Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Mbu005-หนังสือรัฐศาสตร์เบื้องต้น

Mbu005-หนังสือรัฐศาสตร์เบื้องต้น

Description: Mbu005-หนังสือรัฐศาสตร์เบื้องต้น

Search

Read the Text Version

การปกครองระบอบประชาธิปไตย (Democracy) 199 ๓. เสรีภาพในการสมาคมหรือรวมกลุ่ม บุคคลย่อมมีเสรีในการที่จะรวมกลุ่มกัน ซึ่งอาจจัด ตั้งในรูปสมาคมเพ่ือวัตถุประสงค์ใดท่ีไม่ขัดต่อกฎหมายก็ได้ อย่างไรก็ตามกลุ่มหรือสมาคมท่ีจัดตั้งข้ึน นั้นต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งกฎหมาย และไม่เป็นอันตรายหรืออุปสรรคต่อผลประโยชน์ของสังคม โดยสว่ นรวม นอกจากนป้ี ระชาชนตอ้ งมเี สรภี าพทจ่ี ะรวมกลมุ่ กนั เพอื่ เรยี กรอ้ งใหร้ ฐั บาลดำ� เนนิ การเรอื่ ง ใดเรอื่ งหนง่ึ ไดต้ ราบเทา่ ทกี่ ารกระทำ� นน้ั เปน็ ไปอยา่ งสนั ตแิ ละไมเ่ กนิ เลยขอบเขตแหง่ กฎหมาย เสรภี าพ ของประชาชนทจี่ ะชมุ นมุ กนั โดยสงบและปราศจากอาวธุ จะตอ้ งไดร้ บั การรบั รองและถอื กนั วา่ เปน็ สทิ ธิ พน้ื ฐานในระบอบประชาธปิ ไตยควบคกู่ นั ไปกบั เสรภี าพในการพดู การพมิ พ์ และการโฆษณาแสดงความ คิดเหน็ ๔. สทิ ธใิ นทรพั ยส์ นิ บคุ คลทกุ คนมสี ทิ ธทิ จี่ ะมที รพั ยส์ มบตั เิ ปน็ ของตนเอง รฐั จะตอ้ งทำ� หนา้ ที่ ป้องกนั ภยั อันตรายอันจะเกิดต่อทรัพย์สนิ ของประชาชนภายในรฐั ด้วย ๕. สิทธิท่ีจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย หากบุคคลใดตกเป็นผู้ต้องหาไม่ว่าจะเป็นคดี แพง่ หรอื อาญา บคุ คลนน้ั มสี ทิ ธทิ จี่ ะไดร้ บั ทราบขอ้ หาจากเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั รวมตลอดถงึ การไดร้ บั ทราบ สิทธิทีจ่ ะสามารถกระทำ� ได้ เชน่ ขอพบทนายความเพอื่ ขอรบั คำ� ปรกึ ษา หรือผลัดการใหก้ าร ทีส่ �ำคัญ ทส่ี ดุ คอื บคุ คลจะตอ้ งไมถ่ กู ลงโทษถงึ แกช่ วี ติ เสยี อสิ รภาพ หรอื เสยี ทรพั ยส์ นิ โดยปราศจากการพจิ ารณา ตามขบวนการแหง่ กฎหมาย ๖. สิทธิส่วนบุคคล สิทธิมูลฐานที่ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลมีหลายประการ เช่น เสรีภาพใน รา่ งกาย การไปไหนมาไหน การเลอื กประกอบอาชพี ฯ นอกจากน้ี การสมรส การหยา่ รา้ ง ความสมั พนั ธ์ ในครอบครัว เหล่านี้ล้วนเป็นสิทธิส่วนบุคคลทั้งส้ิน บุคคลทุกคนย่อมมีเสรีภาพตราบเท่าที่ไม่ขัดต่อ กฎหมาย อย่างไรก็ตาม ในบางวาระเมื่อเกิดสถานการณฉ์ กุ เฉนิ ท่เี ปน็ ภยั ตอ่ ความสงบและมนั่ คงของรฐั หรอื ยามสงคราม รัฐอาจละเมิดสทิ ธแิ ละเสรภี าพของบคุ คลได้ โดยอาศัยอ�ำนาจตามกฎอัยการศกึ หรือ ประกาศภาวะฉกุ เฉนิ ถอื วา่ การละเมดิ นนั้ กระทำ� ไปโดยความจำ� เปน็ เพอ่ื ผลประโยชนข์ องรฐั หรอื สงั คม โดยส่วนรวม ความเสมอภาค ความเสมอภาคเป็นหลักการที่ส�ำคัญอีกประการหน่ึงของอุดมการณ์ประชาธิปไตย เพราะ ประชาธิปไตยถือว่าคนทุกคนมีความเท่าเทียมกันเป็นส่วนหนึ่งของรัฐเหมือนกัน ความเสมอภาคใน ระบอบประชาธปิ ไตยนอ้ี าจจ�ำแนกออกได้เป็น ๕ ประการ ดว้ ยกันคือ ๑. ความเสมอภาคทางการเมือง ได้แก่การที่บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าร่วมในกิจกรรม การเมืองเท่า ๆ กัน เช่น การออกเสียงเลือกต้ังเม่ืออายุถึงเกณฑ์ เสียงของแต่ละคนนับค่าเท่ากัน

200 รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งต้น ความเสมอภาคทางการเมอื งนร้ี วมถงึ สทิ ธทิ จี่ ะสมคั รเขา้ รบั การเลอื กตง้ั ดว้ ย เมอื่ คณุ วฒุ แิ ละวยั วฒุ คิ รบ ถ้วนตามท่ีก�ำหนดไว้ ๒. ความเสมอภาคตอ่ การปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย ในระบอบประชาธปิ ไตยนนั้ คนทกุ คนตอ้ งได้ รบั การปฏบิ ตั ดิ ว้ ยกฎหมายอยา่ งเสมอภาคกนั หมายความวา่ บคุ คลจะไดร้ บั การคมุ้ ครองจากกฎหมาย โดยเท่าเทยี มกนั เม่อื กระท�ำผดิ จะตอ้ งใชก้ ฎหมายเดียวกัน การลงโทษอยา่ งเดียวกัน และถา้ ไดร้ ับเหตุ อันควรปราณีก็ควรไดร้ ับเชน่ เดียวกัน ๓. ความเสมอภาคในโอกาส สงั คมประชาธปิ ไตยตอ้ งเปน็ สงั คมทเี่ ปดิ โอกาสใหแ้ กค่ นทกุ คนใน สงั คมโดยทดั เทยี มกนั คนทกุ คนตอ้ งไดร้ บั โอกาสทจ่ี ะใชค้ วามสามารถของเขาในการศกึ ษาหรอื ประกอบ ธุรกิจการงาน โอกาสที่จะแสวงหาเพื่อความเจริญก้าวหน้าของการด�ำรงชีพหรือการเล่ือนสถานะทาง เศรษฐกจิ และสงั คมของเขาเอง ๔. ความเสมอภาคทางเศรษฐกจิ ความเสมอภาคทางเศรษฐกจิ นนั้ ไมไ่ ดห้ มายถงึ การทที่ กุ คน จะต้องมีรายได้เทา่ เทียมกัน เพราะเปน็ เร่อื งทเ่ี กิดหรอื ทำ� ได้ยาก แตอ่ าจหมายถึงสภาพความใกล้เคยี ง กนั ในฐานะทางเศรษฐกจิ มกี ารกระจายรายได้ (Income Distribution) ทเี่ ปน็ ธรรมมใิ หช้ อ่ งวา่ งระหวา่ ง ชนช้ันมากนกั เพราะถา้ อ�ำนาจของเศรษฐกิจตกอยใู่ นกลุ่มคนส่วนน้อยแล้ว ย่อมสง่ ผลให้คนกลุ่มน้ันมี โอกาสทจี่ ะมอี ำ� นาจทางการเมอื งสงู กวา่ คนอน่ื และอาจทำ� ใหม้ กี ารใชอ้ ำ� นาจเพอื่ ประโยชนข์ องคนสว่ น น้อยแทนที่จะเน้นผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ตามระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ในสังคม ประชาธปิ ไตยแตล่ ะบคุ คลควรจะมคี วามมนั่ คงทางเศรษฐกจิ (Economic Security) พอสมควร เพราะ ถ้าปราศจากความมั่นคงทางเศรษฐกิจคือมีรายได้เพียงพอในการด�ำรงชีพแล้ว เป็นการยากที่ระบบ ประชาธปิ ไตยจะดำ� เนนิ ไปในลกั ษณะประชาธปิ ไตย เนอ่ื งจากคนในสงั คมตอ้ งกงั วลในเรอ่ื งหาเลยี้ งปาก เลี้ยงท้องไม่มีเวลาหรือโอกาสท่ีจะสนใจความเป็นไปของบ้านเมือง เป็นเหตุให้การใช้วิจารณญาณ ทางการเมืองขาดคุณภาพ ๕. ความเสมอภาคทางสงั คม คนทกุ คนจะตอ้ งไดร้ บั การเคารพวา่ ความเปน็ คนนนั้ เปน็ ศกั ดศิ์ รี เท่าเทียมกัน หมายถึงว่าจะต้องไม่มีอุปสรรคจอมปลอมเป็นเครื่องกีดขวางการคบหาสมาคมระหว่าง คนรวยกบั คนจนหรือคนตา่ งอาชีพกนั กล่าวอีกนัยหนง่ึ คอื ไมค่ วรให้ความความแตกต่างทางเศรษฐกิจ และสังคมมาเป็นเครื่องก�ำหนดให้บุคคลหนึ่งเหนือกว่าอีกบุคคลหน่ึง ควรคิดว่าคนทุกคนเท่าเทียมกัน ในฐานะของความเปน็ มนษุ ย์เหมือนกัน อดุ มการณป์ ระชาธปิ ไตยทเี่ ชดิ ชเู รอ่ื งความเสมอภาคและสทิ ธเิ สรภี าพนเี่ อง ทท่ี ำ� ใหม้ กี ารเรยี ก ร้องหรือต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยท่ีแท้จริง ในสังคมบางสังคมที่หลายคนเห็นว่าเป็น ประชาธปิ ไตยแลว้ ผู้ที่เรยี กรอ้ งนนั้ เหน็ วา่ ในสภาพความเปน็ จริงคนทกุ คนยังไม่เสมอภาคกัน และเม่ือ

การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย (Democracy) 201 ไม่เสมอภาคกันอย่างแท้จริงแล้วสิทธิเสรีภาพของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากันไปด้วยในประเทศที่ยอมรับ กนั วา่ เปน็ ประชาธปิ ไตยแลว้ เชน่ สหรฐั อเมรกิ าหรอื องั กฤษ ในประเทศนนั้ ๆ กย็ งั มขี บวนการเคลอื่ นไหว เพื่อประชาธิปไตยโดยให้เหตุผลว่า ความเสมอภาคและเสรีภาพนั้นมีอยู่เฉพาะทางด้านการเมือง แต่ทางด้านสังคมและเศรษฐกิจยังไม่มีความเสมอภาคและสิทธิเสรีภาพก็ไม่เท่ากัน ดังนั้น โอกาสของ ผู้ท่ียากจนและการศึกษาต่�ำที่จะแข่งขันทางการเมืองกับนายทุนหรือเศรษฐี ซ่ึงเป็นคนกลุ่มน้อยอย่าง ยตุ ธิ รรมยอ่ มเปน็ ไปไมไ่ ด้ ทำ� ใหอ้ ำ� นาจทางการเมอื งผกู ขาดอยใู่ นกลมุ่ คนมงั่ มกี ารศกึ ษาสงู เทา่ นน้ั ทำ� ให้ ประโยชนต์ กอยกู่ บั คนกลมุ่ นอ้ ย ดว้ ยเหตนุ จี้ งึ มกี ารเรยี กรอ้ งกนั มากวา่ “ถา้ ประเทศใดตอ้ งการจะทำ� ให้ ประชาธิปไตยมีความหมายและเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ ตามอุดมการณ์ประชาธิปไตยท่ีแท้จริง แล้ว ก็จะตอ้ งเน้นเรื่องความเสมอภาคทางดา้ นสงั คมและเศรษฐกิจดว้ ย” รัฐบาลประชาธปิ ไตย๑๑๓ รฐั บาลรปู นถี้ อื วา่ อำ� นาจสงู สดุ เปน็ ของปวงชน จงึ เปดิ โอกาสใหป้ วงชนทกุ คนมสี ทิ ธเิ ขา้ รว่ มใน การปกครองของรัฐ เพราะยึดม่ันในหลักเสรีภาพของเอกชน และต่อต้านความเช่ือถือว่าชนช้ันใดช้ัน หนงึ่ จะตอ้ งมอี ภสิ ทิ ธใิ นทางการเมอื ง รฐั บาลรปู นเ้ี ชอ่ื วา่ ปวงชนมคี วามสามารถในการปกครองตนเอง การท่ีบุคคลใดหรือองค์การใดจะได้อ�ำนาจสิทธิและหน้าท่ี หรือสูญเสียสิ่งเหล่าน้ันไปย่อมเป็นไปตาม กฎหมาย ไมใ่ ชต่ ามคำ� สั่งหรอื ความต้องการของบุคคลใด ๆ ทัง้ สน้ิ แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่ารัฐบาลประชาธิปไตยจะถือว่าปวงชนทุกคนเป็นเจ้าของอ�ำนาจอธิปไตย แต่ในการใช้อ�ำนาจอธิปไตยย่อมจะต้องมีข้อจ�ำกัดอยู่บ้างเสมอ เช่น เก่ียวกับอายุ สภาพจิตใจ ความเฉลียวฉลาด และในอดตี บางรัฐยงั มกี ารจำ� กัดเพศไว้ด้วย แต่บดั นไี้ ม่มีแลว้ ข้อดขี องรัฐบาลประชาธปิ ไตย รัฐบาลนี้ให้ความส�ำเร็จประสิทธิภาพและความเชื่อม่ันแก่ปวงชน เป็นรัฐบาลรูปเดียวท่ีท�ำให้ ผูป้ กครองรับผดิ ชอบต่อปวงชน ซึ่งทำ� ใหผ้ ู้ปกครองต้องดำ� เนินนโยบายใหเ้ ปน็ ผลดตี ่อปวงชน ไม่ใช่เพื่อ สว่ นตวั และเนอ่ื งจากผเู้ ขา้ รว่ มรฐั บาลไดร้ บั เลอื กตง้ั จากประชาชน ยอ่ มนบั ไดว้ า่ เปน็ ผมู้ คี วามสามารถดี ย่ิงกว่าน้ันสิทธิและผลประโยชน์ของทุกคนจะได้รับประกันเป็นอย่างดีโดยกฎหมาย เพราะผู้ออก กฎหมายและผ้รู กั ษากฎหมายตอ้ งรับผดิ ชอบตอ่ ปวงชน รัฐบาลรปู นี้มีรากฐานอยู่บนสทิ ธิเสรีภาพและ ความเสมอภาค จึงเป็นธรรมดาอยู่เองทร่ี ัฐบาลรูปนีต้ ้องสง่ เสรมิ ความยุติธรรม เพราะรัฐมีขน้ึ เพ่ือรับใช้ เอกชน ไมใ่ ชเ่ อกชนมีชวี ติ อยู่เพอ่ื รัฐ รัฐบาลรปู นี้จะใหห้ ลักประกันแก่สทิ ธเิ สรีภาพของเอกชนไดด้ ที ่ีสดุ เพราะเปน็ รฐั บาลโดยกฎหมาย ไม่ใช่รัฐบาลโดยบคุ คล (Government of Law not of Man) อย่างไรก็ดี การท่ีประชาธิปไตยจะส�ำเร็จหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับเง่ือนไขบางประการ เช่น ความเฉลยี วฉลาดของปวงชน ความมน่ั ใจในความเปน็ ไปของการปกครอง และความรจู้ กั รบั ผดิ ชอบใน ฐานะที่เป็นเจ้าของอ�ำนาจอธิปไตย นอกจากน้ีปวงชนจะต้องยอมรับหลักการท่ีว่าฝ่ายข้างมากเป็น ๑๑๓ ประสาร ทองภกั ดี, พ.ท., เรื่องเดิม, หน้าท่ี ๑๐๑-๑๐๓.

202 รัฐศาสตร์เบ้อื งต้น ผู้ชนะ แต่ในขณะเดียวกันสิทธิและผลประโยชน์ของฝ่ายข้างน้อยก็จะต้องได้รับความเคารพจากฝ่าย ข้างมาก (Majority Rule Minority Right) อปุ สรรคของประชาธปิ ไตยทีส่ ำ� คัญทสี่ ุดกค็ อื ความโง่เขลา (Ignorance) ความเฉยเมยไมส่ นใจในการปกครอง หรอื ไมส่ นใจการเมอื ง (Political Apathy) ของปวง ชน ในรัฐบาลประชาธิปไตยจึงเน้นความส�ำคัญของการศึกษาอบรมทางการเมือง และส่งเสริมให้ ประชาชนสนใจต่อการปกครอง การน�ำประชาธิปไตยไปใช้ในประเทศที่ประชาชนด้อยการศึกษาขาด ความสามารถทจ่ี ะรบั ผดิ ชอบทางการเมอื งไดน้ น้ั ยอ่ มจะประสพความลม้ เหลวมากกวา่ ความสำ� เรจ็ เปน็ แน่นอน ขอ้ เสยี ของรฐั บาลประชาธิปไตย ฝา่ ยทไี่ มเ่ หน็ ดว้ ย มคี วามเชอ่ื วา่ รฐั บาลรปู นเ้ี สยี่ งอนั ตรายเปน็ อยา่ งมาก และเหน็ วา่ เปน็ รฐั บาล ทส่ี ง่ เสริมนักการเมืองที่ดแี ต่พูด หรอื เปดิ โอกาสให้ผมู้ ีอ�ำนาจอทิ ธพิ ล หรือฝูงชนบา้ เลอื ด (Mob rule) เข้าปกครองประเทศ พวกน้ีคัดค้านการเลือกต้ังว่า ไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตยุติธรรม แต่เป็นไปตามการ โฆษณาชวนเชื่อของพรรคการเมือง และในบางรัฐยังมีการให้สินบนอีกด้วย พวกน้ีช้ีให้เห็นว่าเม่ือคน ไมม่ คี วามสามารถเฉลยี วฉลาดเทา่ เทยี มกนั แลว้ จะใหค้ นในรฐั ออกเสยี งอยา่ งเฉลยี วฉลาดเทา่ เทยี มกนั ไมไ่ ด้ นอกจากนยี้ งั มผี วู้ จิ ารณร์ ฐั บาลประชาธปิ ไตยวา่ เปน็ รฐั บาลทไี่ มใ่ ชห้ ลกั ประกนั แกส่ ทิ ธเิ สรภี าพ แก่ปวงชน เพราะฝ่ายข้างมากย่อมมีอ�ำนาจในการปกครองอยู่มาก บางครั้งฝ่ายข้างมากควบคุมการ ออกความคดิ เหน็ และเสรภี าพในการประชมุ และมกั จะเปน็ รฐั บาลโดยพรรคการเมอื งทมี่ งุ่ หวงั กมุ อำ� นาจ ให้นานท่สี ุด ไมใ่ ชร่ ัฐบาลโดยผ้แู ทนท่ีปวงชนเลือกตามท่เี ข้าใจกันในหลักการประชาธปิ ไตย นอกจากนี้ยังมีผู้วิจารณ์ว่า รัฐบาลรูปนี้มีความส้ินเปลืองมาก เพราะการเลือกต้ังบุคคลเข้า ประจ�ำต�ำแหน่งต่าง ๆ น้ัน ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายเกินความจ�ำเป็น กล่าวคือผู้สมัครรับเลือกต้ัง ก็ต้องจ่ายเงินในการหาเสียงเลือกต้ัง พรรคการเมืองก็ต้องจ่ายเงินสนับสนุนการหาเสียงของลูกพรรค และรัฐบาลเองก็ต้องใช้จา่ ยในการด�ำเนนิ การเลอื กต้ังเป็นจ�ำนวนมาก กรณีเช่นน้ี จงึ ทำ� ให้การเลอื กตัง้ กลายเปน็ เคร่อื งมือของผู้มง่ั คั่งและมอี ทิ ธพิ ล แทนท่ีจะเปน็ เคร่อื งมอื ของประชาชน ในการเลือกผู้แทน ให้ได้คนดี ข้อวิจารณ์ท่ีน่าสนใจก็คือ รัฐบาลรูปน้ีมีการฉ้อราษฎร์บังหลวง (Corruption) มากกว่าท่ี ปรากฏในรัฐบาลรูปกษัตริย์และอภิชนาธปิ ไตย สรุป ประชาธิปไตยอาจใช้ในความหมายเชิงปรัชญา อุดมการณ์ แนวทฤษฎีทางการเมือง วิถีชีวิต หรอื รปู แบบการปกครองทปี่ ระชาชนเปน็ เจา้ ของอำ� นาจอธปิ ไตย ประชาชนเปน็ เจา้ ของรฐั บาล รฐั บาล บรหิ ารประเทศใหป้ ระชาชน เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ขุ แกป่ ระชาชนผเู้ ปน็ เจา้ ของประเทศ อยา่ งไรกต็ าม ประเทศท่ีปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย ก็เรียกระบบการปกครองของตนว่าเป็นประชาธิปไตย

การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย (Democracy) 203 แมป้ ระเทศทปี่ กครองแบบเผดจ็ การกเ็ รยี กตวั เองวา่ เปน็ ประชาธปิ ไตย เชน่ ฮติ เลอร์ เรยี กระบบเผดจ็ การ นาซีว่า “ประชาธิปไตยท่ีแท้จริง” มุสโสลินีเรียกระบบฟาสซิสต์ว่า “ประชาธิปไตยแบบอ�ำนาจนิยม” เลนนิ เรยี กระบอบการปกครองแบบคอมมวิ นสิ ตว์ า่ “ประชาธปิ ไตยของชนชนั้ กรรมาชพี ” เรยี กประเทศ ท่ีปกครองด้วยระบบเสรีประชาธิปไตยว่า ประชาธิปไตย ”แบบนายทุน” หรือ “แบบกุฎุมพี”” หรอื ประชาธปิ ไตย “แบบตำ่� ทราม” ประเทศคอมมวิ นสิ ตท์ งั้ ในเอเชยี และยโุ รปเรยี กระบอบการปกครอง ประเทศตนวา่ “มหาประชาธปิ ไตย” หรือ “ประชาธิปไตยของปวงชน” ประชาธปิ ไตยของแตล่ ะฝา่ ย ดังกล่าวมานี้หมายถึงจุดมุ่งหมายที่เป็นอุดมการณ์อันเป็นผลลัพธ์ข้ันสุดท้ายของการปกครองที่มี สมั ฤทธผิ ลทำ� ใหป้ ระชาชนเปน็ เจา้ ของอำ� นาจอธปิ ไตยโดยแทจ้ รงิ สว่ นรปู แบบการปกครองนนั้ เปน็ เพยี ง วิธีการปฏิบัติท่ีต้ังอยู่บนพ้ืนฐานทางปรัชญา อุดมการณ์ แนวคิดทฤษฎีทางการเมืองที่แตกต่างกัน แต่เท่าท่ีปรากฏในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าประเทศที่ปกครองโดยระบบเสรีประชาธิปไตยมักจะท�ำให้ ประชาชนเป็นเจ้าของอ�ำนาจอธิปไตย มีสิทธิ เสรีภาพ ภราดรภาพ และความม่ังค่ังทางเศรษฐกิจช้า แต่ระบบเผด็จการทั้งเผด็จการอ�ำนาจนิยมและเผด็จการเบ็ดเสร็จนิยม ผู้บริหารเป็นผู้มีอ�ำนาจและใช้ อ�ำนาจอธิปไตยโดยไม่มีขอบเขตจ�ำกัด มีสิทธิ เสรีภาพ ตลอดจนความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเหนือกว่า ประชาชนผู้ถูกปกครอง ท�ำให้ประชาชนเท่าเทียมกันโดยปราศจากสิทธิ เสรีภาพใด ๆ เหมือน ๆ กัน และมีฐานะยากจนเสมอภาคกนั รฐั บาลในรปู แบบประชาธปิ ไตย ถอื วา่ อำ� นาจอธปิ ไตยเปน็ ของปวงชน เปดิ โอกาสใหป้ ระชาชน มสี ทิ ธใิ นการปกครองประเทศ โดยอาศยั หลกั การเสยี งขา้ งมากเปน็ ฝา่ ยจดั ตงั้ รฐั บาล ซง่ึ รฐั บาลดงั กลา่ ว ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน มีพ้ืนฐานในการบริหารประเทศ โดยให้สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค แกป่ ระชาชนโดยยดึ หลกั กฎหมาย ไมใ่ ชย่ ดึ หลกั ตวั บคุ คล แตก่ ารปกครองรปู แบบดงั กลา่ วยอ่ มลม้ เหลว หากเสยี งขา้ งมากมาจากประชาชนทไี่ มม่ คี วามพรอ้ มทางดา้ นการศกึ ษา การเมอื ง เศรษฐกจิ และความ รบั ผดิ ชอบในฐานะเปน็ เจา้ ของอำ� นาจอธปิ ไตย และผนู้ ำ� ขาดคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมทางการเมอื ง และ ไมย่ ดึ หลกั การแหง่ ผลประโยชนข์ องประชาชนและประเทศชาติ รฐั บาลเสยี งขา้ งมากทมี่ พี นื้ ฐานดงั กลา่ วน้ี จะกลายเปน็ เผดจ็ การเสยี งขา้ งมาก ซง่ึ ไมเ่ ป็นผลดีตามจดุ ม่งุ หมายของประชาธปิ ไตย อนั ทจี่ รงิ หลกั การเสยี งขา้ งมากในการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย เปน็ หลกั พน้ื ฐานอยา่ ง หนงึ่ เทา่ นนั้ ไมอ่ าจตดั สนิ วา่ เปน็ การปกครองแบบประชาธปิ ไตย การปกครองแบบประชาธปิ ไตยทแี่ ท้ จรงิ จะต้องประกอบดว้ ยหลกั การอื่น ๆ อกี เชน่ ประชาชนต้องได้รับสิทธเิ สรีภาพและความเสมอภาค ทางการเมอื ง มสี ทิ ธริ บั รขู้ า่ วสาร ตลอดจนสามารถตรวจสอบ ควบคมุ การบรหิ ารงานของรฐั บาลไดด้ ว้ ย จึงเปน็ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย



บทที่ ๘ การปกครองระบอบเผดจ็ การ (Dictatorship) บทน�ำ รัฐบาลที่ท�ำหน้าที่ในการปกครองหรือการบริหารนั้นแม้จะมีหลายรูปแบบ แต่เมื่อ รวมลงแลว้ กม็ เี พยี งสองรปู แบบคอื การปกครองแบบประชาธปิ ไตย และเผดจ็ การ รฐั บาลประชาธปิ ไตย เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหาร และถือว่าอ�ำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน มกี ารใช้อ�ำนาจอธปิ ไตย ในลกั ษณะการถ่วงดลุ แห่งอ�ำนาจ หรือการคานอำ� นาจซ่งึ กนั และกนั เปน็ การ ยับย้ังอ�ำนาจของรัฐบาล ไม่ให้เหลิงอ�ำนาจหรือใช้อ�ำนาจเกินขอบเขต ส่วนรัฐบาลเผด็จการไม่เปิด โอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง อ�ำนาจสูงสุดในการปกครองอยู่ที่คนเพียงคนเดียวหรือ กลุ่มเดียว การใช้อ�ำนาจไม่มีขอบเขตจ�ำกัด ประชาชนต้องปฏิบัติตามค�ำสั่งของรัฐบาลเท่าน้ัน และรฐั บาลไมต่ อ้ งรบั ผดิ ชอบใด ๆ ตอ่ ประชาชน แมก้ ารบรหิ ารนน้ั จะลว่ งละเมดิ สทิ ธเิ สรภี าพสว่ นบคุ คล ของประชาชนกต็ าม ความหมายการปกครองแบบเผดจ็ การ การปกครองแบบเผด็จการมีความหมายหลายนัย นักวิชาการทางรัฐศาสตร์ได้ให้ความ หมายไวต้ ่างกันดงั น้ี ประสาร ทองภักดี ได้ให้ความหมายไว้ว่า๑๑๔ “รัฐบาลเผด็จการน้ีไม่เช่ือถือในวิถีการของ ประชาธิปไตย คือไม่เชื่อในความเสมอภาคในการเลือกต้ัง ไม่เชื่อในเรื่องหลักประกันสิทธิเสรีภาพของ ปวงชน ไมเ่ ชอ่ื ในเรอื่ งมพี รรคการเมอื งหลายพรรคแขง่ ขนั กนั จดั ตง้ั รฐั บาลวา่ จะไดผ้ ลดี รฐั บาลเผดจ็ การ เชื่อว่า การปกครองท่ีจะให้ได้ผลดีนั้น รัฐจะต้องถูกปกครองโดยพรรคการเมืองเดียว ซ่ึงมีสมาชิกเป็น จำ� นวนนอ้ ยแตม่ รี ะเบยี บวนิ ยั ดี เคารพนบั ถอื หวั หนา้ พรรคอยา่ งถวายหวั และหวั หนา้ พรรคนถ้ี อื เปน็ คน ส�ำคัญท่ีสุด เป็นผู้มีอ�ำนาจตัดสินนโยบายของพรรคอย่างเด็ดขาด นโยบายของเขาก็คือนโยบาย ของรัฐ และจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ จะมีการควบคุมความคิด (Thought Control) อย่างเข้มงวด โดยจะใช้วิธีฝึกอบรมล้างสมองให้เช่ือในลัทธิน้ี (Indoctrination) และการใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อ และการใชต้ �ำรวจลับซึง่ บางทีเรยี กว่าต�ำรวจควบคุมความคดิ เหน็ (Thought Police) ๑๑๔ ประสาร ทองภักด,ี พ.ท., เร่ืองเดิม, หน้าท่ี ๑๐๔

206 รัฐศาสตร์เบ้อื งตน้ รัฐบาลรูปแบบนี้รัฐอยู่เหนือเอกชน เอกชนมีชีวิตอยู่เพ่ือรัฐ การเคารพเช่ือฟังค�ำสั่งค�ำบังคับ บัญชาซ่ึงผ่านมาทางหัวหน้าพรรคเพียงคนเดียวน้ัน เป็นระเบียบวินัยท่ีผู้ใดจะละเมิดมิได้ ย่ิงกว่าน้ัน รัฐบาลรูปนี้เอกชนจะต้องเสียสละเพื่อความรุ่งโรจน์ของรัฐ ดังนั้น เพ่ือให้เป็นไปตามความมุ่งหมาย ดังกล่าว รัฐบาลเผด็จการจึงใช้วิธีการรุนแรงและทารุณโหดร้ายในการปราบปรามฝ่ายตรงกันข้าม เพอื่ ควบคมุ คนในรฐั ใหอ้ ยใู่ ตบ้ งั คบั บญั ชา เหมอื นฝงู แกะทต่ี อ้ งเดนิ ไปในทางทผ่ี เู้ ลย้ี งแกะตอ้ นใหเ้ ดนิ ไป” จรญู สภุ าพ ไดใ้ ห้ความหมายของเผดจ็ การในลกั ษณะของการเปรียบเทียบกบั ประชาธปิ ไตย เพอื่ ใหเ้ หน็ ความแตกตา่ งชดั เจนขนึ้ ดงั น๑ี้ ๑๕ “ระบอบเผดจ็ การ มลี กั ษณะแตกตา่ งจากประชาธปิ ไตยอยู่ มาก เพราะประชาธิปไตยมุ่งสนับสนุนให้ราษฎรได้มีโอกาส มีส่วนในการวางนโยบาย และก�ำหนด นโยบายของชาติ หรืออีกนัยหน่ึง ประชาธิปไตยต้องการให้ประชาชนมีส่วนในการปกครองตนเอง แต่ระบอบเผด็จการมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนมีส่วน “น้อย” ที่สุด หรือ “ไม่มี” เลย นอกจากน้ัน ระบอบเผด็จการยังมีลักษณะอีกหลายประการ เช่น ไม่ต้องการให้มีฝ่ายค้าน ต้องการให้มีการปฏิบัติ ตามอย่างเต็มท่ี ถือว่าฝ่ายค้านเป็นศัตรู หรือเป็นอุปสรรคของชาติ ส่วนระบอบประชาธิปไตยถือว่า ฝา่ ยคา้ นชว่ ยสนบั สนนุ ประชาธปิ ไตยใหไ้ ดผ้ ลสมบรู ณ์ เปน็ เครอื่ งยบั ยงั้ อำ� นาจของรฐั บาลไมใ่ หใ้ ชอ้ ำ� นาจ เกนิ ขอบเขต ระบอบเผดจ็ การเนน้ หลกั ประสทิ ธภิ าพ จงึ ตอ้ งมกี องกำ� ลงั เพอ่ื บงั คบั ใหป้ ระชาชนไดป้ ฏบิ ตั ิ ตามคำ� สัง่ อยา่ งเต็มท่ี ถอื ว่าการปกครองโดยประชาชนจำ� นวนมาก เป็นการปกครองทอี่ ่อนแอ แต่การ ปกครองโดยคนจ�ำนวนน้อย หรือย่ิงน้อยท่ีสุดก็ย่ิงมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น ประชาชนเกิดมา เพื่อรัฐ ไม่ใช่รัฐเกิดมาเพื่อประชาชน ประชาชนเป็นเครื่องมือของรัฐ ประชาชนจะต้องด�ำเนินการ ทกุ อยา่ งตามค�ำส่ังของรัฐ” วรรณา เจยี มศรพี งษ์ ไดใ้ หค้ วามหมายวา่ ๑๑๖ “ลทั ธเิ ผดจ็ การ หมายถึงลัทธิที่ยกย่องให้ความ ส�ำคัญกับอ�ำนาจรัฐและผู้ปกครองเหนือกว่าเสรีภาพของบุคคล ถือประโยชน์ของรัฐมากกว่าเสรีภาพ ของบุคคล ถือวา่ เกียรตภิ มู ขิ องประเทศและอำ� นาจของชาติ เหนอื สทิ ธเิ สรภี าพของประชาชน” ทินพันธ์ นาคะตะ ไดใ้ ห้ความหมายไว้วา่ ๑๑๗ “ระบอบการเมืองแบบเผด็จการ นับเป็นรูปแบบ ของการปกครองอยา่ งหนง่ึ ทผี่ นู้ ำ� มอี ำ� นาจสงู สดุ ในการปกครองมอี ำ� นาจโดยไมจ่ ำ� กดั และไมต่ อ้ งมคี วาม รับผิดชอบตามกฎหมายใดๆ ต่อประชาชน เป็นการปกครองท่ีมีลักษณะตรงกันข้ามกับระบอบ ประชาธิปไตย และเน้นในเร่ืองการเคารพเชื่อฟังผู้น�ำ มากกว่าการยึดมั่นในสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล การเปลี่ยนรัฐบาลจะกระท�ำได้โดยการปฏิวัติรัฐประหาร การท�ำสงคราม การยินยอมมอบอ�ำนาจให้ หรอื โดยการตายของผูน้ �ำเทา่ นั้น” ๑๑๕ จรูญ สุภาพ, ศ, เร่ืองเดมิ , หน้า ๓๙๘ ๑๑๖ พลศักดิ์ จริ ไกรศิร,ิ รศ, ดร, และวรรณา เจียมศรพี งษ,์ ผศ, เรอ่ื งเดมิ , หน้า ๒๒๗ ๑๑๗ ทนิ พนั ธ์ นาคะตะ ดร., เร่ืองเดมิ หน้า ๑๙๘

การปกครองระบอบเผดจ็ การ (Dictatorship) 207 จากความหมายดงั กลา่ วขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ การปกครองแบบเผดจ็ การกค็ อื เปน็ การปกครอง ที่มีศูนย์รวมอ�ำนาจอยู่ที่คนเพียงคนเดียว หรือกลุ่มเดียว เป็นการใช้อ�ำนาจที่เด็ดขาดและรุนแรงโดย พละการ ปราศจากการควบคุมหรือเหนี่ยวรั้งจากอ�ำนาจอื่นใด สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ถูกจ�ำกัด และควบคุมโดยผู้น�ำที่มีอ�ำนาจสูงสุด ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งปวงอยู่ภายใต้การ ควบคมุ ของรฐั บาล ประเภทของเผดจ็ การ โดยหลกั การทั่วไปแล้ว เผดจ็ การแบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภท คอื ๑. เผด็จการอำ� นาจนยิ ม (Authoritarianism) ๒. เผดจ็ การเบ็ดเสร็จนิยม (Totalitarianism) ๑. เผด็จการอำ� นาจนยิ ม (Authoritarianism)๑๑๘ เป็นการปกครองที่ผปู้ กครองมคี วามมุ่ง หมายท่ีจะเข้าควบคุมกิจกรรมทางการเมือง แต่ยังยินยอมให้ประชาชนมีเสรีภาพทางสังคมและทาง เศรษฐกิจได้ จึงสามารถด�ำเนินชีวิตส่วนตัวได้โดยอิสระ ประเทศท่ีใช้ระบบเผด็จการอ�ำนาจนิยมไม่ ปรารถนาทีจ่ ะเขา้ ควบคมุ ครอบครวั ศาสนา การศึกษา ชมรมหรอื สมาคมตา่ ง ๆ ทมี่ ีลกั ษณะทางสงั คม โดยเฉพาะ แตต่ ้องไมด่ �ำเนนิ การใด ๆ ท่ีเป็นการขดั แยง้ นโยบายทางการเมืองของรฐั ลกั ษณะเผดจ็ การอำ� นาจนยิ ม ยดึ หลกั สำ� คญั คอื อำ� นาจทง้ั หลายทง้ั ปวงในรฐั จะตอ้ งรวมอยใู่ น มือของคนกลุ่มนอ้ ย หรือคนกลุ่มเดยี ว เผด็จการนยิ มจงึ มลี กั ษณะดงั ตอ่ ไปน๑้ี ๑๙ ๑. มกี ารรวมอ�ำนาจ ๒. อ�ำนาจรวมอย่ใู นมอื ของคนกลุ่มเดยี ว ซึง่ เป็นชนกล่มุ นอ้ ย ๓. กลมุ่ ท่ีมอี ำ� นาจจะเป็นรัฐบาล ๔. รฐั บาลไมต่ อ้ งรบั ผดิ ชอบต่อผูใ้ ด โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ไม่ต้องรบั ผิดชอบตอ่ ประชาชน ๒. เผดจ็ การเบ็ดเสร็จนยิ ม (Totalitarianism)๑๒๐ เปน็ การปกครองทผี่ ปู้ กครองมีความมุ่ง หมายท่ีจะเขา้ ควบคมุ ทั้งทางดา้ นการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ประชาชนมีฐานะเปน็ เพียงเคร่อื งมือ ๑๑๘ วรรณา เจียมศรีพงษ,์ ผศ, “การเมืองเบื้องตน้ ” (กรงุ เทพฯ มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ : ๒๕๓๑) หนา้ ๒๑๑ ๑๑๙ จรูญ สภุ าพ, ศ., เรื่องเดมิ , หน้า ๓๙๘. ๑๒๐ วรรณา เจยี มศรีพงษ์, ผศ., เร่ืองเดมิ , หน้า ๒๒๗ – ๒๒๙.

208 รัฐศาสตร์เบอื้ งตน้ ของรัฐ เน้นความส�ำคัญของรัฐหรือพรรคอยู่เหนือประชาชนโดยมีอ�ำนาจและสิทธิเด็ดขาด ประชาชน มหี นา้ ทใี่ หค้ วามรว่ มมอื ตอ่ รฐั เชอ่ื ฟงั รฐั เทา่ นน้ั เผดจ็ การอำ� นาจนยิ มเบด็ เสรจ็ เนน้ ความสำ� คญั ของผนู้ ำ� วา่ เปน็ ผมู้ คี วามสามารถ มสี ตปิ ญั ญายอดเยย่ี มซง่ึ ประชาชนตอ้ งใหค้ วามศรทั ธา เคารพเชอื่ ฟงั และกระทำ� ตามทผ่ี นู้ ำ� ปรารถนา แมก้ ารใชอ้ ำ� นาจนนั้ จะใชว้ ธิ กี ารรนุ แรง ประชาชนกต็ อ้ งยอมรบั วา่ เปน็ ความถกู ตอ้ ง ท้ังนี้เพื่อเสถียรภาพและความม่ันคงของรัฐ ระบอบการเมืองน้ีมีหัวใจส�ำคัญอยู่ท่ีการควบคุมการ กระจายข้อมลู ขา่ วสารสู่สาธารณสุขโดยรัฐบาล เผดจ็ การเบด็ เสร็จนยิ มแบ่งออกไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท คอื ๑. เผดจ็ การเบด็ เสรจ็ นิยมแบบคอมมวิ นสิ ต์ (Totalitarian Communism) เผดจ็ การแบบ น้ีเกิดในคริสตศตวรรษที่ ๑๙ ผู้ก่อต้ังเผด็จการเบ็ดเสร็จแบบคอมมิวนิสต์คนแรก คือคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซง่ึ เปน็ ชาวเยอรมนั บางทจี งึ มผี เู้ รยี กลทั ธนิ ว้ี า่ มารก์ ซสิ ม์ (Marxism) เผดจ็ การคอมมวิ นสิ ต์ เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขความบกพร่องของระบบทุนนิยมในยุโรประยะน้ัน ซึ่งมีผลให้สภาพชีวิตกรรมกร เลวร้ายมาก โดยถูกนายทุนเอารัดเอาเปรียบทุกวิถีทางและไม่เหลียวแลด้านสวัสดิการ เผด็จการ คอมมิวนิสต์เชื่อว่าถ้ายกเลิกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ชนช้ันฐานะทางสังคม และสถาบันเก่าแก่ในสังคม ตลอดจนความเชื่อทางศาสนาได้ส�ำเร็จ สังคมจะเข้าสู่ยุคสังคมนิยมมาร์กซิสม์ ซ่ึงมาร์กซ์ถือว่าเป็น คอมมวิ นสิ ตร์ ะดบั ตำ่� แตย่ คุ สงั คมนยิ มมารก์ ซสิ มก์ เ็ ปน็ ยคุ ทเี่ ปน็ พนื้ ฐานเพอ่ื เตรยี มเขา้ สยู่ คุ คอมมวิ นสิ ต์ สมบูรณ์แบบ ซึ่งถือว่าเป็นคอมมิวนิสต์ระดับสูง น่ันคือเป็นสภาวะท่ีสมบูรณ์แบบ บุคคลจะมีเสรีภาพ เตม็ ที่ ปราศจากอ�ำนาจบังคับตา่ ง ๆ จากรฐั ปราศจากกฎเกณฑข์ อ้ บังคับใด ๆ ยคุ น้ถี อื ว่าเปน็ ยุคท่ีไมม่ ี ชนชัน้ ในสังคม และไม่มรี ฐั ซ่ึงเป็นสญั ลกั ษณข์ องการบังคับกดข่ีอกี ต่อไป ในปัจจุบันถือว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จนิยมฝ่ายซ้ายจัด โดยมีพรรค คอมมวิ นสิ ตซ์ งึ่ ถอื วา่ เปน็ ตวั แทนชนชน้ั กรรมาชพี เปน็ ผผู้ กู ขาดอำ� นาจทางการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม รัฐในอุดมคติของลัทธินี้คือรัฐในยุคคอมมิวนิสต์ ซ่ึงเป็นรัฐที่ปราศจากกฎหมายและกฎเกณฑ์ทั้งหลาย และรัฐจะไม่มีความจ�ำเป็นอีกต่อไป แต่สภาพสังคมคอมมิวนิสต์ท่ัวประเทศดังกล่าวยังไม่มีในประเทศ ใด ๆ มีแต่สภาพสังคมที่เรียกได้ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ในระดับย่อยคือยังไม่ถึงระดับประเทศได้แก่ คอมมนู (Commune) เช่นท่ีมีอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจนี และคิบบทู ซ์ (Kibbutz) ในอิสราเอล ๒. เผดจ็ การเบ็ดเสรจ็ นยิ มแบบฟาสซิสม์ (Totalitarian Fascism) เผด็จการเบ็ดเสรจ็ นิยม ฟาสซิสม์เป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จนิยมฝ่ายขวาจัด เกิดในประเทศอิตาลีเป็นประเทศแรกใน ค.ศ.๑๙๒๒ โดย เบนิโต มุสโสลินี ใช้เป็นช่ือขบวนการของเขาและการเป็นชื่อพรรคการเมืองที่ตั้งเพ่ือต่อต้านลัทธิ คอมมวิ นิสต์ และสามารถยดึ อ�ำนาจการปกครองประเทศอิตาลีไดใ้ นท่สี ดุ ตอ่ มาประเทศเยอรมนั ไดน้ ำ� ลทั ธนิ ไี้ ปใชใ้ นปี ค.ศ.๑๙๓๓ แตเ่ รยี กวา่ ลทั ธนิ าซี และในชว่ งนนั้ พรรคคอมมวิ นสิ ตใ์ นเยอรมนี มอี ทิ ธพิ ล ทางการเมอื ง อดอลฟ์ ฮติ เลอร์ จงึ ไดใ้ ชแ้ นวความคดิ นยิ มฟาสซสิ มอ์ ยา่ งรนุ แรง ซง่ึ เปน็ ลกั ษณะของลทั ธิ

การปกครองระบอบเผดจ็ การ (Dictatorship) 209 คอมมวิ นสิ ต์ มาผสมกบั ความรูส้ กึ ชาตินยิ มซึง่ เป็นธาตแุ ท้ของลัทธนิ าซี ดังนัน้ บางทีจงึ เรยี กลทั ธินาซวี า่ สังคมชาตินิยม อย่างไรก็ตามท้ังเผด็จการฟาสซิสม์และเผด็จการนาซี ก็มีแนวความคิดและหลักการ ปฏิบัติคล้ายคลึงกันมาก จึงควรพิจารณาว่าเป็นเผด็จการประเภทเดียวกันมากกว่าจะแยกออกไปเป็น อีกลทั ธหิ นึ่งต่างหาก สว่ นใหญแ่ นวความคดิ ของฟาสซสิ มเ์ ป็นผลงานของมุสโสลนิ ี ซ่งึ ได้วางหลกั การส�ำคัญ ๆ ไวใ้ น หนังสือ “หลักการแห่งฟาสซิสม์” (The Doctrine of Fascism) และฮิตเลอร์ซึ่งหลักการส่วนใหญ่ ปรากฏในหนังสือ “ประวัตกิ ารต่อสู้ของขา้ พเจา้ ” (Main Kempt) ลัทธิฟาสซิสม์เป็นสิทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จนิยมฝ่ายขวาจัด ให้ความส�ำคัญกับรัฐและส่งเสริม ความรกั ชาตอิ ยา่ งสงู สดุ จนเปน็ ความหลงใหลและบชู าชาตจิ นเกนิ ขอบเขต เชอื่ ถอื รปู การปกครองโดย ชนชน้ั ผนู้ ำ� ทมี่ กี ารใชอ้ ำ� นาจควบคมุ ถว้ นทวั่ ทงั้ หมด ประเทศทน่ี ยิ มลทั ธฟิ าสซสิ ม์ คอื อติ าลี (ค.ศ. ๑๙๒๒) เยอรมนี ( ค.ศ. ๑๙๓๓) และญปี่ นุ่ (ค.ศ. ๑๙๓๐) จนกระท่งั ส้นิ สดุ สงครามโลกคร้งั ที่ ๒ ลทั ธิฟาสซสิ ม์ ได้เผยแพรเ่ ข้าไปในอเมรกิ าใต้ และมีอทิ ธิพลในประเทศอารเ์ จนตนิ า ในปี ค.ศ. ๑๙๔๓ เป็นระยะเวลา ถงึ ๑๐ ปี ในปจั จบุ นั ไมม่ ปี ระเทศใดทแ่ี สดงโดยเปดิ เผยวา่ รบั เอาลทั ธฟิ าสซสิ มเ์ ปน็ อดุ มการณป์ ระจำ� ชาติ เลย แต่กม็ ักประณามประเทศท่ีมีรัฐบาลทหารปกครองวา่ เป็นการปกครองแบบเผดจ็ การฟาสซิสม์ ลกั ษณะบางประการของลัทธิเผดจ็ การเบด็ เสร็จนยิ ม๑๒๑ ลักษณะบางประการของลทั ธิเผดจ็ การเบด็ เสรจ็ นิยม อาจจะแยกแยะได้ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. เป็นการผูกขาดอ�ำนาจทางการเมือง โดยคนกลุ่มเดียว หรอื คนกลุ่มน้อย ๒. จะมผี นู้ ำ� ซงึ่ เปน็ ผมู้ อี ำ� นาจท่สี ดุ ในคนกลุ่มนั้น ๓. ผู้น�ำมกั จะมคี วามคดิ เห็นเปน็ ของตนเอง โดยไม่ตอ้ งฟงั ประชาชนทัง้ สิ้น ๔. ผนู้ �ำไมไ่ ด้มาจากประชาชน แตต่ ง้ั ตนเองขน้ึ มาทำ� การปกครองชาตดิ ว้ ยกำ� ลงั ๕. ผู้น�ำแต่ละคนมีความนิยมไม่เหมือนกัน เช่น ฮิตเลอร์นิยมนักอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพื่อเป็น พลงั ในการผลติ นายพลเปรองแหง่ อารเ์ จนตนิ า นยิ มกรรมกร เพราะชว่ ยใหต้ นเองสามารถมอี ทิ ธพิ ลใน วงการเมอื ง ๖. ผู้น�ำแต่ละคนมักจะมีความต้องการ ท่ีขัดต่อความต้องการของปวงชน คือผู้น�ำต้องการ อำ� นาจ (A dictator needs power) แต่ประชาชนต้องการเสรีภาพ (But people need freedom) ๑๒๑ จรญู สุภาพ, ศ., เรอื่ งเดมิ , หน้า ๔๐๒.

210 รฐั ศาสตร์เบอื้ งตน้ ๗. ผู้น�ำจะวางแผนเกี่ยวกับวิถีชีวิตของประชาชนทั้งปวง โดยไม่ให้ประชาชนมีเสรีภาพ กำ� หนดการด�ำรงชวี ิตได้เอง ๘. ระบบเผดจ็ การ เช่ือว่าฐานะของรัฐอยเู่ หนือชีวิตของปวงชน หลกั การของระบบการเมอื งการปกครองแบบเผดจ็ การ๑๒๒ หลกั การท่วั ไปของระบบการเมอื งการปกครองแบบเผดจ็ การทส่ี �ำคญั มดี งั นี้ - ไม่ตอ้ งการใหป้ ระชาชนมสี ่วนร่วมในการเมอื งการปกครองของประเทศ - จำ� กดั สทิ ธเิ สรภี าพตา่ งๆ ของประชาชน เชน่ การจำ� กดั เสรภี าพทางการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม - ไม่ยอมรับความเสมอภาคของประชาชน ดังนั้น ในประเทศเผด็จการจะมีชนช้ันปกครอง และชนชนั้ ทอ่ี ยู่ใตอ้ ำ� นาจปกครอง ซึง่ ไดแ้ กป่ ระชาชนทั่วไป - ถอื เอาเจตนารมณข์ องผปู้ กครองประเทศเปน็ หลกั ประชาชนจงึ ตอ้ งเชอื่ ตามปฏบิ ตั ติ ามผนู้ ำ� ผปู้ กครองอย่างเคร่งครัด - ถอื เอาความต้องการของผปู้ กครองประเทศเป็นส�ำคัญ ดังนนั้ จงึ ไม่ถอื วา่ เจตนารมณแ์ ละ ความต้องการของประชาชนมีความสำ� คญั แต่อยา่ งใด - ยอมรับการนำ� และการปกครองโดยผู้นำ� ผ้ปู กครอง เชือ่ วา่ ผ้นู �ำผ้ปู กครองเป็นผลู้ ว่ งรู้ความ ตอ้ งการและผลประโยชนข์ องชาติ เปน็ ผมู้ คี ณุ สมบตั พิ เิ ศษเหนอื ประชาชนทว่ั ไป ผนู้ ำ� ผปู้ กครองอาจจะ เป็นบุคคลเดียว กลุ่มเดียว หรือพรรคเดียวก็ได้ ผู้น�ำผู้ปกครองผูกขาดอ�ำนาจตลอดไป จนกว่าจะถูก เปลยี่ นแปลงโดยการยึดอำ� นาจจากกลมุ่ หรอื ส้นิ ชวี ติ ไปตามอายุขัยของตน - ถอื วา่ หลกั การ นโยบาย และเหตผุ ลทก่ี ำ� หนดโดยผนู้ ำ� ผปู้ กครองเปน็ สงิ่ ทถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสม ทีส่ ุด ไม่มเี หตผุ ลอ่ืนที่จะมาโต้แย้งหรอื คดั คา้ นได้ - ยึดหลกั การใช้กำ� ลงั การบงั คบั และความรุนแรง ทงั้ น้เี พ่อื รักษาอำ� นาจของผู้นำ� ผู้ปกครอง หรือชนช้ันน�ำไว้ ในขณะเดียวกันก็เพ่ือท�ำลายฝ่ายตรงข้ามและควบคุมประชาชนให้อยู่ภายใต้อ�ำนาจ ปกครอง ๑๒๒ จรูญ สุภาพ, ศ., “พัฒนาการเมืองการปกครอง” (เอกสารทางวิชาการประกอบค�ำบรรยายโครงการพัฒนาการเมือง การปกครอง, ภาควิชาการปกครอง, คณะรัฐศาสตร,์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย: ๒๕๒๕) หนา้ ๑๑ – ๑๒

การปกครองระบอบเผดจ็ การ (Dictatorship) 211 - ยดึ หลักความม่ันคง ความเข้มแขง็ และความปลอดภัยของชาติ เป็นจุดหมายปลายทางที่ สำ� คญั ดงั นน้ั จงึ อาจจะมกี ารระดมและบงั คบั ประชาชนใหป้ ฏบิ ตั กิ ารตา่ งๆ เพอ่ื รกั ษาความมน่ั คงของชาติ - ยกย่องอ�ำนาจและความส�ำคัญของรัฐเหนือเสรีภาพของประชาชน ดังนั้นการกระท�ำใดๆ ท่ีแม้จะท�ำให้ประชาชนเส่ือมเสียเสรีภาพ แต่ถ้าเป็นไปเพ่ือรักษาความมั่นคงหรือสร้างความเจริญของ ประเทศกถ็ ือว่าเป็นสิ่งทีถ่ กู ตอ้ ง - ใชห้ ลกั การรวมอำ� นาจ คอื มกี ารรวมอำ� นาจไวใ้ นสว่ นกลางของประเทศ คอื ใหอ้ ำ� นาจอยใู่ น มอื ของผูน้ �ำหรอื ในกลุ่มของผ้นู �ำอยา่ งเต็มที่ แนวคดิ แบบการด�ำเนินชีวิต รูปแบบการปกครองระบอบเผดจ็ การ๑๒๓ แนวคิดของเผด็จการมีรากฐานมาจากทฤษฎีพลก�ำลัง น่ันคือการแสวงหาอ�ำนาจถือว่าการมี อำ� นาจเปน็ สง่ิ ทช่ี อบและถกู ตอ้ ง หรอื ถอื วา่ อำ� นาจคอื ธรรม สนบั สนนุ ในอำ� นาจของรฐั และเชอื่ วา่ มนษุ ย์ ในสังคมขาดความส�ำนึกทางการเมือง ไม่เข้าใจถึงผลประโยชน์ของตัวเองและสังคมว่าเป็นอย่างไร จำ� ตอ้ งปลอ่ ยใหเ้ ปน็ หนา้ ทขี่ องรฐั ดงั นนั้ รฐั จงึ ไมป่ ลอ่ ยใหอ้ ำ� นาจไปตกอยใู่ นมอื ของประชาชน รฐั จะดแู ล และปกปอ้ งคมุ้ ครองผลประโยชนข์ องประชาชนโดยผา่ นชนชนั้ ผนู้ ำ� ซงึ่ เชอ่ื วา่ มคี วามสามารถเหนอื บคุ คล ธรรมดาทั้งด้านความรู้สติปัญญา ฉะน้ันผู้ปกครองหรือผู้น�ำจึงมีสิทธิพิเศษมากกว่าประชาชนธรรมดา เป็นการแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความไม่เสมอภาคของบคุ คล แบบการด�ำเนินชีวิตของผู้ท่ีอยู่ในระบอบเผด็จการนอกจากบรรดาผู้น�ำหรือกลุ่มผู้น�ำซ่ึงมี อ�ำนาจมากตามท่ีกล่าวแล้ว อีกด้านหน่ึงที่ต้องพิจารณาก็คือ บุคลิกภาพหรือการด�ำเนินชีวิตของคนท่ี อยใู่ นระบอบนม้ี กั จะเปน็ บคุ คลทมี่ ลี กั ษณะยอมรบั อะไรงา่ ยๆ ไมม่ คี วามคดิ โตแ้ ยง้ เพราะตอ้ งการความ มัน่ คงกลวั การเปล่ยี นแปลงท่จี ะเกิดขึ้น ซึ่งสามารถสรุปเป็นวฒั นธรรมหรือแบบวถิ ีการดำ� เนนิ ชวี ิตของ บุคคลทอี่ ยใู่ นสังคมการเมอื งแบบเผด็จการได้คือ ๑. นยิ มยดึ ถอื ตวั บคุ คลมากกวา่ หลักการและเหตผุ ลและชอบในระบบอาวโุ ส ๒. จะมอบความรบั ผดิ ชอบไวท้ ผี่ นู้ ำ� ในขณะทผี่ นู้ ำ� กไ็ มจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ ประชาชนเมอื่ เกิดปญั หาหรอื ความเดือดรอ้ นตอ่ ส่วนรวม ๑๒๓ ทองทิพ วิริยะพันธ์, ชินเลขา กว้างสุขสถิตย์, และพัชรินทร์ แข็งแรง, “หลักรัฐศาสตร์” (กรุงเทพฯ, มิตรนราการพิมพ์ : ๒๕๓๑) หน้า ๑๙๔ – ๑๙๕.

212 รัฐศาสตรเ์ บอื้ งต้น ๓. นิยมในอ�ำนาจเดด็ ขาด ๔. ไม่ยอมรับความเสมอภาคตามกฎหมาย ๕. ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เพราะกลัวผลของการเปล่ียนแปลงจะท�ำให้เกิดความยุ่ง ยากและไมม่ น่ั คง ๖. ถอื วา่ กจิ กรรมของบา้ นเมืองเปน็ เรือ่ งของรฐั บาล ประชาชนธรรมดาไม่ควรเกยี่ วข้อง รูปแบบการปกครองแบบเผด็จการ มีลักษณะพิเศษคือการควบคุมอ�ำนาจจะต้องอยู่ท่ีผู้ ปกครองหรือผเู้ ผดจ็ การเทา่ นน้ั นอกจากนยี้ ังเปน็ ผ้ตู ดั สินในปัญหาสำ� คัญ ๆ และจะไมย่ ินยอมให้มกี าร เลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตย อาจมีการใช้ก�ำลังเพื่อประสิทธิภาพในการปกครอง มีการจัดสาย บังคับบัญชาแบบลดหลั่นกันลงไปจากบนสู่ล่าง โดยศูนย์อ�ำนาจสูงสุดมีแห่งเดียวก็คือผู้เผด็จการและ จะครอบงำ� แผ่อทิ ธพิ ลไปยงั หน่วยปกครองตา่ ง ๆ รวมทง้ั หนว่ ยเศรษฐกจิ ด้วย บางครงั้ มีการกำ� จัดศตั รู ทางการเมืองด้วย ความแตกต่างระหวา่ งเผด็จการ ๒ แบบ : เผด็จการอ�ำนาจนิยมกับเผดจ็ การเบด็ เสร็จ๑๒๔ เผดจ็ การสองแบบนีม้ คี วามแตกต่างกันบางประการ กล่าวคือ ๑. ในแงจ่ ดุ หมายปลายทาง รฐั บาลแบบเผดจ็ การอำ� นาจนยิ มมคี วามมงุ่ หมายทจ่ี ะเขา้ ควบคมุ กิจกรรมทางการเมืองของบุคคลเท่านั้น ส่วนรัฐบาลแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จมีความมุ่งหมายเป็นพิเศษ น่ันคือ ต้องการควบคุมกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หรืออีกนัยหน่ึงก็คือ ปรารถนาท่ีจะ ควบคมุ กิจกรรมของบุคคลทั้งสว่ นที่เปน็ การเมอื งและสว่ นทไ่ี มใ่ ช่การเมอื ง ในทางปฏิบัติ ประเทศในระบบเผด็จการอ�ำนาจนิยมน้ัน บุคคลแต่ละคนคงมีเสรีภาพในทาง ศาสนา ครอบครัว ธรุ กิจ สามารถดำ� เนินชวี ติ ส่วนตัวไดโ้ ดยอิสระ และยังคงมีศกั ด์ิศรไี ดต้ ามควร เพยี ง แต่ไม่มีบทบาททางการเมืองเท่าน้ัน ตัวอย่างของประเทศเหล่านี้ ได้แก่ ประเทศสเปน สมัยจอมพล ฟรังโก ประเทศโปรตุเกสหรือหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้และเอเชีย ๒. ในแง่สถาบันและองค์การทางสังคม ประเทศท่ีใช้ระบบเผด็จการแบบอ�ำนาจนิยมไม่มี ความปรารถนาท่จี ะเขา้ ควบคุมครอบครวั ศาสนา การศกึ ษา ชมรมหรือสมาคมต่าง ๆ ที่มีลกั ษณะทาง สังคมโดยเฉพาะ แต่ประเทศท่เี ปน็ เผดจ็ การเบด็ เสร็จถอื ว่าองคก์ ารและสถาบันต่าง ๆ ในสังคมจะต้อง อยู่ภายใตก้ ารควบคมุ ของรฐั โดยสน้ิ เชงิ และต้องปฏิบตั ติ ามอดุ มการณท์ ่รี ฐั ไดก้ �ำหนดข้นึ ๑๒๔ จรูญ สุภาพ, ศ., เรือ่ งเดมิ , (ลทั ธิการเมอื งและเศรษฐกิจเปรียบเทยี บ) หนา้ ๑๙.

การปกครองระบอบเผด็จการ (Dictatorship) 213 ๓. ในแง่วิธีการ ระบบเผด็จการอ�ำนาจนิยมอาจจะใช้วิธีการลงโทษท่ีรุนแรง แต่ก็ยังใช้ กระบวนการแหง่ กฎหมายหรอื กระบวนการยตุ ธิ รรมอยบู่ า้ ง เชน่ มเี จา้ หนา้ ทท่ี ร่ี กั ษากฎหมายเพอื่ ใหไ้ ด้ ความยุติธรรมแก่ประชาชน ตามนโยบายท่ีได้ก�ำหนดขึ้นเท่าที่รัฐจะพึงให้ได้ ในระบบนี้อาจจะเป็นไป ไดว้ ่า บุคคลรฐู้ านะตนเองว่าถา้ พยายามจะดำ� เนินการในลักษณะท่ีเปน็ การเสีย่ งกอ็ าจจะมีโทษ บคุ คล รู้ขอบเขตว่าตนสามารถจะกระท�ำได้แคไ่ หน เพียงไร ส่วนในระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จนั้น รัฐมีอ�ำนาจที่จะใช้วิธีการต่าง ๆ บังคับประชาชนโดยไม่ จำ� กดั โดยทร่ี ฐั อา้ งวา่ กระทำ� ไปเพอื่ รกั ษาความเจรญิ หรอื ความมน่ั คงภายในชาติ กระบวน การยตุ ธิ รรม หรอื การรกั ษาความยตุ ธิ รรมนนั้ มไิ ดถ้ อื วา่ เปน็ เรอ่ื งสำ� คญั แตม่ กั จะถอื ผลประโยชนข์ องชาตทิ ผ่ี ปู้ กครอง กำ� หนดขนึ้ หรอื รกั ษาความมน่ั คงและอดุ มการณเ์ ปน็ หลกั การละเมดิ เสรภี าพของบคุ คลยอ่ มจะกระทำ� ได้เสมอโดยไม่มีข้อจ�ำกัดใด ๆ มักจะมีวิธีการลงโทษที่รุนแรง หรือมีระบบที่ก่อให้เกิดความประหวั่น พรั่นพรึงอยา่ งยงิ่ ๔. ในแง่การปฏิบัติตน ในระบบเผด็จการแบบอ�ำนาจนิยมน้ัน ประชาชนมีหน้าท่ีที่จะต้อง เคารพเชื่อฟังค�ำสั่งของรัฐหรือผู้ปกครองประเทศโดยเคร่งครัด มีหน้าที่และความรับผิดชอบท่ีส�ำคัญ คอื จะต้องไม่ด�ำเนินการใด ๆ ท่เี ปน็ การขดั ขวางนโยบายทางการเมืองของรฐั ส่วนในระบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ หน้าที่ของประชาชนหมายถึงการปฏิบัติตนเป็นพิเศษ นน่ั คอื นอกจากจะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามคำ� สงั่ ของรฐั แลว้ ประชาชนทกุ คนจะตอ้ งแสดงความจงรกั ภกั ดที ง้ั ใน ด้านการกระท�ำและจิตใจ หรืออีกนัยหน่ึง จะต้องมีความส�ำนึก ความรู้สึก ความผูกพัน หรือจะต้อง พิสูจนด์ ว้ ยการแสดงวา่ มี “จติ ใจ” (spirit) ทีจ่ ะสนับสนนุ ระบบการเมืองที่มอี ยูโ่ ดยดษุ ฎภี าพ การปกครองแบบเผดจ็ การกับระบบเศรษฐกจิ ๑๒๕ ระบบทนุ นิยมเผด็จการหรือเผดจ็ การทุนนิยม เป็นการผสมผสานระหวา่ งการเมืองการปกครองท่เี ป็นแบบเผดจ็ การเข้ากับระบบทนุ นิยม ในทางการเมือง ใช้หลักการของระบบการปกครองแบบเผด็จการ กล่าวคืออ�ำนาจการ ปกครองมีการผูกขาดอ�ำนาจอยู่ในด้านบุคคลคนเดียว หรือกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เข้าควบคุมกิจกรรม ทางการเมือง บางประเทศก็ใช้วิธีการเผด็จการค่อนข้างมาก ประชาชนต้องเคารพเชื่อฟังผู้ปกครอง แตบ่ างประเทศกผ็ อ่ นคลายลงบา้ ง ดงั นน้ั จงึ ปลอ่ ยใหป้ ระชาชนมเี สรภี าพอยใู่ นขอบเขตระดบั หนงึ่ เชน่ มีสภานติ ิบญั ญัตทิ ่ีบางสว่ นอาจไดร้ บั เลอื กตัง้ มาจากราษฎร ๑๒๕ จรูญ สุภาพ, ศ., เรื่องเดิม (พัฒนาการเมอื งการปกครอง) หน้า ๑๖ – ๑๘

214 รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งต้น ในทางเศรษฐกจิ ใชร้ ะบบทนุ นยิ มคอ่ นขา้ งมาก กลา่ วคอื ปลอ่ ยใหเ้ อกชนมกี รรมสทิ ธใ์ิ นปจั จยั การผลิตและทรัพย์สินค่อนข้างเต็มที่ บุคคลมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพตราบใดท่ีไม่ขัดต่อความ มน่ั คงของรฐั บาลหรอื กลมุ่ ผทู้ ผ่ี กู ขาดอำ� นาจการปกครอง แตเ่ สรภี าพในทางการเมอื ง หรอื การแสดงออก ซ่ึงความคิดเห็นอาจจะถูกจ�ำกัด และไม่เปิดให้มีการต่อสู้กันทางการเมืองอย่างเต็มท่ี บางประเทศไม่ ยอมใหม้ พี รรคการเมอื ง หรอื ใหม้ พี รรคการเมอื งรัฐบาลพรรคเดยี ว สว่ นเสรภี าพอยา่ งอนื่ เชน่ เสรีภาพ ในการนบั ถอื ศาสนา เสรภี าพในการดำ� เนินชวี ติ สว่ นตัว การเดินทาง คงใหม้ ีได้เต็มที่ ใช้กลไกราคาหรือ ระบบตลาดอย่างมาก และเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจส่วนรวมมากว่าการกระจายรายได้ หา้ มการมสี หภาพแรงงาน หรอื ถ้ามกี ไ็ ม่คอ่ ยมปี ระสิทธิภาพเพราะถกู จ�ำกัดบทบาทไวม้ าก ระบบการเมอื งเศรษฐกจิ แบบนนี้ ยิ มใชก้ นั ในบรรดาประเทศกำ� ลงั พฒั นาทงั้ หลาย เชน่ บราซลิ อาร์เจนติน่า ชิลี และประเทศอ่ืน ๆ อีกหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้ ส่วนในทวีปเอเซีย ได้แก่ ฟิลปิ ปนิ ส์ อนิ โดนีเซีย เกาหลใี ต้ ปากสี ถาน อหิ ร่าน ลิเบีย ซาอดุ อิ าระเบยี เปน็ ตน้ ประเทศเหล่าน้บี าง คร้ังก็มีการเปล่ียนเป็นระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยบ้างชั่วคราวแล้วก็กลับไปเป็นระบบ การเมอื งแบบเผด็จการอีก ระบบการเมืองเศรษฐกิจแบบรว่ มมือ (Corporatism) เป็นการผสมผสานระหว่างระบบการเมืองการปกครองแบบเผด็จการ กับระบบเศรษฐกิจ แบบผสม ในทางการเมือง ใช้ระบบเผด็จการ คือ เป็นการปกครองโดยชนชั้นน�ำกลุ่มน้อย โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเปน็ เผดจ็ การโดยคณะทหาร ในทางเศรษฐกจิ ฝา่ ยทหารซง่ึ มอี ำ� นาจปกครองประเทศคอยประสานผลประโยชนใ์ หก้ บั กลมุ่ ผลประโยชนต์ า่ ง ๆ อนั ไดแ้ ก่ นายทนุ ผนู้ ำ� ศาสนา กรรมกร ชาวนา มกี ารจำ� กดั ขอบเขตของฝา่ ยนายทนุ โดยรัฐบาลเข้ามาแทรกแซงในทางเศรษฐกิจ คอยรักษาผลประโยชน์ให้กับฝ่ายกรรมกรและชาวนา ให้สวัสดิการแก่ผู้ท่ียากจน เสรีภาพประการอื่น ๆ รัฐบาลอาจปล่อยให้มีได้ภายในขอบเขต แต่สิทธิ เสรภี าพทางการเมอื งจะถกู จำ� กดั มาก เพราะเปน็ การเมอื งการปกครองแบบเผดจ็ การดงั กลา่ วแลว้ ระบบ น้ใี ช้อยูใ่ นทวีปยโุ รปใตบ้ างประเทศ เชน่ สเปน โปรตเุ กส และกรกี และบางประเทศในทวปี อเมริกาใต้ ความจรงิ แลว้ ระบบทนุ นยิ มเผดจ็ การในประเทศดอ้ ยพฒั นาทง้ั หลายกม็ สี ว่ นทเี่ ขา้ ใกลร้ ะบบน้ี มากขึน้ เร่อื ย ๆ เพยี งแตม่ ากหรอื น้อยเทา่ นน้ั

การปกครองระบอบเผดจ็ การ (Dictatorship) 215 ระบบสงั คมนยิ มคอมมวิ นสิ ต์ หรอื สงั คมนยิ มเผดจ็ การ หรอื เผดจ็ การคอมมิวนสิ ต์ เป็นการผสมผสานระหว่างการปกครองแบบเผด็จการโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งถือว่าเป็น ตัวแทนของชนชน้ั กรรมาชพี ทั้งมวล กับระบบเศรษฐกจิ แบบสังคมนิยมที่เข้มงวด ในทางการเมอื ง พรรคคอมมวิ นสิ ตเ์ ปน็ ผใู้ ชอ้ ำ� นาจในการปกครองประเทศแตเ่ พยี งพรรคเดยี ว ไม่มีพรรคการเมืองอ่ืนท่ีจะมีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ ประชาชนมีเสรีภาพเพียงเท่าที่ไม่ขัดต่อ นโยบายและผลประโยชน์ของสังคมท่ีพรรคคอมมิวนิสต์ก�ำหนดไว้ สนับสนุนให้บุคคลใช้ชีวิตร่วมกัน แทนทจี่ ะใช้ชวี ิตสว่ นในครอบครัว ในทางเศรษฐกิจ รัฐหรือสังคมเข้าถือกรรมสิทธ์ิในปัจจัยการผลิตทุกอย่างยกเว้นแรงงาน เอกชนจะมกี รรมสทิ ธใิ์ นทรพั ยส์ นิ บางอยา่ งทเ่ี ปน็ ทรพั ยส์ นิ สว่ นตวั เชน่ เสอ้ื ผา้ รถจกั รยาน วทิ ยุ เทา่ นนั้ นอกจากนน้ั เปน็ ของสงั คมรว่ มกนั รฐั เขา้ ดำ� เนนิ กจิ การทางเศรษฐกจิ เกอื บทง้ั หมดภายใตแ้ ผนเศรษฐกจิ ท่ีรัฐได้ก�ำหนดไว้อย่างเข้มงวด ไม่ใช้หรือใช้กลไกราคาน้อยมากในการแก้ปัญหาพื้นฐานของระบบ เศรษฐกจิ ถา้ หากการผลติ กบั ความตอ้ งการไมส่ มดลุ กนั กไ็ มป่ ลอ่ ยใหร้ าคาเปลยี่ นแปลง แตใ่ ชว้ ธิ ปี นั สว่ น หรอื เขา้ ชอื่ รอซอ้ื สนิ คา้ ไว้ จงึ เปน็ การบงั คบั ใหอ้ อกไปโดยอตั โนมตั ิ เสรภี าพในการเลอื กประกอบกจิ การ ถูกจ�ำกัด เสรีภาพส่วนตัวบางอย่างถูกจ�ำกัดเพราะอาจจะเป็นผลเสียแก่สังคม สนับสนุนให้เอกชนใช้ ชีวิตร่วมกันในคอมมูนหรือชุมชนเศรษฐกิจท่ีรัฐก�ำหนดไว้ รัฐหรือสังคมจะเป็นผู้ให้ความม่ันคงแก่ชีวิต รายไดแ้ ละสวสั ดกิ ารตามทร่ี ฐั หรอื สงั คมเหน็ สมควร ประชาชนทมี่ คี วามคดิ เหน็ ทรี่ ฐั เหน็ วา่ เปน็ อนั ตราย ตอ่ ระบบการเมอื งการปกครองและระบบเศรษฐกจิ ทรี่ ฐั กำ� หนดขน้ึ ไวน้ นั้ ถอื เปน็ บคุ คลทไี่ มพ่ งึ ปรารถนา อาจถูกขจัดไป หรือถือว่าเป็นผู้ป่วยทางจิตที่ต้องได้รับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลโรคจิต หรือ อาจถกู บงั คบั ใหว้ ิจารณต์ นเอง เพ่อื ให้สังคมชว่ ยแกไ้ ขให้ ผลดผี ลเสียของเผด็จการ๑๒๖ ในการปกครองแบบเผดจ็ การนนั้ ถงึ แมว้ า่ จะมขี อ้ เสยี มากกวา่ ขอ้ ดี แตใ่ นบางครง้ั กไ็ มจ่ ำ� เปน็ วา่ จะตอ้ งสง่ ผลรา้ ยใหแ้ กป่ ระชาชนและสงั คมเสมอไป ทง้ั นขี้ น้ึ อยกู่ บั เงอื่ นไขของแตล่ ะสงั คมทมี่ คี วามแตก ตา่ งกนั ไป นอกจากนน้ั ปจั จยั ทส่ี ำ� คญั อกี อนั กค็ อื บคุ ลกิ ภาพของผนู้ ำ� ของสงั คมนน้ั ๆ วา่ จะมลี กั ษณะเปน็ เผด็จการในระดับใดมีเหตุผลหรือไม่ด้วย ตัวอย่างเช่นถ้าในสังคมใดยังไม่พร้อมท่ีจะปกครองหรือเป็น ประชาธปิ ไตยทแ่ี ทจ้ รงิ ได้ เพราะประชาชนส่วนใหญย่ งั มีการศึกษาไมเ่ พียงพอ และยังไม่มคี วามต่นื ตัว ทางการเมือง ระบบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ก็ยังไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนโดยส่วนใหญ่ใน ๑๒๖ ทองทพิ วริ ิยพันธุ์ ชนิ เลขา กว้างสขุ สถิตย์, และพัชรินทร์ แข็งแรง, เรอ่ื งเดมิ , หนา้ ๑๙๘

216 รัฐศาสตร์เบื้องตน้ สงั คมไดเ้ สมอภาคกนั นน่ั คอื โอกาสในการประกอบอาชพี ดำ� เนนิ ธรุ กจิ ตลอดจนฐานะทางเศรษฐกจิ ของ บคุ คลยงั มคี วามเลอ่ื มลำ�้ กนั มาก นอกจากนร้ี ะบบสงั คมทเี่ ปน็ อยยู่ งั มเี งอื่ นไขหลายอยา่ งทไี่ มเ่ ปดิ โอกาส ใหบ้ คุ คลในสงั คมมสี ทิ ธแิ สวงหาศกั ดศิ์ รแี ละความเปน็ อยทู่ ดี่ ใี นอตั ราทเี่ ทา่ เทยี มกนั ในสภาพของเงอ่ื นไข ต่าง ๆ เหล่าน้ี ถ้าประเทศน้ันมีผู้น�ำท่ีเป็นเผด็จการแต่มีเหตุผล มีก�ำลังและความสามารถพอท่ีจะจัด ระบบให้บุคคลในสังคมได้มีความเสมอภาคกันในทุกด้าน อีกท้ังยังมุ่งพัฒนาความเจริญให้ประเทศ ให้การศึกษาแก่ประชาชนในทางที่ถูกที่ควร ก็อาจเรียกได้ว่าระบบการปกครองที่มีผู้น�ำดังกล่าวน้ันได้ ทำ� ประโยชน์ใหส้ งั คมประเทศชาติ แมว้ ่ากระบวนการตัดสินใจของผู้นำ� ในกิจการทุกเรอ่ื งจะเป็นไปโดย ไมต่ อ้ งรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผอู้ นื่ กต็ าม เผดจ็ การโดยผนู้ ำ� ในกจิ การทกุ เรอ่ื งจะเปน็ ไปโดยไมต่ อ้ งรบั ฟงั ความคิดเห็นของผ้อู น่ื ก็ตาม ดังนน้ั เผด็จการโดยผ้นู �ำทม่ี ีเหตผุ ลจงึ เป็นประโยชนต์ ่อสังคมทยี่ งั ไม่พรอ้ ม ท่ีจะปกครองกันเอง แต่ถ้าไปอยู่ในสังคมที่เจริญมากแล้ว คือมีการพัฒนาทั้งทางด้านการเมือง การปกครอง อตุ สาหกรรม ประชาชนมกี ารศกึ ษาจนสามารถรวมตวั กนั ใชส้ ทิ ธขิ องความเปน็ เจา้ ของใน อ�ำนาจอธิปไตยและช่วยกันสร้างและพัฒนาบ้านเมืองได้เองแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการแบบไหน ระดบั ใด มผี ู้นำ� มีเหตุผลหรือไม่กต็ าม ยอ่ มไม่เป็นท่ตี อ้ งการและยอมรับของสงั คมนนั้ เป็นแน่ ดังน้ัน ถ้าจะสรุปผลดีและผลเสียของเผด็จการอย่างไม่มีเง่ือนไขใด ๆ แล้วก็คงจะสรุปได้ว่า เผด็จการน้ันเป็นประโยชน์หรือเครื่องมือของผู้ปกครองในการบริหารบ้านเมือง ในขณะที่เป็นผลเสีย อยา่ งรา้ ยแรงในดา้ นการจำ� กดั สทิ ธเิ สรภี าพของประชาชน ทำ� ใหป้ ระชาชนไมม่ โี อกาสและความสามารถ ในการทจี่ ะพัฒนาบุคลิกภาพของตน หรือการดำ� เนนิ ชวี ติ ของตนไดด้ ังใจปรารถนา สรุป โดยทวั่ ไปแลว้ การปกครองระบอบเผดจ็ การนน้ั มสี องรปู แบบ คอื รปู แบบเผดจ็ การอำ� นาจนยิ ม (Authoritarianism) และเผดจ็ การเบด็ เสรจ็ นยิ ม (Totalitarianism) ลกั ษณะของเผดจ็ การอำ� นาจนยิ ม คอื มกี ารรวมอำ� นาจ อ�ำนาจอยใู่ นมอื คนกลุ่มเดยี วหรอื คนคนเดยี ว ซง่ึ เป็นคนกลุ่มนอ้ ย กลมุ่ ทมี่ ีอ�ำนาจ จะเป็นรัฐบาลโดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน การปกครองในลักษณะน้ีเป็นการปกครองท่ีผู้ปกครองมุ่งหมายท่ีจะเข้าควบคุมกิจกรรมทางการเมือง แตย่ นิ ยอมใหป้ ระชาชนมเี สรภี าพทางสงั คมและเศรษฐกจิ ได้ เผดจ็ การเบด็ เสรจ็ นยิ ม ผปู้ กครองมงุ่ หมาย ท่ีจะเข้าควบคุมท้ังด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมท้ังหมด ประชาชนเป็นเพียงเคร่ืองมือของรัฐ เพือ่ เสถียรภาพและความมนั่ คงของรฐั เผด็จการดังกล่าวน้แี บง่ เป็น ๒ ประเภทคือ เผดจ็ การเบ็ดเสร็จ นยิ มแบบคอมมวิ นิสต์และเผด็จการเบ็ดเสร็จนยิ มแบบฟาสซสิ ม์ การปกครองแบบเผดจ็ การเปน็ ประโยชนแ์ ละเหมาะสมแกป่ ระเทศทยี่ งั ไมม่ คี วามพรอ้ มในการ ปกครองกันเองแบบประชาธิปไตย เนือ่ งจากประชาชนยงั ขาดการศึกษา ไม่มีความสำ� นกึ ในความเป็น

การปกครองระบอบเผดจ็ การ (Dictatorship) 217 เจา้ ของอำ� นาจอธปิ ไตย ไมม่ กี ารตนื่ ตวั ทางการเมอื ง มฐี านะทางเศรษฐกจิ ทยี่ ากจน สงั คมเชน่ นไ้ี มเ่ หมาะ ทจี่ ะปกครองแบบประชาธปิ ไตย เพราะจะกลายเปน็ การปกครองแบบฝงู ชน เปดิ โอกาสใหผ้ นู้ ำ� ทมี่ อี ำ� นาจ มีอิทธิพลเข้าปกครอง แล้วกอบโกยผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องบริวาร แต่จะเหมาะกับการ ปกครองแบบเผด็จการ โดยผู้น�ำจะตอ้ งมีความรู้ ความสามารถ ประกอบดว้ ยคุณธรรม และจรยิ ธรรม ทางการเมือง ปกครองประเทศเพ่ือประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ เป็นการปกครองรูปแบบราชาธิปไตย อภชิ นาธิปไตย แม้ผนู้ �ำจะบรหิ ารประเทศโดยอ�ำนาจเด็ดขาด ก็จะเป็นผลดตี อ่ สงั คมเชน่ นัน้ เหมอื นกนั อย่างไรก็ตาม การปกครองแบบเผด็จการไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด จะไม่เหมาะกับสังคมท่ีเจริญแล้ว ท้ังทางการศึกษา เศรษฐกิจ สังคมและการเมือง เพราะจะได้รับการต่อต้าน ไม่ยอมรับจากประชาชน จะเหน็ ไดจ้ ากประเทศทปี่ กครองดว้ ยระบอบเผดจ็ การ ทงั้ แบบอำ� นาจนยิ ม และเผดจ็ การเบด็ เสรจ็ นยิ ม แบบคอมมวิ นิสต์ ซึ่งลม่ สลายไปในท่ีสุด



บทท่ี ๙ คอมมวิ นสิ ต์ (Communism) ความเป็นมาของคอมมิวนิสต์ การปกครองระบบคอมมวิ นสิ ตไ์ ดร้ บั ความนยิ มแพรห่ ลายภายหลงั คารล์ มารก์ ซ์ (Karl Marx , ค.ศ. ๑๘๑๘ – ๑๘๘๓) ได้เผยแพร่อุดมการณค์ อมมวิ นิสตใ์ นศตวรรษท่ี ๑๙ มารก์ ซเ์ กดิ ทเ่ี มืองทริเอร์ (Trier) ในประเทศปรัสเซีย (เยอรมัน) มีเช้ือสายมาจากตระกูลผู้สอนศาสนายิว (rabbi) แต่ต่อมาได้ เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ บุคคลท่ีมีอิทธิพลต่อความคิดของเขาบุคคลแรกคือ ไฮน์ริคมารก์ ซ์ (Heinrich Mark) ผ้เู ป็นบดิ า ซ่งึ นิยมปรัชญาของวอลแตร์และรสู โซ๑๒๗ หลังจากจบการ ศกึ ษาระดบั มธั ยมทเี่ มอื งทรเิ อรม์ ารก์ ซก์ เ็ ขา้ ศกึ ษาตอ่ ทม่ี หาวทิ ยาลยั แหง่ บอนน์ (University of Bonn) ในสาขาวชิ ากฎหมาย แตเ่ ขาศกึ ษาไดไ้ มน่ านนกั กท็ ราบวา่ ตวั เขาเองไมม่ คี วามสามารถในสาขาวชิ านใี้ น ปีต่อมาเขาจึงย้ายไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งเบอร์ลิน (University of Berlin) ในสาขาวิชาปรัชญา ประวตั ิศาสตร์ และการเมือง หรอื ที่เรียกว่าสาขาวิชาธรรมศาสตร์และจบการศึกษาระดบั ปรญิ ญาเอก ทางปรชั ญาจากมหาวทิ ยาลยั แหง่ เจนา (University of Jena) ในปี ค.ศ. ๑๘๔๑ ในสมัยทเี่ ขายงั เป็น นักศึกษาท่ีมหาวิทยาลัยแห่งเบอร์ลิน เขาได้รับอิทธิพลทางความคิดของ ยอร์จ วิลเฮล์ม ฟรีดริกซ์ เฮเกล (George Wilhem Friedrich Hegel, ค.ศ. ๑๗๗๐ - ๑๘๓๑) ซง่ึ เปน็ นักปรัชญาทมี่ อี ิทธพิ ลทาง ความคิดตอ่ ปญั ญาชนในขณะนัน้ เปน็ อยา่ งมาก เฮเกลกลา่ วไวใ้ นหนังสอื ปรชั ญาของประวตั ิศาสตร์ (The Philosophy of History) วา่ ทุกสง่ิ ในจักรวาลและโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงอยไู่ ปส่สู ิ่งท่ดี กี วา่ อยู่เสมอ การปฏริ ูปจงึ เปน็ ส่ิงท่ีเกดิ ขึน้ อยา่ ง ไม่มีวันสิ้นสุด (Endless evolution) การพัฒนาและความก้าวหน้าของมนุษย์เกิดจากความขัดแย้ง สงคราม และการปฏิวัติ โดยผา่ นทางการต่อสู้ของผถู้ ูกกดข่ตี อ่ ผทู้ ำ� การกดข่ี ซึ่งเป็นการท้าทายแนวคิด ดงั้ เดมิ ทเี่ ชอื่ วา่ ทกุ สงิ่ ในจกั รวาลและโลกถกู จดั วางไวอ้ ยา่ งตายตวั ลกั ษณะปรชั ญาของเฮเกลเปน็ ปรชั ญา สำ� นกั จติ นยิ ม (Idealism) ทถ่ี อื วา่ สรรพสงิ่ จะประกอบไปดว้ ยสว่ นประกอบสองสว่ น คอื สว่ นทม่ี ลี กั ษณะ เป็นกายภาพจับต้องได้กับส่วนที่เป็นอสสารไม่สามารถจับต้องหรือสัมผัสทางกายได้ เฉพาะในส่วนท่ี ๑๒๗ David McLellan, Marx Before Marxism. (London: Redwood Press, ๑๐๙๗), pp.๒๔ – ๓๓.

220 รัฐศาสตร์เบือ้ งต้น เป็นอสสารที่เรียกว่าจิตเท่าน้ันที่มีอยู่เป็นนิรันดรไม่เปล่ียนแปลง เพราะฉะน้ันการเปลี่ยนแปลงในโลก วตั ถจุ งึ ไมม่ ผี ลกระทบตอ่ สภาพการดำ� รงอยขู่ องจติ การเปลย่ี นแปลงในสรรพสงิ่ ทเ่ี กดิ ขนึ้ มสี าเหตมุ าจาก ความไมส่ มบรู ณข์ องสง่ิ นน้ั สำ� หรบั มนษุ ยก์ ม็ สี ว่ นประกอบสองสว่ นเชน่ กนั นน่ั คอื รา่ งกายทเ่ี ปน็ สว่ นของ กายภาพกบั ความคดิ หรอื จติ ใจทเ่ี ปน็ สว่ นของอสสาร แตจ่ ติ ใจของมนษุ ยย์ งั ไมค่ วามสมบรู ณพ์ อจงึ ทกี าร เปล่ียนแปลงไปสู่สภาพใหม่ทดี่ ีข้นึ กวา่ เดมิ ท�ำใหจ้ ิตได้รู้จักตนเองมากขึน้ จนทา้ ยท่ีสุดจิตจะกลายเป็น จติ ทส่ี มบรู ณ์ (Absolute idea) อยใู่ นสภาวะทไ่ี มม่ กี ารเปลย่ี นแปลง การเปลยี่ นแปลงในสว่ นของจติ ใจ มนุษย์เป็นปัจจัยก่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไม่ว่าจะเป็นในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หรอื แม้แต่ศาสนาเพราะวัตถุและมนษุ ยค์ ือการแสดงตวั ของจติ ที่ยงั ไมส่ มบูรณ์ แต่มารก์ ซ์กไ็ มไ่ ด้นำ� ปรชั ญาของเฮเกลมาใช้โดยไม่มีการเปลีย่ นแปลง ตรงกนั ขา้ มมาร์กซ์ ไดป้ รบั เปลยี่ นแนวคดิ ในปรชั ญาของเฮเกลแบบยอ้ นกลบั เลยทเี ดยี ว เพราะมารก์ ซเ์ ชอื่ วา่ วตั ถุ ตา่ งหากทเี่ ปน็ ตวั กำ� หนดความคดิ และกลา่ ววา่ ปรชั ญาของเฮเกลอธบิ ายกลบั ทศิ ทางเสมอื นการใชศ้ รี ษะ ยนื แทนเทา้ เพราะฉะนนั้ แนวคดิ ของมารก์ ซจ์ งึ เปน็ การทำ� ใหเ้ ฮเกลยนื ไดถ้ กู ทศิ ทาง (set him the right way up) ในปี ค.ศ. ๑๘๔๒ มาร์กซ์ได้ท�ำงานกับหนังสือพิมพ์เยอรมันชื่อ ไรนิช ไชตุง (Rheinische Zeitung) อันเป็นหนังสือพิมพ์หัวก้าวหน้าของชนช้ันกลางพวกเสรีนิยมในต�ำแหน่งบรรณาธิการแต่ เพราะบทความท่ีเขาเขียนและเน้ือหาของหนังสือพิมพ์ท่ีโน้มเอียงไปในทางประชาธิปไตย ท�ำให้ หนงั สอื พมิ พ์ฉบับนั้นถูกปิดลงในปี ค.ศ. ๑๘๔๓ และในปเี ดยี วกันนเี้ องทีม่ ารก์ ซ์แต่งงานกบั เจนน่ี วอน เวสต์ฟาเลน (Jenny Von Westphalen) เธอมาจากครอบครัวของข้าราชการช้ันสูงและเป็นสมาชิก ของตระกลู ขนุ นางอนรุ กั ษน์ ยิ ม ในปี ค.ศ. ๑๘๔๓ นนั้ เองมารก์ ซไ์ ดเ้ ดนิ ทางไปศกึ ษาทางดา้ นสงั คมนยิ ม ทก่ี รงุ ปารีส ประเทศฝรงั่ เศส ทที่ ำ� ให้เขาไดร้ ้จู กั กบั บลงั กี ปรูดอง (ค.ศ. ๑๘๐๙–๑๘๖ู ๕) นักสังคมนิยม ชาวฝร่งั เศส แต่ไมน่ านนกั มาร์กซก์ ็ถกู ขับออกจากฝรงั่ เศส ตามค�ำแนะน�ำของรัฐบาลรสั เซยี และเพราะ บทความท่ีรุนแรงของเขา ท�ำให้มาร์กซ์ต้องไปอาศัยอยู่ที่บรัสเซลส์ ประเทศเบลเย่ียม ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๘๔๕ ทีบ่ รัสเซลส์เขากบั เองเกลได้ร่วมกนั ก่อตั้งสนั นิบาตคิ อมมวิ นสิ ตแ์ ละเป็นผูน้ �ำในการปฏวิ ัติ แต่ทว่าการปฏิวัติครั้งน้ันประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เขาก็ถูกขับออกจากกรุงบรัสเซลส์ ในปี ค.ศ. ๑๘๔๘ ท�ำให้เขาต้องเดินทางไปอยู่ที่เยอรมัน และหันกลับมาท�ำท�ำงานด้านหนังสือพิมพ์อีกครั้ง คอื หนงั สอื พมิ พ์ นวิ ไรนชิ ไชตงุ (Neue Rheinische Zeitung) แตใ่ นทสี่ ดุ เขากต็ อ้ งถกู เนรเทศออกจาก เยอรมันเป็นคร้ังที่สอง เม่ือถูกต้ังข้อหากบฏอันเนื่องมาจากผลงานของหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว ครง้ั แรกมารก์ ซเ์ ดนิ ทางไปฝรง่ั เศส แตก่ ต็ อ้ งถกู เนรเทศออกจากฝรง่ั เศสภายหลงั การไปพกั อาศยั ไดห้ นงึ่ เดือน มาร์กซ์จึงไปพ�ำนักที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในปี ค.ศ. ๑๘๔๙ จนกระทั่งจบชีวิตลงใน ปี ค.ศ. ๑๘๘๓ มาร์กซ์มบี ุตรทัง้ ส้ิน ๗ คน แต่หนงึ่ คนเสยี ชวี ติ ตงั้ แต่ยงั เป็นทารก อกี ๔ คน เสียชีวิตใน

คอมมิวนิสต์ (Communism) 221 เวลาต่อมา และที่เหลืออีก ๒ คนก็ จบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตายหลังจากท่ีมาร์กซ์ถึงแก่กรรม๑๒๘ จากการทมี่ ารก์ ซต์ อ้ งยา้ ยงานและทอ่ี าศยั ทำ� ใหเ้ ขากลายเปน็ ตกงานอยเู่ สมอ แตเ่ ขากม็ เี พอื่ นชาวเยอรมนั คอื เฟรเดอรคิ เองเกลส์ (FriedrichEngel, ค.ศ. ๑๘๒๐ – ๑๘๙๕) ซึ่งพบกนั เมื่อคร้งั มารก์ ซถ์ กู เนรเทศ ไปอยู่ที่ฝร่ังเศสท่ีได้คอยให้การสนับสนุนเร่ืองการเงินแก่มาร์กซ์เสมอมา เองเกลส์เป็นบุตรชายของ เจา้ ของโรงงานทอผา้ ผมู้ งั่ คงั่ แตเ่ องเกลสม์ คี วามสนใจในระบบสงั คมนยิ มมากกวา่ การใชช้ วี ติ อยใู่ นชนชนั้ นายทนุ หนังสือท่ีมีอิทธิพลอย่างมากต่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์และขบวนการของกลุ่มคอมมิวนิสต์ นานาชาติ กค็ อื ทนุ (Capital) และแถลงการณข์ องคอมมวิ นสิ ต์ (Communist Manifesto) โดยเฉพาะ หนงั สอื แถลงการณข์ องคอมมวิ นสิ ต์ ทมี่ อี ทิ ธพิ ลอยา่ งสงู ตอ่ การปฏวิ ตั ใิ นประเทศรสั เซยี ในปี ค.ศ. ๑๙๑๗ ซง่ึ มารก์ ซไ์ ดเ้ ขยี นรว่ มกบั เองเกลสแ์ ละตพี มิ พเ์ มอ่ื เดอื นกมุ ภาพนั ธค์ .ศ. ๑๘๔๘ ตามคำ� ขอรอ้ งขององคก์ าร ระหวา่ งประเทศทเี่ รยี กตนเองวา่ “สนั นบิ าตคิ อมมวิ นสิ ต์ (Communist league)” เพอื่ ใชเ้ ปน็ แนวทาง นโยบายทางการเมืองของขบวนการคอมมิวนิสต์ซ่ึงสันนิบาติน้ีถือตนว่าเป็นผู้น�ำแห่งขบวนการปฏิวัติ เพ่อื สนับสนนุ ให้กรรมกรต่อสตู้ ่อการถกู กดขี่จากกลมุ่ นายทุน มเี นอื้ หาสาระทส่ี ำ� คญั คอื ๑๒๙ ๑. ล้มเลิกกรรมสิทธ์ิในที่ดินและยึดเป็นของรัฐ แล้วเก็บค่าเช่าจากที่ดินเหล่านี้เพ่ือเป็นค่าใช้ จ่ายของรฐั ในชว่ งทย่ี ังตอ้ งมีรัฐในระยะกอ่ นเป็นคอมมวิ นสิ ต์ ๒. การเก็บภาษีแบบก้าวหน้า (Progressive tax) คอื ผูท้ ม่ี ีรายไดม้ ากจะถูกเก็บภาษีในอตั รา ทส่ี ูงกว่าผู้มรี ายได้ตำ่� ๓. การยกเลิกสิทธใิ นการสืบมรดก ๔. ริบทรัพยข์ องพวกท่ีหลบหนไี ปตา่ งประเทศ และพวกกบฏ ๕. รวมศนู ยส์ นิ เชอ่ื ไวเ้ ปน็ อำ� นาจของรฐั โดยวธิ กี ารจดั ตง้ั ธนาคารชาตเิ พอ่ื เปน็ ศนู ยก์ ลางแหลง่ เงินลงทุน ๖. กิจการคมนาคมขนส่งเป็นของรฐั ๑๒๘ ยศ สันตสมบัติ, จากวานรถึงเทวดา: มาร์กซิสต์และมานุษยวิทยามาร์กซิสต์. (กรุงเทพ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๐), น. ๒ – ๖. ๑๒๙ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมมาธริ าช, เอกสารการสอนชดุ วชิ าหลกั รฐั ศาสตรแ์ ละการบรหิ าร พมิ พค์ รง้ั ท่ี 3, (นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช,๒๕๓๓), น. ๒๙๑ – ๒๙๒. และเสนห่ ์ จามริก (แปล),ความคิดทางการเมอื ง. พมิ พ์คร้ังท๒่ี , (กรุงเทพ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร,์ 2515), น.568.

222 รฐั ศาสตร์เบ้อื งต้น ๗. เพม่ิ โรงงานและเครอ่ื งมอื ในการผลติ ทเ่ี ปน็ ของรฐั ใหม้ ากขน้ึ และจดั ใหม้ กี ารจดั สรรแบง่ ปนั ท่ีดนิ เสียใหม่ ๘. ทุกคนมีหน้าท่ีต้องท�ำงานโดยหลักการใช้แรงงานตามหน้าท่ีโดยท่ัวหน้า ท้ังทางด้าน อตุ สาหกรรม และเกษตรกรรม ๙. ประสานเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเข้าด้วยกัน ใหค้ วามเป็นปฏิปกั ษร์ ะหว่างชนบทกับ เมืองหมดสนิ้ ไปในทีส่ ดุ ๑๐. ให้การศึกษาอยา่ งทัว่ ถงึ และไมค่ ิดมูลคา่ รวมถึงการไม่ใช้แรงงานเดก็ หลักการแหง่ คอมมิวนสิ ต์ ๑.หลักการวิภาษวิธที างวตั ถุ (Dialectical Materialism) หลักการวภิ าษวธิ ีทางวตั ถุ (Dialectical Materialism) เปน็ แนวคิดทมี่ าร์กซ์ไดร้ ับมาจาก เฮเกลนักปรัชญาชาวเยอรมัน ตามปรัชญาจิตนิยมวิภาษวิธี (Dialectical Materialism) ท่ีกล่าวว่า ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ท่ีมีพัฒนาการมาตลอดเวลาเป็นผลมาจากความขัดแย้งหรือความ เปน็ ปฏปิ กั ษร์ ะหวา่ งความคดิ หรอื จติ ใจของมนษุ ย์ โดยจติ ใจหรอื ความคดิ ของมนษุ ยจ์ ะมกี ารทำ� งานใน รูปแบบกระบวนการ (Process) ซึง่ กระบวนการนน้ั กค็ อื กระบวนการวิภาษวธิ ี (Dialectic) โดยจติ ใจ มนษุ ยจ์ ะทำ� งานในลกั ษณะการเสนอความคดิ ทเ่ี ปรยี บเสมอื นเปน็ จดุ เรมิ่ (Thesis) อนั เปน็ สงิ่ ทม่ี อี ยเู่ ดมิ หรอื ส่ิงท่ีเป็นอยู่ (Being or is ness) ในขณะเดยี วกันจากความคดิ ท่เี ปน็ จดุ เร่มิ นเี่ องกจ็ ะนำ� มาซง่ึ ความ คดิ ทเี่ ปน็ การขดั แยง้ (Conflicting idea or anti – thesis) ปฏเิ สธตวั เองอนั เปน็ ลกั ษณะทเ่ี ปน็ ปฏปิ กั ษ์ หรือตรงข้าม (Negation) กับส่ิงท่ีเป็นจุดเร่ิม แต่ความขัดแย้งระหว่างสองลักษณะจะไม่มีการต่อสู้ให้ แตกหกั ไปขา้ งใดขา้ งหนง่ึ หากแตก่ ารขดั แยง้ ระหวา่ งสองจดุ จะนำ� ไปสกู่ ารผสมผสานสว่ นทสี่ มบรู ณข์ อง ทงั้ สองส่วนได้เป็นข้อสรปุ ใหม่ (Synthesis) ทดี่ ีกว่าเดมิ แต่อย่างไรก็ตามขอ้ สรปุ ท่ีเกิดข้นึ น้กี ็ไม่ใชส่ ่ิงที่ ขอ้ ยตุ ิ เพราะไมน่ านนกั ขอ้ สรปุ ทไ่ี ดก้ จ็ ะกลายเปน็ จดุ เรม่ิ และมจี ดุ แยง้ เกดิ ขนึ้ เพอ่ื มงุ่ สขู้ อ้ สรปุ ใหมเ่ ชน่ นี้ ไปเรือ่ ยๆ จนกว่าสงิ่ ที่เกิดข้นึ ใหมจ่ ะมีสภาวะ สมบรู ณเ์ ปน็ นริ นั ดร การเปลี่ยนแปลงตามกระบวนการวิภาษวิธี (Dialectic)จะแตกต่างไปจากการเปล่ียนแปลง แบบววิ ฒั นาการ เพราะการเปลย่ี นแปลงแบบวภิ าษวธิ เี ปน็ การเปลยี่ นแปลงแบบกา้ วกระโดดเปน็ ชว่ ง ๆ ไม่ใช่วิวัฒนาการที่ต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงแบบวิภาษวิธีเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบปฏิวัติ ไม่ได้

คอมมิวนสิ ต์ (Communism) 223 เคลือ่ นไหวเปน็ วงกลม จงึ จะไม่มีการซำ�้ รอยเดมิ แตจ่ ะเปน็ การเคลื่อนไหวไปส่สู ภาพทด่ี สี ูงขนึ้ กว่าเดมิ อยเู่ สมอ๑๓๐ ขอ้ แตกตา่ งระหวา่ งปรชั ญาจติ นยิ มวภิ าษวธิ ขี องเฮเกลกบั ทฤษฎวี ภิ าษวธิ ที างวตั ถขุ องมารก์ ซ์ ก็คือ เฮเกลเชอ่ื ในกฎแห่งจักรวาล ทวี่ า่ ความคดิ จะเกิดขึน้ กอ่ นและเป็นตวั กำ� หนดการเปลย่ี นแปลงใน ทางวัตถุ แต่มารก์ ซ์เชื่อวา่ วตั ถุ (Material) ต่างหากท่เี ปน็ สง่ิ ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความเปลี่ยนแปลง หรืออีกนัย หน่ึงก็คือ วัตถุเป็นปัจจัยแรกท่ีเกิดข้ึนและเป็นตัวก�ำหนดความคิดของมนุษย์และการเปล่ียนแปลงใน ดา้ นอน่ื ๆ ของสังคม ความคดิ หรือจิตใจของมนษุ ย์จึงเปน็ เพียงภาพสะท้อนของวัตถแุ ละสภาพสังคมที่ ถูกกำ� หนด โดยวัตถุ มาร์กซ์ให้ความหมายของวัตถุที่เป็นปจั จัยกำ� หนดความเปลยี่ นแปลงความคดิ ของ มนษุ ยแ์ ละการเปลยี่ นแปลงดา้ นอน่ื ๆ ของสงั คมวา่ คอื วถิ กี ารผลติ (Mode of production) เหตกุ ารณ์ ท้ังหลายในประวัติศาสตร์ตามแนวคิดของมาร์กซ์จึงเป็นไปตามอิทธิพลของเศรษฐกิจ หรือ เศรษฐกิจ เป็นตัวกำ� หนดประวัตศิ าสตรน์ ่ันเอง (Economic determinism) จากความเช่ือของกลุ่มปรัชญาจิตนิยมท่ีว่า จิตเป็นสิ่งท่ีสมบูรณ์ เป็นอยู่อย่างอิสระ และเป็น ผกู้ ำ� หนดสรรพส่ิงและปรากฏการณ์ท้งั หลายน้ัน มาร์กซ์โจมตีแนวคิดข้างต้นว่า ในเนอ้ื แท้แห่งปรัชญา จติ นยิ มกค็ อื ปรชั ญาของชนชน้ั ผกู้ ดขี่ ทพ่ี ยายามสรา้ งชดุ ของความเชอื่ ทใ่ี ชค้ รอบงำ� ชนชนั้ ผถู้ กู กดขแี่ ลว้ นำ� มาอธบิ ายประวตั ศิ าสตรโ์ ดยปราศจากความเปน็ จรงิ การยกชดุ ความคดิ ทเี่ ปน็ นามธรรมทไี่ มส่ ามารถ สัมผัสได้มาบดบังความเป็นจริงทางวัตถุที่เป็นรูปธรรมจึงเป็นกลวิธีของชนชั้นผู้ถูกกดข่ีใช้เพื่อครอบง�ำ ใหผ้ ถู้ กู กดขย่ี อมรบั สภาพทม่ี แี ตค่ วามเอารดั เอาเปรยี บวา่ เปน็ สภาวการณท์ ถ่ี กู ตอ้ งและชอบดว้ ยหลกั การ การแสวงหาความสขุ ของมนุษยต์ ามแนวคิดปรัชญาจติ นยิ มจงึ บอกใหใ้ ชก้ ารท�ำใจใหเ้ ป็นสุข ไมต่ ้องคิด เปลย่ี นวตั ถสุ ภาพแวดลอ้ ม ใหย้ อมรบั สภาพทเ่ี ปน็ อยไู่ มว่ า่ จะถกู กดขี่ หรอื เอารดั เอาเปรยี บเทา่ ใดกต็ าม การตอ่ ตา้ นของมารก์ ซต์ อ่ แนวคดิ ของนกั คดิ สำ� นกึ จติ นยิ มเหน็ ไดอ้ ยา่ งชดั เจนยงิ่ ขน้ึ จากบทสรปุ ของเขา เกย่ี วกบั ศาสนาวา่ ศาสนาคอื ยาเสพตดิ ของประชน (Religion is the opiate of the people) มาร์กซ์กล่าวถึงประวัติศาสตร์ของมนุษย์ว่า เร่ิมต้นที่การมีมนุษย์อยู่ก่อนแล้วจึงจะสามารถ กำ� หนดประวตั ศิ าสตรไ์ ด้ ประวตั ศิ าสตรจ์ งึ เปน็ เรอื่ งราวของการสรา้ งตวั เองของมนษุ ย์ (Self creation) จากความคิดน้ีเองจึงเป็นการปฏิเสธความเชื่อเก่ียวกับการเกิดขึ้นของมนุษย์ว่ามาจากสิ่งศักดิ์สิทธ์ิอัน เปน็ ลักษณะของเทวนิยม มนุษยจ์ ึงเป็นผลผลิตของสภาพแวดล้อม แต่ในขณะเดยี วกนั มนษุ ย์กเ็ ป็นผทู้ ี่ มีศกั ยภาพในการท่จี ะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดลอ้ มได้ด้วยเชน่ อย่างไรก็ดีศกั ยภาพในการเปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อมของมนุษย์ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถกระท�ำได้อย่างอิสระตามท่ีมนุษย์ต้องการ เพราะว่ายังมีปัจจัยอีกประการหนึ่งที่เป็นสิ่งก�ำหนดน่ันคือสภาพแวดล้อมและสังคม๑๓๑ การอธิบาย ๑๓๐ ฉตั รทพิ ย์ นาถสุภา, ลทั ธเิ ศรษฐกิจการเมือง. (กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๓๙), น. ๑๔๗ ๑๓๑ สุรพงษ์ ชยั นาม, มารก์ ซ์และสังคมนิยม.(กรงุ เทพฯ: เคล็ดไทย, ๒๕๑๗), บทที่ ๒.

224 รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งต้น ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ว่าเกิดจากวัตถุเป็นตัวก�ำหนดให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ท�ำให้วิธีการอธิบาย ประวัตศิ าสตร์ของมารก์ ซ์ไดร้ ับการขนานนามว่า “ลัทธวิ ตั ถนุ ิยมเชงิ ประวตั ิศาสตร์ (Historical mate- rialism)” ซง่ึ วัตถตุ ามความหมายของเขาก็คือเศรษฐกจิ น่นั เอง มาร์กซอ์ ธิบายว่า มนษุ ย์ในยุคเริ่มแรก จะมกี ารรวมตวั กนั แบบสงั คมคอมมวิ นสิ ตบ์ รรพกาล (Primitive communism) ซง่ึ มลี กั ษณะการดำ� เนนิ ชีวติ เปน็ ไปอยา่ งเรียบงา่ ย ไม่มีเทคโนโลยี เคร่อื งมอื เคร่ืองใชเ้ ปน็ ไปในรูปแบบง่าย ๆ ประชากรมนี ้อย ในขณะทที่ รพั ยากรตา่ ง ๆ มมี ากมาย การเกบ็ สะสมหรอื การถอื ครองกรรมสทิ ธใ์ิ นทรพั ยส์ นิ ยงั ไมม่ ี เมอ่ื ไมม่ กี ารถอื ครองกรรมสทิ ธก์ิ ารแบง่ ชนชนั้ กย็ งั ไมเ่ กดิ ขน้ึ ในสงั คม เพราะฉะนน้ั การยอื้ แยง่ และกดขข่ี ม่ เหง ระหว่างชนช้ันกย็ งั ไม่เกดิ ขนึ้ ทรพั ย์สนิ เปน็ ของกลาง ไมม่ ผี ปู้ กครอง และผู้ถกู ปกครอง แตต่ อ่ มาเมอื่ เกดิ การเปลยี่ นแปลงในพลงั การผลติ เกดิ การเลยี้ งสตั วแ์ ละการผลติ เกษตรกรรม ขนาดใหญ่ จนมสี ่วนเกนิ ทเี่ หลือจากการบริโภค ท�ำใหเ้ กิดการยดึ เอาแรงงานสว่ นเกนิ และผลผลติ สว่ น เกินไปอยู่ในกลุ่มชนบางกลุ่มในสังคม การถือครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินก็เกิดข้ึนสังคมก็เปล่ียนไปสู่ สังคมทาส และเกิดมีชนชั้นในสังคมขึ้นน้ันคือ นายทาสอันเป็นชนชั้นปกครองกับทาสผู้เป็นชนชั้นถูก ปกครอง การกดขแี่ ละเอารดั เอาเปรยี บระหวา่ งชนชนั้ กเ็ รมิ่ เกดิ ขน้ึ การขดู รดี ในระบบทาสเปน็ การขดู รดี แรงงานส่วนเกนิ (Surplus labors) หลังจากนัน้ วถิ กี ารผลติ ก็ได้รับการเปลย่ี นแปลง เม่ือทาสผู้ถูกกดข่ี แรงงานไม่สนใจในการผลิตให้มีประสทิ ธภิ าพ การเลย้ี งสตั วแ์ ละการเกษตรขนาดใหญ่เรม่ิ เส่ือมลงและ ถกู แทนทด่ี ว้ ยเกษตรกรรมขนาดเลก็ ระบบผเู้ ชา่ ตดิ ทด่ี นิ ไดร้ บั ความนยิ มสงู เพราะทำ� ใหไ้ ดผ้ ลผลติ ทสี่ งู ขน้ึ ประกอบกบั แรงงานทาสกอ่ การปฏวิ ตั ติ อ่ ตา้ นระบบทาส สง่ ผลใหโ้ ครงสรา้ งสว่ นบนของสงั คมตอ้ งเปลยี่ น ไปจากสงั คมทาสสสู่ งั คมศกั ดนิ าซง่ึ ยงั คงประกอบดว้ ยชนชน้ั นนั่ คอื นายไพรเ่ ปน็ ชนชน้ั ปกครองกบั ไพร่ ทเี่ ปน็ ชนชนั้ ถกู ปกครองไพรใ่ นสงั คมกค็ อื ทาสทถ่ี กู ปลดปลอ่ ยแลว้ ใหเ้ ชา่ ทด่ี นิ ของเจา้ ศกั ดนิ า แตเ่ ปน็ การ เช่าท่ีผู้เช่าและผู้สืบสันดานต้องติดอยู่กับท่ีดินท่ีเช่าน้ันตลอดไป ซ่ึงเรียกว่าทาสติดดิน (Serf) หรือไพร่ เพราะฉะนั้น ในระบบศักดินา บุคคลผู้เป็นไพร่ยังคงต้องท�ำงานให้นายไพร่โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน และยังต้องมพี นั ธะ (Bondage) ทจี่ ะตอ้ งส่งผลผลิตสว่ นหน่งึ แก่เจ้าศักดินาผู้เป็นเจา้ ของท่ีดิน อย่างไรกต็ าม ไพรก่ ็ยงั มชี ีวิตความเปน็ อย่ทู ่ีดีกว่าทาส เพราะอย่างน้อยไพร่กเ็ ป็นเจ้าของชีวติ ตวั เอง ผลผลติ ทเ่ี หลอื จากการตอ้ งสง่ ใหน้ ายไพรต่ ามพนั ธะกจ็ ะตกเปน็ ของไพร่ การขดู รดี ระหวา่ งชนชน้ั ได้เปล่ียนรปู แบบเปน็ การขดู รีดผลผลติ ส่วนเกนิ (Surplus product) ต่อมาเมอ่ื มีการเปลี่ยนแปลงวิถี การผลิตสู่สังคมทุนนิยม (Capitalism) การเอารัดเอาเปรียบกดข่ีขูดรีดก็ยังคงด�ำเนินต่อไป เพียงแต่ เป็นการขดู รดี ระหวา่ งชนชั้นนายทนุ หรอื กระฎมุ พี (The capitalists or bourgeoisie) กับชนช้ันผใู้ ช้ แรงงานหรือชนชั้นกรรมาชีพ (The proletariat) ซ่ึงหากจะเปรียบเทียบระหว่างทาสติดดิน (Serf) กบั กรรมาชพี ในสงั คมทนุ นยิ มแลว้ มารก์ ซก์ ลา่ ววา่ ความสมั พนั ธใ์ นสงั คมทาสระหวา่ งทาสตดิ ดนิ กบั นาย

คอมมิวนสิ ต์ (Communism) 225 ทาสจะมลี ักษณะทพี่ ง่ึ พาอาศัยกันมากกว่าความสัมพันธร์ ะหว่างกรรมาชพี กับนายทุนในสงั คมทุนนิยม เพราะทาสถอื เปน็ ทรัพยส์ นิ ส่วนตัวของนายทาสทคี่ วรได้รบั การดูแลเอาใจใสจ่ ากนายทาส อกี ท้งั การท่ี นายทาสมผี ลประโยชนเ์ กย่ี วกบั แรงงานของทาสโดยตรงทำ� ใหก้ ารดแู ลในสขุ ภาพและความเปน็ อยขู่ อง ทาสมคี วามสำ� คญั ตอ่ นายทาสมาก สง่ ผลใหค้ วามเปน็ อยขู่ องทาสจะดกี วา่ ของกรรมกรในสงั คมทนุ นยิ ม ซงึ่ มจี ำ� นวนมากมายในตลาดแรงงานทำ� ใหน้ ายทนุ สามารถทจ่ี ะเลอื กเพอื่ การจา้ งงานไดอ้ ยา่ งเสรี อกี ทง้ั การทก่ี รรมกรทำ� งานทโี่ รงงานในสถานภาพทเี่ ปน็ เพยี งสว่ นหนงึ่ หรอื ฟนั เฟอื งตวั หนง่ึ ของโรงงานเทา่ นน้ั เพราะฉะนั้นสุขภาพและความเป็นอยู่ของกรรมกรจึงไม่ใช่ประเด็นที่นายทุนจะต้องให้ความสนใจ การขดู รดี ในระบบทนุ นยิ มจงึ กลายเปน็ การขดู รดี มลู คา่ สว่ นเกนิ (Surplus value) ไปจากชนชน้ั แรงงาน มารก์ ซเ์ ช่ือวา่ การเปล่ยี นแปลงของสังคมมนษุ ยไ์ ม่ได้จบส้นิ ลงแค่สังคมทนุ นยิ มเทา่ นัน้ แตเ่ ขา เชอื่ วา่ สดุ ทา้ ยแหง่ ววิ ฒั นาการของประวตั ศิ าสตรม์ นษุ ยชาตจิ ะตอ้ งเปน็ สงั คมคอมมวิ นสิ ตแ์ บบสมยั ใหม่ (Communism) ท่ีใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างกว้างขวางไม่ได้ด้อยไปจากในสังคม ทุนนิยม แต่ท่ีแตกต่างไปจากสังคมทุนนิยมก็คือ การส้ินสุดของชนชั้นนายทุนหรือกระฎุมพี เมื่อไม่มี ชนชนั้ นายทนุ ทค่ี อยขดู รดี เอารดั เอาเปรยี บชนชนั้ กรรมาชพี การกดขแี่ ละขดู รดี ระหวา่ งชนชน้ั กจ็ ะหมดไป ทรัพย์สินที่เคยถือครองเป็นกรรมสิทธ์ิส่วนตัวก็จะกลายเป็นทรัพย์สินของส่วนกลางหรือทรัพย์สิน สว่ นรวม (Communal property) เพราะการปฏวิ ตั ทิ ีผ่ า่ นมาเปน็ เพยี งการเปลีย่ นกรรมสิทธิ์ในการถือ ครองปัจจัยการผลิตจากคนกลุ่มน้อยกลุ่มหน่ึงในสังคมไปสู่คนกลุ่มน้อยอีกกลุ่มหนึ่งในสังคม การเอา รัดเอาเปรียบและขูดรีดระหว่างชนชั้นผู้กดขี่ (Oppressor) กับชนช้ันผู้ถูกกดข่ี (Oppressed) ยังคง ด�ำเนินอยู่ต่อไป การปฏิวัติล้มระบบทุนนิยมเป็นการโอนปัจจัยการผลิตจากคนกลุ่มน้อยในสังคมเป็น ของสังคมส่วนกลางท�ำให้การขูดรีดเอารัดเอาเปรียบระหว่างชนช้ันจบส้ินลง ระบบเศรษฐกิจในสังคม คอมมิวนิสต์แบบสมัยใหม่จึงไม่มีการฉกผลประโยชน์หรือการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ (Exploitation) และเม่ือไม่มีชนชั้นย่อมหมายถึงการเส่ือมสลายของสถาบันการปกครองจนหมดความส�ำคัญ น่ันคือ รัฐทเ่ี คยเป็นเครือ่ งมอื ของชนช้ันปกครองในการครอบง�ำและยดึ อ�ำนาจเหนอื คนสว่ นใหญใ่ นสงั คมก็จะ ถงึ การอวสานร่วงโรยเสอ่ื มสลายลงไปเอง เพราะฉะนั้น ประวัติศาสตร์ทางสังคม คือ ประวัติศาสตร์การต่อสู้ระหว่างชนช้ัน (Class Antagonism) อนั มสี าเหตมุ าจากการแบง่ งานกนั ทำ� เพราะการแบง่ งานกนั ทำ� กอ่ ใหเ้ กดิ การแบง่ ชนช้ันของมนุษย์ และเพราะการแบ่งชนช้ันน�ำมาซึ่งการกดข่ีระหว่างชนช้ัน การที่ชนชั้น กรรมาชีพถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีสิทธิในการก�ำหนดค่าจ้างแรงงานของตนน้ัน มาจากการที่ชนช้ัน นายทนุ สามารถผกู ขาดเครอ่ื งมอื ในการผลติ และปจั จยั การผลติ ไวเ้ ปน็ กรรมสทิ ธขิ์ องตนเอง (Ownership) แล้วสร้างมายาคติเพ่ือความชอบธรรมในการถือครองปัจจัยในการผลิตว่าทรัพย์สินส่วนตัว (Private property) เป็นสิทธิมนุษย์ชนช้ันพ้ืนฐานที่ไม่สามารถละเมิดได้ อันถือเป็นการสร้างส�ำนึกท่ีผิดพลาด

226 รฐั ศาสตร์เบอ้ื งตน้ (False consciousness) ทัง้ ท่ใี นความเปน็ จรงิ ทรพั ยส์ ินสว่ นตัวกค็ อื การกดข่ี (Exploitation) อันจะ นำ� ไปสกู่ ารแบง่ ชนชน้ั และความขดั แยง้ ระหวา่ งชนชนั้ ซงึ่ ในทส่ี ดุ สงครามระหวา่ งชนชน้ั กจ็ ะเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ชนชนั้ ที่ถกู กดข่ีมีจิตสำ� นกึ ในชนชน้ั มากขนึ้ และถูกกดขม่ี ากจนทนไมไ่ ด้ ๒. เศรษฐกิจการเมือง (Political economic) รายละเอียดโดยส่วนใหญ่อยู่ในหนังสือ “ทุน (Capital)” มาร์กซ์อธิบายถึงสินค้าว่าคือสิ่งท่ี สามารถสนองความต้องการของมนุษยไ์ ดท้ �ำให้สินคา้ มีมลู คา่ ใชส้ อย (Use – value) ในเร่ืองมูลค่านนั้ มารก์ ซก์ ลา่ ววา่ สนิ คา้ นอกจากจะมมี ลู คา่ ในการใชส้ อยแลว้ ยงั มมี ลู คา่ แลกเปลย่ี น (Exchange–Value) หรอื ทมี่ กั เรยี กวา่ มลู คา่ (Value) ซงึ่ คอื ความสมั พนั ธท์ างปรมิ าณทปี่ รากฏเมอ่ื นำ� สงิ่ ของทม่ี มี ลู คา่ ใชส้ อย มาแลกเปลี่ยนกนั มารก์ ซ์กลา่ ววา่ การท่สี นิ คา้ ต่างชนดิ กนั สามารถเทยี บเคียงแลกเปลี่ยนกันได้ เพราะ ตา่ งเปน็ ผลผลติ ของแรงงาน ตา่ งมแี รงงานบรรจอุ ยู่ แมจ้ ะเปน็ แรงงานตา่ งชนดิ กนั ในทสี่ ดุ แลว้ กส็ ามารถ ถือว่าเป็นแรงงานมนุษย์ทั่วไป (Abstract labors) แต่ส�ำหรับสิ่งของบางชนิดจะมีเฉพาะมูลค่าใช้สอย เท่านั้น เช่น อากาศ ท่ีไม่มีมูลค่าแลกเปล่ียนเพราะไม่ได้เป็นผลิตผลของแรงงาน เพราะฉะน้ัน มูลค่า แลกเปล่ียนจึงเท่ากับปริมาณแรงงานที่ผลิตสินค้านั้น๑๓๒ การอธิบายเช่นน้ีจึงเป็นการแสดงให้เห็นว่า มูลค่าของสินค้าอยู่ท่ีแรงงานที่ใช้ในการผลิตสินค้าชิ้นน้ันให้มีราคาสูงข้ึนมากกว่าราคาวัตถุดิบท่ีน�ำมา ใช้ในการผลิต แต่เพราะนายทุนจะจ่ายค่าแรงแก่กรรมกรเพียงแค่พอแก่การด�ำรงชีวิตอยู่ของกรรมกร เท่านั้น ในขณะที่นายทุนจะเป็นผู้ท่ีม่ังคั่งจากมูลค่าส่วนเกิน (Surplus value) ท่ีได้จากสินค้านั้น อันถือได้ว่าเป็นการปล้นกรรมกรอย่างซ่ึง ๆ หน้าเลยทีเดียว มูลค่าส่วนเกิน หมายถึง ความแตกต่าง ระหว่างมูลค่าของสินค้ากับมูลค่าของพลังแรงงานท่ีแสดงออกมาในรูปของค่าจ้างแรงงาน มูลค่าส่วน เกนิ หรอื คา่ ของผลผลติ สว่ นเกนิ มลี กั ษณะพเิ ศษคอื สามารถกอ่ ใหเ้ กดิ มลู คา่ ไดม้ ากกวา่ มลู คา่ ของตวั เอง เพราะฉะน้นั สนิ ค้าท่ผี ลติ ออกมาจึงมีมูลคา่ มากกวา่ มลู ค่าของพลงั แรงงาน ตวั อยา่ งเช่น การทีก่ รรมกร ตอ้ งทำ� งานในโรงงานของนายทนุ เปน็ ระยะเวลาทย่ี าวนานถงึ ๘ ชวั่ โมงในหนงึ่ วนั โดยไดร้ บั เงนิ ทเี่ รยี กวา่ คา่ จ้างจากนายทุน ๑๐๐ บาท แต่ในความเป็นจรงิ กรรมกรสามารถผลิตสินค้ามลู ค่า ๒๕๐ บาทให้แก่ นายทุนภายในเวลา ๘ ชั่วโมงน้ัน เงินส่วนเกิน ๑๕๐ บาทคือ มูลค่าส่วนเกินท่ีตกเป็นของนายทุนแต่ เพียงฝ่ายเดียว เงินท่ีนายทุนจ่ายให้กรรมกร ๑๐๐ บาทท่ีเรียกว่าค่าจ้างอันดูเหมือนเป็นราคางาน ท่ีกรรมกรสร้างให้นายทุนภายในเวลา ๘ ชั่วโมง แต่ความจริงเงิน ๑๐๐ บาทท่ีนายทุนให้แก่กรรมกร เป็นราคาพลังแรงงาน (labors power) ไม่ใช่ราคางานหรือค่าแรง (labors) ของกรรมกรเพราะเม่ือ พจิ ารณาจะพบวา่ งานทก่ี รรมกรทำ� นนั้ ไมม่ มี ลู คา่ หรอื ราคาเลย เพราะวา่ กรรมกรไดอ้ อกแรงทำ� งานไปแลว้ งานท่ีท�ำหรือราคาของงานก็จะแฝงเป็นส่วนหน่ึงของสินค้าท่ีกรรมกรสร้างขึ้นมา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ๑๓๒ ฉตั รทพิ ย์ นาถสุภา, ลทั ธิเศรษฐกิจการเมอื ง. อ้างแลว้ , น. ๑๗๐ – ๑๗๑.

คอมมวิ นิสต์ (Communism) 227 มันได้ถูกเปล่ียนไปเป็นมูลค่าของสินค้าแล้ว สินค้าจะมีมูลค่ามากน้อยเพียงใดอยู่กับปริมาณของงานที่ เปน็ นามธรรมในสนิ คา้ เพราะฉะนน้ั สงิ่ ทมี่ มี ลู คา่ คอื สนิ คา้ ทผ่ี ลติ ขนึ้ ไมใ่ ชง่ าน(แรงงาน) ทก่ี รรมกรทำ� ทง้ั น้ี เพราะกรรมกรได้ขายแรงงานของตนให้แก่นายทุนไปก่อน เมื่อกรรมกรสร้างงานออกมาน้ันก็ตกเป็น ของนายทุนท้ังหมด กรรมกรจะน�ำงานท่ีตนเองผลิตมาขายใหม่ไม่ได้ การที่นายทุนซ้ือพลังแรงงาน มา ๘ ชัว่ โมง ราคา ๑๐๐ บาท เมอ่ื ซอ้ื พลงั แรงงานแลว้ พลังแรงงานกต็ กเปน็ ของนายทุนซ่ึงการซอ้ื พลงั แรงงานมีลักษณะพิเศษคือเป็นการซื้อก่อนการลงมือท�ำงานแต่จะจ่ายเงินหลังจากที่ท�ำงานเสร็จ เรยี บรอ้ ยแลว้ ทำ� ใหเ้ กดิ ภาพมายาทบี่ ดบงั ความถกู ตอ้ งในการฉกฉวยมลู คา่ สว่ นเกนิ จากกรรมกร เพราะ การทน่ี ายทนุ พยายามสรา้ งภาพวา่ การจา่ ยเงนิ ๑๐๐ บาทตอ่ การทำ� งานของกรรมกร ๘ ชว่ั โมงเปน็ การ จ่ายค่าจ้างในผลงานท่ีกรรมกรท�ำ เสมือนเป็นการซื้องานที่กรรมกรสร้างในราคา ๑๐๐ บาท แล้วน�ำ สินคา้ ที่กรรมกรเป็นผู้ลงแรงไปขายในราคา ๒๕๐ บาทนั้นกเ็ ปน็ การถูกต้องแลว้ ซึ่งในความเปน็ จริงไม่ ได้เป็นเช่นน้ัน เพราะในความจริงการที่สินค้านั้นมีมูลค่าเพ่ิมขึ้นจนเป็น ๒๕๐ บาทเป็นเพราะแรงงาน ทกี่ รรมกรเปน็ ผสู้ รา้ งมลู คา่ สว่ นเกนิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ เงนิ ๑๕๐ บาทจงึ ไมส่ มควรตกเปน็ ของนายทนุ ๑๓๓นอกจาก การฉกฉวยมูลค่าส่วนเกินแล้ว กลวิธีในการขูดรีด กดค่าแรงและเอารัดเอาเปรียบกรรมกรก็มีให้เห็น เสมอในสังคมทุนนิยม กล่าวคือ กรรมกรต้องท�ำงานให้นายทุนยาวนาน ๘-๑๐ ช่ัวโมง ในขณะท่ี นายทุนจะยอมจ่ายค่าพลังแรงงานแก่กรรมกรเพียงราคา ๖ ชั่วโมงเท่านั้น เพราะฉะน้ันนายทุนจึง สามารถใชพ้ ลงั แรงงานทง้ั ๘-๑๐ ชวั่ โมงของกรรมกรทซ่ี อ้ื แลว้ ใหท้ ำ� งานตลอดระยะเวลา ๘-๑๐ ชวั่ โมง ไม่วา่ พลงั นจ้ี ะกอ่ ใหเ้ กิดสนิ ค้ามากนอ้ ยเทา่ ใดกต็ าม เพราะฉะนัน้ แรงงานอกี ๒-๔ ชว่ั โมงทก่ี รรมกรตอ้ ง ท�ำงานในโรงงานแต่ไม่ได้รับค่าจ้างก็จะตกเป็นของนายทุนในการสร้างความม่ังค่ังแก่นายทุน และเม่ือ ได้สินค้าท่ีกรรมกรผลิตแล้วย่อมตกเป็นของนายทุนแต่เพียงผู้เดียว ท�ำให้นายทุนได้รับส่วนท่ีเป็นก�ำไร จากมูลค่าส่วนเกินของแรงงาน การกดราคาพลังแรงงาน และเอารัดเอาเปรียบจึงเป็นแหล่งท่ีมาของ ก�ำไรจากการขายสนิ คา้ อยา่ งไรกต็ ามระบบอตุ สาหกรรมกเ็ ปน็ สง่ิ ทไ่ี มส่ ามารถหลกี เลยี่ งไดเ้ พอ่ื ความกา้ วหนา้ ของสงั คม ซ่ึงมาร์กซ์เองก็ยอมรับในความส�ำคัญของระบบอุตสาหกรรมอันเป็นท่ีมาของความเจริญก้าวหน้า แตเ่ พราะระบบอตุ สาหกรรมถกู ครอบงำ� ดว้ ยระบบทนุ นยิ มทำ� ใหค้ วามสมั พนั ธข์ องมนษุ ยผ์ ดิ แผกไปจาก ธรรมชาติ มารก์ ซเ์ ชอื่ ว่าคุณคา่ ของมนุษยอ์ ยทู่ ีผ่ ลของงาน มนุษย์จึงรสู้ กึ ว่าตนเองมีคา่ เม่อื ไดท้ �ำงานทีม่ ี ลกั ษณะสรา้ งสรรค์ แตใ่ นสงั คมทนุ นยิ มแรงงานของมนษุ ยไ์ ดก้ ลายเปน็ สนิ คา้ ทถี่ กู สามารถซอ้ื ขายไดใ้ น ท้องตลาด มนุษย์จึงท�ำงานเหมือนเครื่องจักรที่ไม่มีลักษณะก้าวหน้าแต่ประการใด๑๓๔ มนุษย์ใน ๑๓๓ ศึกษารายละเอียดได้จาก วิภาษ รักษาวาที, เศรษฐศาสตร์เพ่ือมวลชน. (กรุงเทพฯ: ฝ่ายการศึกษา สหพันธ์นักศึกษา มหาวิทยาลยั มหดิ ล,๒๕๑๘), น. ๑๒๙ – ๑๓๓. ๑๓๔ ยศ สนั สมบัต,ิ จากวานรถงึ เทวดา : มารก์ และซิสม์และมานษุ ยวทิ ยามารก์ ซิสต์. ,อา้ งแลว้ น. ๔.

228 รัฐศาสตรเ์ บือ้ งต้น ระบบทุนนิยมจึงถูกผลักตัวให้แยกออกไปจากครอบครัวและเพ่ือนมนุษย์ด้วยกัน ระบบทุนนิยมท�ำให้ ความเปน็ มนษุ ยด์ อ้ ยคา่ ลงไป มนษุ ยส์ รา้ งระบบกรรมสทิ ธแ์ิ ละความสมั พนั ธใ์ นการผลติ ขน้ึ มา แลว้ มนษุ ย์ กลับตกเป็นทาสของความสัมพันธ์ในการผลิตท่ีมนุษย์สร้าง ระบบทุนนิยมท�ำให้กรรมกรเกิดความคับ ข้องใจ ต้องท�ำงานด้วยความจ�ำใจเพื่อการประทังชีวิตอยู่โดยไม่มีทางเลือกอื่นใด กรรมกรจึงตกเป็น เครื่องมือในการท�ำก�ำไรให้แก่นายทุนส่วนตัวเองกลับได้รับค่าแรงที่น้อยกว่าแรงงานท่ีท�ำลงไปจริง ๆ ความรู้สึกของกรรมกรท่ีย่ิงผลิตสินค้าไปมากเท่าใดเขากลับจนลงไปย่ิงกว่าเดิม ผลผลิตที่เขาผลิตกลับ ท�ำให้ความเป็นมนุษย์ของเขาลดลง ทุนในระบบทุนนิยมซึ่งก็คือผลผลิตของแรงงานจากกรรมกรผู้ใช้ แรงงานกลับกลายมาเป็นสิ่งท่ีคอยบังคับและขูดรีดแรงงานจากพวกเขาให้กลายเป็นทาสยิ่งข้ึน สภาพ ของกรรมกรจงึ เปรยี บเสมอื นเครอื่ งจกั รชน้ิ หนงึ่ ในโรงงาน จากการทต่ี อ้ งทำ� งานเปน็ ระยะเวลาทยี่ าวนาน เพอื่ ใหไ้ ดค้ า่ แรงเพยี งพอแกก่ ารดำ� รงชวี ติ ทำ� ใหก้ รรมกรถกู แยกตวั ออกจากสภาวะธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ ต้องถูกแยกตัวจากสังคมและครอบครัวท�ำให้ชนชั้นกรรมาชีพเกิดความรู้สึกแปลกแยก (alienation) เพ่มิ มากขนึ้ และความรู้สึกแปลกแยกน้เี องท่จี ะทำ� ใหเ้ กิดความสำ� นึกทางชนชัน้ และจะเกดิ การปฏิวัติ เพ่ือโค่นล้มอ�ำนาจของชนชั้นนายทุนในที่สุด๑๓๕ เพราะการขูดรีดท�ำให้เกิด การต่อสู้ระหว่างชนชั้น (Class struggle) ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในสังคมทุนนิยมจึงเป็นไปในลักษณะท่ีตกเป็นทาสของ เงนิ คา่ แรง เคารพนบั ถอื กนั ทฐี่ านะ (Commodity fetishism) อยบู่ นพน้ื ฐานแหง่ ผลประโยชนม์ ากกวา่ ความรักและมิตรภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ท่ีแท้จริงถูกบดบังด้วยความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุ สิ่งของ๑๓๖ เศรษฐกจิ เป็นพลังในการสร้างพลวตั รของสังคม เศรษฐกิจจงึ เปรยี บเสมอื นโครงสร้างพน้ื ฐาน ของสังคมหรอื ที่เรียกวา่ โครงสร้างสว่ นลา่ ง (Infrastructure) ท่ีเป็นปจั จยั ในการก�ำหนดโครงสรา้ งส่วน บนดา้ นกฎหมายและการเมอื ง (Legal and political superstructure) ใหเ้ กดิ ขน้ึ และมจี ติ สำ� นกึ ของ สังคม (Social consciousness) ในรูปแบบเฉพาะที่สอดคล้องกับโครงสร้างส่วนบนในเรื่องของ เศรษฐกิจอันเป็นโครงสร้างพื้นฐานจะประกอบด้วยสองส่วนใหญ่ ๆ คือ พลังการผลิต (Force of production) อนั หมายถงึ วทิ ยาการในการผลติ ทจี่ ะเปน็ ตวั กำ� หนดโครงสรา้ งของรปู แบบความสมั พนั ธ์ ทางสังคม (Structure of social relations) ซ่ึงก็คือ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งมนุษย์ในสังคม ซงึ่ กำ� หนด ว่าใครเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต อันส่งผลถึงการก�ำหนดความชอบธรรมว่าใครเป็นผู้ได้รับมูลค่าส่วน เกนิ เมอ่ื เกดิ ชอ่ งวา่ งระหวา่ งพลงั ของสองส่วนของโครงสร้างพนื้ ฐานก็จะสง่ ผลให้เกดิ การเปลี่ยนแปลง ในสังคมอันเป็นโครงสร้างส่วนบน อันประกอบด้วยระบบการเมือง (Political system) และระบบ ความคิด (Ideology) เช่น เม่ือมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม วิถีของการผลิตได้พัฒนาและเกิดการ ๑๓๕ Karl Marx, Frederic Engels, TheCommunis Manifesto. (New York: Monthly Review Press, ๑๙๖๔), pp. ๑ - ๔๔. ๑๓๖ Karl Marx, Capital Vol. ๑ , (New York : Internation Publishers, ๑๙๗๓), pp. ๖ - ๘๓.

คอมมวิ นิสต์ (Communism) 229 เปลย่ี นแปลงไปอยา่ งรวดเรว็ แตห่ ากความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนษุ ยใ์ นสงั คมอนั แสดงออกผา่ นทางสถาบนั ทางสังคมกลับไม่พัฒนาให้สอดคล้องกับวิถีของการผลิต สถาบันทางสังคมก็จะกลายเป็นอุปสรรคต่อ วิถีของการผลิตท่ีมพี ฒั นาการเจริญกา้ วหนา้ เพราะระบบสงั คมเศรษฐกิจทเี่ ป็นอยู่ล้าสมัย และเมือ่ ชอ่ ง วา่ งระหวา่ งสองสว่ นถกู ถา่ งออกมากขน้ึ การเปลย่ี นแปลงทางสงั คมกจ็ ะเกดิ ตามมาอยา่ งหลกี เลยี่ งไมไ่ ด้ มาร์กซ์ไม่เคยเชื่อว่าชนช้ันนายทุนหรือระบบทุนนิยมหรือระบบอ่ืน ๆ ที่เขาเช่ือว่ามีบกพร่อง น้ันจะสามารถปรับปรุงตนเองได้ ดังน้ันส่ิงท่ีบกพร่องอยู่แล้วในปัจจุบันก็จะบกพร่องต่อไปในอนาคต ทางออกจึงต้องใช้ก�ำลังล้มล้างหรือท�ำการปฏิวัติแต่ประการเดียว๑๓๗ บทสุดท้ายแห่งทุนนิยมก็คือ การล่มสลายที่เกิดจากกฎแห่งการเปล่ียนแปลงตามธรรมชาติ กล่าวคือ เมื่อระบบทุนนิยมมีความ ก้าวหน้ามากขึ้น นายทุนก็จะต้องขยายกิจการของตนมากยิ่งข้ึนจนเกิดเป็นอุตสาหกรรมขนานใหญ่ และจากการทก่ี จิ การของนายทนุ มขี นาดใหญข่ น้ึ นเี้ องทำ� ใหต้ อ้ งมกี รรมกรเปน็ จำ� นวนมาก เมอื่ กรรมกร ทวจี ำ� นวนมากขน้ึ กจ็ ะท�ำใหก้ รรมกรสามารถรวมตัวและเกิดความสำ� นกึ ทางชนช้ันมากยิง่ ข้นึ ซึง่ หมาย ถงึ ฐานะของชนชนั้ กรรมาชพี ยอ่ มมกี ารพฒั นาควบคไู่ ปกบั การขยายกจิ การของนายทนุ อยา่ งหลกี เลยี่ ง ไม่ได้ ปัญหาของนายทุนอีกประการหน่ึงก็คือการแข่งขันระหว่างนายทุนด้วยกันที่จะท�ำให้นายทุนท่ีมี ทุนน้อยกว่าจะต้องถูกระบบกลืนหายกลายเป็นชนช้ันกรรมาชีพเพราะการลงทุนล้มเหลวและจะคงไว้ เฉพาะนายทุนท่ีมีทุนมาก แต่นายทุนนายใหญ่ท่ียังคงด�ำเนินกิจการต่อไปได้ก็ใช่ว่าจะสามารถด�ำเนิน กิจการต่อไปได้โดยไม่ประสบปัญหาแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม นายทุนท่ีประกอบอุตสาหกรรม ขนาดใหญก่ จ็ ะตอ้ งประสบกบั ปญั หาอตั ราแหง่ กำ� ไร นนั่ คอื ยงิ่ มกี ารเพมิ่ การลงทนุ เทา่ ใด กำ� ไรจากสนิ คา้ ก็จะต้องลดลงเท่านั้น ประกอบกับดอกเบ้ียของเงินท่ีลงทุนก็จะเพ่ิมจ�ำนวนขึ้นท�ำให้อัตราแห่งก�ำไรจะ ต้องลดลงจากการเพ่ิมการลงทุน ทางแก้ของนายทุนมสี องหนทางเลอื กคือ การปรับปรงุ วทิ ยาการการ ผลิตให้มีประสิทธิภาพให้มากที่สุดเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตสินค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะท�ำได้ แต่ยังเพ่ิม ประสิทธิภาพการผลิตก็ต้องมีการเพิ่มจ�ำนวนกรรมกรอันจะส่งผลให้เกิดความเข้มแข็งของชนชั้น กรรมาชพี ยงิ่ ขน้ึ สว่ นหนทางท่ีสองกค็ อื การขยายการผลิตออกไปในประเทศดอ้ ยพฒั นาเพ่อื ลดค่าแรง อันเป็นต้นทนุ การผลิต เพราะในประเทศด้อยพฒั นาจะมแี รงงานราคาถกู จ�ำนวนมาก แตป่ ญั หาทีต่ าม ก็คือการขยายอุตสาหกรรมในระบบทุนนิยมที่ประเทศด้อยพัฒนาเป็นการขยายชนช้ันกรรมาชีพใน ประเทศด้อยพัฒนาเช่นกัน ซึ่งเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชนช้ันกรรมาชีพยิ่งข้ึนอีกท้ังเป็น การเพาะขยายชนชั้นกรรมาชีพให้มีจ�ำนวนมากยิ่งขึ้นในทุกภูมิภาคของโลกอันเป็นผลร้ายต่อระบบ ทุนนิยมอย่างย่ิง ปัญหาอีกประการหน่ึงก็คือเมื่อมีการผลิตสินค้าออกมามากมายในตลาด แต่คน ส่วนใหญ่ของสังคมเป็นชนชั้นล่างที่มีฐานะยากจนไม่มีอ�ำนาจซื้อสินค้าเหล่าน้ัน ตลาดก็จะเต็มไปด้วย ๑๓๗ จรญู สภุ าพ, ลทั ธกิ ารเมอื งและเศรษฐกจิ เปรยี บเทยี บ. พมิ พค์ รง้ั ที่ ๒,(กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๒๘), น. ๑๑๖.

230 รฐั ศาสตร์เบ้ืองตน้ สินค้า เม่อื สนิ คา้ ไม่สามารถขายได้ นายทนุ กไ็ มเ่ งนิ ทุน ชอ่ งวา่ งระหวา่ งปรมิ าณสนิ ค้ากับอำ� นาจในการ ซื้อจึงเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเล่ียงได้ เพราะฉะน้ันผลสรุปสุดท้ายก็คือ ระบบทุนนิยมก็จะต้องเสื่อม สลายลงไปดว้ ยตวั ของมันเองดว้ ยเหตผุ ลท้งั หมดทีก่ ล่าวมาขา้ งต้น ๓. การปฏวิ ตั ิ (Revolution) สังคมคอมมิวนิสต์เป็นจุดหมายปลายทางอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ท่ีเช่ือว่าเป็นสังคมท่ีจะ ประกอบไปด้วยพลเมืองที่มีคุณธรรมสูง (High morality) ไม่การแบ่งแยกชนช้ัน ไม่มีการเอารัดเอา เปรียบและการต่อสู้ระหว่างชนช้ันอีกต่อไป กรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตจะเป็นของส่วนรวมอันหมาย ถึงทุกคนในสังคม ผูผ้ ลิตจะผลติ เพือ่ สังคมไม่ใชเ่ พ่อื การขายเป็นสนิ คา้ ระบบ คอมมิวนิสต์จะแยกออกเป็นสองระยะ ในระยะแรกแรงงานจะได้รับผลผลิตจากสังคมตาม ปรมิ าณแรงงานทเ่ี ขาไดอ้ อกแรงทำ� งาน แตต่ อ่ มาในระยะทเ่ี ศรษฐกจิ กา้ วสคู่ วามอดุ มสมบรู ณ์ การบงั คบั ใหค้ นตอ้ งทำ� งานแตเ่ พยี งหนา้ ทเ่ี ดยี วตามการแบง่ งานกนั ทำ� ตามหนา้ ทก่ี ารจดั ระบบเศรษฐกจิ จะเปลย่ี น จากแต่ละคนตามความสามารถ สู่แต่ละคนตามความจ�ำเป็นท่ีต้องการ (From each according to his ability, to each according to his needs)๑๓๘ ตามหลักการ “แตล่ ะคนท�ำตามความสามารถ ของเขาและมอบให้แต่ละคนตามความจ�ำเป็น” สังคมคอมมิวนิสต์จึงเป็นสภาวะท่ีสมบูรณ์แบบที่สุด มีวิถชี วี ติ ทมี่ เี สรีภาพปราศจากกฎเกณฑ์ ข้อบังคบั อ�ำนาจรฐั และอำ� นาจบงั คบั อื่นใด เพราะรัฐไมใ่ ช่สง่ิ ทีถ่ ือกำ� เนิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ แตร่ ัฐเกิดขนึ้ เพราะความจ�ำเป็นในสงั คมมนุษย์ เพราะการขดั แย้ง ระหวา่ งมนษุ ยท์ ไี่ มอ่ าจหาขอ้ ยตุ ไิ ดจ้ งึ เปน็ ตอ้ งใชอ้ ำ� นาจรฐั เพอ่ื การยตุ ขิ อ้ ขดั แยง้ ดงั กลา่ ว เมอื่ สงั คมไมม่ ี ความขดั แยง้ ระหวา่ งกนั รฐั กจ็ ะหมดความจำ� เปน็ และจะตอ้ งเสอื่ มสลายรว่ งโรยไป หรอื อกี นยั หนง่ึ กค็ อื ในสังคมคอมมวิ นสิ ตท์ ีม่ แี ต่ความเทา่ เทียมกันปราศจากการขัดแยง้ กดขีแ่ ละเอารดั เอาเปรยี บระหวา่ ง ชนชน้ั รฐั กไ็ มม่ คี วามจำ� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งมอี กี ตอ่ ไป เพราะโดยแกน่ แทแ้ ลว้ รฐั เปน็ สงิ่ ชวั่ รา้ ย รฐั เปน็ ผลติ ผล ของชนชั้น๑๓๙ ส่วนกระบวนการหรือวิธีการท่ีจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางแห่งสังคมคอมมิวนิสต์ สามารถเกิดข้ึนได้ด้วยวิวัฒนาการของระบบการปกครองเอง ตามแนวความคิดพื้นฐานในเร่ือง Economic determinism อนั หมายถึง ระบบเศรษฐกิจจะเปน็ ปัจจัยก�ำหนดโครงสรา้ งของสงั คมและ รปู แบบความสมั พนั ธใ์ นสงั คมเมอื่ สงั คมมพี ฒั นาการสรู่ ะบบทนุ นยิ มอยา่ งเตม็ ทแี่ ลว้ ในเวลาตอ่ มาระบบ ทุนนิยมก็จะตอ้ งถงึ จดุ ๑๓๘ Karl Marx, “Critique of the Gotha Programme.” In Selected Works. pp. ๓๑๙ – ๓๒๑. ๑๓๙ ฉนั ทมิ า ออ่ งสรุ กั ษ(์ แปล), วเิ คราะหล์ ทั ธคิ อมมวิ นสิ ต.์ พมิ พค์ รง้ั ทส่ี อง (กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ ๒๕๒๖), น. ๑๓๙.

คอมมวิ นิสต์ (Communism) 231 จบจากตัวของระบบเอง และเม่ือนั้นสังคมก็จะต้องก้าวไปสู่ระบบของสังคมคอมมิวนิสต์ แตก่ ารเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ วอาจตอ้ งใชร้ ะยะเวลาทย่ี าวนาน เพราะฉะนนั้ หนทางทส่ี องทส่ี ามารถทำ� ให้ สงั คมกา้ วไปสรู่ ะบบคอมมวิ นสิ ตเ์ รว็ ขน้ึ กค็ อื การลกุ ขน้ึ ปฏวิ ตั เิ พอื่ ลม้ ลา้ งระบบทนุ นยิ ม อนั หมายถงึ การ ปฏิวัติระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเพ่ือเป็นการท�ำลายล้างระบบกรรมสิทธ์ิซึ่งเป็นปัจจัยพ้ืนฐานในการ ก�ำหนดรูปแบบของสังคม มาร์กซ์กล่าวว่าการเปล่ียนแปลงที่แท้จริงคือ การเปลี่ยนแปลงในระดับ โครงสรา้ งพน้ื ฐานอนั ไดม้ าจากการปฏวิ ตั เิ ทา่ นนั้ เพราะเราจะไมส่ ามารถบรรลถุ งึ การเปลยี่ นแปลงสงั คม ท่ีแท้จริงได้เพียงด้วยการแก้ไขท่ีโครงสร้างส่วนบนเท่านั้น๑๔๐ และผลของการปฏิวัติจะก่อให้เกิด การเปล่ียนแปลงในวิถีการผลิตและรูปแบบความสัมพันธ์ทางการผลิตซ่ึงเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เพราะฉะนนั้ ภายหลงั จากการปฏวิ ตั กิ จ็ ะเกดิ การจดั รปู แบบโครงสรา้ งความสมั พนั ธท์ างสงั คมขน้ึ มาใหม่ แต่ในสงั คมทอ่ี ยชู่ ว่ งต่อระหวา่ งทนุ นิยมกอ่ นท่จี ะพัฒนาไปสสู่ งั คมคอมมิวนิสต์ มาร์กซ์ กล่าววา่ จะตอ้ งมีองคก์ ารทางการเมืองทีอ่ ยใู่ นรปู “เผด็จการของชนชนั้ กรรมาชพี (Dictator- ship of The proletariat)” ทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ รฐั ที่จะท�ำหนา้ ท่ีทุกอย่างเพ่ือชนชนั้ กรรมาชีพแทนท่รี ฐั ของ สังคมทุนนิยมท่ีเคยท�ำหน้าที่คอยปกป้องผลประโยชน์เพ่ือกลุ่มนายทุน แต่เมื่อใดที่สังคมพัฒนาไปสู่ สังคมคอมมิวนิสต์แล้ว รัฐในรูปแบบเผด็จการของชนช้ันกรรมาชีพก็ไม่มีความจ�ำเป็นที่จะต้องมีอยู่อีก ตอ่ ไป นนั่ คือแม้จะเปน็ รฐั ของชนช้นั กรรมาชพี ทป่ี ฏิบัตงิ านเพ่ือชนชน้ั กรรมาชพี เองกห็ นีไมพ่ น้ จุดจบที่ จะต้องเส่ือมสลายลงไปเชน่ กนั แมม้ ารก์ ซจ์ ะเหน็ วา่ การใชก้ ำ� ลงั เปรยี บเสมอื นสตู แิ พทยแ์ หง่ การปฏวิ ตั ิ แตเ่ ขากไ็ มเ่ หน็ ดว้ ยกบั การก่อการอย่างสยดสยองในการปฏิวัติ เพราะการใช้ก�ำลังอย่างสยดสยอง ไร้มนุษยธรรมนับเป็น สัญลักษณ์ของความอ่อนแอและความไม่สุกงอมเพียงพอท่ีจะปฏิวัติ จึงต้องพยายามกดข่ีบังคับ เอาด้วยอ�ำนาจเพื่อให้ได้มาซ่ึงสิ่งที่ยังไม่สามารถเกิดข้ึนได้ในสังคม มาร์กซ์ยอมรับว่าพัฒนาการทาง ประวัติศาสตร์ยังคงสามารถใช้สันติวิธี ตราบเท่าท่ีไม่ได้ถูกต่อต้านโดยผู้ซึ่งกุมบังเหียนอ�ำนาจในสังคม ในช่วงนั้น๑๔๑ อันเป็นลักษณะของการยืดหยุ่นเพ่ือความเหมาะสมตามสภาพวัฒนธรรมทางการเมือง ของแต่ละท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าอุดมการณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์มิใช่เป็นเพียงลัทธิทางการเมืองเท่านั้น แตย่ ังหมายความรวมไปถงึ ความเป็นลทั ธิทางเศรษฐกจิ และสังคมอกี ดว้ ย ๑๔๐ เสนห่ ์ จามรกิ (แปล),ความคดิ เหน็ ทางการเมอื ง. อา้ งแลว้ , น. ๕๕๙. ๑๔๑ นพพร สุวรรณพานิช (แปล), พฒั นาการศาสตร์มาร์กซสิ มว์ า่ ด้วยการเมอื ง. (กรงุ เทพฯ: เจริญวิทยก์ ารพมิ พ,์ ๑๕๒๘),น. ๑๖.

232 รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งต้น วลาดิมีร์ อีลยิช อูลยานอฟ หรือ เลนิน (ValdimirllyichUlyanov or Niclolai Lenin, ค.ศ. ๑๘๗๐ – ๑๙๒๔) เลนนิ เกดิ ในตระกลู ขา้ ราชการ บดิ าเปน็ ผตู้ รวจราชการการศกึ ษาของเมอื งซมิ บสิ ค(์ Simbirsk) มีพ่ีน้อง ๕ คน ซึ่งทุกคนล้วนแต่เป็นนักปฏิวัติทั้งส้ิน พ่ีชายของเลนินคืออเล็กซานเดอร์ (Alexander) ถกู ประหารชีวิตเม่อื อายุ ๑๙ ปี ฐานมีส่วนวางแผนปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอรท์ ่ี ๓ เลนนิ เรม่ิ เรยี นกฎหมายทมี่ หาวทิ ยาลยั แหง่ คาซาน (University of Kazan) เขาเคยถกู ไลอ่ อกจากมหาวทิ ยาลยั เน่ืองจากไปบทบาททางการเมือง แต่ในท่ีสุดก็ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนต่อได้ ต่อมาเขาไปศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยเซนตป์ เี ตอรส์ เบิร์ก (St. Petersburg University) จนจบวิชากฎหมายในปี ค.ศ. ๑๘๙๑ ภายหลังจากจบการศึกษาทางด้านกฎหมาย เลนินได้ประกอบอาชีพทนายความท่ีเมืองซามารา (Samara) จนในปี ค.ศ. ๑๘๙๓ จึงเดินทางกลับมาที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และสอนลัทธิมาร์กซิสม์ ให้แก่กรรมกร จนกระทั่งในปี ค.ศ. ๑๘๙๕ เขาถูกจับและต้องพิพากษาให้จ�ำคุกเป็นเวลา ๑๔ เดือน และถูกเนรเทศไปอยู่ท่ไี ซบเี รยี ๓ ปี ขอ้ หาก่อการปฏวิ ัตเิ พราะเขาได้เขา้ รว่ มกลมุ่ ปฏวิ ตั ทิ ่เี รยี กตนเองว่า “สหภาพเพื่อการปลดปลอ่ ยชนชนั้ แรงงาน (Union for the Liberation of the Working Class)” ท่ีไซบีเรียเขาได้แต่งงานกับ นาเดชดา ครูปกายา (Nadezhda Krupskaya, ค.ศ. ๑๘๖๙ – ๑๙๓๙) นกั ปฏวิ ตั ทิ ถ่ี กู เนรเทศมาทไี่ ซบเี รยี เชน่ กนั หลงั จากถกู ปลอ่ ยตวั จากไซบเี รยี เขาเดนิ ทางไปสวสิ เซอรแ์ ลนด์ และกอ่ ตัง้ พรรคปฏวิ ัตใิ ตด้ นิ คอื RussianSocial - Democratic Labour Party เพื่อต่อสกู้ ับรัฐบาล รัสเซีย โดยยึดหลักเศรษฐกิจการเมืองของมาร์กซ์ แต่ในท่ีสุดพรรค Russian Social–Democratic Labour Party กแ็ ตกแยกเปน็ สองกลมุ่ ความคดิ คอื เมน เชวคิ (Menshevik) กบั บอนเชวคิ (Bolshevik) หากวเิ คราะห์ถงึ ประเดน็ การตคี วามลัทธิมาร์กซสิ ม์ในประเทษรสั เซียจะมีความแตกแยกออก เป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มสังคมนิยมท่ีเรียกตัวเองว่านารอดนิคส์ (Narodniks) กับกลุ่มคอมมิวนิสต์ สองกลุ่มมีความคิดที่แตกต่างกันในเร่ืองของขบวนการชาวนา โดยกลุ่มสังคมนิยมมองว่าสังคมชาวนา ของรัสเซียมีความเป็นคอมมิวนิสต์แบบบรรพกาลแฝงอยู่หลายประการจึงเป็นการง่ายท่ีจะใช้ส่ิงเหล่า นั้นเป็นพื้นฐานในการสร้างระบบสังคมนิยมขึ้นในสังคมชาวนาแต่กลุ่มคอมมิวนิสต์กลับมองว่าชาวนา ปราศจากความสามารถในการจดั ตง้ั องคก์ ารทางการเมอื งเพอ่ื ไปสกู่ ารเปลย่ี นแปลงสงั คมไดด้ ว้ ยตนเอง ประเทศรัสเซียเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีกรรมกรไม่มากนัก เพราะฉะนั้นการปฏิวัติจะเกิดขึ้นก็ต่อ เมื่อจะต้องรอให้จ�ำนวนกรรมกรในประเทศรัสเซียทวีจ�ำนวนมากและชาวนามีจ�ำนวนน้อยลงจนมี ปรมิ าณทเี่ หมาะสมเพยี งพอทจี่ ะเกดิ การปฏวิ ตั ไิ ด้ ในกลมุ่ คอมมวิ นสิ ตเ์ องกม็ คี วามคดิ เหน็ ทแี่ ตกตา่ งกนั ในประเด็นน้ี จากการประชมุ พรรค Russain Social–Democratic Party ครั้งทีส่ อง ทลี่ อนดอน ใน ปี ค.ศ.๑๙๐๓ เกดิ ความขดั แยง้ ในประเดน็ บทบาทของพรรคและการจดั องคก์ ารของพรรค จนแตกเปน็ สองกลมุ่ คอื กลมุ่ เมนเชวคิ ส์ (Menshevik) ซง่ึ เปน็ กลมุ่ เสยี งขา้ งนอ้ ยทมี่ แี นวความคดิ ไมเ่ ชอื่ ในพลงั ของ ชาวนาวา่ จะสามารถกอ่ องคก์ ารหรอื เปน็ กำ� ลงั หลกั ในการปฏวิ ตั ไิ ดแ้ ละปฏเิ สธหลกั การปฏวิ ตั โิ ดยใชน้ กั

คอมมวิ นิสต์ (Communism) 233 ปฏิวัตอิ าชพี จ�ำนวนน้อยเป็นผูน้ ำ� กลุ่มทสี่ องคือ พวกบอลเชวคิ ส์ (Bolshevik) เปน็ กลมุ่ เสียงข้างมากมี เลนนิ เปน็ ผนู้ ำ� ทสี่ ำ� คญั มคี วามเชอื่ มน่ั และเหน็ ความสำ� คญั ของพลงั ชาวนาในการกอ่ การปฏวิ ตั ิ แมค้ วาม เชอ่ื ของเขาจะขดั แยง้ กบั ทฤษฎมี ารก์ ซสิ มท์ ม่ี องกลมุ่ ชาวนาวา่ มลี กั ษณะของความสงบราบรน่ื ปราศจาก การขดั แยง้ แตเ่ ลนนิ มองวา่ ในกลมุ่ ชาวนากม็ คี วามขดั แยง้ ของชนชน้ั ทมี่ อี ยใู่ นสงั คมชาวนา นนั่ คอื ความ ขัดแย้งและการต่อสู้กันระหว่างชาวนาจ�ำนวนมากในสังคมที่ยากจนถูกเอารัดเอาเปรียบกับชาวนาที่ ร�่ำรวย อีกทั้งสนับสนุนระบบพรรคท่ีมีความเข้มแข็งและมีการจัดองค์การอย่างเข้มงวด ในที่สุดเขาก็ เป็นผู้น�ำการปฏิวัติในประเทศรัสเซียส�ำเร็จจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชสู่ระบอบสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ในปี ค.ศ.๑๙๑๗๑๔๒ และกลุ่มบอลเซวิคก็เปล่ียนช่ือเป็นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพ โซเวียต (The Communist Party of the Sovet Union) เลนินต่อต้านลทั ธิทุนนยิ มและการขยายตวั ของลัทธิจักรวรรดินิยม เนื่องจากสองลัทธินี้มีส่วนเสริมกันหรืออาจกล่าวได้ว่ามีลักษณะคล้ายกัน หากลัทธิทุนนิยมเจริญเต็มที่เม่ือใด ลัทธิจักรวรรดินิยมก็จะขยายตัวมากข้ึนเท่านั้น ลักษณะการขยาย ที่เป็นอันตรายของลัทธิจักรวรรดินิยมคือการเข้ามาสูบทรัพยากรและบีบบังคับเอาผลประโยชน์จาก ประเทศท่ีเป็นอาณานิคม ผลของลัทธิจักรวรรดินิยมก็คือการอ่อนแอของชนช้ันกรรมาชีพในประเทศ เจา้ อาณานคิ ม เพราะวา่ นายทนุ จากประเทศเจา้ อาณานคิ มจะไปลงทนุ และสบู เอาทรพั ยากรและมลู คา่ สว่ นเกนิ จากประเทศดอ้ ยพฒั นาทตี่ กเปน็ อาณานคิ มแลว้ นำ� กำ� ไรทไี่ ดม้ าแบง่ ปนั ใหก้ บั กรรมกรในประเทศ ของตน ส่งผลให้ชนชน้ั กรรมาชีพมคี วามเปน็ อยดู่ ีขึ้นจนส�ำนกึ แหง่ ชนชั้นออ่ นแอลง ท�ำใหก้ ารปฏวิ ตั ิใน ประเทศทร่ี ะบบทนุ นยิ มเจรญิ แลว้ ยงั จะไมส่ ามารถเกดิ ขนึ้ ไดต้ ามทม่ี ารก์ ซท์ ำ� นายไว้ และจากการขยาย อ�ำนาจเพื่อยึดครองประเทศอาณานิคมท�ำให้ประเทศเจ้าอาณานิคมจะเกิดความขัดแย้งและส่งผลให้ เกดิ ความตงึ เครยี ดทางดา้ นกำ� ลงั และสงครามระหวา่ งประเทศเจา้ อาณานคิ มดว้ ยกนั วธิ กี ารตอ่ ตา้ นลทั ธิ ทุนนิยมและการขยายตัวของลัทธิจักรวรรดินิยมคือ การเลือกปกครองประเทศในลัทธิคอมมิวนิสต์ เพราะฉะน้ันอาจกล่าวได้ว่ามาร์กซ์เป็นนักทฤษฎีในขณะที่เลนินเป็นนักปฏิบัติ เลนินกล่าวโจมตีการ ปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยแบบตะวันตกวา่ นนั่ ไมใ่ ชก่ ารปกครองระบอบประชาธปิ ไตยทแี่ ทจ้ รงิ เพราะรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกไม่ได้เป็นตัวแทนที่มาจากชนทุกช้ันท่ีจะบริหาร ปกครองเพอ่ื ประโยชน์สขุ แก่คนทุกชนช้ันในสังคม แท้ท่ีจรงิ แลว้ รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยตะวัน ตกเป็นเพยี งคณะกรรมการของชนชน้ั ปกครองท่ีมีชนช้นั นายทุนซ่อนอยเู่ บอื้ งหลงั เปน็ ระบบเผดจ็ การ ของชนช้ันกระฎุมพี (dictatorship of the Bourgeoisie)การบริหารการปกครองของรัฐบาลจึงเป็น ปกครองทม่ี งุ่ ขดู รดี กดขปี่ ระชาชน และปกปอ้ งชนชน้ั นายทนุ เลนนิ เชอ่ื วา่ ชนชนั้ นายทนุ จะไมม่ วี นั ยอม ลดอ�ำนาจหรือยกเลิกการเอารัดเอาเปรียบชนชั้นกรรมาชีพโดยความสมัครใจ หนทางเดียวที่จะท�ำให้ ชนชั้นกรรมาชีพสามารถมีชีวิตท่ีดีและหลุดพ้นจากการถูกกดขี่และขูดรีดจากนายทุนก็คือ การลุกขึ้น ๑๔๒ วไิ ล ณ ปอ้ มเพชรและ น. ชญานตุ ม,์ สหภาพโซเวยี ต: อดตี และปจั จบุ นั . (กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๑๖), น. ๑๐ – ๔๐.

234 รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ ปฏวิ ตั ิอยา่ งถอนรากถอนโคนและทำ� ลายชนชน้ั นายทนุ ให้หมดไปจากสงั คม และเมอื่ ปฏวิ ัตไิ ด้แล้วกใ็ ห้ เกิดการปกครอง “เผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ” เพ่ือเป็นระยะเปลี่ยนผ่านก่อนท่ีจะไปสู่สังคมท่ี สมบรู ณแ์ บบไรช้ นชน้ั คอื สงั คมคอมมวิ นสิ ต์ ลกั ษณะของการปกครองโดยเผดจ็ การของชนชน้ั กรรมาชพี เลนินได้ให้ค�ำอธิบายไว้ในปี ค.ศ.๑๙๑๘ ว่า จะมีลักษณะเป็นเผด็จการโดยชนช้ันกรรมาชีพท่ีต้องใช้ ก�ำลังและอ�ำนาจเพื่อการบังคับโดยไม่มีขอบเขตใด ๆ มาเป็นสิ่งก�ำหนด และจะต้องท�ำลายล้างระบบ เกา่ ใหห้ มดสนิ้ ไปจากสงั คมโดยสนิ้ เชงิ โดยการใชก้ ำ� ลงั และอำ� นาจอยา่ งรนุ แรงและเดด็ ขาด เพราะภารกจิ แห่งการปฏิวตั ิคือ การบดขยีร้ ัฐของนายทนุ ให้หมดไป (Smash the state) จากความเชอ่ื ของมารก์ ซ์ ทก่ี ลา่ ววา่ กรรมกรจะเกดิ ความรสู้ กึ ตระหนกั ดว้ ยตนเองวา่ พวกตนเปน็ ชนชน้ั ทถ่ี กู กดขี่ ขดู รดี เอารดั เอา เปรยี บจากชนช้ันนายทุน และจะเกดิ ความรูส้ กึ สำ� นกึ ทางชนช้ัน (Class consciousness) จนในทส่ี ุด ก็จะลุกข้ึนก่อการปฏิวัติได้น้ัน เลนินเห็นว่าส่ิงท่ีมาร์กซ์กล่าวไว้นั้นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เพราะจากประวตั ศิ าสตรท์ ผ่ี า่ นมาพลงั ของชนชนั้ กรรมาชพี แตเ่ พยี งอยา่ งเดยี วจะสามารถสรา้ งจติ สำ� นกึ ไดเ้ พยี งแคก่ ารเรยี กรอ้ งสทิ ธทิ างเศรษฐกจิ เฉพาะหนา้ เทา่ นนั้ เปน็ ไปไมไ่ ดท้ กี่ รรมกรภายใตร้ ะบบทนุ นยิ ม จะสามารถเขา้ ใจบทบาททางการเมอื ง เพราะกรรมกรจะมลี กั ษณะการทำ� งานทต่ี า่ งคนตา่ งทำ� และไมม่ ี เวลาในการสมาคมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน เพราะฉะนั้นการรวมกลุ่มจนเกิดความรู้สึก ตระหนกั ในชนชนั้ จงึ เปน็ ไปไดย้ ากหนทางทจ่ี ะเปน็ ไปไดต้ ามแนวคดิ ของเลนนิ ในการเกดิ สำ� นกึ ของชนชนั้ ในทางปฏิบัติก็คือ จะต้องมีการปลูกฝังส�ำนึกของชนช้ันลงในจิตใจของชนชั้นกรรมาชีพจากบรรดา ปัญญาชนที่เป็นนักปฏิวัติที่เข้าใจถึงลัทธิมาร์กซิสม์อย่างแท้จริง น่ันคือการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้น เพอ่ื เปน็ องคก์ ารในการปฏบิ ตั กิ ารปฏวิ ตั ิ อนั เปน็ เสมอื นกองหนา้ ของชนชน้ั กรรมาชพี (The vanguard of the proletariat) พรรคคอมมิวนิสต์จะต้องมีนักปฏิวัติอาชีพเป็นแกนน�ำ และมีความศรัทธาต่อ อดุ มการณค์ อมมวิ นสิ ต์ ยอมเสยี สละ อดทนและมคี วามสามารถในการกอ่ การปฏวิ ตั อิ ยา่ งสงู พรรคตอ้ ง มวี นิ ยั เขม้ งวดและมกี ารจดั องคก์ ารตามหลกั ประชาธปิ ไตยแบบรวมศนู ย์ (democratic centralism) ๑๔๓ พรรคจงึ มลี กั ษณะเปน็ พรรคของคนกลมุ่ นอ้ ยชน้ั นำ� สว่ นการใชก้ ำ� ลงั เพอ่ื การทำ� ลายฝา่ ยตรงขา้ มนน้ั ถอื เปน็ สง่ิ ทจ่ี ำ� เปน็ อยา่ งยง่ิ ตอ่ การทำ� งานอนั เปน็ เปา้ หมายหลกั ของพรรคคอมมวิ นสิ ตเ์ พอื่ การปฏวิ ตั ิ อกี สง่ิ หน่ึงท่ีมาร์กซ์กับเลนินมีความเห็นแตกต่างกันก็คือ มาร์กซ์มีความเช่ือว่าเศรษฐกิจมีอิทธิพลเหนือ การเมอื งแตเ่ ลนินเช่ือว่าการเมอื งตา่ งหากที่มอี ทิ ธิพลเหนือเศรษฐกจิ เลนินจงึ ดำ� เนินการทางการเมอื ง โดยการใช้พรรคบอลเซวิคในการก่อการปฏิวัติในรัสเซียเพื่อน�ำไปสู่การเปล่ียนแปลงในเรื่องเศรษฐกิจ ในขั้นน้ันต่อไป ๑๔๓ อนั มลี กั ษณะองคก์ รระดบั สงู ตอ้ งไดร้ บั เลอื กมาจากองคก์ รระดบั ลา่ ง แตค่ ำ� สง่ั จากองคก์ รระดบั สงู ทศ่ี นู ยก์ ลางอำ� นาจจะตอ้ งผกู พนั ต่อองค์กรระดับล่าง การโต้แย้ง วิพากษ์วิจารณ์สามารถกระท�ำได้ตราบเท่าท่ีการโต้แย้งวิพากษ์วิจารณ์นั้นไม่ได้ก่อให้เกิดผล เสยี หายตอ่ ความเปน็ อนั หนงึ่ อนั เดยี วในการปฏบิ ตั กิ ารทไ่ี ดร้ บั การตดั สนิ ใจมาจากองคก์ รระดบั บน

คอมมวิ นสิ ต์ (Communism) 235 เลนนิ ไดแ้ กไ้ ขหลกั การบางประการของลทั ธมิ ารก์ ซสิ มเ์ พอื่ ใหเ้ กดิ ความสอดคลอ้ งกบั การปฏบิ ตั ิ ให้เป็นรูปธรรมในประเทศรสั เซีย ซึง่ ไม่ได้เป็นประเทศอุตสาหกรรมทผ่ี ่านพ้นระยะแห่งพัฒนาการของ ระบบทุนนิยมไปแล้วอย่างสมบูรณ์ แต่ประเทศรัสเซียเป็นประเทศเกษตรกรรมและเพ่ิงจะก้าวเข้าสู่ ระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมเท่านั้น เพราะฉะน้ัน การน�ำลัทธิมาร์กซิสม์ที่กล่าวว่าประเทศท่ีจะ เปล่ียนแปลงไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ได้น้ันจะเกิดข้ึนเฉพาะในประเทศท่ีผ่านพ้นระบบทุนนิยมอย่าง สุกงอมแลว้ มาใช้จึงไม่เปน็ การสอดคล้องกบั ความเปน็ จรงิ ในประเทศรัสเซีย เหมาเจ๋อตุง หรือ เมาเซตงุ (Mao Tse – tung, ๑๘๙๓ – ๑๙๗๖) เป็นบุตรในครอบครัวชาวนาในมณฑลยูนาน ที่เดิมยากจนแต่ต่อมาก็สามารถยกฐานะของ ครอบครัวจนเปน็ ผูม้ ฐี านะร่�ำรวย เหมาจบการศกึ ษาระดบั มัธยมศกึ ษาท่เี มอื งฉางซา ซึ่งเป็นเมืองหลวง ของมณฑลฮนู าน จากนน้ั กม็ าทำ� งานเปน็ ผชู้ ว่ ยบรรณารกั ษท์ ม่ี หาวทิ ยาลยั ปกั กงิ่ ในปี ค.ศ.๑๙๑๘ เหมา ชว่ ยงาน หลี ตา้ เจา (LiTa–chao) ซ่งึ เป็นมารซ์ สิ ม์รนุ่ แรก ๆ ของจีน ในปี ค.ศ.๑๙๒๑ เหมากเ็ ขา้ รว่ ม เป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนท่ีก่อตั้งขึ้นท่ีเซี่ยงไฮ้ ซ่ึงตอนน้ันเขาอายุ ๒๘ ปี และเขาก็ได้ร่วม ตอ่ สเู้ พอ่ื ชว่ งชงิ อำ� นาจทางการเมอื งใหพ้ รรคคอมมวิ นสิ ตจ์ นี ตลอดมา ชว่ งปคี .ศ. ๑๙๒๔–๑๙๒๗ ในการ ร่วมกันของพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับพรรคก๊กมินตั๋ง เหมารับผิดชอบฝ่ายกิจการชาวนา แต่ไม่นานนัก ทงั้ สองพรรคกแ็ ยกตวั ออกจากกนั โดยพรรคคอมมวิ นสิ ตด์ ำ� เนนิ นโยบายปฏวิ ตั ชิ นชนั้ กรรมาชพี ในเมอื ง ใหญ่ สว่ นเหมาแยกกลุม่ ไปตั้งมัน่ ทีม่ ณฑลเกยี งซี ในช่วงปี ค.ศ.๑๙๒๘–๑๙๓๔ เจยี ง ไค เซ็ค (Chiang Kai – Shek, ๑๘๘๗ – ๑๙๗๕) ผนู้ ำ� รฐั บาลกก๊ มนิ ตง๋ั ไดท้ ำ� การกวาดลา้ งพรรคคอมมวิ นสิ ตจ์ นี อยา่ งหนกั ทำ� ใหพ้ รรคคอมมวิ นสิ ตใ์ นเมอื งใหญถ่ กู ทำ� ลายจนหมด เหมาตอ้ งหนไี ปมณฑลสน่ั ชแี ละเรมิ่ นโยบายการ ตอ่ ส้รู ฐั บาลกก๊ มินตงั๋ แบบสงครามกองโจร (Guerrilla war) และในปี ค.ศ.๑๙๓๑ เหมาได้จดั ตง้ั รฐั บาล คอมมวิ นสิ ตโ์ ดยเหมาเป็นประธานกรรมการบรหิ าร และตอ่ มาใน ปี ค.ศ.๑๙๓๕ เขาไดร้ ับเลือกใหเ้ ป็น หัวหนา้ พรรคคอมมิวนสิ ต์จนี ในปี ค.ศ.๑๙๓๗ ญี่ปุ่นรุกรานจีน พรรคคอมมิวนิสต์จีนกับพรรคก๊กมินตั๋งก็ได้เข้าร่วมกัน อีกคร้ังเพ่ือต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น จากการต่อต้านญ่ีปุ่นท�ำให้เหมาได้รับการสนับสนุนจาก ประชาชนในชนบทเป็นอยา่ งมาก เม่อื ญปี่ ุ่นแพ้สงครามในปี ค.ศ. ๑๙๔๕ พรรคคอมมวิ นสิ ตจ์ ีนกแ็ ตก กบั พรรคกก๊ มนิ ตง๋ั อกี ครง้ั และทำ� การตอ่ สกู้ นั ยาวนานถงึ ๔ ปี ในทสี่ ดุ พรรคคอมมวิ นสิ ตจ์ นี กไ็ ดร้ บั ชยั ชนะ สามารถยึดอ�ำนาจจากรัฐบาลก๊กมินต๋ังและเปล่ียนแปลงการปกครองได้ส�ำเร็จภายใต้การน�ำของเหมา เจ๋อตุง๑๔๔ ในปี ค.ศ. ๑๙๔๙ สงครามหลักการของเหมามีลักษณะใช้อ�ำนาจท่ีเด็ดขาด ตามหลักการ ๑๔๔ ณรงค์ สนิ สวสั ด,ิ์ ผนู้ ำ� การเมอื ง. (กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๒๓), น. ๖๒ – ๖๓.

236 รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองตน้ เผดจ็ การโดยชนชนั้ กรรมาชพี ภายใตก้ ารนำ� ของพรรคคอมมวิ นสิ ต์ เขายำ้� วา่ การปฏวิ ตั เิ ปน็ การตอ่ สโู้ ดย ไม่ต้องคำ� นึงหรือนำ� พาตอ่ การคดั คา้ นใด ๆ ทง้ั ส้นิ ๑๔๕ ดงั ค�ำขวัญของเหมาทก่ี ลา่ วเสมอวา่ การกบฏเป็น ส่ิงท่ีชอบธรรม การต่อสู้ตามวิธีการของเหมาจึงมีลักษณะของกระบวนการการต่อสู้ท่ีแตกต่างไปจาก แนวคิดของเลนินเพือ่ จุดมุ่งหมายแหง่ อุดมการณ์ คอื ๑. ใหค้ วามสำ� คญั แกช่ าวไรช่ าวนา ซง่ึ เปน็ ชนชนั้ ลา่ งของสงั คมเกษตรกรมากกวา่ กลมุ่ กรรมาชพี อนั เปน็ ชนชน้ั ลา่ งของสงั คมอตุ สาหกรรม ทง้ั นเี้ พราะประเทศจนี เปน็ ประเทศทม่ี พี ลเมอื งประกอบอาชพี เกษตรกรรมทม่ี จี ำ� นวนชาวไร่ ชาวนา มากกวา่ พลเมอื งทปี่ ระกอบอาชพี กรรมกรในโรงงานอตุ สาหกรรม เพราะฉะนน้ั การปฏวิ ตั ขิ องเหมาเจอ๋ ตงุ จงึ เปน็ การปฏวิ ตั จิ ากแนวรว่ มในชนบทแลว้ แพรข่ ยายมาสเู่ มอื ง หรอื ทเี่ รยี กวา่ “ปา่ ลอ้ มเมอื ง” จดุ นเ้ี องทที่ ำ� ใหแ้ นวการปฏวิ ตั ขิ องเขาแตกตา่ งไปจากของเลนนิ ทใี่ ชป้ ฏวิ ตั ิ ประเทศรสั เซียซ่งึ ม่งุ เนน้ แนวร่วมท่ีเปน็ กรรมาชพี ในเมอื งและสนบั สนุนโดยชาวไร่ ชาวนาในชนบท ๒. ลทั ธคิ อมมวิ นสิ ตต์ ามแนวของเหมามจี ดุ มงุ่ หมายทจี่ ะใหป้ ระเทศจนี เปน็ ศนู ยก์ ลางแหง่ ลทั ธิ คอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชีย ดังจะเห็นได้จากการเข้าร่วมและให้การสนับสนุนแก่พรรคคอมมิวนิสต์ ของประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียเพ่ือท�ำการแพร่ขยายและเปล่ียนแปลงการปกครองให้เป็นระบอบ คอมมวิ นสิ ตต์ ามแบบประเทศจนี หรอื ตาม “ลทั ธเิ หมา (Maoism)” ทมี่ ลี กั ษณะของการใหค้ วามสำ� คญั แก่การประสานกำ� ลังกนั ในกลุม่ ชาวไร่ ชาวนา กรรมกร และปญั ญาชน เป็นการผนึกก�ำลงั เพอ่ื โค่นลม้ อำ� นาจรฐั เดมิ แลว้ สถาปนาการปกครองตามลทั ธคิ อมมวิ นิสต์ในรูปแบบของลัทธิเหมา ๓. เหมาจดั แบง่ ชนชน้ั กระฎมุ พใี นสงั คมจนี ออกเปน็ ๓ ประเภท คอื กระฎมุ พชี นั้ สงู คอมปราเดอร์ (Comprador upper bourgeois) ทเ่ี กิดมาจากทนุ จักรวรรดนิ ิยมตา่ งชาตทิ ่ีคอยให้การสนบั สนุนและ บริการนายทุนต่างชาติ พวกน้ีถือเป็นศัตรูของการปฏิวัติ ประเภทที่สองคือกระฎุมพีแห่งชาติ (National bourgeois) คอื นายทนุ ชน้ั กลางทถ่ี กู กดขจ่ี ากนายทนุ จกั รวรรดนิ ยิ ม พวกนอี้ าจเปน็ พนั ธมติ ร กบั ขบวนการปฏวิ ตั ไิ ด้ แตใ่ นบางครง้ั กจ็ ะกลบั ไปชว่ ยนายทนุ กระฎมุ พชี นั้ สงู ประเภทสดุ ทา้ ยคอื กระฎมุ พนี อ้ ย (Petty bourgeois) คือพวกปัญญาชน ลูกจ้างเอกชนและรัฐบาลผู้มีอาชีพอิสระพวกน้ีเป็นพันธมิตร กับกระบวนการปฏิวตั ๑ิ ๔๖ ๔. การปฏวิ ัตเิ พ่อื การยดึ อำ� นาจรฐั ตามลัทธเิ หมาจะเนน้ ไปทกี่ ารตอ่ สดู้ ว้ ยก�ำลงั ของกองก�ำลงั ปลดปล่อยเป็นหัวหอกในการขยายอิทธิพล ซ่ึงกองก�ำลังปลดปล่อยจะมีลักษณะของกองโจรติดอาวุธ วิธีการก่อสงครามยึดหลัก “เอ็งมา ข้ามุด, เอ็งหยุด ข้าแย่ ข้าตี, เอ็งหนี ข้าตาม (The Enemy Advanced, We Retreat. The Enemy Camps, We Harass. The Enemy Ties, We Attack. The ๑๔๕ อานนท์ อาภาภริ ม, รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ . (กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๒๘), น. ๑๑๔. ๑๔๖ ฉตั รทพิ ย์ นาถสภุ า, ลทั ธเิ ศรษฐกจิ การเมอื ง. อา้ งแลว้ , น. ๒๓๐ – ๒๓๑.

คอมมิวนิสต์ (Communism) 237 Enemy Retreats, We Pursue.)” ภายหลังจากการปฏิวัติแล้วเหมาเสนอให้รัฐบาลที่จัดตั้งข้ึนเป็น รฐั บาลเผดจ็ การรว่ มของ ๔ ชนชนั้ คอื ชนชนั้ กรรมาชพี ชนชน้ั ชาวนากระฎมุ พนี อ้ ย และกระฎมุ พแี หง่ ชาติ เหตุท่ีเหมารวมชนช้ันกระฎุมพีบางกลุ่มไว้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลภายหลังการปฏิวัติเพราะว่า การปฏิวัติในประเทศจนี เป็นการปฏวิ ัตใิ นประเทศกึ่งอาณานคิ มและกึง่ ศกั ดินา ไม่ใชป่ ระเทศนายทนุ ๕. ภายหลงั การยดึ อำ� นาจเปลย่ี นแปลงการปกครองแลว้ เหมายงั อนญุ าตใหม้ พี รรคการเมอื ง อ่ืนๆ ได้ แต่ก็เป็นพรรคการเมืองท่ีไม่มีบทบาททางการเมือง ส่วนในกิจการอุตสาหกรรม เหมาก็ไม่ได้ ยดึ เปน็ ของรฐั อยา่ งทนั ทที นั ใด แตเ่ ปน็ การเขา้ ยดึ แบบคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป มกี ารตงั้ รฐั วสิ าหกจิ เพม่ิ ขนึ้ เรอื่ ย ๆ ดำ� เนนิ นโยบายเป็นเจา้ ของร่วมรฐั – เอกชน (Joint state – private enterprise) จนกระทงั่ ในปี ค.ศ. ๑๙๖๕ อตุ สาหกรรมทกุ อยา่ งก็ตกเปน็ ของรฐั ในเรอ่ื งท่ีดนิ ก็ใช่นโยบายการปฏิรูปที่ดนิ แจกทีท่ �ำกินให้ ชาวนา แลว้ คอ่ ย ๆ ปรบั สรู่ ะบบนารวม (Collective farm) ไดท้ ง้ั หมดในปี ค.ศ. ๑๙๕๘ การปรบั เปลยี่ น แบบค่อยเป็นค่อยไปเป็นข้ันตอนต่อเนื่องจึงมีลักษณะที่แตกต่างไปจากประเทศรัสเซียที่เข้ายึดอ�ำนาจ โอนกรรมสทิ ธเ์ิ ปน็ ของรฐั อยา่ งทนั ทที นั ควนั แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามตงั้ แตก่ ารเกดิ ขน้ึ ของลทั ธคิ อมมวิ นสิ ตส์ มยั ใหม่โดยมาร์กซ์ และน�ำมาปรับปรุงเพ่ือให้เกิดการปกครองตามแนวคิดของเลนินและเหมาเจ๋อตุง จนกระทงั่ ในปจั จบุ นั นก้ี ย็ งั ไมม่ ปี ระเทศใดสามารถกา้ วพน้ การปกครองในระบอบสงั คมนยิ มคอมมวิ นสิ ต์ เพ่ือไปสู่ความเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่สมบูรณ์แบบได้ จะมีก็เพียงการปกครองในรูปแบบสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ที่รัฐมีอ�ำนาจสูงสุดผ่านพรรคคอมมิวนิสต์ในการเข้าไปเก่ียวข้องและก�ำหนดวิถีชีวิตของ ประชาชน



บทที่ ๑๐ สถาบนั ทางการเมอื ง (Political Institution) บทน�ำ สถาบนั ทางการเมือง (Political Institution) เปน็ เสมอื นสว่ นยอ่ ย (Section) ทางการเมอื ง ทม่ี าประกอบกนั ขน้ึ เปน็ ระบบการเมอื ง นน่ั หมายความวา่ ในระบบการเมอื งทกุ ระบบไมว่ า่ จะเปน็ ระบบ เผด็จการหรือระบบประชาธิปไตย และไม่ว่าในระบบการเมืองน้ันจะมีการพัฒนาอยู่ในระดับใดก็ตาม กจ็ ะตอ้ งมโี ครงสรา้ งหรอื สถาบนั ทางการเมอื งทที่ ำ� หนา้ ทเ่ี พอื่ การดำ� รงอยขู่ องระบบการเมอื ง ซงึ่ ในบาง กรณีสถาบันทางการเมืองที่ท�ำหน้าท่ีเหมือนกันอาจมีชื่อเรียกท่ีต่างกันก็ได้ ข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง คือ เราจะพบวา่ ในสังคมหรอื ระบบการเมืองท่มี ีการพัฒนาทต่ี ่างกันจะมจี �ำนวนสถาบนั ทางการเมอื งที่ แตกต่างกัน ดังจะเห็นได้จากในประเทศท่ีมีระบบการเมืองและระดับการพัฒนาที่สูงหรือม่ันคงถาวร แล้วมักจะมีสถาบันทางการเมืองที่หลากหลายหว่าในประเทศท่ีมีระบบการเมืองและระดับการพัฒนา ที่ต่ำ� กว่า ความหมายของสถาบันทางการเมือง (Political Institution) ในเร่ืองความหมายของสถาบันทางการเมืองน้นั Macridis๑๔๗ ไดใ้ หน้ ิยามว่า “คือองคก์ ารทมี่ ี ลักษณะที่อาจเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการของชุมชนทางการเมืองก็ได้ โดยจะท�ำหน้าท่ีในการ พิจารณาและการตัดสินใจเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมือง” จะเห็นได้ว่าจากนิยามข้างต้นจะเป็นการ พจิ ารณาในแงข่ องโครงสรา้ งและเปน็ เครอื่ งมอื ทางสงั คมเพอ่ื ชนี้ ำ� และผลกั ดนั ใหช้ มุ ชนทางการเมอื งนน้ั สามารถทจ่ี ะบรรลคุ วามส�ำเร็จได้ตามวัตถปุ ระสงคข์ องชมุ ชนทางการเมอื งเอง เม่อื พิจารณาถงึ รปู แบบหรือประเภทของสถาบันทางการเมืองจะพบว่า สถาบันทางการเมือง อาจจะเป็นสถาบันทางการเมืองของรัฐ หรืออาจเป็นสถาบันทางการเมืองของกลุ่มชนนอกจากรัฐก็ได้ เพราะสถาบันการเมืองนั้นมิใช่เฉพาะจะมีปรากฏตามตัวบทกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังมี สถาบนั ทางการเมืองตามขอ้ เทจ็ จริง เช่น กล่มุ ผลประโยชน์ เป็นตน้ ๑๔๗ Roy C. Macridis. The Study of Comparative Government. (New York : Doubleday & Company Inc., ๑๙๕๕), pp. ๒๔.

240 รัฐศาสตรเ์ บอื้ งต้น Eisenstadt๑๔๘ มองสถาบันทางการเมืองในแง่ของกิจกรรมโดยเน้นพจิ ารณาว่า กจิ กรรมของ สถาบนั ทางการเมอื งนัน้ มเี ป้าหมาย หรอื วตั ถุประสงค์เชน่ ไร ฉะนัน้ สถาบันทางการเมอื งในแนวคิดของ เขาจึงหมายถึง “กิจกรรมหรือการกระท�ำท่ีมุ่งจะรักษาเสถียรภาพของความเป็นองค์การของสถาบัน ทางการเมอื งไว้ ซง่ึ อาจจะสง่ ผลกระทบตอ่ กลมุ่ สงั คมหรอื ชมุ ชนทางการเมอื งทส่ี ถาบนั ทางการเมอื งนน้ั ด�ำรงอยู่” หากพจิ ารณาลักษณะของสถาบันทางการเมืองอาจสรปุ ได้ ๓ ลกั ษณะดังน๑ี้ ๔๙ ๑. มีแบบแผน ซ่ึงหมายถึงการจัดตั้ง การยอมรับในพฤติกรรมหรือกิจกรรมทั้งหลาย รวมถึง กฎเกณฑ์ บรรทดั ฐาน และกระบวนการต่าง ๆ ๒. มีโครงสร้างและองค์การทางการเมือง ที่คอยก�ำหนดรูปแบบและวิธีการในการประพฤติ ปฏิบตั กิ ิจกรรมทางการเมอื ง ๓. มีปฏิสัมพันธ์หรือการกระท�ำท่ีเก่ียวกับกิจกรรมทางการเมือง หรือการมีส่วนร่วมทางการ เมืองของบุคคล กลุ่มสมาคม หรอื สังคมใหญ่ทงั้ สงั คม สรุป สถาบันทางการเมืองหมายถึง แบบแผนท่ีถูกสร้างข้ึนมาหรือด�ำรงไว้ซ่ึงพฤติกรรมหรือ การกระทำ� ทางการเมอื ง ซงึ่ อาจเปน็ ไปในลกั ษณะทเ่ี ปน็ ทางการหรอื ไมเ่ ปน็ ทางการกไ็ ด้ สถาบนั ทางการ เมอื งทำ� หนา้ ทใ่ี นการสรา้ งความเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ยในสงั คมอนั เปน็ การรกั ษาความสงบภายในสงั คม ซึ่งเป็นประโยชน์สุขของส่วนรวม อีกท้ังยังเป็นสถาบันที่ท�ำหน้าท่ียุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และเปน็ หลกั ประกนั ถงึ เสถยี รภาพของระบบการเมอื งทจี่ ะสามารถดำ� เนนิ กจิ กรรมและดำ� รงอยภู่ ายใต้ การเปลยี่ นแปลงของส่ิงแวดล้อม เสถยี รภาพของสถาบันทางการเมอื ง การศกึ ษาสถาบนั ทางการเมอื งอนั เปน็ โครงสรา้ งทางการเมอื งหนง่ึ ทที่ ำ� หนา้ ทเี่ พอื่ ใหบ้ รรลตุ าม วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงสรา้ งทางการเมอื งนนั้ ๆ สง่ิ หนงึ่ ทเี่ ราจะตอ้ งพจิ ารณากค็ อื โครงสรา้ งหรอื สถาบนั ทางการเมอื งดงั กลา่ วมคี วามเปน็ เสถยี รภาพหรอื ระดบั ความเปน็ สถาบนั ทางการเมอื ง (Political Insti- tutionalization) มากนอ้ ยแคไ่ หน เพยี งใด ส�ำหรบั ในประเด็นน้ี Huntington ไดเ้ สนอปจั จัยหลกั ทใี่ ช้ ในการวัดระดับการพฒั นาของสถาบันไว้ ๒ ประการ กลา่ วคือ๑๕๐ ๑๔๘ S. N. Eisenstadt, Essays on Comparative Institutions. (New York : John Wiley and Sons, Inc., ๑๙๖๕), pp. ๔๔. ๑๔๙ สชุ าย ตรรี ตั น์ “แนวความคดิ ใหมเ่ กยี่ วกบั สถาบนั ทางการเมอื ง” ใน วารสารสงั คมศาสตร,์ ปที ่ี ๑๕ ฉบบั ท่ี ๑ มกราคม – มนี าคม ๒๕๒๑, น. ๙๔ -๙๕ ๑๕๐ Samuel P. Huntington, Political Order in Changing Societies, (New Haven and London : Yale University press, ๑๙๖๘), pp. ๑๒ - ๒๔

สถาบันทางการเมอื ง (Political Institution) 241 ๑. ขอบเขตของการสนับสนุน (Scope of Support) หมายถึง ขอบเขตท่ีสถาบันและ กระบวนการทางการเมืองของสถาบันจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนให้สามารถด�ำเนินกิจกรรม ถ้าสถาบันใดมีสมาชิกจ�ำนวนมากและมาจากหลายกลุ่ม หลายชนชั้นท่ีแตกต่างหลากหลาย อันเป็น เครอื่ งแสดงถงึ การไดร้ บั การสนบั สนนุ จากประชาชนในขอบเขตทกี่ วา้ งขวาง สถาบนั นนั้ มกั มรี ะดบั ของ การพัฒนาและมีเสถียรภาพสูง แต่หากในสถาบันมีจ�ำนวนสมาชิกกลุ่มน้อยและปิดแคบอยู่เฉพาะใน กลุ่มใดกลุ่มหน่งึ หรือชนช้ันใดชนช้ันหน่งึ เป็นการแสดงถงึ การขาดการสนับสนนุ จากประชาชน อันจะ ส่งผลใหส้ ถาบันนัน้ ขาดเสถยี รภาพมรี ะดับของการพัฒนาทต่ี ่ำ� ๒. ระดับของความเป็นสถาบัน (Level of Institutionalization) มีปัจจัยที่ใช้ในการ พิจารณาเปน็ องค์ประกอบในการวัดระดับของความเปน็ สถาบันดังตอ่ ไปนี้ ๒.๑ ความสามารถในการปรบั ตวั (Adaptability) หมายถงึ ความสามารถในการตอบ สนองหรอื ทำ� หนา้ ทเ่ี พอ่ื การคงอยขู่ องสถาบนั ไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง แมว้ า่ สภาพแวดลอ้ มทางเศรษฐกจิ สงั คม หรอื การเมอื งจะมกี ารเปลยี่ นแปลงไป หากสถาบนั ใดมคี วามสามารถในการปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สงิ่ แวดลอ้ ม ที่เปล่ียนแปลงไปได้ดี สถาบันบันนั้นจะมีระดับของความเป็นสถาบันท่ีสูง และหากสถาบันใดมีความ ยดื หยนุ่ ในประเดน็ การปรบั ตวั นอ้ ย สถาบนั นนั้ กจ็ ะมคี วามเปน็ สถาบนั ในระดบั ตำ่� ซง่ึ การจะรวู้ า่ สถาบนั ใดมีความสามารถในการปรับตัวมากน้อยแคน่ ้อยแค่ไหนนั้นอาจพจิ ารณาได้จาก ก. อายุของสถาบัน (Chronological age) จากตรรกะทวี่ ่า สถาบนั ทีม่ อี ายยุ าวนาน จะแสดงถงึ ความสามารถในการปรบั ตวั ของสถาบนั ทจ่ี ะดำ� รงอยู่ หรอื อกี นยั หนงึ่ อาจกลา่ วไดว้ า่ สถาบนั นน้ั มรี ะเบยี บและวธิ กี ารในการตอบสนองหรอื แกไ้ ขปญั หาตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ไดต้ ลอดระยะเวลาทสี่ ถาบนั ด�ำรงอยู่ แต่ท้ังนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เพียงการมีอายุท่ียาวนานเพียงอย่างเดียวจะสามารถแสดงถึง ความสามารถในการปรับตัวของสถาบัน ทั้งน้ีเพราะยังมีปัจจัยอ่ืนท่ีจะต้องพิจารณาร่วมด้วยอีกหลาย ประการ ข. อายุของกลมุ่ ผู้นำ� ในสถาบนั (Generational age) โดยพจิ ารณาจากการสบื ทอด อำ� นาจของผู้น�ำ นั่นคือหากการสืบทอดอำ� นาจโดยการเปล่ียนตวั ผู้น�ำจากรุ่นหนงึ่ ไปสอู่ กี รนุ่ หน่ึงก็ย่อม แสดงถึงปัญหาในการสืบทอดอ�ำนาจและเปลี่ยนผู้น�ำ ฉะนั้นแม้ว่าสถาบันนั้นจะมีอายุการด�ำเนินงาน มาอย่างต่อเน่อื งยาวนานแตห่ ากเป็นการด�ำเนนิ งานโดยกลุ่มผนู้ ำ� เพยี งกลมุ่ เดยี วในร่นุ แรก ๆ กไ็ ม่อาจ กลา่ วได้อยา่ งเตม็ ท่วี ่าสถาบันน้นั มคี วามสามารถในการปรับตัวท่ีดี ค. การท�ำหน้าที่ของสถาบัน (Organization’s functions) ในประเด็นน้ีอยู่บนพื้น ฐานท่ีว่าสถาบันหรือองค์การที่มีความสามารถในการปรับตัวจะต้องมีการปรับเปล่ียนหรือสร้างหน้าที่ หลักของสถาบันหรือองค์การขึ้นมาใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมท่ีเปล่ียนไป นั่นคือ เม่ือ

242 รัฐศาสตร์เบือ้ งตน้ หน้าที่หลักอันเดิมไม่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปล่ียนไป สถาบันน้ันจะต้องมีการปรับ เปล่ียนหน้าที่หลักหรือสร้างหน้าท่ีหลักขึ้นใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพท่ีเปลี่ยนไป และจากการ เปลยี่ นแปลงหนา้ ทห่ี ลกั นเี้ องทำ� ใหส้ ถาบนั นนั้ สามารถดำ� รงอยเู่ พอ่ื การดำ� เนนิ กจิ การตอ่ ไปไดโ้ ดยไมต่ อ้ ง ยุตบิ ทบาทลงเพราะหมดหนา้ ท่หี รือบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์แลว้ ๒.๒ ความสลับซับซ้อน (Complexity) เป็นการพิจารณาถึงลักษณะของสถาบันว่ามีหน่วย ยอ่ ยมากนอ้ ยเพียงใด มกี ารจ�ำแนกโครงสรา้ งการท�ำงานตามความรู้ ความสามารถ และมีลักษณะแบ่ง งานกันท�ำตามความช�ำนาญเฉพาะด้านหรือไม่ รวมถึงการพิจารณาในการบังคับบัญชาว่าเป็นไปใน ลกั ษณะตามสายงานหรือไม่ เพราะสถาบันใดทมี่ ีหนว่ ยงานย่อยมาก มโี ครงสรา้ งการทำ� งานตามความ รู้ความสามารถ แบ่งงานกันท�ำตามความช�ำนาญเฉพาะด้าน และมีการบังคับบัญชาเป็นล�ำดับข้ันตาม สายงานจะแสดงถงึ ความมน่ั คงของสถาบนั นน้ั จากประเดน็ นจ้ี ะมสี ว่ นในการสรา้ งความจงรกั ภกั ดขี อง สมาชกิ ท่มี ีต่อองค์การขึ้น อนั จะส่งผลใหส้ ถาบนั หรอื องค์การนนั้ มีเสถียรภาพ ๒.๓ ความเป็นอิสระ (Autonomy) หมายถึงความสามารถของสถาบันหรือองค์การที่จะ ทำ� การตดั สนิ ใจไดด้ ว้ ยตนเอง มอี ำ� นาจในการดำ� เนนิ นโยบายใหเ้ ปน็ ไปตามระเบยี บวธิ กี ารขององคก์ าร หรอื สถาบนั ของตนเองได้ โดยไมถ่ กู ครอบงำ� หรอื ตกอยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจหรอื อทิ ธพิ ลขององคก์ ารอน่ื เพราะ หากสถาบนั ใดตอ้ งตกอยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจหรอื อทิ ธพิ ลขององคก์ ารอนื่ กจ็ ะไมส่ ามารถตดั สนิ ใจหรอื ดำ� เนนิ กิจกรรมให้เปน็ ไปตามวตั ถปุ ระสงค์หรอื ระเบียบวธิ ปี ฏบิ ตั ขิ องตนเองได้ นนั่ เป็นเครอื่ งหมายทีแ่ สดงถึง ความไรเ้ สถยี รภาพของสถาบนั หรอื องคก์ ารนนั้ เพราะเมอ่ื ตกอยภู่ ายใตอ้ าณตั ขิ ององคก์ ารอน่ื จงึ เปน็ การ ยากที่จะสรรสรา้ งความตอ่ เน่ืองและความเป็นอนั หนง่ึ อันเดียวแก่สถาบันได้ ไมว่ ่าจะเป็นนโยบาย การ ตัดสินใจ หรือวิธีการด�ำเนินกิจกรรม ซึ่งหากจะพิจารณาไปถึงอนาคตของสถาบันก็จะพบว่าเป็นการ ด�ำเนินกิจกรรมบนพ้ืนฐานความไม่แน่นอนเพราะกิจกรรมท่ีด�ำเนินอยู่นั้นอาจจะต้องถูกเปลี่ยนแปลง หรอื ยุตบิ ทบาทลงตามทศิ ทางทถ่ี ูกก�ำหนดจากองคก์ ารท่ีมอี ทิ ธพิ ลหรอื อ�ำนาจสูงกวา่ ๒.๔ ความเป็นปกึ แผน่ (Coherence) หรือความไม่แตกแยกมคี วามเปน็ อันหนงึ่ อันเดียวกัน นน่ั เอง ซง่ึ ในประเดน็ นถี้ อื เปน็ เงอื่ นไขสำ� คญั สำ� หรบั สถาบนั ทกุ สถาบนั รวมทงั้ สถาบนั ทางการเมอื งดว้ ย ความเป็นปึกแผน่ น้เี น้นรวมถึงการมคี วามเหน็ ท่ีสอดคลอ้ งต้องกนั เพราะการท่จี ะได้รบั การขนานนาม วา่ เป็นสถาบันหรือองคก์ ารทมี่ ีประสทิ ธิภาพนั้น องคป์ ระกอบหนงึ่ ทจ่ี ะขาดเสยี มไิ ดก้ ค็ อื จะต้องมีความ คดิ เหน็ ทส่ี อดคลอ้ งตอ้ งกนั โดยเฉพาะในเรอื่ งในประเดน็ ทเี่ กยี่ วกบั ขอบเขตอำ� นาจหนา้ ท่ี ทงั้ นเี้ ราจะตอ้ ง ยอมรับว่าการด�ำเนินกิจกรรมในทุกองค์การจะต้องมีข้อขัดแย้งท่ีไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เสมอ แต่ถ้า องคก์ ารนนั้ มคี วามเหน็ สอดคลอ้ งตอ้ งกนั ไปในทศิ ทางเดยี วกนั การยตุ ปิ ญั หาหรอื ขอ้ ขดั แยง้ กจ็ ะสามารถ ท�ำได้โดยสันติ เพราะสมาชิกที่ร่วมกันจะมีเป้าหมายหลักหรือแนวทางหลักมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน

สถาบันทางการเมือง (Political Institution) 243 การแกไ้ ขปญั หาขอ้ ขดั แยง้ จงึ เปน็ การแกไ้ ขเพอื่ มงุ่ สเู่ ปา้ หมายขององคก์ ารโดยไมท่ ำ� ใหเ้ กดิ ความแตกแยก จนอาจกลายเปน็ ทำ� ใหส้ ถาบนั ตอ้ งประสบปญั หาความไร้เสถยี รภาพ ในทน่ี จ้ี ะขอกลา่ วเฉพาะสถาบนั ทางการเมอื งหลกั ๆ อนั ไดแ้ ก่ รฐั ธรรมนญู นติ บิ ญั ญตั ิ บรหิ าร ตุลาการ กลุ่มผลประโยชน์ และพรรคการเมือง รัฐธรรมนูญ (Constitution) รัฐธรรมนูญ ถือเป็นกฎหมายสูงสุด (supreme law) ของประเทศและกฎหมายข้ันมูลฐาน (fundamental law) ซึ่งกฎหมายอนื่ ใดทจ่ี ะขดั ตอ่ บทบญั ญตั ิของรฐั ธรรมนญู ไมไ่ ด้ หากมีการบญั ญตั ิ กฎหมายอื่นขัดต่อรัฐธรรมนูญให้กฎหมายน้ันตกเป็นโมฆะคือไม่ผลในการใช้บังคับ รัฐธรรมนูญจึงถือ เป็นเครื่องมือที่ส�ำคัญท่ีสุดในการท่ีจะอ�ำนวยการปกครองให้บรรลุเป้าหมายตามท่ีผู้ปกครองต้องการ ไม่ว่าจะเป็นในระบอบประชาธิปไตยหรือเผด็จการ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นข้อบัญญัติที่ระบุถึงสิทธิ อ�ำนาจ หน้าที่ และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน เช่น ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ก็จะมีข้อบัญญัติที่จ�ำกัดอ�ำนาจของรัฐบาลไว้ในรัฐธรรมนูญ และในขณะเดียวกันได้ก�ำหนดสิทธิและ เสรีภาพของบคุ คลไว้อย่างชัดแจ้งในรัฐธรรมนูญเชน่ กัน๑๕๑ ความหมายของ “รฐั ธรรมนูญ” ความหมายของรฐั ธรรมนญู มคี �ำนิยามหลากหลายจากท่านผู้รู้ ซึง่ พอประมวลไดด้ ังต่อไปน้ี จรูญ สุภาพ ได้ให้ความหมายของรัฐธรรมนูญไว้ในสารานุกรมรัฐศาสตร์ว่า๑๕๒ “รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ซึ่งก�ำหนดรูปแบบการปกครองหน่วยงานและกระบวนการให้อ�ำนาจ ปกครอง รวมทั้งหลักประกันสิทธิเสรีภาพของเอกชนด้วย และโดยทั่วไปหมายถึง กฎหมายสูงสุดของ รฐั ท่ีไดบ้ ญั ญัตขิ ึน้ ไว้อยา่ งแนน่ อนชดั เจน เปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร สาระส�ำคญั ของกฎหมายน้ีกค็ ือ วางรปู แบบและกระบวนการในการปกครอง กำ� หนดขอบเขตอำ� นาจและความรบั ผดิ ชอบขององคก์ รทางการ เมืองการปกครองของรัฐ (หรือท่ีเรียกว่ารัฐบาล) รวมตลอดถึงการก�ำหนดหลักประกันในเร่ืองสิทธิ และเสรภี าพมูลฐานของพลเมือง” นงเยาว์ พีระตานนท์ ได้ให้ความหมายว่า๑๕๓ “รัฐธรรมนูญ คือกฎหมายสูงสุดท่ีก�ำหนดกฎ เกณฑก์ ารปกครองประเทศ สถาบันทางการปกครองและการใชอ้ ำ� นาจปกครอง อกี ทงั้ เป็นกฎหมายท่ี กำ� หนดหลักประกันคุ้มครองสิทธเิ สรีภาพของประชาชน” ๑๕๑ อานนท์ อาภาภริ ม, รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งต้น. (กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๘), น. ๕๗. ๑๕๒ จรูญ สภุ าพ, ศ., เร่อื งเดิม, หนา้ ๖๙ ๑๕๓ นงเยาว์ พรี ะตานนท,์ เรอ่ื งเดมิ , หน้า ๗๑

244 รฐั ศาสตร์เบ้ืองตน้ โกวทิ วงศ์สรุ วฒั น์ ได้ใหค้ วามหมายของรัฐธรรมนญู ไวว้ า่ ๑๕๔ “รัฐธรรมนญู คือกฎหมายสงู สุด ของรัฐ รัฐธรรมนูญคือกฎหมายแม่บทของกฎหมายท้ังหลายในรัฐ กฎหมายใดท่ีขัดแย้งกับกฎหมาย รัฐธรรมนูญ กฎหมายน้ันต้องถือเป็นโมฆะ กฎหมายท้ังหมดในรัฐจ�ำเป็นต้องเป็นไปตามแนวทางของ กฎหมายรฐั ธรรมนญู กฎหมายรัฐธรรมนูญโดยท่ัวไปบัญญัติว่าด้วยรูปของรัฐ การแบ่งอ�ำนาจอธิปไตย สิทธิและ หน้าที่ของประชาชน รูปของรัฐบาล ระเบียบแบบแผนของการปกครอง ฯลฯ วัตถุประสงค์ของ ความจ�ำเปน็ ท่ีต้องมีรัฐธรรมนญู กค็ ือการปกครองรัฐตอ้ งเปน็ ไปโดยกฎหมาย มิใชโ่ ดยผู้มอี ำ� นาจ” วทิ ยา นภาศริ กิ ลุ กจิ ไดส้ รปุ ความหมายของรฐั ธรรมนญู วา่ ๑๕๕ “รฐั ธรรมนญู คอื กฎหมายสงู สดุ ของประเทศ ซึง่ ก�ำหนดรูปแบบและหลักการในการจดั การปกครอง การใชอ้ �ำนาจของผปู้ กครอง การ สืบตอ่ อำ� นาจ ตลอดจนขอบเขตหน้าทแี่ ละสิทธเิ สรีภาพของประชาชน” เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์ ได้ใหค้ วามหมายของรัฐธรรมนูญไวว้ ่า๑๕๖ “รัฐธรรมนญู คือกฎหมาย สูงสุดหรือกฎหมายหลักของประเทศ ซ่ึงบัญญัติว่าด้วยรูปของรัฐ รูปของรัฐบาล การแบ่งแยกอ�ำนาจ อธิปไตย องคก์ รท่ใี ชอ้ �ำนาจอธปิ ไตยตลอดจนสิทธแิ ละหน้าทีข่ องประชาชน” ประสาร ทองภกั ดี ได้สรปุ ความหมายของรฐั ธรรมนญู วา่ ๑๕๗ “รฐั ธรรมนญู คือ กฎหมายสูงสดุ (Supreme Law) ในรัฐ เป็นแม่บทของกฎหมายท้ังหลายในรัฐ หรือเป็นกฎหมายหลัก (Basic Law) หรือกฎหมายรากฐาน (Fundamental Law) ในรัฐน้ัน ๆ โดยท่ัวไปกฎหมายรัฐธรรมนูญย่อม บัญญัติว่าด้วยรูปของรัฐและรัฐบาล การแบ่งแยกอ�ำนาจอธิปไตย องค์การที่ใช้อ�ำนาจอธิปไตย และ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์การทีใ่ ช้อำ� นาจอธปิ ไตย ตลอดจนสทิ ธแิ ละหนา้ ทีข่ องประชาชน ทกุ ประเทศ ในโลกปัจจุบันย่อมมีรัฐธรรมนูญของตน ไม่ว่าจะเป็นประเทศในโลกเสรีประชาธิปไตยหรือโลก เผดจ็ การ” จากคำ� นยิ ามทงั้ หลายดงั กล่าวขา้ งตน้ พอสรปุ ความหมายของรฐั ธรรมนูญไดว้ ่า “รัฐธรรมนูญ คือ กฎหมายหลัก กฎหมายสูงสุดของรัฐ อันเป็นแม่บทของกฎหมายทั้งหลายภายในรัฐ ซ่ึงบัญญัติว่า ดว้ ยรปู แบบของรฐั หรอื รปู แบบของรฐั บาล ตลอดจนการแบง่ แยกอำ� นาจอธปิ ไตย การใชอ้ ำ� นาจอธปิ ไตย และสิทธหิ นา้ ท่ีของพลเมอื ง” ๑๕๔ โกวิท วงศ์สรุ วัฒน์, รศ., ดร., เรือ่ งเดิม, หน้า ๖๐ ๑๕๕ วิทยา นภาศิรกิ ุลกจิ , รศ., ดร., สรุ พล ราชภณั ฑารกั ษ์, รศ., ดร., เรื่องเดิม, หนา้ ๙๙ ๑๕๖ เดชชาติ วงศโ์ กมลเชษฐ,์ เรอ่ื งเดิม, หน้า ๑๙๔ ๑๕๗ ประสาร ทองภักด,ี พ.ท., เรอื่ งเดิม, หน้า ๘๖

สถาบนั ทางการเมือง (Political Institution) 245 รฐั ธรรมนญู จงึ หมายถงึ กฎหมายสงู สดุ ในการปกครองประเทศ โดยกำ� หนดรปู แบบ หลกั การ และวิธกี ารดำ� เนินการปกครอง รวมทั้งก�ำหนดหนา้ ท่ที ป่ี ระชาชนมตี อ่ รัฐและอ�ำนาจหน้าท่ีที่รฐั จะมตี อ่ ประชาชน จากความหมายของรฐั ธรรมนูญทก่ี ลา่ วมาจะเหน็ ได้ว่า รฐั ทกุ รฐั จ�ำตอ้ งมรี ัฐธรรมนญู อนั เปน็ กฎหมายสงู สดุ หรอื กฎหมายหลักของประเทศ ไม่วา่ รฐั หรอื ประเทศนนั้ จะมรี ะบอบการปกครองเช่นไร เพราะฉะน้ันการท่ีรัฐใดหรือประเทศมีรัฐธรรมนูญจึงไม่ได้หมายความว่ารัฐนั้นหรือประเทศนั้นมีการ ปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย ในทางตรงกนั ขา้ มรัฐท่มี รี ัฐธรรมนญู อาจเป็นรฐั ที่ปกครองในรูปแบบ เผด็จการก็ได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า ทุกประเทศต้องมีการจัดระเบียบอ�ำนาจการปกครองบังคับบัญชา สูงสุด เพียงแต่ว่าการจัดระเบียบการปกครองบังคับบัญชานั้นจะเป็นไปในรูปแบบใดย่อมขึ้นอยู่กับ อุดมการณ์ของแต่ละประเทศ เช่น ในอุดมการณ์ประชาธิปไตยก็จะมีการก�ำหนดหลักประกันเสรีภาพ แกป่ ระชาชน มกี ารแบง่ แยกอำ� นาจอธปิ ไตย แตถ่ า้ เปน็ อดุ มการณอ์ น่ื ทไ่ี มใ่ ชป่ ระชาธปิ ไตยกจ็ ะมแี นวทาง ในการจัดระเบียบการปกครองที่ต่างออกไป เช่น อาจจะไม่ให้มีการแบ่งแยกอ�ำนาจอธิปไตย โดยการ รวมอ�ำนาจอธิปไตยไว้ที่สถาบันใดสถาบันหนึ่งหรือบุคคลใดบุคคลหน่ึง เป็นต้น จึงอาจกล่าวได้ว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายท่ีใช้เป็นหลักในการปกครอง นั่นคือเป็นเพียงเคร่ืองมือช้ินหน่ึงที่คณะบุคคล สร้างมันข้ึนมาเพื่อความชอบธรรมในการปกครองบริหารประเทศ และเพื่อเป็นฐานในการใช้อ�ำนาจ ทางการเมือง ลักษณะส�ำคัญของรัฐธรรมนญู ลักษณะส�ำคัญของรฐั ธรรมนูญ พอสรุปได้ ๕ ประการ คือ ๑. รฐั ธรรมนญู เป็นกฎหมายสูงสุดของรฐั หรือประเทศ ๒. รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายทก่ี �ำหนดหลกั การเกีย่ วกบั การจัดระเบียบการปกครอง ๓. รัฐธรรมนญู เปน็ กฎหมายทีป่ ระกนั สทิ ธแิ ละเสรีภาพของประชาชน ๔. การเปลย่ี นแปลงแก้ไขกระท�ำไดย้ ากกวา่ ธรรมดา ๕. การมผี ลใช้บงั คบั แนน่ อนคงทนกว่า ๑. รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ สืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายท่ีตั้งอ�ำนาจต่าง ๆ ของรัฐ โดยเป็นผู้สร้างอ�ำนาจต่าง ๆ รฐั ธรรมนญู จงึ เปน็ กฎหมายหลกั หรอื กฎหมายมลู ฐานทเ่ี ปน็ ตน้ กำ� เนดิ ของกจิ กรรมทง้ั ปวง และอยเู่ หนอื อ�ำนาจต่าง ๆ ท่ีตั้งข้ึน กฎหมายของรัฐทั้งหมด จึงมีต้นตอหรือรากฐานมาจากรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ กฎหมายต่าง ๆ บัญญัติข้ึนโดยรัฐสภา และโดยที่รัฐสภาถูกสร้างหรือก�ำเนิดขึ้นโดยบทบัญญัติของ รฐั ธรรมนญู ดงั นั้น กฎหมายใดทรี่ ฐั สภาบัญญตั ิขึน้ ขัดกบั รัฐธรรมนูญ ซงึ่ เปน็ กฎหมายแมบ่ ท จึงถือวา่ กฎหมายนัน้ ไม่มีคุณคา่ ทางกฎหมาย คือเปน็ โมฆะใชบ้ งั คบั ไม่ได้

246 รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งต้น ๒. รัฐธรรมนูญเปน็ กฎหมายที่กำ� หนดหลกั การเก่ยี วกับการจัดระเบยี บการปกครอง กลา่ ว คือรัฐธรรมนูญจะวางรูปแบบและโครงสร้างของรัฐบาลอย่างไร โดยระบุองค์กรหรือหน่วยงานที่จะใช้ อ�ำนาจปกครอง ซ่ึงโดยมากนิยมแบ่งแยกการใช้อ�ำนาจออกเป็นส่วนต่าง ๆ เช่น องค์ประมุข รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรผู้ใช้อ�ำนาจต่าง ๆ วิธีการด�ำเนินการใช้อ�ำนาจ การเข้าสตู่ ำ� แหน่ง รวมทง้ั การสิ้นสดุ จากตำ� แหนง่ เปน็ ตน้ ๓. รฐั ธรรมนญู เปน็ กฎหมายทปี่ ระกนั สทิ ธแิ ละเสรภี าพของประชาชน นอกจากรฐั ธรรมนญู จะกำ� หนดเนอื้ หาเกย่ี วกบั การจดั ระเบยี บการปกครองโดยตรงแลว้ รฐั ธรรมนญู สว่ นมากยงั มบี ทบญั ญตั ิ คมุ้ ครองสทิ ธแิ ละเสรภี าพขน้ั มลู ฐานของบคุ คลหรอื เอกชน และกำ� หนดขอบเขตแหง่ อำ� นาจของรฐั เพอ่ื ป้องกันการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลหรือเอกชนไว้ เช่น รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกามี บทบญั ญัตวิ า่ รฐั บาลไมม่ ีอำ� นาจท่จี ะจำ� กัดสทิ ธเิ สรภี าพของบุคคล ในสว่ นท่ีเกย่ี วกับการแสดงออกซึ่ง ความคดิ เห็นดว้ ยวาจา หรือมกี ารโฆษณาหรอื นับถือศาสนา เป็นต้น๑๕๘ ๔. การเปลย่ี นแปลงรฐั ธรรมนญู กระทำ� โดยยากกวา่ กฎหมายธรรมดา การแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ หรอื บทแกไ้ ข (Amendment, อเมนดเ์ มนท)์ ของรฐั ธรรมนญู มกั มกี ระบวนการ (Process) หรอื ขน้ั ตอนและ วิธีการท่ีกินเวลานาน และท�ำได้โดยยากกว่าการแก้ไขเปล่ียนแปลงกฎหมายธรรมดา ในกรณีประเทศ องั กฤษ ซง่ึ มรี ฐั ธรรมนูญอยา่ งทเี่ รยี กกนั วา่ ไมเ่ ปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษร การแกไ้ ขไม่มกี ระบวนการมาก แต่ รัฐสภาของอังกฤษ (ซึ่งหมายถึงสภาสามัญเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีอ�ำนาจมากกว่าสภาขุนนางอย่าง มหาศาล) มักใช้การพินิจพิจารณาและวิจารณญาณอย่างรอบคอบก่อนจะมีการแก้ไขตัวบทกฎหมาย (ซึง่ มีฐานะเทียบเทา่ กฎหมายรฐั ธรรมนญู โดยอตั โนมตั ิ) ๕. รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับแน่นอนคงทนกว่ากฎหมายอื่น โดยปกติถือกันว่ารัฐธรรมนูญ เป็นรากเหง้าหรือต้นตอของกฎหมายอ่ืน ๆ ดังนั้นข้อบัญญัติอื่นจะขัดกับรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมาย หลกั ของประเทศมไิ ด้ กฎหมายอ่ืน ๆ จะตอ้ งสอดคลอ้ งกับหลักการของรฐั ธรรมนญู หากขัดแย้งกต็ อ้ ง ถือวา่ กฎหมายน้นั ๆ ไมม่ ผี ลบังคบั ใช้๑๕๙ ประเภทรัฐธรรมนญู เพือ่ ความเขา้ ใจทง่ี า่ ยเราสามารถแบ่งรัฐธรรมนญู ออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี หรือรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร (Unwritten Constitution) เป็นรัฐธรรมนูญท่ไี ม่มกี ารเขียนไวเ้ ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรทีช่ ัดเจน รฐั ธรรมนูญประเภท ๑๕๘ สขุ ุม นวลสกลุ , รศ., ดร., วทิ ยา นภาศิรกิ ลุ กิจ, รศ. ดร., และวศิ ิษฐ์ ทวเี ศรษฐ, รศ., เร่อื งเดมิ , หน้า ๙๙ – ๑๐๐. ๑๕๙ จิรโชค (บรรพต) วีระสัย, ดร., สุรพล ราชภณั ฑารกั ษ,์ ดร., และสุรพันธ์ ทับสวุ รรณ์, ผศ., เร่ืองเดมิ , หนา้ ๑๕๑.

สถาบนั ทางการเมอื ง (Political Institution) 247 นี้จะเกิดก่อนรัฐธรรมนูญท่ีเป็นลายลักษณ์อักษร ซ่ึงจะพบได้ในประเทศอังกฤษอันเป็นประเทศแบบ ฉบบั การใช้รฐั ธรรมนญู ประเภทนี้ แตใ่ นความเป็นจรงิ แล้รัฐธรรมนญู ของประเทศองั กฤษกใ็ ชว่ ่าจะเปน็ รฐั ธรรมนญู จารตี ประเพณลี ว้ น ๆ หากแตจ่ ะประกอบดว้ ยหลกั เกณฑท์ ม่ี าจาก ๔ แหลง่ สำ� คญั ดงั ตอ่ ไปน้ี ก. กฎหมายทตี่ ราขน้ึ โดยรฐั สภา (State Law) ถ้ามีความเก่ยี วข้องกับการจัดระเบยี บอำ� นาจ ทางการเมืองการปกครอง ก็จะถือว่ากฎหมายนน้ั ๆ เปน็ ส่วนประกอบหนึ่งของรฐั ธรรมนญู ข. ค�ำพิพากษาของศาลยุติธรรม (Case Law) โดยเฉพาะในเรื่องที่เก่ียวกับการรับรองสิทธิ เสรภี าพของประชาชน สว่ นทม่ี าของคำ� พพิ ากษาจะมาจากสองทาง คอื กฎขอ้ บงั คบั ตา่ งๆ (Common Law) ทีม่ ีคำ� พิพากษาและการตคี วามทางกฎหมาย เป็นการทศ่ี าลสร้างกฎเกณฑข์ ึน้ ค. จารีตประเพณี (Custom) อันเปน็ ลักษณะประจ�ำชาติของอังกฤษท่ยี ึดถอื ขนบธรรมเนียม ประเพณีโดยเครง่ ครดั ง. ธรรมเนียมปฏิบตั ิทางรัฐธรรมนูญ (Convention of the Constitution) ไดแ้ ก่การปฏิบัติ ทางการเมืองทไี่ ม่ได้มาจากการรเิ ริม่ ของสภาหรือของศาล แตเ่ กิดจากการปฏิบตั ิซ้ำ� ๆ กนั มาเปน็ ระยะ เวลาท่ียาวนานจนกลายเปน็ ประเพณีท่ผี ้ปู กครองไม่อาจละเมิดได้ ข้อดีของรัฐธรรมนูญประเภทไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็คือ ความสามารถในการปรับเปล่ียน เพอ่ื ให้สอดคลอ้ งและทันการณ์กับเหตุการณ์หรือสภาพสงิ่ แวดล้อมทเี่ ปล่ยี นไป แต่กม็ ีข้อเสยี ในกรณที ่ี อาจมีผู้ปกครองกลุ่มใดตรากฎหมายใหม่มาเพื่อลบล้างกฎหมายเดิมก็จะเป็นการเปล่ียนแปลง รัฐธรรมนูญเดิมไปโดยทันที แต่เหตุการณ์เช่นน้ีไม่เกิดขึ้นกับอังกฤษ เพราะว่าชาวอังกฤษมีวัฒนธรรม ในการยึดถอื ขนบธรรมเนยี มประเพณีโดยเครง่ ครดั ตัวอย่างรัฐธรรมนญู ประเภททไี่ มเ่ ป็นลายลกั ษณอ์ ักษร๑๖๐ ตวั อยา่ งที่มกั จะอา้ งคอื รฐั ธรรมนญู ขององั กฤษ แตม่ ิได้จำ� กดั อยู่เฉพาะอังกฤษ ตวั อยา่ งอน่ื ๆ ได้แก่ นิวซีแลนด์ และอิสราเอล ก) ไม่มีการร่างข้ึนอย่างเป็นทางการ ลักษณะส�ำคัญของรัฐธรรมนูญแบบไม่เป็นลายลักษณ์ อกั ษร คอื ไมม่ กี ารรา่ งขน้ึ อยา่ งเปน็ ทางการ ขอ้ บงั คบั หรอื ระเบยี บตา่ ง ๆ มไิ ดป้ รากฏอยใู่ นเอกสารฉบบั ใดฉบับหน่ึง แต่ได้มีการบันทึกไว้ ณ ท่ีต่าง ๆ กันรวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีในการปฏิบัติต่าง ๆ ดว้ ย ๑๖๐ จริ โชค (บรรพต) วีระสัย, ดร., สรุ พล ราชภณั ฑารักษ์, ดร., และสุรพนั ธ์ ทับสวุ รรณ,์ ผศ., เร่อื งเดมิ , หน้า ๑๕๕ – ๑๖๕.

248 รัฐศาสตร์เบ้อื งต้น ข) ปฐมรฐั ธรรมนญู ขององั กฤษ : มหาเอกสาร เอกสารทมี่ ลี กั ษณะซงึ่ อาจเรยี กไดว้ า่ เปน็ ปฐม รัฐธรรมนูญของอังกฤษคือ แม็กนา คาร์ตา (Magna Carta) แม็กนา คาร์ตานี้เขียนเป็นภาษาลาติน ซง่ึ เปน็ ภาษาโบราณซง่ึ มมี ากอ่ นภาษาองั กฤษ แปลตามตวั อกั ษรไดว้ า่ ๑) “มหาเอกสาร” หรอื ๒) “แผน่ กระดาษใหญ”่ หรือ ๓) “มหาบัตร” Magna แปลว่า ใหญ่ และ Carta แปลวา่ แผ่นหรือบตั ร (ต่อมา คอื คำ� วา่ card นนั่ เอง) นอกเหนอื จากแมก็ นา คารต์ านแี้ ลว้ ซง่ึ ประกาศใชป้ ระมาณ ๖๐๐ ปเี ศษมาแลว้ คือในปี ค.ศ. ๑๒๑๕ (พ.ศ. ๑๗๕๘) ก็ยังมีเอกสารอื่นที่จัดได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญของอังกฤษ เช่น “บทบัญญัติแห่งสิทธิ” (Bill of rights) ซ่ึงประกาศใช้ในปี ค.ศ. ๑๖๘๙ (ภายหลัง “การปฏิวัติอัน รงุ่ โรจน”์ The Glorious Revolution ในปี ๑๖๘๘ – ๑๖๘๙) ค) บทบญั ญตั แิ หง่ สทิ ธิ กฎหมายหรอื บทบญั ญตั เิ ปน็ การเปดิ ประตแู หง่ ความเปน็ ประชาธปิ ไตย ในองั กฤษใหก้ วา้ งขวางยง่ิ ขนึ้ ทงั้ นเ้ี พราะเปน็ การเปลยี่ นอำ� นาจอธปิ ไตยจากกษตั รยิ อ์ งั กฤษ การประกาศ แมก็ นา คารต์ า เปน็ การลดอำ� นาจกษตั รยิ อ์ งั กฤษอยแู่ ลว้ แตถ่ กู ลดลงมากกวา่ เดมิ อกี เมอ่ื มกี ารประกาศ ใช้บทบัญญัติแห่งสิทธิ คือการยอมรับว่าพลเมืองมีสิทธิต่าง ๆ ติดกับตนเองในฐานะเป็นประชาชนคน ธรรมดา ง) พระราชบัญญัติปฏิรูป มีกฎหมายซ่ึงมีฐานะเทียบเท่ากับ (หรือเป็นส่วนหน่ึงของ) รัฐธรรมนูญอังกฤษ คือ “พระราชบัญญัติปฏิรูป” (Reform Act) ซ่ึงประกาศใช้ในปี ค.ศ. ๑๘๓๒ (ประมาณ ๑๕๐ ปีมาแล้ว) พระราชบัญญัตินี้ว่าด้วยการปฏิรูประบบการเป็นผู้แทนราษฎร และเก่ียว กับสทิ ธใิ นการออกเสยี งเลือกต้ังของคนองั กฤษ จ) พระราชบญั ญัตริ ัฐสภา (Parliament Act) ประกาศใชใ้ นปี ค.ศ. ๑๙๑๑ คอื ประมาณ ๓ ปีก่อนมหาสงครามโลกครั้งท่ี ๑ พระราชบัญญัติฉบับน้ีเป็นเร่ืองที่ก�ำหนดระเบียบกฎเกณฑ์ในการ ดำ� เนนิ งานของรัฐสภาองั กฤษ ๒. รฐั ธรรมนญู ทเ่ี ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร (Written Constitution) เปน็ รฐั ธรรมนญู ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในศตวรรษที่ ๑๘ พร้อมกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยจะมีลักษณะเขียนไว้เป็นลาย ลักษณ์อักษรในเอกสารที่ชัดเจน ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรกที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ประเภทนี้ คือมีการประกาศใช้บทบัญญัตแิ หง่ สมาพนั ธ์ (Articles of the Confederation) ในปี ค.ศ. ๑๗๘๗ แต่ต่อมาหลงั จากปคี .ศ. ๑๗๘๗ เรียกว่ารัฐธรรมนูญโดยใชศ้ พั ท์ “Constitution of United of America”๑๖๑ และในปจั จบุ นั ประเทศตา่ ง ๆ โดยสว่ นใหญจ่ ะใชร้ ฐั ธรรมนญู ทเ่ี ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรเปน็ กฎหมายสูงสุดของประเทศ ท้ังนี้เน่ืองมาจากความแน่ชัดในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่มีการเขียนไว้ ในเอกสารที่ชัดเจน ๑๖๑ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, เอกสารการสอนชุดวิชาหลักรัฐศาสตร์และการบริหาร. (นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัย ธรรมาธิราช, ๒๕๓๓) น.๑๖๓.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook