การพัฒนาทางการเมือง (Political Development) 349 ทางการเมืองมากข้นึ และเข้าไปมสี ่วนร่วมทางการเมอื งในระดับท่เี พิ่มขนึ้ เปน็ ตน้ ส่วนการพัฒนาการ ทางการเมืองเป็นการเพ่มิ ในแงค่ ณุ ภาพ (Qualitative) เช่น การเพิม่ ข้ึนของความสามารถขององคก์ าร หรือสถาบันทางการในการตอบสนองข้อเรียกร้องทางการเมืองของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสทิ ธผิ ล เป็นต้น เม่ือการสร้างความทันสมัยทางการเมืองเป็นการเพิ่มขึ้นในแง่ปริมาณและการพัฒนาทางการ เมอื งเปน็ การเพมิ่ ขนึ้ ทางคณุ ภาพทำ� ใหท้ ง้ั สองมคี วามสมั พนั ธก์ นั ทงั้ ในแงส่ ง่ เสรมิ และในแงข่ ดั ขวางหรอื เปน็ อปุ สรรค กลา่ วคือ กระบวนการสร้างความทันสมยั ทางการเมอื งถือเปน็ กระบวนการส�ำคญั ในการ สร้างฐานทางการเมืองเพ่ือการพัฒนาทางการเมือง แต่หากสถาบันทางการเมืองไม่มีประสิทธิภาพใน การตอบสนองข้อเรียกร้องหรือการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนได้ การสร้างความทันสมัย ทางการเมืองก็จะกลายเป็นอุปสรรคส�ำหรับการพัฒนาทางการเมือง เพราะจะท�ำให้การเมืองไร้ เสถียรภาพจนไม่สามารถที่จะก้าวไปสู่การพัฒนาทางการเมืองได้ ปัจจัยท่ีใช้วัดระดับของการพัฒนา ทางการเมือง ได้แก๒่ ๓๗ ๑. ขอบข่ายของการสนับสนุน (Scope of support) ทป่ี ระชาชนมีตอ่ ระบบการเมอื ง ๒. ระดับความเป็นสถาบัน (Level of institutionalization) คือความสามารถของสถาบัน ทางการเมืองในการตอบสนองต่อความคาดหวังหรือความต้องการของประชาชน ซึ่งระดับของความ เป็นสถาบันพจิ ารณาจาก๒๓๘ ก. ความสามารถในการปรบั ตัว (Adaptation) ข. ความซบั ซอ้ น (Differentiation) ค. ความเปน็ อสิ ระ (Autonomy) ง. ความเปน็ อนั หนงึ่ อันเดียวกนั (Coherence) ตัวแปรทั้ง ๔ ตัวแปรจะเครื่องบ่งชี้ถึงความเป็นสถาบันทางการเมืองว่ามีมากน้อยเพียงใด๒๓๙ กล่าวโดยสรุปการสร้างความทันสมัยทางการเมืองเป็นการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลง กระบวนการ เปลี่ยนแปลง และเป้าหมายของการเปล่ียนแปลงเพื่อผลของความก้าวหน้าของสังคมมีความสัมพันธ์ กับการพัฒนาการเมืองในแง่ที่ว่า การสร้างความทันสมัยทางการเมืองอาจน�ำไปสู่ความไร้เสถียรภาพ ทางการเมืองจนสังคมน้นั ไม่สามารถเปน็ สงั คมทีม่ กี ารพฒั นาทางการเมืองก็ได้ ๒๓๗ Huntington, Op.Cit, pp.๑๒. ๒๓๘ Op.cit, Huntington, pp.๑๓ - ๒๔. ๒๓๙ ชัยอนนั ต์ สมุทวณชิ , การเมอื งเปรียบเทียบ : ทฤษฎแี ละแนวความคิด.(กรุงเทพฯ: เจา้ พระยาการพิมพ์, ๒๕๒๖), น.๑๑๓.
350 รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ ความด้อยพัฒนา (Underdevelopment) จากแนวคดิ ของกลมุ่ การพฒั นาการเมอื งจะนำ� เสนอวา่ การพฒั นาจะมกี ารกระจายและไหลบา่ จากท่ีสูง (ประเทศท่ีพัฒนาแล้ว) ลงสู่ท่ีต�่ำ (ประเทศท่ีด้อยพัฒนา) ในลักษณะการแพร่ขยายหรือการ กระจายจากท่ีสูงลงสู่ที่ต่�ำ (Fitter down) กล่าวคือ การพัฒนาจะเริ่มจากประเทศที่มีการพัฒนาแล้ว จากนั้นก็จะกระจายไปสปู่ ระเทศตา่ ง ๆ ทา้ ยท่สี ุดทุกภมู ภิ าคก็จะก้าวสู่สังคมท่ีมกี ารพัฒนาแลว้ แตใ่ น ความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นตามที่นักคิดกลุ่มการพัฒนาทางการเมืองได้กล่าวไว้เพราะปัญหาความ ลา้ หลงั และการดอ้ ยพฒั นากลบั ทวคี วามรนุ แรงมากขน้ึ ทำ� ใหแ้ นวคดิ การพฒั นาทางการเมอื งถกู ทา้ ทาย จากนกั คิดร่นุ ใหม่ โดยเฉพาะหลงั สงครามโลกครัง้ ท่สี อง แนวคิดการพัฒนาการเมืองท่ีถูกวิพากษ์ประการหนึ่งก็คือความเป็นจริงจากประวัติศาสตร์ที่ ผา่ นมาประเทศอตุ สาหกรรมทพ่ี ฒั นาแลว้ ในยโุ รปไดก้ า้ วสคู่ วามเปน็ ประเทศอตุ สาหกรรมทพี่ ฒั นาแลว้ โดยไม่ได้ผ่านการเป็นประเทศด้อยพัฒนามาก่อน จึงเป็นการไม่ถูกต้องนักที่จะก�ำหนดเส้นทางแก่ ประเทศดอ้ ยพฒั นาเพอื่ ทจี่ ะกา้ วไปสคู่ วามเปน็ อตุ สาหกรรมทพี่ ฒั นาแลว้ ตามทศิ ทางของประเทศตะวนั ตกทพี่ ฒั นาการทางการเมอื งแลว้ ทางตรงขา้ มประเทศดอ้ ยพฒั นาควรจะมอี สิ ระในการเลอื กทศิ ทางใน การพฒั นาประเทศของตนเอง ไมใ่ ชก่ ารยดึ ถอื ประเทศในยโุ รปเปน็ กรอบมาตรฐานเปน็ เสน้ ทางแหง่ การ พฒั นา ขอ้ แทจ้ รงิ เกยี่ วกับประเทศดอ้ ยพัฒนาพอจะสรปุ ได้ดงั น๒ี้ ๔๐ ๑. ความดอ้ ยพฒั นาไมใ่ ชจ่ ดุ เรมิ่ แหง่ การกา้ วไปสกู่ ารพฒั นา ดงั ทกี่ ลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ วา่ ประเทศ ทด่ี อ้ ยพฒั นาแลว้ ไมจ่ ำ� เปน็ จะตอ้ งผา่ นขน้ั ตอนการเปน็ ประเทศดอ้ ยพฒั นามากอ่ น เพราะในทางกลบั กนั ประเทศที่ด้อยพัฒนาอาจไม่มีโอกาสท่ีจะก้าวผ่านสภาพด้อยพัฒนาไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาตาม แนวคิดของนกั วิชาการตะวนั ตกเลย ๒. ความด้อยพัฒนาเป็นผลหรือสภาพสะท้อนมาจากการพัฒนาระบบทุนนิยม ประเทศท่ี พฒั นาแลว้ ทำ� ใหเ้ กดิ ประเทศด้อยพฒั นา เพราะในความเป็นจรงิ ประเทศโลกทีส่ ามเปน็ ประเทศทดี่ ้อย พัฒนาจึงยังไม่ถูกตอ้ งนกั เพราะในความเป็นจรงิ ประเทศโลกที่สามอาจไมใ่ ช่ประเทศดอ้ ยพฒั นา (Un- derdevelopment) เพยี งแตเ่ ปน็ ประเทศทย่ี ังไมไ่ ด้พฒั นา (Un development) ๓. การมองประเทศด้อยพัฒนากับประเทศพัฒนาแล้วผ่านกรอบเหรียญสองหน้าเป็นส่ิงที่ไม่ ถูกต้อง เพราะความด้อยพัฒนาของประเทศโลกท่ีสามที่ล้าหลังเกิดข้ึน จากกระบวนการทาง ประวัตศิ าสตรข์ องการพัฒนาในระบบทุนนยิ ม ๒๔๐ Andre Gender Frank, “The Development of Underdevelopment,” in Monthly Review.XVIII (September), pp.๑๗ - ๓๑.
การพัฒนาทางการเมอื ง (Political Development) 351 ๔. ประเทศทพี่ ัฒนาแล้วเปรียบเทยี บเสมอื นประเทศศนู ยก์ ลาง (Center) และประเทศท่ีด้อย พัฒนาเป็นเสมือนประเทศรอบนอก (Periphery) เป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์กันในระดับระหว่าง ประเทศ อันเป็นผลสบื เนอ่ื งมาจากการล่าอาณานคิ มตามลัทธจิ ักรวรรดนิ ิยม ประเทศทเี่ ปน็ ศนู ยก์ ลาง ก็จะทำ� การสบู ทนุ จากประเทศรอบนอกอันเปน็ การสร้างความแตกตา่ งในการพัฒนายง่ิ ข้นึ ๕. เพราะการสูบทุนจากประเทศรอบนอก ทำ� ใหป้ ระเทศศูนย์กลางสามารถรกั ษาสถานภาพ แหง่ การเป็นประเทศทีพ่ ฒั นาแลว้ ให้ดำ� รงอยสู่ ืบเนื่องตอ่ ไป ส่วนประเทศทดี่ อ้ ยพัฒนาในรอบนอกไม่มี เงนิ ลงทนุ เพอ่ื ขยายอทิ ธพิ ลสรา้ งความพฒั นาการเมอื งได้ จงึ ทำ� ใหไ้ มส่ ามารถทจ่ี ะพฒั นาตนไปสปู่ ระเทศ พัฒนาแลว้ ตามกรอบหรือวิถที างท่นี กั วชิ าการตะวนั ตกเสนอแนะ ขอ้ วพิ ากษ์ การศึกษาในเรื่องของการทันสมัยทางการเมืองจะมีลักษณะอย่างหนึ่งท่ีเหมือนกับการศึกษา การพัฒนาการเมอื ง คอื ตอ้ งเป็นการศึกษาท่เี ป็นการเปรียบเทียบระหวา่ งสง่ิ สองสิง่ ข้ึนไปการศกึ ษาจึง มีลักษณะเหรียญสองหน้า (Dichotomous) เช่น สังคมประเพณี (Traditional society) กับสังคมทันสมัย (Modernize society) เป็นต้น ซ่ึงกรอบการศึกษาแบบเหรียญสองหน้าก็มีจุดอ่อน ในตัวเองที่กลายเป็นปัญหาในทางวิชาการ ปัญหาประการหน่ึงก็คือ การจับคู่ที่อาจท�ำให้ได้ข้อสรุปท่ี ผิดพลาด เพราะทุกสังคมในโลกต่างก็ต้องก้าวไปสู่ช่วงแห่งการเปล่ียนผ่าน (Transitional) ด้วยกัน ทั้งส้ิน เมื่อเป็นเช่นน้ีจึงท�ำให้ไม่สามารถที่จะก�ำหนดลงได้ว่า สังคมใดกันแน่ท่ีเดินทางก้าวพ้นช่วงแห่ง การเปลย่ี นผา่ นและไดบ้ รรลถุ งึ เปา้ หมายแหง่ การพฒั นาแลว้ เนอื่ งจากทกุ สงั คมยงั คงตอ้ งมกี ารปรบั ตวั อยู่ตลอดเวลา ไมม่ สี งั คมใดทห่ี ยดุ นิง่ ไม่ตอ้ งมีการปรบั ตวั ปัญหาอีกประการหน่ึงก็คือ การแบ่งสังคมที่ท�ำการศึกษาออกเป็นสองกลุ่มในลักษณะของ เหรยี ญสองหนา้ ทำ� ใหเ้ กดิ การมองวา่ ในสงั คมของกลมุ่ ใดกลมุ่ หนงึ่ นน้ั ผสมกลมกลนื มคี วามเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดียว (Homogeneous) ในทุกหน่วยของสังคมท่ีจะตอ้ งแตกตา่ งไปจากอกี สงั คมหนึง่ เชน่ การมอง ว่าสังคมของประเทศที่มีการพัฒนาแล้วจะประกอบไปด้วยประชากรที่มีความรู้ มีการใช้เหตุผลในการ ตดั สนิ ใจ ทงั้ ทค่ี วามจรงิ ในสงั คมนนั้ จะประกอบไปดว้ ยประชากรทมี่ คี วามรมู้ กี ารใชเ้ หตผุ ลในการตดั สนิ ใจ และประชากรทไ่ี มม่ คี วามรู้ ไมไ่ ดใ้ ชเ้ หตผุ ลในการตดั สนิ ใจ หรอื อกี นยั หนงึ่ กค็ อื ในสงั คมทเี่ รยี กวา่ สงั คม ทพี่ ัฒนาแล้วก็จะมสี งั คมทด่ี อ้ ยพฒั นาเปน็ ส่วนย่อยแฝงอยดู่ ว้ ยเช่นกัน ซ่ึงมองผ่านกรอบของการศึกษา ในลกั ษณะของเหรยี ญสองหนา้ อาจท�ำให้ละเลยหรือมองผา่ นในรายละเอียดตรงนไี้ ป
บทที่ ๑๔ การมสี ว่ นร่วมทางการเมอื ง (Political Participation) บทน�ำ การมสี ว่ นรว่ มในกระบวนการเมอื ง เปน็ เงอื่ นไขทส่ี ำ� คญั มากประการหนงึ่ ของการปกครองตาม ระบอบประชาธิปไตย การมีสว่ นร่วมทางการเมอื งเปน็ กิจการท่ีประชาชนกระท�ำไปดว้ ยความสมัครใจ การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ส�ำคัญ ๆ ได้แก่ การออกเสียงเลือกตั้ง การเป็นสมาชิกหรือผู้สนับสนุน พรรคการเมอื ง การแสดงมตมิ หาชนหรอื ประชามติ รวมตลอดถงึ การมสี ว่ นรว่ มในกระบวนทางการเมอื ง อยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการ กจิ กรรมและพฤตกิ รรมทางการเมอื งของสถาบนั ทางการเมอื ง เชน่ รฐั สภา รฐั บาล พรรคการเมือง กลุ่มอิทธิพลและกลุ่มผลประโยชน์ ตลอดจนการแสดงความคิดเห็นในนโยบาย และ การปฏิบัติงานของรัฐสภาและหน่วยของรัฐบาล เพื่อโน้มน้าวมติมหาชนหรือเพื่อให้มีอิทธิพลต่อผู้มี อ�ำนาจในทางการเมืองใหต้ ัดสินใจอยา่ งใดอย่างหนง่ึ ทีต่ นประสงค์ การแสดงออกซ่ึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองมีหลายรูปแบบ การไปออกเสียงเลือกตั้งเป็น การแสดงออกซงึ่ การเปน็ เจา้ ของอำ� นาจอธปิ ไตย และการมสี ว่ นรว่ มในการปกครองตนเองของประชาชน การจัดต้ังและเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของกลุ่มหรือคณะบุคคลท่ีมีแนว นโยบายและอุดมการณ์ที่แน่นอนในการเสนอตัวเข้ารับเลือกต้ัง เพ่ือเป็นตัวแทนของประชาชนในการ บรหิ ารประเทศ กลมุ่ ผลประโยชนแ์ ละกลมุ่ อทิ ธพิ ลจะแสดงออกซง่ึ เจตนารมณข์ องกลมุ่ ดว้ ยการใหค้ วาม รว่ มมอื กบั รฐั บาลในกจิ กรรมตา่ ง ๆ รวมตลอดถงึ การแสดงพลงั ดว้ ยการนดั หยดุ งาน การเดนิ ขบวนและ การหยุดด�ำเนินงานชั่วคราวในด้านการประกอบการทางเศรษฐกิจ และการให้บริการแก่รัฐบาลและ ประชาชน โดยมงุ่ หมายจะใหก้ ารกระทำ� ตา่ ง ๆ ดงั กลา่ วเปน็ เครอ่ื งมอื ตอ่ รองหรอื มอี ทิ ธพิ ลตอ่ การตดั สนิ ใจของรัฐบาล หรือนายจ้าง ทั้งน้ีโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะปกป้องหรือให้ได้มาซึ่งผลท่ีกลุ่มต้องการ การแสดงมติมหาชนโดยวิธีการต่าง ๆ และการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายและการปฏิบัติงานของรัฐบาล เป็นการสะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการตัดสินใจของรัฐบาลเรื่องใดเร่ืองหน่ึง ท่ีมีผล กระทบต่อส่วนได้ส่วนเสียของประชาชน มติมหาชนอาจจะเป็นไปได้ทั้งในรูปของการคัดค้านหรือ สนับสนุนการตัดสนิ ใจของรฐั บาล ตวั อย่างเช่น การวพิ ากษ์วิจารณ์ทางสื่อ มวลชน การชุมนมุ คดั คา้ น การขึ้นราคาน�้ำมันของรัฐบาล ซึ่งเป็นการแสดงมติมหาชนต่อนโยบายของรัฐบาลในเชิงคัดค้าน หรือ การหยดุ ประกอบการประมงของกลมุ่ ชาวประมง เพอื่ ประทว้ งการขนึ้ ราคานำ�้ มนั กเ็ ปน็ ความพยายาม ใชอ้ ทิ ธพิ ลของกลมุ่ ผลประโยชน์ เพอื่ ตอ่ รองใหร้ ฐั บาลใหค้ วามชว่ ยเหลอื หรอื การชมุ นมุ ประทว้ งรฐั บาล ของกลุ่มนสิ ติ นกั ศึกษาในเรอ่ื งดงั กล่าวกเ็ ปน็ การแสดงออกซึ่งพลังผลกั ดันของกลมุ่ อิทธิพล
354 รฐั ศาสตร์เบอ้ื งตน้ การมีส่วนร่วมในทางการเมืองของประชาชน โดยการแสดงออกด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังกล่าว จึงเป็นกระบวนการท่ีประชาชนแสดงออกถึงการเป็นเจ้าของอ�ำนาจอธิปไตยเป็นสิทธิของประชาชนที่ จะมีส่วนในการก�ำหนดนโยบาย หรือท่ีจะเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบาย ทม่ี ีผลกระทบต่อวิถชี วี ิต ของประชาชน เป็นกระบวนการท่ีแสดงออกถึงความต้องการของประชาชนและความต้องการท่ีจะมี อิทธิพลตอ่ การตัดสนิ ใจ และการบริหารกจิ การของรัฐบาล ประชาชนที่ปรารถนาการปกครองระบบประชาธิปไตย จะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าการเข้ามี สว่ นรว่ มในทางการเมอื งอยา่ งสมำ่� เสมอ เปน็ มาตรการทส่ี ำ� คญั ยง่ิ ประการหนงึ่ ทจ่ี ะปอ้ งกนั การใชอ้ ำ� นาจ โดยเผด็จการของรัฐบาล รัฐบาลใดท่ีมีเจตนารมณ์จะปกครองประเทศตามครรลองประชาธิปไตย ย่อมจะไม่สกดั กน้ั การเขา้ มีสว่ นร่วมในทางการเมอื งของประชาชน แตถ่ า้ ประชาชนสว่ นใหญว่ างเฉย ไมเ่ อาใจใสต่ อ่ ความเปน็ ไปของบา้ นเมอื ง ทำ� ตนเปน็ คนผดิ หู ผิดตา ไม่สนใจเรื่องอน่ื ใดนอกจากเรือ่ งของตนเองแลว้ ก็ยอ่ มเป็นการยากท่ีจะสามารถใช้สิทธทิ างการ เมอื งได้ถูกตอ้ ง จะลงคะแนนเสยี งเลือกตง้ั กับเขาเสยี ทีก็คงลงตามคนอืน่ หรอื เลือกคนรจู้ ักใกลช้ ดิ เป็น หลัก โดยไม่ทราบว่าคนที่เลอื กไปน้นั จะสามารถไปท�ำประโยชนอ์ ันใดให้กับบ้านเมอื งได้บ้าง ดังน้ัน ถ้าปรารถนาให้บ้านเมืองมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่จะค�ำนึงถึงประโยชน์ ของคนส่วนใหญ่เป็นหลักแล้ว คนทุกคนก็น่าที่จะรู้จักหน้าท่ีทางการเมือง คือ ให้ความ สนใจติดตาม ขา่ วสารบา้ นเมอื ง เพอื่ ไวเ้ ปน็ สง่ิ ประกอบความคดิ การตดั สนิ ใจเมอื่ ถงึ เวลาทจ่ี ะตอ้ งใชส้ ทิ ธทิ างการเมอื ง อันจะท�ำใหร้ ะบอบประชาธิปไตยอยูค่ กู่ บั สงั คมช่วั กาล ทฤษฎเี กย่ี วกับการมีส่วนรว่ ม ทฤษฎกี ารมสี ่วนร่วม Rose๒๔๑ ได้กล่าวถึงการมีส่วนร่วมของ ประชาชนไว้ กล่าวคือ ชุมชนใดที่ได้เปิดโอกาสให้ ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมมากเท่าใด ก็จะท�ำให้การพัฒนาชุมชนน้ันสามารถเป็นไปได้โดยสะดวก และสามารถด�ำเนิน ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้ ท้ังนี้โดยมีความเชื่อพื้นฐานที่ว่า คนมีศักยภาพในการ เปลีย่ นแปลง คุณคา่ ของความคิดและสมรรถภาพของคนเราน้นั จะไมม่ คี วามหมาย ถา้ หากขาด การมี ส่วนรว่ มกบั บคุ คลอน่ื ๒๔๑ สานิตย์ บุญชุ. การพัฒนาชุมชน: การส่วนร่วมของประชาชน. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. (๒๕๒๗) หนา้ ๗
การมสี ว่ นร่วมทางการเมอื ง (Political Participation) 355 แนวคิดการมสี ว่ นร่วม (Participation process approach) แนวคดิ และกระบวนการมสี ว่ นรว่ ม ในทปี่ ระชมุ เกยี่ วกบั การมสี ว่ นรว่ มของประชาชน ณ องคก์ ารสหประชาชาติ เมอ่ื ปี ค.ศ. ๑๙๗๕ กลมุ่ ผเู้ ชย่ี วชาญทใี่ หข้ อ้ เสนอแนะไวว้ า่ การมสี ว่ นรว่ มของประชาชนเปน็ คำ� ทไี่ มอ่ าจกำ� หนดนยิ ามความ หมายเดียวที่ครอบคลุมได้ เพราะความหมายของการมีส่วนร่วมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ หรือแม้แต่ในประเทศเดียวกันก็ตาม ดังน้ัน การนิยามความหมายของการมีส่วนร่วมของประชาชน ควรมีลักษณะจ�ำกัดเฉพาะในระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองหนึ่ง ๆ เท่าน้ัน อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้ เชี่ยวชาญดงั กลา่ วได้ขยายความการมสี ว่ นรว่ มของประชาชนว่าครอบคลุมประเดน็ ดงั น๒้ี ๔๒ ประเด็นที่ ๑ การมีส่วนร่วมของประชาชนครอบคลุมการสร้างโอกาสท่ีเอ้ือให้สมาชิกทุกคน ของชมุ ชนและของสงั คมไดร้ ว่ มกจิ กรรมซงึ่ นำ� ไปสู่ และมอี ทิ ธพิ ลตอ่ กระบวนการ พฒั นา และเออื้ ใหไ้ ด้ รบั ประโยชนจ์ ากการพฒั นาโดยเทา่ เทียมกัน ประเด็นท่ี ๒ การมีส่วนร่วมสะท้อนการเข้าเก่ียวข้องโดยสมัครใจ และเป็นประชาธิปไตยใน กรณดี งั นค้ี อื การเออ้ื ใหเ้ กดิ การพยายามพฒั นา การแบง่ สรรผลประโยชนจ์ ากการพฒั นาโดยเทา่ เทยี มกนั และการตัดสินใจเพ่ือก�ำหนดเป้าหมาย นโยบายและการวางแผนด�ำเนินการโครงการพัฒนาทาง เศรษฐกิจและสงั คม ประเด็นท่ี ๓ การมีส่วนร่วมเป็นตัวเช่ือมโยงระหว่างประชาชนและทรัพยากรเพื่อพัฒนากับ ประโยชน์ท่ีได้รับจากการลงทุนดังกล่าว กล่าวอีกนัยหน่ึงก็คือ การมีส่วนร่วมของประชาชนใน การตัดสินใจ ไม่ว่าระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และระดับชาติจะช่วยก่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างส่ิงท่ี ประชาชนลงทุนลงแรงกบั ประโยชน์ท่ไี ดร้ บั ประเดน็ ท่ี ๔ การมสี ว่ นรว่ มของประชาชนอาจแตกตา่ งกนั ไปตามสภาพเศรษฐกจิ ของประเทศ นโยบาย และโครงสรา้ งการบริหาร รวมทง้ั ลกั ษณะเศรษฐกจิ สังคมของ ประชากร การมสี ่วนรว่ มของ ประชาชนมิได้เป็นเพียงเทคนิควิธีการ แต่เป็นปัจจัยส�ำคัญในการประกันให้เกิดกระบวนการพัฒนาที่ มุง่ เออ้ื ประโยชนต์ อ่ ประชาชน ๒๔๒ กรมอนามัย. โครงการศึกษารูปแบบการพัฒนาระบบการแบบมีส่วนร่วมของประชาชนในงานภารกิจกรมอนามัย กระทรวง สาธารณสขุ . (๒๕๕๐)
356 รฐั ศาสตร์เบ้ืองต้น นอกจากน้ี ในกระบวนการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมจะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วน รว่ มในการตดั สนิ ใจกำ� หนดความตอ้ งการของตวั เอง การตดั สนิ ใจใชท้ รพั ยากร โดย ทวที อง หงษว์ วิ ฒั น์ ๒๔๓ มีความเห็นที่สอดคล้องกันว่า การมีส่วนร่วม หมายถึง สิทธิของประชาชนต่อการตัดสินใจนโยบายที่ เกี่ยวกับการจัดสรร (Allocation) และการใช้ประโยชน์ (Utilization) ของทรัพยากรเพื่อการผลิต ซึ่งเป็นความจ�ำเป็นท่ีประชาชนต้องเข้าร่วมในการวางแผน เพื่อการกินดีอยู่ดี และสามารถตอบสนอง ตอ่ สงิ่ ทเ่ี ขา้ ถงึ ซง่ึ การพฒั นาใหค้ นจนไดร้ บั ประโยชนเ์ พอ่ื การผลติ การบรกิ าร และสง่ิ อำ� นวยความสะดวก สาธารณะดว้ ย และการมสี ว่ นรว่ มคอื การทปี่ ระชาชนเขา้ ไปมสี ว่ นในการตดั สนิ ใจในระดบั ตา่ ง ๆ ทางการ จัดการบรกิ ารทางการเมอื ง เพือ่ กำ� หนดความต้องการของชุมชนของตน การมีสว่ นร่วมของประชาชน ก่อให้เกิดกระบวนการและโครงสร้างท่ีประชาชนสามารถท่ีจะแสดงออก ซึ่งความต้องการของตน การจดั ลำ� ดบั ความสำ� คญั การเขา้ รว่ มในการพฒั นา และไดร้ บั ประโยชนจ์ ากการพฒั นานน้ั โดยเนน้ การ ใหอ้ ำ� นาจในการตดั สนิ ใจแกป่ ระชาชนในชนบท และเปน็ กระบวนการกระทำ� ทป่ี ระชาชนมคี วามสมคั ร ใจเขา้ มามสี ว่ นในการกำ� หนดการเปลย่ี นแปลง เพอื่ ประชาชนเอง โดยใหป้ ระชาชนไดม้ สี ว่ นในการตดั สนิ ใจเพอื่ ตนเอง ทงั้ นี้ โดยมิใชก่ ารก�ำหนดกรอบความคดิ จากบุคคลภายนอก ตามนิยามข้างต้น จะเห็นได้ว่าการมีส่วนร่วมของประชาชน ในฐานะสมาชิกของสังคม ไม่ว่า จะในบรบิ ทของการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การเมืองหรือวัฒนธรรม ย่อมเป็นส่งิ ท่แี สดงออกให้เห็นถงึ พฒั นาการรับรู้ และภูมิปัญญาในการกำ� หนดชีวิตของตนอยา่ งเป็นตวั ของตนเองในการจดั การควบคุม การใช้ และการกระจายทรัพยากรท่ีมีอยู่เพื่อประโยชน์ต่อการด�ำรงชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคม ตามความจ�ำเป็นอย่างสมศักดิ์ศรี นอกจากน้ี การท่ีประชาชนหรือชุมชนพัฒนาขีดความสามารถของ ตนในการจัดการควบคุมการใช้ทรัพยากร ควบคุมการกระจายทรัพยากรท่ีมีอยู่ เพ่ือประโยชน์ต่อการ ด�ำรงชีพทางเศรษฐกิจและสังคม ท�ำให้ประชาชนได้พัฒนาการรับรู้และภูมิปัญญา ซ่ึงแสดงออกในรูป ของการตัดสินใจในการก�ำหนดชีวิตของตน โดยภาครัฐจะต้องคืนอ�ำนาจในการก�ำหนดการพัฒนาให้ แก่ประชาชน เพ่ือให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสในสังคมได้มีโอกาสในการแสดงความต้องการ แสวงหาทางเลือก หรือเสนอข้อเรียกร้อง เพ่ือปกป้องผลประโยชน์ร่วมของกลุ่ม และเป็นผู้มีบทบาท หลกั ในการดำ� เนนิ กจิ กรรมพฒั นาชมุ ชน คอื เปน็ ผกู้ ำ� หนดความจำ� เปน็ พนื้ ฐานของชมุ ชนและเปน็ ผรู้ ะดม ทรัพยากรต่าง ๆ เพ่ือสนองตอบความจ�ำเป็นพ้ืนฐานและบรรลุวัตถุประสงค์บางประการทางสังคม เศรษฐกจิ การเมอื ง ๒๔๓ ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์. การมีส่วนร่วมของประชาชน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหิดล, ศูนย์ศึกษานโยบายสาธารณสุข. (๒๕๒๗) หนา้ ๒
การมสี ่วนรว่ มทางการเมอื ง (Political Participation) 357 ทศพล กฤตยพสิ ิฐ๒๔๔ ได้ให้ความหมายของการมสี ว่ นร่วมที่เนน้ ในรูปกลุ่ม/องค์กรหรอื ชมุ ชน ไว้ว่า หมายถึง การที่ปัจเจกบุคคล กลุ่มหรือชุมชน มีความเห็นพ้องต้องกันในเรื่องท่ีมีผลกระทบใด ๆ ต่อการด�ำเนินชีวิตของตนเอง แล้วมีการแสดงให้เห็นถึงความต้องการร่วมกันท่ีจะเปลี่ยนแปลงให้เป็น ไปตามวตั ถปุ ระสงคข์ องตน จนมาสกู่ ารตดั สนิ ใจกระทำ� การเพอื่ ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคน์ น้ั ๆ มคี วามรว่ ม มอื และรบั ผดิ ชอบในกจิ กรรมการพฒั นาทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ อ่ สงั คม โดยในขน้ั ตอนตา่ ง ๆ ของการดำ� เนนิ กิจกรรมนัน้ ๆ มกี ลมุ่ หรอื องค์กรชุมชนรองรับ ประชาชนทีเ่ ขา้ ร่วมมกี ารพัฒนาภูมิปญั ญา และการรับ รสู้ ามารถคิด วเิ คราะห์ และตดั สนิ ใจเพ่ือกำ� หนดการด�ำเนินชวี ิตของตนเองได้ ประชาชน หรือชมุ ชนได้ พัฒนาขีดความสามารถของตน ในการจัดการควบคุมการใช้และการกระจายทรัพยากรท่ีมีอยู่ เพอ่ื ประโยชนต์ อ่ การดำ� รงชพี ทางเศรษฐกจิ และสงั คม ตามความจำ� เปน็ อยา่ งสมศกั ดศ์ิ รใี นฐานะสมาชกิ ของสังคม Batten๒๔๕ กลา่ วถงึ แนวคิดการ มีสว่ นรว่ มวา่ เป็นการเปดิ โอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนรว่ ม ในกิจการต่าง ๆ ในการใชค้ วามคิด ตดั สินใจ วางแผน และดำ� เนินการ โดยยึดหลักตอ่ ไปนี้ คอื หลักการ ชว่ ยตนเอง หลักการให้ประชาชนมีส่วนรว่ ม และหลกั ประชาธิปไตยในการด�ำเนนิ งาน ปาริชาติ วลัยเสถียร, พระมหาสุทิตย์ อบอุ่น, สหัทยา วิเศษ, จันทนา เบญจทรัพย์ และ ชลกาญจน์ ฮาซนั นารี๒๔๖ ไดใ้ ห้ความหมายของการมีส่วนรว่ มใน ๒ ลักษณะ กล่าวคอื ลกั ษณะท่ี ๑ การมีส่วนรว่ มในลกั ษณะทเี่ ปน็ กระบวนการของการพฒั นา โดยใหป้ ระชาชนมี สว่ นรว่ มในกระบวนการพฒั นาตงั้ แตเ่ รม่ิ ตน้ จนสน้ิ สดุ โครงการ เชน่ การรว่ มกนั คน้ หาปญั หา การวางแผน การตัดสินใจ การระดมทรัพยากรและเทคโนโลยีท้องถ่ิน การบริหารจัดการ การติดตามประเมินผล รวมถงึ การรบั ผลประโยชนท์ เี่ กดิ ขน้ึ จากโครงการ โดยทโ่ี ครงการพฒั นาดงั กลา่ วจะตอ้ งมคี วามสอดคลอ้ ง กบั วถิ ีชวี ติ และวฒั นธรรมของชุมชน ลักษณะท่ี ๒ การมีส่วนร่วมทางการเมือง ซึ่งสามารถจ�ำแนกได้เป็นสองประเภทคือ การส่ง เสริมสิทธิและพลังอ�ำนาจของพลเมือง และการเปล่ียนแปลงกลไกการพัฒนาโดยรัฐ โดยการส่งเสริม สทิ ธิและพลังอำ� นาจของพลเมอื ง โดยประชาชนหรอื ชุมชน เพือ่ พัฒนาขดี ความสามารถในการจดั การ ๒๔๔ ทศพล กฤตยพสิ ฐิ . การมสี ว่ นรว่ มของกำ� นนั ผใู้ หญบ่ า้ นเขตหนองจอกทม่ี ตี อ่ โครงการ/กจิ กรรมการพฒั นาตามแนวทาง “บวร” และ “บรม” เพ่ือสร้างอุดมการณ์แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง. วิทยานิพนธ์สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร.์ (๒๕๓๘) หนา้ ๑๐ ๒๔๕ ถนอม สุขสง่าเจริญ. บทบาทของกรรมการศึกษาต่อการพัฒนาโรงเรียนประชาบาลเขตจังหวัดสกลนคร. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. (๒๕๒๖) หน้า ๒๕ ๒๔๖ ปาริชาติ วลัยเสถียร, พระมหาสทุ ิตย์ อบอนุ่ , สหทั ยา วเิ ศษ, จนั ทนา เบญจทรพั ย์ และ ชลกาญจน์ ฮาซนั นารี. กระบวนการ และเทคนคิ การทำ� งานของนักพฒั นา. กรุงเทพฯ: สำ� นกั งานกองทุนสนบั สนุนการวิจยั . (๒๕๔๓) หน้า ๑๓๘-๑๓๙
358 รัฐศาสตร์เบ้ืองตน้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่ม ควบคุมการใช้และการกระจายทรัพยากรของชุมชนอันจะก่อให้เกิด กระบวนการและโครงสรา้ งทป่ี ระชาชนในชนบทสามารถแสดงออกซง่ึ ความสามารถของตน และไดร้ บั ผลประโยชนจ์ ากการพฒั นา และมกี ารเปลย่ี นแปลงกลไกการพฒั นาโดยรฐั มาเปน็ การพฒั นาทปี่ ระชาชน มบี ทบาทหลกั โดยการกระจายอ�ำนาจในการวางแผนจากสว่ นกลางมาส่สู ว่ นภูมภิ าค เพื่อใหภ้ ูมิภาคมี ลักษณะเป็นเอกเทศ ให้มีอ�ำนาจทางการเมือง การบริหารมีอ�ำนาจต่อรองในการจดั การทรัพยากรโดย อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการคืนอ�ำนาจในการ พฒั นาให้แกป่ ระชาชน เพือ่ ใหม้ ีสว่ นรว่ มในการกำ� หนดอนาคตของตนเอง กล่าวโดยสรุป การมีส่วนร่วมของประชาชนในความหมายกว้างซ่ึงมักจะคาบเก่ียวกับการ พัฒนาน้ัน กค็ ือ การให้โอกาสประชาชนเป็นฝา่ ยการตัดสินใจ กำ� หนดปัญหาความต้องการของตนเอง อย่างแท้จริง เป็นการเสริมพลังอ�ำนาจ ให้แก่ประชาชน/กลุ่ม/องค์กรชุมชนให้สามารถระดมขีดความ สามารถในการจดั การทรพั ยากร การตัดสินใจ และควบคมุ ดูแลกิจกรรมตา่ ง ๆ ในชุมชนมากกว่าทีจ่ ะ เปน็ ฝา่ ยตง้ั รบั สามารถกำ� หนดการดำ� รงชวี ติ ไดด้ ว้ ยตนเองใหม้ ชี วี ติ มคี วามเปน็ อยทู่ ด่ี ขี นึ้ ตามความจำ� เปน็ อย่างมีศักด์ิศรีและสามารถพัฒนาศักยภาพของประชาชน/ชุมชนในด้านภูมิปัญญา ทักษะ ความรู้ ความสามารถ และการจดั การและรูเ้ ทา่ ทันการเปลย่ี นแปลงของโลกได้ และประชาชนจะต้องเขา้ มามี ส่วนร่วมในกระบวนการอย่างมอี ิสระ การท�ำงานตอ้ งเน้นในรปู กลุ่มหรอื องคก์ รชุมชนทมี่ วี ตั ถุประสงค์ ในการเข้าร่วมอย่างชัดเจน เน่ืองจากพลังกลุ่มจะเป็นปัจจัยส�ำคัญที่ท�ำให้งานพัฒนาต่าง ๆ บรรลุผล สำ� เรจ็ ตามความม่งุ หมายได้ ทงั้ น้ี การจะเกดิ สภาพของการมีสว่ นร่วมของประชาชนตามความหมายท่ี กล่าวถึงข้างต้น จะต้องเกิดสภาพการณ์หรือเง่อื นไขส�ำคัญ คือ การมีความตระหนกั และความเหน็ พ้อง ต้องกันของประชาชนที่มีจ�ำนวนมากพอต่อการริเริ่มโครงการ/กิจกรรมหน่ึงกิจกรรมใด ท่ีเป็นความ ตอ้ งการของสว่ นรวม โดยความรว่ มมอื ของประชาชนไมว่ า่ ของบคุ คลหรอื กลมุ่ คนทเี่ หน็ พอ้ งตอ้ งกนั และ เข้ามารับผิดชอบเพ่ือการด�ำเนินการพัฒนา และการเปล่ียนแปลงในทิศทางที่ต้องการโดยมีลักษณะ เปน็ การกระท�ำผ่านกลมุ่ หรอื องค์กรเพ่อื ให้บรรลถุ งึ ความเปล่ียนแปลงท่พี ึงประสงค๒์ ๔๗ ความหมายของการมีสว่ นรว่ ม การจัดท�ำงบประมาณนั้นมหี ลายข้นั ตอน ฉะนั้นจึงต้องมกี ารมสี ่วนร่วมในการ ท�ำงานของเจา้ หนา้ ทวี่ เิ คราะหง์ บประมาณของสำ� นกั งบประมาณ ซง่ึ จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การปรบั เปลย่ี นงบประมาณ วิธกี ารทำ� งานและบทบาทของเจ้าหน้าทว่ี ิเคราะหง์ บประมาณ อนั จะสง่ ผลให้สงิ ประสทิ ธผิ ลและความ ส�ำเรจ็ ในการปฏบิ ตั งิ านของสำ� นักงบประมาณ ๒๔๗ กรรณิการ์ ชมดี. การมีส่วนร่วมของประชาชนที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ: ศึกษาเฉพาะกรณีโครงการสารภี ต�ำบลท่าช้าง อ�ำเภอวารินช�ำราบ จังหวัดอุบลราชธานี. วิทยานิพนธ์สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. (๒๕๒๔) หนา้ ๕
การมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political Participation) 359 การมสี ว่ นรว่ ม (Participation)๒๔๘ คอื เปน็ ผลมาจากการเหน็ พอ้ งกนั ในเรอ่ื งของความ ตอ้ งการ และทศิ ทางของการเปลย่ี นแปลงและความเหน็ พอ้ งตอ้ งกนั จะตอ้ งมมี ากจนเกดิ ความคดิ รเิ รม่ิ โครงการ เพื่อการปฏิบัติ เหตุผลเบ้ืองแรก ของการที่มีคนมารวมกันไดควร จะต้องมีการตระหนักว่าปฏิบัติการ ทงิ้ หมดหรอื การกระทำ� ทงั้ หมด ทท่ี ำ� โดยกลมุ่ หรอื ใน นามกลมุ่ นน้ั กระทำ� ผา่ นองคก์ าร (Organization) ดังน้นั องค์การจะต้องเปน็ เสมอื นตัวนำ� ให้บรรลุถึงความเปล่ยี นแปลงได้ Erwin๒๒๙ ไดใ้ หค้ วามหมายเกยี่ วกบั การมสี ว่ นรว่ มไวว้ า่ คอื กระบวนการใหบ้ คุ คลเขา้ มามสี ว่ น เกยี่ วขอ้ งในการดำ� เนนิ งานพฒั นา รว่ มคดิ ตดั สนิ ใจ แกไ้ ขปญั หาดว้ ยตนเอง เนน้ การมสี ว่ นรว่ มเกยี่ วขอ้ ง อย่างแข็งขันของ บุคคล แก้ไขปัญหาร่วมกับการใช้วิทยาการท่ีเหมาะสมและสนับสนุน ติดตามการ ปฏบิ ัติงานขององค์การและบคุ คลทเ่ี ก่ียวขอ้ ง ส�ำนักงานคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ, ส�ำนักงานสภาสถาบัน ราชภัฎ และทบวงมหาวิทยาลัย (๒๕๔๖, หน้า ๑๑๔) ได้ระบุว่า การมีส่วนร่วม คือ การท่ีประชาชน หรือชุมชนสามารถเข้าไปมีส่วนในการตัดสินใจ ในการกำ� หนด นโยบายพัฒนาท้องถิ่น และมีส่วนร่วม ในการรับประโยชน์จากบริการ รวมท้ังมีส่วนใน การควบคุมประเมินผลโครงการต่าง ๆ ของท้องถิ่น นอกจากนี้ยงั ได้ให้ความหมายของการมสี ว่ นรว่ มวา่ มี ๒ ลักษณะ คือ ๑. การมีส่วนร่วมในลักษณะท่ีเป็นกระบวนการของการพัฒนา โดยให้ประชาชน มีส่วนร่วม ในการพฒั นาต้งั แต่เริม่ ดน้ จนสน้ิ สุดโครงการ ไดแ้ ก่ การรว่ มกนั คน้ หาปญั หา การวางแผน การตดั สินใจ การระดมทรัพยากรและเทคโนโลยีท้องถ่ิน การบริหารจัดการ การคิดตามประเมินผล รวมท้ังรับ ผลประโยชน์ท่เี กิดขนึ้ จากโครงการ ๒. การมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภท คอื การสง่ เสรมิ สทิ ธแิ ละพลงั อำ� นาจ ของพลเมืองโดยประชาชน หรือ ชุมชนพัฒนาขีดความสามารถของตนในการจัดการเพ่ือรักษาผล ประโยชน์ของกลุ่ม ควบคุมการใช้และการกระจายทรัพยากรของชุมชนอันจะก่อให้เกิดกระบวนการ และโครงสรา้ งทปี่ ระชาชนในชนบทสามารถแสดงออกซง่ึ ความสามารถของตนและไดร้ บั ผลประโยชน์ จากการพัฒนา การเปล่ียนแปลงกลไกการพัฒนาโดยรัฐ มาเป็นการพัฒนาท่ีประชาชน มีบทบาทหลักโดย การกระจายอำ� นาจในการวางแผน จากส่วนกลางมาเป็นส่วนภูมิภาค เป็นการคนื อำ� นาจในการพัฒนา ใหแ้ ก่ประชาชนให้มีสว่ นรว่ มในการก�ำหนดอนาคตของตนเอง ๒๔๘ ยุพาพร รูปงาม. การส่วนร่วมของข้าราชการส�ำนักงบประมาณในการปฏิรูป ระบบราชการ. ภาคนิพนธ์ศิลปะ ศาสตรมหา บัณฑติ , สถาบนั บัณฑิตพัฒนบรหิ ารศาสตร์. (๒๕๔๕) หน้า ๕ ๒๔๙ ยพุ าพร รปู งาม. เรอื่ งเดมิ . ๒๕๔๕ หน้า ๖
360 รฐั ศาสตร์เบือ้ งต้น นิรันดร์ จงวุฒิเวศย์๒๕๐ ได้สรุปความหมายของการมีส่วนร่วม ว่า การมีส่วนร่วม หมายถึง การเก่ียวข้องทางด้านจิตใจและอารมณ์ของบุคคลหน่ึงในสถานการณ์กลุ่ม ซ่ึงผลของการเก่ียวข้อง ดงั กลา่ วเปน็ เหตุเรา้ ใจให้กระทำ� การใหบ้ รรลจุ ุดม่งุ หมายของกล่มุ นัน้ กบั ทง้ั ทำ� ใหเ้ กิดความสว่ นรว่ มรบั ผิดชอบกบั กลมุ่ ดังกล่าวด้วย นรินทร์ชยั พฒั นพงศา๒๕๑ ไดส้ รปุ ความหมายของการมสี ว่ นร่วมวา่ การมสี ว่ นรว่ ม คอื การที่ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดท่ีไม่เคยได้เข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ หรือเข้าร่วมการตัดสินใจหรือเคยมาเข้าร่วมด้วย เล็กน้อยได้เข้าร่วมด้วยมากขึ้น เป็นไปอย่างมี อิสรภาพ เสมอภาค มิใช่มีส่วนร่วมอย่างผิวเผินแต่เข้า ร่วมด้วยอยา่ งแท้จริงย่ิงขึน้ และการเขา้ รว่ มนัน้ ตอ้ งเริ่มต้ังแตข่ น้ั แรกจนถงึ ข้ันสุดทา้ ยของโครงการ ชติ นลิ พานชิ และกลุ ธน ธนาพงศธร๒๕๒ ไดร้ ะบวุ า่ การมสี ว่ นรว่ ม ของประชาชนในการพฒั นา ชนบท หมายถึง การที่ประชาชนทั้งในเมืองและชนบทได้เข้ามีส่วนร่วมหรือเข้ามีส่วนเกี่ยวข้องในการ ด�ำเนินงานพฒั นาชนบทข้ันตอนไดข้ ้ันตอนหน่งึ หรือทกุ ข้ันตอนแลว้ แต่เหตุการณ์จะเอ้ืออ�ำนวย วันรักษ์ มง่ิ มณีนาคิน๒๕๓ ได้สรปุ วา่ การมสี ่วนรว่ มของประชาชน หมายถงึ การเขา้ รว่ มอยา่ ง แข็งขันและอย่างเต็มท่ีของกลุ่มบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในทุกขั้นตอนของโครงการหรืองานพัฒนาชนบท โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การมี สว่ นรว่ มในอำ� นาจ การตดั สนิ ใจและหนา้ ทค่ี วามรบั ผดิ ชอบ การมสี ว่ นเขา้ รว่ ม จะเป็นเคร่ืองประกันว่าสิ่งท่ี ผู้มีส่วนได้เสียต้องการที่สุดน้ัน จักได้รับการตอบสนองและท�ำให้มีความ เป็นไปได้มาก ข้ึนว่าสิ่งที่ท�ำไปน้ันจะตรงกับความต้องการท่ีแท้จริง และมั่นใจมากขึ้นว่าผู้เข้าร่วม ทุกคนจะไดร้ ับประโยชนเ์ สมอหน้ากนั กระบวนการมสี ว่ นรว่ ม Szentendre (อ้างถึงใน สถาบันพระปกเกล้า, ๒๕๔๕, หน้า ๓๐-๓๑) กล่าวถึงการแบ่ง กระบวนการการมสี ่วนร่วมออกเปน็ ๔ ขนั้ ตอน คือ ๒๕๐ นิรันดร์ จงวฒุ ิเวศย.์ การมีส่วนรว่ มของประชาชนในการพัฒนา. กรงุ เทพมหานคร: สำ� นกั พิมพม์ หาวิทยาลัยมหดิ ล. (๒๕๒๗) หนา้ ๑๘๓ ๒๕๑ นรนิ ทร์ชัย พัฒนพงศา. การมีส่วนรว่ ม หลกั การพนื้ ฐาน เทคนิคและกรณี ตวั อย่าง. กรุงเทพมหานคร (๒๕๔๖) หนา้ ๔ ๒๕๒ ชติ นลิ พานิช และกุลธน ธนาพงศธร. การมสี ่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนา ชนบท. ใน เอกสารการสอนชุดวิชาความรู้ ท่วั ไปสำ� หรบั การพัฒนาระดับตำ� บล หมบู่ ้าน (พิมพ์ครั้งท่ี ๓, หน่วยที่ ๘) .นนทบรุ ี: โรงพมิ พ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (๒๕๓๒) หนา้ ๓๕๐ ๒๕๓ วนั รกั ษ์ มง่ิ มณนี าคนิ . การพฒั นาชนบทไทย. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ (๒๕๓๑) หนา้ ๑๐ (๒๕๓๑, หน้า ๑๐)
การมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง (Political Participation) 361 ๑. การมสี ่วนรว่ มคานการวางแผน ๒. การมสี ว่ นร่วมในการปฏบิ ตั ิ ๓. การมีสว่ นรว่ มในการจดั สรรผลประโยชน์ ๔. การมสี ่วนร่วมในการตดิ ตามและประเมินผล แนวคิดทฤษฎเี กีย่ วกบั การมสี ว่ นร่วม ทฤษฎีที่เกย่ี วกบั การมีส่วนร่วมมี ๕ ทฤษฎี ซ่ึง อคิน รพีพัฒน์ ไดส้ รุปไวด้ ังน๒ี้ ๕๔ ๑. ทฤษฎกี ารเกลย้ี กลอ่ มมวลชน (Mass Persuasions) Maslow๒๕๕ กลา่ ววา่ การเกลย้ี กลอ่ ม หมายถงึ การใชค้ ำ� พดู หรอื การเขยี น เพอื่ มงุ่ ใหเ้ กดิ ความ เชอ่ื ถอื และการกระท�ำ ซึง่ การเกลี้ยกล่อมมปี ระโยชนใ์ นการแกไ้ ขปญั หาความขดั แยง้ ในการปฏิบตั งิ าน และถา้ จะให้เกิดผลดผี ูเ้ กลย้ี กลอ่ มจะตอ้ งมศี ลิ ปะในการสร้างความสนใจในเร่อื งท่ีจะเกลี้ยกลอ่ ม โดยเฉพาะในเรื่อง ความต้องการของคนตามหลักทฤษฎีของ Maslow ท่ีเรียกว่าล�ำดับข้ัน ความต้องการ (hierarchy of needs) คอื ความตอ้ งการของคนจะเปน็ ไปตามส�ำดบั จาก น้อยไปมาก มที ัง้ หมด ๕ ระดับ ดงั น้ี ๑.๑ ความตอ้ งการทางดา้ นสรรี ะวทิ ยา (Physiological needs) เปน็ ความตอ้ งการขนั้ พน้ื ฐาน ของมนุษย์ (Survival needร) ได้แก่ ความต้องการทางต้านอาหาร ยา เคร่ืองนุ่งห่ม ท่ีอยู่อาศัย ยารกั ษาโรค และความต้องการทางเพศ ๑.๒ ความตอ้ งการความมน่ั คงปลอดภยั ของชวี ติ (Safety and security needs) ไดแ้ ก่ ความ ต้องการท่อี ยู่อาศัยอย่างมคี วามปลอดภยั จากการถูกท�ำร้ายรา่ งกาย หรือถกู ขโมยทรพั ย์สิน หรอื ความ ม่ันคงในการทำ� งานและการมชี ีวติ อยู่อยา่ งมัน่ คงในสงั คม ๑.๓ ความตอ้ งการทางดา้ นสงั คม (Social needs) ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการความรกั ความตอ้ งการ ทีจ่ ะใหส้ ังคมยอมรับวา่ ตนเป็นสว่ นหนงึ่ ของสงั คม ๑.๔ ความต้องการท่ีจะมีเกียรติยศช่ือเสียง (Self-esteem needs) ได้แก่ ความภาคภูมิใจ ความต้องการดีเด่นในเรื่องหน่ึงท่ีจะให้ไต้รับการยกย่องจากบุคคลอ่ืน ความต้องการ ต้านนี้เป็นความ ตอ้ งการระดบั สูงที่เกีย่ วกับความม่นั ใจในตัวเองในเรื่องความสามารถ และความสำ� คญั ของบุคคล ๒๕๔ ยพุ าพร รูปงาม. เรอ่ื งเดมิ . ๒๕๔๕ หนา้ ๗-๙ ๒๕๕ ยุพาพร รปู งาม. เร่อื งเดิม. ๒๕๔๕ หน้า ๗-๙
362 รัฐศาสตร์เบ้ืองต้น ๑.๕ ความตอ้ งการความส�ำเร็จแห่งตน (Self-actualization needs) เปน็ ความ ตอ้ งการใน ระบบสูงสุด ท่ีอยากจะให้เกิดความส�ำเร็จในทุกส่ิงทุกอย่างตามความนึกคิด ของตนเองเพ่ือจะพัฒนา ตนเองให้ดีท่ีสุดเท่าท่ีจะท�ำได้ความต้องการนี้จึงเป็นความต้องการ พิเศษของบุคคลท่ีจะพยายามผลัก ดันชีวติ ของตนเองให้เป็นแนวทางทดี่ ที ส่ี ุด ๒. ทฤษฎกี ารระดมสร้างขวญั ของคนในชาติ (National Morale)๒๕๖ คนเรามีความต้องการทางกายและใจถ้าคนมีขวัญดีพอ ผลของการท�ำงานจะสูง ตามไปด้วย แด่ถ้าขวัญไม่ดีผลงานก็ตํ่าไปด้วย ทั้งน้ีเน่ืองจากว่าขวัญเป็นสถานการณ์ทาง จิตใจท่ีแสดงออกในรูป พฤตกิ รรมตา่ ง ๆ น่ันเอง การจะสรา้ งขวัญให้ดตี อ้ งพยายามสรา้ ง ทัศนคติทีด่ ตี อ่ ผรู้ วมงาน เช่น การไม่ เอารัดเอาเปรียบ การให้ขอ้ เท็จจริงเกยี่ วกับงาน การเปดิ โอกาสให้แสดงความคิดเหน็ เป็นตน้ และเมือ่ ใดกต็ ามถ้าคนทำ� งานมีขวญั ดีจะเกิดส�ำนึกในความรบั ผดิ ชอบ อนั จะเกดิ ผลดแี กห่ นว่ ยงานทั้งในส่วนท่ี เป็นขวัญส่วนบุคคล และขวัญของกลุ่ม ดังน้ัน จะเป็นไปได้ว่าขวัญของคนเราโดยเฉพาะคนมีขวัญที่ดี ย่อมเป็นปัจจัยหนึง่ ทจ่ี ะนำ� ไปสูก่ ารมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมต่าง ๆ ได้เชน่ กนั ๓. ทฤษฎีสรา้ งความรู้สกึ ชาตินิยม (Nationalism) ปัจจัยประการหนึ่งท่ีน�ำสู่การมีส่วนร่วมคือ การสร้างความรู้สึกชาตินิยมให้เกิดขึ้น หมายถึง ความรสู้ กึ เปน็ ตวั ของตวั เองทจี่ ะอทุ ศิ หรอื เนน้ คา่ นยิ มเรอ่ื งผลประโยชน์ สว่ นรวมของชาติ มคี วามพอใจ ในชาติของตวั เอง พอใจเกียรตภิ ูมิ จงรกั ภักดี ผูกพนั ต่อท้องถน่ิ ๔. ทฤษฎีการสรา้ งผู้น�ำ (Leadership) การสร้างผู้น�ำจะช่วยจูงใจให้ประชาชนท�ำงานควยความเต็มใจเพ่ือบรรลุ เป้าหมายหรือ วัตถุประสงค์ร่วมกัน ท้ังน้ีเพราะผู้น�ำเป็นปัจจัยส�ำคัญของการร่วมกลุ่มคน จูงใจไปยังเป้าประสงค์โดย ทว่ั ไปแลว้ ผ้นู �ำอาจจะมที ั้งผู้น�ำท่ีดเี รยี กว่า ผูน้ ำ� ปฏิฐาน (Positive leader) ผู้น�ำพลวตั คือ เคล่อื นไหว ท�ำงานอยู่เสมอ (dynamic leader) และผู้น�ำไม่มีกิจ ไม่มีผลงานสร้างสรรค์ ที่เรียกว่า ผู้น�ำนิเสธ (Negative leader) ผลของการให้ทฤษฎกี ารสร้างผู้น�ำ จึงทำ� ให้เกดิ การระดมความรว่ มมอื ปฏบิ ัติงาน อยา่ งมขี วญั กำ� ลงั ใจ งานมคี ณุ ภาพ มคี วามคดิ รเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ และรว่ มรบั ผดิ ชอบ ตงั นน้ั การสรา้ งผนู้ ำ� ท่ีดี ยอมจะนำ� ไปสู่การมีสว่ นร่วมในกจิ กรรมต่าง ๆ ด้วยดนี นั่ เอง ๒๕๖ ยุพาพร รูปงาม. เร่ืองเดิม. ๒๕๔๕ หน้า ๗-๙
การมสี ว่ นร่วมทางการเมอื ง (Political Participation) 363 ๕. ทฤษฎกี ารใช้วิธแี ละระบบทางการบรหิ าร (Administration and Method)๒๕๗ การใช้ระบบบริหารในการระดมความร่วมมือเป็นวิธีหนึ่งที่ง่ายเพราะใช้กฎหมาย ระเบียบ แบบแผน เป็นเครอ่ื งมอื ในการด�ำเนินการ แต่อย่างใดก็ตามผลของ ความรว่ มมอื ยังไมม่ รี ะบบใดดที ี่ชดุ ในเรื่องการใช้บริหาร เพราะธรรมชาติของคน ถ้าท�ำงานตามความสมัครใจอย่างต้ังใจไม่มีใครบังคับก็ จะทำ� งานดว้ ยความรกั แตถ่ า้ ไมค่ วบคมุ เลยกไ็ มเ่ ปน็ ไปตามนโยบายและความจำ� เปน็ ของรฐั เพราะการ ใช้ระบบบรหิ าร เป็นการให้ปฏบิ ตั ติ ามนโยบายเพอื่ ใหบ้ รรลุเป้าหมายเพิ่มความคาดหวงั ผลประโยชน์ ความหมายของการมสี ่วนรว่ มทางการเมือง (Political Participation) การมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง (Political Participation) หมายถงึ การทปี่ ระชาชนเขา้ มามสี ว่ น รว่ มในการตดั สนิ ใจ กำ� หนดนโยบาย และกจิ การตา่ งๆ ของรฐั บาลและในทางการเมอื ง เชน่ การเลอื กสรร ผทู้ จี่ ะเขา้ มาดำ� รงตำ� แหนง่ ทางการเมอื ง การมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การดำ� เนนิ กจิ การของรฐั บาล การแสดงความ คดิ เหน็ ทางการเมอื ง เปน็ ตน้ การทป่ี ระชาชนมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งและรฐั บาล (Citizen participation in government and politics) จงึ มีความส�ำคญั มากโดยเฉพาะในการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย ทมี่ คี วามเชอ่ื พนื้ ฐานทว่ี า่ การมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งและรฐั บาลเปน็ สง่ิ ทปี่ ระชาชนทวั่ ไปสามารถกระทำ� ไดอ้ ย่างเต็มที่และกว้างขวาง๒๕๘ การมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งจงึ เปน็ ปจั จยั หนงึ่ ทอี่ าจใชใ้ นการพจิ ารณาวา่ ในรฐั นน้ั หรอื สงั คมนน้ั มีการปกครองในระบอบใด เพราะหากเป็นระบอบเผด็จการประชาชนมักถูกก�ำหนดบทบาทให้อยู่ใน ขอบเขตท่ีจ�ำกัด โดยเฉพาะบทบาทแห่งพฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมือง ส�ำหรับการปกครอง ระบอบประชาธปิ ไตยไมว่ า่ จะเปน็ ประชาธปิ ไตยทางตรงหรอื ทางออ้ มจะมกี ารสง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนเขา้ มามสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งใหม้ ากทสี่ ดุ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากการสง่ เสรมิ การมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งโดยหลกั การกระจายอำ� นาจจากสว่ นกลาง (Decentralization) จงึ ไดร้ บั การยอมรบั ทงั้ ในแนวคดิ และการปฏบิ ตั ิ เพื่อให้การตัดสินใจด�ำเนินนโยบายสามารถเกิดขึ้นได้ในระดับท้องถ่ินหรือท่ีเรียกว่าระดับรากหญ้า (Grass - roots) พฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในประเทศต่างๆ จะมีความแตกต่างกัน ไปแมว้ า่ ประเทศนน้ั จะมรี ปู แบบการปกครองในระบอบเดยี วกนั ทง้ั นเ้ี พราะสว่ นหนง่ึ มาจากวฒั นธรรม ทางการเมือง (Political Culture) ของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน วัฒนธรรมทางการเมือง ๒๕๗ ยพุ าพร รูปงาม. เรื่องเดมิ . ๒๕๔๕ หน้า ๘-๙ ๒๕๘ จรญู สภุ าพ, หลกั รฐั ศาสตร์แบบพ้ืนฐาน. พิมพค์ รัง้ ที่ ๓, (กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๒๗), น. ๓๑๐.
364 รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ หมายถงึ ขนบธรรมเนยี มประเพณี ทัศนคติ คา่ นยิ ม และความเชือ่ ของประชาชนท่ีมตี ่อการเมอื งซง่ึ จะ มผี ลสะทอ้ นตอ่ พฤตกิ รรมทางการเมอื ง๒๕๙ วฒั นธรรมทางการเมอื งเปน็ ผลมาจากการกลอ่ มเกลาทางการ เมอื ง (Political socialization) ซงึ่ เปน็ กระบวนการทเี่ ปน็ เสมอื นตวั กลางทเ่ี ชอ่ื มโยงระหวา่ งวฒั นธรรม ใหเ้ ขา้ ไปมอี ิทธิพลตอ่ พฤติกรรมของมนุษย์ หรอื อาจกลา่ วไดว้ า่ กระบวนการกล่อมเกลาทางการเมอื งมี อิทธิพลต่อวัฒนธรรมทางการเมืองใน ๓ ประการ คือ๒๖๐ การรักษาไว้ซ่ึงวัฒนธรรมทางการเมือง (Maintenance) การปฏริ ปู วัฒนธรรมทางการเมือง (Reform) และการสรา้ งวัฒนธรรมทางการเมอื ง ขึน้ ใหม่ (Creation) จะเหน็ ไดว้ า่ อกี นยั หนงึ่ วฒั นธรรมทางการเมอื งจงึ เปน็ ความรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั การเมอื งหรอื ความโน้มเอียงทางการเมือง (Political orientation) ที่บุคคลมีต่อวัตถุหรือหรือพฤติกรรมทางการ เมอื ง อันไดแ้ ก่ ความรู้ ความเขา้ ใจ และทัศนคติที่บุคคลมีตอ่ ระบบการเมอื ง องคป์ ระกอบหรือระบบ ยอ่ ยของระบบการเมอื งและบทบาททางการเมอื งของตนเองภายในระบบการเมอื ง๒๖๑โดยผา่ นกระบวน กล่อมเกลาทางการเมืองน่ันเอง หากพิจารณาในประเด็นข้างต้นจะพบว่าวัฒนธรรมทางการเมืองของ แตล่ ะบคุ คลจะมลี ักษณะท่ีแตกตา่ งกนั ไปตามศักยภาพของปจั เจกบคุ คลซงึ่ อาจวดั ไดด้ ้วย ตัวแปรหลกั ๔ ประการ คือ ๑. บุคคลน้ันมีความรู้เก่ียวกับประเทศชาติ และระบบการเมืองในแง่ท่ัวๆไปอย่างไร เช่น มีความรู้เก่ียวกับประวัติศาสตร์ของประเทศ ขนาดท่ีตั้งของประเทศ และอ�ำนาจทางการเมือง ตลอด จนมีความคิดเห็นตอ่ เรอ่ื งดงั กลา่ วอย่างไร ๒. บคุ คลนน้ั มคี วามรเู้ กย่ี วกบั โครงสรา้ งและบทบาททางการเมอื งของผนู้ ำ� ทางการเมอื งอยา่ งไร และมคี วามร้สู กึ ตอ่ โครงสร้าง บทบาททางการเมืองของผนู้ �ำ และการยกรา่ งนโยบายอย่างไร รวมถึงมี ความคิดเห็นเกีย่ วกบั เรือ่ งเหล่านอ้ี ยา่ งไร ๓. บุคคลน้ันมีความรู้เก่ียวกับการบังคับใช้นโยบาย (Policy enforcement) โครงสร้างตัว บคุ คล และกระบวนการในการตัดสินนโยบายอยา่ งไร และมคี วามรสู้ ึกอย่างไรต่อประเดน็ เหลา่ นัน้ ๒๕๙ Lucian W. Pye and Sidney Verba, eda., Political Culture and Political Development. (Princeton University Press, ๑๙๖๕), pp. ๕๑๓. ๒๖๐ Richard E. Dowson and Denneth Prewitt, Political Socialization. (Boston : Little, Brown and Company, ๑๙๖๙), pp. ๒๗ – ๓๖. ๒๖๑ Gabriel A. Almond and Sidny Verba, The Civic Culture. (Boston : Little, Brown and Company, ๑๙๖๓), pp. ๑๓ – ๑๔.
การมสี ่วนร่วมทางการเมอื ง (Political Participation) 365 ๔. บคุ คลนนั้ ตระหนกั ถงึ บทบาทของตวั เองในฐานะสมาชกิ ของระบบการเมอื งอยา่ งไร มคี วาม ร้เู ก่ยี วกับสิทธิ อำ� นาจ และวธิ ีการหรือยุทธวธิ ี (Strategies) ทจ่ี ะเข้าไปมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การตัดสินนโยบาย ไดอ้ ยา่ งไร มคี วามรูส้ ึกและสามารถทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ การเปลีย่ นแปลงทางการเมอื งอย่างไร จากปจั จัยท่นี ำ� มาพิจารณา ๔ ประการขา้ งตน้ ท�ำใหส้ ามารถแบ่งความโนม้ เอียงทางการเมือง (Political orientation) ออกได้ดงั นี้ ๑. ความโน้มเอียงในการรบั รู้ (Cognitive orientation) เป็นการสะสมความรู้ตัง้ แต่ในวัยเด็ก และเปน็ ขน้ั ตอนแรกทที่ ำ� ใหบ้ คุ คลมแี นวโนม้ ทางการเมอื งเกย่ี วกบั ความรแู้ ละความเขา้ ใจเกย่ี วกบั ระบบ การเมอื ง บทบาททางการเมอื งทงั้ ของตนเองและผอู้ นื่ รวมทง้ั บทบาทของผนู้ ำ� ไปในทศิ ทางใดทศิ ทางหนงึ่ ๒. ความโนม้ เอยี งในเชิงความรสู้ กึ ผูกพนั (Affective orientation) เป็นการแยกแยะทศั นคติ ทางการเมอื ง ทำ� ใหบ้ คุ คลมคี วามรสู้ กึ ตอ่ ระบบการเมอื งวา่ ชอบหรอื ไมช่ อบเปน็ ความรสู้ กึ ทที่ ำ� ใหบ้ คุ คล น้ันเกิดความผูกพันต่อบทบาททางการเมืองของตนเองและความรู้สึกท่ีมีต่อบทบาทและกิจกรรมของ ผอู้ ืน่ ในระบบการเมอื ง อันจะสง่ ผลใหแ้ ต่ละบุคคลมีบทบาททางการเมอื งทีแ่ ตกต่างกันออกไป ๓. ความโน้มเอียงในเชิงการประเมินในคุณค่า (Evaluative orientation) เป็นการที่บุคคล สามารถใชด้ ลุ ยพนิ จิ ในการวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ พฤตกิ รรมทางการเมอื ง รวมถงึ การใชก้ ารใชด้ ลุ ยพนิ จิ ในการตดั สนิ ใจทจ่ี ะกระทำ� และแสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั บทบาทของบคุ คล และวเิ คราะหถ์ งึ กจิ กรรม ต่าง ๆ ทางการเมือง ตัวแปรท่ีเป็นนามธรรมทั้ง ๓ ตัวจะสะท้อนออกมาเป็นแนวปฏิบัติทางการเมืองของ ปัจเจกบุคคล หรือ วัฒนธรรมทางการเมืองนั่นเอง วัฒนธรรมทางการเมืองของปัจเจกบุคคลแบ่งออก ได้ ๓ ประเภท คือ๒๖๒ ๑. วัฒนธรรมแบบดั้งเดิม (Parochial Political Culture) ประชาชนจะมีลักษณะไม่เข้าใจ และไมส่ นใจเกยี่ วกบั การเมอื ง จงึ ขาดความรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั ประเทศชาติ ผนู้ ำ� นโยบายของรฐั บาล และบทบาทของตนเองอนั หมายความรวมไปถงึ สทิ ธแิ ละหนา้ ทขี่ องตนดว้ ย ซง่ึ วฒั นธรรมทางการเมอื ง แบบด้ังเดิมแทบไม่มีเหลืออยู่ในสังคมปัจจุบัน เว้นแต่อาจพบได้ในการปกครองที่ยังไม่มีการจ�ำแนก หนา้ ทที่ างการเมอื ง เชน่ การปกครองของเผา่ ชนทไ่ี มม่ กี ารตดิ ตอ่ กบั โลกภายนอกทห่ี วั หนา้ เผา่ มอี ำ� นาจ และบทบาทแบบเบ็ดเสร็จทั้งทางด้านการเมือง ศาสนา และเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่าความโน้มเอียง ทางการเมืองของสมาชกิ ของสงั คมยงั ไม่สามารถแยกออกจากความโน้มเอียงทางศาสนาและสังคมได้ ๒๖๒ Almond and Verba, Op. cit, pp. ๑๗ – ๒๖.
366 รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งตน้ ๒. วฒั นธรรมแบบไพรฟ่ ้า (Subject Political Culture) ประชาชนทว่ี ัฒนธรรมแบบไพรฟ่ ้า จะมีทัศนคติเกี่ยวกับการเมืองในเชิงบวกมากกว่าประชาชนในวัฒนธรรมแบบด้ังเดิม ประชาชนจะมี ความรเู้ กยี่ วกบั ประเทศของตนพอสมควร สนใจเกยี่ วกบั การเมอื งในประเดน็ ทเ่ี ปน็ ผลประโยชนข์ องตน ในส่วนที่ตนจะได้รับประโยชน์ มีความเข้าใจในปัจจัยน�ำออกหรือนโยบายและกฎข้อบังคับของระบบ การเมอื ง แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่มคี วามกระตอื รือร้น (Active) ในการทจี่ ะเรยี กร้องหรือเขา้ ไปมสี ่วนร่วม ในกิจกรรมทางการเมือง โดยมีความรู้สึกว่าการเมืองเป็นเรื่องของผู้มีอ�ำนาจ บารมี ส่วนตนเป็นเพียง ประชาชนคนธรรมดาทีม่ หี น้าทเี่ พียงต้องปฏบิ ตั ติ ามค�ำส่ังหรือนโยบายของรฐั บาลเทา่ นัน้ ๓. วัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วม (Participant Political Culture) ถือเป็นวัฒนธรรมทางการ เมืองที่ประชาชนในสังคมมีความสนใจและกระตือรือร้นทางการเมืองในระดับสูง มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับประเทศของตน ผู้น�ำ นโยบาย และบทบาทของตนเป็นอย่างดี มีความสนใจเกี่ยวกับระบบ การเมืองท้ังในด้านปัญหา การตัดสินใจของผู้มีอ�ำนาจ และการด�ำเนินนโยบาย ปัจเจกบุคคลในสังคม ท่ีมีวัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วมจะมีจิตส�ำนึกทางการเมืองในระดับสูงและมีความรู้สึกว่าตนเองมีความ สามารถทจ่ี ะใชบ้ ทบาททีต่ นมีอยกู่ อ่ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ (Political efficacy) จึงมี การเข้าไปมีส่วนรว่ มทางการเมอื งในระดบั สูง อยา่ งไรกด็ ี ในสงั คมปจั จบุ นั ไมม่ ปี ระเทศใดทมี่ วี ฒั นธรรมทางการเมอื งทเ่ี ปน็ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ โดยเฉพาะ หรืออาจกล่าวได้ว่า การแบ่งรูปแบบหรือประเภทของวัฒนธรรมทางการเมืองตามท่ีกล่าว มาข้างต้น ถือเป็นรูปแบบในอุดมคติ (Ideal Political Culture or Pure Forms of Political Culture) ๒๖๓เพราะสงั คมของแตล่ ะประเทศจะมีลักษณะเปน็ การผสมผสานวฒั นธรรมกล่าวคือ๒๖๔ ก. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิมผสมแบบไพร่ฟ้า (Parochial – Subject Political Culture) จะบง่ บอกถงึ แนวปฏบิ ตั ทิ างการเมอื งของปจั เจกบคุ คลสว่ นใหญใ่ นสงั คมทไ่ี มย่ อมรบั ในอำ� นาจ ของผู้ปกครองที่เป็นหัวหน้าเผ่าหรือเจ้าของท่ีดินผู้มีบทบาทควบคุมการผลิตแบบด้ังเดิมอีกต่อไป โดยจะหนั ไปผกู พนั และยอมรบั ระบบการเมอื งใหมท่ ม่ี คี ณะผปู้ กครองหรอื รฐั บาลเปน็ ผคู้ วบคมุ บทบาท การใชอ้ ำ� นาจ แตบ่ รรดาปจั เจกบคุ คลสว่ นใหญเ่ หลา่ นกี้ ย็ งั คงไมส่ นใจทจ่ี ะเรยี กรอ้ งหรอื เขา้ ไปมสี ว่ นรว่ ม กิจกรรมทางการเมอื ง ๒๖๓ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, เอกสารการสอนชดุ วชิ าหลกั รฐั ศาสตรแ์ ละการบรหิ าร. พมิ พค์ รงั้ ที่ ๓. (นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. ๒๕๓๓), น. ๓๔๑. ๒๖๔ Gabriel A. Almond and Sidny Verba, The Civic Culture. (Boston : Little, Brown and Company, ๑๙๖๓), pp. ๒๓ - ๒๖. อ้างใน สุกิจ เจริญรัตนกุล, วิเคราะห์การเมือง สรุปแนวคิดของสิบนักวิชาการอเมริกัน. (กรุงเทพฯ: โอเดยี น สโตร์, ๒๕๓๐), น. ๙๑ – ๙๒.
การมสี ่วนร่วมทางการเมอื ง (Political Participation) 367 ข. วฒั นธรรมทางการเมอื งแบบไพรฟ่ า้ ผสมแบบมสี ว่ นรว่ ม (Subject – Participant Political culture) จะบง่ บอกถงึ แนวปฏบิ ตั ทิ างการเมอื งของปจั เจกบคุ คลจำ� นวนหนง่ึ ในสงั คมทเ่ี รม่ิ ใหค้ วามสนใจ กบั ระบบการเมอื งทต่ี นเปน็ สมาชกิ อยู่ เรม่ิ ตระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ของตนเองวา่ สามารถเขา้ ไปมบี ทบาท ท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ และมีความกระตือรือร้นต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรม การเมอื ง แตใ่ นขณะเดียวกันก็มีปัจเจกบุคคลอกี จ�ำนวนหนึง่ ท่ียังไม่มพี ัฒนาการจติ สำ� นึกทางการเมอื ง เหมือนกับปัจเจกบุคคลจำ� นวนแรก แม้ปัจเจกบุคคลจ�ำพวกหลังจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบ การเมอื งโดยทวั่ ไปและยินยอมปฏิบัติตามกฎหมาย ค�ำส่ังและนโยบายของรฐั แต่ปัจเจกบคุ คลเหล่านี้ มิได้ตระหนักถึงบทบาทความส�ำคัญของตนเองและไม่สนใจกิจกรรมการเมือง แต่กลับยอมรับการ ปกครองแบบเผด็จการอำ� นาจนยิ ม ค. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบด้ังเดิมผสมแบบมี ส่วนร่วม (Parochial - Participation Political culture) จะบ่งบอกถึงแนวปฏิบัตทิ างการเมอื งของปัจเจกบคุ คลส่วนหนงึ่ ในสงั คมท่มี ีความ ผูกพันภักดีกับกลุ่มเชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์ของตนและต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อผล ประโยชน์ของกลุ่ม แต่มิได้มีความรู้สึกผูกพันกับรัฐบาลกลางและระบบการเมืองเหมือนกับความภักดี ทีม่ อบใหก้ บั กลุ่มเชอื้ ชาติตน วัฒนธรรมทางการเมืองท่ีส่งเสริมและเหมาะสมต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยคือ วัฒนธรรมพลเมือง (Civic culture) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่มีลักษณะการผสมผสานท้ังสามแบบแต่มี ลักษณะเน้นในวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม วัฒนธรรมพลเมืองจะก่อให้เกิดความสมดุล ระหว่างการปกครอง การใชอ้ �ำนาจบรหิ ารของรัฐบาล กับการเขา้ มามสี ่วนรว่ มและการตอบสนองของ ประชาชนต่อการปกครองของรฐั บาล ขณะเดยี วกันก็ไดก้ ่อใหเ้ กิดการผสมผสานกันระหวา่ งแนวความ คดิ และอดุ มการณท์ างการเมอื งทสี่ อดคลอ้ งกนั และเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั กบั ความคดิ เหน็ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ระหวา่ งความเฉอ่ื ยชาทางการเมอื งกบั ความกระตอื รอื รน้ ทจี่ ะเขา้ มสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งของประชาชน ไปพรอ้ ม ๆ กนั ดว้ ย๒๖๕ ลกั ษณะเดน่ ของวฒั นธรรมพลเมอื ง คอื ความสามารถในการเปน็ ผใู้ ตก้ ารปกครอง (Subject competence) ซงึ่ จะมลี กั ษณะทปี่ ระชาชนมคี วามเชอ่ื มนั่ และเคารพในอำ� นาจรฐั บาล (Trust in government) กับความสามารถในการเป็นพลเมืองผู้มีส่วนร่วมทางการเมือง (Citizen compe- tence) ที่ประชาชนเห็นความส�ำคัญของตน เช่ือมั่นและเคารพในสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล (Trust in individual right) ๒๖๕ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, เอกสารการสอนชดุ วชิ าระบบการเมอื งเปรยี บเทยี บ. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒, (นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๓๔), น. ๖๗.
368 รัฐศาสตรเ์ บือ้ งตน้ ขน้ั ตอนการมสี ่วนรว่ ม โกวิทย์ พวงงาม๒๖๖ ไดส้ รุปถงึ การมีสว่ นร่วมท่ีแทจ้ ริงของประชาชน ในการพฒั นา ควรจะมี ๔ ข้ันตอน คือ ๑. การมสี ว่ นรว่ มในการคน้ หาปญั หาและสาเหตขุ องปญั หาของแตล่ ะทอ้ งถนิ่ กลา่ วคอื ถา้ หาก ชาวชนบทยงั ไมส่ ามารถทราบถงึ ปญั หาและเขา้ ใจถงึ สาเหตขุ องปญั หา ในทอ้ งถน่ิ ของตนเปน็ อยา่ งดแี ลว้ การดำ� เนนิ งานตา่ ง ๆ เพอื่ แกป้ ญั หาของทอ้ งถนิ่ ยอ่ ม ไรป้ ระโยชน์ เพราะชาวชนบทจะไมเ่ ขา้ ใจและมอง ไม่เหน็ ถึงความสำ� คัญของการ ด�ำเนินงานเหล่านนั้ ๒. การมีสว่ นรว่ มในการวางแผนด�ำเนนิ กิจกรรม เพราะการวางแผนดำ� เนินงาน เป็น ขั้นตอน ที่จะช่วยให้ชาวชนบทรู้จักวิธีการคิด การตัดสินใจอย่างมีเหตุผล รู้จักการ น�ำเอาปัจจัยข่าวสารข้อมูล ต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผน ๓. การมีส่วนร่วมในการลงทุนและการปฏิบัติงาน แม้ชาวชนบทส่วนใหญ่จะมี ฐานะยากจน แตก่ ม็ แี รงงานของตนทสี่ ามารถใชเ้ ขา้ รว่ มได้ การรว่ มลงทนุ และปฏบิ ตั งิ าน จะทำ� ใหช้ าวชนบทสามารถ คดิ ตน้ ทนุ ดำ� เนนิ งานได้ด้วยตนเอง ท�ำให้ไดเ้ รยี นรูก้ ารดำ� เนนิ กจิ กรรมอยา่ งใกล้ชดิ ๔. การมสี ว่ นรว่ มในการติดตามและประเมินผลงาน ถ้าหากการติดตามงานและ ประเมนิ ผล งานขาดการมีส่วนร่วมแล้วชาวชนบทย่อมจะไม่ทราบด้วยตนเองว่างานท่ีท�ำ ไปนั้นได้รับผลดี ได้รับ ประโยชนห์ รอื ไมอ่ ยา่ งใด การดำ� เนนิ กจิ กรรมอยา่ งเดยี วกนั ใน โอกาสตอ่ ไป จงึ อาจจะประสบความยาก ลำ� บาก นอกจากนี้ส�ำนักมาตรฐานการศึกษา, ส�ำนักงานสภาสถาบันราชภัฎ, กระทรวง ศึกษาธิการ, ส�ำนักมาตรฐานอุดมศึกษา และทบวงมหาวิทยาลัย ยังได้ กล่าวถึง การมีส่วนร่วมในข้ันตอนของการ พฒั นา ๕ ขนั้ ดงั นี้ ๑. ขั้นมีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหาในชุมชนตลอดจน ก�ำหนดความ ตอ้ งการของชุมชน และมีสว่ นรว่ มในการจัดลำ� ดบั ความสำ� คัญของความตอ้ งการ ๒. ขั้นมสี ว่ นรว่ มในการวางแผนพัฒนา โดยประชาชนมีส่วนรว่ มในการกำ� หนด นโยบายและ วตั ถุประสงค์ของโครงการ กำ� หนดวิธีการและแนวทางการด�ำเนินงาน ตลอดจนกำ� หนดทรัพยากรและ แหลง่ ทรพั ยากรทใ่ี ช้ ๒๖๖ โกวทิ ย์ พวงงาม. การเสรมิ สรา้ งความเขม้ แข็งของชุมชน. ม.ป.ท. (๒๕๔๕). หน้า ๘
การมสี ว่ นร่วมทางการเมอื ง (Political Participation) 369 ๓. ข้ันมีส่วนร่วมในการด�ำเนินงานพัฒนา เป็นข้ันตอนที่ประชาชนมีส่วนร่วม ในการสร้าง ประโยชนโ์ ดยการสนบั สนนุ ทรพั ย์ วสั ดอุ ปุ กรณแ์ ละแรงงาน หรอื เขา้ รว่ ม บรหิ ารงาน ประสานงานและ ด�ำเนนิ การขอความชว่ ยเหลือจากภายนอก ๔. ขนั้ การมสี ว่ นรว่ มในการรบั ผลประโยชนจ์ ากการพฒั นา เปน็ ขนั้ ตอนที่ ประชาชนมสี ว่ นรว่ ม ในการรบั ผลประโยชนท์ พ่ี งึ ไดร้ บั จากการพฒั นาหรอื ยอมรบั ผลประโยชนอ์ นั เกดิ จากการพฒั นาทง้ั ดา้ น วตั ถแุ ละจิตใจ ๕. ขน้ั การมสี ว่ นรว่ มในการประเมนิ ผลการพฒั นา เปน็ ขน้ั ทป่ี ระชาชนเขา้ รว่ ม ประเมนิ วา่ การ พฒั นาทไี่ ดก้ ระทำ� ไปนั้นส�ำเร็จตามวตั ถุประสงค์เพียงใด ระดับของการมสี ่วนร่วม นรินทร์ชัย พัฒนพงศา๒๖๗ ได้กล่าวถึงระดับของการมีส่วนร่วมตามหลักการทั่วไปว่าแบ่งเป็น ๕ ระดบั คือ ๑. การมีส่วนรว่ มเป็นผู้ให้ข้อมลู ของตน/ครอบครวั /ชมุ ชนของตน ๒. การมีสว่ นรว่ มรับขอ้ มลู ขา่ วสาร ๓. การมสี ว่ นร่วมตัดสนิ ใจ โดยเฉพาะในโครงการทตี่ นมสี ว่ นได้เสีย โดย แบ่งเป็น ๓ กรณแี ลว้ แต่กิจกรรมในตนอยู่ในข้ันตอนใดต่อไปน้ี ๓.๑ ตนมนี ํ้าหนักการตัดสนิ ใจน้อยกวา่ เจา้ ของโครงการ ๓.๒ ตนมีนํ้าหนักการตดั สินใจเท่ากบั เจ้าของโครงการ ๓.๓ ตนมีนำ�้ หนักการตดั สินใจมากกวา่ เจา้ ของโครงการ ๔. การสว่ นรว่ มทำ� คือร่วมในข้นั ตอนการดำ� เนนิ งานทง้ั หมด ๕. การมีส่วนรว่ มสนบั สนนุ คืออาจไมม่ ีโอกาสร่วมทำ� แต่มสี ่วนร่วมชว่ ยเหลอื ในดา้ นอืน่ ๆ นอกจากน้ียังไดม้ กี ารแบง่ ระดับของการมีสว่ นร่วมเป็นระดับของการมสี ่วนรว่ ม ตามแนวทาง พัฒนาชุมชน เป็นการมสี ว่ นรว่ มในการแกป้ ญั หาท่เี กดิ ข้ึนในชมุ ชน โดยไดแ้ บง่ ไว้ดงั นี้ ๑. ร่วมคน้ หาปัญหาของตนใหเ้ ห็นวา่ สง่ิ ใดที่เปน็ ปญั หารากเหง้าของปัญหา ๒. ร่วมคน้ หาส่ิงทจ่ี �ำเป็นของตนในปัจจบุ นั คืออะไร ๒๖๗ นรนิ ทร์ชัย พัฒนพงศา. การมสี ่วนร่วม หลกั การพืน้ ฐาน เทคนคิ และกรณี ตัวอย่าง. กรงุ เทพมหานคร (๒๕๔๖) หนา้ ๑๗
370 รฐั ศาสตร์เบ้อื งต้น ๒.๑ ร่วมคิดช่วยตนเองในการจัดส�ำดบั ปญั หา เพือ่ จะแก้ไขสง่ิ ใดกอ่ นหลงั ๒.๒ วางแผนแกไ้ ขปญั หาเปน็ เรอ่ื ง ๆ ๒.๓ ร่วมระดมความคิด ถึงทางเลือกต่าง ๆ และเลือกทางเลือกท่ีเหมาะสมเพื่อ แก้ไขปัญหาทีว่ างแผนนัน้ ๒.๔ ร่วมพฒั นาเทคโนโลยีทจี่ ะนำ� มาใช้ ๒.๕ รว่ มด�ำเนินการแกไ้ ขปญั หานนั้ ๆ ๒.๖ ร่วมตดิ ตามการด�ำเนนิ งานและประเมนิ ผลการดำ� เนนิ งาน ๒.๗ ร่วมรับผลประโยชน์/หรือรว่ มเสยี ผลประโยชน์จากการด�ำเนนิ งาน การส่งเสริมการมีสว่ นร่วมของประชาชน หลกั การสำ� คัญของการสง่ เสริมการมสี ว่ นร่วมของประชาชนมี ดังน๒ี้ ๖๘ ๑. หลักการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างทางราชการกับประชาชน โดยยึดถือความ ศรทั ธาของประชาชนทม่ี ตี อ่ หนว่ ยงานหรอื ต่อบุคคล ๒. หลักการขจดั ความขัดแยง้ ความขัดแย้งในเรอ่ื งผลประโยชนแ์ ละความคิด จะมีอทิ ธิพลต่อ การดำ� เนินงานพฒั นาเป็นอย่างมากเพราะจะทำ� ใหง้ านหยุดชะงักและล้มเหลว ๓. หลกั การสรา้ งอดุ มการณแ์ ละคา่ นยิ มในดา้ นความขยนั ความอดทน การรว่ มมอื การซอื่ สตั ย์ และการพ่ึงตนเอง เพราะอุดมการณ์เป็นเรื่องท่ีจะจูงใจประชาชนให้ ร่วมสนับสนุนนโยบาย และ เป้าหมายการดำ� เนินงาน และอาจกอ่ ให้เกิดขวัญและก�ำลงั ใจในการปฏิบตั ิงาน ๔. การให้การศึกษาอบรมอย่างต่อเน่ืองเป็นการส่งเสริมให้คนมีความรู้ความคิดของตนเอง ช่วยให้ประชาชนมั่นใจในตนเองมากขึ้น การให้การศึกษาอบรมโดยให้ ประชาชนมีโอกาสทดลองคิด ปฏบิ ตั ิ จะชว่ ยใหป้ ระชาชนสามารถคมุ้ ครองตนเองได้ รจู้ กั วเิ คราะหเ์ หน็ คณุ คา่ ของงาน และนำ� ไปสกู่ าร เข้ารว่ มในการพฒั นา ๒๖๘ ชิต นลิ พานิช และกุลธน ธนาพงศธร. การมสี ว่ นร่วมของประชาชนในการพฒั นา ชนบท. ใน เอกสารการสอนชุดวิชาความรู้ ท่ัวไปสำ� หรับการพฒั นาระดับตำ� บล หมู่บ้าน (พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๓, หนว่ ยที่ ๘) .นนทบรุ ี: โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช. (๒๕๓๒). หน้า ๓๖๒
การมสี ่วนรว่ มทางการเมือง (Political Participation) 371 ๕. หลักการท�ำงานเป็นทมี สามารถนำ� มาใชใ้ นการแสวงหาความรว่ มมอื ในการพฒั นาได้ ๖. หลกั การสรา้ งพลังชุมชน การรวมกลมุ่ กันท�ำงานจะทำ� ให้เกิดพลงั ในการท�ำงานและทำ� ให้ งานเกดิ ประสิทธิภาพ อนงึ่ สำ� นกั มาตรฐานการศึกษา, ส�ำนกั งานสภาสถาบันราชภฎั , กระทรวงศกึ ษาธิการ, ส�ำนกั มาตรฐานอุดมศกึ ษา และทบวงมหาวิทยาลยั ๒๖๙ ได้ กลา่ วถึงยทุ ธศาสตรใ์ นการส่งเสรมิ การมสี ว่ นรว่ ม ของประชาชนไว้ ๒ ประการคือ ๑. การจัดกระบวนการเรยี นรู้ สามารถท�ำไดห้ ลายวิธี ดังน้ี ๑.๑ จัดเวทีวิเคราะห์สถานการณ์ของหมู่บ้านเพ่ือท�ำความเข้าใจและเรียนรู้ร่วมกันใน ประเดน็ ตา่ ง ๆ ๑.๒ จัดเวทีแลกเปล่ียนประสบการณ์หรือจัดทัศนศึกษาระหว่างกลุ่มองค์กร ต่าง ๆ ภายในชมุ ชนและระหว่างชมุ ชน ๑.๓ การอบรมเพ่ือพฒั นาทกั ษะเฉพาะดา้ นต่าง ๆ ๑.๔ ลงมอื ปฏิบัตจิ ริง ๑.๕ ถ่ายทอดประสบการณ์และสรุปบทเรียนท่ีจะน�ำไปสู่การปรับปรุง กระบวนการ ทำ� งานทเี่ หมาะสม ๒. การพฒั นาผนู้ ำ� เครอื ขา่ ย เพอ่ื ใหผ้ นู้ ำ� เกดิ ความมน่ั ใจในความและ ความสามารถทม่ี ี จะชว่ ย ใหส้ ามารถริเร่มิ กจิ กรรมการแก้ไขปญั หา หรือกิจกรรมการ พฒั นาได้ ซึ่งสามารถท�ำไคห้ ลายวิธี ดงั นี้ ๒.๑ แลกเปลี่ยน เรยี นรรู้ ะหวา่ งผู้นำ� ทง้ั ภายในและภายนอกชุมชน ๒.๒ สนบั สนนุ การจดั เวทแี ลกเปลย่ี นเรยี นรอู้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง และสนบั สนนุ ขอ้ มลู ขา่ วสาร ท่จี �ำเปน็ อย่างต่อเน่อื ง ๒.๓ แลกเปลี่ยนเรยี น และดำ� เนินงานร่วมกันของเครอื ข่ายอย่างต่อเนื่องจะท�ำ ให้เกดิ กระบวนการจดั การและจัดองค์กรรว่ มกัน ๒๖๙ ส�ำนักมาตรฐานการศึกษา, ส�ำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ, กระทรวงศึกษาธิการ, ส�ำนักมาตรฐานอุดมศึกษา และทบวง มหาวิทยาลยั .ชดุ การเรยี นรู้ด้วยตนเอง ชดุ วิชาการวิจยั ชุมชน. กรุงเทพมหานคร: เอส. อาร.์ พริน้ ตงิ้ . (๒๕๔๕) หนา้ ๑๑๘
372 รฐั ศาสตร์เบอ้ื งตน้ กรรมวธิ ใี นการมสี ว่ นร่วมของประชาชน กรรมวธิ ีการมสี ่วนรว่ มของประชาชน สามารถท�ำได้หลายวธิ ี ทีส่ �ำคัญมี ดงั ตอ่ ไปน๒้ี ๗๐ ๑. การเข้ารว่ มประชมุ อภิปราย เปน็ การเข้ารว่ มถกปัญหาหรือเนอ้ื หาสาระของ แผนงานหรอื โครงการพัฒนา เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชน ๒. การถกเถียง เปน็ การแสดงความคิดเหน็ โตแ้ ยง้ ตามวถิ ที างประชาธปิ ไตย เพ่ือให้ทราบถึงผลดี ผลเสียในกรณีต่าง ๆ โดยเฉพาะประชาชนในท้องถ่ินท่ีมีผลกระทบ ท้ังทางบวกและทางลบตอ่ ความเปน็ อยู่ของเขา ๓. การใหค้ ำ� ปรกึ ษาแนะนำ� ประชาชนตอ้ งรว่ มเปน็ กรรมการในคณะกรรมการ บรหิ ารโครงการ เพื่อให้ความมั่นใจว่ามีเสียงของประชาชนท่ีถูกผลกระทบ เข้ามีส่วนร่วม รับรู้และร่วมในการตัดสินใจ และการวางแผนด้วย ๔. การสำ� รวจ เปน็ วธิ กี ารใหป้ ระชาชนไดม้ สี ว่ นรว่ มแสดงความคดิ เหน็ ในเรอื่ งตา่ ง ๆ อยา่ งทวั่ ถงึ ๕. การประสานงานรว่ ม เปน็ กรรมวิธีท่ปี ระชาชนเขา้ รว่ มตงั้ แตก่ ารคดั เลือก ตัวแทนของกลุ่ม เขา้ ไปเปน็ แกนน�ำในการจัดการหรอื บริหาร ๖. การจดั ทัศนศึกษา เป็นการใหป้ ระชาชนไดเ้ ข้าร่วมตรวจสอบขอ้ เทจ็ จริง ณ จุดดำ� เนนิ การ กอ่ นให้มีการตัดสนิ ใจอยา่ งใดอย่างหน่งึ ๗. การสัมภาษณ์หรือพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการกับผู้น�ำ รวมทั้งประชาชนท่ีได้รับผลกระทบ เพื่อหาข้อมลู เกีย่ วกบั ความคิดเห็นและความต้องการทีแ่ ทจ้ ริงของท้องถ่ิน ๘. การไต่สวนสาธารณะ เปน็ การเปดิ โอกาสให้ประชาชนทกุ กลมุ่ เขา้ รว่ มแสดง ความคิดเหน็ ต่อนโยบาย กฎ ระเบยี บในประเด็นต่าง ๆ ท่ีจะมีผลกระทบต่อประชาชน โดยรวม ๙. การสาธติ เปน็ การใชเ้ ทคนคิ การสอื่ สารทกุ รปู แบบเพอื่ เผยแพรข่ อ้ มลู ขา่ วสาร ใหป้ ระชาชน รบั ทราบอยา่ งทว่ั ถงึ และชดั เจนอนั จะเปน็ แรงจูงใจให้เข้ามามีส่วนรว่ ม ๑๐. การรายงานผล เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทบทวนและสะท้อนผลการตัดสินใจต่อ โครงการอกี ครงั้ หนึง่ หากมกี ารเปลี่ยนแปลงจะได้แก้ไขได้ทันทว่ งที ๒๗๐ โกวทิ ย์ พวงงาม. การเสริมสร้างความเขม้ แขง็ ของชุมชน. ม.ป.ท. (๒๕๔๕) หนา้ ๑๑
การมสี ว่ นร่วมทางการเมอื ง (Political Participation) 373 แบบแผนของการเข้ามีส่วนรว่ มทางการเมือง๒๗๑ การมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งในแตล่ ะรปู แบบของสงั คมแตล่ ะสงั คมอาจดำ� เนนิ ไปใน ๒ แบบแผน ใหญ่ ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. การเข้ามสี ว่ นรว่ มทางการเมืองอยา่ งเปน็ อิสระ (Autonomous political participation) หมายถงึ ลกั ษณะทีร่ าษฎรเขา้ ไปมสี ว่ นร่วมทางการเมอื งในรูปแบบใด ๆ ด้วยความพึงพอใจสว่ นตวั และ เปน็ ไปโดยความสมคั รใจหรอื ได้พินจิ พิเคราะห์ใชว้ จิ ารณญาณของตน มองเหน็ ประโยชน์ของการเขา้ มี สว่ นรว่ มและมองเหน็ วา่ ตนเองสามารถทจี่ ะก่อให้เกิดการเปลย่ี นแปลงทางการเมอื งได้อย่างแทจ้ ริง ๒. การเขา้ มสี ่วนร่วมทางการเมอื งโดยถูกปลุกระดม (mobilized political participation) ถึงลักษณะของการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองของราษฎรที่เป็นไปโดยไม่ได้เกิดจากเจตน์จ�ำนงค์ของ เขาเอง แต่เกิดจากผู้อ่ืนปลุกระดมให้เขาเข้าร่วมในการกระท�ำกิจกรรมทางการเมืองในรูปแบบต่าง ๆ โดยการขู่เข็ญ บังคับ ชักจูง หรือใช้อิทธิพลทางวัตถุ เป็นต้น ท้ังนี้ก็เพ่ือให้เป็นไปตามที่ผู้ปลุกระดม ตอ้ งการ รูปแบบการมีสว่ นรว่ มทางการเมอื ง การเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนถือว่าเป็นสิ่งส�ำคัญต่อเสถียรภาพของการ ปกครองเกือบทุกระบอบ รวมท้ังรัฐท่ีปกครองด้วยระบอบเผด็จการสมัยใหม่ท่ีต้องการให้ประชาชน เขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งเชน่ กนั แตเ่ ปน็ การใชป้ ระโยชนจ์ ากการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งเพอ่ื เสรมิ สร้างเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐไม่ใช่วัตถุประสงค์ที่จะถือเอามติของประชาชนที่เข้ามามีส่วนร่วม ทางการเมืองเป็นแนวทางในการก�ำหนดนโยบายของรัฐ๒๗๒ ในท่ีน้ีจะขอกล่าวเฉพาะการมีส่วนร่วม ทางการเมืองในสังคมที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งในสังคมประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้ ประชาชนสามารถมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งไดใ้ นหลายรูปแบบ๒๗๓ ๑. การใชส้ ทิ ธิการออกเสยี งเลือกต้งั (Suffrage) ปรากฏอยา่ งเปน็ รปู ธรรมเมื่อศตวรรษที่ ๒๐ ในสหรฐั อเมรกิ าโดยเฉพาะเมอ่ื ประธานาธบิ ดแี อนดรู แจคสนั (Andrew Jackson) แสดงแนวความคดิ ท่เี รียกกันว่า ประชาธปิ ไตยแนวแจคสนั (Jacksonian Democracy) โดยถือหลักทีว่ ่าบุคคลทกุ คนใน ๒๗๑ สิทธิพันธ์ พทุ ธหนุ , ทฤษฎีพฒั นาการเมอื ง. (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำ� แหง, ๒๕๓๑), น. ๑๓๘. ๒๗๒ Seymour Martin Lipset, Political Man. (New York : Doubleday, ๑๙๖๓), pp. ๑๘๓. ๒๗๓ Siney Verba, Norman Nie and Jae – on Kim, Participation and Political Equality. (New York : Cambridge University Press, ๑๙๗๘), pp. ๕๓ – ๕๔. และ Samuel Huntigton and Joan Nelson, No Easy Choice. (Mass : Harvard University Press, ๑๙๗๖), pp. ๔ – ๗.
374 รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งต้น ฐานะพลเมอื งของรฐั (Citizen) ควรมคี วามเสมอภาคเทา่ เทยี มกบั บคุ คลอน่ื ในการใชส้ ทิ ธทิ างการเมอื ง และบคุ คลทกุ คนควรมโี อกาสในการมสี ว่ นรว่ มในกจิ การการเมอื งทอ้ งถน่ิ ของมลรฐั และของชาติ แตถ่ งึ อยา่ งไรสทิ ธดิ งั กลา่ วกย็ งั ไมถ่ อื วา่ มคี วามสมบรู ณ์ ทง้ั นเ้ี พราะสตรแี ละชนผวิ ดำ� ยงั ถกู กดี กนั ทางการเมอื ง (Discrimination) แต่ในปัจจุบันประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้ยอมรับในการเปิด โอกาสทางการเมอื งแกป่ ระชาชนในการใชส้ ทิ ธอิ อกเสยี งเลอื กตงั้ อยา่ งเสมอภาค เพราะการเลอื กตง้ั เปน็ พนื้ ฐานหลกั ทส่ี ำ� คญั ของการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยทเ่ี นน้ หลกั การปกครองวา่ อำ� นาจอธปิ ไตย เป็นของปวงชน การใชส้ ิทธเิ ลอื กตงั้ เปน็ การแสดงออกซง่ึ ความเป็นเจา้ ของอ�ำนาจอธิปไตยหรืออ�ำนาจ สงู สุดในการปกครองวิถีทางหน่งึ ท่ีส�ำคญั แต่ด้วยความจำ� เปน็ ทางการเมอื งและเพอื่ ให้เกดิ ผลดีต่อการ เลือกต้ังจึงต้องมีการกำ� หนดหลักเกณฑ์บางประการเกี่ยวกับประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกต้ัง เช่น สัญชาติ อายุ สภาพทางจติ ใจ ถิ่นที่อยู่ เป็นต้น ๒. การมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านพรรคการเมือง (Political Party) พรรคการเมืองเป็น สถาบนั ทางการเมอื งทเี่ ปน็ ทางผา่ นเชอ่ื มตอ่ ระหวา่ งประชาชนกบั รฐั บาล พรรคการเมอื งจงึ เปรยี บเสมอื น ช่องทางทางการเมืองในท่ีท�ำให้ประชาชนสามารถขึ้นมาเป็นรัฐบาลได้อย่างชอบธรรม เพราะ พรรคการเมอื งเปน็ องคก์ รทเี่ กดิ จากการรวมตวั ของประชาชนทมี่ แี นวคดิ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั เกย่ี วกบั วตั ถุประสงค์ หลกั การ และวธิ กี ารในการปกครองทง้ั ในดา้ นสงั คม เศรษฐกจิ และการเมืองและมคี วาม ประสงคท์ จ่ี ะใหพ้ รรคการเมอื งของตนเขา้ ไปเปน็ รฐั บาลหรอื มสี ว่ นรว่ มในการดำ� เนนิ การของรฐั บาลโดย วิถีทางของการแข่งขันกับพรรคการเมืองอ่ืนในระบบการเลือกต้ัง๒๗๔ จะเห็นได้ว่าประชาชน พรรคการเมือง และรัฐบาลจึงมีความใกล้ชิดกันจนแยกไม่ออก การท่ีประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมใน กิจกรรมของพรรคการเมืองจึงเปน็ การมีส่วนรว่ มทางการเมืองนัน่ เอง แตใ่ นท่นี ้หี มายถงึ การมีสว่ นรว่ ม ในพรรคการเมืองของประเทศประชาธิปไตย เพราะหากเป็นการปกครองในระบอบเผด็จการ พรรคการเมอื งไมไ่ ดเ้ ปน็ ชอ่ งทางใหป้ ระชาชนสว่ นใหญข่ องประเทศมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง ตรงกนั ขา้ ม พรรคการเมอื งในระบอบเผดจ็ การการเปน็ เพยี งองคก์ ารทสี่ รา้ งอำ� นาจใหแ้ กก่ ลมุ่ เผดจ็ การเพยี งไมก่ คี่ น และปดิ ก้นั การมสี ่วนรว่ มทางการเมอื งของประชาชน ๓. การมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านกลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group) กลุ่มผลประโยชน์ ทางการเมืองเป็นอีกหนทางหน่ึงที่ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยสามารถใช้เป็นช่องทางในการมี สว่ นรว่ มทางการเมอื ง เพราะกลมุ่ ผลประโยชนค์ อื กลมุ่ ของประชาชนทม่ี ผี ลประโยชนร์ ว่ มกนั มารวมตวั กันเป็นกลุ่มเพื่อสร้างอิทธิพลทางการเมืองให้รัฐบาลหรือผู้ปกครองด�ำเนินนโยบายไปในทิศทางท่ีกลุ่ม ของตนต้องการ โดยไม่ได้มุ่งหวังท่ีจะเข้าไปท�ำหน้าที่เป็นรัฐบาล เช่น สมาคมชาวไร่อ้อย กลุ่มสมัชชา ๒๗๔ ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ, “พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ และมติมหาชน”, ใน ประณต นันทิยะกุล (บรรณาธิการ), พฒั นาการเมืองการปกครอง. (กรุงเทพฯ: สารมวลชน, ๒๕๒๕), น. ๑๕๑.
การมีสว่ นรว่ มทางการเมือง (Political Participation) 375 คนจน และสมาคมพนกั งานรฐั วสิ าหกจิ เปน็ ตน้ สว่ นวธิ กี ารในการสรา้ งอทิ ธพิ ลทางการเมอื งใหร้ ฐั บาล ยอมกระทำ� ตามท่ีกลุ่มของตนต้องการนัน้ มไี ดห้ ลายวิธี เชน่ การลอบบี้ (Lobby) โดยเขา้ หาเจ้าหนา้ ที่ หรือผู้น�ำทางการเมืองเพื่อหาหนทางในการสร้างอิทธิพลต่อการก�ำหนดนโยบายของรัฐบาล หรือการ ชุมนุมโดยสงบ เพ่ือสร้างกระแสแรงกดดันไปท่ีคณะรัฐบาล และบางคร้ังอาจมีการใช้ก�ำลังรุนแรง เพื่อสร้างผลกระทบต่อการตัดสินนโยบายของรัฐบาลโดยการใช้ก�ำลังท�ำร้ายบุคคลหรือท�ำลายสิ่งของ เปน็ ตน้ ประเภทของบุคคลในสงั คม หากพิจารณาบุคคลในสังคมทุกสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมท่ีมีรูปแบบการปกครองเช่นไร มีวัฒนธรรมทางการเมืองเป็นอย่างไร จะเห็นได้ว่า คนสังคมอาจแบ่งออกเป็นสองประเภท ใหญ่ ๆ ตามความสนใจหรือทศั นคติทางการเมืองของบุคคล๒๗๕ ก. กลมุ่ บุคคลท่ีไมส่ นใจการเมือง (Apolitical strata) เป็นประชาชนที่ไม่เห็นความส�ำคัญของการเมือง ไม่มีความกระตือรือร้น หรือยินดียินร้าย ตอ่ ความเป็นไปการเมืองเลย สาเหตุของการไม่สนใจการเมอื งอาจมาจาก ๑. ความคดิ ทีว่ า่ การไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมอื งไมไ่ ดก้ ่อใหเ้ กิดผลดีกับพวกเขาเลย และหากพวก เขาไปท�ำกจิ กรรมอ่ืนที่ไมใ่ ช่การเมืองเขาจะได้รับผลตอบแทนที่มคี ่าสูงกว่า ๒. ความคิดท่วี า่ ทางเลือกทน่ี ำ� เสนอแกพ่ วกเขานน้ั ไมม่ คี วามแตกต่างอะไร เชน่ ในการไปลง คะแนนเสียงเลือกตั้ง เขาพบว่าไม่ว่าจะเลือกพรรคการเมืองใดก็ตามผลท่ีออกมาจะมีค่าเท่าเดิม เพราะแนวนโยบายและการปฏิบัติของพรรคการเมืองอันเป็นทางเลือกที่น�ำเสนอต่อเขาน้ันไม่มีความ แตกตา่ งกัน ๓. ความคิดที่ว่า การท่ีเขาจะไปหรือไม่ไปร่วมในกิจกรรมทางการเมืองก็ไม่ได้ท�ำให้ผลที่ออก มามีการเปลยี่ นแปลงไปแตอ่ ย่างใด แมเ้ ขาจะไมต่ ้องการผลท่ีออกมาหลังจากการทีเ่ ขาไมไ่ ปมีสว่ นร่วม ทางการเมือง เช่น ในการเลือกตั้งในเขตของเขาไม่ว่าเขาจะไปลงคะแนนเสียงเลือกใครก็ตาม ก็ไม่ได้ ท�ำให้ผู้ที่ได้รับเลือกต้ังเปลี่ยนแปลงไป เพราะทุกคร้ังที่ผลการเลือกตั้งออกมาก็จะเป็นคนเดิมท่ีได้รับ การเลือกตงั้ ๒๗๕ รายละเอยี ดใน Robert A. Dahl, Modem Political Analysis. (N.J. : Prentice – Hall, ๑๙๖๓).
376 รฐั ศาสตร์เบอื้ งตน้ ๔. ความคดิ ทวี่ า่ การทเ่ี ขาจะไปมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งหรอื ไมก่ ต็ าม ผลทอ่ี อกมากเ็ ปน็ ไปตาม ทเ่ี ขาพงึ พอใจ เชน่ ในการเลอื กตงั้ ทเี่ ขามน่ั ใจวา่ แมเ้ ขาไมไ่ ปลงคะแนนเสยี งพรรคการเมอื งทเ่ี ขาตอ้ งการ ใหบ้ รหิ ารบา้ นเมอื งกจ็ ะตอ้ งเป็นฝา่ ยที่รับชัยชนะในการเลือกตัง้ เข้ามาอย่างแน่นอน ๕. ความคดิ ทวี่ า่ การเมอื งเปน็ เรอื่ งทไี่ กลเกนิ กวา่ ทเี่ ขาจะเรยี นรู้ หรอื เขา้ ไปมบี ทบาทในลกั ษณะ การมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพได้ ความคิดเช่นนี้จึงเป็นไปในลักษณะของการไม่เห็น คุณคา่ หรือศักยภาพของตนเองทจ่ี ะเข้าไปมีบทบาทในเร่ืองทางการเมือง ๖. ความคิดท่ีว่า กระบวนการทางการเมืองตลอดจนวิธีการในการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการ เมืองเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนเกินความจ�ำเป็น จนดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคในการเข้าไปแสดงบทบาท ตรงนนั้ หรอื กลา่ วอกี นัยหน่ึงกค็ อื การมอี ปุ สรรคมากมายในการที่จะเขา้ ไปมีส่วนรว่ มทางการเมืองจน ท�ำใหเ้ ขาร้สู ึกเบ่ือหนา่ ย และเป็นเรอ่ื งทีย่ ่งุ ยาก ข. กล่มุ ทม่ี ีความสนใจทางการเมือง (Political strata) เปน็ กลมุ่ ทมี่ คี วามเชอ่ื มนั่ และศรทั ธาในตวั เองวา่ เปน็ บคุ คลทมี่ ศี กั ยภาพอยา่ งเพยี งพอในการที่ จะก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางการเมือง พวกน้ีจึงเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองและมีการแสวงหา ขา่ วสารทางการเมอื งอยา่ งสมำ่� เสมอ กลมุ่ ทมี่ คี วามสนใจทางการเมอื งอาจเปน็ กลมุ่ ทมี่ งุ่ แสวงหาอำ� นาจ (Power seekers) ตอ้ งการใหไ้ ดม้ าซงึ่ อำ� นาจในการปกครอง จงึ พยายามใชท้ รพั ยากรหรอื สง่ิ ทมี่ คี ณุ คา่ ในสงั คมเปน็ เครอ่ื งมอื ในการเขา้ ไปสจู่ ดุ ทเ่ี ปน็ เปา้ หมายของตน วธิ กี ารในการแสวงหาอำ� นาจจงึ มหี ลาก หลายขน้ึ อยกู่ บั ระบอบการปกครอง สงั คม และวฒั นธรรมทางการเมอื งของสงั คมนน้ั ๆ รวมทง้ั ทศั นคติ ของบคุ คลทแี่ สวงหาอ�ำนาจดว้ ย กลมุ่ ทม่ี ีความสนใจทางการเมืองอีกกลุม่ หน่งึ คือ กล่มุ ผนู้ ำ� ทม่ี ีอ�ำนาจ (Powerful elites) หมายถึงกลุ่มบุคคลท่ีสามารถน�ำเอาทรัพยากรหรือส่ิงที่มีคุณค่าในสังคมท่ีตนเอง มอี ยู่มาใชอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพและชำ� นาญกวา่ ในการได้มาและด�ำรงไวซ้ งึ่ อำ� นาจ. การมีสว่ นรว่ มทางการเมือง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มีสาระส�ำคัญท่ีเกี่ยวกับเร่ืองการมี สว่ นร่วมทางการเมืองของประชาชนโดยตรง ๑. ประชาชนผู้มีสิทธเิ ลอื กต้ังไมน่ อ้ ยกว่าสองหม่ืนคน มสี ิทธิเข้าช่ือร้องขอต่อประธานรฐั สภา เพื่อใหร้ ฐั สภาพิจารณากฎหมายตามท่ีกำ� หนดในหมวด ๓ และหมวด ๕ แห่งรัฐธรรมนญู น้ี ๒. ประชาชนผมู้ ีสทิ ธเิ ลอื กต้ังจ�ำนวนไมน่ ้อยกว่าสองหมื่นคน มีสทิ ธิเข้าชอื่ ร้องขอตอ่ ประธาน วุฒิสภาเพื่อใหว้ ฒุ สิ ภามมี ตติ ามมาตรา ๒๖๕ใหถ้ อดถอนบุคคลตามมาตรา ๒๖๑ ออกจากต�ำแหนง่ ได้
การมสี ว่ นร่วมทางการเมอื ง (Political Participation) 377 ๓. ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังย่อมมีสิทธิออกเสียงประชามติ การจัดให้มีการออกเสียง ประชามติใหก้ ระท�ำได้ในเหตุ ดังต่อไปน้ี (๑) ในกรณที ค่ี ณะรฐั มนตรเี หน็ วา่ กจิ การในเรอื่ งใดอาจกระทบถงึ ประโยชนไ์ ดเ้ สยี ของ ประเทศชาติหรือประชาชน นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีอาจปรึกษาประธาน สภาผแู้ ทนราษฎรและประธานวฒุ สิ ภาเพอื่ ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาใหม้ กี ารออกเสยี งประชามตไิ ด้ (๒) ในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้มีการออกเสียงประชามติ การออกเสียงประชามติ ตาม (๑) หรือ (๒) อาจจัดให้เป็นการออกเสียงเพื่อมีข้อยุติโดยเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียง ประชามติในปัญหาที่จัดให้มีการออกเสียงประชามติ หรือเป็นการออกเสียงเพ่ือให้ค�ำปรึกษาแก่คณะ รฐั มนตรกี ไ็ ด้ เวน้ แตจ่ ะมกี ฎหมายบญั ญตั ไิ วเ้ ปน็ การเฉพาะ การออกเสยี งประชามตติ อ้ งเปน็ การใหอ้ อก เสยี งเหน็ ชอบหรอื ไมเ่ หน็ ชอบในกจิ การตามทจ่ี ดั ใหม้ กี ารออกเสยี งประชามติ และการจดั การออกเสยี ง ประชามตใิ นเรอ่ื งที่ขัดหรือแย้งตอ่ รฐั ธรรมนญู หรอื เกย่ี วกบั ตัวบุคคลหรอื คณะบุคคลจะกระท�ำมไิ ด้ รูปแบบของการมสี ว่ นร่วม ๑. เลือกตั้ง (Voting) ๒. การออกเสียงประชามติ (Referendum) คนทง้ั ประเทศ ผลออกมาอยา่ งไรตอ้ งยึดตามน้ัน ๓. ประชาพิจารณ์ (Public Hearing) ตอ้ งทำ� โดยทวั่ ถงึ กนั ๔. มติมหาชน (Public Opinion) ๕. ประชาสงั คม (Civil Society) ประเทศไทยยังไม่เคยมีกลไกลการมีส่วนร่วม ในข้อ ๒.การออกเสียงประชามติและ ๔. มตมิ หาชน การมสี ว่ นรว่ ม คอื การเปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนไมว่ า่ จะเปน็ บคุ คลหรอื กลมุ่ บคุ คลเขา้ มามสี ว่ น ร่วมในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นในทางตรงหรือทางอ้อม ในลักษณะของการร่วมรับรู้ ร่วมคิด ร่วมท�ำ ในสิ่งที่มีผลกระทบต่อตนเองหรือชุมชน การกระท�ำโดยความสมัครใจของสมาชิกใน สังคมเพ่ือมีส่วนในการคัดเลือกผู้ปกครองและการก�ำหนดนโยบายสาธารณะทั้งโดยทางตรงและทาง ออ้ มกจิ กรรมเหลา่ นไ้ี ดแ้ กก่ ารลงคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ การสนใจตดิ ตามขา่ วสารทางการเมอื งการอภปิ ราย พูดคุยในประเด็นทางการเมืองการร่วมประชุมทางการเมืองการให้ความสนับสนุนผู้สมัครหรือ พรรคการเมอื งในดา้ นการเงนิ การตดิ ตอ่ กบั ผแู้ ทนราษฎรนอกจากนยี้ งั รวมถงึ การสมคั รเขา้ เปน็ สมาชกิ พรรคการเมืองอย่างเป็นทางการช่วยเขียนสุนทรพจน์ในการหาเสียงช่วยในการรณรงค์หาเสียงและ สมัครเข้ารบั การเลือกตัง้
378 รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งตน้ ความส�ำคัญการมสี ่วนรว่ มทางการเมอื ง การมรส่วนร่วมทางการเมืองมีความส�ำคัญต่อการพัฒนาประชาธิปไตย คือท�ำให้ผู้ปกครอง และผู้ถูกปกครองได้มีโอกาสทราบความต้องการของกันและกันอย่างแท้จริงท�ำให้การด�ำเนินนโยบาย ของรัฐตอบสนองต่อผ้เู ปน็ เจา้ ของประเทศในดา้ นเศรษฐกจิ การเมืองและสงั คม แนวคดิ ทฤษฏีเกย่ี วกับการมสี ่วนร่วม ทฤษฎีทเี่ กยี่ วกับการมสี ่วนร่วมมี ๕ ทฤษฎี ได้แก่ ๑. ทฤษฎีการเกลย้ี กล่อมมวลชน (Mass Persuasion) ๒. ทฤษฎกี ารระดมสรา้ งขวญั ของคนในชาติ (National Morale) ๓. ทฤษฎสี ร้างความรสู้ กึ ชาตนิ ิยม (Nationalism) ๔. ทฤษฎกี ารสร้างผู้น�ำ (Leadership) ๕. ทฤษฎกี ารใชว้ ิธีและระบบทางการบรหิ าร (Administration and Method) กลา่ วโดยสรปุ ระบบประชาธปิ ไตยแบบมสี ว่ นรว่ ม ซงึ่ เปน็ การเปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนไดแ้ สดง ทัศนคติและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเร่ืองต่าง ๆ ท่ีจะมีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน นอกจากจะชว่ ยใหก้ ารตดั สนิ ใจของผเู้ สนอโครงการหรอื รฐั บาลมคี วามรอบคอบ และสอดรบั กบั ปญั หา และความตอ้ งการของประชาชนมากยงิ่ ขนึ้ แลว้ ยงั เปน็ การควบคมุ การบรหิ ารงานของรฐั บาลใหม้ คี วาม โปร่งใส (Transparency) ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของประชาชน (Responsiveness) และมีความรบั ผิดชอบหรอื สามารถตอบคำ� ถามของประชาชนได้ (Accountability) อีกดว้ ย ซง่ึ เท่ากบั เปน็ การส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยให้สมบูรณ์มากยิง่ ขึ้นอีกด้วย แนวคิดเกยี่ วกับการมีสว่ นร่วมทางการเมอื ง (Political Participation)๒๗๖ การมสี ว่ นรว่ มทางการเมือง การมสี ่วนรว่ มทางการเมอื งเปน็ การมสี ่วนร่วมในการปกครองของประชาชนตามสิทธิที่ระบบ การเมอื งและกฎหมายกำ� หนดใหก้ ระทำ� เปน็ การกระทำ� ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากความสมคั รใจของประชาชน ทงั้ นี้ เพอื่ ใหม้ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การกำ� หนดนโยบายของรฐั ทงั้ ในทางการเมอื งการปกครองทงั้ ระดบั ทอ้ งถนิ่ และระดบั ชาติ ๒๗๖ จันทนา สุทธิจารี. “การมีส่วนร่วมของประชาชน” ในการเมืองการปกครองไทยตามรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน. กรงุ เทพฯ, ๒๕๔๔ หน้า ๔๑๐.
การมสี ว่ นร่วมทางการเมือง (Political Participation) 379 การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นการส่งเสริมสิทธิและพลังอ�ำนาจของพลเมือง โดยประชาชน หรือชุมชน เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการจัดการเพ่ือรักษาผลประโยชน์ของกลุ่ม ควบคุมการใช้ และการกระจายทรพั ยากรของชมุ ชน อนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ กระบวนการและโครงสรา้ งทป่ี ระชาชนในชนบท สามารถแสดงออกซง่ึ ความสามารถของตน และไดร้ บั ผลประโยชนจ์ ากการพฒั นา นอกจากนกี้ ารมสี ว่ น ร่วมทางการเมืองยังเป็นการเปล่ียนแปลงกลไกการพัฒนา โดยรัฐ มาเป็นการพัฒนาท่ีประชาชนมี บทบาทหลกั โดยมกี ารกระจายอำ� นาจในการวางแผนจากสว่ นกลางมาสสู่ ว่ นภมู ภิ าค ทง้ั นเ้ี พอ่ื ใหภ้ มู ภิ าค เป็นเอกเทศ ให้มีอ�ำนาจทางการเมือง การบริหาร มีอ�ำนาจต่อรองในการจัดการทรัพยากร โดยให้อยู่ มาตรฐานเดยี วกันและประชาชนสามารถตรวจสอบได้ ฉะน้ัน การมีส่วนร่วมของประชาชน จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นฝ่ายตัดสินใจ กำ� หนดปญั หาความตอ้ งการของตนเองอยา่ งแทจ้ รงิ ซงึ่ เปน็ การเสรมิ พลงั อำ� นาจใหแ้ กป่ ระชาชน/กลมุ่ / องคก์ รชมุ ชนให้สามารถระดมขดี ความสามารถในการจัดการทรพั ยากร การตดั สนิ ใจ และการควบคมุ ดูแลกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชนมากกว่าท่ีจะเป็นฝ่ายตั้งรับ นอกจากน้ีการมีส่วนร่วมของประชาชนยัง สามารถก�ำหนดการด�ำรงชีวิตได้ด้วยตนเองให้มีความเป็นอยู่ท่ีดีข้ึนตามความจ�ำเป็นอย่างมีศักดิ์ศรี และสามารถพฒั นาศกั ยภาพของประชาชน/ชมุ ชนในดา้ นภมู ปิ ญั ญา ทกั ษะ ความรู้ ความสามารถและ การจัดการและรู้เท่าทันการเปลยี่ นแปลงของโลกได้ ลกั ษณะการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมยึดหลักพื้นฐานว่า “ประชาชนเป็นเจ้าของอ�ำนาจอธิปไตย ประชาชนสามารถใชอ้ ำ� นาจไดเ้ สมอ แมว้ า่ ไดม้ อบอำ� นาจใหก้ บั ผแู้ ทนของประชาชนไปใชใ้ นฐานะทเี่ ปน็ ตัวแทนกต็ าม แตป่ ระชาชนกส็ ามารถเฝา้ ดู ตรวจสอบ ควบคมุ และแทรกแซงการท�ำหน้าท่ีของตัวแทน ของประชาชนได้เสมอ” ซงึ่ การมีสว่ นรว่ มทางการเมอื งแบ่งออกได้เป็น ๔ ลกั ษณะ คอื การเรียกอำ� นาจ คืนโดยการถอดถอน/ปลดออกจากต�ำแหนง่ เปน็ การควบคุมการใชอ้ ำ� นาจของผแู้ ทนของประชาชนใน การดำ� รงตำ� แหนง่ ทางการเมอื งแทนประชาชน ถา้ หากผแู้ ทนของประชาชนใชอ้ ำ� นาจในฐานะ “ตวั แทน” มิใช่เป็นไปเพื่อหลักการที่ถูกต้องหรือเพ่ือผลประโยชน์ส่วนรวมที่แท้จริง กลับเป็นการใช้อ�ำนาจโดย มิชอบ มีการทุจริตหรือกระท�ำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอ�ำนาจอธิปไตย สามารถเรยี กรอ้ งอำ� นาจทไี่ ดม้ อบไปนนั้ คนื กลบั มาโดยการถอดถอน/ปลดออกจากตำ� แหนง่ ไดก้ ารรเิ รมิ่ เสนอแนะ เป็นการทดแทนการท�ำหน้าท่ีของผู้แทนของประชาชนหรือเป็นการเสริมการท�ำหน้าที่ของ ตัวแทนประชาชน ประชาชนสามารถเสนอแนะนโยบาย ร่างกฎหมาย รวมทัง้ มาตรการใหม่ ๆ เองได้ หากวา่ ตัวแทนของประชาชนไม่เสนอหรอื เสนอแล้วไม่ตรงกบั กับความต้องการของประชาชน
380 รัฐศาสตร์เบ้อื งต้น การประชาพจิ ารณ์ เปน็ การแสดงออกของประชาชนในการเฝา้ ดู รวมทงั้ ตรวจสอบและควบคมุ การท�ำงานของตัวแทนประชาชน ในกรณีที่ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหารเตรียมออกกฎหมายหรือ ก�ำหนดนโยบายหรือมาตรการใด ๆ ก็ตาม อันมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่หรือสิทธิเสรีภาพของ ประชาชน ประชาชนในฐานะเจ้าของอ�ำนาจอธิปไตยสามารถท่ีจะเรียกร้องให้มีการช้ีแจงข้อเท็จจริง และผลดผี ลเสยี ก่อนออกหรือบงั คับใช้กฎหมาย นโยบายหรือมาตรการ นน้ั ๆ การแสดงประชามติ ประชาชนสามารถแสดงประชามติได้ ในส่วนท่ีเก่ียวกับนโยบายส�ำคัญ หรือการออกกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างมาก เชน่ การรบั รา่ งรฐั ธรรมนญู การขน้ึ ภาษี การสรา้ งเขอ่ื นหรอื โรงไฟฟา้ เปน็ ตน้ ประชาชนในฐานะเจา้ ของ อ�ำนาจอธิปไตย สามารถเรียกร้องให้รัฐรับฟงั มตขิ องประชาชนเสยี กอ่ นท่ีจะตรากฎหมาย หรือดำ� เนนิ การส�ำคัญ ๆ โดยการจัดให้มีการลงประชามติเพื่อถามความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ อันจะ เปน็ การตัดสนิ ใจข้ันสุดทา้ ย การมสี ่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธปิ ไตย การปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยนน้ั ถอื เปน็ การปกครองโดยประชาชน และเพอื่ ประชาชน บทบาททางการเมืองของประชาชนในฐานะท่ีเป็นเจ้าของอ�ำนาจอธิปไตยจึงเป็นหัวใจของระบบน้ี ดงั นน้ั การเข้ามสี ่วนร่วมในการปกครองตนเองของประชาชนจึงถอื เปน็ กระบวนการทีส่ �ำคญั ยิง่ จากผล การสำ� รวจทางการเมอื งสะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ คนไทยสว่ นใหญเ่ บอื่ หนา่ ยการเมอื ง หากปลอ่ ยใหส้ ถานการณ์ ทางการเมืองเป็นเร่ืองน่าเบ่ือหน่าย โดยไม่มีการแก้ไขปัญหาท่ีระบบการเมือง ไทยให้น่าเชื่อถือและ ปราศจากปัญหาความขัดแย้งและทุจริต ในอนาคตประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับปัญหาการผูกขาด อ�ำนาจทางการเมอื งของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึง่ โดยกลุ่มนักการเมอื งรุ่นเกา่ สืบทอดอำ� นาจกันเป็นทอด ๆ หรอื เป็นระบบเครือญาติ ก็จะเปน็ ปญั หาเรอื้ รังและไมห่ มดไปจากสังคมไทย เนอ่ื งจากไมม่ ีนักการเมือง รนุ่ ใหมท่ ีส่ นใจเขา้ มาท�ำงานด้านการเมือง หากประชาชนเบื่อหนา่ ยและหันหลงั ให้กบั การเมือง จงึ เปน็ เรื่องยากท่จี ะเขา้ ไปตรวจสอบนกั การเมอื ง และมกั จะนิ่งเฉยต่อปญั หาการทจุ ริตคอรัปช่นั จากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มีหลายมาตราที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมี ส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน สิทธิในการมีส่วนร่วม ทางการ เมืองของประชาชนตามรัฐธรรมนูญได้มีการเปิดกว้างทั้งด้านรูปแบบ และวิธีการมีส่วนร่วม ของประชาชนอย่างชัดเจน การมีส่วนร่วมทางการเมือง จึงหมายถึงการที่ประชาชนเข้าร่วมด�ำเนินกิจกรรมทางการเมือง เพ่ือที่จะมีอิทธิพลต่อการก�ำหนดนโยบายของรัฐ หรือผู้น�ำรัฐบาล รวมทั้งกดดันให้รัฐบาลกระท�ำตาม ความประสงค์ของตนหรือกลุ่มตน และการมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นเคร่ืองชี้วัดพัฒนาการทางการ
การมสี ่วนรว่ มทางการเมือง (Political Participation) 381 เมอื งในระบอบประชาธปิ ไตยของแต่ละประเทศ การมีสว่ นร่วมทางการเมืองจึงควรเปน็ การมีสว่ นรว่ ม ทางการเมืองตามท่ีกฎหมายก�ำหนด ดังนั้นประเทศที่พัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบ ประชาธปิ ไตยอยใู่ นระดบั ทด่ี แี ลว้ กม็ กั จะกำ� หนดใหป้ ระชาชนทกุ ระดบั มสี ทิ ธใิ นการมสี ว่ นรว่ มทางการ เมืองตามกฎหมายทีม่ ีผลในทางปฏิบตั อิ ยา่ งเป็นรูปธรรมในทุกมิตขิ องกระบวนการทางการเมือง การมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง จงึ เป็นการกระท�ำท่ีมีวัตถปุ ระสงค์ เพ่ือมีอทิ ธิพลในการตัดสินใจ ของรัฐบาลเป็นส�ำคัญ และการกระท�ำใดท่ีไม่มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือก นโยบายของรัฐบาล หรือเลือกบุคคลส�ำคัญที่สามารถก�ำหนดนโยบายของรัฐบาลได้ ก็ไม่ถือเป็นการมี ส่วนร่วมทางการเมือง เนื่องจากประชาธิปไตยมีหลายรูปแบบ อาทิ แบบทางตรง แบบทางอ้อม ยกตวั อยา่ งรปู แบบของการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตยทางตรง คอื การทป่ี ระชาชน ของรฐั ท้ังหมดเป็นผูใ้ ช้อำ� นาจในการปกครองโดยตรงด้วยการร่วมกันประชมุ พจิ ารณาเรอื่ งตา่ ง ๆ หรอื ทำ� หนา้ ทีเ่ ปน็ สภาเอง เนอ่ื งจากอ�ำนาจอธปิ ไตยเปน็ ของปวงชน โดยมหี ลกั การว่าประชาชนทุกคนตอ้ ง มสี ว่ นรว่ มในการกำ� หนดกฎเกณฑใ์ นสงั คม กลา่ วคอื ประชาชนมสี ว่ นรว่ มในการบญั ญตั กิ ฎหมาย แตใ่ น ปจั จบุ นั นไี้ มส่ ามารถนำ� ประชาธปิ ไตยทางตรงมาใชไ้ ด้ เพราะจำ� นวนประชาชนมากเกนิ กวา่ จะใหโ้ อกาส ประชาชนทุกคนเข้ามาใช้สิทธิในการปกครองประเทศได้ จึงมีการน�ำประชาธิปไตยโดยผู้แทนหรือ ประชาธปิ ไตยโดยออ้ มมาใช้ หลักการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน ประชาชนจะเลือกผู้ แทนท�ำหน้าที่แทนตนในรัฐสภา และเจตจ�ำนงของรัฐสภาถือเป็นความต้องการของประชาชน โดยท่ี ประชาชนยังมีช่องทางในการควบคุมทางการเมืองการปกครองได้บ้าง โดยขอบเขตของการมีตัวแทน ของปวงชนนั้น ต้องเป็นไปอย่างกว้างขวาง ประชาชนทั่วไปต้องมีสิทธิที่จะมีตัวแทน สิทธิในการออก เสียงเลือกต้งั จะเปน็ ของกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง หรอื มีเงอื่ นไขกดี กนั ประชาชนกล่มุ ใดกลุ่มหนึง่ มิได้ และสทิ ธิ พ้นื ฐานของประชาชนตอ้ งได้รับการรับรอง เชน่ สิทธใิ นการพูด สิทธใิ นการเขยี น สทิ ธิในการประกอบ อาชีพ สิทธิในการรับรขู้ อ้ มลู ข่าวสาร สทิ ธใิ นการนับถอื ศาสนา ซงึ่ ต้องเปน็ สทิ ธทิ เี่ ท่าเทยี มกัน การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนนั้นอาจเกิดขึ้นได้ในหลายลักษณะ เช่น การลง คะแนนเสียงเลือกต้ัง การพูดคุยเร่ืองการเมือง การช่วยพรรคการเมืองในการรณรงค์หาเสียง การเข้า รว่ มประชมุ ทางการเมอื ง การเปน็ ผสู้ มคั รเขา้ รบั เลอื กตงั้ หรอื แมแ้ ตก่ ารเดนิ ขบวนประทว้ ง หรอื สนบั สนนุ การดำ� เนนิ การของรฐั ทย่ี งั ผลใหต้ นเองไดป้ ระโยชนห์ รอื เสยี ประโยชน์ และการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง ทเ่ี ปน็ หวั ใจสำ� คญั ของประชาธปิ ไตยแบบตวั แทน คอื การมสี ว่ นรว่ มในกระบวนการเลอื กตงั้ ผแู้ ทนทไ่ี มม่ ี การทจุ ริตและไมม่ กี ารซื้อสิทธิขายเสียง
บทที่ ๑๕ วสิ ัยทศั นท์ างการเมอื ง (Political Vision) มโนทัศน์ท่เี ก่ยี วกบั วิสัยทศั นท์ างการเมอื ง (Political Vision) ความหมายของวสิ ัยทศั น์ (Meaning of Vision) วสิ ยั ทศั นท์ างการเมอื งเปน็ แนวคดิ ใหม่ ซง่ึ มคี วามแตกตา่ งจากทศั นคตทิ างการเมอื ง (Political Attitude) กลา่ วคือ ในขณะทท่ี ศั นคติทางการเมืองมงุ่ เน้นไปท่ีปฏิกริ ยิ าต่อสงิ่ เรา้ (Stimuli) ซง่ึ ปัจเจก ชนตอบสนองต่อประเด็นทางการเมืองในลักษณะสะท้อนความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ ส่วนวิสัยทัศน์ ทางการเมืองมุ่งไปที่การคาดการณ์ (Projection) ของปัจเจกชนถึงทิศทางและความเป็นไปได้ของ ปรากฏการณ์ (Direction and Probability of Phenomena) ที่อาจเกิดข้ึนในอนาคตภายหลงั จาก การทป่ี ระเด็นหรอื นโยบายทางการเมืองหนึ่ง ๆ ไดน้ ำ� ปฏบิ ัติ ในความหมายของมโนทศั นเ์ กยี่ วกบั วิสยั ทศั นท์ างการเมืองยังไมม่ ผี ้ใู ดให้ความหมายรวบยอด (Concept) โดยตรงไว้ ผู้ศึกษาจึงได้หาความหมายของค�ำว่า วิสัยทัศน์เพ่ือมาศึกษาเทียบเคียงจาก พจนานกุ รมและสารานกุ รม ซง่ึ ได้ใหค้ วามหมายดังน้ี The Webster’s Thesaurus Dictionary Format (๑๙๙๓ : ๑๘๗) ได้ใหค้ วามหมายของ คำ� วา่ วสิ ยั ทศั น์ วา่ วสิ ยั ทศั น์ หมายถงึ ความฝนั จนิ ตนาการและความนกึ คดิ ทม่ี อี ยขู่ า้ งในจากความคดิ เดมิ การมองเห็น ภาพหลอนซ่ึงจิตใจเป็นตัวก�ำหนดให้เกิดขึ้น ท�ำให้เกิดการมองเห็น การคาดเดาอนาคต หรอื กน้ บึ้งแห่งความคดิ ในการวางแผนอย่างลึกซึ้งหรอื ประสบความส�ำเร็จสงู สุดในอนาคต The Oxford English Reference Dictionary (๑๙๙๕ : ๑๑๒๓) ได้ให้ความหมายของ ค�ำว่า วสิ ัยทัศน์วา่ หมายถึง การมองเหน็ ความคิดหรอื การวาดมโนภาพจากจินตนาการถึงสิง่ ของหรอื บุคคลท่ีพบเหน็ ในความฝันหรอื จินตนาการและความนกึ คดิ หรอื จนิ ตนาการจากข้างใน The Webster’s Thesaurus (๑๙๙๔ : ๒๔๕) ได้ให้ความหมายของค�ำว่าวิสัยทัศน์ว่า หมายถงึ การคิดถึง การนึกถึง ส่งิ ทปี่ รากฏขึ้นในจนิ ตนาการหรือผ้มู ีบญุ ที่มาปรากฏตวั ในนิมติ ของเรา เช่นพระเยซูมาเข้าฝันและบอกทางไปสู่สวรรค์ ความคิดหรือการวางแผนถึงอนาคตอย่างลึกซ้ึง (การมองการณไ์ กล)
384 รฐั ศาสตร์เบือ้ งต้น The Webster’s Dictionary (๑๙๙๔ : ๒๓๔) ไดใ้ หค้ วามหมายของวสิ ยั ทัศน์ หมายถึง การ มองเห็นความนกึ คิดถงึ อนาคต (การวางแผน) การประดษิ ฐ์คดิ ค้นจากความคดิ หรือจินตนาการ The Oxford Advanced Learner’s Dictionary of Current English (๑๙๙๕ : ๑๓๓๐) ได้ให้ความหมายของค�ำว่าวิสัยทัศน์ หมายถึง พลังในการมองเห็น การมองเห็น ความสามารถในการ คดิ หรอื วางแผนไวส้ ำ� หรบั อนาคตดว้ ยความคดิ และไตรต่ รองอยา่ งดดี ว้ ย และสงิ่ ทเ่ี ปน็ ประสบการณท์ ม่ี ี พลังในการนึกคิดเพื่ออนาคต The World Book Dictionary (๑๙๘๒ : ๒๓๓๘) ไดใ้ หค้ วามหมายของคำ� วา่ วสิ ยั ทศั น์ หมาย ถึง พลังในการมองเห็นหรือความรู้สึกในการมองเห็น ความเป็นจริงการมองเห็นซึ่งท�ำให้เราเกิดความ รู้สึกคล้อยตาม ฟังจากความคิดท่ีชัดเจนเพ่ือที่จะท�ำการวางแผนเพ่ืออนาคต สิ่งที่เห็นในความนึกคิด ในความฝัน และความล้ำ� ลึกทางความคิดท่สี วยงาม The Shorter Oxford English Dictionary of Historical Principles (๑๙๗๓ : ๒๔๘๒) ได้ให้ความหมายของค�ำว่าวิสัยทัศน์ หมายถึง บางสิ่งบางอย่างที่สามารถเห็นได้โดยไม่ได้มองเห็นด้วย ตาเปล่า ความคิดท่ีเกิดข้ึนจากส่วนลึกซ่ึงไม่มีบ่อยนัก หรือเกิดจากความคิดความฝันที่อยู่ในใจมานาน และการมองเห็นด้วยสายตา การเมืองเห็นด้วยจติ ใจ The Concise Oxford Dictionary of Current English (๑๙๙๐) : ได้ให้ความหมายของ ค�ำวา่ วสิ ยั ทศั น์ หมายถึงการมองเห็น สง่ิ ท่ีเห็นเหนือธรรมชาติ ความสามารถในการคิดหรอื วางแผนไว้ สำ� หรับอนาคตด้วยความคดิ และไตร่ตรองอย่างถถี่ ว้ น และสง่ิ ท่เี ปน็ ประสบการณ์ท่มี ีพลังในการนกึ คิด เพ่ืออนาคต ธรี ยทุ ธ บญุ ม๒ี ๗๗ไดใ้ หค้ วามหมายของวสิ ยั ทศั นไ์ วว้ า่ เปน็ การมองไกลหรอื ความคดิ อยา่ งลกึ ซงึ้ ในการพจิ ารณาคาดการณล์ ่วงหนา้ ถึงปัญหาต่างๆ ที่เกดิ ขนึ้ ในอนาคต ประเวศ วะสี๒๗๘ ได้ให้ความหมายของวิสัยทัศน์ว่า หมายถึงการก�ำหนดวิสัยของพฤติกรรม เกิดจากการเข้าใจความจริงและความเป็นจริง ถ้าขาดความเข้าใจและความเป็นจริงแล้ว ย่อมไม่มี วสิ ยั ทศั น์ คนจำ� นวนมากมเี จตนารมณท์ ดี่ ี แตว่ สิ ยั ทศั นแ์ คบสนั้ ทำ� ใหก้ ารไมส่ ำ� เรจ็ หรอื กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หา เพราะวิสยั ทัศนแ์ คบสั้นยอ่ มไม่สอดคล้องกบั ความเปน็ จรงิ ๒๗๗ ธีรยุทธ บญุ ม.ี “ธรรมรฐั – สภาท่ปี รึกษา Spirit สงั คมไทยกหู้ ายนะไทย”, ประชาชาติธรุ กจิ (๒๒ – ๒๕ มกราคม ๒๕๔๑). ๒๗๘ ประเวศ วส.ี ระเบยี บวาระแห่งชาติ ปฏิรูปสงั คมไทย. กรุงเทพมหานคร : โครงการวถิ ที รรศน์. ๒๕๔๑ : ๙๘ - ๙๙ ๒๗๙ เกรียงศกั ด์ิ เจรญิ วงศศ์ กั ดิ.์ ปฏิรูปครบวงจร : สู่ยคุ เรอื งรองของเมอื งไทย. กรงุ เทพมหานคร : ซัคเซสมีเดยี ม ๒๕๔๐ : ๑๓
วิสยั ทศั น์ทางการเมอื ง (Political Vision) 385 เกรียงศักดิ์ เจริญวงศศ์ ักด๒ิ์ ๗๙ ได้ใหค้ วามหมายของวิสัยทัศนว์ า่ หมายถงึ ภาพในอนาคตทพ่ี งึ ปรารถนาในเชิงรุกไปข้างหน้า ต้องเป็นความฝันท่ีย่ิงใหญ่และกว้างไกลและน่าท้าทาย ไม่ใช่ความเป็น เลก็ ๆ น้อย ๆ ตอ้ งมสี ิ่งทีเ่ พิม่ เตมิ และแปลกใหม่จากส่งิ ท่ีเคยเกิดขึน้ ในอดตี รวมทงั้ ตอ้ งมีความชดั เจน เพยี งพอทจ่ี ะรวู้ า่ วสิ ยั ทศั นเ์ รมิ่ เมอ่ื ใด และสำ� เรจ็ เมอื่ ใด รวมทง้ั สามารถวดั ไดด้ ว้ ยวา่ สำ� เรจ็ หรอื ไม่ มคี วาม ชดั เจนทตี่ อ้ งเรมิ่ จากนามธรรม และสน้ิ สดุ ทรี่ ปู ธรรมทชี่ ดั เจนวดั ไดแ้ ละนำ� ไปปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งไมค่ ลมุ เครอื โดยสรุปแล้ว จากความหมายต่าง ๆ ท่ีกล่าวมาน้ัน ค�ำว่า วิสัยทัศน์ หมายถึง การมองเห็น หรอื การวางแผนนกึ คดิ ไวส้ ำ� หรบั อนาคตดว้ ยความไตรต่ รองอยา่ งถถ่ี ว้ น หรอื เปน็ สง่ิ ทเ่ี ปน็ ประสบการณ์ ในการนกึ คดิ เพอื่ อนาคต ซง่ึ จะเกยี่ วพนั โดยตรงกบั เวลาในอนาคต รวมถงึ เปน็ เปา้ หมายสงู สดุ ทค่ี าดหวงั ไวใ้ นอนาคต ความหมายของวสิ ยั ทัศนท์ างการเมอื ง (Meaning of Political Vision) วิสัยทัศน์ทางการเมือง หมายถึง การเห็นอนาคต การมีทัศนะที่ก้าวไกลท่ีมีต่อการเมือง ต่อ วตั ถทุ างการเมอื ง (Political Object) ได้แก่ระบบการเมอื งปัจจยั นำ� เข้า (Input) ผลผลิตทางการเมือง (Output) และตัวท�ำทางการเมือง (Political Actor) วัตถุทางการเมืองในความหมายของ Almond และ Verba ได้แยกออกเปน็ ๔ มิติด้วยกัน (อ้างในศริ ิพร วะระทมุ ๒๕๓๙ : ๒๓ - ๒๔) ดงั น้ี คอื ๑. ระบบการเมอื งหมายถึงวิสยั ทศั น์ทม่ี ีต่อระบบการเมืองแบง่ เป็น ๓ สว่ น ๑.๑ โครงสรา้ งทางการเมอื ง เชน่ ระบบขา้ ราชการ องคก์ รนติ บิ ญั ญตั ริ ะบบราชการเปน็ ตน้ ๑.๒ ผมู้ ตี ำ� แหนง่ อำ� นาจทางการเมอื ง เชน่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร หรอื รฐั มนตรเี ปน็ ตน้ ๑.๓ นโยบายของรฐั ไดแ้ ก่ การตดั สนิ ใจและการนำ� นโยบายไปปฏบิ ตั เิ ฉพาะเปน็ เรอื่ ง ๆ ไป ๒. ผู้มีบทบาทหรือการกระท�ำทางการเมือง หมายถึง การมองผู้ที่จะบริหารประเทศ ได้แก่ เนื้อหาสาระและคุณภาพท่ีเก่ียวข้องกับความผูกพันทางการเมืองและสมรรถภาพส่วนตัวท่ีมีต่อระบบ การเมอื ง ๓. กระบวนการด้านปัจจยั นำ� เขา้ เป็นความตอ้ งการของสังคมทีผ่ ลกั ดนั เรียกรอ้ งให้การเมือง ปฏิบัติตาม โดยมีปัจจัยผลักดันต่าง ๆ ได้แก่ กระแสความต้องการของสังคมที่มีต่อระบบการเมือง รวมถงึ การเปลย่ี นความต้องการเหลา่ นี้ใหเ้ ป็นนโยบายของรัฐ โดยมีโครงสร้างทางการเมืองทเี่ ก่ียวข้อง เช่น พรรคการเมอื ง หรอื กลุ่มผลประโยชน์ เป็นตน้ ๒๗๙ เกรียงศกั ดิ์ เจรญิ วงศ์ศกั ด์.ิ ปฏริ ูปครบวงจร : สยู่ ุคเรืองรองของเมอื งไทย. กรุงเทพมหานคร : ซัคเซสมีเดยี ม ๒๕๔๐ : ๑๓
386 รฐั ศาสตร์เบ้อื งต้น ๔. กระบวนการดา้ นประสทิ ธภิ าพระบบการเมอื ง คอื กระบวนการนำ� นโยบายของรฐั ไปปฏบิ ตั ิ โดยมีโครงสรา้ งที่เกยี่ วขอ้ ง เชน่ ระบบราชการ หรอื ศาลสถิตยตุ ิธรรม เป็นต้น กล่าวโดยสรุปแล้ววิสัยทัศน์ (Vision) หมายถึง มโนทัศน์ใหม่ทางวิชาการจึงมีความแตกต่าง จากมโนทศั นอ์ ื่น ๆ เชน่ ทัศนคติทางการเมือง กลา่ วคือ ทัศนคตทิ างการเมืองมุ่งเน้นการตอบสนองต่อ สิ่งเร้า (Stimuli) ทีเ่ ป็นประเด็นทางการเมอื งในลักษณะท่ีชอบไมช่ อบ แต่วสิ ัยทัศน์ทางการเมืองจะมุ่ง ไปที่การคาดการณ์ (Projection) ถึงทิศทางและความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์ทางการเมืองที่อาจ เกดิ ขน้ึ ในอนาคต นอกจากนี้ วสิ ยั ทศั นท์ างการเมอื งจงึ แตกตา่ งจากวฒั นธรรมทางการเมอื งทถ่ี อื วา่ เปน็ ระบบความคิด (A Way of Thinking) ท่ีสบื ทอดตามประเพณมี าจากอดตี ทมี่ ีตอ่ การเมืองในปัจจุบนั สรุปความหมายของวิสัยทัศน์ว่ามีความหมายที่ส�ำคัญคือการคาดการณ์ของปัจเจกชนถึง ทิศทางและความเป็นไปได้ของปรากฏการณ์ท่ีอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นแนวคิดที่มองไปข้างหน้า ไม่ใช่การตามแกป้ ัญหา ดังนน้ั จึงเป็นการวดั คุณคา่ ทางการเมอื งในเชงิ โครงสรา้ ง ทีถ่ งึ ความปรารถนา ที่อาจจะเกดิ ขึ้นในอนาคตทางการเมือง มโนทศั น์เก่ียวกบั ธรรมรัฐ (Good Governance) ความหมายของธรรมรัฐ (Meaning of Good Governance) มโนทศั นธ์ รรมรฐั ถูกนำ� มาใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลาย ในชว่ งระยะเวลา ๒๐ – ๓๐ ปกี ่อน ในประเทศ ตะวนั ตกมาน่ีเอง เนื่องจากปัญหาทร่ี ฐั ได้เขา้ ไปมีบทบาทมากเกินไปในสังคม เชน่ รัฐเข้าไปดูแลในเร่อื ง เศรษฐกิจ ดังน้ัน จึงเกิดข้อเรียกร้องจากประชาชนมากกว่าให้รัฐลดบทบาทของตัวเองไปโดยอาศัย แนวคิดธรรมรัฐ ต่อมาเม่ือองค์การระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก หรือ กองทุนการเงินระหว่าง ประเทศต้องการแก้ปัญหารัฐบาลในประเทศเงินกู้ท่ีการคอรัปชั่นสูงและไร้ประสิทธิภาพในการท�ำงาน จงึ น�ำแนวคิดธรรมรัฐมาใชเ้ ปน็ เงื่อนไขเงนิ กู้เพ่อื ควบคุมและปรบั บทบาทรฐั ในประเทศกำ� ลังพฒั นา ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งในหลายประเทศเงินกู้ของธนาคารโลก และกองทุนการเงิน ระหว่างประเทศ แต่แนวคิดธรรมรัฐ เม่ือปะทะกับพลังภาพในประเทศของกลุ่มท่ีมีอุดมการณ์ต่าง ๆ ก็จะมีแนวคดิ ธรรมรัฐไว้แตกตา่ งดงั นี้ ธนาคารโลก (๑๙๙๕) ได้อธิบายความหมายของ ธรรมรัฐ ว่า คือ “ลักษณะและวิถีทางของ การทอ่ี ำ� นาจได้ถูกใช้ไป ในการจดั การทรพั ยากรทางเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศเพือ่ การพฒั นา ดังนนั้ ในทัศนะของธนาคารโลก ธรรมรัฐ คอื การใชอ้ ำ� นาจทางการเมอื งเพอ่ื จดั การงานของ บา้ นเมอื ง ดว้ ยการใหบ้ รกิ ารสาธารณะทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ ระบบทยี่ ตุ ธิ รรม และกระบวนการทางกฎหมาย
วสิ ยั ทัศน์ทางการเมอื ง (Political Vision) 387 ที่เป็นอิสระเพ่ือให้การด�ำเนินการต่าง ๆ เป็นไปตามสัญญา มีฝ่ายบริหารที่โปร่งใส มีระบบราชการท่ี เคารพสิทธิของพลเมือง มีฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ิท่มี ีความรับผิดชอบและมีสือ่ มวลชนทเี่ ป็นเสรี อานนั ท์ ปันยารชุน๒๘๐ (๒๕๔๑ : ๒) อธบิ ายธรรมรัฐ วา่ คือ ผลลัพธข์ องการจดั การกิจกรรม ซง่ึ บคุ คลและสถาบนั ทง้ั ในภาครฐั และเอกชนมผี ลประโยชนร์ ว่ มกนั ไดก้ ระทำ� ลงในหลายทาง มลี กั ษณะ เปน็ กระบวนการทเี่ กดิ ขน้ึ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ซงึ่ อาจนำ� ไปสกู่ ารผสมผสานผลประโยชนท์ หี่ ลากหลายและขดั แย้งกนั ได้ โดยสาระแล้ว ธรรมรฐั คอื องคป์ ระกอบที่ท�ำให้เกดิ การจดั การอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ เพื่อให้ แนใ่ จวา่ นโยบายทกี่ ำ� หนดไวจ้ ะไดผ้ ล หมายถงึ การมบี รรทดั ฐาน เพอ่ื ใหม้ คี วามแนใ่ จวา่ รฐั บาลจะสามารถ สร้างผลงานตามที่สัญญาไว้กับประชาชน (ปาฐกถา “ธรรมรัฐกับอนาคตประเทศไทย”, ๒๕ มีนาคม ๒๕๔๑) ธนาคารพัฒนาการแหง่ เอเชีย หรือ ADB ซ่ึงเชือ่ มโยงกบั World Bank และ IMF ขยายหลกั การธรรมรัฐทางการเมืองออกมา และแยกแยะได้ดงั นี้ คือ ๑. ความนา่ เชอื่ ถอื และมกี ฎเกณฑท์ ่ชี ัดเจน (Accountability) ๒. ความโปร่งใส (Transparency) ๓. การมสี ว่ นรว่ ม (Participation) ๔. ความสามารถคาดการณ์ได้ (Predictability) ๕. การปฏสิ มั พันธ์ (Interrelate) The Oxford English Reference Dictionary (๑๙๙๕ : ๑๑๒๓) ให้ความหมาย Good Governance ไว้ว่าเป็นการกระท�ำต่าง ๆ นิสัยในคอ และความประพฤติ การปกครอง รัฐบาลการ ควบคุม และกฎข้อบังคับ การมีอ�ำนาจในการปกครองที่แบ่งตามข้อก�ำหนดท่ีชัดเจน อ�ำนาจในการ ปกครอง บุคคลหรอื กลมุ่ คณะที่ทำ� การปกครอง การดำ� เนินชวี ิตหรอื ธรุ กจิ ๒๘๐ อานนั ท์ ปันยารชุน. “ธรรมรัฐกับอนาคตของประเทศไทย”. มตชิ น (๒๖ มีนาคม ๒๕๔๑) รว่ มกนั คดิ – ช่วยกันแก.้ วฏั จักร (๒๖ มีนาคม ๒๕๔๑) หน้า ๒
388 รัฐศาสตร์เบอ้ื งต้น ในหนงั สือ ชอ่ื Governance Without Government : Order and Change in the World Politics ศาสตราจารย์ Ernst – Otto Czempiel อธิบายวา่ Good Governance คอื ความสามารถ ท่ีจะทำ� ใหง้ านลลุ ว่ งไปไดโ้ ดยไม่ต้องใช้อำ� นาจทางกฎหมายมาบังคบั (I understand “governance” to mean the capacity to get things done without the legal competence to command that they be done)๒๘๑ พลเอกบุญศักด์ิ ก�ำแหงฤทธิรงค์๒๘๒ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ อธิบายว่า ธรรมรัฐ หมายถึง รัฐท่ีด�ำเนินการไปด้วยธรรม ประชาชนมีสติปัญญา ก่อให้สังคมเป็นปึกแผ่น ในความเป็น หนึ่งเดียว ฝ่ายที่คิดเป็นศัตรูย่อมท�ำอะไรไม่ได้ หากคนไทยรักเมืองไทยรู้จักความเป็นไทยมากกว่านี้ จะมีพลังสตปิ ญั ญา มกี ารจดั การทใ่ี ชค้ วามปรองดองสร้างสรรค์ ในที่สดุ ธรรมรัฐก็เกดิ ข้นึ ได้ ธรี ภทั ร เสรรี งั สรรค๒์ ๘๓ ไดอ้ ธบิ ายวา่ ธรรมรฐั หมายถงึ การปกครองเพอื่ ศลี ธรรมหรอื คณุ ธรรม เป็นกระบวนการของประชาชนท่ีมีความมุ่งหมายที่จะให้องค์ประกอบทุกส่วนในสังคมได้เข้าไปมีส่วน รว่ มในการบรหิ ารจัดการภายในรัฐหรือรว่ มกบั ภาครัฐ โดยมีองค์ประกอบท่สี �ำคัญ ๔ ประการคือ ๑. การท�ำงานอย่างมีหลักการและเหตุผลมีความรับผิดชอบและสามารถตรวจสอบได้ (Accountability) ๒. การมีสว่ นรว่ มของประชาชนและองคก์ รต่าง ๆ ในภาคประชาสังคม (Participation) ๓. ระบบการบรหิ ารจดั การตอ้ งมคี วามโปรง่ ใส (Transparency) มกี ารเปดิ เผยขอ้ มลู ขอ้ เทจ็ จรงิ ๔. ตอ้ งสามารถคาดการณอ์ นาคตได้ (Predictable) นายแพทยป์ ระเวศ วะสี๒๘๔ อธบิ าย ธรรมรฐั วา่ ประกอบดว้ ยภาครฐั ภาคธรุ กจิ และภาคสงั คม ทมี่ คี วามถกู ตอ้ งเปน็ ธรรม โดยรฐั และธรุ กจิ ตอ้ งมคี วามโปรง่ ใส มคี วามรบั ผดิ ชอบทถ่ี กู ตรวจสอบได้ และ ภาคสงั คมเขม้ แขง็ ธรรมรฐั แหง่ ชาติ หมายถงึ การทป่ี ระเทศมพี ลงั ขบั เคลอ่ื นทถ่ี กู ตอ้ งเปน็ ธรรม โดยการ ถกั ทอทางสงั คมเพอื่ สรา้ งพลงั งานทางสงั คม (Social Energy) เพอ่ื นำ� ไปสกู่ ารแกไ้ ขปญั หาของประเทศชาติ กอ่ ให้เกิดระบบรัฐแห่งชาติข้ึน ๒๘๑ ประสาน มฤคพิทักษ์. “แท้ทจ่ี รงิ ธรรมรฐั คอื การสร้างความดีงามร่วมกัน”, มตชิ น (๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๑) หนา้ ๖ ๒๘๒ นฤมล ทับจมุ พล. แนวคิดและวาทกรรมว่าด้วย : ธรรมรฐั แหง่ ชาต.ิ กรุงเทพมหานคร, ๒๕๔๑ : ๔ ๒๘๓ ธีรภทั ร เสรีรังสรรค.์ คลงั สมองสามสิบสองสงิ ห์ค�ำ. กรุงเทพมหานคร : ศูนยห์ นงั สอื จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๔๑ ๒๘๔ ประเวศ วส.ี เรื่องเดิม. ๒๕๔๑ : ๕
วสิ ยั ทัศน์ทางการเมอื ง (Political Vision) 389 ชยั วฒั น์ สถาอานนั ท์ (๒๕๔๐) อธบิ ายไวว้ า่ ธรรมรฐั หมายถงึ การบรหิ ารกจิ การของบา้ นเมอื ง ด้วยความเป็นธรรม เคารพสิทธิของผู้คนพลเมืองอย่างเสมอกัน มีระบบตัวแทนประชาชนท่ีสะท้อน ความคดิ ของผคู้ นไดอ้ ยา่ งเท่ียงตรง มรี ฐั บาลทไี่ ม่ถอื อำ� นาจเป็นธรรม แตใ่ ชอ้ �ำนาจอยา่ งท่ปี ระชาชนจะ ตรวจสอบได้ ตัวรัฐบาลเองก็มีความเอ้ืออาทรต่อผู้คนสามัญเป็นอาภรณ์ประดับตน ไม่ดูถูกประชาชน ดว้ ยการเอาความเทจ็ มาให้ และมอี ารยะพอทจ่ี ะแสดงความรบั ผดิ ชอบหากบรหิ ารงานผดิ พลาดหรอื ไร้ ประสิทธิภาพ ธีรยุทธ บุญมี (๒๕๔๑) อธิบายว่า “ธรรมรัฐ คือ กระบวนความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐ ภาคสังคม ภาคเอกชน และประชาชนโดยทั่วไปในการที่จะทำ� ใหก้ ารบรหิ ารราชการแผ่นดินดำ� เนนิ ไป อย่างมีประสิทธิภาพมีคุณธรรม โปร่งใส ยุติธรรม และตรวจสอบได้ การบริหารประเทศที่ดีควรเป็น ความร่วมมือแบบส่ือสาร ๒ ทาง ระหว่างรัฐบาลประชาธิปไตย และฝ่ายสังคม เอกชนองค์กรที่ไม่ใช่ หนว่ ยงานรฐั (NGO) โดยเนน้ การมสี ว่ นรว่ ม ความโปรง่ ใส และตรวจสอบได้ การรว่ มกนั กำ� หนดนโยบาย และการจัดการตนเอง ของภาคสังคมเพิม่ มากขน้ึ เพื่อน�ำไปสู่การพฒั นาท่ยี ่งั ยืนและเป็นธรรมมากขน้ึ ธีรยุทธ บญุ ม๒ี ๘๕ (๒๕๔๑) มองวา่ “ธรรมรัฐ” หมายถงึ การประสานร่วมมือกันระหา่ งภาครฐั – สังคม – เอกชน ให้เกิดการปกครอง การบริหารประเทศท่ีโปร่งใส เป็นธรรมตรวจสอบได้ และมี ประสิทธภิ าพ ดงั นั้น แนวคดิ ของธรี ยทุ ธ บุญมี จึงถือเปน็ ธรรมรฐั แหง่ ชาติอีกรูปแบบหนงึ่ การต้องใช้ธรรมรัฐ เพราะรากเหง้าปัญหาที่แท้จริงเกิดจากความหมักหมมฟอนเฟะในระบบ สังคมไทย ตงั้ แต่ระบบการเมือง ราชการ เทคโนแครต็ และภาคธรุ กจิ โดยมปี ระชาชนของเราออ่ นแอ ไมเ่ ขม้ เขง็ ไมม่ คี วามรพู้ อจะตรวจสอบนโยบายและการดำ� เนนิ งานของทกุ ภาคทกี่ ลา่ วมาไดจ้ นเกดิ ความ เสียหายย่อยยับต่อเศรษฐกิจ การเงิน การคลังของประเทศ ส�ำหรับทางแก้ท่ีกล่าวถึงท่ีสุดก็คือ การปฏิรูประบบต่าง ๆ ในสังคมเสียใหม่ แต่แทนท่ีจะมีฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงลุกข้ึนมาเรียกร้องให้อีกฝ่าย ปฏริ ปู กลบั เปน็ ขอ้ เรยี กรอ้ งใหท้ งั้ สงั คมปฏริ ปู ตวั เอง ทงั้ น้ี สาเหตหุ นงึ่ เปน็ เพราะเราตอ้ งเผชญิ การคกุ คาม ทางเศรษฐกจิ จากภายนอกรว่ มกนั และอกี สาเหตหุ นง่ึ สงั คมสว่ นใหญล่ ว้ นมสี ว่ นในความผดิ พลาดทเ่ี กดิ ขน้ึ ธรี ยทุ ธ บญุ มี เหน็ วา่ ธรรมรฐั แหง่ ชาตเิ ปน็ ยทุ ธศาสตรท์ ถ่ี กู ตอ้ งในการแกป้ ญั หาวกิ ฤตเิ ศรษฐกจิ ครงั้ นี้ เพราะธรรมรฐั แหง่ ชาติ คอื ยทุ ธศาสตรก์ ารเพม่ิ ทนุ ทางการเมอื งสงั คมและวฒั นธรรมของเราเพอื่ ไปเพ่ิมทุนเศรษฐกิจอีกต่อหนึ่ง ต้องยอมรับว่า ทุนทางเศรษฐกิจของเราเสียหายหมดส้ิน เป็นหนี้สิน ล้นพ้นตวั ไปแลว้ ทเี่ หลอื คอื ทุนการเมอื ง ซ่งึ ก็คือระบบประชาธปิ ไตยและการปฏริ ูปรัฐธรรมนูญทส่ี รา้ ง กันท�ำกนั มาต้ังแต่เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๕ และการปฏิรปู การเมอื ง ๒๘๕ ธรี ยุทธ บญุ มี เร่อื งเดมิ . ๒๕๔๑.
390 รฐั ศาสตร์เบอื้ งต้น ดังนั้น แนวคดิ ธรรมรัฐแห่งชาติจึงเรยี กร้องใหบ้ คุ ลากร สถาบนั องค์กรทางการเมือง สงั คมมา รว่ มผนกึ กำ� ลงั กนั โดยไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งจดั ตงั้ เปน็ องคก์ รทางการ แตเ่ ปน็ รปู แบบความรว่ มมอื อยา่ งแขง็ ขนั กจ็ ะชว่ ยสรา้ งทงั้ กำ� ลงั ใจ ทางดา้ นขวญั ความรู้ คณุ ธรรม เปน็ สญั ลกั ษณท์ ส่ี รา้ งความหวงั แกผ่ คู้ นทก่ี ำ� ลงั ตึงเครียดความทุกข์อย่างสาหัสได้มาก แนวทางที่ถูกคือทางสายกลางคือ การพึ่งพาตนเองและเสริม วญิ ญาณไทย-ใจสากล ธรรมรฐั แหง่ ชาติ เปน็ การเคลอ่ื นไหวอยา่ งมพี ลงั ขององคก์ รทอ้ งถน่ิ ประชาคม ชมุ ชนเพอื่ เขา้ ใจ ปัญหา พงึ่ พาตนเอง ชว่ ยตัวเอง ปฏริ ูปตนเอง ขณะเดยี วกันก็เพอ่ื ความเขม้ แข็งท่ีจะตรวจสอบสิง่ ทไี่ มด่ ี ไม่งามตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งจรงิ จงั กลา่ วโดยสรปุ แลว้ ธรี ยทุ ธ บญุ มี เหน็ วา่ ธรรมรฐั แหง่ ชาติ เปน็ หนทางเดยี วทจ่ี ะสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ใหป้ ระเทศแข็งแรง ไมใ่ หเ้ จบ็ ป่วยอีกในอนาคต ดังน้ัน เมื่อเราสรุปความหมายของ “ธรรมรัฐ” ต่าง ๆ ท่ีให้มา เราจึงสามารถแบ่งออกเป็น ความหมายใหญ่ ๆ ๒ ความหมาย คอื ธรรมรัฐในความหมายแคบ และในความหมายกว้าง ดงั นี้ (๑) ธรรมรัฐในความหมายแคบ ถือได้ว่าเป็นความหมายท่ีใช้กันโดยทั่วไป คือ ธรรมรัฐ ประกอบด้วยมิตทิ ่สี �ำคญั ดังน้ี ๑.๑ การมปี ระสิทธิภาพในการบริหาร (Efficiency) หมายความวา่ การท�ำงานจะต้อง คดิ ถงึ ความสำ� เรจ็ เพอื่ สาระประโยชนโ์ ดยดำ� เนนิ การจดั สรรงบประมาณทเ่ี หมาะสมภายในเวลาทมี่ จี ำ� กดั ๑) ความโปร่งใส (Transparency) หมายถึง การแสดงใหเ้ หน็ ว่ากำ� ลงั ท�ำอะไรอยู่เปน็ ภาพของความซ่ือสัตยส์ จุ รติ ในการไดม้ าซงึ่ ตำ� แหน่งทางการเมือง ภาพของความสะอาดโปร่งใสในการ ด�ำเนินงานทางการเมือง ซ่งึ นั่นก็คือการรวมถงึ การเมอื งระบบราชการและภาคธรุ กิจที่โปร่งใส ๒) การคาดการณ์ได้ (Predictable) หมายถงึ การท่ีจะทำ� อะไร จะต้องมีการวางแผน ไวล้ ว่ งหนา้ กอ่ น เปน็ การปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑท์ ก่ี ำ� หนดไว้ เนอ่ื งจากกระทำ� ทกุ อยา่ งมกี ฎเกณฑเ์ ปน็ เรอ่ื ง ของการท�ำนายอนาคต สามารถมองไดว้ า่ อะไรจะเกิดขึ้น หากมกี ารปฏิบัตจิ ริง ๓) ความสามารถตรวจสอบได้ (Accountability) หมายถงึ การทำ� งานอยา่ งมหี ลกั การ มีความรับผิดชอบ นั่นก็คือการตัดสินใจอย่างน้ัน ซ่ึงผลสามารถตรวจได้โดยประชาชน ท่ัวไปในสังคม เป็นเร่อื งของความถูกต้อง
วิสยั ทัศนท์ างการเมอื ง (Political Vision) 391 ๔) การมีส่วนร่วม (Participation) หมายถึง การมีส่วนร่วมในทุกกระบวนการของ สังคม และทกุ ระดับตามความเปน็ ไปไดข้ องประชาชน ไม่วา่ จะเป็นการรว่ มระบปุ ัญหา ร่วมกันหาทาง แก้ไขร่วมกันถกประเด็นความคิดและร่วมกันเสาะหาข้อมูล ซึ่งในส่วนของการมีส่วนร่วมน้ีถือเป็นส่วน ทส่ี ำ� คัญของ Good Governance เพราะเม่ือไม่มคี วามรู้กไ็ มส่ ามารถตดิ ตามตรวจ สอบได้ (๒) ธรรมรฐั ในความหมายกว้าง ๒.๑ ธรรมรฐั หมายถงึ รัฐทม่ี คี วามเป็นธรรมซง่ึ จะตอ้ งมคี วามเปน็ ธรรมในเรอื่ งการมี ระบบการเมอื งและระบบราชการทโี่ ปรง่ ใส รบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม สามารถถกู ตรวจสอบได้ มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ การกระทำ� ทเ่ี กดิ ขนึ้ มปี ระสทิ ธภิ าพ มกี ารดแู ลสทิ ธมิ นษุ ยชนและสภาพแวดลอ้ ม จะตอ้ งมสี งั คม ทเ่ี ข้มแขง็ มีความเปน็ ประชาสงั คม (Civil Society) ประชาชนมีส่วนรว่ มสามารถตรวจสอบภาครฐั ได้ ๒.๒ ธรรมรัฐจะรวมถึงในแง่มุมของอุดมการณ์ประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชน โดยถือว่าแต่ละคนเท่าเทียมกันและมีสิทธิละเมิดมิได้ อิสรภาพในความคิดเป็นตัวการก�ำหนด กระบวนการต่าง ๆ ว่ากระบวนการใดทำ� ได้ กระบวนการใดท�ำไม่ได้ ดังนั้น เราจงึ สรปุ ความหมายธรรมรัฐ (Good Governance) ได้ดังน้ี ธรรมรัฐ หรอื Good Governance เปน็ อำ� นาจการเมอื งการปกครองแบบใหม่ท่ีไมแ่ ขง็ ทื่อ ตายตวั แตใ่ หม้ ปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ภาคประชาชน และใหม้ ลี กั ษณะแยกยอ่ ยมากขนึ้ แนวคดิ เรอื่ งอำ� นาจและ ความชอบธรรมเป็นดังนี้ คือ ๑. ประชาชนเป็นเจ้าของอ�ำนาจ เป็นหุ้นส่วนในการปกครองประเทศ รัฐต้องลดขนาดของ ตัวเอง ลดอำ� นาจตัวเอง ใหภ้ าคสงั คม ภาคประชาชนมอี ำ� นาจมากข้นึ ๒. ในโลกปัจจุบันภาคเศรษฐกิจ มีความซับซ้อนใหญ่โตมากกว่าภาคการเมืองราชการ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศกบั ภาคเศรษฐกจิ มคี วามซบั ซอ้ นหลากหลายยากทภ่ี าคการเมอื ง ราชการ จะดแู ลไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพได้ จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งใหป้ ระชาชนมสี ว่ นรว่ มโดยตรง (Direct หรอื Participa- tory Democracy) มากยิ่งข้ึนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความเป็นธรรม กล่าวอีกนัยหน่ึงคือ การสรา้ งความชอบธรรมใหเ้ กิดในทกุ ระดับ ๓. การมีธรรมรัฐในทุกระดับ คือการสร้างความชอบธรรมในทุกสังคม หรือกระจายให้มี ความชอบธรรมในระดับย่อย (Micro Legit Imation Drowses) หลายระดับและมีความเชื่อมโยง ซ่งึ กนั และกัน
392 รัฐศาสตร์เบ้ืองตน้ ธรรมรฐั ภาคเมือง ธรรมรัฐภาคเศรษฐกจิ ธรรมรฐั ระดบั ธรรมรฐั ภาคสังคม ธรรมรัฐภาคชุมชน ภาพท่ี ๑ แสดงความสัมพันธธ์ รรมรัฐในระดับความหมายตา่ ง ๆ ธรรมรัฐระดับบุคคล คือ ประชาชนตระหนักว่าตัวเองมีอ�ำนาจกล้าใช้อ�ำนาจบนความรับผิด ชอบและเป็นธรรม ธรรมรัฐระดับชุมชน คือ การประสานสทิ ธอิ ำ� นาจของชมุ ชน เข้ากบั การปกครองท้องถน่ิ ธรรมรัฐภาคธุรกิจเอกชน คือ การบรหิ ารการจัดการ ธรุ กิจเอกชน รฐั วสิ าหกจิ ใหต้ รวจสอบ ได้โปร่งใส มปี ระสิทธภิ าพ และมคี วามรบั ผดิ ชอบต่อสังคม ธรรมรฐั ภาคการเมอื งและราชการ คอื การกระจายใหม้ กี ารจดั การทด่ี มี กี ารตรวจสอบภายใน และระหวา่ งกันเพ่อื เกดิ ความรับผิดชอบตอ่ ส่วนรวม จากอดตี ทผ่ี า่ นมาเราจะเนน้ ความชอบธรรมภาคการเมอื งราชการอยา่ งเดยี ว เมอ่ื การเมอื งมา จากการซอื้ เสยี ง ราชการมคี อรปั ชนั่ มากกข็ าดความชอบธรรม ขณะเดยี วกนั สงั คมกอ็ อ่ นแอไมส่ ามารถ ตรวจสอบก�ำกับความประพฤติของรัฐได้ ในที่สุดมักน�ำไปสู่ไม่มีเสถียรภาพและวิกฤติบ่อยคร้ัง ดังนั้น ธรรมรัฐจงึ เป็นความรบั ผิดชอบและการตรวจสอบซง่ึ กันและกนั ของทุกระดบั ธรรมรัฐในความหมายแคบโดยเน้นความสะอาด โปร่งใสและความมีประสิทธิภาพในการ บรหิ ารของรฐั บาล เนอ่ื งจากเปน็ มติ ขิ องธรรมรฐั ทส่ี อดคลอ้ งกบั เนอ้ื หารฐั ธรรมนญู ฉบบั ปฏริ ปู การเมอื ง ปี ๒๕๔๐ มโนทัศน์เกีย่ วกบั การปฏิรปู ทางการเมือง (Political Reform) ความหมายการปฏิรปู ทางการเมอื ง (Meaning of Political Reform) ในการปฏิรูปทางการเมือง (Political Reform) มีนักวิชาการหลายท่านให้ความหมายไว้ คลา้ ยคลึงกันดังนี้
วิสยั ทัศนท์ างการเมือง (Political Vision) 393 อานนั ท์ ปนั ยารชนุ ๒๘๖เหน็ วา่ “การปฏริ ปู การเมอื ง” หมายถงึ การกำ� หนดโครงสรา้ งและระบบ ใช้อ�ำนาจรัฐเสียใหม่ เพื่อใหป้ ระชาชนมสี ิทธ์ิควบคมุ และตรวจสอบได้อยา่ งแทจ้ ริง อนั เป็นการปอ้ งกนั มใิ หม้ กี ารใชอ้ ำ� นาจการปกครองบา้ นเมอื งแสวงหาผลประโยชนใ์ หแ้ กต่ นเองและพวกพอ้ งในทางทมี่ ชิ อบ หรือทุจริตด้วยประการใด ๆ ดังน้ัน การปฏิรูปการเมืองจึงต้องเป็นการปฏิรูปท่ีมีพ้ืนฐานมาจากการมี สว่ นรว่ มของประชาชนอยา่ งแทจ้ รงิ ในกระบวนการทางการเมอื งทกุ ขนั้ ตอนและจากประชาชนทกุ ระดบั ชั้นในสังคม โดยนัยท่ีว่านั้นการปฏิรูปการเมืองท่ีบรรลุผลส�ำเร็จอย่างแท้จริง จึงมิใช่เป็นการพยายาม ท�ำให้คนเลวกลับเป็นคนดี แต่เป็นการหาหนทางป้องกันมิให้คนช่ัวคนเลวมีโอกาสเข้ามามีอ�ำนาจ ปกครองบา้ นเมอื งได้ โดยความรว่ มมอื รว่ มใจกนั ประชาชนคนไทยทงั้ ชาตนิ น้ั เอง เพอื่ ทจ่ี ะใหป้ ระชาชน สามารถเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในทางการเมอื งไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ การทำ� ใหส้ ทิ ธเิ สรภี าพชน้ั มลู ฐานของพลเมอื ง ตามรัฐธรรมนูญ มีผลบังคับใช้ได้ในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม จึงเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นท่ีจ�ำเป็นและ ส�ำคัญท่ีสุดที่จะน�ำไปสู่ความส�ำเร็จในการปฏิรูปการเมืองของสังคมไทย เพราะการมีสิทธิเสรีภาพ ขั้นพ้ืนฐานที่สามารถสัมผัสจับต้องได้ในความรู้สึกและวิถีชีวิตตามปกติของประชาชนคนไทยย่อมจะ เป็นสิง่ ท่ีคอยกระตุ้นเตอื นใหท้ กุ คนมีความตระหนักในศกั ดิศ์ รขี องความเปน็ มนษุ ย์ทีจ่ ะไมย่ ินยอมสยบ ใหก้ บั การใชอ้ ำ� นาจรัฐที่เกนิ เลยหรอื ไมช่ อบธรรมดว้ ยประการใด ๆ เกรยี งศกั ดิ์ เจรญิ วงศศ์ กั ด๒์ิ ๘๗ ไดใ้ หท้ ศั นะของการปฏริ ปู ทางการเมอื งไวว้ า่ การปฏริ ปู โดยทวั่ ไป หมายถึง การปรับปรุงแก้ไขข้อปฏิบัติที่ผิดพลาด กฎระเบียบท่ีปฏิบัติแล้วนอกจากจะไม่ก่อให้เกิด ประโยชน์ ยงั ก่อใหเ้ กดิ โทษและอันตรายแกส่ ว่ นรวมดว้ ย การแก้ไขดงั กล่าวเปน็ การแก้ไข “ท้ังระบบ” โดยใชก้ ารกระทำ� ภาคปฏบิ ตั อิ ยา่ งเปน็ ระบบและเปน็ ขนั้ ตอน ผา่ นความเหน็ ชอบรว่ มกนั โดยหลกี เลยี่ ง ความรุนแรง เพื่อน�ำไปสู่การเปล่ียนแปลงใหม่ที่ “ดีกว่า” และเป็นที่ยอมรับได้ของสังคมในภาพรวม เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป มีข้ันตอนเป็นระบบระเบียบ อันเป็นการปรับปรุงแก้ไข ข้อปฏิบัติท่ีผิดพลาด กฎระเบียบที่ปฏิบัติแล้วนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ยังก่อให้เกิดโทษและ อันตรายแกส่ ่วนรวมด้วย โดยการแกไ้ ขดังกลา่ วเปน็ การแก้ไข “ทงั้ ระบบ” ชยั อนนั ต์ สมทุ วณิช (๒๕๓๘ : ๑) ไดใ้ ห้ความหมายของการปฏริ ูปทางการเมอื ง หมายถงึ การ มเี ป้าหมาย และมาตรการทเ่ี ปน็ ระบบ ชัดเจนเปน็ รปู ธรรม ทจี่ ะแก้ไขสภาพการณ์ทางการเมอื งทด่ี �ำรง อยู่ โดยทห่ี ากไมม่ กี ารเปลยี่ นแปลงสภาพการณน์ น้ั เสยี กจ็ ะกระทบถงึ ความชอบธรรมและประสทิ ธภิ าพ ของสถาบนั และกระบวนการทางการเมอื ง ในอนั ทจ่ี ะเปน็ เครอื่ งมอื ในการลด-แกไ้ ขความขดั แยง้ ภายใน สังคม ตลอดจนในการผลกั ดนั ให้มกี ารพัฒนาประเทศ ๒๘๖ อานนั ท์ ปันยารชนุ . เรอ่ื งเดิม. (๒๕๔๑) หน้า ๒ ๒๘๗ เกรียงศักดิ์ เจรญิ วงศ์ศกั ด์.ิ เรื่องเดมิ . (๒๕๔๐) หน้า ๑๕
394 รัฐศาสตรเ์ บื้องต้น ประเวศ วะส๒ี ๘๘ ได้ให้ความหมายของการปฏิรูปทางการเมอื ง คอื การปรับปรุงแกไ้ ขปญั หา ของระบบการเมอื งทงั้ ระบบ เพื่อให้นกั การเมืองในระบบมีความสจุ รติ และแก้ปญั หาของประชาชนได้ อย่างมีประสิทธิภาพแทจ้ รงิ ลิขิต ธรี เวคนิ ๒๘๙ ได้ให้ความหมายของการปฏิรูปทางการเมืองไวว้ ่า การปฏริ ูปทางการเมือง คือ การเปล่ียนแปลงระบบการเมืองปัจจุบันให้ดีข้ึน เพื่อความอยู่รอดของระบอบ การปกครองแบบ ประชาธปิ ไตย และเพอื่ ความหวงั ท่ีจะพัฒนาใหร้ ะบอบการปกครองทเี่ รยี กวา่ ธนาธปิ ไตย ในขณะนี้ไป สรู่ ะบอบการปกครองแบบประชาธปิ ไตย สรุปความหมายการปฏิรูปทางการเมืองโดยอาศยั แนวคิดของชยั อนนั ต์ สมทุ วณิช ดังทกี่ ลา่ ว มาแลว้ ขา้ งตน้ คอื การมเี ปา้ หมาย และมาตรการทเ่ี ปน็ ระบบ ชดั เจนเปน็ รปู ธรรม ทจ่ี ะแกไ้ ขสภาพการณ์ ทางการเมืองท่ีด�ำรงอยู่ โดยท่ีหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์น้ันเสีย ก็จะกระทบถึงความชอบ ธรรมและประสิทธิภาพของสถาบัน และกระบวนการทางการเมอื ง ในอันที่จะเปน็ เคร่อื งมอื ในการลด – แก้ไขความขัดแย้งภายในสังคม ตลอดจนในการผลกั ดันให้มีการพัฒนาประเทศ ทศั นะของชยั อนนั ต์ สมทุ วณชิ เหน็ วา่ สาเหตทุ ตี่ อ้ งมกี ารปฏริ ปู ทางการเมอื ง เพราะตวั ระบบ การเมืองท่ีใช้อยู่มีปัญหาเรื้อรัง ท้ังด้านความชอบธรรมและประสิทธิภาพ การเปลี่ยนแปลงของโลก ภายนอกและทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง เป็นไปในอัตราที่เร่งเร็วกว่าแต่ก่อน ปัญหา ทางการเมืองที่หมักหมมไม่มีการแก้ไข จึงเป็นตัวถ่วง ย่ิงไม่มีการปรับเปล่ียนกลไกและกระบวนการ ทางการเมือง ซึ่งเป็นตัวก�ำหนดเป้าหมายและนโยบายระดับชาติหรือยิ่งท�ำช้าเท่าใดก็ย่ิงเสียโอกาส เพราะคา่ เสียโอกาสในยคุ โลกาภวิ ัตน์มผี ลกระทบสงู เป้าหมายของการปฏิรูปการเมือง คือ ต้องมีการก�ำหนดว่าส่วนใดของกลไกกระบวนการ ทางการเมอื งทง้ั หมด หรอื บางสว่ นทต่ี อ้ งมกี ารแกไ้ ขปรบั ปรงุ โดยมกี ารจดั ลำ� ดบั ความสำ� คญั กอ่ น – หลงั หรอื หาจุดเกี่ยวข้อง – เชือ่ มโยงทีต่ ้องท�ำไปพร้อมกัน การปฏริ ูปทางการเมอื งนน้ั ทำ� เพ่ือประชาชนโดยท่วั ไป โดยเฉพาะกลมุ่ ทีด่ อ้ ยโอกาสและเสยี เปรียบ ซ่งึ เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ๒๙๐ จากแนวความคดิ เกย่ี วกบั การปฏริ ปู ทางการเมอื งดงั ทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ สามารถนำ� มาประยกุ ต์ ใช้กบั การปฏริ ูปทางการเมอื งไทยได้ กล่าวคอื ๒๘๘ ประเวศ วะสี. เร่ืองเดิม. (๒๕๔๐) หน้า ๑๘-๒๖ ๒๘๙ ลิขิต ธีรเวคิน. วิวัฒนาการเมืองการปกครองของไทย. กรุงเทพมหานคร : ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, (๒๕๔๑) หน้า ๔๐๐ ๒๙๐ ชยั อนันต์ สมทุ วณิช. รัฐ. กรงุ เทพมหานคร : สำ� นักพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๓๐ หนา้ ๑-๓
วสิ ัยทศั น์ทางการเมอื ง (Political Vision) 395 ปัญหาของระบบการเมืองไทย นน้ั สามารถสรุปได้เป็น ๒ ประการหลัก คอื ๑. ความสุจริตของระบบการเมอื ง ๒. ความมปี ระสิทธิภาพของระบบการเมือง ดังน้ัน การแก้ไขปัญหาดังกล่าวก็คือ การปฏิรูปการเมืองทั้งระบบ ซึ่งการปฏิรูปการเมือง ทงั้ ระบบของไทย คอื การปรบั ปรงุ แกไ้ ขปญั หาของระบบการเมอื งทง้ั ระบบ เพอื่ ใหน้ กั การเมอื งในระบบ มคี วามสจุ ริต และแกป้ ญั หา ตลอดจนคมุ้ ครองสิทธเิ สรภี าพของประชาชนไดอ้ ย่างแท้จริง ลกั ษณะของการปฏิรูปการเมอื งไทย โดยสรปุ มสี าระสำ� คัญดังนี้ คอื ๑.การปฏริ ปู ทางการเมอื งต้องแก้ไขปัญหาของระบบการเมอื งทง้ั ระบบ ไม่ใช่จดุ ใดจดุ หน่งึ ๒.การปฏริ ปู ทางการเมอื งมีจดุ หมายสรา้ งความสจุ ริต และประสิทธิภาพทางการเมือง ๓.ยกรา่ งรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู ใหเ้ ป็นการปฏริ ูปทางการเมือง ๔.การปฏิรูปการเมืองดังกล่าวยึดระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เปน็ กรอบหลกั ทง้ั นโ้ี ดยมงุ่ เนน้ ปรบั ปรงุ ระบบรฐั สภาแบบลา้ สมยั ใหเ้ ปน็ ระบบรฐั สภาแบบทนั สมยั และ มีเหตุผล ซ่ึงสามารถลดการทุจริตและเพ่ิมประสิทธิภาพการบริหาร ซึ่งเรียกว่า “แนวทางรัฐธรรมนูญ นยิ ม” (Constitutionalism) มโนทัศนเ์ ก่ยี วกบั การเขา้ ถึงขา่ วสารทางการเมือง (Access to Political Communication) ความหมายของการสอื่ สาร (Meaning of Communication) การสอื่ สาร หรอื Communication หมายถงึ กจิ กรรมทม่ี งุ่ สรา้ ง “ความรว่ มกนั ” หรอื “ความ คลา้ ยคลงึ กนั ” (Commonness) ใหเ้ กดิ ขนึ้ ระหวา่ งบคุ คลทเ่ี กยี่ วขอ้ ง กลา่ วอกี นยั หนงึ่ การสอ่ื สารเปน็ ความพยามยามของมนุษย์ที่ต้องการแลกเปล่ียน (Share) ข่าวสาร (Information) หรือ ความคิด (Ideas) ระหวา่ งกัน ค�ำว่า “การส่ือสาร” (Communication) น้ัน ได้มีนักวิชาการหลายท่านได้คิดค้นและให้ค�ำ นยิ ามไวด้ ังน้ี Charles E. Os Good (อ้างใน นพคุณ เมืองแวง, ๒๕๒๔ : ๑๒๖) ได้นิยามการส่ือสารว่า “โดยความหมายอยา่ งกวา้ ง การสอื่ สารเกดิ ขน้ึ เมอื่ ระบบหนง่ึ ซงึ่ เปน็ แหลง่ ขา่ วสารทม่ี อี ทิ ธพิ ลเหนอื อกี ระบบหนง่ึ เปน็ จดุ หมายปลายทางโดยอาศยั วธิ กี ารควบคมุ สญั ญาณตา่ ง ๆ ทสี่ ามารถสง่ ออกไปตามสอ่ื ”
396 รัฐศาสตรเ์ บื้องต้น Charles Cooley (อา้ งใน นพคุณ เมอื งแวง, ๒๕๒๔ : ๑๒๖) ได้นิยามการสอ่ื สารว่า หมายถงึ “กลไกให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด�ำรงอยู่ได้ และพัฒนาก้าวหน้าต่อไป หรืออีกนัยหนึ่ง หมายถึง บรรดาสัญลักษณข์ องจติ ใจทัง้ หมด รวมทงั้ วถิ ที างทจ่ี ะถ่ายทอดและรกั ษาสญั ลักษณ์นั้นไวด้ ว้ ย Almond and Colemen๒๙๑ ไดใ้ หค้ วามหมายของการสอื่ สารทางการเมอื ง คอื กจิ กรรมทแี่ พร่ หลายไวด้ ังน้ี “การทำ� หนา้ ทท่ี งั้ หลายดำ� เนนิ อยใู่ นระบบการเมอื ง กระบวนการสงั คมประกติ การสรา้ งเครอื ขา่ ยผลประโยชน์ การประสานผลประโยชน์ การสร้างกฎ การประยุกต์ ใชก้ ฎและการปรับเปลย่ี นกฎ ล้วนดำ� เนนิ ไปโดยการสอื่ สารเปน็ เครื่องมอื (Means) ตวั อยา่ ง เชน่ พ่อ แม่ ครู และพระสงฆ์ มไิ ดเ้ ปน็ เอกเทศ จากกระบวนการสงั คมประกติ ทางการเมอื งโดยผา่ นการสอ่ื สาร ผนู้ ำ� กลมุ่ ผลประโยชน์ ผแู้ ทน ราษฎร และผนู้ ำ� พรรคการเมอื ง ดำ� เนนิ งานของคนโดยมหี นา้ ทแี่ สดงออกโดย อปุ สงคใ์ นการสอ่ื สารและ ชี้แนะทางการเมือง ฝ่ายนิติบัญญัติตรากฎหมายข้ันพื้นฐานของข่าวสารท่ีได้รับการส่ือสารกับส่วน ตา่ ง ๆ ของระบบการเมอื งในการดำ� เนินหนา้ ที่ ผบู้ รหิ าร ไดร้ ับและวิเคราะหข์ อ้ มูลจากสงั คมและจาก ส่วนต่าง ๆ ของการเมืองในลักษณะที่คล้ายกันน้ีกระบวนการ นิติบัญญัติก็ด�ำเนินโดยวิธีการทางการ ส่ือสารเชน่ เดยี วกัน” เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักด์ิ๒๙๒ บอกว่า สื่อมวลชนจึงเป็นท้ังแหล่งข้อมูลข่าวสาร และในบาง กรณเี ปน็ แหลง่ อำ� นาจทางธรุ กจิ การเมอื ง และสงั คมดว้ ย ในระบบเศรษฐกจิ สมยั ใหมท่ เี่ นน้ การโฆษณา และมีการแข่งขันทางการค้าสูงนี้ มีผลท�ำให้การท�ำหนังสือพิมพ์ยุคปัจจุบันมีลักษณะเชิงธุรกิจมากข้ึน และไปเกี่ยวพนั กบั อ�ำนาจทางการเมอื งและความขดั แยง้ ทางอำ� นาจอย่างหลกี เล่ยี งไมไ่ ด้ ทสี่ ำ� คัญกค็ อื หนงั สอื พมิ พแ์ ละบางสว่ นของโทรทศั น์ อยนู่ อกระบบราชการทส่ี ถานภาพของสถาบนั สงั คม – รฐั รฐั บาล ไมอ่ าจเขา้ แทรกแซงไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่การประเมนิ ผลงานของรฐั บาลโดยส่วนรวมก็ดี การประเมนิ บทบาท พฤตกิ รรม และผลงานของบคุ คลทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั วงการเมอื งโดยหนงั สอื พมิ พแ์ ละการเสนอทางโทรทศั น์ สามารถสง่ ผลตอ่ ความชอบธรรมของรฐั บาลและสถาบนั ทางการเมอื งอน่ื ๆ เชน่ รฐั สภา พรรคการเมอื ง ตลอดจนคณะทหาร และระบบราชการได้ จมุ พล รอดค�ำด๒ี ๙๓ ให้นิยามว่า การสื่อสาร หมายถึง พฤตกิ รรมการติดตอ่ สัมพันธ์กันระหวา่ ง มนุษย์ โดยอาศัยกระบวนการถ่ายทอดและแลกเปล่ียนข่าวสารความรู้สึก นึกคิด เจตคติ ตลอดจน ๒๙๑ Almond Gabricl A and Verba Sidney. The Civic Cultuse Boston : Little Brown, (๑๙๖๐ : ๔๕-๕๒) ๒๙๒ เกรยี งศักด์ิ เจริญวงศ์ศักด.ิ์ เรื่องเดมิ . (๒๕๔๐) หน้า ๑๖ ๒๙๓ จุมพล รอดค�ำดี. ทฤษฎีการสื่อสาร. เอกสารประกอบการประชุมสัมมนาโครงการปีรณรงค์ ทันตสาธารณสุขแห่งชาติ, ๒๕๓๑ หน้า ๒
วสิ ยั ทศั น์ทางการเมือง (Political Vision) 397 ประสบการณร์ ะหวา่ งกนั เพอ่ื ใหเ้ กดิ ผลตอบสนองบางประการทต่ี รงกบั เปา้ หมายทวี่ างไว้ คอื การเขา้ ใจกนั ร่วมมือกัน มีความตกลงเห็นพอ้ งตอ้ งกันความผสมผสาน ประนีประนอม เป็นต้น อันจะนำ� มาซง่ึ ความ คงอยู่ และการพฒั นาสังคมของมนษุ ย์ จากแนวคดิ และเน้ือหาดังกล่าวขา้ งตน้ สรุปไดว้ า่ “การเข้าถงึ ขา่ วสารทางการเมือง” นน้ั เปน็ ปัจจัยส�ำคัญที่จะท�ำให้ประชาชนเกิดวิสัยทัศน์ (Vision) เพราะข้อมูลข่าวสารเป็นพ้ืนฐานท่ีปัจเจกชน รบั และนำ� มาใชใ้ นการวเิ คราะห์ และตคี วามปรากฏการณท์ างการเมอื งรว่ มกนั การรบั รขู้ า่ วสารมาจาก หลายแห่งดว้ ยกัน เช่น จากการฟังวทิ ยุ โทรทศั น์ หนงั สอื พิมพ์ และการสัมมนา หรอื อภิปรายโดยตรง จากสถาบนั ตา่ ง ๆ และในการตคี วามขอ้ มลู ขา่ วสารประเดน็ ตา่ ง ๆ หรอื จากการจดั ปราศรยั ของนกั การ เมอื ง อาจมาจากคำ� บอกเลา่ ของผนู้ ำ� ทางความคดิ ในชมุ ชน อยา่ งไรกต็ ามการตคี วามขอ้ มลู ขา่ วสารทไ่ี ดร้ บั กล่าวในเชิงสมมติฐานการวิจัย การรับรู้ข้อมูลข่าวสารมีสหพันธ์เชิงบวกกับลักษณะของวิสัยทัศน์เช่น เดียวกัน องคป์ ระกอบของการส่ือสาร (Elements of Communication) เกี่ยวกับองค์ประกอบของการส่ือสารน้ี มีนักปราชญ์ และนักวิชาการในด้านต่าง ๆ เสนอไว้ หลายทา่ น เชน่ Harold D. Lasswell เสนอวา่ การสอ่ื สารประกอบดว้ ย ผสู้ ง่ สารหรอื แหลง่ สาร สาร สอื่ ผูร้ ับสารและผล David K. Berlo เสนอวา่ การสอ่ื สารประกอบดว้ ย ผู้ส่งสาร หรอื แหลง่ สาร สาร สอ่ื การแปล สาร และผรู้ ับสาร ในท่นี ี้จะศกึ ษาถึงองค์ประกอบของการสื่อสาร โดยแบง่ เปน็ ๗ องคป์ ระกอบด้วยกนั คอื ๑. แหลง่ สาร หรอื ผสู้ ง่ สาร หมายถงึ แหลง่ กำ� เนดิ ของสาร หรอื ผทู้ เ่ี ลอื กสรรขา่ วเกย่ี วกบั ความคดิ หรือเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ท่เี กดิ ขึ้นแลว้ ส่งตอ่ ไปยงั ผ้รู ับสาร ผูส้ ่งสารนี้อาจเปน็ บคุ คลธรรมดาเพียงคนเดียว หรือคณะบุคคลท่ีท�ำงานด้วยกัน ซ่ึงการส่ือสารจะบรรลุผลดี ถ้าหากว่าผู้ส่งสารและผู้รับสารมีทักษะ ทัศนคติและความรใู้ นระดับเดียวกัน หรือใกล้เคยี งกนั และอยู่ในระบบสงั คมและวฒั นธรรมเดียวกัน ๒. สาร หมายถึง ส่ิงเร้า หรือสาระเรื่องราวท่ีส่งออกไปจากผู้ส่งสารถึงผู้รับสาร สารอาจเป็น ความคดิ หรอื เรอื่ งราวทีส่ ่งผ่านไปตามส่อื สารถือวา่ เป็นผลิตผลของผูส้ ง่ สารในรปู แบบที่สามารถสง่ ไป ตามส่อื ได้ ผลติ ผลนม้ี าจากเหตุการณ์และวัตถสุ งิ่ ของท่เี กิดข้ึนในชีวติ ประจ�ำวนั หรอื จากความคดิ ก็ได้ ซึ่งค�ำว่า “สาร” ในความหมายท่ีใช้ทั่วไปในการติดต่อสื่อสารน้ันมักหมายถึง “เน้ือหาของสาร” โดย เนื้อหาของสารมีความหมายถึง “ข้อความ” ท่ีผู้ส่งสารเลือกใช้เพื่อสื่อความหมายตามท่ีต้องการ ท้ังนี้ อาจคลมุ ถึงขอ้ เสนอ บทสรปุ และความเหน็ ตา่ ง ๆ ทีผ่ ้สู ่งสารแสดงออกมาในขา่ วสารน้ัน ๆ
398 รฐั ศาสตร์เบื้องต้น ๓. การแปลสาร คือ การแปลสารที่เกดิ จากความพยายามของบคุ คล หรือองค์การทจี่ ะเลอื ก ปฏิบตั ติ ่อเหตกุ ารณร์ วม ๆ ซึ่งกระทบตวั เขา เพือ่ ส่งออกไปยังผูร้ บั ขน้ั ตอนการแปลสาร คือ ๑) การเลอื กแผนทจ่ี ะตอบสนอง เปน็ ลำ� ดบั ไปโดยเปรยี บเทยี บวา่ แผนไหนจะเปน็ ไปได้ ยทุ ธวธิ ีไหนจะดีกวา่ โดยแผนนั้น จะตอ้ งสอดคลอ้ งกบั พนื้ ฐานของตนเองทางด้าน ก. จดุ มุ่งหมาย ข. ประสบการณใ์ นอดีต ค. อารมณ์ ความร้สู ึก ๒) รวบรวมสอ่ื ท้ังหมด แล้วดวู ่าจะใชส้ อ่ื อะไรบ้าง ๓) เลอื กภาษาหรอื รหสั ทจี่ ะใชส้ ง่ ถา้ ในสถานการณป์ กตกิ อ็ าจใชภ้ าษาธรรมดาในการ สอื่ สาร เพือ่ ความเข้าใจทีง่ ่าย แตใ่ นบางกรณกี จ็ �ำเป็นต้องใชร้ หสั ในการส่อื ไป ๔. สอื่ ในทางการส่ือสาร หมายถึง วิธกี ารลงรหัสและถอดรหัสข่าวสาร พาหนะทนี่ �ำขา่ วสาร และตวั ที่นำ� พาหนะนนั้ ไป ๕. ผู้รับสาร หมายถึง ผู้รับข่าวสารจากแหล่งสารเป็นจุดหมายปลายทางท่ีสารส่งไปถึง อาจเปน็ บคุ คลธรรมดาทก่ี ำ� ลงั รบั ฟงั ดู หรอื อา่ นขา่ วสาร หรอื สมาชกิ หลายคน เชน่ กลมุ่ ผฟู้ งั การอภปิ ราย ผูฟ้ งั การหาเสียงเลือกตง้ั เป็นตน้ ๖. คำ� วา่ “ผล” ของการสอื่ สารมคี วามหมายและขอบเขตกวา้ งขวางมาก โดยทวั่ ไปผลของการ สื่อสารหมายถึง “การเปล่ยี นแปลง” หรอื “ข้อแตกต่าง” ซง่ึ เกิดข้ึนกบั บุคคลหรือกล่มุ บุคคลอันเนอื่ ง มาจากข่าวสารที่ได้รับ วิธงี า่ ย ๆ และสะดวกในการวเิ คราะหผ์ ลของการสื่อสาร คือ แยกพจิ ารณาตาม ล�ำดับ หรือหน่วยของการวิเคราะห์โดยแยกเป็นระดับบุคคล หรือระดับส่วนรวม หรือกระทั่งระดับ ระหวา่ งบคุ คลก็ได้ ในระดับบุคคลซ่ึงเป็นระดับจุลภาคน้ัน ผลของการส่ือสารมักจะปรากฏอยู่ในรูปของการ เปลี่ยนแปลงระดับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมของคนเกี่ยวกับประเด็นหัวข้อ หรือปัญหาอย่างใด อย่างหนึ่งโดยเฉพาะอย่างย่ิง ผลของการส่ือสารต่อการเปล่ียนแปลงทัศนคติของคนนั้น เป็นที่นิยม คน้ ควา้ แพร่หลายมากในอดีต การค้นคว้าถึงผลของการสือ่ สารต่อการเปลยี่ นในตวั บุคคล ๗. ปฏิกิริยาตอบสนอง หมายถึง วิธีการหรือกิริยาท่าทางที่ผู้รับสารใช้หรือแสดงออกให้ผู้ส่ง สารไดร้ บั ทราบ ทงั้ นสี้ บื เนอ่ื งจากผลของขา่ วสาร ปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองนบั วา่ เปน็ กลไกสำ� คญั ทท่ี ำ� ใหผ้ สู้ ง่ สารสามารถหย่ังทราบวา่ ข่าวสารท่สี ง่ ออกไปน้นั ได้รับผลตามเป้าหมายเพียงไรหรอื ไม่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 460
Pages: