พรรคการเมอื งและกลุม่ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 299 บรหิ าร ในประเทศทม่ี พี รรคการเมอื งหลายพรรค สมาชกิ ของพรรคการเมอื งมกั มอี ดุ มคตแิ ละหลกั การ เหมอื นกนั แตใ่ นระบบสองพรรค แตล่ ะพรรคมกั มสี มาชกิ ทม่ี คี วามคดิ หรอื พน้ื ภมู หิ ลงั ตา่ งกนั มาก เพราะ แตล่ ะพรรคอยากมสี มาชกิ ใหม้ ากทส่ี ดุ เชน่ ในสหรฐั อเมรกิ าคนมฐี านะทางเศรษฐกจิ ดี มกั จะนยิ มพรรค รพี บั ลกิ นั แต่กลับปรากฏกวา่ คนมั่งมกี ็สังกัดพรรคเดโมแครตเหมือนกนั ”๑๙๐ สำ� หรบั ความหมายพรรคการเมืองตามทศั นะนกั รฐั ศาสตร์ทั้งหลายมหี ลายนยั ดงั ต่อไปน้ี Duverger๑๙๑ กล่าวว่า พรรคการเมืองเปน็ องคก์ ารท่ีมงุ่ ตอ่ สูท่ างการเมอื งเพือ่ ให้ไดช้ ัยชนะใน การเลือกต้ังเพ่ือเข้าไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนหรือได้เป็นคณะรัฐบาล เพ่ือเข้าไปควบคุมหรือก�ำหนด นโยบายของรฐั บาล ใหไ้ ด้มาซ่ึงอ�ำนาจหรอื เพื่อการมีสว่ นแบ่งในการใช้อำ� นาจบรหิ ารปกครอง Neumann๑๙๒ นยิ ามพรรคการเมอื งวา่ เปน็ องคก์ ารของกลมุ่ ตวั แทนทางการเมอื งทเี่ ขา้ แขง่ ขนั กับกล่มุ หรอื พรรคการเมอื งอื่น ๆ ทมี่ แี นวความคดิ ทีแ่ ตกตา่ งไปจากตน ใหไ้ ด้มาซึ่งการสนับสนนุ จาก ประชาชนโดยท่วั ไป โดยมีจุดประสงคม์ ุง่ ควบคมุ อำ� นาจรัฐบาล Goodman๑๙๓ พรรคการเมอื งเปน็ องคก์ ารท่มี สี มาชกิ ทีม่ ลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กัน มาอยรู่ ่วมกนั โดยมีเจตนาท่ีเปิดเผยในการท่ีจะลงแข่งขันทางการเมือง ด้วยวิธีการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้ชัยชนะและ สามารถทจ่ี ะเขา้ ไปใชอ้ ำ� นาจรฐั บาล อนั จะทำ� ใหม้ สี ทิ ธใิ นการเขา้ ไปใชอ้ ำ� นาจการปกครองเพอื่ การไดร้ บั ผลประโยชนจ์ ากการที่ไดเ้ ขา้ ไปมีอ�ำนาจทางการเมอื งนัน้ La Palombara และ Weiner๑๙๔ ช้ีว่าพรรคการเมืองเป็นองค์ที่จัดต้ังขึ้นเพ่ือแสวงหาการ สนับสนุนจากประชาชนโดยส่วนรวม ให้ได้มาซึ่งอ�ำนาจในรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นการได้มาซึ่งอ�ำนาจใน รัฐบาลทง้ั หมดหรือเพียงบางส่วนก็ตาม พลศักด์ิ จิรไกรศิริ ได้สรุปความหมายของพรรคการเมืองไว้ว่า๑๙๕ “พรรคการเมืองคือคณะ บุคคลที่รวมตัวกันเป็นองค์การ ตามอุดมการทางการเมืองหรือหลักการทางการเมือง เศรษฐกิจและ สังคมท่ีคล้ายคลึงกันเพ่ือก�ำหนดเป็นนโยบาย และมีจุดมุ่งหมายท่ีเข้าไปท�ำหน้าที่รัฐบาลเพ่ือที่จะน�ำ นโยบายไปปฏบิ ัตติ ามอดุ มการณ์ของพรรค” ๑๙๐ จรญู สุภาพ. ศ., “สารานกุ รมรัฐสภา” (กรงุ เทพฯ, บริษัทสำ� นักพมิ พ์ไทยวัฒนาพานชิ จ�ำกัด : ๒๕๓๓) หนา้ ๑๕๒. ๑๙๑ Durverger, Op. Cit, pp. ๑ – ๕. ๑๙๒ Sigmund Neumann, Modern Political Parties. (Chicago : University of Chicago Press, ๑๙๕๖), pp. ๓๙๕ – ๓๙๗. ๑๙๓ William Goodman, The Two-Party System in the United States. (Princeton : D. Von Nostrand Company, Inc., ๑๙๕๖), pp. ๖ – ๘. ๑๙๔ Joseph La Palombara and Myron Weiner, “Political Parties and Political Development” in The Origin and Development of Political Parties. (Princeton : Princeton university Press, ๑๙๖๖), pp. ๒๘ – ๓๐. ๑๙๕ พลศักด์ิ จิรไกรศิร,ิ รศ., ดร., และคณะ, เรื่องเดิม, หน้า ๗๑
300 รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งต้น หยดุ แสงอทุ ยั ไดใ้ หค้ วามหมายของพรรคการเมอื งไวว้ า่ ๑๙๖“พรรคการเมอื งคอื คณะบคุ คลซง่ึ รวบรวมกันเพราะมีความเหน็ ในทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมในแนวทางใหญ่ตรงกนั และมีความ มงุ่ หมายท่จี ะเปน็ รฐั บาล อ�ำนวยการปกครองตามความคิดเห็นนน้ั ๆ” ประณต นันทิยะกุล ให้ความหมายของพรรคการเมืองไว้ว่า๑๙๗ “พรรคการเมืองหมายถึงการ รวมกนั ของบคุ คลทมี่ คี วามคดิ ทางการเมอื งหรอื เปน็ หนว่ ยของสงั คมซงึ่ มจี ดุ มงุ่ หมายรว่ มกนั ในทางการ เมือง ถือเป็นหน่วยงานของบทบาททางการเมือง เป็นช่องทางในการคมนาคมติดต่อกันทางการเมือง พรรคการเมอื งยงั เปน็ หนว่ ยทางการเมอื งทม่ี ไี วส้ ำ� หรบั คดั เลอื กและชกั ชวนสมาชกิ ใหม่ ๆ เปน็ ทส่ี ำ� หรบั คัดเลือกผู้น�ำโดยผ่านขบวนการตัวแทนภายในองค์กรและการเลือกตั้ง ตลอดจนเป็นองค์การท่ีใช้แก้ ปัญหาท่ีเกิดข้ึนในระหว่างผู้ที่มีความคิดแนวเดียวกันและร่วมกัน ท�ำหน้าที่ในการตัดสินใจในเร่ืองที่ เก่ียวข้องกบั นโยบายตอ่ สังคมภายนอก” วลิ เลยี ม กูดแมน (William Goodman, ๑๙๕๗ : ๘) ให้ความหมายว่า “พรรคการเมืองคอื องค์การซ่ึงเป็นที่รวมกันของสมาชิกที่มีความคิดเห็นคล้ายคลึงกัน โดยมีความมุ่งหมายอย่างชัดแจ้งท่ี หวงั จะไดร้ บั ชยั ชนะในการเลอื กตงั้ อนั จะทำ� ใหม้ สี ทิ ธเิ ขา้ ไปใชอ้ ำ� นาจการปกครองเพอ่ื จะไดร้ บั ประโยชน์ จากการเขา้ ไปมอี ำ� นาจทางการเมือง” (อา้ งจาก อานนท์ อาภาภริ ม, ๒๕๒๘ : ๘๗) แมกซ์ เวเบอร์ (Max Waber, ๑๙๔๗ : ๓๗๓ – ๓๗๔) ไดใ้ หท้ ศั นะเกย่ี วกบั พรรคการเมืองไว้ ๔ ลักษณะคอื ๑) พรรคการเมืองเปน็ กลุ่มแบบสมาคม ๒) การสมัครเป็นสมาชิกของพรรคต้องท�ำอย่างเป็นทางการ และมีการเปิดรับสมาชิกท่ัวไป กล่าวคือต้องมีหลักฐานเป็นใบสมัครและไม่มีการจ�ำกัดคุณสมบัติของผู้ท่ีเป็นสมาชิก โดยการ “เลือก ปฏบิ ตั ิ” ในเชิงเพศ ผวิ พรรณ เชือ้ ชาตแิ ละอาชพี ๓) จุดมุ่งหมายของพรรคการเมืองคือ เพื่อได้มาซึ่งอ�ำนาจส�ำหรับผู้น�ำ เพื่อว่าสมาชิกจะได้ บรรลุเป้าหมายตามอดุ มการณห์ รอื ผลประโยชนต์ า่ ง ๆ (ซึง่ แล้วแตส่ มาชิกจะก�ำหนดไว้) ๔) พรรคการเมืองต้องอยู่ภายในกลุ่มหรือภายในสังคมที่รวมตัวเป็นกิจลักษณะตามนัยนี้ องค์กรหรือสมาคมอันเป็นหน่วยย่อยของสังคมก็อาจมีพรรคการเมืองได้ (อ้างจากจิรโชค (บรรพต) วรี ะสัย และคณะ, ๒๕๔๐ : ๓๕๒) ๑๙๖ หยดุ แสงอทุ ัย, เรอ่ื งเดมิ , หน้า ๑๘๔ ๑๙๗ ประณต นันทิยะกุล, “พัฒนาการเมืองการปกครอง” เอกสารทางวิชาการประกอบค�ำบรรยาย, โครงการพัฒนาการเมือง การปกครอง, ภาควิชารฐั ศาสตร์, คณะรัฐศาสตร,์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ๒๕๒๕, หน้า ๑๕๓
พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 301 จากความหมายโดยภาพรวมเบือ้ งตน้ ของพรรคการเมือง ถ้าจะน�ำความหมายน้นั มาแยกยอ่ ย เปน็ ส่วนประกอบทสี่ ำ� คัญ ๆ ของพรรคการเมืองก็คงจะแยกเป็นสว่ นส�ำคัญได้ คอื ๑๙๘ ๑. พรรคการเมืองต้องเป็นคณะบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ดังนั้นบุคคลเพียงคนเดียวไม่สามารถ ก่อต้งั พรรคการเมืองได้ ๒. สมาชกิ ทมี่ ารวมกนั จะเปน็ ผมู้ คี วามคดิ เหน็ สว่ นใหญท่ างการเมอื งเศรษฐกจิ สงั คมในแนวทาง เดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน เช่น นิยมการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน หรือนิยมระบบ เศรษฐกจิ แบบเสรี เป็นตน้ ๓. สมาชิกท่ีรวมกันนั้นเป็นไปโดยสมัครใจ เพราะเห็นความส�ำคัญและประโยชน์ของ พรรคการเมือง ไมถ่ ูกบบี บงั คับให้ก่อต้งั หรือเขา้ ร่วมพรรคการเมอื ง ๔. สมาชิกต้องการใช้พรรคการเมืองในการแก้ปัญหาร่วมกัน น่ันคือพรรคการเมืองจะมีการ กำ� หนดบทบาท และหน้าท่ีตลอดจนนโยบายของตนเอง สมาชิกก็จะใช้พรรคการเมืองเป็นส่ือกลางใน การร่วมกันแก้ไขปญั หาตา่ ง ๆ ทีเ่ กดิ ข้นึ ๕. มีการก�ำหนดประเด็นปัญหาและนโยบาย พรรคการเมืองจะต้องศึกษาภาวการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนปญั หาของประเทศโดยละเอยี ด แลว้ ชใ้ี หป้ ระชาชนเหน็ ถงึ ประเดน็ ปญั หาตา่ ง ๆ วา่ มอี ะไรเปน็ ล�ำดับตามความส�ำคัญ จากนั้นหาข้อเสนอหรือวิธีแก้ไขปัญหาเหล่าน้ัน โดยพรรคอาจน�ำมารวมเป็น โครงการและนโยบาย ซึ่งอาจจะก�ำหนดเป็นระยะเวลา เช่น เป็นนโยบายและแผนระยะสั้น – ยาว เพ่ือน�ำเสนอต่อประชาชน โดยพรรคการเมืองจะแถลงให้ประชาชนทราบในขณะสมัครรับเลือกตั้ง อันจะท�ำให้ประชาชนได้ทราบถึงความเห็น ท่าที วิธีการ และความตั้งใจของพรรคในการแก้ไขปัญหา ตา่ ง ๆ ซึง่ จะเป็นเคร่ืองช่วยพจิ ารณาไดเ้ ป็นอยา่ งดี ๖. มกี ารคดั เลอื กบคุ คลเขา้ สมคั รรบั เลอื กตง้ั เพอื่ ใหบ้ รรลจุ ดุ มงุ่ หมายนนั่ คอื การมตี วั แทนของ พรรคไปปฏบิ ตั หิ นา้ ทต่ี ามเจตนารมณ์ หรอื นโยบายของพรรค.ทไี่ ดแ้ ถลงไวต้ อ่ ประชาชนโดยการเอาชนะ เลอื กตง้ั ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งมกี ารคดั เลอื กและเฟน้ หาตวั ผมู้ คี ณุ สมบตั เิ พอื่ เปน็ ตวั แทนของพรรคในการเลอื กตง้ั ๗. ตอ้ งการเปน็ รฐั บาล เพอ่ื นำ� นโบายของพรรคการเมอื งตนไปเปน็ นโยบายของรฐั บาลในการ บรหิ ารประเทศ แตถ่ า้ ยงั ไมม่ โี อกาสเปน็ พรรครฐั บาลในคราวนก้ี จ็ ะตอ้ งหาโอกาสเปน็ รฐั บาลตอ่ ไป และ ในขณะท่ีเปน็ พรรคฝา่ ยค้านนี้ก็จะตอ้ งด�ำเนนิ การแกไ้ ข ซง่ึ ผลประโยชนจ์ ะตกเป็นของประชาชนผ้เู ปน็ เจ้าของประเทศนน่ั เอง ๑๙๘ ทองทิพ วริ ิยะพันธุ,์ ชินเลขา กวา้ งสขุ สถติ ย์, พชั รนิ ทร์ แขง็ แรง, เรอ่ื งเดิม, หนา้ ๑๑๗ – ๑๑๘
302 รฐั ศาสตร์เบื้องตน้ โดยสรุป พรรคการเมือง หมายถึง กลุ่มบุคคลที่มีแนวความคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมือง คล้ายกันหรือเหมือนกัน มาร่วมกันจัดต้ังองค์การด้วยความสมัครใจเพ่ือผลประโยชน์ทางการเมือง โดยมีจดุ ประสงค์ทจ่ี ะเข้าไปมอี �ำนาจทางการเมอื งในการจดั สรรสิ่งท่ีมคี ณุ ค่าในสังคม กำ� เนิดของพรรคการเมอื ง๑๙๙ พรรคการเมืองในรูปสมัยใหม่ เกิดข้ึนและมีวิวัฒนาการท่ีแท้จริงเพียงร้อยกว่าปีมาน้ีเอง ก่อนปี ค.ศ. ๑๘๕๐ ยุโรปหลายประเทศ เช่น อังกฤษ ได้มีแนวโน้มในการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคม และสโมสรเก่ียวกับการเมือง เช่น สมาคมปรัชญา สมาคมผู้แทนราษฎรต่าง ๆ อยู่ก่อนแล้ว ต่อมาก็ วิวัฒนาการเป็นพรรคการเมือง มีนักรัฐศาสตร์ท่ีกล่าวถึงก�ำเนิดของพรรคการเมืองท่ีน่ารับฟังอยู่ หลายท่าน คือ ศาสตราจารย์ Acwey Leiserson กลา่ วไวใ้ นหนังสือของท่านชอ่ื “Parties and Politics” โดยแบ่งออกเป็นทฤษฎไี ด้ ๔ ทฤษฎี คือ ๑. ทฤษฎีจิตวิทยา (Psychological Theories) เชื่อว่า พรรคการเมืองเกิดจากข้อแตกต่าง ของจิตมนุษย์ โดยเช่อื วา่ มนษุ ย์เรามี ๒ พวกใหญ่ ๆ คอื พวกทอี่ ยคู่ งทีห่ รอื พวกอนรุ กั ษ์นิยม (Conser- vatives) กับพวกทยี่ อมรับและยินดีกับการเปลี่ยนแปลง (Liberals) นอกจากมนษุ ย์แบง่ ออกเปน็ ๒ พวกแล้ว จติ มนุษย์ยงั อาจแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทอกี ไดแ้ ก่ พวกมองโลกในแง่ดี (Optimists) และพวกมองโลกในแงร่ ้าย (Pessimists) จากข้อสมมตฐิ านนี้ จึงท�ำให้เกิดพรรคการเมอื งทมี่ แี นวคดิ แตกต่างกนั ๔ ประเภท คอื ก. พวกหัวเก่า (Conservatives) เป็นพวกที่มองโลกในแง่ดี แต่ติดอยู่กับท่ีหรือคงสภาพเดิม คือถือว่าปัจจุบันดีอยู่แล้วและสภาพความเป็นไปในอดีตเป็นที่น่าพอใจแล้ว จึงไม่จ�ำเป็นต้องมีการ เปลีย่ นแปลง ข. พวกหวั สมยั ใหม่ (Liberals) เปน็ พวกมองโลกในแงด่ ี และยนิ ดใี หม้ กี ารเปลยี่ นแปลงเกดิ ขน้ึ เพราะถอื ว่าการเปลี่ยนแปลงน�ำไปสคู่ วามก้าวหนา้ ค. พวกหวั ปฏวิ ตั ิ (Revolutions) เปน็ พวกทม่ี องโลกในแงร่ า้ ย และอยากใหม้ กี ารเปลยี่ นแปลง จงึ ชอบใชว้ ิธกี ารปัจจบุ ันทันด่วน (ปฏวิ ัติ) เพอื่ ให้ประจักษ์ผลโดยรวดเร็ว ๑๙๙ วิทยา นภาศิรกิ ลุ กจิ , รศ., ดร., สุรพล ราชภัณฑารักษ์, รศ, ดร., เร่อื งเดมิ , หนา้ ๒๗ – ๓๒.
พรรคการเมืองและกลุม่ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 303 ง. พวกหวั ปฏกิ ริ ยิ า (Reactionaries) เปน็ พวกทม่ี องโลกในแงร่ า้ ย และมคี วามคดิ คำ� นงึ ถงึ อดตี โดยเห็นว่าอดตี ดีกว่าปจั จุบันจงึ พยายามย้อนกลบั ไปดำ� รงชีวิตอย่างทเี่ คยเปน็ มาในอดีต ๒. ทฤษฎีทางเศรษฐกิจและสังคม (Socio – Economical Theories) ทฤษฎีนี้ถือว่า พรรคการเมอื งเกดิ ขนึ้ เนอ่ื งจากสภาพเศรษฐกจิ และสงั คม โดยมองพรรคการเมอื งในรปู ของผสู้ นบั สนนุ พรรคการเมอื งหรอื สมาชิกของพรรคการเมอื งวา่ มาจากชนชนั้ ใด ระดับการศกึ ษาสงู ต่ำ� เพยี งใด เพศใด วัยใด รวมทง้ั ฐานะทางเศรษฐกจิ เป็นอยา่ งไร เป็นต้น ทฤษฎนี จี้ งึ เชอ่ื วา่ พรรคการเมอื งมรี ากฐานมาจากการรวมตวั ของกลมุ่ ชนตา่ ง ๆ ซง่ึ มฐี านะทาง เศรษฐกิจและสังคมเหมือนกัน และการรวมกันเป็นพรรคการเมืองก็เพ่ือจะสนับสนุนหรือคุ้มครองผล ประโยชน์ของกลมุ่ ตน เชน่ พรรคคอมมิวนิสต์ พรรคคอนเซอร์เวตฟี ขององั กฤษในปจั จุบนั เปน็ ต้น ๓. ทฤษฎอี ดุ มการณห์ รอื หลกั การ (Ideological Theories) ทฤษฎนี ถี้ อื วา่ พรรคการเมอื งเกดิ ขน้ึ จากกลมุ่ คนทีม่ แี นวความคิดหรอื อุดมการณ์คล้าย ๆกัน ซ่ึงอาจเปน็ ความคิดเหน็ เกีย่ วกบั รัฐ สังคม เศรษฐกิจ ศาสนา ฯลฯ ก็ได้ เช่น พรรคคอมมิวนิสต์เป็นพรรคที่ยึดถือปรัชญาของมาร์กซิสม์ พรรคเลเบอรข์ ององั กฤษยึดถอื หลกั การของสังคมนิยม เป็นตน้ ๔. ทฤษฎีทางการจัดองค์การ (Organizational Theories) ทฤษฎีนี้ถอื ว่าพรรคการเมืองเกิด ข้ึนหลังจากท่ีมีผู้น�ำทางการเมืองแล้ว และได้มีผู้นิยมหรือสนับสนุนผู้น�ำคนนั้นเป็นจ�ำนวนมาก เพราะเชื่อม่ันในคุณวุฒิ วิชาความรู้ ความสามารถ ฯลฯ และโดยความนิยมในตัวบุคคลน้ีเองจึงท�ำให้ เกิดพรรคการเมืองข้ึน ซึ่งการเกิดพรรคการเมืองในลักษณะน้ีมักจะแตกสลายได้ง่าย เพราะเมื่อผู้น�ำ หมดบารมลี งไปพรรคก็อาจลม้ เลิกไปได้ เชน่ การเมืองในประเทศไทย เป็นตน้ ศาสตราจารย์ Maurice Duverger ชาวฝร่ังเศส เชือ่ ว่า พรรคการเมอื งเกิดจากการรวมตัวกนั ทง้ั ในรัฐสภาและนอกรัฐสภา คือ ๑. ก�ำเนิดของพรรคการเมืองในรัฐสภา (Parliament Origins of Parties) ดูแวร์เช่เชื่อว่า พรรคการเมืองเริ่มต้นในรัฐสภาโดยบรรดาผู้แทนราษฎรได้มีการรวบรวมกันเป็นกลุ่มในสภาก่อน เนื่องจากมีความคิดเห็นในลัทธิการเมืองท่ีคล้ายคลึงกัน โดยผู้แทนเหล่านี้ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกัน จนกลายเป็นพวกทม่ี คี วามเห็นคลา้ ยคลึงกัน ซงึ่ เหน็ ไดช้ ัดในรฐั สภาของฝรง่ั เศสปี ๑๗๘๙ เช่น กล่มุ บรี ตัน (Breton) ๒. ก�ำเนิดของพรรคการเมืองนอกรัฐสภา (Extra – Parliamentary Origins of Parties) พรรคการเมอื งในรปู นเี้ กดิ นอกสภา โดยไดร้ บั อทิ ธพิ ลหรอื การแทรกแซงจากองคก์ รภายนอกอนื่ ๆ เชน่ สมาคมอาชีพต่าง ๆ สหพันธก์ รรมกร องคก์ ารศาสนา จนเกิดเปน็ พรรคการเมืองขนึ้ เช่น พรรคเลเบอร์ ขององั กฤษ พรรคคาทอลกิ คอนเซอร์เวตีฟของเนเธอรแ์ ลนด์ เป็นตน้
304 รฐั ศาสตร์เบื้องต้น ศาสตราจารย์ Joseph Lapalombara และศาสตราจารย์ Myron Weiner นกั รัฐศาสตร์ ชาวอเมรกิ นั อกี กลมุ่ หนง่ึ มคี วามเหน็ วา่ พรรคการเมอื งเกดิ ขน้ึ ไดจ้ ากสาเหตหุ ลายประการ ซง่ึ อธบิ ายใน เชงิ ทฤษฏไี ด้ ๓ ทฤษฎี คอื ๑. ทฤษฎวี า่ ดว้ ยสถาบนั (Institutional Theories) มองการเกดิ ของพรรคการเมอื งวา่ สบื เนอื่ ง มาจากสถาบนั ทางการเมอื ง คอื รฐั สภาทม่ี อี ยกู่ อ่ นและพรรคการเมอื งจะเกดิ ตามมาเพอ่ื เปน็ สอ่ื สมั พนั ธ์ ระหว่างรฐั สภากับประชาชน ๒. ทฤษฎวี ่าดว้ ยประวัตศิ าสตรแ์ ละสถานการณ์ (Historical Situational Theories) เชอ่ื วา่ วิกฤตกิ ารณต์ า่ ง ๆ ทางประวัติศาสตรก์ อ่ ให้เกดิ พรรคการเมอื งข้นึ คอื ก. วิกฤติการณ์เก่ียวกับการสร้างความชอบธรรม (Legitimacy Crisis) เป็นปัจจัยที่ สำ� คญั ทท่ี ำ� ใหพ้ รรคการเมอื งเกดิ ขน้ึ เนอื่ งจากประชาชนรสู้ กึ วา่ โครงสรา้ งของอำ� นาจปกครองทเ่ี ปน็ อยู่ ไม่มีความชอบธรรม จึงมีการรวมตัวกันเพ่ือให้มีการเปล่ียนแปลง เช่น การปฏิวัติของคณะราษฎรใน ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นตน้ ข. วกิ ฤตกิ ารณใ์ นการรวมตวั กนั เปน็ อนั หนงึ่ อนั เดยี ว (Integration Crisis) เปน็ ผลตอ่ เน่ืองมาจากวิกฤติการณ์การสร้างความชอบธรรมในอ�ำนาจปกครอง เพราะเม่ือประชาชนมีความรู้สึก วา่ รฐั บาลไมม่ คี วามชอบธรรมทจ่ี ะบรหิ ารประเทศตอ่ ไป กจ็ ะมกี ารรวมตวั กนั เปน็ พรรคการเมอื งเพอ่ื ผล สำ� เรจ็ ในการตอ่ ส้ทู างการเมอื ง พรรคชาตนิ ิยมทโี่ ผล่ขน้ึ มาในเอเซยี และแอฟรกิ าจดั ว่าเปน็ พรรคท่รี วม ตัวกันเป็นอนั หนึง่ อันเดยี วกนั ค. วิกฤติการณ์อันเกิดจากความต้องการมีส่วนร่วมทางการเมือง (Participation Crisis) พรรคการเมอื งในประเทศสว่ นมากเกดิ ขน้ึ เนอ่ื งจากความตอ้ งการทจ่ี ะเขา้ มามสี ว่ นรว่ มทางการ เมือง ท้ังน้เี ปน็ ผลมาจากความเปลยี่ นแปลงสำ� คัญทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น การยตุ ขิ องลัทธิฟิวดลั เกดิ ข้นึ พร้อมกบั ความตอ้ งการมีผ้แู ทนโดยชนชนั้ กลาง ๓. ทฤษฎวี า่ ดว้ ยการพฒั นาการ (Developmental Theories) เชอื่ วา่ พรรคการเมอื งสบื เนอ่ื ง มาจากบคุ คลตอ้ งการทจี่ ะรกั ษาอำ� นาจ หรอื ใหไ้ ดม้ าซงึ่ อำ� นาจโดยแสวงหาความสนบั สนนุ จากประชาชน ซึง่ เปน็ ผลสืบเนอ่ื งจากการพัฒนาการทีส่ ำ� คัญ ๒ ประการ คอื ก. การพัฒนาทางการเมืองเป็นผลให้มีการเปล่ียนแปลงในทัศนคติของประชาชนว่า ประชาชนมีสิทธิทจี่ ะใชอ้ ำ� นาจ ข. เกิดจากผู้น�ำทางการเมือง ต้องการแสวงหาความสนับสนุนจากประชาชนเพื่อ ตนเองจะได้มีอ�ำนาจ หรือรักษาอ�ำนาจของตนไว้ แม้ว่าประชาชนจะไม่ค่อยเข้าใจในการเข้ามามีส่วน ร่วมทางการเมอื งกต็ าม
พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 305 ววิ ัฒนาการของพรรคการเมือง๒๐๐ วิวัฒนาการของพรรคการเมือง อาจแบง่ ไดเ้ ป็น ๕ ระยะ (สมยั ) ดังน้ี สมยั เรม่ิ ตน้ พรรคการเมอื งในรปู แบบสมยั ใหม่ เรม่ิ ตน้ จรงิ เมอ่ื ตน้ ศตวรรษที่ ๑๙ หรอื ประมาณ ร้อยกว่าปีมานี้เอง โดยเร่ิมต้นในประเทศยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษก่อนแล้วขยายไปสหรัฐอเมริกา ในระยะเริ่มต้นน้ีเป็นเพียงการรวมกลุ่มของพรรคสมาชิกสภาผู้แทนที่มีความคิดเห็นหรืออุดมการณ์ คล้ายคลงึ กนั ในสมัยแรกเป็นระยะท่ีระบอบประชาธิปไตยก�ำลังฟักตัวใหม่ ๆ บุคคลทั่วไปมีทัศนะต่อ พรรคการเมอื งไปในทางไมด่ ี และพยายามกดี กนั ไมใ่ หพ้ รรคการเมอื งกอ่ ตวั ขน้ึ ในระยะนพี้ รรคการเมอื ง ถกู มองว่าเปน็ ส่ิงที่ท�ำใหเ้ กดิ ความแตกแยกความสามคั คีภายในชาติ Edmund Burke นกั ปราชญช์ าวองั กฤษ กลา่ วถงึ พรรคการเมอื งในองั กฤษ (เมอื่ ค.ศ. ๑๗๗๐) วา่ การแบง่ กนั เป็นพรรคการเมอื งเปน็ การท�ำลายสภาสามัญ และท�ำลายรัฐบาลทเ่ี สรี George Washington ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ได้เตือนให้เลี่ยงการจัดต้ัง พรรคการเมือง เพราะจะทำ� ใหเ้ กิดความแตกเปน็ พรรคเป็นพวก (Faction) Jean Jacquase Rausseau นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสมีความเห็นว่า พรรคการเมืองท�ำให้ “เจตนาทวั่ ไป” ของประชาชนถกู ปลอมแปลงไป เพราะสมาชกิ จะผกู พนั ตอ่ พรรคการเมอื งอนั ทำ� ใหข้ าด อิสระเสรี พรรคการเมืองในสมัยเร่ิมตน้ น้ียังมลี กั ษณะจ�ำกดั ๒ ประการ คอื ๑. พรรคการเมืองเปน็ กลุ่มของอภชิ น (Aristocrat) และพวกกฎุมพี (Bourgeois) ๒. การรับบุคคลเป็นสมาชิกมีการคัดเลือกเข้มงวด การต่อสู้ทางการเมืองในระยะนั้นอาจจะ เรยี กได้ว่า จำ� กดั อย่ใู นวงของขุนนาง และผู้มีอันจะกิน สมยั ที่ ๒ เรมิ่ ตน้ ครง่ึ หลงั ศตวรรษที่ ๑๙ ระยะนไ้ี ดข้ ยายสทิ ธกิ ารเลอื กตงั้ ทว่ั ไป พรรคการเมอื ง จึงจ�ำเป็นที่จะตอ้ งจัดตั้งองคก์ ารกลางถาวรของพรรคขึน้ เพอ่ื ท�ำหน้าทีร่ วบรวมคะแนนเสยี ง สนับสนุน พรรค รวบรวมเงนิ ทุนและจดั ทำ� นโยบาย อย่างไรก็ตามองค์การพรรคการเมืองในระยะนยี้ งั ไมเ่ ข้มแขง็ สมาชิกพรรคการเมืองยังจ�ำกัดอยู่ในหมู่สมาชิกรัฐสภา มิได้เปิดรับมวลชนท่ัวไป และการด�ำเนินงาน ยังขึ้นอยู่กับหวั หนา้ พรรค บรรดาสมาชกิ ยังไมส่ ามารถควบคมุ หัวหน้าพรรคได้ ๒๐๐ วิทยา นภาศริ ิกลุ กิจ, รศ., ดร., สุรพล ราชภัณฑารักษ์, รศ, ดร., เรอ่ื งเดมิ , หนา้ ๓๔ – ๓๕.
306 รฐั ศาสตร์เบ้อื งตน้ สมยั ที่ ๓ เรมิ่ ตน้ ในตอนปลายศตวรรษที่ ๑๙ เปน็ ระยะทพี่ รรคการเมอื งไดพ้ ฒั นาออกไปนอก รฐั สภา โดยมีการจดั ต้ังพรรคการเมอื งนอกรฐั สภา (Extra – Parliamentary) มีการชกั ชวนกันเขา้ เปน็ สมาชกิ กันอย่างกว้างขวาง มกี ารเก็บคา่ บำ� รงุ พรรค สมาชิกมสี ว่ นร่วมในการดำ� เนินงานของพรรคมาก ขึ้น เปน็ พรรคท่ีมรี ะเบยี บวินยั และไดร้ บั การสนับสนนุ จากมวลชนมาก สมยั ท่ี ๔ เรมิ่ ขน้ึ หลงั สงครามโลกครง้ั ที่ ๑ โดยไดก้ ำ� เนดิ พรรคการเมอื งแบบเครง่ วนิ ยั คอื พรรค คอมมิวนิสต์ขึ้นมา ซึ่งการเกิดพรรคคอมมิวนิสต์นั้นท�ำให้พรรคการเมืองได้พัฒนามาถึงจุดสูงสุด ใน ความรู้สึกของการพัฒนาการทางการเมือง ท�ำให้พรรคการเมืองอ่ืน ๆ เช่น พรรคสังคมนิยม พรรค เสรีนิยม หันมาปรับปรุงตัวเองและขอความสนับสนุนจากมวลชนมากยิ่งข้ึน และการเกิดของพรรค มวลชนนเ้ี องทำ� ใหไ้ ด้พัฒนาทางการเมอื งไปสู่สังคมประชาธิปไตยมากยิง่ ขึ้น สมัยที่ ๕ เกดิ ขึน้ ภายหลังสงครามโลกครั้งท่ี ๒ โดยเฉพาะในทศวรรษ ๑๙๕๐ พรรคการเมือง ในประเทศตะวันตกและประเทศท่ีเป็นสังคมอุตสาหกรรมก้าวหน้า (รวมท้ังญ่ีปุ่น) ได้เปลี่ยนแปลง ลกั ษณะพรรคการเมอื งบางประการ คือเรม่ิ สูญเสยี อดุ มการณ์ พรรคทั้งหมดกลายเป็นพรรคของสังคม ทแี่ ตกสลาย เพราะความกา้ วหนา้ ทางอตุ สาหกรรม ไดแ้ บง่ ออกเปน็ กลมุ่ ตา่ ง ๆ มากมาย พรรคการเมอื ง ในสมัยนี้จงึ เป็นพรรคปฏิบตั มิ ากกว่าพรรคอุดมการณ์ ทง้ั นเี้ พือ่ หวังผลในการเลือกตัง้ ให้มากทส่ี ุด การแบง่ ประเภทพรรคการเมอื ง การแบ่งประเภทของพรรคการเมืองนั้นอาจท�ำได้หลากหลายวิธี แต่ในงานชิ้นนี้จะใช้ระบบ พรรคการเมืองเปน็ หลักในแบ่งประเภทเพราะจะท�ำใหเ้ ขา้ ใจไดง้ า่ ย ซึ่งแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท๒๐๑ คือ ๑. ระบบพรรคเดยี ว (One – party system) ๒. ระบบสองพรรค (Two – party system) ๓. ระบบหลายพรรค (Multi – party system) ๔. ระบบพรรคเด่นพรรคเดยี ว (One – party dominant system) ๒๐๑ ลขิ ิต ธีรเวคิน, การเมืองการปกครองของไทย. (กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๖), น. ๓๒๓.
พรรคการเมอื งและกล่มุ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 307 ๑. ระบบพรรคเดียว (One – party system) เป็นระบบที่มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวท่ีถูกต้องตามกฎหมายในรัฐธรรมนูญ และเป็น พรรคการเมืองเดียวที่มีบทบาทอยู่ในวงการการเมืองท�ำให้พรรคการเมืองอ่ืน ๆ ไม่สามารถมีสิทธิ ทางการเมืองได้ ดังจะพบได้ในประเทศท่ีมีการปกครองระบอบสังคมนิยม เช่น พรรคคอมมิวนิสต์ใน ประเทศสหภาพโซเวียตก่อนการล่มสลายหรืออาจจะพบได้ในประเทศที่การปกครองแบบเผด็จการ เบด็ เสรจ็ นิยม (Totalitarianism)๒๐๒ เช่น พรรคฟาสซิสม์ของอติ าลี และพรรคนาซีของเยอรมันในสมยั ก่อนและระหว่างสงครามโลกครง้ั ทีส่ อง ลกั ษณะสำ� คัญประการหนึง่ ของระบบนีค้ ือ พรรคจะมอี �ำนาจ มากทส่ี ดุ นน่ั คอื มอี ำ� นาจเหนอื รฐั บาล การแขง่ ขนั ทางการเมอื งจงึ เปน็ ไปในลกั ษณะการตอ่ สกู้ นั ระหวา่ ง สมาชิกในพรรค ๒. ระบบสองพรรค (Two – party systems) ระบบสองพรรคนไี้ มไ่ ดห้ มายความวา่ ในประเทศทมี่ รี ะบบพรรคการเมอื งนจี้ ะมพี รรคการเมอื ง เพียงแค่สองพรรคเท่าน้ัน ในความเป็นจริงประชาชนมีเสรีภาพที่จะจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาแข่งขัน ได้ เพยี งแตใ่ นพรรคการเมอื งทหี่ ลากหลายนนั้ จะมเี พยี งสองพรรคทส่ี ำ� คญั เทา่ นนั้ ทแี่ ยง่ ชงิ อำ� นาจซง่ึ กนั และกัน และพรรคการเมืองท้ังสองนี้จะมีพรรคหนึ่งท่ีสามารถชนะการแข่งขันในการเลือกตั้งได้อย่าง เด็ดขาดและมีเสียงข้างมากเพื่อเข้าไปบริหารประเทศ ระบบสองพรรคท�ำให้การแข่งขันทางการเมือง เปน็ ไปอยา่ งชดั เจนนนั่ คอื หากพรรคใดไดค้ ะแนนนยิ มมาก พรรคนน้ั กจ็ ะไดเ้ ปน็ รฐั บาลและอกี ฝา่ ยกจ็ ะ กลายเปน็ พรรคฝา่ ยคา้ นไปโดยปรยิ าย ระบบสองพรรคจงึ ทำ� ใหไ้ ดร้ ฐั บาลทม่ี เี สถยี รภาพเกดิ ความมน่ั คง และต่อเน่ืองในการบริหารปกครอง อีกทั้งเป็นการประหยัดทรัพยากรบุคคลอีกด้วย ท้ังนี้เพราะการมี พรรคการเมอื งมากกจ็ ะทำ� ใหต้ อ้ งใชท้ รพั ยากรมากและขาดประสทิ ธภิ าพไปอยา่ งหลกี เลย่ี งไมไ่ ด้ ระบบ สองพรรคจะพบได้ในประเทศท่ีเป็นแม่แบบในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เช่น ในประเทศ สหรัฐอเมริกาจะมีพรรค Demarcate กับพรรค Republican ในประเทศอังกฤษจะมีพรรคอนุรักษ์ นยิ ม (Conservative Party) กบั พรรคแรงงาน (Labors Party) เป็นตน้ ๓. ระบบหลายพรรค (Multi – party system) ในระบบนจ้ี ะมพี รรคการเมอื งหลายพรรคและภายหลงั การเลอื กตงั้ จะไมม่ พี รรคการเมอื งใดท่ี ได้ครองเสียงข้างมากในสภาจนสามารถจัดต้ังรัฐบาลได้ จึงต้องร่วมกับพรรคการเมืองพรรคอ่ืน ๆ เพื่อให้ได้เป็นเสียงข้างมากแล้วจัดตั้งรัฐบาล เพราะฉะน้ันในระบบหลายพรรคจึงเกิดรัฐบาลผสม (coalition government) จากการที่เป็นรฐั บาลผสมท�ำใหร้ ัฐบาลไมม่ เี สถียรภาพและไม่มั่นคงในการ ๒๐๒ อานนท์ อาภาภิรม, รัฐศาสตรเ์ บอื้ งต้น อ้างแล้ว, น. ๙๑.
308 รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ บรหิ ารบา้ นเมือง เกดิ การยุบสภาบอ่ ยคร้ัง แตก่ ็มีข้อดตี รงท่ีประชาชนสามารถทจี่ ะเลอื กพรรคทมี่ แี นว นโยบายตรงตามความตอ้ งการของตนได้จรงิ ๆ ๔. ระบบพรรคเด่นพรรคเดยี ว (One – party dominant system) จะมีพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งซ่ึงมีอ�ำนาจและความได้เปรียบทางการเมืองอย่างเด็ด ขาด จนมลี ักษณะการผกู ขาดการเป็นรัฐบาลจากพรรคการเมืองนนั้ เพยี งพรรคเดียว แม้ว่าในการเลอื ก ตง้ั ทกุ ครง้ั จะมพี รรคการเมอื งอนื่ ๆ ลง แขง่ ขนั หลายพรรคกต็ าม ระบบนจ้ี งึ ไมส่ ามารถจดั ใหเ้ ปน็ ระบบ พรรคเดียวหรือระบบหลายพรรคได้ เช่น พรรคคองเกรส (Congress Party) ในประเทศอินเดีย พรรคพเี พลิ ล์ แอคช่ัน (People’s Action Party) ในประเทศสงิ คโปร์ และพรรคลิเบอรร์ ัล ดโี มแครต (Liberal Democrate Party) ในประเทศญป่ี ุ่น เป็นตน้ ความสำ� คญั ของพรรคการเมือง การปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยนน้ั พรรคการเมืองเป็นองคป์ ระกอบที่สำ� คญั ในข้นั ตอน ของกระบวนการทางการเมอื ง เพราะพรรคการเมอื งนน้ั เปน็ ทร่ี วมกลมุ่ ของบคุ คลทม่ี คี วามคดิ เหน็ แตก ต่างกัน แต่สอดคล้องกันในหลักการใหญ่ ๆ ได้แสดงออกที่ซ่ึงความคิดเห็น อันเป็นสิทธิเสรีภาพตาม กฎหมาย และตามครรลองของประชาธิปไตย ดังนั้น พรรคการเมืองจึงเป็นสถาบันทางการเมืองท่ีจะ ช่วยให้การด�ำเนินการการทางการเมืองของกลุ่มบุคคลดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์ คือสมาชิกของ พรรคการเมืองท่ีสังกัดจะพร้อมใจกันเลือกสมาชิกพรรคของตนท่ีสมัครเข้ารับเลือกต้ังให้ได้มากที่สุด เพอ่ื ทจี่ ะไดไ้ ปทำ� หนา้ ทน่ี ติ บิ ญั ญตั ิ หรอื บรหิ าร ตามแนวทางการปกครองในระบบรฐั สภา พรรคการเมอื ง ยงั เปน็ เครอื่ งมอื ประกนั เสรภี าพ และความเสมอภาคของประชาชน มใิ หผ้ มู้ อี ำ� นาจทางการเมอื งดำ� เนนิ การทางการปกครองเผด็จการรวมท้ังรัฐประหาร หรือการกบฏใด ๆ ซ่ึงมุ่งจะเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอัน มใิ ชว่ ถิ ที างแหง่ ระบอบประชาธปิ ไตย ดงั นนั้ ในประเทศทมี่ กี ารปกครองระบอบประชาธปิ ไตย โดยเฉพาะ อย่างย่ิงระบบรัฐสภา พรรคการเมอื งได้เปน็ ท้ังสัญลกั ษณ์ของระบอบการปกครอง และเปน็ เคร่ืองชว่ ย ใหก้ ารเมืองพฒั นาไปในแนวทางแหง่ ความเป็นประชาธปิ ไตยยิง่ ข้นึ ความส�ำคญั ของพรรคการเมือง มีดังน้ี ๑. พรรคการเมืองจะสามารถอ�ำนวยประโยชน์ในการทีจ่ ะจดั ตง้ั คณะผ้บู รหิ ารประเทศให้เป็น ไปตามเจตจ�ำนงของพรรค ๒. พรรคการเมืองยังเป็นเครื่องมือท่ีจะรับทราบความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ ว่ามี ความตอ้ งการทจี่ ะใหด้ ำ� เนนิ การบรหิ ารประเทศไปในทางใด เชน่ การออกกฎหมาย หรอื ยกเลกิ กฎหมาย เปน็ ต้น
พรรคการเมอื งและกล่มุ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 309 ๓. พรรคการเมอื งเปน็ ผปู้ ระสานใหผ้ ใู้ ชอ้ ำ� นาจนติ บิ ญั ญตั แิ ละอำ� นาจบรหิ ารดำ� เนนิ การไปโดย สอดคลอ้ งตอ้ งกนั ๔. คณุ ประโยชนข์ องพรรคการเมอื งนอกจากทก่ี ลา่ วมาแลว้ ยงั ชว่ ยทำ� ใหส้ ามารถแยกสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรเปน็ ฝา่ ยคา้ น และฝา่ ยสนับสนุนรัฐบาลได้อีกด้วย ๕. พรรคการเมืองเป็นส่ิงส�ำคัญ และจ�ำเป็นอย่างยิ่งส�ำหรับลัทธิการปกครองระบอบ ประชาธปิ ไตย หนา้ ที่ของพรรคการเมือง หนา้ ทห่ี ลักของพรรคการเมอื ง ๕ ประการ คอื ๒๐๓ ๑. การรวบรวมผลประโยชนห์ รือความสนใจตา่ ง ๆ เข้าดว้ ยกนั ๒. การวางแผนด�ำเนนิ งาน ๓. การส่งตัวแทนเขา้ สมัครรบั เลือกต้ัง ๔. การบรหิ ารงานรฐั บาล ๕. การเชื่อมสมั พันธร์ ะหว่างรัฐบาลกับประชาชน หน้าทพี่ รรคการเมอื งตามทัศนะของนักวิชาการบางท่านสรุปไว้ ๗ ประการ ตอ่ ไปน้ี ๑. ส่งตวั แทนเขา้ สมัครรบั เลือกตง้ั ๒. ปลกุ เรา้ สร้างความคิดเหน็ ทางการเมือง ๓. ชักชวนให้ไปลงคะแนนเสียง ๔. วจิ ารณ์การด�ำเนนิ งานของรฐั บาล ๕. รับผิดชอบในการจดั ตงั้ รฐั บาล ๖. เลือกผ้สู มควรให้ไดร้ บั แตง่ ตงั้ เป็นขา้ ราชการ ๗. ชว่ ยใหม้ ีการรวมกนั เป็นอันหน่งึ อันเดยี วกันภายในชาติ หน้าที่หลักของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนอกจากหน้าท่ีหลัก ๕ ประการ และ ๗ ประการดังกล่าวขา้ งต้นแลว้ ยังมีหนา้ ท่หี ลักเพิ่มเตมิ อกี ๓ ประการ คอื ๑. ควบคุมฝ่ายบรหิ าร ๒๐๓ จิรโชค (บรรพต) วีระสยั , ดร., สุรพล ราชภณั ฑารักษ์, ดร., และสรุ พันธ์ ทบั สวุ รรณ์, ผศ., เรือ่ งเดมิ , หนา้ ๓๖๑ – ๓๖๖.
310 รฐั ศาสตร์เบ้อื งต้น ๒. เปน็ ตัวแทนกลุ่มผลประโยชนต์ า่ ง ๆ ๓. เปน็ แหลง่ สรรหาคนเพือ่ ตำ� แหน่งทางการเมอื ง หน้าท่ีพรรคการเมืองในระบอบเบ็ดเสร็จ เช่น ปรากฏในเยอรมนี สมัยฮิตเลอร์และในจีนกับ สหภาพโซเวียตในปจั จุบัน พรรคนาซี (NAZI) และพรรคคอมมิวนสิ ตม์ หี นา้ ทแ่ี ตกตา่ งออกไป คือไมใ่ ช่ ควบคมุ งานในฐานะฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั แิ ตเ่ ปน็ ฝา่ ยบรหิ ารไปดว้ ย คอื ๑) บงการการดำ� เนนิ งานของรฐั อยา่ ง ใกล้ชิดจนกระท่ังเท่ากับเป็นรัฐบาลเสียเอง และ ๒) สรา้ งความเข้มแข็งและความเป็นอนั หนงึ่ อนั เดียว ภายในชาติ Almond ได้สรปุ หนา้ ทขี่ องพรรคการเมืองไว้ ๙ ประการคอื ๑. ท�ำหนา้ ท่ใี นกระบวนการกล่อมเกลาทางการเมอื ง (Political socialization) ๒. ท�ำหน้าทใ่ี หป้ ระชาชนเข้ามามสี ว่ นร่วมทางการเมอื ง (Citizen participation) ๓. ท�ำหน้าที่คดั เลอื กชนช้ันน�ำทางการเมือง (Recruitment of elite) ๔. ทำ� หนา้ ที่ในการสอ่ื สารทางการเมือง (Political communication) ๕. ทำ� หนา้ ทก่ี ำ� หนดประเดน็ ผลประโยชนแ์ ละขอ้ เรยี กรอ้ งทางการเมอื ง (Interest articulation) ๖. ท�ำหน้าที่รวบรวมผลประโยชนแ์ ละข้อเรียกรอ้ งทางการเมอื ง (Interest aggregation) ๗. ท�ำหน้าทใ่ี นการกำ� หนดนโยบาย (Policy making) ๘. ท�ำหน้าทีน่ ำ� นโยบายไปปฏบิ ัติ (Policy implementation) ๙. ท�ำหน้าทีว่ นิ ิจฉยั กฎหมาย (Adjudication) บทบาทของพรรคการเมือง บทบาทของพรรคการเมอื ง ๖ ประการ โดยสรปุ คือ๒๐๔ ๑. พรรคการเมอื งช่วยให้การเลอื กตง้ั เป็นไปดว้ ยดีและมีประสิทธิภาพ ๒. พรรคการเมอื งชว่ ยทำ� ใหก้ ลไกทางการเมอื งดำ� เนนิ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและสอดคลอ้ งกนั ๓. พรรคการเมืองชว่ ยผดงุ รกั ษาอ�ำนาจในการปกครองใหส้ บื ต่อเนือ่ ง ๔. พรรคการเมืองชว่ ยประสานประโยชน์ของกลมุ่ ชนในสงั คม ๒๐๔ วทิ ยา นภาศิริกลุ กิจ, รศ., ดร., สุรพล ราชภณั ฑารกั ษ,์ รศ., ดร., เร่อื งเดมิ , หนา้ ๑๙ – ๒๓.
พรรคการเมอื งและกลุ่มผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 311 ๕. พรรคการเมอื งเป็นเคร่ืองมอื ในการควบคมุ การบริหารราชการแผ่นดิน ๖. พรรคการเมืองช่วยพัฒนาการเมือง บทบาทของพรรคการเมอื งอกี ๕ ประการ คอื ๒๐๕ ๑. ลดความขดั แย้งในสังคม ๒. สรา้ งเสถยี รภาพทางการเมืองและพัฒนาการเมือง ๓. ระดมสรรพกำ� ลังภายในชาตเิ พ่ือรักษาอ�ำนาจการปกครองให้ตอ่ เนอื่ ง ๔. สร้างผนู้ �ำทางการเมอื ง ๕. ท�ำใหก้ ลไกทางการเมอื งด�ำเนินไปอย่างมีประสทิ ธิภาพ องค์การของพรรคการเมอื ง เป็นท่ียอมรับกันว่าองค์การและการจัดรูปองค์การภายในพรรคการเมืองมีความส�ำคัญมาก เพราะเป็นเครื่องบ่งช้ีให้เห็นถึงสมรรถภาพของพรรคการเมืองว่ามีความเข้มแข็งหรืออ่อนแอ ส�ำหรับ องค์การและการจดั การพรรคการเมอื งนนั้ ควรจะมลี ักษณะดงั ตอ่ ไปน๒ี้ ๐๖ ๑. การจัดรูปองค์การของพรรค จะต้องมีการแบ่งงานออกเป็นสาขาต่าง ๆ และก�ำหนดการ บงั คบั บญั ชานบั แตส่ ว่ นกลางไปจนถงึ ระดบั ทอ้ งถน่ิ เพอื่ ชว่ ยในการรณรงคห์ าเสยี งในการเลอื กตง้ั ใหเ้ ปน็ ไปอย่างกวา้ งขวางและทัว่ ถึง ๒. กลไกของพรรค การท�ำงานของทกุ ส่วนภายในพรรคการเมอื งจะต้องมีการประสานกันจงึ จะทำ� ใหก้ จิ การของพรรคดำ� เนนิ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ เชน่ มหี นว่ ยงานในสาขาทจ่ี ำ� เปน็ และมหี วั หนา้ รับผดิ ชอบ อนั ได้แก่ส�ำนักงานเลขาธิการ ฝา่ ยการรณรงค์หาเสยี ง ฝา่ ยนโยบายและการเมือง ฝ่ายการ คลงั และองคก์ ารสนบั สนนุ ตา่ ง ๆ ๓. นโยบายของพรรค ควรจะมกี ารวางนโยบายของพรรคการเมอื งไวก้ ว้าง ๆ เพอื่ ให้สามารถ มคี วามคลอ่ งตวั ในการแกไ้ ขหลกั การใหส้ อดคลอ้ งกบั สถานการณ์ และนโยบายของพรรคสมควรจกั ตอ้ ง ได้รับความเหน็ ชอบจากทป่ี ระชมุ พรรคประกาศใหป้ ระชาชนทั่วไปได้ทราบ ๔. การเงนิ ของพรรค เงนิ เปน็ ปจั จยั ทส่ี ำ� คญั ยงิ่ ในการบรหิ ารงานของพรรคใหด้ ำ� เนนิ บรรลเุ ปา้ ๒๐๕ พลศกั ด์ิ จิรไกรศริ ิ, รศ., ดร., เรือ่ งเดิม, หน้า ๗๖ – ๗๙. ๒๐๖ เชาวน์วัศ สดุ ลาภา, “พรรคการมือง”, (พระนคร, บรษิ ัทสยามพัฒนาการ จ�ำกดั :๒๕๑๑), หนา้ ๔๕ – ๔๘.
312 รัฐศาสตรเ์ บือ้ งต้น หมายท่ีพรรคได้ก�ำหนดไว้ เพราะพรรคจะต้องใช้จ่ายเงินจ�ำนวนมากในการหาเสียง การพิมพ์เอกสาร อุปกรณ์และเคร่ืองใชใ้ นส�ำนกั งาน ส�ำหรบั เงนิ ของพรรคอาจมีทมี่ าไดห้ ลายทาง เชน่ ไดร้ บั จากสมาชกิ และการจดั หารายไดท้ างอนื่ เปน็ ต้น ๕. การประชุมพรรค โดยปกติแล้วจะมีการประชุมพรรคทุกระดับเพื่อแถลงถึงผลงานที่ได้ ด�ำเนินการไป การแสดงงบดลุ การใช้จ่าย รวมถงึ กำ� หนดนโยบายของพรรคโดยทัว่ ไป ระบบของพรรคการเมอื ง ระบบพรรคการเมืองทมี่ ีอยู่ในประเทศตา่ ง ๆ โดยทว่ั ไปอาจแบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๓ ระบบ คอื ๑. ระบบพรรคเดียว (One – Party System) ๒. ระบบสองพรรค (Two – Party System) ๓. ระบบหลายพรรค ( Multi – Party System) ๑. ระบบพรรคเดียว ระบบนี้เป็นระบบผูกขาดหรือปราศจากคู่แข่งขันในทางการเมือง โดย ปกตแิ ลว้ ในสงั คมทมี่ พี รรคการเมอื งเพยี งพรรคเดยี วนน้ั นกั รฐั ศาสตรส์ ว่ นใหญม่ องเปน็ เรอื่ งของเผดจ็ การ ซง่ึ มที ง้ั แบบฟาสซสิ ตแ์ ละระบบคอมมวิ นสิ ต์ ไมใ่ ชส่ งั คมทมี่ กี ารปกครองดว้ ยระบอบประชาธปิ ไตย กลา่ ว คือทั้งแบบเผด็จการฟาสซิสต์และเผด็จการคอมมิวนิสต์น้ัน เมื่อกลุ่มการเมืองใดที่นิยมอุดมการณ์ทั้ง สองน้ีได้อ�ำนาจการปกครองก็จะท�ำลายล้างพรรคการเมืองอ่ืน ๆ ลงหมดเหลือแต่พรรคการเมืองของ ตนเพียงพรรคเดียว ซึ่งหมายความว่าได้มีการเปล่ียนแปลงการปกครองอย่างรุนแรงและน�ำเอาระบบ การปกครองแบบใหมม่ าใช้ซ่ึงนำ� ไปสกู่ ารผูกขาดการใชอ้ �ำนาจ อยา่ งไรกด็ ี การเกดิ ระบบพรรคการเมอื งพรรคเดยี วดงั กลา่ วแลว้ ถอื วา่ เกดิ จากความตง้ั ใจ แต่ ในสังคมที่มีระบบพรรคเดียวแต่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจก็อาจมีได้ สังคมชนิดหลังนี้ได้แก่สังคมที่มี พรรคการเมอื งพรรคใหญม่ ากพรรคเดยี ว และมพี รรคเลก็ ๆ ทไี่ มอ่ าจเทยี บกบั พรรคใหญไ่ ดอ้ ยอู่ กี หรอื ในกรณที เ่ี กดิ ขน้ึ กบั สงั คมทก่ี ำ� ลงั พฒั นากอ็ าจจะเรยี กไดว้ า่ ใชร้ ะบบพรรคเดยี ว กลา่ วคอื การพฒั นาการ เมอื งสมยั ใหมข่ องประเทศกำ� ลงั พฒั นานนั้ ขนั้ แรกมกั จะเรม่ิ จากพรรคการเมอื งพรรคเดยี วซงึ่ แสดงออก ในรปู ของกลมุ่ “สรา้ งชาต”ิ หรอื “ขบวนการกชู้ าต”ิ การพฒั นาพรรคการเมอื งของสงั คมทกี่ ำ� ลงั พฒั นา น้นั ต่อมากจ็ ะกลายเปน็ กลุม่ ภายในพรรค ตอ่ มาก็จะแยกออกเปน็ สองหรอื หลายกลมุ่ และในที่สุดก็จะ แยกออกจากกันเป็นพรรคการเมืองต่าง ๆ ตัวอย่างของประเทศไทยก็ได้แก่ “คณะราษฎร์” และ “ขบวนการเสรไี ทย” เปน็ ตน้ ๒๐๗ ๒๐๗ ประณต นันทิยะกุล, “พัฒนาการเมืองการปกครอง” เอกสารทางวิชาการประกอบค�ำบรรยาย โครงการพัฒนาการเมือง การปกครอง ภาควชิ ารัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั : ๒๕๒๕ หนา้ ๑๕๔.
พรรคการเมอื งและกล่มุ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 313 ๒. ระบบสองพรรค หมายถงึ การท่ีประเทศใดประเทศหน่ึงมีพรรคการเมืองใหญอ่ ยเู่ พียงสอง พรรคที่ผลัดกันเข้าท�ำหน้าท่ีเป็นรัฐบาล โดยยึดหลักของประชาธิปไตย น่ันคือการท่ีพรรคใดได้จัดต้ัง รฐั บาลเพราะไดร้ บั เสยี งขา้ งมากในการเลอื กตง้ั ทว่ั ไป นอกจากนจี้ ะตอ้ งไมม่ พี รรคการเมอื งอนื่ ผสมหรอื สนบั สนนุ ในการจดั ตง้ั รฐั บาลดว้ ย เชน่ พรรคการเมอื งในประเทศองั กฤษ และสหรฐั อเมรกิ ากม็ ลี กั ษณะ ระบบสองพรรค กลา่ วคอื องั กฤษมพี รรคใหญ่ ๒ พรรค คอื พรรคอนรุ กั ษน์ ยิ ม กบั พรรคแรงงาน ซงึ่ ผลดั เปลยี่ นกนั เปน็ รฐั บาล ในสหรฐั อเมรกิ ามพี รรครพี บั ลกิ นั และพรรคเดโมแครท ผลดั เปลย่ี นกนั เปน็ รฐั บาล ระบบสองพรรคมักจะเป็นอุดมการณ์ของประเทศท่ีมีการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตยที่ เจรญิ แลว้ อยา่ งเชน่ องั กฤษและสหรฐั อเมรกิ า เพราะระบบสองพรรคของประเทศเหลา่ นจ้ี ะมคี วามเขม้ แขง็ และมบี ทบาทหนา้ ทตี่ ลอดจนความรบั ผดิ ชอบอยา่ งสงู จนทำ� ใหป้ ระชาชนเกดิ ความนยิ มเลอื่ มใสและ ศรทั ธา ในระบบสองพรรคนไ้ี มว่ า่ จะเปน็ พรรครฐั บาลหรอื พรรคฝา่ ยคา้ นตา่ งกม็ คี วามสำ� คญั เทา่ เทยี มกนั เพราะพรรครฐั บาลจะตอ้ งบรหิ ารงานใหด้ ที สี่ ดุ และเปน็ ไปตามนโยบายทแี่ ถลงไวต้ อ่ สภา สว่ นพรรคฝา่ ย ค้านจะเป็นผู้คอยช้ีน�ำติชมและคัดค้านการกระท�ำของรัฐบาล ให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องและอยู่ใน ขอบเขตอนั จะทำ� ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ แกป่ ระชาชนและเตรยี มพรอ้ มสำ� หรบั การเปน็ รฐั บาลในโอกาส ต่อไป ซ่ึงทั้งสองพรรคจะต้องท�ำงานโดยนึกถึงประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นส่วนรวมไม่แตก สามัคคกี นั ๒๐๘ ๓. ระบบหลายพรรค โดยทว่ั ไประบบหลายพรรคมีแนวโน้มตอ่ การเปลยี่ นแปลงอำ� นาจตาม บทบญั ญตั ขิ องรฐั ธรรมนญู คอ่ นขา้ งสงู ดลุ อำ� นาจระหวา่ งรฐั สภากบั รฐั บาลจะเปลยี่ นแปลงไปจากระบบ สองพรรคมาก โดยเฉพาะประเทศท่ใี ชร้ ะบบรฐั สภา รัฐสภาในระบบหลายพรรคมักจะใช้อ�ำนาจควบคุมวิถีทางของรัฐธรรมนูญค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการใช้วิธีการขอเปิดอภิปรายรัฐบาล รัฐสภาในระบบหลายพรรคจึงมีอ�ำนาจสูงกว่ารัฐบาล หรือยู่ในฐานะเปน็ เอก เพราะฉะนั้น ในระบอบรัฐสภาซึ่งมีระบบหลายพรรค รัฐบาลจึงมีอ�ำนาจน้อย อ่อนแอ และ ขาดเสถยี รภาพ การจดั ตงั้ รฐั บาลจงึ มกั กระทำ� ในรปู รฐั บาลผสม (Coalition Government) หรอื รฐั บาล เสียงข้างน้อย (Minority Government) รัฐบาลของประเทศซึ่งมีลักษณะอย่างนี้ ปกติมักจะขาด เสถยี รภาพ คอื ๒๐๘ ทองทิพ วิริยะพนั ธ,ุ์ ชินเลขา กวา้ งสขุ สถติ ย์, พัชรนิ ทร์ แขง็ แรง, เรือ่ งเดมิ , หนา้ ๑๒๙.
314 รัฐศาสตร์เบ้อื งตน้ ก. รัฐบาลผสม เปน็ รัฐบาลทเ่ี กิดขึน้ จากพรรคการเมืองหลายพรรค โดยนำ� เอานโยบายตา่ ง ๆ ของแต่ละพรรคมาผสมกัน เม่ือมีปัญหาเกิดข้ึน และมีการแก้ไขปัญหาไปแล้วกระทบต่อนโยบายของ บางพรรค พรรคน้นั กจ็ ะถอนตวั ออกมาเพือ่ รักษาหลกั การของตนไว้ ข. พรรคร่วมรัฐบาล อาจฉวยโอกาสล้มรัฐบาลโดยร่วมมือกับฝ่ายค้าน โดยคาดว่าพรรคของ ตนจะไดค้ ะแนนนยิ มจากประชาชน ค. การมีพรรคการเมืองหลายพรรค ยังเป็นช่องทางให้พรรคการเมืองเล็ก ๆ ฉวยโอกาสให้ รัฐบาลยอมปฏิบัติตามโครงการของตนบางอย่าง เพ่ือตอบแทนในการสนับสนุนรัฐบาล เมื่อรัฐบาลไม่ อาจปฏบิ ัติตามไดก้ ็กอ่ กวน สว่ นการจดั ตงั้ รฐั บาลเสยี งขา้ งนอ้ ย ซง่ึ มเี สยี งไมถ่ งึ กง่ึ หนงึ่ ของรฐั สภากย็ อ่ มเปน็ รฐั บาลทอ่ี อ่ นแอ เพราะต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองอื่น อย่างไรก็ตามการมีระบบหลายพรรคมิได้เป็น สาเหตุของความไร้เสถียรภาพของรัฐบาลเสมอไป ในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียเป็นข้อยกเว้น เพราะ มีปจั จยั หลาย ๆอย่างสนบั สนนุ คือ ปัจจยั ดา้ นเศรษฐกิจ ปจั จัยดา้ นสังคม ปจั จยั ด้านการเมือง แตใ่ นระบบประธานาธบิ ดี ระบบหลายพรรคมแี นวโนม้ เพม่ิ อำ� นาจใหก้ บั รฐั บาล และลดอำ� นาจ ของรฐั สภาลงไป โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ถา้ เสยี งขา้ งมากของรฐั สภาไมไ่ ดอ้ ยฝู่ า่ ยเดยี วกบั ประธานาธบิ ดี ทง้ั นี้ เพราะเสยี งของรัฐสภาจะแตกกระจดั กระจายนั่นเอง ความเป็นมาของพรรคการเมอื งไทย ในการศึกษาพรรคการเมืองไทย นักวิชาการจะแบ่งระยะของการศึกษาออกเป็น ๗ ระยะ ด้วยกนั คอื ระยะก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า อยหู่ วั ทรงมพี ระราชดำ� รทิ จ่ี ำ� นำ� การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยมาใชใ้ นประเทศไทย พระองคไ์ ดท้ รง ทดลองสร้าง เมืองดุสิตธานี ขึ้น ในการน้ีได้ทรงตั้งพรรคการเมืองขึ้น ๒ พรรค คือพรรคโบว์น�้ำเงิน มีท่าน ราม ณ กรุงเทพ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ) เป็นหัวหน้าพรรค และพรรคโบว์แดง พลเอกเจ้าพระยารามราฆพ เปน็ หวั หนา้ พรรค แตก่ ารสรา้ งเมอื งดุสติ ธานีข้นึ มาน้เี ปน็ เพยี งการทดลอง ความคดิ เกยี่ วกบั พรรคการเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตยเบอื้ งตน้ เทา่ นนั้ ยงั ไมม่ กี ารเผยแพรส่ ปู่ ระชาชน ต่อมาก็เลิกกันไป ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๗ พระองค์ทรงด�ำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญในวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ แตก่ ถ็ ูกพระบรมวงศานุวงศ์ผ้ใู หญ่ทดั ทานเอาไว้ จนกระทงั่ ถึงวันที่ ๒๔ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะราษฎร ได้เข้าท�ำการยึดอ�ำนาจ และเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบูรณาญาสทิ ธิราชย์มาเปน็ ระบอบประชาธปิ ไตย
พรรคการเมอื งและกลุม่ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 315 พรรคการเมืองภายหลังการเปล่ียนแปลงการปกครอง ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๕ – ๒๔๘๙ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันท่ี ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะบุคคลซึ่งเรยี กตวั เองวา่ “คณะราษฎร” เป็นพรรคการเมืองเดียวที่ทำ� การบริหารประเทศในนาม ของรัฐบาล และในขณะที่คณะราษฎรท�ำการบริหารประเทศอยู่นั้น ได้มีกลุ่มทางการเมืองซ่ึงเรียก ตัวเองว่า “คณะชาติ” ได้ย่ืนขอจดทะเบียนต้ังเป็นสมาคมต่อรัฐบาล แต่ถูกรัฐบาลปฏิเสธ โดยอ้างว่า บา้ นเมอื งไม่อย่ใู นความสงบเรยี บร้อย ไม่สมควรใหจ้ ัดต้งั ได้ การเมืองในสมัยนน้ั เป็นไปในลกั ษณะของ การชว่ งชิงอำ� นาจของผนู้ �ำในคณะราษฎร ท้งั ๆทเ่ี ป็นพรรคการเมอื งเพยี งพรรคเดยี วในขณะน้นั พรรคการเมืองในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๙ – ๒๔๙๘ ในระหว่างสงครามโลกคร้ังที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๔ – ๒๔๘๘) ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองหลายอย่าง จ�ำเป็นจะต้องปรับปรุง ระบอบการปกครองใหเ้ ป็นประชาธปิ ไตยมากข้ึน มิฉะนน้ั ประเทศไทยจะไปไม่รอด ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ไดม้ กี ารประกาศใช้รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๔๘๙ ซง่ึ เปน็ รัฐธรรมนูญฉบบั ท่ี ๓ จงึ มี การเคล่ือนไหวในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้น ท้ังน้ีเพราะรัฐธรรมนูญน้ีได้ให้เสรีภาพในการจัดต้ัง พรรคการเมอื งขึน้ ได้ แตย่ ังคงเปน็ พรรคการเมอื งทยี่ งั ไมม่ พี ระราชบญั ญัตพิ รรคการเมอื งรับรอง พรรคการเมืองภายใต้พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๔๙๘ (พระราชบัญญัติ พรรคการเมอื งฉบบั แรก) รฐั สภาไดอ้ นมุ ตั ใิ หป้ ระกาศใชก้ ฎหมายพรรคการเมอื งไดใ้ นวนั ท่ี ๑๙ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ปรากฏวา่ มีผมู้ าจดทะเบยี นพรรคการเมอื งในชว่ งแรกถงึ ๒๓ พรรค ในวันท่ี ๒๐ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๐๑ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์ ไดท้ ำ� การปฏวิ ตั แิ ละประกาศยกเลกิ รฐั ธรรมนญู ฉบบั ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ และมคี ำ� สั่งห้ามการชุมนุมทางการเมอื งโดยเด็ดขาด พรรคการเมืองภายใต้พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๑๑ (พระราชบัญญัติ พรรคการเมอื งฉบบั ท่ี ๒) ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๑๑ – ๒๕๑๔ ผลจากการปฏวิ ตั ขิ อง จอมพลสฤษด์ิ ธนะรชั ต์ ทำ� ใหป้ ระเทศไทยไมม่ พี รรคการเมอื งถงึ ๑๐ ปี ซง่ึ ในระหวา่ งนน้ั คณะปฏวิ ตั ปิ กครองประเทศโดยอาศยั อำ� นาจตามคำ� ส่งั ของหัวหน้าคณะปฏวิ ัติ และต่อมาไดร้ า่ งธรรมนญู การปกครองราชอาณาจกั ร ๒๕๐๒ ขึ้นใช้ ไปจนกวา่ การร่างรฐั ธรรมนญู ฉบบั ปี ๒๕๑๑ เสรจ็ พรรคการเมืองจงึ เกดิ ขน้ึ อกี ครัง้ พรรคการเมืองภายใต้พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๑๗ (พระราชบัญญัติ พรรคการเมืองฉบับท่ี ๓) ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๗ –๒๕๑๙ หลังจากรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ถูกโค่นล้มไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการ แต่งตั้งนายสัญญา ธรรมศักด์ิ เปน็ นายกรัฐมนตรี จัดตัง้ รฐั บาลรกั ษาการณ์ และรัฐบาลชุดนไ้ี ดป้ ระกาศใช้รฐั ธรรมนูญฉบบั ใหมข่ ึ้นใน วันที่ ๗ ตลุ าคม ๒๕๑๗ ประกาศใช้พระราชบญั ญตั ิพรรคการเมืองในวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๑๗ มีผู้ไป ขอจดทะเบยี นต้งั พรรคการเมอื งถงึ ๔๓ พรรค
316 รฐั ศาสตร์เบื้องต้น พรรคการเมอื งระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๒๒ – ปจั จุบนั พรรคการเมืองระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๒๒ – ปจั จบุ นั ประเทศไทยไดจ้ ดั ใหม้ กี ารเลอื กตงั้ ทวั่ ไปตามระบอบประชาธปิ ไตย เพอื่ ดำ� เนนิ การจดั ตง้ั รฐั บาล มาหลายรัฐบาลโดยไม่มีพระราชบัญญัติพรรคการเมืองมารองรับ บรรดานักการเมืองท้ังหลายรวมตัว กันเป็นกลุ่มการเมืองแต่มีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “พรรค” พระราชบัญญัติพรรคการเมืองได้ ประกาศใช้อย่างเปน็ ทางการเมอื่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๒๔ การเลอื กตง้ั ภายใต้ พ.ร.บ. พรรคการเมอื งครั้งหลงั สดุ เมอื่ ๑๓ กนั ยายน ๒๕๓๕ ผลปรากฏ ว่า พรรคประชาธิปตั ย์ เป็นแกนนำ� ในการจดั ตงั้ รฐั บาลผสม โดยมีนายชวน หลีกภัย เปน็ นายกรัฐมนตรี ปญั หาของพรรคการเมอื งไทย ประเทศไทย ใช้วิธีการปกครองแบบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภา พรรคการเมืองจึงเป็น สถาบันหนึ่งที่จะช่วยท�ำให้การปกครองบรรลุผลตามอุดมการณ์ประชาธิปไตย แต่ปรากฏว่า พรรคการเมอื งไมม่ โี อกาสชว่ ยใหบ้ รรลผุ ลได้ ทงั้ นเี้ พราะมอี ปุ สรรคหลายประการทท่ี ำ� ใหก้ ารดำ� เนนิ งาน ตามหน้าทีข่ องพรรคการเมืองเกดิ ปัญหาและขาดความตอ่ เนื่อง นกั วิชาการไดช้ ถี้ ึงปัญหาและแนวทาง แกไ้ ขปัญหาไว้ดังนี้ ๑. ปัญหาขององค์การหรือโครงสร้างของพรรคการเมืองไทย ซึ่งได้แก่นโยบายของพรรค องค์การของพรรค กลไกของพรรค การเงินของพรรค และการประชุมพรรค มีความจ�ำเป็นอย่างย่ิง เพราะองค์การกลางของพรรคน้ันเป็นท่ีประชุมของผู้แทนสมาคมท้องถิ่นของพรรคการเมืองทั้งหลาย ส�ำหรับได้ลงมติเก่ียวกับโครงการและการวินิจฉัยปัญหาที่เป็นส่วนรวมเก่ียวกับพรรคการเมือง และ นอกจากนจ้ี ะตอ้ งดำ� เนนิ กจิ ธรุ ะของพรรคการเมอื งทว่ั ไปดว้ ย ในการนอี้ งคก์ ารกลางจะตอ้ งมเี จา้ หนา้ ท่ี และต้องจัดแบ่งออกเปน็ กอง ๆ ส�ำหรบั ด�ำเนินงาน เท่าทป่ี รากฏมีเพียงพรรคประชาธปิ ตั ย์เทา่ น้ันท่มี ี การจัดต้ังสาขาพรรคในท้องถิ่น แต่ยังไม่ท่ัวถึง การขาดพรรคสาขาในท้องถิ่นท�ำให้เกิดความห่างไกล กนั ขน้ึ ระหวา่ งพรรคการเมอื งกบั ประชาชน ซง่ึ มผี ลทำ� ใหพ้ รรคการเมอื งออ่ นแอ ขณะเดยี วกนั ประชาชน ก็ขาดความรู้สึกว่าตนควรจะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ความกระตือรือร้นในการสนับสนุน พรรคการเมืองจึงไม่มปี ระสทิ ธภิ าพของพรรคการเมืองจงึ ลดน้อยลง ๒. ปัญหาผู้บรหิ ารและสมาชกิ ของพรรคการเมอื งไทย พรรคการเมอื งของไทยมกั ถูกจดั ตัง้ ข้ึน เพ่ือใช้เป็นเคร่ืองมือในการสนับสนุนอ�ำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลโดยยึดถือความชอบพอส่วนตัว ของผู้ท่ีมีอ�ำนาจและอิทธิพล ผู้ตามจะยึดถือผู้น�ำเป็นศูนย์กลางในการรวมตัวเป็นพรรคการเมือง เมื่อ ผนู้ ำ� แตกแยกกนั พรรคจงึ สลายตวั ตามไปดว้ ย สว่ นสมาชกิ พรรคกม็ งุ่ หาผลประโยชนจ์ ากพรรคการเมอื ง มากกวา่ ทจ่ี ะตง้ั ใจจริงในการเขา้ ไปเป็นผู้ปกครองท่เี ห็นแกผ่ ลประโยชนข์ องประชาชน
พรรคการเมอื งและกลุ่มผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 317 ๓. ปัญหาของวิกฤติการณ์ทางการเมืองนอกเหนือรัฐธรรมนูญไทย พรรคการเมืองไทย ขาดความตอ่ เนอื่ ง เพราะการปฏวิ ตั ริ ฐั ประหาร ทเ่ี กดิ ขน้ึ มกี ารลม้ เลกิ รฐั ธรรมนญู ทำ� ใหพ้ ระราชบญั ญตั ิ พรรคการเมืองถูกยกเลิก พรรคการเมืองท่ีอยใู่ นข้ันทดลองกส็ ลายตัวไปดว้ ย และความไมต่ อ่ เนื่องของ ระบบรัฐสภา ท�ำให้พรรคการเมืองไม่มีเวลาในการจัดตั้ง ขยายขอบเขตสาขาออกไปชนบท ดังน้ัน เมื่อพรรคขาดตอนลง พรรคการเมืองจึงไม่ได้พิสูจน์คุณประโยชน์อย่างแท้จริงให้ประชาชนเกิดความ ศรทั ธา แนวทางการแกไ้ ข ๑. ควรจัดให้มีสาขาพรรคต่าง ๆ ในระดับท้องถ่ิน ระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับส่วน กลาง มากกว่าจะกระจุกอยู่เพียงส่วนกลาง ซ่ึงสามารถน�ำเอารูปแบบของการจัดการพรรคการเมือง จากต่างประเทศมาเป็นแนวทางได้ ท้ังน้ีเพื่อให้พรรคได้มีสาขากระจายได้กว้างขวาง จะได้หย่ังถึงชน ทกุ กลมุ่ และเมอ่ื พรรคการเมอื งมกี ารจดั ตงั้ องคก์ ารโดยกระจายอำ� นาจไปสทู่ อ้ งถนิ่ แลว้ การจดั องคก์ าร ของพรรคก็ต้องให้สามารถเป็นองค์กรกลางที่ผู้แทนต่าง ๆ ของพรรคการเมืองมาประชุมใหญ่ และด�ำเนนิ ธุรกจิ ของพรรคการเมอื งไดด้ ้วย เพ่ือใหบ้ รรลวุ ัตถุประสงค์ พรรคการเมอื งไทยตอ้ งแบ่งงาน ออกไปวา่ จะทำ� อะไรบา้ ง แลว้ รวบรวมงานทเี่ หมอื นกนั หรอื คลา้ ยกนั ตามหนา้ ทจี่ ดั แบง่ เปน็ กองหรอื ฝา่ ย เชน่ กองเลขานกุ าร กองคลงั กองประชาสมั พนั ธ์ กองคน้ ควา้ กองกฎหมาย กองนโยบาย และกองวนิ ยั เป็นตน้ ๑.๑ กองและฝา่ ยเลขานกุ าร มหี นา้ ทดี่ ำ� เนนิ การประชมุ เกบ็ เอกสารทำ� หนงั สอื โตต้ อบ และกิจธรุ ะประจำ� วันอืน่ ๆ ๑.๒ กองคลงั มหี นา้ ทด่ี า้ นการเงนิ ของพรรค ดแู ลรายไดข้ องพรรคและจดั สรรเงนิ ของ พรรคอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ๑.๓ กองประชาสมั พนั ธ์ มหี นา้ ทร่ี วบรวมขา่ วสารตา่ ง ๆ เกย่ี วกบั การเมอื ง เศรษฐกจิ และสังคม ท�ำหนังสือแจกจ่ายไปยังสมาคมท้องถ่ินและหนังสือพิมพ์ ตลอดจนจัดให้มีการประชุม สาธารณะ หรืองานสาธารณะ เป็นคร้ังคราว ๑.๔ กองคน้ คว้า ท�ำหนา้ ทที่ างดา้ นวิชาการ เพื่อค้นคว้าและวนิ ิจฉัยปัญหาทางสังคม เศรษฐกจิ และการเมอื ง ทเี่ ปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ เพอ่ื ใหพ้ รรคการเมอื งนำ� ไปปรบั นโยบายของพรรค ใหท้ นั สมยั อยเู่ สมอ กองหรอื ฝา่ ยนอ้ี าจจะแบง่ ออกเปน็ แผนกตา่ ง ๆ เชน่ แผนกการทหาร การคลงั การ ตา่ งประเทศ เปน็ ต้น ๑.๕ กองกฎหมาย ทำ� หนา้ ทร่ี า่ งพระราชบญั ญตั ิ หรอื คา้ นพระราชบญั ญตั ใิ นหลกั การ ทพ่ี รรคอน่ื เสนอ รวมตลอดถงึ ตอ้ งทราบวา่ กฎหมายไทยทม่ี บี ญั ญตั ไิ ปแลว้ มอี ยอู่ ยา่ งไร ถา้ จะปฏบิ ตั ติ าม โครงการของพรรคการเมอื งจะใชก้ ฎหมายทบ่ี ญั ญัติไปแลว้ ไดห้ รือไม่ หรอื จะแกไ้ ขอยา่ งใดได้บ้าง
318 รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ ๑.๖ กองนโยบาย หน้าท่ีของกองน้ีคือ ก�ำหนดนโยบายของพรรคเก่ียวกับปัญหา ตา่ ง ๆ วา่ จะทำ� อะไรและอยา่ งไร ตามหลกั การใหญ่ ๆ ซง่ึ สมาชกิ พรรคเหน็ ชอบ กองนโยบายอาจอาศยั กองคน้ ควา้ ใหห้ าขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ใหไ้ ดก้ อ่ นกำ� หนดนโยบายออกมา นอกจากนนั้ กองนย้ี งั ตอ้ งคอยฟงั ความ ตอ้ งการของประชาชน และรบั เอาความตอ้ งการของประชาชนมาปรบั ปรงุ ใหเ้ ปน็ ประเดน็ และจดั การ แก้ปญั หานไี้ วใ้ นโครงการของตน ๑.๗ กองวนิ ยั ทำ� หนา้ ทคี่ วบคมุ สมาชกิ ของตน โดยใชม้ าตรการทางวนิ ยั คอื อาจมกี าร ลงโทษ หรอื สง่ เสรมิ ใหส้ มาชกิ มวี นิ ยั ของตน ซง่ึ พรรคจะตอ้ งตงั้ หลกั ขน้ึ มาตามความเหมาะสมของแตล่ ะ พรรค อาจเขียนเปน็ แผนผังองคก์ ารได้ดังนี้ หัวหนา้ พรรค เลขาธิการพรรค คณะกรรมการกลางของพรรค กองเลขานกุ าร กองคลงั กองประชาสัมพันธ์ กองค้นคว้า กองกฎหมาย กองนโยบาย กอง แผนผังองค์การพรรคการเมืองไทย ทง้ั ๗ หนว่ ยงานน้ี จะตอ้ งเตรยี มพรอ้ มอยเู่ สมอ เพราะเมอื่ พรรคการเมอื งของตนไดเ้ ปน็ รฐั บาล ก็พร้อมที่จะบริหารประเทศทันที และการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพภายในพรรคจะช่วยให้พรรค เอาชนะคแู่ ข่งอืน่ ๆ ได้ ๒. จากอดีตพบว่า พรรคการเมอื งไทยเป็นพรรคการเมอื งรัฐสภาท้ังส้นิ คอื ผูบ้ ริหารพรรคเปน็ นกั การเมอื งจำ� นวนนอ้ ยทม่ี อี ำ� นาจและครำ�่ หวอดในวงการนเ้ี ทา่ นนั้ ลกั ษณะของพรรคเชน่ นน้ี ำ� สถาบนั พรรคการเมอื งไทยไปสคู่ วามลม้ เหลว เพอื่ แกไ้ ขปญั หานคี้ วรพยายามสรา้ งพรรคมวลชนขน้ึ โดยมาปลกู ฝังคุณค่าที่ดีของพรรคการเมืองให้แก่ประชาชน และให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการก�ำหนด นโยบายทต่ี รงกบั ความตอ้ งการของตน หลกั การหรอื นโยบายของพรรคกจ็ ะมคี วามสำ� คญั เหนอื ตวั บคุ คล ประชาชนจะเลือกพรรคแทนท่ีจะเลือกตัวบุคคล การสร้างวินัยภายในพรรคก็จะท�ำได้ง่ายขึ้น เพราะ สมาชกิ พรรคจะคำ� นงึ ถงึ ความสำ� คญั ของพรรคมากขน้ึ วา่ ตนจะไดร้ บั เลอื กตง้ั หรอื ไมย่ อ่ มขน้ึ อยกู่ บั พรรค มากกว่าชื่อเสียงส่วนตัว เพราะถ้าพรรคไม่ส่งไปเป็นตัวแทนตนก็จะไม่มีโอกาสเป็นนักการเมืองอาชีพ ต่อไป
พรรคการเมอื งและกลมุ่ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 319 ๓. การขาดความต่อเนื่องของพรรคมีสาเหตุมาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ซ่ึงเป็นปัญหา ภายนอกของพรรคทบ่ี นั่ ทอนประสทิ ธภิ าพในการทำ� งานของพรรคการเมอื งอนั ทจ่ี รงิ แลว้ ความผนั ผวน ทางการเมอื งจะเปน็ ไปในรปู ใด ฐานของพรรคกน็ า่ จะมีกิจกรรมเคลอื่ นไหวอย่ไู ดต้ ลอดเวลา ถา้ หากรฐั ยงั คงใชร้ ะบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่ในความเปน็ จรงิ คราวใดกต็ ามทีม่ กี ารปฏิวตั ิ หรือ รัฐประหาร รัฐธรรมนูญจะถูกยกเลกิ และพระราชบัญญัติพรรคการเมอื งกจ็ ะถกู ลม้ เลิกไปด้วยทกุ ครง้ั ซงึ่ มผี ลทำ� ใหพ้ รรคการเมอื งสลายตวั ไป ปรากฏการณเ์ ชน่ น้ี ทำ� ใหพ้ รรคการเมอื งไมอ่ าจจะเปน็ ตวั เชอื่ ม ชอ่ งวา่ งระหวา่ งผไู้ ดเ้ ปรยี บในสงั คมและเศรษฐกจิ ประชาชนกบั รฐั จะหา่ งเหนิ กนั มากขนึ้ ทำ� ใหป้ ระชาชน เกิดความเบ่ือหนา่ ยในระบอบการปกครองทไ่ี ม่ไดพ้ สิ จู น์ใหเ้ หน็ คณุ คา่ ว่าไดท้ ำ� ให้ชวี ติ สขุ สบายข้ึน กจ็ ะ หันไปยอมรับการปกครองระบอบอื่นที่เห็นผลเร็วกว่า จึงน่าจะได้มีการออมชอมกันระหว่าง พรรคการเมอื งกบั กลมุ่ ทหารใหเ้ ปน็ แกป่ ระโยชนส์ ว่ นรวมกนั และอยรู่ ว่ มกนั โดยสนั ติ เพอื่ ผลประโยชน์ ของประชาชนโดยสว่ นรวม กลุม่ ผลประโยชน์ (Interest Group) กลมุ่ ผลประโยชน์ (Interest Group) เป็นสถาบันทางการเมอื งทม่ี คี วามสำ� คัญตอ่ เสถียรภาพ และพฒั นาการของระบบการเมือง เพราะกลุ่มผลประโยชนจ์ ะมบี ทบาทสำ� คญั ในกระบวนการกำ� หนด นโยบาย (Policy Making) ด้วยวิธีการเรียกร้องผลประโยชน์ (Interest Articulation) นอกรัฐสภา ดังกล่าวที่ว่า หากไม่มีกลุ่มผลประโยชน์แล้วไซร้ ก็จะไม่มีรัฐบาลใดเลยท่ีถือได้ว่าเป็นรัฐบาล ประชาธิปไตย ๒๐๙เพราะกลุ่มผลประโยชน์ท�ำหน้าที่เป็นอาณัติท่ีช้ีอย่างต่อเนื่อง (Continuous mandate) แก่รฐั บาล เพอ่ื น�ำมาใชเ้ ป็นข้อมูลในการก�ำหนดนโยบายให้สอดคล้องต่อสภาพสังคม ในหมู่นักรัฐศาสตร์มีการยอมรับกันว่า กลุ่มผลประโยชน์กับประชาธิปไตยแบบตะวันตกนั้น เปน็ ของคกู่ นั ระบอบประชาธปิ ไตยจะดำ� รงอยไู่ ด้ ตอ่ เมอื่ กลมุ่ ผลประโยชนแ์ ละพรรคการเมอื งเปน็ เครอื่ ง คำ�้ จนุ ใหร้ ะบบการเมอื งมลี กั ษณะเคลอ่ื นไหว ระบบการเมอื งในประเทศใดไมม่ พี รรคการเมอื งและกลมุ่ ผลประโยชน์ ระบบการเมอื งนน้ั จะมลี กั ษณะหยดุ นง่ิ ซงึ่ เปน็ สภาพทไ่ี มม่ กี ารพฒั นาใด ๆ ชนชน้ั ปกครอง จะท�ำหน้าที่ปกครองตลอดไป ถ้าเป็นชนช้ันปกครองท่ีไม่ค�ำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมแล้ว การแบง่ สรรสง่ิ ทม่ี คี ณุ คา่ ทางสงั คมกจ็ ะไมเ่ ปน็ ธรรม จงึ เหน็ ไดช้ ดั วา่ กลมุ่ ผลประโยชนม์ คี วามสำ� คญั และ จำ� เปน็ ตอ่ ระบบการเมอื ง กลมุ่ ผลประโยชนอ์ าจพฒั นาตอ่ ไปเปน็ พรรคการเมอื งได้ หากมกี ารรวมตวั กนั ๒๐๙ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชมุ พล, ระบบการเมอื ง : ความรูเ้ บอื้ งตน้ . (กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๓๙), น. ๑๓๔.
320 รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งตน้ ของผทู้ มี่ อี ดุ มการณท์ างการเมอื งใกลเ้ คยี งกนั และมกี ารจดั องคก์ ารใหใ้ หญข่ นึ้ กลมุ่ ผลประโยชนจ์ งึ เปน็ เครอื่ งแสดงออกถงึ ผลประโยชนท์ ขี่ ดั แยง้ กนั ในทางการเมอื ง การศกึ ษากลมุ่ ผลประโยชนจ์ งึ อาจพาดพงิ ไปถึงพรรคการเมืองได้ทุกเมือ่ ๒๑๐ ความหมายของกลมุ่ ผลประโยชน์ กลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group) ตามสารานุกรมรัฐศาสตร์ ได้ให้ความหมายไว้ว่า๒๑๑ กลมุ่ ผลประโยชนห์ มายถงึ ๑. กลมุ่ ของประชาชนทรี่ วมตัวกนั ขนึ้ ๒. จะใชอ้ ิทธพิ ลเพือ่ ส่งเสรมิ รักษาผลประโยชน์ร่วมกนั ๓. กลุ่มนี้อาจจะเรียกไดอ้ ีกอย่างหนง่ึ ว่ากล่มุ อิทธพิ ล ๔. ในทางการเมืองอาจมีกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองที่ต้องการมีอิทธิพลเหนือ พรรคการเมอื งหรอื สมาชกิ สภานติ บิ ญั ญตั ิ หรอื เจา้ หนา้ ทฝ่ี า่ ยบรหิ ารเพอื่ ทจี่ ะใหร้ บั เอาความคดิ ของตน ไปบญั ญัตเิ ขียนเปน็ กฎหมายหรือน�ำไปใช้ในการปกครอง ทองทพิ ย์ วริ ยิ ะพนั ธ์,ุ ชินเลขา กว้างสุขสถติ ย์ และพชั รนิ ทร์ แขง็ แรง ได้สรุปความหมายของ กลมุ่ ผลประโยชน์ไว้ ๓ ประการ๒๑๒ คือ ความหมายที่ ๑ กลุ่มผลประโยชน์หมายถึง “ภาวะความรู้สึกตื่นตัวท่ีเกิดขึ้นในตัวบุคคลที่ ทำ� งานร่วมกนั เปน็ กลมุ่ เพือ่ ให้บรรลถุ ึงวัตถปุ ระสงคซ์ ่งึ ถอื ว่าเปน็ ผลประโยชนร์ ว่ มกนั ของกลมุ่ ” ความหมายที่ ๒ กลุ่มผลประโยชน์คือ “กลุ่มท่ีจัดต้ังขึ้นเพ่ือภารกิจหรือผลประโยชน์เฉพาะ อย่าง” ความหมายท่ี ๓ กลมุ่ ผลประโยชนค์ อื “กลมุ่ ทกุ กลมุ่ หรอื องคก์ ารทกุ องคก์ ารทแี่ สวงหาอทิ ธพิ ล เหนือนโยบายสาธารณะตามวิถีทางที่ก�ำหนด ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธท่ีจะรับผิดชอบโดยตรงในการ ปกครองประเทศ” ๒๑๐ พลศักดิ์ จริ ไกรศริ ิ, รศ., ดร., เรือ่ งเดมิ , หน้า ๕๘. ๒๑๑ จรญู สุภาพ, ศ., เร่ืองเดิม, หนา้ ๑๓๕. ๒๑๒ ทองทพิ วริ ิยะพนั ธ์ุ, ชนิ เลขา กวา้ งสขุ สถิตย์ และพัชรินทร์ แขง็ แรง, เรือ่ งเดิม, หน้า ๑๔๓
พรรคการเมืองและกล่มุ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 321 นงเยาว์ พีระตานนท์ ได้ให้ความหมายของกลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มอิทธิพลไว้ว่า๒๑๓ “คือกลุ่มชนกลุ่มหน่ึงมีอาชีพมีผลประโยชน์ร่วมกัน มีความประสงค์จะแสวงหาประโยชน์เฉพาะอย่าง คือรักษาผลประโยชน์ของตนไว้ หรือต้องการท่ีจะขยายผลประโยชน์ท่ีมีอยู่แล้วให้กว้างขวางย่ิงขึ้น ซ่งึ วิธดี �ำเนนิ งานของกลุ่มอทิ ธพิ ลก็คอื การเสนอความคิดเหน็ ความตอ้ งการของกลุม่ ของตนต่อรฐั บาล หรอื ใชอ้ ทิ ธพิ ลในทกุ ดา้ น รวมทงั้ การเงนิ ชกั ชวนผลกั ดนั บงั คบั รฐั บาล โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ิ ให้ออกกฎหมายเพื่อประโยชน์ของกลุ่มของตน ตลอดจนใช้อิทธิพลเข้าแทรกแซงพรรคการเมืองให้ พยายามดำ� เนนิ นโยบายเพอ่ื ประโยชนข์ องกลุ่มของตน” วิทยา นภาศริ กิ ลุ และคณะ ไดใ้ ห้ความหมายของกลมุ่ ผลประโยชน์ และกล่าวถึงความหมาย ของค�ำท่ีใกล้เคียงและใช้ปะปนกันดังน้ี๒๑๔ “กลุ่มผลประโยชน์หรือ Interest Groups หมายถึงกลุ่ม ตวั แทนตามสาขาอาชพี ในสงั คมซงึ่ มจี ำ� นวนมาก และความเชยี่ วชาญเฉพาะสาขา คำ� ตอ่ ไปนคี้ วามหมาย ทใี่ กล้เคยี งกนั และมกั จะใชป้ ะปนกนั อยูเ่ สมอ คอื - Interest Groups หมายถงึ กลุ่มผลประโยชน์ - Pressure Groups หมายถงึ กลมุ่ ผลักดัน หรือกลมุ่ อิทธิพล - Organized Groups หมายถงึ การรวมกลุม่ ของผมู้ ีผลประโยชน์ หรือผลประโยชนท์ ี่รวมกัน ในลกั ษณะขององค์การ - Group interest ผลประโยชนข์ องกลมุ่ ไมเ่ หมอื นกนั กบั Organized Group เพราะเป็นการ รวมกนั เฉย ๆ ไมม่ ีการจัดองค์การ - Ideological Groups หมายถงึ กลมุ่ อดุ มการณ์ ไมม่ กี ารแบง่ เปน็ ชนชน้ั อาชพี เพศและอาชพี - Lobby หมายถึงกลุ่มแลกเปลี่ยนผลประโยชน์นอกสภาเปรียบเทียบเป็นสภาที่ ๓ ของ สหรฐั อเมริกา - Political Groups หมายถึงกลุ่มการเมือง หรอื สโมสรการเมือง Political Clubs - Powers Groups หมายถึงกลุ่มพลังตา่ ง ๆ ขบวนการต่าง ๆ จุดมุ่งหมายของกลุ่มต่าง ๆ นี้ก็คือ การป้องกันผลประโยชน์ของกลุ่ม ซึ่งแบ่งแยกตามสาขา ของสังคม ผลประโยชน์น้ันอาจหมายถึง ผลประโยชน์เฉพาะของกลุ่มหรือผลประโยชน์นอกกลุ่ม คือ ๒๑๓ นงเยาว์ พรี ะตานนท,์ เร่ืองเดิม, หน้า ๔๙ ๒๑๔ วิทยา นภาศิรกิ ลุ กจิ , รศ., ดร., สรุ พล ราชภณั ฑารกั ษ์, รศ., ดร., เรื่องเดมิ , หน้า ๒๒๕
322 รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งตน้ ผลประโยชนท์ วั่ ๆ ไป ทเี่ ปน็ ของสว่ นรวมทเี่ ปน็ สาธารณะ รวมถงึ จดุ หมายสดุ ทา้ ยคอื การมอี ทิ ธพิ ลเหนอื นโยบายสาธารณะ ศาสตราจารย์แกรมแฮม วูดตัน (Graham Wootton, ๑๙๗๐ : ๑ – ๒) แห่งมหาวิทยาลัย Tuffs สหรัฐอเมริกา ไดอ้ ธบิ ายความหมายของกล่มุ ผลประโยชน์ไวว้ ่า - กลุ่มผลประโยชน์คอื กลุ่มทกุ กลุ่ม หรอื องคก์ ารทุกองคก์ ารทแ่ี สวงหาอทิ ธิพลเหนือนโยบาย สาธารณะ (Public Policy) ตามวธิ ีทางทก่ี �ำหนด ในขณะเดยี วกนั กป็ ฏเิ สธทจ่ี ะรบั ผิดชอบโดยตรงที่จะ ปกครองประเทศ - กลุ่มผลประโยชน์เป็นกลุ่มของผู้ร่วมทัศนะท่ีได้ท�ำการเรียกร้องต่อกลุ่มอื่น ๆในสังคม และ เมอ่ื ใดทกี่ ลมุ่ ผลประโยชนน์ กี้ ระทำ� การเรยี กรอ้ งขอ้ เสนอของตน โดยผา่ นสถาบนั ใด ๆของรฐั บาลกต็ าม กลมุ่ ผลประโยชนน์ จี้ ะกลายเปน็ กลมุ่ ผลประโยชนท์ างการเมอื ง (Political Interest Groups) และเมอื่ ใดทก่ี ลมุ่ ผลประโยชนป์ ฏบิ ตั กิ ารในระดบั การเมอื ง กลมุ่ นจี้ ะถกู เรยี กวา่ กลมุ่ ผลกั ดนั (Pressure Groups) Truman๒๑๕ กลา่ วว่า จากการที่มนุษยเ์ ปน็ สัตวส์ ังคม จงึ ต้องมีการอยรู่ วมกนั เปน็ กลมุ่ และมี กจิ กรรมตา่ ง ๆ เปน็ บทบาทรว่ มกนั และการทม่ี นษุ ยต์ อ้ งอยรู่ วมกนั เปน็ กลมุ่ กเ็ พราะวา่ ผลประโยชนข์ อง ตนนั้นสอดคล้องกับผลประโยชน์ของกลุ่มท่ีเข้าไปมีส่วนร่วม กลุ่มของมนุษย์ที่รวมตัวกันโดยทั่วไปจะ เปน็ การเขา้ รว่ มกนั เพอื่ ใหไ้ ดม้ าซงึ่ สง่ิ ทเ่ี ปน็ จดุ หมายหรอื ผลประโยชนข์ องกลมุ่ นนั้ แตก่ ลมุ่ ผลประโยชน์ (Interest Group) จะมีลักษณะที่แตกต่างไปจากกลุ่มโดยท่ัวไปตรงที่การเข้าร่วมกับสมาชิกคนอื่น ๆ ของกลมุ่ นนั้ ไมไ่ ดเ้ ปน็ ไปเพยี งเพอื่ ใหไ้ ดม้ าซงึ่ สงิ่ ทเี่ ปน็ จดุ หมายหรอื ผลประโยชนข์ องกลมุ่ เทา่ นน้ั แตก่ าร เข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มผลประโยชน์น้ันจะรวมถึงการมีทัศนคติร่วมกันอีก จะเห็นได้ว่าหากจะแยก พิจารณาลักษณะของกลุ่มผลประโยชน์ตามความหมายของ ทรูแมน เราจะพบว่าต้องประกอบด้วย ลกั ษณะ ๔ ประการ คอื ๑. Shared attitude คือต้องมีทัศนคติร่วมกัน เห็นพ้องต้องกัน และมีผลประโยชน์ร่วมกัน อนั เปน็ ผลมาจากการประนปี ระนอมตอ่ รองภายใตก้ ตกิ า ๒. Organization ต้องมีการจัดตั้งองค์กรอย่างถาวร เชน่ มีกรรมการบริหารกลุม่ มีระเบยี บ กฎเกณฑใ์ นการคัดเลือกผนู้ ำ� และการรบั สมาชกิ เปน็ ตน้ ๒๑๕ David B. Truman, The Governmental Process. (New York : Alfred a Knopf, 1951), pp. ๓๓ – ๓๕.
พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 323 ๓. Interaction มีปฏิสัมพนั ธก์ นั ระหวา่ งสมาชิกในกลุม่ และระหว่างกลุ่ม ๔. Activities มกี ิจกรรมรว่ มกันอยา่ งต่อเนื่อง เพ่ือให้บรรลุเปา้ หมายของกลุม่ Duverger๒๑๖ กลา่ ววา่ กลมุ่ ผลประโยชนเ์ ปน็ กลมุ่ ทม่ี กี จิ กรรมเพอื่ จดุ ประสงคท์ างการเมอื ง คอื การมอี ทิ ธพิ ลเหนอื อำ� นาจรฐั นนั่ คอื เปน็ การใชอ้ ทิ ธพิ ลในการบบี บงั คบั ผมู้ อี ำ� นาจในการบรหิ ารประเทศ ที่จะก�ำหนดนโยบายสาธารณะหรือการจัดสรรสิ่งท่ีมีคุณค่าของสังคมให้เป็นไปในทิศทางท่ีกลุ่มตน ตอ้ งการ โดยสรุป อาจกล่าวได้ว่า กลุ่มผลประโยชน์คือ กลุ่มบุคคลที่มีความสนใจหรือมีผลประโยชน์ ร่วมกันและมีปฏิสัมพันธ์กันโดยความสมัครใจ และพยายามกระท�ำการเพ่ือให้ผู้มีอ�ำนาจในการตัดสิน ใจทางการเมอื งกระทำ� หรอื ไมก่ ระทำ� การอนั ใดเพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั ผลประโยชนข์ องกลมุ่ ตน แตใ่ นขณะ เดียวกันก็ปฏิเสธท่ีจะรบั ผดิ ชอบโดยตรงทจ่ี ะปกครองประเทศ ความเป็นมาของกล่มุ ผลประโยชน๒์ ๑๗ การก่อกำ� เนดิ ของกลุ่มผลประโยชนน์ ัน้ เป็นผลมาจากปรากฏการณ์ธรรมชาตขิ องสงั คม ซึง่ มี สาเหตทุ ่ีแตกต่างกนั ไปตามสภาพของสังคม เศรษฐกิจ และการเมอื ง ซง่ึ แยกเป็นกลุม่ ได้ดังนี้ กลุ่มผลประโยชน์ด้ังเดิม เป็นกลุ่มผลประโยชน์ท่ีรวมกันขึ้นได้โดยอาศัยอาชีพเดียวกันเป็น หลกั เชน่ อาชพี แพทย์ ทนายความ นกั กฎหมาย ซง่ึ สาเหตขุ องการรวมตวั กนั ไดเ้ นอ่ื งมาจากความผกู พนั ในสงั คมน่นั เอง ลกั ษณะโครงสรา้ งเกยี่ วกบั จำ� นวนและผนู้ ำ� กม็ ลี กั ษณะสอดคลอ้ งกนั กบั พรรคการเมอื งดงั้ เดมิ กลา่ วคอื ผ้นู �ำจะมลี กั ษณะทเ่ี ปน็ ผมู้ บี ารมี อาวโุ สสูงเชน่ เดยี วกบั พรรคการเมืองแบบคอคสั กลุ่มผลประโยชน์สมัยใหม่ มีลักษณะเน้นหนักไปในทางเศรษฐกิจ เน่ืองจากการรวมตัวกัน เกดิ ขน้ึ ไดเ้ พราะเหตผุ ลทวี่ า่ มผี ลประโยชนร์ ว่ มกนั ในทางเศรษฐกจิ นอกจากนย้ี งั มกี ลมุ่ ผลประโยชนใ์ น ทางการเมืองทร่ี วมกันโดยมอี ุดมการณท์ างการเมอื งรว่ มกันดว้ ย ๒๑๖ Murice Duverger, Party Politics and Pressure Groups. (London : Thomus Y. Crowell Company, Inc., ๑๙๗๒), pp. ๑๐๑ -๑๐๒. ๒๑๗ วิทยา นภาศริ กิ ุลกิจ, รศ,. ดร., สุรพล ราชภัณฑารักษ,์ รศ., ดร., เรื่องเดมิ , หนา้ ๒๓๐ – ๒๓๒.
324 รฐั ศาสตร์เบือ้ งต้น เมื่อพจิ ารณาโครงสรา้ งของกลมุ่ แล้ว จะเห็นวา่ มีจำ� นวนสมาชิกมากกว่าแบบดงั้ เดิม กล่าวคือ มลี กั ษณะทเ่ี ปน็ มวลชนคลา้ ยกนั กบั พรรคการเมอื งมวลชน สว่ นผนู้ ำ� ของกลมุ่ ผลประโยชนน์ ้ี จะไดต้ ำ� แหนง่ โดยการต่อสู้ทางการเมอื งภายในกลุม่ ทำ� ใหก้ ลมุ่ มลี ักษณะของการเปน็ ประชาธิปไตยมากกวา่ กลมุ่ อ่นื ความสัมพันธพ์ รรคการเมืองและกล่มุ ผลประโยชน์ พรรคการเมอื งและกลมุ่ ผลประโยชน์ มลี กั ษณะการรวมตวั กนั ของประชาชนพลเมอื ง ซง่ึ มเี ปา้ หมายเพ่อื รักษาผลประโยชน์ของตน ซงึ่ อาจจะเปน็ ด้านการเมอื งหรอื ผลประโยชนท์ างอาชพี ก็ได้ ลักษณะความสมั พันธข์ องพรรคการเมืองและกลุม่ ผลประโยชน์อาจพิจารณาได้ ๒ ทางคือ ๑. ในระยะเรม่ิ แรกจะเปน็ กลมุ่ การเมอื ง เนอื่ งจากมนี โยบายสอดคลอ้ งกนั ในเรอ่ื งการยดึ อำ� นาจ รฐั เมอ่ื รวมตวั กนั มนั่ คงกจ็ ดั ตงั้ เปน็ พรรคการเมอื ง แตถ่ า้ พรรคการเมอื งนนั้ ประสบความลม้ เหลวในการ ต่อสทู้ างการเมอื ง การรวมตวั นั้นอาจยังมีอยู่ระหว่างบรรดาสมาชิกแต่จะกลายเปน็ กลุม่ ผลประโยชน์ ๒. เป็นการพัฒนาของกลุ่มผลประโยชน์ ซ่ึงอาจจะเนื่องมาจากการเข้าไปเก่ียวข้องกับการ ปฏบิ ตั กิ ารบบี บงั คบั ในทางการเมอื ง จงึ ทำ� ใหก้ ลมุ่ ผลประโยชนแ์ ปรสภาพไปเปน็ ขบวนการทางการเมอื ง และกลายไปเปน็ พรรคการเมอื ง โดยท่ีมีนโยบายและเปา้ หมายเดิมของกลุ่มผลประโยชน์นั่นเอง ประเภทกลุม่ ผลประโยชน์ ศาสตราจารย์ชาวอเมริกันเกรแฮม วูตตัน ได้แบ่งประเภทของกลุ่มผลประโยชน์ออกเป็น ๔ กลมุ่ คอื ๑. กลุ่มท่ีเกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มกรรมกรในโรงงาน กลุ่มเหมืองแร่ กลุ่มชาวไร่ เป็นตน้ ๒. กลุ่มทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั ด้านบูรณภาพ เปน็ เรื่องเกยี่ วกบั อดุ มการณ์ เช่น สถาบนั เพื่อความเที่ยง ธรรม เป็นตน้ ๓. กลมุ่ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ดา้ นวฒั นธรรม เชน่ องคก์ ารทางครอบครวั องคก์ ารทางศาสนา องคก์ าร การศกึ ษา เป็นตน้ ๔. กลุ่มท่ีเกี่ยวข้องกับด้านการเมือง เช่น องค์การนิติบัญญัติ องค์การด้านบริหาร กลุ่มเจ้า หนา้ ท่ีในกระทรวง กลมุ่ เจ้าหนา้ ทีใ่ นทบวง เป็นตน้ ในการจดั แบง่ ประเภทของกลุ่มผลประโยชน์นัน้ อาจแบ่งไดเ้ ป็น ๒ ประเภท คือ ๑. กล่มุ ผลประโยชนท์ างอาชีพ ได้แก่
พรรคการเมอื งและกลมุ่ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 325 ก) องค์การของนายจา้ งด้านธรุ กจิ อุตสาหกรรม ข) องคก์ ารทางเกษตรกรรม ค) องค์การของผใู้ ชแ้ รงงานท่ีมรี ายได้ ๒. กลมุ่ ผลประโยชนก์ ึ่งอาชพี ก่ึงอุดมการณ์ ซึ่งสามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๒ ประเภทคือ ก) กลมุ่ ผลประโยชนภ์ าคเอกชน ได้แก่ - กลุม่ ทม่ี ีจดุ มุ่งหมายดา้ นอดุ มการณ์ - กลุ่มปญั ญาชน - สมาคมทหารผ่านศกึ - ขบวนการเยาวชน - องคก์ ารสตรีและครอบครัว - กลุม่ อดุ มการณ์ศาสนา ข) กล่มุ ผลประโยชนภ์ าคมหาชน ได้แก่ - องคก์ ารฝ่ายพลเรอื น เชน่ สมาคมข้าราชการพลเรอื น สมาคมข้าราชการ ศาลปกครอง เปน็ ตน้ - องค์การฝา่ ยทหาร เช่น กองทพั เปน็ ตน้ Almond และ Powell๒๑๘ ได้แบง่ ประเภทของกลุม่ ผลประโยชนอ์ อกเป็น ๔ ประเภท คอื ๑. กลุ่มผลประโยชน์ทเี่ ป็นสถาบัน (institutional interest groups) ๒. กลมุ่ ผลประโยชน์ที่มกี ารจัดต้งั (associational interest groups) ๓. กลมุ่ ผลประโยชน์ทไ่ี มม่ ีการจดั ต้งั (non - associational interest groups) ๔. กล่มุ ผลประโยชนท์ ไี่ ร้บรรทดั ฐาน (anomic interest groups) กลมุ่ ผลประโยชน์ท่เี ป็นสถาบนั (institutional interest groups) เปน็ กลมุ่ ผลประโยชน์ ทมี่ กี ารรวมตวั กนั และเกดิ ขน้ึ ภายในองคก์ ารทม่ี กี ารจดั ตง้ั อยา่ งเปน็ สถาบนั มกี ารจดั ระเบยี บเปน็ อยา่ ง ดี เชน่ บริษทั กล่มุ ธรุ กจิ กองทัพ ขา้ ราชการ และพรรคการเมอื ง เป็นต้น ซง่ึ องคก์ ารดงั กลา่ วจะมหี น้า ๒๑๘ Gabriel A. Almond and G. Bingham Powell, Comparative Politics : A Developmental Approacs. (Boston : Little, Brown and Company, ๑๙๖๖), pp. ๓๓.
326 รฐั ศาสตร์เบอ้ื งตน้ ท่ีหลักอย่างอื่นในทางสังคมหรือการเมือง ลักษณะการแสดงบทบาทของกลุ่มประเภทนี้มักจะออกมา ในรูปของการเป็นตัวแทนเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ท้ังเพ่ือกลุ่มตนเองและกลุ่มอื่น ๆ ในสังคมด้วย ในประเทศก�ำลังพัฒนากลุ่มผลประโยชนป์ ระเภทน้ีจะมีความแขง็ แกร่งและมีบทบาทสูงมาก กลมุ่ ผลประโยชนท์ ม่ี กี ารจดั ตงั้ (associational interest groups) เปน็ กลมุ่ ผลประโยชน์ ที่มีการรวมตัวกันอย่างเป็นทางการในโครงสร้างท่ีมีความช�ำนาญเฉพาะอย่าง มีการจัดตั้งองค์การข้ึน อยา่ งมรี ะเบยี บ และมกั มกี ารจา้ งเจา้ หนา้ ทมี่ าปฏบิ ตั งิ านของกลมุ่ อยา่ งถาวร กลมุ่ ประเภทนจี้ ะมลี กั ษณะ พิเศษเฉพาะกลมุ่ ต่างกันไป เช่น สหภาพแรงงาน สมาคมพอ่ คา้ หอการคา้ เป็นตน้ มโี ครงสรา้ งในการ เรยี กรอ้ งผลประโยชนต์ อ่ ระบบการเมอื งอยา่ งชดั เจน การเรยี กรอ้ งผลประโยชนจ์ ะเปน็ การเรยี กรอ้ งเพอื่ กลมุ่ ตนเองโดยเฉพาะ ลกั ษณะการเรยี กร้องผลประโยชน์จะมีการทำ� อยา่ งเปน็ ข้ันตอน กลมุ่ ผลประโยชนท์ ไี่ มม่ กี ารจดั ตงั้ (non-associational interest groups) จะเปน็ ลกั ษณะ ที่ไม่มกี ารรวมตัวกนั ในรูปแบบที่เปน็ ทางการ คอื ไมม่ ีการจดั ตัง้ เป็นองคก์ รทถี่ าวร ไมม่ ีการด�ำเนินการ หรือกิจกรรมท่ีเป็นลักษณะต่อเน่ือง ขาดโครงสร้างของกลุ่มในการด�ำเนินการ เช่น กลุ่มชนชั้น กลุ่มเครือญาติ ซ่ึงเป็นกลุ่มท่ีมุ่งแสดงออกถึงความต้องการในผลประโยชน์เป็นคร้ังคราว และมักใช้วิธี ในการเรยี กรอ้ งผลประโยชนท์ ไี่ มเ่ ปน็ ทางการ ไมม่ กี ระบวนการทเ่ี ปน็ ระเบยี บแบบแผนในการเรยี กรอ้ ง เช่น การเรยี กรอ้ งผ่านกลมุ่ เพ่ือน ผา่ นกลมุ่ ญาติของสมาชิกในกลุม่ หรือผา่ นผู้น�ำทางศาสนา เป็นตน้ กลมุ่ ผลประโยชน์ทไี่ ร้บรรทดั ฐาน (anomic interest groups) เป็นกลมุ่ ผลประโยชนท์ ม่ี ี การรวมตัวกันเม่ือเกิดวิกฤตการณ์ท่ีร้ายแรง จึงมีลักษณะเป็นการรวมตัวท่ีขาดการจัดตั้งเป็นองค์กร หรอื แมจ้ ะมกี ารจดั ตง้ั เปน็ องคก์ ร กจ็ ะเปน็ ไปในลกั ษณะทไ่ี มย่ ง่ั ยนื เปน็ กลมุ่ ทไี่ มม่ คี า่ นยิ มหรอื แบบแผน ในการเข้าร่วมแสดงบทบาททางการเมืองที่แน่นอน กลุ่มผลประโยชน์ประเภทน้ีจึงมักใช้วิธีรุนแรง ในการเรียกร้องผลประโยชน์เพื่อให้ได้มาตามวัตถุประสงค์ของกลุ่ม เช่น กลุ่มก่อความไม่สงบ กลุ่มผู้ ประทว้ ง ความส�ำคัญของกลมุ่ ผลประโยชน์ โดยท่ัวไปเรามักจะพบกลุ่มผลประโยชน์หลากหลายในทุกสังคม ส่วนในประเด็นของความ สำ� คญั บทบาท และจำ� นวนของกลมุ่ ผลประโยชนจ์ ะมมี ากนอ้ ยเพยี งใดยอ่ มขน้ึ อยกู่ บั ลกั ษณะของสงั คม นั้น ๆ อันหมายถึงทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง แต่โดยท่ัวไปส�ำหรับสังคมที่มีความเจริญ ทางอุตสาหกรรมสูงมกั จะมกี ลมุ่ ผลประโยชนม์ าก ทงั้ ในแง่จำ� นวนและบทบาทหากจะเปรียบเทียบกบั สงั คมเกษตรกรรม โดยเฉพาะในสงั คมประชาธปิ ไตยกลมุ่ ผลประโยชนจ์ ะมบี ทบาทและความสำ� คญั เดน่ ชัดกวา่ ในสังคมเผดจ็ การหรอื คอมมิวนิสต์
พรรคการเมืองและกลมุ่ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 327 การมกี ลมุ่ ผลประโยชนท์ หี่ ลากหลายในสงั คมทำ� ใหป้ ระชาชนสามารถเขา้ รว่ มเปน็ สมาชกิ ของ กลมุ่ ผลประโยชนไ์ ดห้ ลายกลมุ่ ในเวลาเดยี วกนั เมอื่ มกี ารแขง่ ขนั ตอ่ รองในผลประโยชนร์ ะหวา่ งกลมุ่ จงึ มีลักษณะเป็นการประนีประนอมระหว่างกลุ่ม (non-zero-sum) มากกว่าเป็นการแข่งขันยื้อแย่ง ด้วยก�ำลัง และในการแข่งขันต่อรองผลประโยชน์ก็มิได้หมายความว่าทุกกลุ่มในสังคมจะลงมาแข่งขัน พรอ้ ม ๆ กนั ในประเดน็ เดยี วกนั แตจ่ ะเปน็ การเขา้ มาแขง่ ขนั เฉพาะบางกลมุ่ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ผลประโยชน์ (issue and time bound) จึงไม่เกิดความรนุ แรงและว่นุ วายในสงั คม สำ� หรบั บทบาทของกลมุ่ ผลประโยชนท์ ม่ี ตี อ่ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอาจกลา่ วไดใ้ น สองบทบาททเี่ ดน่ ชดั และสำ� คญั ๒๑๙ บทบาทแรกคอื การพยายามสรา้ งอทิ ธพิ ลตอ่ สมาชกิ สภานติ บิ ญั ญตั ิ ให้ดำ� เนนิ การตรากฎหมายไปในทศิ ทางตามท่ีกลุม่ ตนตอ้ งการ ซ่งึ อาจเป็นไปเพ่อื ทีจ่ ะใหอ้ อกกฎหมาย หรือระงับการออกกฎหมายก็ได้ วิธีการสร้างอิทธิพลต่อสมาชิกรัฐสภาที่เป็นท่ีนิยมมากท่ีสุดก็คือการ ลอ๊ บบี้ สว่ นอีกบทบาทหนึง่ กค็ อื การพยายามสรา้ งอทิ ธิพลต่อการกำ� หนดนโยบายของรัฐ เพราะเป็นที่ ทราบกันดีว่าในประเทศประชาธิปไตยการก�ำหนดนโยบายของรัฐน้ันจะต้องพิจารณาถึงผลประโยชน์ ของประชาชนรว่ มดว้ ยเสมอ เพราะฉะนน้ั กลุ่มผลประโยชน์ตา่ ง ๆ จึงมีอทิ ธพิ ลตอ่ การกำ� หนดนโยบาย ของรัฐมากกว่าปัจเจกบุคคล จนอาจกล่าวได้ว่า กลุ่มผลประโยชน์นั้นถือเป็นสถาบันทางการเมืองท่ี ส�ำคญั ในการกดดันหรอื มีอิทธิพลตอ่ การกำ� หนดนโยบายของรัฐ แมใ้ นสงั คมทางการเมอื งจะพบการพยายามเขา้ มามอี ทิ ธพิ ลของกลมุ่ ผลประโยชนท์ ห่ี ลากหลาย แตก่ ม็ ไิ ดห้ มายความวา่ กลมุ่ ผลประโยชนท์ กุ กลมุ่ ทเี่ ขา้ มาเรยี กรอ้ งหรอื กดดนั จะมอี ทิ ธพิ ลและสามารถ ประสบความส�ำเร็จไดเ้ สมอไป ท้งั นเี้ พราะความสำ� เร็จในการสรา้ งอทิ ธพิ ลของกลมุ่ ผลประโยชน์ข้นึ อยู่ กบั ปจั จัยหลายประการ แต่ท่สี ำ� คัญ คือ ก. ขนาดของกลมุ่ (Size) โดยกลมุ่ ทมี่ สี มาชกิ จำ� นวนมากจะมโี อกาสประสบความสำ� เรจ็ ในการ สรา้ งอทิ ธพิ ลเพอื่ ใหเ้ ปน็ ไปตามทก่ี ลมุ่ ตนตอ้ งการไดม้ ากกวา่ กลมุ่ ทมี่ จี ำ� นวนสมาชกิ นอ้ ย เพราะกลมุ่ ทม่ี ี ขนาดของสมาชิกมากย่อมมีพลงั ท่มี ากกวา่ ข. สถานภาพทางสังคม (Social status) ในประเดน็ น้ีจะพบว่า หากกลุ่มใดมสี ถานภาพทาง สงั คมทส่ี งู กวา่ กลมุ่ นน้ั กจ็ ะมอี ทิ ธพิ ลมากกวา่ กลมุ่ ทมี่ สี ถานภาพทางสงั คมตำ�่ อาจเพราะการมเี จตคตทิ ี่ ดีตอ่ ผ้ทู ีม่ ีสถานภาพทางสังคมเป็นพ้นื ฐาน อันเป็นการอธิบายได้ทางจิตวิทยา ค. ความสามัคคขี องกลุม่ (Cohesion) นบั เปน็ ปจั จยั ทีส่ ำ� คญั เพราะบ่อยครงั้ ท่กี ลมุ่ ขนาดใหญ่ กลบั ตอ้ งแพก้ ลมุ่ ทมี่ สี มาชกิ นอ้ ยกวา่ ดว้ ยสาเหตเุ ดยี วคอื การขาดความสามคั คี การทกี่ ลมุ่ ขนาดใหญม่ กั ๒๑๙ มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช, เอกสารการสอนชุดวิชาหลกั รฐั ศาสตรแ์ ลการบริหาร. อา้ งแลว้ , น. ๒๓๓ – ๒๓๕.
328 รัฐศาสตรเ์ บ้ืองตน้ ขาดความสามคั คอี าจเปน็ ผลมาจาก การมจี ำ� นวนสมาชกิ ทมี่ ากทำ� ใหก้ ารปฏสิ มั พนั ธก์ นั ระหวา่ งสมาชกิ ภายในกลุ่มมีนอ้ ยลงท้ังในแง่ปรมิ าณและคณุ ภาพ ง. ภาวะความเป็นผู้น�ำ (Leadership) คุณภาพของผู้น�ำกลุ่มเป็นอีกปัจจัยหน่ึงในการน�ำซ่ึง ความส�ำเร็จ ลักษณะของผนู้ �ำทมี่ คี ุณภาพมอี ยูห่ ลายประการ เชน่ ความสามารถในการด�ำเนินกิจกรรม ได้อย่างมีประสิทธิภาพท้ังภายในและภายนอกกลุ่ม มีความสามารถในการระดมทรัพยากรและรักษา ความสามคั คภี ายในกลมุ่ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี หากผนู้ ำ� มคี ณุ ภาพกจ็ ะทำ� ใหก้ ลมุ่ มพี ลงั และระเบยี บวธิ ที แ่ี นช่ ดั ท�ำใหส้ ามารถประสบความสำ� เรจ็ ในการสร้างอทิ ธิพลทางการเมืองไดเ้ ปน็ อยา่ งดี บทบาทของกลมุ่ ผลประโยชน๒์ ๒๐ บทบาทของกลุ่มผลประโยชนใ์ นแตล่ ะสงั คมแต่ละประเทศน้นั ยอ่ มแตกตา่ งกนั ไปตามสภาวะ แวดลอ้ ม นอกจากนบ้ี ทบาทในแตล่ ะดา้ นกโ็ ดดเดน่ ตา่ งกนั ซงึ่ ขน้ึ อยกู่ บั ตวั แปรหลายอยา่ งในแตล่ ะสงั คม แตโ่ ดยสรุปแลว้ บทบาทที่สำ� คัญของกลุ่มผลประโยชน์มดี งั นี้ คือ ๑. ในฐานะเป็นตัวแทนกลุ่มคนของสังคม ในสังคมโดยเฉพาะสังคมประชาธิปไตย ผล ประโยชนแ์ ละความตอ้ งการของสมาชกิ สงั คม มกั จะอยอู่ ยา่ งกระจดั กระจายไมเ่ ปน็ กลมุ่ กอ้ นทำ� ใหย้ าก ท่ีจะรู้ถึงความต้องการและผลประโยชน์ท่ีแท้จริงของคนในสังคมได้ กลุ่มผลประโยชน์จึงเป็นองค์กรท่ี สำ� คญั ในการรวบรวมความตอ้ งการและผลประโยชนข์ องสมาชกิ สงั คมใหเ้ ปน็ กลมุ่ กอ้ นเดน่ ชดั และเปน็ ตัวแทนของสมาชกิ กลมุ่ ในการเสนอความต้องการต่อองค์กรอ่นื หรอื รฐั บาลตอ่ ไป ๒. ในฐานะตวั แทนประสานงานกบั องคก์ ารอนื่ โดยสว่ นใหญแ่ ลว้ กลมุ่ ผลประโยชนจ์ ะมกี าร จัดตั้งองค์การเป็นของตัวเอง เพื่อท่ีจะใช้เป็นตัวแทนในการแสดงอิทธิพลหรือกดดันให้ได้มาซึ่งความ ตอ้ งการของกลมุ่ แตใ่ นบางครงั้ การดำ� เนนิ งานของกลมุ่ จำ� เปน็ จะตอ้ งอาศยั หรอื รว่ มมอื กบั องคก์ ารอน่ื ท่ีมีผลประโยชน์สอดคล้องกัน เช่น ร่วมมือกับกลุ่มผลประโยชน์อื่น พรรคการเมือง เป็นต้น ทั้งนี้เพ่ือ ให้การทำ� งานของกล่มุ มีประสทิ ธิภาพ และบรรลุผลตามตอ้ งการ ๓. ในฐานะเป็นตัวแทนประสานงานกับฝา่ ยรฐั บาล กลมุ่ ผลประโยชนท์ ม่ี คี วามเขม้ แขง็ และ มีอิทธิพลมากน้ัน การด�ำเนินงานของกลุ่มไม่ว่าจะโดยวิธีการใดจะท�ำต่อรัฐบาลหรือสถาบันระดับชาติ โดยตรง ทั้งนี้การด�ำเนินงานบางครั้งเป็นไปในลักษณะประสานงานสนับสนุน บางครั้งก็โน้มน้าว บางครั้งก็ใช้อิทธิพลบีบบังคับ การด�ำเนินงานดังกล่าวอาจจะเป็นโดยเปิดเผยหรือปกปิดก็ได้เพื่อให้ รัฐบาลกระทำ� ตามความตอ้ งการของกลมุ่ ๒๒๐ ทองทพิ วริ ยิ ะพนั ธ์ุ , ชนิ เลขา กว้างสุขสถิตย์, พชั รนิ ทร์ แขง็ แรง, เร่อื งเดิม, หนา้ ๑๔๕
พรรคการเมืองและกลมุ่ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 329 หนา้ ท่ที างการเมอื งของกลมุ่ ผลประโยชน๒์ ๒๑ ๑. การแสดงออกถงึ ผลประโยชนแ์ ละความคดิ ของกลมุ่ กลมุ่ ผลประโยชนม์ หี นา้ ทต่ี ดิ ตอ่ กบั กลมุ่ ผลประโยชนอ์ นื่ พรรคการเมอื ง รฐั บาลและรฐั สภา เพอื่ แสดงออกถงึ ความตอ้ งการทว่ั ไปและปญั หา ของกลมุ่ ถา้ กลมุ่ ไมแ่ สดงออกถงึ ผลประโยชนข์ องตนและรฐั บาลจะรบั ทราบไดอ้ ยา่ งไรเนอื่ งจากรฐั บาล และรัฐสภาแบบประชาธิปไตยต้องสนองตอบประโยชน์ของสาธารณชน พลเมืองจึงมีสิทธิแข่งขัน เพอื่ ใหไ้ ดร้ บั ผลประโยชนต์ ามสมควร หนา้ ทขี่ องกลมุ่ อนั นจ้ี งึ จำ� เปน็ สำ� หรบั ความมปี ระสทิ ธภิ าพทางการ เมืองของระบบการเมือง ด้วยเหตุท่ีว่าหน้าที่ของกลุ่มผลประโยชน์จะเป็นท่ีมาของข่าวสารข้อมูลท่ีดี ทีร่ ฐั บาลและรัฐสภาจะนำ� มาก�ำหนดนโยบายและหลักปฏิบตั ติ ่าง ๆ ๒. ตวั แทนของปจั เจกบคุ คล กลมุ่ ผลประโยชนม์ หี นา้ ทเ่ี ปน็ ตวั แทนของสมาชกิ ในการสะทอ้ น ให้เห็นถึงความต้องการของปัจเจกชนบนหลักการของความเป็นพลเมืองเน่ืองจากพลเมืองมีสิทธิทาง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศาสนา ชาติพันธ์ุ ภาษา และอน่ื ๆ แตบ่ คุ คลจะดำ� เนินการโดยผา่ นกลมุ่ ผลประโยชนท์ ตี่ นสงั กดั อยู่ กลุ่มจึงไมเ่ พยี งแตเ่ ขา้ ไปมอี ทิ ธพิ ลตอ่ กระบวนการนิติบัญญัติเทา่ น้ัน แต่ยัง แทรกซมึ เขา้ ไปในกระบวนการบริหารด้วย การตดิ ต่อและต่อรองจงึ เกิดขึน้ ได้เสมอ ๓. การรวบรวมความต้องการ เมื่อกลุ่มผลประโยชน์มีขนาดใหญ่ขึ้น กลุ่มที่มีขนาดใหญ่น้ี จะรวบรวมความต้องการท่ีมีความคล้ายคลึงกันและมีผลประโยชน์ท่ีประนีประนอมกันได้จากกลุ่ม ต่าง ๆ เพื่อที่จะแสดงบทบาทเป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ท่ีเล็กกว่า เป็นต้นว่าสหพันธ์ของ สหภาพแรงงานต่าง ๆ ซง่ึ จะท�ำให้การเสนอขอ้ ต่อรองกบั รฐั บาลมีน�้ำหนกั แห่งการตอ่ รองมากยิ่งขึน้ ๔. การสรรหาบุคลากรของการเมือง กลมุ่ ผลประโยชนท์ ม่ี อี ิทธพิ ลตอ่ ระบบการเมอื งมาก ๆ จะมีบทบาทเป็นผู้เสนอผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองได้บางส่วน เพราะกลุ่มผลประโยชน์นั้น อาจเปน็ ฐานการเงนิ ของพรรคการเมอื ง หรอื อาจจะมบี ทบาทในการจดั หาบคุ ลากรใหแ้ กร่ ะบบราชการ รฐั บาลหรอื รฐั สภา เพราะกลมุ่ ผลประโยชนน์ นั้ อาจมบี คุ คลากรทม่ี คี วามเชยี่ วชาญบางสาขาทจ่ี ำ� เปน็ ตอ่ หน่วยงานทางการเมอื งกไ็ ด้ แมว้ ่าการด�ำเนนิ การเหล่านนั้ ของกลุ่มผลประโยชน์ จะเปน็ การเอารัดเอา เปรียบกลุม่ ผลประโยชนอ์ ่ืน ๆ ก็ตาม ๕. การระดมสรรพกำ� ลงั ทางการเมอื ง ในบางครง้ั กลมุ่ ผลประโยชนอ์ าจจะตอ้ งระดมประชาชน เขา้ รว่ มในโครงการของรฐั บาล บทบาทนจ้ี ะชว่ ยใหน้ โยบายของรฐั บาลสามารถปฏบิ ตั ใิ หเ้ ปน็ ผลสำ� เรจ็ ได้ แม้กระท่ังกลุ่มผลประโยชน์ท่ีอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ก็ถูกน�ำไปเพื่อระดมพลังประชาชน เชน่ กนั การระดมสรรพกำ� ลงั ทางการเมอื งอาจเปน็ หนทางใหก้ ลมุ่ ผลประโยชนม์ กี ารประสานประโยชน์ ท่แี ตกต่างกนั ได้ ภายใตโ้ ครงการอนั เดยี วกับของรัฐบาล ๒๒๑ พลศกั ดิ์ จริ ไกรศริ ,ิ รศ., ดร., เรอื่ งเดิม, หน้า ๖๕ – ๖๖.
330 รัฐศาสตร์เบ้อื งตน้ ไม่ว่ากลุ่มผลประโยชน์จะมีหน้าท่ีอย่างไร ก็ยังเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันได้มากว่า หน้าที่เหล่า นั้นเหมาะสมส�ำหรับกลุ่มผลประโยชน์หรือไม่ เพราะการแสวงหาผลประโยชน์อย่างเกินขอบเขตใน บางกรณี ได้สร้างความเสียหายให้แก่กลุ่มผลประโยชน์อ่ืน ๆ อย่างมาก บทบาทของกลุ่มจึงน่าจะมี ขอบเขตจำ� กดั บา้ ง มใิ ชป่ ลอ่ ยใหท้ ำ� อะไรกไ็ ด้ เปา้ หมายส�ำคญั ของกลุ่มผลประโยชน์ในสังคมประชาธปิ ไตย๒๒๒ ในความพยายามทจ่ี ะมอี ทิ ธพิ ลตอ่ นโยบายสาธารณะนนั้ กลมุ่ ผลประโยชนม์ จี ดุ มงุ่ หมายอยา่ ง น้อย ๔ ประการ คอื ๑. ดึงมตมิ หาชนใหส้ นบั สนุนโครงการของกลุม่ ๒. พยายามมีอทิ ธิพลในการคดั เลือกผสู้ มคั รรับการเลือกตง้ั ของพรรคการเมอื ง ๓. พยายามหาวธิ ที จ่ี ะทำ� ใหก้ ลมุ่ ของตนซงึ่ รว่ มอยใู่ นพรรคการเมอื งใด ๆ มคี วามสำ� คญั ตอ่ การ วางนโยบายของพรรคนั้น ๆ ๔. พยายามทำ� ใหส้ ภานติ บิ ญั ญตั ิมีความเห็นคลอ้ ยตามตน วิธีการด�ำเนินการของกลมุ่ ผลประโยชน์ การด�ำเนินการเพื่อบรรลุถึงจุดมุ่งหมายของกลุ่มผลประโยชน์จะมีความแตกต่างกันทั้งในรูป แบบและวิธีการ ซ่ึงแล้วแต่ว่ากลุ่มผลประโยชน์น้ันเป็นกลุ่มในลักษณะใดและก�ำลังปฏิบัติอยู่ในระดับ ใด การพยายามทจ่ี ะเขา้ ไปมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ผมู้ อี ำ� นาจในการแบง่ สรรสง่ิ ทมี่ คี ณุ คา่ ในสงั คมใหก้ ระทำ� หรอื ไม่ กระทำ� ตามทกี่ ลมุ่ ตนตอ้ งการจงึ ตอ้ งเกย่ี วขอ้ งกบั เรอื่ งของอทิ ธพิ ล กำ� ลงั และอำ� นาจบงั คบั (Influence, Power and authority) อยา่ งหลกี เลย่ี งไมไ่ ดเ้ พ่ือใหไ้ ด้มาซึ่งสงิ่ ตรงตามความประสงค์ของกล่มุ เพราะ ฉะนนั้ กลมุ่ ผลประโยชนส์ ว่ นใหญจ่ งึ ตอ้ งดำ� เนนิ การเพอ่ื สรา้ งพลงั ในการบบี บงั คบั ทงั้ ในทางตรงและทาง อ้อมเพื่อหวังใหผ้ ูม้ อี ำ� นาจยอมปฏบิ ตั ิตามที่กลุ่มตนต้องการ๒๒๓ ๒๒๒ ประพนั ธ์พงศ์ เวชชาชีวะ “พฒั นาการเมืองการปกครอง” เอกสารทางวิชาการประกอบค�ำบรรยายโครงการพัฒนาการเมือง การปกครอง, ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ๒๕๒๕, หนา้ ๑๕๖ – ๑๕๗. ๒๒๓ วทิ ยา นภาศริ กิ ลุ กจิ และสรุ พล ราชภณั ฑารกั ษ,์ พรรคการเมอื งและกลมุ่ ผลประโยชน.์ (กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคำ� แหง , ๒๕๒๑), น. ๒๑๖ – ๒๑๘.
พรรคการเมืองและกลมุ่ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 331 ๑. การดำ� เนนิ งานโดยตรงตอ่ ฝา่ ยผ้มู อี ำ� นาจ ซึง่ สามารถกระทำ� ได้ ๓ วิธี คอื ๑.๑ การด�ำเนินการโดยเปิดเผย หมายถึง การบีบบังคับที่กระท�ำโดยเปิดเผยต่อ สาธารณะ ซึ่งการด�ำเนินการด้วยวิธีนี้เป็นการเปิดโอกาสให้สาธารณชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เป็นการ เรยี กรอ้ งทเี่ ปิดเผยถึงข้อเสนอและเงื่อนไขตา่ ง ๆ ของกลุม่ ๑.๒ การด�ำเนินการโดยปกปิด เป็นการด�ำเนินการอย่างลับ ๆ ขาดพยานหลักฐาน ยืนยันท่ีพบเห็นได้บ่อยในประเทศระบอบทุนนิยมก็คือ วิธีการให้เงินสนับสนุนการเลือกต้ัง รวมไปถึง การช่วยเหลือในด้านอ่ืน ๆ ด้วยเมื่อบุคคลหรือพรรคการเมืองน้ันเข้าไปมีอ�ำนาจทางการเมืองก็จึง เป็นการไม่ยากท่ีกลุ่มผลประโยชน์จะด�ำเนินการให้เป็นไปตามที่กลุ่มตนต้องการโดยผ่านบุคคลหรือ พรรคการเมืองทีร่ ับเงินสนบั สนุนไปจากกลมุ่ ๑.๓ การดำ� เนนิ การโดยวธิ กี ารทจุ รติ และใชข้ า่ วสารในการสรา้ งอทิ ธพิ ล เปน็ การสรา้ ง อทิ ธพิ ลโดยวธิ กี ารคอรปั ชน่ั (Corruption) ซงึ่ เปน็ ไปไดท้ งั้ การทจุ รติ โดยตรง เชน่ การซอ้ื สทิ ธขิ ายเสยี ง หรอื อาจใชว้ ธิ กี ารทแี่ ยบยล เชน่ การมอบของขวญั การพาไปพกั ผอ่ นตา่ งประเทศ เปน็ ตน้ อกี วธิ คี อื การ ใช้ข่าวสารในการสร้างอิทธิพล อันเป็นการกระท�ำท่ีอยู่บนพ้ืนฐานของการให้ข้อมูลหรือรับข้อมูลแล้ว น�ำไปใช้ในทางทเ่ี กิดประโยชน์แกพ่ วกพอ้ งของตนหรือแก่เจา้ ของกิจการบางกลุ่มเทา่ นั้น ๒. การดำ� เนนิ งานทางออ้ มต่อสาธารณะ ซึง่ สามารถกระทำ� ได้ ๒ วธิ ี คอื ๒.๑ การใช้สื่อเพื่อการโฆษณาชักจูง เป็นการน�ำเสนอเฉพาะข่าวท่ีเป็นประโยชน์แก่ ฝ่ายตน ซ่ึงอาเป็นการเสนอข่าวต่อฝ่ายผู้มีอ�ำนาจทางการเมือง หรืออาจเสนอข่าวต่อสาธารณชนแล้ว แตก่ รณี ๒.๒ การใช้วิธีท่ีรุนแรง มักเป็นการกระท�ำของกลุ่มไร้บรรทัดฐาน เป็นการเข้าไปมี อิทธิพลโดยวิธีการใช้ความรุนแรง เช่น การปิดถนน การยึดสถานที่ราชการหรือโรงงานเพ่ือสร้างแรง กดดันให้ผ้มู ีอ�ำนาจในการตัดสินใจยอมปฏบิ ตั ิตามท่กี ลมุ่ ตนต้องการ ซงึ่ ถ้าหากไมย่ อมปฏบิ ตั ิตามกลุ่ม ผลประโยชนท์ ใี่ ช้วิธีนี้กจ็ ะยง่ิ ทวคี วามรนุ แรงและขอบเขตการกระทำ� มากขึ้น การใช้พลงั กดดนั ของกลมุ่ ผลประโยชน์ ๑. การใชพ้ ลังกดดนั ตอ่ ผบู้ รหิ าร การเจรจากบั หนว่ ยงานของรฐั บาลของกลมุ่ ผลประโยชนถ์ อื วา่ เปน็ สงิ่ สำ� คญั วธิ กี ารกค็ อื ใชเ้ วลา ติดต่อกับหน่วยงานของรัฐเป็นเร่ือง ๆ ไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องงานบริหารไม่ใช่งานนโยบายแต่ก็เป็น เรอื่ งสำ� คญั เทคนคิ ในเรอ่ื งนกี้ ค็ อื ใชว้ ธิ สี รา้ งความใกลช้ ดิ และการตดิ ตอ่ เปน็ สว่ นตวั ในทกุ ระดบั เจา้ หนา้ ท่ี พยายามค้นหาผู้ที่ต่อต้านและหาทางเอาชนะ การติดต่อเช่นนี้จะกระท�ำท้ังชนิดท่ีเป็นทางการและไม่ เป็นทางการ
332 รัฐศาสตร์เบือ้ งต้น ๒. การใช้พลงั กดดนั ต่อรัฐสภา เป็นที่ยอมรับในระบบการปกครองประชาธิปไตยว่า รัฐสภาเป็นผู้ใช้อ�ำนาจอธิปไตยแทน ปวงชน ฉะนั้นรฐั สภาคือผูท้ มี่ อี �ำนาจสูงสุด อย่างไรกด็ ีแมว้ ่ากลุม่ ผลประโยชน์ตา่ ง ๆ จะอา้ งตัวว่ากลุ่ม ของตนไม่ใช่พรรคการเมืองแต่ในทางปฏิบัติกม็ ิได้หมายความวา่ กลมุ่ ผลประโยชน์ตา่ ง ๆจะมไิ ดห้ าทาง ที่จะส่งตัวแทนของตนเข้าไปในรัฐสภาหรือแสดงนโยบายทางการเมืองก็หามิได้ ข้อเท็จจริงจะปรากฏ วา่ กลมุ่ ผลประโยชนจ์ ะพยายามสง่ ตวั แทนของตนเขา้ สรู่ ฐั สภาโดยผา่ นพรรคการเมอื งนน่ั เอง ฉะนน้ั เมอื่ ความต้องการของกลุ่มในบางเรื่องเป็นเช่นไรสมาชิกของกลุ่มจากทุกพรรคการเมืองที่มีในรัฐสภาก็จะ รว่ มกันกดดนั รฐั สภาใหเ้ ป็นไปตามความต้องการของกลมุ่ ผลประโยชนน์ น้ั ๆ การหาเสียงสนับสนนุ ของกลุ่มผลประโยชน์ การหาเสียงสนับสนุนจากประชาชนของกลุ่มผลประโยชน์โดยทั่วไปจะด�ำเนินด้วยวิธีการ ตา่ ง ๆ กล่าวคือ ๑. การออกหนงั สือสงิ่ พิมพ์ของกลุม่ เผยแพร่ ๒. การจัดชมุ นุมหรือประชุมในรปู ของปาฐกถา ๓. การฉายภาพยนตรแ์ ละแจกแถลงการณ์ ๔. ออกหนงั สอื ทางวชิ าการ ๕. ส่งตวั แทนไปพบปะท�ำความเข้าใจกับประชาชนท่ัวไป กลุ่มผลประโยชน์หรือกล่มุ อทิ ธิพลในประเทศอังกฤษ๒๒๔ ในประเทศองั กฤษมกี ลมุ่ อทิ ธพิ ลมากมาย กลา่ วคอื รา้ นโรงเลก็ ๆ อาจจะรวมกนั ตง้ั เปน็ สมาคม หรอื กลุ่มต่าง ๆ เช่น ๑. กลุ่มนายจ้าง (Employer) เป็นกลุ่มท่ีอยู่ในวงการค้า และอุตสาหกรรม มีอยู่ประมาณ ๒,๕๐๐ กลุ่ม ๒. กลมุ่ สหพนั ธช์ าวนาแหง่ ชาติ (National Farmer’s Union) มสี มาชกิ อยปู่ ระมาณสองแสน คน คิดเปน็ ประมาณ ๙๐% ของชาวนาท้ังหมด ๒๒๔ ประสาร ทองภักดี, พ.ท., เรอื่ งเดมิ , หน้า ๑๓๔ – ๑๓๗.
พรรคการเมืองและกล่มุ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 333 ๓. กลมุ่ สมาคมผู้อ�ำนวยการบรษิ ัท (Institute of Directors) คือผอู้ �ำนวยการบรษิ ทั ทัง้ หลาย ไดต้ งั้ สมาคมขน้ึ รวมกันมีสมาชกิ ประมาณส่ีหมนื่ คน ๔. สหพนั ธน์ ายจา้ ง (British Employers Confederation) มฐี านะเปน็ คนกลางประสานงาน บรรดานายจา้ งด้วยกัน ๕. สหพนั ธอ์ ุตสาหกรรม (Federation of British Industry) ๖. สหพนั ธ์ผ้ปู ระกอบการอตุ สาหกรรม (National Union of British Manufacturers) ๗. สภาหอการค้า (Chamber of Commerce) มสี มาชกิ ประมาณหกหมน่ื หกพนั คน ๘. สหพนั ธ์การคา้ (Trade Union) มีสมาชกิ สบิ ลา้ นคน ๙. กลมุ่ สหกรณ์ (Cooperatives) กลมุ่ นมี้ สี มาชกิ ประมาณสบิ สองลา้ นคน มสี หกรณป์ ระมาณ ๓๐๐ แหง่ ๑๐. กลุ่มวิชาชีพต่าง ๆ (Occupational Group) กลุ่มน้ีมีสามสมาคม คือ สมาคมแพทย์ สมาคมครู และสมาคมพนักงานสว่ นท้องถน่ิ ๑๑. กลุม่ ท�ำงานเกย่ี วกบั ประชาชนพลเรอื น (Civil Group) ๑๒. กล่มุ ผู้ตอ่ สูเ้ พอ่ื ลดก�ำลงั รบแบบนวิ เคลยี ร์ เช่น พวกอดข้าวประทว้ งรฐั บาล ๑๓. กลุม่ เพ่ือหางานให้คนยากจน กล่มุ ผลประโยชน์หรือกลุ่มอิทธิพลในสหรัฐอเมริกา มีลักษณะคลา้ ย ๆ กบั ขององั กฤษ และกลมุ่ อิทธิพลในสหรัฐอเมรกิ าแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ใหญ่ ๆ คอื ๑. กลุม่ เกษตรกร (Agrarian) เปน็ กลมุ่ บุคคลผ้ปู ระกอบอาชพี ทางกสกิ รรม เชน่ สมาคมท�ำ ไรอ่ อ้ ย สมาคมเลยี้ งหมู สมาคมปลูกส้ม เปน็ ตน้ ลักษณะพเิ ศษของกลมุ่ เกษตรกรของสหรัฐ กค็ ือแตล่ ะ กลุ่มต่างมีนโยบายของตนเองเป็นโดยเฉพาะ และแตกต่างกันออกไปตามกลุ่มของตน จึงไม่มีลักษณะ รวมกนั หรอื เปน็ อนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั อยา่ งไรกด็ ี ในสหรฐั อเมรกิ าสมาคมการเกษตรใหญ่ ๆ และมสี มาชกิ มากมีอิทธิพลมาก มีอยู่ ๓ สมาคมด้วยกัน มีชื่อว่า National Grange, American Farm Bureau Confederation, และ National Farmers Union ๒. กลุ่มกรรมกร (Workers) กลุ่มน้ีเกิดขึ้นเน่ืองจากได้มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจ และ อตุ สาหกรรมตง้ั แตป่ ี ค.ศ. ๑๘๗๐ บคุ คลทห่ี าเลยี้ งชพี ดว้ ยการรบั จา้ งมจี ำ� นวนเพมิ่ ขนึ้ ทกุ ปี จนในปจั จบุ นั น้ีบรรดาพวกกรรมกรมีจ�ำนวนเป็นส่วนใหญ่ของบรรดาผู้ประกอบอาชีพในสหรัฐอเมริกา แต่ว่าการท่ี
334 รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองต้น บุคคลประกอบอาชีพเป็นกรรมกรเช่นน้ี ไม่ได้หมายความว่า กลุ่มกรรมกรของสหรัฐอเมริกานิยมลัทธิ สงั คมนยิ ม ซึง่ มลี กั ษณะตรงกนั ขา้ มกบั ประเทศอังกฤษ ทงั้ นี้เพราะกรรมกรในสหรัฐอเมริกา ถือลัทธิไม่ เอนเอยี งเขา้ ข้างฝา่ ยใด (Non – Partisan Doctrine) สมาคมกรรมกรขนาดใหญ่ในสหรฐั อเมริกามอี ยู่ ๒ สมาคมดว้ ยกนั คอื A.F.L. (American Federation of Labour) และ C.I.O (Congress of Indus- trial Organization) ท้ังสองสมาคมนร้ี วมกนั เปน็ สหพนั ธส์ มาคม (Confederation) ในปี ค.ศ. ๑๙๕๕ มนี โยบายสง่ เสริมสินค้าโดยเสรไี มส่ นับสนุนลทั ธสิ งั คมนิยม จะเห็นไดว้ ่า ในสหรฐั อเมรกิ านน้ั อิทธพิ ลของลทั ธิสังคมนิยมเกอื บไมม่ ี แตน่ ยิ มในเรอื่ งการค้า โดยเสรี (Laissez – Faire) เป็นพ้ืนฐานและบรรดากรรมกรประเภทต่าง ๆ ไม่มีการรวมตัวกันอย่าง แน่นแฟ้นในทางการเมอื ง ๓. กล่มุ ธรุ กจิ (Business) กลุม่ ธรุ กจิ มคี วามสำ� คญั มากท่ีสุดในสหรฐั อเมริกา คือ หอการค้า แห่งสหรัฐอเมริกา (Chamber of Commerce of The United States) สภานี้มีเสียงมากท่ีสุด มี สมาคมกว่า ๓,๐๐๐ สมาคม นอกจากน้ียังมีกลุ่มธุรกิจอ่ืน ๆ เช่น สมาคมปิโตรเลียม สมาคมถ่านหิน แหง่ ชาติ สมาคมหนงั สอื พมิ พ์ สมาคมโรงงานสรุ า ฯลฯ กลมุ่ ธรุ กจิ ในสหรฐั อเมรกิ า มนี โยบายยดึ ถอื ลทั ธิ การคา้ โดยเสรี กลุม่ ธรุ กิจมกั จะไม่มนี โยบายสนับสนุนพรรคการเมอื งโดยเฉพาะเจาะจง มักจะแปรผัน ไปตามนโยบายในขณะนั้น และระยะเวลา โดยปกตกิ ล่มุ ธรุ กิจมักจะขัดกันเองอยู่เสมอเกีย่ วกบั การค้า เพราะอาชีพชนิดเดียวกัน มักท�ำการแข่งขันกันมาก แต่เมื่อถึงนโยบายใหญ่ซ่ึงมีผลประโยชน์ร่วมกัน กลมุ่ ธุรกจิ กจ็ ะหันหนา้ เข้าหากนั เพือ่ ตอ่ ต้านบุคคลภายนอก ๔. กลุ่มเบ็ดเตลด็ คอื กลุ่มอิทธิพลอน่ื ๆท่มี ีความส�ำคัญ เช่น กลุม่ ทหารผา่ นศกึ กลมุ่ ศาสนา และสมาชิกพวกวชิ าชพี ต่าง ๆ กลุ่มผลประโยชน์ในประเทศไทย๒๒๕ ความเป็นมากลุ่มผลประโยชน์ในประเทศไทยถ้าพิจารณาตั้งแต่ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง ๒๔๗๕ มกั จะมกี ารจดั ตงั้ ขนึ้ ในรปู ของสมาคมเปน็ สว่ นใหญ่ วตั ถปุ ระสงคข์ องการจดั ตงั้ กเ็ พยี ง เพ่อื ใหเ้ กดิ ความสามคั คี และร่วมกิจกรรมในด้าน “บนั เทงิ ” มากกว่าท่ีจะใชอ้ ทิ ธิพลหรืออ�ำนาจในการ ต่อรอง อาจจะเปน็ เพราะวา่ ในสมยั น้นั ยงั ไมม่ กี ฎหมายรบั รองสทิ ธิดงั กล่าว เม่ือมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ๒๔๗๕ แล้วลักษณะของการรวมตัวกันของคนใน อาชีพต่าง ๆ มีมากข้ึน แต่ก็ยังมีบทบาทในการท�ำหน้าที่ของกลุ่มผลประโยชน์ไม่ได้เต็มท่ี เน่ืองจากมี ๒๒๕ ทองทพิ วิริยะพันธ,์ ชินเลขา กว้างสขุ สถติ ย์, พัชรินทร์ แข็งแรง, เร่อื งเดิม, หนา้ ๑๔๘ – ๑๕๐.
พรรคการเมืองและกลมุ่ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 335 ขอ้ จำ� กดั ในดา้ นเสรภี าพทจี่ ะแสดงอทิ ธพิ ลเพราะรฐั บาลเกอื บทกุ สมยั ไมไ่ ดใ้ หอ้ สิ ระในการแสดงออกได้ อย่างเต็มท่ี จนกระท่ังในปี ๒๕๑๕ คณะปฏิวัติได้ออกค�ำสั่งของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๐๓ ลงวันท่ี ๑๖ มีนาคม ๒๕๑๕ อนุญาตให้จัดตั้งสมาคมกรรมกรได้ และก็มีการจัดต้ังกลุ่มกรรมกรข้ึนมากมาย เช่น สหภาพกรรมกรจนี โพน้ ทะเล สหภาพกรรมกรกลาง สหภาพกรรมกรชาตไิ ทยเปน็ ตน้ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ นิสิตนักศึกษาได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มและมีการจัดต้ังเป็นองค์กรข้ึนด�ำเนินกิจกรรมที่พยายามให้มีการ เปลยี่ นแปลงสภาพสงั คมในขณะนน้ั จนกระทง่ั เกดิ เหตกุ ารณร์ นุ แรงขน้ึ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ทำ� ใหผ้ บู้ รหิ าร ประเทศตอ้ งหนอี อกจากประเทศ หลงั จากนนั้ กม็ กี ารรวมกลมุ่ ในลกั ษณะตา่ ง ๆ มากมาย และมเี สรภี าพ แสดงบทบาทไดพ้ อสมควร ถงึ อยา่ งไรกต็ ามแมว้ า่ ประเทศไทยจะมกี ารรวมกลมุ่ ของคนในสงั คมมานาน กว่า ๕๐ ปี กลุ่มต่าง ๆ เหล่าน้ีก็ยังไม่เข้มแข็งพอท่ีจะมีอ�ำนาจต่อรองหาความยุติธรรมและหาผล ประโยชนใ์ หก้ ลมุ่ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ทงั้ นเ้ี นอ่ื งจากวา่ กลมุ่ ขาดเอกภาพและการดำ� เนนิ งานอยา่ งตอ่ เน่ืองน่ันเอง นอกจากนี้ปัจจัยแวดล้อมอ่ืน ๆ ก็ไม่เอ้ือต่อการรวมกันอย่างเหนียวแน่นอีกด้วย เช่น ค่า นิยมในสังคม ผปู้ กครองไมเ่ ปดิ โอกาสใหเ้ ท่าทคี่ วร กฎหมายบ้านเมอื งบางสมัยไมใ่ ห้เสรีภาพ เป็นต้น รปู แบบของกลมุ่ ผลประโยชนใ์ นประเทศไทย รปู แบบของกลมุ่ ผลประโยชนห์ ากยดึ เอาวตั ถปุ ระสงค์ หรือสาเหตุของการรวมกล่มุ แล้วสามารถแบง่ ออกได้เป็น ๓ ประเภทคอื ๒๒๖ ๑. กลุ่มมาตุภูมิ เป็นการรวมกลุ่มของสมาชิกท่ีมาจากท้องถิ่นเดียวกัน ในความเป็นจริงแล้ว กลุ่มรูปแบบนี้ไม่ค่อยมีบทบาททางการเมือง หากแต่มีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้างความสามัคคี และความ บนั เทงิ ระหว่างสมาชิกดว้ ยกัน ตวั อยา่ งกลมุ่ มาตุภูมิ เช่น สมาคมชาวอสี าน สมาคมชาวเหนอื สมาคม ชาวปักษ์ใต้ สมาคมชาวขอนแกน่ เปน็ ตน้ ๒. กลมุ่ อาสาสมัคร สมาชกิ ของกลมุ่ รูปแบบนมี้ าจากหลายสาขาอาชพี แตส่ มคั รใจทจี่ ะร่วม กิจกรรมของกลุ่มวัตถุประสงค์ของกลุ่ม มักจะเน้นในเร่ืองการบ�ำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวมมากกว่า จะท�ำเพอื่ สมาชิกของกลมุ่ เพียงแต่ตอ้ งการเกยี รติยศช่ือเสยี งเทา่ นนั้ กล่มุ ดังกล่าวเปน็ ต้นว่า สมาคมผู้ บ�ำเพ็ญประโยชน์ สมาคมสตรไี ทย กล่มุ ส่งเสริมความยุติธรรม เป็นต้น ๓. กลมุ่ อาชพี การรวมกลมุ่ ของสมาชกิ ประเภทนเี้ นอื่ งจากเหตผุ ลทางดา้ นเศรษฐกจิ เปน็ สว่ น ใหญ่ สมาชิกมักจะมาจากคนในอาชีพเดียวกันหรือเอ้ืออ�ำนวยประโยชน์ซึ่งกันและกัน การด�ำเนิน กิจกรรมของกล่มุ สว่ นใหญ่ก็เพื่อรักษาหรอื ให้ไดม้ าซง่ึ ผลประโยชนข์ องสมาชกิ เปน็ ส�ำคญั ตวั อย่างของ กลุ่มอาชีพ สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย สหภาพแรงงานแห่งประเทศไทย สมาคมชาวไร่อ้อย แหง่ ประเทศไทย เปน็ ตน้ ๒๒๖ บรรพต วรี ะสยั , ดร., และสขุ มุ นวลสกลุ , ดร., “รฐั ศาสตรท์ วั่ ไป” , มหาวทิ ยาลยั รามคำ� แหง : พ.ศ. ๒๕๑๕ , หนา้ ๔๑๘ – ๔๒๑.
336 รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ ลักษณะของกลุ่มผลประโยชนข์ องไทย พอสรุปเป็นลักษณะเฉพาะตัวท่สี ำ� คญั ได้ดังนี้ ก. เชดิ ชคู นมอี ำ� นาจ กลมุ่ ตา่ ง ๆโดยเฉพาะประเภทมาตภุ มู แิ ละอาสาสมคั รนยิ มยกยอ่ งบคุ คล ที่มีอ�ำนาจ ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่บุคคลส�ำคัญของฝ่ายบริหารประเทศข้ึนเป็นนายกหรือประธานของกลุ่ม การทีบ่ คุ คลทมี่ อี �ำนาจเปน็ ผนู้ ำ� จะท�ำให้กิจการของกลุม่ เปน็ ไปด้วยดีและสะดวก เพราะได้อาศยั บารมี ของบคุ คลสำ� คญั เหลา่ นนั้ โนม้ นา้ วใหผ้ ทู้ เ่ี กยี่ วขอ้ งหรอื ผทู้ กี่ ลมุ่ ตอ้ งการความรว่ มมอื เกรงใจและอำ� นวย ความประสงค์ตลอดจนอภิสิทธบิ์ างประการให้ อย่างไรก็ตามกลุ่มประเภทอาสาสมัครท่ีเกิดข้ึนภายหลังตุลาคม ๒๕๑๖ นั้น ได้ละทิ้งค่านิยม เดมิ ลงไปมาก แตม่ ขี อ้ ทนี่ า่ สงั เกตวา่ สว่ นใหญผ่ ทู้ กี่ อ่ ตง้ั หรอื ดำ� รงต�ำแหนง่ สำ� คญั ๆ ของกล่มุ มกั จะเปน็ ชาวมหาวทิ ยาลัยคืออาจารย์หรอื นิสิตนักศกึ ษา ข. ขาดเอกภาพ โดยท่ัวไปแล้วแต่ละบุคคลมักจะเพ่งเล็งผลประโยชน์ส่วนตนเป็นจุดหมาย มากกวา่ ผลประโยชน์สว่ นรวม ดังนัน้ กลุม่ ผลประโยชน์ไทยจึงมักขาดความเปน็ เอกภาพ การขาดความเป็นเอกภาพน้ี ยังอาจเหน็ ได้จากคนในวงอาชีพเดยี วกนั ถึงอาจเกิดการรวมกนั เปน็ กลมุ่ ซอ้ นกนั ขน้ึ แทนทจ่ี ะรวมเปน็ กลมุ่ เดยี วกนั เชน่ ในวงการหนงั สอื พมิ พแ์ หง่ ประเทศไทย สมาคม นกั ศกึ ษาพมิ พแ์ หง่ ประเทศไทย และสมาคมนักขา่ วแหง่ ประเทศไทยอกี ท้งั ยังมีสมาคมหนังสอื พิมพใ์ น สว่ นภมู ภิ าคอีกดว้ ยแสดงใหเ้ ห็นถึงความไม่เปน็ อนั หนึง่ อนั เดยี วกันอย่างเห็นได้ชัด ค. เรยี กรอ้ งเลอ่ื นลอย กจิ กรรมอยา่ งหนง่ึ ทกี่ ลมุ่ ผลประโยชนไ์ ทยนยิ มกระทำ� คอื การจดั สมั มนา หรืออภิปรายในเร่ืองที่เก่ียวกับความเป็นไปของสังคม หรือผลประโยชน์ของกลุ่มหรือสังคม แต่ว่ามี ลกั ษณะเปน็ ขอ้ เสนอแนะอยา่ งเดยี ว คอื ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ สงิ่ ใดควรทำ� สงิ่ ใดไมค่ วรทำ� สว่ นใหญม่ กั จะไมม่ คี วาม พยายาม หรอื แสดงบทบาทใดจากทางกลมุ่ ทจ่ี ะใหข้ อ้ เรยี กรอ้ งนน้ั ไดร้ บั การใยดหี รอื ปฏบิ ตั ติ ามจากผทู้ ่ี มีส่วนเกี่ยวข้อง มตหิ รอื ข้อสรุปของการสมั มนาต่าง ๆ ท่นี ิยมจดั โดยกล่มุ ตา่ ง ๆ นั้น มักจะแพร่ออกสู่ สาธารณะโดยการปรากฏเป็นขา่ ว ในหนา้ หนงั สอื พิมพ์เทา่ นน้ั เอง ง. มงุ่ การบนั เทงิ การเคลอ่ื นไหวของกลมุ่ ผลประโยชนไ์ ทยสว่ นใหญม่ กั มงุ่ ไปในทางสนกุ สนาน รนื่ เริง โดยเฉพาะกลุม่ ประเภทมาตุภูมิ เปน็ ต้น สรปุ พรรคการเมืองก็เช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญและรัฐสภา คือมีทั้งในประเทศที่ปกครองด้วย ระบอบประชาธปิ ไตย และระบอบเผดจ็ การ แตห่ น้าท่ีของพรรคการเมอื งจะแตกตา่ งกนั เช่น ระบอบ ประชาธปิ ไตยพรรคการเมอื งทำ� หนา้ ทคี่ วบคมุ ฝา่ ยบรหิ าร เปน็ ตวั แทนของกลมุ่ ผลประโยชนต์ า่ ง ๆ เปน็ แหล่งสรรหาคนเพ่ือต�ำแหน่งทางการเมือง ส่วนระบอบเผด็จการอ�ำนาจนิยมหรือเผด็จการเบ็ดเสร็จ
พรรคการเมอื งและกลมุ่ ผลประโยชน์ (Political Party and Interest Group) 337 นยิ ม พรรคการเมอื งทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ ฝา่ ยบรหิ ารโดยบงการการบรหิ ารงานของรฐั อยา่ งใกลช้ ดิ เทา่ กบั เปน็ รัฐบาลเสียเอง สร้างความเขม้ แข็งและความเปน็ อันหนึง่ อนั เดยี วกันของคนในชาติ ส่วนประกอบส�ำคัญของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยคือพรรคการเมืองต้องเป็น คณะบคุ คลหรอื กลุม่ คน บุคคลเพียงคนเดยี วไมส่ ามารถก่อตง้ั พรรคการเมอื งได้ สมาชกิ ส่วนใหญม่ ีแนว ความคิดทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคมในแนวเดียวกัน สมาชิกรวมตัวกันโดยสมัครใจเพื่อต้องการ แก้ปัญหาของประเทศร่วมกัน มีนโยบายของพรรคที่ชัดเจน มีการคัดเลือกบุคคลเข้าสมัครรับเลือกต้ัง และต้องการเป็นรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศ โดยท่ัวไปแล้วพรรคการเมืองจะต้องท�ำหน้าที่หลักดังต่อ ไปนี้จึงจะเป็นพรรคการเมืองท่ีสมบูรณ์แบบคือ การรวบรวมผลประโยชน์หรือความสนใจต่าง ๆ เข้า ด้วยกัน การวางแผนด�ำเนินงาน การส่งตัวแทนเข้าสมัครรับเลือกตั้ง การเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับ ประชาชน วิจารณ์การด�ำเนินงานของรัฐบาล รับผิดชอบในการจัดตั้งรัฐบาล ควบคุมฝ่ายบริหาร เปน็ ตวั แทนกลมุ่ ผลประโยชนต์ า่ ง ๆ สรรหาคนเพอ่ื ดำ� รงตำ� แหนง่ ทางการเมอื ง ชว่ ยใหม้ กี ารรวมกนั เปน็ อนั หนึ่งอนั เดียวกนั ของคนในชาติ พรรคการเมอื งและกลมุ่ ผลประโยชน์ คือการทีป่ ระชาชนรวบรวมผ้มู ที ัศนะและผลประโยชน์ อยา่ งเดยี วกนั รวมตวั กนั เขา้ เปน็ กลมุ่ เพอ่ื รกั ษาผลประโยชนข์ องพวกตน โดยทำ� การเรยี กรอ้ งผา่ นสถาบนั ของรฐั บาล เม่ือกลมุ่ ผลประโยชนป์ ฏบิ ัตกิ ารในระดับการเมือง จะกลายเปน็ กลุ่มผลประโยชน์ทางการ เมอื ง หรอื กลมุ่ ผลกั ดนั หรอื กลมุ่ อทิ ธพิ ลทางการเมอื ง และอาจพฒั นาเปน็ พรรคการเมอื งได้ โดยในระยะ เร่ิมแรกจะเป็นกลุ่มการเมือง เนื่องจากมีนโยบายสอดคล้องกัน เมื่อรวมตัวกันม่ันคงก็จัดตั้ง พรรคการเมือง และเน่ืองจากกลุ่มผลประโยชน์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการบีบบังคับในทางการ เมอื ง ท�ำให้แปรสภาพไปเปน็ ขบวนการทางการเมอื ง และกลายเป็นพรรคการเมือง โดยมีนโยบายและ เป้าหมายเดมิ ของกลุม่ ผลประโยชน์นั่นเอง กลุ่มผลประโยชน์มีส่วนท�ำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ประเทศท่ีพัฒนาแล้วท้ังทางด้านการ ศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ย่อมมีกลุ่มผลประโยชน์หลากหลาย ส่งเสริมให้พรรคการเมือง ดำ� เนนิ กจิ กรรมทางการเมอื ง เปน็ ประโยชนต์ อ่ ประชาชนสว่ นใหญท่ ใ่ี หก้ ารสนบั สนนุ ในประเทศทด่ี อ้ ย พัฒนาจะมีกลุ่มผลประโยชน์จ�ำนวนไม่มากให้การสนับสนุนพรรคการเมือง ในลักษณะเช่นน้ี พรรคการเมืองจะอ่อนแอ ไมอ่ าจสนองตอบความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ได้ แตจ่ ะตอบสนอง เฉพาะกลมุ่ ทนุ ทใี่ หก้ ารสนบั สนนุ พรรค ทำ� ใหค้ วามรำ�่ รวยกระจกุ เฉพาะกลมุ่ ผลประโยชนจ์ ำ� นวนไมม่ ากนกั ในขณะเดียวกัน ความยากจนจะกระจายไปสู่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เนื่องจากไม่ได้รับการ เอาใจใส่อย่างจริงจังจากพรรคการเมืองท่ีได้รับการจัดตั้งเป็นรัฐบาล เพราะประชาชนเหล่านั้นไม่มี อทิ ธพิ ลและผลประโยชน์ตอ่ พรรค
บทท่ี ๑๓ การพัฒนาทางการเมอื ง (Political Development) การศกึ ษาการพฒั นาทางการเมอื ง (Political Development) มีรากฐานมาจากการศกึ ษา การเมอื งเปรยี บเทยี บในประเทศในประเทศกำ� ลงั พฒั นาในชว่ งระยะทศวรรษท่ี ๑๙๕๐ และไดร้ บั ความ สนใจอย่างแพร่หลายเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในกลุ่มนักรัฐศาสตร์ของประเทศท่ีพัฒนาแล้วในช่วง ทศวรรษที่ ๑๙๖๐ สาเหตุเพราะตอ้ งการศกึ ษาเร่อื งราวของประเทศตามภูมิภาคต่าง ๆ (Area study) โดยเฉพาะประเทศไทยในเอเชียตะวันออกกลางและแอฟริกาที่พึ่งได้รับเอกราชและประสบมีต่อวิชา รัฐศาสตร์เองก็มีผลอย่างมากต่อการศึกษาการพัฒนาการทางการเมืองซ่ึงมีเป้าหมายสูงสุดท่ีจะสร้าง วิชารัฐศาสตร์ให้เป็นศาสตร์อย่างแท้จริง๒๒๗ การศึกษาการพัฒนาการทางการเมืองเป็นแนวทางการ ศึกษาท่ีสามารถน�ำมาใช้ในการวัดระดับการก้าวหน้าและความเชื่อมโยงทางการเมืองได้ การศึกษา แนวทางการพฒั นาทางการเมอื งเปน็ แนวทางการศกึ ษาหรอื แนวคดิ ทเ่ี ปน็ กรอบความคดิ หรอื องคค์ วาม คดิ ของนกั คดิ ในประเทศตะวนั ตก ทำ� ใหก้ ารอธบิ ายและชถ้ี งึ จดุ หมายปลายทางของการพฒั นาทางการ เมอื ง รวมทั้งวิธกี ารเสนอแนะในการพัฒนาเพอ่ื เป้าหมายข้างต้นจึงเป็นการมองและอธิบายผา่ นกรอบ ความคดิ ของวฒั นธรรมการเมืองของประเทศที่เรียกตน้ เองวา่ ประเทศทพี่ ฒั นาแลว้ แทบทัง้ สนิ้ ความหมายการพัฒนาทางการเมอื ง การพัฒนาทางการเมืองถูกให้ความหมายไว้อย่างหลากหลาย จนอาจกล่าวได้ว่าในประเด็น ของความหมายยังไม่มีข้อยุติร่วมกันจากนักรัฐศาสตร์ว่าความหมายใดถือว่าเป็นความหมายที่ถูกต้อง และเหมาะสมทสี่ ดุ แตก่ ม็ กี ารรวบรวมความหมายของการพฒั นาการทางการเมอื งไวใ้ นงานเขยี นลเู ชยี ล พาย (lucial w. pye)๒๒๘ ในป๑ี ๙๖๖ ดังน้ี ๑. การพัฒนาการทางการเมือง หมายถึง สภาวะแห่งการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ที่เชื่อว่า การพฒั นาทางเศรษฐกจิ จะเกดิ ขน้ึ ในสงั คมใดไดก้ ต็ อ่ เมอื่ สงั คมนน้ั มสี ภาพทางวงการเมอื งและสงั คมอยู่ ในสภาวะแห่งการเอื้อต่อกัน เพราะหากสภาวะทางสังคมและการเมืองไม่อยู่ในสถานการณ์แห่งความ ๒๒๗ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช,เอกสารการสอนชุดวิชาหลักรฐั ศาสตรแ์ ละการบรหิ าร.พิมพค์ รง้ั ที่ ๓,(นนทบุร:ี มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช,๒๕๓๓),น.๓๔๖. ๒๒๘ Lucian W. Pye, Aspects of Political Development.(Boston : Little Brown and Company,๑๙๖๖),pp.๓๓ - ๔
340 รฐั ศาสตร์เบือ้ งตน้ สงบและร่วมมือร่วมใจ เช่น มีการก่อความวุ่นวายหรือการนัดหยุดงานการประท้วง ก็ย่อมจะ ส่งผลถึงสภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นและกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการทางการเมือง อย่างไรก็ดีความเชื่อดังกล่าวก็ได้รับการโต้แย้งจากหลายฝ่าย เพราะความเป็นจริงที่ผ่านมาการ พัฒนาการทางเศรษฐกจิ ไมไ่ ดข้ ึน้ อย่กู ับปัจจยั ทางสงั คมและทางการเมอื งแตเ่ พยี งประการเดยี วเทา่ นัน้ เพราะฉะนั้นการมองการพัฒนาทางการเมืองในแง่สภาวะเงื่อนไขของการพัฒนาทางเศรษฐกิจจึงดูจะ ไม่เป็นเหตุเป็นผลเพียงพอที่จะสามารถใช้เป็นความหมายแห่งการพัฒนาทางการเมืองได้อย่างถูกต้อง โดยปราศจากข้อโต้แย้ง ๒. การพฒั นาทางการเมอื ง หมายถงึ รปู แบบการเมอื งทม่ี อี ยใู่ นสงั คมอตุ สาหกรรม โดยมคี วาม เชอื่ พน้ื ฐานวา่ ในสงั คมอตุ สาหกรรมไมว่ า่ จะในประเทศทม่ี กี ารปกครองในระบอบใดกต็ ามจะมมี าตรฐาน ของพฤติกรรมและการด�ำเนินการทางการเมืองท่ีเอ้ือต่อการพัฒนาทางการเมืองจากความเช่ือพ้ืนฐาน ของการให้ความหมายการพัฒนาทางการเมืองในแง่น้ีเป็นการแสดงถึงการอธิบายหรือให้ความหมาย ผ่านกรอบความคิดของนักรัฐศาสตร์จากประเทศโลกตะวันตกท่ีมีระบบสังคมเป็นแบบอุตสาหกรรม และมองว่าประเทศที่ด้อยพัฒนามักเป็นประเทศท่ีประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ การให้ ความหมายดงั กลา่ วจึงถือว่าเปน็ การมองผ่านกรอบแห่งโลกตะวนั ตกโดยแท้ ๓. การพฒั นาทางการเมอื ง หมายถงึ การทำ� ใหป้ ระเทศมรี ะบบการเมอื งทท่ี นั สมยั ความเชอื่ ท่ี เป็นพื้นฐานของแนวความคิดนี้มีความใกล้เคียงกับการให้ความหมายการพัฒนาทางการเมืองในความ หมายทส่ี อง นนั่ คอื การอธบิ ายผา่ นกรอบความคดิ ในโลกตะวนั ตกโดยถอื วา่ สงั คมทมี่ คี วามเจรญิ กา้ วหนา้ ทางอตุ สาหกรรมและเศรษฐกจิ จะมปี ระชากรทใ่ี หค้ วามสนใจทางการเมอื งเปน็ จำ� นวนมากและมงุ่ ทจี่ ะ เป็นผู้กำ� หนดวิถีชวี ิตด้วยตนเองมากกว่าการปลอ่ ยใหเ้ ปน็ หน้าทีข่ องรัฐเท่าน้ัน การเมอื งที่ทันสมยั ตาม แนวคิดของนักรัฐศาสตร์ตะวันตกจึงแฝงไปด้วยการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชากรหรือสมาชิก ทางสงั คม ซงึ่ แนน่ อนน่ันเปน็ ลักษณะหน่ึงของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เมอื่ เปน็ เชน่ นีส้ ่งิ ที่ โตแ้ ยง้ และทา้ ทายกค็ อื จรงิ หรอื ทเี่ ฉพาะในสงั คมทมี่ คี วามทนั สมยั ตามความคดิ ทแ่ี ฝงดว้ ยกรอบระบอบ ประชาธปิ ไตยเทา่ นน้ั จงึ จะเปน็ ประเทศทม่ี กี ารพฒั นาทางการเมอื ง และจรงิ หรอื ทปี่ ระเทศใดหรอื สงั คม ใดทม่ี คี วามทนั สมยั ทางการเมอื งแลว้ จะกลายเปน็ ประเทศหรอื สงั คมทมี่ กี ารพฒั นาทางการเมอื ง ๔. การพัฒนาทางการเมือง หมายถึง การที่สังคมนั้นมีสภาพแห่งการเป็นรัฐชาติ ตามความ หมายรัฐชาติสมัยใหม่กล่าวคือ เป็นสังคมที่มีการจัดระเบียบทางสังคมและการเมืองเป็นอย่างดี โดยมรี ฐั บาลทมี่ อี ำ� นาจครอบคลมุ ทงั้ ประเทศ มคี วามหมายในการจดั สรรทรพั ยากรในประเทศไดอ้ ยา่ ง มปี ระสทิ ธภิ าพ และมคี วามสามารถในการปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ผกู พนั ระหวา่ งประเทศ (International Com-
การพฒั นาทางการเมือง (Political Development) 341 mitments) ในสว่ นของประชาชนกต็ อ้ งมคี วามผูกพนั และความร้สู กึ ตอ่ ความเปน็ ประชานยิ ม แนวคิด นี้ได้ให้ความหมายของการพัฒนาทางการเมืองว่า ประเทศที่ถือว่าเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางการ เมอื งจะตอ้ งเปน็ รฐั หรอื ประเทศทม่ี สี ภาพทถ่ี อื ไดว้ า่ เปน็ รฐั ชาตติ ามความหมายรฐั ชาตใิ นสมยั ใหม่ หาก ยังไม่มีสภาพที่อาจถือได้ว่าเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางการ เมอื ง ๕. การพฒั นาทางการเมือง หมายถึง การพัฒนาทางการบรหิ ารและทางกฎหมาย น่ันคอื การ พัฒนาทางการเมืองจะเกิดในประเทศใดประเทศหนึ่งได้ก็ต่อเมื่อมีการพัฒนาการบริหารและทาง กฎหมายเกิดขึ้น เช่น ความสามารถในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีรัฐธรรมนูญที่ก�ำหนดถึงหลักเกณฑ์ส�ำคัญในการปกครอง ก�ำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน เป็นต้น ดังนั้นการสร้างระบบราชการที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นเง่ือนไขท่ีส�ำคัญของกระบวนการพัฒนา ทางการเมอื ง ๖. การพัฒนาทางการเมือง หมายถึง การระดมสรรพก�ำลังและการมีส่วนร่วมทางการเมือง จากประชาชนที่เป็นสมาชิกของสังคม เป็นการเปิดโอกาสหรือขยายการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ ประชาชนให้กว้างขวางขึ้น เพราะเช่ือว่าการท่ีประชาชนมีความต่ืนตัวทางการเมืองและมีส่วนร่วม ทางการเมอื งในระดบั สงู เปน็ เครอ่ื งแสดงถงึ ระดบั ของการพฒั นาทางการเมอื ง การทปี่ ระชาชนไดเ้ ขา้ ไป มีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้านนโยบายท่ีส�ำคัญของรัฐบาลจึงถือเป็นส่ิงท่ีจ�ำเป็นต่อการพัฒนาทางการ เมืองตามแนวคดิ นี้ ๗. การพฒั นาทางการเมอื ง หมายถงึ การสรา้ งหรอื การพฒั นาประชาธปิ ไตย เพราะเชอ่ื วา่ การ ปกครองระบอบประชาธปิ ไตยเปน็ ระบอบการปกครองทแี่ สดงถงึ การพฒั นาทางการเมอื งของประเทศ น้ันๆ แนวคิดนี้ได้รับการต่อต้านและโต้แย้งจากนักคิดหลายๆท่าน เพราะการให้ค�ำจ�ำกัดความขั้นต้น เป็นการตีกรอบค�ำว่าพัฒนาการทางการเมืองจะสามารถเกิดข้ึนได้เฉพาะท่ีปกครองด้วยระบอบ ประชาธปิ ไตยเท่านน้ั ๘. การพฒั นาทางการเมอื ง หมายถงึ การมเี สถยี รภาพและการมกี ารเปลยี่ นแปลงทเี่ ปน็ ระเบยี บ เรียบร้อย เพราะฉะน้ันประเทศที่สามารถรักษาเสถียรภาพและดุแลสภาพสังคมให้มีการเปลี่ยนแปลง อยา่ งเปน็ ระเบียบไมเ่ กดิ ความว่นุ วายจะเปน็ ประเทศท่มี ีการพัฒนาทางการเมอื ง ๙. การพฒั นาทางการเมอื ง หมายถงึ การระดมสรรพกำ� ลงั ละอำ� นาจเพอ่ื นำ� สรรพกำ� ลงั ทงั้ หมด ทรี่ ะดมมาไปใชใ้ นการแกไ้ ขปญั หาของสงั คมและรว่ มกนั พฒั นาสงั คม เพราะฉะนน้ั ระดบั ของการพฒั นา ทางการเมืองจึงประเมินได้จากการท่ีระบบการเมืองมีอ�ำนาจมากน้อยเพียงใดในการระดมสรรพก�ำลัง อนั หมายถงึ ความสามารถของรฐั ในการระดมทรัพยากรในสงั คมมาใช้นนั้ เอง
342 รัฐศาสตร์เบื้องต้น ๑๐. การพัฒนาทางการเมือง หมายถึง ลกั ษณะหน่งึ ของกระบวนการเปลย่ี นแปลงทางสังคม เพราะกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้นมีหลายลักษณะ การพัฒนาการทางการเมืองเป็นเพียง หนึ่งในหลาย ๆ ลักษณะของการเปล่ยี นแปลงทางสังคม เน่อื งจากการพฒั นาการทางเมืองทีเ่ กย่ี วเนื่อง กบั เรอื่ งของเศรษฐกจิ และสงั คมอยา่ งแยกออกจากกนั ไมไ่ ด้ เพราะฉะนนั้ การพฒั นาทางการเมอื งจงึ เปน็ ลกั ษณะหนึง่ เทา่ นัน้ ของการเปล่ียนแปลงทางสังคม จากความหมายทัง้ หมดทีไ่ พนไ์ ดร้ วบรวมไว้ เขาไม่ไดก้ ลา่ ววา่ นิยามใดถกู ต้องทีส่ ดุ หรือนยิ าม ใดไมถ่ กู ตอ้ ง แตเ่ ขาไดส้ รปุ ลกั ษณะรว่ มของการพฒั นาทางการเมอื งวา่ จะตอ้ งมอี งคป์ ระกอบรว่ มกนั อยู่ ๓ ประการ ซ่ึงเรยี กวา่ ลักษณะของการพฒั นา (Development Syndrome) กลา่ วคือ๒๒๙ ๑. ความเสมอภาค ( Equality) หมายถึง ความเสมอภาคในฐานะเปน็ ราษฎรซึง่ มสี ิทธใิ นการ เขา้ รว่ มมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง (participation) ความเสมอภาคทางกฎหมายทตี่ อ้ งมลี กั ษณะเปน็ สากล (universalistic nature) คือมีผลใช้บังคับกับทุกคนเท่าเทียมกัน และความเสมอภาคในการสรรหา บคุ คลเขา้ รบั ตำ� แหนง่ ทางการเมอื ง ซง่ึ เนน้ ถงึ ระดบั คณุ ธรรม (merit system) ทใ่ี ชค้ วามรคู้ วามสามารถ และความเหมาะสมเปน็ เครอ่ื งชวี้ ดั การเลอื กสรร ไมไ่ ดใ้ ชช้ าตกิ ำ� เนดิ หรอื ความผกู พนั สว่ นตวั เปน็ เกณฑ์ ชว้ี ดั ๒. ความสามารถของระดบั ทางการเมอื ง (Capacity of a Political System) หมายถงึ ระบบ การเมอื งทส่ี ามารถสนองตอบตอ่ ขอ้ เรยี กรอ้ งของประชาชน สามารถแกข้ อ้ ขดั แยง้ แกไ้ ขความตงึ เครยี ด ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสงั คม มคี วามสามารถในการบรหิ ารนโยบายของรฐั ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล และตอ้ งใชห้ ลกั การของเหตผุ ลในการบรหิ ารงาน รวมถงึ การปฏบิ ตั อิ ยา่ งเปน็ ธรรมเพอื่ การประสานกนั ระหว่างเป้าหมาย (Ends) กบั วธิ กี ารในการปฏบิ ตั ินโยบาย (means) ๓. การแบ่งโครงสร้างทางการเมืองโดยใช้ความแตกต่างในหน้าท่ีและมีความช�ำนาญเฉพาะ ด้าน (Differentiation and Specialization) เพราะเชื่อว่าลักษณะของระบบการเมอื งทมี่ กี ารพฒั นา ทางการเมืองแล้วจะต้องมีการจ�ำแนกโครงสร้างทางการเมืองที่สลับซับซ้อนออกไปและท�ำหน้าที่ตาม ความชำ� นาญเฉพาะดา้ นเปน็ ลกั ษณะของการแบง่ งานกนั ทำ� ภายใตก้ ารบรหิ ารโดยสว่ นรวมของรฐั แบบ มบี รู ณาการ ซง่ึ ไมใ่ ชก่ ารแตกแยกเพราะแมจ้ ะมกี ารแยกแยะโครงสรา้ งทางการเมอื งออกเปน็ หนว่ ยเลก็ ๆ และให้ด�ำเนินการอย่างเป็นอิสระ แต่ก็จะมีลักษณะของการปฏิบัติที่เป็นการประสานงานในองค์รวม ๒๒๙ Myron Weiner, Political Paricipation : Crisis of the Political Process, in Leonard Binder and Others. Crisis and Sepuences in Political Developmont. (Princeton, New Jersey : Priceton Press, ๑๙๗๑). pp. ๑๖๑ - ๑๖๓.
การพัฒนาทางการเมอื ง (Political Development) 343 ท้ังน้ีเพื่อให้การด�ำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ที่องค์การนั้นวางไว้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ปญั หาของการพจิ ารณาประเทศวา่ เปน็ ประเทศทม่ี กี ารพฒั นาแลว้ หรอื เปน็ ประเทศดอ้ ยพฒั นาโดยมอง ผ่านกรอบแนวคิดของไพน์ตามปัจจยั ๓ ประการข้างตน้ กค็ อื การไม่ทราบว่าในแต่ละปจั จยั ให้น�ำ้ หนัก อยา่ งไร ปจั จยั ใดใหน้ ำ้� หนกั มากกวา่ กนั ปญั หาทส่ี องกค็ อื ในปจั จยั การแบง่ โครงสรา้ งทางการเมอื งโดย ใชค้ วามแตกตา่ งและความสามารถเฉพาะดา้ นเปน็ เครอื่ งบง่ ชถี้ งึ ความเปน็ ประเทศทพี่ ฒั นาแลว้ นนั้ ทำ� ให้ เกิดข้อสงสัยก็คือ ลักษณะดังกล่าวมิใช่ว่าจะพบแต่เฉพาะกับสังคมที่มีระบบการเมืองสมัยใหม่ เพราะ ในความเปน็ จรงิ ลกั ษณะโครงสรา้ งทซ่ี บั ซอ้ นและการแบง่ งานกนั ทำ� ตามความชำ� นาญเฉพาะดา้ นไดเ้ คย เกิดมากอ่ นแลว้ ในบางสงั คม เชน่ จกั รวรรดโิ รมนั และจีนโบราณ ท�ำให้เกิดขอ้ สรปุ ทส่ี บั สนว่า ถา้ เป็น เชน่ นนั้ กจ็ ะถอื ไดห้ รอื ไมว่ า่ ในสงั คมโบราณทงั้ สองเปน็ สงั คมทม่ี กี ารพฒั นาการเมอื งแลว้ และประการท่ี สามก็คือ หากพิจารณาถึงปัจจัยองค์ประกอบทั้งสามจะพบว่า แนวคิดน้ีมีความโน้มเอียงไปท่ีการ ปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะความเสมอภาค ซ่ึงท�ำให้ได้ข้อสรุปที่น่าสงสัยว่า จริงหรือท่ี ประเทศกลุ่มสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ หรือเผด็จการไม่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกแห่งความเป็น จรงิ นักรัฐศาสตร์ท่ีให้ความหมายของการพัฒนาการเมืองท่ีน่าสนใจอีกท่านหนึ่ง คือ อัลมอลด์ กับ พาวเวล (Gabril A. Almond and Bingham G. Powell) ท่ีกลา่ ววา่ การพฒั นาการเมืองเปน็ ก ระบวนการท่ีส่งเสริมเพมิ่ ขึน้ ของปจั จัยตอ่ ไปน๒้ี ๓๐ ๑. การแบ่งโครงสร้างทางการเมืองโดยใช้ความแตกต่างในหน้าที่ (Differentiation) และมี โครงสร้างท่ีมีความช�ำนาญเฉพาะด้าน (Specialization) ในลักษณะเดียวกับลักษณะของการพัฒนา (Development Syndrome) ๒. วัฒนธรรมทางการเมืองท่ีเป็นแบบโลก (Secularization of Political Culture) ที่มี ลกั ษณะเชงิ ปฏบิ ตั แิ ละหาขอ้ เทจ็ จรงิ เชงิ ประจกั ษไ์ ด้ (Pragmatic, Empirical Orientation) เชอื่ ในเรอื่ ง ท่เี ปน็ เหตเุ ป็นผล มิใชเ่ ปน็ เรือ่ งโชคลางหรอื ความเช่ือที่งมงายปราศจากเหตุผล ๓. ความเปน็ อสิ ระของระบบยอ่ ย (Subsystem Autonomy) เมอื่ สงั คมมกี ารแบง่ แยกระบบ หนว่ ยงานยอ่ ยทม่ี คี วามชำ� นาญเฉพาะดา้ น การใหอ้ ำ� นาจทเี่ ปน็ อสิ ระในการปฏบิ ตั งิ านจงึ เปน็ เรอ่ื งสำ� คญั เพราะหากระบบยอ่ ยขาดความเปน็ อสิ ระในตนเองกจ็ ะทำ� ใหร้ ะบบนนั้ ไมส่ ามารถตดั สนิ ใจเพอ่ื การตอบ สนองต่อข้อเรียกร้องหรือแก้ปัญหาที่เกิดข้ึนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดอ่อนที่มีแฝงอยู่ในแนวคิดของ พายกย็ งั คงไมไ่ ดห้ มดไปจากกรอบความคดิ ของอลั มอลดแ์ ละพาวเวล นนั่ คอื ประการแรก เปน็ เรอ่ื งของ ๒๓๐ Gabril A. Almond and Bingham G. Powell, Comparative Politics : Approach. (Boston : little, Brown and Company, ๑๙๖๖),pp ๒๙๙ - ๓๒๒
344 รัฐศาสตรเ์ บอื้ งต้น การใชน้ ำ้� หนกั กับแต่และปจั จยั ประการทสี่ องกค็ ือยังมแี นวคดิ การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบ ตะวนั ตกแฝงอยู่ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากประเดน็ ความเปน็ อสิ ระของระบบยอ่ ย จงึ เปน็ การมงุ่ เนน้ และสง่ เสรมิ ให้เกิดการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และต่อต้านการเปล่ียนแปลงสังคมโดยฉับพลัน (rapid social change) เช่น การปฏิวัติ รัฐประหาร และความรุนแรงทางการเมืองโดยใช้เหตุผลว่าจะท�ำให้ สังคมขาดเสถยี รภาพ๒๓๑ และประการสุดท้ายกค็ อื การกลา่ วว่าวฒั นธรรมทางการเมืองท่เี ปน็ แบบโลก บ่งบอกถึงความเป็นสังคมท่ีพัฒนาแล้วนั้น ดูจะไม่ถูกต้องสมบูรณ์เท่าใดนัก เพราะแม้ในสังคมของ ประเทศทพ่ี ฒั นาแลว้ ประชาชนสว่ นมากกไ็ มไ่ ดย้ ดึ หลกั เหตผุ ลเสมอไป เชน่ การไปลงคะแนนเสยี งเลอื ก ตัง้ กย็ ังยึดติดกับความสมั พันธ์สว่ นตัวเหมือนกบั ประชาชนในประเทศด้อยพฒั นา การสร้างความทนั สมัยทางการเมือง (Political Modernization) การศึกษาเก่ียวกับการสร้างความทันสมัยทางการเมือง (Political Modernization) ได้รับ ความสนใจอยา่ งแพรห่ ลายหลงั สงครามโลกครงั้ ทสี่ อง เมอื่ ภาวะทางการเมอื งระหวา่ งประเทศตงึ เครยี ด จากการแบ่งกลุ่มประเทศเป็นขั้วอ�ำนาจตามอุดมการณ์ทางการเมือง ประกอบกับการเกิดขึ้นของ ประเทศเกิดใหม่ทีมักอยู่ในกลุ่มประเทศโลกที่สาม (Third world) ท่ีล้าหลังการศึกษาเกี่ยวกับความ ทนั สมยั ทางการเมอื งจะใหค้ วามสำ� คญั กบั การศกึ ษาในทกุ ประเดน็ ทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงไปจากทเี่ ปน็ อยู่ ไมว่ า่ จะเปน็ ทางการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม๒๓๒ ความทนั สมยั ทางการเมอื งจงึ มลี กั ษณะสองประการ คือ ท�ำให้โครงสรา้ งทางการเมืองมลี กั ษณะหลากหลายและซบั ซอ้ นมากขน้ึ (Structural Differentia- tion) และมคี วามเชือ่ และวัฒนธรรมทางการเมืองท่ีเป็นทางโลก (Secularization of Political Cul- ture) ตอ่ ต้านความเชือ่ ที่งมงาย ไร้เหตุผล๒๓๓ แนวการศึกษาความทันสมัยทางการเมืองมีพ้ืนฐานความคิดในเร่ืองการวิวัฒนาการของการ ผลติ และการค้าแบบทนุ นยิ ม โดยยดึ ถอื แนวทางการพฒั นาแบบเส้นตรง (Linear) ประเดน็ ทเี่ กยี่ วข้อง กบั ความทันสมยั คือ ๑. Westernization การยดึ รปู แบบและกระบวนการในการดำ� เนนิ ไปสคู่ วามทนั สมยั ตามแบบ ประเทศตะวนั ตก ๒๓๑ ชัยชนะ องิ ตะวัน,วเิ คราะห์การเมืองเปรียบเทียบ.(กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั รามค�ำแหง,๒๕๓๑),น. ๑๑๐ - ๑๑๑. ๒๓๒ รายละเอียดใน Samuel Huntington, Political Order in Changing Societies. (New Howen :Yale University Press, ๑๙๖๘). ๒๓๓ Almond and Powell, Op. Cit, pp. ๒๑๕ - ๒๑๘.
การพัฒนาทางการเมอื ง (Political Development) 345 ๒. Industrialization นนั่ คอื ความทนั สมยั มผี กู พนั กบั การสรา้ งระบบอตุ สาหกรรมมากเพราะ อาจเปน็ ไปไดท้ ส่ี งั คมทนั สมยั จะมคี วามเจรญิ ของระบบอตุ สาหกรรมไมม่ ากนกั แตจ่ ะเปน็ ไปไมไ่ ดเ้ ลยท่ี ในสงั คมท่ีมีระบบอุตสาหกรรมเจริญจะปราศจากความทนั สมยั ๓. Urbanization หมายถึงกระบวนการท�ำให้เป็นเมือง เพราะหากสังคมมีความทันสมัยจะ ท�ำให้ประชาชนเข้ามาท�ำงานในเมืองมาข้ึน เพราะระบบเศรษฐกิจถูกรวมศูนย์อยู่ท่ีเมืองเป็นหลัง จงึ เกิดกระบวนการทำ� ให้เป็นเมอื ง ๔. Economic Development เพราะความทนั สมยั ท�ำใหเ้ กิดการผลติ เพอื่ บรโิ ภค อนั หมาย ถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประชาชน ใหม้ คี วามอยดู่ ีกนิ ดมี ากขึ้น ๕. Social Mobilization เป็นกระบวนการทางจิตวิทยาเก่ียวเนื่องกับการที่คนเปลี่ยน ค่านิยม ทัศนคติ และความคาดหวังแบบเก่าไปสู่ใหม่ เพราะประชาชนในสังคมทันสมัยจะได้รับการ ศกึ ษาท่ดี ขี ึ้น สื่อมวลชนมปี ระสิทธภิ าพมากข้ึน ๖. Participation ประชาชนจะเข้ามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆของสังคมมากขึ้น อันเป็นสืบ เน่อื งมาจากการเปล่ยี นไปทง้ั ในด้าน เศรษฐกิจ สงั คม การศึกษา และการเมอื ง ๗. Differentiation หมายถงึ การทโี่ ครงสรา้ งของสงั คมมกี ารจดั การองคก์ ารทมี่ ลี กั ษณะหลาก หลาย ซบั ซอ้ นตามหนา้ ทีต่ ่าง ๆ ที่มีมากข้ึน และมรี ะดบั ของความช�ำนาญเฉพาะด้านสูงขนึ้ (secular- ization) ๘. Secularization หมายถึงการทค่ี นในประเทศทพี่ ัฒนาแล้วจะเป็นคนที่มีเหตุผล ไมย่ ดึ ตดิ อยูก่ ับความเช่ือทงี่ บงาย และผกู พนั กับค�ำสอนของศาสนาจนเกนิ ไป ความเชอื่ เกา่ ถกู แทนทด่ี ว้ ยความ รทู้ างวทิ ยาศาสตรท์ ส่ี ามารถพสิ จู นไ์ ด้ อยา่ งไรกด็ ี ไดม้ นี กั วชิ าการเสนอตวั แปรทสี่ ำ� คญั ของความทนั สมยั ทางการเมืองไว้ และกล่าวว่าในสังคมที่มีความทันสมัยทางการเมืองจะต้องมีระดับของตัวแปรท้ังสาม อยู่ในระดับสงู ซึง่ ตวั แปรทัง้ สามไดแ้ ก๒่ ๓๔ ๑. ความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลของอำ� นาจหนา้ ท่ี (Rationalization of Authority) ในสงั คมทมี่ คี วาม ทนั สมยั ทางการเมอื ง อำ� นาจทางการเมอื งจะตง้ั อยบู่ นรากฐานมาจากขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ศาสนา ครอบครัว หรอื เช้ือชาติ ๒๓๔ Huntington, Op.Cit, pp.๓๔ - ๓๕.
346 รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองต้น ๒. ความแตกตา่ งซับซอ้ นของโครงสรา้ งทางการเมือง (Differentiation of Political Struc- ture) เพราะเมอื่ สงั คมมคี วามทนั สมยั ทางการเมอื ง ทำ� ใหโ้ ครงสรา้ งทางการเมอื งจะมลี กั ษณะทมี่ คี วาม แตกต่างซับซ้อน แยกย่อยงานไปตามหน้าท่ีโดยมีผู้ปฏิบัติงานตามหลักการของความสามารถเฉพาะ ดา้ น การเข้าสูต่ ำ� แหน่งใด ๆ ก็จะเปน็ ไปตามหลกั ความรู้ ความสามารถ ๓. การมีสว่ นร่วมทางการเมอื ง (Political Participation) เพราะประชาชนในสงั คมทม่ี คี วาม ทันสมัยทางการเมืองจะเป็นพลเมืองท่ีมีคุณภาพ มีการศึกษาที่ดี จึงส่งผลให้ประชาชนเหล่านั้นมี ความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับระบบการเมือง และสิทธิประโยชน์ที่พึงมีจากรัฐบาลการเรียกร้องผล ประโยชน์ โดยการมีส่วนร่วมทางการเมอื งจงึ เกดิ ขนึ้ สูงทัง้ ในแง่ของปริมาณและความเข้มขน้ ของสาระ ที่เรียกรอ้ ง ขั้นตอนของกระบวนการสร้างความทันสมยั กระบวนการสรา้ งความทนั สมยั สามารถจำ� แนกออกได้ ๔ ข้ันตอน๒๓๕ ๑. การทา้ ทายของความเปน็ ทนั สมยั ในชว่ งแรกของสงั คมทส่ี รา้ งความทนั สมยั จะเปน็ ไปดว้ ยดี กล่าวคือ ไม่มีปัญหาท่ีเกิดจากกระบวนการสร้างความทันสมัยเท่าใดนัก ทั้งน้ีเพราะสังคมที่เริ่มการ เปลี่ยนแปลงสู่ความทันสมัยสามารถท่ีจะน�ำวิทยาการและความรู้ใหม่ท่ีได้รับมาประยุกต์ใช้ได้เป็น อย่างมาก แม้จะมีการเปล่ียนแปลงเกิดข้ึนมากมายในสังคม โดยเฉพาะแนวคิดและทัศนคติท่ีเป็น วทิ ยาศาสตร์ แต่สิง่ ที่เปลย่ี นแปลงน้ันกไ็ มไ่ ด้ซบั ซอ้ นเขา้ ไปทุกส่วนของสงั คม การเปลย่ี นแปลงทางการ เมืองการปกครองจะเป็นไปในลักษณะการปฏิรูปท่ีพยายามรักษาความเป็นอภิสิทธิ์ชนของกลุ่มผู้ ปกครอง น่ันคือ การพยายามท่ีจะไม่ยอมให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางการปกครองท่ีอาจส่งผลกระทบ ตอ่ อำ� นาจเดิมทอ่ี ยู่น่นั เอง ๒. ความเป็นปึกแผ่นของผู้น�ำท่ีทันสมัย เป็นช่วงแห่งการแย่งชิงเพื่อเปลี่ยนถ่ายอ�ำนาจการ ปกครองจากผนู้ ำ� ทม่ี อี ำ� นาจดงั้ เดมิ สผู่ นู้ ำ� สมยั ใหม่ การเปลย่ี นแปลงอำ� นาจจะมลี กั ษณะของการแยง่ ชงิ โดยจะผู้น�ำทางการเมืองที่มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ถึงเป้าหมายในการน�ำสังคมไปสู่ความทันสมัย ซึ่ง ผู้น�ำกลุ่มน้ีอาจเป็นสมาชิกในกลุ่มผู้น�ำเก่าหรืออาจเป็นผู้น�ำใหม่โดยแท้จริงก็ได้ต่อมาก็จะเกิดการ เปลยี่ นแปลงในสว่ นของประชาชนทเี่ รมิ่ เหน็ วา่ ความทนั สมยั เปน็ สง่ิ ทดี่ งี ามการละทงิ้ สถาบนั เกา่ กเ็ รม่ิ ขน้ึ และหันมาให้การสนับสนุนและยอมรับในวิถีชีวิตท่ีทันสมัย และท้ายท่ีสุดสถาบันทางการเมืองก็จะก่อ ตัวข้นึ และมีพัฒนาการจนมเี สถยี รภาพเพ่ือให้สอดคลอ้ งกับสภาพสงั คมทเ่ี ปล่ยี นไป ๒๓๕ Cyril E. Black, The Dynamics of Modemizatlon. (New York : harper and Row, ๑๙๖๖),pp. ๖๗ -๘๙.
การพฒั นาทางการเมอื ง (Political Development) 347 ๓. การปฏริ ปู ทางเศรษฐกจิ และสงั คม เปน็ ชว่ งทเี่ กดิ ขน้ึ ภายหลงั การปฏวิ ตั ิ รฐั ประหารการทำ� สงครามปลดแอกและการรวมชาติ การเปลี่ยนแปลงในค่านิยมและวิถีชีวิตของปะชาชนเกิดขึ้นท�ำให้ เกดิ ความผกู พนั กับชมุ ชนระดบั ชาติแทนการผูกพนั ระดบั ท้องถิน่ ท่ีเคยมีอยู่ ความเจรญิ และทันสมยั ใน ตวั เมอื งทำ� ใหป้ ระชาชนในชนบทยา้ ยเขา้ มาอาศยั และประกอบอาชพี ในตวั เมอื งมากขนึ้ ประชาชนโดย สว่ นใหญม่ คี วามเปน็ อยทู่ ด่ี ขี นึ้ มกี ารศกึ ษาในระดบั ทส่ี งู กวา่ เดมิ เปน็ เหตใุ หก้ ารเรยี กรอ้ งและการมสี ว่ น รว่ มทางการเมอื งของประชาชนมสี งู ขนึ้ ทงั้ ในแงป่ รมิ าณและเนอื้ หา รฐั บาลจงึ ตอ้ งมกี ารปรบั เปลย่ี นแนว นโยบายและวิถีการปฏิบัติเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่เพ่ิมข้นได้มี ประสิทธิภาพ ๔. ความเปน็ อันหนงึ่ อนั เดยี วกนั ของสงั คม มีลกั ษณะของสังคมทเี่ ปลย่ี นไปจากเดมิ การรวม กลมุ่ กนั โดยอาศยั ปจั จยั จากการมที อ่ี ยอู่ าศยั ในขอบเขตทเี่ ปน็ ทอ้ งถนิ่ เดยี วกนั การมอี าชพี เดยี วกนั หรอื มีความผูกพันเป็นการส่วนตัวจะหมดไปจากสังคม คนในสังคมอุตสาหกรรมจะมีความรู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้างในแง่ของความผูกพันและสภาพจิตใจ แต่จะมีโอกาสที่ดีกว่าในประเด็นของวัตถุ น่ันคือ ได้รับ การแบ่งสรรส่ิงท่ีมีคุณค่าหรือทรัพยากรในสังคม เช่น การศึกษา การบริหารสาธารณูปโภคท่ีดีกว่าใน สังคมเดมิ การเนน้ ความเปน็ อสิ ระของสถาบนั (Autonomous) และความชำ� นาญเฉพาะดา้ น (Special- ization) เทคโนโลยี การจดั องคก์ าร และการควบคมุ ทศั นคตขิ องคนในองคก์ าร กลา่ วคอื ดา้ นเทคโนโลยี ใช้ระดับความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมของสังคมนั้นเป็นเคร่ืองชี้วัด ส่วนมาตรฐานของทัศนคติก็คือ จากเคร่ืองชี้วัดทั้งสามประการข้างต้นจะน�ำมาเป็นกรอบในการตัดสินว่าสังคมในประเทศใดเป็นสังคม ที่ทันสมยั การสรา้ งความทันสมยั กบั การเมอื งกับเสถยี รภาพทางการเมอื ง การสรา้ งความทนั สมยั เปน็ ปจั จยั นำ� ไปสกู่ ารขดั แยง้ กนั ระหวา่ งคา่ นยิ มแบบเกา่ กบั คา่ นยิ มแบบ ใหม่ การสร้างความทันสมัยจะส่งผลให้เกิดส่ิงท่ีตามมาหลายประการ แต่มีอยู่ ๒ ส่ิงที่เป็นรากฐานส่ง ผลไปถงึ เสถียรภาพของการเมอื ง ๑. การระดมสรรพกำ� ลงั (Economic Development) จะเกดิ ขน้ึ ในสงั คมท่ที ันสมัยผลผลติ มวลรวมของสงั คมจะเพมิ่ มากขนึ้ เพราะความทนั สมยั ไดแ้ ปรเปลยี่ นวถิ ชี วี ติ และทศั นคตขิ องประชาชน ใหแ้ ตกตา่ งไปจากเดมิ ประชาชนในสงั คมทท่ี นั สมยั มคี วามตอ้ งการบรกิ ารของรฐั ในขอบเขตและปรมิ าณ ทเ่ี พม่ิ มากข้นึ ท�ำให้รัฐจะตอ้ งมีการพฒั นาสถาบนั ทางการ ๒. เมืองให้มีความสอดคล้องและความสามารถในการด�ำเนินการตอบสนองต่อข้อเรียกร้อง ของประชาชนใหม้ ากท่ีสดุ
348 รัฐศาสตรเ์ บอื้ งตน้ ๓. การพฒั นาทางเศรษฐกจิ (Economic Development) จะเกดิ ขนึ้ ในสงั คมทท่ี นั สมยั ผลผลติ มวลรวมของสงั คมจะเพ่มิ มากขนึ้ ในระยะแรกการพัฒนาทางเศรษฐกิจจะส่งผลใหเ้ กิดความเหล่อื มล�ำ้ ในรายได้ของประชาชน ภาวะเงินเฟ้อมักจะเกิดขึ้นตามมา วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจจะย่ิงส่งเสริมให้ ประชาชนเรียกร้องและมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดะที่สูงขึ้น และหากการพัฒนาทางเศรษฐกิจไม่ สามารถทำ� ให้ประชาชนสามารถมคี วามเปน็ อยู่ทดี่ ีได้การคบั ข้องใจ (Social Frustration) ก็จะเกิดขึ้น การคับข้องใจของประชาชนจะลดน้อยลงหากประชาชนผู้ขับข้องใจสามารถที่จะมีโอกาสใน การเล่ือนสถานภาพ (Mobility Opportunities) แต่หากสภาพสังคมไม่เปิดโอกาสหรือมีช่องทางใน การเลือ่ นสถานภาพสงิ่ ทตี่ ามมากค็ อื การมสี ่วนรว่ มทางการเมอื ง (Political Participation) เพื่อการ เรียกร้องให้รัฐบาลกระท�ำหรือไม่กระท�ำในส่ิงท่ีต้องการ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนจะ ไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาทางการเมอื งแตป่ ระการใดถา้ สถาบนั ทางการเมอื งมปี ระสทิ ธภิ าพ (Political insti- tutionalization) สามารถตอบสนองต่อข้อเรียงร้องจากการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน น่นั หมายถึง ความมเี สถยี รภาพทางการเมือง (Political instability) แต่หากสถาบันทางการเมืองไมม่ ี ความสามารถในการตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของประชาชนสิ่งท่ีตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ความไรเ้ สถียรภาพทางการเมอื ง (Political instability) เพราะฉะนน้ั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการสรา้ งความทนั สมยั ทางการเมอื งกบั เสถยี รภาพทางการ เมอื งสามารถอธบิ ายไดด้ ้วยแผนผงั ต่อไปน้ี Social Mobilization Economic Development = Social Frustration Social Frustration Mobility Opportunities = Political Participation Political Participation Political Institutionalization = Political Instability or Political Instability การสรา้ งความทนั สมัยทางการเมืองกับการพฒั นาทางการเมอื ง การสรา้ งความทนั สมยั ทางการเมอื งมคี วามแตกตา่ งจากการพฒั นาทางการเมอื งในรายละเอยี ด แต่มีความเก่ียวพันหรือส่งเสริมเป็นเหตุเป็นผลระหว่างกัน กล่าวคือ การสร้างความทันสมัยทางการ เมืองเป็นเรื่องของการเพ่ิมข้ึนในแง่ปริมาณ (Quantitative)๒๓๖ เช่น มีองค์กรเพิ่มข้ึน มีการเรียกร้อง ๒๓๖ สิทธิพันธ์ พทุ ธหนุ , ทฤษฎีพัฒนาการเมือง. พิมพ์คร้งั ท๒ี่ , (กรงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั รามค�ำแหง, ๒๕๒๗), น. ๙๕.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 460
Pages: