้ ยความคดิ เรื่องชาตนิ ิยมอยา่ งรุนแรง ของคนอารยัน ซึ่งต้องรักษาความบริสุทธิ์แห่งเชื้อชาติและจะต้องท�ำลายเช้ือชาติบางเชื้อชาติไม่พึง ปรารถนา คือพวกยิวใหห้ มดสน้ิ นอกจากนล้ี ัทธินาซียังมลี กั ษณะสังคมนยิ มอยา่ งรุนแรง คือประชาชน ทกุ คนตอ้ งมีชวี ิตอยเู่ พือ่ รฐั เท่านัน้ ๓. ลัทธิมาร์กซิสม์ หรือลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธินี้เกิดข้ึนในศตวรรษที่ ๑๙ โดยมีคาร์ลมาร์กซ์ (Karl Marx) เปน็ เจ้าลทั ธิ มารก์ ซ์อธบิ ายวา่ การปกครองท่ีดที ่สี ดุ คอื การปกครองของชนชั้นกรรมาชพี ทจ่ี ะอยเู่ หนอื ชนชนั้ อนื่ ๆ และเลนนิ สานศุ ษิ ยข์ องมารก์ ซก์ ไ็ ดอ้ ธบิ ายเพมิ่ เตมิ วา่ การปกครองของชนชน้ั กรรมาชีพน้ัน ต้องเป็นแบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ คือมีพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นพรรคของชนช้ัน กรรมาชีพเท่าน้ัน เป็นผู้น�ำชนช้ันอ่ืน ๆ จะมีเสรีภาพไม่ได้ และชนช้ันกรรมาชีพก็ต้องปฏิบัติตาม คำ� ช้ีน�ำของพรรคคอมมวิ นสิ ต์ อ�ำนาจรฐั จึงมคี วามสำ� คัญกว่าเสรีภาพของบคุ คล ระบบเผดจ็ การแยกเปน็ ๒ ประเภท คือ ๑. เผด็จการอำ� นาจนิยม (Authoritarianism) เปน็ ระบบการปกครองทจี่ ำ� กัดเสรีภาพของ ประชาชนเฉพาะด้านการเมือง โดยจ�ำกัดสิทธิ์และผูกขาดอ�ำนาจทางการเมืองไว้เฉพาะในกลุ่มผู้น�ำ แต่ยอมให้ประชาชนมีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมอ่ืน ๆ ได้ เช่น การประกอบธุรกิจการค้า การศกึ ษา การนบั ถือศาสนา การปฏิบัติตามขนบธรรมเนยี มประเพณี เป็นต้น ๒. เผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) เป็นระบบการปกครองท่ีรัฐมีอ�ำนาจมากที่สุด ควบคุมและจ�ำกัดเสรีภาพของประชาชนทุก ๆ ด้าน ทั้งทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคม กล่าวได้ว่า วถิ ชี วี ติ ของประชาชน ท้ังรฐั ถกู ก�ำหนดโดยผู้ปกครองอยตู่ ลอดเวลา รูปรฐั บาลท่เี กิดจากการแบง่ สรรอำ� นาจอธปิ ไตย การแบง่ สรรอ�ำนาจ๘๕ ทำ� ใหเ้ กิดรปู รฐั บาลรวมกบั รปู รฐั บาลเดีย่ ว (Distribution of Power : Federal and Unitary) ๑. หากมกี ารแบง่ สรรการใชอ้ ำ� นาจอธปิ ไตยออกเปน็ สดั สว่ น และผใู้ ชอ้ ำ� นาจอธปิ ไตยโดยสว่ นใด ย่อมมี (เป็นเจ้าของ) อ�ำนาจอธิปไตยในส่วนน้ัน โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นผู้ก�ำหนดและให้หลักประกันใน การแบ่งสรรอ�ำนาจเช่นว่านั้นแล้ว รูปรัฐบาลจะเป็นรัฐบาลรวม (federal) หรือรัฐบาลคู่ (dual – government) ๘๕ จรญู สภุ าพ เรอื่ งเดมิ หนา้ ๘๗-๘๙

รูปแบบการปกครอง (Forms of Government) 167 ๒. หากไม่มีการแบ่งสรรการใช้อ�ำนาจอธิปไตย โดยรัฐบาลกลางมีอ�ำนาจในการใช้แต่ผู้เดียว รูปรฐั บาลจะเป็นรัฐบาลเด่ียว (unitary) ๑. รฐั บาลรวมหรือรฐั บาลคู่ จะเหน็ ไดช้ ดั ในการปกครองของบางประเทศ เชน่ แคนาดา สหรฐั อเมรกิ า ออสเตรเลยี เปน็ ตน้ ในประเทศดงั กลา่ วนี้ มรี ฐั บาลสองระดบั คอื รฐั บาลกลางกบั รฐั บาลทอ้ งถนิ่ แตล่ ะระดบั มอี ำ� นาจหนา้ ท่ี ของตนโดยเฉพาะ หรืออีกนัยหนึ่ง มีอ�ำนาจในการใช้อ�ำนาจอธิปไตยในบางลักษณะโดยเฉพาะ โดยมี รฐั ธรรมนญู เปน็ ผกู้ ำ� หนดการใชอ้ ำ� นาจอธปิ ไตยดงั กลา่ วไวแ้ นช่ ดั เหตนุ นั้ รฐั บาลกลางของประเทศเหลา่ น้ี จึงมักมีอ�ำนาจในการใช้อ�ำนาจอธิปไตยในกิจการท่ีเก่ียวเนื่องกับประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนรวม หรือกิจการส�ำคัญท่ีเป็นปัจจัยเกี่ยวพันกับความม่ันคงและเอกภาพของประเทศ ส่วนรัฐบาลท้องถ่ิน คงมอี ำ� นาจในการรกั ษาความปลอดภยั หรอื ดำ� เนนิ งานดา้ นสวสั ดกิ ารอนั เกย่ี วขอ้ งกบั ทอ้ งถน่ิ โดยเฉพาะ เหตทุ มี่ กี ารแบง่ สรรการใชอ้ ำ� นาจอธปิ ไตยเชน่ วา่ น้ี แตล่ ะประเทศอาจมเี หตผุ ล ทง้ั ทเ่ี หมอื นหรอื ตา่ งกนั ทต่ี า่ งกนั กอ็ าจเปน็ วา่ เกยี่ วขอ้ งกบั ประวตั ศิ าสตรข์ องประเทศ อยา่ งสหรฐั อเมรกิ าเรม่ิ ขน้ึ จากการมี ๑๓ รฐั ระหว่างปี ค.ศ. ๑๗๗๔ – ๑๗๘๙ ซึ่งแต่รัฐมีฐานะเสมือนรัฐเอกราชท่ีรวมกันอยู่ในแบบสมาพันธรัฐ (Confederation) คือ รวมกันแบบสมาคม โดยแต่ละรัฐยังมีอ�ำนาจที่จะด�ำเนินการภายในของตน ครั้นเม่อื รวมกนั แลว้ แตล่ ะรฐั ก็ยงั คงปรารถนาทีจ่ ะด�ำเนินการภายในโดยเสรี พน้ จากการกะเกณฑ์ของ รัฐบาลกลาง จึงได้วางหลักประกันไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้รัฐบาลมลรัฐได้ใช้อ�ำนาจอธิปไตยในกิจกรรม มลรัฐของตนดว้ ย ส่วนทเ่ี หมือนกันในระหวา่ งประเทศทมี่ ีรฐั บาลรวมน้ี เหน็ จะไดแ้ ก่สภาพภูมปิ ระเทศ และอาณาเขตของรัฐ ตามปกติประเทศท่ีมีรูปรัฐบาลแบบรวม มักจะเป็นประเทศใหญ่มีอาณาเขต กว้างขวาง พื้นภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมแต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน จึงเกิดความจ�ำเป็นที่ต้องมี รฐั บาลท้องถิน่ ข้ึนเพ่อื เหตุ ๒ ประการ ก. สภาพปญั หาซง่ึ ไมเ่ หมอื นกนั ยอ่ มจะตอ้ งใชว้ ธิ กี ารทต่ี า่ งกนั เพอ่ื ความรวดเรว็ และเพอื่ สนอง ความตอ้ งการของประชาชนในทอ้ งถน่ิ ไดด้ ขี นึ้ ซงึ่ ตอ้ งมรี ฐั บาลทอ้ งถน่ิ รฐั บาลทอ้ งถนิ่ ยอ่ มจะอยใู่ นฐานะ ทีแ่ ก้ไขปญั หาไดด้ กี วา่ รัฐบาลกลาง เพราะรฐั บาลกลางอยู่ห่างไกลจากปัญหาเหลา่ นัน้ ข. เปน็ การแบง่ เบาภาระของรฐั บาลกลาง ใหม้ เี วลาทจ่ี ะดำ� เนนิ การเพอ่ื เอกภาพและบรู ณภาพ ของประเทศ หรือเพอื่ สรา้ งความเจริญใหแ้ ก่ประเทศเปน็ ส่วนรวม ทงั้ สองประการน้ี เปน็ ทงั้ เหตแุ ละผล รวมทงั้ เปน็ ความมงุ่ หมายของประเทศดงั กลา่ ว ทจี่ ะใหเ้ กดิ “Unity of plurality” คอื ทำ� ให้สว่ นตา่ ง ๆ ทีแ่ ตกต่างกนั สามารถรวมกนั เปน็ อนั หนึง่ อนั เดยี วกนั ได้ รปู รฐั บาลแบบรวมน้ี ตามปกติจะแบง่ ประเภทอ�ำนาจท่ีไดแ้ บง่ สรรแล้วออกเปน็ สามประเภท ประเภทหนงึ่ ไดแ้ ก่ ประเภทอำ� นาจทมี่ อบไวอ้ ยา่ งชดั แจง้ ใหก้ บั รฐั บาลกลาง มกั จะเปน็ อำ� นาจทมี่ คี วาม

168 รัฐศาสตร์เบื้องต้น สำ� คญั กระทบกระเทอื นประเทศเปน็ สว่ นรวม เชน่ การคลงั การเศรษฐกจิ การตา่ งประเทศ การปอ้ งกนั ประเทศ อำ� นาจดงั กลา่ วห้ามมใิ หม้ ลรัฐใชโ้ ดยเด็ดขาด เปน็ ตน้ อีกประการหนง่ึ ไดแ้ ก่ อำ� นาจทม่ี อบไว้ กับรัฐบาลท้องถิ่นซึ่งได้แก่อ�ำนาจท่ีเกี่ยวข้องกับกิจการภายใจของแต่ละท้องถิ่น ลักษณะของงานเป็น เรือ่ งของผลประโยชนข์ องท้องถน่ิ นน้ั ๆ ทอ้ งถิ่นนา่ จะดำ� เนนิ การไปได้เอง เพอ่ื สนองความตอ้ งการของ ประชาชนไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว เป็นไปตามที่ประชาชนปรารถนา อำ� นาจเหลา่ น้ีได้แกก่ ารดำ� เนินการบรกิ าร สาธารณสุข การปกครอง การสวัสดิการ เป็นต้น อ�ำนาจประเภทสุดท้าย คืออ�ำนาจที่ใช้ร่วมกัน (Concurrence power) เน่อื งจากลกั ษณะแหง่ อำ� นาจนน้ั น่าจะให้ทัง้ รัฐบาลกลาง และรัฐบาลทอ้ งถิ่น ด�ำเนินการร่วมกันได้ เพ่ือจะได้ให้รัฐบาลระดับต่างกันสามารถประสานงาน และร่วมงานกันได้ในการ สร้างความเจริญให้กับประเทศชาติ แต่เพื่อป้องกันการขัดแย้งกัน ก็จะมีการตกลงกันทั้งในทางนิตินัย และพฤตนิ ัย ๒. รัฐบาลเด่ียว กล่าวโดยหลักแล้ว อ�ำนาจในการใช้อ�ำนาจอธิปไตยทุกประการตกอยู่ในมือของรัฐบาลเดี่ยว หรือรัฐบาลกลาง ซึ่งถือว่ามีอ�ำนาจสูงสุดและเต็มที่ (Absolute, omnipotent) ส่วนการปกครอง อน่ื ๆ ภายใจประเทศถอื เปน็ สว่ นหนง่ึ หรอื ตวั แทนของรฐั บาลกลางเทา่ นนั้ รฐั บาลกลางจะแบง่ เขตการ ปกครองออกเปน็ เขต ๆ และแตล่ ะเขตจะมผี แู้ ทนของรฐั บาลกลาง (ขา้ ราชการสว่ นกลาง) ไปประจำ� อยู่ คอยดแู ลหรอื ดำ� เนนิ การใหเ้ ปน็ ไปตามนโยบายของรฐั บาลกลาง หรอื ตามคำ� สง่ั จากรฐั บาลกลาง หนว่ ย การปกครองทัง้ หลายทป่ี ระจำ� อยู่ ณ สว่ นกลางนั้น รวมเรียกว่า ราชการส่วนกลาง มีฝ่ายบรหิ ารเปน็ ผู้ วางนโยบาย ฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั เิ ปน็ ผคู้ วบคมุ นโยบาย และศาลเปน็ ผตู้ คี วามหมายหรอื การปฏบิ ตั ขิ องหนว่ ย งานทงั้ สองนนั้ อยา่ งไรกด็ ี การปกครองแบบรฐั บาลรวมนี้ ใชว่ า่ รฐั บาลกลางจะรวมอำ� นาจไวท้ ส่ี ว่ นกลาง ทง้ั หมดก็หาไม่ รฐั บาลกลางยังกระท�ำการดงั นี้ ก. การกระจายอ�ำนาจ (Decentralization) รัฐบาลกระจายอ�ำนาจบางอย่างให้กับเขตการ ปกครองอื่น ๆ ท�ำไปโดยเสรีพอสมควร ท้ังนี้เพื่อจะได้หัดให้เข้าใจในการปกครองตนเอง เช่น การมี เทศบาลตามท้องถ่ินต่าง ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การกระจายอ�ำนาจน้ี หาเป็นการกระจายอ�ำนาจ โดยเด็ดขาดไม่ รฐั บาลกลางยังใหเ้ จ้าหน้าท่ีของตนทอี่ ยู่ในเขตปกครองนัน้ คอยควบคุมหรือเป็นพเ่ี ล้ียง การควบคุมหรือแนะน�ำโดยรัฐบาลกลางน้ีอาจมากหรือน้อย แล้วแต่ความสามารถของราษฎรในการ ปกครองตนเอง อย่างการปกครองเทศบาลของอังกฤษ รัฐบาลกลางจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวน้อยท่ีสุด ท้ัง ๆ ที่อังกฤษมกี ารปกครองแบบ Unitary ข. การแบง่ อำ� นาจ (De concentration) เปน็ การแบง่ เบาภารกจิ ของรฐั บาลกลาง และเปน็ การ ใหง้ านดำ� เนนิ ไปโดยมปี ระสทิ ธภิ าพ เพราะหากตวั แทนของรฐั บาลกลางทไี่ ปประจำ� ยงั เขตการปกครอง

รูปแบบการปกครอง (Forms of Government) 169 ทวั่ ๆ ไปน้ัน ต้องขออนุมตั ใิ นการปฏบิ ตั งิ านทกุ เร่ืองมาท่ีสว่ นกลางจะท�ำให้งานชา้ รฐั บาลกลางจึงมอบ อำ� นาจในการสัง่ การบางประการให้กับตัวแทนของตนที่ไปประจำ� อย่ใู นเขตการปกครองทุกแหง่ อยา่ งไรกต็ าม ขอ้ คดิ มอี ยวู่ า่ อำ� นาจทแี่ บง่ ไปนี้ ไมไ่ ดเ้ ปน็ การมอบใหเ้ ดด็ ขาด รฐั บาลกลางยงั คง อยใู่ นฐานะทจ่ี ะเรยี กอำ� นาจทม่ี อบใหไ้ ปกลบั คนื ไดเ้ สมอ หมายความวา่ หนว่ ยการปกครองตา่ ง ๆ ภายใน อาณาเขตของรฐั นัน้ จะมอี ำ� นาจมากน้อยเพียงใดแล้วแตด่ ลุ พินิจของรัฐบาลกลาง อน่ึง อำ� นาจท่มี อบ ใหไ้ ปมกั จะเปน็ เรอ่ื งทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั กจิ การภายในทอ้ งถน่ิ หรอื เรอ่ื งทเี่ ปน็ งานกจิ วตั รธรรมดา (Routine) กล่าวโดยสรุป รัฐบาลแบบรัฐบาลเด่ียวน้ี อ�ำนาจอธิปไตยอยู่ท่ีรัฐบาลกลาง จึงท�ำให้รัฐบาล กลางมีอ�ำนาจมากท่ีสุด ไม่ว่าในการวางนโยบายของรัฐ หรือด�ำเนินกิจการปกครอง บริหาร รวมทั้ง การปฏิบัติใหเ้ ปน็ ไปตามนโยบายที่ไดก้ ำ� หนดขน้ึ รฐั บาลท่ีถือเอาการแบง่ แยกอ�ำนาจอธิปไตยเป็นเกณฑ๘์ ๖ ถ้าถือเอาการแบ่งแยกอ�ำนาจอธิปไตย (Separation of Powers) เป็นเกณฑ์ ก็แบ่งรัฐบาล ออกเปน็ ๒ รปู คือ ๑. รัฐบาลแบบคณะรัฐมนตรี หรือรัฐบาลแบบรัฐสภา (Cabinet or Parliamentary Government) ๒. รัฐบาลแบบประธานาธบิ ดี (Presidential Government) มีสาระส�ำคญั ที่ควรศกึ ษาดังนี้ ๑. รัฐบาลแบบคณะรัฐมนตรี หรือรัฐบาลแบบรัฐสภา (Cabinet or Parliamentary Government) รัฐบาลแบบคณะรัฐมนตรีน้ี มีอ�ำนาจบริหารและอ�ำนาจนิติบัญญัติรวมกันอยู่ในองค์การหน่ึง ความสัมพันธ์ระหว่างสองอ�ำนาจนี้เป็นไปอย่างสนิทสนม (Intimacy) และพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (Interdependence) รัฐบาลรูปนี้ รัฐสภาซ่ึงเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นศูนย์กลางอ�ำนาจในประเทศ ประชาชนเป็นผู้ เลอื กตงั้ สมาชกิ สภา และสภาเปน็ ผจู้ ดั ตง้ั รฐั บาลหรอื คณะรฐั มนตรขี นึ้ ในนามของประชาชน การตดั สนิ ปัญหาส�ำคญั ๆ กระทำ� ในรัฐสภา รัฐสภาเป็นผู้ควบคมุ การปฏิบัตงิ านของรฐั บาล โดยการต้งั กระทู้ถาม ๘๖ ประสาร ทองภกั ดี เรอื่ งเดมิ หนา้ ๑๐๕-๑๐๙

170 รฐั ศาสตร์เบื้องต้น และอภิปรายในรัฐสภา ระยะเวลาอยู่ในต�ำแหน่งของรัฐบาลน้ันข้ึนอยู่กับรัฐสภา ถ้าหากนโยบายของ รฐั บาลไมไ่ ดร้ บั การรบั รองจากรฐั สภา หรอื ถา้ รฐั สภาไมใ่ หค้ วามไวว้ างใจแลว้ รฐั บาลจะตอ้ งลาออก หรอื มิฉะนั้นก็ยุบสภา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เท่ากับว่าเป็นการอุทธรณ์ต่อประชาชนว่า รัฐสภาหรือ รฐั บาลเป็นฝ่ายถกู โดยถือเอาผลของการเลอื กตง้ั เปน็ เครอื่ งตดั สนิ เกยี่ วกบั อำ� นาจบรหิ ารนน้ั ฝา่ ยทใ่ี ชอ้ ำ� นาจนคี้ อื คณะรฐั มนตรี ซงึ่ ประกอบดว้ ย นายกรฐั มนตรี และคณะรฐั มนตรจี ำ� นวนหนงึ่ เปน็ ผบู้ รหิ ารประเทศ และจะตอ้ งรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั ตอ่ รฐั สภา โดยเฉพาะ อย่างยงิ่ คือสภาผแู้ ทนราษฎร และโดยปกตแิ ลว้ คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลแบบน้เี ป็นคณะรฐั มนตรที เ่ี ปน็ สมาชิกพรรคการเมืองพรรคเดียว คือ พรรคท่ีมีเสียงข้างมากในรัฐสภา แต่ในยามสงครามหรือยาม ฉุกเฉิน หรือประเทศท่ีมีพรรคการเมืองหลายพรรค ก็อาจจัดตั้งในรูปรัฐบาลผสม (Coalition Government) กไ็ ด้ ลักษณะที่ส�ำคัญยิ่งอีกอันหน่ึงของรัฐบาลรูปน้ีก็คือ กฎหมายที่ออกโดยรัฐสภานั้นชอบด้วย รฐั ธรรมนญู เสมอ ศาลยุตธิ รรมไมม่ ีอ�ำนาจพพิ ากษาให้กฎหมายเปน็ โมฆะได้ รฐั บาลแบบคณะรฐั มนตรนี เี้ รม่ิ ตน้ ขนึ้ ในประเทศองั กฤษ และววิ ฒั นาการกา้ วหนา้ ไปจนกระทง่ั เป็นรัฐบาลตัวอย่างแบบหน่ึงในโลกมนุษย์ รัฐต่าง ๆ ในยุโรปเอเซียและแอฟริกา ได้เลียนแบบไปจาก อังกฤษ โดยเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เหมาะแก่ภาวะของประเทศของตน ประเทศไทยก็ได้ใช้รัฐบาลแบบ คณะรฐั มนตรี หรือแบบรฐั สภามาตัง้ แต่ยุคตน้ ของระบอบประชาธิปไตยของไทยจวบจนปัจจบุ ัน ข้อดขี องรฐั บาลแบบคณะรัฐมนตรี หรือแบบรฐั สภา มดี ังนี้ ๑. เหมาะสมอยา่ งยงิ่ สำ� หรบั ประเทศทต่ี อ้ งการรกั ษาสถาบนั พระมหากษตั รยิ ใ์ หค้ งไว้ หลงั จาก การเปลี่ยนแปลงการปกครองเปน็ แบบประชาธิปไตย เช่น กรณีของประเทศองั กฤษ หรือมีประมขุ เป็น ประธานาธิบดี เชน่ กรณปี ระเทศฝรัง่ เศส ๒. ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีและการประสานงานระหว่างอ�ำนาจบริหาร และอ�ำนาจ นิตบิ ัญญัติ ๓. เป็นรัฐบาลแบบที่บัญญัติให้รัฐบาล หรือฝ่ายบริหารอยู่ใต้ความควบคุมอย่างใกล้ชิดของ ฝ่ายนติ ิบญั ญตั ิ ๔. เปน็ การให้หลกั ประกันว่า รฐั บาลหรือรฐั มนตรจี ะต้องรบั ผดิ ชอบในการกระท�ำอยเู่ สมอ

รูปแบบการปกครอง (Forms of Government) 171 ข้อเสยี ของรัฐบาลแบบคณะรัฐมนตรี หรือแบบรฐั สภา มีดังนี้ ๑. รัฐบาลแบบน้ีขาดหัวหน้าฝ่ายบริหารคนเดียวท่ีแท้จริง (Single Executive Head) ไมเ่ หมอื นกบั รฐั บาลแบบประธานาธบิ ดี จงึ ทำ� ใหก้ ารตดั สนิ นโยบายตอ้ งเปน็ ไปตามมตขิ องคณะรฐั มนตรี ทง้ั นเี้ พราะนายกรฐั มนตรตี อ้ งอาศยั เสยี งสนบั สนนุ จากสภา (Followers) ของรฐั มนตรตี า่ ง ๆ ในสภากอ่ น ถ้ามฉิ ะนน้ั แลว้ อาจจะไม่มีเสยี งสนับสนนุ เพียงพอทจี่ ะบริหารประเทศตอ่ ไปได้ ๒. รัฐบาลแบบน้ีเหมาะสมเฉพาะประเทศท่ีมีระบบพรรคการเมอื ง ๒ พรรค (Two – party System) เทา่ นั้น ถ้าเป็นประเทศท่มี รี ะบบหลายพรรค (Multi – party System) แลว้ รัฐบาลมกั จะ ขาดเสถยี รภาพ ๓. พรรคการเมืองมักจะแสดงบทบาทมากเกินไป ท้ังนี้เพราะเม่ือมีพรรคการเมืองใหญ่เพียง ๒ พรรค และต่างมีอ�ำนาจมาก โดยเฉพาะพรรคข้างมาก (Majority Party) มีอ�ำนาจในการปกครอง เป็นล้นพ้น เม่ือเป็นเช่นนี้ การถือพรรคถือพวกก็เป็นไปอย่างรุนแรง การแต่งตั้งข้าราชการก็ค�ำนึงถึง อิทธิพลทางการเมอื งเป็นส�ำคัญ พรรคฝา่ ยคา้ นกม็ กั โจมตีนโยบายรัฐบาลโดยขาดเหตุผล ในประเทศทมี่ พี รรคการเมอื งหลายพรรค ตอ้ งจดั ตงั้ รฐั บาลในรปู รฐั บาลผสม กม็ กั ทำ� ใหร้ ฐั บาล ขาดเสถียรภาพ เพราะพรรคการเมืองท้ังหลายขาดความรับผิดชอบ (Lack of Responsibility) คือ มักจะถือเป็นหน้าที่ที่จะล้มรัฐบาล แต่ไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบท่ีจะตั้งรัฐบาล หลังจากได้ล้มรัฐบาล ลงไปแลว้ อย่างไรก็ดี แม้ในประเทศอังกฤษมีคณะรัฐมนตรีท่ีเข้มแข็งมั่นคง ก็มีเสียงวิจารณ์ว่า คณะรฐั มนตรีกา้ วก่ายอ�ำนาจหนา้ ท่ีของสภานิติบญั ญัติ และมีสภาพเป็นองคก์ ารออกกฎหมายร่วมกบั สภานิติบัญญัติ ในประเทศท่ีมีพรรคการเมืองหลายพรรค รัฐบาลไม่มั่นคง ก็มีการวิจารณ์กันว่า เป็นเพราะคณะรัฐมนตรีไม่กล้าแสดงออกซึ่งความรับผิดชอบ และกลายเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการหรือ เสมียนรฐั สภา ๒. รฐั บาลแบบประธานาธบิ ดี (Presidential Government) เปน็ รฐั บาลทย่ี อมใหห้ วั หนา้ ฝา่ ยบรหิ ารเปน็ อสิ ระจากการควบคมุ ของรฐั สภา ระยะเวลาอยใู่ น ต�ำแหน่งของหัวหน้าฝ่ายบริหารข้ึนอยู่กับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่มติของสภา และโดยท่ีการ ปกครองรูปน้ีมีก�ำเนิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา และยั่งยืนมาจนบัดน้ี ในทางวิชาการจึงเรียกรูปรัฐบาลน้ี อีกช่อื หนึ่งว่า รัฐบาลโดยประธานาธิบดแี บบอเมรกิ า (American Presidential Government) ซึ่งมี ลักษณะสำ� คญั ดงั น้ี

172 รฐั ศาสตร์เบือ้ งตน้ ๑. ประธานาธบิ ดีแห่งสหรฐั อเมริกา เป็นผู้ที่ราษฎรเลือกต้งั ข้ึนทางออ้ มทกุ ๆ ๔ ปี ๒. รฐั มนตรีทุกคนตอ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ ประธานาธบิ ดี ๓. รัฐมนตรไี มเ่ ปน็ สมาชกิ สภาโดยเดด็ ขาด และไมต่ อ้ งรบั นโยบายจากสภา ทง้ั ยงั ไมม่ สี ิทธเิ ขา้ ประชมุ รัฐสภา แมจ้ ะเขา้ ไปกไ็ ปในฐานะคนธรรมดา ไม่มีสิทธอิ ภปิ รายหรอื ลงคะแนนมติใด ๆ ๔. รัฐมนตรีไม่ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นเพียงหัวหน้าผู้ด�ำเนินการฝ่ายบริหาร บังคับบัญชากระทรวงหนึ่ง ๆ เท่าน้ัน อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีอาจเรียกรัฐมนตรีเหล่านั้นมาประชุม ขอความเห็นอย่างใดอย่างหน่ึงก็ได้ แต่ประธานาธิบดีจะเช่ือหรือไม่เชื่อก็ได้ มีค�ำบอกเล่ากันมาว่า วันหนงึ่ ประธานาธิบดี อบั ราฮัม ลินคอล์น ไดเ้ ชญิ รัฐมนตรีตา่ ง ๆ มาประชุม และรฐั มนตรสี ่วนมากลง ความเหน็ ตรงขา้ มกบั ประธานาธบิ ดี ทา่ นผนู้ เ้ี ลยสรปุ การอภปิ รายวา่ “มเี จด็ เสยี งไมเ่ หน็ ดว้ ย มเี สยี งดว้ ย เห็นด้วย ฉะนั้นให้ทำ� ตามเสยี งท่ีเห็นด้วย” ๕. อ�ำนาจบริหาร และอ�ำนาจนิติบัญญัติ ไม่ข้ึนต่อกัน และแยกจากกันค่อนข้างเด็ดขาด รฐั สภาไมม่ อี ำ� นาจใหค้ วามไวว้ างใจ หรอื ไมไ่ วว้ างใจประธานาธบิ ดี และประธานาธบิ ดกี ไ็ มม่ อี ำ� นาจยบุ สภา แตร่ ฐั สภามีอ�ำนาจฟ้องกลา่ วหาประธานาธบิ ดี โดยวิธี Impeachment ได้ อย่างไรก็ดี ในการแยกอำ� นาจดังกลา่ วน้ี รัฐธรรมนูญได้มีบทบัญญตั ยิ กเว้นไว้ ๒ ประการ คือ ๑. สิทธิยบั ย้งั กฎหมายของประธานาธบิ ดี ๒. สภาพซเี นตหรอื สภาผแู้ ทนรฐั เปน็ ผใู้ หค้ วามเหน็ ชอบแกป่ ระธานาธบิ ดี ในการตง้ั ขา้ ราชการ ชนั้ สูง เช่น รฐั มนตรี หรือทูตเป็นตน้ รัฐบาลโดยประธานาธิบดีนี้ได้กลายเป็นรูปแบบรัฐบาลตัวอย่างแบบหน่ึง ซึ่งได้รับความนิยม อย่างมาก โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประเทศท่ีหลุดพ้นจากการเป็นเมืองข้ึนและประเทศ ทลี่ ม้ ลา้ งประมขุ ทเี่ ปน็ กษตั รยิ ไ์ ด้ ไดน้ ำ� เอารปู รฐั บาลแบบประธานาธบิ ดไี ปใชโ้ ดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ บรรดา ประเทศในอเมรกิ าใตล้ ว้ นแต่มกี ารปกครองแบบประธานาธิบดที ัง้ ส้ิน สรปุ รัฐบาล คือ องค์การของรัฐผู้ใช้อ�ำนาจบริหารประเทศ ท�ำหน้าที่ใช้อ�ำนาจอธิปไตยในการ คุ้มครอง ควบคุม ดูแลรักษาประเทศ เพ่ือให้เกิดความสงบเรียบร้อย และเจริญก้าวหน้า ซึ่งเรียกว่า การปกครองหรือการบรหิ าร ซึง่ อยใู่ นรูปแบบใดรปู แบบหนง่ึ ตามความเหมาะสม อนั ที่จริงรปู แบบของ การปกครองก็คือรูปแบบของรัฐบาลท่ีท�ำหน้าท่ีในการบริหารประเทศ ซึ่งมีวิวัฒนาการของรูปแบบ ของรัฐ และรูปแบบการปกครองต่อเนื่องจากนครรัฐ รัฐศักดินา และรัฐชาติตามล�ำดับ รูปแบบของ

รปู แบบการปกครอง (Forms of Government) 173 การปกครองจะมีความสัมพันธก์ ับรูปแบบของรัฐและองคก์ ร หรือสว่ นท่เี ปน็ เจา้ ของหรือกำ� เนดิ อำ� นาจ อธิปไตย ถ้าคนเดียวเป็นเจ้าของอ�ำนาจอธิปไตย รูปแบบการปกครองอาจจะเป็นราชาธิปไตย หรือ ทชุ นาธปิ ไตย ถา้ คณะบคุ คลเปน็ เจา้ ของอำ� นาจอธปิ ไตย รปู แบบการปกครองอาจจะเปน็ อภชิ นาธปิ ไตย หรือคณาธิปไตย ถ้าประชาชนท้ังหมดเป็นเจ้าของอ�ำนาจอธิปไตย รูปแบบการปกครองก็จะเป็นแบบ ประชาธิปไตย หรือรูปแบบการปกครองแบบฝูงชนก็ได้ รูปแบบการปกครองดังกล่าว ได้วิวัฒนาการ จากอดตี มาจนถงึ ปจั จบุ นั จนเหลอื เพยี ง ๒ รปู แบบใหญ่ ๆ คอื รูปแบบการปกครองแบบประชาธปิ ไตย และรปู แบบการปกครองแบบเผด็จการนน่ั เอง จะเห็นได้ว่าการปกครองในรูปแบบที่พึงปรารถนา ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์และสนองตอบ ความตอ้ งการของคนสว่ นใหญ่ ไม่ใช่เป็นไปเพ่อื ผลประโยชน์ของผู้ปกครอง และคณะผปู้ กครอง ไมว่ ่า รูปแบบการปกครองน้นั จะเปน็ รปู แบบราชาธิปไตย อภชิ นาธปิ ไตย และประชาธปิ ไตย จะเปน็ รูปแบบ ท่ีดีท่ีสุด ถ้าสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้นได้ คือ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน หากไมส่ ามารถสนองตอบผลประโยชนข์ องประชาชนสว่ นใหญ่ กจ็ ะเปน็ รปู แบบการปกครองแบบทชุ นา ธปิ ไตย คณาธปิ ไตย และการปกครองโดยฝูงชนในท่ีสดุ ซ่งึ เป็นรูปแบบการปกครองทไี่ ม่พงึ ปรารถนา



บทที่ ๗ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย (Democracy) ความหมายของประชาธปิ ไตย คำ� ว่า “ประชาธปิ ไตย”๘๗ ถอดศัพท์มาจากภาษาองั กฤษว่า “Democracy” ซ่ึงมีรากศัพทม์ า จากภาษากรีก ๒ คำ� คอื “Demos” แปลวา่ “ประชาชน” และ “Kratos” แปลวา่ “อ�ำนาจ” เมื่อรวม กนั เขา้ แลว้ กม็ คี วามหมายวา่ “อำ� นาจของประชาชน” หรอื “ประชาชนเปน็ เจา้ ของอำ� นาจ” เพราะฉะนน้ั หลกั การขนั้ มลู ฐานของระบอบประชาธปิ ไตยกค็ อื “การยอมรบั นบั ถอื ความสำ� คญั และศกั ดศ์ิ รขี องความ เป็นมนษุ ย์ของบุคคล ความเสมอภาคและเสรีภาพในการดำ� เนนิ ชีวิต” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น ได้ให้ค�ำนิยามประชาธิปไตยในการกล่าว สนุ ทรพจน์ ณ เมอื งเกตตสิ เบอรก์ หรือ “เกตต์สปุระ” ในมลรัฐเพนซลิ วาเนีย ในวันท่ี ๑๙ พฤศจกิ ายน ค.ศ. ๑๘๖๓ ว่า “รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนจะไม่มีวันสูญสลายไปจากผืน พิภพน้ี”๘๘ วาทะดังกล่าวได้กลายเป็นค�ำนิยามยอดนิยม เพราะกะทัดรัดและกระชับความ ทั้งน้ีอาจ วิเคราะห์คำ� นิยามของอับราฮิม ลินคอล์น ออกเปน็ ๓ ส่วน ได้แก่ ๑) รัฐบาลของประชาชน ๒) รฐั บาล โดยประชาชน ๓) รฐั บาลเพือ่ ประชาชน นกั รฐั ศาสตรผ์ มู้ ชี อ่ื เสยี งหลายทา่ นไดใ้ หค้ ำ� จำ� กดั ความเรอ่ื ง ระบอบการปกครองประชาธปิ ไตย ไวแ้ ตกต่างกัน เชน่ ๘๙ ฮาโรลด์ ลาสก้ี “เนื้อแท้ของประชาธิปไตยกค็ ือ ความปรารถนาของมนษุ ยท์ ่ีจะยอมรบั นับถือ และรักษาไว้ซ่ึงความส�ำคัญของตนเอง รวมตลอดถึงความเสมอภาคระหว่างบุคคลในทางเศรษฐกิจ สังคม การเมอื ง” (ใจความส�ำคัญกค็ ือ ความเสมอภาคซึง่ เป็นทมี่ าแห่งเสรภี าพ) ๘๗ โกวทิ วงศส์ รุ วฒั น์ รศ. ดร. “รฐั ศาสตรก์ บั การเมอื ง” (กรงุ เทพฯ สำ� นกั พมิ พต์ ะเกยี ง : ๒๕๓๔) หนา้ ๕๑ ๘๘ Lewis Copeland and Lawrence Lamn (eds.) The Wolld is Great Speedches (2nd ed., New York : Dover 1985). p.315 ๘๙ ประสาร ทองภกั ดี พ.ท. เรอื่ งเดมิ หนา้ ๑๑๒

176 รัฐศาสตรเ์ บ้ืองต้น ชาลส์ อีเมอเร่ียม “ประชาธิปไตยเป็นแนวความคิด และเป็นการปฏิบัติที่มุ่งไปสู่ความผาสุก รว่ มกนั ของประชาชน โดยมเี จตนารมณร์ ว่ มกนั ของประชาชนนนั้ เอง เปน็ เครอื่ งนำ� ทาง” (ใจความสำ� คญั กม็ งุ่ ถึงความผาสุกร่วมกนั ซึง่ มรี ากฐานจากทางเศรษฐกจิ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ คอื การวภิ าคผลผลติ ไปสู่ ชมุ ชน) ลอรด์ ไบร์ซ์ “ประชาธิปไตย หมายถงึ รัฐบาลทีถ่ ือเอาเจตนารมณข์ องประชาชนฝา่ ยข้างมาก เปน็ หลัก” (สาระสำ� คัญ ในความคิดน้ีอยทู่ ่ีการตัดสินโดยเสยี งข้างมาก) แมก้ ไอเวอร์ “ประชาธปิ ไตยเปน็ ทงั้ รปู การปกครองและวถิ ชี วี ติ ประชาธปิ ไตยทงั้ สองดา้ นนจ้ี ะ ต้องด�ำเนินไปด้วยกัน” (สาระส�ำคัญของประชาธิปไตย ความคิดนี้เน้นความหมายของประชาธิปไตย ทง้ั ที่เปน็ ลกั ษณะรปู การปกครอง และปรชั ญาในการดำ� รงชวี ิตร่วมกนั ของมนษุ ย์ ประชาธิปไตยตามทัศนะของพระพทุ ธศาสนา คือ ๑. ปชาสุขัง มหุตตมัง ประชาธิปไตยเป็นการปกครองท่ีต้องค�ำนึงถึงประโยชน์สุขของ ประชาชนเป็นสูงสุด ๒. มหาชนหิตายะ สขุ ายะ ประชาธิปไตยเปน็ การปกครองท่ีมีเปา้ หมายเพ่อื ความเปน็ ไปแหง่ ประโยชน์เกือ้ กูลและเพื่อความสงบสขุ ของมหาชนเป็นทตี่ ัง้ สุขมุ นวลสกุล และวิศษิ ฐ ทวีเศรษฐ ไดใ้ หค้ วามหมายไวด้ ังน๙้ี ๐ การปกครองท่ีเป็นประชาธิปไตย คือ รูปการปกครองที่ยึดอ�ำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนไม่ ว่าจะเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี (Presidential Democracy) หรือแบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy) ถ้าอ�ำนาจสูงสุดในการก�ำหนดการปกครองอยู่ที่ประชาชนแล้วก็เป็น การปกครองแบบประชาธปิ ไตยทง้ั สิน้ ประเทศทเ่ี ป็นประชาธปิ ไตยนั้นจำ� เปน็ ตอ้ งมรี ฐั ธรรมนญู ซึง่ อาจ เปน็ รฐั ธรรมนญู แบบลายลกั ษณอ์ กั ษรหรอื ไมล่ ายลกั ษณอ์ กั ษรกไ็ ด้ เพราะประชาธปิ ไตยถอื การปกครอง โดยกฎหมาย (Rule by law) อยา่ งไรกต็ ามรฐั ธรรมนญู นนั้ เปน็ เพยี งกตกิ าการปกครองไมใ่ ชเ่ ครอื่ งหมาย แสดงความเปน็ ประชาธปิ ไตย เพราะฉะนนั้ การทปี่ ระเทศใดมรี ฐั ธรรมนญู จงึ มไิ ดห้ มายความวา่ รปู การ ปกครองของประเทศนั้นเป็นประชาธิปไตย เพราะบางประเทศเช่น สหภาพโซเวียต สาธารณรัฐ ประชาชนจนี ซ่ึงเป็นที่ยอมรบั กนั วา่ มีระบบการปกครองแบบเบ็ดเสรจ็ ต่างก็มรี ฐั ธรรมนูญเช่นเดยี วกับ ประเทศเสรีนิยมอื่น ๆ เหมือนกนั การท่จี ะพิจารณาว่าประเทศใดเปน็ ประชาธปิ ไตยหรือไมจ่ งึ ต้องดูว่า รฐั ธรรมนญู ของประเทศนน้ั ก�ำหนดให้ประชาชนเป็นเจา้ ของอำ� นาจอธปิ ไตยหรอื ไม่ ๙๐ สขุ มุ นวลสกลุ รศ. ดร. และวศิ ษิ ฐ์ ทวเี ศรษฐ รศ. เรอื่ งเดมิ หนา้ ๑๘

การปกครองระบอบประชาธิปไตย (Democracy) 177 จรญู สภุ าพ ได้ใหค้ วามหมายของประชาธปิ ไตยไวด้ งั น๙้ี ๑ ค�ำว่าประชาธิปไตย มีต้นก�ำเนิดจากภาษากรีก ดูเหมือนชาวกรีกจะเป็นพวกแรกที่ใช้ค�ำนี้ ความหมายดั้งเดิมของประชาธิปไตย ที่รู้จักกันในหมู่ชาวกรีกโบราณเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ กว่าปี หมายถงึ การปกครองโดยหมชู่ นหรอื ประชาชน การปกครองแบบนต้ี รงกบั คำ� ภาษาองั กฤษ คอื democracy ซึ่งมรี ากศัพท์เดมิ จาก demos ซ่ึงแปลว่าประชาชน ส�ำหรบั ภาษาไทย คำ� ว่า “ประชาธิปไตย” อาจจะแยกได้เป็น ๒ คำ� คือ ประชา ซ่งึ หมายถึง ประชาชน และค�ำว่า อธิปไตย ซ่ึงแปลว่าอ�ำนาจสูงสุดของแผ่นดิน เมื่อรวมกันข้ึนจึงหมายถึง การปกครองทีอ่ �ำนาจสูงสุดเปน็ ของประชาชนหรอื มาจากประชาชน ประชาธปิ ไตยจงึ มคี วามหมาย ทงั้ ในรปู แบบและหลกั ของการปกครอง รวมตลอดถงึ การดำ� รง ชีวติ ร่วมกันของมนุษย์ ในแง่ของการปกครองนั้น มุ่งถึงการมีส่วนของประชาชนในการท่ีจะเข้าร่วมก�ำหนดนโยบาย ตา่ ง ๆ อันเกย่ี วกับประโยชน์สว่ นตนและส่วนรวม ส่วนในแง่ของการด�ำเนินชีวิตน้ัน หมายถึงการยอมรับเสรีภาพ ความส�ำคัญและประโยชน์ ซึง่ กนั และกนั โดยมีเหตผุ ลเป็นเครื่องน�ำทาง เพอ่ื ความผาสกุ ร่วมกนั ความหมายของประชาธิปไตยท่ีใช้กันในภายหลังน้ัน อาจจะแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ ความหมายแคบกบั ความหมายกวา้ ง ความหมายแคบ หมายถงึ การทป่ี ระชาชนมอี ำ� นาจปกครองตนเอง ส่วนในความหมายท่กี วา้ ง ประชาธปิ ไตยเป็นวิถีชวี ิตแบบหน่ึงซ่งึ มีแบบแผนแห่งพฤตกิ รรมใน ทางการเมือง เศรษฐกจิ สังคมและวัฒนธรรม ววิ ัฒนาการประชาธปิ ไตย (Democracy) ประชาธิปไตย แปลมาจากคำ� วา่ Democracy ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมฐี านศพั ทจ์ ากภาษากรกี คือ Demokratia๙๒ อันเป็นค�ำท่ีเกิดจากการรวมกันของค�ำว่า Demos ที่แปลว่า ประชาชน (the people) กับคำ� วา่ kratia ที่มรี ากฐานมาจากค�ำกริยาวา่ Kratien หรือเม่ือเป็นค�ำนามจะเขยี นวา่ Kratos ที่แปลว่า การปกครอง (to rule) เพราะฉะนั้น ค�ำว่า Demokratia จึงแปลว่า การปกครอง โดยประชาชน (Government by the people) ๙๑ จรญู สภุ าพ ศ. เรอื่ งเดมิ หนา้ ๕๒-๕๓ ๙๒ Raymond Williams Keywords. (Londom : Fontana Books,๑๙๘๓). pp. ๙๓

178 รฐั ศาสตร์เบือ้ งต้น การปกครองในรปู แบบประชาธปิ ไตยเกดิ ขนึ้ เรม่ิ แรกในสมยั กรกี โบราณทมี่ รี ฐั เลก็ ๆ คอื นครรฐั (City – states or polis) แตล่ ะนครรฐั จะเป็นอิสระต่อกัน๙๓ และมีการปกครองของตนเองโดยในบาง นครรฐั จะมกี ารปกครองโดยประชาชนโดยตรง หรอื ทเ่ี รยี กวา่ ประชาธปิ ไตยทางตรง (Direct democ- racy) ตัวอย่างท่ีเห็นได้อย่างชัดเจนคือ นครรัฐเอเธนส์ (Athens) ท่ีมีสภาประชาชน (The General Assembly of Citizens or Ecclesia) เปน็ สถาบนั สงู สดุ ทแี่ สดงถงึ เจตนารมณข์ องประชาชนในการทำ� หน้าที่ออกกฎหมาย ควบคุมและอภิปรายเกี่ยวกับการท�ำงานของฝ่ายบริหารในการปกครองนครรัฐ และนโยบายตา่ งประเทศ สมาชกิ ของสภาประชาชนมาจากราษฎรชายทกุ คนทเ่ี ปน็ พลเมอื งของนครรฐั และมีอายุ ๒๐ ปีขึ้นไป ส่วนฝ่ายบริหารได้แก่คณะมนตรีห้าร้อย (The Council of Five Hundred or Boucle) ท่ีมาจากการจับฉลากของราษฎรที่เป็นพลเมืองชายอายุ ๓๐ ปีข้ึนไปจ�ำนวน ๕๐๐ คน วาระการดำ� รงตำ� แหนง่ หนงึ่ ปี ทำ� หนา้ ทค่ี วบคมุ และบรหิ ารนครรฐั ใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมายและนโยบาย ที่สภาประชาชนก�ำหนด ส�ำหรับอ�ำนาจตุลาการมีศาลประชาชน (Courts of Juries or Heliacal) ทส่ี มาชกิ ของศาลมาจากการจับฉลากของราษฎรทีเ่ ปน็ พลเมืองชายอายุ ๓๐ ปขี น้ึ ไปเช่นกนั ๙๔ แต่การ ปกครองแบบประชาธปิ ไตยกไ็ มไ่ ดถ้ กู นำ� มาใชอ้ กี ภายหลงั การลม่ สลายของกรกี โบราณ จนกระทงั่ ในตน้ ศตวรรษท่ี ๑๓ แนวคดิ เรอื่ งประชาธปิ ไตยจงึ ไดร้ บั ความสนใจอีกครงั้ จนไดร้ ับการนำ� มาปฏบิ ัติจนเป็น รปู ธรรมในเวลาต่อมา แนวคิดประชาธิปไตยท่ีต่อต้านการมีอ�ำนาจเด็ดขาดของกษัตริย์ได้เร่ิมเกิดข้ึนในประเทศ องั กฤษ๙๕ชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑๓ เมอ่ื พวกขนุ นางองั กฤษเรยี กรอ้ งใหพ้ ระเจา้ จอหน์ (King John) ยอม ลงนามในกฎบตั ร Magna Carta ในปี ค.ศ. ๑๒๑๕ เปน็ การลดอำ� นาจของกษัตรยิ ์ลงและตั้งสภาใหญ่ (The Great Council) เพอื่ เปน็ การเพมิ่ อำ� นาจใหแ้ กก่ ลมุ่ ขนุ นาง ตอ่ มาในปี ค.ศ. ๑๒๕๘ ในสมยั พระเจา้ เฮนร่ีท่ี ๓ (King Henry III) ไดม้ กี ารตัง้ สภาขนุ นาง (Baronial Council) มาแทนสภาใหญต่ ามคำ� เรียก ร้องของกลุม่ ขุนนาง ทำ� ใหข้ ุนนางมีอำ� นาจมากยิง่ ขน้ึ และได้มกี ารเปลย่ี นแปลงเปน็ สองสภา คือ สภา ขุนนาง (House of Lords) กับ สภาสามัญชน (House of Commons) และในเวลาต่อมา ปี ค.ศ. ๑๖๒๘ พระเจ้าชาร์ลที่ ๑ (king Charles I) ได้ทรงยอมรับในข้อเรียกรอ้ งเกย่ี วกบั สิทธิ (Petition of Rights) ท่ีพวกขุนนางเสนอ และจากข้อเรียกร้องเก่ียวกับสิทธิน้ีเองที่ท�ำให้พระเจ้าชาร์ลที่ ๑ ต้องถูก สำ� เรจ็ โทษในปี ค.ศ. ๑๖๔๙ ภายหลงั การเกดิ สงครามกลางเมอื ง อนั มสี าเหตมุ าจากความขดั แยง้ ระหวา่ ง ๙๓ เสนห่ ์ จามรกิ (แปล) ความคดิ ทางการเมอื งจากแปลโตจนถงึ ปจั จบุ นั . (กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ๒๕๑๙) น. ๑๔-๑๗. แปลวา่ M.J. Harmon, Political thought : From Plato to the Presemt. ๙๔ วสิ ทุ ธ์ิ โพธแิ ทน่ ประชาธปิ ไตย : แนวความคดิ และตวั แบบประชาธปิ ไตยในอดุ มคติ (กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ๒๕๒๔) บทที่ ๒ ๙๕ รายละเอยี ดใน Harold J Schultz Histoey of England. (New York : Bฺ arnes and Nobles. ๑๙๖๘). pp.๑ - ๙

การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย (Democracy) 179 กษตั รยิ ์กบั กลุ่มขุนนาง เม่ือพระองคล์ ะเมดิ ขอ้ เรยี กรอ้ งเก่ยี วกับสิทธทิ ่กี ลุ่มขนุ นางเปน็ ผเู้ สนอ๙๖ ในช่วง เวลาตอ่ มาหลงั ค.ศ. ๑๖๔๙ อังกฤษถกู ปกครองโดยเผด็จการของ โอลิเวอร์ ครอมเวล ผนู้ ำ� ในการตอ่ สู้ กับอำ� นาจของพระเจ้าชารล์ ที่ ๑ เมื่อครอมเวลจบชีวิตลงในปี ค.ศ. ๑๖๕๘ อังกฤษก็กลับสู่การปกครองด้วยระบบกษัตริย์ อกี คร้งั หนึง่ โดยในปี ค.ศ. ๑๖๖๐ ไดอ้ ัญเชญิ พระเจ้าชารล์ ท่ี ๒ เสด็จกลบั มาครองราชยภ์ ายหลงั การลี้ ภยั ไปอยตู่ า่ งประเทศในชว่ งการสน้ิ พระชนมข์ องพระเจา้ ชารล์ ที่ ๑ แตอ่ ยา่ งไรกด็ ี ตลอดระยะเวลา ๒๕ ปี ทพี่ ระเจา้ ชารล์ ที่ ๒ ทรงปกครององั กฤษความขดั แยง้ ระหว่างกษัตริยก์ บั กลุ่มขนุ นางกท็ วคี วามรนุ แรง มากขึ้น โดยเฉพาะเม่อื พระเจา้ เจมสท์ ี่ ๒ (King james II) ผู้เป็นอนชุ าได้ขนึ้ ครองราชย์ตอ่ จากพระเจ้า ชารล์ ที่ ๒ พระเชษฐาในปี ค.ศ. ๑๖๘๕ ภายใตส้ ภาวะของสงั คมทสี่ บั สนและเตม็ ไปดว้ ยปญั หาความขดั แยง้ ทางการเมอื ง สาเหตแุ หง่ ความขดั แยง้ ระหวา่ งกษตั รยิ ก์ บั ขนุ นางประเดน็ หนงึ่ คอื การทพี่ ระเจา้ เจมส์ ที่ ๒ ไดเ้ ปลย่ี นไปนบั ถอื ศาสนาครสิ ตน์ กิ ายโรมนั คาธอรกิ ในราวปี ค.ศ. ๑๖๓๘ ในสมยั ทย่ี งั ทรงเปน็ ดยคุ๊ แหง่ ยอรค์ (Duke of York)๙๗ พระเจ้าเจมสท์ ่ี ๒ จงึ เปน็ กษตั ริยอ์ งั กฤษพระองค์แรกท่นี ับถือนกิ ารโรมนั คาธอริก การต่อสู้แย่งชิงอ�ำนาจระหว่างกษัตริย์กับขุนนางยังคงมีตลอดมาจนกระท่ังส่งผลให้เกิดการ ปฏิวัติอันทรงเกียรติ (The Glorious Revolution) ในปี ค.ศ. ๑๖๘๘ หลังขับไล่พระเจ้าเจมส์ท่ี ๒ ออกจากบัลลังก์แล้วเชิญพระเจ้าวิลเลี่ยมกับพระนางแมรี (king William and Queen Mary) ในปี ค.ศ. ๑๖๘๘ จากฮอลแลนดม์ าดำ� รงตำ� แหนง่ แทน และมกี ารยอมลงนามในพระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยสทิ ธิ (Bill of Rights) ในปี ค.ศ. ๑๖๘๙ ซ่งึ เนอ้ื หาสว่ นใหญ่ในการคัดลอกมาจากประกาศวา่ ดว้ ยสทิ ธิ (Dec- laration of Right) ทรี่ ฐั สภารา่ งขน้ึ กอ่ น๙๘ สาระสำ� คญั คอื หา้ มกษตั รยิ เ์ กบ็ ภาษปี ระชาชนตามอำ� เภอใน กษัตริย์จะเก็บภาษีจากประชาชนได้ต่อเม่ือได้รับความยินยอมและเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนเท่าน้ัน และกษตั รยิ จ์ ะมกี องทพั ของตนเองในขณะเวลาสงบโดยปราศจากการยนิ ยอมและเหน็ ชอบจากรฐั สภา ไม่ได้ อีกทั้งต้องให้สิทธิและเสรีภาพแก่ประชาชนในการแสดงความคิดเห็นทั้งในด้านการเมืองและ ศาสนา ตงั้ แตน่ น้ั เปน็ ตน้ มาองั กฤษกไ็ ดม้ วี วิ ฒั นาการสกู่ ารปกครองระบอบประชาธปิ ไตยรปู แบบรฐั สภา โดยมีพระมหากษัตรยิ เ์ ปน็ ประมขุ จนกลายเปน็ ประเทศแม่แบบของการปกครองระบอบนี้ ๙๖ ขอ้ เรยี กรอ้ งเกยี่ วกบั สทิ ธิ (Petition of rights) มเี นอ้ื หาสาระสำ� คญั ๆ คอื ใหก้ ษตั รยิ เ์ คารพสทิ ธขิ องสามญั ชน หา้ มจบั กมุ กกั ขงั บคุ คลโดยไมม่ คี วามผดิ ทช่ี ดั แจง้ หา้ มประกาศอยั การศกึ ษาในเวลาสงบ และหา้ มการเกบ็ ภาษอี าการโดยไมไ่ ดร้ บั การยนิ ยอมเหน็ ชอบจากรฐั สภา ๙๗ Maurice Sshley, The Gorious Revolution of ๑๖๘๘.(London : Panther ๑๙๖๘.) pp. ๒๕ ๙๘ ม.ร.ว. รุจนา อาภากร “กษัตริย์และรัฐสภาอังกฤษกับการปฏิบัติอันรุ่งโรจน์ (ค.ศ. ๑๖๘๘)” ใน วุฒิชัย มูลศิลป์ และโกวิท วงศส์ รุ วฒั น์ (บรรณาธกิ าร) การปฏวิ ตั คิ รง้ั สำ� คญั ของโลก (กรงุ เทพฯ : เจา้ พระยาการพมิ พ์ ๒๕๒๖). น.๒๗

180 รัฐศาสตรเ์ บอื้ งต้น ตัง้ แต่ครสิ ต์ศตวรรษที่ ๑๘ เปน็ ตน้ มาไดม้ กี ารน�ำคำ� วา่ ประชาธปิ ไตยมาใช้กนั อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะน�ำไปเป็นค�ำคุณศัพท์เพื่อขยายระบอบการปกครองของประเทศตน ท�ำให้แนวคิดเกี่ยวกับ ประชาธปิ ไตยแบง่ ออกเปน็ ๒ แนวใหญ่ ๆ นั่นคือ แนวคดิ แบบเสรปี ระชาธิปไตย (Liberal Democ- racy) หรอื ประชาธปิ ไตยแบบตะวนั ตก (Western Democracy) กบั แนวคดิ ประชาธปิ ไตยของประชาชน (People’s Democracy) หรือท่เี รียกวา่ ประชาธิปไตยเบด็ เสรจ็ (Totalitarian Democracy) ซ่ึงจะมี ความหมายทแี่ ตกตา่ งกนั ออกไป โดยเฉพาะการตคี วามเกย่ี วกบั เสรภี าพ โดยกลมุ่ เสรปี ระชาธปิ ไตยเชอื่ วา่ เสรีภาพเป็นสิ่งที่เกิดมาจากความสมัครใจของประชาชนโดยปราศจากถูกบังคับจากรัฐ แต่ในกลุ่ม ประชาธปิ ไตยของประชาชนเชอื่ วา่ เสรภี าพจะเกดิ ขน้ึ ไดจ้ ากการกระทำ� ตามวตั ถปุ ระสงคแ์ หง่ สว่ นรวม และรฐั สามารถทจี่ ะใชอ้ ำ� นาจบงั คบั ประชาชนใหป้ ฏบิ ตั ติ ามได้ เพราะถอื วา่ การบงั คบั เพอ่ื วตั ถปุ ระสงค์ แหง่ สว่ นรวมในหลายประเทศแตก่ เ็ ปน็ ประชาธปิ ไตยทางออ้ ม (Indirect democracy) เพราะโครงสรา้ ง และองคป์ ระกอบของสงั คมมคี วามสลบั ซบั ซอ้ นมากขน้ึ จนไมส่ ามารถทจ่ี ะใชร้ ปู แบบประชาธปิ ไตยทาง ตรงได้ ทัศนะเกีย่ วกบั ประชาธิปไตย๙๙ ในปจั จบุ นั มแี นวโนม้ ทจี่ ะมคี วามรสู้ กึ ทดี่ หี รอื มที ศั นคตทิ ด่ี เี ชงิ ปฏฐิ านตอ่ คำ� วา่ “ประชาธปิ ไตย” ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากการทม่ี ผี นู้ ยิ มใชศ้ พั ทน์ น้ั กนั มากดงั กลา่ วขา้ งตน้ อกี ทงั้ ในชว่ งหลงั มหาสงครามโลกครง้ั ที่ ๒ องค์การยูเนสโก ได้ส�ำรวจความคิดเห็นของนักวิชาการท้ังจากโลกตะวันตกและตะวันออกเป็น จ�ำนวนกว่า ๑๐๐ คน ทุกคนล้วนมีทัศนะท่ีดีต่อประชาธิปไตย ส�ำหรับในอดีตน้ัน เปอริคลีส ผู้น�ำคน หนง่ึ ของนครรฐั เอเธนสย์ คุ โบราณไดแ้ สดงความชนื่ ชมตอ่ ระบบการปกครองประชาธปิ ไตยแบบโดยตรง ส่วนนักปราชญ์เพลโตมีความเห็นต่อต้านประชาธิปไตย โดยถือว่าเป็นการให้อ�ำนาจแก่ผู้ท่ีปราศจาก ความรู้ เพลโตตอ้ งการสถาปนาสังคมอนั เลอเลิศอย่างทเ่ี รียกว่า “อตุ มรฐั ” โดยใหผ้ ปู้ กครองสูงสุดเปน็ “ราชาปราชญ์” และบรรดาผ้นู �ำระดับรอง ๆ ลงไปเปน็ ผมู้ ีสตปิ ญั ญาและคณุ ธรรมสำ� หรบั อาริสโตเติล มแี นวคดิ คลา้ ยเพลโต แตไ่ มต่ อ่ ตา้ นประชาธปิ ไตยมากนกั ดงั จะเหน็ ไดว้ า่ ในการแบง่ รปู แบบการปกครอง น้ัน อาริสโตเตลิ จัดประชาธปิ ไตยอยูใ่ นกลุ่มการปกครอง โดยคนหมมู่ ากทีม่ ีความโน้มเอียงไปในทางที่ ไม่ดี แต่การปกครองโดยคนส่วนใหญ่ซง่ึ มีแนวโนม้ ไปในทางที่ดี และอาริสโตเตลิ เชื่อว่าจะเปน็ ไปได้คอื “มชั ฌิมธปิ ไตย” หรือ “มัชฌมิ วิถีอธิปไตย” (Polity) ซ่ึงพอท่ีจะเทยี บเคยี งกับประชาธปิ ไตยในยคุ ปัจจุบันซง่ึ มหาชนส่วนใหญ่อยูใ่ นระดับกลาง เชน่ ในอังกฤษ สหรฐั อเมริกา และญป่ี ่นุ ๙๙ จริ โชค (บรรพต) วรี ะสยั ดร. สรุ พล ราชภณั ฑารกั ษ์ ดร. และสรุ พนั ธ์ ทบั สวุ รรณ์ ผศ. เรอื่ งเดมิ หนา้ ๒๕๗-๒๕๘

การปกครองระบอบประชาธิปไตย (Democracy) 181 ต่อจากช่วงเวลาของอาริสโตเติลแล้ว ศัพท์ประชาธิปไตยถูกใช้ในความหมายที่ไม่แสดงความ นยิ มชมชน่ื จวบจนกระทงั่ ศตวรรษท่ี ๑๗ ประชาธปิ ไตยเรม่ิ ไดร้ บั การยอมรบั วา่ มคี ณุ คา่ โดยกลมุ่ บคุ คล ซง่ึ เรยี กตนเองวา่ “ผูข้ ยบั ใหส้ ูงขน้ึ ” หรือ “ผู้ยกระดับ” (The levelers) ในประเทศอังกฤษ ต่อมาในตอนปลายศตวรรษท่ี ๑๘ คอื ประมาณ ๒๐๐ ปีมาแลว้ ผูค้ นจ�ำนวนมากโดยเฉพาะผู้ มีการศึกษาไม่พอใจกับการใช้ศัพท์ประชาธิปไตย และแม้กระทั่ง “บรรดาบิดาผู้สถาปนา” หรือ “ผปู้ ระดษิ ฐ”์ (Founding Fathers) คอื ผกู้ อ่ ตงั้ ของประเทศและรฐั ธรรมนญู ของสหรฐั อเมรกิ า ไมย่ อม ใช้ศัพท์ “ประชาธิปไตย” แต่ใช้ค�ำว่า “ลัทธิสาธารณรัฐนิยม” หรือ “คตินิยมแบบสาธารณรัฐ” (Republicanism) แทน ทำ� ใหศ้ พั ทส์ าธารณรฐั นยิ มนม้ี คี วามหมายแทนประชาธปิ ไตยในยคุ นน้ั คอื เมอื่ ประมาณ ๒๐๐ ปมี าแลว้ ในศตวรรษที่ ๑๙ มีการมองประชาธปิ ไตยในแง่ท่ีดอี ย่างแพร่หลายมากขน้ึ ดังปรากฏในข้อเขียนของผู้มีเชื้อสายขุนนางฝรั่งเศสที่มีช่ือว่าแอเลกซิส เดอ ทอคเกอวิลย์ เกี่ยวกับ “ประชาธปิ ไตยในอเมรกิ า” จวบจนกระท่งั ถงึ ยุครว่ มสมยั ในศตวรรษท่ี ๒๐ โดยเฉพาะเมอ่ื ๗๐ ปมี า แลว้ คอื ภายหลังสงครามโลกคร้งั ที่ ๑ (๑๙๑๔ – ๑๘) มีการมองประชาธปิ ไตยไปในทางทด่ี ขี ้ึนอย่างชัด แจง้ และถอื วา่ ศตวรรษท่ี ๒๐ นา่ จะเปน็ ศตวรรษแหง่ สามญั ชนและศตวรรษแหง่ การทนี่ านาชาตติ ดั สนิ ใจด้วยตนเอง (Self – determination) โดยปราศจากการบีบบังคับหรือขู่เข็ญใด ๆ ดังน้ันศัพท์ “ประชาธิปไตย” ได้กลายเป็น “ศัพท์เกยี รติยศ” (Honorific) ที่หลายส�ำนกั และหลายฝา่ ยต้องการยึด เปน็ ของตนดังไดก้ ล่าวมาแลว้ ตวั อยา่ งพอเห็นได้จากการท่ี ๑) ฮติ เลอร์ เรียกระบบเผดจ็ การนาซขี องเขาวา่ “ประชาธิปไตย ทแ่ี ทจ้ รงิ ” (“Real” Democracy) สว่ น ๒) มสุ โสลนิ ี เรยี กระบบฟาสซสิ มข์ องเขาวา่ เปน็ “ประชาธปิ ไตย แบบอำ� นาจนยิ ม” (Authoritarian Democracy) การจดั ระบบและโนม้ อำ� นาจอยทู่ ศี่ นู ยก์ ลาง สำ� หรบั ๓) สหภาพโซเวียต เรียกระบบการปกครองของตนว่าเป็น “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” โดยเรียกการ ปกครองในโลกตะวันตกว่าเป็น “ประชาธิปไตยแบบกระฎุมพี” (Bourgeois) หรือ “แบบนายทุน” หรือเป็น “ประชาธิปไตยแบบทราม” (Sham Democracy) ๔) ส่วนประเทศซ่ึงนิยมคอมมิวนิสต์ อน่ื ๆ รวมทงั้ ยโุ รปตะวนั ออกและประเทศจนี เรยี กระบบของตนวา่ เปน็ “ประชาธปิ ไตยของประชาชน” หรอื “มหาชนาธิปไตย” เนือ้ หาของประชาธิปไตย เสรปี ระชาธิปไตย (Liberal Democracy) หรือประชาธปิ ไตยแบบตะวนั ตก (Western De- mocracy) มีเนอ้ื หาของประชาธิปไตย ดงั ต่อไปน้ี

182 รฐั ศาสตร์เบ้อื งตน้ ๑. อ�ำนาจอธิปไตยเปน็ ของประชาชน (Popular sovereignty) โดยมีหลกั การพ้นื ฐานใน ประเด็นน้ีว่าความต้องการของปวงชนเพ่ือผลประโยชน์ร่วมกันของสังคมส่วนรวม แต่เพราะอุปสรรค หลายประการท่ีทำ� ให้ไม่สามารถใชร้ ปู แบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยทางตรงได้ ส่ิงที่แสดงถงึ อ�ำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนในการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยทางอ้อมจงึ ประกอบด้วย ๑.๑ การเลือกต้ัง (Election) เพื่อเลือกบุคคลเป็นตัวแทนเข้าไปท�ำหน้าที่บริหารปกครอง ประเทศ และออกกฎหมายเพ่ือให้เกิดการปกครองที่เป็นไปตามหลักนิติธรรม (The rule of law) การเลือกต้ังจึงเป็นการควบคุมสภานิติบัญญัติและรัฐบาลโดยประชาชน และให้ผู้แทนราษฎรหรือผู้ที่ ถูกเลือกตั้งเข้าไปท�ำหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนโดยตรง แต่ทั้งน้ีผู้มีสิทธิในการลงคะแนนเสียง เลอื กตง้ั กจ็ ะตอ้ งมคี ณุ สมบตั คิ รบตามทก่ี ฎหมายของประเทศกำ� หนด การเลอื กตง้ั ถอื วา่ เปน็ สว่ นประกอบ ทส่ี ำ� คญั ของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย เนอื่ งจากการเลอื กตง้ั เปน็ วธิ ที างเดยี วทจี่ ะสามารถเลอื ก ผู้ปกครองได้ตามเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ การปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงต้องมีการ เลอื กตง้ั หรอื อกี นยั หนงึ่ กค็ อื การเลอื กตง้ั เปน็ สว่ นประกอบทสี่ ำ� คญั สว่ นประกอบหนง่ึ ของการปกครอง ระบอบประชาธปิ ไตย แตก่ ็มไิ ดห้ มายความว่า ประเทศท่ีมีการเลือกตั้งเพยี งองคป์ ระกอบเดยี วจะสรุป ได้ว่ามีการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะการเลือกต้ังท่ีถือว่าเป็นการเลือกต้ังตามระบอบ ประชาธปิ ไตยจะตอ้ งประกอบดว้ ยหลักเกณฑ์ดงั ตอ่ ไปนี้ ก. การเลอื กตง้ั โดยอสิ ระ (Free election) เพอ่ื ใหป้ ระชาชนสามารถเลอื กบคุ คลทตี่ นตอ้ งการ อย่างแท้จริงให้เข้าไปท�ำหน้าที่บริหารปกครองประเทศแทนตน เพ่ือให้เป็นการสอดคล้องกับหลักการ ของประชาธิปไตยท่ีเป็นรูปแบบปกครองโดยประชาชนและยึดหนักเจตนารมณ์ของประชาชนเป็นเป้า หมายส�ำคญั ข. การลงคะแนนเสยี งแบบลบั (Secret voting) เปน็ การสนบั สนนุ การเลอื กตง้ั โดยอสิ ระเพราะ การลงคะแนนเสียงเลือกต้ังเป็นเอกสิทธิ์ของบุคคลที่ผู้อื่นจะล่วงละเมิดไม่ได้ และเป็นการให้ความคุ้น ครองแกผ่ ลู้ งคะแนนเสยี งในการใชว้ จิ ารณญาณของตนไดอ้ ยา่ งอสิ ระ ไมม่ กี ารบงั คบั การลงคะแนนเสยี ง แบบลับเกิดข้ึนคร้ังแรกในปี ค.ศ. ๑๘๕๖ ท่ีรัฐวิคตอเรีย (Victoria) ของออสเตรเลียสมัยท่ียังเป็น อาณานิคมขององั กฤษ ค. เป็นการเลือกต้ังอย่างแท้จริง (Genuine election) คือการเลือกต้ังท่ีเปิดโอกาสให้ผู้ท่ี ตอ้ งการสมคั รเขา้ รบั การเลอื กตงั้ ทกุ คนทมี่ คี ณุ สมบตั พิ นื้ ฐานตามทร่ี ฐั ธรรมนญู กำ� หนดสามารถกระทำ� ได้ เป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลท่ีมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันสามารถสมัครเข้าแข่งขันกันได้ โดยสจุ รติ เพอื่ ใหผ้ ลู้ งคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ มที างเลอื ก (Choice) ในการเลอื กตงั้ และตอ้ งไมม่ กี ารคดโกง หรอื การทุจริตในการเลือกต้ัง เพอื่ ให้ได้ตัวแทนของประชาชนอย่างแทจ้ รงิ

การปกครองระบอบประชาธิปไตย (Democracy) 183 ง. เป็นการเลือกตง้ั ทม่ี ีก�ำหนดระยะเวลา (Periodic election) คอื ตอ้ งมีกำ� หนดวาระในการ ด�ำรงตำ� แหนง่ ของผู้แทนไว้เปน็ ก�ำหนดเวลาท่ีแน่นอน เพ่ือใหป้ ระชาชนได้มโี อกาสตรวจสอบว่า ผู้ทไี่ ด้ รบั การเลอื กตง้ั เขา้ ไปนนั้ ไดป้ ฏบิ ตั ภิ ารกจิ ตรงตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมายจากประชาชนหรอื ไม่ หากไดป้ ฏบิ ตั ิ ตรงตามทเี่ คยสญั ญาหรอื แถลงไวก้ อ่ นการไดร้ บั การเลอื กตงั้ เมอ่ื ครบวาระการดำ� รงตำ� แหนง่ ประชาชน กจ็ ะเลอื กผแู้ ทนนน้ั กลบั ไปดำ� รงตำ� แหนง่ เชน่ เดมิ แตห่ ากไมไ่ ดป้ ฏบิ ตั ติ ามทไ่ี ดส้ ญั ญาไว้ ประชาชนจะได้ มีโอกาสในการเลือกบุคคลใหม่เพื่อเข้าไปปฏิบัติหน้าท่ีแทนอันเป็นการสร้างทางเลือกให้แก่ประชาชน ผเู้ ป็นเจา้ ของอ�ำนาจอธิปไตย จ. การมสี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั อยา่ งเสมอภาค (Equal suffrage) หมายถงึ การทป่ี ระชาชนผมู้ สี ทิ ธเิ์ ลอื ก ตั้งทุกคนจะต้องมีคะแนนเสียงที่เท่ากัน และมีน้�ำหนักของคะแนนเสียง (Equally weighed) เท่ากัน ด้วย แต่ในกรณีท่ีมีการแบ่งเขตการเลือกต้ังแบบหน่ึงเขตเลือกได้หลายคนและถือจ�ำนวนประชากรใน แต่ละหนว่ ยการเลอื กตั้งเปน็ หลัก อาจทำ� ใหป้ ระชาชนในแตล่ ะเขตการเลือกต้ังมีสิทธิในการลงคะแนน เสียงไม่เท่ากัน เพราะหากในเขตการเลือกตั้งน้ันมีประชากรมากก็จะท�ำให้ผู้ลงคะแนนเสียงมีคะแนน เสียงมากไปด้วย ส่วนในเขตที่มีประชากรน้อยก็จะท�ำให้ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกต้ังคะแนนเสียงน้อยไป ดว้ ย ส่วนในเขตทมี่ ีประชากรนอ้ ยกจ็ ะทำ� ให้ผ้ลู งคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั มคี ะแนนเสียงนอ้ ยไปด้วยเชน่ กนั ในลักษณะเช่นน้ีหากพิจารณาในระดับประเทศจะพบว่าไม่มีความเสมอภาค แต่หากพิจารณาภายใน เขตการเลอื กตั้งอาจจะถอื ได้วา่ มีความเสมอภาค ฉ. การมสี ิทธเิ ลอื กตัง้ อยา่ งท่ัวถึง (Universal suffrage) คอื ไมม่ กี ารจำ� กัดสิทธกิ ารเลือกต้งั ว่า เป็นของคนกลุ่มใด พวกใดโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีสิทธิในการเลือกตั้งทั้งหมด เพราะอยา่ นอ้ ยทส่ี ดุ ผทู้ มี่ สี ทิ ธเิ ลอื กตงั้ กจ็ ะตอ้ งมคี ณุ สมบตั พิ นื้ ฐานครบถว้ นตาม รฐั ธรรมนญู ของประเทศนนั้ หรืออีกนัยหน่ึงก็คือ จะต้องเป็นบุคคลที่ไม่อยู่ภายใต้ข้อจ�ำกัดเกี่ยวกับความสามารถบางประการ (Certain limiting disabilities) ตามแตก่ ฎหมายสงู สดุ ของประเทศกำ� หนดไว้ การมสี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั อยา่ ง ทั่วถงึ อกี ประการหน่งึ กค็ ือ ทกุ คนท่ีมีสิทธิเลอื กตั้งจะตอ้ งไดร้ บั ความสะดวกในการมาเลอื กตั้งอยา่ งเทา่ เทียมกัน หรอื ไมม่ ีความยากลำ� บากแตกต่างกันมากนัก ๑.๒ การมีส่วนร่วมทางการเมืองอยา่ งอื่น (Political participation) ทนี่ อกเหนือไปจากการ เลอื กตั้ง อันเปน็ การสะท้อนถึงความสนใจต่อการเมอื ง อันถอื เป็นส่งิ ส�ำคัญยิ่งอย่างหน่ึงส�ำหรับระบอบ ประชาธิปไตย เพราะหลักเกณฑ์ส�ำคัญในประเด็นน้ีมีอยู่ว่า ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมทางการเมือง ไม่ทางใดก็ทางหน่ึง ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมในกระบวนการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อคน ทั้งหลายในสังคม๑๐๐ การมีส่วนร่วมทางการเมืองอาจผ่านช่องทางการเมืองได้หลายช่องทาง เช่น ๑๐๐ Lyman Tower Sargent, Contemporary Plolitical Ideologies. (Lllinois : the Doesey Press,๑๙๗๒). pp. ๖๗ - ๖๘

184 รัฐศาสตรเ์ บือ้ งตน้ พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ แต่ท้ังนี้จะต้องอยู่ในกรอบหรือวิถีแห่งประชาธิปไตยท่ียอมรับฟัง ความคิดเห็นของบุคคลอ่ืนแม้จะตรงข้ามหรือแตกต่างไปจากความคิดของตน ใช้หลักเหตุผลใน การตัดสินใจ และยอมรับในเสียงข้างมากโดยเคารพเสียงข้างน้อยหากไม่สามารถหาข้อสรุปท่ีเป็น เอกฉันท์ได้ ๒. หลกั เสรภี าพ (Liberty) มพี น้ื ฐานจากความเชอื่ ทวี่ า่ บคุ คลทมี่ เี สรภี าพจะสามารถพฒั นา ตนเองได้มากกว่าบุคคลท่ีถูกบังคับควบคุมหรือตกอยู่ในสภาวะที่ถูกจ�ำกัด (Restrictive conditions) แต่การเสรีภาพของบุคคลไม่ได้หมายความว่าบคุ คลนนั้ จะสามารถทำ� หรือไม่กระท�ำการใด ๆ ได้ตามที่ ตนเองต้องการ แต่หมายถึงการที่บุคคลสามารถท่ีจะกระท�ำหรืองดเว้นการกระท�ำใด ๆ ท่ีได้รับความ ยนิ ยอมจากประชาชนส่วนใหญไ่ มท่ างตรงก็ทางออ้ ม เช่น บคุ คลสามารถที่จะกระท�ำการใด ๆ ได้ตาม ทกี่ ฎหมายกำ� หนดใหม้ เี สรภี าพทจี่ ะกระทำ� เพราะกฎหมายทอ่ี อกมานนั้ ไดผ้ า่ นกระบวนการยอมรบั จาก ประชาชนทางออ้ มมาแลว้ คอื ผา่ นทางผแู้ ทนทไี่ ดร้ บั การเลอื กตง้ั มาจากประชาชนสว่ นใหญข่ องประเทศ ใหเ้ ขา้ มาทำ� หนา้ ทอี่ อกกฎหมายตามวธิ ที างประชาธปิ ไตย เสรภี าพจงึ ตอ้ งมขี อ้ จำ� กดั เปน็ ขอบเขตอนั เปน็ ทย่ี อมรบั กนั ในสงั คม โดยขอ้ จำ� กดั นน้ั จะตอ้ งมลี กั ษณะทที่ ำ� ใหเ้ สรภี าพทม่ี อี ยกู่ วา้ งขวางกวา่ การไมม่ ขี อ้ จำ� กดั เพราะฉะนนั้ ขอบเขตของเสรภี าพจงึ เปน็ เสมอื นเครอื่ งนำ� ทางใหบ้ คุ คลสามารถใชส้ ทิ ธขิ องตนได้ อยา่ งถกู ตอ้ งและชอบธรรม เสรภี าพพนื้ ฐานทป่ี ระชาชนในระบอบประชาธปิ ไตยตอ้ งไดร้ บั หลกั ประกนั คอื ๑๐๑ ๒.๑ เสรีภาพในการคิดและการแสดงออก (Freedom of thought and expression ) ตราบเท่าทก่ี ารคิดและการแสดงออก นัน้ ไม่ไปละเมิดหรอื กอ่ ความเสียหายแกผ่ ้อู ่นื ๒.๒ เสรภี าพในการเลอื กต้ัง (Freedom of voting) คอื การทบ่ี ุคคลสามารถไปใชส้ ิทธิในการ เลอื กต้งั ผู้แทนของตนได้อย่างเสรี โดยมิไดถ้ ูกอ�ำนาจอน่ื บังคับ และบคุ คลมีเสรภี าพทีจ่ ะลงสมัครเลือก ตัง้ โดยไมถ่ ูกอำ� นาจอ่นื ลดิ รอนเชน่ กัน ๒.๓ เสรภี าพจากการถกู รฐั หรอื บคุ คลอนื่ กระทำ� ตอ่ ตนโดยปราศจากสทิ ธอิ ำ� นาจทถ่ี กู ตอ้ งตาม กฎหมาย (Freedom from arbitrary treatment by the state or other people) ถือเป็นหลัก ประกันว่าประชาชนทุกคนจะได้รับการปฏิบตั ิต่อตนภายใต้ของเขตอำ� นาจตามท่กี ฎหมายอนุญาต ๒.๔ เสรีภาพในการนักถือศาสนา (Freedom of religion) ตราบเทา่ ท่ีการนบั ถอื ศาสนาน้ัน ไม่ก่อใหเ้ กิดความเดือดรอ้ น เสยี หาย หรอื ละเมดิ ในสิทธิของผ้อู ืน่ ๑๐๑ G.A. Jacopsen and, M.H. Lipman, Political Science.(New York : Brans and Noble,๑๙๗๐). pp ๖๕ - ๖๗

การปกครองระบอบประชาธิปไตย (Democracy) 185 ๒.๕ เสรีภาพในการย้ายที่อยู่ (Freedom of movement) โดยไม่ต้องไปขออนุญาตจากรัฐ ก่อน แต่การเคล่ือนย้ายที่อยู่อาศัยนั้น จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน เสยี หาย และละเมิดตอ่ สทิ ธิของผูอ้ น่ื ๒.๖ เสรภี าพในการชมุ นมุ อยา่ งสงบโดยปราศจากอาวธุ หรอื การรวมตวั เปน็ สมาคม (Freedom of assembly and association) ตราบเท่าที่การชุมนมุ ประท้วงหรือการรวมตวั กันเปน็ สมาคมไม่ก่อ ใหเ้ กดิ ความเดือดร้อน เสียหาย และละเมิดสิทธิของบุคคลอ่ืนในสังคม ๒.๗ เสรภี าพในเรอ่ื งสว่ นตวั อน่ื ๆ (Personal freedom) เปน็ หลกั ประกนั ในการตดั สนิ ใจของ บคุ คลในเรอ่ื งสว่ นตวั วา่ จะสามารถกระทำ� ไดอ้ ยา่ งเสรี แตท่ งั้ นจ้ี ะตอ้ งไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หาย เดอื ดรอ้ น หรือละเมดิ ต่อสิทธิของบคุ คลอ่ืนเชน่ กัน ๓. หลกั เสมอภาค (Equality) ไมไ่ ดห้ มายความวา่ บคุ คลทกุ คนทเ่ี กดิ มาจะตอ้ งมคี วามเสมอ ภาคกันในเร่ืองทุกประเด็น (Identical) เพราะเห็นสิ่งท่ีเป็นไปไม่ได้ แต่หมายถึงการมีความเสมอภาค ในเร่ืองพื้นฐานบางประการเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่บุคคลทุกคนในสังคม หลักการของระบอบ ประชาธปิ ไตยไม่ตอ้ งการให้บคุ คลเหมอื นกนั ในทกุ ด้าน แตก่ ไ็ มป่ รารถนาใหเ้ กดิ กลุม่ อภสิ ทิ ธช์ิ นเกดิ ขึน้ ในสังคม และเพื่อเป้าหมายดงั กลา่ วจึงต้องมกี ารก�ำหนดถึงความเสมอภาคขัน้ พนื้ ฐานไว้ คือ ๓.๑ เสมอภาคทางการเมือง (Political equality) คือ ทุกคนมีสิทธิในทางการเมืองอย่าง ทว่ั ถงึ และเทา่ เทยี มกนั โดยในสว่ นของผมู้ สี ทิ ธลิ งคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ จะตอ้ งมสี ทิ ธดิ งั กลา่ วอยา่ งเสมอ ภาคเทา่ เทยี มกัน และได้รับความสะดวกในการไปลงคะแนนเสียงเลอื กตั้งอย่างเสมอภาคในส่วนของผู้ ลงสมคั รรบั เลอื กตงั้ กต็ อ้ งมคี วามเสมอภาคกนั ในการทจ่ี ะลงสมคั รเพอื่ รบั การเลอื กตง้ั (Equality in the ability to be elected) ๓.๒ เสมอภาคทางเศรษฐกิจ (economic equality) ไม่ได้หมายความวา่ ทกุ คนในสังคมจะมี ฐานะทางเศรษฐกิจเท่าเทียมกัน แต่หมายถึงการมีหลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระดับหน่ึง คือ อยา่ งนอ้ ยต้องสามารถดำ� เนนิ ชีวิตอยู่ไดใ้ นสังคมในฐานะเปน็ สมาชิกคนหนึง่ ของสงั คม ๓.๓ เสมอภาคทางสังคม (Social equality) คือ ทุกคนในสังคมไม่ว่าจะมีฐานะทางสังคม เศรษฐกิจ หรือวัฒนธรรมแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม ก็สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้โดยปราศจาก การแบ่งช้ัน วรรณะ ดูหม่ินเหยียดหยามบุคคลที่แตกต่างไปจากตน ทุกคนต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติ บนพน้ื ฐานการใหค้ วามเคารพซึง่ กนั และกนั ๓.๔ เสมอภาคทางกฎหมาย (Equality before the law) คือการใช้กฎหมายบังคับแก่ ประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคกันโดยไม่มีข้อยกเว้น น่ันคือ บุคคลจะต้องได้รับการคุ้มครองป้องกัน

186 รฐั ศาสตร์เบอื้ งต้น จากกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเหมือน ๆ กัน ทั้งนี้เพื่อป้องหันสิทธิและผลประโยชน์อันชอบ ธรรมของตน๑๐๒ การจะท�ำเช่นนน้ั ได้หมายความว่าระบบกฎหมายต้องมสี ถานภาพเปน็ กฎหมายสากล (Universalistic nature of laws) ท่ีสามารถใชบ้ งั คับแก่ทกุ คนในรฐั ได้ ๓.๕ เสมอภาคในโอกาส (Equality of opportunity) หมายถงึ การใหโ้ อกาสแกท่ กุ คนในการ ใช้ความสามารถท่ีตนมีอยู่ไปในทางสุจริตได้อย่างเท่าเทียมกัน เพ่ือพัฒนาความสามารถของตนให้เกิด ประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้อย่างเสมอภาคกัน แต่ท้ังนี้ยังคงต้องอยู่ในกรอบแห่งการไม่ก่อให้เกิด ความเดอื ดร้อน เสยี หาย และละเมดิ สทิ ธขิ องผอู้ น่ื ๔. หลกั ปกครองโดยเสียงข้างมากที่เคารพเสียงข้างน้อย (The majority rule respect to minority rights) หมายถงึ หากไม่สามารถหาขอ้ สรุปทเี่ ป็นเอกฉนั ท์ (Unanimity) ไดก้ จ็ ะตดั สนิ ความขดั แย้งด้วยวธิ กี ารลงคะแนนเสียง และยดึ หลักเสียงขา้ งมาก (Majority) เปน็ เกณฑใ์ นการตัดสนิ เพ่ือหาข้อยุติ (Majority decision – making) แต่ต้องเคารพสิทธิขั้นพ้ืนฐานของเสียงข้างน้อย (Fundamental rights of minority) เพราะหากยอมรับต่อเสียงข้างมากโดยละเลยสิทธิขั้นพ้ืนฐาน ของเสียงข้างน้อยย่อมกลายเป็นการปกครองรูปแบบเผด็จการของเสียงข้างมาก เมื่อเสียงข้างมาก มีความคิดเห็นไปในทิศทางใดแล้ว ทุกฝ่ายต้องยอมรับแม้ไม่เห็นพ้องต้องกันก็ตามแต่ทั้งนี้มิได้ หมายความวา่ แนวทางตามเสยี งขา้ งมากเปน็ สง่ิ ถกู ตอ้ ง และแนวทางของเสยี งขา้ งนอ้ ยเปน็ สงิ่ ทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง แตป่ ระการใด แตเ่ พราะในสภาวะเชน่ นน้ั ไมท่ างเลอื กใดทเ่ี หมาะสมทสี่ ดุ และเพอื่ ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กดิ ความ เสยี หายใด ๆ ทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ จงึ ตอ้ งเลอื กดำ� เนนิ การตามเสยี งขา้ งมากไปพลางกอ่ น (Temporary minority) ทง้ั นเี้ พราะมฐี านความเช่อื ทว่ี ่า การตัดสินใจโดยคนหมมู่ ากน่าจะมีวิจารณญาณท่รี อบคอบและถูกตอ้ ง เพราะได้ผ่านการโต้เถียงและใช้เหตุผลจากคนจ�ำนวนมากจนได้เป็นข้อสรุปร่วมของกลุ่มคนหมู่มาก อยา่ งไรกต็ ามการใชเ้ สยี งขา้ งมากเปน็ เกณฑใ์ นการตดั สนิ ขอ้ ขดั แยง้ จะตอ้ งใชห้ ลกั เหตผุ ลรว่ มดว้ ยเสมอ ๕. หลักนติ ิธรรม (Rule of Law) หมายถงึ การยดึ ถอื กฎหมายเปน็ กฎเกณฑ์หรือกติกาใน การด�ำเนินการต่าง ๆ การถือกฎหมายเป็นหลักนี้ถือว่าเป็นนโยบายและความต้องการของประชาชน เพราะกฎหมายทใ่ี ชบ้ งั คบั ไดถ้ กู กำ� หนดขนึ้ โดยผแู้ ทนของประชาชน จงึ ถอื วา่ กฎหมายมาจากประชาชน นั่นเอง๑๐๓ นอกจากนยี้ งั ถอื วา่ กฎหมายเป็นหลกั ประกนั ทส่ี ำ� คัญ เพราะกฎหมายมีการบญั ญตั ิอย่างชดั แจ้งและเปิดเผยจึงสามารถน�ำมาใช้เพื่อก่อให้เกิดความยุติธรรม และคุ้มครองเสรีภาพของบุคคล เนื่องจากกระบวนการของกฎหมายที่ก�ำหนดข้ันตอนต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจนโดยใช้หลักการพิสูจน์ที่มี เหตุผลทีส่ ดุ เทา่ ท่จี ะกระทำ� ได้โดยสงบและรวดเรว็ ๑๐๒ จรญู สภุ าพ ระบบการเมอื งเปรยี บเทยี บ และหลกั วเิ คราะหก์ ารเมอื งแบบใหม่ (กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ ๒๕๑๙). น. ๘ ๑๐๓ จรญู สภุ าพ ลทั ธกิ ารเมอื งและเศรษฐกจิ เปรยี บเทยี บ พมิ พค์ รงั้ ที่ ๒ (กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ ๒๕๒๘) น. ๓๑

การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย (Democracy) 187 หลักการของประชาธิปไตย หลกั การของประชาธปิ ไตย ตามทัศนะของปราชญ์ทางรัฐศาสตร์ ดังน๑้ี ๐๔ เฮนร่ี เมโย (Henry Mayo) ไดร้ ะบวุ า่ มี ๔ หลกั การแห่งประชาธปิ ไตย ไดแ้ ก่ ๑) การควบคุม ผวู้ างนโยบายโดยประชาชน ๒) ความเสมอภาคทางการเมอื ง ๓) เสรภี าพทางการเมอื งหรอื ประสทิ ธผิ ล ในการควบคุมโดยประชาชน และ ๔) หลกั แห่งเสยี งส่วนมาก ซกิ มนั ด์ นอยมนั น์ (Sigmund Neumann) ไดใ้ หห้ ลกั การประชาธปิ ไตยไว้ ๑๐ ประการ คอื ๑๐๕ ๑. อำ� นาจอธปิ ไตย (อ�ำนาจสูงสุด) มาจากราษฎร เป็นของปวงชนหรอื มหาชน ๒. ขน้ั ตอนเลอื กผูน้ �ำเป็นไปโดยเสรี ๓. ผู้นำ� มีความรับผิดชอบ ๔. ระบอบความเสมอภาค (ของราษฎรโดยกฎหมาย) ยอมรับ ๕. สนับสนนุ พรรคการเมืองมีมากกวา่ หนงึ่ พรรค ๖. พึงเนน้ ความหลากหลายในชวี ิตประจ�ำวัน ๗. ไมก่ ดี กนั กลมุ่ สำ� คัญ ๆ จากการมีสว่ นรว่ มในการบรหิ ารการปกครอง ๘. ส่งเสริมครรลองทัศนคติแบบประชาธิปไตย ๙. ใหส้ �ำนึกในความเปน็ พลเมืองดี ๑๐. เนน้ ความเช่อื มั่นในความดีของมนุษย์ ออสตนิ แรนนี (Austin Ranny)๑๐๖ ได้สรุปหลกั ประชาธปิ ไตยไว้ ๔ ประการ คือ ๑. อำ� นาจอธิปไตยของพลเมืองเด่น ๒. เน้นความเสมอภาคโดยสุจรติ ๓. ฟงั ความคดิ เห็น ๔. เนน้ เสยี งหมมู่ าก ๑๐๔ จริ โชค (บรรพต) วรี ะสยั ดร. สรุ พล ราชภณั ฑารกั ษ์ ดร. และสรุ พนั ธ์ ทบั สวุ รรณ์ ผศ. เรอื่ งเดมิ หนา้ ๒๘๒ ๑๐๕ CF. Henry W. Ehrman (ed.) Democracy in a Chamging Society, New York : Praeger, ๑๙๖๔.p.๑๘ ๑๐๖ Austin Ranny, The Gervernment of man, op.Cit.,pp.๑๙๗

188 รัฐศาสตรเ์ บ้อื งต้น หลักการสำ� คญั ของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย๑๐๗ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยทเ่ี จรญิ อยใู่ นยโุ รปตะวนั ตกและสหรฐั อเมรกิ านนั้ มหี ลกั การ สำ� คัญดงั นี้ ๑. การยึดถอื เหตผุ ล ปรชั ญาประชาธปิ ไตยถอื วา่ สจั ธรรมยอ่ มขน้ึ อยกู่ บั เหตผุ ล การวพิ ากษว์ จิ ารณห์ รอื แสดงความ เห็นคัดค้านต่าง ๆ น้ันย่อมเป็นที่มาของการแสวงหาเหตุผล เป็นวิถีทางที่จะท�ำให้ประชาชนพลเมือง เจรญิ เติบโตทางสมองและจติ ใจ และเป็นเหตุให้สงั คมเจริญก้าวหน้า ๒. การเน้นความสำ� คัญของปัจเจกชน โดยเหน็ วา่ บคุ คลแตล่ ะคนเปน็ ศนู ยก์ ลางของนโยบายและลทั ธทิ ง้ั ปวง บคุ คลเปน็ ผสู้ รา้ งสถาบนั สงั คมและสถาบนั การเมอื ง เพอ่ื เปน็ ปจั จยั ใหบ้ คุ คลมชี วี ติ อยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสมบรู ณย์ งิ่ ขนึ้ แตล่ ะคนจงึ ควร เปน็ ตัวของตวั เอง ลิขิตชวี ิตของตวั เองมากที่สุดกวา่ ผูใ้ ด หรอื สถาบันใด ๓. การถือรัฐเปน็ เคร่อื งมอื ของประชาชน เมื่อถือว่าแต่ละคนเป็นผู้ลิขิตชีวิตของตนเองมากที่สุด รัฐก็คอยเข้าแทรกแซง แต่น้อยที่สุด รัฐเป็นเพียงเครื่องมือส่งเสริมให้บุคคลบรรลุจุดหมายปลายทาง ในส่วนที่เหนือความสามารถที่แต่ละ บคุ คลจะกระทำ� กันเองได้เท่านัน้ เช่น การพทิ กั ษ์รกั ษาสิทธมิ ลู ฐานของมนษุ ย์ การรกั ษาความยตุ ธิ รรม การรักษาความสงบเรียบร้อย และป้องกันการรุกรานจากภายนอกเป็นต้น ความคิดนี้ตรงกันข้ามกับ ลัทธิเผด็จการทเ่ี ห็นวา่ ประชาชนเปน็ เครื่องมือของรฐั ๔. การอาศัยความสมคั รใจเปน็ ใหญ่ เป็นวิธีการปล่อยให้เอกชนด�ำเนินการทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมตามความสมัครใจ ระหวา่ งกนั เอง เชน่ การจดั ตง้ั พรรคการเมืองหรือการจดั ต้ังสมาคมตา่ ง ๆ เป็นตน้ ๕. การยดึ ถอื กฎเหนือกฎ เรอ่ื งนย้ี อ่ มเปน็ ไปตามแนวคดิ เดมิ ทว่ี า่ ประชาชนสรา้ งรฐั ขนึ้ มาเพอื่ ปกปอ้ งคมุ้ ครองสทิ ธสิ ำ� คญั บางประการของประชาชน รฐั บาลผปู้ กครองจะบดิ เบอื นผนั แปรไปตามใจตนมไิ ด้ มฉิ ะนน้ั แลว้ ประชาชน มีสิทธิล้มล้างรัฐบาลน้ันเพ่ือจัดตั้งรัฐบาลใหม่ข้ึนมาได้ ความจริงฝ่ายเผด็จการก็ถือเร่ืองกฎเหนือกฎ แต่เป็นกฎที่สรา้ งขนึ้ ตามใจตน จงึ กอ่ ความไมส่ งบไมส่ ้ินสดุ ๑๐๗ ประสาร ทองภกั ดี พ.ท. เร่อื งเดิม หนา้ ๑๑๘-๑๑๙

การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย (Democracy) 189 ๖. การเน้นความส�ำคญั ของวธิ กี าร ถือว่าวิธีการน้ันจะต้องเหมาะสมในการด�ำเนินไปสู่จุดหมายปลายทาง ซ่ึงควรต้องยึดความ ผาสกุ ของประชาชนเปน็ ทตี่ งั้ ซงึ่ โดยนยั นน้ี า่ จะตอ้ งยดึ หลกั มชั ฌมิ าปฏปิ ทา คอื ถอื สายกลาง ซงึ่ ตรงขา้ ม กบั ฝา่ ยเผดจ็ การทชี่ อบใชว้ ธิ รี นุ แรง ซงึ่ เปน็ การเพม่ิ พนู ความเกลยี ดชงั มากกวา่ ทจี่ ะสรา้ งภราดรภาพให้ เกิดขน้ึ ตามอุดมการณข์ องตนเอง ๗. การถอื ความเหน็ พอ้ งต้องกันเป็นหลกั ในมนุษยสมั พันธ์ ประชาธปิ ไตยนยิ มการประนปี ระนอมเปน็ สำ� คญั ซง่ึ อาจทำ� ไดโ้ ดยการอภปิ รายหรอื โตเ้ ถยี งกนั เพื่อหาข้อยุติร่วมกัน โดยถือฝ่ายข้างมากเป็นเกณฑ์ตัดสิน ทั้งน้ีโดยต้องยอมรับความเห็นของฝ่ายข้าง มาเป็นฝ่ายชนะไปพลางก่อน อาจเป็นช่ัวขณะหนึ่งเท่าน้ัน ฝ่ายข้างน้อยย่อมอาจหาทางชักจูงคนส่วน ใหญใ่ ห้เห็นคลอ้ ยตาม และอาจกลายเปน็ ฝา่ ยข้างมากภายหลังได้ ๘. การถือสมภาพ หรอื ความเทา่ เทยี มกนั ข้ันมูลฐานของมนษุ ย์ ความเทา่ เทยี มกนั หรอื สมภาพในทศั นะของประชาธปิ ไตย หมายถงึ ความเทา่ เทยี มกนั ในโอกาส อย่างไรก็ดี ในเร่ืองน้ีจ�ำเป็นต้องค�ำนึงถึงความแตกต่างในเรื่องความจ�ำเป็นและความขาดแคลนของ แต่ละบคุ คลไว้ดว้ ย สองรูปแบบแห่งการปกครองประชาธิปไตย๑๐๘ โดยท่ัวไปแล้วประชาธิปไตยแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือประชาธิปไตยแบบโดยตรงและ ประชาธิปไตยแบบโดยออ้ ม ประชาธิปไตยแบบโดยตรง ประชาธิปไตยแบบโดยตรง ได้แก่ รูปแบบการปกครองที่ให้ราษฎรมีส่วนร่วม ในการกระท�ำ ดงั นี้ ๑) ออกกฎหมาย ๒) บังคบั กฎหมาย คือใหม้ ีการบังคบั ให้เป็นไปตามกฎหมาย ประชาธปิ ไตยแบบโดยตรงมยี คุ นครเอเธนส์ เมอ่ื ประมาณ ๒๔ ศตวรรษมาแลว้ ซงึ่ การใชอ้ ำ� นาจ ตลุ าการแบบโดยตรง ของนครเอเธนส์ เคยมปี รากฏดังตัวอยา่ งการพพิ ากษาคดซี อคราตีสในทีช่ มุ ชน ประชาธิปไตยในนครรฐั เอเธนส์มสี ภาพการณท์ ีแ่ ตกต่างกับยคุ ปจั จบุ ัน คือ ๑. ผู้มีสิทธิไม่ถึง ๑๐% ของประชากรท้ังหมด กล่าวคือ เอเธนส์มีพลเมืองประมาณ ๓ – ๔ แสนคน แตผ่ ู้มีสทิ ธเิ พียง ๒ – ๔ หมน่ื คนเทา่ นนั้ (ผ้ถู ูกกีดกนั ได้แก่ สตรี ทาส และเยาวชน) ๑๐๘ สรปุ ย่อจากจริ โชค (บรรพต) วีระสัย, ดร. สรุ พล ราชภัณฑารกั ษ์ ดร. และสุรพนั ธ์ ทับสุวรรณ์ ผศ. เรอ่ื งเดมิ หนา้ ๒๖๗-๒๘๒

190 รัฐศาสตรเ์ บื้องต้น ๒. สภาพเศรษฐกจิ และการเมอื งยังไมส่ ลบั ซับซ้อนมากนัก ๓. พลเมอื งมีความสนใจการบา้ นการเมืองเป็นกิจวัตรและเอาใจใส่ในกจิ การอนั เป็นสว่ นรวม ๔. ผ้มู ีสิทธมิ กั เขา้ ร่วมในการประชมุ นครรัฐไมม่ ากนักจงึ ไม่มีปญั หาในเรือ่ งสถานที่ประชมุ แต่ในปัจจบุ ันพลเมอื งของประเทศต่าง ๆ มีมากกวา่ ในสมัยนั้นอย่างมหาศาล เกนิ กวา่ ทจ่ี ะจัด ประชุม ณ สถานทเ่ี ดียวกนั ได้ จงึ เป็นปัญหาส�ำคญั ทเี่ ป็นอุปสรรคตอ่ การด�ำเนินการประชาธปิ ไตยแบบ โดยตรง ประชาธปิ ไตยแบบโดยตรงในปัจจุบัน มีตวั อย่างเชน่ ๑. สหรฐั อเมริกา มีในเมืองหรือชมุ ชนเล็ก ๆ บางแหง่ เรียกว่า “Town Meeting” ๒. สวติ เซอร์แลนด์ มใี นบางแคว้น เรียกว่า “กังตอ็ ง” (Canton) ๓. อสิ ราเอล มใี นชมุ ชนคบิ บุทซ์ (Kibbutz) ปัญหาของประชาธิปไตยแบบโดยตรงมี ๔ ประการ คือ ๑) มจี ำ� นวนประชากรไม่มากนัก ๒) ฐานะความเปน็ อยู่ไมเ่ หลื่อมล้ำ� กนั มากนัก ๓) สงั คมมลี ักษณะสมานรูป ๔) ผูใ้ ชก้ ฎหมายจะต้องปฏบิ ตั ิ ตนภายในขอบเขตของกฎหมาย ประชาธิปไตยแบบโดยอ้อมหรอื แบบมตี ัวแทน ประชาธปิ ไตยแบบนครรฐั เอเธนสอ์ ยไู่ ดร้ ะยะเวลาหนง่ึ ในประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื ง หลงั จากหมด ยคุ รงุ่ เรอื งของเอเธนสแ์ ละยคุ ทอี่ ารยธรรมกรกี กำ� ลงั เฟอ่ื ง กเ็ ขา้ ยคุ จกั รวรรดโิ รมนั ทร่ี ปู แบบการปกครอง เนน้ หนักไปในทางการใช้อำ� นาจ ในยุคกลางของยุโรปเป็นช่วงเวลาแห่งระบบศักดินา แนวคิดประชาธิปไตยก็ไม่เคยดับส้ินไป ซ่ึงในประวัติศาสตร์อังกฤษก็มีเรื่องราวเก่ียวกับแม็กนา คาร์ตา โดยพระเจ้าจอห์นถูกขุนนางอังกฤษ บงั คบั ใหท้ รงลงพระนาม ทง้ั นเี้ พราะขนุ นางเหลา่ นนั้ ไมพ่ อใจทพี่ ระเจา้ จอหน์ เกบ็ ภาษสี งู เพอื่ นำ� ไปใชใ้ น การสงคราม และไม่พอใจท่พี วกขนุ นางไมไ่ ด้มโี อกาสเขา้ รว่ มในการบรหิ ารบ้านเมอื ง ลกั ษณะ ๘ ประการของประชาธปิ ไตยแบบตวั แทนในทางปฏบิ ตั ิ ได้แก่ ๑) มีพรรคการเมืองเข้าบรหิ าร ๒) มกี ารเลือกตง้ั ตามระยะเวลา ๓) ปวงประชามีสทิ ธิหยอ่ นบตั รลง

การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย (Democracy) 191 ๔) แสดงความจ�ำนงได้ ๑ บัตร ๕) รัฐบาลโดยเสียงสนับสนุนจากผแู้ ทน ๖) ไมแ่ คน้ แมแ้ พ้คะแนนเสยี ง ๗) ไม่บา่ ยเบ่ียงจำ� กดั สิทธทิ างการเมือง ๘) สง่ เสริมเร่อื งการแขง่ ขัน ประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนในสภาพกลมุ่ หลากหลาย - สงั คมทมี่ กี ลมุ่ หลากหลายหรอื มคี วามเปน็ พหสุ งั คม หมายถงึ มกี ลมุ่ หลากประเภท และกลมุ่ หลายชนดิ - ลกั ษณะของกลุ่มหลากหลายที่ชว่ ยผดุงประชาธปิ ไตย ไดแ้ ก่ ๑) มกี ารรวมตวั กันขนึ้ เปน็ กลมุ่ โดยสมคั รใจ ๒) กล่มุ มีอายยุ นื ยาวพอสมควร ๓) เปน็ กลุม่ อย่างเปน็ กิจลกั ษณะพอสมควร ๔) กลุ่มจะต้องมกี ารประชมุ และมีการดำ� เนินงานบ่อยคร้งั พอสมควร กลไกทสี่ ่งเสริมประชาธปิ ไตยในกลมุ่ หลากหลาย มดี ังนค้ี ือ ๑) ท�ำใหอ้ �ำนาจแยกกระจาย ๒) เป็นบทเรยี นหรือเป็นแบบฝกึ หดั ประชาธปิ ไตย ๓) การเปน็ สมาชิกหลายกลุ่ม (พหุสมาชิกภาพ) ท�ำใหร้ จู้ กั ประนปี ระนอม ลอร์ด แอคตัน นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้กล่าววาทะที่สนับสนุนสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย โดยกล่าวถึงลักษณะแห่งอ�ำนาจไว้ดังนี้คือ Power Corrupts, Absolute Power Corrupts Absolutely ซงึ่ แปลวา่ “ท่ใี ดมอี ำ� นาจทนี่ ่ันมีการฉอ้ ฉล ทใ่ี ดมอี ำ� นาจเหลือลน้ การฉ้อฉลช่ัว เสียยอ่ มมีมากสุดประมาณ” โดยมคี วามหมายว่า อ�ำนาจมแี นวโนม้ ที่กอ่ ให้เกดิ ความอธรรมขึน้ มาได้ ประชาธปิ ไตยในมติ อิ ื่น ๆ ๑. ประชาธิปไตยทางสังคม (Social Democracy) เป็นศัพท์ที่ใช้โดยทอคเกอวิลล์ ชาวฝร่งั เศส ๒. ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ (Economic Democracy) เป็นศัพท์ที่ใช้โดยผู้นิยมมาร์ก ซสิ ต์ หมายถงึ การกระจายรายไดใ้ หท้ ัดเทยี มกนั ในหม่ปู ระชาชนจ�ำนวนมาก

192 รฐั ศาสตร์เบ้อื งตน้ ๓. ประชาธิปไตยทางอุตสาหกรรม (Industrial Democracy) หมายถึงประชาธิปไตยใน ระดับโรงงานอตุ สาหกรรม เช่น การมสี หภาพแรงงาน สหพนั ธก์ รรมกร เป็นตน้ ๔. ประชาธิปไตยแบบถูกน�ำ (Guided Democracy) เป็นศัพท์ที่ใช้โดยอดีตประธานาธิบดี ซกู ารโ์ น ผ้กู อบกู้เอกราชและบดิ าผสู้ ถาปนาอนิ โดนเี ซยี ยุคใหม่ ๕. ประชาธิปไตยแบบเบสิก (Basic Democracy) เป็นศัพท์ที่ใช้โดยอดีตประธานาธิบดี อายุบข่าน (Ayub Khan) แหง่ ปากีสถาน ๖. หน้าฉากประชาธิปไตย (Façade Democracy) หรอื ประชาธิปไตยแบบจอมปลอม ๗. ประชาธิปไตยครึง่ ใบ (Quasi Democracy) หรือ ไมเ่ ต็มใบ รปู แบบรฐั บาลในระบอบประชาธิปไตย รูปแบบของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยสามารถแบ่งออกได้ ๓ รูปแบบ คือ รัฐสภา ประธานาธบิ ดี และแบบผสมหรือทีเ่ รียกวา่ แบบกึง่ รัฐสภา – กึ่งประธานาธิบดี ๑. แบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy) หรือ แบบคณะรัฐมนตรี (Cabinet system) ประมขุ ของรัฐ เป็นเพยี งผ้ปู กครองในนาม (Titular or ceremonial or figure head) เพราะ การใช้อ�ำนาจหน้าที่ในการปกครองท่ีแท้จริงเป็นของรัฐบาล ประมุขของรัฐอาจเป็นกษัตริย์หรือพระ ราชนิ ี (King or Queen) เช่น ในประเทศอังกฤษ หรือพระมหาจักรพรรดิ (Emperor) เช่นในประเทศ ญี่ปุ่น ซึ่งอาจเรียกได้ว่า ประชาธิปไตยท่ีมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือ ประชาธิปไตยที่พระมหา กษัตรยิ อ์ ยใู่ ตร้ ฐั ธรรมนูญ (Constitutional Monarchy)๑๐๙ หรืออาจมีประธานาธบิ ดเี ป็นประมุข เชน่ อนิ เดยี สงิ คโปร์ ท่มี าจากการเลอื กสรรตามรฐั ธรรมนูญของประเทศ การจัดต้ังรัฐบาล ใช้ระบบเสียงข้างมากของฝ่ายนิติบัญญัติคือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทปี่ ระชาชนเลอื กมาโดยตรงสนบั สนนุ ผทู้ จ่ี ะดำ� รงตำ� แหนง่ นายกรฐั มนตรใี นฐานหวั หนา้ ฝา่ ยบรหิ ารแลว้ นายกรฐั มนตรี เปน็ ผคู้ ดั เลอื กบคุ คลขนึ้ ดำ� รงตำ� แหนง่ รฐั มนตรเี ปน็ คณะรฐั บาลเพอื่ ทำ� หนา้ ทฝี่ า่ ยบรหิ าร ๑๐๙ เอกสารประกอบค�ำบรรยาย การฝึกอบรมความรู้ทางรัฐศาสตร์ เรื่องความรู้เก่ียวกับประธิปไตย (ครั้งที่ ๒) วันเสาร์ท่ี ๑๑ สงิ หาคม ถงึ วนั เสารท์ ี่ ๑๕ กนั ยายน ๒๕๒๗ โครงการฝกึ อบรมหลกั สตู รพเิ ศษ คณะรฐั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ น. ๑๗

การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย (Democracy) 193 โดยการรับรองและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร หรืออาจกล่าวได้ว่า สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้สร้าง รฐั บาล (The House of Representatives makes the government) เพราะฉะน้ันนายกรฐั มนตรี จงึ มกั จะดำ� รงต�ำแหนง่ ๓ ตำ� แหนง่ ในขณะเดยี วกนั กลา่ วคอื ตำ� แหนง่ นายกรฐั มนตรี หรอื หวั หนา้ คณะ รัฐบาล หัวหน้าพรรคการเมืองและผู้น�ำเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเพราะผู้ท่ีจะได้รับการ สนบั สนนุ ใหเ้ ปน็ นายกรฐั มนตรี มกั เปน็ หวั หนา้ พรรคการเมอื งทสี่ มาชกิ ของพรรคสามารถครองทน่ี งั่ ใน สภาผู้แทนราษฎรได้มากท่ีสุด ลกั ษณะของคณะรฐั มนตรี ในรฐั บาลจะตอ้ งอยบู่ นหลกั การ “การรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั (Collec- tive responsibility)” คือคณะรัฐมนตรี จะต้องรับผิดชอบต่อการบริหารของรัฐมนตรี คนอ่ืนท่ีร่วม คณะรัฐบาล และจากการที่นายกรัฐมนตรี เป็นผู้เลือกสรรและแต่งต้ังรัฐมนตรีร่วมคณะเพราะฉะน้ัน หากนายกรัฐมนตรสี ิน้ สดุ อ�ำนาจลงไมว่ า่ จะจากการลาออก ตาย หรือหากนายกรัฐมนตรีสนิ้ สดุ อ�ำนาจ ลงไมว่ า่ จะจากการลาออก ตาย หรอื ถกู ใหอ้ อกเพราะแพม้ ตใิ นสภากต็ าม ยอ่ มสง่ ผลใหร้ ฐั มนตรที งั้ คณะ ตอ้ งสนิ้ สภาพลงด้วยเช่นกนั ฝ่ายนิติบัญญัติอาจประกอบด้วยสภาเดียว (Unilateralism or unicameral parliament) คือ สภาผู้แทนราษฎรหรือสองสภา (Bicameralism or bicameral parliament) คือ สภาผู้แทน ราษฎรหรือสภาล่าง กับวุฒิสภาหรือสภาบน สภาท่ีส�ำคัญที่สุดคือสภาท่ีมาจากการเลือกตั้งของ ประชาชน หน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติคือ การออกกฎหมายและควบคุมการท�ำงานของฝ่ายบริหารให้ เป็นไปตามกฎหมายและนโยบายท่ีคณะรัฐบาลได้แถลงไว้กับรัฐสภาก่อนเข้ารับต�ำแหน่ง การควบคุม ฝ่ายบริหารสามารถกระท�ำได้โดยการติดตามการบริหารของฝ่ายบริหารว่าได้กระท�ำในสิ่งท่ีถูกต้อง บกพรอ่ ง หรอื ควรเพมิ่ เตมิ สง่ิ ใดกจ็ ะแจง้ แกฝ่ า่ ยบรหิ ารซงึ่ อาจใชว้ ธิ กี ารแจง้ ใหท้ ราบหรอื การตง้ั กระทถู้ าม เพอ่ื ใหค้ ณะรฐั มนตรี หรอื รฐั มนตรีผ้เู กี่ยวข้องไดช้ ้ีแจง หากคณะรฐั มนตรหี รอื รฐั มนตรผี เู้ กยี่ วขอ้ งไมอ่ าจหรอื แกไ้ ขปญั หาได้ ฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั กิ ส็ ามารถ ทจ่ี ะเปดิ อภปิ รายทว่ั ไป (แบบไมม่ กี ารลงมต)ิ หรอื เปน็ อภปิ รายเพอ่ื ลงมตไิ มไ่ วว้ างใจได้ กรณที เ่ี สยี งขา้ ง มากของฝ่ายนิติบัญญัติมีมติไม่ไว้งานใจนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี รัฐบาลชุดน้ันก็ต้องลาออก และถา้ เปน็ การลงมตไิ มไ่ ว้วางใจนายกรฐั มนตรี หรือคณะรัฐมนตรี รัฐบาลชดุ นน้ั ก็ตอ้ งลาออก และถา้ เปน็ การลงมตไิ มไ่ ดว้ างใจรฐั มนตรรี ายบคุ คล รฐั มนตรผี นู้ น้ั กต็ อ้ งลาออก ในกรณที ล่ี าออกทง้ั คณะรฐั บาล ฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั กิ ต็ อ้ งทำ� หนา้ ทสี่ รรหาบคุ คลขนึ้ เปน็ นายกรฐั มนตรี คนใหม่ แตใ่ นขณะเดยี วกนั ฝา่ ยบรหิ าร ก็สามารถควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติได้โดยการยุบสภาเพ่ือให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้ อันเป็นการคืนอ�ำนาจ ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้ท�ำตามเจตนารมณ์ของประชาชน

194 รัฐศาสตรเ์ บอื้ งต้น การปกครองในรูปแบบน้ีจึงเป็นการปกครองท่ีอ�ำนาจนิติบัญญัติกับอ�ำนาจบริหารจะมีความสัมพันธ์ หรือเช่ือมโยงกัน (Fusion of power) อย่างใกล้ชิด การปกครองในรูปแบบนี้จึงเป็นการปกครอง ทอ่ี ำ� นาจนติ บิ ญั ญตั กิ บั อำ� นาจบรหิ ารจะมคี วามสมั พนั ธห์ รอื เชอ่ื มโยงกนั (Fusion of Power) อยา่ งใกลช้ ดิ ฝ่ายตุลาการจะมีลักษณะค่อนข้างจะอิสระจากอ�ำนาจอ่ืนใด (Judicial independence) เพื่อเป็นการประกันถงึ ความยุตธิ รรมในการตัดสนิ คตคิ วามต่าง ๆ ๒. แบบประธานาธิบดี (Presidential Democracy) ประมุขของรัฐ คือ ประธานาธิบดี เพราะฉะน้ันประธานาธิบดีจึงเป็นทั้งประมุขของรัฐและ หัวหน้าฝ่ายบริหารหรือหัวหน้ารัฐบาลในขณะเดียวกัน จากการที่ประธานาธิบดีได้รับเลือกตั้งจาก ประชาชนทำ� ให้การปกครองบทบาทของรัฐสภามนี อ้ ยกว่าในการปกครองรูปแบบรัฐสภา การดำ� รงตำ� แหนง่ ประธานาธบิ ดไี มไ่ ดข้ นึ้ อยกู่ บั เสยี งขา้ งมากในสภาผแู้ ทนราษฎร แตข่ น้ึ อยกู่ บั คะแนนนยิ มของประชาชนทงั้ ประเทศทม่ี ตี อ่ ตวั ประธานาธบิ ดี เพราะการขน้ึ ดำ� รงตำ� แหนง่ ประธานาธบิ ดี เปน็ การมาจากการเลอื กตง้ั โดยตรงหรอื ทางออ้ มซงึ่ ประชาชนเปน็ ผเู้ ลอื กคณะ ผเู้ ลอื กตง้ั ประธานาธบิ ดี ไม่ใช่การขึ้นมาโดยเสียงสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎร เพราะฉะน้ันในบางครั้งประธานาธิบดีอาจ สังกัดพรรคการเมืองท่ีมีคะแนนสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ คณะรัฐบาลประกอบด้วยคณะ รัฐมนตรีอันเป็นบุคคลที่ประธานาธิบดีเลือกสรรและแต่งตั้งโดยความเห็นชอบจากรัฐสภา ท�ำหน้าที่ บริหารและก�ำหนดนโยบายตามกฎหมายท่ีฝ่ายนิติบัญญัติตราข้ึน แต่สมาชิกรัฐสภาอันเป็นฝ่าย นิติบัญญัติจะมาด�ำรงต�ำแหน่งรัฐมนตรีอันเป็นฝ่ายบริหารในขณะเดียวกันไม่ได้ ซ่ึงจะแตกต่างไปจาก ระบบรัฐสภา ฝ่ายนิติบัญญัติอาจเป็นระบบสภาเดียวหรือสองสภาก็ได้แล้วแต่รัฐธรรมนูญของประเทศ นนั่ ก�ำหนดไว้ แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามหากเป็นระบบสองสภา สถานท่ีส�ำคญั ทส่ี ุดคือสภาทีม่ าจากการเลือกต้ัง ของประชาชน อ�ำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติคือการออกกฎหมาย ส่วนการควบคุมการท�ำงานของ ฝา่ ยบรหิ ารจะมขี องเขตอำ� นาจนอ้ ยกวา่ ในระบบรฐั สภา ทำ� ใหว้ าระการดำ� รงตำ� แหนง่ ของประธานาธบิ ดี และสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรมกั จะอยคู่ รบวาระทก่ี ำ� หนดไวต้ ามรฐั ธรรมนญู เพราะประธานาธบิ ดไี มม่ ี สิทธิยุบสภา และสภานิติบัญญัติก็ไม่มีสิทธิเปิดอภิปรายคณะรัฐบาลเช่นกัน จากการแบ่งอ�ำนาจการ ปกครองคอ่ นขา้ งเด็ดขาดทำ� ใหว้ าระของฝา่ ยบรหิ ารไม่ได้ขนึ้ กับวาระของฝา่ ยนติ ิบัญญตั แิ ตป่ ระการใด ฝา่ ยตลุ าการจะมอี สิ ระจากการครอบงำ� ของอำ� นาจฝา่ ยอน่ื เชน่ เดยี วกบั ระบบรฐั สภา ทงั้ นเี้ พอื่ เป็นสถาบนั ในการธำ� รงไว้ซง่ึ ความยตุ ธิ รรมทแ่ี ท้จรงิ

การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย (Democracy) 195 ลักษณะของการปกครองในรูปแบบประธานาธิบดีจะเป็นการแบ่งอ�ำนาจอธิปไตย (Separa- tion of power) ค่อนข้างชัดเจนกว่าการปกครองในรูปแบบรัฐสภา อ�ำนาจทั้งสามจึงมีลักษณะการ ประสานงาน (Co- ordination) และสามารถตรวจสอบซง่ึ กันและกัน (Checks and balances) เชน่ การที่ฝา่ ยบริหารจะกระท�ำการใด ๆ ไดต้ ่อเม่ือมีกฎหมายรบั รอง แต่กฎหมายทีผ่ ่านฝา่ ยนิติบญั ญัตจิ ะ สามารถประกาศใชไ้ ดต้ อ่ เมอ่ื ประธานาธบิ ดไี ดล้ งนามประกาศใช้ หากประธานาธบิ ดไี มล่ งนามคอื ใชส้ ทิ ธิ ในการยับย้ัง (Veto) ร่างกฎหมายนั้นก็ไม่มีผลบังคับใช้ เว้นแต่ฝ่ายนิติบัญญัติจะน�ำร่างนั้นกลับมา พจิ ารณาและมมี ตยิ นื ยนั ดว้ ยคะแนนเสยี งมากเปน็ พเิ ศษตามแตก่ ำ� หนดไวใ้ นรฐั ธรรมนญู สว่ นการตรวจ สอบการทำ� งานของประธานาธบิ ดกี ส็ ามารถกระทำ� ไดโ้ ดยฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั กิ ลา่ วหาประธานาธบิ ดตี อ่ สภา ให้ท�ำการไต่สวน หากพบว่าท�ำผิดจริงประธานาธิบดีก็จะถูกขับออกจากต�ำแหน่งก่อนครบวาระการ ด�ำรงตำ� แหนง่ เป็นตน้ ๓. แบบผสม หรอื แบบกงึ่ รฐั สภา – กงึ่ ประธานาธบิ ดี (Semi – Parliamentary Democ- racy or Semi- presidential democracy or Mixed form) เกิดคร้ังแรกในประเทศฝร่ังเศส ต้ังแต่ปี ค.ศ. ๑๙๕๘ เป็นต้นมา ในสมัยสาธารณรัฐท่ี ๕ ตามรฐั ธรรมนญู ของนายพลชารล์ ส์ เดอ โกลย์ (Charles De Gaulle) ทกี่ ำ� หนดใหต้ ำ� แหนง่ ประธานาธบิ ดี มาจากการเลอื กตง้ั ของประชาชนโดยตรง๑๑๐ ประชาธปิ ไตยรปู แบบนจ้ี งึ ประธานาธบิ ดที ม่ี อี ำ� นาจหนา้ ที่ เสมอื นหนง่ึ เปน็ หวั หนา้ รฐั บาลดว้ ย คอื มลี กั ษณะคลา้ ยรปู แบบประธานาธบิ ดี และมนี ายกรฐั มนตรเี ปน็ หัวหน้าฝา่ ยบรหิ ารคล้ายรูปแบบรฐั สภา แตน่ ายกรฐั มนตรมี าจากการแตง่ ตงั้ โดยประธานาธิบดี โดยไม่ ตอ้ งขอความเหน็ ชอบจากสภาผแู้ ทนราษฎร สว่ นการแตง่ ตง้ั คณะรฐั มนตรเี ปน็ อำ� นาจของประธานาธบิ ดี ตามค�ำเสนอแนะของนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นในทางปฏิบัติแล้วนายกรัฐมนตรีจึงคล้ายกับรอง ประธานาธิบดมี ากกวา่ ทจี่ ะอยูใ่ นบทบาทของหัวหนา้ ฝ่ายบริหาร สว่ นฝ่ายนติ ิบญั ญัติ คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตง้ั ของประชาชน ท�ำหน้าท่ี ในการออกกฎหมายและควบคุมการบริหารงานของคณะรัฐมนตรี โดยการต้ังกระทู้ถามเปิดอภิปราย ทั่วไป หรือเปิดอภิปรายไม่ได้วางใจ แต่สภาผู้แทนราษฎรไม่มีสิทธิท่ีจะท�ำเช่นน้ีกับประธานาธิบดี ประธานาธบิ ดมี อี ำ� นาจในการยบุ สภาผแู้ ทนราษฎรใหม้ กี ารเลอื กตง้ั ใหมไ่ ดโ้ ดยความเหน็ ชอบจากนายก รัฐมนตรี ประธานสภาสูง และประธานสภาล่าง ยกเว้นในกรณพี ิเศษทใี่ หอ้ �ำนาจกบั ประธานาธิบดที จี่ ะ ๑๑๐ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช เอกสารการสอนชดุ วชิ าหลกั รฐั ศาสตรแ์ ละการบรหิ าร. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓ (นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช ๒๕๓๓) น. ๑๕๑

196 รัฐศาสตร์เบื้องต้น ยุบสภาได้แม้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากบุคคลข้างต้น ซ่ึงถือเป็นกรณีพิเศษ แต่สภาผู้แทนราษฎร ไมส่ ามารถลงมตไิ มไ่ วว้ างใจประธานาธบิ ดีได้ ฝ่ายตุลาการจะมีสภาตุลาการช้ันสูง (High council of the judiciary) เป็นองค์กรสูงสุด มีประธานาธิบดีเป็นประธาน และสมาชิกของสภาท่ีมาจากการแต่งต้ังโดยประธานาธิบดี ท�ำหน้าที่ ควบคุมดูแลเกีย่ วกบั กระบวนการยตุ ธิ รรม รวมทง้ั การแต่งต้งั ผ้พู พิ ากษาระดบั สงู ความเสมอภาคทางการเมอื ง ในปัจจุบันเป็นท่ียอมรับกันแล้วว่า สิทธิในการออกเสียงเลือกต้ังควรให้แก่พลเมืองท่ีบรรลุ นิติภาวะทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิง และโดยไม่ค�ำนึงถึงความยากดีมีจน แต่ในอดีตหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ทัง้ นเ้ี นื่องจากการยดึ หลกั ตา่ ง ๆ เชน่ ๑. การมที รพั ยส์ นิ เกดิ ขน้ึ จากความเชอื่ หรอื แนวความคดิ ทวี่ า่ ผมู้ ที รพั ยส์ นิ ยอ่ มมคี วามรบั ผดิ ชอบ กลา่ วคือย่อมไมอ่ อกเสยี งเลอื กบุคคลโดยไม่คิดใหร้ อบคอบ ๒. การรูห้ นงั สอื โดยเชื่อวา่ ผมู้ ีความร้ยู อ่ มทำ� ให้การออกเสียงเป็นไปโดยถกู ตอ้ งมากย่ิงขน้ึ ในอดีตสตรีจะไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกต้ัง ประเทศต่างๆเพ่ิงเร่ิมให้สิทธิแก่สตรีในช่วงหลัง สงครามโลกครัง้ ท่ี ๑ มานี้เท่านนั้ เช่น สหรฐั อเมริกา ใหส้ ทิ ธิสตรใี นปี ค.ศ. ๑๙๒๐ (หลังสงครามโลก ครง้ั ท่ี ๑ เพยี ง ๒ ปี) ฝรั่งเศส ให้สทิ ธิสตรใี นปี ค.ศ.๑๙๔๕ (หลังสงครามโลกครั้ง ที่ ๒) สวิตเซอรแ์ ลนด์ ซ่ึงถือกันว่าเป็นประเทศที่เป็นแบบอย่างประชาธิปไตยก็เพ่ิงให้สิทธิสตรีในปี ค.ศ. ๑๙๗๑ หรือเมื่อ ประมาณ ๓๐ ปมี านี้เอง ประเทศที่เคยมหี รอื มีประมขุ ของรฐั บาลเปน็ สตรี ได้แก่ ปากีสถาน อนิ เดยี ศรลี ังกา อังกฤษ นวิ ซีแลนด์ ฟิลปิ ปินส์ อินโดนีเซีย ฯลฯ ข้อแตกตา่ งระหว่างนักการเมอื งกับรัฐบรุ ษุ นกั การเมอื ง (Politician) มกั พยายามกระทำ� หรอื ประกาศวา่ จะกระทำ� ตามความตอ้ งการของ ประชาชน เพ่อื หาเสียงสนับสนุนเฉพาะหนา้ คอื ในระยะเวลาทส่ี ามารถเห็นผลโดยเรว็ หรอื ในระยะสัน้ รฐั บรุ ษุ (Statesman) เปน็ ผเู้ หน็ การณไ์ กล มกั จะใชว้ จิ ารณญาณเลอื กกระทำ� การเฉพาะทเี่ หน็ วา่ จะยงั ประโยชนใ์ ห้แกร่ าษฎรจริง ๆ เทา่ นนั้ โดยเฉพาะในระยะยาว ทัง้ นี้เพราะรฐั บรุ ษุ เปน็ หว่ งผลท่ี ตามมาต่ออนุชนคนรุ่นหลัง ดังภาษิตรัฐศาสตร์ที่ว่า “นักการเมืองคิดถึงการเลือกต้ังครั้งต่อไป แต่รัฐบุรุษคิดถึงคนรนุ่ ตอ่ ไป”

การปกครองระบอบประชาธิปไตย (Democracy) 197 ประชาธิปไตยกบั อธิปไตย ๓ ประเภทในพุทธศาสนา๑๑๑ ในพทุ ธศาสนาไดม้ ีการกล่าวถงึ อธปิ ไตย ๓ ประเภท คือ ๑) โลกาธิปไตย ๒) อัตตาธิปไตย ๓) ธรรมาธิปไตย ๑. โลกาธปิ ไตย ถือเปน็ การปกครองทใี่ กล้เคยี งกับลทั ธิประชาธปิ ไตย เพราะมีความหมายวา่ ยกให้พลเมืองเป็นใหญ่ คือเป็นการปกครองของโดยคนส่วนมาก ในอินเดีย โลกสภา หมายถึง สภา ประชาชน คอื สภาล่าง (ส่วนสภาสงู คอื ราชยสภา) ๒. อัตตาธิปไตย ได้แก่การให้อ�ำนาจไว้กับคนๆเดียว เช่น มอบให้แก่พระราชาหรือผู้ย่ิงใหญ่ คนใดคนหนึ่ง หากมอบอ�ำนาจให้กับกษัตริย์ ก็เรียกว่า “ราชาธิปไตย” และหากมอบอ�ำนาจไว้ให้ผู้ เผด็จการก็เปน็ ระบบ “อำ� นาจนิยม” ซงึ่ อาจเป็นฝา่ ยซา้ ยหรอื ฝา่ ยขวากไ็ ด้ ๓. ธรรมาธิปไตย ได้แก่ การยกย่องธรรมะให้เป็นใหญ่ทั้งในหมู่ผู้น�ำและประชาชนทั่วไป มีการเทิดทูนผู้มีคุณธรรมให้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน จึงถือว่าเป็นการปกครองท่ีดีเลิศตามนัยแห่ง พระพทุ ธศาสนา คำ� สอนท่สี ง่ เสรมิ หรอื สอดคล้องกบั หลักประชาธิปไตยมมี ากในพระพทุ ธศาสนา เช่น ๑. เรอ่ื งความเสมอภาค พทุ ธศาสนาถอื วา่ มนษุ ยเ์ ทา่ กนั ไมว่ า่ จะมตี ระกลู หรอื เกดิ ในวรรณะใด ๒. เร่ืองเสรีภาพ พุทธศาสนามีค�ำสอนใน กาลามสูตร ซ่ึงสนับสนุนให้บุคคลใช้เหตุผลและ ความคิดอิสระในการตัดสินปัญหาต่าง ๆ โดยไม่ติดอยู่กับความยึดม่ันคือ “ไม่ให้เช่ืออะไรง่าย ๆ” แต่ ใหส้ ืบสวนคน้ คว้าเสียก่อนจงึ เชอ่ื อุดมการณป์ ระชาธิปไตย๑๑๒ อุดมการณ์ประชาธิปไตยยึดหลักการส�ำคัญในเร่ืองความเสมอภาคและสิทธิเสรีภาพ ลทั ธปิ ระชาธปิ ไตยเคารพศกั ดศิ์ รขี องมนษุ ยข์ องทกุ คนวา่ มคี วามเสมอภาคเทา่ เทยี มกนั คนทกุ คนอยา่ ง น้อยที่สุดก็มีความสามารถในการปกครองตนเอง ด้วยเหตุท่ีถือว่าความเสมอภาคเป็นเร่ืองส�ำคัญ ประชาธิปไตยจึงยึดมั่นในสิทธิเสรีภาพ เพราะถ้าขาดสิทธิเสรีภาพแล้วก็ย่อมขาดหลักประกันในเร่ือง ความเสมอภาค อดุ มการณป์ ระชาธิปไตยจงึ เนน้ เรื่องความเสมอภาคและสทิ ธเิ สรีภาพควบคกู่ ันไป ๑๑๑ การศกึ ษา กรม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง (กรุงเทพฯ โรงพิมพ์การศาสนา : ๒๕๒๕) เลม่ ท่ี ๒๐ หน้า ๑๘๖ ๑๑๒ สุขมุ นวลสกุล รศ. วิศิษฐ ทวเี ศรษฐ รศ. เรือ่ งเดมิ หนา้ ๑๔-๑๘

198 รัฐศาสตร์เบอ้ื งตน้ สิทธิเสรภี าพ สิทธิ คืออ�ำนาจอันชอบธรรมหรือความสามารถที่จะกระท�ำการได้โดยชอบธรรม สิทธิของ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลเป็นสิ่งท่ีได้รับการยอมรับโดยธรรมเนียมประเพณีหรือกฎหมาย เพราะฉะน้ัน อ�ำนาจอ่ืนแม้กระท่ังอ�ำนาจของรัฐจะก้าวก่ายในสิทธิของบุคคลไม่ได้ ส่วนเสรีภาพน้ันหมายถึงความมี อิสระในการกระท�ำการใด ๆ ได้ตามความปรารถนา แต่มีขอบเขตจ�ำกัดว่าการกระท�ำน้ัน ๆ ต้องไม่ ละเมิดกฎหมายหรือสิทธขิ องบคุ คลอืน่ คนทุกคนมีเสรีภาพท่ีจะกระท�ำการใด ๆ ท่ีตนปรารถนาภายใต้แวดวงของกฎหมาย ถ้าสิทธิ หรอื เสรภี าพของเขาถกู กา้ วกา่ ยโดยบคุ คล นติ บิ คุ คล หรอื เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั เขาสามารถทจ่ี ะรอ้ งขอความ ยตุ ธิ รรมจากศาลได้ ในอดตี นน้ั สทิ ธแิ ละเสรภี าพของบคุ คลมกั ถกู ละเลยหรอื ไดไ้ ดร้ บั หลกั ประกนั เพยี งพอ ในบางประเทศสิทธิและเสรีภาพอาจมีการกล่าวอ้างอิงถึงเฉพาะในอารัมภบทของรัฐธรรมนูญเท่าน้ัน มิได้ถูกบัญญัติไว้ในมาตรา ซ่ึงท�ำให้ศาลไม่มีอ�ำนาจที่จะพิทักษ์ให้ได้ ปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะยึดถือว่า รฐั ธรรมนญู ทยี่ ดึ หลกั ประชาธปิ ไตยจะไมม่ คี วามสมบรู ณห์ ากปราศจากบทบญั ญตั เิ กย่ี วกบั สทิ ธเิ สรภี าพ ของประชาชน สิทธิและเสรภี าพในระบอบประชาธิปไตยนัน้ อาจจ�ำแนกออกได้เปน็ ข้อ ๆ ดังน้ี ๑. เสรีภาพในการพูด การพิมพ์ และการโฆษณา รัฐประชาธิปไตยโดยทั่วไปอนุญาตให้มี เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นไม่ว่าจะเป็นการพูด การเขียน ตราบเท่าท่ีความท่ีน�ำมาเผยแพร่น้ัน ไม่หยาบคายลามก หม่ินประมาท หรอื ละเมดิ สิทธขิ องบุคคลอน่ื เสรีภาพในการแสดงความคดิ เห็นนี้มี คา่ สงู มาก และเชอื่ วา่ หากยอมใหท้ กุ ฝา่ ยแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งเสรแี ลว้ การขดั แยง้ อยา่ งรนุ แรงจะไม่ ปรากฏ ๒. เสรภี าพในการนบั ถือศาสนา ศาสนาเปน็ เรื่องของการเชอ่ื ถือ คนแต่ละคนย่อมมีสิทธโิ ดย สมบรู ณท์ จ่ี ะเลอื กนบั ถอื ศาสนาหรอื ศรทั ธาในศาสนาหนง่ึ ศาสนาใด อยา่ งไรกต็ ามเสรภี าพในการนบั ถอื ศาสนามไิ ดห้ มายความวา่ บคุ คลสามารถที่จะปฏิเสธกฎหมายของรัฐซงึ่ ขัดแยง้ กับหลักการทางศาสนา ของเขา เช่น ศาสนาบางศาสนาถือว่าการเคารพธงชาติหรือประมุขของชาติเป็นผิดเป็นบาป แต่การ กระท�ำดังกล่าวเป็นเร่ืองที่สอดคล้องกับกฎหมายของบ้านเมือง รัฐจึงอาจบังคับให้บุคคลที่ถือศาสนา ดงั กลา่ วประพฤตติ นใหเ้ หมาะสมตามกฎเกณฑข์ องประเทศ อยา่ งไรกด็ ใี นบางประเทศทเ่ี คารพเสรภี าพสงู เชน่ สหรฐั อเมรกิ า การหลกี เลย่ี งกฎหมายของประเทศเพราะขดั ตอ่ หลกั การของศาสนาไดร้ บั การยอมรบั ว่าไมเ่ ปน็ การกระทำ� ท่ีผิดกฎหมาย ไม่ต้องรับโทษแตอ่ ยา่ งใด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook