Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ ม.ปลาย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

แผนการจัดการเรียนรู้ ม.ปลาย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

Published by Teacher JA ครูจา, 2021-06-28 07:08:30

Description: แผนการจัดการเรียนรู้ ม.ปลาย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

Search

Read the Text Version

ใบงานที่ 2 ให้ผู้เรยี นวิเคราะห์ลักษณะที่กำหนดให้ว่าเป็นระบบเศรษฐกิจใด โดยกาเครอ่ื งหมาย ✓ ในเร่ืองระบบ เศรษฐกิจทีค่ ดิ ว่าถกู ตอ้ ง ระบบเศรษฐกจิ ลกั ษณะ ทนุ นยิ ม สังคมนยิ ม สังคมนิยม แบบผสม ประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ 1. เอกชนมีเสรภี าพในการผลติ และบรโิ ภคอยา่ งเต็มที่ 2. รัฐเปน็ ผวู้ างแผนกจิ กรรมทางเศรษฐกิจท้งั หมด 3. รฐั เขา้ ไปดำเนนิ กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ในส่วนท่เี ก่ยี วข้องกับ ประโยชน์สว่ นรวม 4. มเี ป้าหมายเพอื่ ผลกำไร 5. มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมในสงั คม 6. มีเปา้ หมายเพ่อื ความอยดู่ ีกินดขี องสงั คม 7. เอกชนมกี รรมสิทธใิ์ นทรัพย์สินอยา่ งเต็มท่ี 8. ไม่เปิดโอกาสให้มกี ารแข่งขนั 9. กิจกรรมทางเศรษฐกจิ ขึ้นอยู่กบั กลไกแห่งราคา 10. การผลติ อะไรเทา่ ใดขึน้ อยกู่ ับรฐั บาลเทา่ นัน้ 11. รฐั และกลไกราคามีสว่ นในการกำหนดวา่ จะผลิตอะไร เทา่ ใด 12. เป็นระบบท่ีประเทศส่วนใหญใ่ ช้ 13. เป็นระบบทพ่ี ฒั นามาจากลิทธิมาร์กซสิ ต์ 14. รฐั เก็บภาษีประชาชนในอตั ราสูงเพื่อจา่ ยเปน็ สวสั ดิการสังคม แตใ่ ห้เสรีภาพในการบรโิ ภคเต็มท่ี 15. เปน็ ระบบทก่ี ่อให้เกดิ ความแตกต่างด้านรายไดม้ ากทส่ี ุด 16. เป็นระบบทแี่ กป้ ัญหาความแตกต่างด้าน รายได้โดยไม่จำกดั เสรภี าพของบุคคล 17. เปน็ ระบบที่มีความแตกตา่ งด้านรายได้น้อยที่สดุ 18. มีการใชท้ รพั ยากรสิน้ เปลอื งมาก 19. มกี ารวางแผนจากส่วนกลาง 20. จำกัดกรรมสิทธิ์ในทรพั ย์สนิ และปัจจัย การผลติ บา้ ง

ใบงานที่ 3 1) ให้ศึกษาพฤตกิ รรมของมนุษยใ์ นทางเศรษฐศาสตร์และตัดสนิ ว่าเกย่ี วข้องกับเศรษฐศาสตร์สาขาใด โดยกาเครื่องหมาย ✓ ให้ตรงชอ่ งทีถ่ ูกต้อง พฤติกรรม เศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ 1. การปลอ่ ยนำ้ เสียของโรงงานอุตสาหกรรมใน กทม. จุลภาค มหภาค 2. การว่างงานของประชากรไทย 3. การผลติ ข้าวของชาวนาในภาคเหนือ 4. การซ้อื ขายแลกเปล่ยี นสินคา้ ในตลาด 5. การเกบ็ ภาษีอากร 6. พฤติกรรมของผ้บู รโิ ภค 7. ปญั หาเงินเฟอ้ 8. ปญั หาทางการคลงั ของรฐั บาล 9. การกกั ตุนสินคา้ ของพ่อค้าคนกลาง 10. รายไดป้ ระชาชาติ 11. ปัญหาการขาดดลุ บญั ชีเดินสะพัด 12. ปญั หาการสง่ ออกลดลง 13. ปัญหาการจราจรติดขดั ในกรุงเทพมหานคร 14. ความนยิ มในการใชส้ ินค้าฟมุ่ เฟือยของเยาวชน 15. ปญั หาการลงทนุ ในประเทศลดลง

ใบงานท่ี 4 กจิ กรรมที่ 1 เรื่อง ความสมั พันธแ์ ละผลกระทบทางเศรษฐกจิ ระหวา่ งประเทศกบั ภูมิภาคตา่ งๆ ท่ัวโลก คำส่ัง เมื่อผู้เรียนศึกษาเร่ืองความสัมพันธ์และผลกระทบทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก แลว้ ตอบคำถามท่ีกำหนดให้ เรอื่ งท่ี 1 การค้าระหว่างประเทศ หมายถึง การซอ้ื ขายแลกเปล่ียนสินค้าและบริการระหว่างประเทศหนง่ึ กับ อีกประเทศหน่ึง อาจกระทำโดยรัฐบาลหรือเอกชนก็ได้ ปัจจุบันประเทศต่างๆ ส่วนมากมักมีการติดต่อซื้อ ขายกันเน่ืองจากแต่ละประเทศมีทรัพยากรธรรมชาติ สภาพของดินฟ้าอากาศ และความชำนาญในการผลิต สนิ คา้ แตกต่างกนั สรปุ ได้วา่ ปจั จัยทกี่ ่อให้เกิดการค้าระหวา่ งประเทศคือ 1. ความแตกต่างในเรื่องทัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ พลังงาน แร่ธาตุ ป่าไม้ ความอุดมสมบูรณ์ของดินในแต่ ละประเทศในโลกแตกต่างกัน ประเทศท่ีมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ย่อมมีโอกาสสูงท่ีจะนำทรัพยากรมาผลิต เปน็ สินค้าและบริการ 2. ความแตกตา่ งในด้านลักษณะภมู ปิ ระเทศและภมู ิอากาศ จงึ ผลติ สินค้าไดแ้ ตกต่างกนั 3. ความแตกต่างในเร่ืองความชำนาญการในการผลิต เพราะแต่ละประเทศมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แตกต่างกัน ประชากรของแต่ละประเทศมีความรู้ ความชำนาญแตกต่างกัน เช่น สวิตเซอร์แลนด์ มีความ ชำนาญในการผลิตนาฬิกา เป็นตน้ ให้ผู้เรียนตอบคำถามต่อไปนี้ โดยเตมิ คำตอบลงในชอ่ งว่าง 1. การค้าระหวา่ งประเทศ หมายถงึ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การดำเนินกจิ กรรมในด้านการค้าระหวา่ งประเทศสามารถดำเนนิ การโดย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. สาเหตทุ ่ีทำใหเ้ กดิ การคา้ ระหว่างประเทศ ได้แก่ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4. ประเทศไทยเป็นประเทศทผ่ี ลิตขา้ วไดม้ าก เนือ่ งจาก ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เรื่องที่ 2 การทปี่ ระเทศใดจะผลิตสนิ ค้าอะไรมากน้อยเทา่ ใดนั้นขน้ึ อยู่กบั ปัจจัยและความเหมาะสมหลายๆ ประการดังกลา่ วแลว้ ไมม่ ปี ระเทศใดสามารถผลติ สนิ คา้ ทป่ี ระชาชนต้องการได้หมดทกุ อยา่ ง ประเทศตา่ งๆ จึง นำสนิ คา้ ของตนมาแลกเปลย่ี นกัน ดงั น้นั การค้าระหว่างประเทศจึงก่อให้เกิดประโยชน์ ดังน้ี 1. สินค้าใดที่ผลิตในประเทศเราไม่ได้เราสามารถท่ีจะซื้อสินค้าจากประเทศอื่นได้ ทำให้มีสินค้าสนองความ ต้องการของเราได้มากขนึ้ 2. สนิ ค้าท่ีผลิตได้ในประเทศแต่มีต้นทุนในการผลิตสูง ประเทศเราควรเลือกผลิตสินคา้ ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำแล้ว ส่งไปขายแลกเปลี่ยน เราจะไดส้ ินค้าคุณภาพดีและราคาถูกกว่าที่จะผลิตเอง 3. ก่อให้เกิดความรู้ความชำนาญในการผลิตเฉพาะอย่างตามความถนัดทำให้เกิดแรงจูงใจท่ีจะคิดค้นเทคนิคการ ผลติ ให้มคี ุณภาพมากข้นึ 4. ช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาได้แบบอย่างการผลิตที่ทันสมัย สามารถนำทรัพยากรท่ีมีอยู่มาใช้ในการผลิตเพื่อ สง่ ออกมากขึน้ 5. ชว่ ยให้ประเทศกำลงั พฒั นารู้จกั ใชเ้ ทคโนโลยจี ากประเทศทีพ่ ฒั นาแล้วมาพัฒนาประเทศใหเ้ จรญิ ก้าวหนา้ ข้ึน ใหผ้ ูเ้ รยี นตอบคำถามต่อไปนี้ โดยเติมคำตอบลงในช่องว่างต่อไปนี้ 1. ในการผลติ สนิ ค้า ถ้าต้นทุนในการผลติ ในประเทศสงู ควรแกป้ ัญหาโดย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ประเทศกำลังพัฒนาได้แบบอยา่ งในการผลิตสินคา้ จาก ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การค้าระหวา่ งประเทศช่วยใหเ้ ศรษฐกิจขยายตัวเพราะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

แผนการจัดกจิ กรรม

มการเรยี นรู้คร้งั ท่ี 7

แผนการจัดการเรยี นรู้ ระดบั มัธยมศึกษาตอ สาระพฒั นาสงั คม รายวิชาสังคมศกึ ษา ครง้ั ที่ วนั /เดอื น/ปี หัวเรอื่ ง/ตัวช้ีวัด เนือ้ หาสาระการเรยี นรู้ 1.รแู้ ละเข้าใจระบบ 1.การปกครองระบอบ การเมืองการปกครอง ประชาธปิ ไตย ต่างๆท่ีใช้อยปู่ จั จบุ ัน 2. การปกครองระบอบเผดจ็ 2. ตระหนกั และเหน็ การพัฒนาการของระบอบ คณุ คา่ การปกครอง ประชาธปิ ไตยของประเทศตา่ งๆ ระบอบประชาธิปไตย ในโลก 3.รแู้ ละเข้าใจผลทีเ่ กิด 3.เหตุการณส์ ำคัญทางการเมือง จากการเปลี่ยนแปลง การปกครองของประเทศไทย ทางการเมอื งการ 4.เหตุการณส์ ำคัญทางการเมือง ปกครองของประเทศ การปกครองของโลกทสี่ ่งผล ไทยจากอดีต กระทบต่อประเทศไทย 4.รูแ้ ละเข้าใจผลที่เกิด 5.หลักธรรมาภิบาล จากการเปล่ยี นแปลง การเมืองการปกครอง - นติ ธิ รรม ของโลก - คุณธรรม 5. ตระหนกั และเห็น - ความโปรง่ ใส คุณค่าของหลัก - ความคุ้มค่า - รับผิดชอบ

อนปลาย ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 า รหัส สค31001 จำนวน 3 หนว่ ยกติ การจดั กระบวนการเรียนรู สือ่ /แหล่ง การวดั และ เรยี นรู้ ประเมนิ ผล ขนั้ ท่ี 1 กำหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ 1. หนงั สอื แบบทดสอบ 1.ครูและผเู้ รียนรว่ มกนั พดู คยุ แบบเรยี น ใบงาน แลกเปลย่ี นเรยี นรู้คุณธรรมจริยธรรม 2. ส่อื มลั ตมิ ีเดยี เล่มรายงาน และหลักธรรมาภิบาลของผบู้ รหิ าร 3. อินเทอร์เน็ต สงั เกตพฤติกรรม ปัญหาการเมืองการปกครองของไทยใน 4. ใบความรู้ ปจั จบุ นั ข้ันที่ 2 แสวงหาขอ้ มูลและจดั กิจกรรม การเรียนรู้ 1.ให้ผู้เรยี นไปสมั ภาษณ์ผู้นำชมุ ชนใน เรอ่ื งการซือ้ สทิ ธข์ิ ายเสียงในชุมชน และ การปฏิบตั ติ นตามหลักธรรมมาภบิ าล แล้วสรปุ เปน็ ใบความรนู้ ำมาเล่าใหเ้ พื่อน ฟัง ในการพบกลุ่มที่ กศน.ตำบล 2.ให้ผูเ้ รียนคน้ ควา้ เรอ่ื งคุณธรรม จริยธรรม การเคารพสทิ ธิ และหน้าที่ ของตนเอง ชมุ ชน สงั คม และการอยู่ รว่ มกันในสังคม ได้อยา่ งมคี วามสุข จาก

แผนการจดั การเรียนรู้ ระดบั มธั ยมศึกษาตอ สาระพัฒนาสังคม รายวิชาสังคมศึกษา คร้งั ที่ วัน/เดอื น/ปี หวั เร่ือง/ตวั ชี้วดั เนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้ ธรรมาภิบาล และนำไป - ความร่วมมือ ปฏบิ ัติในชีวติ จรงิ แนวทางปฏบิ ัติตามหลักธรร มาภบิ าล

อนปลาย ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2654 า รหัส สค31001 จำนวน 3 หน่วยกติ การจดั กระบวนการเรียนรู สือ่ /แหล่งเรยี นรู้ การวัดและ ประเมนิ ผล อินเตอร์เน็ต และจดั ทำเปน็ รูปเลม่ รายงานนำมาอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในการพบกลุม่ ท่ี กศน.ตำบล 3.ให้ผเู้ รียนศึกษาคน้ คว้า ในเรื่อง ประเทศไทยกับระบอบประชาธปิ ไตยวา่ มีผลดตี ่อการพฒั นาประเทศ แลว้ สรุป ใจความสำคญั มาเลา่ ให้เพ่ือนฟงั ใน การพบกลมุ่ ท่ี กศน.ตำบล ขั้นท่ี 3. ขนั้ การปฏิบตั ิและการนำไป ประยุกตใ์ ช้ - ครูและนกั ศึกษารว่ มกันสรุปผลการ เรยี นรู้ จดบนั ทึกผลการเรียนรู้ ข้ันท่ี 4. ข้ันการประเมินผล - ประเมนิ ผลการเรยี นร้จู ากการมีส่วน รว่ มโดยใชก้ ระบวนการกลุ่มนักศึกษา

ใบความรู้ท่ี 1 คณุ ธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาลของผ้บู รหิ าร ความหมายและหลักการของคุณธรรม ศลี ธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ และธรรมาภิบาล ปฐมเหตแุ ห่งการนำเสนอบทความน้มี าจากนโยบายของรัฐมนตรวี ่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ) ที่ กำหนดใหส้ ำนักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธิการ จดั ให้มกี ารจัดระบบจงู ใจ ให้คนทำดี ไดด้ ี มีรางวัลตอบแทน เป็น การพิจารณาให้ความดคี วามชอบของขา้ ราชการ ประจำปี ทท่ี ำงานด้านสง่ เสริมคณุ ธรรมศลี ธรรมของสถานศกึ ษา จงึ ต้องมี ขอ้ ตกลงเบื้องต้นว่างานคณุ ธรรม ศลี ธรรมคืออะไร และจะเก่ยี วข้องกบั บุคลากร 3 ฝา่ ย ได้แก่ กลมุ่ ผบู้ รหิ ารโครงการ กล่มุ จดั การเรยี นการสอน และกลมุ่ จดั กิจกรรมเสริมหลกั สตู ร นอกจากนี้ คำวา่ คุณธรรม ศลี ธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ ธรรมาภบิ าล และสมรรถนะ มักมี ผู้นำไปใชใ้ นความหมายท่แี ตกตา่ ง สบั สน และไมต่ รงกับความหมายท่แี ทจ้ รงิ ดังนั้นการทำความเขา้ ใจต้ังแต่ รากศัพท์ ความหมายและประโยชน์ในการนำไปใช้ จะชว่ ยให้ทกุ ฝ่ายทำงานรว่ มกันได้ดี เปา้ หมายปลายทาง คณุ ธรรม (Moral) ศลี ธรรม (Moral) จริยธรรม (Ethics)และ จรรยาบรรณ (Code of Conduct)มีเป้าหมายใชเ้ พื่อการ ควบคุมตนเอง และสง่ ผลต่อ พฤตกิ รรมของบคุ คลนั้น สว่ นธรรมาภบิ าล (Good Governance) และ ขีดสมรรถนะ (Competency) ใชเ้ พอ่ื เปน็ กลไกควบคุม โครงสร้าง ระบบ และกระบวนการสง่ ผลตอ่ การปฏิบตั ิงานของหน่วยงานหรอื องคก์ ร คณุ ธรรม (Moral / Virtue) “คณุ ธรรม” คือ คุณ + ธรรมะ คุณงามความดีท่เี ป็นธรรมชาติ กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อตนเองและ สังคม ซง่ึ รวมสรปุ ว่าคือ สภาพคณุ งาม ความดี คุณธรรม (Virtue) แนวความคดิ ท่ีดเี ปน็ ตวั บงั คับให้ประพฤติดี 1. สภาพคณุ งามความดีทางความประพฤติและจิตใจ 2. คณุ ธรรม คอื จริยธรรมท่แี ยกเป็นรายละเอียดแต่ละประเภท หากประพฤตปิ ฏิบตั ิอย่างสมำ่ เสมอ ก็จะเป็นสภาพคณุ งาม ความดที างความประพฤตแิ ละจติ ใจของผ้นู ้นั จรยิ ธรรม (Ethics) “จรยิ ธรรม” = จรยิ + ธรรมะ คอื ความประพฤตทิ เี่ ปน็ ธรรมชาติ เกิดจากคณุ ธรรมในตวั เอง กอ่ ใหเ้ กิดความ สงบเรยี บรอ้ ยในสงั คม รวมสรุปวา่ คือ ขอ้ ควรประพฤตปิ ฏิบตั ิ จริยธรรม(Ethics) ความเปน็ ผมู้ จี ติ ใจสะอาด บริสทุ ธิ์ เสียสละหรือประพฤตดิ ีงาม 1. ประมวล กฎหมาย ท่ีกลมุ่ ชนหรือสังคมหน่งึ ๆ ยอมรบั เป็นแนวควบคมุ ความประพฤติ เพื่อแยกแยะให้เหน็ ว่าอะไรควรหรือ ไปกนั ไดก้ ับการบรรลุวตั ถุประสงคข์ องกลมุ่ 2. ปรัชญาสาขาหน่ึงวา่ ด้วย ความประพฤติ และการครองชวี ติ วา่ อะไรดี อะไรช่วั อะไรถกู อะไรผดิ หรอื อะไรควร อะไรไม่ ควร 3. กฎเกณฑ์ความประพฤตขิ องมนษุ ยซ์ งึ่ เกิดข้นึ จากธรรมชาติของมนษุ ย์เอง ได้แก่ ความเปน็ ผูม้ ีปญั ญา และเหตผุ ลหรอื ปรชี า ญาณทำให้มนุษยม์ มี โนธรรมและ รู้จักไตร่ตรองแยกแยะความดี - ความช่วั , ถกู - ผดิ , ควร - ไม่ควร เปน็ การควบคุมตวั เอง และ เปน็ การควบคมุ กันเองในกลุ่ม หรอื เปน็ ศลี ธรรมเฉพาะกลมุ่ ศลี ธรรม (Moral) 1. ความประพฤติทดี่ ีทชี่ อบ หรอื ธรรมในระดับศลี หรือกรอบปฎบิ ตั ทิ ดี่ ี เกี่ยวกบั ความรสู้ ึกรับผดิ ชอบ บรสิ ุทธิ์ เกยี่ วกับ จิตใจ 2. หลกั ความประพฤตทิ ดี่ สี ำหรับบุคคลพงึ ปฏิบัติ “ธรรมาภบิ าล” (Good Governance) ธรรมาภบิ าล คือ ธรรมะ + อภบิ าล หมายถงึ ปกครองด้วยคณุ ความดี ซือ่ ตรงตอ่ กนั มัน่ คงในสญั ญาที่มตี ่อกนั สัญญา (กฎ กตกิ า มารยาท) ที่ ร่วมกันทำ เปน็ ธรรม โปรง่ ใส รับผดิ ชอบในสง่ิ ที่ทำ 1. การจัดการปกครอง การบรหิ ารปกครอง การบริหารกิจการบา้ นเมือง การควบคมุ ดูแลกิจการ การกำกบั ดูแลที่ดี อนั เป็นเรือ่ งท่เี กีย่ วขอ้ งกับกระบวนการ (Process) และระบบ (System) ซงึ่ องคก์ ารหรอื สังคมได้มีการปฏิบตั หิ รือดำเนินการ (Operate) 2. ธรรมาภบิ าล มกั ครอบคลมุ ประเดน็ ดังน้ี - การมสี ว่ นรว่ มของประชาชน(Participation) - นติ ิธรรม (Rule of law)

- ความโปรง่ ใส (Transparency) - การตอบสนอง (Responsiveness) - การแสวงหาฉนั ทามติ (Consensus oriented) - ความถูกต้อง ความเสมอภาค ยุตธิ รรม เทย่ี งธรรม (Equity) - ประสทิ ธผิ ลและประสิทธิภาพ (Effectiveness & Efficiency) - ภาระรบั ผดิ ชอบ (Accountability ทศพธิ ราชธรรม (Virtues of the King) จรยิ วตั ร 10 ประการท่พี ระเจา้ แผน่ ดินทรงประพฤติเปน็ หลกั ธรรมประจำพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจำตนของ ผปู้ กครองบ้านเมอื ง ให้มีความเปน็ ไปโดยธรรมและยังประโยชนส์ ขุ ให้เกิดแกป่ ระชาชน ทศพธิ ราชธรรมทั้ง 10 ข้อ มีดังนี้ - ทาน คือ การให้ การเสียสละ การให้น้ำใจ - ศีล คอื ความประพฤติทดี่ งี าม ทงั้ กาย วาจา ใจ ใหป้ ราศจากโทษ - บรจิ าค คอื การเสยี สละความสขุ สว่ นตน เพ่ือความสุขสว่ นรวม - ความซือ่ ตรง คอื ความซือ่ ตรงในฐานะทีเ่ ป็นผปู้ กครอง ดำรงอยูใ่ นสตั ยส์ จุ รติ - ความอ่อนโยน คือ การมีอัธยาศยั ออ่ นโยน เคารพในเหตุผลท่ีควร มีสัมมาคารวะต่อผอู้ าวโุ ส - ความเพียร คอื ความอุตสาหะในการปฏิบตั งิ าน โดยปราศจากความเกียจครา้ น - ความไมโ่ กรธ คือ ไมม่ ุง่ ร้ายผ้อู ่ืน แมจ้ ะลงโทษผูท้ ำผดิ กท็ ำตามเหตผุ ล - ความไม่เบียดเบยี น คือ การไม่กอ่ ทุกข์หรอื เบยี ดเบยี นผอู้ น่ื - ความอดทน คอื การรักษาอาการ กาย วาจา ใจใหเ้ รียบรอ้ ย การอดทนตอ่ ส่ิงทั้งปวง - ความยุติธรรม คือ ความหนกั แนน่ ถือความถกู ตอ้ ง เทย่ี งธรรมเป็นหลัก

ใบความรู้ที่ 2 สิทธมิ นษุ ยชนและบทบาทหน้าทตี่ ามรัฐธรรมนญู สิทธิมนุษยชน หมายถึง สิทธิขั้นพนื้ ฐานท่ีพงึ มโี ดยเสมอภาคกนั เพื่อการดำรงชวี ิตได้อยา่ ง มีศกั ดิ์ศรมี ี โอกาสเทา่ เทยี มกันในการเรยี นรู้และพฒั นาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มทแี่ ละสร้างสรรค์ ดังนั้นจงึ เป็นสทิ ธทิ ี่ ได้มาพร้อมกับการเกิดและเป็นสทิ ธติ ดิ ตัวบคุ คลนัน้ ตลอดไปไม่ว่าจะอยใู่ นเขตปกครองใด หรอื เชอ้ื ชาติ ภาษา ศาสนาใด ๆ สิทธมิ นุษยชน หมายถึง แนวคดิ เก่ยี วกับมนุษยท์ วี่ ่า มนุษย์น้ันมีสิทธิหรอื สถานะสากล ซ่ึงไม่ขึ้นอยู่กบั ขอบเขตของกฎหมาย หรือปัจจัยทอ้ งถน่ิ อนื่ ใด เชน่ เช้อื ชาติ หรอื สัญชาติ สทิ ธิ หมายถงึ อำนาจอนั ชอบธรรม ซง่ึ ความถูกต้องชอบธรรมนน้ั มีทีม่ าจากการเคารพซ่งึ กนั และกนั การใชส้ ทิ ธนิ ั้น เราใชไ้ ด้เทา่ ทีไ่ มไ่ ปละเมดิ ในสิทธขิ องผู้อนื่ เชน่ เคารพในสทิ ธขิ ัน้ พนื้ ฐาน ซึ่งถอื วา่ เป็นความจำ เปน็ ของชวี ิต สิทธมิ นษุ ยชน หมายถึง สิทธิข้ันพืน้ ฐานที่มนุษยเ์ กิดมาพรอ้ มกบั ความเทา่ เทยี มกนั ในแง่ของศักด์ิและ สทิ ธิ์ เพอื่ ดำรงชวี ติ อย่างมศี ักดศ์ิ รี โดยไม่คำนึงถงึ ความแตกต่างในเรอื่ งเชื้อชาติ สีผวิ อายุ ศาสนา ภาษา และ สถานภาพ ทางกายภาพและสขุ ภาพ รวมทง้ั ความเช่ือทางสังคม การเมือง ชาติกำเนิดเหล่านี้ คือสิทธทิ ี่มีมาแต่ กำนดิ ไม่สามารถถา่ ยโอนกันได้ เชน่ สิทธิในร่างกาย สทิ ธใิ นชีวติ เป็นต้น สรปุ รัฐธรรมนญู ฉบับปัจจบุ นั ให้ความสำคัญกับการคุม้ ครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและ เสรีภาพของ บคุ คล ซึ่งเป็นหวั ใจสำคัญของสทิ ธมิ นุษยชน และยงั มีการจัดตง้ั คณะกรรมการสิทธมิ นุษยชนแหง่ ชาตขิ ้นึ โดย ใหม้ ีหน้าที่ตรวจสอบ และรายงานการกระทำหรือละเวน้ การกระทำทีล่ ะเมดิ สทิ ธิมนุษยชนตามกฎหมายไทย หรอื ตามพนั ธกรณรี ะหว่างประเทศทป่ี ระเทศไทยไดร้ ่วมลงนาม โดยไมไ่ ดแ้ บ่งแยกวา่ บคุ คลน้นั จะมีอายุเท่าไร เพศใด เช้ือชาตใิ ด นับถือศาสนาและภาษาอะไร มีสถานภาพทางกายหรอื ฐานะใด หากบุคคลอยใู่ นพ้นื ที่ทใ่ี ช้ รฐั ธรรมนญู ยอ่ มไดร้ บั ความคุ้มครองสิทธิ เสรภี าพ และมีความเทา่ เทยี มกนั ในศักดิ์ศรคี วามเปน็ มนษุ ย์ ดว้ ยเหตุ นีใ้ นการปฏิบตั ิงานตามอำนาจหนา้ ที่ตลอดจนการตรากฎหมาย การตีความ และการบังคับใช้กฎหมายอาจมี การละเมดิ สิทธแิ ละเสรภี าพของบุคคลตามรัฐธรรมนญู หากถกู ลดิ รอนหรอื ถูกละเมดิ สิทธมิ นุษยชนกส็ ามารถ ร้องเรียนต่อศาลเพอื่ ใหด้ ำเนินคดไี ด้ หนา้ ทีข่ องพลเมืองดตี ามรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้กล่าวถึงหน้าของชนชาวไทยตามระบอบประชาธิปไตย อันมี พระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมุข ซ่ึงเปน็ หน้าที่ตามบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมายสูงสดุ ของประเทศ ซ่ึงทกุ คนจะต้องรักษาและปฏบิ ตั ิ ตามจะหลกี เลีย่ งไมไ่ ด้ พอสรุปได้ ดังน้ี 1. การรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ - การรักษาชาติ - การรกั ษาศาสนา - การรักษาพระมหากษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมุข 2. การปฏบิ ัตติ ามกฎหมาย เมื่อเราตอ้ งเก่ยี วขอ้ งหรือสมั พันธก์ ับกฎหมายใดกต็ อ้ งปฏิบัตติ ามกฎหมายน้นั ๆอย่างเครง่ ครดั เพราะกฎหมายแตล่ ะฉบบั น้ันได้มกี ารรา่ งและประกาศใช้ในราชกิจจานเุ บกษาอยา่ งเปดิ เผยตอ่ หน้าสาธารณชน 3. การไปใชส้ ทิ ธเิ ลอื กตง้ั หนา้ ที่ = สามารถลงชื่อถอดถอน (20,000 คน) แตถ่ า้ ไมม่ าใชห้ นา้ ท่กี จ็ ะไมม่ สี ทิ ธ์ิในการลง สมคั รเลอื กต้งั

4. การพัฒนาประเทศ 4.1. การป้องกันประเทศ 4.2. การรบั ราชการทหาร 4.3. การเสียภาษีอากร - ภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา - ภาษเี งนิ ไดน้ ติ ิบุคคล - ภาษกี ารคา้ - คา่ อากรแสตมป์ 4.4. การช่วยเหลือราชการ 4.5. การศึกษาอบรม 4.6. การพทิ กั ษป์ กป้องและสบื สานศลิ ปะ วฒั นธรรมของชาตแิ ละภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น 4.7. การอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม 5. การปฏิบตั งิ านตามกฎหมายเพอ่ื ประโยชน์สว่ นรวม แนวทางการปฏบิ ัตติ นเปน็ พลเมอื งดตี ามวิถีชวี ิตประชาธปิ ไตย พลเมืองดีตามวิถีชีวิตประชาธิปไตยควรมีแนวทางการปฏบิ ัตติ นดงั น้ี คอื 1) ด้านสังคม ไดแ้ ก่ (1) การแสดงความคดิ อยา่ งมเี หตผุ ล (2) การรบั ฟงั ขอ้ คิดเหน็ ของผอู้ ่นื (3) การยอมรบั เมือ่ ผ้อู ืน่ มเี หตผุ ลทีด่ ีกวา่ (4) การตดั สินใจโดยใช้เหตผุ ลมากกว่าอารมณ์ (5) การเคารพระเบยี บของสังคม (6) การมีจิตสาธารณะ คือ เห็นแก่ประโยชนข์ องสว่ นรวมและรกั ษาสาธารณสมบตั ิ 2) ดา้ นเศรษฐกจิ ได้แก่ (1) การประหยัดและอดออมในครอบครวั (2) การซือ่ สัตยส์ จุ ริตตอ่ อาชีพทที่ ำ (3) การพัฒนางานอาชีพใหก้ า้ วหน้า (4) การใช้เวลาวา่ งให้เปน็ ประโยชนต์ อ่ ตนเองและสังคม (5) การสรา้ งงานและสร้างสรรคส์ ง่ิ ประดิษฐ์ใหม่ ๆ เพอื่ ให้เกิดประโยชนต์ ่อสังคมไทย และสงั คมโลก (6) การเป็นผผู้ ลิตและผบู้ รโิ ภคที่ดี มีความซ่อื สัตย์ ยึดม่นั ในอุดมการณท์ ่ดี ตี ่อชาติเปน็ สำคัญ 3) ด้านการเมอื งการปกครอง ไดแ้ ก่ (1) การเคารพกฎหมาย (2) การรบั ฟังข้อคิดเหน็ ของทุกคนโดยอดทนตอ่ ความขัดแย้งท่เี กดิ ขึ้น (3) การยอมรบั ในเหตุผลทด่ี กี ว่า (4) การซอ่ื สตั ย์ตอ่ หนา้ ท่โี ดยไม่เหน็ แก่ประโยชนส์ ่วนตน (5) การกล้าเสนอความคดิ เหน็ ตอ่ สว่ นรวม กลา้ เสนอตนเองในการทำหน้าท่ี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร หรือสมาชกิ วุฒสิ ภา (6) การทำงานอย่างเตม็ ความสามารถ เตม็ เวลา การสง่ เสริมให้ผ้อู ่ืนปฏิบตั ิตนเปน็ พลเมอื งดี การที่บคุ คลปฏบิ ัตติ นเปน็ พลเมอื งดีในวิถปี ระชาธปิ ไตยแล้ว ควรสนบั สนุนสง่ เสริมให้บุคคลอนื่ ปฏบิ ัตติ นเปน็ พลเมอื งดี ในวถิ ีประชาธปิ ไตยดว้ ย โดยมแี นวทางการปฏบิ ัติดังน้ี

1. การปฏิบัติตนให้เป็นพลเมืองดีในวิถีประชาธิปไตย โดยยึดมั่นในคุณธรรมจริยธรรมของศาสนาและหลักการของ ประชาธิปไตยมาใชใ้ นวิถีการดำรงชวี ติ ประจำวันเพ่อื เป็นแบบอย่างท่ดี ีแกค่ นรอบข้าง 2. เผยแพร่ อบรม หรือส่งั สอนบคุ คลในครอบครัว เพ่อื นบ้าน คนในสังคม ใหใ้ ชห้ ลกั การทางประชาธิปไตยเป็นพ้นื ฐาน ในการดำรงชีวิตประจำวัน 3. สนับสนนุ ชุมชนในเร่อื งที่เกย่ี วกับการปฏบิ ัตติ นใหถ้ ูกตอ้ งตามกฎหมาย โดยการบอกเลา่ เขยี นบทความเผยแพร่ผา่ น สื่อมวลชน 4. ชกั ชวน หรอื สนับสนนุ คนดีมีความสามารถในการมีส่วนรว่ มกับกิจกรรมทางการเมืองหรือกจิ กรรมสาธารณประโยชน์ ของชุมชน 5. เป็นหูเป็นตาใหก้ ับรัฐหรอื หนว่ ยงานของานรัฐในการสนับสนุนคนดี และกำจัดคนที่เป็นภัยกบั สงั คมการสนับสนุนให้ ผอู้ ืน่ ปฏบิ ตั ติ นเปน็ พลเมอื งดใี นวถิ ีประชาธปิ ไตย ควรเป็นจติ สำนกึ ที่บุคคลพึงปฏิบัติเพ่ือให้เกิดประชาธิปไตยอยา่ งแทจ้ รงิ

ใบความรูท้ ่ี 3 ความรเู้ กย่ี วกับกฎหมายเลือกตง้ั การเลือกต้ังในระบอบประชาธปิ ไตย 1. ความหมายของการเลอื กต้ัง การเลอื กตัง้ คือ การทรี่ าษฎรใช้สิทธขิ องตนเองลงคะแนนเสยี งเลือกตวั แทน เพอ่ื ทำหนา้ ท่ี แทนตนในการปกครองแตล่ ะระดบั ของประเทศ เชน่ การเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร การเลอื กต้ัง สมาชกิ สภาจงั หวัด เปน็ ตน้ การเลอื กตง้ั ที่เปน็ ประชาธิปไตยนั้นต้องเปน็ การเลือกต้ังโดยเสรี กลา่ วคอื ตอ้ งเปดิ กวา้ ง ใหอ้ สิ ระในการตดั สินใจทัง้ ในแง่ของผู้สมัครและผอู้ อกเสียง ทงั้ นี้ ต้องเป็นไปโดยบรสิ ุทธแ์ิ ละยุตธิ รรม ไมม่ ีการช้นี ำหรือบงั คับใหเ้ ลือก 2. ความสำคญั ของการเลือกตั้ง ประชาชนเปน็ ผมู้ อี ำนาจในการปกครองประเทศ แต่ในสภาพสังคมปัจจุบนั ย่อมเปน็ ไป ไมไ่ ด้ทป่ี ระชาชนทุกคนจะทำหน้าทปี่ กครองประเทศพร้อม ๆ กัน จงึ มีความจำเปน็ ต้องเลือกผ้แู ทนของ ตนเขา้ ไปทำหน้าที่แทนตน และประชาชนสามารถเปล่ียนผู้แทนซึ่งใช้อำนาจแทนตนได้ โดยเลอื กผทู้ ่ีตน เหน็ วา่ ประโยชน์แกส่ ว่ นรวมตามแนวทางที่ตนต้องการ โดยพจิ ารณาจากนโยบายของผูส้ มคั รหรอื พรรค ของผู้สมัคร 3. การเลอื กตง้ั ผู้แทนในระดับตา่ ง ๆ การเลอื กต้งั ในประเทศไทยมีหลายระดบั ต้ังแตร่ ะดบั หมู่บ้าน กล่าวคือ 3.1 ระดับหมู่บา้ น คอื การเลอื กผใู้ หญ่บา้ น กรรมการหมบู่ ้านและสมาชิกสภาท้องถนิ่ 3.2 ระดับตำบล คือ กำนนั ผู้บรหิ ารทอ้ งถน่ิ 3.3 ระดบั อำเภอ คือ สมาชิกสภาเทศบาลและสมาชิกสภาเมอื งพัทยา 3.4 ระดบั จังหวัด คอื สมาชกิ สภาจังหวดั และการเลือกตง้ั ในกรงุ เทพฯ ซง่ึ ไดแ้ ก่ การเลือกตง้ั ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร การเลือกต้งั สมาชกิ สภา กทม. และการเลือกต้ังสมาชิกสภาเขต 3.5 ระดบั ชาติ คือ การเลอื กต้ังสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร, สมาชิกวุฒสิ ภา ผลกระทบจากการซอื้ สิทธขิ ายเสยี ง - ประเทศขาดโอกาสในการพฒั นา - การเลือกต้ังซำ้ ซาก - สิน้ เปลืองงบประมาณ - ประชาชนเบ่ือหนา่ ย - เกิดการทจุ รติ คอรปั ชน่ั ความผดิ เกย่ี วกบั การหาเสียงเลอื กต้งั ส.ส. เรือ่ งท่ี 1 การให้ หรือสัญญาวา่ จะให้ เงนิ หรือทรพั ย์สนิ หรือประโยชนอ์ ื่นใด หรือการเลย้ี ง หรือรับจัดเลย้ี งหรือ หลอกลวง หรือใชอ้ ิทธพิ ลคุกคาม หรือใสร่ ้าย เพื่อจูงใจให้ผู้มสี ทิ ธเิ ลอื กตัง้ ลงคะแนนเลอื กตั้ง หรือไมล่ งคะแนน เลือกต้งั - เปน็ ความผิดมโี ทษจำคุก 1 ปี – 10 ปี และปรับ 20,000 บาท - 200,000 บาท และถกู เพิกถอนสิทธิเลอื กตั้ง 10 ปี (มาตรา 53 ประกอบมาตรา 137)

เรอ่ื งที่ 2 การจัดยานพาหนะนำผู้มีสิทธิเลอื กตั้งไปเพ่ือการเลือกต้ังหรอื กลับจากทเ่ี ลือกตง้ั โดยไมต่ อ้ งเสียค่าโดยสาร หรือค่าจา้ งซ่ึงตอ้ งเสียตามปกติ - เป็นความผดิ มีโทษจำคกุ 1 ปี – 5 ปี หรอื ปรบั 20,000 บาท - 100,000 บาท หรือท้ังจำทั้งปรับ และถูกเพกิ ถอนสิทธเิ ลอื กตัง 5 ปี (มาตรา 55 ประกอบมาตรา 145) เรอ่ื งท่ี 3 คนท่ีไมม่ สี ญั ชาติไทยช่วยเหลือในการหาเสยี ง - เป็นความผิดมโี ทษจำคุก 1 ปี – 10 ปี และปรบั 20,000 บาท - 200,000 บาท (มาตรา 56 ประกอบมาตรา 146) เรอ่ื งที่ 4 การหาเสยี งไมว่ ่าจะเปน็ คุณหรอื โทษแก่ผู้สมคั รรบั เลือกตั้งหรอื พรรคการเมืองตัง้ แตเ่ วลา 18.00 นาฬิกา ของวนั ก่อนวนั เลือกตั้งหนึง่ วันจนสิ้นสุดวันเลือกตัง้ - เปน็ ความผดิ มีโทษจำคุกไม่เกนิ 6 เดือน หรือปรับไมเ่ กนิ 10,000 บาทหรือทั้งจำท้งั ปรบั (มาตรา 58 ประกอบมาตรา 147) เร่อื งที่ 5 ห้ามปดิ ประกาศ หรือติดป้ายเก่ียวกบั การเลือกต้งั นอกเหนอื จากที่คณะกรรมการการเลือกต้ังกำหนดให้ รวมทัง้ ติดในสถานทขี่ องเอกชนและห้ามปดิ ประกาศหรอื ติดแผน่ ปา้ ยเกี่ยวกับการเลือกตง้ั เกินขนาดและมี จำนวนไม่เป็นไปตามท่ีคณะกรรมการการเลือกต้ังกำหนด หรอื การหาเสียงตามสถานีวิทยุ หรอื สถานโี ทรทัศน์ นอกเหนือจากทคี่ ณะกรรมการการเลือกต้ังกำหนดไว้ใหร้ ัฐสนับสนุน - เปน็ ความผดิ มีโทษจำคกุ ไม่เกนิ 6 เดือน หรือปรบั ไม่เกนิ 10,000 บาท หรือทง้ั จำท้ังปรับ (มาตรา 60 ประกอบมาตรา 147) เรือ่ งที่ 6 การเรยี ก หรอื รบั ทรพั ยส์ ินในการลงสมคั รหรือไมล่ งสมคั รรับเลอื กตัง้ เพ่ือเป็นประโยชนแ์ ก่ผ้สู มัครรบั เลือกตั้งหรือพรรคการเมอื ง - เป็นความผิดมโี ทษจำคุก 1 ปี - 10 ปี หรือปรับ 20,000 บาท – 200,000 บาท หรือท้ังจำทง้ั ปรับ และถูกเพิกถอนสิทธิเลอื กต้งั 10 ปี (มาตรา 54 วรรคหนงึ่ ประกอบมาตรา 144 วรรคหน่งึ ) เรอ่ื งท่ี 7 เจ้าหนา้ ทีข่ องรฐั ใชต้ ำแหน่งหน้าท่โี ดยมชิ อบดว้ ยกฎหมายกระทำการใดๆ เพื่อเป็นคุณหรือโทษแก่ผู้สมคั ร หรือพรรคการเมือง - เป็นความผดิ มโี ทษจำคุก 1 ปี - 10 ปี และถกู ปรบั 20,000 บาท – 200,000 บาท และถูกเพิกถอน สทิ ธเิ ลอื กตั้ง 10 ปี (มาตรา 57 ประกอบมาตรา 137) ความผิดเกี่ยวกบั ค่าใชจ้ ่ายในการเลอื กตง้ั ส.ส. เรอ่ื งที่ 8 ผ้สู มคั รรับเลอื กตัง้ หัวหน้าพรรคพรรคการเมอื งใช้จ่ายในการเลอื กต้งั เป็นจำนวนเงนิ เกินกวา่ ท่ี คณะกรรมการการเลือกต้งั กำหนด - เป็นความผิดมโี ทษจำคุก 1 ปี - 5 ปี หรอื ปรบั 20,000 บาท - 100,000 บาท หรอื ปรับเป็น 3 เท่า ของจำนวนเงนิ เกนิ กำหนด หรือทง้ั จำทั้งปรบั และถูกเพิกถอนสทิ ธิ

เลอื กต้ัง 5 ปี (มาตรา 50 วรรคสาม ประกอบมาตรา 141) เรื่องที่ 9 ผู้สมัครรบั เลอื กตั้ง หรอื หวั หน้าพรรคไม่ยื่นบญั ชีการใชจ้ า่ ยในการเลือกต้งั ภายใน 90 วันหลังจากวัน เลือกตง้ั หรือยืน่ หลกั ฐานไม่ถูกต้องครบถว้ น -เปน็ ความผิดมีโทษจำคุกไมเ่ กนิ 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรอื ท้ังจำทง้ั ปรับ และถกู เพิกถอน สทิ ธิเลือกต้งั 5 ปี (มาตรา 52 ประกอบมาตรา 143 วรรคสอง) เรือ่ งที่ 10 ผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ หรือหวั หน้าพรรคยน่ื บญั ชีรายรับรายจ่ายในการเลอื กตง้ั เป็นเทจ็ - เปน็ ความผดิ มโี ทษจำคุก 1 ปี - 5 ปี และปรับ 20,000 บาท - 100,000 บาท และถูกเพกิ ถอนสิทธิเลอื กต้งั 5 ปี (มาตรา 52 ประกอบมาตรา 143 วรรคสอง) เร่ืองท่ี 11 สมหุ ์บัญชเี ลอื กต้ังจัดทำบัญชีรายรบั รายจ่ายในการเลือกต้ังไม่เป็นไปตามหลกั เกณฑ์ และวธิ ีการท่ี คณะกรรมการการเลือกต้ังประกาศ - เป็นความผดิ มีโทษจำคกุ ไม่เกนิ 1 ปี และปรับไม่เกนิ 20,000 บาท และถกู เพิกถอนสทิ ธเิ ลือกต้ัง 5 ปี และห้ามเป็นสมหุ ์บัญชเี ลือกต้ัง 5 ปี (มาตรา 51 วรรคสอง ประกอบมาตรา 142) ความผดิ เกยี่ วกบั ผสู้ มัคร ส.ส. และการสมัครรับเลือกต้ัง ส.ส. เรอื่ งท่ี 12 การลงสมคั รรบั เลอื กต้ังสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรแบบแบ่งเขต หรือแบบบัญชรี ายช่ือ โดยรู้อยวู่ า่ ตนเองไม่มี สิทธิลงสมัคร หรอื การลงสมัครรบั เลือกต้งั ในนามพรรคการเมืองเกินกว่า 1 พรรค หรือลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทง้ั แบบแบง่ เขตและแบบสัดส่วน หรอื ลงสมคั รรับเลอื กตงั้ เกินกวา่ 1 เขตเลอื กตัง้ หรอื การสมัครลงรบั เลอื กตงั้ มากกว่า 1 เขตเลอื กตงั้ - เปน็ ความผิดมโี ทษจำคุก 1 ปี – 10 ปี และปรบั 20,000 บาท - 200,000 บาท และถูกเพกิ ถอนสทิ ธเิ ลือกตั้ง 10 ปี (มาตรา 34 มาตรา 35 มาตรา 38 วรรคสอง ประกอบมาตรา 139) ความผิดเกีย่ วกับผมู้ สี ิทธิเลอื กตงั้ และบญั ชีรายช่ือการเลอื กตั้ง ส.ส. เรอ่ื งที่ 13 ผมู้ สี ทิ ธิเลือกต้ังไม่ไปใชส้ ิทธิเลอื กตั้ง และไม่ได้แจง้ เหตอุ ันสมควรจะเสยี สทิ ธิ 3 ประการ คอื 1.เสยี สทิ ธิยื่นคำรอ้ งคดั คา้ นการเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรและสมาชกิ วุฒิสภา 2.เสยี สทิ ธิลงสมคั รรบั เลือกต้งั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและสมาชิกวฒุ สิ ภา และการไดร้ ับการเสนอช่อื เป็น สมาชิกวฒุ ิสภา สมาชิกสภาท้องถ่ิน และผบู้ ริหารทอ้ งถน่ิ 3.เสยี สิทธิสมัครรับเลือกเป็นกำนัน และผู้ใหญบ่ ้าน (มาตรา 26) เรอ่ื งที่ 14 การย้ายชื่อบุคคลอื่นเขา้ มาในทะเบียนบ้านเพ่ือประโยชนใ์ นการเลือกตงั้ - เป็นความผิดมีโทษจำคุกไมเ่ กิน 2 ปี หรือปรับไม่เกนิ 40,000 บาท หรอื ทง้ั จำทง้ั ปรับ (มาตรา 33 ประกอบมาตรา 138) ความผิดเกีย่ วกับการลงคะแนนเลือกต้ัง ส.ส. เร่ืองท่ี 15 การลงคะแนนเลือกตง้ั โดยรู้อยู่วา่ ตนเองไม่มสี ทิ ธิลงคะแนนเลอื กต้งั โดยใช้เอกสารแสดงตนอันเปน็ เทจ็ - เปน็ ความผิดมีโทษจำคุก 1 ปี – 10 ปี และปรบั 20,000 บาท - 200,000 บาท และถูกเพกิ ถอนสทิ ธิเลือกตงั้ 10 ปี (มาตรา 70 ประกอบมาตรา 137) เร่อื งที่ 16 การขัดขวาง ไม่ใหผ้ ูม้ สี ิทธเิ ลือกต้งั ไป ณ หนว่ ยเลอื กต้ัง หรอื ลงคะแนนเลือกตัง้

- เป็นความผิดมโี ทษจำคุก 1 ปี – 5 ปี หรอื ปรบั 20,000 บาท - 100,000 บาท หรอื ทัง้ จำทั้งปรับ และถูกเพกิ ถอนสิทธเิ ลือกตง้ั 5 ปี (มาตรา 76 ประกอบมาตรา 152 วรรคหน่งึ ) เรื่องที่ 17 การถา่ ยภาพบตั รเลือกต้ังทีไ่ ดล้ งคะแนนเลือกต้ังไวแ้ ล้ว หรือการแสดงบัตรเลอื กตง้ั ที่ไดล้ งคะแนนเลือกตั้งไว้ แล้วให้ผอู้ ่นื ทราบถึงการลงคะแนนเลอื กตั้ง - เปน็ ความผดิ มโี ทษจำคกุ ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกนิ 20,000 บาท หรือทง้ั จำทั้งปรับ (มาตรา 73 มาตรา 75 ประกอบมาตรา 153) (เปน็ ความผิดเฉพาะผสู้ มคั ร) เรอ่ื งท่ี 18 ผบู้ ังคับบญั ชา หรือนายจ้างขดั ขวางการไปใช้สิทธเิ ลอื กต้ังของผใู้ ตบ้ งั คบั บัญชา หรอื ลกู จา้ ง - เปน็ ความผิดมโี ทษจำคุกไม่เกนิ 2 ปี หรือปรบั ไมเ่ กนิ 40,000 บาท หรือท้งั จำทัง้ ปรบั (มาตรา 136) เรอ่ื งท่ี 19 ผูม้ สี ทิ ธเิ ลือกต้ังเรียก รับ หรอื ยอมจะรับเงิน ทรัพย์สนิ หรือประโยชนอ์ ่นื ใด เพื่อลงคะแนนหรือไม่ ลงคะแนนให้แกผ่ ู้สมัคร หรือพรรคการเมืองใด - เปน็ ความผดิ มีโทษจำคุก 1 ปี – 5 ปี หรอื ปรบั 20,000 บาท - 100,000 บาท หรอื ท้ังจำทัง้ ปรบั และถกู เพิกถอนสิทธเิ ลือกตั้ง 5 ปี (มาตรา 77 ประกอบมาตรา 152) ความผดิ เก่ยี วกบั บัตรเลือกต้ัง ส.ส. เรื่องท่ี 20 การนำบัตรเลือกตั้งออกไปจากทีเ่ ลือกตัง้ หรอื การทำเคร่ืองหมายเปน็ ที่สังเกตไวใ้ นบัตรเลือกตงั้ หรอื การนำ บัตรเลอื กต้ังใสใ่ นหีบบัตรเลือกต้งั โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย หรอื การทำบัญชรี ายช่ือผู้มีสิทธเิ ลือกตั้งผดิ ไป จากความเปน็ จรงิ หรือกระทำการให้บัตรเลอื กตง้ั หรือกระทำการใหบ้ ัตรเลือกตั้งเพิ่มขน้ึ ไปจากความเป็นจริง - เปน็ ความผิดมโี ทษจำคกุ 1 ปี – 5 ปี หรือปรบั 20,000 บาท - 100,000 บาท หรอื ทั้งจำท้ังปรบั และถกู เพิกถอนสิทธิเลือกต้ัง 5 ปี (มาตรา 71 วรรคสอง มาตรา 72 มาตรา 74 ประกอบมาตรา 152 วรรคหน่งึ ) เรื่องที่ 21 การใชบ้ ตั รอนื่ ท่ีมิใช่บัตรเลือกตั้งที่กฎหมายกำหนดหรือการใชบ้ ัตรเลือกต้งั ท่ีมใิ ช่บัตรเลอื กตงั้ ท่ีตนได้รบั มา จากการแสดงตนเพื่อลงคะแนนเลอื กต้งั - เป็นความผดิ มโี ทษจำคกุ 1 ปี – 10 ปี และปรับ 20,000 บาท - 200,000 บาท และถกู เพิกถอนสทิ ธเิ ลือกตัง้ 10 ปี (มาตรา 71 วรรคหนง่ึ ประกอบมาตรา 151) ความผดิ เกย่ี วกับการรอ้ งเท็จและเปน็ พยานเทจ็ การเลอื กตั้ง ส.ส. เรอ่ื งที่ 22 กระทำการอันเป็นเทจ็ ให้ผูอ้ ่ืนเขา้ ใจว่าผสู้ มัครรบั เลือกตงั้ กระทำผิดกฎหมายเลือกต้ัง - เปน็ ความผดิ มโี ทษจำคุกไมเ่ กิน 2 ปี หรือปรบั ไม่เกนิ 40,000 บาท และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี (มาตรา 140 วรรคหน่งึ ) เรอ่ื งที่ 23 กระทำการอนั เป็นเทจ็ เพื่อกล่ันแกล้งผู้สมัครรบั เลือกตั้ง เพอื่ ใหผ้ สู้ มคั รนั้นถูกเพิกถอนสิทธิเลอื กตั้ง หรอื ไม่ให้มีการประกาศผลเลือกต้ัง - เป็นความผดิ มีโทษจำคุก 5 ปี – 10 ปี ปละปรับ 100,000 บาท - 200,000 บาท และถกู เพกิ ถอนสิทธเิ ลอื กตั้ง 10 ปี (มาตรา 122 ประกอบมาตรา 140 วรรคสอง) เรื่องท่ี 24

การกลา่ วหาผสู้ มัครรบั เลอื กตง้ั วา่ กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งต่อคณะกรรมการการเลอื กตง้ั อนั เปน็ เท็จ - เป็นความผดิ มโี ทษจำคกุ 7 ปี – 10 ปี และปรบั 140,000 บาท - 200,000 บาท และถูกเพิกถอนสทิ ธิเลือกตง้ั 20 ปี (มาตรา 140 วรรคสาม) ความผิดเรอ่ื งอน่ื ๆท่ีสำคญั เก่ยี วกบั การเลือกตงั้ ส.ส. เรื่องที่ 25 การขัดขวางคณะกรรมการการเลอื กตัง้ หรือผูท้ ่ีคณะกรรมการการเลือกต้ังได้มอบอำนาจไม่ใหเ้ ขา้ ไปในท่ีอยู่ อาศยั สถานที่ หรือยานพานะเพื่อตรวจ ค้น ยดึ หรอื อายดั ท้ังเอกสารทรัพยส์ นิ หรือพยานหลักฐานอื่น ๆ เม่ือมี หลักฐานที่เชือ่ ได้ว่ามีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตง้ั - เปน็ ความผดิ มีโทษจำคกุ ไม่เกนิ 1 ปี หรือปรบั ไม่เกิน 20,000 บาท หรือทัง้ จำท้ังปรับ (มาตรา 112 วรรคหน่ึง (1) ประกอบมาตรา 154 วรรคหนงึ่ ) เรื่องท่ี 26 การขาย จำหน่าย จ่ายแจก หรือจดั เลยี้ งสุราต้งั แต่เวลา 18.00 นาฬิกา ของก่อนวนั เลอื กตั้งหนึง่ วันจน สิน้ สุดวนั เลือกตง้ั - เป็นความผดิ มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรอื ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือท้งั จำท้งั ปรบั (มาตรา 155) เรอ่ื งท่ี 27 การเล่น หรือจดั ใหเ้ ล่นพนันขนั ต่อเก่ียวกบั ผลการเลือกต้ัง - เป็นความผิดมโี ทษจำคกุ 1 ปี – 5 ปี หรือถกู ปรบั 20,000 บาท - 100,000 บาท หรอื ท้งั จำทง้ั ปรบั และถกู เพกิ ถอนสิทธเิ ลอื กตงั้ 5 ปี (มาตรา 156) เร่อื งที่ 28 การเปดิ เผย หรือเผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกยี่ วกบั การลงคะแนนเลอื กตง้ั ในระหว่าง 7 วนั กอ่ นวันเลอื กต้ังจนถึงเวลาปดิ การลงคะแนนเลือกตง้ั - เป็นความผดิ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรอื ถูกปรบั ไมเ่ กิน 6,000 บาท หรอื ทงั้ จำทั้งปรบั (มาตรา 150) เรื่องท่ี 29 การกระทำความผดิ เกีย่ วกับกฎหมายเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรนอกราชอาณาจกั ร ไมว่ า่ จะเป็น ตัวการ ผ้สู นับสนนุ หรือผู้ใช้ใหก้ ระทำความผดิ น้นั ให้ถือว่าตัวการ ผู้สนับสนนุ หรอื ผ้ใู ชใ้ หก้ ระทำความผดิ นนั้ ไดก้ ระทำในราชอาณาจักร (มาตรา 160) เรื่องที่ 30 ผูส้ มัครรบั เลอื กตงั้ หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซง่ึ คณะกรรมการการเลือกต้ัง หรอื ศาลฎีกามคี ำส่ังใหเ้ พกิ ถอนสิทธเิ ลอื กตัง้ และเป็นเหตุให้ต้องมกี ารเลือกตงั้ ใหม่ ต้องรบั ผิดและชดใช้ค่าใชจ้ า่ ยสำหรับการจดการ เลือกตั้งใหม่ (มาตรา 11 )

ใบความรทู้ ี่ 4 การทจุ ริต คอรปั ช่นั คำว่า “คอรัปชน่ั ”เรามกั จะได้ยินมาทกุ ยุคทกุ สมยั คอรัปชน่ั คืออะไร คอรปั ชน่ั คือ การทุจริตโดยใช้ หรืออาศยั ตำแหน่งหน้าที่อำนาจและอิทธิพลที่ตนมอี ยเู่ พื่อ ประโยชน์แกต่ นเองหรอื ผู้อน่ื รวมถึงการเลือกทีร่ ัก มกั ท่ชี งั การเหน็ แก่ญาตพิ ่นี ้องกินสินบนฉ้อราษฎรบ์ งั หลวง การใช้ระบบอุปถมั ภ์ และความไม่เปน็ ธรรมอื่นๆท่ี ข้าราชการหรือบุคคลใดใช้เปน็ เคร่อื งมอื ในการลิด รอนความเป็นธรรม และและความถูกตอ้ งตามกฎหมาย และสังคมปัจจุบันเปน็ ที่ยอมรับ วา่ การคอรัปช่ันในประเทศไทยเปน็ ปัญหามากแมจ้ ะมีมาตรการป้องกนั และ แก้ไขก็ไม่ สามารถขจัดปัญหาคอรปั ชัน่ ให้หมดไปจากสงั คมไทยไดต้ ราบใดท่คี นไทยยังมกี ารดำรง ชวี ติ อยา่ ง ฟุง้ เฟ้อ ฟุ่มเฟือย ใชเ้ งินมากกว่ารายไดข้ าดการดำรงชวี ติ แบบเศรษฐกิจพอเพยี ง จึงทำให้เกิดการทุจริตเกดิ ขน้ึ ท้ังนีเ้ นื่องจาก ปัญหาเศรษฐกิจกระแสบรโิ ภคนยิ มวัตถนุ ยิ ม เกิดการใชเ้ งินเกินรายได้ โดยนิยมหรือช่นื ชมกนั วตั ถุนยิ ม เช่นชนื่ ชมกบั การใช้ส่ิงของหรือสื่อเทคโนโลยที ี่ทนั สมยั โครงสรา้ งของสังคม ไทย ระบบอุปถัมภ์ กลา่ วคือ สังคมไทยเป็นสงั คมแนวดง่ิ คือเป็นสงั คมของกลุ่มท่ีมีอำนาจกับกล่มุ ไม่มี อำนาจ โดยกล่มุ ท่ีมอี ำนาจจะทำทกุ วถิ ีทางท่ีใหต้ นมีอำนาจสว่ นกลุ่มไม่มีอำนาจกจ็ ะทำ ทุกวิถที างให้ตนอย่รู อด และระบบอปุ ถัมภเ์ ป็นระบบท่ีดูแลคำ้ ชโู ดยผ้ใู หญ่ดแู ลเด็ก เดก็ ดแู ลผู้ใหญ่ ซึง่ ระบบอปุ ถัมภน์ ้ีเป็นการช่วยเหลือ ซึ่งกนั และกนั เชน่ เม่ือราชการกระทำความ ผดิ เกดิ ข้นึ อาจเกดิ จากเหตุที่ ไมร่ วู้ า่ กระทำนั้นเปน็ การกระทำทผี่ ดิ มี ความจำเป็นในการกระทำเพ่อื ประโยชน์ของทางราชการ หรือ เกรงกลวั ตอ่ อำนาจหรือกระโดยทจุ รติ ก็ตาม เมอื่ ราชการกระทำผิดนักการเมอื งมาโอบอุ้มส่วนราชกาใหพ้ ้นผิด การกระทำดังกลา่ วเช่นน้เี ปน็ การอปุ ถมั ภ์ซ่งึ กันและกันจงึ ทำให้เกดิ การสนองตอบด้วยการกระทำความผิด เนือ่ งจาก 1.กระบวนการยตุ ิธรรมไม่เข้มแข็ง 2.การแทรกแซงจากผมู้ ีอิทธิพลและนกั การเมือง 3.ความเบ่อื หน่ายและเพิกเฉยของประชาชนต่อการทุจรติ การทุจรติ คอรัปชั่นสามารถแบง่ ได้เปน็ 5 รูปแบบคือ 1) การทุจรติ เชิงนโยบาย 2)ทุจริตต่อตำแหนง่ หน้าทีร่ าชการ 3) การทุจรติ ในการจดั ซื้อจดั จา้ ง 4) การทจุ รติ ในการใหส้ ัมปทาน 5)การ ทจุ ริตโดยการทำลายระบบตรวจสอบอำนาจรัฐการทุจริตเชิงนโยบายเป็นรูปแบบใหม่ของ การ ทจุ ริตทแี่ ยบยล โดยอาศยั รปู แบบของกฎหมาย หรอื มตขิ องคณะรัฐมนตรหี รือมติของคณะกรรมการเปน็ เคร่ืองมอื ในการแสวงหาผลประโยชนท์ ำให้ประชาชน สว่ นใหญ่เข้าใจผดิ ว่าเป็นการกระทำท่ถี ูกต้องชอบธรรม ซ่งึ ประกอบด้วยข้อเท็จจรงิ ดงั นี้ 1.มกี ารกำหนดนโยบายท่จี ะทำโครงการ หรอื กจิ การโดยองคก์ รหรอื หนว่ ยงานของรัฐหรือรัฐบาลท่อี ้าง ประโยชนข์ องประเทศ ชาตหิ รือประชาชนเปน็ อนั ดับแรก 2.มีการเตรยี มการรองรบั โครงการหรือกจิ การนั้นให้มีความชอบดว้ ยกฎหมายหรอื ระเบียบ 3.ท้าย สดุ คอื ผลประโยชน์อันมิควรไดเ้ กิดข้นึ แกบ่ ุคคลหรือกลุ่มบุคคลผลประโยชนท์ ม่ี หาศาล ท่ีตกได้กับฝา่ ย บริหารซึ่งมอี ำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ครอบงำฝา่ ยนติ ิบญั ญัติหรือข้าราชการประจำการทุจริตตอ่ ตำแหน่ง เจา้ หนา้ ท่ี คอรปั ช่ันเปน็ การใช้อำนาจและหน้าที่ในความรับผิดชอบของ ตนในฐานะของเจา้ หนา้ ทีข่ องรฐั เอื้อ ประโยชน์ใหก้ ับตนเองหรอื บุคคลใดบคุ คล หนง่ึ หรือกลุม่ ใดกลมุ่ หนงึ่ ปจั จบุ ันมักเกิดจากความร่วมมอื ระหว่าง

นักการเมืองพอ่ ค้าและขา้ ราชการประจำอนั มีลกั ษณะเป็นทางธุรกิจทางการเมือง ทเ่ี ห็นได้ชัดเจนคอื การที่ นกั การเมืองและนกั ธุรกจิ ร่วมกนั ครอบครองท่ดี นิ ของ รัฐโดยมชิ อบทงั้ น้โี ดยข้าราชการฝา่ ยปกครองและเจ้า พนกั งานที่ดนิ ให้ความรว่ ม มือ หรอื ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนการทจุ ริตในการจดั ซอ้ื จัดจ้างการจดั ซ้ือจดั จา้ ง เป็นการแสวงหาหรอื เอ้อื ประโยชนจ์ ากการจัดซ้ือจัดจา้ งในราคาทสี่ ูงกว่าความ เปน็ จริงแต่สิง่ ทีไ่ ดม้ ีคณุ ภาพต่ำ ปัจจุบันมักเกดิ จากความร่วมมือกนั ระหว่างนกั ธุรกิจ พอ่ คา้ และขา้ ราชการประจำอนั มลี ักษณะวิธกี ารและ กำหนดเง่ือนไขในการประมลู ท่ีเรียก วา่ ฮวั้ ประมลู หรอื มีการให้เงิน ทรพั ยส์ ินหรอื ผลประโยชนอ์ น่ื ใดเปน็ การ ตอบแทนวิธีการฮั้วประมลู ทำทุกวิธที างให้ได้มาซึง่ การประมูลการ ทจุ รติ ในการ ให้สัมปทานการใหส้ มั ปทาน เปน็ การแสวงหาหรอื เอื้อประโยชน์โดยมิชอบจากโครงการหรือ กจิ การของรัฐซงึ่ รฐั ได้อนญุ าตหรือมอบใหเ้ อกชนดำเนนิ การแทนใหล้ กั ษณะสัมปทานผกู ขาดในกิจการใด กจิ การหนึง่ เชน่ การทำสญั ญาสัมปทานโรงงานสรุ า การทำสัญญาสมั ปทานโทรคมนาคมเป็นต้นทจุ ริตโดยการทำลายระบบ ตรวจสอบการใช้อำนาจ รัฐเปน็ การพยายามดำเนินการใหไ้ ดบ้ ุคคลซง่ึ มีสายสมั พันธก์ บั ผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมืองในอนั ทีจ่ ะแทรกเขา้ ไปดำรงตำแหน่งในองคก์ รอิสระตามรฐั ธรรมนูญ ซึง่ มีอำนาจหน้าทใ่ี นการ ตรวจสอบการใช้อำนาจรฐั เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริต แหง่ ชาตเิ ปน็ ตน้ ทำให้องค์กรเหล่านอี้ อ่ นแอไมส่ ามารถตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพการ แก้ปญั หาในเรื่องเหลา่ นโ้ี ดยการนำพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลกั เกณฑ์และวิธกี ารบรหิ ารกิจการบา้ นเมืองทดี่ ี พ.ศ.2546 หรอื หลกั ธรรมาภบิ าลมาปฏิบตั ิ หลักธรรมาภบิ าล หมายถึง แนวทางการจัดระเบียบเพ่ิอให้สังคมของประเทศทัง้ รัฐและเอกชนดงั น้ี 1.หลักนติ ธิ รรม (The Rule of law) ปฏิบตั ิตามกฎหมายทอี่ อกมาถกู ต้องและเปน็ ธรรม 2.หลกั คุณธรรม(Morality) ยึดม่นั ความถูกต้องเป็นธรรม อดทน มรี ะเบยี บ วนิ ยั 3.หลักความโปรง่ ใส (Accoutability) การกระทำสามารถตรวจสอบได้ 4.หลักมสี ่วนรว่ ม(Participation) รับฟังความคดิ เห็นทุกฝ่าย 5.หลกั ความรับผดิ ชอบ (Responsibility) ยอมรบั ผลการกระทำของตนทั้งผลดผี ลเสีย 6หลกั ความคมุ้ คา่ (Cost –effectiveness of Econom) ใชท้ รพั ยากรทีม่ ี คุ้มค่าและประหยัด

ใบความรูท้ ่ี 5 ระบบเศรษฐกิจของไทย ความหมายระบบเศรษฐกิจ - รัฐเข้ามาดำเนินการจดั ระเบยี บทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยกำหนดวา่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจชนิดใดรฐั จดั ทำกจิ กรรมใดให้ เอกชนดำเนินการ - การรวมกนั ของหน่วยเศรษฐกิจ (หนว่ ยธรุ กจิ /หนว่ ยครัวเรือน) เพื่อดำเนนิ กิจกรรทางเศรษฐกจิ โดยมกี ารกำหนดหนา้ ทีข่ อง หนว่ ยเศรษฐกิจตา่ ง ๆ ประเภทระบบเศรษฐกิจในปัจจบุ นั แบง่ ระบบเศรษฐกิจเป็น 3 ประเภท 1. ระบบเศรษฐกิจแบบบังคับหรือสงั คมนิยม 2. ระบบเศรษฐกจิ แบบทุนนยิ มหรอื ระบบตลาด 3. ระบบเศรษฐกจิ แบบผสม ระบบเศรษฐกิจไทย 1. ระบบเศรษฐกจิ แบบสังคมหรอื แบบบงั คบั - รฐั กำหนดควมคมุ วางแผน ตดั สนิ ใจเกีย่ วกับ กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ของประเทศ - ทรพั ย์สนิ ทรพั ยากรและปัจจยั การผลิตเป็นของรฐั - เชน่ ในประเทศเวียดนาม เกาหลเี หนอื ควิ บา 2. ลกั ษณะระบบเศรษฐกิจแบบทนุ นิยมหรอื ระบบตลาด - เอกชนหรือหน่วยธรุ กจิ ต่าง ๆ มอี ิสระในการประกอบกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ - เนน้ การแขง่ ขันของเอกชน เกิดการผลติ สนิ คา้ ทมี่ ีคณุ ภาพเพือ่ แยง่ ตลาดการขาย เป็นไปตามกลไกราคา - เอกชนมีสิทธใ์ิ นทรัพยส์ ินและปจั จัยการผลิต เงนิ - สหรฐั อเมริกา แคนาดา ญี่ปุน่ 3. ลกั ษณะระบบเศรษฐกจิ แบบผสม - กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางอยา่ งรฐั เปน็ ผู้ดำเนินการบางอยา่ งเอกชนดำเนินการ - เอกชนมีสทิ ธใิ์ นทรัพยส์ นิ มีเสรภี าพในการประกอบกิจกรรมภายใตก้ ฎหมาย มีการแขง่ ขัน ภายใตก้ ลไกราคา มกี ำไร - รฐั ประกอบกิจกรรมท่เี ป็นสาธาณปู โภคพ้ืนฐานทจี่ ำเปน็ - รฐั เขา้ แทรกแซงการผลติ ของเอกชนเพือ่ ปอ้ งกนั การเอารัดเอาเปรียบ ลกั ษณะเศรษฐกจิ ไทย ไทยใชร้ ะบบเศรษฐกจิ แบบผสมแต่ค่อนขา้ งไปทางทนุ นิยมเอกชนมีบทบาทในการผลิตดา้ นต่าง ๆ มากกวา่ รัฐบาลเอกชนมี สิทธใิ์ นทรัพย์สินและปัจจยั การผลติ มีเสรภี าพในการดำเนินกจิ กรรมทางเศรษฐกิจ มีการแขง่ ขันเพื่อพฒั นาคุณภาพของสินคา้ รัฐบาลดำเนนิ กิจกรรมทางเศรษฐกิจด้านกจิ กรรมสาธารณปู โภค

การแลกเปลยี่ นสนิ คา้ ความเปน็ มา มนุษยม์ คี วามสามารถในการผลิตสนิ ค้าแตล่ ะชนิดแตกตา่ งกัน ทำให้เกิดการซื้อขายและแลกเปลยี่ นสนิ คา้ ทตี่ น ไม่ได้ทำเอง ประเภทการแลกเปลย่ี น 1. แลกเปล่ยี นสินค้าตอ่ สนิ ค้าเชน่ ชาวบา้ น เอมข้าวสารมาแลกปลา ผลไม้แลกพริก 2. แลกเปล่ียนโดยใชเ้ งนิ เปน็ สอ่ื กลางซึ่งรวมถึงบตั รเครดติ มตี ลาดเปน็ ศูนย์กลาง ความสัมพนั ธข์ องการแลกเปลีย่ น หน่วยเศรษฐกิจตา่ ง ๆ ต้องพง่ึ พาอาศยั กัน ทง้ั ในดา้ นการแลกเปลีย่ นสินค้าตอ่ สนิ คา้ และ บรกิ ารการใหป้ ัจจยั การผลติ และความสัมพนั ธ์ในด้านรายรบั รายจ่าย กลไกราคา หมายถงึ ภาวะการณข์ องตลาดเป็นการเคล่ือนไหวของราคาสนิ คา้ ท่ขี นึ้ อยกู่ ับความตอ้ งการของผู้บริโภคและผูผ้ ลิตร่วมกันใน ตลาด อุปสงค์ (Demand)คือปรมิ าณความต้องการท่ีจะซื้อสนิ คา้ กฎของอปุ สงคเ์ ม่อื ราคสนิ ค้าสงู ขึน้ ความตอ้ งการซอื้ จะลดลง เมอ่ื สินค้าราคาถูกปรมิ าณความตอ้ งการซอื้ จะเพมิ่ ขึ้น อุปทาน (Supply)คอื ปรมิ าณสินค้าทผี่ ผู้ ลิตหรือผูข้ ายพอใจ จะผลติ หรือขายแกผ่ บู้ ริโภค กฎของอปุ ทานเมอื่ สินคา้ ราคาแพง ผผู้ ลติ หรือพ่อค้าจะนำสนิ คา้ ออกมาขายมาก หรือผลติ มากขนึ้ เมอื่ สินค้าต่ำลงจะนำ ออกมาขายน้อยหรือผลิตน้อยลง ปจั จยั ทีม่ ผี ลตอ่ อุปสงคแ์ ละอปุ ทาน 1. ราคาสินค้า 2. รายได้ของผู้บรโิ ภค ตน้ ทนุ การผลติ 3. รสนยิ มของผ้บู รโิ ภค 4. ราคาสินค้าอ่นื ทใี่ ช้แทนกันได้ 5. จำนวนผผู้ ลิตคู่แขง่ 6. สภาพลมฟ้า อากาส ลกั ษณะธรรมชาติ สถาบันการเงนิ คือ สถาบัน ท่ที ำหนา้ ทรี่ ะดมเงินออมจากประชาชน โดยจ่ายดอกเบี้ยใหจ้ ากนั้นก็จะนำเงนิ ออมดังกล่าวไปปล่อยกู้หรือ สนิ เช่อื แกผ่ ตู้ ้องการใช้เพ่อื ใช้ในการบริโภคหรือเพื่อการลงทุน

ประเภทของสถาบนั การเงิน สถาบันการเงนิ ตา่ งๆ ธนาคารแหง่ ประเทศไทย มหี น้าที่จดั การดูแล ควบคมุ ระบบเงนิ ของประเทศมีช่ือเรยี กวา่ ธนาคารชาติ ธนาคารพาณิชย์ มีหนา้ ท่ีเปน็ แหลง่ เงินออมและเงินกสู้ ำคญั ของประชาชน ซือ้ ขายเงินตราต่างประเทศให้เช่าต้นู ริ ภยั โอนเงิน ชำระค่าไฟฟ้า ประปา ฯลฯ ธนาคารท่ตี งั้ ขน้ึ เพือ่ วตั ถุประสงคเ์ ฉพาะ เชน่ ธนาคารออมสนิ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธกส. ธนาคารเพ่ือการนำเขา้ และ ส่งเอก บริษทั เงนิ ทนุ มหี น้าที่ ระดมเงนิ ทนุ หรือกยู้ ืมเงินจากประชาชน โดยออกตั๋วสญั ญาใชเ้ งนิ ใหเ้ ปน็ ประกนั คร้งั ละไม่ตำ่ กวา่ 10,000 บาท บางครง้ั เรยี กวา่ ไฟแนนซ์ หรือ ทรสั ต์ บริษัทหลกั ทรัพย์ มีหนา้ ท่ี เป็นนายหน้าหรือตัวแทน (โบรกเกอร์) ซ้ือขายหลักทรพั ย์ (หุน้ ) แก่บคุ คลอน่ื หรือแนะนำการซ้ือ ขายหุ้นแก่ประชาชน บรรษัทเงนิ ทนุ อุตสาหกรรมแหง่ ประเทศไทย จดั ต้ังเพอื่ ใหส้ นิ เชื่อแกเ่ อกชนในระยะยาว เพือ่ การลงทนุ ผลิตภาคอตุ สาหกรรม โดยคดิ ดอกเบี้ยเงินกู้ในอตั ราตำ่ บรรษทั ประกันชวี ิตและประกันภยั ทำหนา้ ทร่ี ะดมเงนิ ออมจากประชาชนในรปู ของการขายกรมธรรม์ เป็นหนงั สอื สญั ญา การประกนั ชวี ิต ประกนั ภยั หรอื ประกันอุบัติเหตุให้แกผ่ ซู้ ือ้ บรษิ ัทจะไดร้ ับผลประโยชน์จากการนำเงินการขายกรมธรรม์ไป ลงทนุ ในรปู แบบต่าง ๆ บริษทั เครดติ ฟองซเิ อร์ ทำหน้าท่ปี ลอ่ ยสินเชอ่ื ให้ลูกคา้ โดยมีทอ่ี สงั หารมิ ทรพั ย์ประเภทท่ีดินหรือบา้ น เปน็ หลักประกัน (จำนอง) แหลง่ ทม่ี าของเงนิ ทุนมาจากการกู้เงินจาก ธนาคารพาณชิ ย์ โรงรบั จำนำ มหี นา้ ทีเ่ ปน็ สาถาบนั การเงินขนาดเล็ก มที ั้งของรัฐและเอกชน โดยมที รัพยส์ ินประเภทสังหารมิ ทรัพย์ (แหวน สรอ้ ย ทองคำ เป็นตน้ ) มชี ่ือเรยี กว่าสถานธนานุบาล สถานธนานเุ คราะห์ สหกรณ์ออมทรพั ย์ เกดิ จากสมาชิกท่ปี ระกอบอาชพี เดยี วกนั รวมกล่มุ กนั เพอ่ื ชว่ ยเหลอื สมาชกิ ด้านการเงนิ โดยรับฝากเงนิ และให้กเู้ งินเมอื่ มคี วามจำเปน็ ตลาดหลกั ทรัพยแ์ ห่งประเทศไทย เปน็ สถาบนั การเงนิ ภายใต้การควบคมุ ของรัฐ (กระทรวงการคลงั ) ทำหนา้ ทเ่ี ปน็ ศนู ย์กลาง ในการ ซื้อขายหลักทรัพย์ (ห้นุ ) ควบคุมการซือ้ ขายใหม้ ีระเบียบยตุ ิธรรม เกดิ ผลดตี ่อการพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเภท ความสำคญั ของสถาบนั การเงิน สถาบนั การเงินมบี ทบาทตอ่ การพฒั นาเศรษฐกจิ ของชาติ เนื่องจากเงินทนุ เปน็ ปจั จยั ทาง เศรษฐกิจทีส่ ำคญั และมีจำนวนจำกัดสถาบันการเงินจงึ ตอ้ งจดั สรรเงินทุนเหลา่ น้ันใหเ้ พียงพอ

แผนพฒั นาเศรษฐกิจฯ แผน 9 คือ การวางแผนพัฒนาเศรษฐกจิ ของประเทศให้ประชาชนอยูด่ กี นิ ดี มีงานทำ มรี ายได้มคี วามม่ันคงและปลอดภยั ปัจจุบันใช้ แผนพัฒนาฉบับท่ี 9 จากปี พ.ศ. 2545-2549 ความเป็นมาแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ มขี ้นึ ครง้ั แรกในสมยั จอมพลสฤษดธ์ิ นะรัชตเ์ ปน็ นายกรัฐมนตรี โดยกำหนดทศิ ทาง นโยบายในการพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศอย่างเปน็ ระบบ ปจั จบุ นั ใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฯ ฉบับที่ 9 แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติฉบบั ที่ 9 จุดเดน่ คอื การนำเอาพระราชดำรสั ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ในเรือ่ ง “ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง” มาเป็นหลกั ใน การพฒั นาเศรษฐกิจ โดยเน้นหลักของการฟื้นฟเู ศรษฐกิจและสังคมของประเทศสรา้ งความเขม้ แข็งระดบั รากหญ้าจนถึง ระดับประเทศ แกไ้ ขปญั หาความยากจน และปัญหาสงั คมอ่ืน ๆ เปา้ หมาย 1. ฟ้นื ฟูเศรษฐกิจ มีภมู ิค้มุ กนั และแขง่ ขันทางเศรษฐกจิ ยุคใหมไ่ ด้ 2. วางรากฐานการพัฒนาประเทศใหย้ ่ังยนื พ่ึงตนเองอยา่ งรู้เท่าทนั โลก 3. เพื่อใหเ้ กิดการบรหิ ารจดั การท่ดี ใี นสังคมไทย 4. แกไ้ ขปัญหาความยากจน เพิ่มศกั ยภาพและโอกาสของคนไทยในการพึ่งพาตนเอง รายไดแ้ ละรายจา่ ยของรัฐ รายจา่ ยของรัฐ รฐั มบี ทบาทในการบรหิ ารเศรษฐกจิ และกจิ กรรมทางเศรษฐฏิจผ่านงบประมาณรายขา่ ยจำแนกตามกระทรวง 1. งบกลางท่จี ัดสรรโดยคณะรัฐมนตรใี ห้แก่กระทรวง กรมต่าง ๆ หนว่ ยงาน รัฐวสิ าหกิจ 2. งบหมุนเวยี น งบประมาณท่จี ดั สรรให้กองทนุ ต่าง ๆ ของรัฐ เชน่ กองทุนกูย้ นื เพ่ือการศึกษา กองทุนช่วยเหลอื เกษตรกร เป็น ตน้ รายได้ของรัฐ 1. ภาษีอากร 2. การเรยี กเก็บคา่ บรกิ ารของรฐั 3. เงินกู้ - กโู้ ดยตรงของรัฐบาล - กโู้ ดยรัฐวิสาหกิจโดยรฐั ค้ำประกนั ความสำคญั ของการทำบญั ชี การทำบญั ชีรายได้ (รายรับ) และรายจา่ ยของตนเองหรือครอบครวั จะสง่ ผลใหร้ ูจ้ กั ตนเอง รจู้ กั การใช้จ่าย และการออม เพอ่ื สรา้ งความมน่ั คงแก่ตนเองครอบครัว การออมจะสง่ ผลใหเ้ กดิ ความมัน่ คงระดบั ครัวเรือน และ ระดบั ประเทศ เพราะฉะนัน้ เราจึงควรทำบัญชีรายรับ-รายจา่ ย

ใบความรทู้ ่ี 6 เรื่อง รัฐธรรมนูญฉบับพุทธศกั ราช 2550 รัฐธรรมนูญ (Constitution) รฐั ธรรมนญู คือ กฎหมายสงู สุดของรัฐ เปน็ กฎหมายแม่บทของกฎหมายทง้ั หลายในรฐั กฎหมายใดทขี่ ัดแย้งกับ รฐั ธรรมนญู ตอ้ งถือเป็นโมฆะ กฎหมายท้งั หมดในรฐั จำเปน็ ตอ้ งเปน็ ไปตามแนวทางของกฎหมายรฐั ธรรมนญู กฎหมายรัฐธรรมนูญโดยท่ัวไปบัญญัติวา่ ดว้ ย รปู ของรัฐ การแยง่ แยกอำนาจอธปิ ไตย สทิ ธแิ ละหนา้ ทขี่ อง ประชาชน รูปของรัฐบาลระเบยี บแบบแผนของการปกครอง ฯลฯ วตั ถปุ ระสงค์ของความจำเปน็ ท่ตี อ้ งมี รัฐธรรมนูญ กค็ อื การปกครองรัฐต้องเปน็ ไปโดยกฎหมายมิใช่โดยผู้มีอำนาจ รัฐธรรมนูญของแตล่ ะรัฐยอ่ มมีลกั ษณะผิดแผกแตกต่างกันไป ซึ่งพอจะจำแนกได้เปน็ 4 ประเภทใหญๆ่ คือ 1. รฐั ธรรมนูญลายลกั ษณอ์ กั ษร (Written Constitution) 2. รฐั ธรรมนญู จารีตประเพณี (Unwritten Constitution) 3. รัฐธรรมนูญเดีย่ ว และรัฐธรรมนญู รัฐรวม (Unitary Constitution and Federal Constitution) 4. รฐั ธรรมนญู สาธารณรัฐ และรัฐธรรมนญู กษตั ริย์ (Republican Constitution and Monarchical Constitution) 1. รัฐธรรมนูญลายลกั ษณอ์ ักษร (Written Constitution) คอื กฎหมายสูงสดุ ของรัฐซ่ึงไดเ้ ขยี นไว้เป็นลายลักษณ์อกั ษรรวมไวใ้ นฉบบั เดยี ว โดยท่ัวไปแล้วเน้อื หาใน รัฐธรรมนญู ลายลักษณ์อักษรมกั จะขน้ึ ตน้ ด้วยดว้ ย วัตถปุ ระสงค์ของรฐั ธรรมนูญ ซง่ึ เก่ียวกบั การอยดู่ กี ินดีของ ประชาชน ความยตุ ิธรรม ความสงบ ความเจริญก้าวหน้าของรฐั เป็นต้น เม่อื หมดวตั ถปุ ระสงคข์ องการมี รฐั ธรรมนูญแลว้ ในขั้นตอ่ มาก็มกั แบง่ อำนาจอธปิ ไตย ซงึ่ โดยท่ัวไปก็แบ่งออกเปน็ 3 สาขา คือ อำนาจนติ ิ บัญญตั ิ อำนาจบรหิ าร และอำนาจตุลาการ ในส่วนนีก้ ม็ ักจะมีบทบัญญัติโดยละเอียดว่า จะให้ใครมาใช้อำนาจ เหล่าน้ีโดยวธิ ใี ด และพร้อมทงั้ บญั ญัติรปู ของรฐั บาลดว้ ยวา่ จะเปน็ ไปในระบบใด แบบใด รฐั ธรรมนญู จะมีหลกั การทจี่ ะแก้ไขบทปัญญตั บิ างประการของกฎหมายรฐั ธรรมนูญใหเ้ หมาะสมต่อกาลสมยั วิธีการนกี้ ็ไดบ้ ญั ญัตไิ วใ้ นรัฐธรรมนูญด้วย สำหรับสทิ ธิของประชาชนนัน้ สว่ นใหญ่แล้วก็จะมีการรบั ประกันไว้ใน รัฐธรรมนญู ด้วย ในการทม่ี ีรฐั ธรรมนูญลายลักษณอ์ ักษรเปน็ บรรทัดฐานเช่นนแี้ ลว้ ศาลสูงสุดของรัฐจึงมีหนา้ ท่ที ่จี ะวินจิ ฉัยช้ขี าด ไปได้ว่ากฎหมายท่ีออกโดยฝา่ ยนติ ิบัญญัตนิ ้ันขดั กบั รัฐธรรมนูญหรอื ไม่ เมอ่ื มผี นู้ ำมาฟ้องต่อศาลสูงสดุ หรือศาล ฎีกา ถา้ ศาลฎกี าตัดสินวา่ กฎหมายใดขัดกับรฐั ธรรมนูญ กฎหมายน้นั กถ็ ือว่าเปน็ โมฆะ ในกรณีของไทย กำหนดให้มีศาลรัฐธรรมนญู ทำหน้าท่นี ี้ 2. รัฐธรรมนูญจารตี ประเพณี (Unwritten Constitution) หรือจะเรียกอีกอยา่ งหนึ่งว่ารัฐธรรมนญู ที่ไม่เปน็ ลายลกั ษณ์อักษรก็ไม่ผิดนกั ประเทศสหราชอาณาจกั รนั้นถอื ได้ วา่ เปน็ ประเทศเดยี วทีม่ ีรฐั ธรรมนูญจารตี ประเพณีเปน็ ลักษณะเดน่ รัฐธรรมนูญจารตี ประเพณีนั้นอาศยั ขนบธรรมเนียมประเพณีและวธิ ีการทีป่ ฏิบัติสบื ตอ่ กนั มาเป็นเวลานาน รวมกันเข้าเป็นบทบัญญตั ิที่มีอำนาจเป็น กฎหมายสูงสดุ กำหนดเป็นรูปของการปกครองรัฐ แต่ประเทศสหราชอาณาจกั รก็มีกฎหมายธรรมดา ซ่งึ ออกเปน็ ลายลักษณอ์ ักษรโดยรัฐสภาหลายฉบับ ซง่ึ ลว้ นแตม่ ีลักษณะกำหนดรปู การปกครองประเทศทั้งส้นิ เช่น

Habeus Corpus Act (1679), Bill of Rights (1689), Act of Settlement (1701), Great Reform Act (1832), The Representation of the Peoples’ Act (1949) เปน็ ตน้ ฉะน้นั จงึ ขอย้ำวา่ รัฐธรรมนูญจารตี ประเพณีนนั้ แตกต่างกบั รฐั ธรรมนูญลายลักษณ์อกั ษรตรงทว่ี ่า รัฐธรรมนญู จารีตประเพณีนน้ั ไมไ่ ดเ้ ปน็ กฎหมายสูงสุดไวใ้ นฉบับเดยี วกนั และการแกไ้ ขเปลีย่ นแปลงนนั้ โดยท่วั ไปงา่ ยกว่ารัฐธรรมนูญประเภทลายลักษณ์อักษร เพราะฝา่ ยนิติบัญญตั ิออกกฎหมายแกไ้ ขให้เหมาะสม ตามกาลเวลาไดโ้ ดยไม่ต้องผา่ นการอออกเสยี งประชามติดงั เช่นรฐั ธรรมนูญประเภทลายลกั ษณ์อักษรสว่ นใหญ่ กำหนดไว้ 3. รัฐธรรมนูญเดี่ยว และรัฐธรรมนญู รัฐรวม (Unitary Constitution and Federal Constitution) รฐั เดี่ยว คือ ประเทศไทย ประเทฝรง่ั เศส ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เปน็ ต้น รฐั เดย่ี วมีลักษณะเปน็ รฐั ทมี่ ี ระบบรฐั บาลเดีย่ ว กลา่ วคอื ฝ่ายบรหิ าร ฝ่ายนิตบิ ัญญัติ และฝา่ ยตลุ าการน้ันอยูท่ ี่รฐั บาลกลาง โดยแบ่งแยก อำนาจสาขาออกไปตามส่วนภูมภิ าค พอสรุปไดว้ า่ รัฐเด่ยี วน้นั อำนาจมาจากสว่ นกลางกระจายออกส่สู ว่ น ภมู ิภาค ส่วน รฐั รวม คอื รฐั ท่มี รี ะบบรฐั บาลซ้อนกนั สองระบบ กล่าวคอื มี ฝา่ ยบริหาร ฝา่ ยนติ ิบัญญตั ิ และฝ่ายตุลา การของรฐั บาลกลางและรฐั สว่ นท้องถน่ิ ตั้งแต่ 2 ชุดข้ึนไป เปน็ อิสระไม่ขึ้นต่อกัน รฐั บาลกลางมีอำนาจ 2 แบบ คือ 1. รฐั บาลกลางมอี ำนาจเทา่ ทรี่ ัฐบาลท้องถน่ิ กำหนดให้เท่านั้น จะปรากฏในรปู ของสหพันธรัฐ (Federation) เชน่ สหรัฐอเมรกิ า ทมี่ ลรัฐตา่ งๆ รวมตวั กนั สรา้ งรัฐบาลกลางรว่ มกันข้นึ มา หรือในลกั ษณะของสหภาพ ยโุ รป 2. รฐั บาลทอ้ งถิน่ มอี ำนาจเท่าทร่ี ัฐบาลกลางไดก้ ำหนดใหเ้ ท่านัน้ เชน่ อังกฤษและสกอ๊ ตแลนด์ ในสมยั นายกรัฐมนตรี Tony Blair ไดจ้ ดั ใหม้ ปี ระชามติ (Referendum) ผลปรากฏว่าสกอ๊ ตแลนด์ไดแ้ ยกตัวออกเปน็ เขตปกครองตนเอง มีรฐั สภา ปกครองตนเอง เท่าท่ีรฐั บาลกลางให้อำนาจไว้ เป็นการแกป้ ญั หาความรนุ แรงระหว่างดนิ แดนตา่ งๆ ทพี่ ยายาม แยกตวั ออกมาไดโ้ ดยการประนปี ระนอม และไมม่ กี ารถ่วงความเจรญิ ของกันและกันซงึ่ ในการปกครองรปู แบบนี้เปน็ การปกครองแบบแบ่งอำนาจกนั ระหว่างทอ้ งถนิ่ ตา่ งๆ ของรฐั ให้มอี ำนาจออกกฎหมายบงั คบั ในเขตปกครองของตน ได้ ไม่กา้ วก่ายซึ่งกนั และกัน สว่ นรฐั ธรรมนญู ของรัฐมักมซี ้อนกนั 2 รฐั ธรรมนญู กล่าวคอื รฐั ธรรมนญู ของสหรฐั ฉบับ หน่งึ กบั รัฐธรรมนญู ของมลรัฐอกี มลรัฐละ 1 ฉบบั ซงึ่ ทง้ั รฐั และมลรฐั มอี ำนาจออกกฎหมายบงั คบั ในเขตการปกครอง ของตน แต่จะกา้ วก่ายอำนาจซึง่ กนั และกนั ไม่ได้ ขอ้ สังเกตก็คือ รัฐธรรมนญู ของของสหรฐั หรือรฐั ธรรมนูญของชาติ น้นั เป็นกฎหมายสูงสดุ ของรัฐ ถา้ รฐั ธรรมนญู ชองมลรฐั ชัดแยง้ กับรฐั ธรรมนญู ของสหรัฐนี้ รฐั ธรรมนญู ของมลรัฐจะถือ เป็นโมฆะ แตถ่ ้าอำนาจอันใดมไิ ดร้ บั ไุ วใ้ นรัฐธรรมนญู ของสหรัฐ รฐั ธรรมนญู ของมลรัฐกม็ สี ิทธทิ ี่ใช้อำนาจนน้ั ๆ ได้ 4. รัฐธรรมนญู สาธารณรัฐ และรฐั ธรรมนญู กษัตริย์ (Republican Constitution and Monarchical Constitution) หลกั ของการแบง่ รัฐธรรมนูญสองประเภทน้ีถือเอาประมุขของรฐั เปน็ หลกั รฐั ธรรมนูญของรฐั ใดทบ่ี ัญญตั วิ ่า ประมุขของรัฐเป็นประธานาธิบดี รฐั ธรรมนูญฉบบั นีม้ สี ภาพเป็นรฐั ธรรมนูญสาธารณรัฐ แตถ่ า้ รัฐธรรมนญู ฉบบั ใดบญั ญตั ใิ ห้มปี ระมขุ ของรัฐเปน็ กษัตรยิ ์หรอื เปน็ ราชินี รฐั ธรรมนญู ฉบบั น้นั ก็เป็นรฐั ธรรมนญู กษตั ริย์ สำหรบั ประธานาธบิ ดีในรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐมีอยู่ 3 ประเภท คอื • ประธานาธิบดผี ู้ทำหนา้ ทเ่ี ป็นประมุขของรฐั เทา่ นัน้ กล่าวคือ ประธานาธิบดไี มม่ อี ำนาจทางการบรหิ ารแตอ่ ย่างใด เพยี งแต่ทำหน้าที่พิธีการ เชน่ เปน็ ประธานการเปดิ งาน เปดิ ถนน เปดิ สะพาน พูดปราศรยั เป็นตำแหนง่ ทีม่ เี กียรติ แตอ่ ำนาจบรหิ ารตกเป็นของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เชน่ ประธานาธบิ ดขี องอนิ เดยี สวิตเซอรแ์ ลนด์ เยอรมนี ฯลฯ • ประธานาธิบดผี ทู้ ำหนา้ ท่ีเปน็ ประมุขของรฐั และเป็นหวั หนา้ ฝา่ ยบรหิ ารของรัฐด้วย ทั้งสองตำแหน่ง หรืออีก นยั หนง่ึ ประธานาธบิ ดคี นเดยี ว ทำหน้าทเ่ี ปน็ ทง้ั ประมุขของรัฐและนายกรัฐมนตรใี นเวลาเดยี วกนั เช่น ประธานาธิบดีของ

สหรัฐอเมรกิ า เป็นประมุขของรฐั และเป็นหัวหน้าฝา่ ยบรหิ ารด้วย • ประธานาธบิ ดผี ทู้ ำหน้าทเี่ ป็นประมุขของรฐั และยงั เปน็ หวั หนา้ ฝา่ ยบริหารอยา่ งไมเ่ ป็นทางการ ในกรณขี องประเทศ ฝรงั่ เศส ประธานาธิบดีสามารถใชอ้ ำนาจบริหารบางสว่ นโดยไม่ตอ้ งใหน้ ายกรัฐมนตรรี บั ผดิ ชอบแทน เชน่ สามารถ ยบุ สภาผู้แทนราษฎรได้ ส่วนตำแหนง่ นายกรัฐมนตรนี ้ันประธานาธบิ ดเี ป็นผูแ้ ตง่ ต้งั และปลดออกได้ตามความเห็น ของประธานาธิบดีเอง ซ่งึ นายกรฐั มนตรเี ปน็ ผใู้ ช้อำนาจบรหิ ารอยา่ งแท้จรงิ รฐั ธรรมนูญทบ่ี ัญญัตใิ หม้ รี ะบอบการปกครองแบบมีกษัตรยิ ์เปน็ ประมุขของรฐั กแ็ บ่งกษตั ริย์ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. กษตั ริย์ทอี่ ย่ใู ตร้ ฐั ธรรมนูญ อนั ได้แก่ รัฐธรรมนญู ไทยทกุ ฉบบั รฐั ธรรมนญู ของมาเลเซีย สวีเดน ญป่ี ุ่น เปน็ อาทิ กษัตริยท์ รงเป็นแตเ่ พียงประมขุ ของรัฐเท่านนั้ มีหน้าทเ่ี ช่นเดยี วกับประธานาธบิ ดผี ้ทู ำหนา้ ท่ีเปน็ ประมขุ ของรฐั เทา่ นน้ั ไม่ได้ทรงทำการบริหารประเทศ กษัตรยิ ์ คอื สญั ลกั ษณ์แหง่ ความสามคั คี (Symbol of Unity) แหง่ รฐั ฉะน้นั กษตั รยิ ไ์ ม่ ตอ้ งรบั ผิดชอบในการบรหิ าร อำนาจทางการบรหิ ารจึงตกอยกู่ ับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี 2. กษตั ริย์แบบสมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์ (Absolute Monarchy) กษตั รยิ อ์ ยเู่ หนือกฎหมายหรอื กษัตรยิ ์คือกฎหมาย การ ปกครองระบอบน้ยี ังมีอยเู่ ช่นประเทศโมรอ็ คโค ซาอดุ อิ าระเบยี จอรแ์ ดน เปน็ ต้น ถงึ แม้ว่าประเทศเหลา่ น้ีจะมี รฐั ธรรมนญู กษตั ริย์และมีนายกรฐั มนตรี และคณะรฐั มนตรเี ป็นผรู้ ับผดิ ชอบในการบริหารประเทศ แตผ่ ูม้ อี ำนาจจรงิ ๆ แล้ว กค็ อื กษัตริย์น่นั เอง

แบบประเมินการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 ประเทศมนั่ คง ประชาชนม่ังค่งั ระดับ มธั ยมศึกษาตอนปลาย 1.ความยตุ ธิ รรม คืออะไร ....................................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................ 2.จงบอกหน้าที่ของพลเมอื งดีมาอย่างนอ้ ย 3 ข้อ ....................................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................ 3.จงบอกผลเสยี จากการซ้ือสทิ ธิขายเสียงมาอยา่ งน้อย 5 ข้อ ....................................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................ 4.คอรัปชนั่ คืออะไร ....................................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................ 5.ปจั จบุ นั ประเทศไทยใชร้ ะบบเศรษฐกิจแบบใด .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 6.รฐั ธรรมนญู (Constitution) หมายถงึ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .................................................

เฉลยแนวการตอบแบบประเมนิ การเรยี นรู้ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 ประเทศมัน่ คง ประชาชนมั่งคงั่ ระดับ มธั ยมศึกษาตอนปลาย 1.ความยตุ ธิ รรม คืออะไร ตอบ ความหนกั แนน่ ถือความถกู ต้องเทีย่ งธรรมเปน็ หลกั 2.จงบอกหน้าทข่ี องพลเมืองดีมาอยา่ งน้อย 3 ข้อ ตอบ 1. รักชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ 2. การปฏิบตั ิตามกฎหมาย 3. การไปใชส่ ทิ ธเิ์ ลือกตัง้ 3.จงบอกผลเสียจากการซ้ือสิทธิขายเสยี งมาอย่างน้อย 5 ข้อ ตอบ - ประเทศขาดโอกาสในการพัฒนา - การเลอื กตง้ั ซำ้ ซาก - สิ้นเปลืองงบประมาณ - ประชาชนเบอ่ื หน่าย - เกดิ การทุจริต คอรปั ชน่ั 4. คอรปั ชั่น คืออะไร ตอบ การทุจริตโดยใช้หรืออาศยั ตำแหน่งหน้าทอ่ี ำนาจและอิทธพิ ลทต่ี นมีอยเู่ พ่ือ ประโยชนแ์ กต่ นเองหรือ ผูอ้ นื่ รวมถึงการเลือกที่รักมักท่ีชงั การเหน็ แก่ญาติพี่น้องกนิ สนิ บนฉอ้ ราษฎร์บงั หลวง การใชร้ ะบบอุปถมั ภ์ และ ความไมเ่ ปน็ ธรรมอ่นื ๆท่ขี า้ ราชการหรือบุคคลใดใช้เป็นเครื่องมือในการลิด รอนความเป็นธรรม และและ ความถกู ตอ้ งตามกฎหมาย 5. ประเทศไทยใชร้ ะบบเศรษฐกจิ แบบใด ตอบ แบบผสม 6. รัฐธรรมนญู (Constitution) หมายถึง อะไร ตอบ กฎหมายสงู สุดของรัฐ เป็นกฎหมายแมบ่ ทของกฎหมายท้ังหลายในรฐั กฎหมายใดท่ขี ดั แย้งกับ รฐั ธรรมนูญตอ้ งถือเปน็ โมฆะ กฎหมายท้ังหมดในรัฐจำเป็นต้องเปน็ ไปตามแนวทางของกฎหมายรฐั ธรรมนูญ

แผนการจัดกจิ กรรม

มการเรยี นรู้คร้งั ท่ี 8

ตารางวิเคราะหเ์ นอื้ หา หลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 สาระความรู้ พัฒนาสงั คม รายวชิ า ศาสนาและหน้าท่พี ลเมือง รหัสวิชา (สค31002) จำนวน 2 หนว่ ยกิต กศน.อำเภอบา้ นโปง่ สำนักงาน กศน.จังหวัดราชบรุ ี มาตรฐานที่ 2.2 มีความรู้ ความเข้าใจและทักษะพนื้ ฐานเก่ยี วกบั ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี และหนา้ ท่ี พลเมอื ง สทิ ธมิ นุ ษยชนของประเทศไทยและของโลก มาตรฐานการเรยี นรู้ระดบั 1. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ เหน็ คณุ คา่ และสบื ทอดศาสนา วฒั นธรรม ประเพณีของประเทศในสงั คมโลก 2. มคี วามรู้ ความเข้าใจ ดำเนินชวี ติ ตามวถิ ปี ระชาธิปไตย กฎระเบียบของประเทศต่าง ๆในโลก ที่ ตวั ช้วี ดั เนอ้ื หา เนื้อหา เนอ้ื หา เนื้อหายาก งา่ ย ปานกลาง สอนเสริม (กรต) (พบกลุ่ม) 1 ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี / 1. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจใน 1. ศาสนาต่าง ๆ และหลักธรรมท่ี / ศาสนาต่าง ๆและหลกั ธรรมท่ี สำคัญของศาสนา สำคัญของแตล่ ะศาสนาในโลก -กำเนดิ ศาสนาตา่ ง ๆ -ศาสดาของศาสนาต่าง ๆ 2. เห็นความสำคญั ในการอยู่ -การเผยแพร่ศาสนาตา่ ง ๆ รว่ มกับศาสนาอืน่ อย่างสันติสขุ 2. การปฏบิ ตั ิตนใหอ้ ยูร่ ่วมกัน อยา่ งสันตสิ ขุ 3. ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นทสี่ ่งผล 3. การพฒั นาสตปิ ัญญา การฝกึ / ใหส้ ามารถอยู่ร่วมกับศาสนา ปฏบิ ัตพิ ฒั นาจติ ใจ ใหเ้ ข้าใจใน อ่ืนอยา่ งสันตสิ ขุ แต่ละศาสนา 4. มีความรู้ ความเข้าใจในวฒั นธรรม 4. วัฒนธรรม ประเพณี ใน /6 ชม. / ประเพณีของประเทศไทยและประเทศ ประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ตา่ ง ๆ ในโลก ในโลก -ภาษา การแต่งกาย -อาหาร -ประเพณีที่สำคัญ ๆ 5. มสี ่วนร่วมสบื ทอด 5. ขอ้ ปฏิบตั ิในการมีสว่ นรว่ ม วฒั นธรรมประเพณีไทย สบื ทอด ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นเป็น แบบอยา่ งในการอนรุ ักษ์ วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของ สงั คมไทย

6. ประพฤติตนเป็นแบบอย่าง 6. แนวทางในการเลือกรบั ปรับ ใช้ / ของผทู้ ่ีมีวัฒนธรรมประเพณี วฒั นธรรมตา่ งชาตไิ ด้อยา่ งเหมาะสม / อันดงี ามของสงั คมไทยและ กับตนเองและสงั คมไทย เลอื กรบั ปรบั ใช้ วัฒนธรรม 6.1 คา่ นิยมทพ่ี ึงประสงค์ของ จากตา่ งชาตไิ ด้อยา่ งเหมาะสม สงั คมไทย และสังคมของประเทศ กับตนเองและสงั คมไทย ตา่ ง ๆ ในโลก -การยิม้ แย้มแจม่ ใส 2 หนา้ ทพ่ี ลเมือง -ความเอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ -การให้อภัย -การตรงต่อเวลา -ความมีระเบยี บ วนิ ยั หน้าที่พลเมือง 1. รู้และเข้าใจบทบญั ญัติของ 1. บทบญั ญัติของรฐั ธรรมนญู ที่มีผล รฐั ธรรมนญู ต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและมี ผลตอ่ ฐานะของประเทศในสังคมใน โลก 1.1ร้แู ละเข้าใจบทบาทหน้าที่ของ 1.1 บทบาทหนา้ ทีอ่ งคก์ รตาม องค์กรตามรัฐธรรมนูญและการ รัฐธรรมนูญและการตรวจสอบการใช้ ตรวจสอบอำนาจรฐั อำนาจรฐั 2.อธบิ ายความเปน็ มาและการเปลย่ี น 2. ความเป็นมา และการ / แปลงของรัฐธรรมนูญ เปล่ียนแปลงของรฐั ธรรมนญู 3.บอกวิธปี ฏบิ ัติตนตามรัฐธรรมนญู 3. การปฏิบตั ิตนใหส้ อดคลอ้ งตาม / และกฎหมาย บทบัญญัติของรัฐธรรมนญู และการ สนบั สนุนส่งเสรมิ ให้ผ้อู ืน่ ปฏิบัติ 4. รู้ เขา้ ใจ และปฏิบตั ติ นตามหลกั สิทธิ 4. การปฏิบตั ติ นตามหลักสิทธิ / 6ชม. มนุษยชน มนุษยชนและบทบาทหน้าท่ีความ รบั ผดิ ชอบของคณะกรรมการสทิ ธิ

แผนการจดั การเรียนรู้ สาระ พฒั นาสังคม รายวชิ า ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปล ครั้งที่ วัน/เดอื น/ปี หัวเร่อื ง/ตัวชี้วัด เน้อื หาสาระการ การจ เรียนรู้ มคี วามรู้ ความ วฒั นธรรม ประเพณี ขน้ั ที่ 1 : กำหนดสภา เข้าใจในวฒั นธรรม ในประเทศไทยและ ครูแจง้ ผเู้ รียนผ่านกลุม่ ประเพณีของ ประเทศต่าง ๆใน Google Classroom ก ประเทศไทยและ โลก ประเพณี ในประเทศไท ประเทศตา่ ง ๆ ใน -ภาษา การแตง่ กาย การแตง่ กาย โลก -อาหาร -อาหาร -ประเพณีทสี่ ำ -ประเพณีทีส่ ำคัญ ๆ ขั้นที่ 2 : แสวงหาควา ครูมอบหมายให้นกั ศึกษ กาย -อาหาร -ประเพณีทีส่ ำคัญ ๆขอ https://www.youtub ข้นั ท่ี 3 : การปฏบิ ัตนิ ครูสอนการเขยี นรายงา โดยสรุปผลการเรยี นเป

า ศาสนาและหนา้ ที่พลเมอื ง รหสั วชิ า (สค31002) ลาย จำนวน 2 หน่วยกิต จดั กระบวนการเรยี นรู้ สือ่ /แหล่งเรียนรู้ การวดั และ ประเมินผล าพปัญหา มไลน์ของ กศน.ตำบลเพื่อเรียนรู้ผา่ น -QR CODE แบบหนงั สอื -สงั เกตพฤตกิ รรม กศน.ตำบลในหัวขอ้ เรอื่ ง วฒั นธรรม ทยและประเทศตา่ ง ๆในโลก-ภาษา ศาสนาและหนา้ ท่ี -แบบทดสอบ ำคัญ ๆ พลเมือง ระดับ ม.ปลาย -ใบงานส่งงานทาง ามรู้ -รปู ภาพ ออนไลน์ ษาชมคลปิ วีดโี อเรื่อง ภาษา การแต่ง -คลิปวดี ีโอยูทูปการ แฟม้ สะสมงาน เรยี นรู้เ รายงานรายวชิ า - สมารท์ โฟน /มอื ถอื ศาสนาและหนา้ ท่ี อินเทอร์เน็ต / สญั ญาณ พลเมอื ง WiFi ใบงาน /ใบความรู้ องไทยและนานาชาติ be.com/watch?v=BHzYndCWT3Q นำไปใช้ าน โครงงานพร้อมมอบหมายใบงาน ปน็ องค์ความรู้พร้อมเขียนรายงาน และ 205

คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หวั เร่อื ง/ตัวชี้วดั เน้อื หาสาระการ การจ เรยี นรู้ กรต.ในสัปดาห์ถัดไปเพ ข้นั ท่ี 4 : การประเมิน ครูมอบหมายใบงานพร พร้อมเขียน Mind Ma พรอ้ มให้นักศึกษาส่งงา ของ กศนตำบลหลงั กา กรต. ศาสนา วฒั นธรร 1. ศาสนาต่าง ๆ และห -กำเนิดศาสนาตา่ ง ๆ -ศาสดาของศาสนาต่าง -การเผยแพร่ศาสนาตา่

จัดกระบวนการเรียนรู้ สอ่ื /แหลง่ เรยี นรู้ การวัดและ ประเมินผล พ่ือนำมาเสนอในชน้ั เรียน นผลการเรียนรู้ ร้อมสรุปผลการเรยี นเป็นองค์ความรู้ apping านงานออนไลนผ์ ่านแอพเิ คชั่นไลน์กลุ่ม ารทำใบงานแลว้ เสร็จ ครมู อบหมาย รม ประเพณี หลักธรรมที่สำคญั ของศาสนา งๆ าง ๆ 206

ใบงานวิชา ศาสนาและหนา้ ท่ีพลเมอื ง -ม.ปลาย ใบงานที่ 1 1. ศาสนาทีร่ ฐั บาลทใ่ี ห้การอุปถัมภม์ กี ศ่ี าสนา อะไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ให้อธบิ ายคำต่อไปน้ี * ศาสดา ............................................................................................................................................. * ศาสนธรรม ....................................................................................................................................... * ศาสนสถาน ....................................................................................................................................... 3. ให้เขียนประวัตขิ องพระพุทธเจา้ โดยสรุป ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. วนั วสิ าขบูชาตรงกบั วนั ใด และมีความสำคญั อยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5. วันมาฆบชู าตรงกับวนั ใด และมีความสำคัญอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. ปญั จวัคคยี ์ ประกอบด้วยบคุ คลใดบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

7. ใครเป็นผูร้ ิเริ่มการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา และพระพทุ ธศาสนา เข้ามาสู่ประเทศไทยแลว้ ประมาณกปี่ ี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 8. ดนิ แดนทีเ่ รียกว่า สวุ รรณภมู ิ ครอบคลุมพ้นื ที่กป่ี ระเทศ อะไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 9. พระแกว้ มรกตถูกอญั เชญิ มาจากที่ใด ในสมัยใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 10. ใหเ้ ขียนประวตั ิของศาสดาของศาสนาอสิ ลามโดยสรุป ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 11. ศาสนาอสิ ลามในประเทศไทยมีก่นี ิกาย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 12. ให้เขียนประวตั ขิ องศาสดาของศาสนาคริสต์โดยสรุป ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 13. ศาสนาคริสตเ์ ขา้ มาสปู่ ระเทศไทยครง้ั แรกในสมัยใด เปน็ นิกายใด และศาสนาคริสต์อยู่ในประเทศแลว้ ประมาณกีป่ ี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 14. ศาสนาครสิ ตใ์ นประเทศไทยมกี นี่ ิกายและแตล่ ะนิกายมีลกั ษณะสำคัญอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงานท่ี 2 1. ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู เกดิ ขนึ้ มาแลว้ ประมาณกปี่ ี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. เทพเจา้ สูงสุดในศาสนาพราหมณก์ ี่องค์และแตล่ ะองค์มบี ทบาทอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. คมั ภรี ์ไตรเวท แบง่ ออกเป็นกคี มั ภีรแ์ ละแตล่ ะคัมภรี ์มีความสำคัญ อยา่ งไร (ตอบโดยสรุป) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ยกตัวอยา่ งพธิ ีสำคญั ทางศาสนาพราหมณ์ มา 2 พิธี พรอ้ มเขยี นอธบิ ายมาพอเขา้ ใจ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ศาสนาสำคญั ทถี่ ือกำเนิดในทวปี เอเชยี ได้แก่ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. ในทวีปเอเชียศาสนาพุทธนับถอื กนั มากในประเทศใดบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. ในทวีปเอเชยี ศาสนาอิสลามนบั ถอื กนั มากในประเทศใดบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 8. นกิ ายใหญ่ในพุทธศาสนามีก่นี กิ าย แตล่ ะนกิ ายมลี กั ษณะเดน่ อยา่ งไร (เขยี นอธิบายมาพอเข้าใจ) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 9. ศาสนาอสิ ลามถกู นำมาเผยแผ่ในทวีปเอเชียโดยใคร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 10. ศาสนาศรสิ ตถ์ ูกนำมาเผยแผ่ในทวปี เอเชยี โดยใคร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงานที่ 3 1. พระไตรปฎิ ก หมายถงึ อะไร และแบง่ ออกเป็นกี่หมวดอะไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ส่งิ ท่เี ปน็ ที่พง่ึ ท่ีแท้จริงของชาวพทุ ธคือสิ่งใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. หลักธรรมแห่งความสำเร็จมชี อื่ ว่าอะไร ประกอบด้วยอะไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ทศิ 6 เป็นหลกั ธรรมทีม่ ีความสำคัญอย่างไร และพระพุทธเจา้ ควรถกู จดั อยูใ่ นทิศใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. หลกั ธรรมของคนดมี ชี ่ือว่าอะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. การเจริญภาวนาในพุทธศาสนามีก่ีแบบ และแต่ละแบบมีลกั ษณะสำคญั อยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. คำวา่ อิสลาม มีความหมายอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 8. หลกั คำสอนในศาสนาอิสลามมีกี่ข้ออะไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 9. คำวา่ อลั กรุ อาน หมายถึง ....……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 10. ศาสนาคริสตเ์ ป็นศาสนาแหง่ ความรัก เพราะเหตุใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

11. คำว่า ตรีเอกภพ ประกอบด้วยสิง่ ใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 12. ศาสนาครสิ ตม์ รี ากฐานมากศาสนาใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 13. พธิ ีกรรมใดเป็นพิธีกรรมแรกทคี่ ริสตชนต้องทำและทำอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 14. นกิ ายโปรเตสแตนทไ์ ม่มีพธิ กี รรมใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 15. คำว่า ธฤติ หมายถงึ … ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 16. ขัน้ ตอนของชวี ติ ตามหลกั ศาสนาพราหมณ์ ได้แกอ่ ะไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 17. หลักธรรมสำหรับชาวพทุ ธท่ีทำใหส้ ามารถอยู่รว่ มกับศาสนาอื่นได้อยา่ งไรความสุข ได้แกอ่ ะไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 18. ศาสนาอิสลามทท่ี ำให้สามารถอยรู่ ่วมกบั ศาสนาอ่ืนได้ เนื่องจากหลักการใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………… 19. ซะกาดหมายถงึ อะไร มีจดุ ประสงค์ใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 20. หลกั ของความรักในศาสนาคริสตห์ มายถึงสง่ิ ใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 21. คำวา่ ปรมาตมนั หมายถึง... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงานท่ี 4 1. วฒั นธรรม มีความหมายอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. วฒั นธรรมตามพรบ. แบ่งเปน็ ก่ีประเภทอะไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. สรปุ ลกั ษณะของวัฒนธรรม มาพอสงั เขป ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. คนไทยถูกจดั กล่มุ ในเผา่ พันธ์ใุ ด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ยกตวั อย่างวัฒนธรรมของอินเดยี ท่สี ำคัญทเี่ หมือนกับวัฒนธรรมไทย มา 2 อย่าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. วฒั นธรรมการต้ังชอื่ ของคนไทยและจีนแตกต่างกันอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. ยกตัวอยา่ งลักษณะสำคัญเกย่ี วกบั การแตง่ งานของวัฒนธรรมจนี มา 3 ขอ้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 8. วัฒนธรรมไทยสว่ นใหญ่ได้รับอทิ ธพิ ลมาจากที่ใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 9. ประเภทของการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมมีกป่ี ระเภทอะไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 10. ปจั จัยอะไรท่ีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 11. ยกตัวอย่างความสำคัญของวฒั นธรรม มา 3 ตัวอย่าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

12. สรปุ แนวทางการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมและประเพณี มา 4 ขอ้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 13. ยกตวั อยา่ งวัฒนธรรมหรอื ความเช่ือในครอบครัวหรอื ในชุมชนของนกั ศกึ ษามา 4 เรื่อง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 14. คา่ นิยมหมายถงึ สง่ิ ที่กลมุ่ สงั คมกลมุ่ ๆเหน็ วา่ เป็นสิ่งท่ีน่านิยม , น่ากระทำ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 15. ทำไมคา่ นยิ มจึงเปน็ ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 16. ให้ยกตัวอยา่ งค่านยิ มทดี่ ีมา 3 ตัวอย่าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 17. ใหย้ กตวั อยา่ งค่านิยมทไ่ี ม่ดมี า 3 ตวั อยา่ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงานท่ี 5 1. รฐั ธรรมนูญ หมายถึง .................................................................................................................................... 2. ประเทศไทยมกี ารเปลยี่ นแปลงการปกครองอยา่ งไรและเมอื่ ใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ประเทศไทยได้ปล่ียนจากคำว่า สยาม มาเป็น ไทย เมอื่ ใดและประกาศในรฐั ธรรมนญู ฉบับใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. สรปุ สาระสำคญั ของรัฐธรรมนูญฉบบั ที่ 3 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. รฐั ธรรมนญู ฉบับปัจจบุ ันเปน็ ฉบบั ท่ีเท่าไหร่ ประกาศใช้ปีใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. รัฐธรรมนูญฉบบั ใดเป็นฉบับทใ่ี ชน้ านทสี่ ดุ และก่ีปี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. ประมขุ แหง่ รฐั (ไทย) หมายถงึ ............................................................................................................ 8. อำนาจอธิปไตยประกอบด้วยฝา่ ยใดบา้ ง และแตล่ ะฝ่ายมีใคร เป็นหวั หนา้ (ใหต้ อบชื่อตำแหน่ง) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 9. การเลอื กตง้ั ท่วั ไปเป็นการเปลีย่ นแปลงในฝ่ายใดของอำนาจอธปิ ไตย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 10. การปกครองระบบประชาธิปไตย คำนงึ ถึงเรือ่ งใดเปน็ สำคัญ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 11. สรปุ หน้าทีข่ องประชาชนชาวไทยตามระบบประชาธิปไตย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงานที่ 6 1. การเปลีย่ นแปลงการปกครองเกิดข้ึนในวันใด โดยใคร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… 2. สรุปสาเหตุของการเปลยี่ นแปลงการปกครอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… 3. การทำปฏวิ ตั ิในวันมหาวิปโยคแตกต่างจากการทำปฏิวตั เิ พื่อเปล่ียนแปลงการปกครองอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. การปกครองระบบประชาธิปไตยมีหลักการพื้นฐานอะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….….…… 5. ประชาธิปไตย หมายถึง ………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………..….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…. 6. ลักษณะสำคัญของสงั คมไทยเปน็ อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. ในอธบิ ายคำว่า คนดีในสงั คม ตามความเขา้ ใจของนกั ศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

เฉลย ใบงานวิชา ศาสนาและหนา้ ท่ีพลเมือง -ม.ปลาย ใบงานท่ี 1 1. ศาสนาท่รี ัฐบาลทใี่ ห้การอุปถมั ภ์มีก่ีศาสนา อะไรบ้าง พุทธ, ครสิ ต์, อิสลาม, ฮนิ ดู, ซิกซ์ 2. ใหอ้ ธบิ ายคำตอ่ ไปนี้ * ศาสดา ผ้ทู ี่ค้นพบศาสนาและเผยแพร่คำสั่งสอน * ศาสนธรรม คำส่งั สอนของแต่ละศาสนา * ศาสนสถาน สถานทอี่ ยู่อาศยั ของนักบวช 3. ให้เขียนประวัติของพระพุทธเจา้ โดยสรุป (รอกอ่ นครบั ) 4. วันวสิ าขบชู าตรงกับวนั ใด และมคี วามสำคัญอยา่ งไร 15 คำ่ เดือน 6 (เดอื นวิสาขะ) เป็นวันท่ีพระพุทธเจา้ ประสตู ิ, ตรัสรูแ้ ละปรินพิ พาน 5. วันมาฆบชู าตรงกบั วนั ใด และมีความสำคญั อย่างไร วันข้นึ 15 คำ่ เดอื น 3 \"วนั มาฆบชู า\" เปน็ วันทร่ี ะลกึ ถึงวนั ท่ีพระพุทธเจา้ ทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์แกม่ หาสงั ฆสันนบิ าตในมณฑล วัดเวฬุวนั มหาวหิ าร ซงึ่ ในวนั นัน้ มเี หตุการณ์สำคัญเกิดข้ึน 4 ประการคือ 1. พระสงฆ์ 1,250 รูปกลบั มาเฝ้าพระพุทธเจา้ อยา่ งพร้อมเพรียงกัน โดยมไิ ด้นดั หมาย 2. พระสงฆท์ ้ังหมดล้วนเป็นเอหภิ กิ ขุท่ีพระพุทธเจา้ ทรงบวชให้ดว้ ย พระองค์เองทั้งสน้ิ ซงึ่ เรียกวา่ เอหิภิกขุอปุ สัมปทา 3. พระสงฆท์ ้งั หมดล้วนเป็นพระอรหนั ต์ คือผูไ้ ด้อภญิ ญา 6 ขอ้ 4. วันท่พี ระสงฆ์ท้งั หมดมาชุมนุมกนั น้ีตรงกบั วันเพญ็ เดือนมาฆะ (วนั ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3) ด้วยเหตุการณป์ ระจวบกับ 4 อยา่ ง จึงมีชื่อเรียกอีกชอ่ื หน่งึ วา่ จาตรุ งคสันนิบาต 6. ปญั จวัคคีย์ ประกอบดว้ ยบุคคลใดบ้าง โกณฑญั ญะ, วปั ปะ, ภทั ทิยะ, มหามานะ, อัสสชิ 7. ใครเปน็ ผู้รเิ รม่ิ การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา และพระพุทธศาสนา เข้ามาส่ปู ระเทศไทยแลว้ ประมาณกป่ี ี พระเจา้ อโศกมหาราช 270 หลงั จากทพี่ ระพุทธเจา้ ปรินพิ พาน หรอื 2554 – 270 = 2284 ปี 8. ดนิ แดนทเี่ รียกว่า สวุ รรณภูมิ ครอบคลมุ พืน้ ที่กป่ี ระเทศ อะไรบ้าง ไทย, พมา่ , เวียดนาม, กมั พชู า, ลาว, มาเลเซีย 9. พระแกว้ มรกตถูกอัญเชญิ มาจากที่ใด ในสมัยใด เมอื งเวยี งจันทร์ สมัยกรุงธนบุร(ี โดยพระเจ้าตากสนิ มหาราช) 10. ใหเ้ ขยี นประวตั ขิ องศาสดาของศาสนาอสิ ลามโดยสรปุ (รอก่อนครบั )

11. ศาสนาอสิ ลามในประเทศไทยมกี ่ีนิกาย ซุนหนี่, ชอี ะห์ 12. ใหเ้ ขียนประวตั ิของศาสดาของศาสนาครสิ ตโ์ ดยสรุป (รอก่อนครบั ) 13. ศาสนาคริสตเ์ ขา้ มาสปู่ ระเทศไทยครงั้ แรกในสมยั ใด เปน็ นิกายใด และศาสนาครสิ ต์อยใู่ นประเทศแลว้ ประมาณกปี่ ี สมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา นิกายโรมนั คาทอลิก , 2554 - 2127 = 427 ปี 14. ศาสนาคริสต์ในประเทศไทยมีกน่ี ิกายและแต่ละนิกายมีลกั ษณะสำคัญอย่างไร 2 นกิ าย คอื * นกิ ายโรมนั คาทอลิก นับถือพระแม่มารีและนกั บุญต่างๆ มศี นู ย์กลาง ทีว่ าตกิ นั ท่ีกรุงโรม มีพระสันตะปาปาเป็นประมุข * นกิ ายโปรเตสแตนต์ ศรัทธาทม่ี ีต่อพระเจา้ สำคัญกวา่ พิธีกรรม