Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Mbu005-หนังสือรัฐศาสตร์เบื้องต้น

Mbu005-หนังสือรัฐศาสตร์เบื้องต้น

Description: Mbu005-หนังสือรัฐศาสตร์เบื้องต้น

Search

Read the Text Version

ความรูเ้ บื้องต้นเกีย่ วกับรฐั ศาสตร์ (Introduction to Political Science) 49 การเมืองอนั เป็นรากฐานทางรฐั ศาสตร์ คอื จดั ทำ� รัฐธรรมนูญการปกครอง การใหย้ ดึ หลักคณาธิปไตย และประชาธปิ ไตยในรฐั อดุ มคติ โดยถอื การมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งของพลเมอื งและผปู้ กครอง ยดึ หลกั พลเมืองทีด่ ี (Good citizen) ผ้ปู กครองทีด่ ี (Good government) จุดมุ่งหมาย คือ การผลิตบุคลากร ทมี่ คี ณุ ภาพ แตไ่ มย่ อมรบั แนวความคดิ เรอื่ งความเสมอภาคของประชาชน การปกครองนนั้ กลบั ใหค้ วาม สำ� คญั ในการปกครองโดยใชก้ ฎหมาย กฎเกณฑ์ และระเบยี บทผี่ า่ นขนั้ ตอนกระบวนการความเหน็ ชอบ ของคนส่วนมากมาแล้ว ในยุคจักรวรรดิโรมันรัฐศาสตร์มีรากฐานของกฎหมายและรัฐธรรมนูญรองรับ ในการปกครอง โดยมีการรวบรวมกฎหมายหรือท�ำประมวลกฎหมาย (Code) ของจักรวรรดิโรมัน ชื่อ จัสติเนียน (Justinian) ข้ึนในยุโรปสมัยกลาง เน่ืองจากศาสนจักรมีอิทธิพลมากกว่าอาณาจักร รัฐศาสตรจ์ ึงมีความส�ำคญั น้อยมาก กลายเปน็ เพียงสาขาหน่ึงของศาสนศาสตรเ์ ท่านัน้ จงึ ถอื ว่าเป็นยคุ มืดของวิชารัฐศาสตร์ ในยุคฟื้นฟูได้มีการปฏิรูป (Reformation) ครั้งส�ำคัญ โดยให้ศาสนจักรอยู่ภาย ใต้อ�ำนาจการคุ้มครอง ควบคุมของอาณาจักร สร้างดุลยภาพระหว่างอ�ำนาจท้ังสองฝ่าย และท่ีส�ำคัญ ได้เกดิ รฐั ชาติ (Nation States) ขนึ้ ในยโุ รปตะวันตก วชิ ารฐั ศาสตรไ์ ดว้ วิ ัฒนาการสบื เน่ืองจากยุคหนงึ่ สู่ยุคหน่ึง สืบต่อกันอย่างยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ซ่ึงการศึกษาทางรัฐศาสตร์ได้หันเหจากการศึกษา แบบเก่าที่สนใจแนวสถาบันและกฎหมาย โดยไม่สนใจตัวบุคคลท่ีเก่ียวข้องกับการเมือง มาเป็นการ ศึกษารัฐศาสตร์แนวพฤติกรรมทางการเมืองมากข้ึน โดยการวิเคราะห์ท้ังในระดับจุลภาคและระดับ มหภาค ในระดับจุลภาคศกึ ษาถึงมูลเหตจุ งู ใจของบุคคลว่า ทำ� ไมจึงสนใจหรอื ไม่สนใจการเมือง ระดบั มหภาค คอื การศกึ ษาพฤติกรรมในระดบั องคก์ าร สมาคม พรรคการเมือง รฐั ประชาชาติ และระดับ นานาชาติ นอกจากน้นั รฐั ศาสตร์ ในยุคปัจจบุ ันยงั ไดน้ ำ� ศาสตรส์ าขาตา่ ง ๆ เข้ามาประยกุ ต์ เพ่ือใหเ้ กดิ ผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบตั ิ มากข้ึน



บทที่ ๒ รัฐ (State) ความหมายของค�ำวา่ “รฐั ” (State) การศกึ ษาเรอ่ื งรฐั ประการแรกทคี่ วรทำ� ความเขา้ ใน คอื ความหมายของ “รฐั ” ซงึ่ เปน็ การยาก ท่ีจะให้ค�ำจ�ำกัดความได้อย่างแน่นอน เนื่องจากมีปัญหาที่นักวิชาการและนักปราชญ์ต่างถกเถียงกัน บางท่านเน้นความหมายของรัฐในทางท่ีเป็นรูปธรรม เป็นองค์กรกำ� เนิดรัฐ องค์ประกอบรัฐ บางท่าน เน้นทางการเมือง การปกครอง บางทา่ นเน้นทางเศรษฐกิจ แมว้ า่ จะมมี ุมมองทต่ี ่างกัน แต่ความหมาย ของ “รฐั ” ในลกั ษณะของนามธรรมกไ็ มไ่ ดแ้ ตกตา่ งกนั มากนกั พจนานกุ รมไทยฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ไดใ้ ห้ค�ำจ�ำกัดความของค�ำวา่ “รัฐ” ว่า แว่นแควน้ บ้านเมือง รฐั บาล หมายถึงองค์กรที่ ปกครองบ้านเมือง รัฐศาสตร์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยการปกครองบ้านเมือง รัฐมนตรี เป็นผู้รับผิดชอบใน นโยบายการบิหารราชการแผ่นดิน รัฐ (state) ไดถ้ ูกนิยมให้มีความหมายแตกตา่ งกนั ออกไปตามแต่มุมมองและทศั นะของนักคดิ แตล่ ะบคุ คลซงึ่ อาจ มกี ารมองรฐั ทงั้ ในแงน่ ามธรรม (abstract) ทไ่ี มส่ ามารถพสิ จู นห์ รอื จบั ตอ้ งได้ รฐั จงึ เป็นเพียงอุดมการณ์ อันมีลักษณะเปน็ จินตนากรในหว้ งความคดิ ของบุคคล และอาจมีการมองรฐั ในแง่ ของส่ิงที่สามารถพิสูจน์ได้ (concrete reality) หรือมองเห็นเป็นรูปธรรมได้การให้ค�ำจ�ำกัดความใน เรื่องรฐั จึงแตกตา่ งออกไปตามแต่แนวคิดและวธิ กี ารศึกษาของแต่ละบคุ คล๒๑ รัฐ เป็นท่รี ู้จกั กนั มาตัง้ แตใ่ นยคุ กรกี โบราณ ดงั จะเหน็ ได้จากการท่อี รสิ โตเตลิ กล่าวว่า รัฐเปน็ สงั คมสงู สดุ ของมนษุ ย์ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ทจี่ ะสามารถบรรลคุ วามดงี ามขน้ึ สงู สดุ ไดเ้ พราะตามแนว ความคิดของอริศโตเติล มนุษย์จะไม่มีวันพบความสุขและมีความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ได้หาก ปราศจากรัฐ ต่อมาในสมัยกลางของยุโรปหรือสมัยศักดินา รัฐได้ถูกใช้ไปในความหมายของชุมชนทาง การเมือง (political communities) หรือเป็นหน่วยทางการเมืองที่แยกออกมาจากระบบศักดินา อยา่ งอสิ ระ โดยมกี ษตั รยิ ์หรือเจ้าผู้ครอบรัฐเปน็ ผู้ปกครอง๒๒ ๒๑ G.A. Jacobsen and H.M. Lipman Political Science.(New York : Barnes Noble books,๑๙๖๕),pp.๒๙ ๒๒ G.Lowell Field, Govemment in Modern Society.(New York : Mcgreaw-Hill,๑๙๕๑),pp ๑๘.

52 รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ ศัพท์เกี่ยวกับการรูปแบบการรวมตัวเป็นองค์การทางการเมืองในปัจจุบัน๒๓ ศัพท์ท่ีเกี่ยวกับ การจดั องคก์ ารทางการเมืองมหี ลายคำ� ดว้ ยกนั ศัพท์ที่ใช้กันบ่อยมากในปัจจุบัน คอื ๑) รฐั ๒) ประเทศ ๓) ชาติ ทง้ั สามศพั ทน์ มี้ คี วามหมายคลา้ ยกนั สำ� หรบั สว่ นทแ่ี ตกตา่ งกนั คอื การเนน้ หนกั ของความหมาย วา่ มคี วามโน้มเอยี งไปทางใด ๑. รฐั เปน็ ศพั ท์ท่ีเนน้ สภาวะทางการเมือง คือ ความเปน็ อธปิ ไตย ๒. ประเทศ เป็นศัพทท์ ีเ่ นน้ สภาวะทางภมู ิศาสตร์ ๓. ชาติ เปน็ ศพั ทท์ ี่เน้นสภาพทางวฒั นธรรมของประชากร ศพั ท์ “ชาต”ิ บ่งใหเ้ ห็นถงึ เช้ือชาติ คอื รูปร่างหน้าตาของคนในบริเวณนัน้ ๆ ประเทศ : เน้นสภาพภูมิศาสตร์ เมื่อเรากล่าวถึงไทยในฐานะ “ประเทศ” เรามักหมายถึง ๑) สภาพดนิ ฟ้าอากาศ ๒) ความอดุ มสมบูรณข์ องดิน ๓) การมแี ม่น�้ำ บึง ลำ� คลอง ภูเขา ปา่ ไม้ ฯลฯ ลกั ษณะที่เน้นคอื สภาพภมู ศิ าสตร์ ชาติ : เน้นเชอ้ื สายและวฒั นธรรม เมือ่ กล่าวถึงไทยในฐานะ “ชาติ” เรามกั นึกภาพถงึ เชื้อสาย ของคนไทย อุปนสิ ัยใจคอและขนบธรรมเนยี มตา่ ง ๆ ลักษณะท่เี นน้ คอื วฒั นธรรมและเชือ้ ชาติ รัฐประชาชาติ : ความหมายสากล เมื่อกล่าวถึงไทยในฐานะเป็น “รัฐประชาชาติ” (หรือรัฐ) เป็นการเน้นว่า บ้านเมืองของเราเป็นที่ยอมรับของ “นานาชาติ” ว่าเป็นรัฐที่อธิปไตย คือ มีอิสรภาพ เต็มท่ใี นฐานะเป็นประเทศเอกราช ค�ำว่า “รัฐ” เปน็ ศพั ท์รวม อาจใชค้ ำ� อ่นื แทน เชน่ รัฐประชาชาติ ชาติ ประเทศ กไ็ ด้ สว่ นความหมายของค�ำว่า “รฐั ” น้ัน มผี ู้ใหค้ ำ� นิยามไวห้ ลายทศั นะ ดงั นี้ ลาสเวลล์และแคปลัน (๑๙๖๔ : ๖๙๐) ให้ค�ำนิยามว่า “รัฐ” ได้แก่ กลุ่มคนที่รวมกันเป็น ระเบยี บและอาศัยอยู่ในอาณาเขตรวมกัน และมอี ำ� นาจอธปิ ไตยสูงสดุ ในอาณาเขตนนั้ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) สรุปว่า “รฐั คอื องค์การที่มีอำ� นาจผกู ขาดในการใช้กำ� ลังหรือ ใช้ความรนุ แรงทั้งหลาย” ๒๓ จริ โชค (บรรพต) วรี ะสยั ดร.สรุ พล ราชภณั ฑารกั ษ์ ดร. และสรุ พนั ธ์ ทบั สวุ รรณ์ ผศ. เรอื่ งเดมิ หนา้ ๙๑-๙๒

รัฐ (State) 53 เดชชาติ วงศโ์ กมลเชษฐ์ ไดร้ วบรวมคำ� นยิ ามของนักปราชญต์ ่างประเทศบางท่าน ดังน๒้ี ๔ ฟิลลิเมอร์ (Phillimore) กล่าวว่า “รัฐ คือ ประชากรหมู่หน่ึงคุ้มครองดินแดนที่มีขอบเขต แนน่ อนอยู่ตลอดมา รวมกนั อยู่ โดยกฎหมาย นิสยั และขนบธรรมเนียม ซง่ึ การรวมกันน้จี ะก่อใหเ้ กิด หน่วยการเมืองข้ึน หน่วยการเมืองนี้ใช้อ�ำนาจผ่านรัฐบาลท่ีได้จัดต้ังขึ้นโดยอธิปไตยและมีอ�ำนาจท่ีจะ ปกครองบุคคลท้ังหมด และกิจการทง้ั หมดในขอบเขตของรฐั มคี วามสามารถที่จะทำ� สงคราม และทำ� สญั ญาสันติภาพ และเข้าติดต่อสัมพันธ์กบั หมู่ชนท่มี ีลักษณะเดียวกันในโลก” ฮอลแลนด์ (Holland) ให้นิยามว่า “รัฐคือการรวมอยู่ของมนุษย์ในขอบเขตท่ีมีพรมแดน แน่นอนแห่งหนึ่ง ในบรรดามนุษย์ท่ีมารวมกันน้ี มติส่วนมากหรือของชนช้ันหน่ึง เป็นผู้มีสิทธิมีเสียง เหนอื มติส่วนน้อย ทงั้ น้โี ดยการสนบั สนุนพรอ้ มเพรียงของส่วนมากหรือของชนชัน้ นน้ั ” บล้นั ชลี (Bluntschli) นกั ปราชญช์ าวเยอรมนั ไดใ้ หค้ วามเหน็ วา่ “รัฐ คอื การรวม หรอื สมาคม ของมนุษย์ในรูปที่มีรัฐบาล (Governed) การรวมนี้จะต้องอยู่ในเขตแดนที่แน่นอนแห่งหนึ่ง และการ รวมกันน้ีก่อให้เกิดบุคคลที่มีสภาพจะรักษาคุ้มครองตัวเองได้ หรือถ้ากล่าวสั้น ๆ รัฐก็คือชาติหน่ึงที่มี การกอ่ ตั้งข้นึ ในทางการเมือง โดยอย่ใู นประเทศหนึง่ ทแี่ นน่ อน” ซิดวิ้ค (Sidwick) นักเขียนต�ำราวิชาปรัชญาและรัฐศาสตร์ชาวอังกฤษเช่ือว่า “รัฐก็คือสังคม หรอื หมชู่ นการเมอื ง คอื วา่ มนษุ ยก์ ลมุ่ หนงึ่ รวมกนั ขนึ้ เปน็ หนว่ ยหนงึ่ โดยทว่ี า่ สมาชกิ ของกลมุ่ ตา่ งยอมรบั ตลอดไปว่า จะเช่ือฟังรัฐบาลอันเดียวกัน ซึ่งจะเป็นตัวแทนของสมาชิกทุกคนในการติดต่อกับสังคม การเมอื งอน่ื ” ซคิ วคิ้ ใหค้ วามเหน็ เพม่ิ เตมิ อกี วา่ “รฐั บาลนเ้ี ปน็ อสิ ระ ซงึ่ หมายความวา่ จะไมต่ อ้ งปฏบิ ตั ิ ตามคำ� ส่งั ของบคุ คลต่างประเทศ หรือองคก์ ารนอกประเทศ หรอื รฐั บาลอืน่ ๆ ท่ีมีอ�ำนาจมากกว่า” เบอร์เกสส์ (Burgess) นักเขียนต�ำราชาวอเมริกัน ซึ่งขณะนี้เป็นที่ยอมรับกันในวงวิชาการว่า เปน็ ผมู้ คี วามรใู้ นดา้ นนเ้ี ปน็ พเิ ศษ (Authority) เขยี นไวว้ า่ “รฐั คอื กลมุ่ ใดกลมุ่ หนง่ึ ของมนษุ ย์ ซง่ึ ยอมรบั กนั ว่า เป็นการรวมกนั เปน็ ปกึ แผน่ แนน่ หนา” วิลเล้าบี้ (Willoughby) ให้ความเห็นว่า “รัฐจะมีอยู่ได้ก็ต่อเม่ือพบว่าในสมาคมของมนุษย์มี บคุ คลกลมุ่ หนง่ึ เปน็ ผทู้ รงสทิ ธสิ งู สดุ เหนอื บคุ คลทว่ั ไป หรอื กลมุ่ บคุ คลในสมาคมนนั้ และกลมุ่ ผทู้ รงสทิ ธิ สูงสดุ นไ้ี ม่ตอ้ งรับค�ำสั่งจากบคุ คลหรือกลุ่มบุคคลใดทง้ั ส้ิน” ๒๔ เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์ “หลักรัฐศาสตร์”(กรุงเทพฯ โรงพิมพ์อกั ษรเจริญทศั น์ : ๒๕๑๕) หนา้ ๓๘-๔๐

54 รัฐศาสตรเ์ บอื้ งตน้ วูดโร วิลสัน (Woodrow Wilson) นักรัฐศาสตร์ผู้เคยเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย ปรินสตัน และเคยด�ำรงต�ำแหน่งประธานาธิบดี (พรรคดีโมแครต) ของอเมริกา ให้ความเห็นไว้อย่าง งา่ ย ๆ วา่ “รฐั คอื ประชากรทมี่ ารวมกนั เขา้ เพอ่ื ขอความพทิ กั ษข์ องกฎหมายภายในเขตแดนทม่ี กี ำ� หนด แนน่ อน” การ์เนอร์ (Garner อ้างจาก ประสาร ทองภักดี, พ.ท., ๒๕๒๕ : ๑๕ - ๑๗) ได้ให้ค�ำจ�ำกัด ความไว้ว่า “รัฐในลักษณะที่เป็นแนวคิดของรัฐศาสตร์และกฎหมายก็คือ ชุมชนของบุคคลท่ีมี จ�ำนวนมากครอบครองดินแดนแห่งหนึ่งที่แน่นอนเป็นการถาวร เป็นเอกราช หรือไม่อยู่ภายใต้การ ควบคมุ จากภายนอก และมรี ฐั บาลทไี่ ดจ้ ดั ตงั้ ขนึ้ ซงึ่ ประชาชนสว่ นใหญใหค้ วามเคารพเปน็ การประจำ� ” แมค็ อีเวอร์ (MacIver, ๑๙๖๕ : ๒๔ อ้างจาก สนธิ เตชานันท์, รศ., ดร., ๒๕๔๓: ๑๙) ได้กล่าว ถงึ ความหมายของรฐั โดยการเปรยี บเทยี บกบั รฐั บาลไวว้ า่ เมอ่ื เราพดู ถงึ รฐั เราหมายถงึ องคก์ รทมี่ รี ฐั บาล เป็นหน่วยบริหาร องค์กรของสังคมทุกองค์กรจะต้องมีจุดรวมในการบริหาร ซ่ึงเป็นหน่วยแยกแยะ นโยบายขององค์กร และแปรเปล่ียนให้เป็นการปฏิบัติ องค์กรจึงใหญ่กว่าหน่วยบริหาร ในแง่น้ี หมายความวา่ รฐั นน้ั มคี วามสำ� คญั และมขี อบเขตทก่ี วา้ งขวางกวา่ รฐั บาล รฐั นนั้ มรี ฐั ธรรมนญู มปี ระมวล กฎหมาย มีวิถีทางในการจัดตั้งรัฐบาล มีองค์ประกอบของพลเมือง เม่ือเราคิดถึงโครงสร้างท้ังหมดนี้ ก็เท่ากบั เราคดิ ถึงรฐั ทินพันธ์ นาคะตะ ได้สรุปแนวคิดตามทศั นะของนักปราชญ์แตล่ ะกลุม่ ว่า๒๕ สำ� หรบั นกั ปรชั ญามองรฐั ไปในแงท่ เี่ ปน็ นามธรรม (abstract) คอื เปน็ สภาวะในมโนคติ เปน็ สงิ่ ทีป่ รากฏข้ึนในห้วงของความคิด เปน็ จินตนาการท่ีไม่รจู้ บสิน้ เป็นอุดมคตซิ ่งึ สงู ส่ง เพราะฉะนนั้ รัฐจงึ เป็นส่ิงที่ไม่อาจจะสัมผัสหรือพิสูจน์ได้อย่างจริงจัง คงเป็นส่ิงซ่ึงมนุษย์ปรารถนาท่ีจะก้าวหน้าไปถึงจุด น้ัน ๆ รัฐในจินตนาการของนักปราชญ์จึงเป็นสิ่งท่ีขัดแย้งซ่ึงกันและกัน ท้ังน้ีก็แล้วแต่มโนคติของผู้รู้ แต่ละทา่ นวา่ ตอ้ งการอย่างไรและปรารถนาประการใด นักกฎหมายหรือนักนิติศาสตร์ มองรัฐไปในทางเดียวในแง่เดียว คือ ถือว่ารัฐเป็นนิติบุคคล หรือเป็นบุคคลที่มีสิทธิหน้าท่ีตามกฎหมาย เพราะฉะนั้น ความคิดแนวนี้จึงเป็นส่ิงคลุมเครือไม่ชัดเจน ปจั จบุ นั ไดม้ ีคำ� นิยามซง่ึ ใชไ้ ปพลางก่อน คอื มีผ้อู ธบิ ายรัฐว่า “รฐั เปน็ ชมุ ชนทางการเมืองของประชาชน โดยมีดินแดนแน่นอน และอาศัยอยู่ร่วมกัน มีรัฐบาลเดียวกัน พ้นจากการควบคุมของรัฐภายนอก และในชมุ ชนดงั กล่าวนี้ สามารถก�ำหนดกฎเกณฑแ์ ละระเบยี บตา่ ง ๆ ได้เอง เพ่ือใหป้ ระชาชนทกุ คนได้ ใชอ้ ยา่ งทัว่ ถึง และทุกคนต่างอยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจการปกครองเดยี วกนั ” ๒๕ ทินพันธ์ นาคะตะ ดร. เรื่องเดิม หนา้ ๑๕

รัฐ (State) 55 นักปราชญ์ทางรัฐศาสตร์หลายท่านยังมีความเห็นขัดแย้งกันในเร่ืองความหมายของ “รัฐ” บางท่านว่า “รัฐ” เป็นนามธรรม ซึ่งได้แก่ความคิดเกี่ยวกับเหตุผล เหตุผลของรัฐ (Raison d’etat) เหตผุ ลของรฐั เปน็ มติ ขิ องความเปน็ รฐั ทางดา้ นอดุ มการณ์ และเปน็ หวั ใจของรฐั เพราะเปน็ สงิ่ ทกี่ ำ� หนด ทศิ ทางของการเปลย่ี นแปลง หรอื การรกั ษาสถานภาพเดมิ เปน็ เงอื่ นไขในการกำ� หนดบทบาทและหนา้ ที่ ของกลไกอ�ำนาจรัฐและเป็นสิ่งท่ีช่วยให้รัฐสามารถปรับบทบาทให้สามารถรับกับพลังกดดันทั้งจาก ภายในและภายนอกรฐั ได้ เหตผุ ลของรฐั จงึ เกย่ี วพนั กบั ความชอบธรรมของรฐั และรฐั บาลอยา่ งแยกกนั ไม่ออก ส่วนแนวคิดของมาร์กซิสต์น้ัน มีความเห็นว่า รัฐเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวและเป็นกลไกกดข่ี ของชนชัน้ หนึง่ ๆ ท่ีมอี �ำนาจทางเศรษฐกิจในชว่ งเวลาตา่ ง ๆ ทางประวตั ศิ าสตรก์ ลไกของรฐั ในทฤษฎี มาร์กซิสต์ จึงได้แก่ สถาบันและองค์กรท่ีมีและใช้อ�ำนาจรัฐในการด�ำเนินกิจการท่ีมีผลต่อวิถีชีวิตของ คนในสังคม บางท่านกล่าวว่า “รัฐ” เป็นรูปธรรมสามารถพิสูจน์ได้ นักนิติศาสตร์เห็นว่า “รัฐ” เป็นนิติบุคคล คือเปน็ บุคคลทางกฎหมาย มสี ิทธแิ ละหนา้ ที่เช่นเดยี วกับบคุ คลธรรมดาทว่ั ไป นักรัฐศาสตร์บางท่านได้อธิบายเร่ือง “รัฐ” ว่า “เป็นชุมชนที่มีอ�ำนาจอธิปไตย มีอิสรภาพ มีความสามารถที่จะแก้ไขข้องบกพร่อง และมีอ�ำนาจบังคับภายในรัฐได้ รวมทั้งมีอ�ำนาจที่จะต่อต้าน อ�ำนาจภายนอกที่เข้ามาก้าวก่ายในกิจการภายในของรัฐ” นักปราชญ์บางท่านได้อธิบายเพ่ิมเติมว่า “รฐั นนั้ ควรจะมบี ทบาทในการใหค้ วามยตุ ธิ รรม การแกค้ วามขดั แยง้ ระหวา่ งประเทศ การปอ้ งกนั ชมุ ชน ให้พน้ จากการกระทำ� ทรี่ นุ แรง และเพ่มิ พูนเสริมสร้างสวสั ดิการสาธารณะ จากคำ� จำ� กดั ความของนกั วชิ าการในเรอ่ื งเกย่ี วกบั ความหมายของ “รฐั ” แมจ้ ะมคี วามขดั แยง้ กันในบางกลุ่มก็ไม่ท�ำให้ความหมายของรัฐแตกต่างกันมากนัก พอจะสรุปได้ว่า “รัฐ” ในความหมาย ทวั่ ไป หมายถงึ ชมุ ชนทางการเมอื งของประชาชนทอ่ี าศยั อยรู่ ว่ มกนั ในดนิ แดนเดยี วกนั มรี ฐั บาลเดยี วกนั ซ่ึงหมายถึงอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กรเดียวกัน เรียกว่า กลไกของรัฐ พ้นจากการควบคุมของ องคก์ รจากรฐั อนื่ ๆ กำ� หนดกฎเกณฑร์ ะเบยี บตา่ ง ๆ ใหป้ ระชาชนปฏบิ ตั ติ ามเรยี กวา่ รฐั ธรรมนญู ซง่ึ ถอื เปน็ กฎหมายท่ีเกิดจากการตกลงรว่ มกันของชุมชน และชุมชนยอมรบั ทจ่ี ะอยภู่ ายใตก้ ฎระเบียบน้ี โดยสรปุ เราอาจให้ความหมายของรฐั ไดว้ า่ หมายถงึ ชมุ ชนทางการเมืองของมนษุ ยท์ ่มี าอาศยั อยรู่ ่วมกนั ภายในอาณาเขตทแี่ น่นอน และมรี ฐั บาลทีม่ อี ำ� นาจอธปิ ไตยทั้งภายในและภายนอกรัฐ ววิ ฒั นาการของรฐั ๒๖ การท่มี นุษย์รวมตวั กนั ข้ึนเปน็ สงั คม คอื เมอื่ มคี นจ�ำนวนมากยอ่ มผลกั ดันใหม้ กี ารจดั องค์การ ทางการเมืองข้ึน โดยได้เกิดมีมาก่อนสมัยที่มีการบันทึกทางประวัติศาสตร์หรือเรียกว่า ยุคก่อน ประวัติศาสตร์ ซ่งึ แมแ้ ต่การประดษิ ฐ์ตวั อกั ษรกย็ งั ไม่มี ๒๖ จิรโชค (บรรพต) วีระสยั ดร.สรุ พล ราชภัณฑารักษ์ ดร. และสรุ พันธ์ ทับสุวรรณ เร่ืองเดิม หน้า ๗๙-๙๐

56 รฐั ศาสตร์เบือ้ งตน้ ล�ำดบั เวลาของการจัดองคก์ ารทางการเมืองของมนุษยชาติ มีดังนี้ ๑. การรวมตวั เปน็ เผา่ ชน เริ่มต้นเม่ือหลายแสนปมี าแล้ว จนถึงประมาณ ๒,๕๐๐ – ๓,๐๐๐ ปีทผี่ ่านมา ๒. การแปรสภาพเปน็ นครรัฐ ปรากฏชัดเจนข้นึ เม่ือประมาณ ๒,๕๐๐ ปีท่ีผ่านมา ๓. การเป็น จักรวรรดิ มรี ะยะเวลาคาบเกี่ยวกบั นครรฐั จนถงึ สงครามโลกครงั้ ท่ี ๒ ๔. การเปน็ รฐั ประชาชาติ หรอื ชาติ – รฐั เปน็ รปู แบบการจดั องคก์ ารทางการเมอื งในปจั จบุ นั โดยรฐั ประชาชาติในปจั จุบนั มมี ากกวา่ ๒๐๐ แหง่ ทัว่ โลก เผ่าชน : กรกี ยุคโบราณหรอื ยคุ โฮเมอร์ รปู แบบเผา่ ชนในกรกี คงมมี ากอ่ น ๓,๐๐๐ ปมี าแลว้ แตเ่ ทา่ ทพี่ อสนั นษิ ฐานจากประวตั ศิ าสตร์ และวรรณคดใี นยคุ โฮเมอร์ (Homeric Age) แลว้ จะประมาณ ๒,๘๐๐ – ๓,๒๐๐ ปีมาแลว้ ยุคโฮเมอร์ หมายถงึ ยุควรรณกรรมทำ� นองจกั ร ๆ วงศ์ ๆ ซงึ่ มกี ารเลา่ ต่อ ๆ กันมา โดยในยคุ โฮเมอรน์ นั้ ชาวกรีกมอี าชีพทางการเพาะปลกู และเลย้ี งสตั ว์ โฮเมอร์ (Homer) เป็นมหากวีของกรีกโบราณ เป็นนักเล่านิทานแต่ตาพิการ เป็นผู้แต่งมหา กาพย์ ๒ เร่ือง คือ “อีเลยี ด” (Iliad) และ “โอดสี ช”ี (Odyssey) รปู แบบของเผา่ ชนหรอื การจดั รปู เปน็ โคตรตระกลู หรอื เหลา่ กอ (Chan) ไดเ้ ปลย่ี นมาเปน็ แบบ กล่มุ อภชิ นช่ัวระยะเวลาหนงึ่ ต่อจากนัน้ กเ็ ขา้ สู่ยคุ แห่งการเป็นนครรฐั เม่อื ประมาณ ๒,๕๐๐ ปีมาแลว้ นครรฐั (Polis) การจดั องค์การทางการเมืองแบบนครรฐั ในยุคโบราณมีอยู่ ๓ บรเิ วณ ได้แก่ ๑. อารยธรรมโบราณแถบตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในสุเมเรยี (Sumeria) ซึ่งอยู่ทางตะวนั ออกของทะเลเมดิเตอรเ์ นียน ได้แก่ นครรัฐอูร์ (Ur) นิปปุระ (Nippur) และบาบิโลน ฯลฯ ๒. ในกรีกยุคคลาสสิก (ยุครุ่งเรืองทางอารยธรรม) เกิดขึ้นเม่ือประมาณ ๗๐๐ B.C. หรือ ประมาณ ๒,๗๐๐ ปีมาแลว้ ได้แก่ นครรฐั เอเธนส์ ๓. ในยโุ รป มใี นชว่ งศตวรรษท่ี ๑๑ – ๑๖ คอื ประมาณ ๙๐๐ ปี ถงึ ๔๐๐ ปมี าแลว้ โดย เฉพาะ ในอิตาลี (นครรฐั โรม และฟลอเรนซ)์ และเยอรมนั

รฐั (State) 57 ในกรณีนครรัฐของกรีก สภาพทางภูมิศาสตร์เป็นตัวก�ำหนดขนาดและโครงสร้างอย่างมาก โดยปกติจะอยู่ใกล้ทะเลมาก และมกั ตงั้ อยู่บนเนนิ เขาซ่งึ สูงชันขึ้นไปจากที่ราบ ทีเ่ นนิ เขาจะมีการสร้าง ปราการซึง่ มีความปลอดภัยสงู และมบี รเิ วณสำ� หรับการเพาะปลูก นครรัฐเอเธนส์รุ่งเรืองท่ีสุดในทางการเมืองและอารยธรรมในช่วงที่มีประมุขช่ือ เปอร์ริคลีส เปน็ ประมาณ ๓๐ ปี เอเธนสจ์ งึ เปน็ เสมอื นดวงประทปี แหง่ กรกี ทง้ั หมด เรยี กกนั วา่ เปน็ ยคุ ทองของกรกี (Golden Age of Greece) เป็นเวลาถึง ๓ ทศวรรษ นครรฐั ของไทย นครรัฐในอดตี ของไทย มีดังน้ีคอื ๑. ทางภาคเหนือ ได้แก่ เวียงพิงค์ (เชียงใหม่) เขลางนคร (ล�ำปาง) หริภุญไชย (ล�ำพูน) เวยี งโกไสย (แพร)่ ชากงั ราว (กำ� แพงเพชร) ๒. ทางภาคอิสาน ไดแ้ ก่ สกลนคร ศรีนครล�ำดวน (ศรสี ะเกษ) ๓. ทางภาคกลาง ได้แก่ พระบาง (นครสวรรค์) สพุ รรณภมู ิ (สุพรรณบรุ )ี ละโว้ (อยธุ ยา) ๔. ทางภาคใต้ ไดแ้ ก่ ตามพรลงิ ค์ (นครศรีธรรมราช) จักรวรรดิ (Empire) จักรวรรดิ มีทั้งในโลกตะวันออกและโลกตะวันตกท่ีมีสภาพอันเหมาะสมของการจัดองค์การ ทางการเมอื งในระดบั ใหญ่มโหฬาร โดยจะขึ้นอยกู่ ับสภาพอากาศท่ไี มร่ ้อนไมห่ นาวจนเกินไปนกั มีดนิ ท่ีอุดมสมบรู ณ์ มีน�้ำทพี่ อเพยี ง และเป็นท่ีราบที่ไมม่ ภี ูเขากัน้ มากอนั เป็นอปุ สรรคต่อการคมนาคม จกั รวรรดิในโลกตะวันออก (บรู พาทศิ ) ลักษณะของจกั รวรรดิในโลกตะวนั ออก คือ ๑) มกี ารยกย่องเทดิ ทนู ผู้นำ� โดยถือว่าจะตอ้ งให้ ความเคารพย�ำเกรงอย่างสงู ๒) มีการเกบ็ ภาษีอย่างแรง ในโลกตะวันออกยคุ โบราณถือว่ามหาสมทุ รเป็นอปุ สรรคตอ่ การขยายอทิ ธิพล ศนู ย์กลางของ จกั รวรรดติ ะวนั ออกมกั อยตู่ ามลมุ่ แมน่ ำ�้ เชน่ ลมุ่ แมน่ ำ้� คงคา ลมุ่ แมน่ ำ�้ แยงซี และลมุ่ แมน่ ำ้� เหลอื ง (ฮวงโห) ทั้งนี้เพือ่ ผลประโยชนใ์ นทางการเพาะปลูก

58 รัฐศาสตรเ์ บื้องตน้ จักรวรรดใิ นโลกตะวันตก จกั รวรรดทิ โ่ี ดง่ ดงั ในโลกตะวนั ตก คอื จกั รวรรดโิ รมนั ซง่ึ เรม่ิ เปน็ รปู รา่ งขน้ึ เมอื่ ประมาณ ๒๗ ปี ก่อนครสิ ตศกั ราช (๒๗ B.C.) และมีอทิ ธพิ ลอย่จู นถงึ ปี ค.ศ. ๔๗๖ รวมเวลาประมาณ ๕๐๐ ปี ซึ่งนบั เปน็ เวลานานกว่าช่วงเวลาแห่งการเปน็ ราชธานขี องกรงุ ศรอี ยุธยาคอื ๔๑๗ ปี จกั รวรรดโิ รมนั มลี กั ษณะ ๓ ประการ คอื ๑) การเนน้ ในเรอ่ื งอำ� นาจซงึ่ อยใู่ นมอื ของอภชิ นโรมนั ๒) การจดั องคก์ ารท่เี นน้ อ�ำนาจท่ศี ูนย์กลาง ๓) เอกภาพแห่งกฎหมาย ความกว้างใหญ่ไพศาลของอาณาบริเวณจักรวรรดิโรมันท�ำให้นักประวัติศาสตร์นามอุโฆษ ชาวองั กฤษ ชอ่ื อารโ์ นลด์ ทอยนบ์ ี ใหฉ้ ายาจกั รวรรดโิ รมนั วา่ เป็น รัฐสากล จกั รวรรดโิ รมนั ไดใ้ หส้ ง่ิ ทเี่ ปน็ มรดก มาถงึ ทกุ วนั นอี้ ยา่ งนอ้ ย ๓ ประการ คอื ๑) ระบบกฎหมาย ทจี่ ดั ท�ำเป็น ประมวล ๒) การบริหารงาน อาณานคิ ม ๓) ความคดิ เก่ยี วกบั เอกภาพ ของโลก ทง้ั หมด นไ้ี ด้มีอทิ ธิพลตอ่ ความคิดวา่ สามารถมี กฎหมายระหวา่ งประเทศ และ การจัดองคก์ ารระดบั โลก ได้ จกั รวรรดยิ คุ ใหม่ จักรวรรดิยุคใหม่ หมายถึง ในยุคแสวงหาเมืองข้ึนของโปรตุเกส สเปน เนเธอร์แลนด์ (ฮอลแลนด์) ฝร่ังเศส และอังกฤษ ซึ่งยุคนี้บางคร้ังเรียกว่า สมัยล่าอาณานิคม (Colonialism) โดยประเทศเพอื่ นบ้านของไทยในกลุ่มอาเซียนลว้ นเคยอยภู่ ายใตอ้ ิทธิพลของประเทศอาณานคิ ม ควินซี ไรท์ (Wright) ไดแ้ บ่งจักรวรรดิยคุ ใหมอ่ อกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. จกั รวรรดทิ างทะเล (Maritime Empire) มขี อบเขตขา้ มทะเลและมหาสมทุ ร เชน่ จกั รวรรดิ องั กฤษ และจกั รวรรดโิ ปรตเุ กส โดยสมยั ทจี่ กั รวรรดอิ งั กฤษขยายตวั เตม็ ทน่ี นั้ ใหญโ่ ตมโหฬารมากจนมี คำ� กล่าวว่า “ไมม่ ีพระอาทติ ยอ์ ัสดงในจักรวรรดอิ งั กฤษ” เพราะมีเนื้อที่ครอบคลุมทกุ ทวีปทวั่ โลก ๒. จกั รวรรดทิ างบก (Land Empire) มขี อบเขตครอบคลมุ อาณาบรเิ วณทางพนื้ ดนิ ทใ่ี กลเ้ คยี ง กนั เชน่ ๑) จักรวรรดิฝร่ังเศสภายใตก้ ารปกครองของนโปเลยี น โบนาปารต์ ๒) จกั รวรรดไิ์ รซ์ (Reich) ของเยอรมนั ซง่ึ มี ๓ ชว่ ง คอื ชว่ งจกั รวรรดโิ รมนั อนั ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ ชว่ งท่บี ิสมารค์ สามารถรวมเยอรมนั ได้ และช่วงภายใต้ระบบนาซีของฮติ เลอร์ ๓) จกั รวรรดอิ อสเตรยี สมยั ราชวงศ์แฮปสเบริ ก์ ๔) จักรวรรดจิ นี ยุคต่าง ๆ เชน่ สมัยราชวงศ์หยวน และสมยั ราชวงศแ์ มนจู เปน็ ตน้

รฐั (State) 59 ระบบศกั ดินาในยุคกลางของยุโรป ราชอาณาจักรต่าง ๆ ในยุคกลางของยุโรปถูกควบคุมโดยบรรดาขุนนางศักดินา (Feudal Lords) ซ่ึงเปรียบเทียบได้กับประเทศญ่ีปุ่นในสมัยนั้นท่ีบรรดาขุนพลหรือเจ้าเมืองซึ่งเรียกว่า โชกุน (Shogun) มีอ�ำนาจควบคุมพน้ื ที่มาก และจกั รพรรดิญปี่ ุ่นมอี �ำนาจแต่ในนามเทา่ นน้ั เม่ือเข้าสู่ยุคกลางน้ัน บุคคลถูกควบคุมโดยศาสนจักร คือ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ซ่ึงองค์การของคริสตจักรน้ีมีอ�ำนาจอย่างกว้างขวาง จนกระท่ังถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ ซึ่งเป็นยุค การฟน้ื ฟวู ทิ ยาการ (Renaissance) กไ็ ดม้ กี ารตงั้ คำ� ถามหรอื ขอ้ กงั ขาซงึ่ คดั ขานความเชอ่ื ตามคมั ภรี ศ์ าสนา รัฐประชาชาติ การจัดองคก์ ารในรูปของรฐั ประชาชาติในปัจจบุ นั กค็ อื การเป็นประเทศสมาชิกขององคก์ าร สหประชาชาติ ถอื เปน็ ปรากฏการณค์ ่อนข้างใหม่เพยี งประมาณ ๒๐๐ ปเี ศษทผี่ า่ นมานีเ้ อง ตวั อย่างท่ี เด่นชดั ไดแ้ ก่ สหรัฐอเมริกาท่ีเปน็ อสิ ระจากองั กฤษในปี พ.ศ. ๒๓๑๙ (ค.ศ. ๑๗๗๖) หรือประมาณ ๖ ปกี ่อนสถาปนากรงุ รตั นโกสินทร์ (พ.ศ. ๒๓๒๕) ตวั อยา่ งของประเทศทเ่ี กดิ ใหมใ่ นเอเซยี ตะวนั ออกเฉยี งใตภ้ ายหลงั สงครามโลกครงั้ ท่ี ๒ ไดแ้ ก่ มาเลเซีย อนิ โดนิเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และบูรไน ลักษณะของรฐั รฐั มลี ักษณะที่สำ� คัญ ๓ ประการ คือ ๑. อ�ำนาจอธิปไตย ๒. การผูกขาดอ�ำนาจ ๓. มิติการเมือง ความเปน็ รฐั จะตอ้ งมอี ำ� นาจอธปิ ไตยสงู สดุ ควบคมุ ทง้ั อาณาเขต และประชากรทงั้ หมดของรฐั สามารถใช้อ�ำนาจอธิปไตยได้อย่างอิสระ ผูกขาดในการใช้อ�ำนาจท้ังการใช้ก�ำลังและความรุนแรงอยู่ เหนือแรงกดดันหรือบีบบังคับจากรัฐอ่ืน ในการใช้อ�ำนาจ และมีรูปแบบในการบริหาร การจัดการใน ทางการเมอื ง ทงั้ โครงสรา้ งรฐั บาล อำ� นาจหนา้ ทข่ี องรฐั บาลและองคก์ รการเมอื ง ในการขบั เคลอ่ื นและ ควบคุมกลไกของสงั คมใหด้ ำ� เนนิ ไปในทศิ ทางทพ่ี ึงประสงค์

60 รัฐศาสตรเ์ บ้ืองตน้ รปู แบบของรัฐ๒๗ ในทนี่ จ้ี ะแบง่ รปู แบบของรฐั โดยยดึ โครงสรา้ งแหง่ การใชอ้ ำ� นาจอธปิ ไตย และการยดึ ถอื ประมขุ ของรฐั เปน็ เกณฑใ์ นการแบง่ ดังต่อไปนี้ ๑. การแบ่งตามโครงสร้างแหง่ การใช้อ�ำนาจอธิปไตย หากยดึ เรอื่ งโครงสรา้ งการใชอ้ ำ� นาจอธปิ ไตยเปน็ เกณฑ์ รปู แบบของรฐั แบง่ ออกเปน็ ๒ รปู แบบ คอื ๑. รฐั เดี่ยว (Unitary State) ๒. รัฐรวม (Compound or Composite State) มีอธิบายดังนี้ ๑. รฐั เดี่ยว (Unitary State) คอื รัฐทเ่ี ปน็ อันหนง่ึ อนั เดยี วกนั ค�ำวา่ เปน็ อันหนึ่งอนั เดยี วกนั หรือเอกภาพนี้ พิจารณาในด้านอ�ำนาจอธิปไตยมากกว่าดินแดน เพราะรัฐเด่ียวอาจมีดินแดนแยกกัน อยู่ก็ได้ เช่น ประเทศปากีสถานในอดีต (แบ่งเป็นปากีสถานปัจจุบันกับปากีสถานตะวันออกหรือ บงั คลาเทศในปจั จบุ นั โดยมอี นิ เดยี คนั่ กลาง) ในรฐั เดยี่ วจะรวมอำ� นาจการเมอื ง การปกครองไวท้ เี่ ดยี วกนั คอื ส่วนกลางโดยมรี ฐั บาลกลาง (National Government) เป็นผใู้ ช้อำ� นาจอธิปไตยเพยี งรัฐบาลเดียว เปน็ รฐั ทรี่ วมคำ� สงั่ คำ� บงั คบั บญั ชา และคำ� วนิ จิ ฉยั ไวใ้ นสว่ นกลาง รวมกำ� ลงั ทหาร ตำ� รวจ ไวใ้ นสว่ นกลาง รฐั เดย่ี วเปน็ รฐั ทม่ี ีอ�ำนาจอธปิ ไตยสมบูรณท์ งั้ ภายในและภายนอก ตวั อยา่ งรฐั เดยี่ วได้แก่ ไทย ฝรง่ั เศส ญปี่ ุ่น ฯลฯ ๒. รัฐรวม (Compound or Composite State) ไดแ้ กร่ ฐั ต้ังแต่ ๒ รัฐขน้ึ ไปรวมกัน ซึ่งแบ่ง ออกเปน็ ๒ ประเภท คอื ก. สหพนั ธรัฐ (Federation) เปน็ รฐั ที่เกิดจากรัฐตง้ั แต่ ๒ รัฐขนึ้ ไปมารวมกัน เพอ่ื จดั ต้ังรัฐบาลกลางขึ้น แล้วมอบหมายให้รัฐบาลกลางเป็นผู้ใช้อ�ำนาจอธิปไตยภายนอก มีตัวอย่างคือ สหรัฐอเมริกา และจากผลของการรวมกันน้ีท�ำให้เกิดรัฐใหม่ข้ึนต่างหากจากรัฐท่ีมารวมกัน กฎหมาย ระหว่างประเทศถือว่ารัฐท่ีเกิดใหม่นี้เท่านั้นท่ีเป็นนิติรัฐ ส่วนรัฐสมาชิกไม่ถือว่าเป็นนิติรัฐ เพราะไม่มี อิสระในการใชอ้ �ำนาจอธปิ ไตยอยา่ งแทจ้ รงิ ๒๗ ประสาร ทองภักดี พ.ท. เรอื่ งเดิม หนา้ ๓๑-๓๖

รฐั (State) 61 ในสหพันธรัฐ (Federation) น้ัน รัฐสมาชิกหรือมลรัฐมีอ�ำนาจครอบครองตนเองมากกว่า รัฐบาลหรือการปกครองท้องถิ่นในรัฐเดี่ยว ซึ่งมีการกระจายอ�ำนาจ และในสหพันธรัฐนี้ มลรัฐหรือรัฐ สมาชกิ มีอำ� นาจอธิปไตยภายใน (Internal Sovereignty) เกอื บจะสมบูรณ์ เชน่ มีอำ� นาจในการออก กฎหมาย (อ�ำนาจนิตบิ ญั ญตั ิ) การจัดตั้งรัฐบาลประจ�ำ (อ�ำนาจบรหิ าร) และการศาล (อำ� นาจตุลาการ) นอกจากอำ� นาจอธปิ ไตยภายในบางอย่าง รฐั สมาชกิ ได้มอบให้รฐั บาลกลางเป็นผ้ใู ช้ เช่น อ�ำนาจในการ ออกเงินตรา การก�ำหนดอัตราภาษีอากร การเกณฑ์ทหาร และกิจการเก่ียวกับการไปรษณีย์โทรเลย โทรศัพท์ เป็นต้น พ.ท. ประสาร ทองภกั ดี ได้สรปุ ลักษณะสำ� คัญของสหพนั ธรฐั ไว้ดังนี้ ๑. อ�ำนาจอธิปไตยภายนอก (External Sovereignty) รัฐสมาชิกไม่มีสิทธิท่ีจะใช้ได้ เพราะถอื ว่ารัฐสมาชิกมสี ภาพบคุ คลรวมเปน็ อนั หน่ึงอนั เดยี วกันอยใู่ นสหพนั ธรัฐ ๒. ส�ำหรับอ�ำนาจอธิปไตยภายใจ รัฐสมาชิกแต่ละรัฐต่างมีอ�ำนาจของตนเองในกิจการ บางอย่าง เว้นแต่บางกรณีอาจจะถูกจ�ำกัดลงบ้าง เพราะความจ�ำเป็นเพ่ือจะให้วิธีการด�ำเนินงานของ สหพันธรัฐเปน็ ไปดว้ ยดี ๓. ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรฐั สมาชกิ ดว้ ยกนั ถอื เปน็ ความผกู พนั ตามกฎหมายรฐั ธรรมนญู ไมใ่ ช่ เป็นความผกู พนั ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ๔. มีการแบ่งปันอ�ำนาจอธิปไตย ระหว่างส่วนกลางและส่วนท้องถ่ิน ผลก็คือท�ำให้เกิดระบบ อำ� นาจอธิปไตยคู่ คือ มรี ฐั สภาสหรัฐและรฐั สภามลรัฐ มีรัฐบาลสหรัฐ มรี ัฐบาลมลรัฐ มศี าลสหรัฐ และ ศาลมลรฐั อนึ่ง ในสหพันธรัฐนั้น อ�ำนาจตุลาการของศาลสูงสุด เป็นอ�ำนาจท่ีส�ำคัญมาก เพราะถ้ารัฐ สมาชกิ เกดิ พพิ าทกนั ขนึ้ กด็ ี หรอื รฐั สมาชกิ รฐั ใดรฐั หนง่ึ เกดิ พพิ าทกบั รฐั บาลกลางกด็ ี จะตอ้ งใหศ้ าลสงู สดุ (Supreme Court) เป็นผู้ตัดสิน จะตกลงกันทางการทูตไม่ได้ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสมาชิก เป็นความสมั พันธ์ตามกฎหมายรัฐธรรมนญู ไมใ่ ชก่ ฎหมายระหวา่ งประเทศดงั กลา่ ว ข. สมาพนั ธรัฐ (Confederation) เปน็ การรวมรัฐตง้ั แต่ ๒ รัฐข้นึ ไป แต่เปน็ การรวม กันอย่างหลวม ๆ และมุ่งหมายให้เป็นการช่ัวคราว เพ่ือกระท�ำการร่วมกันอย่างใดอย่างหน่ึง เช่น ท�ำสงครามโดยท�ำสนธิสัญญากันไว้ การรวมกันนี้ไม่ได้เกิดรัฐบาลขึ้นใหม่ รัฐที่มารวมกันยังคงเป็นรัฐ โดยสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ได้ร่วมกันสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสมาชิกที่มา รวมกนั เปน็ ความสมั พนั ธต์ ามกฎหมายระหวา่ งประเทศโดยสนธสิ ญั ญา จะบอกเลกิ เมอ่ื ใดกไ็ ด้ โดยแจง้ เป็นหนังสือล่วงหน้าพอสมควร และการแยกตนเป็นอิสระโดยสมาพันธรัฐ ไม่เป็นความผิดฐานกบฏ

62 รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ แบง่ แยกดนิ แดนเหมอื นในสหพนั ธรฐั อยา่ งไรกด็ ี ในปจั จบุ นั นส้ี มาพนั ธรฐั ไมม่ แี ลว้ แตใ่ นประวตั ศิ าสตร์ เคยมีสมาพันธรัฐที่ส�ำคัญ ๒ รัฐ คือ สวิสเซอร์แลนด์ เคยเป็นสมาพันธรัฐอยู่ระหว่าง ค.ศ. ๑๘๑๕ – ๑๘๔๘ และสหรฐั อเมรกิ าเคยเป็นสมาพนั ธรัฐอยู่ระหว่าง ค.ศ. ๑๗๗๖ – ๑๗๘๗ สมาพันธรฐั แตกตา่ งจากสหพนั ธรัฐ ตามความเหน็ ของ พ.ท. ประสาร ทองภกั ดี คอื ๑. รัฐสมาชิกในสมาพันธรัฐต่างก็เป็นอิสระ ย่อมมีเสรีภาพท่ีจะแยกตัวออกไปเมื่อใดก็ได้ สว่ นในสหพนั ธรฐั รฐั สมาชิกไม่มสี ิทธิดงั กล่าวนี้ ๒. สมาพันธรัฐ เกิดจากข้อตกลง หรือกติการะหว่างรัฐสมาชิก ส่วนสหพันธรัฐ เกิดจาก รฐั ธรรมนูญ ๓. สมาพนั ธรฐั ตา่ งกนั เปน็ เอกราชโดยสมบรู ณ์ รฐั ใดรฐั หนง่ึ อาจทำ� สงครามกบั ตา่ ง ประเทศได้ โดยไม่ท�ำให้รัฐสมาชิกในสมาพันธรัฐต้องผูกพันในการท�ำสงครามด้วย ผิดกับสหพันธรัฐ ซ่ึงจะท�ำเช่น น้นั ไม่ได้ ๔. การท�ำสงครามระหวา่ งรฐั สมาชิกในสมาพนั ธรัฐ ถอื เปน็ สงครามอันแทจ้ รงิ ตรงกนั ขา้ มกบั การรบพุง่ ในสหพนั ธรฐั น้นั ถอื เปน็ เพยี งสงครามกลางเมืองเท่านนั้ ประเทศในเครอื จกั รภพองั กฤษ (British Commonwealth of Nations) นอกจากรูปของรัฐดังกล่าวแล้ว ยังมีรูปของรัฐอีกแบบหนึ่ง ซ่ึงไม่เป็นการง่ายที่จะอธิบายให้ เข้าใจได้ชัดเจน เพราะไม่ได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งรูปของรัฐตามหลักวิชาการท่ีเคยถือกันมา ดังจะเห็นได้ตอ่ ไป ประเทศในเครอื จกั รภพองั กฤษ ไดแ้ กป่ ระเทศทเี่ คยเปน็ อาณานคิ มของประเทศองั กฤษมากอ่ น เม่ือได้รับเอกราชแล้ว ก็ขอรวมอยู่กับประเทศอังกฤษ โดยถือพระมหากษัตริย์อังกฤษเป็นสัญลักษณ์ แหง่ การรวมกนั อยา่ งอิสระ ประเทศในเครอื จกั รภพเหลา่ นใ้ี นชน้ั เดมิ เปน็ เมอื งขน้ึ หรอื อาณานคิ มขององั กฤษ แตเ่ จรญิ ขน้ึ เรว็ เปน็ ลำ� ดบั ผดิ กวา่ เมอื งขนึ้ อน่ื ๆ เพราะมคี นผวิ ขาว ซงึ่ สว่ นมากเปน็ องั กฤษเขา้ ไปตงั้ ถน่ิ ฐาน และคน เหล่านนั้ กก็ ลายเป็นคนของดนิ แดนน้นั ๆ ไปเอง อังกฤษจึงค่อย ๆ ปลอ่ ยให้ปกครองตัวเองเป็นล�ำดับ ทีละน้อย ๆ (Self Government) ทั้งนี้เพราะอังกฤษได้บทเรียนจากการสูญเสียสหรัฐอเมริกาไปได้ดี กล่าวคือการท่ีสหรัฐอเมริกาสลัดการปกครองจากอังกฤษเป็นเอกราชได้นั้น ก็เพราะอังกฤษไม่รู้จัก ผ่อนหนักเบา อังกฤษเห็นว่าประเทศเหล่านี้วันหนึ่งจะต้องหลุดมือแยกออกไปเป็นแน่ เพราะคนเหล่า

รฐั (State) 63 น้ีก็เป็นฝรั่ง ซ่ึงมีความฉลาดและได้รับการศึกษาเช่นเดียวกับอังกฤษ ฉะนั้นจึงได้แต่พยายามที่จะร้ังไว้ ใหช้ า้ ทสี่ ดุ โดยผอ่ นผนั ใหป้ ระเทศเหลา่ นไ้ี ดป้ กครองตนเองมากขน้ึ ครน้ั ประเทศเหลา่ นน้ั ไดร้ บั เอกราชแลว้ จงึ ขอรวมอยกู่ บั องั กฤษอยา่ งอสิ ระ เชน่ คานาดา ออสเตรเลยี นวิ ซแี ลนด์ มาเลเซยี สงิ คโปร์ และอนิ เดยี ๒. แบง่ ตามประมขุ ของรฐั การแบ่งตามเกณฑ์ท่สี องนี้ ถอื เอาประมขุ ของรัฐเป็นหลกั ซง่ึ อาจ แยกไดเ้ ป็น ๒ ประเภท คอื ๑. ราชอาณาจักร (Kingdom) ได้แก่ พระมหากษัตริย์ หรือพระราชินี เป็นประมุขของรัฐ และไมว่ า่ จะเปน็ แบบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ (Absolute Monarchy) หรอื จะเปน็ แบบพระมหากษตั รยิ ์ เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ในระบอบประชาธิปไตย เราเรียกว่า ราชอาณาจักร ตวั อย่างเช่น ไทย องั กฤษ ญป่ี ุ่น นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ค เนเทอร์แลนด์ เป็นตน้ ๒. สาธารณรฐั หรอื มหาชนรฐั (Republic) ไดแ้ กร่ ฐั ทมี่ บี คุ คลธรรมดาเปน็ ประมขุ ไมว่ า่ จะเปน็ ประมุขอย่างเดียว (Titular Head) เช่น อินเดีย หรือเป็นทั้งประมุขแห่งรัฐ (Chief of State) และประมุขฝ่ายบริหาร (Chief of Executive) ด้วย เช่น สหรัฐอเมริกา กไ็ ด้ ในปจั จบุ ันนี้ สาธารณรัฐเกดิ ขน้ึ ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ๑. ประเทศน้ันได้เปล่ียนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ด้วยการปฏิวัติอย่าง ถอนรากถอนโคน พวกทำ� การเปลี่ยนแปลงเป็นฝ่ายหัวรุนแรง และไม่ต้องการรักษาสถาบันกษัตริย์ไว้ อกี ตอ่ ไป จงึ ไดท้ ำ� ลายสถาบนั กษตั รยิ ล์ งอยา่ งสน้ิ เชงิ แลว้ แตง่ ตง้ั บคุ คลธรรมดาเปน็ ประมขุ เชน่ ฝรงั่ เศส และรสั เซีย ๒. เป็นประเทศท่ีเกิดใหม่ ซึ่งไม่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จึงต้องแต่งต้ังบุคคลธรรมดา เป็นประมขุ เช่น สหรฐั อเมรกิ า อนิ เดีย พมา่ และบงั คลาเทศ เป็นตน้ องคป์ ระกอบของรัฐ๒๘ รัฐจะมสี ภาพเป็นรฐั ท่ีสมบรู ณไ์ ด้ต้องประกอบไปดว้ ยองคป์ ระกอบ ๔ ประการ คือ ๑. ประชากร (พลเมอื ง) ๒. อาณาเขต หรือดนิ แดน ๓. รฐั บาล ๔. อธปิ ไตย ๒๘ จริ โชค (บรรพต) วรี ะสยั ดร.สรุ พล ราชภณั ฑารกั ษ์ ดร.สุรพนั ธ์ ทับสวุ รรณ์ ผศ. เรอื่ งเดิม หนา้ ๙๒-๙๘

64 รัฐศาสตร์เบอ้ื งต้น ก. ประชากร (พลเมือง) เป็นองค์ประกอบแรกของรัฐ เพราะแต่รัฐย่อมต้องมีประชากร ถา้ ไมม่ ปี ระชากรแลว้ จะเรียกว่ารัฐไม่ได้ ในดา้ นจ�ำนวน รฐั แต่ละรัฐจะมจี �ำนวนประชากรทแ่ี ตกต่างกัน ไปไม่แน่นอน ว่าจะมีเกณฑ์ก�ำหนดมากน้อยเท่าใดจึงจะเป็นรัฐได้ ในยุคกรีกโบราณ เพลโต เห็นว่า จ�ำนวนเหมาะสมที่จะท�ำให้การบริหารการจัดการได้ดี ก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยคือ ๕,๐๔๐ คน จากการส�ำรวจขององค์การอนามัยโลก องค์การสหประชาชาติ (ข้อมูลจาก www.WHO.int) เม่ือ ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ พบวา่ รฐั ประชาชาตติ า่ ง ๆ ทวั่ โลกมจี ำ� นวนประชากรรวมกนั ประมาณ ๖,๘๐๐ ลา้ นคน เชน่ สาธารณรฐั ประชาชนจนี มปี ระชากรเปน็ อันดับ ๑ ของโลก คือเกอื บ ๑,๓๑๕ ลา้ นคน อินเดยี มปี ระชากรเปน็ อนั ดบั ๒ ของโลก รองจากจนี คอื เกอื บ ๑,๑๐๓ ลา้ นคน สหรัฐอเมรกิ า มีประชากรเปน็ อนั ดับ ๓ ของโลก คือประมาณ ๒๙๘ ลา้ นคน อนิ โดนเี ซีย มีประชากรเป็นอันดับ ๔ ของโลก คอื ประมาณ ๒๒๒ ล้านคน ญ่ปี นุ่ มีประชากรประมาณ ๑๒๘ ล้านคน ปากสี ถาน มปี ระชากรประมาณ ๑๕๗ ล้านคน ฟิลิปปนิ ส์ มีประชากรประมาณ ๘๓ ลา้ นคน มาเลเซีย มีประชากรประมาณ ๒๕ ลา้ นคน โดยรัฐทม่ี ปี ระชากรมากทีส่ ดุ คือปะหัง กมั พูชา มีประชากรประมาณ ๔๕ ลา้ นคน สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว มีประชากรประมาณ ๖ ล้านคน สงิ คโปร์ มปี ระชากรประมาณ ๔ ลา้ นคน บรู ไน มปี ระชากรประมาณ ๓๗๔,๐๐๐ คน แคนาดา มีประชากรประมาณ ๓๒ ลา้ นคน ลักเซมเบอร์ก มปี ระชากรประมาณ ๔๖๕ ,๐๐๐ คน รัฐวาตกิ นั มีประชากรประมาณ ๘๗๐ คน ไทย มีประชากรประมาณ ๖๔ ลา้ นคน ภูฏาน มปี ระชากรประมาณ ๒ ล้านคน เมยี นมาร์ มปี ระชากรประมาณ ๕๖ ลา้ นคน เวยี ตนาม มปี ระชากรประมาณ ๘๔ ล้านคน องั กฤษ มปี ระชากรประมาณ ๖๐ ลา้ นคน ฝรั่งเศส มีประชากรประมาณ ๖๐ ลา้ นคน

รฐั (State) 65 เยอรมนี มีประชากรประมาณ ๘๒ ลา้ นคน อิตาลี มีประชากรประมาณ ๕๘ ลา้ นคน ออสเตรเลีย มปี ระชากรประมาณ ๒๐ ล้านคน ออสเตรยี มีประชากรประมาณ ๘ ลา้ นคน ศรีลงั กา มีประชากรประมาณ ๒๑ ล้านคน เนปาล มปี ระชากรประมาณ ๒๗ ลา้ นคน ฯลฯ โครงสรา้ งประชากร ในสภาพความเปน็ จริงนนั้ ในทกุ รัฐประชาชาตยิ อ่ มมคี วามแตกตา่ งของประชากร แตใ่ นกรณี ทค่ี วามแตกต่างมไี มม่ ากนกั และไม่ก่อให้เกิดปญั หาทางการเมอื งรนุ แรงและบอ่ ยคร้ัง กจ็ ะเรียกวา่ เป็น สงั คม สมานรปู ตวั อย่างเชน่ ไทย ญี่ปนุ่ เกาหลี ฯลฯ ในกรณีท่ีเป็น พหุสังคม คือ การมีบุคคลต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ต่างศาสนา มาอาศัยปะปน รวมกันอยู่ และมีความแตกตา่ งเชิงอนุวฒั นธรรมค่อนขา้ งมาก กจ็ ะมผี ลกระทบในเชิงการเมอื งมาก ข. อาณาเขตหรือดนิ แดน ลักษณะของอาณาเขตหรือดินแดน ๔ ประการ คอื ๑. ผนื ดิน ๒. ทะเล ๓. ไหล่ทวีป ๔. อากาศ ผนื ดนิ รฐั อาจมดี นิ แดนทเี่ ปน็ ผนื เดยี วตดิ ตอ่ กนั หรอื ไมก่ ไ็ ด้ บางรฐั มผี นื ดนิ อนั เดยี วกนั บางรฐั มพี นื้ ดนิ ท่ไี มต่ ดิ ตอ่ กนั และบางรัฐอาจต้องรวมหลาย ๆ หมเู่ กาะเป็นดนิ แดนของรัฐ บางรฐั ก็มเี นอ้ื ทใี่ นสองทวปี เช่น ตุรกี ซ่ึงมีดินแดนอยู่ในทวีป เอเชีย และทวีปยุโรป แต่หลักส�ำคัญก็คือรัฐต้องมีดินแดนที่แน่นอน และมักจะถือเอาพรมแดนตามธรรมชาติ เชน่ สนั เขา รอ่ งน้�ำลกึ ในแมน่ ำ้� หรือการปักปันเขตแดน

66 รัฐศาสตรเ์ บื้องตน้ ทะเล ดินแดนหรืออาณาเขตของรัฐคือรัฐมีอ�ำนาจอธิปไตยเหนือนั้น รวมทั้ง ๑) น่านน้�ำภายใน (territorial waters) และ ๒) น่านนำ้� ชายฝั่ง น่านน�ำ้ ภายใน หมายถงึ แม่น้ำ� หนอง คลอง บึง ภายใน ดินแดนของประเทศ ส่วนนา่ นนำ้� ชายฝงั่ มีกฎเกณฑแ์ ละระเบยี บปฏิบัตติ า่ ง ๆ กัน ว่าอะไรเป็นน่านน�้ำ ชายฝั่ง ตามหลกั ปฏบิ ตั เิ ดมิ เมอื่ ค.ศ. ๑๗๙๓ ไดก้ ำ� หนดอาณาเขตนา่ นนำ้� ออกไป ๓ ไมลท์ ะเล (ประมาณ ๕ กโิ ลเมตร) ซง่ึ เทา่ กบั ระยะกระสนุ ปนื ใหญใ่ นสมยั นน้ั เขตอธปิ ไตยถอื วา่ อยใู่ นวง ๓ ไมลน์ นั้ ตอ่ มาภาย หลงั ได้มีการกำ� หนดใหมเ่ ปน็ ระยะ ๑๒ ไมลท์ ะเล คอื มากกวา่ เดิม ๔ เท่า ส�ำหรับในปัจจุบันมีหลายรฐั ได้ประกาศว่ารัฐของตนมีอ�ำนาจครอบคลุมห่างจากชายฝั่งออกไปถึง ๒๐๐ ไมล์ทะเล หรือประมาณ ๒๕๐ กโิ ลเมตร การประกาศน่านนำ้� ซ่ึงมคี วามกวา้ งมากขนึ้ น้เี รียกว่า “เขตเศรษฐกิจจำ� เพาะ” (Exclu- sive Economic Zone) คอื จำ� เพาะของรฐั ท่ีมชี ายฝงั่ ดังกลา่ ว สว่ นนา่ นนำ้� ระหวา่ งประเทศ (International waters) หรอื ทะเลหลวง (High Seas) เปน็ ทะเล ซ่ึงพน้ อาณาเขตของรฐั ตามทปี่ ระกาศออกไป ทะเลหลวงไดร้ ับการยอมรับโดยชาตติ ่าง ๆ ว่าเปดิ ให้ใช้ เปน็ ทางสัญจรไปมาได้ เพราะเปน็ ดินแดนของนานาชาติไมม่ รี ฐั ใดเป็นเจา้ ของ ดงั น้ันทกุ ชาติหรือทกุ รัฐ ยอ่ มมสี ทิ ธผิ า่ นเมือ่ เปน็ การผ่านโดยสุจริต (right of innocent passage) ไหล่ทวปี อ�ำนาจปกครองของรัฐครอบคลุมไปถึงใต้ทะเลท่ีเรียกว่า ไหล่ทวีป (Continental shelf) ซงึ่ หมายถงึ พนื้ ดินกน้ ทะเล (Seabed) และใตผ้ ิวดินไหลท่ วปี เป็นแหล่งทรัพยากรสำ� คญั ของรฐั มาก ประเทศท่ีไมม่ ดี นิ แดนสว่ นใดสว่ นหนึง่ ตดิ ทะเล แตม่ ีดินแดนของรฐั อันลอ้ มรอบอยูท่ กุ ๆ ดา้ น เรียกว่าเป็น “รัฐปิด” คือล้อมรอบด้วยผืนดิน (Land-Locked state) ได้แก่ ประเทศเนปาล อาฟกานิสถาน ลาว ยกู านดา อากาศ หมายถงึ ดนิ แดนของรฐั ทีอ่ ย่เู หนอื ๑) พ้ืนดนิ และ ๒) เหนือนำ้� ดังนัน้ จงึ หมายถึง ๑) ทอ้ งฟ้า ที่อยู่เหนือดินแดนของรัฐที่เป็นพ้ืนดิน และ ๒) อยู่เหนือดินแดนในทะเลของรัฐ และ ๓) รวมถึงเขตท่ี เป็นอากาศ รัฐสามารถอ้างว่ามีสิทธิในท้องฟ้า (Air space) คือมีอ�ำนาจอธิปไตยเหนือท้องฟ้าของตน ดังน้นั การจัดการเดนิ อากาศระหวา่ งชาตเิ หนอื ดนิ แดนจะตอ้ งไดร้ ับอนุญาตเสยี กอ่ น

รัฐ (State) 67 ค. รัฐบาล รัฐบาลเป็นสถาบันทางการเมือง ที่ท�ำหน้าท่ีรักษาคุ้มครองรัฐ อันได้แก่ อ�ำนาจอธิปไตยของ รัฐ ตลอดจนประชากรของประเทศ โดยการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย ให้บริการและรักษา พันธกรณีต่าง ๆ กับนานาชาติ ความหมายของรัฐบาล ๔ ประการ คอื ๒๙ ๑. หมายถงึ กิจกรรมหรอื กระบวนการแหง่ การปกครอง ๒. หมายถงึ ภาวะทีม่ ีระเบียบหรือมคี วามสงบเรียบรอ้ ย ๓. หมายถึงคณะบุคคลท่ีมีอ�ำนาจปกครอง ๔. หมายถงึ รูปแบบการปกครอง คำ� วา่ รฐั บาล (Government)๓๐ คอื องคก์ ารและผแู้ ทนขององคก์ าร ทด่ี ำ� เนนิ งานของรฐั เรยี กวา่ รัฐบาล อันถือว่าเป็นผู้ท�ำหน้าที่สาธารณะและเป็นเครื่องจักรท่ีรับปฏิบัติสนองเจตนารมณ์ของ สาธารณสขุ (Public will) จึงกลา่ วได้ว่ากระทรวง ทบวง กรม ตลอดจนสว่ นราชการตา่ ง ๆ ทท่ี �ำหน้าท่ี นิติบญั ญัติ บริหาร และตลุ าการ ตลอดจนส�ำนกั งาน คณะกรรมการ เจา้ หนา้ ที่ รวมทงั้ คนงานยอ่ มเปน็ ส่วนของรัฐบาลท้ังสิ้น และการจะมีรัฐบาลขึ้นน้ันจ�ำต้องได้รับความยินยอมจากประชาชน เพื่อตอบ สนองความต้องการของประชาชนในรัฐ ท้ังนี้เพ่ือรักษาผลประโยชน์ของประชาชน และเพื่อ ปอ้ งกนั การรุกรานจากรฐั อ่ืน ตลอดจนการใหค้ วามยุตธิ รรมแกป่ ระชาชน เพราะฉะน้ัน การมีรัฐบาลเป็นองค์การหรือสถาบันทางการเมือง เพ่ือจัดการปกครองรัฐให้มี ระเบยี บแบบแผน โดยมงุ่ หวงั ทจ่ี ะไดร้ บั การรบั รองจากรฐั อน่ื ซงึ่ จะทำ� ใหส้ ามารถตดิ ตอ่ สมั พนั ธท์ างการคา้ ทางการทูตในฐานะท่ีทัดเทียมกัน อันจะยังให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและน�ำมาซ่ึงสันติสุข ของโลก จงึ กล่าวได้ว่า รัฐบาลมบี ทบาทส�ำคญั ในการสรา้ งกฎหมายและการรกั ษากฎหมาย ท้ังของรฐั และกฎหมายระหวา่ งประเทศพรอ้ มกันด้วย รัฐบาลเป็นสถาบันทางการเมืองของรัฐและเป็นส่วนหน่ึงที่ขาดมิได้ของรัฐ และรัฐจะยังไม่มี สภาพเป็นรัฐโดยสมบูรณ์จนกว่าจะได้มีการจัดตั้งองค์การทางการเมือง เพื่อท่ีจะสามารถจัดระเบียบ และอ�ำนวยการรักษาความสงบแก่การอยู่รวมกันของประชาชน นักรัฐศาสตร์บางคนมีความเห็นว่า ๒๙ Julius and William L.Kolb,(ed). A Dictionary of the Social Sciences (Free press of Glenceo.๑๙๖๔) pp.๒๙๓ - ๒๙๔ ๓๐ อานนั ท์ อาภาภิรม “รฐั ศาสตรเ์ นื่องกนั ” (กรุงเทพฯ สำ� นักพิมพโ์ อเดยี นสโตว์ : ๒๕๒๘) หน้า ๑๖-๑๗

68 รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งตน้ รัฐบาลถือก�ำเนิดมาจากการรวมกันของประชาชน เพื่อมุ่งแสวงหาความคุ้มครองอันเป็นวัตถุประสงค์ รว่ มกัน และโดยท่ัวไปแล้วรฐั หน่งึ ๆ จะมรี ฐั บาลกลางไดเ้ พียงรฐั บาลเดยี วเท่านั้น และในกรณที ีม่ ีการ เปล่ียนรูปของรัฐบาลมิได้ท�ำให้รัฐส้ินสุดลง ในบางคร้ังมีความจ�ำเป็นที่จะต้องเปล่ียนรูปของรัฐบาล ดังเช่น รูปของรัฐบาลสมัยสุโขทัยซ่ึงเป็นแบบพ่อปกครองลูก คร้ันถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาได้เปลี่ยนเป็น แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้มีการเปล่ียนรัฐบาลจากระบบ สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ มาเปน็ รฐั บาลระบอบประชาธไิ ปไตยแบบพระมหากษตั รยิ อ์ ยภู่ ายใตร้ ฐั ธรรมนญู ต้งั แต่วันที่ ๒๔ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ง. อ�ำนาจอธิปไตย ลักษณะของอ�ำนาจอธิปไตย มี ๔ ประการ คือ ๑. ความเด็ดขาด ๒. การแผอ่ ทิ ธิพลท่ัวอาณาบรเิ วณ ๓. ความถาวร ๔. แบ่งแยกมไิ ด้ องคป์ ระกอบประการสดุ ทา้ ยของรฐั คอื ๓๑ “อำ� นาจอธปิ ไตย” (Sovereignty) และการมอี ำ� นาจ อธิปไตยน้ีเองท�ำให้รัฐบาลมีความแตกต่างไปจากองค์การสังคมอื่น ๆ ความหมายอย่างง่าย ๆ ของ อ�ำนาจอธิปไตยกค็ อื อ�ำนาจสงู สุด (Supreme power) หรืออ�ำนาจทางกฎหมายที่มลี ักษณะเบ็ดเสรจ็ เดด็ ขาด (Final legal authority) อยา่ งไรกด็ ี คำ� วา่ “อำ� นาจอธปิ ไตย” นเี้ ปน็ ทโ่ี ตแ้ ยง้ กนั มาก กลา่ วคอื ฝา่ ยหนงึ่ วา่ อำ� นาจอธปิ ไตยนน้ั ไมม่ ขี อบเขตจำ� กดั แบง่ แยกมไิ ด้ และเดด็ ขาด แตอ่ กี ฝา่ ยหนง่ึ มคี วามเหน็ วา่ อ�ำนาจอธิปไตยนั้นจะมีสภาพไม่จ�ำกัด หรืออ�ำนาจเด็ดขาดน้ันยังยากท่ีจะเข้าใจอยู่ เพราะว่าอ�ำนาจ สาธารณะ (Public power) ทกุ อยา่ งยอ่ มมขี อบเขตจำ� กดั และยอ่ มตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย ซงึ่ ยอ่ มถกู จ�ำกัดอยู่อยา่ งเห็นได้ชัดแล้ว สมควรเรยี กวา่ “Legal sovereignty” คือเปน็ ทรี่ วมอำ� นาจท่ีผปู้ กครอง หรือผู้บรหิ ารชมุ ชนทางการเมืองไดใ้ ช้ในการบรหิ าร อันประกอบดว้ ย อธิปไตยภายใน (Internal sovereignty) หมายถึงอ�ำนาจสูงสุดทางกฎหมายเหนือบุคคล ทั้งหลาย ตลอดจนเจา้ หนา้ ทขี่ องรัฐ ๓๑ อานันท์ อาภาภิรม เร่อื งเดิม หนา้ ๑๘-๑๙

รฐั (State) 69 อธิปไตยภายนอก (External sovereignty) คืออ�ำนาจท่ีเป็นอิสระจากการควบคุมภายนอก (External control) ซ่ึงในความหมายทั่วไปเข้าใจว่าอธิปไตยไม่มีขอบเขตทางการจ�ำกัดของกฎหมาย แตอ่ ำ� นาจสาธารณะนนั้ ปฏบิ ตั หิ นา้ ทผี่ า่ นองคก์ ารหรอื เครอ่ื งมอื สาธารณะ และตอ้ งอยภู่ ายในกรอบการ ปฏบิ ัตติ ามควรและยอ่ มถกู จ�ำกัด กล่าวได้ว่าอ�ำนาจอธิปไตยเป็นแนวความคิดทางกฎหมาย และตั้งอยู่บนรากฐานของอ�ำนาจ หรือความยินยอมอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะประชาชนจะเช่ือฟังหรือปฏิบัติตามกฎหมายก็เพราะว่า จ�ำเป็นต้องกระท�ำ มิฉะนั้นตนจะถูกลงโทษ หรืออีกประการหน่ึงเพราะว่าประชาชนมีความต้องการ ทจ่ี ะปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายนน้ั ๆ อยแู่ ลว้ ฉะนน้ั การใชก้ ำ� ลงั บงั คบั จงึ เปน็ สงิ่ จำ� เปน็ เฉพาะบคุ คลสว่ นนอ้ ย เทา่ นน้ั ทขี่ ดั ขนื กลา่ วคอื ไมย่ อมปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายของรฐั ทำ� ใหร้ ฐั จำ� ตอ้ งมกี ำ� ลงั ตำ� รวจและทหารเพอ่ื บังคับผู้ท่ีไม่ยินยอมปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ และเพื่อป้องกันอธิปไตยจากการรุกรานของรัฐอื่น จึงเห็นได้ว่ารัฐต้องอาศัยเจ้าหน้าท่ีในการใช้อ�ำนาจบังคับประชาชนให้ปฏิบัติการตามตัวบทกฎหมาย และมกี �ำลงั ทหารทเี่ ข้มแขง็ เพือ่ ป้องกันรัฐของตนอกี ดว้ ย ชาติหรือประชาชาติ องค์ประกอบของชาติหรือประชาชาติ ๕ ประการ คือ ๑. มคี วามผกู พนั ตอ่ ถิ่นทอี่ ยู่ ๒. มีประวัติศาสตร์ร่วมกนั ๓. มภี าษาและวรรณคดรี ่วมกัน ๔. มวี ฒั นธรรมรว่ มกัน ๕. มคี วามตอ้ งการอยอู่ ยา่ งอิสระ สญั ลักษณ์ของชาติ คอื ชือ่ ประเทศ ธงชาติ เพลงชาติ จากคำ� นิยามข้างต้นแยกพจิ ารณาถงึ องค์ประกอบข้นึ พนื้ ฐานของรฐั ไดด้ งั ตอ่ ไปนี้ ๑. ประชากร (Population) หากจะถามว่าการเปน็ รัฐจะตอ้ งมปี ระชากรจำ� นวนมากเท่าใด หรอื การเปน็ รฐั ท่ีเหมาะสมจะ ตอ้ งมจี ำ� นวนประชากรเทา่ ใดคงเปน็ การยากทจี่ ะตอบได้ ทง้ั นเ้ี พราะในแตล่ ะรฐั มปี จั จยั ทเี่ ปน็ ตอ่ กำ� หนด

70 รัฐศาสตร์เบอ้ื งต้น ถึงจ�ำนวนประชากรท่ีแตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้น ค�ำตอบท่ีเหมาะสมและเป็นไปได้ก็คือรัฐแต่ละ รัฐควรมีจ�ำนวนประชากรมากพอที่จะเล้ียงตัวเองได้และสามารถจัดความสัมพันธ์ระหว่างถูกปกครอง กบั ผปู้ กครองได้๓๒ น่นั คือมีจ�ำนวนประชากรมากพอท่ีจะปกครองตัวเองไดน้ ั่นเอง ๒. ดินแดน (Territory) รัฐต้องมีดินแดนเป็นอาณาเขตที่แน่นอน ไม่ใช่เป็นเพียงเผ่าชนที่ต้องอพยพเร่ร่อนไปเร่ือยดิน แดนเป็นเครื่องก�ำหนดขอบเขตการใช้อ�ำนาจอธิปไตยของรัฐ การก�ำหนดเส้นพรมแดนของประเทศจึง ตอ้ งเกดิ จากการไดร้ บั การยอมรบั จากนานาประเทศ ซงึ่ อาจเกดิ จากสนธสิ ญั ญาอนั เปน็ ขอ้ กฎหมายหรอื จากขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื จากการรบั รองขององคก์ ารระหวา่ งประเทศอนั รวมถงึ การยอมรบั จากประเทศทมี่ ี อาณาเขตตดิ ตอ่ กนั กไ็ ด้ ดนิ แดนอนั ถอื เปน็ อาณาเขตของประเทศจงึ หมายถงึ พน้ื ดนิ ทะเล และเขตนา่ นฟา้ เหนือดินแดนด้วย แต่อาจมีข้อยกเว้นจากกฎหมายระหว่างประเทศท่ีได้ก�ำหนดให้บางสถานท่ี นอกเหนือจากดินแดนท่ีอยู่ในอาณาเขตข้างต้นให้ถือว่าเป็นมีสภาเสมือนดินแดนท่ีรัฐมีสิทธิ ใช้อ�ำนาจ อธิปไตยเหนือดินแดนได้อย่างสมบูรณ์ เช่น เรือสินค้าท่ีดิน ธงของประเทศ ภายในอาณาเขตที่ต้ังของ สถานทูตและในอากาศยาน เป็นต้น ส่วนการก�ำหนดว่ารัฐควรมีอาณาเขตที่เป็นดินแดนกว้างใหญ่ แค่ไหน เพียงไรจงึ จะเหมาะสมนั้น ยังคงเป็นส่ิงทไี่ มส่ ามารถจะกำ� หนดหรือระบุได้เชน่ กัน ๓. รัฐบาล (Government) รัฐบาลมีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในอาณาเขตของรัฐ ให้ประชาชนของรัฐ อยู่อย่างมีความสุข เพราะฉะนั้น รัฐบาลจึงรวมไปถึงองค์กรของรัฐทุกองค์กรท่ีท�ำหน้าท่ีเพ่ือให้บรรลุ ตามจดุ ประสงคข์ องรฐั อกี ดว้ ย การจดั ตงั้ รฐั บาลนอกจากการมงุ่ หวงั ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคภ์ ายในขอบเขต อาณาจกั รของรฐั แลว้ ยงั มงุ่ หวงั ทจ่ี ะใหไ้ ดร้ บั การยกยอ่ งรบั จากนานาประเทศอกี ดว้ ยเพราะรฐั บาลทไ่ี ด้ รบั การยอมรบั จากรฐั อน่ื ๆ จะสามารถมบี ทบาทตอ่ สงั คมโลกไดอ้ ยา่ งทดั เทยี มกบั นานาประเทศ อยา่ งไร กด็ รี ฐั จะมคี วามสมบรู ณไ์ ดก้ เ็ มอ่ื มรี ฐั บาลเพอื่ การจดั ระเบยี บและรกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ยใหเ้ กดิ ขน้ึ แก่ พลเมอื งของรฐั เพราะฉะนนั้ รัฐบาลจึงเป็นสถาบันหนง่ึ ของรฐั ท่จี ะขาดมไิ ด้ ๔. อำ� นาจอธปิ ไตยภายใน และอำ� นาจอธปิ ไตยภายนอก (Sovereignty and Independence) อ�ำนาจอธิปไตยภายในรัฐเป็นอ�ำนาจสูงสุดเหนือประชาชน ดินแดน และรัฐบาลของรัฐส่วน อ�ำนาจอธิปไตยภายนอกหมายถึงการที่รัฐมีอิสระจากอ�ำนาจของรัฐอ่ืน และมีความเท่าเทียมกันตาม ๓๒ Jacobsen and Lipman op.cit pp.๓๐

รัฐ (State) 71 กฎหมายระหวา่ งประเทศ แมอ้ ำ� นาจอธปิ ไตยจะหมายถงึ อำ� นาจสงู สดุ ของรฐั อนั เปน็ การบง่ ถงึ ความเปน็ เอกราชและมีอิสระภายเหนือดินแดน แต่ในปัจจุบันระบบโลกได้มีพัฒนาการสู่ความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศจนทำ� ใหร้ ฐั แตล่ ะรฐั มอี ทิ ธพิ ลซงึ่ กนั และกนั จนยากทจี่ ะกลา่ ววา่ มรี ฐั ใดรฐั หนง่ึ ทสี่ ามารถดำ� เนนิ กิจการทั้งภายในและภายนอกประเทศได้อย่างมีเสรีภาพที่แท้จริงเพราะฉะน้ันการพิจารณาถึงอ�ำนาจ อธิปไตยเป็นหลักในการสรุปว่าชุมชนทางการเมืองใดเป็นรัฐหรือไม่น้ัน หากสังคมโลกไม่มีกฎหมาย ระหวา่ งประเทศทร่ี ฐั แตล่ ะรฐั ยดึ ถอื เราอาจนำ� ปจั จยั อำ� นาจอธปิ ไตยทหี่ มายถงึ การเปน็ อสิ ระจากอำ� นาจ ภายนอกมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาได้อย่างเต็มท่ี แต่เม่ือเรายอมรับว่ากฎหมายระหว่างประเทศ ท่อี ยู่จรงิ เรากไ็ มส่ ามารถใช้อ�ำนาจอธปิ ไตยเป็นปัจจัยในการกำ� หนดลักษณะของรัฐไดอ้ ย่างเตม็ ท่ีนัก การรับรองรัฐ (Recognition) เป็นเครื่องมือส�ำคัญท่ีแสดงถึงการเป็นรัฐที่สมบูรณ์ ซึ่งเกิดจากได้รับการยอมรับจากรัฐอื่น ๆ โดยความสมคั รใจ การท่ีรฐั ไดร้ บั การยอมรบั จากรัฐอื่นท�ำใหร้ ัฐน้นั สามารถแสดงบทบาทในฐานะเทยี บ เท่ากับรัฐอื่น ๆ ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ การรับรองรัฐจึงเป็นเคร่ืองมือท�ำให้รัฐท่ีได้รับการ รบั รองมสี ภาพเปน็ สมาชกิ โลก เพราะการเขา้ รว่ มเปน็ สมาชกิ ในทกุ กลมุ่ สมาชกิ จะตอ้ งไดร้ บั การยอมรบั และรบั รองจากสมาชกิ เกา่ ของสงั คมโลกจงึ เขา้ รว่ มเปน็ สมาชกิ ได้ เมอื่ ไดร้ บั การยอมรบั และรบั รองแลว้ รฐั นัน้ ก็จะมสี ิทธิและหน้าทตี่ ามกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐที่เกิดใหม่จึงความตอ้ งการท่ีจะได้รบั การ รบั รองจากรฐั อ่นื ๆ โดยเฉพาะรัฐมหาอำ� นาจ หากเกิดกรณีมีรัฐส่วนหนึ่งท่ีให้การรับรองแต่ก็มีรัฐอีกส่วนหน่ึงท่ีไม่ให้การรับรอง ปัญหาจึง เกิดขึ้นว่าจะยึดหลักของรัฐกลุ่มใด หรือจะใช้อะไรเป็นมาตรฐานในรับรองรัฐ กรณีเช่นน้ีออกที่ใช้เป็น แนวปฏิบัติกค็ ือ รฐั น้นั จะสามารถตดิ ตอ่ เข้าร่วมเป็นสมาชกิ และมีความสมั พนั ธก์ บั รัฐในส่วนทใ่ี หก้ าร รับรอง แต่ในส่วนของรัฐที่ไม่ให้การรับรองก็จะไม่มีการติดต่อหรือมีความสัมพันธ์กับรัฐที่กลุ่มตน ไมใ่ หก้ ารรบั รอง แตท่ งั้ นกี้ ม็ ใิ ชว่ า่ รฐั ทไี่ มไ่ ดร้ บั การรบั รองจะไมม่ สี ถานภาพเปน็ รฐั แตอ่ ยา่ งใด เพราะการ มีสถานภาพว่าเป็นรัฐหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ๔ ประการข้างตน หากมีองค์ประกอบครบ ท้งั ๔ ประการ รฐั นั้นกถ็ อื วา่ เป็นสถานภาพว่าเปน็ รัฐโดยสมบรู ณ์ตามความเปน็ จริง แมใ้ นเวทที างการ เมืองโลกรัฐน้ันอาจไม่ได้รับการรับรอง การรับรองรัฐจึงเป็นเพียงการท�ำให้รัฐตามความเป็นจริงมี สถานภาพเปน็ บคุ คลระหวา่ งประเทศ อนั เปน็ กฎเกณฑท์ กี่ ำ� หนดตามขอ้ ตกลงของสมาชกิ เพราะฉะนนั้ การไมร่ บั รองรฐั กไ็ มไ่ ดท้ ำ� ใหค้ วามเปน็ รฐั ตามความเปน็ จรงิ ตอ้ งสน้ิ สภาพลงแตอ่ ยา่ งใด เพยี งแตร่ ฐั ทไี่ ม่ ได้รับการรบั รองอาจจะไมไ่ ดร้ บั ความการปกครองหรอื มีสิทธแิ ละหน้าที่ตามกฎหมายระหวา่ งประเทศ ดังเช่นรัฐอนื่

72 รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งต้น การรับรองรัฐอาจถือว่าเป็นเครื่องมือที่ส�ำคัญอันหนึ่งที่ใช้ในการด�ำเนินความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ เพราะการบางคร้ังการรับรองหรือไม่รับรองไม่ได้เกิดจากการพิจารณาคุณสมบัติของรับเป็น เง่ือนไขในการพิจารณา แต่ใช้ระบอบการปกครองหรือนโยบายในการบริหารประเทศว่ามีทิศทาง และแนวโนม้ ที่สอดคล้องกบั กลมุ่ ประเทศของตนหรือไม่ หากสอดคล้องไปทิศทางเดยี วกนั การรับรอง รฐั กจ็ ะเกดิ ขน้ึ งา่ ย แตห่ ากขดั แยง้ กลมุ่ ของรฐั นน้ั กอ็ าจใชว้ ธิ กี ารวางเฉยอนั เปน็ การแสดงถงึ การไมร่ บั รอง รัฐเพ่ือสร้างแรงกดดันต่อรัฐท่ีต้องการให้รับรอง ให้ยอมปองดองแนวนโยบายของรับตนให้สอดคล้อง กับนโยบายของรัฐในกลมุ่ นั้น การรบั รองรัฐสามารถแบ่งออกได้ ๒ วธิ ี คือ ๑. รับรองโดยขอ้ เท็จจริง (De facto) หมายถึง การมีรัฐอยู่จริง แต่รัฐนั้นยังไม่ได้รับการรับรองโดยกฎหมายระหว่างประเทศอาจ เพราะยงั ไมม่ น่ั ใจในเงอ่ื นไขการเปน็ รฐั ของรฐั นนั้ จงึ มเี พยี งการยอมรบั รองโดยพฤตนิ ยั เทา่ นน้ั และหาก ในเวลาตอ่ มาเงอ่ื นไขทเี่ ปน็ ปญั หาในการรบั รองรฐั โดยกฎหมายไดส้ นิ้ สดุ ลง รฐั นนั้ กจ็ ะรบั การรบั รองโดย กฎหมายระหวา่ ง เพราะฉะนัน้ การรับรองโดยขอ้ เท็จจริงจึงเป็นการรบั รองความและมกั เกิดกอ่ นการ รบั รองรฐั โดยกฎหมาย แตจ่ ะยาวนานแคไ่ หน เพยี งไรนน้ั ขน้ึ อยเู่ งอื่ นไขวา่ รฐั ใหมม่ คี ณุ สมบตั เิ พยี งพอท่ี ไดร้ บั การรับรองโดยกฎหมายหรอื ไม่ และการรับรองข้อเทจ็ จรงิ อาจมกี ารขยายระยะเวลาออกไปนาน ได้เท่าท่ีเงื่อนไขการรับรองโดยกฎหมายยังสมบูรณ์พอ ในบางกรณีอาจให้การรับรองโดยข้อเท็จจริง พร้อมกับการรับรองโดยกฎหมายเลยก็ได้ การรับรองโดยข้อเท็จจริงถือเป็นมาตรการทางการเมือง ระหว่างประเทศในการบีบบังคับให้รัฐที่ต้องการได้รับการรับรองโดยกฎหมายระหว่างประเทศต้องมี การปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลง หรือแกไ้ ขเพอ่ื ใหอ้ ยใู่ นเง่อื นไขทสี่ ังคมโลกยอมรับในการเข้าร่วมเป็นสมาชกิ ของรัฐในสังคมโลก ๒. รบั รองโดยกฎหมาย (De jury) หมายถงึ การรบั รองรฐั โดยนติ นิ ยั อนั มผี ลถกู ตอ้ งตามกฎหมาย (Legitimate) วา่ รฐั ทไี่ ดร้ บั การ ยอมรับนนั้ มสี ภาพครบถว้ นตามเงอ่ื นไขการเปน็ รฐั การรบั รองโดยกฎหมายจึงมลี กั ษณะที่เป็นทางการ (Formal) และมีผลอยา่ งถาวร (Permanent) ไมไ่ ด้เปน็ การรบั รองแบบช่วั คราวเหมือนการรบั รองโดย ขอ้ เทจ็ จรงิ การรบั รองโดยกฎหมายจงึ เปน็ การแสดงออกถงึ ความสมั พนั ธท์ างการเมอื งระหวา่ งประเทศ ๓๓ แต่ทัง้ นก้ี ม็ ไิ ดห้ มายความวา่ รัฐที่ใหก้ ารรบั รองจะต้องชอบหรือมรี ะบอบการปกครองเหมอื นกบั รัฐที่ได้ ๓๓ อานนท์ อาภาภิรมย์ รัฐศาสตร์เบอื้ งตน้ (กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร์ ๒๕๒๘) น.๒๐

รัฐ (State) 73 รบั การรบั รองแตป่ ระการใด หรอื อกี นยั หนงึ่ การรบั รองรฐั ไมไ่ ดห้ มายความวา่ รฐั ทใี่ หก้ ารรบั รองจะตอ้ ง เหน็ ชอบด้วยกับการกระท�ำของรัฐทตี่ นใหก้ ารรับรอง จดุ ประสงคข์ องรัฐ ตามทศั นะของอริสโตเติล จุดประสงคข์ องรฐั คือ “ไม่ใช่เพยี งเพอ่ื มีชวี ติ อยู่ แต่ตอ้ งเป็นไปเพือ่ ชวี ติ ซ่ึงมีคุณภาพทดี่ ี”๓๔ นน้ั กห็ มายความวา่ รัฐนอกจากจะใหก้ ารคุ้มครองชวี ติ ของพลเมืองใหอ้ ยูร่ อด ปลอดภยั จากอนั ตรายทงั้ จากภายนอกและภายในแลว้ รฐั จะตอ้ งดแู ลดา้ นสวสั ดกิ ารของพลเมอื งใหก้ นิ ดีอยดู่ ี และรฐั ต้องส่งเสริมดา้ นคุณธรรมดว้ ย จุดประสงค์ของรัฐตามทัศนะของ ชาร์ลส์ หลุยส์ มองเตสกิเออ (Charles Louis Montes- quieu) นักนิตศิ าสตรช์ าวฝรั่งเศส คือ๓๕ ๑. การคมุ้ ครองชีวิต ๒. การใหม้ อี าหารที่เหมาะสม ๓. การมเี ส้ือผา้ ๔. การครองชวี ิตทเ่ี ปน็ ปกตสิ ุข จดุ ประสงค์ของรฐั ตามทศั นะของแจคอบเส็นและลิปแมน (Jacobsen and Lipman) คือ ๑. ใหส้ งั คมมคี วามสงบสุข ๒. ส่งเสริมความผาสกุ ส่วนบคุ คล ๓. สง่ เสริมความผาสุกสว่ นรวม ๔. สง่ เสริมคณุ ธรรม จดุ ประสงค์ของรัฐในรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมรกิ า คอื ๓๖ ๑. เพอ่ื สถาปนาความยตุ ิธรรม ๒. เพื่อความสงบสุขภายใน ๓. เพื่อใหป้ ระเทศปลอดภยั จากการรุกราน ๔. เพ่อื สง่ เสริมความผาสุกของประชาชน ๓๔ “The end of the state not mere life. It is rather a good quality of life” of Andrew Hacker Political Theory (New York : Macmillan ๑๙๖๑) p.๘๑ ๓๕ Robert Stewart (Comp.) The Penguin Dictionary of Political Quatation (Middlesex : Penguin Books ๑๙๘๔) ๓๖ James Flynn and William Durham, America Political Documents (New York : Monarch Press,๑๙๖๖) p.๒๗

74 รัฐศาสตร์เบ้ืองตน้ ๕. เพือ่ คงไว้ซ่ึงเสรภี าพ จดุ ประสงค์ของรัฐในรัฐธรรมนูญอนิ เดีย๓๗ ๑. เพอ่ื ใหม้ คี วามยุตธิ รรมในทางสังคม เศรษฐกจิ และการเมือง ๒. เพ่ือใหม้ ีเสรีภาพในการคิด การแสดงออกตา่ ง ๆ ในความเชื่อและการนับถอื ศาสนา ๓. เพอ่ื ให้มแี ละสง่ เสริมซ่ึงสถานที่และโอกาสของประชาชน ๔. เพื่อให้มภี ราดรภาพโดยเห็นศักดศิ์ รแี ห่งเอกบคุ คลและเอกภาพแห่งชาติ หน้าท่ีของรฐั ๓๘ ในระบอบประชาธปิ ไตยถอื วา่ รฐั เกดิ มาเพอ่ื มนษุ ย์ ดงั นนั้ จงึ ถอื วา่ เปน็ หนา้ ทแ่ี ละความผดิ ชอบ ของรฐั ทจี่ ะตอ้ งอำ� นวยประโยชนส์ ขุ แกป่ ระชาชน และถอื วา่ เปน็ สทิ ธอิ นั ชอบธรรมทปี่ ระชาชนจะไดร้ บั ประโยชน์จากรฐั ใหม้ ากทสี่ ุด หน้าทีข่ องรฐั โดยทั่วไปจะมลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กนั ซง่ึ อาจะแบ่งไดเ้ ปน็ หนา้ ทข่ี องรัฐภายในประเทศ ก. การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายใจ โดยการออกกฎหมาย ระเบียบ ข้อบงั คับต่าง ๆ และต้ังกองก�ำลังข้ึนสว่ นหนงึ่ เพื่อควบคมุ ความเป็นระเบียบเรียบรอ้ ยภายในประเทศ ระงับการกระท�ำผิดและป้องกันอาชญากรรม ลงโทษบุคคลท่ีจะละเมิดกฎเกณฑ์ กฎหมายของรัฐ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องปกป้องพลเมืองทุกคน ให้มีสิทธิ เสรีภาพ เท่าเทียมกัน ไม่ปล่อยให้ผู้ใด ผู้หน่งึ มอี ำ� นาจเหนอื ผู้อืน่ และสร้างความเดือดรอ้ นให้แก่ผอู้ นื่ ๆ ข. การจัดสวัสดิการทางสังคม หมายถึงกิจการท่ีบริการแก่สังคม ก่อให้เกิดความสะดวกและ ประโยชน์แก่ประชาชน โดยการจัดตั้งสิ่งท่ีอ�ำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ให้ประชาชนมีมาตรฐาน ความเป็นอย่ทู ี่เหมาะสม เชน่ จดั การขนสง่ คมนาคม การศึกษา การรกั ษาพยาบาล การช่วยเหลือและ ให้หลกั ประกันแกค่ นท่ยี ากจน ตลอดจนการดแู ลคนพิการ ค. การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จัดเป็นหน้าท่ีของรัฐอีกประเภทหนึ่งที่จะต้องน�ำประเทศ ไปสคู่ วามเจรญิ พยายามใหท้ กุ คนมกี ารกนิ ดอี ยดู่ ี มรี ายไดพ้ อเพยี ง ซงึ่ ในเรอื่ งนร้ี ฐั จะตอ้ งวางแผนพฒั นา เศรษฐกจิ และสงั คมข้นึ เพื่อกำ� หนดการทจ่ี ะสร้างความเจรญิ ใหแ้ ก่ประเทศชาตเิ ป็นขน้ั ๆ ไป ๓๗ Norman D. Palmar. The Indian Political System (Boston : Houghton-Miffiln,๑๙๖๑) p.๙๒ ๓๘ นงเยาว์ พีระตานนท์ เรอื่ งเดมิ หนา้ ๒๔-๒๕

รัฐ (State) 75 หนา้ ที่ของรฐั ระหว่างประเทศ ก. รกั ษาเอกราช ซงึ่ หมายถงึ ความเปน็ อสิ ระ พน้ จากการถกู ละเมดิ อำ� นาจอธปิ ไตยจากภายนอก รัฐ รัฐทุกรัฐต้องมีเอกราชสมบูรณ์ ดังน้ัน รัฐจึงจ�ำเป็นต้องมีกองก�ำลังปกป้องชาติ เช่น ก�ำลังทหาร เพอื่ วตั ถปุ ระสงคอ์ ยา่ งเดยี วคอื รกั ษาเอกราชใหก้ องกำ� ลงั นใี้ นดา้ นอนื่ เชน่ การเขา้ ควบคมุ ทางการเมอื ง ถือวา่ ผิดวัตถปุ ระสงค์ ข. รักษาผลประโยชน์ รัฐจ�ำเป็นต้องรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ซึ่งก็คือผลประโยชน์ของ ประชาชน ไม่ต้องเสียเปรียบชาติอื่น ๆ ในการน้ีรัฐจ�ำเป็นต้องด�ำเนินนโยบาย ที่เป็นคุณประโยชน์ต่อ รัฐทง้ั ทางดา้ นเศรษฐกิจและการเมือง ค. รกั ษาเกยี รตภิ มู ิ รฐั จะตอ้ งมนี โยบายทจ่ี ะตดิ ตอ่ กบั ตา่ งประเทศอยา่ งมเี กยี รติ เปน็ ทย่ี อมรบั ยกยอ่ งจากนานาชาติ ทำ� ใหต้ ดิ ตอ่ สมั พนั ธก์ บั ตา่ งประเทศได้ โดยมฐี านะเทา่ เทยี มกนั ไมถ่ กู เหยยี ดหยาม จากชาติอื่น หรอื อยใู่ นฐานะที่ด้อยกวา่ ชาติอ่ืน แนวความคิดเกย่ี วกบั “รัฐโลก” (World State) รัฐ, ชาติ, หรือประเทศ เป็นรูปแบบของรฐั ท่ียอมรบั กนั ทว่ั ไปในปจั จุบนั แต่มีแนวคดิ เกี่ยวกบั รัฐอีกแบบหน่ึง ซึ่งมีมานานแล้วเก่ียวกับการรวมรัฐทุกรัฐท่ัวโลก เป็นรัฐอันเดียวกันที่เรียกว่า “รฐั โลก”๓๙ ส�ำหรับรัฐโลกน้ีไม่ได้เป็นความคิดที่เพ่ิงเกิดขึ้นในสมัยปัจจุบัน หากแต่เป็นความคิดซ่ึงเกิดมา นานแล้ว จะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ชาวกรีก พระเจ้า Alexander ได้พยายามสร้างจักรวรรดิโลก ในสมยั โรมนั การสรา้ งจกั รวรรดโิ รมนั กจ็ ดั ไดว้ า่ เปน็ การพยายามสรา้ งจกั รวรรดโิ ลก นโปเลยี นมหาราช พยายามท่ีจะด�ำเนินรอยตามกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ หรือจักรวรรดิโรมัน เยอรมัน และญี่ปุ่นสมัย สงครามโลกครง้ั ท่ี ๒ ไดพ้ ยายามขยายดนิ แดนในทวปี ยโุ รปและเอเซยี เพอื่ ทจ่ี ะหาทางสรา้ งสรรคใ์ หเ้ กดิ จักรวรรดิโลกเช่นกัน สหภาพโซเวียตในปัจจุบันได้ยึดถือความคิดของมาร์กซ์ จนกระท่ังได้ขยาย อาณาเขตเขา้ ไปในยโุ รปตะวันออก เอเชีย แอฟริกา ละตนิ อเมริกา ปัจจุบันนี้ได้มีความพยายามท่ีจะสร้างองค์การต่าง ๆ เสมือนรัฐโลก ซ่ึงได้แก่ องค์การ สหประชาชาติ ซ่ึงแม้จะไม่เหมือนรัฐโลกทีเดียว แต่ก็อาจจะเป็นก้าวแรกที่น�ำไปสู่รัฐโลก องค์การ สหประชาชาติปัจจุบันนี้ ประกอบด้วยสมาชิก ซ่ึงเป็นประเทศเอกราชเป็นจ�ำนวนมาก สมาชิก คือ ๓๙ ทนิ พนั ธ์ นาคะตะ เรื่องเดิม หน้า ๓๔

76 รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งตน้ ประเทศเหล่าน้ี มีเจตจ�ำนงแน่วแน่ประการหนึ่ง คือ ความพยายามท่ีจะให้มีกฎเกณฑ์ที่แน่ชัดในการ ก�ำหนดสิทธิเสรีภาพของรัฐต่าง ๆ ก�ำหนดหน้าที่ของรัฐต่าง ๆ และก�ำหนดกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ ระหวา่ งรฐั ตา่ ง ๆ ใหอ้ ยใู่ นมาตรฐานทดี่ ที เี่ หมาะสม อยา่ งไรกต็ าม องคก์ ารสหประชาชาตนิ ยี้ งั ไมส่ ามารถ ท่ีจะเปน็ หน่วยงานทีม่ ปี ระสทิ ธภิ าพอยา่ งถึงขนาด ด้วยเหตุทว่ี า่ ขาดอ�ำนาจอธปิ ไตย คอื อำ� นาจในการ ปกครองสูงสุดของโลก อ�ำนาจอธิปไตยยังคงอยู่ที่รัฐสมาชิก แทนท่ีจะอยู่ที่หน่วยงานกลาง ด้วยเหตุน้ี จึงยากตอ่ การตกลงใด ๆ หรอื แก้ปญั หาใด ๆ ให้ได้ผลดอี ย่างเตม็ ท่ี ผลทเี่ กิดขึ้นกค็ อื มหี ลกั เกณฑ์ แตไ่ ม่ อาจท่ีจะใชห้ ลักเกณฑ์ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ อยา่ งไรกด็ ี องคก์ ารสหประชาชาตกิ ย็ งั มฐี านะดกี วา่ สนั นบิ าตชาติ ซงึ่ ไมอ่ าจจะดำ� เนนิ การอยา่ ง ใด ๆ ไดเ้ ลย รฐั โลกในอดุ มคตนิ น้ั กค็ อื สภาพการปกครองซงึ่ อยใู่ นระดบั ทเ่ี หนอื กวา่ องคก์ ารสหประชาชาติ หมายความว่าจะมอี งค์ประกอบดงั ต่อไปนี้ ๑. โลก คือประเทศเดียว (One country = world) หมายความวา่ ประเทศเอกราชท่ีอยู่ใน ปัจจุบัน จะกลายเปน็ ส่วนหนึง่ ของรฐั บาลโลก ๒. จะมีรฐั บาลเพยี งแห่งเดียว เรียกวา่ รฐั บาลโลก (world government) ๓. รฐั บาลน้มี อี �ำนาจอธปิ ไตยอย่างเต็มท่ี ๔. มีกฎเกณฑ์ทแี่ นน่ อนเก่ยี วกับสิทธเิ สรภี าพของรฐั สมาชิก ๕. รฐั สมาชกิ มอี �ำนาจในการด�ำเนินงานตา่ ง ๆ ที่เป็นเร่อื งภายในของตน ๖. การปกครองนเี้ ป็นเสมือนการปกครอง แบบ Federal ในระดับโลก รัฐโลกท่ีกล่าวมานี้ยังมีลักษณะเป็นอุดมการณ์ยูโทเปีย (Utopia) คือความปรารถนาตาม อุดมคติมากกว่าความเปน็ จริง สรุป การจดั องคก์ ารทางการเมอื งสบื เนอ่ื งมาจากการทม่ี นษุ ยร์ วมตวั กนั ขนึ้ เปน็ สงั คม จดุ เรมิ่ ตน้ ของ การรวมตวั เปน็ สงั คมกค็ อื การรวมกลมุ่ ขน้ึ เปน็ ครอบครวั จากหลายกลมุ่ ครอบครวั กลายเปน็ เผา่ ชน หรอื การจัดรูปแบบเป็นเหล่ากอ หรือโคตรตระกูล และได้เปล่ียนรูปแบบเป็นกลุ่มอภิชนช่ัวระยะเวลาหนึ่ง ตอ่ จากนนั้ กเ็ ขา้ สยู่ ุคแห่งการเปน็ นครรฐั จากนครรฐั แปรสภาพเป็นจักรวรรดิ ซ่ึงมีระยะเวลาคาบเกยี่ ว กบั นครรัฐ จนถงึ สงครามโลกครงั้ ที่ ๒ จากนัน้ มีการจัดรปู แบบองคก์ ารทางการเมืองเป็นรฐั ประชาชาติ หรือชาติ หรือรัฐ เป็นรูปแบบการจัดองค์การทางการเมืองในปัจจุบันซ่ึงเป็นที่ยอมรับโดยท่ัวไป แต่มี แนวคิดในการจัดองค์การทางการเมืองอีกรูปแบบหนึ่ง คือ “รัฐโลก” ได้แก่การรวมรัฐท่ัวโลกเข้าเป็น อนั เดยี วกนั ซง่ึ เปน็ แนวความคดิ ทมี่ มี าตง้ั แตพ่ ระเจา้ Alexander ทพ่ี ยายามสรา้ งจกั รวรรดโิ รมนั ในสมยั

รฐั (State) 77 โรมนั และนโปเลยี นมหาราชทพี่ ยายามดำ� เนนิ รอยตามกษตั รยิ อ์ เลก็ ซานเดอร์ โดยทเ่ี ยอรมนั และญปี่ นุ่ กม็ ีแนวคิดในลกั ษณะนเ้ี ชน่ กนั แต่ยงั ไมเ่ คยประสบผลส�ำเรจ็ แมใ้ นปัจจุบนั จะได้สร้างองคก์ ารทางการ เมอื งเสมอื นรฐั ของโลกคอื ประเทศเดยี ว ประเทศเอกราชทกุ ประเทศกลายเปน็ สว่ นหนงึ่ ของประเทศโลก ขึ้นตรงกับรัฐบาลเดียวคือรัฐบาลโลก มีอ�ำนาจอธิปไตยครอบคลุมท่ัวโลก มีอ�ำนาจการปกครองและ บริหารสูงสุดทวั่ โลก รัฐโลกน่าจะเปน็ เพยี งรฐั ในอุดมคติ เหมือนอุตมรฐั ของเพลโตเท่านั้น เนื่องจากขัด กบั หลกั การอำ� นาจอธปิ ไตยทงั้ ภายในและภายนอกของแตล่ ะประเทศจะพงึ มี จะไมม่ ปี ระเทศเอกราชใด ในโลกยอมรับหลักการดังกล่าวได้ เน่ืองจากจะท�ำให้สูญเสียความเป็นเอกราช อ�ำนาจอธิปไตย ผลประโยชน์ และเกยี รตภิ มู ขิ องชาติ



บทท่ี ๓ ก�ำเนิดของรฐั (Origin of State) นับเป็นศตวรรษมาแล้วท่ีปราชญ์ทางรัฐศาสตร์ ได้พยายามตอบปัญหาที่ว่า รัฐเกิดข้ึน มาได้ อยา่ งไร แตเ่ นอ่ื งจากไมม่ หี ลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ และทางมานษุ ยวทิ ยา นกั คดิ ทางรฐั ศาสตรจ์ ำ� ตอ้ ง ยอมรบั เอาสมมตฐิ านหลายประการ สมมตฐิ านเหลา่ นบ้ี างประเภท กม็ ไิ ดเ้ ปน็ ทยี่ อมรบั กนั ในบรรดานกั รฐั ศาสตรส์ มยั ใหม่ สมมตฐิ านทไี่ ดถ้ อื เปน็ แนวทางการศกึ ษาตลอดมากค็ อื รฐั เกดิ มาโดยเจตนารมณข์ อง พระเจ้า (God) หรอื โดยทฤษฎสี ัญญาประชาคม (The Social Contract) ซง่ึ มนษุ ยม์ ีเจตนาร่วมกันใน การก่อต้ังรัฐ หรือมิฉะน้ันก็โดยการวิวัฒนาการ คือ เช่ือว่ารัฐมีลักษณะการเติบโตเหมือนสิ่งที่มีชีวิต ท้ังหลาย หรือรัฐเกิดจากครอบครัว หรือเกิดจากสถาบันแห่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของเอกชน หรือ สมมติฐานประการสุดทา้ ย รฐั เกิดจากอำ� นาจหรือการบังคับควบคุม๔๐ การทร่ี ฐั จะถอื ก�ำเนดิ ข้ึนมาได้ จ�ำเป็นจะตอ้ งมีองค์ประกอบสำ� คญั ๔ ประการ คือมปี ระชาชน มีดินแดนทีแ่ นน่ อน มรี ฐั บาล และมอี �ำนาจทีใ่ ช้ปกครองประเทศ จากหลกั ฐานทางประวัติศาสตร์เราได้ เรยี นรวู้ า่ การทกี่ ลมุ่ ชนรวมตวั เขา้ อยดู่ ว้ ยกนั มานานตง้ั แตส่ มยั หนิ เกา่ แตอ่ งคป์ ระกอบบางองคป์ ระกอบ ไมส่ มบรู ณ์ เชน่ การทกี่ ลมุ่ ชนเรร่ อ่ นเพราะไมม่ ดี นิ แดนทแ่ี นน่ อน ซง่ึ เปน็ ปจั จยั สำ� คญั ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ ระบบอนื่ เมื่อขาดดินแดนเสียแล้ว การที่จะกล่าวถึงความสมบูรณ์ของระบบรัฐบาลหรืออ�ำนาจอธิปไตยท่ีใช้ใน การปกครองประเทศกไ็ มม่ ีทางทีจ่ ะสมบรู ณ์ได้ ในขณะท่ีมนุษย์ยังล่าสัตว์หรือแม้แต่พวกที่เล้ียงสัตว์ที่จ�ำเป็นต้องร่อนเร่โยกย้ายไปเร่ือย เพอื่ หาแหลง่ นำ้� และทุ่งหญ้าส�ำหรบั เลยี้ งสัตว์ รูปลักษณะของรฐั ก็ยังไม่ปรากฏ ตราบจนกระทงั่ มนษุ ย์ ไดต้ งั้ รกรากเรม่ิ ทำ� การเพาะปลกู และเลยี้ งสตั วอ์ ยา่ งเปน็ ทเี่ ปน็ ทางเมอื่ มนษุ ยม์ าอยรู่ วมกนั มากขนึ้ มกี าร ซอ้ื ขาย แลกเปลย่ี นผลติ ภณั ฑซ์ ง่ึ กนั และกนั ชมุ ชนมขี นาดใหญข่ นึ้ การทำ� มาหาเลยี้ งชพี ผดิ แผกแตกตา่ ง กันไปเช่นอาชีพพ่อค้าคนกลาง อาชีพเฉพาะเช่น การผลิตภาชนะ เสื้อผ้า ฯลฯ โดยท่ีคนคนหนึ่งหรือ ครอบครัวหน่ึงไม่จ�ำเป็นต้องจัดหาปัจจัยสี่ทั้งหมด พ่อค้าก็เพียงแต่เปิดร้านรับซื้อของจากผู้ผลิตและ จ�ำหน่ายแก่ผ้บู ริโภคโดยคิดกำ� ไรเปน็ เครอ่ื งยงั ชพี สว่ นที่ผลติ ภาชนะก็ไมจ่ ำ� เป็นตอ้ งออกไปทำ� งานและ ทอผ้าเอง เพียงแต่ใช้ภาชนะท่ีตนผลิตขึ้นได้นั้นไปแลกเปล่ียนสิ่งที่ตนต้องการ หลักจากที่ประชาชน ๔๐ ทินพันธ์ นาคะตะ ดร. เรื่องเดมิ หน้า ๒๕

80 รฐั ศาสตร์เบอ้ื งตน้ มดี นิ แดนทอ่ี ยกู่ ารถาวรแลว้ กจ็ ำ� เปน็ ตอ้ งมอี งคก์ ารของรฐั บาล ซงึ่ ทำ� หนา้ ทอ่ี อกกฎหมาย สำ� หรบั ชมุ ชน บรหิ ารกจิ การของสว่ นรวม เชน่ ควรปอ้ งกนั อาณาเขตดแู ลความปลอดภยั สำ� หรบั ประชาชน รกั ษาความ สะอาดของบ้านเมือง รวมทั้งการตัดสินปัญหาความขัดแย้งของประชาชนให้เป็นไปอย่างถูกต้องตาม กฎหมาย องคก์ ารน้กี ค็ ือ รัฐบาล เป็นการยากที่จะหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก�ำหนดว่า รัฐใดเป็นรัฐแรกที่ถือก�ำเนิดข้ึนมา ในโลก แต่รัฐทุกรัฐจะมีองค์ประกอบท่ีเหมือนกัน คือมีประชาชน มีดินแดนท่ีแน่นอน มีผู้ปกครอง (รัฐบาล) และอ�ำนาจท่ใี ช้ในการปกครอง องค์ประกอบเหลา่ น้ไี ดว้ วิ ฒั นาการมา เรื่อย ๆ สิง่ ทเ่ี ราเหน็ ได้ ชดั ทส่ี ดุ คอื ววิ ฒั นาการของรฐั บาลในรปู แบบของการปกครอง หรอื ปรชั ญาทางการเมอื งทผี่ ดิ แผกแตก ต่างกันไป เช่นแบบสังคมนิยม เสรีนิยม ประชาธิปไตย เผด็จการ คอมมิวนิสต์ คณาธิปไตย ฯลฯ ถ้าพิจารณากันจริง ๆ เป็นการยากที่จะตัดสินได้ว่าลัทธิไหน แบบไหน มีลักษณะท่ีแน่นอนอย่างไร แต่ก็เป็นองค์ประกอบหน่ึงที่ก่อให้เกิด “รัฐ” ซึ่งเหมือนกับสถาบันของมนุษย์ทั่วไปที่ไม่อาจอธิบายได้ โดยอา้ งสาเหตใุ ดเพียงสาเหตเุ ดยี ว หรือใชห้ ลักวิเคราะห์งา่ ย ๆ กจ็ ะได้ค�ำตอบไมถ่ ูกตอ้ ง ดงั น้นั จึงตอ้ ง พิจารณากันถึงสาเหตุตา่ ง ๆ ทีก่ ่อใหเ้ กิดรัฐข้ึนมา ด้วยความรู้พ้ืนฐานที่มีอยู่ในขณะน้ี ก็สามารถแสดงให้เห็นว่ารัฐมีต้นก�ำเนิดมาจากครอบครัว ซ่ึงพัฒนาต่อมาเป็นกลุ่มเครือญาติ (Clan) และเผ่าชน คือจากอุปนิสัยแห่งการเคารพพ่อ ได้ถ่ายทอด ไปสู่การเคารพผู้สูงอายุในชุมชนของเผ่า ต่อมาการใช้กฎเกณฑ์ได้มีความสลับซับซ้อนข้ึน ซึ่งดูเหมือน ว่าจะมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจทางการเกษตรและกรรมสิทธ์ิแห่งทรัพย์สินเป็นหลัก สาเหตุ ทั้งสองประการน้ีได้สร้างปัญหาข้ึนมาในภายหลัง ท�ำให้การควบคุมทางสังคมต้องเข้มงวดกวดขันข้ึน และต้องการผ้นู ำ� ทีเ่ ข้มแขง็ ด้วย ดงั น้ัน จึงใช้การปกครองแบบมหี วั หน้าคนเดยี วสบื ตอ่ มา ในระยะตอ่ มา เม่อื ประชาชนเรมิ่ มมี ากขนึ้ จนเกินกว่าอาหารท่มี ีอยู่ จึงเร่ิมมปี ระชาชนยา้ ยถิ่น ไปต้ังถ่ินฐานใหม่ในดินแดนอื่น ๆ เพ่ิมขึ้น เพื่อจุดหมายคือการเกษตร ด้วยการเติบโตของเศรษฐกิจ ทางการเกษตร ดินแดนท่ีมีรูปแบบเป็นรัฐจึงเกิดขึ้น ดินแดนส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดความผูกพันใน วงศาคณาญาติ สงครามและการครอบครองจึงดูเหมอื นวา่ จะมบี ทบาทส�ำคญั ในการเติบโตของรัฐและ รัฐบาล ความส�ำคัญอยู่ตรงที่ว่าแตกต่างกันในด้านเวลาและสถานที่เท่านั้น ดังน้ันรัฐจึงเป็นผลผลิต สุดท้ายของหลายปัจจัย เป็นต้นว่า ทางชีววิทยา เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและการทหาร ในท�ำนองเดียว กับสถาบันอ่นื ๆ ของมนษุ ย์ กส็ ามารถอธิบายดว้ ยเหตผุ ลในลักษณะเดยี วกันนี้๔๑ ๔๑ พรศักด์ิ จิรไกรศิริ ผศ. เรอื่ งเดิม หน้า ๒๔

กำ� เนดิ ของรัฐ (Origin of State) 81 ก�ำเนิดรัฐ หรือการเกิดขึ้นของรัฐ หรือรัฐเกิดข้ึนมาได้อย่างไร เป็นเร่ืองเดียวกันแล้วแต่ นกั วชิ าการคนใดจะถนัดเรยี กวา่ อยา่ งไร ซง่ึ มที ่ีมาได้ ๒ ทางคือ ๑. ก่อกำ� เนดิ จากทฤษฎีตา่ ง ๆ ๒. กอ่ กำ� เนิดจากวิวัฒนาการของสังคมมนษุ ย์ ทฤษฎกี �ำเนิดของรฐั ทฤษฎีก�ำเนิดของรัฐมีหลายทฤษฎี เพื่อค้นหาค�ำตอบของค�ำถามท่ีว่า รัฐเกิดจากอะไร อะไร คือสาเหตุที่แท้จริงของการก�ำเนิดของรัฐ การค้นหาค�ำตอบน้ีนักปราชญ์ทางรัฐศาสตร์ได้คิดค้นหา ค�ำตอบ โดยต้ังทฤษฎีของตัวเองข้ึนมาหลายทฤษฎี แต่ไม่มีทฤษฎีใดท่ีจะอธิบายถึงสาเหตุที่แท้จริงได้ อยา่ งชดั เจน แตล่ ะทฤษฎกี ม็ จี ดุ ออ่ นและจดุ แขง็ ตา่ งกนั ซง่ึ เปน็ การคาดคะเนถงึ จดุ กำ� เนดิ ของรฐั ทฤษฎี ก�ำเนดิ ของรัฐมหี ลายทฤษฎี ไดแ้ ก่ ๑. ทฤษฎีเทวสิทธ์ิ (Devine Right Theory) ๒. ทฤษฎีการแบง่ งาน (Division of Labor Theory) ๓. ทฤษฎีสญั ชาตญาณ หรอื ทฤษฎธี รรมชาติ (Instinct or Natural Theory) ๔. ทฤษฎีสัญญาประชาคม (Social Contract Theory) ๕. ทฤษฎีอภิปรชั ญา (Metaphysical Theory) ๖. ทฤษฎที างกฎหมาย (Legal or Juristic Theory) ๗. ทฤษฎีววิ ัฒนาการ (Evolutionary Theory) ๘. ทฤษฎพี ลกำ� ลัง (Force Theory) ๙. ทฤษฎีอคั คัญสูตร (Akkhanyasuta Theory) ๑. ทฤษฎเี ทวสทิ ธิ์ (The Theory of the Divine Origin of the State)๔๒ ดเู หมอื นว่าความ คิดท่ีเชื่อกันว่า พระเจ้าเป็นผู้ให้ก�ำเนิด และสร้างรัฐขึ้นมาน้ันจะเป็นความคิดท่ีเก่าแก่มากท่ีสุด ในจกั รวรรดโิ บราณทางตะวนั ออก เชอ่ื กนั วา่ ผปู้ กครองสบื เชอื้ สายมาจากพระเจา้ พวกฮบิ รู (Hebrews) โบราณเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างระเบียบทางการปกครอง ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ยุคแรก ๆ ก็มีความ เช่อื ม่นั วา่ พระเจา้ สรา้ งรัฐ เพ่ือใหม้ ีอ�ำนาจควบคุมมนุษย์ เปน็ การลงโทษการกระท�ำบาปของมนษุ ย์ซงึ่ ๔๒ ทนิ พนั ธ์ นาคะตะ ดร. เร่อื งเดิม หนา้ ๒๖

82 รัฐศาสตรเ์ บอื้ งตน้ เร่ิมมาแต่สมัยอาดัมละเมิดกฎของพระเจ้าในสวนอีเดน หลายศตวรรษต่อมา โธมัสเพน (Thomas Paine) ซ่ึงเป็นผู้น�ำคนหน่ึงของการปฏิวัติกู้ชาติในสหรัฐอเมริกา ก็มีความเห็นคล้าย ๆ กันว่า รัฐบาล นัน้ เปน็ เครอื่ งหมายว่ามนุษย์นนั้ ไม่มีความบรสิ ทุ ธ์อิ ีกตอ่ ไป ในสมัยกลาง ทฤษฎีน้ีได้มีผู้นิยมยึดถือกันมาก แต่ก็มีการแก่งแย่งอ�ำนาจกันระหว่าง สันตะปาปากับจักรพรรดิของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธ์ิหลายยุคหลายสมัย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าได้มี ความเห็นไม่ตรงกันในข้อที่ว่า ฝ่ายอาณาจักรได้รับอ�ำนาจโดยตรงจากพระเจ้าหรือต้องผ่านศาสนจักร (องค์สนั ตะปาปา) เสียกอ่ น การปฏริ ปู ของพวกโปรเตสแตนตม์ งุ่ ยดึ หลกั วา่ กษตั รยิ ไ์ ดร้ บั อำ� นาจทงั้ ปวงจากพระเจา้ โดยตรง จนกระท่ังเกิดความเช่ือว่า ไม่เพียงแต่การปกครองของฝ่ายอาณาจักรเท่าน้ันท่ีมีท่ีมาจากพระเจ้า แต่กษัตริย์ท้ังปวงปกครองโดยได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้าโดยตรง จึงท�ำให้ประมุขของประเทศได้ ยึดหลักทฤษฎีอ�ำนาจเทวสิทธิ์ของกษัตริย์ (The Devine Right of Kings) ความเช่ือน้ีได้ขัดแย้งกับ ความคดิ เหน็ ของชนชนั้ กลางทเี่ ชอ่ื วา่ อำ� นาจอธปิ ไตยเปน็ ของปวงชน การปฏวิ ตั ทิ ง้ั ปวงเกดิ ขนึ้ ในศตวรรษ ที่ ๑๗ และ ๑๘ จึงเปน็ การตอ่ สูร้ ะหว่างฝ่ายท่อี า้ งอ�ำนาจของประชาชน กบั ฝา่ ยที่ยดึ คตวิ า่ ผ้ปู กครอง ยอ่ มมอี ำ� นาจเดด็ ขาดแท้จรงิ เนื่องจากอ�ำนาจทง้ั ปวงท่ีมเี ป็นสงิ่ ไดร้ ับมาโดยตรงจากพระเจา้ กลา่ วโดยสรปุ ทฤษฎีเทวสทิ ธ์ิมีสาระส�ำคญั ดังน้ี ทฤษฎีนี้เชือ่ วา่ รัฐเปน็ การบนั ดาลและเจตนารมณข์ องพระเจ้ามนุษย์ไม่ได้เป็นปัจจัยส�ำคญั ใน การสร้างรัฐ มนุษย์เป็นเพียงองค์ประกอบ ด้วยเหตุน้ันการปกครองรัฐจึงเป็นอ�ำนาจของพระเจ้า ซง่ึ หมายความวา่ ผปู้ กครองรฐั จะตอ้ งไดร้ บั อาณตั จิ ากพระเจา้ ผปู้ กครองรฐั ทำ� หนา้ ทเี่ สมอื นเปน็ ตวั แทน ของพระเจ้า การละเมิดอ�ำนาจของผู้ปกครองรัฐ มีโทษและมีบาป ประชาชนในรัฐจะต้องเช่ือฟังและ เคารพผูป้ กครองรัฐโดยดษุ ฎี ทฤษฎนี เ้ี ปน็ เรอื่ งทยี่ ากตอ่ การพสิ จู น์ เพราะเกนิ กำ� ลงั ของมนษุ ยท์ จ่ี ะเขา้ ใจอยา่ งแทจ้ รงิ มกั จะ เกย่ี วพนั กบั ศาสนาทเี่ ชอ่ื ว่าพระเจา้ เปน็ ผ้ใู ห้ก�ำเนิดทกุ ส่ิงทกุ อยา่ งในโลก ในทางปฏิบัติ ทฤษฎีน้ีมักจะนิยมกันในหมู่ชน ซึ่งต้องการท่ีจะสนับสนุนอ�ำนาจเด็ดขาดของ พระมหากษตั รยิ ห์ รอื ในหมชู่ นทไี่ มน่ ยิ มการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย เพราะเหตวุ า่ ถา้ ถอื ตามทฤษฎี นี้แล้ว อ�ำนาจของพระมหากษัตริย์ทรงมีอย่างเต็มที่ เพราะเป็นตัวแทนของพระเจ้า และไม่มีใครจะ ละเมิดหรอื ล้มล้างได้

กำ� เนิดของรฐั (Origin of State) 83 ๒. ทฤษฎเี ก่ียวกบั การแบง่ งาน (Division of Labor theory)๔๓ ทฤษฎนี ี้ถอื วา่ รฐั เกิดข้ึนเนื่องจากความจำ� เปน็ อันมีขน้ึ เพราะงานของมนษุ ย์ได้แตกแขนงและ สลับซับซ้อนย่ิงข้ึน งานของมนุษย์มีมากขึ้น คือ มีไม่เฉพาะแต่ในเกษตรกรรม แต่ได้ขยายออกไปเป็น พาณชิ ยกรรม อตุ สาหกรรม และการรวมตวั ทางเศรษฐกจิ ในรปู ตา่ ง ๆ กนั ตามทฤษฎนี ถ้ี อื วา่ รฐั อบุ ตั ขิ น้ึ เมอื่ มหี นา้ ทใี่ นการควบคมุ การแบง่ งาน รฐั จำ� เปน็ ตอ้ งมอี ำ� นาจในการควบคมุ ดแู ลการแบง่ งาน คอื ดแู ล วา่ ใครควรจะประกอบอาชพี อะไรและแตล่ ะอาชพี จะตอ้ งอยใู่ นเกณฑอ์ ยา่ งไร ทฤษฎนี ถ้ี อื วา่ หากไมม่ รี ฐั เขา้ ควบคมุ การแบง่ งานแล้ว สงั คมยอ่ มยงุ่ เหยงิ สบั สนเพราะขาดการแบ่งหนา้ ท่ี และขาดความรับผดิ ชอบทางเศรษฐกจิ ๓. ทฤษฎีสญั ชาตญาณหรือทฤษฎีธรรมชาติ (Instinct or Natural theory)๔๔ อริสโตเติล (Aristotle) ซ่งึ เปน็ บดิ าของวชิ ารฐั ศาสตร์ เปน็ บคุ คลแรกทเี่ สนอทฤษฎธี รรมชาติ เพ่ืออธิบายการก่อก�ำเนิดของรัฐ อริสโตเติลเช่ือว่ามนุษย์นั้นดีโดยพื้นฐานและมีความพยายามอย่าง ไม่หยุดยั้งท่ีจะเข้าถึงความดีงามสุดยอด อันเป็นส่ิงซึ่งไม่มีวันจะบรรลุถึง ปัญหาความดีงามสุดยอดจึง ยงั คงเปน็ ภมู ธิ รรมสงู สดุ ทมี่ นษุ ยม์ งุ่ แสวงหา อรสิ โตเตลิ เหน็ วา่ มนษุ ยเ์ ปน็ สตั วส์ งั คมโดยธรรมชาติ กลา่ วคอื เป็นธรรมชาติที่มนุษย์จะรวมตัวเข้าด้วยกัน และมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกันอันยังผลให้เกิดเป็นชุมชน ขึ้นมา รูปแบบที่เป็นทางการของชุมชนมนุษย์ก็คือ รัฐแบบนครรัฐ (Polis) การก่อก�ำเนิดของนครรัฐ จึงเป็นผลที่เน่ืองมาจากความโน้มเอียงตามธรรมชาติของมนุษย์ อริสโตเติลเชื่อมั่นว่า นครรัฐเป็น สงิ่ แวดลอ้ มตามธรรมชาติของสังคม และยังเห็นด้วยวา่ มนุษย์จะเปน็ มนษุ ย์กต็ ่อเม่อื อยู่ภายในนครรฐั ปัจเจกบุคคลที่อยู่ภายนอกนครรัฐนั้น ถ้าไม่เป็นเทพเจ้าก็จะต้องเป็นสัตว์ป่า นครรัฐเป็นสิ่งแวดล้อม เพียงอย่างเดียวท่ีจะท�ำให้ผู้ใดผู้หนึ่งมีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง นครรัฐนั้นเป็นสถาบันที่ส�ำคัญยิ่ง ในปรัชญาของอรสิ โตเติล นครรฐั ไมไ่ ดเ้ ป็นแต่เพยี งการแสดงให้เหน็ ถึงซึง่ ความโนม้ เอียงตามธรรมชาติ ของมนุษย์ท่ีมีปฏิสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน แต่ยังเป็นพาหะท่ีท�ำให้ปัจเจกบุคคลสามารถบรรลุถึงซ่ึงความ ดีงามสุดยอดด้วย อริสโตเติลยังเห็นว่า มนุษย์เราเมื่อมีความสมบูรณ์ จะเป็นสัตว์ที่ประเสริฐท่ีสุด แต่ถ้าหากแยกมนษุ ย์ออกจากกฎหมายและความยุตธิ รรม (ซ่ึงจะหาได้กแ็ ต่ในนครรัฐ) แล้วละกจ็ ะเป็น สัตว์ที่เลวทรามท่สี ดุ สำ� หรบั อรสิ โตเตลิ นครรฐั ไมเ่ ปน็ แคเ่ พยี งปรากฏการณต์ ามธรรมชาติ แตย่ งั มลี กั ษณะทสี่ ำ� คญั อกี มากมาย แมน้ ครรัฐจะถอื ก�ำเนิดขน้ึ มาจากปฏิสมั พนั ธข์ องปัจเจกบุคคล แตใ่ นทางปฏบิ ัติ นครรฐั มี ๔๓ จริ โชค (บรรพต)วรี ะสัย ดร.สรุ พล ราชภณั ฑารักษ์ ดร.และสรุ พนั ธ์ ทับสวุ รรณ์ เรอื่ งเดมิ หนา้ ๑๒๘ ๔๔ สนธ์ เตชานนั ท์ ดร. รศ. “พ้นื ฐานรฐั ศาสตร”์ (กรุงเทพฯ สำ� นกั พมิ พม์ หาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ : ๒๕๔๓) หนา้ ๒๑

84 รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งตน้ ความสำ� คัญมากกวา่ ปัจเจกบุคคลหรือกลุม่ บคุ คลใด ๆ นครรฐั ได้กลายเป็นส่งิ ทด่ี �ำรงอยู่ ประกอบด้วย ชีวิต สิทธิต่าง ๆ และพันธะ นอกเหนือไปจากข้อผูกพันต่าง ๆ กับประชาชนท่ีนครรัฐรับใช้ ทฤษฎีท่ี ถอื วา่ รฐั เปน็ อนิ ทรยี ์ (Organic Theory) น้ี ในเวลาตอ่ มาไดร้ บั การสนบั สนนุ จากบคุ คลทม่ี คี วามคดิ เหน็ ทแี่ ตกตา่ งกนั เชน่ โทมสั อะไควนสั (Thomas Aquinas) รสุ โซ (Rousseau) และมสุ โสลนิ ี (Mussolini) นักเสรีนิยมในปัจจุบันก็ยังได้กล่าวอ้างถึงสังคมอินทรีย์อยู่บ่อย ๆ การตีความสังคมที่มีลักษณะเป็น อนิ ทรยี ท์ ส่ี ดุ ขนั้ นา่ จะไดแ้ กก่ ารตคี วามของมสุ โสลนิ ี ทอี่ า้ งวา่ สง่ิ ทงั้ มวล (รฐั ) นน้ั มคี วามสำ� คญั ยงิ่ ไปกวา่ ผลรวมของสว่ นประกอบของมนั (ปจั เจกบคุ คลทอี่ ย่ภู ายในรัฐ) ๔. ทฤษฎสี ัญญาประชาคม (The Social Contract Theory)๔๕ เนอื่ งจากทฤษฎปี ระชาคมเปน็ เจา้ ของพระอธปิ ไตย (Popular Sovereignty) ไดร้ บั ความนยิ มสงู ท�ำให้ทฤษฎีเทวสิทธิ์ของกษัตริย์หมดความส�ำคัญลงไป ทฤษฎีสัญญาประชาคมเป็นเจ้าของอธิปไตย มีแนวความคิดว่ามนุษย์เป็นผู้เร่ิมก่อตั้งรัฐ โดยวิธีการท่ีปัจเจกชน (Individual) ยินยอมพร้อมใจกัน ท�ำสัญญาสังคม (Social Contract) อน่ึง ได้มีการแปลความหมายของทฤษฎีน้ีแตกต่างกันไปอย่าง กว้างขวางในช่วงเวลาของสงครามศาสนา และในการปฏิวัติประชาชน (Popular Revolutions) ซึ่งเกิดในประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ส�ำหรับนักนิยมทฤษฎีสัญญาประชาคมที่ได้เกิด ขึ้นในสมัยนั้น กล่าวได้ว่ามีนักทฤษฎีท่ีมีช่ือเสียงและมีอิทธิพลอยู่ ๓ คน คือ ธอมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) จอหน์ ล็อค (John Locke) และ ฌอง ฌาคส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ๑. ธอมัส ฮอบส์ กลา่ วไดว้ า่ ฮอบส์มีแนวความคิดสง่ เสรมิ อ�ำนาจเดด็ ขาดของพระมหากษัตรยิ ์ และมุ่งที่จะให้รัฐบาลมีอ�ำนาจท่ีสมบูรณ์ (Absolute government) ซ่ึงฮอบส์หมายถึงระบอบ สมบูรณาญาสิทธริ าชย์ (Absolute monarchy) ทงั้ นเี้ พราะฮอบสม์ ีความเชื่อวา่ การปกครองโดยการ มีพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอ�ำนาจเด็ดขาดน้ัน จะเป็นระบอบที่มีความมั่นคงและมีความเป็น ระเบยี บมากทสี่ ุด ฮอบส์เชื่อว่าในระยะเร่ิมแรกนั้น มนุษย์มิได้รวมกันอยู่ในสังคม หากแยกกันอยู่ตามสภาพ ธรรมชาติ (State of nature) และในสภาพเช่นนี้มนุษย์อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ (Natural law) แต่สภาพดังกล่าวไม่เหมาะสมกับอารยธรรม ท้ังนี้เพราะฮอบส์เห็นว่าสภาพธรรมชาติน้ัน มนุษย์จะมี ลักษณะโดยเด่ียว (Solitary) ยากจน (Poor) น่าเกลียด (Nasty) โหดร้าย (Brutal) และสั้น (Short) ๔๕ อานนท์ อาภารม เรอ่ื งเดิม หนา้ ๒๕-๒๘

กำ� เนิดของรฐั (Origin of State) 85 นอกจากน้นั ในสภาพเช่นน้ีจะไมม่ คี วามรับผิดชอบ ไมม่ ีความยุติธรรม เพราะทุกส่ิงทกุ อย่างจะตกเปน็ ของคนท่ีแสวงหามาได้ สภาพดังกล่าวน้ีฮอบส์เรียกว่า เป็นสงครามท่ีมนุษย์ทุกคนต่างต้องกระท�ำ เพอื่ ความอยู่รอดของตน ชวี ติ ตามสภาพธรรมชาตจิ งึ ไม่สภาพไมผ่ ิดอะไรกันกับคนปา่ คนเถ่ือนแต่อย่าง ใดเลย เพราะฉะน้ัน ฮอบส์จึงได้กล่าวถึงทฤษฎีสัญญาประชาคม ซ่ึงฮอบส์อธิบายว่า เป็นทฤษฎีที่ มนุษย์ตกลงท�ำสัญญาต่อกันว่า ต่อไปนี้จะเลิกอยู่แบบตัวใครตัวมัน แต่จะมาอยู่รวมกันภายใต้ การปกครองขององค์อธิปไตย และผลแห่งสัญญาน้ีมนุษย์ได้ยินยอมท่ีจะยุติการใช้ก�ำลังตามธรรมชาติ ของตน และจะยอมอยู่ภายใต้รัฐบาลเดียวกัน ซ่ึงท�ำให้เกิดอ�ำนาจการปกครองของรัฐบาลหรือองค์ อธิปไตย อย่างไรก็ดีในส่วนท่ีเก่ียวกับองค์อธิปัตย์น้ี ฮอบส์มีความเห็นว่าองค์อธิปัตย์มิใช่คู่สัญญา เพราะมไิ ดม้ ารว่ มทำ� สญั ญาดว้ ยแตป่ ระการใด ปวงชนเปน็ ผมู้ อบอำ� นาจใหแ้ กอ่ งคอ์ ธปิ ตั ยเ์ ปน็ ผปู้ กครอง โดยความสมคั รใจของตนเอง ฉะนน้ั ปวงชนซง่ึ เปน็ เจา้ ของสญั ญา จงึ ไมม่ สี ทิ ธหิ รอื อำ� นาจทจ่ี ะเรยี กอำ� นาจ ซง่ึ ไดม้ อบหมายใหแ้ ก่องค์อธปิ ตั ยค์ ืน นอกจากนนั้ ฮอบสย์ ังมีความเหน็ ว่า สัญญาสงั คมทกี่ ระทำ� ข้นึ นนั้ มลี กั ษณะเปน็ การถาวรและเรยี กรอ้ งกลบั คนื ไมไ่ ด้ หรอื กลา่ วอกี นยั หนง่ึ ไดว้ า่ สญั ญานน้ั จะตอ้ งมอี ยตู่ ลอด ไปและบอกเลกิ มิได้ ฮอบสไ์ ดส้ รปุ วา่ บคุ คลทส่ี ามผซู้ งึ่ ไดร้ บั ประโยชนจ์ ากสญั ญา คอื ผทู้ ไี่ ดร้ บั มองอำ� นาจปกครองนน้ั ควรจะเปน็ พระมหากษตั รยิ ์ ซงึ่ ฮอบสไ์ ดก้ ลา่ วสนบั สนนุ วา่ ประชนชนจะไดร้ บั การปกปอ้ งคมุ้ ครองจาก พระมหากษตั รยิ ภ์ ายใตก้ ารปกครองในระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ กลา่ วไดว้ า่ ฮอบสไ์ ดอ้ ธบิ ายทฤษฎี นี้เพื่อสนับสนุนอ�ำนาจสูงสุดของสภานิติบัญญัติ ๒. จอหน์ ลอ็ ค ในเบอ้ื งตน้ ลอ็ คมคี วามคดิ เหน็ ตรงกนั กบั ฮอบสใ์ นเรอื่ งสภาพธรรมชาติ ซงึ่ เปน็ สภาพท่ีมนุษย์ต่างคนต่างอยู่ นอกจากนั้นล็อคได้อธิบายให้เห็นถึงสภาพธรรมชาติกับสภาพของสังคม ที่มีการจัดการปกครองที่มีระเบียบดีแล้ว (State of organized society) โดยเขาได้ช้ีแจงให้เห็นถึง สภาพความไม่สมบูรณ์ของสภาพธรรมชาติ กล่าวคือ ล็อคเห็นว่าในสภาพธรรมชาตินั้นมนุษย์เป็น ผู้ตัดสินคดีที่ตนกระท�ำความผิด ซึ่งล็อคพิจารณาเห็นว่ายังมีข้อบกพร่องอยู่บางประการ กล่าวคือ ในประการแรก ค�ำพิพากษาอาจไม่มีความยุติธรรมเพียงพอ มีการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง ประการ ท่ีสอง ไม่มีก�ำลังส่วนกลางอย่างเพียงพอที่จะบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามค�ำพิพากษา ประการที่สาม ในบางกรณคี ดีทเ่ี กดิ ข้ึนมคี วามคล้ายคลึงกัน แต่ลกั ษณะของโทษท่คี ่กู รณไี ดร้ ับมคี วามแตกตา่ งกัน ฉะน้ัน ล็อคจึงได้เสนอวิธีการ ๓ ประการ คือวิธีการแรก การจัดตั้งศาล (Judicature) ท้ังน้ี เพ่ือให้มีหน้าที่ในการตีความในกฎหมายอย่างถูกต้องยุติธรรม วิธีการท่ีสอง การจัดต้ังฝ่ายบริหาร (Executive) เพอ่ื ทำ� หนา้ ทร่ี กั ษากฎหมายและวธิ ที ส่ี ามจดั ตง้ั ฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ิ (Legislature) เพอื่ กำ� หนด หลกั เกณฑ์เกี่ยวกบั การพพิ ากษาคดีตา่ ง ๆ

86 รฐั ศาสตร์เบ้ืองต้น เมื่อได้มีการปฏิบัติตามวิธีการ ๓ ประการดังกล่าวข้างต้นแล้ว ล็อคได้แสดงความคิดเห็นว่า เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสถาบันทั้ง ๓ มนุษย์จ�ำเป็นจักต้องยอมสละสิทธิที่จะลงโทษของคนทุกคน โดยยินยอมยกสิทธิน้ีให้แก่องค์การหน่ึงเป็นผู้ท�ำหน้าท่ีแทนทุกคน ท้ังน้ีจะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ทส่ี งั คมหรอื ผทู้ ไ่ี ดร้ บั มอบหมาย ขน้ั ตอนทงั้ หมดนก้ี ลา่ วไดว้ า่ เปน็ สญั ญา และเมอื่ เกดิ มสี ญั ญาสงั คมแลว้ ฮอบสอ์ ธิบายว่าสงั คมและรฐั บาลก็จะเกิดข้นึ ทันที แตล่ อ็ คมคี วามคดิ เหน็ แตกตา่ งไปจากฮอบสใ์ นเรอ่ื งสญั ญาสงั คมกค็ อื ลอ็ คไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั ฮอบส์ ในเร่ืองอ�ำนาจสูงสุดของสภานิติบัญญัติ ทั้งน้ีเพราะล็อคเช่ือว่ารัฐสภาท่ีดีจะต้องใช้อ�ำนาจอย่างจ�ำกัด เพ่ือประโยชน์โดยส่วนรวมของสังคม ล็อคอธิบายต่อไปว่า อ�ำนาจนิติบัญญัตินั้นเป็นเพียงอ�ำนาจท่ีได้ รบั มอบหมายเท่านั้น เพราะอ�ำนาจที่สงู กวา่ อ�ำนาจสูงสดุ ของรฐั สภายังคงเปน็ ของประชาชน ซึ่งมีสทิ ธิ ท่ีจะยุบรัฐสภาเม่ือใดก็ได้ หากปรากฏว่ารัฐสภาได้กระท�ำการอันเป็นภัยต่ออาณัติท่ีประชาชนได้ให้ไว้ ต่อรัฐสภา ล็อคได้อธิบายสรุปในตอนท้าย โดยสนับสนุนการให้เอกชนมีสิทธิในทรัพย์สิน ซึ่งถือว่าเป็น หลักการที่ส�ำคัญ เพราะเท่ากับว่าเป็นการปกป้องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล นอกจากน้ันล็อคได้เน้นว่า สังคมเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะการยินยอมโดยสมัครใจของสมาชิกของสังคม ซึ่งมีการปกครองโดย เสยี งข้างมาก (Majority) จะเหน็ ไดว้ า่ แนวความคดิ ของลอ็ คเคารพสทิ ธเิ สรภี าพของประชาชน การยอมรบั รองเสยี งขา้ ง มากตามแนวทางของระบอบประชาธปิ ไตย และสทิ ธทิ จ่ี ะไดม้ าซง่ึ ทรพั ยส์ นิ และการไดร้ บั ประโยชนจ์ าก ทรัพย์สนิ ท่บี คุ คลพงึ แสวงหามาได้ ๓. ฌอง ฌาคส์ รสุ โซ ในทศั นะของรสุ โซนนั้ เขายอมรบั ความคดิ เหน็ ของลอ็ คในเรอ่ื งมนษุ ยอ์ ยู่ ในสภาพธรรมชาติและอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ และเขาเห็นว่าโดยสภาพธรรมชาติแล้วมนุษย์เป็นคนดี มคี วามเหน็ อกเหน็ ใจในความทกุ ขย์ ากของผอู้ น่ื ฉะนนั้ รสุ โซมคี วามเชอ่ื วา่ ธรรมชาตมิ นษุ ยต์ อ้ งการศลิ ปะ ความรกั ภายในครอบครัวเป็นตน้ ดว้ ยเหตุผลดงั กลา่ วแล้วสงั คมเป็นสิ่งจ�ำเป็นหลีกเลย่ี งไมไ่ ด้ นอกจาก นน้ั เขายงั เหน็ วา่ มนษุ ยโ์ ดยสภาพธรรมชาตมิ คี วามรสู้ กึ ทจี่ ะอยรู่ ว่ มกนั เปน็ สงั คม และสงั คมมมี ลี กั ษณะ เปน็ ของส่วนรวม และโดยเหตุผลนีเ้ องในสังคมจงึ มเี จตนารมณ์ท่วั ไป (General will) ซ่งึ รุสโซอธบิ าย ว่าเจตนารมณ์น้ีมุ่งท่ีจะพิทักษ์รักษาและให้สวัสดิการแก่ส่วนรวม และเป็นแหล่งที่มาของกฎหมาย ทง้ั มวล ตลอดจนเปน็ ตวั ก�ำหนดความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมาชิกของสมาคม ดังนั้นในทัศนะของรุสโซ เจตนารมณ์จึงเป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้นภายหลังจากมีการรวมเป็นสังคม และถือว่าเจตนารมณเ์ ป็นสิ่งสงู สดุ ภายในรัฐ แมร้ ัฐก็เปน็ เพียงตัวแทน (agent) ของเจตนารมณ์เท่าน้ัน

ก�ำเนิดของรฐั (Origin of State) 87 เมอื่ พจิ ารณาถงึ ความหมายอยา่ งลกึ ซงึ้ ของเจตนารมณข์ องรสุ โซแลว้ กลา่ วไดว้ า่ เจตนารมณก์ ค็ อื อำ� นาจ อธิปไตยนัน่ เอง รสุ โซเหน็ วา่ เมอื่ มนษุ ยเ์ ขา้ มาอยใู่ นสงั คม มนษุ ยไ์ ดร้ บั เสรภี าพทางแพง่ ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ สงิ่ ตอบแทน ของการที่เข้าร่วมในสังคมและรุสโซอธิบายว่าสิทธิดังกล่าวนั้นเป็นสิทธิที่ได้รับมาโดยทางศีลธรรม (Moral right) มิใช่เสรีภาพตามธรรมชาติ (Natural liberty) ฉะนั้น รัฐบาลซ่ึงเป็นตัวแทนของ เจตนารมณท์ ว่ั ไป จกั มอี ำ� นาจปกครองรฐั โดยสมบรู ณ์ แตท่ ง้ั นรี้ ฐั บาลสมควรทจี่ ะปลอ่ ยใหเ้ อกชนมสี ทิ ธิ เสรภี าพตามสมควรภายในขอบเขตของกฎหมาย และรฐั บาลมไิ ดม้ หี นา้ ทเี่ ฉพาะการปกครองและรกั ษา กฎหมายเทา่ น้นั หากจะต้องมีหนา้ ที่ปกป้องเสรภี าพของเอกชนอกี ด้วย กล่าวได้ว่า รุสโซมุ่งจะให้ค�ำว่า “เจตนารมณ์ทั่วไป” เหมือนกับอ�ำนาจอธิปไตยที่ใช้กันใน ปัจจุบัน แต่รุสโซมิได้กล่าวถึงเลยว่า เจตนารมณ์ทั่วไปเป็นของผู้ใด นอกจากน้ันยังมีข้อถกเถียงกับ เจตนารมณ์ทั่วไปว่า จะมีผลใช้บังคับในทางปฏิบัติมากน้อยเพียงใด หรือว่าเจตนารมณ์จะเป็นส่ิงท่ีถูก ต้องเสมอ เพราะรุสโซเชื่อว่าเจตนารมณ์ท่ัวไปจะกระท�ำเพื่อความดีงามของสังคมเท่านั้น ฉะนั้น จงึ เขา้ ใจวา่ สง่ิ ใดทถ่ี กู ตอ้ งคอื สงิ่ ทกี่ ระทำ� โดยเจตนารมณท์ วั่ ไป สง่ิ ใดทผี่ ดิ กม็ ใิ ชเ่ จตนารมณท์ วั่ ไป ปญั หา ข้อโต้เถยี งจงึ อยทู่ ่ใี ครจะเป็นผตู้ ัดสินวา่ อะไรผดิ หรอื อะไรเปน็ ส่งิ ทถี่ กู ต้อง ถงึ แมว้ า่ ทฤษฎสี ญั ญาประชาคมจะมคี ณุ คา่ ในการเปน็ รากฐานของประชาธปิ ไตย และการเนน้ ถึงความสำ� คญั ของปจั เจกชน (Individuals) แต่ทฤษฎีนี้มไิ ด้อธิบายถึงสภาพธรรมชาติไว้อย่างแจม่ แจง้ หากจะมองในด้านประวัตศิ าสตรแ์ ลว้ ทฤษฎนี มี้ หี ลักการทไี่ มน่ า่ เชอื่ ถอื โดยเฉพาะในเร่ืองท่ีว่าตอนเรม่ิ แรกน้ัน มนุษย์มีชีวิตอยู่ตามสภาพธรรมชาติ ต่อมามนุษย์จึงได้ท�ำสัญญากันเพ่ือก่อต้ังรัฐและรัฐบาล ท้ัง ๆ ที่มนุษย์ในสมัยก่อนน้ันยังไม่น่ามีความรู้และความช�ำนาญท่ีจะปกครองตนเองเลย และเม่ือ พจิ ารณาในแงข่ องสญั ญาซงึ่ หมายถงึ ความสมั พนั ธท์ ป่ี จั เจกชนไดก้ ระทำ� ขน้ึ ดว้ ยความสมคั รใจและดว้ ย ความพอใจ แต่ความสมั พันธ์ระหวา่ งปจั เจกชนกับรฐั น้ันไมส่ ัญญาด้วยความสมคั รใจ ทัง้ นีเ้ พราะมนษุ ย์ ได้เกิดข้ึนมาในรัฐหน่ึง ย่อมไม่อาจหลีกเล่ียงให้พ้นจากพันธะหรือการควบคุมของรัฐได้ นอกจากน้ัน สัญญาจะผูกพันเฉพาะบุคคลผู้เซ็นสัญญาเท่าน้ัน ไม่ใช่ผูกพันถึงลูกหลานหรือผู้สืบสกุลของผู้กระท�ำ ฉะนน้ั เมอื่ พจิ ารณาถงึ เรอื่ งสญั ญาโดยเครง่ ครดั รฐั จะหมดสภาพในทนั ทที ผี่ ทู้ ำ� สญั ญาทง้ั สองฝา่ ยตายไป และรฐั จะมสี ภาพความเปน็ รฐั ตอ่ ไปไดก้ ต็ อ่ เมอื่ ลกู หลานของผทู้ ำ� สญั ญามคี วามประสงคท์ จี่ ะทำ� สญั ญา ต่อไปอีก กลา่ วโดยสรปุ ไดว้ า่ ทฤษฎนี มี้ คี วามสบั สนและความไมน่ า่ เชอื่ ถอื บางประการ กลา่ วคอื ทฤษฎี น้ีได้เน้นถึง “สภาพธรรมชาติ” และ “สัญญา” เป็นส�ำคัญ โดยเฉพาะอย่างย่ิงความคิดในเร่ืองสภาพ ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่อาจพิสูจน์ได้ในแง่ของประวัติศาสตร์ และไม่น่าเป็นไปได้ที่มนุษย์ในสมัย โบราณซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์เก่ียวกับการอยู่รวมกันในสังคมเลยจะมาตกลงสัญญาด้วยความสมัคร

88 รัฐศาสตรเ์ บื้องต้น ใจที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม นอกจากนั้นทฤษฎีนี้มิได้อธิบายถึงรายละเอียดของสภาพธรรมชาติว่าเป็น อย่างไร คงม่งุ ใช้ทฤษฎนี อ้ี ธบิ ายถงึ มูลเหตุจูงใจ (Motivation) ท่ที �ำให้มนษุ ย์ตกลงท�ำสัญญามาอยู่ร่วม กนั ในสงั คม อนง่ึ ทฤษฎนี ไี้ ดแ้ ยก “มนษุ ย”์ กบั “สงั คม” เปน็ คนละสว่ น กลา่ วคอื มนษุ ยส์ ามารถดำ� เนนิ ชีวติ ได้โดยไม่จ�ำเปน็ ต้องอาศัยสังคมแต่ประการใด หรือกล่าวอกี นัยหนงึ่ วา่ สังคมเป็นสง่ิ ที่มนุษย์สร้าง ขน้ึ มาภายหลงั ทฤษฎีน้จี งึ ขดั กับความเชอ่ื ทางสงั คมวทิ ยาท่ีวา่ มนุษยเ์ กดิ ขึ้นมาในสังคม และมนุษย์จะ มีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้ก็ต่อเม่ือเขาเหล่านั้นเจริญเติบโตภายในสังคมและได้เรียนรู้ระเบียบ ของสังคม (Socialization) เทา่ นัน้ ๕. ทฤษฎีอภปิ รชั ญา (Metaphysical Theory)๔๖ เฟรดเดอริค เฮเกล็ (ค.ศ. ๑๗๗๐ – ๑๘๓๑) นกั วชิ าการเยอรมันใหค้ วามเห็นชอบกบั ทฤษฎีน้ี อย่างมาก ทฤษฎีน้ีถือว่ารัฐมสี ภาพพิเศษแตกตา่ งจากสังคมของคนโดยท่วั ไป ทฤษฎนี ม้ี อี ิทธพิ ลต่อการ ขยายตัวของลัทธิฟาร์ซิสม์และพรรคนาซีในประเทศเยอรมันนีสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สองมาก เฮเกล็ ถอื ว่ารัฐเป็นสภาพนามธรรม (Abstract) คือจับต้องหรือสมั ผัสไมไ่ ด้ แต่เป็นสภาวะทีม่ ีอยอู่ ยา่ ง แทจ้ รงิ รฐั มตี วั ตนเปน็ เอกเทศจากสงั คมมนษุ ยธ์ รรมดา คอื มสี ภาพเฉพาะของตนเอง เขา้ ขน้ั อภปิ รชั ญา (Metaphysics) อนั หมายถงึ มสี ภาวะเหนอื โลกสง่ เหนอื สภาวะธรรมดา และยนื ยงคงกระพนั อยตู่ ลอดกาล ผลทตี่ ามมาจากทฤษฎขี องเฮเกล็ ทยี่ กยอ่ งบชู ารฐั กค็ อื เกดิ ความคลงั่ ไคลบ้ ชู าชาตจิ นกระทง่ั มสี ว่ นทำ� ให้ เกิดศรัทธาต่อรัฐ เยอรมันและรัฐ อิตาลีสนับสนุนมุสโสลินี แต่อิทธิพลของความคิดของเฟรดเดอริค เฮเกล็ ในการยกย่องรัฐมากกวา่ บุคคลย่อมปรากฏอยู่ ๖. ทฤษฎที างกฎหมาย (Legal or juristic theory) ทฤษฎีน้ีถือว่ารัฐมีขึ้นมาโดยความจ�ำเป็นทางกฎหมาย คือเมื่อมีคนอยู่รวมกันในสังคมเป็น จ�ำนวนมาก ย่อมจำ� เปน็ ต้องมบี ทบัญญตั ติ า่ ง ๆ ขน้ึ มาเพื่อกำ� หนดมาตรฐานแห่งพฤติกรรม นอกจากน้ี ยงั จะตอ้ งมอี งคก์ ารท่ีจะต้องดูแลใหม้ ีการประพฤติปฏิบัติตามบทบญั ญตั ิเหลา่ นั้น องคก์ ารเหล่านน้ั คอื รฐั ทฤษฎนี ้ีมที ศั นะคลา้ ยกบั ทฤษฏีสญั ญาประชาคม คือเชือ่ ว่ารัฐถือกำ� เนดิ ขึน้ มาเพราะมคี วามจ�ำเปน็ ทจี่ ะตอ้ งมกี ำ� หนดกฎเกณฑต์ า่ ง ๆ ในสงั คม แตใ่ หค้ วามสำ� คญั เนน้ หนกั ไปเรอื่ งเชงิ กฎหมายสำ� หรบั สว่ น รวม ทฤษฎสี ญั ญาประชาคมเนน้ หนกั ไปในเรอื่ งของผมู้ สี ทิ ธหิ รอื ผมู้ อี ำ� นาจในการออกกฎหมาย ทฤษฎี ทางกฎหมายมกั มไิ ด้กล่าวถงึ สภาพธรรมชาติหรอื มองย้อนไปในอดีตอันไกลโพน้ ในกรณีทฤษฎสี ญั ญา ประชาคมเปน็ การตงั้ ขอ้ สมมตฐิ านเกย่ี วกบั เหตกุ ารณห์ รอื สภาพการณใ์ นอดตี สมยั ปฐมกาลหลายหมน่ื หลายแสนปมี าแลว้ ของมนษุ ยชาติ ซง่ึ ย่อมไม่มผี ้ใู ดทราบว่าเป็นอย่างไรอย่างแทจ้ รงิ ๔๖ จริ โชค (บรรพต) วีระสยั ดร. สรุ พล ราชภณั ฑารกั ษ์ ดร. และสุรพันธ์ ทบั สวุ รรณ์ ผศ. เร่ืองเดิม หน้า ๑๓๑-๑๓๒

ก�ำเนดิ ของรฐั (Origin of State) 89 ๗. ทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary Theory)๔๗ ทฤษฎีนี้แตกตา่ งจากทฤษฎีแรก ๆ ท่ไี ด้กล่าวมาแล้ว เพราะทฤษฎแี รก ๆ นั้นมีลักษณะไปใน ทางทเี่ รยี กว่า Speculation คือถือจินตนาการเปน็ สาระส�ำคญั แตท่ ฤษฎีนี้ใช้รากฐานและเหตผุ ลและ ความเปน็ จรงิ มาประกอบ คอื ๑. ไดแ้ กเ่ หตผุ ลของอรสิ โตเตลิ ซงึ่ กลา่ ววา่ “มนษุ ยเ์ ปน็ สตั วก์ ารเมอื ง และ เป็นสัตว์สังคม” ๒. มาจากอริสโตเติล เช่นเดียวกัน คือกิจกรรมในทางการเมืองของมนุษย์เป็นเรื่อง ธรรมชาติอย่างหนึ่งเหมือนกับการกินอยู่ของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้มนุษย์กับการเมืองจึงเป็นสิ่งท่ีแยกกัน ไม่ออก การเมืองเปน็ สิง่ ทต่ี ดิ ตัวมนุษยต์ ลอดมา รัฐก็เหมอื นสงิ่ ตา่ ง ๆ ซึ่งจะต้องมีการววิ ฒั นาการตดิ ตอ่ เป็นระยะเวลานานพรอ้ มกบั มนุษย์ รฐั ในปจั จบุ นั มลี กั ษณะสำ� คญั ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั คอื องคป์ ระกอบของพลเมอื ง ซง่ึ รฐั ในอดตี มพี ลเมอื ง นอ้ ยมาก ในปจั จบุ ันพลเมืองท้งั โลกมปี ระมาณ ๒,๕๐๐ ลา้ นเศษขน้ึ ไป ดังน้นั จึงมผี ลตอ่ ลักษณะและ วิธีการในการปกครองรัฐอย่างมากมาย ทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ใช้ความรู้ทางสังคมศาสตร์และทาง วิทยาศาสตร์ เป็นเคร่ืองอธิบายการเกิดและการวิวัฒนาการของรัฐ วิชาทางสังคมศาสตร์ได้แก่ สงั คมวิทยา มนุษยวทิ ยา ภูมิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ทางวทิ ยาศาสตรก์ ็อาศัยความร้ทู างชวี วิทยา ฯลฯ ฉะนน้ั ทฤษฎีนจี้ ึงใกล้เคยี งกับความเปน็ จรงิ เพราะใช้ขอ้ มูลจากความรูข้ องศาสตร์อน่ื ๆ ทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ แบ่งข้ันของการวิวัฒนาการของรัฐออกเป็นหลายระดับ กล่าวโดยสรุป ก็คอื ตง้ั แต่ระดับเลก็ ท่สี ดุ ไปสู่ระดับใหญ่ทีส่ ุด ใช้เวลานานในการเจรญิ เติบโต เนอ้ื หาของทฤษฎีนี้ ๑. ทฤษฎนี เ้ี รมิ่ ตน้ ดว้ ยการอธบิ ายวา่ มนษุ ยน์ น้ั ไดร้ วมกนั อยเู่ ปน็ กลมุ่ เลก็ ๆ เรยี กวา่ วงศาคณา ญาติ สมาชิกภายในกลุ่มเล็ก ๆ เหล่าน้ี มีความผูกพันในทางสายโลหิต หรือพูดอีกนัยหน่ึงสายโลหิต เป็นหลักของความสัมพันธ์ บุคคลจะเป็นสมาชิกของวงศาคณาญาติได้ก็ต้องสืบสายโลหิตเดียวกัน ลักษณะของวงศาคณาญาตินี้จึงไม่ใหญ่โตกว้างขวาง ด้วยเหตุท่ีว่าสายเลือดนั้นไม่อาจกระจายออกไป ได้มาก คือมีขอบเขตจ�ำกัดในตัวเอง การผูกพันทางสายเลือดน้ี ถือเป็นปรากฏการณ์ของสังคมหรือ ชุมชนยคุ แรก ๆ ๒. เผา่ พันธ์ุ (Tribe) มลี ักษณะท่กี ว้างขวางกว่าวงศาคณาญาติ เปน็ เร่อื งท่ีต่อเน่ืองกนั มาดว้ ย เหตุผลท่ีว่า สายโลหิตมีข้อจ�ำกัด เพราะฉะน้ัน มนุษย์จึงหาเกณฑ์ในการยึดถือว่าเป็นสมาชิกของพวก เดยี วกันในรปู ตา่ ง ๆ ซงึ่ ได้แก่เกณฑด์ ังต่อไปน้ี คอื ทีต่ ้งั หัวหน้า ศาสนา และประเพณี ๔๗ ทนิ พันธ์ นาคะตะ ดร. เรอ่ื งเดมิ หน้า ๓๑-๓๓

90 รัฐศาสตร์เบื้องตน้ ที่ตั้ง หมายความว่า กลุ่มชนซึ่งอยู่ในสถานท่ีเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน หรือวงศาคณาญาติ หลายหมู่ที่อยู่ในที่เดียวกัน ก็อาจรวมเป็นเผ่าเดียวกัน ทั้งนี้โดยไม่ค�ำนึงถึงสายโลหิตอีกต่อไป ความผูกพนั ของมนษุ ย์จงึ เปลี่ยนจากสายโลหติ มาถือทีต่ ัง้ เปน็ เกณฑ์ หวั หน้า ในบางยุคบางสมัย มนุษย์ถือว่า ถ้ามีหัวหน้าหรือสมาชิกของหัวหน้าคนเดียวกัน ก็ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน คือ ถือเกณฑ์ประมุขเป็นส�ำคัญ ด้วยเหตุน้ัน บุคคลอาจจะอยู่ในที่ต่างกัน มากมาย มีสายโลหิตไม่เหมือนกัน ก็อาจถือตนเองว่าเป็นกลุ่มเดียวกันได้ ถ้ามีหัวหน้าคนเดียวกัน ดังน้นั กลมุ่ ชนนจ้ี ึงมอี าณาเขตและสมาชกิ กว้างขวาง ศาสนา เกยี่ วกับความเชื่อ ถอื ว่าบุคคลท่ีมคี วามเชื่อในสิง่ เดยี วกัน และประพฤตติ ามสงิ่ ท่เี ชอ่ื นน้ั เหมอื นกนั เปน็ พวกเดยี วกนั ความเชอ่ื จงึ เปน็ มาตรฐานทจ่ี ะระบวุ า่ บคุ คลจะเปน็ สมาชกิ ของชมุ ชนใด ปัจจุบันศาสนาท�ำให้คนเป็นพวกเดียวกันมาก แม้ว่าจะอยู่คนละมุมโลก แต่ถ้านับถือศาสนาเดียวกัน ก็ถอื เป็นพวกเดียวกันได้ ประเพณี เปน็ วถิ ชี วี ติ อยา่ งหนงึ่ ซงึ่ ตามปกตเิ ปน็ สงิ่ ซง่ึ ปรากฏในชมุ ชนใดชมุ ชนหนงึ่ โดยเฉพาะ หรือบางทีก็ปรากฏในหลายชุมชน ประเพณีน้ีเป็นส่ิงส�ำคัญที่ผูกพันมนุษย์เข้าเป็นพวกเดียวกัน ดังจะ เหน็ ไดว้ า่ ในหลายสงั คมในโลกซงึ่ ยดึ ถอื ประเพณเี ดยี วกนั กม็ กั จะเกยี่ วพนั กนั อยา่ งใกลช้ ดิ ในสมยั โบราณ อาจจะมหี ลกั การปกครองภายใจ ซง่ึ ยึดถอื แตกตา่ งกัน ๒ วิธี คือ ๑. Matriarchal ๒. Patriarchal Matriarchal การปกครองที่ถือมารดาเปน็ เกณฑ์ คือถือสตรเี ป็นหลกั Patriarchal การปกครองท่ีถอื บิดาเปน็ เกณฑ์ คอื ถอื ชายเป็นหลกั สังคมทั่วไปในโลก ตามปกติถือหลักบิดาเป็นเกณฑ์ เนื่องจากความเหมาะสมทางธรรมชาติ ท่ถี อื วา่ เพศชายเปน็ ผ้มู ีความสามารถในการคมุ้ ครองป้องกัน มีความแขง็ แรง อนง่ึ ชาติในโลกน้ีมักจะ ถอื เปน็ ธรรมเนยี มว่า ควรจะยึดถือหลกั ใหผ้ ู้ชายทำ� หน้าทใี่ ห้ความค้มุ ครองปกปอ้ ง รวมทั้งเป็นผ้รู บั ผดิ ชอบ การควบคมุ และดำ� เนนิ ชีวิตของชมุ ชน ดว้ ยเหตุน้นั จงึ ยึดหลกั Patriarchal ในบางสังคม ซงึ่ มีอยู่เป็นจำ� นวนไมม่ ากนัก กลับยดึ ถือหลักให้สตรีทำ� หน้าทป่ี กครองคมุ้ ครอง ป้องกัน สังคมดังกล่าว ผู้ชายเป็นแต่เพียงเคร่ืองมือ แรงงาน เป็นผู้ให้บริการ ส่วนผู้หญิงจะท�ำหน้าที่ ควบคุมก�ำหนดนโยบาย สังคมเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะว่าผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชาย จึงถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่า มีความส�ำคัญและมีการเคารพยกย่องสตรีกันมากขึ้น ในสังคมเช่นนี้ ยกย่องสตรีเป็นประมุข ถือหลัก การปกครองโดยสตรเี ปน็ เกณฑ์ ๓. วิวัฒนาการข้ันต่อไปของรัฐ ได้แก่ การรวมเผ่าพันธุ์หลายเผ่าเป็นนครใหญ่และถือว่านคร น้ีเป็นรัฐ ๆ หน่ึง รัฐแบบนี้เรียกว่า นครรัฐ ซ่ึงพบเห็นได้ในกรีกสมัยโบราณ ซึ่งม่ันคง รัฐซ่ึงมีช่ือเสียง

ก�ำเนิดของรฐั (Origin of State) 91 ได้แก่เอเธนส์ และสปาร์ตา นครรัฐเหล่านี้มีอาณาเขตเล็ก ด้วยเหตุน้ัน จึงสามารถปกครองตนเองได้ โดยตรง เชน่ นครรัฐเอเธนส์ ซ่ึงเปน็ รากฐานเร่มิ แรกของประชาธปิ ไตยแบบประชาชนปกครองตนเอง ได้โดยตรง การปกครองในระยะน้คี อ่ นขา้ งจะสะดวกเพราะประชาชนน้อย และปัญหาในนครมีไมม่ าก อย่างไรก็ตามมีข้อบกพร่อง คอื นครเหล่านแี้ ตกแยกและมักชอบรบราฆ่าฟนั กนั เสมอ ระยะต่อมาของนครรัฐ คือ จักรวรรดิ (Empire) การปกครองแบบนีเ้ กดิ ขึน้ เนอื่ งจากรัฐใดรฐั หนง่ึ มอี ำ� นาจมาก และขยายอำ� นาจออกไปเรอ่ื ยๆ จนมอี าณาเขตกวา้ งขวางใหญโ่ ต เรยี กชอื่ วา่ จกั รวรรดิ ด�ำเนินการปกครองเป็นพิเศษ คือ มีการปกครองท่ีส่วนกลางและมีการปกครองที่ส่วนภูมิภาคต่าง ๆ สว่ นกลางรวมอ�ำนาจเข้าไวแ้ ต่ผู้เดยี ว จึงท�ำให้เกดิ การปกครองที่เปน็ ปึกแผน่ ระบบขุนนาง (Feudalism) เกดิ จากจักรวรรดเิ สือ่ มอำ� นาจลง จงึ ทำ� ให้สว่ นต่าง ๆ ทข่ี ้ึนอย่กู ับ จกั รวรรดนิ นั้ มอี ำ� นาจมากขนึ้ ผลทเี่ กดิ ขน้ึ กค็ อื ขนุ นางมอี ำ� นาจในแตล่ ะประเทศถอื สทิ ธใิ นการปกครอง ตนเอง และยอมรบั พระมหากษตั รยิ เ์ ปน็ ประมุขแตใ่ นนาม ขุนนางเหล่านี้มีทหารและมแี รงงานของตน โดยเฉพาะ การปกครองภายใจภูมิภาคก็ขึ้นอยู่กับขุนนางท้ังสิ้น การปกครองแบบนี้ ท�ำให้เกิดหลัก อนั หนงึ่ เปน็ หลกั กระจายอำ� นาจไปสสู่ ว่ นตา่ ง ๆ ของประเทศ ทำ� ใหอ้ ำ� นาจสว่ นกลางนอ้ ยลง การปกครอง แบบน้มี ีมาจนถึงปลายศตวรรษที่ ๑๖ ๘. ทฤษฎีพลกำ� ลังหรอื ทฤษฎีอ�ำนาจบังคบั (Force Theory)๔๘ ทฤษฎีน้ีเชื่อว่า รัฐเกิดขึ้นจากการยึดครองและการใช้อ�ำนาจบังคับกันโดยคนที่เข้มแข็งกว่า ใช้อ�ำนาจบังคับบัญชาคนท่ีอ่อนแอกว่า ให้อยู่ใต้อ�ำนาจของตน และได้ออกกฎเกณฑ์ที่ดูเหมือนชอบ ด้วยกฎหมาย ใช้บังคับในรัฐ เพ่ือจ�ำกัดสิทธิผู้ที่ด้อยกว่าตน คนท่ีอ่อนแอกว่าก็จ�ำเป็นต้องยอมอยู่ใต้ อำ� นาจเหลา่ น้เี พราะความกลวั อำ� นาจบงั คับจงึ เปน็ ปจั จัยส�ำคัญที่ท�ำใหเ้ กิดการปกครองขึน้ เรื่องของอ�ำนาจหรือพลก�ำลังน้ี ในตอนปลายศตวรรษท่ี ๑๙ ถือว่า ชาตินิยมเป็นพลังส�ำคัญ อยา่ งยง่ิ ของรฐั ในเยอรมนั มผี เู้ ชอื่ กนั วา่ อำ� นาจเปน็ ลกั ษณะสำ� คญั ของรฐั อำ� นาจทำ� ใหเ้ กดิ ความถกู ตอ้ ง และชอบธรรม และรฐั ก็คอื อ�ำนาจ รัฐจึงมฐี านะเหนือกวา่ องค์การหรอื สถาบันใด ๆ ๙. ทฤษฎอี คั คัญญสตู ร (Akkhanya sutta Theory)๔๙ ในพระพุทธศาสนา กม็ กี ารกลา่ วถึงก�ำเนดิ ของรฐั เช่นเดยี วกนั ทั้งน้โี ดยปรากฏอยู่ในพระสตู ร ชื่อ อัคคญั ญสูตร และอรรถาธิบายของเกจิอาจารยท์ ง้ั หลาย โดยเริม่ จากก�ำเนดิ ของโลกดงั ต่อไปนี้ ๔๘ นงเยาว์ พรี ะตานนท์ “การเมอื งและการปกครอง” (กรงุ เทพ ฝา่ ยเอกสารและตำ� ราสถาบนั ราชภฏั สวนดสุ ติ : ๒๕๔๑) หนา้ ๑๗ ๔๙ การศาสนา กรม กระทรวงศกึ ษาธิการ พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบบั หลวง (กรุงเทพฯ โรงพิมพก์ ารศาสนา : ๒๕๒๕) เลม่ ท่ี ๑๑ หนา้ ๖๑-๗๔

92 รัฐศาสตร์เบอื้ งต้น เมื่อโลกเก่าพินาศด้วยความร้อนจากดวงอาทิตย์ ซ่ึงแผดเผาเป็นจุณวิจุณไปแล้ว ก็เกิดฝนตก ใหญ่ท่วมนองเต็มไปหมดท้ังจักรวาล ต่อมาน้�ำก็ลดลง พัฒนาขึ้นมาเป็นโลกอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ต่อมาบรรดาสัตว์ท่ีไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม ซ่ึงมีปีติเป็นอาหารมีรัศมีแผ่ซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศอยู่ในวิมานอันงาม ได้พากันจุติลงมาเกิดในโลกซึ่งในขณะน้ันยังอยู่ในความมืด ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ยังไม่ปรากฏ แต่อาศัยท่ีสัตว์เหล่าน้ันมีรัศมีซ่านที่กาย จึงพอมองเห็นได้ ต่อมาได้ง้วนดินข้ึน สัตว์เหล่าน้ันจึงกินง้วนดินน้ันเป็นอาหาร ท�ำให้รัศมีกายของสัตว์เหล่านั้นหายไป แล้วเกิดมีดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ขึ้นมาแทน และเกิดดวงดาวต่าง ๆ เต็มท้องฟ้า กลางคืนกลางวันจึงมี ขน้ึ ตามกัน เม่ือสัตว์เหล่านั้นกินง้วนดินเป็นอาหาร ร่างกายก็เปล่ียนเป็นแข็งกล้าข้ึนทุกที ท้ังผิวพรรณ ก็ปรากฏแตกต่างกันไป บางพวกก็มีผิวพรรณงาม บางพวกก็ไม่งาม ท�ำให้เกิดการดูหม่ินเหยียดหยาม กันขึน้ ทำ� ใหง้ ว้ นดินหายไปเกดิ สงิ่ ใหมท่ เี่ รยี กวา่ กระบดิ นิ (มีลกั ษณะคล้ายเหด็ ) ขึน้ มาแทน สัตวเ์ หล่า นั้นได้กินกระบิดินเป็นอาหาร ร่างกายก็แข็งกล้าข้ึนอีก ผิวพรรษก็แตกต่างกันในด้านความงามและ ไมง่ าม และเกดิ การเหยยี ดหยามผวิ กนั ขน้ึ อกี ตอ่ มากระบดิ นิ กห็ ายไปเกดิ เครอื ดนิ ขน้ึ มาแทน สตั วเ์ หลา่ นน้ั กนิ เครอื ดนิ เปน็ อาหาร รา่ งกายกแ็ ขง็ กลา้ ขนึ้ ผวิ พรรณกแ็ ตกตา่ งกนั ไป และเกดิ การเหยยี ดหยามผวิ กันขึ้นอีก ท�ำให้เครือดินหายไป และเกิดข้าวสาลีข้ึนมาแทน เป็นข้าวไม่มีร�ำ ไม่มีแกลบ กล่ินหอม มเี มลด็ เป็นขา้ วสาร และที่ส�ำคัญก็คือ เกบ็ กินเท่าไรกไ็ มห่ มด เพราะเกิดขึ้นแทนกนั เปน็ สันตติอยู่ตลอด เวลา เม่ือสัตว์เหล่านั้นได้กินข้าวสาลีเป็นอาหาร ร่างกายก็แข็งกล้าข้ึน ผิวพรรณก็แตกต่างกัน และที่ พิเศษออกไปกค็ ือ เพศหญงิ เพศชาย กป็ รากฏข้นึ ในหมู่สตั วเ์ หลา่ นัน้ และเรม่ิ เสพเมถนุ ธรรมกัน การเสพเมถนุ ธรรม ในสมัยนนั้ ถือว่าเป็นความชั่ว ดังท่วี า่ “ก็โดยสมัยนนั้ แล สตั ว์พวกใดเห็น พวกอื่นเสพเมถุนธรรมกันอยู่ ย่อมโปรยฝุ่นใส่บ้าง โปรยเถ้าใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง พร้อมกับพูดว่า คนชาติช่ัวจงฉิบหาย ดังนี้ ฯลฯ” นอกจากจะถูกกระท�ำดังกล่าวแล้ว ผู้ท่ีเสพเมถุนธรรม ยังถูกขับไล่ ออกไป จะเข้าบ้านหรือนิคมไม่ได้ และโดยท่ีการเสพเมถุนธรรมเป็นสัญชาติญาณ จึงท�ำกันอยู่เสมอ แต่คงเป็นเพราะความละอายหรือความกลัว จึงพากันสร้างเรือนขึ้นเป็นท่ีก�ำบัง และเร่ิมมีการไปเก็บ ขา้ วสาลีมาสะสมไว้ เพ่ือบริโภคไปได้หลาย ๆ วนั แทนการไปเกบ็ เชา้ กินเชา้ เกบ็ เยน็ กนิ เย็นอย่างทเ่ี คย ทำ� มา เมื่อมกี ารเกบ็ สะสมกนั เช่นนี้ สภาพข้าวสาลเี ปลย่ี นไป ต้นทเ่ี ก็บเก่ียวแลว้ ก็ไม่งอกขึ้นมาแทน ปรากฏว่าทงุ่ ขา้ วสาลขี าดเปน็ ตอน ๆ มีข้างสาลีงอกเป็นกลมุ่ ๆ สัตว์เหลา่ นั้นจงึ ตกลงแบ่งขา้ วสาลกี ัน โดยปกั ปนั เขตแดนกนั ใหแ้ นน่ อน เม่อื มาถึงขนั้ นี้ ก็ปรากฏว่ามีบางคนเป็นคนโลภ สงวนส่วนของตนไว้ แลว้ ไปขโมยของคนอน่ื มาบรโิ ภค เขาจงึ จบั คนขโมยนนั้ ลงโทษดว้ ยประการตา่ ง ๆ การตำ� หนติ เิ ตยี นการ ประหัตประหาร และการทะเลาะวิวาทจึงเกิดขึ้น ท�ำให้สังคมวุ่นวาย จึงเกิดความจ�ำเป็นท่ีจะต้องมี หัวหนา้ เปน็ ผปู้ กครอง ซงึ่ ปรากฏขอ้ ความในอคั คญั ญสตู ร ดงั นี้

กำ� เนดิ ของรัฐ (Origin of State) 93 “ครั้งน้ันแล พวกสตั ว์ทีเ่ ป็นผูใ้ หญจ่ งึ ประชมุ กนั ครัน้ แล้วตา่ งกป็ รบั ทุกขก์ นั วา่ พอ่ เอ๋ย การถือ เอาส่ิงของท่เี จ้าของไมไ่ ดใ้ ห้จกั ปรากฏ การตเิ ตยี นจกั ปรากฏ การพูดเทจ็ จักปรากฏ การถือทอ่ นไมจ้ ัก ปรากฏ ในเพราะบาปธรรมเหลา่ ใด บาปธรรมเหลา่ นนั้ เกดิ ปรากฏแลว้ ในสตั วท์ ง้ั หลาย อยา่ กระนน้ั เลย พวกเราจักสมมติสัตว์ผู้หน่ึง ให้เป็นผู้ว่ากล่าวผู้ท่ีควรว่ากล่าวโดยชอบ ให้เป็นผู้ติเตียนบุคคลท่ีควรติ เตียนโดยชอบ ให้เป็นผู้ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบ ส่วนพวกเราจักแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่ผู้นั้น … ครั้นแล้วสัตว์เหล่านั้นพากันไปหาสัตว์ท่ีสวยงามกว่า น่าดูน่าชมกว่า น่าเล่ือมใสกว่า และน่าเกรงขาม มากกว่าสตั ว์ทกุ คนแล้ว จงึ แจ้งเรอ่ื งน้ีวา่ ขา้ แต่สตั ว์ผู้เจริญ มาเถิดพ่อ ขอพอ่ จงว่ากลา่ วผทู้ ี่ควรว่ากลา่ ว ได้โดยชอบ จงติเตยี นผูท้ ่คี วรตเิ ตียนไดโ้ ดยชอบ จงขบั ไล่ผูท้ ี่ควรขบั ไลไ่ ดโ้ ดยชอบ ส่วนพวกขา้ พเจา้ จัก แบ่งสว่ นขา้ วสาลีให้แกพ่ ่อ ...สัตว์ผูน้ ั้นแลรบั ค�ำของสตั วเ์ หล่าน้ันแลว้ จงึ ว่ากลา่ วผู้ทค่ี วรวา่ กล่าวไดโ้ ดย ชอบ ติเตียนผู้ท่ีควรติเตียนได้โดยชอบ ขับไล่ผู้ท่ีควรขับไล่ได้โดยชอบ ส่วนสัตว์เหล่าน้ันก็แบ่งส่วน ข้าวสาลีให้แกส่ ัตว์ทีเ่ ป็นหวั หน้านั้น” โดยท่ีหัวหน้าซึ่งท�ำหน้าที่ป้องกันชีวิตและทรัพย์สินดังกล่าว ได้รับมอบหมายจากมหาชน จึงไดส้ มัญญาว่า “มหาชนสมมต”ิ และโดยที่จะตอ้ งปกป้องคุม้ ครองในอาณาเขตกวา้ งใหญ่ จงึ เรยี กว่า “กษัตริย์” และโดยหัวหน้านั้นเป็นผู้มีคุณธรรม ยังความพอใจให้เกิดแก่คนเป็นอันมาก จึงเรียกว่า “ราชา” นี่คือใจความส�ำคัญของอัคคัญญสูตร และเม่ือวิเคราะห์เนื้อหาในพระสูตรนี้แล้ว พอจะสรุป สาระส�ำคัญเกย่ี วกับก�ำเนดิ ของรัฐได้ดงั น้ี ๑. สภาพธรรมชาติ (State of Nature) ในทศั นะของอัคคัญญสตู รนั้น ตอนแรกเร่ิมมลี ักษณะ บริสุทธ์ิผุดผ่อง เสมือนว่าโลกยุคนั้นเป็นสวรรค์ เพราะปรากฏว่า มนุษย์ยุคแรกมีบรรพบุรุษจุติมาจาก อาภัสสรพรหม ซ่ึงเป็นพรหมช้ันหนึ่งในจ�ำนวน ๑๖ ชั้น จึงเป็นมนุษย์ท่ีไม่มีความอยากความต้องการ เพราะมีพร้อมทุกสิ่ง กายเป็นทิพย์ อาหารก็เป็นทิพย์ ความจ�ำเป็นท่ีจะก่อเป็นสังคม เป็นรัฐก็ไม่มี เปน็ สภาวะท่สี งบต่างคนตา่ งอยู่ ความขดั แยง้ กนั ก็ไมม่ ี ๒. เมื่อมนษุ ยเ์ หล่านน้ั ด�ำรงชีพอยดู่ ว้ ยอาหารหยาบ และมีลกั ษณะเป็นสังคม กย็ งั ไมม่ ีปัญหา เพราะปัจจัยเล้ียงชีพข้ันพื้นฐานคืออาหารนั้น สามารถหาเอาได้จากพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ ยังไม่รู้จัก การเกบ็ สะสม เพราะยงั ไมม่ ีความจำ� เป็นต้องสะสม ทรัพย์สินส่วนบคุ คลจึงยงั ไม่มี ทรพั ยากรทม่ี ีอยู่จึง เป็นกรรมสิทธ์ิส่วนรวม ๓. มนษุ ยย์ คุ บรรพกาล ยงั มคี วามดพี รอ้ ม แตม่ นษุ ยเ์ หลา่ นนั้ ตอ้ งสญู เสยี ความดไี ป เมอ่ื มคี วาม แตกต่างกนั เกิดขนึ้ โดยเฉพาะคือ ความแตกตา่ งทางผิวพรรณ จงึ เกิดความชั่วข้นึ คอื การดหู มิ่นเหยยี ด หยามกันขน้ึ ความดจี งึ เรม่ิ ถกู บดบัง

94 รฐั ศาสตร์เบื้องต้น ๔. การสบื พนั ธเ์ุ ปน็ สญั ชาตญาณดง้ั เดมิ และเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ครอบครวั เมอ่ื เกดิ ครอบครวั ขน้ึ แลว้ ท�ำให้เกิดความผูกพันเฉพาะครอบครัว จึงเกิดความคิดสะสม ต้องแบ่งปันปักเขตการท�ำมาหากินกัน เป็นสัดสว่ น ๕. เม่ือสังคมเติบโตข้ึน มนุษย์มีมากข้ึน ภาวะที่แท้จริงของมนุษย์ต้ังแต่บรรพกาลจวบจน ปจั จบุ นั กค็ อื มนษุ ยม์ ดี มี ชี ว่ั ความชว่ั ทปี่ รากฏครงั้ แรกในหมมู่ นษุ ย์ คอื ความโลภเปน็ ตน้ เหตใุ หเ้ กดิ ความ เห็นแก่ตัว ความเกียจคร้าน และการลักขโมย ความช่ัวต่อมาคือ การเหยียดหยาม การทะเลาะวิวาท ผลกค็ อื ทำ� ให้สังคมปั่นปว่ นระส่�ำระสาย ๖. แต่ความต้องการของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ก็คือความสุขความสงบ ความระส�่ำระสายใน สังคม จึงเป็นสิ่งขัดแย้งต่อความต้องการของมนุษย์ เป็นเหตุให้มนุษย์แสวงหาทางคืนสู่ความสงบสุข ทเ่ี คยมมี าแตเ่ ดมิ โดยรว่ มใจกนั ไปขอใหผ้ มู้ คี วามสามารถมกี ำ� ลงั แขง็ แรงกวา่ ทำ� หนา้ ทขี่ จดั ปดั เปา่ ความ ระส�ำ่ ระสายในสงั คม โดยให้อ�ำนาจลงโทษผูท้ ำ� ผิด ซ่งึ เปน็ ตน้ เหตแุ ห่งความระสำ่� ระสายนัน้ ๗. ผู้ที่ได้รับเลอื กน้ีมฐี านะเปน็ หัวหน้า เป็นตำ� แหนง่ มหาชนสมมติ ต�ำแหนง่ ทไ่ี ด้มาจึงคล้าย ๆ การเลือกตั้งประมุขของรัฐในบางประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างมหาชนสมมติกับคนอื่น ๆ ในสังคม มีลักษณะคล้ายกบั ความสมั พันธ์ระหว่างประมุขของรัฐกับพสกนกิ ร ๘. มหาชนสมมติ ได้รับมอบอ�ำนาจจากมหาชนให้เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองชีวิต และทรัพย์สิน ช่วยเป็นผูต้ ดั สนิ ในกรณีทม่ี คี วามขัดแย้งในสงั คม หน้าทหี่ ลักท่ีส�ำคญั ทสี่ ุด คอื การลงโทษผกู้ ระทำ� ผดิ ๙. ตามอคั คญั ญสตู ร เราจงึ สรปุ ไดว้ า่ ความขดั แยง้ การทะเลาะววิ าท และการเอารดั เอาเปรยี บ กันในหมู่มนุษย์เป็นเหตุส�ำคัญท่ีท�ำให้เกิดความจ�ำเป็นต้องมีรัฐ มีผู้ปกครอง และมีผู้ใต้ปกครอง ท้ังน้ี เพราะเมื่อมนุษย์จ�ำนวนมากรวมตัวกันเป็นสังคม ปัญหาท่ีตามมาคือความขัดแย้ง แม้แต่ในปัจจุบันน้ี ก็มีลักษณะเช่นน้ันปรากฏอยู่ พัฒนาการของรัฐ รฐั มวี วิ ฒั นาการมาอยา่ งยาวนานหลายศตวรรษ แมว้ า่ จะไมส่ ามารถหาหลกั ฐานเพอื่ จะยนื ยนั ว่าการรวมตัวของมนุษย์ได้เกิดข้ึนอย่างไรและในยุคสมัยใด แต่หากพิจารณาจากการตั้งถ่ินฐาน การมี เครอ่ื งมอื เครอื่ งใช้ และการศกึ ษาเปรยี บเทยี บกบั ชนเผา่ ตา่ ง ๆ ทย่ี งั ไมม่ กี ารจดั การปกครองในรปู แบบ รฐั ทย่ี งั คงเหลอื อยใู่ นบางภมู ภิ าคของโลก เชอ่ื ไดว้ า่ ครอบครวั เปน็ สถาบนั เรม่ิ ตน้ ของการอยรู่ วมกนั เปน็ สังคมของมนุษย์ และต่อมาก็จะมีการขยายครอบครัวอันเน่ืองมาจากการเพ่ิมข้ึนของสมาชิกภายใน ครอบครวั เพราะฉะนน้ั ความสมั พนั ธข์ องสมาชกิ ภายในครอบครวั จงึ เปน็ ไปในลกั ษณะของเชอื้ สายหรอื สายเลือด (Kinds) ต่อมาเม่อื กุม่ ต่าง ๆ ท่มี คี วามสมั พันธ์กันแบบสายเลือดไดส้ รา้ งปฏสิ ัมพนั ธข์ ้างกลมุ่ หลาย ๆ กลมุ่ ก็จะกลายเปน็ เผา่ ชน

กำ� เนดิ ของรัฐ (Origin of State) 95 เมื่อสมาชกิ ของเผา่ ชนมีมากขึน้ การรวมตวั กนั ในลักษณะเดมิ จงึ ไม่สามารถด�ำเนนิ ตอ่ ไปได้นนั่ คอื แมจ้ ะมคี วามสมั พนั ธท์ เ่ี กย่ี วดองกนั ทางเครอื ญาตใิ นกลมุ่ สมาชกิ แตเ่ พราะจำ� นวนสมาชกิ เพม่ิ ขนึ้ จงึ ทำ� ใหค้ วามสมั พนั ธด์ งั กลา่ วหา่ งเหนิ ออกไป สงั คมจงึ มกี ารเพมิ่ ขนึ้ ทงั้ ในแงป่ รมิ าณสมาชกิ และอาณาเขต ที่สมาชิกของเผ่าชนใช้ในการด�ำรงชีวิต ในที่สุดการจัดต้ังองค์กรทางการเมืองก็ต้องเกิดข้ึน หลังจากท่ี เผา่ ชนหลาย ๆ เผา่ ชนมารวมตวั กนั เปน็ นครรฐั และนน่ั หลายถงึ การเรมิ่ ตน้ แหง่ รฐั ซงึ่ อาจแบง่ พฒั นาการ ของรฐั ออกไดเ้ ป็น ๕ ระยะ นับแตก่ ารเรมิ่ มีรฐั ขึน้ คอื ๑. นครรฐั (City – State) ตัวอย่างของนครรัฐที่มักถูกน�ำเสนอเป็นตัวอย่างก็คือ นครรัฐในสมัยกรีกโบราณ อันได้แก่ เอเธนส์ และสปร์ตา โดยนครรฐั จะมีอาณาเขตไม่ใหญโ่ ต อาจเป็นเมอื งเพียงหนง่ึ เมืองและมอี าณาเขต ของชนบทท่ีไม่ห่างไกลจากเมืองหลวง จ�ำนวนประชากรมีประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน ปัจจัยหน่ึงท่ีเป็น เคร่ืองก�ำหนดขนาดและโครงสร้างของนครรัฐก็คือสภาพภูมิประเทศ๕๐ ดังจะเห็นได้ว่ากรีกโบราณมี ภูมิประเทศส่วนใหญ่ล้อมรอบด้วยภูเขาและทะเล การก�ำหนดอาณาเขตของนครรัฐจึงถูกก�ำหนดด้วย สภาพของภมู ปิ ระเทศโดยยึดหลักใหพ้ ลเมืองสามารถตดิ ตอ่ กนั ได้โดยง่าย ส่วนกองก�ำลังเพ่อื การรกั ษา อำ� นาจอธปิ ไตยของนครรฐั กม็ จี ำ� นวนพอทจี่ ะรกั ษาความสงบไวไ้ ดเ้ ทา่ นน้ั นครรฐั ทกุ รฐั จะมรี ฐั บาลของ ตนเองเพื่อปฏิบัติหน้าท่ี มีความรู้สึกว่านครรัฐของตนเป็นอิสระจากอ�ำนาจของรัฐอ่ืน แต่อาจมีความ สมั พันธ์ในเชิงพนั ธมติ รกับนครรฐั อ่ืน ๆ และให้ความชว่ ยเหลอื กนั ในทางกองก�ำลัง ๒. อาณาจกั รโบราณ (Ancient Empire) เมอ่ื นครรัฐของกรีกโบราณต้องจบลงดว้ ยกองกำ� ลงั ทท่ี รงอำ� นาจของโรมนั ทำ� ให้การปกครอง แบบนครรัฐทีม่ ีขนาดเล็ก ๆ ต้องจบส้ินลง และเกดิ รูปแบบรัฐท่ีมอี าเขตใหญ่โต ประชากรมากมายนบั ลา้ นๆ คนของอาณาจกั รโรมนั มาแทน การปกครองของอาณาจกั รจงึ เปน็ การปกครองแบบอตั ตาธปิ ไตย (Autocratic government) เปน็ ส่วนมาก ซึ่งอาจเป็นไปในลกั ษณะคณะบคุ คลหรอื บุคคลเดยี ว แตต่ ่อ มาในระยะหลงั อาณาจกั รโรมนั กถ็ กู ปกครองในรปู แบบทรราชย์ (Tyrant) อยา่ งเตม็ ที่ การปกครองของ อาณาจักรโรมันอันมีลักษณะเป็นจักรวรรดิท่ีใหญ่โตมักเป็นไปในรูปแบบสองรัฐบาล คือรัฐบาลของรัฐ ทเ่ี ปน็ ผปู้ กครองจกั รวรรดิ (imperial state) ซง่ึ เปน็ รฐั บาลกลางกนั รฐั บาลทมี่ อี ำ� นาจปกครองครอบคลมุ อาณาบริเวณที่อยูภ่ ายใต้การปกครองของจกั รวรรดิ ๕๐ T. Walter Wallbank and Alastair M.Taylor Civilization Past and Present. Third edition. (Chicago : Scott Foresman ๑๙๕๔) pp. ๑๒๖ - ๑๒๗

96 รัฐศาสตรเ์ บือ้ งตน้ ๓. สมัยกลาง : รัฐศกั ดนิ า (The middle Ages : Feudalism) การปกครองในระบบศักดินา (Feudalism) ไดถ้ ือก�ำเนดิ ขน้ึ ในสมยั กลางของยุโรป (ประมาณ ศตวรรษท่ี ๕- ๑๕) ภายหลงั การลม่ สลายของอาณาจกั รโรมนั เมอื่ ชนเผา่ ทวิ ทอนคิ (Teutoni) อนั มเี ชอ้ื สายเยอรมนั เขา้ ยดึ อำ� นาจและแบง่ อาณาเขตใหพ้ รรคพวกตนเองปกครอง แนวความคดิ ทเ่ี ชอ่ื วา่ รฐั เปน็ สถาบันของประชาชนเร่ิมหายไป และถูกแทนที่ด้วยความเชื่อท่ีว่า รัฐเป็นสถาบันของกลุ่มเอกชน (a body of Private Institution) ซ่งึ ในสมัยนน้ั หมายถงึ กลมุ่ ขุนนางศกั ดนิ า (Feud lords) ซึ่งไดร้ ับ กรรมสทิ ธใิ์ นทดี่ นิ ของขนุ นางเปน็ ทมี่ าของอำ� นาจในการปกครอง ทำ� ใหข้ นุ นางมอี ำ� นาจทางการเมอื งสงู กว่ากษัตริย์ รูปแบบของการปกครองจึงอยู่บนพื้นฐานของระบบอุปถัมภ์ที่เป็นรูปพีรามิดยอดแหลมท่ี จุดสูงสุดยอดพีรามิดคือกษัตริย์ รองลงมาเป็นกลุ่มขุนนางที่มีจ�ำนวนน้อยและมักเกิดการแก่งแย่งแข่ง จันกัน ส่วนฐานะแห่งพีรามิดคือประชาชนท่ียากจน ซ่ึงมีจ�ำนวนมากในสังคม แม้กษัตริย์จะอยู่ยอด แหลม อนั หมายถงึ ถงึ สถานภาพสงู สดุ ในสงั คม แตก่ ารดำ� รงอยใู่ นฐานะนนั้ กเ็ พราะมกี ลมุ่ ขนุ นางใหก้ าร สนับสนุน อ�ำนาจท่ีแท้จริงจึงตกอยู่ในกลุ่มขุนนางแต่เพราะขุนนางศักดินามุ่งแต่แก่งแย่งผลประโยชน์ จึงสร้างความสับสน วุ่นวาย กดขี่ข่มเหง และความแตกแยกขึ้นในสังคม ในที่สุดกษัตริย์ก็ได้รับการ สนับสนุนจากชนชั้นกลาง (Bourgeoisie) ผู้ถูกกดขี่ข่มเหงท�ำการปราบปรามกลุ่มขุนนางศักดินาที่ยึด ครองท่ีดินท�ำกนิ ลงได้ ๔. รฐั ราชวงศ์ (Dynastic State) เกดิ ในสงั คมทกี่ ษตั รยิ ม์ คี วามเขม้ แขง็ ทางอำ� นาจและกองกำ� ลงั ความสบั สนวนุ่ วายอนั เกดิ จาก ขนุ นางศกั ดนิ าในยโุ รปสมยั กลางกย็ ตุ ลิ ง กษตั รยิ จ์ งึ เปน็ ผปู้ กครองดแู ลอาณาจกั ร และไดร้ บั ความจงรกั ภกั ดจี ากประชาชน กษตั รยิ จ์ งึ กลายเปน็ สถาบนั ศนู ยร์ วมแหง่ อำ� นาจและความภกั ดี เมอ่ื กษตั รยิ ก์ ลบั มา มีอ�ำนาจอีกครั้งด้วยการช่วยเหลือจากชนชั้นกลางที่ขมข่ืน แต่ความสัมพันธ์หรือรูปแบบการปกครอง กไ็ ม่ไดแ้ ตกต่างไปจากในสมยั ศักดนิ าเท่าใดนกั โดยเฉพาะในประเดน็ ของการเขา้ มามสี ่วนร่วมทางการ เมอื งของประชาชน ซงึ่ ผทู้ ตี่ อ้ งการเขา้ มามสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งมกั ถกู กดี กนั และปราบปรามอยา่ งหนกั จากกษตั ริย์ ทำ� ให้ชนช้นั กลางซึ่งตอ้ งการเขา้ ไปมีส่วนร่วมทางการเมอื งตอ้ งต่อสกู้ ับอ�ำนาจของกษัตรยิ ์ และในสดุ ชนชน้ั กลางกไ็ ดร้ บั การชว่ ยเหลอื จากกลมุ่ ขนุ นางศกั ดนิ าเปน็ อยา่ งดเี พอ่ื ลดอำ� นาจของกษตั รยิ ์ ๕. รัฐชาติ (Nation – State) จากการปฏิวัติอันทรงเกียรติ (Glorious Revolution) ที่ประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. ๑๖๘๘ การแพรห่ ลายแนวความคิดเรอื่ งรฐั ชาตไิ ด้รบั การยอมรบั เปน็ อยา่ งมาก โดยเฉพาะภายหลังการปฏิบตั ิ ในประเทศฝรั่งเศส (French Revolution ) ปี ค.ศ. ๑๗๘๙ แนวความคิดนี้ก็แพร่หลายไปที่ยุโรป

ความรูเ้ บือ้ งต้นเก่ยี วกบั รัฐศาสตร์ (Introduction to Political Science) 97 สหรัฐอเมริกา ลาตินอเมริกา และแพร่ขยายไปจนท่ัวทุกภูมิภาคของโลก เม่ือส้ินสุดสงครามโลกคร้ัง ที่สอง รัฐชาติได้แปรเปลี่ยนความภักดีของประชาชนที่มีต่อกษัตริย์ไปสู่ความเป็นชาตินิยมผู้น�ำการ ปกครองตอ้ งไดร้ ับการยอมรับจากประชาชนจึงจะสามารถขึ้นมาทำ� หน้าทีบ่ ริหารปกครองประเทศได้ รูปแบบของรัฐ (Forms of state) จากการพจิ ารณาถึงอ�ำนาจอธปิ ไตยภายในรฐั สามารถแบง่ รูปแบบของรัฐออกได้เป็นรฐั เดยี่ ว (Unitary state) คอื รฐั ท่ีมีศูนย์อำ� นาจทางการเมืองการปกครองรวมอยู่ที่เดียว น่ันคือการท่อี ำ� นาจอธปิ ไตยอยู่ กับรัฐบาลกลาง (Central government) โดยเด็ดขาด แม้จะมีองค์กรของรัฐในส่วนท้องถ่ิน แต่จะ เปน็ การมอบอำ� นาจอธปิ ไตยจากรฐั บาลกลางใหไ้ ปปฏบิ ตั ใิ นลกั ษณะของสายบงั คบั บญั ชา (Hierarchy) มใิ ชก่ ารใหอ้ ำ� นาจอธปิ ไตยแกอ่ งคก์ รทอ้ งถนิ่ แตป่ ระการใด การปกครองแบบรฐั เดย่ี วอาจมกี ารกระจาย อำ� นาจใหแ้ กอ่ งคก์ รทอ้ งถน่ิ ได้ แตอ่ ยา่ งไรกด็ กี ารกระจายอำ� นาจนนั้ กจ็ ะมขี องเขตทไี่ มไ่ ดใ้ หอ้ ำ� นาจมาก จนองค์กรท้องถ่ินสามารถปกครองตนเองได้อย่างสมบูรณ์ เพราะอ�ำนาจท้องถิ่นเป็นอ�ำนาจที่มาจาก อ�ำนาจส่วนกลาง โดยมีอ�ำนาจส่วนกลางคอยคุมดูแลอ�ำนาจท้องถ่ินอีกทีหนึ่ง และพลเมืองภายในรัฐ ตอ้ งอยูภ่ ายใต้รฐั ธรรมนูญและกฎหมายเดยี วกนั ๒. รัฐรวม (Composite state) รปู แบบของรฐั รวมจะมกี ารแบง่ อำ� นาจอธปิ ไตยของรฐั บาลออกเปน็ สองระดบั อนั เปน็ ลกั ษณะ ของรัฐบาลซ้อน (Dual government) น่ันคือรัฐบาลกลาง (Central government) รัฐบาลท้องถ่ิน (Local government) โดยการแบ่งอ�ำนาจจะเป็นไปในลักษณะเป็นอิสระต่อกรเพ่ือลดการก้าวก่าย อ�ำนาจการบริหาร หากเป็นกิจการที่เก่ียวข้องกับความม่ันคงและผลประโยชน์โดยรวมของรัฐก็เป็น อำ� นาจของรฐั บาลกลางในการบรหิ าร แตห่ ากเปน็ กจิ การทเ่ี กย่ี วเนอ่ื งทอ้ งถน่ิ กใ็ หอ้ ยใู่ นขอบเขตอำ� นาจ ของรฐั บาลทอ้ งถนิ่ รปู แบบของรฐั รวมสามารถแบง่ ออกไดต้ ามลกั ษณะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรฐั ตา่ ง ๆ คอื ๒.๑ สมาพนั ธรฐั (Confederation) เปน็ การรวมกนั ของรฐั ตง้ั แตส่ องรฐั ขนึ้ ไปเพอ่ื วตั ถปุ ระสงค์ และผลประโยชน์ร่วมกันบางประการ ในลักษณะสมาคมแห่งรัฐท่ียึดถือหลักความเสมอภาคแห่งรัฐท่ี เขา้ รว่ มสมาพนั ธ์ โดยทร่ี ฐั ตา่ ง ๆ ทเ่ี ขา้ รว่ มยงั คงมฐี านะเปน็ รฐั อยา่ งแทจ้ รงิ ตามกฎหมายระหวา่ งประเทศ แต่สมาพันธรัฐมิได้มีฐานะเป็นรัฐแต่ประการใด ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาในสมัยเริ่มแรกก็ยังเป็น อาณานคิ มของประเทศอังกฤษ (ค.ศ. ๑๗๘๑ – ๑๗๘๙) ได้มกี ารรวมกันของ ๑๓ รัฐเป็นสมาพันธรัฐ อเมรกิ าเหนือ ในนาม Articles of Confederation เพอื่ แยกตนเป็นเอกราชจากอังกฤษ มี Congress เปน็ องค์กรทถี่ ืออำ� นาจสมาพันธรฐั ตามมตเิ สยี งข้างมากของสมาชกิ แต่เมื่อได้รับเอกราชแลว้ กลุ่มของ

98 รฐั ศาสตร์เบ้ืองตน้ รัฐท่ีรวมเป็นสมาพันธ์ได้รวมตัวกันอย่างถาวรเป็นสหพันธรัฐในปัจจุบัน ตัวอย่างของประเทศท่ีเป็น สมาพนั ธรฐั ไดแ้ ก่ สมาพนั ธรฐั สวสิ เซอรแ์ ลน (ค.ศ.๑๘๑๕–๑๘๔๘) และสมาพนั ธรฐั เยอรมนั (ค.ศ. ๑๘๑๕- ๑๘๖๖) อย่างไรกต็ าม สมาพันธรัฐต่าง ๆ ทก่ี ลา่ วมาล้วนแต่ไดเ้ ปลีย่ นแปลงเปน็ สหพนั ธรฐั แล้วทั้งสิน้ ๒.๒ สหพันธรฐั (Federation) เป็นการรวมตวั กันของรัฐตง้ั แต่สองรัฐขน้ึ ไปเปน็ การถาดเพือ่ จัดต้ังรัฐบาลกลาง จากการมารวมกันในรูปแบบที่ถาวรและมีการจัดตั้งรัฐบาลกลางท�ำให้สหพันธรัฐมี ฐานเปน็ รฐั ตามกฎหมายระหวา่ งประเทศ สว่ นรฐั ทมี่ ารว่ มกนั เปน็ สหพนั ธรฐั ไมไ่ ดใ้ นฐานะรฐั แตป่ ระการใด รฐั ธรรมนญู ของสหพนั ธรฐั จะกำ� หนดหนา้ ทห่ี ลกั ทสี่ ำ� คญั ใหเ้ ปน็ อำ� นาจหนา้ ทข่ี องรฐั บาลกลาง และยอม ให้รัฐบาลท้องถ่ินหรือรัฐบาลมลรัฐสามารถตรากฎหมายเพ่ือบังคับเฉพาะในเขตท้องถิ่นของตน ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญของรัฐบาลท้องถ่ินนั้น แต่อย่างไรก็ตาม การก�ำหนดหรือตรากฎหมาย ของรฐั บาลทอ้ งถน่ิ กจ็ ะตอ้ งอยใู่ นกรอบทไ่ี มข่ ดั ตอ่ ขอ้ บญั ญตั ใิ นรฐั ธรรมนญู ของรฐั บาลกลาง การปกครอง ของสหพันธรัฐจึงมีลักษณะเป็นรัฐบาลซ้อน (Dual government) ข้อแตกต่างระหว่างสหพันธรัฐกับ รัฐเดี่ยวท่ีมีการกระจายอ�ำนาจก็คือความเป็นอิสระในการปกครองตนเองของรัฐสมาชิกในสหพันธรัฐ จะมมี ากกว่าองคก์ รส่วนท้องถ่ินของรฐั เด่ยี ว และการปกครองของสหพนั ธรัฐจะถืออำ� นาจหลักของรฐั ว่ามาจากรัฐสมาชกิ และรฐั บาลกลางมอี �ำนาจท่ีเกิดจากการก�ำหนดให้ของรัฐสมาชิก สว่ นรัฐเดย่ี วการ ถืออ�ำนาจปกครองจะยึดอ�ำนาจของรัฐบาลเป็นหลัก ส่วนอ�ำนาจของท้องถ่ินเป็นอ�ำนาจที่เกิดจาก กำ� หนดใหข้ องอ�ำนาจรัฐบาลกลาง ตวั อยา่ งของสหพันธรัฐก็คอื สหรฐั อเมรกิ าในปจั จุบนั กำ� เนิดจากววิ ฒั นาการของสังคมมนุษย์ ธรรมชาตกิ ารอยรู่ ว่ มกนั ของมนษุ ยต์ ง้ั แตส่ มยั โบราณ ทย่ี งั เรร่ อ่ น ลา่ สตั วเ์ ปน็ อาหาร จะอยรู่ วม กันเป็นกลุ่ม เป็นหมู่ เป็นหมวด ยอมรับบุคคลท่ีมีความกล้าหาญแข็งแรงเป็นผู้น�ำ ยอมรับและเชื่อฟัง ในกฎระเบียบที่ผู้น�ำก�ำหนด เมื่อใดท่ีผู้น�ำอ่อนแอ จะถูกแย่งชิงความเป็นผู้น�ำ จากผู้ท่ีเข้มแข็งกว่า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้น�ำ จะแสดงความย่ิงใหญ่เก่งกล้าโดยพยายามรวบรวมผู้คนและขยายอาณาเขต ดินแดนออกไปเร่ือย ๆ แม้จะได้มาจากการแย่งชิงต่อสู้กับกลุ่มอ่ืนก็ตาม เมื่อได้สถานท่ีเหมาะสมก็จะ ตั้งหลักแหล่งและท�ำการเกษตรกรรมเลี้ยงสัตว์แทนการเร่ร่อน ล่าสัตว์อย่างในสมัยก่อน เกิดการ เปล่ียนแปลงโดยมีการถือกรรมสิทธิ์ท่ีดินและทรัพย์สินต่าง ๆ มีการครอบครองอาณาเขตท่ีอยู่อาศัย เพอ่ื ใชใ้ นการเพาะปลูก เลย้ี งสตั ว์ มกี ารต้ังกฎเกณฑใ์ ชย้ ดึ ถือเพ่อื ความสงบสุขในการอยรู่ ว่ มกนั มีการ ติดต่อค้าขายแลกเปล่ียนสิ่งของสินค้ากัน อันเป็นเคร่ืองช้ีให้เห็นถึงวิวัฒนาการ และการพัฒนาสังคม ความเปน็ อยขู่ องมนษุ ย์ เรมิ่ มกี ารจดั ตงั้ องคก์ รทำ� หนา้ ทดี่ แู ลรกั ษากลมุ่ ชนใหอ้ ยกู่ นั อยา่ งสงบสขุ เหลา่ น้ี จงึ กล่าวได้ว่าการวิวฒั นาการของสงั คมก่อให้เกดิ “รัฐ” ข้นึ และวิวัฒนาการของรฐั กแ็ ตกตา่ งกันตาม ภมู ภิ าคของโลก ซงึ่ ไมจ่ ำ� เปน็ จะตอ้ งเปน็ เวลาเดยี วกนั หรอื เหมอื นกนั ดงั นน้ั หากจะศกึ ษาการววิ ฒั นาการ และรูปการปกครองของรัฐ ซึ่งเช่ือว่าก่อนท่ีองค์กรทางการเมืองจะเป็นรูปรัฐชาติ (Nation State) ในปัจจบุ นั น้ันไดผ้ ่านการววิ ัฒนาการมาเป็นขนั้ ๆ โดยลำ� ดบั ดงั น้ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook