34 3) ความเช่ือถือได้ (Reliability) หมายถึง ความคงท่ีของข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมได้จาก การใชเ้ คร่ืองมอื วดั หลายอย่าง ผู้ประเมินหลักสูตรควรคานึงถึงความเพียงพอของการเก็บหรือวัด หรือ อาจจะทาการวดั หลายๆครั้ง หรือวัดครั้งเดียวด้วยเทคนิคการวัดแบบต่างๆ เพ่ือตรวจสอบความคงที่ ของคาตอบเรือ่ งน้ผี ้ปู ระเมินหลักสูตรต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการวัดค่อนข้างมากและมีความละเอียด รอบคอบและมคี วามรับผดิ ชอบ 4) ความเป็นปรนัย (Objectivity) หมายถึง คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจข้อมูลที่ได้จาก การวัดตรงกันมากน้อยเพียงไรผู้ประเมินรวบรวมข้อมูล รายละเอียดและตัดสินใจ แปลผลตรงกับ บคุ คลท่รี ่วมประเมนิ ด้วยความเป็นปรนยั ของการประเมนิ จึงจะเกิดขน้ึ 5) ความสอดคล้องสัมพันธ์ (Relevance) หมายถึงข้อมูลท่ีได้จากการประเมินความ สอดคล้องกบั จุดมุ่งหมายของการประเมินเพียงไร การกาหนดจุดมุ่งหมายของการประเมินไว้ชัดเจน จะช่วยให้ผู้ประเมินมีความระมัดระวังในการเก็บรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบตนเองเสมอ ได้ทา กจิ กรรมการประเมินสอดคล้องกับประเด็นที่สัมพันธ์กบั จุดมงุ่ หมาย 6) ความสาคัญ (Importance) หมายถึง การจัดลาดับความสาคัญขององค์ประกอบ หลักสตู รทีจ่ ะประเมิน การวางแผนเก็บรวบรวมขอ้ มลู ว่าข้อมูล ส่วนใดมีประโยชน์มากกว่ากัน เพราะ การประเมินหลักสูตรบางครัง้ ตอ้ งทาการประเมินท่ีมีลักษณะกว้างและลึก การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลถ้าไม่ มีการจัดลาดับความสาคัญขององค์ประกอบหลักสูตรท่ีจะประเมิน จะทาให้การเก็บข้อมูลในเรื่อง เดียวกันจานวนมาก ผปู้ ระเมินหลักสูตรจะต้องถือเป็นความรับผิดชอบท่ีจะต้องจัดลาดับความสาคัญ ให้กบั ขอ้ มลู ทจี่ ะไปเกบ็ รวบรวม 7) ขอบขา่ ยของการประเมิน (Scope) หมายถึง ระบบและแบบแผนของการประเมิน ที่จะเออ้ื อานวยใหท้ าการศึกษาได้กว้างและลึก ผู้ประเมินจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และไม่ควร หยิบยกวธิ ีการประเมินเพยี งอยา่ งใดอย่างหนึ่งมาใช้ในการประเมนิ หลกั สตู ร 8) ความเชอ่ื ถอื และการยอมรับ (Credibility) หมายถึง ผู้ท่ีต้องการใช้ผลการประเมิน มีความเช่ือถือในผู้ประเมิน และยอมรับข้อมูลจากผลการประเมินได้มากน้อยเพียงใด เพราะ ความสัมพันธ์ของผู้ประเมินหลักสูตรกับผู้ใช้ผลการประเมินหลักสูตรจะมีอิทธิพลต่อการประเมิน หลักสูตรมาก 9) เวลา (Timeliness) หมายถึง การรายงานผลการประเมินจะทันใช้ในเวลาท่ี ต้องการหรือไม่ การใช้เวลาสาหรับกิจกรรมการประเมิน การเขียนรายงานการประเมินเป็น รายละเอียดท่ีจะต้องใช้เวลาอาจทาให้พลาดโอกาสท่ีจะใช้ผลการประเมินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการ ปฏิบัติการใชห้ ลกั สูตร 10) ขอบเขตของการใช้ผลการประเมิน (Pervasiveness) หมายถึง การนาผลการ ประเมินหลักสูตรไปใช้อย่างกว้างขวางและมีการเผยแพร่อย่างไร การเขียนรายงานการประเมิน หลกั สูตรจะต้องกาหนดกลุ่มเป้าหมายท่ีจะนาเสนอให้ถูกต้อง และใช้ผลการประเมินกว้างและลึกใน ลักษณะท่แี ตกต่างกัน 11) ประสิทธภิ าพ (Efficiency) หมายถึง การพิจารณาทางเลือกในการปฏิบัติเมื่อการ ประเมินเสร็จเรยี บรอ้ ย ทางเลือกนนั้ อาจจะเกย่ี วข้องกับผู้รว่ มงาน ค่าใช้จ่าย ประโยชน์ท่ไี ดร้ บั จากการ
35 ประเมินหลกั สูตรคร้งั น้ี การดาเนนิ การประเมนิ สว่ นมากจะพบข้อจากดั ต่างๆ ผ้ปู ระเมนิ หลกั สูตรตอ้ งมี ความตระหนกั และรับผดิ ชอบต่อจุดมุง่ หมายของการประเมินหลกั สตู รให้มาก เกณฑ์สาหรับการพิจารณาการประเมินหลักสูตรท้ัง 11 ข้อนี้ ข้อ 1-4 เป็นเกณฑ์ที่ เหมาะสมกบั กระบวนการโดยวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์นาเสนอโดย Stufflebeam and other (1983) ส่วนข้อท่ี 6-10 เป็นเกณฑ์ท่ีช่วยในการปฏิบัติเก่ียวกับการประเมินหลักสูตรดาเนินไปได้อย่าง เหมาะสมซึ่งต้องคานึงอยู่เสมอเมื่อวางแผนการประเมินหลักสตู ร และขอ้ 11 เป็นเกณฑ์ที่เพ่ิมข้ึน โดย Worthen & Scanders (1987) ซง่ึ เป็นเกณฑ์เกี่ยวกับประสิทธิภาพของหลกั สูตร จากแนวคิดดังกลา่ วสรปุ เกณฑ์การประเมินหลักสตู รไดค้ อื ต้องมีความเที่ยงตรง เช่ือถือ ได้ มคี วามเปน็ ปรนยั และมีประสิทธิภาพ 2.5 ขัน้ ตอนในการประเมนิ หลักสูตร การประเมินหลักสูตรเป็นกระบวนการในการพิจารณาคุณค่าหรือค่านิยม (Worth or Value) ของหลักสูตร ขั้นตอนหรือวิธีการประเมินจึงมีความสาคัญมาก ซ่ึงนักศึกษาหลายท่านได้ แสดงความคิดเห็นเกยี่ วกบั ขนั้ ตอนในการประเมินหลกั สตู รดงั น้ี Taba (1962: 324) ไดใ้ หแ้ นวทางในการประเมนิ ผลหลักสตู รเปน็ กระบวนการมีขั้นตอน ต่าง ๆ ดงั นี้ 1. วิเคราะห์และตีความวัตถุประสงค์ของหลักสูตรให้มองเห็นกระจ่างชัดในเชิง พฤติกรรม คือ ปฏิบัติได้จริง (Formulation and Clarification for Objective) 2. คัดเลือกและสร้างเคร่ืองมือที่เหมาะสมสาหรับค้นหลักสูตร (Selection and Construction of the Appropriate Instruments for Getting Evidences) 3. ใช้เครื่องมือท่ีสร้างขึ้นประเมินผลหลักสูตรตามเกณฑ์ท่ีต้ังไว้ (Application of Evaluative Criteria) 4. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภูมิหลังของนักเรียนและลักษณะของการสอนเพื่อนามา ประกอบในการแปลผลของการประเมิน (Information on the Background of Students and the Nature of Instruction in the light of Which to Interpret the Evidences) 5. แปลผลของการประเมินเพื่อนาไปปรับปรุงหลักสูตรและการสอนต่อไป (Translation of Evaluation Findings into Improvement of the Curriculum and Instruction) ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539: 198–202) และสุนีย์ ภู่พันธ์ (2546: 256) ได้เสนอ แนวคิดในการกาหนดข้ันตอนการประเมินหลักสูตรไว้สอดคล้องกันว่า ในการประเมินหลักสูตรน้ันผู้ ประเมนิ ควรดาเนนิ ตามข้นั ตอนอย่างเป็นระบบดังตอ่ ไปน้ี 1. ขั้นกาหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินหลักสูตร ผู้ประเมินหลักสูตรต้องกาหนด วตั ถุประสงคแ์ ละเป้าหมายของการประเมนิ ให้ชดั เจนก่อนว่าจะประเมินในส่วนใดหรือเร่ืองใด และใน แตล่ ะเรอื่ งจะศกึ ษาบางส่วนในเรอื่ งนัน้ ๆก็ได้ 2. ขัน้ วางแผนออกแบบการประเมิน 2.1 การกาหนดกลุ่มตัวอย่าง 2.2 การกาหนดแหลง่ ขอ้ มลู
36 2.3 การพัฒนาเครอ่ื งมือและวิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 2.4 การกาหนดเกณฑ์ในการประเมิน 2.5 การกาหนดเวลา 3. ขัน้ รวบรวมขอ้ มูล 4. ขั้นวิเคราะห์ขอ้ มูล 5. ขนั้ รายงานผลการประเมนิ นอกจากนี้ ไชยยศ ไพวิทยศิริธรรม (2550: 175-191) ได้เสนอข้ันตอนการประเมิน หลกั สตู รแบ่งเป็น 5 ขนั้ ตอน สรุปได้ดังนี้ 1. การบริหารจดั การกอ่ นการประเมนิ หลักสูตร 1.1 การกาหนดนโยบาย แนวทาง หลักการในการประเมนิ หลกั สตู ร 1.2 การแต่งตัง้ ทีมงานประเมินหลักสูตร 1.3 การเตรียมความพรอ้ มกอ่ นการประเมนิ หลักสูตร 2. การออกแบบการประเมนิ หลักสูตร 2.1 การกาหนดวตั ถุประสงค์การประเมินหลกั สูตร 2.2 การออกแบบการประเมินหลักสูตร 2.3 การวางแผนในการประเมินหลักสูตร 3. การดาเนินการประเมินหลักสูตร 3.1 การกาหนดตวั บ่งช้ีและเกณฑก์ ารประเมนิ หลักสตู ร 3.2 การกาหนดกลุ่มผใู้ หข้ อ้ มูล 3.3 การกาหนดเครือ่ งมือในการประเมนิ 3.4 การเก็บรวบรวบข้อมลู และการวิเคราะหข์ อ้ มลู 4. การรายงานผลและเผยแพร่ผลการประเมนิ หลักสตู ร 5. การรับรองผลการประเมินหลกั สูตร จากข้นั ตอนในการประเมินหลักสตู รทก่ี ล่าวมา สรปุ ขน้ั ตอนการประเมินหลักสูตรไดด้ ังน้ี 1. ขัน้ กาหนดวัตถปุ ระสงคห์ รือจุดมุ่งหมายในการประเมิน การกาหนดจุดมุ่งหมายใน การประเมินเป็นข้ันตอนแรกของกระบวนการในการดาเนินการประเมินหลักสูตร ผู้ประเมินต้อง กาหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการประเมินให้ชัดเจนว่าจะประเมินอะไร ในส่วนใด ด้วย วตั ถปุ ระสงคอ์ ยา่ งไร เชน่ ตอ้ งการประเมนิ เอกสารหลกั สูตรเพอ่ื ดวู า่ เอกสารหลักสูตรถูกต้อง สมบูรณ์ สามารถนาไปใชไ้ ดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพมากแค่ไหน หรือจะประเมนิ การนาหลักสตู รไปใชใ้ นเร่อื งอะไร แค่ไหนหรือการนาหลกั สตู รไปใชท้ ้ังหมด หรือประเมนิ หลักสตู รทง้ั ระบบ การกาหนดวัตถุประสงค์ใน การประเมินที่ชดั เจนทาให้เราสามารถกาหนดวธิ ี เครอื่ งมอื และขน้ั ตอนในการประเมนิ ได้อย่างถูกต้อง และทาใหก้ ารประเมินหลักสตู รดาเนินไปอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ และได้ผลถกู ต้องเปน็ ทีเ่ ชอื่ ถอื ได้ 2. ข้ันกาหนดหลักเกณฑ์วิธีการทีจ่ ะใช้ในการประเมนิ ผล การกาหนดเกณฑ์และวิธีการ ประเมินเปรยี บเสมือนเขม็ ทิศทจี่ ะนาไปสเู่ ปา้ หมายของการประเมินเกณฑ์การประเมินเป็นเคร่ืองบ่งช้ี คุณภาพของหลักสูตรท่ีถูกประเมิน การกาหนดวิธีการท่ีจะใช้ในการประเมินผลทาให้เราสามารถ ดาเนนิ งานไปตามข้นั ตอนอยา่ งราบร่ืน
37 3. ข้ันการสร้างเคร่ืองมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน หรือเคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นสิ่งที่มีความสาคัญท่ีจะมีผลทาให้การประเมินนั้น น่าเช่ือถือมากน้อยแค่ไหน ข้ันตอนการสรา้ งเครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการประเมินหรือเคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมูลมีหลายอย่าง ซ่ึงผู้ประเมินจะต้องเลือกใช้และสร้างอย่างมีคุณภาพ มีความเชื่อถือได้ และมคี วามเทยี่ งตรงสูง 4. ขนั้ เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ในขนั้ การรวบรวมข้อมูลนัน้ ผูป้ ระเมนิ ต้องเก็บรวบรวมข้อมูล ตามขอบเขตและระยะเวลาท่ีได้กาหนดไว้ ในบางครั้งถ้าจาเป็นต้องอาศัยผู้อื่นในการรวบรวมข้อมูล ควรพิจารณาผทู้ ีจ่ ะมาทาหน้าท่เี ก็บรวบรวมข้อมูลทมี่ ีความเหมาะสม เพราะผ้เู กบ็ รวบรวมข้อมูลมีส่วน ชว่ ยให้ข้อมูลทรี่ วบรวมได้มีความเที่ยงตรงและน่าเช่ือถือ 5. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล ในขั้นน้ีผู้ประเมินจะต้องกาหนดวิธีการการจัดระบบข้อมูล พิจารณาเลือกใช้สถิติในการใช้ข้อมูลที่เหมาะสม แล้วจึงวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลเหล่าน้ันอโดย เปรียบเทียบกับเกณฑ์ทไี่ ด้กาหนดไว้ 6. ขน้ั สรุปผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู และรายงานผลการประเมนิ ในขนั้ น้ีผปู้ ระเมินจะสรุป และรายงานผลจากการวเิ คราะหข์ ้อมลู ในข้ันตน้ ผูป้ ระเมนิ จะตอ้ งพจิ ารณารูปแบบของการรายงานผล ว่าควรจะเป็นรูปแบบใด และการรายงานผลจะมุ่งเสนอข้อมูลที่บ่งชี้ให้เห็นว่าหลักสูตรมีคุณภาพ หรือไม่ เพียงใด มสี ว่ นใดบ้างทค่ี วรแก้ไข ปรับปรงุ หรือยกเลกิ 2.6 ประโยชนข์ องการประเมนิ หลกั สตู ร การประเมินผลหลักสูตรเป็นสิ่งสาคัญและส่ิงจาเป็นอย่างย่ิงที่จะทาให้เราทราบถึง คุณภาพและประสทิ ธิภาพของหลักสูตร การประเมนิ ผลมีประโยชนใ์ นการจัดการศึกษาการจัดทาหรือ พัฒนาหลกั สูตรตอ้ งอาศยั ผลจากการประเมินผลเป็นสาคัญ ประโยชน์ของการประเมินผลหลักสูตรมี ดังน้ี (สนุ ีย์ ภพู่ นั ธุ์, 2546: 257–258) 1. ทาให้ทราบว่าหลักสูตรท่ีสร้างหรือพัฒนาขึ้นน้ันมีจุดดีหรือจุดเสียตรงไหน ซ่ึงจะ เปน็ ประโยชน์ในการวางแผนปรับปรุงไดถ้ กู จุด สง่ ผลใหห้ ลกั สตู รมีคุณภาพดยี ่ิงขึน้ 2. สร้างความน่าเช่ือถือ ความม่ันใจและค่านิยมท่ีมีต่อโรงเรียนให้เกิดข้ึนในหมู่ ประชาชน 3. ชว่ ยในการบรหิ ารทางด้านวิชาการ ผูบ้ ริหารจะได้รู้วา่ ควรจะตัดสินใจและสนับสนุน ช่วยเหลือหรือบรกิ ารทางใดบ้าง 4. สง่ เสรมิ ให้ประชาชนมคี วามเข้าใจในความสาคญั ของการศกึ ษา 5. ส่งเสริมให้ผู้ปกครองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรงเรียนมากยิ่งขึ้น ท้ังนี้เพ่ือให้การ เรียนการสอนนักเรียนได้ผลดีดว้ ยความรว่ มมอื กันท้งั ทางโรงเรยี นและทางบา้ น 6. ให้ผู้ปกครองทราบความเป็นไปอย่างสม่าเสมอ เพื่อหาทางส่งเสริมและปรับปรุง แก้ไขรว่ มกันระหว่างผู้ปกครองนักเรียนกับทางโรงเรียน 7. ช่วยให้การประเมินผลเป็นระบบระเบียบ เพราะมีเครื่องมือและหลักเกณฑ์ทาให้ เปน็ เหตผุ ลในทางวทิ ยาศาสตรม์ ากข้ึน 8. ชว่ ยชใ้ี ห้เห็นถงึ คณุ ค่าของหลักสูตร ช่วยให้สามารถวางแผนการเรยี นในอนาคตได้
38 ข้อมูลของการประเมินผลหลักสูตรทาให้ทราบเป้าหมายแนวทาง และขอบเขตในการดาเนินการจัด การศึกษาของโรงเรยี น จากแนวคิดดังกล่าวสามารถสรุปได้ว่าการประเมินหลักสูตรทาให้ทราบว่าหลักสูตรท่ี สร้างข้ึนน้ันมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร สามารถนาข้อมูลที่ได้จากการประเมินไปพัฒนาหลักสูตรให้มี คณุ ภาพต่อไป 2.7 รปู แบบของการประเมินหลกั สูตร รูปแบบการประเมนิ มีอยู่หลายรูปแบบ ดงั นั้นในการออกแบบประเมิน ผู้ประเมินจะต้อง พิจารณาว่าจะดาเนินการประเมินอยา่ งไร จึงจะทาให้ผลการประเมินที่ถกู ตอ้ งตามสภาพความเป็นจริง ครอบคลมุ และตอบสนองความต้องการของผู้ที่จะใช้ผลประเมิน ถ้าพิจารณาให้ละเอียด รูปแบบการ ประเมินบางรูปแบบจะมีความคล้ายคลึงกัน รูปแบบของการประเมินหลักสูตร มีนักวิชาการซึ่ง เช่ียวชาญทางด้านหลกั สูตรและการประเมินผลเสนอแนะหลายรูปแบบดว้ ยกัน ซงึ่ สามารถนามาศึกษา เพอ่ื เลอื กใชใ้ ห้เหมาะสมกับความต้องการ ในปัจจบุ นั รูปแบบของการประเมินหลักสตู รสามารถแบ่งได้ เปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ (สนุ ยี ์ ภ่พู นั ธ์, 2546: 259) 1. รูปแบบของการประเมินหลักสูตรที่สร้างเสร็จใหม่ๆ เป็นการประเมินผลก่อนนา หลักสูตรไปใช้ กลุ่มน้ีจะเสนอรูปแบบที่เด่น ๆ คือ รูปแบบการประเมินหลักสูตรด้วยเทคนิคการ วิเคราะหแ์ บบปุยแซงค์ (Puissance Analysis Technique) 2. รปู แบบของการประเมนิ หลกั สูตรในระหว่างหรือหลังการประเมินหลักสูตรสามารถ แบ่งเปน็ กล่มุ ย่อย ๆ ได้เป็น 4 กล่มุ ดงั นี้ 2.1 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดจุดมุ่งหมายเป็นหลัก (Goal Attainment Model) เป็นรปู แบบการประเมินทีจ่ ะประเมนิ วา่ หลักสตู รมีคุณค่ามากน้อยเพียงใด โดยพิจารณาจาก จุดมุ่งหมายเป็นหลัก กล่าวคือพิจารณาว่าผลที่ได้รับเป็นไปตามจุดมุ่งหมายหรือไม่ เช่น รูปแบบการ ประเมินหลกั สูตรของ Tyler และรปู แบบการประเมนิ หลกั สตู รของ Hammond 2.2 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ไม่ยึดเป้าหมาย (Goal Free Evaluation Model) เป็นรูปแบบการประเมินท่ีไม่นาความคิดของผู้ประเมินเป็นตัวกาหนดความคิดในโครงการประเมินผู้ ประเมินจะประเมนิ เหตุการณท์ ่ีเกิดตามสภาพความเป็นจริงมีความเป็นอิสระในการประเมินและต้อง ไม่มีความลาเอียง เช่น รปู แบบการประเมินหลักสตู รของ Scriven 2.3 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดเกณฑ์เป็นหลัก (Criterion Model) เป็น รูปแบบการประเมินที่ตอ้ งอาศัยผเู้ ชย่ี วชาญในการตดั สนิ คุณค่าของหลักสูตรโดยใช้เกณฑ์เป็นหลัก เช่น รูปแบบการประเมินหลักสูตรของ Stake 2.4 รูปแบบการประเมินหลักสูตรท่ีช่วยในการตัดสินใจ (Decision–Making Model) เป็นรูปแบบการประเมินที่เน้นการทางานอย่างมีระบบเก่ียวกับการรวบรวมข้อมูล การ วิเคราะห์ข้อมูล และการเสนอผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลนั้น ๆ เพ่ือช่วยในการตัดสินใจของ ผู้บริหารหรือผู้ที่เก่ียวข้อง เช่น รูปแบบการประเมินหลักสูตรของ Provus รูปแบบการประเมิน หลกั สตู รของ Stufflebeam และรปู แบบการประเมนิ หลักสูตรของ Doris T. Gow เป็นตน้
39 การประเมินหลักสูตรมีขอบเขตต่าง ๆ ท่จี ะตอ้ งทาการประเมินกว้างขวางมาก ดังน้ันวิธีการ ประเมินหลักสูตรจึงต้องได้รับการวิเคราะห์และออกแบบให้สามารถที่จะประเมินได้ครบถ้วนใน ขอบข่ายสาระท้ังหมด รูปแบบต่าง ๆ ที่จะใช้ในการประเมินผลมีอยู่หลายรูปแบบ ผู้มีหน้าท่ีในการ ประเมินผลจาเป็นต้องเรียนรู้ทาความเข้าใจให้กระจ่างชัด และจะต้องนารูปแบบต่าง ๆ ไปใช้อย่าง ถกู ตอ้ งตรงตามจดุ หมายและลักษณะของขอบขา่ ยสาระแต่ละอย่าง ท้ังน้ีเป็นไปได้ว่า การประเมินผล ขอบข่ายสาระท้งั หมดของหลักสูตรจาเปน็ ตอ้ งใชว้ ธิ ีการหลายวธิ หี รือหลาย ๆ รูปแบบ จึงจะได้ข้อมูลที่ มีความเช่ือ ม่ั นในก าร ที่ จะ นาไปพัฒ น าหลัก สูตร ให้มีคุ ณค่ าเหมาะสมกั บคว าม ต้ อ งก ารของ สัง คม รปู แบบการประเมนิ มีดงั น้ี รปู แบบการประเมนิ หลกั สูตรของปุยแซงส์ (The Puissance Analysis Technique) ปุยแซงส์เทคนิคเปน็ วธิ ีการประเมินผลหลักสตู รแบบหนึ่ง โดยการวิเคราะห์หลักสูตรในด้าน องค์ประกอบ 3 ส่วนของ Tyler คือ 1) วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objective) 2) กจิ กรรมการเรยี นการสอน (Instruction Activity) และ3) การประเมินผล (Assessment Task) โดย องค์ประกอบท้งั สามต้องมคี วามสอดคล้องสัมพนั ธก์ ันและกนั ดงั ตารางของปุยแซงส์ เมื่อวิเคราะห์และ คดิ คานวณโดยใช้หลักสูตรของปุยแซงส์ แล้วผลที่ได้รับจะทาให้รู้ว่าคุณภาพของหลักสูตรอยู่ในระดับ ใด การประเมินผลหลักสูตร จะต้องรวบรวมจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม กิจกรรมการเรียนการสอน วัสดุการเรียน และเทคนคิ การวดั ผลตา่ ง ๆ ของหน่วยย่อย ๆ ทั้งหมดในหลักสูตร เพ่ือใส่ลงในตาราง วิเคราะห์ปุยแซงส์ (The Puissance Analysis Matrix) ผลการวิเคราะห์จะเป็นตัวเลขชี้ให้เห็นว่า หลักสูตรมีคุณภาพอยู่ในระดับใด การประเมินหลักสูตรโดยใช้วิธีการวิเคราะห์แบบปุยแซงส์น้ี Walbesseer ได้นาแนวความคิดของไทเลอร์ (Tyler) เก่ียวกับองค์ประกอบสาคัญในการสร้าง หลักสตู รซึ่งมที ั้งหมด 3 ส่วนที่สัมพันธ์กัน คือ จุดประสงค์ ประสบการณ์การเรียนรู้หรือกิจกรรมการ เรยี นการสอน และการประเมินผลการเรียนรู้ หรือท่ีเรียกความสัมพันธ์นี้ว่า “วงแหวนของไทเลอร์” (Tyler Loop) Walbesseer ไดน้ าองค์ประกอบของท้ัง 3 ส่วนมาวิเคราะห์โดยใช้ตารางวิเคราะห์ปุย แซงส์ นอกจากน้ี Walbesseer ยังนาหลักการและทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับรูปแบบการเรียนรู้ของ Gagne ซึ่งได้แก่ รูปแบบของการเรียนรู้ (Learning Types) และพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ แสดงออกมาให้เห็นได้ (Performance Classes) มาสรา้ งเป็นตารางวิเคราะห์ปุยแซงค์ Gagne (อ้าง ถงึ ใน สุนีย์ ภ่พู นั ธ์, 2546: 276-278) ได้กลา่ วถึง องคป์ ระกอบการเรียนและพฤติกรรมการเรียนรู้ว่ามี 2 มติ ิ คือ มิตทิ ี่ 1 ความรู้ที่ให้แก่ผู้เรียน มี 6 รูปแบบ แต่ละรูปแบบจะให้ค่าของความรู้แตกต่าง กนั ตามลาดับ ดังน้ี 1. ความรู้แบบลูกโซ่ ครูมุ่งสอนให้ผู้เรียนได้รับความรู้ โดยสอนให้ผู้เรียนสามารถทา อะไรให้เป็นลาดับขั้นตอนตอ่ เนือ่ งไปไดเ้ ชน่ ท่อง บรรยาย เป็นแลว้ นึกออกมีค่าเท่ากับ 1 คะแนน 2. ความรู้แบบเช่ือมโยงโดยใช้คาพูด ครูที่มุ่งสอนให้ผู้เรียนรู้จักลาดับขั้นตอน อธิบาย เชือ่ มโยงดว้ ยคาพดู เช่น การทอ่ งกลอนใช้คาพดู ทเ่ี กีย่ วข้องมคี า่ เทา่ กับ 2 คะแนน 3. ความรู้แบบผสมผสาน ครูมุ่งสอนให้ผู้เรียนสามารถผสมผสานส่ิงที่เรียนมาได้ ตอ้ งการใหจ้ าแนกแยกแยะ เปรียบเทียบความแตกตา่ ง เชน่ สามารถแยกไม้ดอกไม้ประดับได้ แยกพืช ใบเลี้ยงค่ใู บเลี้ยงเดย่ี วได้ เปน็ ต้น มีค่าเทา่ กบั 3 คะแนน
40 4. ความรู้แบบความคิดรวบยอด ผู้เรียนท่ีได้รับความรู้แบบน้ีจะเข้าใจในสิ่งท่ีเรียนได้ ถูกต้อง เช่น รู้ว่านกเป็นอย่างไร มีปีก 2 ปีก ขา 2 ขา สามารถบินได้ คือการรู้วิธีการเข้าใจการเกิด ความคิดรวบยอดและสรุปได้ มีค่าเท่ากับ 4 คะแนน 5. ความรแู้ บบหลักการ ผู้เรียนที่ได้ความรู้ข้ันนี้สามารถจะผสมผสานแนวคิดหลาย ๆ แนวคิดเข้ากัน ทาให้เกิดหลักการใหม่ รู้กฎเกณฑ์ เกิดความสนใจ สรุปหลักการได้มีค่าเท่ากับ 5 คะแนน 6. ความรูแ้ บบแก้ปัญหา ผู้เรียนได้รับความรู้ขั้นน้ีจะสามารถใช้ความรู้ใช้แก้ปัญหาได้ อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น โลหะทุกชนิดเม่ือได้รับความร้อนจะขยายตัวการต่อรางรถไฟจึงต้องเว้น ระยะไว้เพ่อื ให้โลหะขยายตวั ปอ้ งกันการโก่งตัวของเหล็ก ความรรู้ ะดับน้ีเป็นความรู้ท่ีสูงสุดมีค่าเท่ากับ 6 คะแนน มิติที่ 2 มิติที่เกย่ี วกับพฤติกรรมการเรียนรู้ มีผลมาจากความรู้ท่ีได้ทั้ง 6 ขั้นระดับของ พฤติกรรมนแี้ บ่งได้เป็น 3 ระดับ 9 ขั้นตอนคือ ระดบั ที่ 1 เป็นระดบั พฤติกรรมที่งา่ ยท่สี ุด มีคา่ เท่ากบั 1 คะแนน มี 3 ข้ัน 1.1 การบอกช่ือหรือช้ีเพื่อแสดงถึงการสามารถที่จาสิ่งท่ีเรียนได้ การเรียกช่ือ สง่ิ ของได้ ครชู ้ีแลว้ เดก็ สามารถบอกชอื่ ได้ 1.2 การเลือกหรือการบอกลักษณะ บอกลักษณะของส่ิงของได้ บอกลักษณะของ สตั วไ์ ด้ 1.3 การบอกกฎเกณฑ์ บอกกฎเกณฑ์ที่ท่องไว้ได้ เช่น การท่องสูตรคูณโดยมาก แล้วเป็นความรู้ขั้น fact, concept และ principle ซ่งึ เปน็ Cognitive Domain เป็นส่วนใหญ่ ระดบั ที่ 2 เปน็ ระดบั พฤตกิ รรมการเรยี นรู้มคี ่าปานกลาง มี 2 ขนั้ แต่ละข้ันมีค่าเท่ากับ 2 คะแนน 2.1 การลาดบั หมายถึง การเรียงลาดบั ได้ถกู ต้อง เช่น การเรยี งลาดับกษัตริย์ที่ทรง เป็นมหาราชของไทยได้ การเรียงลาดบั อักษรไทยได้ เปน็ ต้น 2.2 การสาธติ แสดงเป็นตัวอย่าง เชน่ การสาธติ การไหว้ ระดับที่ 3 เป็นระดับพฤติกรรมทางการเรียนรู้ที่มีค่ามากท่ีสุด มี 4 ข้ันตอน แต่ละ ขน้ั ตอนมคี ่าเทา่ กับ 3 คะแนน คือ 3.1 การสร้างสิ่งใดสิง่ หนงึ่ เช่น การสรา้ งรูปแบบ (Model) 3.2 การอธบิ ายหรือบรรยาย สามารถบรรยายได้ถกู ต้องตามกาหนด เช่น บรรยาย คุณลกั ษณะผ้ทู ่มี ีลักษณะเป็นนกั บรหิ าร นักประชาธปิ ไตย นกั แนะแนว เปน็ ต้น 3.3 การจาแนกหรอื แยกแยะให้จาแนกแยกแยะประเภทของสิ่งของได้ เช่น สัตว์น้า สตั ว์บก สัตวค์ รง่ึ บกครึง่ นา้ สตั วม์ กี ระดูกสันหลัง และสัตวท์ ี่ไมม่ ีกระดูกสันหลัง เปน็ ตน้ 3.4 การประยุกตใ์ ชก้ ฎเกณฑ์คอื การเรียนรู้กฎเกณฑ์แล้วนาไปใช้ได้ เช่น a2 – b2= (a - b) (a + b ) 102 - .252= (10 + .5) (10 - .5) ตามหลักการเรยี นรขู้ อง Gagne ความรหู้ รอื พฤตกิ รรมการเรียนรู้ท่ียากหรืออยู่ในอันดับ สูง มากเทา่ ใด ก็จะเปน็ ความรหู้ รือพฤติกรรมการเรียนรู้ท่ีลึกซ้ึงและสามารถนาส่ิงที่เรียนไปใช้ให้เป็น
41 ประโยชน์ได้มากขึ้นเท่าน้ัน ดังน้ันหลักสูตรใดที่มุ่งสอนให้ผู้เรียนมีความรู้และแสดงพฤติกรรมการ เรยี นรู้ข้นั สูงขึ้นได้ หลกั สูตรน้นั นับวา่ เป็นหลักสตู รทีม่ คี ณุ ภาพดี รูปแบบการประเมนิ หลกั สตู รของ Tyler Tyler (1969) เป็นผู้ที่วางรากฐานการประเมินหลักสูตร โดยเสนอแนะแนวคิดว่าการ ประเมนิ หลกั สูตรเปน็ การเปรยี บเทยี บวา่ พฤตกิ รรมของผูเ้ รยี นท่เี ปลี่ยนแปลงไปเป็นไปตามจดุ มุ่งหมาย ที่ไดต้ ้งั ไวห้ รอื ไม่ โดยการศกึ ษารายละเอยี ดขององคป์ ระกอบของกระบวนการจดั การศึกษา 3 ส่วนคือ จุดมุ่งหมายทางการศึกษา ประสบการณ์การเรียนรู้ และการพิจารณาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ ผเู้ รยี น ดงั แผนภาพท่ี 2 จดุ มุ่งหมายของการศึกษา ประสบการณเ์ รยี นรู้ การพิจารณาผลสัมฤทธ์ิ แผนภาพท่ี 2 ความสัมพันธ์ระหวา่ งองค์ประกอบทางการศึกษา (Tyler, 1969: 116) จากแผนภาพท่ี 2 แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทางการศึกษาตามแนวคิดของ Tyler ตามแนวคิดนี้พื้นฐานของการจัดหลักสูตรก็คือ ผู้จัดทาหลักสูตรจะต้องสามารถวางจุดหมายท่ี ชัดเจนว่าต้องการให้ผู้เรียนเปลี่ยนหรือมีพฤติกรรมเป็นอย่างไรพยายามจัดประสบการณ์การสอนเพ่ือ ช่วยผ้เู รยี นให้เปลย่ี นพฤตกิ รรมไปตามทตี่ อ้ งการ บทบาทของการประเมินหลักสูตรเป็นส่วนหนึ่งของการ เรียนการสอนและเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาหลักสูตรจึงอยู่ท่ีการดูผลผลิตของหลักสูตรว่าตรงตาม จดุ มงุ่ หมายหรือไม่ แนวคิดของ Tyler จึงยึดความสาเร็จของจุดหมายเป็นหลัก Tyler มีความเห็นว่า จดุ มงุ่ หมายของการประเมินหลักสูตรคือ 1. เพ่ือตัดสินว่าจุดมุ่งหมายของการศึกษาที่ต้ังไว้ในรูปของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ประสบความสาเรจ็ หรือไม่ สว่ นใดท่ีประสบความสาเร็จก็อาจเก็บไว้ใช้ได้ต่อไป แต่ส่วนใดที่ไม่ประสบ ความสาเร็จควรจะปรับปรุงแก้ไข 2. เพื่อประเมินค่าความก้าวหน้าทางการศึกษาของกลุ่มประชากรขนาดใหญ่เพ่ือให้ สาธารณชนได้ข้อมูลท่ีน่าเช่ือถือและเข้าใจปัญหาความต้องการของการศึกษา และเพื่อใช้ข้อมูลนั้น เป็นแนวทางในการปรับปรงุ นโยบายทางการศึกษาท่ีคนส่วนใหญ่เห็นด้วยเหตุน้ีการประเมินหลักสูตร จึงเป็นสว่ นหน่ึงของการเรียนการสอนและของการประเมนิ คณุ คา่ ของหลกั สูตรด้วย Tyler (1969) ไดจ้ ัดลาดับข้นั ตอนการเรยี นการสอนและการประเมินผล ดงั นี้ 1. กาหนดจุดมุ่งหมายอย่างกว้าง ๆ โดยการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ในการกาหนด จุดมุ่งหมาย (Goal Sources) คือนักเรียน สังคม และเนื้อหาสาระส่วนปัจจัยท่ีกาหนดขอบเขตของ จุดมุง่ หมาย (Goal Sources) คอื จติ วทิ ยาการเรยี นรู้ และปรชั ญาการศึกษา 2. กาหนดจุดประสงค์เฉพาะหรือจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมอย่างชัดเจน ซึ่งจะเป็น พฤติกรรมท่ีตอ้ งการวดั หลงั จากจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้
42 3. กาหนดเนอ้ื หาหรอื ประสบการณก์ ารเรียนรเู้ พ่ือใหบ้ รรลุจดุ มุ่งหมายท่ีต้ังไว้ 4. เลือกวิธีการเรียนการสอนที่เหมาะสมที่จะทาให้เนื้อหาหรือประสบการณ์ที่วางไว้ ประสบความสาเร็จ 5. ประเมินผลโดยการตัดสินใจด้วยการวัดผลทางการศึกษา หรือทดสอบผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน 6. หากหลกั สตู รไม่บรรลตุ ามจดุ มุง่ หมายที่วางไว้ กจ็ ะตอ้ งมีการตดั สินใจที่จะยกเลิกหรือ ปรับปรุงหลักสูตรน้ัน แต่ถ้าบรรลุตามจุดมุ่งหมายก็อาจจะใช้เป็นข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) เพื่อ ปรบั ปรุงการกาหนดจุดมุ่งหมายให้สอดคล้องกับสังคมท่ีเปลี่ยนแปลง หรือใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนา คณุ ภาพของหลักสูตร วธิ กี ารประเมนิ ภาคขยายของ Tyler Tyler (1969) มีความเช่ือว่าการประเมินค่าโปรแกรมเป็นกระบวนการท่ีช่วยสร้าง พัฒนา ปรับปรุง และทาให้โปรแกรมทางการศึกษาที่มีคุณภาพดารงอยู่อย่างย่ังยืน สาระของการประเมิน สรปุ ไดด้ ังนี้ (สมหวัง พธิ ิยานุวัฒน์, 2541: 130–131) การประเมินคา่ วัตถปุ ระสงค์ โปรแกรมทางการศึกษาทม่ี อี ยมู่ ากมายและมีความหลากหลาย ก็ด้วยวัตถุประสงค์ของโปรแกรมที่ต้องการเน้นในจุดท่ีแตกต่างกัน และในบางครั้งวัตถุประสงค์ของ โปรแกรมกถ็ กู บดิ เบือนไปจากหลักการที่ควรจะเปน็ เพราะส่ิงทีเ่ นน้ ในวตั ถุประสงค์ของโปรแกรมไม่ได้ นามาพิจารณาให้เหมาะสม ในการประเมินโปรแกรมเพ่ือวัตถุประสงค์ในการพัฒนาและการให้ทุน สนับสนุนหรือส่งเสริมโปรแกรมต่างๆจึงมีความจาเป็นท่ีต้องประเมินวัตถุประสงค์ของโปรแกรม การศึกษาดว้ ยเกณฑด์ งั นี้ เกณฑ์ 1 วัตถุประสงค์ควรเปน็ เรือ่ งทส่ี อดคล้องกับปรัชญาทางการศึกษาของสถาบัน เกณฑ์ 2 วัตถปุ ระสงคค์ วรมีความเกี่ยวข้องและเหมาะสมกับเน้อื หาวชิ าในรายวชิ านน้ั ๆ เกณฑ์ 3 วตั ถุประสงค์ที่เสนอไว้ในโปรแกรมควรเป็นสิ่งที่ผู้เรียนจะได้มีโอกาสในการใช้ ส่งิ ทเี่ ขาจะได้เรียนรไู้ ป นั่นคอื สงิ่ ทีเ่ ขาจะไดเ้ รยี นรู้จะเป็นประโยชน์กบั เขาในทางปฏบิ ัติ เกณฑ์ 4 วตั ถปุ ระสงค์ควรมคี วามเหมาะสมในแง่ท่ีเป็นความต้องการ ความสนใจ และ เหมาะสมกับพัฒนาการของผู้เรียน และในกรณีท่ีเป็นวัตถุประสงค์ท่ีสาคัญแต่ผู้เรียนไม่สนใจใน โปรแกรมก็ควรที่จะกาหนดวัตถุประสงค์เพื่อที่จะพัฒนาแรงจูงใจในการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์นั้น ดว้ ย รูปแบบการประเมนิ หลักสตู รของ Hammond Hammond (1967) มีแนวคิดในการประเมินหลักสูตรโดยยึดจุดประสงค์เป็นหลักคล้าย Tyler แต่ Hammond ได้เสนอแนวคิดท่ีต่างจากTyler โดยที่ Hammond เสนอว่า โครงสร้าง สาหรับการประเมินนั้นประกอบด้วยมิติ (Dimensions) ใหญ่ ๆ หลายมิติด้วยกัน แต่ละมิติก็จะ ประกอบดว้ ยตวั แปรสาคัญ ๆ อีกหลายตวั แปร ความสาเร็จหรอื ความล้มเหลวของหลักสูตร ข้ึนอยู่กับ การปะทะสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างตวั แปรในมิติตา่ ง ๆ เหล่าน้ี มิตทิ ง้ั 3 ได้แก่ มติ ิด้านการเรียน การสอน มิตดิ า้ นสถาบัน และมติ ดิ า้ นพฤตกิ รรม 1. มติ ิดา้ นการสอน ประกอบดว้ ยตัวแปรสาคัญ 5 ตวั แปรคอื
43 การจัดชั้นเรียนและตารางสอน คือการจัดครูและนักเรียนให้พบกัน และดาเนิน กิจกรรมการเรียนการสอน ซ่งึ สว่ นการจดั ในสว่ นนีจ้ ะตอ้ งคานึงถึงเวลาและสถานท่ีด้วย เน้ือหาวิชา หมายถึง เนื้อหาวิชาที่จะนามาจัดการเรียนการสอน การจัดลาดับ เนอื้ หาให้เหมาะสมกับระดบั วุฒภิ าวะของผเู้ รยี นและชัน้ เรียนแตล่ ะระดบั วิธีการ หมายถึง หลักการเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนรวมท้ัง ปฏิสัมพันธ์ระหวา่ งครูกับนกั เรยี น และนักเรียนกับนักเรยี น สง่ิ อานวยความสะดวกตา่ ง ๆ หมายถงึ สถานที่ อปุ กรณ์ เครอ่ื งมอื และอุปกรณ์พิเศษ ห้องปฏิบตั ิการ วสั ดุส้ินเปลืองตา่ งๆ รวมถงึ สง่ิ ทีม่ ีผลต่อการใช้หลกั สตู ร และการสอนดา้ นอืน่ งบประมาณ หมายถึง เงินท่ีใช้เพื่ออานวยความสะดวกในการจัดการเรียนการสอน การซ่อมแซม เงินเดือนครู คา่ จา้ งบุคลากรท่จี ะทาใหง้ านการใช้หลกั สูตรประสบความสาเรจ็ 2. มิติด้านสถาบัน ประกอบด้วยตัวแปรท่ีควรคานึงถึงในการประเมินหลักสูตร 5 ตัว แปร คอื นักเรียน มีองค์ประกอบท่ีต้องคานึงถึงในการประเมินหลักสูตรได้แก่ อายุ เพศ ระดบั ชั้นท่ีกาลังศึกษา ความสนใจ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สุขภาพกายและสุขภาพจิต ภูมิหลังทาง ครอบครัว ครู มอี งคป์ ระกอบที่ต้องคานงึ ถึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ อายุ เพศ วุฒิสูงสุด ทางการศึกษา ประสบการณ์ทางการสอน เงินเดือน กิจกรรมที่ทาเวลาว่าง การฝึกอบรมเพิ่มเติม เก่ยี วกับการใช้หลักสตู รในชว่ งระยะเวลา 1-3 ปี และความพึงพอใจในการปฏบิ ตั ิงาน ผ้บู ริหาร มอี งคป์ ระกอบทต่ี ้องคานึงถงึ ในเวลาประเมินหลกั สูตร ได้แก่ อายุ เพศ วุฒิ สูงสุดทางการศึกษา ประสบการณ์ทางการบริหาร เงินเดือน ลักษณะทางบุคลิกภาพ การฝึกอบรม เพ่ิมเติมเกี่ยวกับการใช้หลักสูตรในช่วงระยะเวลา 1-3 ปี และความพึงพอใจในการปฏิบัติงานด้าน วิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ มีองค์ประกอบท่ีต้องคานึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ อายุ เพศ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านลักษณะของการให้คาปรึกษาหรือช่วยเหลือลักษณะทางบุคลิกภาพและ ความพึงพอใจในการปฏบิ ตั งิ าน ครอบครัว มีองค์ประกอบที่ต้องคานึงถึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ สถานภาพ สมรส ขนาดของครอบครัวรายได้ สถานท่ีอยู่ การศึกษา การเป็นสมาชิกของสมาคม การโยกย้าย จานวนบตุ รทีอ่ ยู่ในโรงเรยี นนี้ และจานวนญาตทิ อี่ ย่รู ว่ มโรงเรียน ชุมชน มีองค์ประกอบที่ต้องคานึงถึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ สภาพชุมชน จานวนประชากร การกระจายของอายุประชากร ความเช่ือ (ค่านิยม ประเพณี ศาสนา) ลักษณะทาง เศรษฐกจิ สภาพการใหบ้ ริการสุขภาพอนามยั และการรับนวตั กรรมเทคโนโลยี 3. มิติด้านพฤติกรรม มีองค์ประกอบของพฤติกรรม 3 ด้าน คือพฤติกรรมด้านความรู้ (Cognitive Domain) พฤติกรรมด้านทักษะ (Psychomotor Domain) และพฤติกรรมด้านเจตคติ (Affective Domain)
44 แนวความคิดการประเมินหลกั สูตรของ Hammond เร่ิมดว้ ยการประเมินหลักสูตรท่ี กาลงั ดาเนนิ การอยูใ่ นปัจจุบัน เพอ่ื ให้ได้ข้อมูลเปน็ พนื้ ฐานทจ่ี ะนาไปสู่การตัดสินใจ แล้วจึงเร่ิมกาหนด ทิศทางและกระบวนการของการเปลย่ี นแปลงหลักสตู รขน้ั ตอนของการประเมนิ หลักสตู รมีดงั น้ี 1. กาหนดส่ิงที่ต้องการประเมิน ควรจะเริ่มต้นท่ีวิชาใดวิชาหนึ่งในหลักสูตร เช่น ภาษาไทย คณิตศาสตร์ และจากดั ระดับชน้ั เรียน 2. กาหนดตัวแปรในมิตกิ ารสอนและมิติสถาบันใหช้ ดั เจน 3. กาหนดจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม โดยระบถุ ึง 1) พฤติกรรมของนักเรียนท่ีแสดงว่า ประสบความสาเร็จตามจุดประสงค์ท่ีกาหนด 2) เงื่อนไขของพฤติกรรมท่ีเกิดขึ้น 3) เกณฑ์ของ พฤติกรรมท่บี อกใหร้ วู้ า่ นักเรยี นประสบความสาเร็จตามจุดประสงค์ มากน้อยเท่าใด 4. ประเมินพฤติกรรมที่ระบุไว้ในจุดประสงค์ ผลที่ได้จากการประเมินจะเป็น ตัวกาหนดทพ่ี ิจารณาหลกั สูตรท่ดี าเนินการใช้อยเู่ พ่ือตดั สนิ รวมท้งั การปรับปรุงเปล่ียนแปลงหลกั สตู ร 5. วิเคราะห์ผลภายในองค์ประกอบและความสันพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปเก่ียวกับพฤติกรรมแท้จริงที่เกิดข้ึน ซึ่งจะเป็นผลสะท้อนกลับไปสู่วัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรมที่ตงั้ ไว้ และเป็นการตดั สินว่าผลหลกั สูตรนน้ั มีประสทิ ธภิ าพเพียงใด 6. พจิ ารณาส่งิ ทคี่ วรเปลีย่ นแปลงปรบั ปรุง แนวคิดในการประเมินหลักสูตรของ Hammond ใช้แนวคิดของTyler เป็นพื้นฐาน ในการกาหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม และการใช้ข้อมูลจากการประเมินผลในการปรับปรุง จุดประสงคข์ องหลกั สูตรนัน้ แต่ Hammond ให้แนวทางท่ีเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ตัวแปรของ มติ ดิ ้านการสอน และมิตดิ า้ นสถาบนั ซ่ึงอาจมผี ลต่อการสาเร็จของหลกั สูตรนน้ั ดว้ ย รูปแบบการประเมนิ หลักสูตรของ Stake (The Stake’s Congruence Contingency Model) รูปแบบการประเมินหลักสูตรของ Stake (1975) เป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรท่ียึด เกณฑ์เป็นหลัก Stake (1975) ได้ให้ความหมายของการประเมินหลักสูตรว่า เป็นการบรรยายและ ตัดสินคุณค่าของหลักสูตร ซ่ึงเน้นเรื่องการบรรยายส่ิงท่ีจะถูกประเมินโดยอาศัยผู้เช่ียวชาญหรือ ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิในการตัดสินคณุ คา่ มจี ดุ มงุ่ หมายทีจ่ ะประเมินผลหลักสูตรโดยการประเมินส่วนประกอบ ของการจัดการเรียนการสอนหลาย ๆ ส่วน โดยไม่เพียงแต่พิจารณาเฉพาะผลที่เกิดจากการใช้ หลกั สตู รเท่าน้นั ดงั น้นั Stake (1975) จงึ เสนอวา่ ควรมีการพจิ ารณาขอ้ มูลเพื่อประเมินผลหลักสูตร 3 ดา้ น คอื 1. ด้านส่ิงที่มาก่อน หรือสภาพก่อนเริ่มโครงการ (Antecedent) หมายถึง ส่ิงต่างๆ ท่ี เอื้อให้เกิดผลจากหลักสูตรและเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนการใช้หลักสูตรอยู่แล้วประกอบด้วย 7 หัวข้อคือ บุคลิกและนิสัยของนักเรียน บุคลิกและนิสัยของครู เน้ือหาในหลักสูตร วัสดุอุปกรณ์ การเรียนการ สอน อาคารสถานที่ การจัดโรงเรียน ลกั ษณะของชุมชน 2. ด้านกระบวนการเรียนการสอน (Instructional Process or Transactions) หมายถงึ ปฏสิ ัมพนั ธ์ตา่ ง ๆ ทเี่ กิดขน้ึ ขณะท่ีมีการเรียนการสอนระหว่างนักเรียนกับนักเรียน นักเรียน กับครู ครูกับผู้ปกครอง ฯ เป็นข้ันของการใช้หลักสูตร ซึ่งประกอบด้วย 5 หัวข้อคือ การส่ือสาร การ จดั แบ่งเวลา การลาดบั เหตุการณ์ การใหก้ าลังใจ และบรรยากาศของสง่ิ แวดล้อม
45 3. ดา้ นผลผลิต หรือผลที่ไดร้ ับจากโครงการ (Outcomes) หมายถึงส่ิงท่ีเกิดข้ึนจากการ ใช้หลักสูตร ประกอบด้วย 5 หัวข้อคือ ผลสัมฤทธ์ิของนักเรียน ทัศนคติของนักเรียน ทักษะของ นักเรยี น ผลท่ีเกิดข้นึ กับครู และผลที่เกดิ ข้นึ กบั สถาบัน รูปแบบการประเมินหลักสูตรของ Provus (Provus’ Discrepancy Evaluation Model) Provus ได้เสนอแนวคดิ เกี่ยวกบั รูปแบบการประเมินหลักสูตรซ่ึงเรียกว่า “การประเมินผล ตามความแตกต่างหรือประเมินผลความไม่สอดคล้อง” (Discrepancy Evaluation) ซ่ึงจะประเมิน หลักสูตรทั้งหมด 5 ส่วน คือ 1) การออกแบบ (Design) 2) ทรัพยากรหรือส่ิงที่เริ่มตั้งไว้เมื่อใช้ หลักสูตร (Installation) 3) กระบวนการ (Process) 4) ผลผลิตของหลักสูตร (Products) 5) ค่าใช้จ่ายหรือผลตอบแทน (Cost) ในแต่ละส่วนจะมีข้ันตอนการประเมินผลเหมือนกันโดยจะ ดาเนินการเป็น 5 ขัน้ ตอนดังน้ี ข้ันท่ี 1 ผู้ประเมินจะต้องกาหนดเกณฑ์มาตรฐาน (Standards - S) ของส่ิงท่ีต้องการ วดั ก่อน เชน่ มาตรฐานดา้ นเนือ้ หา เป็นต้น ขน้ั ท่ี 2 ผู้ประเมนิ ตอ้ งรวบรวมข้อมูลเกีย่ วกับการดาเนนิ งานหรอื การปฏบิ ัติจริงของสิ่งท่ี ต้องการวดั ( Performance - P) ขั้นท่ี 3 ผู้ประเมินนาข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ในขั้นท่ี 2 มาเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน ทต่ี ้งั ไวใ้ นขนั้ ที่ 1 ( Compare - C) ข้ันท่ี 4 ผู้ประเมินศึกษาความแตกต่าง หรือความไม่สอดคล้องระหว่างผลการปฏิบัติ จริงกบั เกณฑม์ าตรฐาน (Discrepancy - D) ขั้นที่ 5 ผปู้ ระเมินสง่ ผลการประเมินไปให้ผู้บริหารหรือผู้ที่เก่ียวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลใน การตัดสินใจเก่ียวกับหลักสูตรว่าจะยกเลิกการใช้หลักสูตรท่ีประเมิน หรือปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติ หรอื เกณฑ์มาตรฐานให้มคี ุณภาพดขี ึ้น (Decision Making) S C D Decision Making P แผนภาพท่ี 3 รูปแบบการประเมนิ ของ Provus (อา้ งถึงใน สนุ ยี ์ ภูพ่ ันธ์, 2546: 274) S = Standard เป็นข้ันแรกของการดาเนินการประเมนิ หลกั สูตร กล่าวคือ ผู้ประเมินผล ต้องตั้งสง่ิ มาตรฐานทตี่ ้องการวัดไว้กอ่ น P = Performance หลังจากดาเนินการข้นั แรกเรียบร้อยแลว้ ผูป้ ระเมินจะต้องรวบรวม ข้อมูลเก่ียวกับการดาเนินงานหรือการปฏิบัติจริง ในส่ิงที่ต้องการวัดมาให้เพียงพอ ข้อมูลท่ีรวบรวม ควรเป็นขอ้ มลู ทีแ่ สดงให้เหน็ พฤตกิ รรมที่ชดั เจน C = Compare เมื่อตั้งมาตรฐานและรวบรวมข้อมูลเสร็จแล้ว ก็นาข้อมลู มาเปรียบเทียบ เกณฑม์ าตรฐานทต่ี ง้ั ไว้
46 D = Discrepancy จากการเทียบข้อมูลกับมาตรฐานท่ีกาหนดไว้ ผู้ประเมินพบว่ามี ชอ่ งวา่ งอะไรทเี่ กดิ ขึน้ กบั ผลที่คาดหวัง D = Decision Making ประเมนิ จะสง่ ผลประเมินไปให้ผู้ที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร เพื่อตดั สนิ ใจอยา่ งใดอย่างหน่ึง แบบการประเมินผลหลกั สตู รของโพรวัสนี้ สะดวกแก่ผู้ประเมินหลายประการ และเป็น กระบวนการท่สี ่งใหเ้ ห็นถงึ การตัดสนิ ใจของผู้บริหารว่าจะใช้หรือไม่ หรือจะปรับปรุงเพ่ิมเติม หรือจะ หยิบยกข้อมูลใดข้อมูลหนึง่ มาพิจารณา รปู แบบการประเมนิ หลกั สูตรของ Stufflebeam Stufflebeam (2003) ได้อธิบายความหมายของการประเมินผลทางการศึกษาเอาไว้ว่าเป็น กระบวนการบรรยายการหาขอ้ มลู และการให้ขอ้ มูล เพือ่ การตัดสนิ ใจหาทางเลือก ฉะนั้นรูปแบบการ ประเมินผลหลักสูตรตามแนวคิดของสตัฟเฟิลบีม จึงเป็นรูปแบบท่ีเหมาะสมแก่การช่วยตัดสินใจเพื่อ หาทางเลือกท่ีดีท่ีสุด ตามปกติสถานการณ์ในการตัดสินใจ (Decision Settings) โดยท่ัวไปจะ ประกอบดว้ ยมิตทิ ีส่ าคัญอยู่ 2 ประการ คือ 1. มิติด้านข้อมูลที่มีอยู่ (Information Grasp) คือ ถ้าเราจะตัดสินใจทาอะไรสักอย่าง เราจาเปน็ ต้องคานงึ ว่าเรามีขอ้ มลู เกี่ยวกับเร่ืองนัน้ อยมู่ ากน้อยเพียงใดแล้ว 2. มิติด้านปรมิ าณความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการให้เกิดขึ้น (Degree of Change) คือ ถ้า เราจะตัดสนิ ใจทาอะไรซักอยา่ งหนึง่ เราต้องคานึงว่าเมื่อเราทาไปแล้วจะเกิดการเปล่ียนแปลงไปมาก นอ้ ยสักแค่ไหน การตัดสนิ ใจนน้ั ไม่วา่ จะอยู่ในสถานการณ์แบบใดก็ตามจาเป็นต้องอาศัยข้อมูลเชิงประเมิน (Evaluation Data) มาช่วยเป็นพื้นฐาน เพราะการตัดสินใจใด ๆ ของผู้บริหารท่ีไม่ใช้ข้อมูลเชิง ปริมาณมาเปน็ พื้นฐานในการหาทางเลือก ย่อมเสี่ยงต่อความล้มเหลวในการดาเนินงานตามทางเลือก นั้นอย่างมาก ส่วนการตัดสินใจทั้งปวงทางการศึกษานั้น ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองจะจัดเนื้อหาวิชาใน หลักสตู รอยา่ งไร จะจดั การเรียนการสอนด้วยวิธีไหน จะใช้ส่ือการเรียนการสอนอะไร จะจัดกิจกรรม เสริมหลักสตู รอะไร ถ้าพิจารณาในแงข่ องวธิ กี ารกบั ผลทจ่ี ะเกดิ ข้ึนและสิง่ ทีค่ าดหวังกับส่ิงที่เกิดข้ึนจริง เราอาจจาแนกการตดั สินใจออกไดเ้ ปน็ 4 ประเภท คอื
47 ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ ส่ิงทีค่ าดหวัง สงิ่ ทเ่ี ป็นจรงิ (1) (4) การตดั สินใจเกย่ี วกบั การวางแผน การตัดสินใจเก่ียวกบั คณุ สมบตั ิท่ี (Planning) พงึ ประสงค์ (Recycling) (2) (3) วธิ ที า การตัดสินใจเก่ยี วกบั โครงสรา้ ง การตัดสินใจเกี่ยวกับการนาไปใช้ (Structuring) (Implementing) แผนภาพท่ี 4 ประเภทและความสัมพนั ธ์ของ Stufflebeam ต่อส่งิ ท่ีคาดหวงั และส่งิ ท่เี ปน็ จรงิ (อ้างถึงใน สุนยี ์ ภูพ่ นั ธ์, 2546: 266) 1. การตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผน (Planning Decisions)เป็นการตัดสินใจโดย การคาดหวงั ว่าเราต้องการให้เกดิ ผลทางการศกึ ษาอย่างไร เชน่ หลังจากทีน่ กั เรียนจบช้ันประถมปีที่ 6 ไปแล้วนกั เรียนควรจะมคี ณุ สมบัตทิ เ่ี ดน่ อย่างไรบ้าง ฉะน้ันการตัดสินใจชนิดน้ีจึงนามาเป็นประโยชน์ ในการกาหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรหรือในการวางแผนจัดการศึกษาได้เป็นอย่างดี จึงเรียกการ ตัดสนิ ใจอยา่ งนี้วา่ การตัดสนิ ใจเกย่ี วกบั การวางแผน 2. การตัดสินใจเก่ียวกับโครงสร้าง (Structuring Decisions)เป็นการตัดสินใจโดย การคาดหวังว่าท่ีว่าถ้าต้องการให้เกิดผลทางการศึกษาตามท่ีคาดหวังไว้ในข้อ 1 น้ัน เราควรจะวาง โครงสร้างหรือวางรูปแบบของการใช้หลักสูตรท่ีพึงประสงค์เอาไว้อย่างไร เช่นถ้าจะให้นักเรียนมี คณุ สมบัติตรงตามที่คาดหวังเอาไว้น้นั โรงเรียนควรจัดสภาพแวดล้อมอย่างไร การบริหารควรจะเป็น แบบใด ครูควรจดั การเรยี นการสอนอยา่ งไร ควรจัดให้มีกิจกรรมเสรมิ หลกั สูตรอะไรบา้ ง ฯลฯ จึงเรียก การตัดสนิ ใจแบบนี้ว่าการตดั สินใจเกี่ยวกบั โครงสร้าง 3. การตัดสินใจเกี่ยวกับการนาไปใช้ (Implementing Decision)เป็นการตัดสินใจ ว่า ตามความเปน็ จริงนน้ั ได้มกี ารนาหลักสูตรไปใช้ตามแนวทางท่ีคาดหวังเอาไว้หรือไม่ มีการควบคุม หรือแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้วิธีการท่ีเกิดข้ึนจริง ๆ เป็นไปตามที่ต้องการมากน้อยเพียงใด จึงเรียกการ ตัดสนิ ใจแบบน้ีว่า การตัดสินใจเกยี่ วกับการนาไปใช้ 4. การตัดสินใจเก่ียวกับคุณสมบัติที่พึงประสงค์ (Recycling Decisions)เป็นการ ตัดสนิ ใจหลงั จบการศึกษาตามหลกั สตู รไปแล้วนนั้ จรงิ แลว้ นกั เรยี นมีคณุ สมบัติเป็นอย่างไรมีความรู้ มี ทกั ษะ มีเจตคติ เปน็ อยา่ งไรและตรงตามท่คี าดหวงั เอาไว้หรือไม่ ทีอะไรบ้างที่ต้องรักษาเอาไว้ และมี อะไรบา้ งท่ีต้องละทง้ิ หรือนามาปรบั ขยายเสียใหม่ จงึ เรยี กการตัดสินใจแบบนี้ว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับ คณุ สมบตั ทิ ี่พงึ ประสงค์
48 Stufflebeam ได้ให้แนวคิดไว้ว่า ในการประเมินผลหลักสูตรน้ันมีส่ิงสาคัญที่เราต้อง ประเมินอยู่ 4 ดา้ นคอื 1. การประเมินบริบท (Context Evaluation) เป็นการประเมินท่ีมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้หลักการและเหตุผลมากาหนดจุดมุ่งหมาย การประเมินสภาพแวดล้อมจะช่วยให้ผู้พัฒนา หลักสูตรรู้ว่า สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษามีอะไรบ้างสถานการณ์ที่คาดหวังกับ สภาพทีแ่ ทจ้ ริงในสภาพแวดลอ้ มดังกล่าวเป็นอย่างไร มีความตอ้ งการ หรอื ปัญหาอะไรบ้างท่ียังไม่ได้ รับการตอบสนองหรือแก้ไข มีโอกาสและสรรพกาลังที่จาเป็นอะไรบ้างท่ียังไม่ได้ถูกนามาใช้ใน การศึกษา และสืบเน่ืองมาจากปัญหาอะไร ประเด็นการประเมินครอบคลุม เกี่ยวกับนโยบายของ กระทรวงศึกษาธิการ, สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา นโยบายขององค์กรปกครองส่วน ท้องถ่ิน มูลนิธิ สมาคม ความต้องการของชุมชน การตีตราของสังคม ความคาดหวังของผู้ปกครอง ผูใ้ ช้บัณฑติ แผน วิสัยทัศน์ จุดหมาย โครงสร้างหลักสูตร เป็นต้น ในการประเมินสภาพแวดล้อมน้ี ผู้ ประเมินอาจใช้วิธดี งั ตอ่ ไปนี้ 1.1 การวิเคราะหค์ วามคดิ รวบยอด (Conceptual Analysis) 1.2 การทาวิจยั ด้วยการเก็บขอ้ มูลมาวเิ คราะห์จรงิ (Empirical Studies) 1.3 การอาศัยทฤษฎีและความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญการประเมินสภาพแวดล้อมนี้ จะช่วยให้ไดข้ ้อมูลทเี่ ป็นประโยชนใ์ นการตดั สินใจด้านการวางแผนหรือกาหนดจุดมุ่งหมาย (Planning Decisions) 2. การประเมินตัวป้อน (Inputs Evaluation) เป็นการประเมินท่ีมีจุดมุ่งหมาย เพ่ือให้ได้ข้อมูลมาช่วยตัดสินใจว่าจะใช้ทรัพยากรหรือสรรพกาลังต่าง ๆ ที่มีอยู่เพื่อให้บรรลุผลตาม จุดมุ่งหมายของหลักสูตรได้อย่างไร จะขอความช่วยเหลือด้านทรัพยากรและสรรพกาลังจากแหล่ง ภายนอกดีหรือไม่จะใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบใดประเด็นการประเมินครอบคลุม เกี่ยวกับ งบประมาณ อาคารสถานท่ี คุณลักษณะ/คุณวุฒิ/คุณสมบัติ/ประสบการณ์ของผู้บริหาร ผู้สอน/ จานวน คุณภาพของผู้เรียน/ พ้ืนฐานความรู้ผู้เรียน สื่อวัสดุ/อุปกรณ์/หนังสือตารา เอกสารหลักสูตร การสนับสนนุ ส่งเสริมของคณะกรรมการบริหารหลักสูตร เวลาและช่วงเวลา เป็นต้น ซึ่งการประเมิน ตวั ปอ้ นอาจกระทาไดโ้ ดย 2.1 จดั ทาในรปู แบบของคณะกรรมการ 2.2 อาศัยผลงานวิจัยที่เกยี่ วข้องท่ีมีผทู้ าเอาไว้แล้ว 2.3 วา่ จา้ งผเู้ ชี่ยวชาญมาให้คาปรกึ ษา 2.4 ทาการวิจัยเชิงทดลองเป็นการนารอ่ ง 3. การประเมนิ กระบวนการ (Process Evaluation) เป็นการประเมินท่ีมีจุดมุ่งหมาย เพื่อสืบคน้ จดุ อ่อนของรูปแบบการดาเนินงานตามท่ีคาดหวงั เอาไว้ หรือจุดอ่อนของการดาเนินงานใน ขน้ั ทดลองใช้หลกั สตู ร เพ่ือนามาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกวิธีการต่อไป ฉะน้ัน จึงต้องมีการจดบันทึกผลการประเมินกระบวนการน้ันจาเป็นต้องอาศัยวิธีการหลายๆ วิธีทั้งเชิง ปริมาณและเชิงคุณภาพ เช่น การสังเกตแบบมีส่วนร่วมปฏิบัติการวิเคราะห์การปะทะสัมพันธ์การ สัมภาษณ์การใชแ้ บบสอบถามประเภทมาตราสว่ นประมาณค่าการให้เขียนรายงานประเภทปลายเปิด
49 เป็นต้น ประเด็นการประเมินครอบคลุมเกี่ยวกับการบริหารจัดการหลักสูตร การนิเทศ การกากับ ติดตาม การจดั การเรยี นการสอน การวดั และประเมนิ ผล และการประกันคณุ ภาพการศึกษา เปน็ ต้น 4. การประเมนิ ผลผลิต (Products Evaluation) มีจุดมุ่งหมายจะตรวจสอบว่าผลท่ี เกิดขึน้ กับนักเรยี นนัน้ เป็นไปตามทคี่ าดหวังเอาไว้มากน้อยเพียงใด อาจทาได้โดยการเปรียบเทียบกับ เกณฑ์สัมพันธ์กับหลักสูตรอ่ืนท่มี อี ยู่ก็ได้ ในกระบวนการการศึกษาน้ันการประเมินผลผลิตจะให้ข้อมูล ที่นามาช่วยตัดสินใจว่ามีกิจกรรมทางการศึกษาอะไรบ้างท่ีควรทาต่อไป เลิกทา หรือควรนามา ปรับปรุงแก้ไขเสียใหม่นอกจากนั้นยังให้ข้อมูลท่ีจะนาไปเช่ือมหรือสานต่อเข้ากับข้ันตอนอื่น ๆ ของ กระบวนการทางการศกึ ษาไดอ้ ีกด้วย เชน่ โรงเรยี นหนึ่งมีปัญหาครูไม่พอสอนหรือครูมีภารกิจมากจน ไม่มีเวลาจะเตรียมการสอนให้ได้ผล จึงได้คิดค้นนวัตกรรมทางการสอบแบบ RIT (Reduced Instructional Time) ข้ึนมาใช้เสร็จแล้วก็ทาการประเมินผลผลิตของการเรียนแบบ RIT ดู พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนนั้นอยู่ในข้ันท่ีน่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง และยังพบว่านวัตกรรม ดงั กลา่ วมีความพรอ้ มทจ่ี ะนาไปเผยแพร่ในโรงเรยี นอืน่ ๆ ท่ีประสบปัญหาอย่างเดียวกันได้ เพราะเป็น สง่ิ ทที่ าได้ง่ายไม่สิ้นเปลืองมากนัก อย่างนี้ผู้บริหารการศึกษาก็อาจใช้ผลจากการประเมินดังกล่าวมา ชว่ ยในการตดั สนิ ใจประกาศให้โรงเรียนตา่ ง ๆ นานวตั กรรมแบบ RIT ไปใชจ้ ดั การเรียนการสอนต่อไป การประเมินผลผลิตน้ีจะให้ข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจว่า จะเก็บรักษาไว้ เลิกใช้ หรือปรับปรุงแก้ไข ใหม่ (Recycling Decisions) เนื่องจาก Stufflebeam (2003) ให้แนวคิดว่าในการประเมินผลหลักสูตรนั้นมีสิ่งที่ จะต้องประเมินอยู่ 4 อย่าง คือ Context, Input, Process, และ Products รูปแบบการประเมินผล ของเขาจึงเปน็ ท่ีรู้จักกนั โดยทั่วไปว่าเป็น CIPP Model ความสัมพันธ์ระหว่างการประเมินผลกับการ ตัดสินใจตามแนวคิดของสตัฟเฟิลบีม ดังแผนภาพท่ี 5 Planning Structuring Implementing Recycling (Objective) (Designing) (Operating) (Judgment) Context Input Process Product Evaluation Evaluation Evaluation Evaluation แผนภาพท่ี 5 ความสัมพนั ธร์ ะหว่างการประเมินผลกบั การตัดสินใจ (สุนยี ์ ภพู่ นั ธ์, 2546: 270) ในการเมินหลักสูตรตามแนวคิด CIPP Model ต่อมาได้มีการขยายแนวคิด โดยขยาย ผลผลติ (Product) ออกเป็น IEST โดย I (Impact) เปน็ ผลกระทบที่นอกเหนอื จากผลผลิตท่ีต้องการให้ เกดิ E (Effectiveness) เปน็ ประสิทธิผลท่ีเกิดข้ึน S (Sustainable) เป็นความยั่งยืนของผลที่เกิดขึ้น และ T (Transportation) เป็นผลที่สามารถถ่ายทอดขยายผลต่อเน่ืองได้ (มาเรียม นิลพันธ์ุ, 2553: 30-35)
50 Context บรบิ ท Input ปัจจยั Process กระบวนการ Product ผลผลิต Impact ผลกระทบ Effectiveness ประสทิ ธิผล Sustainable ความยั่งยืน Transportation การถา่ ยทอด การขยายผล ผลจากการขยายแนวคิดทาให้การประเมินหลักสูตรตามแนวคิดของ CIPP Model มีการ ขยายการประเมินผลผลิต (Product) โดยส่วนใหญ่นิยมขยายผลการประเมินผลผลิตครอบคลุมถึง ผลกระทบ(Impact) ด้วย คือเน้นการประเมินกระทบ (Impact Evaluation) ท่ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อ พิจารณาผลที่ นอกเหนอื จากวัตถุประสงค์ของหลักสูตรที่กาหนดไว้ อาจมีผลกระทบท้ังทางบวกและ ทางลบ ประเด็นการประเมินครอบคลุมเกี่ยวกับการศึกษาต่อ การมีงานทา การได้รับรางวัล เกียรติยศ เกียรติบัตร การเป็นท่ียอมรับ การมีชื่อเสียงของสถาบัน การนาไปประยุกต์ใช้ในการ ปฏบิ ตั งิ าน เปน็ ตน้ การประเมินหลักสูตรเพ่ือการตัดสินใจเก่ียวกับหลักสูตร สามารถสรุปแต่ละด้านของการ ประเมินกบั ประเภทการตดั สินใจไดด้ ังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 การประเมนิ หลกั สตู รเพอ่ื การตัดสินใจเกี่ยวกบั หลกั สตู ร ประเภทของการประเมิน ประเภทของการตดั สนิ ใจและการใชป้ ระโยชน์จากการประเมิน C: Context Evaluation Planning Decision - กาหนดหรอื เลือกนโยบาย/ (การประเมนิ บริบท) (การตดั สินใจเก่ยี วกบั การวางแผน) เป้าหมาย/จุดมงุ่ หมายของหลักสูตร I: Input Evaluation Structuring Decision - กาหนดโครงสร้างการดาเนนิ งาน (การประเมินปัจจยั ) (การตดั สนิ ใจเกีย่ วกับโครงสร้างเพอ่ื ทรพั ยากรกลยุทธ์ แผนงานและวธิ ีการ กาหนดวิธีการ) ดาเนนิ ตามหลกั สูตร P: Process Evaluation Implementing Decision - ติดตามและกากบั การดาเนินงานตาม (การประเมินกระบวนการ) (การตัดสนิ ใจเกยี่ วกับการปฏิบตั )ิ แผน - ปรบั ปรงุ ปรบั เปล่ยี น วธิ กี าร ดาเนินงานใหเ้ หมาะสม - รายงานความก้าวหนา้ ของหลักสตู ร P: Product Evaluation Recycling Decision - ยุติ/ล้มเลิก (การประเมินผลผลิต) (การตัดสินใจเพือ่ การทบทวน) - ปรับเปลย่ี น - คงไว/้ ชะลอ - ขยาย ซึ่งสาระของการตัดสินใจเก่ียวกับหลักสูตรสามารถสรุปที่สะท้อนสภาพท่ีเกิดขึ้นจริง (Actual) กับการคาดหวัง (Expect) ไดด้ งั น้ี
51 ผล(Ends) คาดหวงั Expect/ เกณฑ์ เกิดขึน้ จริง Actual/ สภาพทป่ี ฏบิ ตั ิ ( 1. การตัดสินใจเก่ียวกับการวางแผน 4. การตัดสินใจเก่ียวกับการดาเนินงาน เม่ือ วิธกี าร โดยมีจุด มุ่ง หมา ยเพ่ือ ก า ร ก าหน ด ส้ินสุด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการตัดสินการ (Means) จดุ มุง่ หมาย (Planning Decisions) บรรลุความสาเรจ็ (Recycling Decisions) 2. การตัดสินใจเก่ียวกับการกาหนด 3. การตัดสนิ ใจเก่ียวกับการดาเนินงาน โดยมี โครงสร้าง โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือการ จุดมุ่งหมายเพื่อการดาเนินงาน การควบคุม เลือกวิธีการที่เหมาะสม (Structuring การกลั่นกรองกระบวนการ (Implementing Decisions) Decisions) สาหรบั การประเมนิ หลกั สตู รนัน้ สามารถกระทาไดร้ ะหวา่ งดาเนินการใช้หลักสูตรและหลังใช้ หลักสูตรแล้ว โดยบทบาทการประเมินในแต่ละช่วงแตกตา่ งกัน ดงั ตารางท่ี 2 ตารางที่ 2 บทบาทการประเมนิ หลกั สตู รในแตล่ ะช่วง บทบาทการประเมนิ การประเมิน Formative Evaluation Summative Evaluation เน้น Decision-making เนน้ Accountability C: Context เป็นขอ้ แนะนาสาหรับเลอื ก ตัดสินใจเกีย่ วกับวตั ถปุ ระสงค์และสง่ิ Evaluation วตั ถปุ ระสงค์และกาหนดลาดับ ทจ่ี าเป็นพ้ืนฐานสาหรบั การเลือกสงิ่ ที่ ความสาคญั สอดคล้องกับความต้องการความ คาดหวังโอกาส และปัญหา I: Input Evaluation เปน็ ข้อเสนอแนะสาหรบั การเลอื ก ตัดสินเลือกกลยุทธ์และทรัพยากร กลยทุ ธท์ รัพยากรโครงการ เป็น และให้เหตผุ ลทางเลอื ก ปจั จยั สาหรับการออกแบบการ ดาเนนิ การ P: Process เป็นขอ้ เสนอแนะทางการปฏิบตั /ิ การ ตัดสนิ การดาเนนิ งานทเ่ี ปน็ จริง Evaluation ดาเนินงาน และควบคุมการ ดาเนินงาน P: Product เปน็ ขอ้ เสนอแนะสาหรับการยตุ ิ – ตัดสินผลที่เกิดข้ึนและการตัดสินใจ Evaluation คง/ชะลอ ปรับเปลี่ยน - ขยาย ย้อนกลบั ปรับปรุงโครงการ
52 การประเมินหลักสูตรสามารถกระทาได้หลายวิธีซ่ึงควรเหมาะกับสิ่งท่ีประเมินและผู้ให้ ข้อมูลในการประเมินหลักสูตรการประเมินหลักสูตรในแต่ละด้านตามแนวคิดของ CIPP โดยมี รายละเอียดในตารางท่ี 3 ตารางที่ 3 วัตถุประสงคข์ องการประเมินหลักสตู รในแตล่ ะด้านตามแนวคิดของ CIPP การประเมนิ บรบิ ท การประเมนิ ปัจจัย การประเมินกระบวนการ การประเมินผลผลติ 1. เพือ่ กาหนดบริบท/ 1. เพอื่ กาหนดและประเมิน เพ่อื หาและคาดคะเน 1. เพื่อตดั สินผลผลิต สภาพแวดล้อมทเี่ กย่ี วขอ้ ง สมรรถนะ เก่ียวกับผลจากการดาเนิน 2. เพอื่ หาความสมั พันธ์ 2. เพอ่ื หากลุ่มเป้าหมายและ 2. เพือ่ หาทางเลือกยทุ ธวิธี ตามหลักสตู รในด้านต่างๆ ระหวา่ งผลผลิตกับ ความตอ้ งการของกลุ่ม ในการดาเนินตามหลกั สตู ร ดงั นี้ วตั ถปุ ระสงคข์ องหลักสูตร 3. เพือ่ หาเวลาและโอกาสที่ 3. เพอ่ื กาหนดการออกแบบ 1. ขั้นตอนการดาเนินงาน 3. หาความสมั พนั ธ์ ต้องการสนองความตอ้ งการ การดาเนนิ การตามยุทธวิธี 2. ผลจากการดาเนนิ งาน ระหวา่ งผลผลติ กบั บรบิ ท 4. เพอื่ วนิ ิจฉัยปญั หาภายใต้ 4. เพ่อื กาหนดงบประมาณ ตามการออกแบบ ปจั จยั และกระบวนการ ความตอ้ งการนั้นๆ เพอื่ 5. เพื่อการกาหนดเวลา เพอ่ื ท่ีจะหาข้อมลู และ 4. เพ่อื แปลความหมายใน ตัดสนิ ใจวา่ วัตถุประสงคท์ ี่ 6. เพื่อการกาหนดกจิ กรรม สารสนเทศในการตดั สินใจ แง่คณุ ค่าของข้อ 1–3 เหมาะสมของหลกั สตู รควร ต่างๆ ตามหลักสูตร เก่ียวกบั แผนงานและ 5. ระบุการปฏิบัตกิ าร/ วดั เป็นอะไร โดยการจดั ลาดับคณุ ภาพ กิจกรรมต่างๆ ผลสัมฤทธต์ิ ามเกณฑ์ท่ี โดยใชว้ ิธวี เิ คราะห์ ระบบ การวิเคราะหท์ รพั ยากร 3. เพอ่ื ตัดสนิ ใจ กาหนดไว้ตาม การสารวจ การวิจยั / การวิจยั / วิเคราะห/์ ตรวจ กระบวนการ วัตถปุ ระสงคข์ องโครงการ วเิ คราะห/์ ตรวจเอกสาร เอกสาร การสมั ภาษณ์ 4. เพื่อตดั สินกจิ กรรม 6. เปรียบเทยี บผลของ การสัมภาษณ์ การสอบถาม ภายในกระบวนการ โครงการกับเกณฑ/์ การจัดลาดับคณุ ภาพ การ ความเหมาะสม โดยการกากบั มาตรฐาน/ ความคาดหวัง สอบถาม ความคดิ เห็น (Monitoring) และ 7. ผลเชิงปรมิ าณและ การสนทนากล่มุ ความเพียงพอ ตดิ ตามเก่ียวกบั ศกั ยภาพ คณุ ภาพ และวธิ ี Delphi Technique ความสะดวกในการใช้ การดาเนนิ งานตาม ระดับการปฏิบตั ิ ความสอดคลอ้ ง ความพึงพอใจ โครงการกิจกรรมตา่ งๆ ความคดิ เห็น ความคดิ เห็น และโดยการอธิบาย ความเหมาะสม ความพงึ พอใจ กระบวนการทก่ี ระทา ความพึงพอใจ ความเป็นไปได้ ระดบั การปฏิบตั ิ ความ คดิ เหน็ ความเหมาะสม ความเพยี งพอ ความพึงพอใจ ความสัมพันธ์ จากตัวอย่างรปู แบบการประเมินหลักสูตรที่ได้กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่า แต่ละรูปแบบต่าง พยายามประเมินสง่ิ ต่างๆทเ่ี ก่ยี วกบั หลกั สตู รให้มากที่สุด ซ่ึงในการประเมินหลักสูตรครั้งนี้ผู้วิจัยได้นา รูปแบบการประเมินของ Stufflebeam มาเปน็ แนวทางในการประเมินหลักสูตร เน่อื งจากรูปแบบการ ประเมนิ แบบ CIPPIEST Model เปน็ รปู แบบการประเมนิ ท่คี รอบคลมุ องค์ประกอบทุกด้านของหลักสูตร อย่างมีเหตุผลและเป็นระบบ ไม่เน้นการวิเคราะห์จุดใดจุดหน่ึงแต่เป็นรูปแบบการประเมินที่มีความ ตอ่ เนอ่ื งทาใหไ้ ด้ข้อมูลครบถว้ น ซ่งึ จะนาไปสู่การตัดสินใจเก่ียวกับหลักสูตร การพิจารณาจะพิจารณา ใน 8 ดา้ นคือ
53 1. การประเมินด้านบริบท (Context Evaluation) เป็น การประเมินความสอดคล้อง ชัดเจนของวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ความเหมาะสมในการนาไปปฏิบัติได้จริงโครงสร้างรายวิชา รายวชิ าทเ่ี ปดิ สอน และเนื้อหาวชิ าของหลกั สูตร 2. การประเมนิ ดา้ นปัจจัยนาเข้า (Inputs Evaluation) เป็นการประเมินปัจจัยท่ีเอ้ือต่อ การจัดการเรียนการสอน ประกอบด้วย อาจารย์ นักศึกษา และทรัพยากรในการดาเนินการ ตาม หลักสูตร ได้แก่ เอกสารตารา อุปกรณ์การเรียนการสอน สถานที่ เทคโนโลยีทางการศึกษา และ งบประมาณในการดาเนนิ งานจัดการศึกษา 3. การประเมินด้านกระบวนการ (Process Evaluation) เป็นการประเมินที่มี จุดมุ่งหมายเพื่อสืบค้นจุดอ่อนของรูปแบบการดาเนินงานตามท่ีคาดหวังเอาไว้ ได้แก่ การบริหาร หลักสูตร การจัดการเรยี นการสอน และการวดั และประเมินผล 4. การประเมินด้านคุณภาพบัณฑิต (Products Evaluation) เป็นการประเมิน คุณลกั ษณะของบัณฑิตการนาความรใู้ นหลกั สตู รไปใชใ้ นการทางาน ตลอดจนผลท่ีเกิดขึ้นกับผู้มี่มีส่วน ไดส้ ว่ นเสีย 5. การประเมินด้านผลกระทบ (Impact Evaluation) ได้แก่ การประเมินผลงาน หรือ ผลทเ่ี กดิ จากการเรียน และนาไปใชใ้ นการทางาน หรอื พฒั นาหนว่ ยงานให้ดยี ่งิ ขึน้ 6. การประเมินด้านประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) เป็นการประเมินผลที่ เกดิ กับตัวดษุ ฎบี ัณฑิตโดยตรงหลังจบการศึกษา ได้แก่ ความมั่นใจในในองค์ความรู้ท่ีมีอยู่ และความ เชี่ยวชาญ เปน็ ต้น 7. การประเมินด้านความย่ังยืน (Sustainability Evaluation) เป็นการประเมินความรู้ ความสามารถของบัณฑติ ในการนาความรู้ที่ได้จากการศึกษาไปใช้พัฒนางาน หรือเช่ือมโยงความรู้ท่ี ไดไ้ ปสู่การทางานหรือพฒั นาเป็นองค์ความร้ใู หมๆ่ 8. การประเมินด้านการถ่ายโยงความรู้ (Transportability Evaluation) เป็นการ ประเมินผลท่เี กิดกับบณั ฑิต ในการถ่ายทอดความรู้ หรอื ขยายองค์ความรู้ไปสู่ผู้อ่ืนได้อย่างถูกต้องและ เหมาะสม เป็นทีท่ ราบกันดีว่ารูปแบบการประเมินซิปป์ (CIPP Evaluation Model) ตามแนวคิดของ Stufflebeam นั้น ไดถ้ กู นามาใช้ในการประเมินโครงการต่างๆ เป็นจานวนมาก โดยเฉพาะโครงการ ทางการศึกษาในประเทศไทย อย่างไรก็ดีการใช้รูปแบบการประเมินซิปป์ ในวงวิชาการของไทยยังมี มโนทัศน์การใช้ท่ีคลาดเคลื่อนอยู่มาก ปัจจุบันนี้ Stufflebeam ได้มีการปรับพัฒนารูปแบบการ ประเมิน CIPP เป็น CIPPIEST แล้ว รูปแบบการประเมิน CIPPIEST เป็นส่วนปรับขยายของรูปแบบการ ประเมิน CIPP โดยปรับขยายการประเมินผลผลิต (Product Evaluation) ออกเป็นการประเมินผล กระทบ (Impact Evaluation) การประเมินประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) การประเมิน ความย่ังยืน (Sustainability Evaluation) และการประเมินการถ่ายทอดส่งต่อ (Transportability Evaluation) ของสิ่งที่ได้รับการประเมิน และจากการขยายการประเมินผลผลิต ตามรูปแบบการ ประเมิน CIPP เดิมนั้น แท้ที่จริงก็คือ การประเมินในส่วนท่ีสตัฟเฟิลบีม เรียกว่า “ผลลัพธ์” (Outcomes) ของโครงการน่ันเอง ดังน้ันวิธีการนารูปแบบการประเมิน CIPPIEST ไปใช้จึงยังคงมี ลักษณะเช่นเดยี วกบั การใช้รปู แบบการประเมิน CIPP ท่ีกล่าวผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องเก่ียวกับคุณค่า
54 ของรูปแบบการประเมินท้ังที่เป็นการประเมินเป็นระยะๆและการประเมินสรุปรวม (รัตนะ บัวสนธ์ิ, 2556: 7, 23-24) งานวิจยั ท่เี กย่ี วข้องกับการประเมินหลกั สูตร สาหรับงานวิจัยเชิงประเมินหลักสูตรในระดับการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน ท่ีใช้รูปแบบการประเมิน CIPP Model มีหลายสถาบนั ทใ่ี ช้องค์ประกอบของการประเมินหลักสูตร 4 ด้าน คือ ด้านบริบท ด้าน ปัจจัยนาเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต มีตัวอย่างงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการประเมิน หลักสูตรในรปู แบบ CIPP ดังนี้ ฐิติมา นิติกรวรากุล (2554) วิจัยเร่ือง การประเมินหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนวัดบ้าน โป่ง “สามัคคีคุณูปถัมภ์” จังหวัดราชบุรี ช่วงชั้นท่ี 3 – 4 โดยใช้รูปแบบการประเมิน CIPP Model การวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือประเมินหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดบ้านโป่ง “สามัคคีคุณูปถัมภ์” ผลการวิจัยพบว่า ด้านบริบท ด้านปัจจัยนาเข้า ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต และด้านผลกระทบ ผู้บริหารโรงเรียน คณะกรรมการบริหารโรงเรียน และครูผู้สอนเห็นว่าเหมาะสมในระดับมาก ผู้ปกครองและนกั เรยี น เหน็ ว่า เหมาะสมในระดบั ปานกลาง สุภา นิลพงษ์ (2554) วิจัยเรื่อง การประเมินหลักสูตรโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ พุทธศักราช 2552 มีความมุ่งหมายในการวิจัยเพื่อประเมินหลักสูตรโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ พุทธศักราช 2552 ใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านบริบท ด้านปัจจัยเบื้องต้น ด้านกระบวนการ ด้าน ประสทิ ธผิ ล และด้านผลกระทบ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจปรับปรุงแก้ไขหรือดาเนินการใช้ หลกั สูตรต่อไป ผลการวิจยั พบวา่ 1) ด้านบริบท จุดมุ่งหมายของหลักสูตรโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ พทุ ธศกั ราช 2552 มคี วามสอดคลอ้ งกับสภาพและความต้องการของสังคมไทยตามพระราชกฤษฎีกา จัดต้ังโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ในระดับมากที่สุด โครงสร้างหลักสูตรและเน้ือหาวิชามีความ สอดคล้องกับจดุ มุ่งหมายของหลกั สตู รในระดับมากท่ีสุด 2) ด้านปัจจัยนาเข้า ผู้บริหารมีความคิดเห็น ว่าความพร้อมและศักยภาพของครูผู้สอนและส่ือการเรียนรู้ท่ีใช้ในการจัดการเรียนการสอนมีความ เหมาะสมอยใู่ นระดับมาก สาหรบั ด้านแหล่งการเรยี นรู้และงบประมาณ ผูบ้ รหิ ารมคี วามเห็นว่ามีความ หลากหลาย ความเพยี งพอ และความเหมาะสมอยู่ในระดับมากท่ีสุด ครูผู้สอนมีความคิดเห็นว่าความ พร้อมและศักยภาพของครูผู้สอน ส่ือการเรียนรู้ แหล่งการเรียนรู้และงบประมาณ มีความเหมาะสม และความเพียงพออยู่ในระดับมาก นักเรียนมีความคิดเห็นว่าความพร้อมและศักยภาพของครูผู้สอน สื่อการเรียนรู้ และแหล่งเรียนรู้ มีความเหมาะสมและความเพียงพออยู่ในระดับมาก 3) ด้าน กระบวนการ ผบู้ ริหารมีความคดิ เห็นวา่ การปฏบิ ัติของครใู นด้านการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ด้านการวัด และประเมินผลมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากสาหรับด้านการวางแผนการเตรียมความพร้อมและ การบริหารหลักสูตรผู้บริหารมีความเห็นว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากท่ีสุด ครูผู้สอนมีความ คิดเหน็ ว่าการปฎิบัติของครูในดา้ นการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ดา้ นการวัดและประเมนิ ผล และด้านการ วางแผนการเตรียมความพร้อมและการบริหารหลักสูตรมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก นักเรียนมี ความคดิ เหน็ ว่าการปฏิบัติของครูในด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และด้านการวัดและประเมินผลมี ความเหมาะสมอยูใ่ นระดับมาก 4) ด้านประสิทธิผล นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับสูง มาก มคี วามสามารถดา้ นการอา่ น การคิด วิเคราะห์และการเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ใน
55 ระดับสูงกว่า 3.50 ในทุกด้าน 5) ด้านผลกระทบของหลักสูตร ผู้บริหารมีความคิดเห็นว่าการใช้ หลักสูตรมีผลกระทบต่อการพัฒนาครูผู้สอน สื่อการเรียนรู้ และแหล่งการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก สาหรบั งบประมาณ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ การวัดผลและประเมินผล การบริหารจัดการหลักสูตร ความรู้ความสามารถของนักเรียนและคุณลักษณะของนักเรียนมีผลกระ ทบอยู่ในระดับปานกลาง ครูผู้สอนเห็นว่าการใช้หลักสูตรมีผลกระทบต่อการพัฒนาครูอยู่ในระดับมาก สาหรับด้านอื่นๆ ครูผู้สอนเห็นว่ามีผลกระทบอยู่ในระดับปานกลาง นักเรียนมีความคิดเห็นว่าการใช้หลักสูตรมี ผลกระทบอยูใ่ นระดบั มากทกุ ด้าน จิรภัทร เพ็ชรมงคล (2555) ทาวิจัยเรื่อง การประเมินหลักสูตรวิชาวิทยาการทหาร มี วตั ถปุ ระสงค์เพื่อประเมินหลักสูตรวิชาวิทยาการทหาร ดวยการใชรูปแบบการประเมินหลักสูตรแบบ ซิพพ P (CIPP Model) ของ Daneil L. Stufflebeam ซ่ึงประกอบดวย 4 ดาน คือ ดานสภาวะ แวดล้อม (Context evaluation) ดานปจจัยนาเขา (Input Evaluation) ดา้ นกระบวนการ (Process Evaluation) และดานผลผลิต (Product Evaluation) เพ่ือแสวงหาแนวทางในการพัฒนาหลักสูตร วิชาวิทยาการทหาร ใหเหมาะสมและสอดคลองกับบทบาทของกองทัพไทยใหมีความทันสมัยและ รองรับตอสถานการณโลกในอนาคต ผลการวิจัยพบว่า นิสิตนักศึกษาและอาจารยผูสอน การ ประเมินปจจยั ดานสภาวะแวดลอม (Context) โดยรวมมีคุณภาพ ความเหมาะสมของหลักสูตรอยูใน ระดับมากและมากที่สุดตามลาดับ ดานปจจัยนาเขา (Input) โดยรวมมีคุณภาพ ความเหมาะสมของ หลักสูตรอยูในระดับมาก ดานกระบวนการ (Process) โดยรวมมีคุณภาพ ความเหมาะสมของ หลักสูตรอยู่ในระดับมากท่ีสุดและมาก ตามลาดับ และดานผลผลิต (Product) โดยรวมมีคุณภาพ ความเหมาะสมของหลกั สูตรอยูในระดับมากท่สี ุด แนวทางการพัฒนาหลักสูตรวิชาวิทยาการทหาร 1) เน้อื หาควรเปล่ียนจากเรยี นยุทธศาสตรเพือ่ เขาหากองทพั เปนการเรียนจากกองทัพและใหกองทัพนา เขาหายทุ ธศาสตรและความมัน่ คงและเพ่มิ ช่วั โมงของเหลาทัพจากเดมิ เหล่าทัพละ 3 ช่ัวโมง เป็นเหล่า ทัพละ 6 ชั่วโมง 2) สงเสรมิ งบประมาณในการนานิสิตนักศึกษาไปดูงาน การจัดทาตาราและเว็บไซต หรือแมแตการใหเครื่องหมายประดับสาหรับผูสาเร็จการศึกษาหลักสูตรวิชาวิทยาการทหาร 3) สถาบนั วิชาการปองกันประเทศควรคดั เลือกอาจารยเอง ควรขึ้นทะเบียนอาจารยท่ีมีความสามารถใน การสอนผานเกณฑและเชญิ เปนรายบคุ คล 4) ควรขยายผลหลักสูตรวิชาวิทยาการทหารโดยเปดสอน เปนวชิ าโท 5) สถาบันวชิ าการปองกันประเทศ ควรดาเนนิ การอยางเร่งด่วนเพื่อให้มหาวิทยาลัยอ่ืน ๆ ไดมสี วนเขารวมในโครงการนเ้ี พ่มิ ขนึ้ จันทิวา เตจ๊ะ นพพร ธนะชัยขันธ์ และสุดาพร ปัญญาพฤกษ์ (2560) ทาวิจัยเรื่อง การ ประเมินหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนแม่ลาววิทยาคม อาเภอแม่ ลาว จังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์เพื่อ ประเมินหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ โรงเรียนแม่ลาววิทยาคม ด้านบริบท ด้านปัจจัยเบื้องต้น ด้านกระบวนการและด้าน ผลผลิต เป็นการวิจัยแบบสารวจโดยใช ้รูปแบบประเมินแบบ CIPP ของ Stufflebeam ผลการ ประเมิน พบว่าคุณภาพหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนแม่ลาว วทิ ยาคม อาเภอแม่ลาว จังหวดั เชียงราย ของคณะผู้บริหารโรงเรียน คณะกรรมการกลุ่มงานวิชาการ และวิจัย งานพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและครูผู้สอน มีความคิดเห็นด้านบริบทในระดับมาก ด้าน ปัจจัยเบื้องต้นในระดับมากท่ีสุด ด้านกระบวนการในระดับมากท่ีสุด และด้านผลผลิตในระดับมาก
56 ท่ีสุด โดยภาพรวมแล้วมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 มีความคิดเห็นด้านบริบทในระดับมาก ด้านปัจจัยเบ้ืองต้นในระดับมาก ด้าน กระบวนการในระดับมาก และด้านผลผลิตในระดับมากท่ีสุด โดยภาพรวมแล้วมีความคิดเห็นอยู่ใน ระดับมาก และคณะกรรมการสถานศึกษามีความคิดเห็นด้านบริบทในระดับมาก ด้านปัจจัยเบ้ืองต้น ในระดับมาก ด้านกระบวนการในระดับมาก และด้านผลผลิตในระดับมากที่สุด โดยภาพรวมแล้วมี ความคิดเหน็ อยู่ในระดับมากทส่ี ดุ ชญากาณฑ์ ขันธแ์ ก้ว (2560) วจิ ยั เรอื่ ง การประเมนิ หลกั สูตรการจัดการเรียนการสอนตาม หลกั สูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ มี วัตถุประสงค์เพ่ือประเมินหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็น ภาษาอังกฤษ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ โดยใช้รูปแบบการประเมินหลักสูตร แบบซิปป์ เพ่ือประเมินหลักสูตรตามองค์ประกอบ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านบริบท ด้านปัจจัยนาเข้า ด้าน กระบวนการ และด้านผลผลิต ผลการวิจัยพบวา่ ผลการประเมินด้านบริบทมีความเหมาะสมในระดับ มาก โดยประเด็นท่ีมีคา่ เฉลย่ี สูงสูด ได้แก่ ด้านการเป็นหลักสูตรท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ภาษาอังกฤษใน การสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ ได้ และมีเนื้อหาและกิจกรรมในหลักสูตรเน้นการฝึกทักษะทาง ภาษาอังกฤษท้ัง 4 ทักษะ จากการสนทนากลุ่ม มีข้อเสนอแนะว่า การกาหนดวัตถุประสงค์ของ หลกั สูตรควรมีความชัดเจน และการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ผลการประเมนิ ดา้ นปจั จัยนาเขา้ มีความเหมาะสมในระดับมาก โดยมีประเด็นการประเมินท่ีมีค่าเฉลี่ย สูงสุด ได้แก่ ด้านผู้สอนมีการใช้การวิจัยเพื่อแก้ปัญหา และใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของ ผู้เรียน จากการสนทนากลุ่ม มีข้อเสนอแนะว่า ในการคัดเลือกครูชาวต่างชาติ ควรมีการกาหนด คุณสมบัตวิ ่าควรเปน็ ผทู้ ีส่ าเรจ็ การศกึ ษาสายการศึกษา และควรทาข้อตกลงเก่ียวกับการปฏิบัติหน้าที่ ผลการประเมนิ ดา้ นกระบวนการมคี วามเหมาะสมในระดบั มาก โดยมีประเด็นการประเมินที่มีค่าเฉลี่ย สูงสุด ได้แก่ ด้านกิจกรรมการเรียนรู้เป็นกิจกรรมท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ และมีการวัดและประเมิน ความสามารถดา้ นภาษาของผเู้ รียน จากการสนทนากลุ่ม มีข้อเสนอแนะว่าควรมีการจัดกิจกรรมอ่ืนๆ ทส่ี ง่ เสริมความสามารถทางภาษาของ ผลการประเมนิ ดา้ นผลผลิตมคี วามเหมาะสมในระดับมาก โดยมี ประเดน็ การประเมินที่มคี า่ เฉลย่ี สูงสุดไดแ้ ก่ ด้านผู้เรียนมีความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาและหา วธิ ีการทนี่ าไปสู่การแก้ปัญหาได้ จากการสนทนากลุม่ โดยภาพรวมผู้ปกครองส่วนใหญ่มีความพึงพอใจ ต่อการจดั การเรยี นการสอนตามหลักสตู ร นารี อุไรรักษ์ พัชนี กุลฑานันท์ และเบญจพร วรรณูปถัมภ์ (2562) ทาวิจัยเร่ือง การ ประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยใช้รูปแบบการ ประเมินหลักสูตรแบบ CIPP Model ซึ่งได้ดาเนินการประเมิน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านบริบท ด้านปัจจัย นาเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการประเมินการใช้หลักสูตร สถานศึกษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ด้านบริบท ด้านปัจจัยนาเข้า ด้าน กระบวนการ และด้านผลผลิต โดยภาพรวม พบว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการ ประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา ในด้านบริบท โดยภาพรวมพบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มากท่สี ุด และเมื่อพจิ ารณาเปน็ รายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากท่ีสุดทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านวิสัยทัศน์ของ
57 สถานศกึ ษา ดา้ นพนั ธกิจหลักของสถานศึกษา ด้านวัตถุประสงค์ของสถานศึกษา และด้านโครงสร้าง หลักสูตรของสถานศึกษา 3) ผลการประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา ในด้านปัจจัยนาเข้า โดย ภาพรวมพบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดบั มาก และเมอ่ื พจิ ารณาเปน็ รายดา้ น พบวา่ อยใู่ นระดับมาก ท้ัง 4 ดา้ น คอื ดา้ นงบประมาณ ด้านบุคลากร ด้านอาคารสถานที่ และด้านส่ือ วัสดุ และอุปกรณ์ 4) ผลการประเมินการใชห้ ลักสตู รสถานศึกษา ในดา้ นกระบวนการ โดยภาพรวมพบว่ามีความ เหมาะสม อย่ใู นระดับมากท่ีสุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากที่สุด 3 ด้าน คือ ด้านการ ออกแบบการจัดการเรยี นรู้ ดา้ นการจัดการเรยี นรู้ และดา้ นการบริหารจัดการหลักสูตร และมี 2 ด้าน ที่อยู่ในระดับมาก คอื ด้านการวัดและประเมินผล และด้านการใช้สื่อในการจัดการเรียนรู้ 5) ผลการ ประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา ในด้านผลผลิต โดยภาพรวมพบว่ามีเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากทั้ง 2 ด้าน คือ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ของผู้เรียน และด้านสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ส่วนด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า นักเรียนมี ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนอยูใ่ นระดับดี นอกเหนอื จากงานวิจัยประเมินหลักสูตรแล้ว มีงานวิจัยท่ีเก่ียวกับการประเมินโครงการก็มี หลกั การดาเนินงานเชน่ เดียวกนั ดังตัวอยา่ งงานวิจยั ประเมนิ โครงการต่อไปน้ี Shi (2006) ได้ศึกษาการประเมินโครงการผู้ช่วยสอนนักศึกษานานาชาติ International teaching assistant (ITA) โดยใช้รูปแบบการประเมิน CIPP Model ด้านบริบท ด้านทรัพยากรหรือ ปัจจัยเบื้องตน้ ดา้ นกระบวนการใชห้ ลักสูตร ด้านผลงานที่ปรากฏโดยใช้กรอบคาถามต่อไปนี้คืออะไร คือความต้องการของผู้ช่วยสอนนานาชาติระดับความต้องการเป็นอย่างไร อะไรเป็นส่ิงท่ีจะบอกถึง กิจกรรมทีต่ อ้ งการกิจกรรมต่างๆทีจ่ ัด มีประสทิ ธิภาพหรือไม่ โครงการที่จัดขึ้นบรรลุหรือไม่ ผลผลิตท่ี บอกถงึ ความสาเร็จของโครงการในมหาวทิ ยาลยั ต่างๆ แตกตา่ งกันหรอื ไม่ มีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู โดย การส่งแบบสอบถามไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ 8 แห่งซึ่งแต่ละแห่งจะต้องมีนักศึกษานานาชาติอย่าง น้อย 1,000 คน แบบสอบถามท่ีตอบกลับมาได้มากกว่าร้อยละ 70 ผลการศึกษาพบว่าโครงการ ดงั กล่าวช่วยส่งเสริมความสามารถทางภาษาและทักษะการส่อื สารได้มากแตย่ งั มอี ัตราการเข้าร่วมของ นกั ศกึ ษาในมหาวทิ ยาลยั ตา่ งๆอย่ใู นระดบั ตา่ ขาดการประเมินประสิทธิภาพในการสอนระยะยาวพบว่า ผลการประเมนิ ระดับคณุ ภาพอยใู่ นเกณฑ์ระดบั สจี ากทง้ั หมดเจด็ ระดบั นอกจากนั้นพบว่ากระบวนการ นเิ ทศตดิ ตามจะชว่ ยให้โครงการเกิดประสทิ ธิภาพสงู สดุ ซงึ่ ตอ้ งมีการพูดคุยแลกเปล่ียนความคิดเห็นกัน ท้งั ในส่วนผูร้ ว่ มงานในโครงการ งานวิจัยประเมินหลักสูตรระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานบางสถาบันจะมีการประเมินโดยใช้ รูปแบบการประเมินในแบบอ่นื ๆ เช่น Balanced Scorecard : BSC ข้นึ กับวตั ถุประสงค์ของงานวิจัย ท่ตี ้องการอยา่ งไร มตี วั อยา่ งงานวจิ ยั ดงั น้ี มนสั จันทร์พวง (2549) ทาวิจัยเร่ือง การประเมินหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสิรินธรราช วิทยาลัย จังหวัดนครปฐม โดยใช้แนวคิด BALANCED SCORECARD (BSC) มีวัตถุประสงค์เพื่อ ประเมินหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม โดยใช้แนวคิด BALANCED SCORECARD (BSC) ใน 4 มุมมอง ได้แก่ มุมมองด้านนักเรียนและผู้เก่ียวข้อง มุมมอง
58 ด้านกระบวนการพัฒนาหลักสูตร มุมมองด้านการพัฒนาบุคลากร มุมมองด้านงบประมาณและ ทรพั ยากร ผลการวิจัยพบว่า 1) หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม มี ความเหมาะสมในระดับดี เมื่อพิจารณาเป็นรายมุมมองพบว่า ในทุกมุมมอง ได้แก่ มุมมองด้าน นักเรียนและผเู้ กี่ยวข้อง มุมมองดา้ นการพฒั นาหลกั สูตร มมุ มองด้านการพัฒนาบุคลากร และมุมมอง ด้านงบประมาณและทรัพยากรมีความเหมาะสมอยู่ในระดับดี 2) มุมมองด้านนักเรียนและผู้เก่ียวข้อง พบว่าคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ ความสามารถในการคิด และมีวิสัยทัศน์ในการ แสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง รักการเรยี นรู้ และพฒั นาตนเองอยา่ งต่อเนื่อง ทักษะในการทางาน รักการ ทางานและเจตคติตอ่ อาชพี สขุ นสิ ยั สุขภาพ และสุขภาพจิตท่ีดี สุนทรียภาพ ลักษณะนิสัยด้านศิลปะ ดนตรีและกีฬา ความพงึ พอใจของนักเรียน ความพงึ พอใจของผ้ปู กครอง มีความเหมาะสมระดับดี แต่ ควรปรบั ปรุงความรแู้ ละทักษะที่จาเป็นตามหลกั สูตร 3) มุมมองด้านกระบวนการการพัฒนาหลักสูตร พบว่า การจดั ทาหลักสูตร การใช้และการบรหิ ารหลกั สูตร คุณภาพของครูผู้สอนตามรูปแบบการเรียน เพ่อื รับรู้ การประเมนิ ผลนกั เรยี นระดบั ห้องเรยี น แตล่ ะกลมุ่ สาระการเรียนรู้ มีความเหมาะสมระดับดี 4) มุมมองด้านการพัฒนาบุคลากรพบว่า ครูมีความสามารถในด้านการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา ความสามารถในการสอนของครูผู้สอน ความพึงพอใจของผู้บริหารและครูในการปฏิบัติงาน ความสามารถของผูบ้ ริหารในการใช้หลักสูตรมคี วามเหมาะสมระดบั ดี และ5) มุมมองด้านงบประมาณ และทรัพยากรพบว่า งบประมาณในการบริหารจัดการ ความคุ้มค่าในการจัดการศึกษา มีความ เหมาะสมระดบั ดี ฤดมี าศ ศรสี ขุ (2557) ทาวิจยั เร่อื งการประเมินหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนในฝัน ระดับช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1–6 โดยใช้แนวคิดการวัดผลเชิงดุลยภาพ (Balanced Scorecard) กรณีศึกษา โรงเรยี นราชวินิตบางเขน มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพ่ือประเมินหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนราชวินิต บางเขน ระดับชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1–6 โดยใช้แนวคิดการวัดผลเชิงดุลยภาพ (Balanced Scorecard) ตาม 4 มุมมองได้แก่ มุมมองด้านนักเรียนและผู้เกี่ยวข้อง มุมมองด้านกระบวนการพัฒนาหลักสูตร มมุ มองดา้ นการพัฒนาบุคลากร และมุมมองด้านงบประมาณและทรัพยากร ผลการศึกษาพบว่า โดย ภาพรวมผลการประเมินบรรลุตามวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของโรงเรียนในระดับมาก และจากการ พิจารณาผลการประเมินแต่ละมุมมอง พบว่า ทุกมุมมองมีระดับความเหมาะสมมากเช่นกัน แสดงให้ เห็นว่า โรงเรียนราชวินิตบางเขนมีการนากลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติจริง ทาให้เกิดความสมดุลในทุก มุมมองตามกรอบแนวคิดการวัดผลเชิงดุลยภาพ (Balanced Scorecard) นอกจากนี้ ในการสารวจงานประเมินหลักสูตรในระดับอุดมศึกษา พบว่าส่วนใหญ่มักจะใช้ รปู แบบการประเมิน CIPP Model ซ่ึงมีองค์ประกอบการประเมิน 4 ด้าน คือ ด้านบริบท ด้านปัจจัย นาเข้า ดา้ นกระบวนการ และดา้ นผลผลิต หรือบางเรอ่ื งอาจมกี ารประเมนิ ตามองคป์ ระกอบถึง 8 ด้าน และบางเรอื่ งอาจมีการประเมนิ ตามองค์ประกอบเพยี ง 3 ดา้ นเท่านั้น มีตัวอยา่ งงานวจิ ยั ทเี่ กี่ยวขอ้ งกับ การประเมินหลกั สตู รในรูปแบบ CIPP ดังนี้ จริญญา สมานญาติ (2554) วิจัยเรอ่ื ง การประเมินหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต โปรแกรม วิชาวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี าสถาบันการพลศกึ ษา วทิ ยาเขตภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ มีวัตถุประสงค์เพ่ือ ประเมนิ หลักสตู รวทิ ยาศาสตรบณั ฑติ โปรแกรมวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา สถาบันการพลศึกษา วิทยา
59 เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยใช้รูปแบบซิปป์ (CIPP Model) ผลการวิจัยพบว่า 1) คณาจารย์ นักศึกษา และบัณฑิต เห็นว่าด้านบริบทโดยรวมและจาแนกตามด้านย่อย ได้แก่ วัตถุประสงค์ของ หลักสูตร โครงสร้างของหลักสูตร และเนื้อหาสาระของหลักสูตร มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และมีข้อเสนอแนะว่าควรสารวจความต้องการของผู้เรียน เพื่อนามาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา หลักสตู รต่อไป และควรจดั การเรยี นการสอนในรายวิชาการสือ่ สาร ภาษาอังกฤษและคาศัพท์ท่ีต้องใช้ ในศูนย์สุขภาพ รายวิชาแอโรบิกและโยคะเพ่ิมเติม 2) คณาจารย์ นักศึกษา และบัณฑิต เห็นว่าด้าน ปจั จัยเบื้องตน้ โดยรวมและจาแนกตามด้านย่อย ได้แก่ คุณลักษณะผู้เรียน คุณลักษณะของคณาจารย์ และวัสดุการศึกษา ส่ือ ตาราเรียน และสถานที่เรียน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และมี ข้อเสนอแนะว่าควรจดั เคร่ืองคอมพวิ เตอร์สาหรับนักศึกษาเพื่อใช้ในการสืบค้นข้อมูลให้เพียงพอ และ ควรเพิ่มอุปกรณ์วิทยาศาสตร์การกีฬาท่ีใช้สาหรับการจัดการเรียนการสอนให้มากข้ึน 3) คณาจารย์ นกั ศึกษา และบณั ฑิต เห็นว่าด้านกระบวนการโดยรวมและจาแนกตามด้านย่อย ได้แก่ กระบวนการ จัดการเรยี นการสอน การวดั ผลและประเมนิ ผล และการบริหารจัดการหลักสูตร มีความเหมาะสมอยู่ ในระดับมาก และมขี ้อเสนอแนะว่าควรวางแผนเพ่ิมอัตรากาลังคณาจารย์และบุคลากรสายสนับสนุน ให้เพียงพอกับภาระงาน เพื่อให้คณาจารย์รับผิดชอบเฉพาะงานสอนเพียงอย่างเดียว 4) บัณฑิต ผบู้ ังคบั บัญชาของบัณฑิต และเพ่ือนร่วมงานของบัณฑิตเห็นว่า ด้านผลผลิตโดยรวมและจาแนกตาม ด้านย่อย ได้แก่ คุณภาพการปฏิบัติงานทั่วไป ด้านคุณธรรมจริยธรรม และจรรยาบรรณในวิชาชีพ และคุณภาพการปฏิบัติงานด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และมี ข้อเสนอแนะว่าบณั ฑิตควรศึกษาหาความรูใ้ หม่ ๆ และทันสมัยเพิ่มเติมเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ของโลกปัจจุบัน และเป็นการพัฒนาตนเอง โดยสรุป หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต โปรแกรมวิชา วิทยาศาสตร์การกีฬา สถาบนั การพลศึกษา วิทยาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความเหมาะสมทุก ด้านอยู่ในระดับมาก จึงสมควรใช้หลักสูตรนี้ต่อไป แต่ควรหาแนวทางพัฒนาให้หลักสูตรมีความ เหมาะสมมากย่งิ ข้ึนเพื่อความเป็นเลศิ ด้านวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา พรทิพย์ ไชยโส และคณะ (2554) ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง การประเมินหลักสูตรปรัชญาดุษฎี บัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ศึกษา หลักสูตร 5 ปี ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผลการวิจัย พบว่า 1) วัตถุประสงค์และโครงสร้างของหลักสูตรมีความ เหมาะสมต้ังแต่ระดับมากข้ึนไป 2) การดาเนินการใช้หลักสูตรมีความเหมาะสมท้ังในเรื่องของ คณุ สมบัติของนสิ ิตท่ีรบั เขา้ มาเรียน กระบวนการจัดการเรียนการสอน อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ การจัดปัจจัยท่ีสนับสนุนการเรียนการสอน ประโยชน์ของกิจกรรมต่างๆ ท่ีจัด และการดาเนินงาน ความรว่ มมอื กบั มหาวิทยาลัย Waikato และ3) บัณฑิตมีความสามารถและทักษะในการจัดการเรียน การสอนและการทาวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ อยู่ในระดับตั้งแต่มากขึ้นไป ผูบ้ งั คับบญั ชาบณั ฑิตมคี วามพงึ พอใจตอ่ บัณฑติ ในระดบั มากทีส่ ุด มาเรียม นิลพันธุ์ และคณะ (2554) วิจัยเรื่อง การประเมินหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลกั สูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อ ประเมินหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรในด้านบริบท ด้านปัจจัยนาเข้า ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิตด้านผลกระทบ ด้านประสทิ ธิผล ด้านความยัง่ ยืน และด้านการถ่ายโยงความรู้ 2) เพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางการ
60 พัฒนา ปรับปรุงหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน ในการประเมิน หลกั สูตรใช้วิธกี ารประเมินของ Danial L. Stufflebeam รปู แบบการประเมินแบบ CIPPIEST Model ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการประเมินหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรโดยภาพรวมพบว่า บัณฑิต นักศึกษา ผู้สอน/กรรมการ ตรวจสอบวิทยานิพนธ์ คณะกรรมการดาเนินงาน/อาจารย์ประจาหลักสูตร ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ผู้บริหารคณะ และผู้ใช้บัณฑิต มีความคิดเห็นว่าเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการประเมินด้าน บริบท ในภาพรวมและรายข้อพบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อท่ีมีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ วัตถุประสงค์หลักสูตรเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน และข้อท่ีมี ค่าเฉล่ยี น้อยที่สดุ คือ ความเหมาะสมของจานวนหน่วยกติ ทั้งหมด 3) ผลการประเมินด้านปัจจัยนาเข้า ในภาพรวมและรายข้อพบวา่ หลกั สูตรมีความเหมาะสมในระดับมาก เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อ ท่มี คี า่ เฉลีย่ มากที่สดุ คอื คุณวฒุ ิ ความรู้ ประสบการณผ์ ลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยของอาจารย์ มีศักยภาพท่ีเหมาะสม และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ มีห้องปฏิบัติการจุดเชื่อมต่อ Internet ห้อง ทางานแลกเปลย่ี นเรียนรูท้ ี่เหมาะสม 4) ผลการประเมินดา้ นกระบวนการในภาพรวมและรายข้อพบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ซึ่งข้อท่ีมีค่าเฉล่ียมากท่ีสุด คือ อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์มีการ ตรวจสอบงาน และใหข้ ้อเสนอแนะต่าง ๆ อย่างชัดเจนเหมาะสม และข้อท่ีมีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือการ บริการด้านธุรการ การยืนคาร้องลงทะเบียน ต่าง ๆ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย/ผู้บริหารคณะ มีความ คิดเห็นว่า กระบวนการของหลักสูตรมีความเหมาะสม แต่ควรเน้นให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง เพิ่มเตมิ จากการเรยี นในชน้ั เรยี น 5) ผลการประเมินด้านผลผลิตในภาพรวมและรายข้อพบว่า มีความ เหมาะสมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณารายข้อพบว่า บัณฑิต มีความคิดเห็นว่าบัณฑิตท่ีสาเร็จ การศึกษามีความเป็นผนู้ าทางวชิ าการ/วชิ าชพี มีความสามารถพฒั นาหลกั สูตรได้ และมีความสามารถ ในการจัดการเรียนการสอนอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนนักศึกษา ผู้สอน/กรรมการตรวจสอบ วิทยานิพนธ์ มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ผู้บริหารมหาวิทยาลัย/ผู้บริหารคณะ คณะกรรมการ ดาเนินงาน/อาจารย์ประจาหลักสูตร มีความคิดเห็นว่า บัณฑิตที่จบการศึกษาตามหลักสูตรมี คุณลักษณะที่เหมาะสม 6) ผลการประเมินด้านผลกระทบในภาพรวมและรายข้อพบว่า มีความ เหมาะสมอยใู่ นระดับมาก โดยผู้ใชบ้ ณั ฑติ มคี วามคดิ เห็นในภาพรวมวา่ หลกั สูตรมีความเหมาะสมอยู่ใน ระดับมากทส่ี ุด เพอื่ พจิ ารณารายข้อ พบว่าขอ้ ทมี่ ีค่าเฉล่ยี มากท่ีสุดคือ บัณฑิตไดน้ าความรู้ที่ได้เรียนมา ไปสรา้ งผลงานทางวิชาการหรือนวัตกรรมการเรียนการสอน และผลการปฏิบัติงานของบัณฑิตส่งผล ต่อการดาเนินงานของหน่วยงานได้รับผลประโยชน์ตรงตามท่ีคาดหมาย และข้อท่ีมีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ บัณฑิตท่ีสาเร็จการศึกษาได้รับเชิญเป็นผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เช่ียวชาญในการดาเนินงานต่าง ๆ ใน หน่วยงานและนอกหน่วยงาน 7) ผลการประเมินดา้ นประสทิ ธผิ ลในภาพรวมและรายขอ้ พบว่า มีความ เหมาะสมอยู่ในระดับมากท่ีสุด เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือผลการ ปฏิบตั งิ านของบัณฑิต ส่งผลต่อประสิทธิภาพด้านวิชาการภายในหน่วยงาน ข้อที่มีค่าเฉล่ียน้อยที่สุด คือประสทิ ธิภาพดา้ นการจดั การของหน่วยงาน 8) ผลการประเมนิ ด้านความย่งั ยืนในภาพรวมและราย ข้อพบว่า มคี วามเหมาะสมอยใู่ นระดบั มากท่ีสุด เม่ือพิจารณารายขอ้ พบวา่ ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากท่ีสุดคือ การพัฒนาวิชาชพี และข้อทม่ี คี ่าเฉลย่ี นอ้ ยที่สุดคือการศึกษาดูงานในประเทศ และ9) ผลการประเมิน ดา้ นการถ่ายโยงความรู้ ในภาพรวมและรายขอ้ พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณา
61 รายขอ้ พบว่า ขอ้ ท่มี คี ่าเฉล่ียมากทสี่ ดุ คอื บณั ฑติ นาความรู้ไปปฏิบตั ิงานไดเ้ ขา้ กบั การเปล่ียนแปลงและ ประยกุ ตก์ บั ตามความต้องการของชมุ ชนโดยการปรบั ปรุงและการนาไปใช้ เกย่ี วกับแนวคิดและทฤษฎี ใหมใ่ ห้เหมาะสมกบั การเปลี่ยนแปลง และข้อท่ีมีค่าเฉล่ียน้อยที่สุดคือ บัณฑิตท่ีสาเร็จการศึกษาได้รับ เชิญเป็นวิทยากรด้านหลักสูตรการสอน และการนเิ ทศ บงกช เอ่ียมชน่ื (2555) วจิ ัยเร่ือง การประเมินหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ (หลกั สูตรปรบั ปรุง พ.ศ.2550) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีวัตถุประสงค์เพ่ือ ประเมินหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ.2550) ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยจะประเมิน ความเหมาะสมของหลักสูตรใน 3 ดา้ น ได้แก่ ด้านปัจจัยเบื้องต้น ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต ผลการวิจัย พบว่า หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (หลักสูตร ปรับปรุง พ.ศ.2550) ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความเหมาะสม ดังน้ี 1) ดา้ นปัจจัยเบ้ืองตน้ ไดแ้ ก่ ปรัชญา วตั ถุประสงค์ โครงสร้าง เน้ือหา อาจารย์ เหมาะสม นักศึกษาควร ปรับปรุงเรื่องคุณสมบัติของผู้เข้าศึกษารวมทั้งจานวนนักศึกษาท่ีไม่เป็นไปตามกาหนด อุปกรณ์การ เรยี น สือ่ การเรยี น สถานท่เี รยี น ควรปรับปรงุ เรื่องจานวนและอปุ กรณใ์ นห้องเรียนและหอ้ งปฏิบัติการ 2) ด้านกระบวนการ ได้แก่ การจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลการบริหารหลักสูตร เหมาะสม แตค่ วรปรับปรงุ เร่อื ง การจัดหาทุนการศึกษาและวิจัย รวมทั้งการประชาสัมพันธ์หลักสูตร 3) ดา้ นผลผลิต มหาบัณฑิตมีคณุ สมบัตติ ามวัตถปุ ระสงค์ของหลักสูตร แต่ควรพัฒนาความสามารถใน การใชเ้ ทคโนโลยี และควรมีการประเมนิ คณุ ลักษณะของมหาบณั ฑิต มาเรียม นิลพันธ์ุ และคณะ (2555) วิจัยเรื่อง การประเมินหลักสูตรศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการนิเทศ คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มี วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั 1) เพอ่ื ประเมนิ บรบิ ทของหลกั สูตรในดา้ นวัตถุประสงค์ โครงสรา้ งของหลักสูตร และรายวิชา 2) เพื่อประเมินปัจจัยนาเข้าของหลักสูตรในด้านส่ือที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ สภาพ หอ้ งเรยี น จานวนอาจารย์ และส่ิงอานวยความสะดวก 3) เพ่ือประเมินกระบวนการของหลักสูตรใน ดา้ นการจัดการเรียนรู้การวดั และประเมินผลการจดั การเรียนรู้ การฝึกปฏิบัติการ การบริหารจัดการ หลักสูตร และกระบวนการทาวิทยานิพนธ์ 4) เพ่ือประเมินผลผลิตของหลักสูตรในด้านความรู้ความ เข้าใจ ความสามารถในการพัฒนาหลักสูตร การออกแบบการสอนและการนิเทศ ความสามารถใน การวจิ ยั และการมีคุณธรรม และ5) เพอ่ื ประเมนิ ผลกระทบของหลักสูตร ในด้านความสามารถในการ ประยุกต์ใชเ้ พอ่ื การปฏิบตั ิงาน การพัฒนาวชิ าชีพ ความเป็นผู้นา สมรรถนะในด้านหลักสูตร การสอน และการนิเทศ โดยผู้วิจัยใช้รูปแบบการประเมิน CIPPI Model ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านบริบท หลักสตู ร พบวา่ รายวิชาต่างๆ มีความเหมาะสมอยู่ในระดบั มาก และเหน็ วา่ ควรมีการปรับปรุงรายวิชา พืน้ ฐาน รายวชิ าบงั คบั และรายวชิ าเลือก รายวชิ าทมี่ คี วามเหมาะสมมาก คอื รายวิชาการวิจัยทางการ ศึกษาและเห็นว่า รายวิชาได้ส่งเสริมให้นักศึกษามีความสามารถในการพัฒนาและการวิจัยทาง หลักสตู รและการนิเทศ มที ักษะกระบวนการคิดขนั้ สูง มีพัฒนาทางเชาวน์อารมณ์ (EQ) ทาให้ผู้เรียน ตระหนักในความสาคญั ทางวัฒนธรรมทงั้ ระดับทอ้ งถิ่นและระดับสากลควรเพ่ิมเวลาเรียนในรายวิชาที่ เกี่ยวข้องกับการทาวิทยานิพนธ์ เทคนิคและรูปแบบการจัดการเรียนรู้ การใช้สื่อและเทคโนโลยี นวัตกรรมการเรยี นการสอนและการพฒั นาหลักสูตร และเปิดวิชาเลือกเพิ่มข้ึนเก่ียวกับหลักสูตร การ
62 สอน หรือการนิเทศท่ีระบุเฉพาะเรื่อง หรือระดับชั้นเรียน การจัดโครงสร้างของหลักสูตร และ โครงสรา้ งรายวิชามีความเหมาะสมและสอดคลอ้ งกัน ควรมีการปรับปรุงให้เน้นการฝึกปฏิบัติ และให้ ผู้เรียนสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาหลักสูตรได้ 2) ด้านปัจจัยนาเข้า พบว่า โดยภาพรวม และรายข้ออยู่ในระดับมาก มีแหล่งสืบค้นแสวงหาความรู้ท่ีตอบสนองต่อการสืบค้นหาความรู้ มี ทรัพยากรการเรียนรู้ท่ีเอ้ือและสนับสนุนผู้เรียนและตรงกับความต้องการในการพัฒนาการเรียนรู้มี ความสะดวกในการเลือกใชน้ วัตกรรมและเทคโนโลยีเพ่ือนามาประกอบการเรียนรู้ในห้องเรียน สภาพ ห้องเรียนมีสื่อและวัสดุท่ีเอ้ือต่อการจัดการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย มีบุคลากรภายนอก (วิทยากร ผูท้ รงคณุ วฒุ )ิ เข้ามารว่ มในระบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความรู้และกระบวนการคิด และมีหน่วยงาน องคก์ รจากภายนอกใหก้ ารสนบั สนนุ ในการจัดการเรียนรู้ ควรเพิ่มจานวนอาจารย์ผู้สอนประจาสาขา ใหเ้ พียงพอสาหรับการสอนและการดูแลการทาวิทยานิพนธ์ ควรพัฒนาระบบการยืมคืนวิทยานิพนธ์ และควรมกี ารขยายเวลาการให้บรกิ ารยืมคืนในวนั เสารแ์ ละวนั อาทิตย์ 3) ดา้ นกระบวนการ พบว่าการ จัดการเรียนรู้ โดยภาพรวมและรายข้ออยู่ในระดับมาก ท้ังนี้มีความคิดเห็นว่า นักศึกษาได้รับการ กระตุ้นให้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนได้รับคาแนะนาและความช่วยเหลือจากอาจารย์ สาขาวิชามีบรรยากาศเรียนรู้แบบร่วมมือกัน มีการจัดการเรียนรู้ท่ีดีเพ่ือให้นักศึกษาได้เรียนรู้ใน ประเด็นท่สี าคญั ทง้ั เปน็ รายกลุ่มและรายบคุ คล ได้รับการกระตุ้นให้กล้าซักถามเพื่อพัฒนาความรู้ ใน ช้ันเรียนอาจารยแ์ ละนกั ศกึ ษามปี ฏิสัมพันธ์ มีการปฏบิ ัติการวิจยั ทางดา้ นหลักสูตรและการนิเทศท่ีเน้น การนาทรัพยากรท้องถิ่นมาพัฒนาหลักสูตร นักศึกษามีส่วนร่วมในการวางแผนการออกแบบการ จัดการเรียนรู้ ดา้ นการวดั และการประเมินผลการจัดการเรียนรู้ โดยภาพรวมและรายข้ออยู่ในระดับ มาก โดยมีความคิดเห็นว่า การประเมินกระบวนการเรียนรู้มีตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนในการประเมิน มีการ ประเมินความกา้ วหนา้ และพัฒนาการ นักศึกษามีส่วนร่วมประเมินพัฒนาการในการเรียนรู้และปรับ แผนการจัดการเรียนรู้ รวมท้ังมีการประเมินจากหน่วยงานสถานศึกษาภายนอก โดยเฉพาะการฝึก ปฏบิ ัตกิ าร และการทาวิทยานิพนธ์ 4) ด้านผลผลติ โดยภาพรวมและรายข้อ อยู่ในระดับมากที่สุด คือ มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจและเช่ียวชาญด้านหลักสูตรและการนิเทศ มีความสามารถในการปฏิบัติงานเป็น ศึกษานิเทศก์ นักพัฒนาหลักสูตร ฝ่ายวิชาการของสถานศึกษา ผู้สอน มีคุณธรรมในวิชาชีพมี ความสามารถในการศึกษาค้นควา้ วิจยั ดา้ นการศกึ ษาหลักสูตรและการนเิ ทศ เป็นผู้นาการเปลี่ยนแปลง ในการพัฒนาหลักสูตรประเภทต่างๆ ท้ังหลักสูตรฝึกอบรม หลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตรระดับ ท้องถ่ิน และสามารถนาเทคนิควิธีสอนใหม่ๆไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญและ ร่วมมือกันเรียนรู้ มีคุณธรรมในวิชาชีพ มีความเป็นมืออาชีพที่มีคุณธรรม และ5) ด้านผลกระทบ พบว่า โดยภาพรวมและรายข้ออยู่ในระดับมาก สามารถนาความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปใช้ใน การปฏิบัติงาน ประสบการณ์การทาวิทยานิพนธ์ช่วยพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติงาน และ วิชาชีพของตนเอง การนาความรู้ท่ีได้ในระหว่างเรียนไปปฏิบัติงานได้อย่างต่อเนื่อง และมี ความสามารถในการประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีทางด้านหลักสูตรและการนิเทศ ไปพัฒนาผู้เรียน มี ทักษะความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคลและกล่มุ สามารถในการวางแผนและการจัดการมีภาวะความเป็น ผู้นาทางด้านวชิ าการ มกี ารพฒั นาทกั ษะการสื่อสาร และเปน็ ผูน้ าการใช้นวตั กรรมและเทคโนโลยี การ จดั การเรยี นการสอน มีคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในวิชาชีพและมีความรับผิดชอบต่อสังคม ส่วนประเด็น อนื่ ๆพบวา่ มคี วามคิดเหน็ อยูใ่ นระดับมาก และเกยี่ วกับประโยชน์ที่ได้จากการศึกษา มีความภาคภูมิใจ
63 ในสาขาวิชา สามารถทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนาความรู้ไปถ่ายทอดและ ขยายผลใหผ้ ูอ้ ่นื ได้ มีนา ดาวเรือง (2555) วิจัยเร่ือง การประเมินหลักสูตรอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ แขนงวิชาธุรกิจการบินโรงเรียนการท่องเท่ียวและการบริการ พ.ศ. 2548 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวน ดุสิต มีวัตถุประสงค์การวิจัยคือ เพ่ือประเมินหลักสูตรอุตสาหกรรมท่องเท่ียวและบริการ แขนงวิชา ธรุ กจิ การบนิ โรงเรียนการทอ่ งเทย่ี วและการบริการ พุทธศกั ราช 2548 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ใช้รูปแบบการประเมนิ แบบซปิ ป์ (CIPP) ของสตัฟเฟิลบีม โดยประเมินใน 5 องค์ประกอบ ได้แก่ ด้าน บริบท ดา้ นปจั จยั นาเข้า ดา้ นกระบวนการ ดา้ นประสิทธิผล และด้านความยง่ั ยนื ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านบริบท อาจารย์ ผู้เช่ียวชาญด้านธุรกิจการบินและผู้บังคับบัญชาของบัณฑิต มีความคิดเห็นว่า วัตถุประสงค์ของหลักสูตรโดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ส่วนอาจารย์นิเทศการศึกษามี ความคิดเห็นว่า วัตถุประสงค์ของหลักสูตรโดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากท่ีสุด 2) ด้าน ปัจจัยนาเข้า นักศึกษา บัณฑิต อาจารย์ มีความคิดเห็นว่า คุณสมบัติผู้เรียน มีความเหมาะสม ส่วน คณุ สมบัติอาจารย์ และทรพั ยากรสนบั สนุน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก อาจารย์และผู้เช่ียวชาญ ด้านธรุ กิจการบนิ มคี วามคิดเหน็ ว่าเนอ้ื หาของหลกั สูตร มีความเหมาะสมอยู่ในระดบั มาก ส่วนอาจารย์ นิเทศการศึกษามีความคิดเห็นว่า เนื้อหาของหลักสูตรมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วน อาจารย์ อาจารย์นิเทศการศึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจการบินมีความคิดเห็นว่า โครงสร้างของ หลักสูตรมีความเหมาะสม 3) ด้านกระบวนการ นักศึกษา บัณฑิต อาจารย์ มีความคิดเห็นว่า การ บรหิ ารหลักสูตร กระบวนการจัดการเรยี นการสอน และการวัดและการประเมินผล มีความเหมาะสม อยใู่ นระดับมาก มาเรียม นิลพันธุ์ และคณะ (2556) วิจัยเร่ือง การประเมินผลการใช้หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ในโรงเรียนต้นแบบการใช้หลักสูตร มีวัตถุประสงค์การวิจัย คอื 1) เพ่ือประเมนิ ผลการใช้หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ของโรงเรียน ต้นแบบการใช้หลักสูตร 2) เพ่ือศึกษาแนวทางการพัฒนาความเข้มแข็งทางวิชาการของโรงเรียน ตน้ แบบการใชห้ ลกั สตู ร และบุคลากรทางการศึกษา เป็นการวิจัยเชิงประเมินใช้หลักการ แนวคิดของ การประเมินโครงการ โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสมผสานวิธี (Mixed Methods Research) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการประเมินการใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ของโรงเรียนต้นแบบการใช้หลักสูตร 1.1) ด้านสภาพการใช้หลักสูตร ประกอบด้วย (1) หลักการ แนวคิดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ตามแนวคิด Standard based curriculum วิสัยทัศน์ หลักการ จุดหมาย ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ดีมีความชัดเจนเน้นเป้าหมายการจัดการศึกษา แต่มีรายละเอียดมาก เกินไปจนขาดอัตลักษณ์ ควรมีการกาหนดให้ส้ัน กระชับสะท้อนปรัชญาการศึกษาไทยและหลักการ เศรษฐกจิ พอเพียง เอกสารหลักสูตรสถานศึกษา พบว่าโรงเรียนต้นแบบกาหนดวิสัยทัศน์ไว้ แต่เขียน วิสัยทัศน์ไม่ครอบคลุมสภาพความต้องการของโรงเรียน ชุมชน ท้องถ่ิน ควรเน้นภาพอนาคตท่ีพึง ประสงค์ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมีการกาหนดไว้ชัดเจน แต่ยังขาดรายละเอียดในการทาแนวทางการ จัดการเรียนการสอน แผนการจัดประสบการณ์ ครูยังขาดความเข้าใจในการจัด และการประเมิน กิจกรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ควรระบุจุดประสงค์แต่ละ
64 ประเภทและระดับช้ันให้ชัดเจน การบริหารจัดการหลักสูตร ผู้บริหารและครูผู้สอนส่วนหนึ่งยังขาด ความรู้ด้านการบริหารจัดการหลักสูตรอย่างแท้จริง ขาดการเป็นผู้ดูแล พ่ีเล้ียง การช่วยเหลือ (mentoring and coaching) ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั หลกั สตู ร การสอนและการประเมิน การจัดการเรียนการ สอน มีการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตร แต่บางส่วนยังสอนแบบเดิม สอนโดยไม่อิงมาตรฐาน ตัวชว้ี ัด หลักสตู รสถานศึกษา ยังขาดความเขา้ ใจในการวิเคราะห์มาตรฐานตัวชี้วัดเพ่ือนาไปสู่การสอน และการสอนยังไม่เอ้ือให้ผู้เรียนสร้างความรู้ได้ด้วยตัวเอง การออกแบบหน่วยและแผนการจัดการ เรียนรู้ มีองค์ประกอบของหน่วยการเรียนรู้ส่วนใหญ่ครบถ้วน แต่เน้ือหาและสาระสาคัญในแต่ละ องค์ประกอบไม่สอดคล้องกัน และครสู ่วนใหญไ่ มเ่ ข้าใจกระบวนการออกแบบการเรียนรแู้ บบย้อนกลับ (Backward Design) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีการระบุเกณฑ์การประเมินผลแต่ละระดับ ชัดเจน แต่ส่วนใหญ่ยังเน้นการวัดและประเมินผลในระดับความรู้ ความจา และยังไม่อิงมาตรฐาน ตัวชี้วัด การวัดและประเมินผลระดับชาติ ยังไม่ครอบคลุมและสอดคล้องกับมาตรฐานตัวชี้วัด ครผู ู้สอนขาดความรู้เกยี่ วกบั เทคนิคและวิธีการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง คุณภาพผู้เรียนตาม มาตรฐานและตวั ช้ีวัด มีการระบุไว้ชดั เจนแต่ยงั ไมส่ ะทอ้ นคุณภาพผเู้ รียนดา้ นคนดี และคุณภาพผู้เรียน จากการทดสอบระดบั ชาติ ไมส่ ามารถบง่ บอกความสามารถท่แี ท้จริง ควรมกี ารพจิ ารณาเพิ่มตัวชี้วัดใน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนหรือคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่สะท้อนความเป็นคนดี และการทดสอบ ระดบั ชาติควรสัมพนั ธก์ บั มาตรฐานและตวั ชว้ี ัด อิศเรศ พิพัฒน์มงคลพร และคณะ (2556) รายงานการวิจัยเร่ือง “การประเมินหลักสูตร ศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการประถมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร” มี วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) ประเมินหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการประถมศึกษา พ.ศ. 2547 คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ในด้านสภาวะแวดล้อม ด้านปัจจัยนาเข้า ด้าน กระบวนการ ด้านผลผลิต และด้านผลกระทบของหลักสูตร 2) ศึกษาปัญหาและแนวทางการพัฒนา ปรับปรุงหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการประถมศึกษา พ.ศ. 2547 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ใช้รปู แบบการประเมิน CIPP Model ผลการวจิ ยั พบว่า 1) ผลการประเมินด้าน สภาวะแวดล้อมท้ังในภาพรวมและรายด้าน ซ่ึงประกอบด้วย แผนการดาเนินงาน ของภาควิชา/ สาขาวิชา และจุดแข็งและจุดอ่อน พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการประเมินด้าน ปจั จัยนาเขา้ ในภาพรวมและรายด้าน ซ่ึงประกอบด้วย วัตถุประสงค์ โครงสร้างและเนื้อหา คุณสมบัติ ของผู้เรียนและการสอบคัดเลือก คุณสมบัติของคณาจารย์/อาจารย์ที่ปรึกษาทางวิชาการ สภาพแวดล้อมทางกายภาพและงบประมาณในการผลิตบัณฑิตมีความเหมาะสมในระดับมาก 3) ผล การประเมินด้านกระบวนการทั้งในภาพรวมและรายด้าน ซ่ึงประกอบด้วย พฤติกรรมการจัดการ เรียนรู้ พฤติกรรมการเรียนรู้ การฝึกประสบการณ์วิชาชีพ การจัดการเรียนการสอน การให้บริการ สนับสนุน และการบริหารหลักสูตร พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 4) ผลการประเมินด้าน ผลผลิต นกั ศกึ ษาท้ังสองรุน่ จบการศกึ ษาตามหลกั สูตร คิดเป็นรอ้ ยละ 100.00 มงี านทาคิดเป็นร้อยละ 93.33 และทางานตรงสาขาร้อยละ 86.67 และผู้ใช้บัณฑิตเห็นว่าคุณลักษณะบัณฑิตในภาพรวม มี ความเหมาะสมอย่ใู นระดบั มากทกุ ด้าน และ5) ผลการประเมินด้านผลกระทบท้ังในภาพรวมและราย ด้าน ซ่ึงประกอบด้วย คุณลักษณะบัณฑิตที่ปฏิบัติงานหรือศึกษาต่อในหน่วยงาน ผลการปฏิบัติงาน ของบัณฑติ และความพงึ พอใจต่อการปฏิบตั ิงานของบัณฑติ พบวา่ มีความเหมาะสมอยใู่ นระดับมาก
65 รัตนศิริ เข็มราช และคณะ (2558) วิจัยเร่ือง การประเมินหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษในฐานะเป็นภาษาโลก มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อประเมิน หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษในฐานะเป็นภาษาโลก (หลักสูตร นานาชาติ) หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554 ภาควิชาบัณฑิตศึกษานานาชาติ การพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรได้มาตรฐาน สอดคล้อง ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ (TQF) โดยผ่านเกณฑ์ประเมินตัวบ่งชี้บังคับ และตัวบ่งช้ีร่วม รวมท้ังสิ้น 12 ตัวบ่งชี้ 2) หลักสูตรมีผลการบริหารจัดการหลักสูตรตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับ บณั ฑิตศึกษา (IQA) โดยสานกั งานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา ซึ่งเปน็ ไปตามเกณฑท์ ง้ั 12 ข้อ 3) ผล การประเมินตามแนวคิด CIPP Model 3.1) ด้านบรบิ ทของหลักสูตร นสิ ติ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มากที่สุด และสอดคล้องกับความเห็นของอาจารย์ผู้สอน คือ วัตถุประสงค์ของหลักสูตร แผนการ จัดการศึกษา ความทันสมัยของหลักสูตร และเนื้อหารายวิชา มีความเหมาะสม สอดคล้อง และ ทันสมัย แต่ยังคงต้องปรับเปล่ียนตามสถานการณ์ใหม่ๆ ที่เกิดข้ึน 3.2) ปัจจัยนาเข้า นิสิตมีความพึง พอใจอยูใ่ นระดับมาก เช่นเดียวกบั อาจารยผ์ สู้ อน คือ สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ส่ิงสนับสนุนต่างๆ มี ความเพียงพอ เหมาะสม นิสิตและกระบวนการคัดเลือกนิสิต นิสิตมีพ้ืนฐานที่แตกต่างหลากหลาย การปรับพืน้ ฐานทกั ษะการเรยี นรูเ้ ป็นสิ่งจาเป็น และอาจารย์ผสู้ อน มคี ุณภาพสามารถปรับการสอนให้ เหมาะสมกับศักยภาพของผู้เรียน แต่ควรเพ่ิมเติมทรัพยากรสารสนเทศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้มาก ยิ่งข้ึน 3.3) กระบวนการ อาจารย์ประจาหลักสูตรมีความพึงพอใจต่อกระบวนการบริหารหลักสูตร และกระบวนการจัดการเรียนการสอนอยู่ในระดับมากที่สุด สาหรับนิสิตมีความพึงพอใจต่อ กระบวนการจัดการเรียนการสอนและการวัดและประเมินผลอยู่ในระดับมากที่สุด โดยนิสิตมีความ ต้องการการเรยี นเสริมด้านทกั ษะภาษาองั กฤษ เนอ่ื งจากพื้นฐานภาษาอังกฤษของกลุ่มผู้เรียนมีความ หลากหลาย และผูส้ อนไดเ้ น้นการสอนท่ีสนับสนนุ ใหผ้ ู้เรียนได้มีส่วนร่วม สร้างพื้นฐานและผ่านเกณฑ์ มาตรฐานท่ียอมรับได้เหมือนกัน รวมท้ังการสอนเสริมตามความสนใจและศักยภาพของผู้เรียน 3.4) ผลผลิต นิสิตมีความพึงพอใจต่อคณุ ลักษณะของนิสิตที่ได้รับการพัฒนาอยู่ในระดับมากท่ีสุด และผู้ใช้ มหาบัณฑิตมีความพึงพอใจต่อมหาบัณฑิตใหม่อยู่ในระดับมากท่ีสุด สอดคล้องกับความคิดเห็นจาก อาจารยผ์ สู้ อนคือ รายวชิ าท่ีเรียนตามหลกั สูตรเหมาะสม ตรงตามวัตถุประสงค์ ประสบการณ์จากการ เรยี นและการวิจัยท่ีได้รับการพัฒนานามาปรับใช้ในการทางานได้ และทักษะด้านภาษาอังกฤษได้รับ การพฒั นาอยา่ งถูกตอ้ งและเพียงพอต่อการปฏิบัติงาน เวชฤทธ์ิ อังกนะภัทรขจร (2558) วิจัยเรื่อง การประเมินหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนคณิตศาสตร์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั บูรพา มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาความคิดเห็นของบัณฑิตและนิสิตท่ีมีต่อหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอน คณิตศาสตร์ 2) ศึกษาความคิดเห็นของผู้บังคับบัญชาบัณฑิตและผู้ท่ีเก่ียวข้องกับบัณฑิตท่ีมีต่อการ ปฏิบัติหน้าที่ของบัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาจากหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิตสาขาวิชาการสอน คณติ ศาสตร์ และ 3) ศกึ ษาความคิดเห็นของคณะกรรมการบริหารหลักสูตรที่มีต่อหลักสูตรการศึกษา มหาบัณฑิต สาขาวชิ าการสอนคณิตศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นของบัณฑิตและนิสิตที่มี ตอ่ หลักสูตรการศึกษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาการสอนคณิตศาสตร์ในภาพรวมเห็นว่ามีความเหมาะสม อย่ใู นระดบั มาก 2) ความคดิ เห็นของผ้บู งั คับบญั ชาบณั ฑติ และผู้ทีเ่ กี่ยวข้องกบั บัณฑติ ทีม่ ตี อ่ การปฏิบัติ
66 หนา้ ท่ขี องบัณฑติ ทสี่ าเรจ็ การศึกษาจากหลกั สตู รการศึกษามหาบณั ฑติ สาขาวิชาการสอนคณิตศาสตร์ ในภาพรวมเห็นว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 3) ความคิดเห็นของคณะกรรมการบริหาร หลักสูตรท่ีมีต่อหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนคณิตศาสตร์เห็นว่า ปรัชญา วัตถุประสงค์ โครงสร้าง และเนือ้ หารายวิชาของหลักสตู รมคี วามชัดเจน เหมาะสม และสามารถนาไป ปฏิบัติได้จริง แต่ควรปรับลดจานวนหน่วยกิตของหมวดวิชาพื้นฐานทางการศึกษา ควรมีการบรรจุ รายวิชาเก่ียวกับนวัตกรรมหรือวิธีการสอนแนวใหม่ทางด้านคณิตศาสตร์ศึกษา ควรมีการจัดหา เอกสาร ตารา หนังสือ และสื่อต่างๆ ทางการเรียนการสอนคณิตศาสตร์เพ่ิมข้ึน และในภาพรวมของ คุณภาพบณั ฑติ ส่วนใหญเ่ ปน็ ไปตามวัตถุประสงค์ของหลักสตู ร คมสัน ตรีไพบูลย์ และคณะ (2558) วิจัยเร่ือง การประเมินหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร 5 ปี) สาขาวิชาการสอนคณิตศาสตร์ (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพ่ือ 1) เพ่ือประเมินหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร 5 ปี) สาขาวิชาการสอนคณิตศาสตร์ (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554) ตามรูปแบบซิปป์ (CIPP model) ได้แก่ ประเมินด้านบริบท ด้านปัจจัยนาเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต 2) เพ่ือศกึ ษาปญั หาและแนวทางการพฒั นาปรับปรงุ หลกั สตู รการศึกษาบัณฑิต (หลักสตู ร 5 ปี) สาขาวิชา การสอนคณิตศาสตร์ (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการประเมินหลักสูตร การศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร 5 ปี) สาขาวิชาการสอนคณิตศาสตร์ (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ตามรูปแบบซิปป์ (CIPP model) ได้แก่ ประเมินด้านบริบท ดา้ นปัจจัยนาเข้า ด้านกระบวนการ และดา้ นผลผลิต โดยภาพรวมพบวา่ มคี วามคิดเห็นว่าเหมาะสมอยู่ ในระดับมาก และ2) ผลการศึกษาปัญหาและแนวทางการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร 5 ปี) สาขาวิชาการสอนคณิตศาสตร์ (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มีส่ิงที่ต้องพัฒนาและปรับปรุงได้แก่ ด้านบริบทพบว่า ปรัชญาของหลักสูตร สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาสังคมน้ันไม่สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาสังคม ด้านปัจจัยนาเข้า พบว่า สภาพแวดล้อมยังไม่เอ้ือต่อการเรียนรู้ท้ังในและนอกห้องเรียน ด้านกระบวนการพบว่า เคร่ืองมอื และวธิ กี ารทใ่ี ช้ในการวัดผลไม่มคี วามเหมาะสมและไมม่ ปี ระสิทธิภาพ และด้านผลผลิตพบว่า ในหมวดวชิ าศกึ ษาทวั่ ไป ด้านทกั ษะทางปัญญา นสิ ิตไม่สามารถแกป้ ัญหาได้โดยนาหลักการต่าง ๆ มา อา้ งองิ ได้อยา่ งเหมาะสม นพมณี เช้ือวัชรินทร์ และคณะ (2558) วิจัยเร่ือง การประเมินหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร 5 ปี) สาขาวิชาการสอนชีววิทยา (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบูรพา มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพ่ือ ประเมินหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร 5 ป)ี สาขาวิชาการสอนชีววิทยา (หลักสูตรปรบั ปรุง พ.ศ. 2554) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ตามรูปแบบซิปป์ (CIPP model) พร้อมกับการประเมินควบคู่ไปกับกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ ระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (Thai Qualification Framework: TQF) และกรอบการประกันคุณภาพ การศึกษาภายในระดับหลักสูตร (Internal Quality Assurance: IQA) ผลวิจัยในภาพรวมพบว่า หลักสูตรมีความเหมาะสมในระดับมาก โดยมีรายละเอียดในแต่ละด้านคือ 1) ด้านบริบท มีความ เหมาะสมในระดับมาก 2) ด้านปัจจัยนาเข้า มีความเหมาะสมในระดับมาก 3) ด้านกระบวนการ มี ความเหมาะสมในระดบั มาก 4) ด้านผลผลิต มคี วามเหมาะสมในระดับมาก และจากการประเมินตาม
67 กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (Thai Qualification Framework: TQF) และ กรอบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในระดับหลักสูตร (Internal Quality Assurance: IQA) พบวา่ ผ่านเกณฑท์ ต่ี ง้ั ไว้ในทุกตัวบ่งช้ี สิราวรรณ จรสั รววี ฒั น์ และคณะ (2558) วจิ ัยเร่ือง การประเมินหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร 5 ปี) สาขาวิชาการสอนภาษาจีน (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรู พา มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) ประเมินหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร 5 ปี) สาขาวิชาการสอนภาษาจีน (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย บูรพา ตามกรอบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในระดับหลักสูตร พ.ศ. 2557 2) ประเมิน หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร 5 ปี) สาขาวิชาการสอนภาษาจีน (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 และ 3) เพ่ือประเมินหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร 5 ปี) สาขาวิชาการสอน ภาษาจีน (หลกั สตู รปรับปรงุ พ.ศ. 2554) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ตามรูปแบบซิปป์ ซึ่ง เป็นการวจิ ัยเชงิ ประเมิน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลประเมินหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร 5 ปี) สาขาวิชาการสอนภาษาจีน (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ตามกรอบการประกันคณุ ภาพการศึกษาภายในระดับหลักสตู ร พ.ศ.2557 พบว่า มกี ารกากับให้เป็นไป ตามมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีอาจารย์ประจาหลักสูตรลาศึกษาต่อ ก็ได้มีการรับอาจารย์ใหม่ ทดแทนอาจารย์ประจาหลกั สูตร 2) ผลประเมินหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร 5 ปี) สาขาวิชา การสอนภาษาจนี (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา พบว่ามีผล การดาเนินงานตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 3) ผลประเมิน หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร 5 ปี) สาขาวิชาการสอนภาษาจีน (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ตามความคิดเห็นของอาจารย์ผู้สอน นิสิต ผู้บริหาร สถานศึกษา และครูพี่เล้ียง พบว่า มีความเหมาะสมในระดับมากในทุกด้าน และผู้เช่ียวชาญและ อาจารย์ประจาหลักสตู ร มคี วามคิดเห็นตอ่ หลักสตู รด้านบรบิ ทควรปรับวัตถุประสงค์ของหลักสูตรและ วิชาเอก ส่วนด้านปัจจัย ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิตโดยภาพรวมมีความเหมาะสมสอดคล้อง กับหลกั สูตร พงศ์ประเสริฐ หกสุวรรณ และนสุ รา พีระพัฒนพงศ์ (2559) วจิ ัยเรอื่ ง การประเมินหลกั สูตร และความคิดเห็นของผู้ใช้บัณฑิต : กรณีศึกษาหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยี การศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพ่ือ 1) ประเมิน หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา ด้านบริบท ด้านปัจจัยนาเข้า ด้าน กระบวนการ และด้านผลผลิต 2) สอบถามความคิดเห็นของผู้ใช้มหาบัณฑิต และ3) จัดทา ข้อเสนอแนะและแนวทางในการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา ผลการวจิ ยั พบว่า ผลการประเมินหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา ที่ได้ ข้อมูลจากกรรมการบริหารหลักสูตร อาจารย์ผู้สอน และบัณฑิตในหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษาในภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับเหมาะสมมาก ด้านบริบท (Context) มีผลการประเมินอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า วัตถุประสงค์ของ หลักสูตรมคี วามเหมาะสมเป็นลาดับแรก มคี ่าเฉลี่ยระดับมากทีส่ ุด ด้านปัจจัยนาเข้า (Input) มีผลการ
68 ประเมินอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า คุณสมบัติ คุณวุฒิ และคุณลักษณะของ กรรมการบรหิ ารหลักสูตรมีความเหมาะสมลาดับแรกระดับมากที่สุด ด้านกระบวนการ (Process) มี ผลการประเมินอยู่ในระดับมาก เมื่อพจิ ารณาเป็นรายข้อพบว่า การบริหารหลักสูตรมีความเหมาะสม ลาดับแรก อยู่ในระดับมาก ด้านผลผลิต (Product) มีผลการประเมินอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณา เป็นรายข้อพบวา่ จานวนการมงี านทามคี ่าเฉล่ียลาดับแรกอยู่ในระดับมาก ภาพรวมความคิดเห็นของ ผู้ใช้บัณฑิตต่อคุณลักษณะและการปฏิบัติงานของมหาบัณฑิตท่ีสาเร็จการศึกษาพบว่า มีผลการ ประเมินอยใู่ นระดบั ปานกลาง เมอ่ื พิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ลาดับแรก คือด้านทักษะความสัมพันธ์ ระหวา่ งบุคคลมคี า่ เฉลี่ยระดับมาก Brigman (1992: 2814-A) ได้ศึกษาเพ่ือประเมินผลของหลักสูตรการฝึกความพร้อมของ นักเรียน ท่ีมตี ่อความตงั้ ใจ ความเข้าใจในการฟงั และทกั ษะทางสังคมของนักเรียนอนุบาล ปัญหาวิจัย คอื การขาดทกั ษะการเรียนรู้ทจ่ี าเป็นต้องมีมากอ่ น ซงึ่ ทาให้ผลการเรียนอ่อน วิธีดาเนินการศึกษา ใช้ ชน้ั เรยี นอนบุ าล 12 หอ้ ง (นักเรียน 260 คน จากโรงเรียนประถมศึกษา 3 โรงเรียนในเขตนครหลวง แอตแลนตา สุ่มเลือก 6 ห้อง เป็นกลุ่มเปรียบเทียบและอีก 6 ห้องเป็นกลุ่มทดลอง ลักษณะทาง ประชากรศาสตร์ของท้ัง 3 โรงเรียนเหมือนกันมาก แต่ละโรงเรียนมีช้ันเรียนทดลอง 2 ห้องและช้ัน เรียนเปรียบเทียบ 2 ห้อง เก็บรวบรวมข้อมูลตามตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม การวิเคราะห์ความ แปรปรวนร่วมใช้วิเคราะห์ทางสถิติ ผลปรากฏว่านักเรียนท่ีได้รับการฝึกด้วยหลักสูตรการฝึกความ พร้อมของนักเรียนทาคะแนนได้สูงกว่านักเรียนกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสาคัญ ในการวัดความ เข้าใจในการอ่านและในแบบวัดการให้คะแนนพฤติกรรมนักเรียน สรุปได้ว่านักเรียนทุกชั้นเรียน สามารถรบั การฝึกได้ในทกั ษะการเรยี นรู้ทีจ่ าเปน็ ต้องมมี ากอ่ นในด้านความตั้งใจ การฟังและการตอบ และการเข้ากับคนอื่นได้ (ทักษะทางสังคม) ผลก็คือพฤติกรรม “ความสาเร็จในโรงเรียน” เหล่านี้ เพ่มิ ข้ึน และนกั เรยี นสามารถเปลยี่ นพฤติกรรมใหมเ่ ปน็ มีผลสัมฤทธเ์ิ พมิ่ ข้นึ (ความเขา้ ใจในการฟัง) จากการศึกษางานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการประเมินหลักสูตรท้ังในระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน และระดับอดุ มศกึ ษาข้างต้น พบว่า มีการประเมินโดยใช้รูปแบบการประเมินแบบ CIPP ตามแนวคิด ของ Danial L. Stufflebeam โดยผลการประเมินทุกด้านส่วนใหญ่อยู่ในระดับมากท้ังด้านบริบท ด้านปัจจัยนาเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต ส่วนด้านท่ีมีการประเมินเพ่ิมเติม คือ ด้าน ผลกระทบ ด้านประสทิ ธผิ ล และดา้ นความย่งั ยืน มผี ลการประเมินอยู่ในระดับมากท่ีสุด และด้านการ ถา่ ยโยงความรู้ มีผลการประเมินอยู่ในระดับมาก เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการประเมินหลักสูตรที่ ทาให้ได้ผลการประเมนิ ครบถว้ น และครอบคลมุ องค์ประกอบทุกด้านของหลักสูตร 3. หลักสูตรโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและ พฒั นาการศกึ ษา ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) 3.1 หลักสูตรปกติ (โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วจิ ัยและพัฒนาการศึกษา, 2560) วสิ ยั ทัศน์
69 จดั การศึกษาเพ่ือเป็นการสร้างทางเลือกให้ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ มุ่งสู่สถาบันอุดมศึกษา โดยมคี วามเป็นผนู้ าดารงคุณธรรมตามท่ีสงั คมตอ้ งการ พันธกิจ 1. ใหก้ ารฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ครแู กน่ สิ ติ ศกึ ษาศาสตร์ 2. ศึกษา วิจัย พัฒนาการศกึ ษา และบริการวชิ าการ 3. จัดการศึกษาเพ่อื เปน็ การขยายโอกาสสาหรับเด็กและเยาวชน พร้อมไปกับการทานุบารุง ศิลปวัฒนธรรม เปา้ หมาย 1. ผ้เู รยี นทุกคนไดร้ ับการศกึ ษาที่มีคุณภาพไม่ต่ากว่ามาตรฐานการศกึ ษา 2. ผู้เรียนระดบั อนุบาลศึกษามคี วามพร้อมทจ่ี ะศกึ ษาตอ่ ในระดบั การศกึ ษาขั้นพน้ื ฐานไดด้ ี 3. ผเู้ รียนระดับประถมศกึ ษามที กั ษะกระบวนการในการแสวงหาความรู้อย่างหลากหลาย มี คณุ ธรรม จริยธรรม และอย่ใู นสังคมได้อยา่ งมคี วามสขุ มีความสามารถในการแสดงออกและเป็นผ้นู า 4. ผู้เรียนระดับมัธยมศึกษา มีการพัฒนากระบวนการแสวงหาและสร้างองค์ความรู้ การ ดแู ลสุขภาพ มีคุณธรรม จรยิ ธรรม มีความสุนทรีย์ และสามารถศึกษาต่อตามความถนัดอย่างมีคุณภาพ 5. คณาจารยส์ ามารถคน้ คว้า วิจัย ทดลองเพื่อพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีการศึกษาอย่าง มีคุณภาพ 6. โรงเรียนมีระบบการบริหารหลักสูตรท่ดี ีมีประสิทธภิ าพ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ของนักเรยี น 1. มคี วามรทู้ างวิชาการ มคี วามสามารถในการคดิ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ มีวจิ ารณญาณ มี ความคดิ สร้างสรรค์ และเป็นบุคคลในสังคมแหง่ การเรียนรู้ 2. มที กั ษะด้านภาษาเพ่อื การสอื่ สารและใชเ้ ทคโนโลยีเพื่อการศึกษา 3. มบี ุคลกิ ภาพในการเป็นผู้นา รูจ้ กั ตนเอง พึงพาตนเองได้ และร่วมงานกับบคุ คลอ่นื ได้ 4. มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และค่านยิ มท่พี ึงประสงค์ 5. มีสุนทรียภาพ และลกั ษณะนสิ ยั ทางด้าน ศลิ ปะ ดนตรี และกีฬา 6. มสี ุขนิสัย สขุ ภาพกาย สุขภาพจิตท่ีดี ไมเ่ กยี่ วขอ้ งกบั ยาเสพติด 7. มีความเป็นประชาธิปไตย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม อนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย ศลิ ปวัฒนธรรมไทย ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มาตรฐานคุณภาพของผูเ้ รียน หลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรียนสาธติ แห่งมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กาแพงแสน ศนู ยว์ จิ ัยและพัฒนาการศกึ ษา ไดก้ าหนดคุณภาพของผเู้ รยี นไว้ 5 มาตรฐาน ดงั นี้ มาตรฐานท่ี 1 การดาเนินชีวิตของตนเองที่ดี (Well Being) การดูแลสุขภาพและความ เป็นอยู่ทีด่ ีของนกั เรียน มาตรฐานท่ี 2 การอยู่ร่วมกันในสังคมและการปรับตัวเข้ากับผู้อ่ืน (Belonging) การส่งเสริม ให้นักเรยี นรู้สึกของความเปน็ เจ้าของ
70 มาตรฐานที่ 3 การมสี ่วนรว่ ม มจี ิตสาธารณะ (Contribution) นกั เรียนมโี อกาสในการเรียนรู้ ท่ีมคี วามเท่าเทียมกนั ไดร้ ับการสง่ เสรมิ ความสามารถทางสังคมและ การมีส่วนร่วมในการสร้างคุณค่า ของตนเอง ครอบครวั และสังคม มาตรฐานท่ี 4 การติดต่อสื่อสาร (Communication) นักเรียนใช้ความหลากหลายของ วธิ ีการในการสอ่ื สารความต้องการ ความคดิ ของตนเองเพ่ือใหผ้ ู้อืน่ เข้าใจและตอบสนองแนวคดิ มาตรฐานที่ 5 การแสวงหาความรู้ (Exploration) การเรียนรู้ของนักเรียนมาจากการใฝ่รู้ ในการสารวจสภาพแวดลอ้ ม กรอบแนวคิดหลกั สตู ร การจดั หลกั สูตรสถานศกึ ษาของโรงเรียน มีกรอบแนวคิดในการพัฒนาที่แตกต่างกันในแต่ ละระดับโดยในระดับช้ันประถมศึกษาตอนต้น (ประถมศึกษาปีที่ 1-3) ใช้แนวคิดทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences Theory : MI) ซ่ึงประกอบด้วย เชาว์ปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence) เชาว์ปัญญาด้านคณิตศาสตร์ หรือการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ (Logical-Mathematical intelligence) เชาว์ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial Intelligence) เชาว์ปัญญา ด้านการเคล่ือนไหว ร่างกายและกล้ามเน้ือ (Bodily-Kinesthetic Intelligence)เชาว์ปัญญาด้านดนตรี (Musical Intelligence) เชาว์ปัญญาด้านการสัมพันธ์กับผู้อ่ืน (Interpersonal Intelligence) เชาว์ปัญญาด้าน การเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence) เชาว์ปัญญาด้านความเข้าใจธรรมชาติ (Naturalist Intelligence) และการใช้ทักษะในการเรียนรู้ (Skill-based learning)ซ่ึงประกอบด้วยการคิดแบบมี วิจารณญาณ (Critical Thinking) การสื่อสาร (Communication) การทางานร่วมกัน (Collaboration) ความคดิ สร้างสรรค์ (Creativity) ในระดับช้ันประถมศกึ ษาตอนปลาย (ประถมศึกษาปีท่ี 4-6) และมัธยมศึกษาใช้ทักษะการ เรียนรู้ (21st Century Skills) ซ่ึงประกอบด้วย ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving Skills) ทักษะการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity & innovation Skills) ทักษะความเข้าใจด้านความแตกต่างทางวัฒนธรรม (Cross-cultural Understanding Skills) ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผู้นา (Collaboration, Teamwork and Leadership Skills)ทักษะการส่ือสาร สารสนเทศและรู้เท่าทันส่ือ (Communications, Information, and Media Literacy Skills) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (Computing and ICT Literacy Skills) ทักษะอาชีพและการเรียนรู้ (Career and Learning Skills) และมคี ณุ ธรรมจริยธรรม (Compassion) การจัดหลกั สูตรระดบั ประถมศึกษา 1. จัดสาระการเรียนรู้ในรายวิชาพื้นฐานให้มีความครอบคลุมตามหลักสูตรแกนกลาง การศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ของกระทรวงศึกษาธิการ 2. การจัดการเรียนการสอนในระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-3 มุ่งเน้นการใช้ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences : MI) และการสอนโดยใช้ทักษะพ้ืนฐาน (Skills Based) เพ่ือให้ผู้เรียน บรรลุมาตรฐานคณุ ภาพของผเู้ รียน
71 3. การจัดการเรียนการสอนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 มุ่งเน้นการใช้ทักษะการ เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills) และการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project Based) เพอ่ื ใหผ้ ้เู รยี นบรรลมุ าตรฐานคุณภาพของผเู้ รยี น 4. มุ่งสง่ เสรมิ ให้นกั เรียนได้รบั การพฒั นาทกั ษะทางด้านภาษาและเทคโนโลยีจนถึงข้ันการ นาความร้ไู ปใช้ โครงสรา้ งหลักสูตรระดับชน้ั ประถมศึกษา กล่มุ สาระการเรียนร้/ู กิจกรรม เวลาเรยี น (คาบ/สัปดาห์) ป.6 ป.1 ป.2 ป.3 ป.4 ป.5 5 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ 5 3 ภาษาไทย 66655 3 2 คณิตศาสตร์ 66655 2 2 วิทยาศาสตร์ 33333 3 25 สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 44433 4 6 สุขศึกษาและพลศกึ ษา 22222 35 ศลิ ปะ 2 2 2 2 2 การงานอาชพี และเทคโนโลยี 22222 ภาษาต่างประเทศ 22233 รวมเวลาเรียน (พ้ืนฐาน) 27 27 27 25 25 กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน 44444 รายวิชา/กิจกรรมที่จัดเพมิ่ เตมิ 44466 รวมเวลาเรียนทัง้ หมด 35 35 35 35 35 หมายเหตุ บ : บูรณาการกลุ่มสาระภาษาไทย คณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โครงสร้างการเรยี น ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 1 โครงสร้างการเรียน ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 2 รหสั ชอ่ื รายวชิ า เวลาเรยี น รหัส ชอ่ื รายวิชา เวลาเรียน (คาบ/สัปดาห)์ (คาบ/สัปดาห์) รายวิชาพน้ื ฐาน รายวชิ าพื้นฐาน ท 11101 ภาษาไทย 1 6 ท 12101 ภาษาไทย 2 6 ค 11101 คณติ ศาสตร์ 1 6 ค 12101 คณิตศาสตร์ 2 6 ว 11101 วิทยาศาสตร์ 1 3 ว 12101 วทิ ยาศาสตร์ 2 3 ส 11101 สังคมศึกษา 1 3 ส 12101 สงั คมศกึ ษา 2 3 ส 11102 ประวตั ศิ าสตร์ 1 ส 12102 หนา้ ทีพ่ ลเมือง 1 สขุ ศึกษาและพล พ 12101 สุขศึกษาและพลศกึ ษา 2 2 พ 11101 ศึกษา 1 2 ศ 12101 ศิลปะ 2 2 ศ 11101 ศลิ ปะ 1 2 การงานอาชีพและ การงานอาชีพและ ง 12101 เทคโนโลยี 2 2 ง 11101 เทคโนโลยี 1 2 อ 12101 ภาษาอังกฤษ 2 2 อ 11101 ภาษาอังกฤษ 1 2 รายวชิ า/กจิ กรรมเพิ่มเติม รายวิชา/กจิ กรรมเพมิ่ เติม โครงการส่งเสรมิ ภาษาและเทคโนโลยี (4) โครงการสง่ เสรมิ ภาษาและ บ 12201 รักการอา่ น 1 เทคโนโลยี (4) อ 12201 ภาษาองั กฤษโดย 2
72 บ 11201 รกั การอา่ น 1 ชาวต่างชาติ 2 1 ภาษาองั กฤษโดย ง 12201 คอมพิวเตอร์ 2 2 1 อ 11201 ชาวตา่ งชาติ 1 1 กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น (3) ง 11201 คอมพวิ เตอร์ 1 1 1 กิจกรรมแนะแนว 2 กจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น (3) กิจกรรมนกั เรียน 1 - กจิ กรรมแนะแนว 2 - ลกู เสอื 35 กจิ กรรมนักเรียน - ชมรม - กิจกรรมเพื่อสงั คมและ - ลูกเสือ 35 สาธารณประโยชน์ * - ชมรม กิจกรรมเพอ่ื สังคมและ รวมเวลาเรียน สาธารณประโยชน์ * รวมเวลาเรียน โครงสร้างการเรยี น ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โครงสรา้ งการเรยี น ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 รหัส ชอ่ื รายวชิ า เวลาเรียน รหัส ช่ือรายวชิ า เวลาเรยี น (คาบ/สัปดาห)์ (คาบ/สปั ดาห)์ รายวิชาพื้นฐาน รายวิชาพืน้ ฐาน ท 13101 ภาษาไทย 3 6 ท 14101 ภาษาไทย 4 5 ค 13101 คณติ ศาสตร์ 3 6 ค 14101 คณติ ศาสตร์ 4 5 ว 13101 วทิ ยาศาสตร์ 3 3 ว 14101 วทิ ยาศาสตร์ 4 3 ส 13101 สงั คมศกึ ษา 3 3 ส 14101 สงั คมศึกษา 4 2 ส 13102 ภมู ศิ าสตร์ 1 ส 14102 ประวัตศิ าสตร์ 1 สขุ ศึกษาและพล พ 14101 สุขศึกษาและพลศกึ ษา 4 2 พ 13101 ศกึ ษา 3 2 ศ 14101 ศิลปะ 4 2 ศ 13101 ศลิ ปะ 3 2 การงานอาชพี และ การงานอาชพี และ ง 14101 เทคโนโลยี 4 2 ง 13101 เทคโนโลยี 3 2 อ 14101 ภาษาองั กฤษ 4 3 อ 13101 ภาษาอังกฤษ 3 2 รายวชิ า/กิจกรรมเพิ่มเติม รายวชิ า/กจิ กรรมเพมิ่ เตมิ บ 14201 รูจ้ ักโครงงาน 2 โครงการสง่ เสริมภาษาและ โครงการสง่ เสริมภาษาและเทคโนโลยี (4) เทคโนโลยี (4) บ 14202 รกั การอา่ น * - บ 13201 รกั การอา่ น 1 ภาษาอังกฤษโดย ภาษาองั กฤษโดย อ 14201 ชาวตา่ งชาติ 4 2 อ 13201 ชาวตา่ งชาติ 3 2 ง 14201 คอมพิวเตอร์ 4 2 ง 13201 คอมพิวเตอร์ 3 1 กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น กจิ กรรมแนะแนว 1 กจิ กรรมแนะแนว กิจกรรมนกั เรยี น (3) กจิ กรรมนกั เรียน 1 - ลกู เสือ 1 - ลูกเสอื (3) - ชมรม 1 - ชมรม 2 กจิ กรรมเพอื่ สังคมและ 2 สาธารณประโยชน์ * กิจกรรมเพอ่ื สังคมและ - รวมเวลาเรียน 35 สาธารณประโยชน์ * - รวมเวลาเรียน 35
73 โครงสรา้ งการเรยี น ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5 โครงสรา้ งการเรยี น ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 รหัส ชือ่ รายวิชา เวลาเรยี น รหัส ช่อื รายวิชา เวลาเรียน (คาบ/สปั ดาห์) (คาบ/สปั ดาห์) รายวิชาพื้นฐาน รายวชิ าพืน้ ฐาน ท 15101 ภาษาไทย 5 5 ท 16101 ภาษาไทย 6 5 ค 15101 คณติ ศาสตร์ 5 5 ค 16101 คณิตศาสตร์ 6 5 ว 15101 วิทยาศาสตร์ 5 3 ว 16101 วิทยาศาสตร์ 6 3 ส 15101 สงั คมศกึ ษา 5 2 ส 16101 สงั คมศึกษา 6 2 ส 15102 หนา้ ทพ่ี ลเมือง 1 ส 16102 ภูมศิ าสตร์ 1 สุขศกึ ษาและพล พ 16101 สุขศกึ ษาและพลศึกษา 6 2 พ 15101 ศึกษา 5 2 ศ 16101 ศลิ ปะ 6 2 ศ 15101 ศิลปะ 5 2 การงานอาชีพและ การงานอาชพี และ ง 16101 เทคโนโลยี 6 2 ง 15101 เทคโนโลยี 5 2 อ 16101 ภาษาองั กฤษ 6 3 อ 15101 ภาษาอังกฤษ 5 3 รายวิชา/กจิ กรรมเพ่ิมเติม รายวิชา/กจิ กรรมเพมิ่ เตมิ บ 16201 สร้างสรรค์โครงงาน 2 บ 15201 เรยี นรู้โครงงาน 2 โครงการสง่ เสริมภาษาและเทคโนโลยี (4) โครงการสง่ เสริมภาษาและ บ 16202 รักการอ่าน * - เทคโนโลยี (4) ภาษาอังกฤษโดย บ 15202 รกั การอ่าน * - อ 16201 ชาวตา่ งชาติ 6 2 ภาษาองั กฤษโดย ง 16201 คอมพวิ เตอร์ 6 2 อ 15201 ชาวต่างชาติ 5 2 กจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น ง 15201 คอมพวิ เตอร์ 5 2 กจิ กรรมแนะแนว 1 กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น กจิ กรรมนักเรียน (3) กิจกรรมแนะแนว 1 - ลูกเสอื 1 กิจกรรมนักเรยี น (3) - ชมรม 2 - ลูกเสือ 1 กจิ กรรมเพอื่ สังคมและ - ชมรม 2 สาธารณประโยชน์ * - กิจกรรมเพอื่ สังคมและ รวมเวลาเรียน 35 สาธารณประโยชน์ * - รวมเวลาเรยี น 35 การจัดหลกั สูตรระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น 1. จัดสาระการเรียนรู้ในรายวิชาพ้ืนฐานให้มีความครอบคลุมตามหลักสูตรแกนกลาง การศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ของกระทรวงศึกษาธกิ าร 2. การจัดการเรียนการสอน มุ่นเน้นการใช้ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 (21st Century Skills) เพอ่ื ให้ผูเ้ รยี นบรรลุมาตรฐานคุณภาพของผู้เรยี น 3. มุ่งส่งเสริมให้นักเรียนได้รับการพัฒนาทางด้านของภาษาเพ่ือการสื่อสาร การนาความรู้ ทางด้านของคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมตามแนวคิดของ STEM education 4. จัดรายวิชาเพ่ิมเติม (เลือกเสรี) ท่ีมีความหลากหลายให้กับนักเรียนตามความถนัดและ ความสนใจ และสอดคล้องกับการศึกษาต่อ
74 โครงสร้างหลักสูตรระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ หน่วยกติ กลมุ่ สาระการเรยี นร้/ู กิจกรรม ม.1 ม.2 ม.3 ภาค ภาค ภาค ภาค ภาค ภาค รวม 121212 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย 1.5 1.5 1.5 1.5 1.5 1.5 9.0 คณิตศาสตร์ 1.5 1.5 1.5 1.5 1.5 1.5 9.0 วิทยาศาสตร์ 1.5 1.5 1.5 1.5 1.5 1.5 9.0 สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม 2.0 2.0 2.0 2.0 2.0 2.0 12.0 สุขศึกษาและพลศกึ ษา 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 6.0 ศิลปะ 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 6.0 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 6.0 ภาษาตา่ งประเทศ 1.5 1.5 1.5 1.5 1.5 1.5 9.0 รวมหนว่ ยกติ (พนื้ ฐาน) 11.0 11.0 11.0 11.0 11.0 11.0 66.0 กิจกรรมพฒั นาผ้เู รียน (4) (4) (4) (4) (4) (4) - รายวิชา/กจิ กรรมทจี่ ัดเพ่มิ เตมิ 4.5 4.5 4.5 4.5 4.5 4.5 27.0 รวมหน่วยกติ ท้งั หมด 15.5 15.5 15.5 15.5 15.5 15.5 93.0 รวมเวลาเรียนท้งั หมด (คาบ/สัปดาห)์ (35) (35) (35) (35) (35) (35) - โครงสรา้ งการเรยี น ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ภาคเรยี นที่ 2 รหัส ชื่อรายวชิ า หนว่ ยกติ รหัส ช่อื รายวิชา หน่วยกิต รายวชิ าพืน้ ฐาน รายวิชาพ้ืนฐาน 1.5 1.5 ท 21101 ภาษาไทย 1 1.5 ท 21102 ภาษาไทย 2 1.5 1.5 ค 21101 คณติ ศาสตร์ 1 1.5 ค 21102 คณติ ศาสตร์ 2 0.5 0.5 ว 21101 วิทยาศาสตร์ 1 1.5 ว 21102 วิทยาศาสตร์ 2 0.5 1.0 ส 21101 สังคมศกึ ษา 1 1.5 ส 21102 สงั คมศกึ ษา 2 1.0 1.5 ส 21103 ประวัตศิ าสตร์ 1 0.5 ส 21104 ประวตั ศิ าสตร์ 2 1.0 พ 21101 สขุ ศกึ ษา 1 0.5 พ 21102 สขุ ศึกษา 2 1.0 1.0 พ 21103 พลศกึ ษา 1 0.5 พ 21104 พลศึกษา 2 1.5 ศ 21101 ศิลปะ 1 1.0 ศ 21102 ศลิ ปะ 2 ง 21101 การงานอาชพี และเทคโนโลยี 1 1.0 ง 21102 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 2 อ 21101 ภาษาอังกฤษ 1 1.5 อ 21102 ภาษาอังกฤษ 2 รายวชิ า/กจิ กรรมเพม่ิ เติม รายวชิ า/กจิ กรรมเพม่ิ เติม ว 21201 วิทยาศาสตร์สงิ่ แวดล้อม 1.0 ว 21202 พลังงานสะอาด ค 21201 การประยุกต์ 1 1.0 ค 21202 การประยกุ ต์ 2 อ 21201 เสรมิ ทกั ษะภาษาอังกฤษ 1 1.0 อ 21202 เสริมทกั ษะภาษาอังกฤษ 2 เลือกเสรี ............................................. 1.5 เลอื กเสรี ................................................ กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียน กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น
75 ภาคเรียนท่ี 1 หน่วยกิต ภาคเรียนที่ 2 หนว่ ยกติ รหสั ช่ือรายวิชา (1) รหสั ชือ่ รายวชิ า (1) กิจกรรมแนะแนว (1) กิจกรรมแนะแนว (1) กิจกรรมนักเรยี น (2) กิจกรรมนกั เรยี น (2) - - - ลกู เสือ 15.5 - ลูกเสือ 15.5 - ชมรม - ชมรม กจิ กรรมเพอ่ื สงั คมและสาธารณประโยชน์ * กจิ กรรมเพือ่ สงั คมและสาธารณประโยชน์ * รวมหน่วยกิต รวมหน่วยกิต โครงสร้างการเรยี น ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรยี นท่ี 1 ภาคเรียนที่ 2 รหัส ชื่อรายวิชา หนว่ ยกติ รหสั ชื่อรายวชิ า หน่วยกิต รายวิชาพ้ืนฐาน รายวิชาพ้ืนฐาน 1.5 1.5 ท 22101 ภาษาไทย 3 1.5 ท 22102 ภาษาไทย 4 1.5 1.5 ค 22101 คณิตศาสตร์ 3 1.5 ค 22102 คณติ ศาสตร์ 4 0.5 0.5 ว 22101 วทิ ยาศาสตร์ 3 1.5 ว 22102 วทิ ยาศาสตร์ 4 0.5 1.0 ส 22101 สงั คมศกึ ษา 3 1.5 ส 22102 สงั คมศกึ ษา 4 1.0 ส 22103 หนา้ ท่ีพลเมอื ง 1 0.5 ส 22104 หนา้ ทพี่ ลเมอื ง 2 1.5 พ 22101 สขุ ศกึ ษา 3 0.5 พ 22102 สุขศึกษา 4 1.0 1.0 พ 22103 พลศึกษา 3 0.5 พ 22104 พลศึกษา 4 1.0 1.5 ศ 22101 ศิลปะ 3 1.0 ศ 22102 ศิลปะ 4 (1) การงานอาชพี และเทคโนโลยี (1) ง 22101 3 1.0 ง 22102 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 4 (2) - อ 22101 ภาษาอังกฤษ 3 1.5 อ 22102 ภาษาองั กฤษ 4 15.5 รายวชิ า/กิจกรรมเพ่มิ เติม รายวชิ า/กจิ กรรมเพมิ่ เตมิ ว 22201 รกั ษ์โลกด้วย 5R 1.0 ว 22202 ผลติ ภัณฑ์จากพันธุไ์ ม้ ค 22201 การประยุกต์ 3 1.0 ค 22202 การประยกุ ต์ 4 อ 22201 เสรมิ ทกั ษะภาษาอังกฤษ 3 1.0 อ 22202 เสริมทักษะภาษาอังกฤษ 4 เลือกเสรี .............................................. 1.5 เลอื กเสรี ............................................... กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น กิจกรรมแนะแนว (1) กจิ กรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรยี น กจิ กรรมนกั เรียน - ลูกเสอื (1) - ลกู เสอื - ชมรม (2) - ชมรม กิจกรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชน์ * - กิจกรรมเพ่ือสงั คมและสาธารณประโยชน์ * รวมหนว่ ยกติ 15.5 รวมหน่วยกติ
76 โครงสรา้ งการเรยี น ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 ภาคเรยี นท่ี 1 รหสั ช่ือรายวชิ า หน่วยกิต รหัส ชอื่ รายวิชา หน่วย กิต รายวิชาพ้นื ฐาน 1.5 รายวชิ าพืน้ ฐาน ท 23101 ภาษาไทย 5 1.5 ท 23102 ภาษาไทย 6 1.5 ค 23101 คณิตศาสตร์ 5 1.5 ค 23102 คณติ ศาสตร์ 6 1.5 ว 23101 วิทยาศาสตร์ 5 1.5 ว 23102 วิทยาศาสตร์ 6 1.5 ส 23101 สังคมศึกษา 5 0.5 ส 23102 สังคมศกึ ษา 6 1.5 ส 23103 ภมู ิศาสตร์ 1 0.5 ส 23104 ภมู ิศาสตร์ 2 0.5 พ 23101 สขุ ศึกษา 5 0.5 พ 23102 สุขศึกษา 6 0.5 พ 23103 พลศึกษา 5 1.0 พ 23104 พลศกึ ษา 6 0.5 ศ 23101 ศลิ ปะ 5 1.0 ศ 23102 ศลิ ปะ 6 1.0 ง 23101 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 5 1.5 ง 23102 การงานอาชพี และเทคโนโลยี 6 1.0 อ 23101 ภาษาอังกฤษ 5 อ 23102 ภาษาองั กฤษ 6 1.5 1.0 รายวิชา/กจิ กรรมเพ่มิ เติม 1.0 รายวิชา/กจิ กรรมเพิ่มเตมิ 1.0 ว 23201 STEM กับการอนุรักษพ์ ลังงาน 1.0 ว 23202 สรา้ งสรรคง์ านไฟฟ้าและเครอ่ื งกล 1.0 ค 23201 การประยุกต์ 5 1.5 ค 23202 การประยกุ ต์ 6 1.0 อ 23201 เสรมิ ทกั ษะภาษาองั กฤษ 5 อ 23202 เสรมิ ทักษะภาษาอังกฤษ 6 1.5 เลือกเสรี ................................................ (1) เลอื กเสรี ...................................................... (1) กจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียน (1) กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน กจิ กรรมแนะแนว (2) กจิ กรรมแนะแนว (1) กิจกรรมนกั เรียน - กจิ กรรมนักเรียน (2) - ลูกเสอื 15.5 - ลูกเสอื - - ชมรม - ชมรม 15.5 กิจกรรมเพือ่ สังคมและสาธารณประโยชน์ * กจิ กรรมเพอ่ื สงั คมและสาธารณประโยชน์ * รวมหน่วยกิต รวมหนว่ ยกติ การจัดหลกั สูตรระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1. จดั สาระการเรยี นรใู้ นรายวิชาพ้ืนฐานให้มีความครอบคลุมตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร 2. การจัดการเรียนการสอนมุ่งเน้นการใช้ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills) เพื่อใหผ้ เู้ รยี นบรรลุมาตรฐานคุณภาพของผ้เู รยี น 3. มุ่งส่งเสรมิ ให้นกั เรียนได้รับการพฒั นาทางดา้ นของคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาและ ศลิ ปกรรม เพอ่ื ให้สอดคล้องกบั ศักยภาพ ความถนัดและความสนใจ 4. จัดรายวิชาเพม่ิ เติม (เลอื กเสร)ี ท่มี คี วามหลากหลาย เพื่อตอบสนองตามความถนัดความ สนใจ และสอดคล้องกบั การศกึ ษาตอ่ และการประกอบอาชพี ในอนาคต
77 โครงสร้างหลกั สูตรมธั ยมศึกษาตอนปลาย โครงสร้างการเรยี นวิทยาศาสตร์ - คณติ ศาสตร์ โครงสร้างการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้/กิจกรรม ม.4 ม.5 ม.6 ภาค 1 ภาค 2 ภาค 1 ภาค 2 ภาค 1 ภาค 2 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 คณติ ศาสตร์ 2.0 2.0 2.0 - - - วทิ ยาศาสตร์ 2.0 2.0 2.0 - - - สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม 1.5 1.5 1.5 1.5 1.0 1.0 สุขศกึ ษาและพลศึกษา 1.0 1.0 1.0 1.0 0.5 0.5 ศลิ ปะ 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 ภาษาต่างประเทศ 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 รวมหน่วยกิต (พน้ื ฐาน) 9.5 9.5 9.5 5.5 4.5 4.5 กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น (4) (4) (4) (4) (4) (4) รายวชิ า/กจิ กรรมทจี่ ดั เพม่ิ เตมิ 6.5 6.5 6.5 10.5 10.5 10.5 รวมหนว่ ยกิตท้งั หมด 16.0 16.0 16.0 16.0 15.0 15.0 เวลาเรียนทั้งหมด (คาบ/สัปดาห)์ (36) (36) (36) (36) (34) (34) โครงสร้างการเรียนวทิ ยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ ระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 ภาคเรยี นที่ 1 ภาคเรยี นที่ 2 รหสั ชือ่ รายวชิ า หน่วย รหัส ชือ่ รายวชิ า หน่วยกิต กิต 1.0 รายวชิ าพื้นฐาน รายวชิ าพื้นฐาน 2.0 2.0 ท 31101 ภาษาไทย 1 1.0 ท 31102 ภาษาไทย 2 1.0 ค 31107 คณติ ศาสตร์ 2.0 ค 31108 คณิตศาสตร์ 0.5 ว 31107 วทิ ยาศาสตร์ 2.0 ว 31108 วิทยาศาสตร์ 0.5 ส 31101 ศาสนศึกษาและคณุ ธรรมเพื่อชวี ติ 1.0 ส 31102 มนุษย์กับสงั คม 0.5 ส 31103 ประวัตศิ าสตรไ์ ทย 0.5 ส 31104 ประวัตศิ าสตร์สากล 0.5 พ 31101 สุขศกึ ษา 1 0.5 พ 31102 สุขศกึ ษา 2 0.5 1.0 พ 31103 พลศกึ ษา 1 0.5 พ 31104 พลศกึ ษา 2 ศ 31101 ศลิ ปะ 1 0.5 ศ 31102 ศิลปะ 2 1.0 ง 31101 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 1 0.5 ง 31102 การงานอาชพี และเทคโนโลยี 2 1.0 อ 31101 ภาษาอังกฤษ 1 1.0 อ 31102 ภาษาอังกฤษ 2 1.0 1.0 รายวิชาเพ่มิ เติม รายวิชาเพ่มิ เตมิ 1.0 0.5 ค 31201 ตรรกศาสตร-์ เรขาคณติ วิเคราะห์ 1.0 ค 31202 ภาคตดั กรวย 1.0 ว 31201 ฟิสกิ ส์ 1 1.0 ว 31202 ฟสิ ิกส์ 2 ว 31221 เคมี 1 1.0 ว 31222 เคมี 2 ว 31241 ชวี วทิ ยา 1 1.0 ว 31242 ชีววทิ ยา 2 อ 31201 เสรมิ ทกั ษะภาษาองั กฤษ 1 1.0 อ 31202 เสริมทกั ษะภาษาอังกฤษ 2 ง 31201 คอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยี 1 0.5 ง 31202 คอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยี 2 ........... เลอื กเสรี 1.0 ............ เลือกเสรี กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียน
78 กิจกรรมแนะแนว (1) กิจกรรมแนะแนว (1) กิจกรรมนกั เรยี น กิจกรรมนักเรยี น (3) - - ชมรม (3) - ชมรม 16.0 กิจกรรมเพอ่ื สังคมและสาธารณประโยชน์ * - กิจกรรมเพอ่ื สังคมและสาธารณประโยชน์ * หนว่ ยกติ รวมหน่วยกิต 16.0 รวมหน่วยกติ 1.0 1.0 ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 0.5 0.5 ภาคเรยี นท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2 0.5 0.5 รหสั ชอ่ื รายวิชา หนว่ ย รหสั ชื่อรายวชิ า 0.5 กิต 1.0 รายวิชาพื้นฐาน รายวิชาพ้ืนฐาน 2.5 2.5 ท 32101 ภาษาไทย 3 1.0 ท 32102 ภาษาไทย 4 1.5 1.5 ค 32109 คณิตศาสตร์ 2.0 ส 32102 เศรษฐศาสตร์ 1.0 0.5 ว 32109 วิทยาศาสตร์ 2.0 ส 32104 หน้าท่พี ลเมือง 2 1.0 ส 32101 ภมู ศิ าสตร์ 1.0 พ 32102 สุขศึกษา 4 (1) ส 32103 หนา้ ที่พลเมอื ง 1 0.5 พ 32104 พลศกึ ษา 4 (3) - พ 32101 สุขศกึ ษา 3 0.5 ศ 32102 ศลิ ปะ 4 16.0 พ 32103 พลศกึ ษา 3 0.5 ง 32102 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 4 หน่วยกติ ศ 32101 ศิลปะ 3 0.5 อ 32102 ภาษาองั กฤษ 4 1.0 1.0 ง 32101 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 3 0.5 0.5 0.5 อ 32101 ภาษาองั กฤษ 3 1.0 0.5 1.0 รายวิชาเพ่ิมเตมิ รายวชิ าเพ่มิ เตมิ 2.5 ค 32201 เมทรกิ ซ์-ทฤษฎีจานวน 1.0 ค 32202 ฟังกช์ ันประยกุ ต์ 2.5 1.5 ว 32203 ฟสิ ิกส์ 3 1.0 ว 32204 ฟสิ กิ ส์ 4 1.5 1.0 ว 32223 เคมี 3 1.0 ว 32224 เคมี 4 ว 32243 ชีววิทยา 3 1.0 ว 32244 ชวี วิทยา 4 อ 32201 เสรมิ ทักษะภาษาอังกฤษ 3 1.0 อ 32202 เสรมิ ทักษะภาษาอังกฤษ 4 ง 32201 คอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยี 3 0.5 ง 32202 คอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยี 4 ............ เลือกเสรี 1.0 ............ เลอื กเสรี กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น กิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียน กจิ กรรมแนะแนว (1) กจิ กรรมแนะแนว กิจกรรมนกั เรยี น กิจกรรมนกั เรยี น - ชมรม (3) - ชมรม กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ * - กิจกรรมเพ่ือสงั คมและสาธารณประโยชน์ * รวมหน่วยกติ 16.0 รวมหน่วยกิต ระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 รหสั ชอ่ื รายวชิ า หน่วย รหัส ชอ่ื รายวชิ า กติ รายวิชาพ้นื ฐาน รายวิชาพนื้ ฐาน ท 33101 ภาษาไทย 5 1.0 ท 33102 ภาษาไทย 6 ส 33101 อารยธรรมโลก 1.0 ส 33102 เหตกุ ารณโ์ ลกปัจจุบนั พ 33101 สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา 1 0.5 พ 33102 สุขศกึ ษาและพลศึกษา 2 ศ 33101 ศลิ ปะ 5 0.5 ศ 33102 ศิลปะ 6 ง 33101 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 5 0.5 ง 33102 การงานอาชพี และเทคโนโลยี 6 อ 33101 ภาษาองั กฤษ 5 1.0 อ 33102 ภาษาอังกฤษ 6 รายวิชาเพิ่มเติม รายวิชาเพิ่มเตมิ ค 33201 อนุกรม-แคลคลู ัส 2.5 ค 33202 สถติ -ิ ความนา่ จะเปน็ ว 33205 ฟสิ ิกส์ 5 2.5 ว 33206 ฟสิ กิ ส์ 6 ว 33225 เคมี 5 1.5 ว 33226 เคมี 6 ว 33245 ชวี วิทยา 5 1.5 ว 33246 ชีววิทยา 6 อ 33201 เสรมิ ทักษะภาษาอังกฤษ 5 1.0 อ 33202 เสรมิ ทักษะภาษาอังกฤษ 6
79 ง 33201 คอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยี 5 0.5 ง 33202 คอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยี 6 0.5 ............ เลือกเสรี 1.0 ............ เลอื กเสรี 1.0 กิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน (1) กจิ กรรมแนะแนว (1) กจิ กรรมแนะแนว (3) กิจกรรมนกั เรยี น กจิ กรรมนักเรยี น - 15.0 - ชมรม (3) - ชมรม กิจกรรมเพอ่ื สังคมและสาธารณประโยชน์ * - กจิ กรรมเพ่ือสงั คมและสาธารณประโยชน์ * รวมหนว่ ยกิต 15.0 รวมหน่วยกติ โครงสรา้ งหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย โครงสรา้ งการเรยี นภาษาต่างประเทศ โครงสรา้ งการเรยี นภาษาตา่ งประเทศ กล่มุ สาระการเรียนรู้/กจิ กรรม ม.4 ม.5 ม.6 ภาค 1 ภาค 2 ภาค 1 ภาค 2 ภาค 1 ภาค 2 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 คณติ ศาสตร์ 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 วทิ ยาศาสตร์ 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 1.5 1.5 1.5 1.5 1.0 1.0 สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา 1.0 1.0 1.0 1.0 0.5 0.5 ศิลปะ 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 ภาษาตา่ งประเทศ 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 รวมหนว่ ยกิต (พ้ืนฐาน) 7.5 7.5 7.5 7.5 6.5 6.5 กจิ กรรมพัฒนาผ้เู รยี น (4) (4) (4) (4) (4) (4) รายวชิ า/กจิ กรรมที่จัดเพ่มิ เติม 8.5 8.5 8.5 8.5 8.5 8.5 รวมหนว่ ยกิตทัง้ หมด 16.0 16.0 16.0 16.0 15.0 15.0 เวลาเรยี นทงั้ หมด (คาบ/สัปดาห)์ (36) (36) (36) (36) (34) (34) โครงสรา้ งการเรยี นภาษาต่างประเทศ ระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 ภาคเรยี นที่ 1 ภาคเรียนท่ี 2 รหสั ช่ือรายวิชา หน่วย รหสั ช่อื รายวิชา หน่วยกติ กติ 1.0 รายวชิ าพน้ื ฐาน รายวิชาพนื้ ฐาน 1.0 1.0 ท 31101 ภาษาไทย 1 1.0 ท 31102 ภาษาไทย 2 1.0 0.5 ค 31101 คณติ ศาสตร์ 1 1.0 ค 31102 คณิตศาสตร์ 2 0.5 ว 31101 วิทยาศาสตร์ 1 1.0 ว 31102 วิทยาศาสตร์ 2 0.5 0.5 ส 31101 ศาสนศกึ ษาและคณุ ธรรมเพอื่ ชีวติ 1.0 ส 31102 มนษุ ยก์ บั สังคม 0.5 1.0 ส 31103 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย 0.5 ส 31104 ประวตั ศิ าสตร์สากล พ 31101 สขุ ศึกษา 1 0.5 พ 31102 สขุ ศกึ ษา 2 พ 31103 พลศกึ ษา 1 0.5 พ 31104 พลศึกษา 2 ศ 31101 ศิลปะ 1 0.5 ศ 31102 ศิลปะ 2 ง 31101 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 1 0.5 ง 31102 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 2 อ 31101 ภาษาองั กฤษ 1 1.0 อ 31102 ภาษาอังกฤษ 2
80 รายวชิ าเพิม่ เตมิ รายวชิ าเพ่ิมเตมิ ....31201 ภาษาจีน/ญป่ี นุ่ /ฝรั่งเศส 1 5.0 ….31202 ภาษาจีน/ญี่ปนุ่ /ฝรัง่ เศส 2 5.0 1.0 อ 31201 เสริมทักษะภาษาองั กฤษ 1 1.0 อ 31202 เสริมทักษะภาษาอังกฤษ 2 1.0 0.5 ท 31201 ประวัตวิ รรณคดี 1 1.0 ท 31202 ประวตั ิวรรณคดี 2 1.0 ง 31201 คอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยี 1 0.5 ง 31202 คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี 2 (1) ............ เลอื กเสรี 1.0 ............ เลือกเสรี (3) - กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน 16.0 กิจกรรมแนะแนว (1) กจิ กรรมแนะแนว หน่วยกติ กิจกรรมนักเรยี น กิจกรรมนกั เรยี น 1.0 1.0 - ชมรม (3) - ชมรม 1.0 1.0 กจิ กรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ * - กจิ กรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ * 0.5 0.5 รวมหนว่ ยกติ 16.0 รวมหน่วยกติ 0.5 0.5 ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 0.5 1.0 ภาคเรยี นท่ี 1 ภาคเรยี นท่ี 2 5.0 รหสั ชือ่ รายวิชา หนว่ ย รหสั ช่ือรายวิชา 1.0 กิต 1.0 0.5 รายวิชาพืน้ ฐาน รายวชิ าพน้ื ฐาน 1.0 ท 32101 ภาษาไทย 3 1.0 ท 32102 ภาษาไทย 4 (1) ค 32101 คณิตศาสตร์ 3 1.0 ค 32102 คณติ ศาสตร์ 4 (3) - ว 32101 วทิ ยาศาสตร์ 3 1.0 ว 32102 วิทยาศาสตร์ 4 16.0 ส 32101 ภูมิศาสตร์ 1.0 ส 32102 เศรษฐศาสตร์ หน่วยกติ ส 32103 หนา้ ท่พี ลเมอื ง 1 0.5 ส 32104 หน้าทีพ่ ลเมือง 2 1.0 1.0 พ 32101 สขุ ศึกษา 3 0.5 พ 32102 สขุ ศกึ ษา 4 1.0 1.0 พ 32103 พลศกึ ษา 3 0.5 พ 32104 พลศกึ ษา 4 0.5 0.5 ศ 32101 ศิลปะ 3 0.5 ศ 32102 ศิลปะ 4 0.5 ง 32101 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 3 0.5 ง 32102 การงานอาชพี และเทคโนโลยี 4 อ 32101 ภาษาอังกฤษ 3 1.0 อ 32102 ภาษาอังกฤษ 4 รายวชิ าเพม่ิ เตมิ รายวชิ าเพมิ่ เตมิ ....32201 ภาษาจีน/ญีป่ ุ่น/ฝรัง่ เศส 3 5.0 .....32202 ภาษาจีน/ญป่ี ่นุ /ฝรั่งเศส 4 อ 32201 เสริมทกั ษะภาษาอังกฤษ 3 1.0 อ 32202 เสริมทกั ษะภาษาองั กฤษ 4 ท 32201 ภาษากบั วัฒนธรรม 1.0 ท 32202 วรรณคดมี รดก ง 32201 คอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยี 3 0.5 ง 32202 คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี 4 ............ เลอื กเสรี 1.0 ............ เลอื กเสรี กจิ กรรมพัฒนาผ้เู รียน กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน กจิ กรรมแนะแนว (1) กจิ กรรมแนะแนว กิจกรรมนกั เรียน กจิ กรรมนกั เรียน - ชมรม (3) - ชมรม กิจกรรมเพอ่ื สงั คมและสาธารณประโยชน์ * - กิจกรรมเพือ่ สงั คมและสาธารณประโยชน์ * รวมหนว่ ยกิต 16.0 รวมหน่วยกติ ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ภาคเรียนท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2 รหัส ชือ่ รายวิชา หนว่ ย รหสั ช่อื รายวิชา กิต รายวิชาพ้ืนฐาน รายวิชาพื้นฐาน ท 33101 ภาษาไทย 5 1.0 ท 33102 ภาษาไทย 6 ค 33101 คณิตศาสตร์ 5 1.0 ค 33102 คณิตศาสตร์ 6 ว 33101 วทิ ยาศาสตร์ 5 1.0 ว 33102 วิทยาศาสตร์ 6 ส 33101 อารยธรรมโลก 1.0 ส 33102 เหตุการณ์โลกปัจจบุ ัน พ 33101 สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา 1 0.5 พ 33102 สุขศึกษาและพลศึกษา 2 ศ 33101 ศลิ ปะ 5 0.5 ศ 33102 ศลิ ปะ 6 ง 33101 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 5 0.5 ง 33102 การงานอาชพี และเทคโนโลยี 6
81 อ 33101 ภาษาองั กฤษ 5 1.0 อ 33102 ภาษาอังกฤษ 6 1.0 รายวชิ าเพ่ิมเตมิ รายวชิ าเพม่ิ เติม 5.0 1.0 ....33201 ภาษาจีน/ญ่ีปนุ่ /ฝรัง่ เศส 5 5.0 ....33202 ภาษาจีน/ญี่ปนุ่ /ฝรั่งเศส 6 1.0 อ 33201 เสรมิ ทักษะภาษาองั กฤษ 5 1.0 อ 33202 เสริมทกั ษะภาษาองั กฤษ 6 0.5 ท 33201 การพฒั นาทกั ษะทางภาษา 1.0 ท 33202 ภาษาในเพลง 1.0 ง 33201 คอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยี 5 0.5 ง 33202 คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี 6 ............ เลือกเสรี 1.0 ............ เลือกเสรี (1) กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น (3) กจิ กรรมแนะแนว (1) กจิ กรรมแนะแนว - กจิ กรรมนกั เรียน 15.0 - ชมรม กิจกรรมนักเรยี น กจิ กรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ * (3) - ชมรม - กิจกรรมเพ่อื สงั คมและสาธารณประโยชน์ * รวมหนว่ ยกิต 15.0 รวมหน่วยกิต โครงสร้างหลักสูตรมธั ยมศึกษาตอนปลาย โครงสรา้ งการเรยี นศิลปกรรม โครงสรา้ งการเรียนศิลปกรรม กลุม่ สาระการเรยี นรู้/กจิ กรรม ม.4 ม.5 ม.6 ภาค 1 ภาค 2 ภาค 1 ภาค 2 ภาค 1 ภาค 2 กลุม่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 คณติ ศาสตร์ 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 วิทยาศาสตร์ 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม 1.5 1.5 1.5 1.5 1.0 1.0 สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา 1.0 1.0 1.0 1.0 0.5 0.5 ศิลปะ 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 การงานอาชพี และเทคโนโลยี 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 0.5 ภาษาต่างประเทศ 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 รวมหน่วยกติ (พนื้ ฐาน) 7.5 7.5 7.5 7.5 6.5 6.5 กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น (4) (4) (4) (4) (4) (4) รายวชิ า/กิจกรรมที่จัดเพ่มิ เติม 8.5 8.5 8.5 8.5 8.5 8.5 รวมหนว่ ยกติ ทัง้ หมด 16.0 16.0 16.0 16.0 15.0 15.0 เวลาเรียนท้งั หมด (คาบ/สัปดาห์) (36) (36) (36) (36) (34) (34) โครงสร้างการเรียนศิลปกรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 4 ภาคเรียนที่ 1 ภาคเรียนท่ี 2 รหัส ช่อื รายวชิ า หนว่ ย รหัส ชื่อรายวชิ า หน่วยกติ กิต 1.0 รายวิชาพนื้ ฐาน รายวิชาพน้ื ฐาน 1.0 1.0 ท 31101 ภาษาไทย 1 1.0 ท 31102 ภาษาไทย 2 1.0 ค 31101 คณติ ศาสตร์ 1 1.0 ค 31102 คณติ ศาสตร์ 2 0.5 ว 31101 วทิ ยาศาสตร์ 1 1.0 ว 31102 วทิ ยาศาสตร์ 2 ส 31101 ศาสนศึกษาและคุณธรรมเพือ่ ชวี ิต 1.0 ส 31102 มนษุ ยก์ ับสังคม ส 31103 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย 0.5 ส 31104 ประวตั ศิ าสตร์สากล
82 พ 31101 สขุ ศกึ ษา 1 0.5 พ 31102 สขุ ศึกษา 2 0.5 0.5 พ 31103 พลศกึ ษา 1 0.5 พ 31104 พลศึกษา 2 0.5 0.5 ศ 31101 ศลิ ปะ 1 0.5 ศ 31102 ศิลปะ 2 1.0 ง 31101 การงานอาชพี และเทคโนโลยี 1 0.5 ง 31102 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 2 2.0 2.0 อ 31101 ภาษาองั กฤษ 1 1.0 อ 31102 ภาษาองั กฤษ 2 1.0 2.0 รายวชิ าเพมิ่ เติม รายวิชาเพมิ่ เติม 0.5 1.0 ท 31201 ประวัตวิ รรณคดี 1 2.0 ท 31202 ประวัตวิ รรณคดี 2 (1) ส 31201 ท่องแดนอารยธรรมโลก 2.0 ส 31202 ภมู ิศาสตรก์ ารทอ่ งเทย่ี ว (3) อ 31201 เสรมิ ทักษะภาษาอังกฤษ 1 1.0 อ 31202 เสรมิ ทกั ษะภาษาองั กฤษ 2 - 16.0 อ 31203 ภาษาองั กฤษเพ่อื การศึกษาตอ่ 1 2.0 อ 31204 ภาษาองั กฤษเพ่อื การศกึ ษาต่อ 2 หนว่ ยกิต ง 31201 คอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยี 1 0.5 ง 31202 คอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยี 2 1.0 ............ เลอื กเสรี 1.0 ............ เลือกเสรี 1.0 1.0 กิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี น กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น 1.0 0.5 กจิ กรรมแนะแนว (1) กิจกรรมแนะแนว 0.5 0.5 กิจกรรมนักเรียน กิจกรรมนกั เรยี น 0.5 0.5 - ชมรม (3) - ชมรม 1.0 กิจกรรมเพือ่ สงั คมและสาธารณประโยชน์ * - กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ * 2.0 2.0 รวมหนว่ ยกิต 16.0 รวมหนว่ ยกติ 1.0 2.0 ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 0.5 1.0 ภาคเรียนท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2 (1) รหัส ช่อื รายวชิ า หนว่ ย รหัส ช่อื รายวิชา กิต (3) - รายวิชาพ้ืนฐาน รายวิชาพ้นื ฐาน 16.0 ท 32101 ภาษาไทย 3 1.0 ท 32102 ภาษาไทย 4 หนว่ ยกติ ค 32101 คณิตศาสตร์ 3 1.0 ค 32102 คณิตศาสตร์ 4 ว 32101 วิทยาศาสตร์ 3 1.0 ว 32102 วิทยาศาสตร์ 4 ส 32101 ภูมศิ าสตร์ 1.0 ส 32102 เศรษฐศาสตร์ ส 32103 หน้าที่พลเมอื ง 1 0.5 ส 32104 หน้าทพี่ ลเมอื ง 2 พ 32101 สขุ ศกึ ษา 3 0.5 พ 32102 สขุ ศกึ ษา 4 พ 32103 พลศกึ ษา 3 0.5 พ 32104 พลศึกษา 4 ศ 32101 ศลิ ปะ 3 0.5 ศ 32102 ศิลปะ 4 ง 32101 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 3 0.5 ง 32102 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 4 อ 32101 ภาษาองั กฤษ 3 1.0 อ 32102 ภาษาอังกฤษ 4 รายวิชาเพิ่มเตมิ รายวิชาเพ่ิมเตมิ ท 32201 ภาษากับวัฒนธรรม 2.0 ท 32202 วรรณคดีมรดก ส 32201 สงิ่ แวดล้อมศึกษา 2.0 ส 32202 โลกศกึ ษา อ 32201 เสรมิ ทกั ษะภาษาอังกฤษ 3 1.0 อ 32202 เสริมทักษะภาษาอังกฤษ 4 อ 32203 ภาษาอังกฤษเพ่ือการศกึ ษาตอ่ 3 2.0 อ 32204 ภาษาองั กฤษเพือ่ การศกึ ษาต่อ 4 ง 32201 คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี 3 0.5 ง 32202 คอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยี 4 ............ เลอื กเสรี 1.0 ............ เลอื กเสรี กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน กิจกรรมแนะแนว (1) กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรยี น กิจกรรมนักเรียน - ชมรม (3) - ชมรม กิจกรรมเพ่อื สังคมและสาธารณประโยชน์ * - กิจกรรมเพอื่ สังคมและสาธารณประโยชน์ * รวมหน่วยกติ 16.0 รวมหน่วยกิต ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 ภาคเรยี นที่ 1 ภาคเรยี นท่ี 2 รหัส ช่ือรายวชิ า หน่วย รหัส ช่ือรายวชิ า กติ รายวิชาพื้นฐาน รายวชิ าพนื้ ฐาน
83 ท 33101 ภาษาไทย 5 1.0 ท 33102 ภาษาไทย 6 1.0 ค 33101 คณิตศาสตร์ 5 1.0 ค 33102 คณิตศาสตร์ 6 1.0 ว 33101 วิทยาศาสตร์ 5 1.0 ว 33102 วทิ ยาศาสตร์ 6 1.0 ส 33101 อารยธรรมโลก 1.0 ส 33102 เหตกุ ารณโ์ ลกปัจจุบัน 1.0 พ 33101 สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา 1 0.5 พ 33102 สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา 2 0.5 ศ 33101 ศลิ ปะ 5 0.5 ศ 33102 ศลิ ปะ 6 0.5 ง 33101 การงานอาชพี และเทคโนโลยี 5 0.5 ง 33102 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 6 0.5 อ 33101 ภาษาอังกฤษ 5 1.0 อ 33102 ภาษาองั กฤษ 6 1.0 รายวิชาเพ่ิมเติม รายวชิ าเพิ่มเตมิ 2.0 2.0 ท 33201 การพัฒนาทักษะทางภาษา 2.0 ท 33202 ภาษาในเพลง 1.0 ส 33201 สงั คมและวฒั นธรรมไทย 2.0 ส 33202 กฎหมายน่ารู้ 2.0 อ 33201 เสรมิ ทกั ษะภาษาองั กฤษ 5 1.0 อ 33202 เสริมทกั ษะภาษาอังกฤษ 6 0.5 อ 33203 ภาษาองั กฤษเพอ่ื การศึกษาตอ่ 5 2.0 อ 33204 ภาษาอังกฤษเพ่ือการศึกษาตอ่ 6 1.0 ง 33201 คอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยี 5 0.5 ง 33202 คอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยี 6 ............ เลอื กเสรี 1.0 ............ เลอื กเสรี (1) กิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน กิจกรรมพฒั นาผู้เรียน (3) - กจิ กรรมแนะแนว (1) กิจกรรมแนะแนว 15.0 กิจกรรมนกั เรียน กจิ กรรมนกั เรยี น - ชมรม (3) - ชมรม กจิ กรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ * - กจิ กรรมเพอ่ื สังคมและสาธารณประโยชน์ * รวมหน่วยกติ 15.0 รวมหน่วยกิต เกณฑ์การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ระดับประถมศึกษา 1. การตดั สินผลการเรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ตามหลักสูตรของ โรงเรียน) ได้กาหนดโครงสร้าง เวลาเรียน มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด การอ่าน คิดวิเคราะห์และ เขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ มีคุณภาพเต็มตามศักยภาพและให้สถานศึกษากาหนดหลักเกณฑ์การวัดและประเมินผลการ เรยี นรู้ เพ่อื ตดั สนิ ผลการเรยี นของผ้เู รยี นดงั น้ี 1) ผเู้ รยี นต้องมเี วลาเรียนไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 80 ของเวลาเรยี นทง้ั หมด 2) ผเู้ รยี นต้องไดร้ ับการประเมินทกุ ตวั ชวี้ ัด และมผี ลการประเมินผ่านไม่น้อยกว่าร้อย ละ 60 ของตัวชีว้ ัดทั้งหมด 3) ผ้เู รยี นต้องไดร้ ับการตัดสนิ ผลการเรียนทุกรายวิชา 4) ผู้เรยี นตอ้ งผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ การอ่าน คดิ วเิ คราะห์และเขยี น 5) ผ้เู รยี นต้องผา่ นเกณฑ์การประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 6) ผเู้ รียนต้องผา่ นเกณฑก์ ารประเมินกิจกรรมพฒั นาผู้เรียนทุกกิจกรรม 2. การใหร้ ะดบั ผลการเรียน การตัดสินผลการเรียนรายวชิ าของกลุม่ สาระการเรยี นรู้ สถานศกึ ษาใหร้ ะดับผล การเรียน 8 ระดบั โดยใช้ระบบตัวเลข การตดั สนิ ผลการเรียนใช้ระบบผ่าน และไม่ผ่านโดยกาหนดเกณฑ์การตัดสินผ่านแต่ละ วิชาที่ร้อยละ 50 จากน้ันจงึ ให้ระดับผลการเรียนทผี่ า่ นเป็นระบบตวั เลข ซ่งึ สะท้อนมาตรฐานดังตาราง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 474
Pages: