แหล่งบรกิ ารด้านสาธารณสขุ ได้กระจายหนว่ ยบรกิ ารออกไปใหบ้ รกิ ารแก่ประชาชน ดังน้ี 1. ระดบั หมู่บ้าน มีเจ้าหน้าท่ผี ู้สื่อขา่ วสาธารณสุข (ผสส.) และอาสาสมัครสาธารณสขุ ประจำหมูบ่ า้ น (อสม.) ทำหน้าทใ่ี หบ้ ริการ 2. ระดับตำบล มเี จ้าหน้าท่ีสาธารณสขุ ประจำตำบลอยทู่ ่ีสถานีอนามัยประจำตำบล 3. ระดบั อำเภอ มีเจา้ หนา้ ท่ีสาธารณสขุ ประจำอยู่ทกุ อำเภอ 4.ระดับจงั หวดั มนี ายแพทยส์ าธารณสุขจงั หวัด เป็นผรู้ ับผิดชอบ ซึง่ ในปจั จุบนั มีโรงพยาบาลประจำ จังหวดั ทกุ จงั หวดั คอยให้บรกิ ารแก่ประชาชนไดอ้ ยา่ งทั่วถงึ การรวมกลุ่มและการมสี ่วนร่วมของประชาชนในการ พัฒนาการพัฒนาสังคม เปน็ การดำเนนิ งานเพ่ือแกป้ ญั หาของสังคมใหม้ ีการเปลีย่ นแปลงไปในทางที่ เจรญิ กา้ วหน้ายง่ิ ขึน้ การแก้ปัญหานั้นจำเป็นจะต้องรู้ถึงสาเหตุของปัญหานน้ั อยา่ งแทจ้ รงิ จึงจะสามารถทำงาน ให้บรรลผุ ลได้อย่างรวดเรว็ และมปี ระสทิ ธิผล และปัญหาของสงั คมจะไม่มใี ครรดู้ ีไปกว่าคนในสังคมนัน้ เอง ดงั น้นั การเข้ามีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาจงึ นบั ว่ามคี วามจำเปน็ อยา่ งย่งิ และการเขา้ มสี ว่ นรว่ มของ ประชาชนจะสง่ เสริมให้งานดำเนนิ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพย่ิงข้ึนกโ็ ดยการรวมกนั เป็นกลุ่ม ลกั ษณะของการรวมกลุม่ เปน็ การรว่ มมอื รว่ มใจของคนหลาย ๆ คนช่วยกันปฏบิ ัตงิ านตามหนา้ ทีโ่ ดยมีการ ประสานงานกนั สนับสนุนกนั ทำหน้าทแี่ ทนกันได้ และมีความรบั ผิดชอบรว่ มกนั โดยเขา้ ใจวัตถุประสงค์ของ การทำงานน้ันไปในทางเดยี วกัน การรวมกลมุ่ ท่ีดีควรเปน็ ดังนี้ 1. ทกุ คนเข้าใจและเตม็ ใจที่เอาตัวเข้าไปผูกพนั ในงานท่จี ะทำ 2. ทกุ คนมีสว่ นร่วมในการวางแผนงาน และให้ทุกคนเข้าใจและทำงานไปตามข้ันตอนของแผนนน้ั หากมปี ญั หาอปุ สรรคใด ๆ ก็ชว่ ยกนั พิจารณาแก้ไข 3. ตอ้ งกำหนดหน้าทแี่ ละความรับผิดชอบของแต่ละคนไว้อย่างแจง้ ชัด เพือ่ ชว่ ยกันทำงานใหเ้ ชื่อม ประสานกนั 4. ต้องถือวา่ ทุกคนมคี วามสำคัญไม่ย่ิงหย่อนไปกว่ากัน เวลาประชมุ ปรกึ ษาหารือจะต้องเปิดโอกาส ใหท้ ุกคนแสดงความคดิ เหน็ ของตนอย่างเต็มท่ีและเสรี 5. ผลสำเร็จของงานต้องถือวา่ เป็นผลสำเรจ็ ของทกุ คน
แบบทดสอบ เรอื่ ง หลักการพฒั นาตนเอง ชมุ ชน สงั คม 1.จงอธิบายคำวา่ การพฒั นามีความหมายอยา่ งไร ............................................................................................................................. ................................................. ........................................................................................................................................................................ ...... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................. ................ ................................................................................................................... ........................................................... ............................................................................................................................. ................................................. 2. การพฒั นาทยี่ ง่ั ยืนในประเทศไทยเป็นการพฒั นาที่มีลักษณะผสมผสานอยา่ งไร ............................................................................................................................. ................................................. ........................................................................................................................................... ................................... ................................................................................................ .............................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................. ............................................. ...................................................................................... ........................................................................................ 3. ประโยชน์ที่เกิดข้ึนจากการพัฒนาตนเองมีอะไรบ้าง ...................................................................................................................... ........................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ....................................................................................................................................................... ....................... ............................................................................................................ .................................................................. ............................................................................................................................. .................................................
เฉลยเรอ่ื งหลกั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม 1.จงอธบิ ายคำว่าการพฒั นามคี วามหมายอยา่ งไร การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดขี ึ้น โดยได้มีการกำหนดแนวทางในการพัฒนาไวแ้ ลว้ ซึ่งการพัฒนาน้นั มิไดห้ มายถึง การเปล่ียนแปลงที่ดีข้ึนด้านปริมาณที่สามารถจับต้องได้ วัดได้ เท่านั้น แต่หมายถึงการเปล่ียนแปลงด้าน คุณภาพด้วย น่ันคือประชาชนได้รับประโยชน์จากการพัฒนาและประชาชนมีความพึงพอใจตลอดจนมี ความสุขด้วย แนวคิดการพฒั นา 2. การพฒั นาทย่ี ัง่ ยนื ในประเทศไทยเปน็ การพฒั นาท่มี ลี ักษณะผสมผสานอย่างไร มีกิจกรรมพัฒนารวมท้ังมีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มในลกั ษณะทเี่ ป็นสว่ นรวม เม่อื ใดท่ี การพฒั นาทรัพยากรทางธรรมชาติหายไปต้องเสริมสรา้ งคุณภาพสิ่งแวดล้อมในท่อี น่ื ชดเชยเพื่อใหค้ ุณภาพ สงิ่ แวดล้อมในภาพรวมคงอยู่ อันจะทำให้มนุษย์และส่ิงแวดลอ้ มควบคู่กนั ไปโดยสงบสขุ และยัง่ ยนื จากแนวคดิ ดังกล่าวประเทศไทยได้บรรจุการพฒั นาท่ยี ่ังยืนไวใ้ นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบับท่ี 9 (พ.ศ. 2545-2549) โดยเนน้ แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เนน้ ชุมชนเขม้ แข็ง เน้นการพฒั นาทีย่ ่ังยืน 3. ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาตนเองมีอะไรบ้าง 1. การประสบความสำเรจ็ ในการดำรงชวี ิต 2. การประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพการงาน 3. การมสี ขุ ภาพอนามยั สมบูรณ์ 4. การมีความเชื่อมน่ั ในตนเอง 5. การมคี วามสงบสุขทางจิตใจ
ใบความรเู้ รอ่ื ง ภาวะผนู้ ำ ความหมายของผ้นู ำ เปน็ ทย่ี อมรบั กนั แล้วว่า ผนู้ ำ (Leader) เป็นปัจจยั ทส่ี ำคัญยิ่งประการหน่งึ ตอ่ ความสำเรจ็ ของ องค์การทัง้ นี้ เพราะผูน้ ำมภี าระหน้าที่ และความรบั ผดิ ชอบโดยตรงทจ่ี ะต้องวางแผนสงั่ การดแู ล และควบคมุ ใหบ้ คุ ลากรขององค์การปฏบิ ัตงิ านต่างๆ ใหป้ ระสบความสำเร็จตามเป้าหมาย และวัตถุประสงคท์ ีต่ ้ังไว้ปัญหาท่ี เปน็ ทสี่ นใจของนักวิชาการและบคุ คลทั่วไปอยู่ตรงทวี่ า่ ผ้นู ำทำอย่างไรหรือมวี ธิ กี ารนำอย่างไรจึงทำให้ ผ้ใู ตบ้ ังคับบัญชาหรือผตู้ ามเกิดความผกู พนั กบั งานแลว้ ทมุ่ เทความสามารถ และพยายามท่ีจะทำให้งานสำเรจ็ ด้วยความเต็มใจ ในขณะท่ผี นู้ ำบางคนนำอย่างไร นอกจากผู้ใต้บงั คบั บญั ชาจะไม่เตม็ ใจในการปฏิบตั ิงานให้ สำเรจ็ อย่างมประสทิ ธภิ าพแล้ว ยังเกลยี ดชงั และพร้อมทีจ่ ะรว่ มกันขบั ไลผ่ นู้ ำให้ไปจากองค์การ เพอื่ ให้เขา้ ใจภาวะผู้นำ (Leadership) และผ้นู ำ (Leader) ดีขึ้น จงึ เสนอความหมายของผู้นำ (Leader) ไวด้ ังน้ี - ผู้นำ คอื บคุ คลที่มคี วาม สามารถในการใชอ้ ทิ ธิพลใหค้ นอนื่ ทำงานในระดับตา่ ง ๆ ที่ ต้องการใหบ้ รรลุเป้าหมายและวัตถปุ ระสงค์ที่ต้ังไว้ (McFarland,1979:214-215) - ผู้นำ คอื ผทู้ สี่ ามารถในการชกั จูงให้คนอื่นทำงานใหส้ ำเร็จตามตอ้ งการ (Huse, 1978:227) - ผนู้ ำ คือ บคุ คลทม่ี ีอทิ ธิพลสูงสุดในกลมุ่ และเป็นผทู้ ่ีตอ้ งปฏิบตั ภิ าระหนา้ ที่ของตำแหน่งผ้นู ำ ทีไ่ ด้รบั มอบหมายบคุ คลอ่นื ในกลมุ่ ทเ่ี หลอื ก็คือผู้ตาม แม้จะเป็นหวั หนา้ กลมุ่ ย่อย หรือผู้ชว่ ยในการปฏิบัติหน้าที่ ต่าง ๆ ก็ตาม (Yukl, 1989:3-4) - ผนู้ ำ คอื บคุ คลท่ีมาจากการเลือกตงั้ หรอื แตง่ ตั้ง หรือการยกย่องข้ึนมาของกลมุ่ เพอ่ื ให้ ทำหน้าทเ่ี ปน็ ผู้ช้แี นะและชว่ ยเหลอื ให้กล่มุ ประสบความสำเร็จตามเปา้ หมายทีต่ งั้ ไว้ ความหมายของภาวะผู้นำ โดยทั่วไปนักวิชาการมักจะถือว่า “ผู้นำ ” (Leaders) เป็นตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคล (Persons) ส่วน “ภาวะผู้นำ” (Leadership) น้ัน เป็นส่ิงท่ีแสดงออกมา (Actions) จากบุคคลที่เป็นผู้นำ อยา่ งเปน็ กระบวนการ ดังน้ัน การจะเข้าใจความหมายของ “ผูน้ ำ” มกั จะไม่เป็นปัญหามากนัก ท้ังน้เี พราะ จะรูว้ า่ ใครเป็นผนู้ ำนัน้ ก็มกั จะพจิ ารณาจากตำแหน่ง (Position) ของบุคคลหรอื กล่มุ บุคคลดังกล่าว การทำความเข้าใจเก่ียวกับภาวะผู้นำหรือความเป็นผู้นำ (Leadership) นั้นเป็นเรื่องยาก แต่ อย่างไรกต็ าม นกั วิชาการไดใ้ ห้ความหมายของภาวะผนู้ ำเอาไวต้ ่างๆ กนั หลายทรรศนะดงั น้ี ภาวะผ้นู ำ หมายถึง กระบวนการท่ีผู้นำใช้อทิ ธิพลหรืออำนาจที่ตนมีอยูใ่ นการซกั นำหรือโน้ม น้าวให้ผ้ใู ตบ้ งั คบั บญั ชาภายในองค์การหรือในกล่มุ คนในสถานตา่ ง ๆ เพื่อใหส้ มาชิกของกลุ่มได้ปฏิบัตหิ น้าท่ี ของตนอยา่ งมีประสิทธิภาพท่ีสุดให้บรรลเุ ป้าหมายขององค์การ (ประสาน หอมพลู และทิพวรรณ หอมพูล. 2540 ; 83) ภาวะผ้นู ำ หมายถงึ กระบวนการของการส่งั การและใช้อทิ ธพิ ลต่อกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของ กลุ่มสมาชกิ ภายในองค์การ (สมยศ นาวีการ. 2538 : 400)
ภาวะผู้นำ หมายถึง ความสามารถของบคุ คลในการหลอมความแตกตา่ งทางดา้ น ความคดิ ความสนใจ ความต้องการ หรือพฤตกิ รรมของบุคคล หรือกล่มุ บุคคลในองค์การให้หันไปในทิศทาง เดยี วกันอย่างมีศิลปะ ไม่มีความขดั แย้งในองคก์ ารอีกตอ่ ไปในขณะใดขณะหน่ึง หรือในสถานการณ์ตา่ ง ๆ เพื่อให้บรรลวุ ัตถุประสงค์ และเป้าหมายท่กี ำหนดไว้ ภาวะผู้นำ หมายถงึ พฤติกรรมส่วนตัวของบุคคลคนหน่งึ ทจี่ ะชกั นำกิจกรรมของกลุม่ ให้ บรรลเุ ป้าหมายรว่ มกัน (Yuki. 1998 :2) ภาวะผ้นู ำ หมายถึง เป็นความสามารถทจี่ ะสร้างความเชอ่ื มัน่ และให้การสนบั สนุนบคุ คล เพอื่ ให้บรรลุเปา้ หมายขององค์การ (DuBrin. 1998 : 2) 3.คุณสมบตั ิของผูน้ ำ ผู้นำทไ่ี ดร้ บั การยอมรบั จากกลมุ่ จะสามารถทำหนา้ ที่ผ้นู ำไดด้ ีเพยี งใดนนั้ ขึน้ อยู่กบั คุณสมบัติ ของผูน้ ำวา่ เหมาะสมกับกรณีเพียงใด แต่โดยทั่วไปแลว้ เมื่อกลา่ วถึงผ้นู ำคนท่วั ไปจะคิดถงึ ว่าตอ้ งมีคุณสมบัติที่ เหมาะสม กับการเปน็ ผนู้ ำท่ดี ี ซงึ่ มีผูร้ ้ไู ดก้ ลา่ วไว้หลายท่าน ศริ พิ งษ์ ศรีชัยรมยร์ ัตน์ ไดก้ ล่าวถึงคุณสมบัติของ ผู้นำว่าควรมี คุณลกั ษณะใน 9 ด้านคอื 1.ความรู้ (Knowledge) การเปน็ ผนู้ ำนน้ั ความร้เู ป็นสงิ่ จำเปน็ ที่สุด ความรใู้ นทีน่ ้ีมิไดห้ มายถึงเฉพาะความรู้ เกีย่ วกับงานในหนา้ ท่เี ทา่ นั้น หากแต่รวมถึงการใฝห่ าความรเู้ พ่มิ เตมิ ในด้านอน่ื ๆ ด้วย การจะเป็นผู้นำทดี่ ี หวั หน้างานจึงต้องเป็นผูร้ อบรู้ ยง่ิ รอบร้มู ากเพยี งใด ฐานะแห่งความเปน็ ผุน้ ำกจ็ ะย่ิงมนั่ คงมากข้นึ เพียงนั้น 2.ความริเริม่ (Initiative) ความรเิ รม่ิ คือ ความสามารถท่ีจะปฏิบัติส่งิ หน่ึงสง่ิ ใดในขอบเขตอำนาจหน้าท่ีไดด้ ้วยตนเอง โดยไม่ตอ้ งคอยคำสั่ง หรอื ความสามารถแสดงความคิดเห็นที่จะแก้ไขสิง่ หนึ่งส่ิงใดใหด้ ีขึน้ หรอื เจริญขน้ึ ไดด้ ว้ ย ตนเองความริเรม่ิ จะเจริญงอกงามได้ หัวหน้างานจะตอ้ งมีความกระตือรือร้น คือมีใจจดจ่องานดี มีความเอาใจ ใส่ต่อหน้าที่ มีพลงั ใจท่ีต้องการความสำเรจ็ อยู่เบ้ืองหน้า 3.มีความกลา้ หาญและความเดด็ ขาด ( Courage and firmness) ผ้นู ำทีด่ จี ะต้องไม่กลัวตอ่ อนั ตราย ความยากลำบาก หรอื ความเจ็บปวดใดๆ ท้ังทางกาย วาจา และใจผูน้ ำท่ีมีความกล้าหาญ จะช่วยใหส้ ามารถผจญต่องานต่างๆ ใหส้ ำเร็จลลุ ว่ งไปได้นอกจากความ กลา้ หาญแลว้ ความเดด็ ขาดก็เป็นลกั ษณะอนั หน่ึงทีจ่ ะต้องทำใหเ้ กิดมขี ึ้น ในตัวของผนู้ ำเองต้องอยู่ในลักษณะของการ “กลา้ ได้กล้าเสยี ” ด้วย 4.การมมี นุษยสัมพันธ์ (Human relations) ผูน้ ำท่ดี จี ะต้องรู้จักประสานความคิด ประสานประโยชนส์ ามารถทำงานร่วมกับคนทุกเพศ ทกุ วัย ทุกระดับการศกึ ษาได้ ผูน้ ำท่มี ีมนุษยสัมพันธ์ดีจะช่วยใหป้ ญั หาใหญเ่ ปน็ ปญั หาเลก็ ได้ 5.มคี วามยตุ ธิ รรมและซ่ือสตั ย์สุจริต ( Fairness and Honesty)
ผู้นำทีด่ ีจะตอ้ งอาศัยหลกั ของความถูกต้อง หลักแหง่ เหตุผลและความซือ่ สตั ยส์ จุ ริตต่อ ตนเองและผู้อ่ืน เปน็ เครอื่ งมอื ในการวินิจฉัยสง่ั การ หรอื ปฏบิ ตั ิงานด้วยจติ ทป่ี ราศจากอคติ ปราศจากความ ลำเอยี ง ไม่เลน่ พรรคเล่นพวก 6.มีความอดทน (Patience) ความอดทน จะเป็นพลงั อันหนึง่ ท่จี ะผลักดนั งานใหไ้ ปสูจ่ ดุ หมายปลายทางได้ อย่างแท้จริง 7.มคี วามตน่ื ตวั แต่ไม่ตื่นตมู ( Alertness ) ความตนื่ ตวั หมายถงึ ความระมัดระวงั ความสุขมุ รอบคอบ ความไม่ประมาท ไมย่ ืดยาขาด ความกระฉับกระเฉง มีความฉับไวในการปฏิบตั ิงานทันต่อเหตุการณค์ วามตื่นตวั เป็นลกั ษณะที่แสดงออกทาง กาย แต่การไม่ตืน่ ตูม เปน็ พลังทางจติ ท่ีจะหยดุ คิดไตรต่ รองต่อเหตกุ ารณต์ ่างๆ ทเ่ี กิดขน้ึ รจู้ ักใชด้ ลุ ยพินิจที่จะ พิจารณาสิ่งต่างๆ หรือเหตตุ ่างๆได้อย่างถูกต้องพูดงา่ ยๆ ผู้นำทดี่ จี ะต้องรจู้ ักควบคุมตวั เองนน่ั เอง (Self control) 8. มคี วามภกั ดี (Loyalty) การเปน็ ผนู้ ำหรือหวั หน้าท่ีดนี ้ัน จำเป็นตอ้ งมีความจงรกั ภักดตี อ่ หมคู่ ณะ ตอ่ สว่ นรวม และตอ่ องค์การ ความภกั ดนี ี้ จะชว่ ยให้หัวหนา้ ได้รบั ความไวว้ างใจ และปกป้องภัยอันตรายในทกุ ทศิ ได้เปน็ อย่างดี 9. มคี วามสงบเสงี่ยมไมถ่ ือตวั (Modesty) ผนู้ ำทด่ี จี ะต้องๆไม่หยิง่ ยโส ไม่จองหอง ไมว่ างอำนาจ และไมภ่ ูมิใจในสง่ิ ทีไ่ ร้เหตผุ ลความ สงบเสงยี่ มนี้ ถา้ มีอยู่ในหัวหน้างานคนใดแล้ว กจ็ ะทำใหล้ กู น้องมีความนบั ถือ และให้ความร่วมมอื เสมอ 4.บทบาทของผู้นำ ผูน้ ำ (Leader) เป็นตัวแทนขององค์การ เปน็ บุคคลที่ทำให้องค์การประสบความกา้ วหน้าและ บรรลผุ ลสำเร็จ โดยเปน็ ผูท้ ี่มบี ทบาทเปน็ เสมือนหลกั ในการดำเนนิ งานโดยเฉพาะต่อผูใ้ ต้บังคบั บญั ชาและตอ่ ผลงานของสว่ นรวม ซึง่ จะสะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ คุณค่าและความมีประสิทธภิ าพของการปฏิบัติงานภายในองคก์ าร บทบาทผนู้ ําท่ีดีตามแนวคิดทฤษฎีต้อง ประกอบด้วย บทบาทพนื้ ฐานสาํ คัญ 4 ประการ คอื (1) การกําหนดทศิ ทาง (Pathfinding) เป็นการกาํ หนดทิศทาง ขององคก์ รใหเ้ ปน็ ไปตามวสิ ัยทัศนท์ ไ่ี ด้วางไว้ (2) การจดั การระบบการทาํ งาน (Alignment) (3) การมอบอํานาจ (Empowerment) เปน็ การมอบหมาย อาํ นาจ ความรับผดิ ชอบให้แก่บุคคลที่ เหมาะสม เพอ่ื ให้การทาํ งานเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ (4) แบบอยา่ ง การเปน็ ผู้นาํ (Modeling) สรปุ แลว้ ผูน้ ำมีบทบาทและหน้าท่ีหลายประการ ผู้นำเปน็ ท้ังหวั หน้า เพือ่ นร่วมงานผูใ้ ห้กำลงั ใจ ตลอดจนเปน็ ผู้ วินจิ ฉัยตัดสินใจกลุ่มของตน .
บทบาทและหน้าที่ของผนู้ ำ ที่สำคัญสรุปได้ มี 3 ลกั ษณะดงั น้ี ดังนี้ 1.ผู้รักษาหรือประสานใหส้ มาชิกกลมุ่ อย่รู ่วมกนั (Maintenaace of membership) หมายถึง จะต้องอยูใ่ กลช้ ิดกับกลุ่ม มคี วามสมั พันธ์คนในกลุ่ม และเปน็ ท่ยี อมรับของคนในกลุ่มทำให้มคี วาม สามคั คีกลมเกลยี วกัน 2.ผปู้ ฏบิ ตั ภิ าระกิจของกล่มุ ให้บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ (Objective attaniment) หมายถงึ เขาจะต้องรบั ผิดชอบในกระบวนการวิธีการทำงานด้วยความม่นั คงและเข้าใจได้ และเขาจะต้องทำงานใหบ้ รรลุเปา้ หมาย 3.ผอู้ ำนวยให้เกิดการติดต่อสัมพันธใ์ นกล่มุ (Group interaction facilitation) หมายถงึ เขาจะต้องปฏิบัตงิ านในทางท่ีอำนวยความสะดวกให้เกดิ การตดิ ต่อสมั พนั ธ์และปฏบิ ตั ิกนั ดว้ ยดีของ สมาชิกในกลมุ่ การติดต่อสอ่ื สารที่ดีเปน็ สิง่ สำคัญ และเป็นการชว่ ยใหห้ นา้ ทนี่ ้ีบรรลุเปา้ หมาย ปจั จัยที่ก่อให้เกิดภาวะผนู้ ำ ภาวะผนู้ ำนัน้ มปี จั จัยท่ีเปน็ องคป์ ระกอบหลกั 3 ปจั จัยอนั ได้แก่ 1. ผู้นำ (Leader) : หมายถึงตัวบุคคลทน่ี ำกลุ่ม มบี คุ ลกิ อุปนสิ ัย ลักษณะอย่างไร 2. ผตู้ าม (Follwoers) : หมายถึง บุคคลหรือกล่มุ บุคคลที่รับอิทธพิ ลจากผ้นู ำ 3. สถานการณ์ (Situation) : หมายถึง เหตุการณแ์ ละสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ ปจั จัยทงั้ 3 ประการข้างต้นน้ีจะมีผลต่อรปู แบบของภาวะผู้นำท่ีแสดงออกมา เปน็ ทท่ี ราบกันแล้วว่าภาวะผูน้ ำจะเกดิ ข้ึน เม่ือบุคคลสร้างอทิ ธพิ ลอันมีผลการกระทำหรอื พฤติกรรม ความคิดจติ ใจความรสู้ ึกทำให้บคุ คลเกิดพฤติกรรมไปในทางท่ผี ้นู ำประสงค์ การสร้างอทิ ธิพลน้นั อาจออกมาได้ ในหลายรปู แบบ อาทิ การข่มขู่ บังคบั การจงู ใจ การโนม้ นา้ วจติ ใจ เป็นต้น แตจ่ ากการศึกษาพบ ว่าการให้อทิ ธพิ ลในทางลบ เช่นการบังคบั นนั้ ไมก่ ่อให้เกิดผลดีในระยะยาวเพราะการ บังคบั ข่มขู่ น้นั เป็นการสรา้ งความกลัวและความกดดนั ในการทำงาน อันจะก่อใหเ้ กิดความไม่พึงพอใจในการ ทำงานได้ นอกจากน้ี ผ้นู ำตอ้ งสามารถชกั จงู ใจใหผ้ ใู้ ต้บังคับบญั ชากล้าแสดงออก กล้าเส่ียงอย่างมเี หตผุ ล ไม่กลัวใน ผลทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ เพราะหากกลัวหรอื คิดแตเ่ พยี งว่าจะเกดิ ผลเสีย จึงไมก่ ล้าทำการใด ๆ ผลงานกไ็ ม่อาจเกิดขึน้ ได้ เลยผนู้ ำตอ้ งพยายามเสรมิ สร้างบรรยากาศแห่งการสรา้ งสรรค์การมีความคดิ รเิ ร่ิมสงิ่ แปลก ๆ ใหม่ ๆ เพราะ ปญั หาหน่ึง ๆ น้ันมิใช่มที างแก้ไขเพียงทางเดียว หากแต่มีหลายวธิ ีที่จะแก้ไขซึ่งต้องอาศัยการรว่ มกนั คดิ รว่ มกัน ทำ ค้นหาวิธิทดี่ ีทสี่ ดุ ในส่วนของผตู้ าม (Followers) ผู้นำต้องแสวงหาความเช่ือถอื ไว้ใจซ่งึ กนั และกนั ระหว่างผนู้ ำ กับผ้ตู ามผูน้ ำต้องไวใ้ จผูต้ ามโดยการใหอ้ ำนาจบางส่วนในการดำเนินงานในการตดั สนิ ใจและทีส่ ำคญั คือตวั ผู้นำ ตอ้ งมีความต้ังใจจริงท่จี ะทำงาน และร้ใู หม้ ากกวา่ สมาชิกในกลุ่มหรอื ผ้ตู าม สามารถให้แนวทางและแกไ้ ข ปัญหาตา่ ง ๆ ใหผ้ ้ตู ามหรือสมาชกิ ในกลุ่มได้
แบบทดสอบ 1. คำกล่าวใดถกู ตอ้ ง ก. ผนู้ ำเป็นปจั จัยสำคัญต่อความสำเร็จของงานและองค์การท้ังหมด ข. ผู้นำเป็นมาโดยกำเนิด ค. การเปน็ ผนู้ ำสามารถสรา้ งขน้ึ ได้ จากการที่ผนู้ ัน้ ใช้ความพยายามและการทำงานหนัก ง. ผู้นำจำเป็นตอ้ งมีอำนาจ และบารมี 2. ข้อใด ไมใ่ ช่ ความหมายของภาวะผู้นำ (Leadership) ก. สมั พนั ธภาพในเรื่องของการใชอ้ ิทธพิ ล ที่มตี ่อกันและกนั ระหวา่ งผูน้ ำกับผูต้ ามที่มุ่ง หมายให้เกดิ การเปลี่ยนแปลง โดยสะท้อนถึงวตั ถุประสงค์ท่ีมรี ว่ มกนั ข. ภาวะผนู้ ำ เก่ียวขอ้ งกบั การใช้อทิ ธิพล (Influence) เกิดขึ้นระหว่างกลมุ่ บุคคล โดยกลุม่ บุคคลเหล่านั้นมีความต้ังใจที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การเปล่ียนแปลงดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็น วัตถปุ ระสงคท์ มี่ ีรว่ มกนั ระหว่างผนู้ ำกับผู้ตาม ค. สัมพันธภาพระหว่างบุคคลท่ีไม่ใช่การยอมจำนนและการบังคับ ซ่ึงต้องมีลักษณะเป็นการยอมรับ ซ่งึ กันและกัน (Reciprocal) ระหวา่ งผนู้ ำกบั ผ้ตู าม ง. คุณสมบัติ เช่นสติปัญญา ความดีงาม ความรู้ความสามารถของบุคคล ท่ีชักนำให้คนทั้งหลายมา ประสานกัน และพากันกนั ไปสู่จุดมงุ่ หมายทดี่ งี าม 3. องคป์ ระกอบสำคัญของภาวะผูน้ ำ (Leadership) ก. ผู้นำ (Leader), ผตู้ าม (Followers), การสื่อความหมาย, สถานการณ์ (Situation) ข. ผ้นู ำ (Leader), ผตู้ ิดตาม (Followers), การส่อื ความหมาย, สถานการณ์ (Situation) ค. ผู้นำ (Leader), ผู้ตาม (Followers), การตีความหมาย, สถานการณ์ (Situation) ง. ผนู้ ำ (Leader), ผตู้ าม (Followers), การสอื่ ความหมาย, เหตุการณ์ (Situation) 4. การแบง่ ลกั ษณะผู้นำ แบง่ ออกได้เปน็ 2 ลักษณะ ไดแ้ ก่ ก. ผู้นำแบบเปน็ ทางการ (Formal Leaders) , ผนู้ ำแบบไมเ่ ป็นทางการ (Informal Leaders) ข. ผ้นู ำแบบภาวะผู้นำ (Leadership) , ผู้นำแบบอิทธพิ ล (Influence) ค. ผ้นู ำแบบแรงจูงใจดา้ นอำนาจ (The power motive), แรงจูงใจเพ่ือใหเ้ กิดความสำเร็จ (Drive and achievement motive) ง.ผู้นำแบบยึดมัน่ ในจรยิ ธรรมการทำงาน (Strong work ethic) ,ผนู้ ำแบบความมุ่งม่ัน (Tenacity)
5.ข้อใดเปน็ ลักษณะผ้นู ำอยา่ งเป็นทางการ (Formal Leaders) ก. ผู้อำนวยการโรงเรยี น ข. นายกรัฐมนตรี ค. นายจันทร์ หนวดเข้ียว ง. ผจู้ ดั การโรงงาน 6. คำกลา่ วใดถกู ตอ้ ง ก. ผูน้ ำเป็นปจั จยั สำคญั ตอ่ ความสำเร็จของงานและองคก์ ารทัง้ หมด ข. ผ้นู ำเปน็ มาโดยกำเนดิ ค. การเปน็ ผู้นำสามารถสร้างข้ึนได้ จากการทผี่ ู้น้นั ใชค้ วามพยายามและการทำงานหนัก ง. ผ้นู ำจำเปน็ ต้องมอี ำนาจ และบารมี 7. ข้อใด ไมใ่ ช่ ความหมายของภาวะผนู้ ำ (Leadership) ก. สมั พันธภาพในเรือ่ งของการใชอ้ ิทธิพล ทีม่ ตี ่อกันและกนั ระหวา่ งผ้นู ำกับผ้ตู ามท่ีมุ่ง หมายให้เกดิ การเปลย่ี นแปลง โดยสะท้อนถงึ วัตถุประสงค์ท่ีมรี ่วมกัน ข. ภาวะผูน้ ำ เกีย่ วขอ้ งกบั การใช้อทิ ธิพล (Influence) เกิดขน้ึ ระหวา่ งกลมุ่ บุคคล โดยกลุ่ม บุคคลเหล่านั้นมีความตั้งใจท่ีจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็น วัตถปุ ระสงค์ท่ีมีร่วมกันระหว่างผู้นำกับผู้ตาม ค. สมั พันธภาพระหวา่ งบคุ คลทีไ่ มใ่ ช่การยอมจำนนและการบังคบั ซ่งึ ต้องมลี ักษณะเปน็ การยอมรับซึง่ กนั และกัน (Reciprocal) ระหวา่ งผู้นำกับผู้ตาม ง. คุณสมบัติ เช่นสติปัญญา ความดีงาม ความรู้ความสามารถของบุคคล ที่ชักนำให้คนท้ังหลายมา ประสานกนั และพากันกนั ไปส่จู ุดมงุ่ หมายทดี่ ีงาม 8.องค์ประกอบสำคัญของภาวะผู้นำ (Leadership) ก. ผู้นำ (Leader),ผ้ตู าม (Followers),การสื่อความหมาย,สถานการณ์ (Situation) ข. ผนู้ ำ (Leader),ผ้ตู ดิ ตาม (Followers),การส่อื ความหมาย,สถานการณ์ (Situation) ค. ผูน้ ำ (Leader),ผ้ตู าม (Followers),การตคี วามหมาย,สถานการณ์ (Situation) ง. ผู้นำ (Leader),ผู้ตาม (Followers),การส่ือความหมาย,เหตุการณ์ (Situation)
9. การแบ่งลักษณะผูน้ ำ แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ ก. ผ้นู ำแบบเปน็ ทางการ (Formal Leaders) , ผ้นู ำแบบไม่เป็นทางการ (Informal Leaders) ข. ผู้นำแบบภาวะผูน้ ำ (Leadership) , ผู้นำแบบอทิ ธิพล (Influence) ค. ผนู้ ำแบบแรงจงู ใจด้านอำนาจ (The power motive), แรงจูงใจเพื่อให้เกดิ ความสำเร็จ (Drive and achievement motive) ง. ผ้นู ำแบบยดึ มัน่ ในจริยธรรมการทำงาน (Strong work ethic) ,ผนู้ ำแบบความม่งุ ม่ัน (Tenacity) 10. กับคำกลา่ วทว่ี ่า “ขา้ พเจา้ ขอรบั ผิดชอบแตเ่ พียงผูเ้ ดยี ว” เป็นลักษณะผนู้ ำประเภทใด ก. ผู้นำแบบเผด็จการ (Autocratic Leader) ข. ผู้นำแบบเสรนี ยิ ม (Laissez-faire or Free-rein Leader) ค. ผนู้ ำแบบประชาธปิ ไตย (Democratic Leader) ง. ผนู้ ำแบบคอมมิวนสิ ต์ (Communist Leader) 11. เปิดโอกาสใหแ้ สดงความคดิ เหน็ รว่ มตดั สินใจในปัญหาตา่ ง ๆ ก. ผู้นำแบบเผด็จการ (Autocratic Leader) ข. ผนู้ ำแบบเสรนี ิยม (Laissez-faire or Free-rein Leader) ค. ผนู้ ำแบบประชาธิปไตย (Democratic Leader) ง. ผนู้ ำแบบคอมมวิ นสิ ต์ (Communist Leader) 12. ปล่อยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีอิสรเสรีเต็มท่ี หรือปล่อยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีอำนาจกระทำการใด ๆ ตามใจชอบได้ ก. ผู้นำแบบเผด็จการ (Autocratic Leader) ข. ผนู้ ำแบบเสรีนิยม (Laissez-faire or Free-rein Leader) ค. ผนู้ ำแบบประชาธปิ ไตย (Democratic Leader) ง. ผู้นำแบบคอมมิวนสิ ต์ (Communist Leader)
13. ลกั ษณะผูน้ ำ แบบเชิงบวฏ ก. ใช้รางวัล มาเปน็ ผลตอบแทน ข. การให้การศึกษา ความเป็นอสิ ระ ค. การขน้ึ เงนิ เดือน และโบนัสประจำปี ง. ถกู ทกุ ข้อ 14. ลักษณะผูน้ ำ แบบเชิงลบ ก. ใช้รางวลั มาเป็นผลตอบแทน ข. การให้การศกึ ษา ความเปน็ อสิ ระ ค. การขึ้นเงนิ เดือน และโบนัสประจำปี ง. การใช้วิธีทเ่ี ขม้ งวดเน้นการลงโทษ 15. ลักษณะการดำเนินการในองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน ผูน้ ำควรเป็นลักษณะใด ก. ผนู้ ำแบบเนน้ คน (Consideration) ข. ผนู้ ำแบบเนน้ งาน (Structure) ค. ผูน้ ำแบบเนน้ คน (Consideration) ผูน้ ำแบบเนน้ งาน (Structure) ง. ผนู้ ำ การใช้วิธีที่เข้มงวดเน้นการลงโทษ 16. ความต้องการขั้นพนื้ ฐานของมนษุ ย์ ตามหลักทฤษฏีของ Maslow คือขอ้ ใด ก. ความตอ้ งการความรกั และการยอมรับจากสงั คม (Belongingness and social needs) ข. ความต้องการอยากมชี ่ือเสยี งและได้รบั การยกย่อง (Esteem needs) ค. ความตอ้ งการทจี่ ะได้รบั ความสำเรจ็ ในชวี ิต (Self actualization needs) ง. ความต้องการทางกาย (Physiological needs) 17. ความตอ้ งการขน้ั พ้นื ฐานของมนุษย์ ตามหลกั ทฤษฏีของ Maslow คือข้อใด ก. ความตอ้ งการความรกั และการยอมรับจากสังคม (Belongingness and social needs) ข. ความตอ้ งการอยากมชี ่อื เสยี งและได้รับการยกย่อง (Esteem needs) ค. ความตอ้ งการทจี่ ะได้รับความสำเร็จในชีวติ (Self actualization needs) ง. ความตอ้ งการทางกาย (Physiological needs)
18. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งตามทฤษฏี X ของ Douglas McGregor ก. บทบาทของการบรหิ ารกค็ ือการบงั คับและควบคุมพนักงาน ข. คนโดยท่วั ไปจะใช้ความพยายามทำงานทัง้ ร่างกายและจติ ใจท่ีเปน็ ไปโดยธรรมชาติ ค. ความผูกพันกับจดุ หมายขน้ึ อยูก่ ับรางวัลทีจ่ ะควบค่ไู ปกบั ความสำเรจ็ ของเขาดว้ ย ง. ภายใตส้ ภาพแวดลอ้ มทเี่ หมาะสม คนจะเรยี นรูแ้ ละแสวงหาความรบั ผดิ ชอบ 19. ขอ้ ใดกล่าวถูกต้องตามทฤษฏี Y ของ Douglas McGregor ก. คนโดยท่วั ไปไม่ชอบทำงาน พยายามหลีกเลยี่ งงาน ข. คนสว่ นใหญต่ ้องการให้บังคบั ควบคุมหรอื ขูเ่ ข็ญลงโทษเพ่ือใหท้ ำงานบรรลจุ ดุ หมาย ค. คนโดยท่ัวไปไม่ต้องการมคี วามรับผิดชอบ ไม่ทะเยอทะยาน แตช่ อบการจงู ใจดา้ นการเงนิ มาก ง. ภายใต้สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม คนจะเรียนรู้และแสวงหาความรับผิดชอบคนโดยท่ัวไปไม่ชอบ ทำงาน พยายามหลกี เลี่ยงงาน 20. การทำงานเพือ่ พฒั นาการทำงาน สคู่ วามสำเร็จ คอื ข้อใด ก. การทำงานเป็นกลุ่ม ข. ความรว่ มมอื ค. การทำงานเป็นทีม ง. ความสามัคคี 21. การทำงานเป็นทมี เพ่ือมุ่งสู่ความสำเร็จในองคก์ ร ผู้นำควรเปน็ ลกั ษณะใด ก. ผู้นำแบบฉายเดยี่ ว (Solo leadership) ข. ผนู้ ำแบบทีมงาน (Team leadership) ค. ผนู้ ำแบบเผด็จการ (Autocratic Leader) ง. ผนู้ ำแบบสงั คมนิยม เฉลยแบบฝึกหดั 1. ค 2.ค 3.ก 4.ก 5.ค 6.ค 7.ค 8.ก 9.ก 10.ก 11.ค 12.ข 13.ง 14.ก 15.ง 16.ค 17.ค 18.ก 19.ง 20.ค 21. ข
แผนการจัดกจิ กรรมก
การเรยี นรู้คร้งั ท่ี 11
ตารางวิเคราะห์เน้ือหา หลักสตู รการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ระดบั ม.ปลาย ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 สาระ ความร้พู น้ื ฐาน รายวชิ า สค32032 การเรยี นรสู้ ภู้ ยั ธรรมชาติ 3 จำนวน 3 หน่วยกติ กศน.อำเภอบ้านโป่ง สำนกั งาน กศน.จงั หวัดราชบุรี มาตรฐานการเรียนรู้ ระดบั 5.1 มคี วามรูความเขาใจและตระหนักเกยี่ วกับภมู ิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครองในโลก และนาํ มาปรบั ใชในการดำเนนิ ชีวติ เพือ่ ความมน่ั คงของชาติ เนื้อหา เน้อื หา เนอ้ื หา ที่ ตวั ชวี้ ัด เนือ้ หา ง่ายด้วย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกลุ่ม) (สอน เหตุ (กรต.) เสริม) 1 ภยั แลง้ 15 1. อธิบายความหมายของภัยแลง 1. ความหมายของภยั แลง 2 1.1 ความหมายของภัยแลง 1.2 ความหมายของฝนแลง ฝนท้ิงชวง 2. อธบิ ายความหมายของฝนแลง ฝน 2. ลักษณะการเกิดภัยแลง 3 ท้งิ ชวง 2.1สาเหตุและปัจจยั การเกิด 3. บอกสาเหตุ และปจั จยั การเกิด ภัยแล้ง ภยั แลง 2.2 ผลกระทบท่เี กดิ จากภัยแลง 4. บอกผลกระทบทเี่ กดิ จากภัยแลง 2.3 หวงเวลาการเกดิ ภยั แลงและ 5. ตระหนักถึงภัยและผลกระทบ ที่ พนื้ ที่ เสย่ี งภัยตอการเกดิ ภยั แลง เกิดจากภัยแลง ในประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ 6.บอกหวงเวลาการเกดิ ภัยแล้ง และ ในโลก พ้นื ท่ีเสี่ยงภยั ตอการเกดิ ภยั แล้งใน 3. สถานการณการเกิดภยั แลง ประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ใน 3.1 สถานการณภยั แลงใน โลก ประเทศไทย และประเทศต่าง ๆ 7. บอกสถานการณภัยแลงใน ในโลก 5 ประเทศไทย และประเทศตา่ ง ๆ ใน 3.2 สถติ ิการเกดิ ภยั แล้งของ โลก ประเทศต่าง ๆ ในโลก 8. วเิ คราะห์เปรยี บเทียบสถิติการเกดิ ภยั แล้งของประเทศตา่ ง ๆ ในโลก 5 และคาดคะเนการเกดิ ภัยแล้งใน 4. แนวทางการปองกันและการ อนาคต แกไขปญหาผลกระทบที่เกิดจาก ภัยแลง
เนือ้ หา เนื้อหา เนือ้ หา ท่ี ตัวชีว้ ัด เนอ้ื หา งา่ ยดว้ ย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกลุ่ม) (สอน เหตุ (กรต.) เสริม) 9. บอกวธิ ีการเตรยี มความพรอมรับ 4.1 การเตรยี มความพรอมรับ สถานการณการเกิดภัยแลง สถานการณการเกิดภัยแลง 10. บอกวธิ ีการปฏบิ ตั ขิ ณะเกิด ภัย 4.2 การปฏิบตั ิขณะเกดิ ภัยแลง แลง 4.3 การปฏิบัตติ นหลังเกดิ ภัยแลง 11. บอกวธิ ีการปฏิบัติตนหลังเกิดภัย แลง 12. เสนอแนวทางการปองกันและ การแกไขปญหาผลกระทบทีเ่ กดิ จาก ภยั แลง 2 วาตภัย 15 1. บอกความหมายของวาตภยั 2.1 ความหมายของวาตภยั 2 3 2. บอกประเภทของวาตภยั 2.1.1 ความหมายของวาตภยั 5 3. บอกสาเหตุและปจั จยั การเกดิ 2.1.2 ประเภทของวาตภยั 5 วาตภยั 2.2 ลักษณะการเกิดวาตภัย 4. บอกผลกระทบทเ่ี กดิ จากวาตภัย 2.2.1 สาเหตแุ ละปัจจัยการเกดิ 5. ตระหนักถงึ ภัยและผลกระทบ ที่ วาตภัย เกิดจากวาตภัย 2.2.2 ผลกระทบทเี่ กดิ จากวาต 6. บอกพน้ื ที่เส่ยี งภยั ตอการเกิด วาต ภยั ภัยในประเทศไทยและประเทศตา่ ง ๆ 2.2.3 พื้นที่เส่ยี งภัยตอการเกดิ ในโลก วาตภัยในประเทศไทยและประเทศ ตา่ ง ๆ ในโลก 7. บอกสถานการณวาตภยั ใน 2.3 สถานการณวาตภยั ประเทศ ไทย และประเทศตา่ ง ๆ ใน 2.3.1 สถานการณวาตภัยใน โลก ประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ 8. วิเคราะหเ์ ปรียบเทยี บสถิติการเกดิ ในโลก วาตภัยในประเทศไทยและประเทศ 2.3.2 สถิตกิ ารเกดิ วาตภยั ต่าง ๆ ในโลกและคาดคะเนการเกดิ ในประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ วาตภยั ในอนาคต ในโลก 9. บอกวิธีการเตรียมความพรอมรับ 2.4 แนวทางการปองกันและ สถานการณการเกิดวาตภยั การแกไขปญหาผลกระทบท่ีเกดิ 10. บอกวิธีการปฏิบัตขิ ณะเกดิ วาต จากวาตภยั ภัย 2.4.1 การเตรยี มความพรอมรับ 11. บอกวิธีการปฏิบตั ติ นหลงั เกดิ สถานการณการเกิดวาตภยั วาตภัย 2.4.2 การปฏิบัติขณะเกดิ วาต 12. เสนอแนวทางการปองกันและ ภัย
ท่ี ตัวช้วี ดั เนอ้ื หา เนอื้ หา เนือ้ หา เน้ือหา งา่ ยดว้ ย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกลุ่ม) (สอน เหตุ (กรต.) เสริม) การแกไขปญหาผลกระทบที่เกิดจาก 2.4.3 การปฏบิ ตั ติ นหลังเกิด วาตภัย วาตภยั 3 อทุ กภยั ดินโคลน ถลม 3.1 ความหมายของอุทกภยั และ 2 25 7 1. อธิบายความหมายของอทุ กภัย ดนิ โคลนถลม 10 และดินโคลนถลม - ความหมายของอุทกภัยและดนิ โคลน ถลม 3.2 ลกั ษณะการเกิดอทุ กภัยและ ดนิ โคลนถลม 2. บอกสาเหตุและปัจจัยการเกดิ 3.2.1 สาเหตุและปจั จยั การเกดิ อุทกภัยและดินโคลนถลม อุทกภยั และดินโคลนถลม 3. บอกผลกระทบที่เกิดจากอุทกภยั 3.2.2 ผลกระทบทเี่ กิดจาก และดนิ โคลนถลม อทุ กภยั และดนิ โคลนถลม 4. ตระหนักถงึ ภยั และผลกระทบที่ 3.2.3 สัญญาณบอกเหตุกอนเกิด เกดิ จากอทุ กภัยและดนิ โคลนถลม 5. อุทกภยั และดนิ โคลนถลม บอกสญั ญาณบอกเหตุกอนเกิด 3.2.4 พืน้ ที่เสี่ยงภัยตอการเกิด อทุ กภยั และดินโคลนถลม อุทกภัยและดินโคลนถลมใน 6. บอกพ้ืนท่เี สย่ี งภยั ตอการเกดิ ประเทศไทยและประเทศ ตา่ ง ๆ อุทกภัย และดินโคลนถลม ใน ในโลก ประเทศไทยและประเทศต่างๆในโลก 3.3 สถานการณอทุ กภยั และดนิ 6. บอกสถานการณอุทกภยั และดนิ โคลน ถลม โคลนถลมในประเทศไทยและ 3.3.1 สถานการณอุทกภยั และ ประเทศ ตา่ ง ๆ ในโลก ดนิ โคลน ถลมในประเทศไทย และ 7. วิเคราะห์เปรยี บเทยี บสถติ ิการเกดิ ประเทศต่าง ๆ ในโลก อทุ กภยั และดินโคลนถลม่ ในประเทศ 3.3.2 สถิตกิ ารเกดิ อุทกภยั และ ไทยและประเทศต่าง ๆ ในโลกและ ดินโคลน ถลมในประเทศไทย และ คาดคะเนการเกิดแผน่ ดนิ ไหวใน ประเทศต่าง ๆ ในโลก อนาคต 3.4 แนวทางการปองกันและ การแกไขปญหาผลกระทบท่ีเกิด 6 8. บอกวิธกี ารเตรยี มความพรอมรบั จากอทุ กภัย และ ดินโคลนถลม สถานการณการเกิดอทุ กภัยและดนิ 3.4.1 การเตรยี มความพรอมรับ โคลนถลม สถานการณการเกิดอทุ กภยั และดนิ 9. บอกวิธกี ารปฏิบตั ิขณะเกิด โคลนถลม อทุ กภัยและดินโคลนถลม 3.4.2 การปฏิบตั ิขณะเกดิ
ท่ี ตัวชี้วดั เน้อื หา เนอ้ื หา เนื้อหา เนอ้ื หา ง่ายด้วย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกลุ่ม) (สอน เหตุ (กรต.) เสรมิ ) อุทกภัย และดนิ โคลนถลม 10. บอกวิธีการปฏบิ ตั ติ นหลังเกดิ 3.4.3 การปฏบิ ัติตนหลังเกิด อทุ กภยั และดินโคลนถลม อุทกภยั และดนิ โคลนถลม 11. เสนอแนวทางการปองกันและ การ แกไขปญหาผลกระทบที่เกดิ จาก อุทกภัยและดนิ โคลนถลม 4 ไฟปา 4.1 ความหมายของไฟปา 1 15 5 1. บอกความหมายของไฟปา่ - ความหมายของไฟปา 4 4.2 ลกั ษณะการเกิดไฟปา 5 2. บอกสาเหตุ และปจั จัยการเกิด 4.2.1 สาเหตแุ ละปัจจยั การเกิด ไฟปา ไฟปา 3. บอกชนิดของไฟปา 4.2.2 ชนิดของไฟปา 4. บอกผลกระทบที่เกิดจากไฟปา 4.2.3 ผลกระทบทเี่ กิดจากไฟปา 5. ตระหนกั ถึงภัยและผลกระทบที่ 4.2.4 ฤดกู าลการเกิดไฟปา เกดิ จากไฟปา ในแต่ละพ้นื ท่ขี องประเทศไทยและ 6. บอกฤดูกาลการเกิดไฟปาในแตล่ ะ ประเทศตา่ ง ๆ ในโลก พื้นทข่ี องประเทศไทยและประเทศ ตา่ ง ๆ ในโลก 4.3 สถานการณไฟปา 7. อธบิ ายสถานการณไฟปาใน 4.3.1 สถานการณไฟปาใน ประเทศไทยและประเทศตา่ ง ๆ ประเทศไทยและประเทศตา่ ง ๆ ในโลก ในโลก 8. วเิ คราะห์เปรยี บเทยี บสถิติการเกิด 4.3.2 สถติ ิการเกิดไฟปาของ ไฟปาของประเทศตา่ ง ๆ ในโลกและ ประเทศตา่ ง ๆ ในโลก คาดคะเนการเกิดไฟป่าในอนาคต 4.4 แนวทางการปองกันและ การแกไข ปญหาผลกระทบท่ีเกดิ 9. บอกวธิ ีการเตรียมความพรอมรบั จากไฟปา สถานการณการเกิดไฟปา 4.4.1 การเตรียมความพรอมรบั 10. บอกวิธีการปฏิบัติขณะเกิดไฟป่า สถานการณ การเกดิ ไฟปา 11. บอกวิธกี ารปฏบิ ตั ิตนหลงั เกิด 4.4.2 การปฏิบัติขณะเกดิ ไฟปา ไฟปา 4.4.3การปฏิบัติตนหลังเกิดไฟป 12. เสนอแนวทางการปองกันและ า การ แกไขปญหาผลกระทบที่เกดิ จาก ไฟปา
เนื้อหา เนือ้ หา เน้ือหา ท่ี ตัวชว้ี ดั เน้อื หา งา่ ยดว้ ย ปานกลาง ยาก หมาย ตนเอง (พบกลุ่ม) (สอน เหตุ (กรต.) เสรมิ ) 5 หมอกควัน 5.1 ความหมายของหมอกควัน 1 15 1. บอกความหมายของหมอกควนั 2. - ความหมายของหมอก ควัน บอกสาเหตุ และปัจจยั การเกิด หมอก 5.2 ลกั ษณะการเกิดหมอกควัน 5 ควนั 5.2.1 สาเหตุและปจั จัยการเกิด 3. บอกผลกระทบท่ีเกิดจากหมอก หมอก ควนั ควัน 5.2.2 ผลกระทบท่เี กิดจาก 4. ตระหนกั ถงึ ภยั และผลกระทบ หมอก ควนั ทีเ่ กิดจากหมอก ควนั 5.2.3 พน้ื ท่ีที่ได้รับผลกระทบ 5. บอกพืน้ ที่พน้ื ท่ีทไี่ ด้รบั ผลกระทบ จากหมอก ควนั ในประเทศไทย จากหมอกควันในประเทศไทยและ และประเทศต่าง ๆ ในโลก ประเทศตา่ ง ๆ ในโลก 5.3 สถานการณหมอกควนั 4 6. บอกสถานการณหมอกควัน 5.3.1 สถานการณหมอก ควนั ในประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ในประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ในโลก ในโลก 7. วเิ คราะห์เปรยี บเทียบสถิติการเกดิ 5.3.2 สถิตกิ ารเกดิ หมอก ควนั หมอกควนั ในประเทศไทยและ ในประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ประเทศ ตา่ ง ๆ ในโลกและคาดคะเน ในโลก การเกิด หมอก ควัน ในอนาคต 8. บอกวธิ กี ารเตรียมความพรอมรับ 5.4 แนวทางการปองกันและ 5 สถานการณการเกิดหมอก ควัน การแกไขปญหาผลกระทบที่เกดิ 9. บอกวธิ ีการปฏบิ ัตขิ ณะเกิด หมอก จากแผ่นดินไหว ควัน 5.4.1 การเตรยี มความพรอมรบั 10. บอกวิธกี ารปฏิบตั ติ นหลังเกิด สถานการณ การเกดิ หมอกควัน หมอก ควนั 5.4.2 การปฏิบตั ขิ ณะเกดิ หมอก 11. เสนอแนวทางการปองกันและ ควัน การแกไขปญหาผลกระทบท่เี กิดจาก 5.4.3 การปฏบิ ัตติ นหลังเกิด หมอกควัน หมอก ควนั 6 แผ่นดนิ ไหว 6.1 ความหมายของแผ่นดนิ ไหว 1 15 1. อธบิ ายความหมายของ - ความหมายของแผ่นดนิ ไหว 4 แผ่นดนิ ไหว 2. บอกสาเหตแุ ละปจั จยั การเกดิ 6.2 ลกั ษณะการเกดิ แผ่นดนิ ไหว แผน่ ดินไหว 6.2.1 สาเหตุและปจั จัยการเกดิ 3. บอกผลกระทบที่เกิดจาก แผ่นดินไหว แผ่นดนิ ไหว 6.2.2 ผลกระทบทเ่ี กดิ จาก 4. ตระหนักถงึ ภยั และผลกระทบที่ แผน่ ดนิ ไหว
เน้ือหา เน้ือหา เนอื้ หา ท่ี ตวั ชีว้ ัด เน้อื หา งา่ ยด้วย ปานกลาง ยาก หมาย เกดิ จากแผน่ ดนิ ไหว ตนเอง (พบกลุ่ม) (สอน เหตุ (กรต.) เสริม) 5. บอกพ้ืนทเี่ ส่ียงภัยตอการเกดิ 6.2.3 พ้นื ทเ่ี สยี่ งภัยตอการเกิด แผ่นดนิ ไหวในประเทศไทยและ แผน่ ดนิ ไหวในประเทศไทยและ ประเทศตา่ ง ๆ ในโลก ประเทศตา่ ง ๆ ในโลก 6. บอกสถานการณแผ่นดินไหว 6.3 สถานการณแผ่นดินไหว 6 ในประเทศไทย และประเทศตา่ ง ๆ 6.3.1 สถานการณแผน่ ดินไหวใน ในโลก ประเทศ ไทยและประเทศต่าง ๆ 7. วิเคราะห์เปรียบเทียบสถติ ิการเกิด ในโลก แผน่ ดนิ ไหวของประเทศไทยและ 6.3.2 สถิตกิ ารเกิดแผ่นดินไหว ประเทศต่าง ๆ ในโลกและคาดคะเน ของประเทศไทยและประเทศต่างๆ การเกดิ แผ่นดนิ ไหวในอนาคต ในโลก 8. บอกวธิ กี ารเตรยี มความพรอมรบั 6.4 แนวทางการปองกนั และ 4 สถานการณการเกิดแผ่นดนิ ไหว การแกไขปญหาผลกระทบที่เกิด 9. บอกวธิ ีการปฏบิ ัตขิ ณะเกิด จากแผ่นดินไหว แผ่นดนิ ไหว 6.4.1 การเตรยี มความพรอมรบั 10. บอกวธิ กี ารปฏบิ ัตติ นหลังเกิด สถานการณการเกิดแผน่ ดนิ ไหว แผ่นดินไหว 6.4.2 การปฏิบตั ิขณะเกิด 11. เสนอแนวทางการปองกันและ แผน่ ดินไหว การแกไขปญหาผลกระทบท่ีเกิดจาก 6.4.3 การปฏบิ ตั ิตนหลังเกดิ แผน่ ดนิ ไหว แผ่นดินไหว 7 สนิ ามิ 7.1 ความหมายของสนิ ามิ 1 15 1. บอกความหมายของสินามิ - ความหมายของสนิ ามิ 4 2. บอกสาเหตุ และปัจจยั การเกดิ 7.2 ลกั ษณะการเกดิ สนิ ามิ สนิ ามิ 7.2.1 สาเหตุและปัจจัยการเกดิ 3. บอกสัญญาณบอกเหตุกอนเกิด สนิ ามิ สนิ ามิ 7.2.2 สัญญาณบอกเหตุกอน 4. บอกผลกระทบทเี่ กดิ จากสินามิ เกดิ สินามิ 5. ตระหนักถงึ ภยั และผลกระทบ 7.2.3 ผลกระทบที่เกดิ จากสินามิ ทเี่ กดิ จากสนิ ามิ 7.2.4 พนื้ ท่ีเส่ยี งภยั ตอการเกดิ 6. บอกพ้นื ทีเ่ สีย่ งภัยตอการเกิด สนิ ามิ ในประเทศไทยและประเทศ
ที่ ตัวช้วี ดั เน้อื หา เน้ือหา เน้อื หา เน้ือหา ต่าง ๆ ในโลก ง่ายดว้ ย ปานกลาง ยาก หมาย สนิ ามิในประเทศไทยและ ตนเอง (พบกลุ่ม) (สอน เหตุ ประเทศต่าง ๆ ในโลก (กรต.) เสรมิ ) 7. บอกสถานการณสนิ ามิในประเทศ 7.3 สถานการณสินามิ 4 ไทย และประเทศต่าง ๆ ในโลก 7.3.1 สถานการณสนิ ามิ 8. วเิ คราะห์เปรยี บเทียบสถติ ิการเกดิ ในประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ สินามิของประเทศต่างๆ ในโลกและ ในโลก คาดคะเนการเกิดสนิ ามิในอนาคต 7.3.2 สถติ กิ ารเกิดสินามขิ อง ประเทศไทย และประเทศตา่ ง ๆ 9. บอกวธิ ีการเตรียมความพรอมรับ ในโลก สถานการณการเกิดสินามิ 6 10. บอกวิธกี ารปฏบิ ตั ิขณะเกิดสินามิ 7.4 แนวทางการปองกันและ 11. บอกวิธีการปฏิบตั ิตนหลงั เกดิ การแกไขปญหาผลกระทบท่ีเกิด สนิ ามิ จากสินามิ 12. เสนอแนวทางการปองกันและ 7.4.1 การเตรียมความพรอมรบั การแกไขปญหาผลกระทบทีเ่ กดิ จาก สถานการณการเกิดสนิ ามิ สนิ าม 7.4.2 การปฏิบัติขณะเกดิ สินามิ 7.4.3 การปฏบิ ตั ติ นหลังเกิด สนิ ามิ 8 บุคลากร และหนว่ ยงานท่เี กี่ยวช้อง 5 กบั การใหความชว่ ยเหลือการ ประสบภยั ธรรมชาติ 12. ระบุบุคลากรทเ่ี กยี่ วของกับการ 8.1 บุคลากรท่ีเก่ียวของกับการ 2 3 ให ความช่วยเหลือผู้ประสบภยั ใหความชชว่ ยเหลือผู้ประสบภยั ธรรมชาติ ตา่ ง ๆ ธรรมชาตติ า่ ง ๆ 13. ระบุหนว่ ยงานทเ่ี ก่ียวของกบั การ 8.2 หนว่ ยงานทเี่ กี่ยวของกับการ ใหความชว่ ยเหลอื ผู้ประสบภยั ใหความช่วยเหลอื ผู้ประสบภัย ธรรมชาติตา่ ง ๆ ธรรมชาติตา่ ง ๆ 102 18 120
แผนการจัดการเรยี นรู้ สาระ ความรู้พ้ืนฐาน รายวิชา การเรยี น ระดับ ม.ปลาย ภาคเรยี น เร่อื ง แนวทางการปองกันแลธการแกไขปญหา คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หัวเรื่อง/ตัวช้ีวดั เนอ้ื หาสาระการเรียนรู้ แนวทางการปองกนั แนวทางการปองกันและ และการแกไขปญหา การแกไขปญหาผลกระทบท ผลกระทบที่เกดิ จาก จากอทุ กภัย และ ดินโคลนถล อุทกภัย และ ดินโคลน 1. การเตรยี มความพรอมรับ ถลม สถานการณการเกิดอทุ กภยั แล 1. บอกวิธกี ารเตรยี ม ดินโคลนถลม ความพรอม รับสถาน 2. การปฏบิ ตั ขิ ณะเกิดอทุ กภ การณการเกดิ อุทกภยั และดิน โคลนถลม และดนิ โคลนถลม 3. การปฏิบัติตนหลังเกดิ 2. บอกวิธกี ารปฏบิ ัติ อุทกภัยและดินโคลนถลม ขณะเกิดอุทกภยั และ ดินโคลนถลม 3. บอกวิธีการปฏบิ ตั ิ ตนหลงั เกิด อทุ กภยั และดนิ โคลนถลม 4. บอกแนวทาง การปองกันและการ แกไขปญหาผลกระทบ ทเ่ี กดิ จากอุทกภัย
นรสู้ ้ภู ัยธรรมชาติ 3 รหสั วิชา พว32032 จำนวน 3 หน่วยกิต นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 าผลกระทบที่เกดิ จากอทุ กภยั และ ดนิ โคลนถลม การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สอื่ /แหล่งเรยี นรู้ การวดั และ ประเมนิ ผล ข้นั ที่ 1 : กำหนดสภาพ 1. หนังสอื 1. สังเกต ท่ีเกิด ปัญหา แบบเรียน พฤติกรรม ลม 1 ครูและผู้เรียนรว่ มกันพูดคุย 2. ใบความรู้ 2. ใบงาน บ แลกเปล่ยี นประสบการณ์ 3. ใบงาน ละ เกี่ยวกับแนวทางการปองกนั และการแกไขปญหา ภยั ผลกระทบทีเ่ กิดจากอุทกภยั และดนิ โคลนถลม 1.2 รวบรวมปญั หาตา่ ง ๆ ท่ีพบจากการพูดคุย 1.3 วางแผนการเรียนรู้ 285
คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หวั เร่อื ง/ตัวช้ีวัด เน้อื หาสาระการเรยี นรู้
การจดั กระบวนการเรียนรู้ ส่อื /แหลง่ เรยี นรู้ การวัดและ ประเมนิ ผล ขน้ั ที่ 2 : แสวงหาความรู้ 2.1 ครูและผเู้ รยี นร่วมกัน ศกึ ษาหาข้อมูลแนวทาง การปองกนั และการแกไข ปญหาผลกระทบทเี่ กดิ จาก อทุ กภยั และดินโคลนถลม 2.2 ครูและผ้เู รยี นร่วมกัน กำหนด 1. การเตรยี มความพรอม รบั สถานการณการเกิด อทุ กภยั และดินโคลนถลม 2. การปฏบิ ัตขิ ณะเกดิ อทุ กภัย และดนิ โคลนถลม 3. การปฏบิ ัติตนหลงั เกิด อุทกภยั และดินโคลนถลม 2.3 ครแู บ่งกลมุ่ ผเู้ รยี น ออกเป็นกลุม่ ๆ ละ 3-5 คน และมอบหมายให้ผเู้ รียนในแต่ ละกล่มุ ร่วมกนั สรปุ จากใบงาน ที่ผสู้ อนแจกใหผ้ ู้เรยี นศึกษา ดว้ ยตนเองในหวั ข้อกำหนดให้ 2.4 ครมู อบหมายใหผ้ เู้ รียน 286
คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หวั เร่อื ง/ตัวช้ีวัด เน้อื หาสาระการเรยี นรู้
การจัดกระบวนการเรยี นรู้ สือ่ /แหล่งเรยี นรู้ การวดั และ ประเมนิ ผล ศกึ ษาใบความร้แู ละทำใบงาน ขั้นที่ 3 : การปฏิบตั นิ ำไปใช้ 3.1 ผเู้ รยี นนำความรทู้ ไ่ี ด้รบั ไปปรับใช้ให้สอดคล้องกบั เหตกุ ารณ์ในชวี ิตประจำวันได้ 3.2 ครูและผู้เรยี นร่วมกัน สรุปความรูจ้ ากใบงาน 3.3 ครมู อบหมายให้ผู้เรยี น ไปศกึ ษาเรยี นรเู้ เร่ือง 1. ภยั แลง้ 2. วาตภัย 3.อทุ กภัย ดนิ โคลนถลม่ ขั้นท่ี 4 : การประเมนิ ผล การเรียนรู้ 4.1 ครแู ละผู้เรียนนำผลงาน ท่ีไดจ้ ากการตอบใบงานมาใช้ เปน็ ขอ้ มลู ในการประเมนิ ผล การเรยี นรู้ 4.2 ครู ผเู้ รียนและ ผู้เกย่ี วข้องรว่ มกันสรา้ งเกณฑ์ 287
คร้งั ที่ วนั /เดือน/ปี หวั เร่อื ง/ตัวช้ีวัด เน้อื หาสาระการเรยี นรู้
การจัดกระบวนการเรียนรู้ สื่อ/แหลง่ เรยี นรู้ การวัดและ ประเมนิ ผล การวัดผลการเรยี นรู้ 4.3 ครตู ัดสนิ ผลการเรยี นรู้ ตามเกณฑ์ที่กำหนด 290
ใบความรู้ เรื่องแนวทางการป้องกนั และการแกไ้ ขปญั หาผลกระทบที่เกดิ จากอุทกภัย แนวทางการป้องกันและการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดจากอุทกภัย อุทกภัย หรือ ภัยจากน้ าท่วม นับเป็นภัยใกลต้ ัวทอ่ี าจเกิดขน้ึ ได้ในทุกพ้ืนท่ี ทุกเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูฝน เมื่อเกดิ อุทกภัย คร้ังใดย่อมส่งผลต่อ ความเสียหายทง้ั ทรัพยส์ ิน อาคารบ้านเรอื น รวมทั้งชีวิตของประชาชน ดังนั้น การเรียนรู้เพื่อเตรียมรับมือกับอุทกภัย ทั้งการเตรียมความพร้อมก่อนเกิดอุทกภัย การปฏิบัติขณะเกิด อุทกภัยและหลังการเกิดอุทกภัย เพ่ือควบคุมหรือลดอันตรายและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ซ่ึงจะทำให้ เกิดความเสียหายนอ้ ยทสี่ ดุ จงึ มีความสำคัญและจำเป็นอย่างย่ิง จงึ มีแนวทางปอ้ งกนั ดังน้ี 4.1 การเตรียมความพร้อมรับสถานการณก์ ารเกดิ อุทกภยั เม่ือเกิดน้ำท่วม จะมหี น่วยงานสำหรับเตอื นภัย โดยมีการเตือนภัย 4 ประเภท คือ ประเภท ความหมาย ระดับการปฏิบัติ 1.การเฝ้าระวังนำ้ ท่วม (Flood มคี วามเป็นไปได้ทจ่ี ะเกดิ น้ำท่วม ต้องตดิ ตามข่าวสารอย่างใกล้ชดิ Watch) และอยู่ในระหว่างสงั เกตการณ์ 2. การเตอื นภัยนำ้ ท่วม (Flood เตอื นภัยจะเกดิ น้ำท่วม ควรเตรียมแผนและควรป้องกัน Warning) นำ้ ท่วมบา้ นเรอื นและทรัพยส์ ิน ของตนเอง 3. การเตือนภยั น้ำท่วม รุนแรง การเตอื นภยั น้ำท่วมรนุ แรง เตรียมอพยพนำสัมภาระทีจ่ ำเปน็ (Severe Flood Warning) เกดิ นำ้ ท่วมอยา่ งรนุ แรง ติดตวั และอยา่ นานไปมากเกินไป ให้คิดว่าชีวิตสำคญั ท่ีสุด ตดั ไฟฟา้ ปดิ บ้านให้เรียบร้อย 4. ภาวะปกติ (All Clear) เหตุการณ์กลบั ส่ภู าวะปกติ หรอื สามารถกลับเข้าส่บู า้ นเรอื นของ เป็นพ้ืนที่ไม่ไดร้ บั ผลกระทบจาก ตนเองได้ ภาวะนำ้ ทว่ ม เมอ่ื ไดร้ ับการเตือนภัยจากหน่วยงานดา้ นเตือนภัยนำ้ ทว่ มแล้ว สงิ่ ที่ตอ้ งรีบดำเนนิ การ คอื 1. ตดิ ตามการประกาศเตอื นภยั จากสถานีวิทยุทอ้ งถน่ิ โทรทัศน์ หรอื รถฉกุ เฉนิ อย่าง ต่อเนอื่ ง 2. ถ้ามีการเตือนภยั น้ำท่วมฉับพลัน และอยู่ในพน้ื ทหี่ ุบเขาใหป้ ฏิบัติ ดังน้ี - ปีนขน้ึ ท่สี งู ให้เร็วท่ีสดุ เทา่ ท่ีจะทำได้ - อยา่ นำสมั ภาระตดิ ตวั ไปมาก ใหค้ ิดวา่ ชีวติ สำคัญท่ีสุด - อยา่ พยายามว่ิงหรอื ขบั รถผา่ นบริเวณทางน้ำหลาก 3. ถา้ มีการเตอื นการเฝา้ ระวังน้ำทว่ ม ยังพอมีเวลาในการเตรยี มแผนรับมอื น้ำท่วม 4. ด าเนนิ การตามแผนรบั มอื นำ้ ท่วมที่วางไว้ 5. ถา้ มกี ารเตอื นภัยนำ้ ท่วมและอยู่ในพนื้ ท่นี ำ้ ท่วมถึง ควรปฏบิ ัติดงั นี้ - อดุ ปิดชอ่ งท่อนำ้ ทิง้ อา่ งล้างจาน พ้ืนห้องน้ำ และสขุ ภณั ฑ์ท่ีนำ้ สามารถไหล เข้าบ้านได้ - ปิดอุปกรณเ์ ครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ และแกส๊ ถา้ จำเป็น - ล็อคประตบู ้านและอพยพขน้ึ ทส่ี ูง หรือสถานทห่ี ลบภัยของหน่วยงานตา่ ง ๆ 6. หากบ้านพักอาศยั ไมไ่ ด้อยู่ในทน่ี ้ำท่วมถึง แต่อาจมนี ้ำท่วมในหอ้ งใตด้ ิน ควรปฏิบัติ ดังนี้ - ปดิ อปุ กรณเ์ ครือ่ งใช้ไฟฟ้าในหอ้ งใตด้ นิ
- ปดิ แกส๊ หากคาดวา่ น้ำจะท่วมเตาแก๊ส - เคล่ือนย้ายสงิ่ ของมีคา่ ขน้ึ ช้ันบน - หา้ มอยใู่ นหอ้ งใต้ดิน เมือ่ มนี ้ำทว่ มถึงบา้ น การเตรียมความพร้อมของประชาชนท่ีอยู่ในบริเวณที่จะเกิดอุทกภัย นับว่ามีความสำคัญ และจำเป็น เมอื่ ไดร้ บั สัญญาณเตือนอุทกภัยควรตดิ ตามขา่ วสารและปฏบิ ตั ิตนเม่ือเกิดเหตุการณ์ ต่าง ๆ ไดแ้ ก่ 1. เชื่อฟงั คำเตือนอยา่ งเคร่งครัด เพ่ือตดิ ตามข่าวสารทางราชการ 2. เคลอื่ นยา้ ยคน สตั ว์เล้ียง และสิ่งของไปอยใู่ นทส่ี ูง ใหพ้ น้ ระดับนำ้ ทเี่ คยทว่ มมากอ่ น 3. ควรเตรียมเรือไม้ เรือยาง หรอื แพไมไ้ วใ้ ช้ เพื่อเป็นยานพาหนะในขณะน้ำท่วมเปน็ เวลานาน 4. เตรยี มไฟฉาย ถา่ นไฟฉาย เทยี นไข และไม้ขีดไฟ ไว้ใช้เมอื่ ไฟฟ้าดบั 5. เตรียมวิทยุทีใ่ ช้ถา่ นไฟฉาย เพอื่ ติดตามฟงั รายงานข่าวของลักษณะอากาศจาก กรมอตุ นุ ยิ มวทิ ยา 6. เตรียมโทรศพั ท์มือถอื พรอ้ มแบตเตอรสี่ ำรองให้พร้อม เพ่ือตดิ ตอ่ ขอความช่วยเหลอื 7. เตรียมยาแกพ้ ิษกัดตอ่ ยจากแมลงป่อง ตะขาบ งู และสตั ว์อนื่ ๆ 8. เตรียมน้ำดมื่ สะอาดเก็บไวใ้ นภาชนะทปี่ ิดแนน่ เพราะน้ำประปาอาจจะหยดุ ไหลเปน็ เวลานาน 9. เตรียมอาหารกระป๋องและอาหารสำรองไว้ กรณีท่ีความช่วยเหลือจากทางราชการ ยังเข้าไปไม่ถึง การเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ย่อมเป็นบทเรียนที่ดีต่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนได้เป็น อย่างดี ดังน้ันการ รับมือสำหรับ น้ำทว่ มคร้งั ต่อไปควรปฏบิ ตั ิ ดงั นี้ 1. คาดคะเนความเสยี หายทจี่ ะเกดิ กับทรพั ย์สนิ ของตนเองเมอ่ื เกิดนำ้ ท่วม 2. ทำความคุ้นเคยกับระบบการเตือนภัยของหนว่ ยงานท่ีเก่ยี วข้อง และข้ันตอน การอพยพ 3. เรยี นรู้เส้นทางการเดนิ ทางท่ปี ลอดภยั ทีส่ ดุ จากบา้ นไปยังทีส่ ูงหรือพื้นท่ที ปี่ ลอดภยั 4. ผูท้ ีอ่ าศัยในพืน้ ท่ีเสี่ยงต่อนำ้ ท่วม ควรจะเตรียมวัสดุ เช่น กระสอบทราย แผน่ พลาสติก เปน็ ต้น 5. นำยานพาหนะไปเกบ็ ไวใ้ นพ้นื ท่ที นี่ ำ้ ทว่ มไมถ่ งึ 6. ปรึกษาและทำข้อตกลงกบั บริษัทประกันภัยเกย่ี วกับการประกันความเสียหายของ บ้านเรอื น 7. บนั ทึกหมายเลขโทรศัพทส์ ำหรับเหตุการณฉ์ ุกเฉนิ ไวใ้ นโทรศพั ท์มือถอื 8. รวบรวมของใช้ทีจ่ ำเปน็ และเสบยี งอาหาร ไว้ในท่ีปลอดภยั และสงู กว่าระดบั ที่คาดว่านำ้ จะทว่ มถงึ 9. จดบันทึกรายการทรัพย์สินมีค่า และเอกสารสำคัญท้ังหมด ถ่ายรูป หรือถ่ายวีดิโอ เก็บไว้เป็น หลักฐาน และเกบ็ ไว้ในสถานที่ปลอดภัยหรือหา่ งจากท่ีน้ำท่วมถงึ เชน่ ตู้เซฟทธ่ี นาคาร หรือไปรษณีย์ 10. ทำแผนการรับมือน้ำท่วม และถ่ายเอกสารเกบ็ ไว้ในท่ีสังเกตได้ง่าย และติดตงั้ อุปกรณ์ป้องกันน้ำ ท่วม ที่เหมาะสมกบั บา้ นของแตล่ ะคน 4.2 การปฏบิ ตั ิขณะเกดิ อุทกภัย 4.2.1 ตดั สะพานไฟ และปดิ แก๊สหุงต้มให้เรียบร้อย 4.2.2 อยูใ่ นอาคารท่แี ขง็ แรง และอยใู่ นทส่ี ูงพ้นระดับน้ำท่ีเคยทว่ มมาก่อน 4.2.3 สวมเสือ้ ผ้าให้ร่างกายอบอนุ่ อย่เู สมอ 4.2.4 ไมค่ วรขบั ข่ยี านพาหนะฝา่ ลงไปในกระแสน้ำหลาก 4.2.5 ไม่ควรเล่นนำ้ หรอื วา่ ยนำ้ ในขณะนำ้ ท่วม 4.2.6 ระวงั สตั วม์ ีพิษทห่ี นีน้ำท่วมกัดตอ่ ย 4.2.7 ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เช่น สังเกตลมฟ้าอากาศและติดตามรายงาน อากาศ ของ กรมอตุ นุ ยิ มวิทยา
4.2.8 เตรียมอพยพไปในท่ีปลอดภัยเม่ือสถานการณ์จวนตัว หรือปฏิบัติตาม คำแนะนำของ ทางการ 4.2.9 เม่ือถึงคราวคับขัน ให้คำนึงถึงความปลอดภัยของชีวิตมากกว่าห่วง ทรพั ย์สิน 4.3 การปฏบิ ัตหิ ลงั เกิดอทุ กภัย ภายหลงั จากการเกดิ อุทกภัยหรอื น้ำทว่ มแล้ว ควรรอ้ื และเกบ็ กวาด ส่ิงปรักหักพัง และ ทำความสะอาดซ่อมแซมบ้านเรือนให้เร็วท่ีสุด และดูแลรักษาสุภาพของตนเองและ ครอบครวั ดืม่ น้ำสะอาด แต่ถา้ ไดร้ ับความเสยี หายมาก ผู้ประสบภัยสามารถติดตอ่ ขอความช่วยเหลือจาก หนว่ ยงานทเี่ กยี่ วข้องในเรอื งต่าง ๆ ดังต่อนี้ 4.3.1 การขอรับอาหารเครื่องนุ่งหม่ ยารักษาโรค 4.3.2 การซ่อมแซมบ้านเรือนท่ีพักอาศัย หรือการจัดหาแหล่งเงินกู้สำหรับซ่อมบ้าน หรือ สรา้ งบา้ นใหม่ หรอื การจดั หาทอ่ี ยู่อาศัยช่วั คราว 4.3.3 การซอ่ มแซมระบบไฟฟา้ ระบบประปาในบ้าน 4.3.4 การช่วยเหลือฟนื้ ฟใู นเรอ่ื งสขุ ภาพทางกายและจติ ใจ 4.3.5 การประกอบอาชีพ เช่น การแนะนำทางด้านวิชาการเพ่ือปลูกพืชทดแทน การจัดหา พันธพุ์ ืชผลไม้ และการหาแหลง่ เงนิ กู้ฉุกเฉิน อุทกภัย คือ ภัยและอันตรายทีเกิดจากสภาวะน้ำท่วมหรือน้ำท่วมฉับพลันหรืออันตรายเกิดจากสภาวะน้ำไหล เอ่อล้นฝังแม่น้ำ ลำธาร หรือทางน้ำ เน่ืองจากมีน้ำเป็นสาเหตุอาจเป็นน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลากหรืออ่ืนๆ โดย ปกติอทุ กภยั เกิดจากฝนตกหนกั ต่อเนื่องเป็นเวลานานทำให้เกิดการสะสมน้ำบนพื้นท่ีซ่งึ ระบายออกไม่ทนั ทำให้ พนื้ ทนี่ น้ั มีน้ำท่วม ภัยรา้ ย ท่ีเกิดขน้ึ โดยธรรมชาตแิ ละเปน็ ส่งิ ทไ่ี ม่สามารถควบคมุ ได้ สาเหตุของการเกดิ อทุ กภยั เกิดจากฝนตกหนักต่อเนอ่ื งกันเป็นเวลานาน บางครั้งทำให้เกดิ แผ่นดินถล่ม อาจมีสาเหตุจากพายุหมุนเขตร้อน ลมมรสมุ มีกำลังแรง มีกำลงั แรง ร่องความกดอากาศตำ่ มีกำลังแรง อากาศแปรปรวน นำ้ ทะเลหนุนแผ่นดินไหว เขื่อนพงั ทำใหเ้ กดิ อุทกภยั ได้เสมอ ลักษณะของปญั หาอุทกภัย โดยทว่ั ไปอุทกภัยท่ีเกดิ จากน้ำทว่ ม แบง่ ได้เป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ คอื 1.น้ำท่วมขัง เกิดขึ้นเนื่องจากระบบระบายน้ำมีประสิทธิภาพหรืระบายน้ำไม่ทัน มักเกิดขึ้นในบริเวณที่ราบลุ่ม แมน่ ้ำและบริเวณชมชนเมืองใหญ่ 2.น้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่า เป็นสภาวะน้ำท่วมท่ีเกิดข้ึนเน่ืองจากฝนตกหนักในบริเวณพ้ืนที่ซึ่งมีความชันมาก และมีคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำหรือต้านน้ำน้อย เช่น บริเวณต้นน้ำซ่ึงมีความชันของพื้นท่ีมาก พื้นท่ีป่าถูก ทำลายไปทำให้การกักเกบ็ น้ำหรอื ต้านนำ้ ลดน้อยลง น้ำท่วมฉับพลันมักเกิดข้ึนหลังจากฝนตกไม่เกิน 6 ชั่วโมง และมักเกิดข้ึนในบริเวณท่ีราบระหว่างภูเขา เน่ืองจากน้ำท่วมฉับพลันมีความรุนแรงและเคล่ือนที่ด้วยความ รวดเร็ว โอกาสที่จะป้องกันและหลบหนีจึงมีน้อย ดังนั้นความเสียหายจากน้ำท่วมฉับพลันจึงมีมากทั้งชีวิตและ ทรัพยส์ ิน
น้ำท่วมก่อใหเ้ กดิ ผลกระทบอันตรายและความเสียหาย 1. อันตรายและความเสียหายต่อชีวติ ทรพั ยส์ นิ อาคาร บา้ นเรือน โดยตรง เกิดนำ้ ท่วมในบ้านเมือง โรงงาน คลังพัสดุ โกดงั สนิ ค้า บา้ นเรอื นไมแ่ ขง็ แรง อาจถูกกระแสน้ำไหลเชย่ี วพงั ทลาย หรอื คลืน่ ซัดลงไปทะเลไปได้ ผ้คู น สตั ว์พาหนะ สตั ว์เลยี้ ง อาจจมน้ำตาย หรอื ถูกพัดพาไปกับกระแสนำ้ ไหลเชี่ยว – เสน้ ทางคมนาคมถูกตัด ขาดทงั้ ทางถนน ทางรถไฟ ชำรดุ เสยี หาย โดยท่วั ไป รวมทัง้ ยานพาหนะ วงิ่ รบั ส่งสนิ ค้าไม่ได้ เกิดความเสียหาย และชะงักงนั ทางเศรษฐกิจ – กจิ การสาธารณปู โภคจะได้รับความเสียหาย เชน่ กิจการโทรเลข โทรศพั ท์ การ ไฟฟ้า การประปา และระบบการระบายนำ้ เป็นตน้ ท่าอากาศยาน สวนสาธารณะ โรงเรยี น – ส่ิงกอ่ สรา้ ง สาธารณสถานเกดิ ความเสยี หาย เชน่ สถานขี นสง่ ทา่ อากาศยาน สวนสาธารณะ โรงเรยี น วดั สถาปัตยกรรม และศลิ ปกรรมต่าง ๆ 2. ความเสียหายของแหล่งเกษตรกรรม ได้แก่ แหลง่ กสกิ รรมไร่นา สัตวเ์ ลย้ี ง สัตว์พาหนะ ตลอดจนแหล่งเก็บ เมลด็ พันธ์พชื ยุง้ ฉาง 3. ความเสยี หายทางเศรษฐกิจ รายได้ของประเทศลดลง ผลกำไรจากภารกจิ ตา่ ง ๆ ถูกกระทบกระเทือน รฐั ต้องมรี ายจา่ ยสูงข้นึ จากการซ่อมบูรณะซ่อมแซม และชว่ ยเหลือผปู้ ระสบอุทกภัย และเกิดข้าวยากหมากแพง ทัว่ ไป 4. ความเสียหายทางด้านสุขภาพอนามัยของประชาชน ขณะเกดิ อุทกภยั ขาดน้ำดีในการอุปโภคบริโภค ขาด ความสะดวกดา้ นห้องนำ้ ห้องสว้ ม ทำใหเ้ กดิ โรคระบาด เช่น โรคนำ้ กัดเท้า โรคอหวิ าตกโรค รวมทง้ั โรคเครียด มคี วามวิตกกังวลสูง โรคประสาทตามมา 5. ความเสยี หายที่มีตอ่ ทรพั ยากรธรรมชาติ ฝนตกทีห่ นกั น้ำทท่ี ่วมทน้ ข้ึนมาบนแผ่นดนิ และกระแสน้ำที่ไหล เชย่ี วทำให้เกดิ แผน่ ดินถล่ม (landslides) ได้ นอกจากน้ันผิวหนา้ ดินทอ่ี ดุ มสมบูรณจ์ ะถกู นำ้ พัดพาลงสทู่ ตี่ ่ำ ทำ ใหด้ ินขาดปุ๋ยธรรมชาติ และแหล่งน้ำเกดิ การตื้นเขนิ เปน็ อุปสรรคในการเดินเรือ แนวทางแก้ไขและการป้องกันปญั หาอทุ กภัย 1. ติดตามสภาวะอากาศ ฟงั คำเตอื นจากกรมอตุ ุนยิ มวทิ ยา 2. ฝกึ ซอ้ มการป้องกนั ภยั พิบัติ เตรยี มพร้อมรบั มือและวางแผนอพยพหากจำเปน็ 3. เตรียมน้ำดืม่ เคร่ืองอุปโภค บริโภค ไฟฉาย แบตเตอร่ี วิทยุกระเป๋าหิว้ ตดิ ตามขา่ วสาร 4. ซอ่ มแซมอาคารให้แข็งแรง เตรยี มปอ้ งกันภยั ให้สตั วเ์ ลี้ยงและพืชผลการเกษตร 5. เตรียมพร้อมเสมอเม่ือได้รับแจ้งให้อพยพไปท่สี ูง ขณะอยู่ในพ้นื ทเ่ี สย่ี งภัยและฝนตกหนกั ตอ่ เน่ือง 6. หากอยู่ในพ้ืนทน่ี ้ำท่วมขงั ป้องกันโรคระบาด ระวงั เร่ืองน้ำและอาหาร ตอ้ งสุกและสะอาดก่อนบรโิ ภค ทฤษฎกี ารแกไ้ ขปัญหานำ้ ท่วม ทฤษฎกี ารแก้ไขปญั หาน้ำทว่ มอันเนอื่ งมาจากพระราชดำริตามแนวทางการบริหารจัดการด้านนำ้ ท่วม ลน้ วิธีการต่างๆ ท่พี ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั พระราชทานพระราชดำริในการแก้ไขปญั หานำ้ ท่วมคือ 1. การก่อสรา้ งคันก้นั นำ้ เพ่ือปอ้ งกันน้ำทว่ มซ่งึ เปน็ วธิ ีการดั้งเดิมแต่ครัง้ โบราณโดยการก่อสรา้ งคนั ดนิ กนั้ นำ้ ขนาดทเี่ หมาะสมขนานไปตามลำนำ้ ห่างจากขอบตลงิ่ พอสมควร เพอ่ื ป้องกนั มิให้นำ้ ลน้ ตลงิ่ ไปท่วมในพน้ื ท่ี ต่างๆ ด้านใน 2. การก่อสรา้ งทางผันนำ้ เพ่อื ผันนำ้ ท้งั หมดหรือบางสว่ นท่ีลน้ ตลงิ่ ท่วมทน้ ให้ออกไป โดยการก่อสรา้ งทาง ผนั นำ้ หรอื ขดุ คลองสายใหม่เชื่อมต่อกบั ลำนำ้ ท่ีมีปญั หานำ้ ทว่ มโดยให้นำ้ ไหลไปตามทางผันน้ำทข่ี ุดข้ึน ใหมไ่ ปลงลำน้ำสายอน่ื หรือระบายออกสู่ทะเลตามความเหมาะสม
3. การปรบั ปรุงและตกแตง่ สภาพลำน้ำ เพ่ือใหน้ ้ำท่ีทว่ มทะลกั สามารถไหลไปตามลำน้ำไดส้ ะดวกหรือช่วยให้ กระแสน้ำไหล เรว็ ยิ่งขึน้ อันเป็นการบรรเทาความเสียหายจากนำ้ ทว่ มขังได้ โดยใชว้ ิธกี ารดังน้ี – ขดุ ลอกลำนำ้ ตื้นเขินให้น้ำไหลสะดวกขึน้ – ตกแตง่ ดินตามลาดตลงิ่ ให้เรียบมิใหเ้ ป็นอุปสรรคต่อทางเดนิ ของนำ้ – กำจัดวัชพืช ผักตบชวา และร้อื ทำลายสงิ่ กดี ขวางทางนำ้ ไหลให้ออกไปจนหมดสนิ้ – หากลำนำ้ คดโค้งมาก ให้หาแนวทางขดุ คลองใหมเ่ ป็นลำน้ำสายตรงใหน้ ้ำไหลสะดวก 4. การกอ่ สร้างเข่ือนเกบ็ กักน้ำเปน็ มาตรการป้องกันนำ้ ท่วมท่ีสำคัญประการหนึง่ ในการกักเกบ็ น้ำที่ไหลทว่ มล้น ในฤดนู ้ำหลาก โดยเก็บไวท้ างดา้ นเหนือเข่ือนในลักษณะอ่างเก็บนำ้ โครงการแก้มลงิ ทฤษฎกี ารแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริ ตามแนวทางการบริหารจัดการดา้ นนำ้ ทว่ มลน้ ตลอดระยะเวลาท่ผี า่ นมา พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัว ทรงตระหนักถงึ ภัยท่ีรา้ ยแรงของวิกฤติน้ำทว่ ม กรุงเทพ ฯ และทรงมพี ระราชดำรใิ นการแก้ไขบญั หาเพื่อผ่อนคลายทุกขเ์ ข็ญของพสกนิกรหลายประการ อาทิ การเร่งระบายน้ำออกสทู่ ะเล โดยผา่ นแนวคลองทางฝ่งั ตะวันออกของกรงุ เทพฯ ใหม้ ีพ้นื ท่ีสีเขยี ว เพ่อื กนั การ ขยายตัวของเมืองและเพื่อแปรสภาพใหเ้ ป็นทางระบายน้ำเม่ือถึงฤดูนำ้ หลาก โครงการแก้มลงิ คือการจดั ให้มีสถานทีเ่ ก็บกักนำ้ ตามจดุ ต่างๆ ในกรงุ เทพฯ เพ่ือทำหนา้ ท่ีเป็นบึงพกั น้ำใหห้ นา้ นำ้ โดยรองรบั นำ้ ฝนไวช้ ่ัวคราว กอ่ นทจี่ ะระบายลงทางระบายน้ำสาธารณะ ฉะน้นั เมือ่ ฝนตก นำ้ ฝนจงึ ไม่ไหล ลงสู่ทางระบายนำ้ ในทนั ที แต่จะถูกขังไว้ในพืน้ ท่ีพักนำ้ รอเวลาใหค้ ลองต่างๆ ซึ่งเป็นทางระบายน้ำหลกั พรอ่ ง นำ้ พอจะรับน้ำได้ จึงค่อยๆ ระบายนำ้ ลง เป็นการชว่ ยลดปัญหาน้ำทว่ มขัง ได้ในระดับหนง่ึ วธิ ีการแกไ้ ขปญั หาน้ำท่วมในภมู ภิ าคตา่ ง ๆ คือ 1. การก่อสร้างคนั กันนำ้ โดยการก่อสร้างคันดนิ กั้นนำ้ ขนานไปตามลำน้ำเพ่ือป้องกันมิใหน้ ้ำล้นตล่งิ ไปท่วมใน พ้ืนที่ตา่ ง ๆ ด้านใน 2. การก่อสรา้ งทางผนั น้ำ เพื่อผนั น้ำท้ังหมดหรือบางส่วนที่ลน้ ตลง่ิ ท่วมล้นเขา้ มาให้ออกไป 3. การปรบั ปรงุ และตกแต่งสภาพลำน้ำ เพ่ือใหน้ ้ำที่ทว่ มทะลกั สามารถไหลไปตามลำน้ำไดส้ ะดวก หรือช่วยให้ กระแสน้ำไหลเร็วยิ่งขึ้น เมอ่ื ได้รับคำเตือน เรอื่ ง อทุ กภัย ควรปฏบิ ตั ติ นอยา่ งไร กอ่ นเกดิ ควรปฏบิ ัตดิ ังนี้ 1. เชอ่ื ฟงั คำเตือนอย่างเครง่ ครัด 2. ตดิ ตามรายงานของกรมอุตนุ ิยมวิทยาอย่างตอ่ เนื่อง 3. เคลอื่ นยา้ ยคน สตั วเ์ ล้ียง และส่ิงของไปอย่ใู นท่สี งู 4. ทำคนั ดินหรือกำแพงกั้นน้ำโดยรอบ 5. เคล่อื นย้ายพาหนะไปอยูท่ ่ีสูง 6. ควรเตรียมเรือไม้ เรือยาง หรอื แพไม้ไวใ้ ชด้ ้วย 7. เตรียมอาหารกระปอ๋ ง หรืออาหารสำรองไว้บ้าง 8. เตรยี มเครอ่ื งดม่ื เกบ็ ไว้ในขวดและภาชนะทปี่ ิดไว้แน่นๆไว้บ้าง 9. เตรียมเครื่องเวชภณั ฑ์ไว้บ้างพอสมควร 10.เตรียมไฟฉาย ถ่านไฟฉาย และเทยี นไข เพื่อไว้ใชเ้ ท่ือไฟฟา้ ดับ ขณะเกดิ ควรปฏิบตั ิดงั น้ี 1. ตดั สะพานไฟ และปิดแก๊สหงุ ตม้ ใหเ้ รยี บร้อย 2. จงอยู่ในอาคารท่ีแข็งแรง และอยู่ในที่สูงพน้ ระดบั น้ำ 3. ไมค่ วรขบั ขีย่ านพาหนะฝา่ ลงไปในกระแสน้ำหลาก 4. จงทำใหร้ า่ งกายอบอนุ่ อย่เู สมอ
5. ไม่ควรเลน่ นำ้ หรือว่ายน้ำในขณะน้ำท่วม 6. ระวงั สตั วม์ พี ษิ ที่หนนี ้ำทว่ มขึน้ มาอยู่บนบ้าน 7. ติดตามเหตกุ ารณ์อย่างใกลช้ ดิ 8. เตรียมพร้อมท่ีจะอพยพไปในท่ีปลอดภยั เม่ือสถานการณ์จวนตัว 9. เมื่อจวนตัวใหค้ ำนึงถึงความปลอดภัยของชวี ติ มากกวา่ หว่ งทรัพยส์ นิ หลังเกดิ ควรปฏิบัตดิ ังนี้ 1. การขนสง่ คนอพยพกลับยงั ภมู ลิ ำเนา 2. การชว่ ยเหลอื ในการรอ้ื ของสิ่งปรักหักพงั ซอ่ มแซมบ้านเรอื นทีห่ ักพัง และการจัดหาท่ีพกั อาศัยและการ ดำรงชีพชว่ั ระยะหนง่ึ 3. การกวาดเก็บขนส่ิงปรักหักพงั การทำความสะอาดบ้านเรือนให้กลบั เขา้ สสู่ ภาพปกติ 4. ซ่อมแซมบ้านเรือนอาคาร โรงเรยี นท่พี ักอาศัย สะพานที่หักพังชำรดุ เสยี หาย 5. จดั ซอ่ มทำเครื่องสาธารณูปโภค ให้กลับคืนเขา้ ส่สู ภาพปกติโดยเร็วทส่ี ดุ 6. ภายหลังนำ้ ทว่ มจะมซี ากสัตวต์ าย ซ่ึงจะต้องจดั การเกบ็ ฝังโดยเรว็ 7. ซ่อมถนน สะพาน และทางรถไฟทีข่ าดตอนชำรุดเสยี หายให้กลบั เข้าส่สู ภาพเดิม 8. สร้างอาคารชั่วคราวสำหรบั ผูท้ ี่อาศัย 9. การสงเคราะหผ์ ้ปู ระสบอทุ กภยั มีการแจกเสอื้ ผา้ เคร่ืองนงุ่ หม่ และอาหารแก่ผ้ปู ระสบภัย 10. ภายหลงั อทุ กภยั เนือ่ งจากสง่ิ แวดล้อมมกี ารเปลย่ี นแปลงอยา่ งมาก จะทำให้เกดิ เจ็บไข้ และโรคระบาดได้
ใบงานที่ 1 1. อธิบายสาเหตขุ องการเกิดอทุ กภัยมาพอสังเขป ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. จงบอกสาเหตุของการเกดิ อทุ กภยั ........................................................................................................................ ...................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ......................................................................................................................................................... ..................... .............................................................................................................. ................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................. ................................ 3. แนวทางแกไ้ ขและการปอ้ งกนั ปัญหาอุทกภยั .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................................................. . ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 4. เมอื่ ไดร้ ับคำเตือน เรื่อง อุทกภัย ควรปฏิบตั ติ นอยา่ งไร ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................................ .............................. ..................................................................................................... ......................................................................... ............................................................................................................................. .................................................
แผนการจัดกจิ กรรมก
การเรยี นรู้คร้งั ท่ี 12
แผนการเรียน (กรต.) ภาคเรยี นท่ี 1 สาระ ความรู้พื้นฐาน ระดับ ม.ปลาย รายวชิ า ก หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดบั การ ครัง้ ท่ี วัน/เดือน/ปี หวั เร่ือง/ตัวชี้วัด เนอื้ หาสาระการเรยี นร 1.ภยั แลง้ 1.ภัยแล้ง 1. อธิบายความหมายของภยั แลง 1. ความหมายของภัยแลง 2. อธบิ ายความหมายของฝนแลง 1.1 ความหมายของภยั แล ฝนท้ิงชวง 1.2 ความหมายของฝนแล 3. บอกสาเหตุ และปัจจยั การเกดิ ฝนท้ิงชวง ภยั แลง 2. ลักษณะการเกดิ ภยั แลง 4.บอกผลกระทบท่เี กิดจากภัยแล 2.1สาเหตุและปัจจัยการเก ง ภัยแล้ง 5. ตระหนักถงึ ภัยและผลกระทบ 2.2ผลกระทบท่เี กดิ จากภยั ท่เี กิดจากภยั แลง ง 6.บอกหวงเวลาการเกิดภัยแล้ง 2.3 หวงเวลาการเกิดภยั แ และพนื้ ทีเ่ สีย่ งภยั ตอการเกดิ ภัย และพืน้ ที่ เสยี่ งภยั ตอการเกิด แล้งในประเทศไทยและประเทศ แลง ในประเทศไทย และ ตา่ ง ๆ ในโลก ประเทศตา่ ง ๆ ในโลก 7. บอกสถานการณภัยแลงใน 3. สถานการณการเกิดภัยแ ประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ 3.1 สถานการณภัยแลงใน ในโลก ประเทศไทย และประเทศตา่
นร้ดู ว้ ยตนเอง 1 ปีการศกึ ษา 2564 การเรียนรูส้ ู้ภยั ธรรมชาติ 3 รหสั วิชา พว32032 รศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 รู้ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ แหลง่ เรยี นรู้ จำนวน ชั่วโมงการ ครูมอบหมายงานค้นคว้า 1. แหลง่ เรยี นรใู้ น ชมุ ชน เรียนรู้ 2. อนิ เตอร์เน็ต 3. หอ้ งสมดุ 15 4. ภูมิปัญญาชุมชน ลง กรต. ให้ผ้เู รียนไปศึกษา ลง ค้นควา้ เรอ่ื ง 1. ความหมายของ วัสดุ ศาสตรแ์ ละประเภท ของ กิด วสั ดุ 2. สมบตั วิ สั ดุและทำใบ ยแล งานที่ 1-2 แลง ดภยั ะ แลง าง ๆ 297
ครั้งท่ี วัน/เดือน/ปี หวั เรอ่ื ง/ตัวช้ีวดั เน้ือหาสาระการเรียนร 8. วิเคราะห์เปรียบเทียบสถิติการ ในโลก เกดิ ภยั แลง้ ของประเทศต่าง ๆ 3.2 สถิตกิ ารเกดิ ภยั แล้งขอ ในโลกและคาดคะเนการเกิดภยั ประเทศตา่ ง ๆ ในโลก แล้งในอนาคต 4. แนวทางการปองกนั และ 9. บอกวิธกี ารเตรยี มความพรอม แกไขปญหาผลกระทบที่เกดิ รบั สถานการณการเกดิ ภัยแลง จากภยั แลง 10. บอกวธิ ีการปฏบิ ัติขณะเกิด 4.1 การเตรียมความพรอมร ภยั แลง สถานการณการเกิดภยั แลง 11. บอกวธิ ีการปฏิบัตติ นหลงั เกิด 4.2 การปฏบิ ตั ิขณะเกดิ ภัยแ ภยั แลง 4.3การปฏิบัตติ นหลงั เกิดภยั 12. เสนอแนวทางการปองกัน ง และการแกไขปญหาผลกระทบที่ เกดิ จากภัยแลง 2.วาตภยั 2.วาตภัย 1. บอกความหมายของวาตภัย 2.1 ความหมายของวาตภัย 2. บอกประเภทของวาตภัย 2.1.1 ความหมายของวาต 3. บอกสาเหตุ และปจั จัยการเกดิ 2.1.2 ประเภทของวาตภยั วาตภัย 2.2 ลักษณะการเกิดวาตภยั 4. บอกผลกระทบทีเ่ กิดจากวาต 2.2.1 สาเหตุและปจั จัยกา ภยั 5. ตระหนกั ถงึ ภัยและ เกิด วาตภยั ผลกระทบท่ีเกดิ จากวาตภยั 2.2.2 ผลกระทบทเี่ กิดจา
รู้ การจดั กระบวนการเรียนรู้ แหลง่ เรียนรู้ จำนวน ช่ัวโมงการ เรยี นรู้ อง ะการ ครมู อบหมายงานคน้ ควา้ 1. แหล่งเรียนรใู้ น ชุมชน ด กรต. ใหผ้ เู้ รียนไปศกึ ษา 2. อนิ เตอร์เน็ต 3. ห้องสมดุ ค้นควา้ เรอื่ ง 4. ภมู ปิ ัญญาชุมชน รับ 1. ภยั แลง้ แลง 2. วาตภัย ยแล 3. อุทกภยั ดินโคลน ถลม 4. ทำใบงานเรือ่ งที่ 1-3 ย ตภยั ย ย าร ก 298
ครั้งท่ี วัน/เดือน/ปี หัวเรอ่ื ง/ตัวชี้วัด เนื้อหาสาระการเรยี นร 6. บอกพ้ืนที่เสี่ยงภยั ตอการเกิด วาตภัย วาตภัยในประเทศไทยและ 2.2.3 พื้นท่ีเส่ยี งภยั ตอการเ ประเทศตา่ ง ๆ ในโลก วาตภัยในประเทศไทยและ 7. บอกสถานการณวาตภยั ใน ประเทศ ตา่ ง ๆ ในโลก ประเทศ ไทย และประเทศตา่ ง ๆ 2.3 สถานการณวาตภยั ในโลก 2.3.1 สถานการณวาตภยั 8. วิเคราะหเ์ ปรียบเทียบสถิติการ ประเทศไทย และประเทศตา่ เกิดวาตภยั ในประเทศไทยและ ในโลก ประเทศต่าง ๆ ในโลกและ 2.3.2 สถิติการเกดิ วาตภยั คาดคะเนการเกิดวาตภยั ใน ในประเทศไทยและประเทศต อนาคต ในโลก 9. บอกวธิ กี ารเตรยี มความพรอม 2.4 แนวทางการปองกนั แล รับสถานการณการเกิดวาตภยั การแกไขปญหาผลกระทบท 10. บอกวธิ ีการปฏบิ ตั ิขณะเกิด จากวาตภยั วาตภยั 2.4.1 การเตรียมความพร 11. บอกวธิ กี ารปฏิบัติตนหลงั เกิด รับสถานการณการเกิดวาตภ วาตภัย 2.4.2 การปฏบิ ัติขณะเกดิ 12. เสนอแนวทางการปองกัน วาตภยั และการแกไขปญหาผลกระทบที่ 2.4.3 การปฏบิ ตั ิตนหลังเ เกิดจากวาตภัย วาตภยั
รู้ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้ จำนวน เกิด ชั่วโมงการ เรยี นรู้ ยใน าง ๆ ย ต่างๆ ละ ท่ีเกิด รอม ภัย ด เกิด
ครั้งท่ี วัน/เดือน/ปี หัวเรอื่ ง/ตัวชี้วัด เนอื้ หาสาระการเรยี น 3. อุทกภัย ดนิ โคลน ถลม 3. อุทกภัย ดนิ โคลน ถลม 1. อธบิ ายความหมายของอุทกภัย 3.1 ความหมายของอุทก และดนิ โคลนถลม และดนิ โคลนถลม 2. บอกสาเหตุและปจั จัยการเกิด - ความหมายของอุทกภยั อุทกภยั และดินโคลนถลม ดนิ โคลน ถลม 3. บอกผลกระทบท่เี กิดจากอุทกภัย 3.2 ลักษณะการเกิดอุทก และดนิ โคลนถลม และ ดิน โคลนถลม 4. ตระหนกั ถึงภัยและผลกระทบท่ี 3.2.1 สาเหตุและปจั จัย เกิดจากอทุ กภยั และดินโคลนถล่ม เกดิ อุทกภยั และดินโคลนถ 5. บอกสญั ญาณบอกเหตุกอนเกิด 3.2.2 ผลกระทบที่เกดิ จ อุทกภัยและดนิ โคลนถลม อุทกภยั และดนิ โคลนถลม 6. บอกพน้ื ท่ีเสยี่ งภยั ตอการเกดิ 3.2.3 สัญญาณบอกเหต อุทกภัย และดินโคลนถลม ใน กอนเกิดอุทกภัยและดินโค ประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ใน ถลม โลก 3.2.4 พื้นที่เสีย่ งภัยตอก 6. บอกสถานการณอุทกภยั และดิน เกดิ อุทกภัยและดนิ โคลน โคลนถลมในประเทศไทยและ ถลมในประเทศไทยและ ประเทศ ต่าง ๆ ในโลก ประเทศ ตา่ ง ๆ ในโลก 7. วเิ คราะหเ์ ปรยี บเทียบสถิติการ เกิด อุทกภัยและดินโคลนถลม่ ใน ประเทศ ไทยและประเทศต่าง ๆ
นรู้ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ แหลง่ เรียนรู้ จำนวน ช่วั โมงการ ม กภยั เรยี นรู้ และ 21 กภัย ยการ ถลม จาก ม ตุ คลน การ 300
ครั้งท่ี วัน/เดอื น/ปี หัวเร่อื ง/ตัวช้ีวดั เน้อื หาสาระการเรียน ในโลก และคาดคะเนการเกิด 3.3 สถานการณอุทกภยั แผน่ ดินไหวในอนาคต ดนิ โคลน ถลม 3.3.1 สถานการณอทุ ก และดินโคลน ถลมในประเ ไทย และประเทศตา่ ง ๆ ใ โลก 3.3.2 สถติ กิ ารเกิดอุทก และดนิ โคลน ถลมในประเ ไทย และประเทศตา่ ง ๆ ใ โลก
นรู้ การจดั กระบวนการเรียนรู้ แหลง่ เรียนรู้ จำนวน ชัว่ โมงการ และ เรียนรู้ กภยั เทศ ใน กภยั เทศ ใน 301 291
ใบความรทู้ ี่1 เรอ่ื งภัยแล้ง ภยั แล้งคอื ภัยท่ีเกดิ จากการขาดแคลนนำ้ ในพื้นท่ีใดพ้ืนท่ีหนงึ่ เปน็ เวลานานจนกอ่ ใหเ้ กิดความแหง้ แล้ง และ สง่ ผลกระทบต่อชุมชน สาเหตขุ องการเกดิ ภยั แล้งมีอะไรบ้าง 1. โดยธรรมชาติ ไดแ้ ก่ การเปลี่ยนแปลงอณุ หภมู โิ ลก การเปล่ยี นแปลงสภาพภมู ิอากาศ 2. การเปล่ียนแปลงของระดับนำ้ ทะเล 3. ภยั ธรรมชาติ เชน่ วาตภยั แผน่ ดินไหว 4. โดยการกระทำของมนุษย์ ได้แก่ การทำลายชัน้ โอโซน ผลกระทบของภาวะเรือนกระจก การ พัฒนาด้าน อตุ สาหกรรม การตดั ไม้ทำลายปา่ สำหรบั ภัยแลง้ ในประเทศไทย ส่วนใหญเ่ กิดจากฝนแล้งและท้ิงช่วง ซึ่งฝน แล้งเปน็ ภาวะปริมาณฝนตกน้อยกว่าปกติหรอื ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ภัยแลง้ ในประเทศไทยสามารถเกิดชว่ งเวลาใดบา้ ง ภยั แล้งในประเทศไทยจะเกิดใน ๒ ชว่ ง ไดแ้ ก่ 1. ชว่ งฤดูหนาวตอ่ เน่ืองถึงฤดูร้อน ซ่ึงเรมิ่ จากคร่ึงหลงั ของเดือนตลุ าคมเปน็ ต้นไป บริเวณประเทศไทย ตอนบน จะมปี ริมาณฝนลดลงเป็นลำดับ จนกระทง่ั เข้าสฤู่ ดฝู นในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมของ ปีถดั ไป ซ่ึงภยั แลง้ ลักษณะน้ี จะ เกดิ ขึ้นเปน็ ประจำทกุ ปี 2. ชว่ งกลางฤดูฝน ประมาณปลายเดือนมิถุนายนถงึ เดอื นกรกฎาคม จะมฝี นทิ้งชว่ งเกิดขน้ึ ภยั แล้ง ลกั ษณะน้ี จะเกดิ ขึ้นเฉพาะท้องถนิ่ หรือบางบริเวณ บางคร้งั อาจครอบคลุมพื้นท่ีเปน็ บรเิ วณกวา้ งเกอื บท่ัวประเทศ 3. พนื้ ท่ีใดในประเทศไทยที่ไดร้ ับผลกระทบจากภัยแลง้ ภยั แลง้ ในประเทศไทยสว่ นใหญ่มผี ลกระทบตอ่ การ เกษตรกรรม โดยเปน็ ภยั แล้งท่เี กดิ จากขาดฝนหรือ ฝนแลง้ ในช่วงฤดูฝน และเกิด ฝนทิ้งช่วง ในเดือนมิถุนายน ตอ่ เนื่องเดือนกรกฎาคม พ้ืนท่ีทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบจากภัยแล้งมาก ได้แกบ่ รเิ วณภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ตอนกลาง เพราะเป็นบรเิ วณทอี่ ิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้เขา้ ไปไม่ถึง และถ้าปใี ดไม่มีพายหุ มุนเขตรอ้ น เคล่อื นผา่ นในแนว ดงั กล่าวแล้วจะก่อใหเ้ กดิ ภัยแลง้ รุนแรงมากข้ึน นอกจากพื้นทดี่ งั กลา่ วแล้ว 4. ภัยแลง้ ในประเทศไทยมีผลกระทบโดยตรงกับการเกษตรและแหล่งนำ้ เนื่องจากประเทศไทยเปน็ ประเทศที่ ประชาชนประกอบอาชพี เกษตรกรรมเปน็ ส่วนใหญ่ ภัยแลง้ จึงสง่ ผลเสยี หายตอ่ กิจกรรมทางการเกษตร เช่น พ้ืนดนิ ขาดความชุ่มชนื้ พืชขาดน้ำ พืชชะงักการเจรญิ เตบิ โต ผลผลิตทีไ่ ดม้ คี ุณภาพตำ่ รวมถึงปริมาณลดลง สว่ นใหญ่ภัยแลง้ ทีม่ ผี ลต่อการเกษตร มักเกิดในฤดฝู นที่มฝี นท้ิงช่วงเป็นเวลานาน ผลกระทบทเ่ี กิดขึน้ รวมถงึ ผลกระทบดา้ นต่าง ๆ ดังนี้ 4.1ดา้ นเศรษฐกิจ ส้นิ เปลืองและสูญเสยี ผลผลติ ดา้ นเกษตร ปศสุ ัตว์ ป่าไม้ การประมง เศรษฐกิจ ทวั่ ไป เชน่ ราคาท่ดี ินลดลง โรงงานผลติ เสยี หาย การว่างงาน สญู เสยี อุตสาหกรรมการ ท่องเทย่ี ว พลังงาน อุตสาหกรรม ขนสง่ เปน็ ตน้ 4.2ดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม สง่ ผลกระทบตอ่ สตั ว์ตา่ ง ๆ ทำให้ขาดแคลนน้ำ เกิดโรคกบั สัตว์ สูญเสียความ หลากหลายพันธุ์ รวมถึงผลกระทบด้านอทุ กวทิ ยา ทำใหร้ ะดบั และปริมาณน้ำลดลง พนื้ ท่ีชุม่ นำ้ ลดลง ความเค็มของน้ำเปลีย่ นแปลง ระดบั นำ้ ในดินเปลี่ยนแปลง คณุ ภาพน้ำเปลย่ี นแปลง เกิด การกัดเซาะของดิน ไฟปา่ เพิ่มขนึ้ สง่ ผลต่อคุณภาพอากาศและสญู เสียทศั นียภาพ เปน็ ต้น
4.3ด้านสังคม เกิดผลกระทบในด้านสุขภาพอนามัย เกดิ ความขัดแย้งในการใชน้ ้ำและการจดั การ คณุ ภาพชวี ิตลดลง วธิ กี ารแกป้ ญั หาภยั แล้งทำไดอ้ ย่างไร 1. แกป้ ญั หาเฉพาะหนา้ เชน่ แจกน้ำใหป้ ระชาชน ขุดเจาะนำ้ บาดาล สร้างศูนยจ์ า่ ยน้ำ จัดทำ ฝนเทียม 2. การแกป้ ัญหาระยะยาว โดยพัฒนาลุ่มนำ้ เช่น สรา้ งฝาย เข่ือน ขดุ ลอกแหล่งน้ำ รักษาปา่ และ ปลกู ปา่ ให้ความร่วมมอื และมีส่วนร่วมมอื ในการจัดทำและพัฒนาชลประทาน.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
Pages: