Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ ม.ปลาย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

แผนการจัดการเรียนรู้ ม.ปลาย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

Published by Teacher JA ครูจา, 2021-06-28 07:08:30

Description: แผนการจัดการเรียนรู้ ม.ปลาย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

Search

Read the Text Version

เฉลยคำตอบ เร่ือง ลูกเสอื กศน. กับการพัฒนา กจิ กรรมเรื่องที่ 1 ลกู เสอื กศน. คำชี้แจง ให้ผเู้ รียนอธบิ ายความเป็นมา และความสำคัญของลกู เสอื กศน. ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ความเป็นมาของลูกเสือ กศน. 2. ความสำคญั ของลูกเสือ กศน. 1. ความเปน็ มาของลูกเสอื กศน. ตอบ การลูกเสือไทย ได้ถือกำเนิดข้ึนโดยองค์พระมหากษัตรยิ ์ไทย และมีความเจริญรดุ หนา้ สบื มากว่า 307 ปี อย่างทรงคุณค่า ซึ่งเป็นพระราชมรดกอันล้าค่ายิ่งท่ีพระบาทสมเด็จ พระรามาธิบดีศรีสินทรมหา วชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 6 ได้พระราชทานไว้ให้แก่ปวงชนชาวไทย ต่อมาสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ์บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 30 มีพระบรมราโชบายด้านการศึกษากับความ มั่นคง มีพระราชประสงค์เห็นคนไทยมีวินัย รู้หน้าท่ีมีความรับผิดชอบ สร้างวินัยโดยกิจกรรมลูกเสือ เนตร นารี 2. ความสำคญั ของลูกเสอื กศน. ตอบ ลูกเสือ กศน. ยึดม่ันในอุดมการณ์ร่วมกัน มีวัตถุประสงค์ หลักการ วิธีการ ของการลูกเสือ เป็น ขบวนการเรียนรู้ร่วมกัน การฝึกอบรมร่วมกัน การช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน การมีความพร้อมในการประพฤติ ปฏิบตั ติ น ตามคตพิ จนข์ องลกู เสือวสิ ามัญ คือ “บรกิ าร” กิจกรรมเรอื่ งท่ี 2 ลกู เสอื กศน. กับการพัฒนา คำชี้แจง ให้ผูเ้ รียนยกตัวอย่างกจิ กรรมของลกู เสอื กศน. กบั การพัฒนา ลงในตารางตอ่ ไปนี้ ลูกเสือ กศน. กบั การพัฒนา ยกตัวอยา่ งกิจกรรมทีค่ าดวา่ จะพัฒนา ตนเอง 1. การประหยัดอดออม 2. การมีระเบียบวินยั การตรงตอ่ เวลา สภุ าพเรียบรอ้ ย ครอบครัว 1. การทาความสะอาดบ้านเรอื น 2. ดูแลบพุ การเี มอ่ื เกดิ อาการเจ็บป่วย ชมุ ชนและสงั คม 1. การเก็บขยะมูลฝอย 2. การอา่ นหนังสือให้ผู้มีปญั หาทางสายตาฟงั กิจกรรมเร่ืองที่ 3 บทบาทหนา้ ท่ีของลูกเสือ กศน. ท่ีมีตอ่ ตนเอง ครอบครวั ชุมชน และสงั คม คำชแี้ จง ให้ผเู้ รยี นยกตัวอยา่ งกิจกรรมเก่ยี วกับบทบาทหน้าทข่ี องลูกเสือ กศน. ที่มีต่อตนเอง ครอบครวั ชมุ ชน และสังคมลงในตารางต่อไปน้ี บทบาทหนา้ ท่ีของลูกเสือ กศน. ยกตัวอยา่ งกจิ กรรมที่เก่ียวข้อง ทม่ี ตี อ่ ตนเอง เผยแพรค่ วามรปู้ ระชาธิปไตย ทม่ี ีตอ่ ครอบครวั เช่ือฟังคำสั่งของบิดา มารดา ด้วยความเคารพและยอมรับไป ปฏบิ ัติ ทม่ี ตี ่อชมุ ชนและสงั คม ชว่ ยดแู ล ปอ้ งกนั อนรุ กั ษป์ ่าไม้

กิจกรรมเรื่องที่ 4 บทบาทของลกู เสือ กศน. ที่มีต่อสถาบันหลักของชาติ คำชแี้ จง ให้ผู้เรียนยกตัวอยา่ งกิจกรรมทเี่ กีย่ วข้องกับบทบาทของลกู เสือ กศน. ทีม่ ตี ่อสถาบนั หลกั ของชาติ บทบาทของลูกเสอื กศน. ยกตวั อย่างกิจกรรมทเี่ ก่ียวข้อง ทมี่ ตี ่อสถาบนั หลักของชาติ การเปน็ พลเมืองดี การเสริมสรา้ งค่านยิ ม ความซอ่ื สตั ย์ สุจรติ ชาติ ศาสนา การประพฤตปิ ฏบิ ัตติ นตามหลักศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ การไมล่ บหล่ศู าสนาหรอื ลัทธิความเชอ่ื อ่ืน การประพฤติปฏบิ ัติตนตามรอยพระยคุ ลบาท

แผนการจัดกจิ กรรมก

การเรยี นรู้คร้งั ท่ี 17

แผนการจัดการเรยี นการสอน แบบพบกลุ่ม ระดบั ม กศน.ตำบลบา้ นโปง่ อำเ ครั้งที่ วัน/เดือน/ปี หวั เร่ือง/ตัวช้ีวัด เนอ้ื หาสาระการเรียนรู้ . 1.บอกความหมายของ 1. หลักวสั ดุศาสตร ข วัสดไุ ด 1.1 ความหมายของวัสดุ 1 2. อธบิ ายประเภทของ ศาสตรและประเภทของวัสดุ ค วสั ดไุ ด 1.2 สมบัตวิ สั ดศุ าสตร์ ว 3. อธิบายสมบัติของ 2.การใชป้ ระโยชน์และ ศ วสั ดุได ผลกระทบจากวสั ดุ อ ป 4. ทดสอบสมบตั ขิ อง 2.1 การใช้ประโยชนจ์ าก ข วสั ดุ ผ วสั ดุได 2.2 มลพิษจากการผลติ และ ญ 5. นําความรูเรื่องสมบัติ ของวัสดุไปใชได การใช้งาน ว 6.อธิบายถึงการใช้ 2.3 ผลกระทบตอ่ สิ่งมชี ีวติ พ ประโยชน์จากวสั ดุ และสง่ิ แวดลอ้ ม 1 ส 7.อธิบายสาเหตขุ อง 1 มลพิษจากการผลิตและ ค การใช้งานได้ จ ส แ

มัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 เภอบา้ นโป่ง จังหวัดราชบรุ ี การจัดกระบวนการเรียนรู้ สื่อ/แหลง่ เรียนรู้ วดั และประเมนิ ผล ข้ันที่ 1 การนำเข้าสู่บทเรียน - CD, DVD ทเ่ี กี่ยวข - แบบสังเกต 1.1 ครูทักทายกล่าวนำ และอธบิ าย อง - ใบงาน ความสำคัญของการศึกษาทีเ่ กย่ี วของกบั - ใบความรู้ - แบบทดสอบ วัตถุ เปนการนําความรูทางวิทยา - แบบทดสอบ ศาสตร และวศิ วกรรมศาสตร เพ่อื - แบบสงั เกต อธบิ ายถงึ ความสมั พันธระหวางองค - ใบงาน ประกอบพื้นฐานของวัสดุ และสมบตั ิ - วิชา วสั ดุศาสตร 3 ของวัสดุ ซ่ึงความรูดงั กลาว จะนํามา รหัสวชิ า พว32024 ผลติ หรือสรางเปนผลติ ภัณฑ เพ่อื แกป - หนงั สือเรยี น ญหาหรอื อธบิ ายส่ิงตางๆ ที่เกี่ยวเนอ่ื งกับ อเิ ล็กทรอนกิ ส วัสดุและสมบัตทิ ี่ สนใจ ไดแก โลหะ กลมุ สาระการเรียนรู พลาสติก หรอื พอลเิ มอร และเซรามิกส. วิทยาศาสตร์ 1.2 ครูเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนซักถาม ขอ้ สงสยั ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป 1.4 การปฏบิ ัติตวั ในการเรียนใหป้ ระสบ ความสำเร็จ ผูเ้ รียนต้องใช้ทักษะที่ จำเปน็ ตามท่ีไดก้ ล่าวถึงในขนั้ กำหนด สภาพปัญหา (การพูด การฟงั จดบันทึก แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง)

- ต ข คร้ังท่ี วัน/เดอื น/ปี หัวเรือ่ ง/ตัวช้ีวัด เนื้อหาสาระการเรียนรู้ 8.อธิบายผลกระทบท่ีเกิด 2 จ า ก ก า ร ใ ช้ วั ส ดุ ต่ อ ศ ง สิ่งมชี วี ติ และสิง่ แวดล้อม - - - พ 2 ม ง ท ว

เข้ารว่ มกิจกรรมและแสวงหาขอ้ มูล ตามทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย ข้นั ที่ 2 การจัดกระบวนการเรยี นรู้ การจัดกระบวนการเรยี นรู้ สอื่ /แหลง่ เรยี นรู้ วดั และประเมินผล 2.1 ครกู ำหนดกรอบเน้ือหาวิชาวสั ดุ ศาสตรต์ ามใบงานกรอบเน้ือหา ตามใบ งาน - กรอบเน้อื หา - ภารกิจ/งานทตี่ ้องปฏบิ ัติ/มอบหมาย - วางแผนกำหนดวันเวลาที่ส่งงาน และ พบกลมุ่ และวธิ ีการประเมนิ ผล 2.2 ครูจัดกจิ กรรมแบ่งกลุ่ม เพ่อื มอบหมายให้ พิจารณาเนือ้ หาตามใบ งาน กลมุ่ ละ 1 เน้ือหา โดยแจกใหค้ รบ ทัง้ 5 เน้ือหา ดังน้ี เนื้อหาท่ี 1 ความหมายของวัสดุ เนื้อหาที่ 2 ประเภทของวัสดุ เน้ือหาท่ี 3 สมบตั ขิ องวัสดุ เนือ้ หาที่ 4 ทดสอบสมบตั ิของวสั ดุ เน้ือหาที่ 5 นาํ ความรูเร่ืองสมบตั ขิ อง วัสดไุ ปใช้

ป จ ก คร้ังท่ี วัน/เดอื น/ปี หัวเร่ือง/ตัวช้ีวัด เนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้ 2.3 บนั แบ เอก 2.4 2.5 หม ขน้ั 3.1 ข้ัน ผ้เู ร 3.2 พฤ

เน้ือหาที่ 6 อธิบายถึงการใช้ ประโยชนจ์ ากวัสดุ เน้อื หาท่ี 7 อธบิ ายสาเหตุของมลพษิ จากการผลติ และการใช้งานได้ เน้อื หาที่ 8อธบิ ายผลกระทบทเี่ กดิ จาก การใชว้ ัสดตุ ่อสง่ิ มีชีวติ และสิ่งแวดล้อม การจัดกระบวนการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ วัดและประเมินผล 3 ผเู้ รียน/ครู บนั ทึกข้อตกลงโดยจดั ทำและ นทกึ รอ่ งรอยการศึกษาดว้ ยตนเองตาม บบบนั ทึกท่ีครูมอบให้ในใบงาน และทำเป็น กสารตามแบบที่กำหนด 4 ครูและผูเ้ รียนสรปุ เน้ือหารว่ มกนั 5 ครมู อบหมายภารกจิ ตามใบงาน และนัด มาย นท่ี 3 การสรปุ ผล 1 สงั เกตการเข้ารว่ มกิจกรรมในแตล่ ะ นตอนและจดบันทึกความก้าวหนา้ ของ รยี นในแตล่ ะทักษะเป็นรายบคุ คล 2 ค รู ป ร ะ เมิ น ผ ล จ า ก ก า ร สั ง เก ต ฤติกรรมและแบบฝกึ หดั





ใบความรู้ท่ี 1 เร่ือง หลกั วสั ดศุ าสตร์ เรื่องท่ี 1 ความหมายของวสั ดุศาสตร์ วัสดุศาสตร์ (Materials Science) คือ การศึกษาท่ีเก่ียวข้องกับวัสดุ เป็นการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ เพ่ืออธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบพ้ืนฐานของวัสดุ และสมบัติของวัสดุ ซ่ึง ความรู้ดังกล่าวนี้ จะนำมาผลติ หรือสร้างเปน็ ผลติ ภณั ฑพ์ รอ้ มท้ังหาค่าสมรรถนะในการใช้งานของผลิตภัณฑ์ ความร้ทู ่ี นำมาใช้นั้นจะมีลกั ษณะเป็น สหวิทยาการ คือ การใชค้ วามรู้ในหลาย ๆ แขนงมารว่ มกัน วสั ดุศาสตร์จึงยิ่งจำเปน็ ต้อง ใชค้ วามร้หู ลายแขนงวิชา ไม่ว่าจะเป็นความรทู้ างฟสิ ิกส์ เคมี วิศวกรรม ชีววทิ ยา ไฟฟา้ คณติ ศาสตร์ หรอื การแพทย์ เข้ามารว่ มกนั เพอ่ื แก้ปัญหาหรืออธบิ ายส่ิงต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวเน่อื งกับวัสดุและสมบัตทิ ี่สนใจ ประเภทของวัสดุศาสตร์ ในปัจจุบันไม่ว่าวิศวกร นักวทิ ยาศาสตร์ หรือนกั เทคโนโลยี ล้วนต้องเกย่ี วข้องกับวัสดุ (Materials) อยู่เสมอ ท้ังในเชิงของผู้ใช้วัสดุ ผู้ผลิตและผู้ควบคุมกระบวนการผลิต ตลอดจนผู้ออกแบบทั้งในรูปแบบ องค์ประกอบ และ โครงสร้าง บุคคลเหล่าน้ีจำเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมถูกต้องจากสมบัติของวัสดุเหล่าน้ัน นอกจากน้ียังสามารถวิเคราะห์ได้ว่า เมื่อมีความผิดปกติเกิดข้ึนมันเป็นเพราะเหตุใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน การค้นคว้า ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีความก้าวหน้าไปอย่างมาก วัสดุใหม่ ๆ ถูกผลิตขึ้น และมีการค้นคว้าสมบัติพิเศษ ของวัสดุ เพื่อใช้ประโยชน์มากขึ้น กระบวนการผลิตก็สามารถทำได้อย่าง มีประสิทธิภาพ ทำให้ราคาของวัสดุ น้ัน ต่ำลง วสั ดุศาสตร์ แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท ได้แก่ 2.1 โลหะ (Metallic materials) 2.2 พลาสตกิ หรือ พอลิเมอร์ (Polymeric materials) 2.3 เซรามิกส์ (Ceramic materials) 2.1 วสั ดปุ ระเภทโลหะ โลหะ (Metals) หมายถึง วัสดุที่ได้จากการถลุงสินแร่ต่าง ๆ อันได้แก่ เหล็ก ทองแดง อลูมิเนียม นิกเกิล ดีบุก สังกะสี ทองคำ ตะก่ัว เป็นต้น โลหะเมื่อถลุงได้จากสินแร่ในตอนแรกน้ัน ส่วนใหญ่จะเป็นโลหะเนื้อค่อนข้าง บริสุทธ์ิ มีโครงสร้างเป็นผลึกซึ่งอะตอมจะมีการจัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบและเฉพาะ โดยทั่วไปโลหะเป็นตัวนำ ความร้อนและไฟฟ้าที่ดี แต่โลหะเหล่าน้ีมักจะมีเนื้ออ่อนไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะนำมาใช้ในงานอุตสาหกรรมโดยตรง สว่ นมากจะนำไปปรบั ปรงุ คุณสมบัตกิ ่อนการใช้งาน โลหะและโลหะผสม (Alloys) สามารถแบง่ ออกเปน็ 2 พวก คือ 1) โลหะและโลหะผสมท่ีมีเหล็กเปน็ องคป์ ระกอบ (ferrous metals and alloys) โลหะพวกน้ีจะประกอบด้วยเหล็ก ที่มีเปอรเ์ ซน็ ต์สูง เชน่ เหลก็ กล้า และเหลก็ หลอ่

2) โลหะและโลหะผสมท่ีไม่มีเหล็กเป็นองค์ประกอบ หรือมีอยู่น้อย (nonferrous metals and alloys) เช่น อะลูมเิ นียม ทองแดง สังกะสี ไทเทเนียม และนิกเกลิ คำว่า โลหะผสม (Alloys) หมายถึง ของผสมของโลหะต้ังแต่ 2 ชนิดหรือมากกว่า 2 ชนิด หรือเป็นโลหะผสมกับ อโลหะ 2.2 วัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ พอลิเมอร์ (Polymers) หมายถึง สารประกอบท่ีโมเลกุลมีขนาดใหญ่มาก เกิดจากโมเลกุลเดียวมาเชื่อมต่อ กันด้วย พันธะเคมีแต่ละโมเลกุลเดย่ี วหรือหน่วยย่อย เรียกว่า มอนอเมอร์ วัสดุพอลิเมอร์ส่วนมากประกอบด้วยสารอินทรีย์ (คาร์บอนเป็นองค์ประกอบ) ท่ีมีโมเลกุลเป็นโซ่ยาว หรือเป็นโครงข่าย โดยโครงสร้างแล้ววัสดุพอลิเมอร์ส่วนใหญ่ไม่มีรูปร่างผลึก แต่บางชนิดประกอบด้วยของผสมของ ส่วนที่มีรูปร่างผลึกและส่วนมากไม่มีรูปร่างผลึก ความแข็งแรงและความอ่อนเหนียวของวัสดุพอลิเมอร์มีความ หลากหลาย เนอ่ื งจากลักษณะของโครงสร้างภายใน ทำให้วสั ดุพอลิเมอรส์ ่วนมากเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ไม่ดี บางชนิดเป็น ฉนวนไฟฟา้ ท่ีดี โดยทั่วไปวัสดุพอลเิ มอร์ มคี วามหนาแน่นต่ำ และมีจดุ อ่อนตัวหรืออุณหภูมิของการสลายตวั ค่อนข้าง ตำ่ ประเภทของพอลิเมอร์ พอลิเมอร์เป็นสารที่มีอยู่มากมายหลายชนิด ซึ่งในแต่ละชนิดก็จะมีสมบัติและการกำเนิดท่ีแตกต่างกัน ดังน้ันการจัด จำแนกประเภทพอลิเมอร์จึงสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับว่าใช้ลักษณะใดเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา เราสามารถ จำแนกประเภทพอลเิ มอรไ์ ด้ โดยอาศัยลักษณะต่าง ๆ ดังตอ่ ไปน้ี 1. พจิ ารณาตามแหลง่ กำเนดิ เป็นวิธีการพิจารณาโดยดูจากวิธกี ารกำเนิดของพอลเิ มอร์ชนิดน้นั ซ่ึงจะสามารถจำแนกพอลิเมอร์ได้เปน็ 2 ประเภท คือ พอลิเมอร์ธรรมชาติ และพอลิเมอรส์ ังเคราะห์

1) พอลิเมอรธ์ รรมชาติ (Natural Polymers) เป็นพอลิเมอรท์ ี่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สามารถพบได้ในสิง่ มชี ีวติ ทุก ชนิด โดยพอลิเมอร์ธรรมชาติเหล่าน้ีเป็นสิ่งท่ีสิ่งมีชีวิตผลิตขึ้นโดยอาศัยกระบวนการทางเคมีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายใน เซลล์ และมกี ารเก็บสะสมไวใ้ ชป้ ระโยชนต์ ามส่วนต่าง ๆ ดังนั้นพอลเิ มอรธ์ รรมชาติจึงมีความแตกต่างกันไปตามชนิด ของสิ่งมีชีวิตและตำแหน่งท่ีพบในสิ่งมีชีวิต ตัวอย่างพอลิเมอร์ธรรมชาติ ได้แก่ เส้นใยพืช เซลลูโลส และไคติน เป็นตน้ 2) พอลิเมอร์สงั เคราะห์ (Synthetic Polymers) เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นโดยมนษุ ย์ ด้วยวิธีการนำสารมอนอเมอร์ จำนวนมากมาทำปฏิกิริยาเคมีภายใต้สภาวะที่เหมาะสม ทำให้มอนอเมอร์เหล่าน้ันเกิดพันธะโคเวเลนต์ต่อกัน กลายเป็นโมเลกุล พอลิเมอร์ โดยสารมอนอเมอร์ที่มักใช้เป็นสารตั้งต้นในกระบวนการสังเคราะห์พอลิเมอร์คือ สาร ไฮโดรคาร์บอนที่เป็นผลพลอยได้จากการกล่ันน้ำมันดิบและการแยกแก๊สธรรมชาติ เช่น เอททีลีน สไตรีน โพรพิลีน ไวนลิ คลอไรด์ เปน็ ตน้ ภาพที่ 1.3 พอลิเมอร์สงั เคราะห์ ที่มา : http://www.vcharkarn.com

2. พจิ ารณาตามมอนอเมอร์ท่ีเป็นองค์ประกอบ เปน็ วิธีการพิจารณาโดยดูจากลักษณะมอนอเมอร์ ท่ีเข้ามาสร้างพนั ธะรว่ มกนั โดยจะสามารถจำแนกไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คือ 1) โฮโมพอลิเมอร์ (Homopolymer) คือ พอลเิ มอรท์ ี่เกิดจาก มอนอเมอร์ ชนดิ เดียวกนั ทั้งหมด เช่น แป้ง พอลิเอทลิ นี และพวี ีซี เป็นตน้ ภาพท่ี 1.4 แสดงโมเลกุลของโฮโมพอลิเมอร์ ทม่ี า : https://th.wikipedia.org/wiki/ 2) โคพอลเิ มอร์ (Copolymer) คอื พอลเิ มอร์ทีเ่ กดิ จากมอนอเมอร์มากกวา่ 1 ชนดิ ขน้ึ ไป เช่น โปรตนี ซึง่ เกดิ จาก กรดอะมิโนที่มลี ักษณะต่าง ๆ มาเชื่อมต่อกนั พอลเิ อไมดแ์ ละพอลเิ อสเทอร์ เปน็ ต้น ภาพท่ี 1.5 แสดงโมเลกลุ ของโคพอลิเมอร์ ทม่ี า : https://th.wikipedia.org/wiki/ 3. พจิ ารณาตามลักษณะการใช้งานไดเ้ ปน็ 4 ประเภท ได้แก่ 1) อลิ าสโตเมอร์ (Elastomer) หรือพอลเิ มอรป์ ระเภทยาง อาจเป็น พอลิเมอร์ธรรมชาติ หรือพอลิเมอรส์ ังเคราะห์ ท่ีมสี มบัตยิ ดื หย่นุ เกดิ จากลกั ษณะโครงสร้างโมเลกลุ มลี กั ษณะม้วนขดไปมา และบิดเปน็ เกลียว สามารถยดื ตวั ได้เม่ือมีแรงดึง หดกลบั ไดเ้ ม่อื ลดแรงดึง และสามารถเกิด การยดื ตัวหดตัวซ้ำไป ซำ้ มาได้ เชน่ ยางรถยนต์ เป็นต้น

ภาพที่ 1.6 อลิ าสโตเมอร์ 2) เส้นใย (Fabric) คือ พอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยโมเลกุลขนาดยาว ลักษณะโครงสร้างมีความเหนียวและยืดหยุ่น สามารถนำมาปั่นเป็นเส้นยาวได้ เม่ือนำมาสานจะได้ผลิตภัณฑ์ท่ีมีความคงตัว เหมาะสำหรับนำไปใช้เป็น เคร่ืองนุ่งห่ม สามารถนำไปซักรีดได้ โดยไม่เสียรูป หรือเส่ือมคุณภาพ โดยเส้นใยนั้นมีทั้งที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ และไดจ้ ากการสงั เคราะห์ ภาพที่ 1.7 เส้นใย ทีม่ า : http://santext.igetweb.com 3) พลาสติก (Plastic) คือ พอลิเมอร์กลุ่มใหญ่กว่าพอลิเมอร์ประเภทอ่ืน ๆ เป็นพอลิเมอร์ที่ได้จากการสังเคราะห์ขึ้น โดยทั่วไปจะมีลักษณะอ่อนตัวได้เมื่อได้รับความร้อน ทำให้สามารถนำไปหล่อหรือขึ้นรูปเป็นรูปต่าง ๆ ได้ มีสมบัติ ระหว่างเส้นใยกับอลิ าสโตเมอร์ พลาสตกิ อาจจำแนกได้เปน็ พลาสตกิ ยดื หยุน่ และพลาสติกแขง็

ภาพท่ี 1.8 พลาสตกิ ที่มา : http://www.kanchanapisek.or.th 4) วัสดุเคลือบผิว (Coating Materials) คือ พอลิเมอร์ที่ใช้ในการป้องกัน ตกแต่งผิวหน้าของวัสดุรวมถึงพอลิเมอร์ ขนาดเลก็ ทีใ่ ห้สี ใช้ย้อมผ้าให้มีสตี ่าง ๆ พอลเิ มอรก์ ันน้ำบางชนิดเคลือบเหล็กไม่ให้เกดิ สนิม นอกจากนี้ ยังรวมถงึ กาว กาวลาเทกซ์ และกาวพอลเิ มอร์ ชนดิ ตา่ ง ๆ ภาพท่ี 9 วัสดเุ คลอื บผวิ

2.3 วสั ดุประเภทเซรามกิ ส์ เซรามกิ ส์ มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า “เครามอส (Keramos)” หมายถึงวัตถุที่ผ่านการเผา ดงั น้ันผลิตภัณฑ์เซรา มิกส์จึงครอบคลมุ ผลติ ภัณฑต์ ่าง ๆ ท่ใี ชค้ วามร้อน ในกระบวนการผลิต ปัจจบุ ัน เซรามิกส์ หมายถึง ผลติ ภัณฑ์ที่ทำจากวัตถุดบิ ในธรรมชาติ เช่น ดิน หิน ทราย และแร่ ธาตุต่าง ๆ นำมาผสมกัน ทำเป็นสิ่งประดิษฐ์แล้วเผาเพ่ือเปล่ียนเน้ือวัสดุให้มีความแข็งแรงและคงรูปอยู่ได้ เช่น อิฐ ถว้ ยชาม แก้ว แจกนั เปน็ ตน้ วัสดุประเภทเซรามิกส์ ส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ วัตถุดิบหลัก เช่น ดิน เฟลด์สปาร์ อวอตซ์ และ วัตถุดิบรอง ซึ่งเป็นวัตถุดิบช่วยเสริมให้ผลิตภัณฑ์ท่ีได้มีคุณภาพสูงขึ้น เช่น ดิกไคซ์ โดโลไมต์ และสารประกอบ ออกไซด์บางชนดิ ดิน (Clays) เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเซรามิกส์หลายประเภท โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ท่ีใช้เป็นภาชนะใส่อาหาร เคร่ืองสุขภัณฑ์ กระเบ้ือง เป็นต้น ถ้าแบ่งดินตามลักษณะทางกายภาพอาจจำแนกได้เป็นดินขาว (Chaina clays) และดินเหนยี ว (Ball clays)เฟลดส์ ปาร์ (Feldspar) หรอื หินฟนั มา้ เปน็ สารประกอบ อะลูมิโนซิลิเกต (Al3O5Si) ใช้ผสมกับดิน เพื่อช่วยให้ส่วนผสมหลอมตัวที่อุณหภูมิต่ำ และทำให้ผลิตภัณฑ์มีความ โปร่งแสง ใช้ผสมในน้ำยาเคลือบทำใหผ้ ลติ ภัณฑ์มีความแวววาว ในอุตสาหกรรมแก้ว เม่ือเฟลด์สปารห์ ลอมตัวกับแก้ วจะทำใหแ้ กว้ มีความเหนยี ว คงทนต่อการกระแทก และ ทนตอ่ ความรอ้ นเฉยี บพลนั ควอตซ์ (Quartz) หรือหินเข้ียวหนุมาน เป็นสารประกอบออกไซด์ของซิลิคอนไดออกไซค์ (SiO2) หรือที่เรียกว่า ซิลิ กา ส่วนมากมลี กั ษณะใสไม่มสี ี แต่ถ้ามมี ลทิน เจอื ปนจะทำให้เกิดสีต่าง ๆ ควอตซ์ ทำหน้าทเี่ ปน็ โครงสร้างของผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ ชว่ ยใหเ้ กดิ ความแข็งแรง ไม่โค้ง งอ ทำให้ผลิตภณั ฑท์ ั้งก่อนเผาและหลงั เผาหดตัวน้อย แรโ่ ดโลไมต์ (Dolomite) หรือหนิ ตะกอนทมี่ ีองค์ประกอบหลกั คือ แคลเซียมแมกนีเซียมคาร์บอเนต (CaMg(CO3)2 มลี ักษณะคลา้ ยหนิ ปนู ใชผ้ สมกับเนอื้ ดนิ เพื่อลดจดุ หลอมเหลวของวตั ถุดิบ และใชผ้ สมในน้ำยาเคลอื บ สารประกอบออกไซด์ เป็นสารที่ใช้เติมเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีสมบัติและคุณภาพตามที่ต้องการ เช่น มีสมบัติทนไฟ มี สมบตั ิโปรง่ แสงทบึ แสง นอกจากนี้ยังมีวัตถุดิบอ่ืนๆ เช่น ดิกไคต์ ซ่ึงมีองค์ประกอบเหมือนดิน แต่มีโครงสร้างผลึกและสัดส่วนของ องค์ประกอบต่างกัน ปริมาณอะลูมินาที่องค์ประกอบมีผลต่อสมบัติของผลิตภัณฑ์ถ้าอะลูมินาเป็นองค์ประกอบร้อย ละ 28 – 32 โดยมวล จะมีลักษณะเป็นหินแข็งเหมาะสำหรับแกะสลักเป็นรูปต่างๆ แต่ถา้ อะลูมินาเป็นองค์ประกอบ

ร้อยละ11 –28 โดยมวล เหมาะสำหรับใช้ผลิตวัสดุทนไฟ กระเบื้องปูพื้นและถ้ามีอะลูมินาเป็นองค์ประกอบ ใน สดั สว่ นที่น้อยกวา่ นีจ้ ะใชผ้ สมทำปูนซีเมนต์ขาว เปน็ ตน้ กระบวนการผลติ เซรามิกสแ์ ต่ละชนดิ ประกอบดว้ ยข้นั ตอนตา่ ง ๆ เชน่ การเตรียมวัตถุดิบ การข้ึนรูป การตากแห้ง การเผาดิบ การเคลือบ การเผาเคลือบ นอกจากนี้การตกแต่งให้สวยงาม โดยการเขียนลวดลายดว้ ยสีหรอื การติดรปู ลอก ซงึ่ สามารถทำได้ทัง้ ก่อนและหลังการเคลือบ ภาพที่ 1.10 วสั ดุประเภทวัสดเุ ซรามิกส์ ในชีวติ ประจำวนั ทมี่ า : http://www.hong-pak.com

ใบความร้ทู ี่ 2 เรอ่ื ง สมบตั ขิ องวัสดุ การศึกษาและทดสอบสมบัติของวัสดุ มีความสำคัญและมีความจำเป็นต่อ ผู้ปฏิบัติงาน ทั้งในด้าน วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และด้านเทคโนโลยี เพราะแต่ละกลุ่มย่อมต้องมีความรู้ ความเข้าใจในศาสตร์ของวัสดุ เพ่ือ ใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ สำหรับการออกแบบ หรือผลิตผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการสังเคราะห์วัสดุชนิดใหม่ แต่ การศึกษาสมบัติวัสดุน้ีอาจศึกษาในรายละเอียดที่แตกต่างกัน เช่น หากเป็นการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของวัสดุ จะ เป็นการศกึ ษาความสัมพันธ์ที่เกิดข้ึนระหวา่ งโครงสร้างและสมบัติของวัสดุ การศึกษาทางวิศวกรรมศาสตร์ ของวัสดุ จะเป็นการอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างและสมบัติในการออกแบบ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ให้ได้ตามต้องการ ดังนั้น การศกึ ษาสมบัติของวสั ดโุ ดยทวั่ ๆ ไป จำแนกได้ ดงั นี้ 1) สมบตั ิทางเคมี (Chemical properties) เป็นสมบัติท่ีสำคัญของวัสดุซ่ึงจะบอกลักษณะเฉพาะตัวท่ีเก่ียวกับโครงสร้างและองค์ประกอบของธาตุต่าง ๆ ที่เป็น วัสดุน้ัน ตามปกติสมบัติน้ีจะทราบได้จากการทดลอง ในห้องปฏิบัติการเท่าน้ัน โดยใช้วิธีการวิเคราะห์แบบทำลาย หรือไม่ทำลายตัวอย่าง 2) สมบตั ทิ างกายภาพ (Physical properties) เป็นสมบัติเฉพาะของวสั ดุที่เกี่ยวกับการเกิดอันตรกิริยา (Interaction) ของวัสดุน้ันกับพลังงานในรปู ต่าง ๆ กัน เช่น ลกั ษณะของสี ความหนาแน่น การหลอมเหลว ปรากฏการท่ีเกดิ เกยี่ วกับสนามแมเ่ หล็กหรือสนามไฟฟา้ เป็นต้น การ ทดสอบสมบัตนิ จี้ ะไม่มีการทำให้วัสดุนัน้ เกดิ การเปล่ียนแปลงทางเคมหี รือถกู ทำลาย 3) สมบัติเชงิ กล (Mechanical properties) เป็นสมบัติเฉพาะตัวของวัสดุที่ถูกกระทำด้วยแรง โดยท่ัวไปจะเก่ียวกับการยืดและหดตัวของวัสดุ ความแข็ง ความสามารถในการรบั น้ำหนกั ความสกึ หรอ และการดดู กลนื พลังงาน เปน็ ตน้ 4) คุณสมบตั ิทางความร้อน (Thermal properties) เป็นการตอบสนองของวสั ดุต่อปฏิบัติการทางความร้อน เช่น การดดู ซับพลังงานของของแข็งในรูปของความร้อนด้วย การเพ่ิมขึ้นของอุณหภูมิและขนาด พลังงาน จะถ่ายเทไปยังบริเวณท่ีมีอุณหภูมิต่ำกว่าถ้าวัสดุมีสองบริเวณที่มี อุณหภูมติ ่างกัน โดยวัสดุ อาจเกิดการหลอมเหลวในบริเวณท่ีมีอุณหภูมิสูง ความจุความร้อน การขยายตัวจากความ ร้อนและการนำความรอ้ นเปน็ สมบตั ิทางความร้อนทีส่ ำคญั ของวสั ดุของแข็งในการนำไปใชง้ าน

3.1 สมบัตวิ สั ดปุ ระเภทโลหะ (Metallic Materials) วสั ดพุ วกนีเ้ ป็นสารอนนิ ทรยี ์ (Inorganic substances) ทปี่ ระกอบด้วย ธาตุ ทเ่ี ปน็ โลหะเพยี งชนดิ เดียวหรือหลายชนิดกไ็ ด้ และอโลหะประกอบอยู่ดว้ ยก็ได้ ธาตทุ ี่ เป็นโลหะ ได้แก่ เหล็ก ทองแดง อะลูมิเนียม นิกเกิล และไทเทเนียม ธาตุท่ีเป็นอโลหะ ได้แก่ คาร์บอน ไนโตรเจน และออกซิเจน โลหะท่ีมีโครงสร้างเป็นผลึกซ่ึงอะตอมจะมีการจัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบและเฉพาะ ทำให้โลหะมี สมบัติ ดังนี้ 1. การนำไฟฟา้ เป็นตัวนำไฟฟ้าได้ดี เพราะมีอิเล็กตรอนเคล่ือนที่ไปได้ง่ายท่ัวทั้งก้อนของโลหะ แต่โลหะนำไฟฟ้าได้น้อยลง เม่ือ อุณหภูมิสูงข้ึน เนื่องจากไอออนบวกมีการส่ันสะเทือนด้วยความถ่ีและช่วงกว้างท่ีสูงขึ้นทำให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไม่ สะดวก 2. การนำความรอ้ น โลหะนำความร้อนได้ดี เพราะมอี ิเล็กตรอนทเี่ คลื่อนทไี่ ด้ โดยอิเล็กตรอน ซึ่งอยู่ตรงตำแหน่งท่ีมีอุณหภูมิสูง จะมีพลังงานจลน์สูง และอิเล็กตรอนท่ีมีพลังงานจลน์สูงจะเคลื่อนที่ไปยังส่วนอื่น ของโลหะจงึ สามารถถา่ ยเทความรอ้ นใหแ้ ก่สว่ นอน่ื ๆ ของ แท่งโลหะทม่ี อี ณุ หภูมิตำ่ กว่าได้ 3. ความเหนียว โลหะตีแผ่เป็นแผ่นหรือดึงออกเป็นเส้นได้ เพราะไอออนบวก แต่ละไอออนอยู่ในสภาพเหมือนกัน ๆ กัน และได้รับ แรงดึงดูดจากประจุลบเท่ากันท้ังแท่งโลหะ ไอออนบวกจึงเล่ือนไถลผ่านกันได้โดยไม่หลุดจากกัน เพราะมีกลุ่มขออง อเิ ลก็ ตรอนทำหนา้ ท่คี อยยดึ ไอออนบวกเหล่าน้ีไว้ 4. ความมันวาว โลหะมีผิวเป็นมันวาว เพราะกลุ่มของอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ได้ โดยอิสระจะรับและกระจายแสงออกมา จึงทำให้ โลหะสามารถสะท้อนแสงซง่ึ เปน็ คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ได้ 5. จุดหลอมเหลว โลหะมีจุดหลอมเหลวสูง เพราะพันธะในโลหะ เป็นพันธะที่เกิดจากแรงยึดเหน่ียวระหว่างวาเลนซ์อิเล็กตรอนอิสระ ทัง้ หมดในกอ้ นโลหะกบั ไอออนจงึ เป็นพันธะ ทแ่ี ข็งแรงมาก

3.2 สมบตั ิวัสดพุ อลเิ มอร์ ชนิดของสมบัติของพอลิเมอร์แบ่งอย่างกว้างๆได้เป็นหลายหมวดขึ้นกับความละเอียด ในระดับนาโนหรือไมโครเป็น สมบัติที่อธิบายลักษณะของสายโดยตรงโดยเฉพาะโครงสร้างของพอลิเมอร์ ในระดับกลาง เป็นสมบัติท่ีอธิบาย สณั ฐานของพอลิเมอร์เมื่ออยู่ในท่วี ่าง ในระดับกว้างเป็นการอธิบายพฤติกรรมโดยรวมของพอลเิ มอร์ ซง่ึ เป็นสมบัติใน ระดับการใช้งาน 1. จดุ หลอมเหลว จุดหลอมเหลวท่ีใชก้ บั พอลเิ มอร์ไม่ใช่การเปลยี่ นสถานะ จากของแข็งเป็นของเหลวแต่เปน็ การเปลี่ยนจากรูปผลึกหรือ ก่ึงผลกึ มาเป็นรูปของแข็ง บางคร้ังเรียกว่าจดุ หลอมเหลวผลึก ในกลุ่มของพอลิเมอร์สังเคราะห์จดุ หลอมเหลวผลึกยัง เป็นท่ี ถกเถียงในกรณีของเทอร์โมพลาสตกิ เช่นเทอรโ์ มเซตพอลิเมอร์ ท่สี ลายตัวในอณุ หภมู สิ ูงมากกวา่ จะหลอมเหลว 2. พฤติกรรมการผสม โดยท่ัวไปส่วนผสมของพอลิเมอร์มีการผสมกันได้น้อยกว่า การผสมของโมเลกุลเล็กๆผลกระทบน้ีเป็นผลจากแรง ขับเคล่ือนสำหรับการผสมท่ีเป็นแบบระบบปิด ไม่ใช่แบบใช้พลังงาน หรืออีกอย่างหน่ึง วัสดุท่ีผสมกันได้ท่ีเกิดเป็น สารละลายไม่ใช่เพราะปฏิสัมพันธ์ระหว่างโมเลกุลที่ชอบทำปฏิกิริยากัน แต่เป็นเพราะการเพิ่มค่าเอนโทรป้ีและ พลังงานอิสระท่ีเก่ียวข้องกับ การเพิ่มปริมาตรที่ใช้งานได้ของแต่ละส่วนประกอบ การเพ่ิมข้ึนในระดับเอนโทรป้ี ขนึ้ กบั จำนวนของอนภุ าคท่นี ำมาผสมกนั 3. การแตกกงิ่ การแตกกิ่ง ของสายพอลิเมอร์มีผลกระทบต่อสมบัติทั้งหมดของพอลิเมอร์ สายยาวที่แตกกิ่งจะเพิ่มความเหนียว เนื่องจากการเพิ่มจำนวนของความซับซ้อนต่อสาย ความยาวอย่างสุ่ม และสายส้ันจะลดแรงภายในพอลิเมอร์เพราะ การรบกวนการจัดตัวโซ่ข้างส้ัน ๆ ลดความเป็นผลึกเพราะรบกวนโครงสร้างผลึก การลดความเป็นผลึกเกี่ยวข้องกับ การเพิม่ ลักษณะโปรง่ ใสแบบกระจกเพราะแสงผา่ นบรเิ วณที่เปน็ ผลกึ ขนาดเล็ก 4. การนำความร้อน การนำความร้อนของพอลิเมอร์ ส่วนใหญ่มีค่าต่ำ ด้วยเหตุนี้วัสดุพอลิเมอร์จึงถูกนำมาใช้เป็นฉนวนทางความร้อน เนอื่ งจากคา่ การนำความร้อนต่ำเช่นเดียวกบั วัสดุ เซรามิกส์ โดยสมบัตคิ วามเป็นฉนวนของพอลิเมอรจ์ ะสงู ข้นึ จากโครงสรา้ งที่มลี กั ษณะเปน็ รูอากาศเล็ก ๆ ท่ีเกิดจากกระบวนการเกิด polymerization เช่น โฟมพอลีไสตรีนหรือที่เรียกว่า Styrofoam ซ่ึงมัก ถูกนำมาใช้เปน็ ฉนวนกนั ความร้อน

3.3 สมบัติวสั ดเุ ซรามกิ ส์ วัสดุเซรามิกส์ เป็นสารอนินทรีย์ที่ประกอบด้วยธาตุที่เป็นโลหะและธาตุท่ีเป็นอโลหะรวมตัวกันด้วยพันธะเคมี ท่ียึด จบั ตัวกันจากการผ่านกระบวนการผลิตที่อุณหภูมิสูง วัสดุเซรามิกส์มีโครงสร้างเป็นได้ท้ังแบบมีรูปร่างผลึก และไม่มี รูปร่างผลึกหรือเป็นของผสมของทง้ั สองแบบ 1. การนำความรอ้ น การนำความร้อนของเซรามิกส์ จะเป็นฉนวนความร้อนมากขึ้นตามจำนวนอิเล็กตรอนอิสระที่ลดลง ค่าการนำความ ร้อนของวัสดุเซรามิกอยู่ในช่วงประมาณ 2 ถึง 50 วัตต์ต่อเมตรเคลวิน เม่ืออุณหภูมิสูงขึ้นการกระเจิงจากการส่ันของ ผลึกจะมากขึ้น ทำให้การนำความร้อนของวัสดุเซรามิกส์ลดลง แต่ค่าการนำความร้อนจะกลับเพ่ิมขึ้นอีกคร้ังท่ี อุณหภูมิสูง ทั้งน้ี เน่ืองจากการถ่ายเทความร้อนของรังสีอินฟราเรด จำนวนหนึ่งจะสามารถทำให้ความร้อนถ่ายเท ผ่านวัสดุเซรามิกส์โปร่งใสได้ โดยประสิทธิภาพการนำความร้อนของกระบวนการนี้จะเพิ่มข้ึนตามอุณหภูมิที่สูงข้ึน สมบัติด้านการเป็นฉนวนควบคู่ไปกับการทนความร้อนสูง ๆ และทนต่อการขัดสี ทำให้เซรามิกส์หลายชนิดสามารถ นำไปใช้บุผนังเตาเผาท่ีอุณหภูมิสูงเพ่ือหลอมโลหะ เช่น เตาหลอมเหล็กกล้า การนำเซรามิกส์ไปใช้งานทางอวกาศ นับว่ามีความสำคัญมาก คือ ใช้กระเบ้ืองเซรามิกส์บุผนังกระสวยอวกาศ (space shuttle) วัสดุเซรามิกส์เหล่าน้ี ช่วยกันความร้อนไม่ให้ผ่านเข้าไปถึงโครงสร้างอะลูมิเนียมภายในกระสวยอวกาศเม่ือขณะบินออก และกลับเข้าสู่ บรรยากาศของโลกซง่ึ มอี ุณหภูมิสงู ถงึ 800 องศาเซลเซียส 2. ความเหนียวของเซรามิกส์ เนือ่ งจากพนั ธะท่ีเกดิ ข้นึ ภายในโครงสรา้ งของเซรามกิ เปน็ พันธะแบบ ไอออนิก – โคเวเลนต์ ดังน้นั วัสดุเซรามิกสจ์ ะมีความเหนียว (toughness) ทต่ี ่ำ มงี านวิจัยมากมายท่ีพยายามค้นคว้า เพื่อ ปรับปรุง ความเหนียวของเซรามิกส์ อาทิเช่น การทำอัดด้วยความร้อน (hot pressing) และเติม สารเคมีบาง ชนิดเพ่ือให้เกิดพันธะขึ้น การทดสอบความต้านทานต่อการขยายตัวของรอยแตก (fracture – toughness tests) กบั วัสดเุ ซรามิกสเ์ พ่ือหาคา่ ความสามารถกระทำไดเ้ ช่นเดยี วกบั ในโลหะ

ใบความรทู้ ่ี 3 เรอื่ ง การใชป้ ระโยชนแ์ ละผลกระทบจากวัสดุ การใชป้ ระโยชนจ์ ากวสั ดุ มนุษย์มีความผูกพันกับวสั ดุศาสตร์มาเปน็ เวลาช้านาน หรืออาจกล่าวไดว้ ่า“วัสดุศาสตร์อยู่รอบตัวเรา” ซ่ึงวัตถุต่างๆ ล้วนประกอบขึ้นจากวัสดุ โดยเราสามารถพัฒนาสมบัติของวัสดุให้สามารถใช้งานในด้านต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน สามารถจำแนกไดเ้ ปน็ 3 ประเภท ได้แก่ โลหะ พอลิเมอร์ และเซรามิกส์ 1.1 วัสดุประเภทโลหะ โลหะทน่ี ิยมนำมาใชใ้ นงานอุตสาหกรรมสามารถแบง่ เป็นกลมุ่ ใหญ่ ๆ 3 ประเภท ได้แก่ 1) โลหะจำพวกเหล็ก (Ferrous metal) เป็นโลหะที่มีแหล่งท่ีมาจากสินแร่เหล็ก ซึ่งเป็นแร่มีปริมาณมากบน พนื้ ผวิ โลกและมกี ารนำมาใชป้ ระโยชนค์ ดิ เปน็ ปริมาณมากทสี่ ดุ 2) โลหะนอกกลมุ่ เหล็ก (Nonferrous metal) สามารถแบ่งเปน็ ประเภท ยอ่ ย ๆ ได้ 3 ชนดิ คือ กลุ่มโลหะพนื้ ฐาน เปน็ โลหะที่มแี หล่งกำเนิดเป็นแร่ประเภทออกไซด์หรือซัลไฟด์ซ่ึงมีกระบวน ถลงุ เอาโลหะออกมาได้งา่ ย เช่น ทองแดง ตะกว่ั สงั กะสี ดบี ุก พลวง เป็นต้น กลุ่มโลหะหนัก เป็นโลหะที่มีความหนาแน่นสูงกว่า 5 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร เช่น แทนทาลัม ไทเทเนียม แคดเมียม ปรอท โครเมียม แมงกานสี นิกเกิล เป็นต้น และกลุ่มโลหะเบา ซึ่งเป็นโลหะทม่ี ีความหนาแน่น น้อยกว่า 5 กรมั ตอ่ ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร เช่น อะลมู ิเนียม แมกนเี ซียม เบริลเลียม เป็นตน้ 3) โลหะมีค่า (Precious metal) เป็นโลหะท่ีมีสีสันสวยงามและคงทน จึงนิยมใช้ทำเป็นเคร่ืองประดับ เช่น ทองคำ เงนิ และแพลทินัม นอกจากนโี้ ลหะมีค่ายังมคี วามสำคญั ในดา้ นทนุ สำรองเงนิ ตราระหว่างประเทศ เนอ่ื งจากมลู ค่าของโลหะประเภทนี้ มแี นวโน้มเพมิ่ ข้ึนอย่างต่อเนื่อง เน่ืองดว้ ยโลหะมีคุณสมบัติท่ีดีมากมายหลายประการจงึ ทำให้ความตอ้ งการใช้โลหะมเี พ่มิ มากขึน้ มาโดย ตลอด ดงั จะเห็นไดจ้ ากปจั จบุ นั ที่โลหะเขา้ มาเป็นส่วนหนึ่งในชวี ติ ประจำวันของมนุษย์จนขาดไม่ได้ ทั้ง เครอ่ื งใช้ครัวเรือน ภาชนะบรรจภุ ัณฑ์ เครอ่ื งประดบั เฟอรน์ ิเจอร์ อปุ กรณไ์ ฟฟ้าอเิ ล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะ ส่ิงกอ่ สร้าง ผลงานศลิ ปะ หรือแมก้ ระท่ังอาวธุ ยทุ โธปกรณ์ ก็ลว้ นแตท่ ำขนึ้ ด้วยมีโลหะเปน็ ส่วนประกอบท้งั สิน้ โลหะสามารถนำมาใชป้ ระโยชน์ทง้ั ในรูปของโลหะบรสิ ทุ ธ์ิ โลหะผสมประเภทตา่ งๆ และสารประกอบโลหะ

การใช้ประโยชน์ของโลหะชนิดตา่ ง ๆ 1. เหล็ก เหล็กเป็นแร่ธาตุโลหะท่ีมีอยู่บนพื้นผวิ โลกมากที่สุด เป็นอันดับสองรองจากอะลูมิเนียม มนุษยไ์ ดค้ ิดค้นวิธีการถลุงแร่ เหล็กมาเป็นเวลานานกว่า 3,500 ปี โดยในยุคเร่ิมแรกได้นำมาใช้เพื่อการสงคราม และด้วยคุณสมบัติที่ดีหลาย ประการโดยเฉพาะดา้ นความแข็งแรงสงู และมีราคาถกู ทำใหป้ จั จุบนั เหล็กนับเป็นโลหะทม่ี กี ารนำมาใชป้ ระโยชน์มาก ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการผลิตเหล็กคิดเป็นร้อยละ 95 ของปริมาณการผลิตโลหะท้ังหมด สำหรับทาง อุตสาหกรรมมีการนำเหล็กมาใช้อยา่ งแพร่หลายในรปู ของเหลก็ หล่อ (Cast iron) และเหล็กกลา้ (Steel) การใช้ประโยชน์ของโลหะเหล็ก เหล็กมีการนำไปใช้ประโยชน์มากมายนับตั้งแต่การใช้เป็นวัสดุสำหรับงานก่อสร้างต่างๆ เช่น โครงสร้างอาคาร เสา คาน หลังคา สะพาน เสาไฟฟ้าแรงสูง เป็นต้น ในอุตสาหกรรมคมนาคมขนส่งก็มีการใช้เหล็กเป็นวัสดุสำหรับผลิต ยานพาหนะต่างๆ เช่น รถยนต์ รถบรรทุก รถไฟ เรือเดินสมุทร และเคร่ืองบิน นอกจากน้ีของใช้ต่างๆ ใน ชวี ติ ประจำวันของเราก็ล้วนมสี ว่ นประกอบท่ที ำจากเหลก็ ท้งั ส้นิ ไม่วา่ จะเป็นต้เู ยน็ เครอ่ื งปรับอากาศ พัดลม นาฬิกา เคร่อื งซกั ผา้ หมอ้ หงุ ขา้ ว กระทะ เตาแกส๊ ถังแกส๊ เตารีด โตะ๊ เก้าอี้ มุ้งลวด ท่อน้ำ ชอ้ น สอ้ ม มีด ฯลฯ 2. ดบี กุ ดีบุกเป็นโลหะสีขาวซ่ึงมีการนำมาใช้ประโยชน์เป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากดีบุกสามารถผสมเป็นเน้ือเดียวกับ ทองแดงได้ดี การใช้งานในช่วงแรกจึงเป็นการผลิตโลหะผสมระหว่างดีบุกกับทองแดงหรือท่ีเรียกว่า โลหะสัมริด (Bronze) ซึง่ มีการใช้ค้นพบมาตั้งแต่ประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล ดีบุกจัดเป็นโลหะที่มีลักษณะเด่นคือ มีความ ออ่ นตัวสูง มีความตา้ นทานต่อการกัดกร่อนสงู และมคี ณุ สมบตั ิดา้ นหล่อลื่นดี การใชป้ ระโยชน์ของโลหะดีบกุ โลหะดีบุกเป็นโลหะอ่อนจึงไม่ใช้ดีบุกในการผลิตชิ้นส่วนจักรกล แต่ด้วยคุณสมบัติเด่นท่ีมีความทนทานต่อการกัด กร่อนของกรดและสารละลายต่าง ๆ ทนต่อการเป็นสนิม มีความเงางาม สวยงาม และไม่ก่อให้เกิดสารพิษท่ีเป็น อันตรายต่อร่างกาย จึงนิยมใช้ในการเคลือบแผ่นเหล็กเพ่ือผลิตเป็นภาชนะบรรจุอาหารและเครื่องด่ืม ดีบุกเม่ือรีด เปน็ แผ่นบาง ๆ สามารถนำไปใชห้ ่อสง่ิ ของต่าง ๆ เพื่อป้องกนั ความชื้นได้ดี นอกจากน้ีโลหะดีบุกยงั มคี ณุ สมบัติในการ ผสมเป็น เน้ือเดียวกับโลหะอ่ืนได้ดี จึงสามารถผลิตเป็นโลหะดีบุกผสมท่ีมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการใช้งานได้อย่าง กว้างขวาง เช่น โลหะดีบุกผสมตะกั่ว พลวง หรือสังกะสี ที่ใช้ในการผลิตโลหะบัดกรีสำหรับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เคร่ืองใช้ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์ โลหะดีบุกผสมตะกั่วเพื่อใช้ผลิตหม้อน้ำรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ โลหะดีบุก

ผสมทองแดงที่ใช้ในการผลิตทองสัมฤทธิ์เพ่ือทำระฆังและศิลปะวัตถุต่าง ๆ โลหะดีบุกผสมเงิน ทองแดง และปรอท ใช้สำหรบั อดุ ฟันและงานทันตกรรม นอกจากนยี้ ังใช้ทำโลหะดีบุกผสมทองแดงและพลวงหรือที่ เรียกว่า พิวเตอร์ (Pewter) ซึ่ง นิยมนำไปผลิตเป็นเคร่ืองใช้ เคร่ืองประดับตกแต่ง ของที่ระลึก ตลอดจนการชุบเคลือบต่าง ๆ อีกด้วย โลหะดีบุกท่ี สำคัญอีกชนิดหนึ่งท่ีใช้ทำเป็นโลหะแบร่ิง มีชื่อว่า Babbit เป็นโลหะท่ีประกอบดว้ ย ดีบุก พลวง ทองแดง และอาจมี ตะกั่วผสมอีกเล็กน้อย โลหะผสมชนิดนี้มีโครงสร้างพ้ืนฐานท่ีอ่อนและมีสัมประสิทธ์ิความฝืดต่ำทำให้เหมาะที่จะใช้ เปน็ โลหะแบรง่ิ 3. ตะกั่ว ตะก่ัวเป็นทรี่ ู้จกั มานานต้ังแต่ 3,500 ปีกอ่ นครสิ ตกาล ในอียิปต์สมัยโบราณมีการใช้แรต่ ะก่ัวเป็นเคร่ืองสำอางสำหรับ ทาตา โลหะตะกวั่ กน็ ับเปน็ โลหะชนิดหนึง่ ทม่ี ีการใช้มานานท่สี ุด การค้นพบโลหะตะก่ัวเกดิ ขึ้นโดยบังเอิญ โดยขณะที่ มีการก่อกองไฟบนแร่ท่ีมสี ่วนผสม ของตะกว่ั ได้เกดิ มีโลหะตะกั่วหลอมเหลวไหลออกมาบริเวณกองไฟนนั้ เนื่องจากตะกั่วมี จดุ หลอมเหลวตำ่ จึงสามารถสกัดเอาโลหะออกจากแรไ่ ดโ้ ดยง่ายด้วยอณุ หภูมทิ ี่ไมส่ ูงนัก ชาวโรมนั โบราณเร่มิ นำโลหะตะกว่ั มาใช้อย่างจรงิ จงั สำหรบั ผลิตเป็นภาชนะและท่อน้ำ ซง่ึ ยังคงหลกั ฐานอย่จู นกระทั่ง ปัจจุบัน นับจากน้ันก็ได้มีการใช้ประโยชน์จากโลหะตะก่ัวอย่างแพร่หลายจนจัดเป็นโลหะที่มีการใช้มากที่สุดเป็น อนั ดับหา้ รองจาก เหล็ก อะลมู เิ นียม ทองแดง และสังกะสี การใชป้ ระโยชนข์ องโลหะตะกวั่ โลหะตะก่วั เป็นมีคณุ สมบตั ิเด่นคือ มหี ลอมเหลวตำ่ มีความหนาแน่นสงู มคี วาม ออ่ นตวั สงู ความแขง็ แรงอยูใ่ นเกณฑ์ ตำ่ มคี ุณสมบัตหิ ลอ่ ลนื่ และต้านทานการกัดกร่อนได้ดี การใชป้ ระโยชนโ์ ลหะตะกัว่ ส่วนใหญ่จะใช้ในอตุ สาหกรรมทำ แบตเตอรร่ี ถยนต์ ใชเ้ ปน็ สารประกอบตะกว่ั สำหรับผสมทำสี ใช้ทำลกู กระสุนและยทุ ธภัณฑ์ ใช้ทำฉากก้ันเพ่ือป้องกัน รังสีต่าง ๆ เช่น รังสีเอ็กซ์ รังสีเบต้า รังสีแกมมา เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้เป็นธาตุผสมกับโลหะทองแดงและเหล็ก เพ่ือเพ่ิมคุณสมบัติด้านการกลึงหรือตัด ซึ่งการนำตะก่ัวไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ทั้งสภาพโลหะและสารเคมีท่ี สำคญั มีดงั น้ี 1) แบตเตอรี่ โลหะตะกั่วใช้มากท่สี ดุ ในการผลติ แบตเตอรี่ ซงึ่ ประกอบดว้ ย แผน่ ข้ัวและห่วงยดึ แบตเตอรี่ แบตเตอรท่ี ีใ่ ช้ในรถยนต์จะมีตะกัว่ ประมาณ 9 - 12 กโิ ลกรมั 2) เปลอื กเคเบิล ใชต้ ะก่ัวหุ้มสายเคเบิลไฟฟ้าและสื่อสารที่อยู่ใต้ดินและใตน้ ้ำ เพ่ือป้องกันความเสียหายจากความช้ืน และการกดั แทะของหนู ซงึ่ ช่วยใหไ้ มเ่ กดิ การขัดขอ้ งในระบบไฟฟ้าและการส่อื สาร

3) ตะกั่วแผ่น เน่ืองจากตะก่ัวมีคุณสมบัติต้านทานการกัดกร่อน จึงใช้ตะก่ัวแผ่นเป็นวัสดุก่อสร้างท่ีสำคัญใน อตุ สาหกรรมเคมี และการก่อสร้างอาคาร แผน่ กั้นรังสีต่าง ๆ รวมท้ังการใช้ตะกั่วแผ่นรว่ มกับแอสเบสทอสและเหล็ก สำหรับปูใต้ฐานตกึ เพอ่ื ป้องกนั การสั่นสะเทือนและควบคุมเสียงสำหรับรถไฟใต้ดนิ 4) ท่อตะก่ัว เน่ืองจากตะกว่ั มีคุณสมบัติตา้ นการกัดกัดกร่อน ดัดงองา่ ย และแปรรูปด้วยการอัดรีดงา่ ย จึงใช้ทำท่อไร้ ตะเข็บสำหรบั อตุ สาหกรรมเคมแี ละระบบทอ่ ส่งน้ำ 5) โลหะบัดกรี จากคุณสมบัติจุดหลอมเหลวต่ำและราคาถูก จึงใช้เจือกับดีบุกเป็นโลหะบัดกรี (อัตราส่วนดีบุกต่อ ตะกั่ว 60-40 หรือ 70-30) เพื่อเชื่อมช้ินงานโลหะให้ติดกัน โลหะบัดกรีบางชนิดอาจผสมธาตุอ่ืน เช่น พลวงและเงิน เข้าไปเพ่ือเพ่ิมความแข็งแกร่งและตา้ นทานการกัดกรอ่ น 6) โลหะตัวพิมพ์ท่ีใช้ในอุตสาหกรรมการพิมพ์ เป็นโลหะผสมระหว่างตะก่ัว พลวง และดีบุก โดยตะกั่วช่วยให้มีจุด หลอมตัวต่ำและหล่อได้ง่าย พลวงช่วยเพิ่มความแข็งแรงต้านทานแรงกดและการสึกหรอ ลดอุณหภูมิหล่อ และลด การหดตัวตัวพิมพ์ สำหรบั ดีบุกช่วยให้หลอ่ ได้งา่ ย ลดความเปราะ และช่วยให้ตัวพมิ พ์มลี วดลายละเอยี ด 7) โลหะผสมตะกวั่ - ดีบุก (มีดีบุก 8-12%) ใช้ในการเคลือบผิวแผ่นเหล็ก เพ่ือเพิ่มความแข็งแรงและตา้ นทานการกัด กรอ่ น นิยมใชท้ ำถังบรรจนุ ้ำมันรถยนต์ อุปกรณก์ รอง และ มงุ หลังคา 8) ฟิวส์ระบบตัดไฟอัตโนมัติ อาศยั คณุ สมบัติท่ีมีจุดหลอมเหลวตำ่ จึงทำให้ตะกั่วหลอมละลายเม่ือมีกระแสไฟฟ้าไหล ผา่ นมากเกนิ ทกี่ ำหนดไว้ในระบบ 9) รงควตั ถุ ใช้สำหรับเป็นสีสำหรับทาเพื่อป้องกันสนมิ ให้เหล็กและเหลก็ กลา้ และใชท้ าสเี ครื่องหมายบนทางเท้า

ใบความรทู้ ี่ 4 เรอื่ ง มลพษิ จากการผลติ และการใช้งาน มลพษิ จากการผลติ อตุ สาหกรรมการผลติ โลหะ พอลิเมอร์ และเซรามกิ ส์ส์ จัดเปน็ อตุ สาหกรรม ขนั้ พื้นฐานของประเทศไทยท่ีมีบทบาทสำคัญของประเทศ เน่อื งจากโลหะ พอลิเมอร์ และ เซรามกิ ส์ เปน็ วตั ถดุ บิ พื้นฐานสำหรับอตุ สาหกรรม เช่น อตุ สาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรม ยานยนต์ อตุ สาหกรรมเครอ่ื งใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมการผลติ เครอื่ งใชใ้ นครวั เรอื น เปน็ ตน้ กระบวนการผลิตของอตุ สาหกรรมเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทสี่ ำคัญ ทง้ั มลพษิ ทางอากาศ กากของเสียและน้ำเสยี ซ่ึงสามารถกอ่ ให้เกิดผลกระทบต่อมนุษยแ์ ละส่ิงแวดล้อมได้ หากมีการจัดการไม่ เหมาะสม 2.1 สาเหตทุ ท่ี ำให้เกดิ มลพษิ จากการผลิต 1) กระบวนการหลอมและเกิดมลพษิ กระบวนการหลอม เป็นการนำวัตถุดิบท้ังในรูปวัสดุใหม่และเศษวัสดุที่ใช้แล้วมาให้ความร้อนเพื่อให้หลอมละลาย และทำการปรับปรุงคุณภาพด้วยสารตา่ ง ๆ มลพษิ หลกั ท่เี กิดขึ้นในกระบวนการหลอม คือ ฝ่นุ ควนั ไอโลหะ และก๊าซพษิ ตา่ ง ๆ 2) กระบวนการหล่อและเกดิ มลพษิ กระบวนการหล่อ สามารถทำได้ 2 ลักษณะ คอื การหลอ่ โดยใช้เครื่องหล่อแบบต่อเน่ือง และการหล่อในแมแ่ บบชนิด ตา่ ง ๆ ในการหลอ่ ช้นิ งานในแมแ่ บบ วัสดุเหลวจะถกู เทใส่ในแมแ่ บบ แลว้ ปลอ่ ย ใหแ้ ข็งตัวระยะหนึ่ง จากนั้นร้ือแบบแยกออกเอาช้ินงานออกแบบหล่อ แล้วเอาไปทำความสะอาดตกแต่งชิ้นงานให้ได้ คุณภาพตามต้องการ มลพิษหลัก ๆ ท่เี กดิ ข้นึ ในกระบวนการหล่อทั้งสองลกั ษณะจะเกดิ ข้ึน ในระหวา่ งการหล่อ แต่สำหรับการหล่อโลหะบางชนดิ จะเกดิ มลพษิ ในระหวา่ งการทำแม่แบบ ไส้แบบและการนำชิ้นงานออกจากแบบหลอ่ ซ่งึ ควรมีการจดั การอย่างเหมาะสมเชน่ เดียวกัน 44

3) กระบวนการหลอ่ และเกดิ มลพษิ การรีดมักใช้อุตสาหกรรมโลหะ เป็นการนำแทง่ โลหะผา่ นการรีดลดขนาด ท่ีวางต่อกันหลายชุดจนได้ขนาดตามต้องการ ซึ่งการรีดโลหะมีท้ังการรีดร้อนและรีดเย็นข้ึนอยู่กับผลิตภัณฑ์ท่ี ต้องการ มลพษิ ท่เี กิดขึน้ โดยทัว่ ไปในกระบวนการรดี ร้อนคือ ฝนุ่ ควัน ไอโลหะ ก๊าซพษิ และน้ำเสยี 4) กระบวนการสนบั สนุนการผลิตและเกดิ มลพษิ ระบบสนับสนุนการผลิตที่สำคัญระบบหน่ึงคือ ระบบหล่อเย็น ซ่ึงหากระบบหล่อเย็นเกิดขัดข้อง กระบวนการผลิต บางสว่ นอาจหยุดการผลิตลง ซง่ึ ทำใหเ้ กิดความเสยี หายกบั โรงงานได้ มลพิษท่ีเกิดข้ึนโดยทั่วไปในกระบวนสนับสนุนการผลิตคือมลพิษทางอากาศ และน้ำเสียจากน้ำหล่อเย็น ซ่ึงอาจใช้ เพยี งครง้ั เดียวแลว้ ระบายท้ิง 2.2 สาเหตทุ ่ีทำใหเ้ กิดมลพิษจากการใชง้ าน 1) จำนวนประชากรท่ีเพิ่มมากขึ้น เมื่อมีประชากรเพิ่มมากข้ึน ความต้องการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิถกี ารดำเนิน ชวี ิตประจำวัน กม็ ากขึน้ ไมว่ า่ จะอยู่ในรปู ของสนิ ค้า เคร่ืองใช้ไฟฟ้า เครอ่ื งใช้ในครัวเรือน ดังนัน้ จำนวนวสั ดุที่ใช้แล้ว จึงเพมิ่ ทวีคูณมากขึ้นเร่อื ย ๆ 2) คนทัว่ ไปไมม่ คี วามรู้ ความเข้าใจ ในการจดั การกับเศษวสั ดุที่ใชแ้ ล้ว ส่วนใหญม่ ักจัดการกบั เศษวสั ดดุ ว้ ยวธิ ีการเผาซง่ึ เป็นสาเหตใุ หเ้ กดิ มลพษิ ทางอากาศ 3) ความมักง่ายและขาดจิตสำนึก ไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้น เช่น การทิ้งเศษวัสดุใช้แล้วลงแม่น้ำลำคลอง เป็น สาเหตใุ หเ้ กิดนำ้ เสยี 4) การผลิตหรือใช้ส่ิงของมากเกินความจำเป็น เช่น การผลิตสินค้าที่มีกระดาษหรือพลาสติกหุ้มหลายชั้น การซ้ือ สินคา้ โดยหอ่ แยกและใส่ถุงพลาสติกหลายถงุ ทำให้เศษวสั ดุใชแ้ ล้วมีปริมาณมากขึ้น

ใบความร้ทู ี่ 5 เรอ่ื ง ผลกระทบตอ่ ส่ิงมีชวี ติ และสง่ิ แวดลอ้ ม ในปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทและ ความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก ทั้ง ภายในบ้าน และภายนอกบ้าน เพ่ืออำนวยความสะดวกสบาย ในชีวิตประจำวนั เช่น การทำงานบา้ น การคมนาคม การส่ือสาร การแพทย์ การเกษตร และ การอุตสาหกรรม เป็นต้น ซ่ึงความเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเน่ืองของเทคโนโลยีช่วยพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ มนษุ ย์ อยา่ งไรก็ตาม แมเ้ ทคโนโลยีจะเข้ามามบี ทบาทตอ่ มนษุ ย์ แต่ หลายครั้งเทคโนโลยีเหล่าน้นั กส็ ่งผลกระทบตอ่ ชวี ติ และสงิ่ แวดล้อมในด้านต่าง ๆ ได้แก่ 3.1 ดา้ นสุขภาพ มลพิษในอากาศ (air pollution) หมายถึง ภาวะของอากาศท่ีมีสารมลพิษเจือปนอยู่ในปริมาณ และเป็นระยะเวลา ทจี่ ะทำใหเ้ กิดผลเสียต่อสขุ ภาพอนามัยของมนษุ ย์ สารมลพษิ ดงั กลา่ ว อาจเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ หรือเกดิ จากการกระทำของมนุษย์ อาจอยู่ ในรูปของก๊าซ หยดของเหลว หรืออนุภาคของแข็งก็ได้ สารมลพิษในอากาศที่สำคัญ และมีผลกระทบต่อสุขภาพ อนามัย ได้แก่ ฝุ่นละออง สารตะก่ัว ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน กา๊ ซโอโซน และสารอนิ ทรยี ร์ ะเหยงา่ ย เป็นต้น มลพษิ ในอากาศท่มี ผี ลกระทบต่อสขุ ภาพ 1. ฝนุ่ ละออง เป็นมลพิษในอากาศที่เป็นปัญหาหลักในกรุงเทพมหานคร และชุมชนขนาดใหญ่ จากการ วจิ ัย พบว่าฝุ่นละอองท่ีก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็ก ที่มีขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน โดยฝุ่นละออง ขนาดเล็กน้ี สามารถเข้าไปในระบบทางเดินหายใจผ่านโพรงจมูกเข้าไปถึงถุงลมในปอด ทำให้เกิดการอักเสบ และ การระคายเคืองเรื้อรัง และฝุ่นละอองจะมีพิษมากขึ้น หากฝุ่นละอองน้ันเกิดจากการรวมตัวของก๊าซบางชนิด เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ออกไซด์ของไนโตรเจนเข้าไปในอนุภาคของฝุ่น โดยก่อให้เกิดการแพ้ และระคายเคืองผิวหนัง ทางเดินหายใจ และดวงตาได้ 2. สารตะกั่ว มีฤทธ์ิทำลายระบบประสาท และมีผลต่อกระบวนการรับรู้ และการพัฒนาสติปัญญาของ มนุษย์ 46 3. ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ มีความสามารถในการละลายในเลือดได้ดีกว่าออกซิเจนถึง 200 - 250 เท่า เมื่อหายใจเอาก๊าซชนิดนเี้ ขา้ ไป จะไปแยง่ จบั กบั ฮโี มโกลบิน

ในเลือด เกิดเป็นคาร์บอกซีฮีโมโกลบิน ทำให้ความสามารถของเลือดในการเป็นตัวนำออกซิเจนจากปอดไปยัง เนื้อเย่ือต่าง ๆ ลดลง ทำให้เลือดขาดออกซิเจนไปเล้ียงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย และหัวใจทำงานหนักขึ้น หากมนุษย์ ได้รับก๊าซน้ีในปรมิ าณมาก จะทำให้ร่างกายเกดิ ภาวะ ขาดออกซิเจน และจะเป็นอนั ตรายถึงแกช่ ีวติ ได้ 4. ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ มีฤทธิ์กัดกร่อน ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง และ เย่ือบุตา ทำให้เกิดการแสบจมูก, หลอดลม, ผิวหนัง และตา เมื่อหายใจเอาก๊าซชนิดนี้เข้าไป จะทำให้ก๊าซละลายใน ของเหลวในระบบทางเดินหายใจ เกิดเป็นกรดซัลฟิวริก ซึ่งจะกัดกร่อนเย่ือบุ และอวัยวะในระบบทางเดินหายใจ หากไดร้ ับเป็นเวลา นาน ๆ จะทำให้เป็นโรคจมกู และหลอดลมอักเสบเร้อื รังได้ 5. ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน เน่อื งจากจมกู เป็นส่วนตน้ ของระบบทางเดินหายใจ เม่อื ผปู้ ว่ ยโรคจมูกอักเสบ ภมู ิแพ้ มอี าการคดั จมูก จะทำให้เกิดปัญหาการอุดก้ันทาง เดินหายใจขณะหลับได้ อาจเป็นมากถึงเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับตามมาได้ นอกจากน้ัน การท่ีลมว่ิงผ่านช่อง จมกู ที่แคบ อาจทำใหม้ เี สยี งดงั ได้ 6. ก๊าซโอโซน มีฤทธ์ิกัดกร่อน ก่อให้เกิดการระคายเคืองตา และเย่ือบุระบบทางเดินหายใจ เกิดการอักเสบ ของเน้ือเยือ่ จมูก และปอด ทำให้ความสามารถของปอดในการรับก๊าซออกซิเจนลดลง อาจเกิดโรคหืด โดยเฉพาะใน เดก็ และมีอาการเหน่ือยงา่ ย และเร็ว ในคนชรา และคนท่เี ป็นโรคปอดเรื้อรงั หรอื โรคหดื จะมอี าการมากขน้ึ กวา่ เดมิ 7. สารอินทรีย์ระเหยง่าย มีผลโดยตรงต่อระบบทางเดินหายใจ โดยทำให้เกิดการอักเสบ และการระคายเคืองเรื้อรัง นอกจากนี้สารบางชนิดเป็นสารก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ และเสี่ยงต่อการก่อมะเร็ง เช่น อะโรเมติก ไฮโดรคาร์บอน (polycyclic aromatic hydrocarbons,PAHs) เบนซนี และไดออกซิน เกิดจากการเผาไหม้ท่ีไมส่ มบรู ณ์ มลพิษในอากาศกับโรคภมู แิ พข้ องระบบทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ เป็นโรคท่ีพบบ่อย โดยมีอุบัติการณ์ร้อยละ 30-40 ท่ัวโลก ซึ่งมีผู้ป่วยถึง 400 ล้านคนท่ีเป็นโรค จมูกอักเสบภูมิแพ้ หรือโรคแพ้อากาศ และมีผู้ป่วยถึง 300 ล้านคนท่ีเป็นโรคหืด อุบัติการณ์ของโรคจมูกอักเสบ ภมู แิ พ้ ในประเทศไทยพบว่า มผี ้ปู ่วยผู้ใหญถ่ งึ รอ้ ยละ 20 และมีผูป้ ่วยเดก็ ถึงร้อยละ 40 ขณะท่ีอบุ ตั ิการณ์ของโรคหืด มีประมาณร้อยละ 10 ดังนั้นจะมีผู้ป่วย 10 - 15 ล้านคนในประเทศไทย ท่ีป่วยเป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ และจะมี ผู้ปว่ ย 3 - 5 ลา้ นคน ท่ีเปน็ โรคหดื อบุ ตั กิ ารณ์ของโรคภมู แิ พ้ท้งั 2 ชนิดนนี้ ี้มแี นวโนม้ สูงขึน้ เรือ่ ย ๆ โดยเฉพาะ ในเมอื งใหญ่ ทม่ี ีมลพษิ ในอากาศเพิ่มขึน้ เชอ่ื ว่าการที่มีปริมาณของมลพิษ และสารระคายเคอื งในอากาศมากข้ึน และ ประชากรสัมผัสกับสารดังกล่าวในอากาศมากขึ้น ทำให้พบผู้ป่วยเพิ่มข้ึน เนื่องจากเยื่อบุจมูกของผู้ป่วยโรคจมูก อกั เสบภูมิแพ้ และเย่ือบุหลอดลมของผู้ป่วยโรคหืดมีความไวต่อการกระตุ้นมากผิดปกติ ทั้งสารก่อภูมิแพ้ และสารท่ี

ไม่ใช่สารกอ่ ภูมิแพ้ มลพิษในอากาศท้ัง 7 ชนดิ ดังกล่าว จึงสามารถกระต้นุ ใหผ้ ู้ป่วยโรคจมกู อักเสบภูมแิ พ้ และโรคหืด มอี าการมากขนึ้ ได้ 3.2 ผลกระทบตอ่ ระบบนเิ วศ ขยะเป็นสาเหตุสำคัญท่ีทำให้เกิดมลพิษของน้ำ มลพิษของดิน และมลพิษของอากาศ เนื่องจากขยะส่วนที่ ขาดการเก็บรวบรวม หรือไม่นำมากำจัดให้ถูกวิธี ปล่อยท้ิงค้างไว้ในพ้ืนที่ของชุมชน เม่ือมีฝนตกลงมาจะไหลชะนำ ความสกปรก เช้ือโรค สารพิษจากขยะไหลลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้แหล่งน้ำเกิดเน่าเสียได้ หากสารอันตรายซึมหรือไหล ลงสู่พ้ืนดิน หรือแหล่งน้ำ จะไปสะสมในห่วงโซ่อาหาร เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำและพืชผัก เมื่อเรานำไปบริโภคจะ ไดร้ บั สารนนั้ เขา้ สรู่ า่ งกายเหมอื นเรากนิ ยาพิษเข้าไปอย่างชา้ ๆ 3.2.1 มลพิษด้านส่ิงแวดลอ้ ม ถ้ามีการเผาขยะมูลฝอยกลางแจ้งทำให้เกิดควันมีสารพิษทำให้คุณภาพของอากาศเสีย ส่วนมลพิษทาง อากาศจากขยะมูลฝอยนั้น อาจเกิดขึ้นได้ท้ังจากมลสารท่ีมีอยู่ในขยะและพวกแก๊สหรือไอระเหย ที่สำคัญก็คือ กลิ่น เหม็นทีเ่ กิดจากการเนา่ เปอ่ื ย และสลายตัวของอินทรยี ์สารเปน็ สว่ นใหญ่ 3.2.2 ระบบนเิ วศถูกทำลาย มูลฝอยอันตรายบางอย่าง เช่น ไฟฉายหลอดไฟ ซ่ึงมีสารโลหะหนัก บรรจุในผลิตภัณฑ์ หากปนเป้ือนสู่ดิน และน้ำ จะสง่ ผลเสยี ต่อระบบนิเวศ และห่วงโซอ่ าหาร ซง่ึ เป็นอนั ตรายตอ่ มนษุ ยแ์ ละส่งิ แวดล้อม 3.2.3 ปญั หาดนิ เสือ่ มสภาพ ขยะมูลฝอยและของเสียต่าง ๆ ถ้าเราท้ิงลงในดินขยะส่วนใหญ่จะสลายตัวให้สารประกอบ อินทรีย์และอนิ นทรีย์มากมายหลายชนดิ ด้วยกัน แต่ก็มีขยะบางชนิด ท่ีสลายตัวได้ยาก เช่น ผ้าฝ้าย หนัง พลาสติก โดยเฉพาะเกลือ ไนเตรตสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก แล้วละลายไปตามน้ำ สะสมอยู่ในบริเวณใกล้เคียง การท้ิงของเสียจากโรงงาน อตุ สาหกรรม ตา่ ง ๆ เปน็ แหล่งผลติ ของเสยี ทีส่ ำคญั ยิ่ง โดยเฉพาะของเสยี จากโรงงานท่มี ีโลหะหนักปะปน ทำให้ดินบริเวณนั้นมีโลหะหนักสะสมอยู่มาก โลหะหนักที่สำคัญ ได้แก่ ตะก่ัว ปรอท และแคดเมียม ซ่ึงจะมี ผลกระทบมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคุณลักษณะของขยะมูลฝอย ถ้าขยะมีซากถ่านไฟฉาย ซากแบตเตอร่ี ซากหลอด ฟลอู อเรสเซนตม์ าก ก็จะส่งผลตอ่ ปรมิ าณโลหะหนกั พวกปรอท แคดเมียม ตะกั่ว ในดินมาก ซ่ึงจะส่งผลเสียต่อระบบนิเวศน์ในดิน และสารอินทรีย์ในขยะมูล ฝอยเมอื่ มกี ารยอ่ ยสลาย จะทำใหเ้ กดิ สภาพความเปน็ กรดในดนิ และเมือ่ ฝนตกมา ชะกองขยะมลู ฝอยจะ ทำใหน้ ้ำเสยี จากกองขยะมูลฝอยไหลปนเปอ้ื นดนิ บรเิ วณรอบ ๆ ทำให้

เกิดมลพิษของดินได้ การปนเปื้อนของดิน ยังเกิดจากการนำมูลฝอยไปฝังกลบ หรือการยักยอกนำไปท้ิงทำ ให้ของเสียอันตรายปนเป้ือนในดินนอกจากนั้นการเล้ียงสัตว์เป็นจำนวนมาก ก็ส่งผลต่อสภาพของดิน เพราะส่ิง ขบั ถ่ายของสัตว์ที่นำมากองทับถมไว้ ทำให้เกิดจุลินทรีย์ย่อยสลายได้ อนุมูลของไนเตรตและอนุมลู ไนไตรต์ ถ้าอนุมูล ดังกล่าวนี้สะสมอยู่จำนวนมากในดิน บริเวณน้ันจะเกิดเป็นพิษได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์โดยทางอ้อม โดยได้รับ เข้าไปในรูปของน้ำดื่มท่ีมีสารพิษเจือปน โดยการรับประทานอาหาร พืชผักที่ปลูกในดินที่มีสารพิษสะสมอยู่ และยัง ส่งผลกระทบต่อคณุ ภาพดิน 3.2.4 ปญั หามลพิษทางนำ้ ขยะมูลฝอยอินทรีย์ จำนวนมากถ้าถูกทิ้งลงสู่แม่น้ำลำคลอง จะถูกจุลินทรีย์ในน้ำย่อยสลายโดยใช้ออกซิเจน ทำให้ ออกซิเจนในน้ำลดลง และส่งผลให้เกดิ นำ้ เน่าเสีย 3.3 ผลเสียหายดา้ นเศรษฐกจิ และสังคม 3.3.1 เกิดความเสยี หายตอ่ ทรัพย์สิน สารอันตรายบางชนิดนอกจากทำให้เกิดโรค ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแล้ว อาจทำให้เกิดไฟไหม้ เกิด การกัดกร่อนเสียหายของวัสดุ เกิดความเสื่อมโทรมของส่ิงแวดล้อม ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา สภาพแวดล้อมและทรัพย์สิน อกี ดว้ ย 3.3.2 เกิดการสญู เสียทางเศรษฐกจิ ขยะมูลฝอยปรมิ าณมาก ๆ ย่อมต้องส้ินเปลอื งงบประมาณในการจัดการเพ่ือให้ไดป้ ระสิทธิภาพ นอกจากน้ผี ลกระทบ จากขยะมลู ฝอยไม่วา่ จะเปน็ นำ้ เสีย อากาศเสีย ดินปนเปอ้ื นเหล่านีย้ อ่ มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกจิ ของประเทศ 3.3.3 ทำใหข้ าดความสง่างาม การเก็บขนและกำจัดท่ีดีจะช่วยให้ชุมชนเกิดความสวยงาม มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยอันส่อแสดงถึงความเจริญ และวัฒนธรรมของชุมชน ฉะน้ันหากเก็บขนไม่ดี ไม่หมด กำจัดไม่ดี ย่อมก่อให้เกิดความไม่น่าดู ขาดความสวยงาม บ้านเมอื งสกปรก และความไมเ่ ปน็ ระเบยี บ สง่ ผลกระทบตอ่ อุตสาหกรรมการทอ่ งเท่ยี ว

ใบงานที่ 1 วิชาวสั ดุศาสตร์ เรื่อง การใช้ประโยชนจ์ ากวสั ดุ

วัน/เดือน/ปี แผนการจัดการเรียนการสอน แบบพบกลุ่ม ระดับมธั กศน.ตำบลบา้ นโปง่ 1 อำ หัวเร่ือง/ตัวช้ีวัด เนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้ 1.อธบิ ายถงึ การคัดแยกวสั ดุ 1.การคดั แยกวสั ดทุ ่ใี ช้แลว้ . ขนั้ ที่ 1 ก ได้ 2.การจัดการวสั ดดุ ว้ ยการรี 1.1 ครทู ัก 2.นำความรู้เรอ่ื งการคดั แยก วสั ดุไปใช้ได้ ไซเคลิ พฒั นาอย 3.อธบิ ายหลกั 3R ในการ เศรษฐกิจ จัดการวสั ดแุ ละแนวทาง ดำเนินการทเ่ี หมาะสมได้ 3.แนวโน้มการใชว้ ัสดุใน ความตอ้ ง 4.นำความรู้เรอ่ื งหลกั 3R ไป อนาคต การพฒั น ใช้ในการจดั การวัสดุได้ 4.ทิศทางการพฒั นาวสั ดุใน ทรพั ยากร 5.อธิบายวธิ กี ารรไี ซเคลิ วัสดุ แต่ละประเภทได้ อนาคต ความเหม 6.นำความรเู้ รื่องการรีไซเคิล ทนทาน ท วัสดแุ ต่ละประเภทไปใช้ได้ 5. ส่ิงประดษิ ฐจากวสั ดุ วัสดทุ ่มี คี ว ตามหลักสะเต็มศึกษา ภาคอุตสา 6.ประโยชนของสะเต็มศึกษา Educatio สําหรับการประดษิ ฐวัสดุ สหวิทยาก ใชแลว ศาสตร โด 7.หลกั สะเต็มศึกษาสาํ หรับ การนาํ คว การประดษิ ฐวสั ดใุ ชแลว กระบวนก 8.การประดิษฐวัสดุ ประโยชน ใชแลว

ธยมศกึ ษาตอนปลาย ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 ำเภอบ้านโป่ง จังหวดั ราชบุรี การจดั กระบวนการเรียนรู้ สอ่ื /แหล่ง วดั และ เรยี นรู้ ประเมินผล การนำเขา้ สู่บทเรียน กทายกลา่ วนำ ถงึ ปัจจบุ นั วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยมี ีการ - CD, DVD ที่ - แบบสงั เกต ย่างตอ่ เนือ่ ง สามารถตอบสนองต่อการเจริญเตบิ โตของ เกีย่ วของ จและสังคมในปัจจุบัน การพฒั นาวัสดใุ หม้ สี มบตั ิท่ีเหมาะกับ - ใบความรู้ - ใบงาน งการใชง้ าน จงึ เปน็ สง่ิ ทม่ี คี วามจำเป็นอย่างยิ่ง อันจะช่วยให้ - แบบทดสอบ นาของเทคโนโลยเี ติบโตไปพร้อมกบั การอนุรกั ษ์ - แบบสังเกต - แบบทดสอบ รธรรมชาติ ควบคู่กนั ไป โดยทศิ ทางการพฒั นาวสั ดเุ พอื่ ใหม้ ี - ใบงาน มาะกับการใช้งาน จึงมุ่งเน้นพัฒนาให้วสั ดมุ คี วามเบา แข็งแรง - วชิ า วัสดศุ าสตร ทนต่อสภาพอากาศ มีความยดื หยนุ่ สงู นำไฟฟา้ ย่งิ ยวด หรอื 3 วามเป็นมติ รตอ่ ส่งิ แวดลอ้ ม ตามความตอ้ งการของ รหัสวิชา พว าหกรรม และอธิบายเก่ยี วกับสะเต็มศึกษา (STEM 32024 on) คอื แนวทางการจดั การศึกษาท่ีบูรณาการ ความรใู น 4 - หนังสอื เรยี น การ ไดแก วทิ ยาศาสตร วิศวกรรม เทคโนโลยี และคณติ อิเล็กทรอนกิ ส ดยเนน กลมุ สาระการ วามรไู ปใชแกปญหาในชีวติ จรงิ รวมทง้ั การพัฒนา เรียนรู การหรือผลผลิตใหมที่เปน วิทยาศาสตร์ นตอการดําเนนิ ชีวติ และการทาํ งาน

วนั /เดือน/ปี หัวเรื่อง/ตัวชี้วัด เน้อื หาสาระการเรียนรู้ 7.อธิบายแนวโนม้ การใช้ 1.2 ครเู ป วสั ดุในอนาคตได้ 1.4 การป 8.นำความรู้เรือ่ งแนวโน้ม ตอ้ งใช้ท การใชว้ ัสดใุ นอนาคตไป ปัญหา (ก ใช้ได้ - เขา้ ร่วม ข้นั ท่ี 2 ก 9.อธิบายทศิ ทางการพัฒนา 2.1 ครูกำ วสั ดุในอนาคตได้ หลักสะเ - กรอบเ 10. อธบิ ายหลักสะเต็ม - ภารกจิ ศกึ ษาได - วางแผ ประเมิน 11. อธบิ ายประโยชนของสะ 2.2 ครจู ัด เต็มศกึ ษาได เนือ้ หาต เนอื้ หา 12. อธิบายหลักสะเต็ม แลว เนื้อหา ศกึ ษาสําหรบั การประดษิ ฐ เนอ้ื หา วสั ดุใชแลวได แลวไปใช 13. นาํ ความรูเรื่องหลักสะ เต็มศึกษาสาํ หรับการ ประดิษฐวสั ดุใชแลวไปใชได

การจัดกระบวนการเรียนรู้ สอื่ /แหลง่ เรยี นรู้ วดั และ ประเมนิ ผล ปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนซกั ถาม ขอ้ สงสยั ก่อนเขา้ สูข่ นั้ ตอนตอ่ ไป ปฏิบตั ิตวั ในการเรียนใหป้ ระสบความสำเรจ็ ผ้เู รียน ทักษะทีจ่ ำเปน็ ตามท่ีได้กล่าวถึงในข้ันกำหนดสภาพ การพดู การฟงั จดบันทึกแสวงหาความร้ดู ว้ ยตนเอง) มกิจกรรมและแสวงหาขอ้ มูลตามท่ีไดร้ บั มอบหมาย การจดั กระบวนการเรยี นรู้ ำหนดกรอบเน้ือหาเกี่ยวกับการประดิษฐวสั ดุตาม เตม็ ศึกษาใบงานกรอบเน้อื หา ตามใบงาน เนื้อหา จ/งานท่ีตอ้ งปฏบิ ัต/ิ มอบหมาย ผนกำหนดวันเวลาที่ส่งงาน และพบกลุ่มและวิธีการ นผล ดกิจกรรมแบ่งกลุ่ม เพอื่ มอบหมายให้ พิจารณา ตามใบงาน กลมุ่ ละ 1 เนอ้ื หา ดงั น้ี าท่ี 1 หลกั สะเต็มศึกษาสําหรบั การประดิษฐวสั ดใุ ช าท่ี 2 ประโยชนของสะเตม็ ศึกษา าท่ี 3 หลักสะเตม็ ศึกษาสาํ หรบั การประดิษฐวัสดุใช ช้

วนั /เดอื น/ปี หวั เร่อื ง/ตัวช้ีวดั เนื้อหาสาระการเรยี นรู้ เนอื้ หาท เนื้อหาท เนือ้ หาท เนอ้ื หาท 2.3 ผเู้ รยี การศึกษ และทำเป 2.4 ครแู ล 2.5 ครมู อ ขน้ั ท่ี 3 ก 3.1 สังเก ความก้า 3.2 ครูปร

การจดั กระบวนการเรียนรู้ ส่ือ/แหล่งเรยี นรู้ วัดและ ประเมินผล ท่ี 4 การคัดแยกวัสดุทใี่ ชแ้ ลว้ ท่ี 5 การจดั การวสั ดดุ ว้ ยการรีไซเคิล ที่ 6 แนวโน้มการใชว้ ัสดใุ นอนาคต ที่ 7 ทิศทางการพฒั นาวสั ดุในอนาคต ยน/ครู บนั ทกึ ข้อตกลงโดยจัดทำและบนั ทึกร่องรอย ษาดว้ ยตนเองตามแบบบนั ทกึ ที่ครูมอบให้ในใบงาน ป็นเอกสารตามแบบท่ีกำหนด ละผูเ้ รียนสรุปเน้ือหารว่ มกนั อบหมายภารกจิ ตามใบงาน และนัดหมาย การสรปุ ผล กตการเขา้ รว่ มกจิ กรรมในแตล่ ะขนั้ ตอนและจดบันทกึ าวหน้าของผู้เรยี นในแต่ละทักษะเปน็ รายบุคคล ระเมนิ ผลจากสังเกตพฤติกรรมและแบบฝึกหดั

ใบความรู้ท่ี 1 เร่ือง การคัดแยกและการรีไซเคลิ การคัดแยกและการรไี ซเคิล ในการจดั การวัสดทุ ใี่ ชแ้ ล้วแบบครบวงจร จำเป็นตอ้ งจดั ให้มีระบบการคัดแยกวัสดุ ที่ใช้แล้วประเภทต่าง ๆ ตามแต่ลักษณะองค์ประกอบโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์ใหม่ สามารถ ดำเนินการได้ต้ังแต่แหล่งกำเนิด โดยจัดวางภาชนะให้เหมาะสม ตลอดจนวางระบบการเก็บรวบรวมวัสดุท่ีใช้แล้ว อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับระบบการคัดแยกวัสดุที่ใช้แล้ว พร้อมท้ังพิจารณาความจำเป็นของสถานีขน ถ่ายวัสดุทใี่ ชแ้ ล้วและระบบขนสง่ วัสดทุ ่ีใช้แลว้ ไปกำจัดตอ่ ไป กอ่ นท่ีจะนำเศษวัสดกุ ลับมาใชป้ ระโยชน์ ต้องมกี ารคดั แยกประเภทวัสดทุ ่ีใชแ้ ล้วภายในบา้ น เพื่อเปน็ การสะดวกแก่ผู้ เก็บขนและสามารถนำเศษวัสดุบางชนิดไปขายเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว รวมทั้งง่ายต่อการนำไป กำจัดอีกด้วย โดยสามารถทำได้ ดังน้ี วิธดี ำเนนิ การคดั แยก การคดั แยกเศษวสั ดุใชแ้ ลว้ โดยมีแนวทางปฏิบัติดังน้ี คอื 1. ใช้สเี ป็นตวั กำหนดการแยกเศษวสั ดใุ ชแ้ ลว้ แตล่ ะชนิด 2. มภี าชนะสำหรับบรรจุขยะแตล่ ะชนิดตามสีท่ีกำหนด และมเี ชือกผูกปากถุงเพ่อื ความสวยงามและเรยี บรอ้ ย 3. มถี งั รองรับถุงใส่เปน็ สเี ดยี วกนั และแขง็ แรงทนทาน ทำความสะอาดงา่ ย 4. ออกแบบถงั ขยะให้นา่ ใชเ้ สมอื นเป็นเฟอร์นเิ จอร์อย่างหนง่ึ ภายในบ้าน ให้ใครเห็นก็อยากจะได้เปน็ เจ้าของถังขยะนี้ 5. ใหผ้ ู้รว่ มคัดแยกขยะได้มสี ่วนได้รบั ผลประโยชน์จากการคดั แยกขยะ 6. จัดหาถุงและภาชนะรองรับให้สมาชิกได้ใช้โดยทั่วถึงฟรี โดยการใช้เงินกองทุน หรืองบประมาณสนับสนุน และจะ หกั จากการขายวสั ดุรไี ซเคิล เชน่ กระดาษ พลาสติก แก้ว ฯลฯ 52

7. ให้ผ้รู ว่ มคดั แยกขยะได้เปน็ ทยี่ กยอ่ งจากสงั คม เชน่ ปา้ ยแสดงการเป็นสมาชกิ ของการคัดแยกขยะ 8. ให้ชมุ ชน หมู่บา้ น ทีใ่ หค้ วามร่วมมอื อยา่ งดี ได้รบั การยกย่อง และได้รบั การเชิดชูเกียรตจิ ากสงั คม ภาชนะรองรบั วสั ดทุ ีใ่ ชแ้ ลว้ เพ่ือให้การจัดเก็บรวบรวมวัสดุท่ีใช้แล้ว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและ ลดการปนเป้ือนของวัสดุที่ใช้แล้วท่ีมี ศักยภาพในการนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ จะต้องมีการตั้งจุดรวบรวมวัสดุที่ใช้แล้ว และให้มีการแบ่งแยกประเภท ของถังรองรบั วัสดุทใี่ ช้แลว้ ตามสีตา่ ง ๆ โดยมีถุงบรรจภุ ายในถงั เพอื่ สะดวกและไม่ตกหลน่ หรอื แพร่กระจาย ดงั น้ี 1. ถังขยะ 1. สีเขียว รองรับผัก ผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ ที่เน่าเสียและย่อยสลายได้ สามารถ นำมาหมักทำปุ๋ยได้ มีสัญลักษณ์ที่ ถังเป็นรูปกา้ งปลาหรือเศษอาหาร 2. สเี หลอื ง รองรับเศษวัสดทุ ่สี ามารถนำมารีไซเคิลหรือขายได้ เชน่ แก้วกระดาษ พลาสติก โลหะ มสี ัญลักษณ์เปน็ รูป คนทิ้งกระดาษลงถงั 3. สีแดง หรือสเี ทาฝาสีส้ม รองรับเศษวัสดทุ ่ีมีอนั ตรายต่อส่ิงมีชวี ิต และสิ่งแวดล้อม เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ ขวด ยา ถา่ นไฟฉาย กระปอ๋ งสสี เปรย์ กระปอ๋ งยาฆ่าแมลง ภาชนะบรรจุสารอนั ตรายต่าง ๆ 4. สีฟ้าหรือสีน้ำเงิน รองรบั เศษวัสดุทั่วไป คือ วสั ดุท่ีใช้แล้วประเภทอื่นนอกจากเศษวสั ดุย่อยสลาย เศษวัสดุรีไซเคิล และเศษวัสดุอันตราย เศษวัสดุท่ัวไปจะมีลักษณะท่ีย่อยสลายยาก ไม่คุ้มค่าสำหรับการนำกลับไปใช้ประโยชน์ใหม่ เช่น พลาสตกิ หอ่ ลูกอม ซองบะหมส่ี ำเร็จรปู ถงุ พลาสตกิ โฟมและฟอล์ยที่เปือ้ นอาหาร ภาพที่ 3.1 ภาพถังขยะประเภทตา่ งๆ ทม่ี า : http://www.promma.ac.th

หลกั 3R ในการจดั การวสั ดุ 3R เป็นหลักการของการจัดการเศษวัสดุ เพื่อลดปริมาณเศษวัสดุ ได้แก่ รีดิวซ์ (Reduce) คือ การใช้น้อย หรือลดการใช้ รยี ูส (Reuse) คอื การใชซ้ ้ำ และรีไซเคิล (Recycle) คือ การผลติ ใช้ใหม่ ใชเ้ ป็นแนวทางปฏิบัติในการ ลดปริมาณเศษวสั ดุในครัวเรือน โรงเรยี น และชมุ ชน ดังน้ี 1. รีดวิ ซ์ (Reduce) การใชน้ อ้ ยหรือลดการใช้ มีวิธกี ารปฏิบตั ิดงั นี้ 1) หลกี เลย่ี งการใชอ้ ยา่ งฟุ่มเฟอื ย ลดปริมาณการใชใ้ หอ้ ยใู่ นสัดสว่ น ที่พอเหมาะ ลดปริมาณบรรจุภัณฑ์หีบห่อท่ีไม่จำเป็น ลดการขนเศษวัสดุเข้าบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ถุงพลาสติก ถุง กระดาษ โฟม หรอื หนังสอื พิมพ์ ฯลฯ 2) เลอื กใชส้ นิ ค้าที่มอี ายกุ ารใชง้ านสูง ใชผ้ ลติ ภณั ฑช์ นิดเตมิ เช่น นำ้ ยาล้างจาน นำ้ ยาปรับผ้านมุ่ ถ่านชนดิ ชาร์จ ได้ สบู่เหลว นำ้ ยารดี ผ้า ฯลฯ 3) เลือกบรรจภุ ณั ฑ์ทีส่ ามารถนำกลบั มาใช้ใหมไ่ ด้ 4) คิดก่อนซื้อสินค้า พิจารณาว่าส่ิงน้ันมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด หลีกเล่ียงการใช้สารเคมีภายในบ้าน เช่น ยา กำจัดแมลงหรือน้ำยาทำความสะอาดต่าง ๆ ควรจะหันไปใช้วิธีการทางธรรมชาติจะดีกว่า อาทิ ใช้เปลือกส้มแห้ง นำมาเผาไล่ยุง หรือ ใชผ้ ลมะกรดู ดบั กลน่ิ ภายในหอ้ งนำ้ 5) ลดการใช้กล่องโฟม หลีกเล่ียงการใช้โฟมและพลาสติกโดยใช้ถุงผ้าหรือตะกร้าในการจับจ่ายซ้ือ ของใช้ปิ่นโต ใส่ อาหาร 6) ลดการใช้ถงุ พลาสติก ควรใช้ถุงผา้ หรือตะกรา้ แทน ภาพที่ 3.2 การรณรงค์ลดใชถ้ ุงพลาสตกิ ของหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ทีม่ า : http://www.bloggang.com

2. รียสู (Reuse) คือ การใช้ซ้ำผลิตภณั ฑส์ ิง่ ของตา่ ง ๆ เช่น 1. นำส่งิ ของท่ีใช้แลว้ กลบั มาใช้ใหม่ เช่น ถงุ พลาสตกิ ท่ีไมเ่ ปรอะเปื้อน ก็ให้เกบ็ ไว้ใช้ใส่ของอกี ครั้งหน่ึง หรือใช้เปน็ ถงุ ใส่เศษวัสดใุ นบา้ น 2. นำส่งิ ของมาดัดแปลงให้ใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ีก เชน่ การนำยางรถยนต์ มาทำเกา้ อ้ี การนำขวดพลาสตกิ ก็สามารถ นำมาดดั แปลงเปน็ ทใี่ ส่ของแจกัน การนำเศษผา้ มาทำเปลนอน เป็นต้น 3. ใช้กระดาษท้งั สองหน้า 4. นำส่ิงของมาดดั แปลงให้ใช้ประโยชน์ได้อกี เช่น การนำยางรถยนต์มาทำเก้าอี้ การนำขวดพลาสตกิ ก็สามารถนามา ดดั แปลงเปน็ ทใี่ ส่ของ หรอื แจกัน การนำเศษผ้ามาทำเปลนอน เปน็ ตน้ ภาพท่ี 3.4 เกา้ อี้จากขวดน้ำ ทมี่ า : http://www.oknation.net/ ภาพท่ี 3.5 พรมเชด็ เท้าจากเศษผ้า ที่มา : https://www.l3nr.org

3. รไี ซเคลิ (Recycle) การแปรรูปนำกลบั มาใช้ใหม่ รีไซเคิล (Recycle) หมายถึง การแปรรูปกลับมาใช้ใหม่ เพื่อนำวัสดุที่ยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่หมุนเวียนกลับมา เขา้ สู่กระบวนการผลติ ตามกระบวนการของแต่ละประเภท เพ่ือนำกลับมาใชป้ ระโยชน์ใหม่ ซ่ึงนอกจากจะเป็นการลด ปริมาณเศษวัสดุมูลฝอยแล้ว ยังเป็นการลดการใช้พลังงานและลดมลพิษที่เกิดกับสิ่งแวดล้อม เศษวัสดุรีไซเคิล โดยทว่ั ไป แยกได้เปน็ 4 ประเภท คอื แกว้ กระดาษ พลาสตกิ โลหะและอโลหะ สว่ นบรรจุภณั ฑ์ บางประเภทอาจจะใช้ซ้ำไม่ได้ เช่น กระป๋องอะลูมิเนียม หนังสือเก่า ขวดพลาสติก ซ่ึงแทนที่จะนำไปท้ิง ก็รวบรวม นำมาขายให้กบั รา้ นรบั ซือ้ ของเก่า เพอ่ื ส่งไปยังโรงงานแปรรปู เพ่อื นำไปผลิตเป็นผลิตภณั ฑต์ ่าง ๆ ดังนี้ 1) นำขวดพลาสติก มาหลอมเป็นเมด็ พลาสตกิ 2) นำกระดาษใช้แล้วแปรรูปเป็นเย่อื กระดาษ เพื่อนำไปเปน็ สว่ นผสมในการผลติ เปน็ กระดาษใหม่ 3) นำเศษแกว้ เก่ามาหลอม เพื่อขน้ึ รปู เป็นขวดแก้วใบใหม่ 4) นำเศษอลูมิเนียมมาหลอมขนึ้ รปู เปน็ แผน่ นำมาผลิตเปน็ ผลติ ภณั ฑอ์ ะลูมิเนยี ม รวมทั้งกระปอ๋ งอะลมู ิเนยี ม ภาพท่ี 3.9 ปา้ ยประชาสมั พันธก์ จิ กรรม 3R ของกรมควบคุมมลพิษ ทีม่ า : http://www.siamgoodlife.com

ใบความรทู้ ่ี 2 เรอื่ ง การจดั การวสั ดุดว้ ยการรไี ซเคลิ วัสดุ ทำไมจึงต้องให้ความสำคัญกับการรีไซเคิล เพราะการรีไซเคิลเป็นหัวใจสำคัญของ วัฎจักรให้ดำเนินต่อไป เป็นการเปลี่ยนสภาพของวัสดุท่ีใชแ้ ล้วให้มีมูลค่า จากสิ่งท่ีไม่เป็นประโยชน์ แปรเปล่ียนสภาพเป็นวัตถดุ ิบ สิ่งของนำ กลับมาใช้ใหม่ เป็นการประหยัดพลังงาน ใช้ทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีอยู่ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าสูงสุด ลดค่าใช้จ่ายใน การกำจัดวัสดุท่ีใช้แล้ว ปกป้องการทำลายผืนป่า ดิน น้ำ ส่ิงแวดล้อมต่างๆท่ีอยู่แวดล้อมตัวเรา ซึ่งเป็นวิธีการท่ีง่าย ท่ีสดุ ท่เี ราจะสามารถทำได้ ดงั นัน้ เรามาทำความรู้จักกับการจดั การวสั ดุดว้ ยการรไี ซเคิลของวัสดุประเภทตา่ ง ๆ ว่ามีวิธีการจัดการอย่างไรจึงจะ มีความปลอดภัย และเกดิ ประโยชนส์ ูงสุด 1. การจดั การวัสดปุ ระเภทโลหะ โลหะหลากหลายชนิดสามารถนำมารีไซเคิลได้โดยการนำมาหลอมและ แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ สามารถแบ่ง โลหะออกได้ 3 กลุ่มใหญ่ คอื - โลหะประเภทเหล็ก ใช้กันมากที่สุดในอุตสาหกรรมก่อสร้างผลิตอุปกรณ์ ต่าง ๆ รวมทั้งเคร่ืองใช้ในบ้าน อุตสาหกรรมการนำเหล็กมาใชใ้ หม่เพื่อลดตน้ ทนุ ในการผลิตมี มานานแลว้ คาดวา่ ทั่วโลกมีการนำเศษเหล็กมารไี ซเคิล ใหมถ่ ึงรอ้ ยละ 50 แมแ้ ต่ในรถยนต์ก็มีเหล็กรีไซเคิลปะปนอยู่ 1 ใน 4 ของรถแต่ละคัน เหล็กสามารถนำมารีไซเคิลได้ ทุกชนดิ สามารถแบง่ ไดเ้ ป็น 4 ประเภท คือ 1. เหล็กเหนียว เช่น เฟืองรถ น๊อต ตะปู เศษเหล็กข้ออ้อย ขาเก้าอี้ ล้อจักรยาน หัวเก๋งรถ เหล็กเส้นตะแกรง ท่อไอ เสีย ถังสี 2. เหล็กหล่อ เชน่ ปลอกสบู ปม๊ั น้ำ ขอ้ ต่อวาลว์ เฟอื งขนาดเลก็ 3. เหล็กรูปพรรณ เช่น แป๊ปประปา เพลาท้ายรถเพลาโรงสี แป๊ปกลมดำ เหล็กฉากเหล็กตัวซี และเพลา เคร่ืองจักร ต่างๆ 4. เศษเหล็กอื่น ๆ เช่น เหล็กสังกะสี กระป๋อง ปิ๊บเหล็ก กลึงเหล็กแมงกานีส ซ่ึงราคาซ้ือขายจะต่างกันตามประเภท ของเหล็ก ซ่ึงพอ่ ค้ารับซื้อของเกา่ จะทำการตัดเหล็กตามขนาด ต่าง ๆ ตามทท่ี างโรงงานกำหนดเพ่ือสะดวกในการเข้า เตาหลอมและการขนส่ง โลหะประเภทอะลูมิเนียม แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ (1) อะลูมเิ นยี มหนา เชน่ อะไหลเ่ คร่ืองยนต์ ลูกสบู อะลมู ิเนียมอัลลอย ฯลฯ

(2) อะลูมิเนียมบาง เช่น หมอ้ กะละมังซักผ้า ขนั น้ำ กระป๋องเครือ่ งด่ืม ฯลฯ ราคาซ้ือขายโลหะประเภทอะลมู ิเนียมมี ราคาต้ังแต่ 10 บาท ถึง 45 บาท แล้วแต่ประเภท อะลูมิเนียมหนาจะมีราคาแพงกว่าอะลูมิเนียมบาง แต่ขยะ อะลูมิเนียมท่ีพบมากในกองขยะส่วนใหญ่จะเป็นพวกกระป๋องเครื่องด่ืม เช่น กระป๋องน้ำอัดลม กระป๋องเบียร์ โดยเฉพาะกระป๋องนำ้ อดั ลมจะเป็นขยะที่มีปรมิ าตรมาก ดงั น้ัน ก่อนนำไปขายควรจะอัดกระป๋องให้มีปรมิ าตร เล็กลง เพ่ือที่จะได้ประหยัดพื้นที่ในการขนส่ง สำหรับการรีไซเคิลกระป๋องอะลูมิเนียมนั้นพ่อค้ารับซื้อของเก่าจะทำการอัด กระป๋องอะลูมิเนียมให้มีขนาดตามท่ี ทางโรงงานกำหนดมา กระป๋องอะลูมิเนียมสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้หลาย ๆ ครั้ง ไม่มีการกำจัดจำนวนคร้ังของการผลิต เมื่อกระป๋องอะลูมิเนียมถูกส่งเข้าโรงงานแล้วจะถูกบดเป็นช้ินเล็ก ๆ แล้วหลอมให้เป็นแทง่ แข็ง จากนั้นนำไปรีดให้เป็นแผ่นบางเพ่อื ส่งตอ่ ไปยังโรงงานผลติ กระป๋องเพื่อผลิตกระป่องใหม่ ข้อปฏิบัติในการรวบรวมวัสดทุ ี่ใชแ้ ลว้ ประเภทอะลูมิเนยี ม 1) แยกประเภทกระป๋องอะลูมิเนียม โลหะ เพราะกระป๋องบางชนิดมีส่วนผสมท้ังอะลูมิเนียมและโลหะ ส่วนฝาปิด ส่วนใหญ่เปน็ อะลมู ิเนยี ม ให้ดงึ แยกเก็บตา่ งหาก 2) หลังจากที่บริโภคเครื่องดื่มแล้ว ให้เทของเหลวออกให้หมด ล้างกระป๋องด้วยน้ำเล็กน้อย เพ่ือไม่ให้เกิดกล่ิน เพื่อ ปอ้ งกนั แมลง สัตว์ มากินอาหารในบรรจภุ ณั ฑ์ 3) ไม่ควรท้ิงเศษวสั ดหุ รอื กน้ บุหรล่ี งในขวด และต้องทำความสะอาดกอ่ นนำขวดไปเกบ็ รวบรวม 4) ควรเหยียบกระปอ๋ งใหแ้ บน เพอื่ ประหยดั พ้ืนท่ีในการจัดเก็บ ภาพที่ 3.12 ดงึ แยกฝากระป่องเครือ่ งด่ืมออกแลว้ ทุบใหแ้ บน ทม่ี า : http://nwnt.prd.go.th

การรีไซเคิลพอลเิ มอร์ พอลเิ มอรไ์ ดก้ ลายเปน็ ผลิตภณั ฑ์สำคัญอย่างหนึง่ และมีแนวโนม้ ท่ีจะเขา้ มา มบี ทบาทในชวี ิตประจำวนั เพ่มิ มากข้ึนเนือ่ งจากพอลิเมอรม์ ีราคาถูก น้ำหนักเบาและมขี อบขา่ ยการใช้งานไดก้ วา้ ง ปัจจุบันพอลิเมอร์ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญอย่างหนึ่ง และมีแนวโน้มที่จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันเพ่ิม มากข้ึน โดยการนำมาใช้แทนทรัพยากรธรรมชาติได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไม้ เหล็ก เนื่องจากพอลิเมอร์มีราคาถูก มีน้ำหนักเบา และมีขอบข่ายการใช้งานได้กว้าง เนื่องจากเราสามารถผลิตพอลิเมอร์ให้มีคุณสมบัติต่าง ๆ ตามที่ ต้องการได้โดยขึ้นกับการเลือกใช้วัตถุดิบปฏิกิริยาเคมี กระบวนการผลิต และกระบวนการข้ึนรปู ทรงต่าง ๆ ได้อย่าง มากมาย และยังสามารถปรุงแต่งคุณสมบัติได้ง่าย โดยการเติมสารเติมแต่ง (additives) เช่น สารเสริมสภาพพอลิ เมอร์ (plasticizer) สารปรับปรุงคุณภาพ (modifier) สารเสริม (filler) สารคงสภาพ (stabilizer) สารยับย้ัง ปฏิกิริยา (inhibitor) สารหลอ่ ล่นื (lubricant) และผงสี (pigment) เปน็ ตน้ พอลิเมอร์ หมายถึง วัสดุท่ีมนุษย์สังเคราะห์ขึ้นจากธาตุพ้ืนฐาน 2 ชนิด คือ คาร์บอนและโฮโดรเจนซ่ึงเม่ือเติมสาร บางอยา่ งลงไปจะทำให้พอลิเมอร์มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น แข็งแกร่ง ทนความร้อน ลื่นและยืดหยุ่น เราอาจสังเคราะห์ พอลิเมอร์ชนดิ ตา่ ง ๆ ไดม้ ากมาย โดยการเติมสารเคมีชนดิ ต่าง ๆ เข้าไปโดยใช้สดั สว่ นและกรรมวิธีทแ่ี ตกต่างกนั พอลิเมอร์ ประกอบด้วยโมเลกุลขนาดใหญ่เรียกว่า พอลิเมอร์ (polymer) ซึ่งเกิดจากโมเลกุลขนาดเล็กท่ีมาต่อเข้า ดว้ ยกนั เป็นสายยาวเหมือนโซ่ สายโมเลกุลเหล่าน้ีจะเกี่ยวพันกัน ทำให้พอลิเมอร์แข็งแกร่ง แต่กว่าจะดึงสายโมเลกุล พอลิเมอร์ให้แยกจากกันได้ ต้องใช้แรงมากพอสมควร กระบวนการท่ีทำให้โมเลกุลขนาดเล็กมาต่อรวมกันเข้าจนมี ขนาดใหญ่ขึ้นนน้ั เรียกวา่ การเกดิ พอลิเมอร์ (polymerization) ซง่ึ จะแตกตา่ งกนั ไปตามชนดิ ของ พอลิเมอร์ (catalyst) กระตุ้นให้โมเลกุลขนาดเล็ก มายึดต่อเข้าด้วยกัน พอลิเมอรแ์ บ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ เทอร์โม เซตต้ิง (thermosetting) และเทอรโ์ มพอลิเมอร์ (thermoplastic) เทอร์โมเซตต้ิง (Thermosetting) พอลิเมอร์ประเภทนี้จะมีรูปทรงที่ถาวรเม่ือผ่านกรรมวิธีการผลิตโดยให้ความ ร้อน ความดันหรือตัวเร่งปฏิกริ ิยา การขึ้นรูปทำได้ยากและไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ นอกจากน้ียังมีต้นทุนการ ผลิตสูงรวมทั้งการใช้งานค่อนข้างจำกัด ทำให้ในปัจจุบันมีใช้ในอุตสาหกรรมไม่ก่ีประเภท ได้แก่ เมลามีน ฟีนอลิก ยูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ โพลีเอสเตอร์ท่ีไม่อ่ิมตัว เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะใช้ผลิตเครื่องครัว ช้ินส่วนปล๊ักไฟ ชิ้นส่วน รถยนต์ และช้นิ สว่ นในเครอื่ งบิน เป็นตน้

ตวั อยา่ งพอลเิ มอร์ประเภทเทอรโ์ มเซตต้ิง ที่มา : https://www.easypacelearning.com เทอร์โมพอลิเมอร์ (Thermoplastic) พอลิเมอร์ประเภทนี้เม่ือได้รบั ความร้อนหรือความดันระหว่างกระบวนการข้ึน รูป จะเปล่ียนแปลงสถานะทางกายภาพ กล่าวคือเม่ือได้รับความร้อนจะอ่อนน่ิมเละเมื่อเย็นลง จะแข็งตัวโดยที่ โครงสร้างทางเคมีจะไม่เปล่ียนแปลงทำให้พอลิเมอร์ประเภทนี้มีคุณสมบัติท่ีสามารถนำกลับมา เข้าสู่กระบวนการ ผลิตซ้ำ ๆ ได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำมาข้ึนรูปได้ง่ายด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่ำ และมีหลายชนิดท่ีสามารถนำมาใช้ งานได้อย่างกว้างขวาง ปัจจุบันมีการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมประเภทของเด็กเล่น ดอกไม้ประดิษฐ์ บรรจุภัณฑ์ ช้ินส่วนรถยนต์ และผลติ ภณั ฑอ์ ิเลก็ ทรอนกิ ส์ พอลิเมอร์ประเภทนี้ ได้แก่ โพลีเอทิลีน (PE), โพลีโพรพิลีน (PP), โพลิไวนิลคลอไรด์ (PVC), โพลิสไตรีน (PS), โพลิเอทิลีนเทเรพทาเลต (PET) เป็นต้น ภาพที่ 3.16 ตัวอย่างพอลิเมอรป์ ระเภทเทอรโ์ มพอลิเมอร์ ที่มา : https://sites.google.com