Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ✍️ ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย

✍️ ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย

Description: ✍️ ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย

Search

Read the Text Version

แปดสบิ พรรษามหาราช แปดทศวรรษมิง่ มงคลสมัย เสมอภูมแิ ผน่ ไผทพชิ ัยเฉลิม ฉลองราชชาตปิ ระชาปรีดาประเดิม ประดบั พรขจรเจิมพระจริยา จริยวตั รฉตั รธรรมธำรงราษฎร ์ ธำรงรัฐฉัตรชาติพระศาสนา พระศาสนปู ถมั ภกยกบูชา บชู ิตฝ่าบาทบงสุ์ทรงพระเจริญ เนาวรตั น์ พงษไ์ พบลู ย์ : รอ้ ยกรอง บทขบั รอ้ งประกวดงานประลองเพลงประเลงมโหร ี ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๐



๑ พระพุทธปฏิมา อตั ลักษณ์พทุ ธศลิ ป์ไทย พริ ิยะ ไกรฤกษ์

คณะผ้จู ัดทำ เจา้ ของโครงการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้รเิ รมิ่ บุญชู โรจนเสถยี ร ดำรงค์ กฤษณามระ ชาตรี โสภณพนชิ พันเอกหญงิ คณุ นอิ อน สนทิ วงศ์ ณ อยุธยา บรรณาธิการ ศิรินนั ท์ บญุ ศิริ ผู้ช่วยบรรณาธกิ าร รองศาสตราจารย์ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ ์ รองศาสตราจารย์ ดร. พริ ิยะ ไกรฤกษ ์ ผูเ้ ขียน พิชญา สุ่มจนิ ดา ภาพถา่ ย เผ่าทอง ทองเจอื รองศาสตราจารย์ ม.ล. สุรสวสั ดิ์ ศขุ สวสั ด ิ์ สุชาดา ภิรมยภ์ ักด ี วพิ ัฒน์ ชัยประเสริฐวิทย ์ สำนกั พระราชวงั สำนักราชเลขาธิการ สุทธิชยั หวายสันเทยี ะ ธนาคารกรงุ เทพ จำกัด (มหาชน) บรษิ ทั เดอะ คยี ์ พบั ลชิ เชอร์ จำกัด ภาพลายเสน้ บรษิ ัท อมรินทรพ์ ร้นิ ตงิ้ แอนด์พับลิชชงิ่ จำกดั (มหาชน) จัดทำโดย 978-974-8106-35-9 ออกแบบรปู เลม่ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ พิมพท์ ่ี ISBN พมิ พค์ ร้งั ที่ ๑ (๔)

พระพุทธนวราชบพิตร “พระพุทธองค์นข้ี า้ พเจา้ สร้างขึ้นมอบไว้ เป็นพระพทุ ธรูปประจำจังหวดั ทฐี่ านบัวหงาย ข้าพเจา้ ไดบ้ รรจุพระพิมพอ์ งค์หน่ึง ซงึ่ ไดท้ ำข้นึ ด้วยผงศักด์สิ ทิ ธอ์ิ ันไดม้ าจากจงั หวัดตา่ ง ๆ ทัว่ พระราชอาณาจักร มผี งดินทรายและเกสรดอกไมท้ ี่บูชาหลวงพอ่ นาค วดั มชั ฌมิ มาวาส ผงดินทราย ผงธูป และเกสรดอกไม้จากศาลหลักเมอื ง กับผงดนิ ทราย ผงธูป และเกสรดอกไม้ จากทบ่ี ูชา ศาลเทพารกั ษ์กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม จงั หวัดอุดรธานีนี้รวมอยูด่ ว้ ย พระพทุ ธนวราชบพติ รน้ี นอกจากจะถอื เป็นนมิ ิตรหมายแหง่ คุณพระรัตนตรัยอนั เป็นทเี่ คารพสงู สุดแล้ว ข้าพเจา้ ยงั ถือเสมอื นเป็น เครอื่ งหมายแหง่ ความเปน็ อันหนง่ึ อนั เดียวกันของประชาชาติไทย และความสามัคคกี ลมเกลยี วกนั ของประชาชนชาวไทยอีกดว้ ย ขา้ พเจ้าจึงได้บรรจพุ ระพิมพ์ ซึง่ ทำดว้ ยผงศกั ด์ิสิทธ์ิจากทกุ จงั หวดั ดงั กลา่ วแลว้ และนำมามอบใหแ้ กท่ า่ นด้วยตนเอง” พระราชดำรัสพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั เมื่อเสดจ็ พระราชดำเนินไปพระราชทานพระพทุ ธนวราชบพิตร ให้กบั จังหวดั อุดรธานี เปน็ จังหวัดแรกในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ (ค.ศ. 1967)



วตั ถุประสงค์ สืบเนื่องในโอกาสทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ นับเปน็ มหามงิ่ มงคลสมัยอนั ประเสริฐ บรรดาพสกนกิ รชาวไทย ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันเป็นหิตานุหิต- ประโยชนแ์ ก่อาณาประชาราษฎร์อย่างกว้างขวาง ดังจะเห็นได้จากการพัฒนาชีวิตที่ดีจนเป็นท่ีประจักษ์แก่สายตาชาวโลกท่ีต่างกล่าวขานถึงพระองค์ว่า ทรงเปน็ “พระมหากษตั รยิ น์ กั พฒั นา” ทรงมพี ระราชหฤทัยทีเ่ ป่ยี มล้นไปด้วยพระเมตตาตอ่ ประชาชนผ้ยู ากไร้ ผดู้ อ้ ยโอกาส โดยไม่ทรงแบ่งแยกสถานะ ศาสนา ชาติพนั ธ์ุหรือหม่เู หล่า ทรงสดับตรบั ฟงั ปญั หาความทุกข์ ยากของราษฎรและพระราชทานแนวทางดำรงชีวิต เพ่ือให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็ง และย่ังยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในห้วงที่ผ่านมา เป็นเวลาท่ีเกิดการเปล่ียนแปลงข้ึนอย่างรวดเร็วและกว้าง ไกลมากทีส่ ุดเท่าทเ่ี คยมีมาในประวัตศิ าสตร์ของชาตไิ ทย ด้วยพระบารมปี กเกล้าฯ สำหรบั ธนาคารกรงุ เทพ จำกดั (มหาชน) ทีไ่ ดร้ บั พระราชทานตราตง้ั ให้เป็น ธนาคารพาณิชย์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้ังแต่วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ นับเป็นศิริมงคล อย่างยิ่ง ยังผลให้การประกอบธุรกิจของธนาคารเจริญรุ่งเรืองรอดพ้นจากวิบัตินานาจนเป็นธนาคารช้ันนำ และดำรงอยู่ในสถานการณ์บ้านเมืองขณะน้ี และด้วยเดชะพระบารมีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง เป็นผู้นำในการพัฒนาระดับคุณภาพชีวิตผู้ยากไร้ในชนบทดังกล่าว ตลอดจนเป็นส่ิงที่ประจักษ์ชัดทุกด้าน ด้วยเหตุน้ี พสกนิกรไทยจึงจงรักภักดีและเทิดทูนพระองค์ไว้เหนือเกล้าฯ ในฐานะที่ทรงเป็นศูนย์รวมแห่ง ความรัก ความภักดีและทรงเป็นที่ยึดเหน่ียวจิตใจของคนไทยทั้งมวลมาช้านาน และน่ีคือมูลเหตุท่ีธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ดำริจัดพิมพ์หนังสือชุด ลักษณะไทย อันเป็นผลงานท่ีศาสตราจารย์ พลตรี หม่อมราชวงศ์คกึ ฤทธ์ิ ปราโมช อดีตนายกรฐั มนตรี และศิลปินแหง่ ชาติ รว่ มกับนกั วิชาการช้ันนำของเมืองไทย ร่วมกันคิดและเขียนข้ึนไว้ทั้งชุด (๔ เล่ม) เพ่ือให้เป็นบรรณานุสรณ์ของบรรพชนไทยเพ่ือน้อมเกล้าฯ ถวาย ในโอกาสอนั เปน็ มหามิ่งมงคลในครง้ั นี้ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนั วาคม ๒๕๕๑ (๗)



หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช คำนำของหนังสือชุด ลกั ษณะไทย ภาพวาดสนี ำ้ มนั โดย พริ ิยะ ไกรฤกษ์ พ.ศ. ๒๕๐๖ / ค.ศ. 1963 หมอ่ มราชวงศค์ ึกฤทธิ์ ปราโมช พระพทุ ธนฤมลธรรโมภาส (รปู ท่ี ๓.๔) พระอโุ บสถวดั นิเวศธรรมประวัติ หนังสือชุดนี้จัดทำขึ้น ด้วยเจตนาที่จะให้ผู้อ่านได้รู้ถึงลักษณะไทย ด้วยการมอง อำเภอบางปะอิน เมอื งไทยและคนไทยโดยผา่ นทางวัฒนธรรม จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา คำว่าวัฒนธรรมนั้นเป็นศัพท์ท่ีแสดงความหมายด้วยคำพูดอันเป็นนามธรรมได้ยาก อย่างดีท่ีสุดก็ พอจะอธิบายได้ว่าวัฒนธรรมเป็นธรรมท่ีมนุษย์ได้ปลูกฝังลงไว้ แล้วได้เจริญงอกงามเติบโตขึ้นมากับ อารยธรรมหรือความเจริญของมนุษย์ แต่เมื่อได้อธิบายอย่างน้ีปัญหาก็เกิดขึ้นมาอีกว่าอารยธรรมน้ันคือ อะไร แตถ่ งึ อย่างนั้น เม่ือเราได้แลเหน็ วัฒนธรรม เราก็รไู้ ด้วา่ สง่ิ น้ันเป็นวัฒนธรรม ตลอดจนเปน็ อารยธรรม และศิลปะของคนแตล่ ะสมัย คนที่เข้าไปน่ังอยู่ในโบสถ์พระพุทธชินราชท่ีจังหวัดพิษณุโลก จะได้เห็นด้วยตาของตนเองว่า อารยธรรมของสุโขทัยตอนปลายคืออะไร การสร้างโบสถ์วิหารและเทคโนโลยีในการหล่อพระพุทธรูป สำริดขนาดใหญ่ถึงเพียงน้ันได้ท้ังองค์เป็นอารยธรรม ความประณีตงดงามในการป้ันองค์พระพุทธรูปนั้น เป็นศลิ ปะและความเชอื่ ถือ ความดลบันดาลใจ และระเบยี บแบบแผนท้ังหมดที่ทำใหส้ ร้างพระพุทธรปู อัน งดงามข้ึนนนั้ เป็นวฒั นธรรมของสุโขทยั องค์พระพุทธชินราชและโบสถ์ที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชน้ันจึงเป็นลักษณะไทยอย่างหน่ึงท่ียัง เห็นไดอ้ ยู่ในยคุ ปจั จบุ ัน ซ่ึงเกิดขนึ้ จากวฒั นธรรมไทยประกอบกับอารยธรรมในสมัยหน่ึง และศลิ ปกรรรม ซ่ึงเป็นเอกลักษณ์ไทยโดยสมบูรณ์ ไม่มีอย่างอื่นเข้ามาเจือปน เป็นลักษณะไทยซึ่งเราอาจมองดูได้โดย ผา่ นวฒั นธรรมเช่นเดียวกบั ลักษณะไทยอน่ื ๆ ในหนงั สอื ชดุ นี้ วัฒนธรรมนั้นเป็นเรื่องของการปลูกฝังในข้ันแรก และเป็นเร่ืองของความเจริญเติบโตในขั้น ต่อมา ในขั้นแรกธรรมท่ีปลูกฝังลงในผืนแผ่นดินไทยน้ีอาจมิใช่ของไทยแท้ แต่เป็นธรรมของชนชาติอื่นท ี่ เคยอยู่อาศัยในแผ่นดินน้ีมาก่อน หรือเป็นธรรมของชนชาติอ่ืนท่ีเคยผ่านแผ่นดินน้ีไปสู่ที่อื่น แต่ธรรมท ่ ี ชนชาติอ่ืนได้ปลูกฝังลงไว้ในแผ่นดินนี้ก็ได้เจริญงอกเงยต่อมา และได้รับการอุปถัมภ์บำรุงจากคนไทย จนคงเหลอื ยั่งยนื สบื มาจนทุกวันน้ี วัฒนธรรมของชนชาติอื่นท่ีคนไทยรับมาอุปถัมภ์น้ัน น่าจะได้ผ่านการเลือกเฟ้นของคนไทยมาแล้ว ในอดตี ส่ิงใดที่เหน็ ว่าดงี ามหรอื เหน็ ชอบหรือตรงกบั ความเช่ือถือทเี่ ปน็ พนื้ ฐานดงั้ เดมิ ก็รบั เอาไวแ้ ล้วทำให ้ งอกเงยต่อมา สิ่งใดที่ได้ปลูกลงไว้ด้วยมือของคนอื่น เม่ือคนไทยได้รับเอามาแล้วก็จะฟักฟูมให้เจริญ งอกเงยด้วยน้ำมือและด้วยน้ำใจของคนไทย ทำให้ส่ิงน้ันมีลักษณะเป็นไทยขึ้นมาเร่ือยๆ จนในท่ีสุดก็ได้ กลายเปน็ วัฒนธรรมไทยโดยสมบูรณ์คงอยู่เปน็ ลักษณะไทยตา่ งๆ ซ่ึงจะไดน้ ำมาแสดงให้เห็นในหนังสอื ชุดนี้ การปลูกฝังวัฒนธรรมน้ันจะต้องกระทำด้วยความเชื่อถือ และด้วยความเห็นว่าสิ่งท่ีกระทำนั้น ถูกต้อง มิฉะนน้ั ก็จะไม่กระทำ ศาสนาทัง้ ปวงเป็นเร่ืองของความเชื่อและความเหน็ ถกู เหน็ ผดิ วฒั นธรรม จงึ มคี วามผกู พนั อยกู่ ับศาสนาเปน็ ใหญ่ ศาสนาใหญ่ๆ ในโลกนี้ เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาฮนิ ดู ศาสนาครสิ ต์ และศาสนาอสิ ลาม ตา่ งกม็ วี ฒั นธรรมของตนเอง แมแ้ ต่วฒั นธรรมของชนชาติกรกี และโรมันในสมัยโบราณ นั้นก็มีความผูกพันอย่กู บั ศาสนาทีช่ นชาตทิ ั้งสองนั้นนบั ถอื อยูแ่ ละกบั ปรชั ญาท่ชี นชาติท้ังสองนนั้ เชอ่ื ถอื อย่ ู ในทวีปเอเชียน้ันพอจะแบ่งวัฒนธรรมออกได้เป็นสองภาค คือวัฒนธรรมที่ข้ึนอยู่กับศาสนาท่ีนับ ถือเทพยดาฟ้าดิน และลัทธิขงจื๊อ ซึ่งกลมกลืนกันได้เป็นวัฒนธรรมของจีนอันเดียวกัน ส่วนอีกภาคหน่ึง คอื อนิ เดยี น้ันมีวัฒนธรรมของศาสนาพทุ ธและวัฒนธรรมของศาสนาฮินดู ซึ่งถงึ จะมคี วามแตกต่างกนั อย่ ู มากก็สามารถอยูร่ ่วมกันไดใ้ นท่เี ดยี วกนั โดยปราศจากความขัดแย้ง ประเทศไทยเป็นประเทศท่ีต้ังอยู่กลางวัฒนธรรมของจีน ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออก และวัฒนธรรม ของอินเดียซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตก จะเป็นด้วยเหตุผลกลใดก็หาทราบไม่ที่คนไทยยอมรับเอาวัฒนธรรม จากตะวันตก คือวัฒนธรรมของศาสนาพุทธและวัฒนธรรมของศาสนาฮินดูมากกว่าวัฒนธรรมจาก ตะวนั ออกคือวัฒนธรรมของจีน (๙)

“พระภูมิเจ้าท่ีเป็นวัฒนธรรมของไทยอย่างหน่ึงท่ีไม่มีใคร ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมของจีนและวัฒนธรรมของอินเดียข้ันพ้ืนฐานนั้นเห็นได้ชัดจาก ปฏิเสธได้ และเป็นตัวอย่างอันดีที่แสดงให้เห็นว่า วิธกี ารรับประทานอาหาร คนทีต่ กอยู่ใต้วฒั นธรรมของจีนนน้ั กินดว้ ยตะเกยี บ ส่วนคนทต่ี กอยู่ใตว้ ัฒนธรรม วัฒนธรรมของไทยหลายอย่างน้ันมีความเป็นมาใน ของอินเดยี น้ันเปบิ ขา้ วด้วยมือเปน็ พื้น จากความแตกตา่ งขั้นพนื้ ฐานนี้กบ็ ังเกดิ ความแตกตา่ งในข้ันอื่นๆ ขน้ึ ไป ลักษณะใด มกี ารผสมผสานระหว่างสิง่ ใดบา้ ง และผา่ น โดยตลอด และยังฝังอยใู่ นจิตใจของคนมาจนทุกวันนี้ คนจนี คนญปี่ ุ่น ตลอดจนเกาหลแี ละเวยี ดนามนัน้ การเลือกเฟ้นของคนไทยมาอย่างไร” หากไม่ได้กินข้าวด้วยตะเกียบก็คงกินไม่อร่อย ส่วนทางประเทศอินเดียน้ันเคยมีคนถามท่านศรี ยาวหราล เนห์รู รัฐบุรุษคนสำคญั ของอินเดียวา่ เหตุใดท่านจึงชอบเปิบขา้ วด้วยมอื มากกวา่ รบั ประทานดว้ ยช้อนสอ้ ม ทา่ นก็ตอบวา่ “การกนิ ขา้ วดว้ ยช้อนส้อมน้ันเปรียบเสมือนการเก้ียวผ้หู ญงิ โดยตอ้ งใชล้ ่าม ทีไ่ หนจะมรี สชาติ เหมอื นกบั การเกีย้ วผูห้ ญงิ ด้วยวาจาของตนเอง ซง่ึ เหมอื นกับการเปบิ ขา้ วดว้ ยมอื ?” คนไทยน้ันเปิบข้าวด้วยมือมาแต่โบราณกาล เพิ่งจะมากินข้าวด้วยช้อนส้อมในรัชกาลที่ ๕ แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ อันเป็นเวลาที่วัฒนธรรมจากตะวันตกที่ไกลออกไปอีก คือ ยุโรปเริ่มจะไหลบ่าเข้ามาสู่ เมืองไทย ความจำเป็นในทางการเมืองทำให้เราต้องรับวัฒนธรรมจากยุโรปหลายอย่าง ตลอดลงมาจน ถงึ ชีวติ สว่ นตวั เชน่ การอยกู่ นิ การแตง่ กาย และการไวเ้ ผา้ ผมการใช้ช้อนสอ้ มในการรบั ประทานอาหาร น้นั เป็นตัวอยา่ งอนั ดีในการเลอื กเฟ้นวัฒนธรรมของเมืองไทย เพราะเครอื่ งโตะ๊ ฝร่งั สำหรับแต่ละคนต่อ อาหารหน่ึงมื้อน้ันประกอบด้วยเคร่ืองมือมากชิ้น เช่น มีดขนาดต่างๆ หลายเล่ม ช้อนส้อมหลายคัน สำหรับรับประทานอาหารแต่ละอย่างที่ต่างกัน แต่คนไทยน้ันยังรับประทานอาหารไทย คือข้าวและกับ จึงเลือกไว้ใช้แต่เพียงส้อมและช้อนที่มีขนาดเหมาะสำหรับกินข้าวไทยอย่างละคันก็พอแก่ความประสงค ์ เคร่ืองมืออย่างอ่ืนๆ ก็ปล่อยไปไม่ยอมรับไว้ให้เกินกว่าเหตุ มีข้อสังเกตว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวนั้น แม้จะประทับโต๊ะเสวยแบบฝร่ังก็ตามที แต่ในท่ีรโหฐานและเป็นโอกาสส่วนพระองค์แล้ว ก็โปรดเสวยพระกระยาหารด้วยพระราชหัตถม์ ากกวา่ ชอ้ นสอ้ มมาจนตลอดรชั กาล ได้กล่าวมาแล้วว่าวัฒนธรรมอินเดียนั้น แบ่งออกได้เป็นวัฒนธรรมพุทธและวัฒนธรรมฮินดู คนไทย ไดร้ ับวัฒนธรรมนน้ั มาเปน็ ของตนทง้ั สองอย่าง และวัฒนธรรมทั้งสองอยา่ งนัน้ ก็อยู่รว่ มกันมาไดใ้ นคนไทย และในเมอื งไทยมาจนถึงทุกวันน้ี ในบางกรณีกป็ ะปนกนั จนสบั สนอยา่ งที่เหน็ กันอยูท่ กุ วนั นี้ ยกตัวอย่างเช่น การตั้งศาลพระภูมิและการสังเวยพระภูมิเจ้าที่ ซึ่งออกจะเห็นกันทั่วไปว่าเป็น เรื่องท่ีสำคัญอยู่ในปัจจุบันนี้ สังเกตได้จากศาลพระภูมิที่สร้างกันอย่างวิจิตรและมีราคาแพงมาก ซึ่งมี คนทำขายทั่วไปเป็นจำนวนมาก เพราะเหน็ กันวา่ เปน็ นมิ ิตทแ่ี สดงฐานะของเจ้าของบ้าน ยิ่งเจา้ ของบา้ นมี ฐานะดีเทา่ ไร ศาลพระภูมิกจ็ ะต้องใหญ่โตหรูหราขึ้นไปตามนนั้ แต่ถ้าจะถามคนท่ัวไปว่าศาลพระภูมิน้ันเป็นเรื่องของศาสนาใด ก็จะได้รับคำตอบว่าเป็นเร่ืองของ พราหมณ์ ซึง่ หมายถึงศาสนาฮนิ ดูไมใ่ ชข่ องพระพทุ ธศาสนา หรือเป็นไสยศาสตร์ ไม่ใช่พุทธศาสตร ์ คติเช่นนี้ผิดพลาดอย่างย่ิงเพราะในศาสนาฮินดูหรือลัทธิพราหมณ์ท่ีแท้จริงไม่มีพระภูมิเจ้าท ี่ ไมม่ ีแม้แตเ่ ทวดาอย่างใดที่มลี กั ษณะคลา้ ยคลึงกบั พระภมู เิ จ้าที่ ศาสนาพุทธต่างหากท่ยี อมรับวา่ มภี ุมมเทวดา แต่ศาสนาพุทธนนั้ เม่อื รบั ว่าอะไรมีแลว้ ก็หยุดเพียงแค่นนั้ ไม่เก็บเอามานบั ถอื เพราะพระพทุ ธศาสนามแี ต ่ พระรัตนตรัยเป็นที่เคารพบูชาแต่อย่างเดียว นอกจากนั้นในความเชื่อถือของคนจีนก็มีพระภูมิเจ้าท ่ี เรียกว่า “ต่ีซ้ิง” ในภาษาแต้จิ๋ว เป็นเจ้าที่อยู่ติดกับท่ีดิน และหากจะสร้างศาลให้อยู่ก็สร้างศาลติดกับ พื้นดิน มิได้ปักเสายกให้สูงอย่างศาลพระภูมิไทย เครื่องสังเวยพระภูมิท่ีใช้กันอยู่น้ันก็เป็นแบบจีนไหว้เจ้า คือประกอบดว้ ยหวั หมู เปด็ ต้ม ไกต่ ม้ ปลาแป๊ะซะ จะมยี กเว้นอยกู่ แ็ ต่บายศรี กล้วยหอมจนั ทร์ มะพรา้ ว อ่อนและขนมหวาน เช่น ขนมต้มแดงต้มขาวเท่าน้ันท่ีกระเดียดไปข้างฮินดู แต่ถ้าเป็นพิธีกรรมของฮินดู แท้แล้ว เครื่องสังเวยจะต้องมีแต่เครื่องกระยาบวชหรือมังสวิรัติเท่านั้น จะมีของอ่ืนไม่ได้ ส่วนรูปแบบ ของศาลพระภูมนิ ้นั เป็นไทยมาตลอด เร่ิมจากเป็นแบบเรอื นไม้ของไทย มหี ลงั คาสูงติดปนั้ ลม จนกลายมา เปน็ ปราสาทจตุรมุขหรอื ปรางคอ์ ย่างท่นี ยิ มกันอยูใ่ นปัจจุบนั อย่างไรก็ตามเรื่องพระภูมิเจ้าท่ีเป็นวัฒนธรรมของไทยอย่างหนึ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ และเป็นตัวอย่าง อันดีที่แสดงให้เห็นว่า วัฒนธรรมของไทยหลายอย่างน้ันมีความเป็นมาในลักษณะใด มีการผสมผสาน ระหวา่ งสง่ิ ใดบา้ ง และผา่ นการเลอื กเฟน้ ของคนไทยมาอยา่ งไร แต่เหตทุ ที่ ำใหค้ นไทยยกเอาเรอื่ งน้ไี ปใหแ้ ก ่ พราหมณ์ ท้ังท่ีคติเร่ืองพระภูมิเจ้าท่ีมิใช่ของพราหมณ์ ก็เพราะศาสนาพุทธซ่ึงยอมรับในภุมมเทวดานั้น ไม่เออ้ื อำนวยในเรือ่ งพิธกี รรม เชน่ ในเร่อื งการตงั้ ศาลและต้งั เครื่องสังเวยแกเ่ จวด็ ส่วนพธิ ีการไหวเ้ จา้ ของจีนก็ดูออกจะโกร่งกร่างโด่งดังไม่เข้ากับใจคนไทย เหลือแต่ศาสนาฮินดู หรือพราหมณ์เท่านั้นที่มี พิธกี รรมเอาไวแ้ จกได้ในทุกกรณ ี วัฒนธรรมของศาสนาพุทธและวัฒนธรรของศาสนาฮินดูแตกต่างกันอยู่ที่ตรงน้ี ศาสนาพุทธเป็น ศาสนาท่สี อนอยา่ งเดียวแตข่ าดพธิ กี รรม สว่ นศาสนาฮนิ ดูน้นั หนักไปในทางพิธีกรรมมากกว่าคำสงั่ สอน แต ่ (๑๐)

วัฒนธรรมของทัง้ สองศาสนานก้ี เ็ ขา้ มาปลูกฝังลงในเมอื งไทยได้ เพราะพระพุทธศาสนาใหส้ ิ่งที่ศาสนาฮินดูยงั หย่อน อยู่แก่คนท่ีนับถือได้ และศาสนาฮินดูน้ันก็ให้คนท่ีนับถือศาสนาพุทธ สิ่งที่ศาสนาพุทธขาดอยู่ได้คือพิธีกรรมต่างๆ เม่ือมารวมกนั เข้าเป็นวัฒนธรรมไทยแลว้ วัฒนธรรมนนั้ กเ็ ต็มบริบรู ณด์ ไี มข่ าดไม่เกนิ วัฒนธรรมไทยท่ไี ด้มาจากศาสนาพทุ ธกค็ ือวัฒนธรรมในการครองชีพ ไดแ้ ก่ ชีวิตความเป็นอยู่ การทำมาหากิน ความสัมพันธก์ ับคนอื่นในสังคมเดยี วกัน ความเคารพต่อบิดามารดา การอุปการะญาติและบคุ คลในครอบครวั เดยี วกัน ตลอดไปจนถึงการแต่งกายท่ีสำรวมและมารยาทในการปฏิบัติตน ไปจนถึงมารยาทในการเสพอาหาร มารยาท เหล่าน้ีศาสนาพุทธได้กำหนดไว้ให้พระภิกษุปฏิบัติค่อนข้างจะละเอียดลออมากในพระวินัยหมวดเสขียวัตร์ และคนไทย ซึ่งได้บวชเรียนแล้วได้จดจำออกมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันของตนและสอนคนอ่ืนๆ ให้ปฏิบัติต่อๆ มาจนเกิดเป็น ธรรมเนียมประเพณีอันแน่นอนอันเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมไทย ชีวิตของคนไทยท่ัวไปตามปกติสามัญจึงอยู่ใต ้ วัฒนธรรมที่ได้มาจากศาสนาพุทธเป็นพื้น คนไทยไม่ยอมรับวัฒนธรรมของฮินดูเข้ามาใช้ในทางด้านสังคมท่ัวไป ดังจะเห็นได้อย่างประจักษ์ชัดว่าสังคมไทยมิได้มีวรรณาศรมธรรมของฮินดู กล่าวคือไม่มีวรรณะเป็นประการแรก และในประการท่ีสอง ชวี ติ คนไทยมิไดถ้ ูกแบ่งออกเป็นอาศรมตา่ งๆ ตามวัย ไดแ้ ก่อาศรมพรหมจรรย์ คือวยั เล่าเรียน ไม่มีครอบครัวในวัยเด็ก และวัยรุ่นอาศรมคฤหัศ คือวัยครองเรือน มีครอบครัวทำมาหากินเป็นหลักฐานในยามท่ี เป็นผู้ใหญ่ และอาศรมวนปรสั ถ์ คือการสละละทง้ิ ครอบครวั และทรพั ย์สินท้ังปวงออกป่า ดำรงชพี อยู่ไดด้ ้วยการขอ เพ่ือแสวงหาโมกขธรรมในบ้ันทา้ ยของชีวิต แต่วัฒนธรรมของฮินดูก็ยังมีความสำคัญในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างย่ิงในวัฒนธรรมท่ีเกี่ยวข้องกับองค ์ พระมหากษตั ริย์ ซงึ่ เปน็ สถาบันที่สำคญั ทสี่ ุดในสงั คมไทยมาแตโ่ บราณกาล ศาสนาพทุ ธนนั้ ยอมรับวา่ พระมหากษัตริย์ เป็นสมมติเทพก็จริงอยู่ แต่ศาสนาพุทธก็ไม่มีวิธีการหรือพิธีกรรมอันศักด์ิสิทธ์ิที่จะทำให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็น สมมติเทพข้นึ มาได้ ศาสนาฮินดูนั้นมีคติในเรื่องสมมติเทพเช่นเดียวกับศาสนาพุทธ แต่ศาสนาฮินดูมีวิธีการและมีพิธีกรรมอัน ศักด์ิสิทธิ์น่าเช่ือถือในอันท่ีจะทำให้องค์พระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพหรือเป็นองค์เทวราชข้ึนมาได้ พราหมณ์ใน ศาสนาฮินดูได้เข้ามาทำให้องค์พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นองค์เทวราชข้ึนมา หลังจากท่ีไทยได้ชัยชนะเหนือเขมร และได้เขมรมาเป็นเมืองขึ้น ในสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา วัฒนธรรมฮินดูจึงมีความสำคัญมากเท่าท่ีเก่ียวกับองค์พระ มหากษัตริย์และขนบธรรมเนียมประเพณีในราชสำนัก ทั้งท่ีชีวิตของคนไทยท่ัวไปในพ้ืนบ้านยังอยู่ใต้วัฒนธรรมของ ศาสนาพุทธ ถึงจะมีวัฒนธรรมของฮินดูแทรกเข้าไปบ้างก็เป็นบางเรื่อง มิได้ครอบคลุมชีวิตของคนไทยไปทั้งหมด สรุปได้ว่าวัฒนธรรมไทยเกี่ยวกับองค์พระมหากษัตริย์นั้น เป็นวัฒนธรรมฮินดูแต่ในชีวิตท่ัวไปของคนไทยนั้นเป็น วฒั นธรรมพทุ ธ แต่ทั้งหมดนก้ี ็ไดม้ ารวมเปน็ วัฒนธรรมไทยด้วยกนั ปรากฏผลเปน็ ลักษณะไทยอย่างท่ีเหน็ อยทู่ กุ วันนี้ หนังสือชุดน้ีเป็นผลงานของนักวิชาการไทยจากต่างสาขาวิชาชีพ ซ่ึงได้ค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรม ไทยแขนงต่างๆ กัน และนำมาศึกษาเชงิ วเิ คราะหเ์ พ่อื แสวงหาลักษณะไทย ดงั ที่ไดก้ ล่าวถงึ มาแล้ว ผู้เขียนส่วนใหญ่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและได้ลงทุนลงแรงค้นคว้าเรื่องต่างๆ ที่ได้เขียนข้ึนด้วยตนเองเป็น เวลาหลายปีเมื่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด มีความประสงค์ท่ีจะจัดพิมพ์หนังสือชุดน้ีขึ้นเน่ืองในงานเปิดสำนักงานใหม ่ และเพ่ือให้หนังสือชุดน้ีเป็นส่วนหนึ่งในการฉลองพระนครครบ ๒๐๐ ปี ทางด้านธุรกิจเอกชน ธนาคารจึงได้เชิญ นักวิชาการเหล่านี้ ซึ่งทางผู้จัดทำหนังสือเห็นว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถพอที่จะยึดถือเป็นหลักฐานได้ ให้เขียน บทความทางดา้ นวัฒนธรรมแตล่ ะแขนงซ่ึงแต่ละท่านได้สนใจคน้ ควา้ อยู่แลว้ ในการน้ธี นาคารกรุงเทพ จำกัด ได้ให ้ เงินอุดหนุน ทำให้นักวิชาการแต่ละท่านสามารถค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมและจัดทำภาพแผนผังประกอบแนวความคิด ใหช้ ัดเจนยงิ่ ขน้ึ ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วว่าผู้เขียนส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยและในการศึกษาค้นคว้าเพ่ือหนังสือ เล่มนี้ อาจารย์เหล่านี้ได้รวบรวมอาจารย์ผู้เยาว์และนักศึกษาเข้ามาช่วยในงานวิจัยน้ันด้วย ดังน้ันนอกเหนือไปจาก การนำข้อมลู การวิจยั มารวบรวมจัดพมิ พเ์ ปน็ หนังสือชุดนแ้ี ลว้ งานช้นิ น้ยี งั ไดม้ สี ว่ นช่วยอบรมและสรา้ งนักวจิ ยั ร่นุ เยาว์ ข้นึ เปน็ จำนวนมากในหลายสถาบนั การศกึ ษา ซง่ึ จะมผี ลในระยะยาวในการศึกษาเรอ่ื งวัฒนธรรมไทยตอ่ ไปในอนาคต บรรณาธิการขอขอบคุณ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ในฐานะที่เป็นผู้คิดริเริ่มและเป็นกำลังสำคัญในการจัด พมิ พห์ นงั สือชุดนี้ขึ้น และหวงั ว่าหนังสือเลม่ นี้จะให้ความรู้แก่ผูอ้ า่ นในเรอื่ งลกั ษณะไทย ตามที่ไดต้ ้งั ความปรารถนาไว้ ทุกประการ (คกึ ฤทธิ์ ปราโมช) ๑๑ กนั ยายน ๒๕๒๔ (๑๑)

คำชแ้ี จง การจัดทำหนังสอื ชดุ “ลักษณะไทย” นี้ นายบุญชู โรจนเสถียร อดตี รองนายกรฐั มนตรี เม่ือยงั ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ จำกัด ดำริให้จัดทำขึ้นเพ่ือแจกเป็นอภินันทนาการ ในโอกาสที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด จะเปิดสำนักงานใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ โดยเห็นว่าสมควรรวบรวม องค์ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยในทุกๆ ด้านไว้ ก่อนท่ีวัฒนธรรมบางส่วนจะสูญหายไปในช่วงของการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสงั คม จึงไดน้ ำความไปเรยี นปรึกษากบั ศาสตราจารย์ พลตรี หมอ่ มราชวงศ์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มคี วามประสงค์ที่ คึกฤทธ์ิ ปราโมช และขอความกรุณาให้ท่านเป็นผู้รวบรวมนักวิชาการทั้งจาก จะจัดทำหนังสือลักษณะไทยให้ครบชุดเพื่อเฉลิมพระเกียรติและทูลเกล้า ฯ ถวาย สถาบันภาครัฐและเอกชน และนักวิชาการอิสระมาร่วมกันทำงานชิ้นน้ีเพ่ือจะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสอันเป็นมหามงคลท่ีพระองค์จะเจริญ ได้เนื้อหาท่ีหลากหลาย กับขอให้ท่านกรุณารับทำหน้าที่บรรณาธิการของ พระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษาในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ หนังสือชดุ นด้ี ว้ ย ในการจัดทำหนังสือชุดลักษณะไทย ฉบับเฉลิมพระเกียรติข้ึนใหม่นี้ ในการจัดทำหนังสือลักษณะไทยชุดแรกนั้น ศาสตราจารย์ พลตรี ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ประสงค์ท่ีจะจัดทำหนังสือให้ได้มาตรฐาน หมอ่ มราชวงศ์คึกฤทธ์ิ ปราโมช ไดแ้ บง่ หนงั สือชุดน้ีเป็น ๔ เร่อื งใหญ่ คอื ทางวิชาการกว่าการพิมพ์คร้ังแรก จึงได้จัดงบประมาณจำนวนหน่ึงสำหรับ เล่มท่ี ๑ เรื่อง ภูมหิ ลงั จัดพิมพ์ต้นฉบับใหม่ แต่การเปล่ียนแปลงท่ีสำคัญในการจัดพิมพ์หนังสือ เลม่ ท่ี ๒ เรือ่ ง ทัศนศิลป ์ ชุดลักษณะไทยฉบบั เฉลิมพระเกยี รตคิ รั้งน้ี คอื มอบหมายให้ ดร.พริ ิยะ ไกรฤกษ์ เล่มท่ี ๓ เรื่อง ศลิ ปะการแสดง ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำเรื่องพัฒนาการของทัศนศิลป์ใน เล่มที่ ๔ เรื่อง วัฒนธรรมพืน้ บา้ น ประเทศไทยในด้านตา่ งๆ ใหม้ ุ่งจัดทำแต่เฉพาะทศั นศิลป์ในพระพุทธศาสนา คือ เร่อื ง พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พุทธศิลปไ์ ทย จึงเปน็ การเขียนตน้ ฉบับหนังสือ หนังสือเล่มท่ี ๑ เรื่อง ภูมิหลัง จัดทำสำเร็จทันตามเป้าหมายใน เล่มใหม่ ซึ่งยังไม่เคยได้จัดพิมพ์มาก่อนเลย และให้จัดพิมพ์เป็นเล่มที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ส่วนหนึ่งธนาคารกรุงเทพ จำกัด ได้แจกเป็นท่ีระลึกในงาน เพ่ือเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เพราะมีความเห็นว่า ไม่ว่าจะมองจากด้านใด เปิดสำนักงานใหญ่ ส่วนหนึ่งมอบให้แก่สถาบันการศึกษาบางแห่ง ทั้งระดับ พระพุทธศาสนาเป็นพื้นฐานท่ีสำคัญท่ีสุดของวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะความ มัธยมศกึ ษาและอดุ มศกึ ษา และอีกส่วนหน่ึงสำนักพิมพ์ไทยวฒั นาพานิช จำกดั ผูกพันระหว่างพระพุทธศาสนากับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ในโอกาสท่ี จำหนา่ ยแก่บคุ คลท่วั ไป ปรากฏวา่ หนังสอื เลม่ นีม้ ีผสู้ นใจมากพอสมควร ต่อมา สำคัญนี้จึงเป็นการสมควรท่ีจะจัดพิมพ์หนังสือท่ีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเป็น ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ สำนกั พิมพ์ไทยวัฒนาพานชิ จำกัด จึงได้จดั พมิ พอ์ ีกคร้งั หนึ่ง เล่มแรกในหนังสอื ชดุ ลกั ษณะไทย ฉบับเฉลิมพระเกียรติ เพ่อื จัดจำหน่าย ดังน้ันหนังสือชุดลักษณะไทย ฉบับเฉลิมพระเกียรติน้ีจึงประกอบ หลังจากจัดทำหนังสือเล่มท่ี ๑ เรียบร้อยแล้ว ทางคณะผู้จัดทำ ดว้ ย หนงั สือ ๔ เล่ม เรียงลำดับเรอื่ งใหม่ ดังน ้ี หนงั สือลักษณะไทยหวงั วา่ จะสามารถจดั ทำเลม่ อ่ืน ๆ ใหส้ ำเรจ็ ในระยะใกล้ ๆ กนั แต่มีอุปสรรคหลายประการ เนื่องจากไม่สามารถจัดเตรียมต้นฉบับได้ทันตาม เลม่ ท่ี ๑ เรือ่ ง พระพทุ ธปฏิมา อัตลักษณ์พทุ ธศิลปไ์ ทย เวลาทีก่ ำหนดไว้ เพราะ เน้ือหาของเล่มที่ ๓ เรื่อง ศิลปะการแสดง และเลม่ ที่ ๔ เลม่ ที่ ๒ เรอื่ ง ภูมหิ ลัง เร่ือง วัฒนธรรมพื้นบ้าน มีขอบเขตท่ีกว้างขวาง และมีผู้ร่วมเขียนหลายท่าน เล่มที่ ๓ เรอ่ื ง ศิลปะการแสดง หรอื แมแ้ ตเ่ ลม่ ท่ี ๒ เรอ่ื ง ทศั นศลิ ป์ ซึง่ มผี ู้เขยี นเพยี งคนเดยี ว ก็มีเน้อื หากวา้ ง เลม่ ที่ ๔ เรื่อง วฒั นธรรมพนื้ บ้าน ขวางคลอบคลมุ ทกุ ดา้ น หนังสือชุดลักษณะไทย ฉบับเฉลิมพระเกียรติน้ี ทางธนาคาร อุปสรรคสำคัญประการหนึ่ง คือ การประสานงานท่ีล่าช้าของ กรงุ เทพ จำกดั (มหาชน) จดั พิมพ์ขึน้ จำนวน ๒,๐๐๐ ชุด เพื่อทูลเกลา้ ฯ ถวาย ขา้ พเจ้าในฐานะผู้ชว่ ยบรรณาธิการ ทีก่ ำหนดว่า หนงั สอื ชดุ ลักษณะไทยเลม่ ท่ี ๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นการเฉลิมพระเกียรติและโดยเสด็จพระราช เร่ือง ศลิ ปะการแสดง จะตพี ิมพ์เปน็ ลำดับตอ่ จากเลม่ ท่ี ๑ เร่ือง ภมู ิหลัง แต่ กศุ ลทง้ั หมด หนังสือสว่ นหน่ึงจะทลู เกลา้ ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การจดั พมิ พม์ าแลว้ เสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ เกือบ ๒๐ ปีตอ่ มา โดยสำนักพิมพ์ และส่วนท่ีเหลือทั้งหมดจะขอพระราชทาน นำไปแจกจ่ายแก่ห้องสมุดสถาบัน ไทยวัฒนาพานิช จำกดั เป็นผจู้ ดั พิมพ์และจดั จำหน่าย อุดมศึกษา หน่วยงานที่เก่ียวข้องท้ังภาครัฐและภาคเอกชนทั่วประเทศ เพ่ือเป็นวิทยาทานถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หนังสอื ชุดลักษณะไทยเลม่ ท่ี ๔ เร่อื ง วัฒนธรรมพื้นบา้ น นัน้ เมื่อ ในโอกาสอันเปน็ มหามงคลนี้ และหนังสือชดุ นีจ้ ะไม่มวี างจำหน่ายเลย คณะบรรณาธิการประสานรวบรวมต้นฉบับได้สมบูรณ์แล้ว แต่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยังไม่พร้อมจะจัดพิมพ์ จึงได้อนุญาตให้สมาคมนิสิตเก่าคณะ สถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดพิมพ์จำหน่ายใน พันเอกหญงิ คุณนิออน สนิทวงศ์ ณ อยธุ ยา โอกาสครบ ๗๒ ปีของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรณาธิการ พ.ศ.๒๕๔๙ สว่ นหนงั สอื ชดุ ลกั ษณะไทย เลม่ ที่ ๒ เร่ือง ทัศนศลิ ป์ ยงั คงไม่ ธนั วาคม ๒๕๕๑ สามารถรวบรวมตน้ ฉบบั ใหส้ มบูรณ์ได ้ (๑๒)

คำนำ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ เมอ่ื ทรงดำรงตำแหน่งเปน็ นายก ราชบัณฑิตยสภา ได้ทรงแสดงปาฐกถาเร่ือง ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ เม่อื วันท่ี ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ทศั นคตทิ ี่ทรงแสดงเกีย่ วกับวิธีการศกึ ษาเรอื่ งโบราณคดีทำให้ ทรงไดร้ ับพระสมญั ญานามวา่ “พระบดิ าแหง่ ประวตั ิศาสตรไ์ ทย” มีความอยู่ข้อหน่ึงซึ่งควรกล่าวเป็นอารัมภกถา คล้ายๆ กับท่ีพระภิกษุท่านกล่าวคำถวายพระ พรทูลขออภัย ด้วยปาฐกถาที่ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านท้ังหลายฟังในวันนี้เป็นเร่ืองโบราณคดี หรือจะว่าอีกนัยหนึ่ง คือเล่าเรื่องก่อนเกิดต้ังหลายร้อยปี ย่อมพ้นวิสัยท่ีจะรู้ให้ถ้วนถี่ไม่มี บกพร่องหรือจะไม่พลาดพล้ังบ้างเลยได้ การแถลงเร่ืองโบราณคดีแม้ในบทพระบาลีมีชาดก เปน็ ตน้ เมือ่ ท่านจะแสดงอดตี นทิ านกม็ กั ใช้คำขน้ึ ตน้ ว่า “กิร” แปลวา่ ได้ยินมาอย่างนนั้ ๆบอกให้ ทราบวา่ เรื่องทจี่ ะแสดงเปนแต่ทา่ นไดส้ ดบั มา ขอ้ สำคัญอนั เปนความรับผิดชอบของผู้นำเร่ือง โบราณคดีมาแสดง อยทู่ ่ตี ้องแถลงความตามทตี่ นเชอื่ ว่าจริง และชี้หลกั ฐานท่ที ำใหต้ นเชอ่ื นน้ั ให้ปรากฏ ข้อใดเปนแต่ความคิดวนิ ิจฉยั ของตนกค็ วรบอกใหท้ ราบ ให้ผู้ฟังมีโอกาสเอาเร่ืองแล หลักฐานที่ได้ฟังไปพิจารณาค้นคว้าหาความรู้ท่ีถ่องแท้ยิ่งข้ึนในคดีเรื่องที่แสดงน้ัน การท่ี ข้าพเจ้าแสดงปาฐกถาขอให้ท่านท้งั หลายเขา้ ใจว่าต้งั ใจจะใหเ้ ปนอย่างว่ามาน้ี ในวงวิชาการไทย ดร. พริ ิยะ ไกรฤกษ์ เป็นผ้ทู ี่นักวิชาการหลายท่านมองวา่ เป็น “ววั เขาเกก” เพราะมัก แสดงความคิดเห็นที่แหวกออกไปจากแนวความคิดซ่ึงเป็นที่ยอมรับกันท่ัวไปมานาน ทำให้บางท่านมองว่าเป็นการ ลบหลู่ปรมาจารย์ผู้เป็นท่ีเคารพและไม่เห็นสมควรที่จะนำแนวความคิดใหม่เหล่านั้นออกเผยแพร่หรือโต้แย้งเพราะ เห็นว่าไม่มีน้ำหนักพอ ข้อนี้เป็นสาเหตุท่ีทำให้ ศาสตราจารย์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เลือกให้ ดร. พิริยะเป็นผู้ รับผดิ ชอบด้านศิลปะเม่อื เร่ิมคิดจัดทำหนังสอื ชดุ ลักษณะไทย น้ีเมื่อ ๓๔ กว่าปมี าแลว้ เพอ่ื เปดิ เวทใี ห้ ดร. พริ ยิ ะ ได้แสดงแนวความคดิ ของตนให้แจม่ แจง้ ด้วยความหวงั ว่าจะมีนักวิชาการท่านอ่นื ออกมาแสดงความคดิ เห็นโต้แย้งอนั จะทำให้เกิดความก้าวหน้าทางวิชาการซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้จัดทำ โครงการน้ี หากพิจารณาด้วยความเป็นธรรมแล้ว ข้อคิดใหม่ๆ ที่ ดร. พิริยะแสดงออกมาน้ันก็เป็นไปตามแนวของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ดังกล่าวมาแลว้ ทกุ ประการ กล่าวคอื ตอ้ งแถลงความตามที่ ตนเชือ่ วา่ จริงและชห้ี ลกั ฐานที่ทำใหต้ นเช่อื มน่ั ให้ปรากฏ ขอ้ ใดเป็นแค่ความคดิ วินิจฉยั ของตนก็ควรบอกให้ทราบ สาเหตุท่ีทำให้ ดร. พริ ยิ ะ เป็นนกั วชิ าการทส่ี ร้างปัญหากเ็ พราะได้ก้าวล่วงเข้าไปในเรื่องทีถ่ ือเปน็ หัวใจของ ประวตั ศิ าสตร์ทางวัฒนธรรมของชาติ ซ่งึ เกือบจะถือเป็นสง่ิ ศักด์สิ ิทธท์ิ จ่ี ะแตะตอ้ งมไิ ด้ ท่ีสำคญั ที่สุดคือ เร่อื งท่วี ่า ศลิ าจารกึ พ่อขุนรามคำแหงไม่ได้จารขึ้นในรัชสมัยพระมหากษัตรยิ ์พระองคน์ ั้น ในหนังสือเลม่ นก้ี ็เชน่ กัน ดร. พิรยิ ะ คัดค้านวิธีการอธิบายประวัติศาสตร์ศิลปะตามแนวทางของทางตะวันตก ซ่ึงถือว่ายุคสมัยทางประวัติศาสตร์มี ความสอดคลอ้ งกบั ยุคสมัยทางรูปแบบของศลิ ปะ โดยเฉพาะในการศึกษาเรือ่ งพุทธศิลป์ เพราะพระพทุ ธปฏิมาเป็น รปู จำลองของพระพทุ ธรูปองค์ตน้ แบบ ซึ่งจำลองสบื ตอ่ กันเรอ่ื ยมา มิไดข้ น้ึ กบั ยุคสมัยทางประวตั ิศาสตรแ์ ต่อย่างใด แต่ขึ้นอยู่กับท้องถิ่นและกระแสความนิยมของแต่ละยุคสมัย ในหนังสือเล่มนี้ในการศึกษาเรื่องสร้างพระพุทธปฏิมา ในประเทศไทย ดร. พิริยะจึงใช้วิธีการท่ีเห็นว่าสอดคล้องกับขนบธรรมเนียมประเพณีและคตินิยมการสร้างพระ พุทธปฏิมาในประเทศไทยเป็นสำคัญ วิธีการน้ีก็ทำให้ ดร. พิริยะเสนอข้อคิดเห็นใหม่เกี่ยวกับพระพุทธปฏิมาองค์ท่ี สำคญั ๆ เช่น พระพุทธชนิ ราช พระพุทธสหิ ิงค์ ซงึ่ เรอ่ื งเหล่าน้นี ักวิชาการและผ้อู า่ นโดยทั่วไปจะต้องใชว้ จิ ารณญาณ ว่าเป็นข้อเสนอที่มีหลักฐานและคำอธิบายทม่ี นี ำ้ หนักมากน้อยเพยี งใด (๑๓)

ดร. พิริยะ อาศัยพระพุทธปฏิมารูปแบบต่างๆ เป็นเครื่องแสดงความเป็นสากลของพระพุทธศาสนา ปรัชญาของพระพุทธศาสนาเป็นพลังสากลท่ีครอบคลุมดินแดนกว้างใหญ่หลายทวีป อย่างไรก็ดีในแต่ละยุคสมัย และแต่ละท้องถ่ินก็มีค่านิยมท่ีแตกต่างกันออกไปท่ีแสดงให้เห็นจากพระพุทธปฏิมารูปแบบต่างๆ ซ่ึงในความคิดเห็น ของ ดร. พิริยะ มิได้เป็นความแตกต่างภายนอกทางศิลปะเท่าน้ัน แต่พุทธลักษณะของพระพุทธปฏิมาแต่ละองค์ เช่น การครองไตรจีวร อิริยาบถ และปางต่างๆ ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาและความเชื่อถือศรัทธาของแต่ละ ท้องถิน่ ในแตล่ ะยคุ สมยั เนื่องจากพระพุทธศาสนาถือกำเนิดในประเทศอินเดีย การกล่าวถึงพระพุทธปฏิมาก็มักจะต้องโยงไปถึง ต้นแบบของอินเดีย จึงทำให้หนังสือเล่มน้ีมีความซับซ้อนยากแก่การเข้าใจของผู้ท่ีมิได้ศึกษาในเร่ืองนี้มาโดยเฉพาะ อาจกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือ ๒ มิติ สำหรับนักวิชาการและผู้ที่สนใจในเรื่องของพระพุทธศาสนาและ ประเพณีการสร้างพระพุทธรูป หนังสือเล่มน้ีอาจถือเป็นหนังสือค้นคว้า (reference) ซึ่งแม้ข้อคิดและเน้ือหาบาง เร่ืองอาจจะไม่เป็นท่ียอมรับท่ัวไป แต่รูปภาพและอภิธานศัพท์ต่างๆ ท่ีรวบรวมไว้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับ การแสวงหาขอ้ มลู อีกมติ หิ นง่ึ เปน็ หนงั สือคนทั่วไปทน่ี ับตนเองเปน็ พทุ ธศาสนิกชน แตย่ ังไม่มีความเขา้ ใจแม้ในเบือ้ ง ต้นท้ังท่ีเก่ียวกับปรัชญาและหลักธรรมของพระพุทธศาสนาตลอดไปถึงประเพณีเกี่ยวกับพุทธศาสนาในชีวิตประจำ วันซึ่งได้ถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย สำหรับผู้อ่านกลุ่มหลังนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความท้อแท้ขอแนะนำให้อ่าน หนังสือเล่มนี้จากข้างหลังคือบทสรุป เพื่อให้ทราบแนวความคิดหลักของผู้เขียนแล้วจึงจับเรื่องท่ีแต่ละคนสนใจเป็น พิเศษมาศึกษาเป็นเร่ืองๆ ไป โดยอาศัยสารบัญท่ีได้ลงไว้อย่างละเอียด คำอภิธานศัพท์ท้ายเล่มและแผนผังตาราง ตา่ งๆ ทผี่ ูเ้ ขียนได้นำเสนอไว้มากมายเพ่ือจะใหก้ ารอ่านหนงั สอื เล่มนี้ง่ายขึ้น จุดประสงค์สำคัญอีกข้อหน่ึงในการเลือกนำเสนอหนังสือเล่มน้ีโดยอาศัยบารมีของพระพุทธปฏิมาซ่ึงเป็น สมบตั ลิ ้ำค่าของคนไทย ก็เพราะพระพุทธปฏมิ าท่ีสำคญั หลายองคน์ น้ั บุคคลทั่วไปไมอ่ าจจะได้สักการะเพราะเปน็ สมบัติ ของเอกชนบ้าง อยู่ในที่รโหฐานของพระราชวังต่างๆ บ้าง อยู่ในพิพิธภัณฑ์ต่างชาติบ้าง อยู่ในประเทศอ่ืนๆ บ้าง และแม้องค์ที่อยู่ในประเทศไทยเองก็กระจายอยู่ในท้องถ่ินทั่วประเทศยากแก่การท่ีผู้มีความสนใจศรัทธาจะไป คารวะได้ท่ัวถึง และการนำพระพุทธปฏิมามารวบรวมไว้อย่างงดงามเป็นเคร่ืองย้ำถึงความสำคัญของพระ พทุ ธศาสนาว่าเป็นพืน้ ฐานของวฒั นธรรมและวถิ ชี ีวติ ของคนไทยทกุ ระดบั ต้องขอขอบคุณ ดร. พริ ิยะท่ีมคี วามวริ ยิ ะ อุตสาหะซอกซอนไปในทอ้ งถ่ินห่างไกลทำใหเ้ หน็ วา่ วัดบางวัดในชนบทท่ีมิได้ร่ำรวยหรืออาจกลา่ วไดว้ า่ ยากจนดว้ ยซำ้ กลับเป็นท่ีประดิษฐานพระพุทธรูปที่มีคุณค่าท้ังด้านท่ีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้มั่นอยู่ในพุทธธรรมและในด้านที่ เป็นพุทธศิลป์ช้ันยอดทีส่ รา้ งข้ึนจากแรงศรัทธาของชุมชนลว้ นๆ และขอบคณุ ธนาคารกรงุ เทพ จำกดั (มหาชน) ทม่ี ี สายตายาวไกลจัดสรรงบประมาณจำนวนสูงมากในการผลิตหนังสือเล่มนี้เพื่อเป็นตำราที่สำคัญเล่มหน่ึงในการ ศกึ ษาเรื่องพระพทุ ธศาสนา แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมีท้ังข้อดีและปัญหาในวิธีการนำเสนอ แต่ในเรื่องท่ีเป็นจุดประสงค์ท่ีสำคัญท่ีสุด นับได้ว่าผู้เขียนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี คือ ทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือเล่มน้ีเพ่ือเป็นการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสเป็นม่ิงมหามงคลที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา โดยแสดง พระราชกรณียกิจด้านพระพุทธศาสนาซ่ึงแสดงให้เห็นถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างพระพุทธศาสนาและ สถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งในด้านพื้นฐานทางศีลธรรมตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาและในทางการเมือง การปกครอง กเ็ ปน็ เครือ่ งเชือ่ มโยงสถาบนั หลักทัง้ สองกบั ประชาชนเพ่อื ความเป็นอนั หนึ่งอนั เดยี วของชาตไิ ทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันมิได้ทรงมีแต่ความยึดม่ันในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา เท่าน้ัน แต่ทรงเป็นศิลปินอีกด้วย ดังน้ันพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านในด้านน้ีจึงทรงคุณค่ามหาศาล ในการ สร้างพระพุทธรูปท่ีสำคัญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงถือเป็นพระราชภาระไม่เฉพาะในเรื่องพระพุทธคุณ เท่านัน้ แต่ในเร่อื งมาตรฐานความงดงามในทางดา้ นศิลปะอกี ด้วย (๑๔)

ท้ายที่สุดนี้ ขออัญเชิญพระราชดำรัสในคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไป พระราชทานพระพทุ ธนวราชบพติ รให้กบั จงั หวัดอดุ รธานเี ป็นจงั หวัดแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ความวา่ พระพุทธองค์นี้ข้าพเจ้าสร้างข้ึนมอบไว้ เป็นพระพุทธรูปประจำจังหวัด ท่ีฐานบัวหงาย ข้าพเจ้าได้บรรจุพระพิมพ์องค์หนึ่งซึ่งได้ทำข้ึนด้วยผงศักด์ิสิทธิ์อันได้มาจากจังหวัดต่างๆ ท่ัวพระราชอาณาจักร มีผงดินทรายและเกสรดอกไม้ท่ีบูชาหลวงพ่อนาควัดมัชฌิมมาวาส ผงดนิ ทราย ผงธูป และเกสรดอกไม้จากศาลหลักเมอื ง กับผงดินทราย ผงธูป และเกสร ดอกไม้ จากทบ่ี ชู าศาลเทพารกั ษ์ กรมหลวงประจกั ษ์ศลิ ปาคม จงั หวดั อุดรธานนี ้รี วมอยู่ด้วย พระพุทธนวราชบพิตรน้ี นอกจากจะถือเป็นนิมิตรหมายแห่งคุณพระรัตนตรัยอันเป็นที่ เคารพสูงสุดแล้ว ข้าพเจ้ายังถือเสมือนเป็นเคร่ืองหมายแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของประชาชาติไทย และความสามคั คกี ลมเกลยี วกนั ของประชาชนชาวไทยอกี ดว้ ย ข้าพเจา้ จึงได้บรรจุพระพิมพ์ ซึ่งทำด้วยผงศักด์ิสิทธ์ิจากทุกจังหวัดดังกล่าวแล้ว และนำมามอบให้ แกท่ ่านดว้ ยตนเอง (สมบัติ ๒๕๒๐, ๑๗) พันเอกหญิง คณุ นอิ อน สนิทวงศ์ ณ อยธุ ยา บรรณาธกิ าร ธนั วาคม ๒๕๕๑ (๑๕)

พระพทุ ธนวราชบพติ ร (รูปที่ ๓.๑๐๑) วดั บวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร (๑๖)

สำนึกในพระมหากรุณาธิคณุ ตามท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทาน พระบรมราชานญุ าต และพระราชทานพระราชานญุ าต ให้บันทึกภาพศิลปวัตถุ และโบราณวัตถุในเขต พระราชฐาน กบั พระราชทานพระบรมราชานญุ าต ให้นำภาพศิลปวัตถุในเขตพระราชฐานท่ีมีผ ้ ู บันทึกไว้ พิมพ์ประกอบในหนังสือ ลักษณะไทย เล่ม ๑ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย ซ่ึงเป็นหนังสือที่เผยแพร่ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะน้นั ข้าพระพทุ ธเจ้าขอพระราชทานพระบรมราช ว โ ร ก า ส แ ล ะ ข อ พ ร ะ ร า ช ท า น พ ร ะ ร า ช ว โ ร ก า ส ก ร า บ ถ ว า ย บั ง ค ม แ ท บ เ บ้ื อ ง พ ร ะ ยุ ค ล บ า ท ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า ล้นกระหมอ่ มอย่างหาทสี่ ดุ มไิ ด้ ควรมิควรแลว้ แตจ่ ะทรงพระกรณุ า โปรดเกลา้ โปรดกระหม่อม นายพิริยะ ไกรฤกษ์ (๑๗)

กิตติกรรมประกาศ ผ้เู ขียนขอขอบพระคณุ ธนาคารกรุงเทพ จำกดั (มหาชน) ท่ไี ด้เปน็ ผู้อปุ ถมั ภก์ ารจัด ทำหนังสอื ลกั ษณะไทย เล่ม ๑ พระพุทธปฏิมา อัตลกั ษณ์พทุ ธศิลป์ไทย การจัดทำหนังสอื ทีใ่ ช้เวลานานเกนิ กว่าเส้ียวหนงึ่ ของศตวรรษนน้ั ไดอ้ าศัยความร่วมมือร่วมใจของ เจ้าหน้าท่ีทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมากมายเกินกว่าท่ีผู้เขียนจะระบุพระนามและนามของทุกท่านท่ีช่วย ให้หนังสือเล่มนี้เป็นรูปธรรมข้ึนมาได้ โดยเฉพาะท่านผู้เป็นเจ้าของพระพุทธปฏิมา ทั้งที่ล่วงลับไปแล้ว และทย่ี ังมชี ีวติ อยู่ ขอนมัสการท่านเจา้ อาวาสพระอารามนอ้ ยใหญ่ จำนวน ๖๐๐ แหง่ ทัว่ ประเทศ โดยเฉพาะพระครู คณานมั สมณาจารย์ (เป้า) ทีไ่ ด้กรณุ าอนุญาตใหผ้ เู้ ขียนถา่ ยภาพพระปฏมิ าในความดแู ลของท่าน ซ่งึ บาง องคผ์ เู้ ขยี นเหน็ สมควรทีจ่ ะนำมาเผยแพรใ่ นหนงั สอื เล่มน ้ี ผู้เขียนกราบขอบพระทยั พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภานพุ ันธย์ุ ุคล ขอกราบขอบพระคณุ และขอบพระคุณ พล.ต.อ. สนอง วัฒนวรางกรู คุณวิบูลย์ สารกจิ ปรีชา คุณบุญครอง อินธุโสภณ คุณจริ ศกั ดิ์ ตันสถติ ย ์ คุณมนสั โอภากลุ และทุกท่านที่ไม่ประสงค์จะออกนามที่ได้อนุญาตให้นำเอาพระพุทธรูปท่ีท่านเก็บรักษาอยู่มาตีพิมพ์ เผยแพร่ในหนงั สอื เล่มนี้ เพื่อเปน็ ประโยชนแ์ กส่ าธารณชน ผู้เขียนขอขอบพระคุณเจ้าหน้าท่ีสำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยเฉพาะท่าน อาจารย์จิรา จงกล ผู้ล่วงลับไปแล้ว คุณภุชชงค์ และอาจารย์ณัฏฐภัทร จันทวิช คุณสมชาย ณ นครพนม ตลอดจนเจ้าหน้าที่ประจำพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติส่วนภูมิภาคทุกท่าน ที่ได้อำนวยความ สะดวกแก่ผู้เขียนในการค้นคว้าข้อมูล รวมทั้งเจ้าหน้าท่ีของสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ทั้งในอดีต และปัจจุบนั โดยเฉพาะคุณอวยพร เกดิ ช่วย และคณุ กนิษฐา กสิณอุบล นอกจากน้ผี ู้เขียนขอขอบพระคณุ คณะทำงาน คณุ อภวิ ัฒน์ ธญั ญานนท์ คุณนริ มล สายป่นิ คุณ สุทธิชัย หวายสันเทียะ คุณณัฐพรรษ เตชะบรรณะปัญญา และคุณฑิณฒฐาฎา บ่งเทพ ท่ีช่วยในการ ค้นคว้าหาข้อมูล พิมพ์ต้นฉบับ ตรวจแก้ และอ่ืนๆ อีกนานัปการเพ่ือให้หนังสือเล่มนี้สำเร็จตามความมุ่ง หมายด้วยความอุตสาหะ หนังสือดังกล่าวสำเร็จลงได้ด้วยความเหนื่อยยากของท่านบรรณาธิการ พันเอกหญิง คุณนิออน สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ท่ีกรุณาให้ความไว้วางใจแก่ผู้เขียนรับผิดชอบหนังสือ ลักษณะไทย เล่ม ๑ พระ พทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณ์พทุ ธศิลป์ไทย และอตุ ส่าหต์ ิดตามผลงานดว้ ยขนั ติและวิริยะตลอดมา ทัง้ ยงั วิพากษ์ วิจารณ์พร้อมให้ความคิดเห็นท่ีเป็นประโยชน์ต่อเน้ือหา ตลอดจนตรวจแก้ต้นฉบับอย่างละเอียด ซ่ึงช่วย ให้หนังสือเลม่ นมี้ ีคณุ ค่ายง่ิ ข้นึ และ คณุ อจั ฉรา คำเมอื ง จากธนาคารกรงุ เทพ จำกัด (มหาชน) ทกี่ รณุ า เป็นธุระด้านการประสานงาน จนหนังสือเล่มน้ีลุล่วงเสร็จส้ินลงได้ ตลอดจนคุณชฎานุช วังรุ่งอรุณ คุณชัชชัย คงเกษม คณุ ศักดา วิมลจันทร์ คณุ จฑุ ามาศ มโนสทิ ธิกลุ คณุ รัชต์ รองหานาม และ คณุ สุทิต วังรุ่งอรุณ แห่งบริษัทเดอะ คีย์ พับลิชเชอร์ จำกัด ท่ีร่วมกันออกแบบและจัดทำรูปเล่มหนังสือเล่มนี้ได้ อย่างสวยงาม ผู้เขียนจึงขอขอบพระคุณมา ณ ทีน่ ี้ อนึ่ง ความผิดพลาดใดๆ ในหนังสือเล่มนี้ ผเู้ ขียนขอ น้อมรับไว้แตเ่ พียงผู้เดียว (๑๘)

คำปรารภ หนังสือ ลักษณะไทย เล่ม ๑ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย เขียนขึ้น เนื่องในโอกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา ด้วยเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น ท่ีพระองค์ท่านพระราชทานแก ่ พสกนิกรเป็นระยะเวลาท่ยี าวนานถงึ ๖๐ ปี โดยเฉพาะที่พระองค์ท่านทรงสนพระราชหฤทัยในเรื่องของพระพุทธรูปปางต่างๆ ดังที่ทรงพระ กรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้หลวงบรบิ าลบุรีภัณฑ์ (ป่วน อนิ ทวุ งศ)์ และเกษม บุญศรี รวบรวมเรื่องราวเกย่ี ว กับพระพุทธรูปปางต่างๆ ไว้ในหนังสือเร่ือง พระพุทธรูปปางต่างๆ ขึ้น เพื่อพระราชทานในงานพระราช กศุ ลราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนกั จติ รลดารโหฐาน ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ (ค.ศ. 1957) โดย พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวทรงมพี ระราชปรารภว่า ปางของพระพุทธเจ้า ซ่ึง แสดงพระพุทธจริยาวัตรตามพุทธประวัติ และที่มีผู้คิดสร้างข้ึนในภายหลังอยู่ หลายปางด้วยกัน ถ้าได้รวบรวมข้ึนเรียงตามลำดับในพุทธประวัติ ให้มีคำ อธิบายลักษณะของปางน้ันๆ ตลอดจนท่ีมาและความนิยมในการสร้าง รวมทั้ง ปางต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนใหม่ ให้มีปางมากท่ีสุดเท่าท่ีจะทำได้ ก็จะเป็นคุณประโยชน์ แก่การศึกษาของพุทธศาสนิกชน และบรรดาผู้ท่ีสนใจ (บริบาลบุรีภัณฑ์ และ เกษม ๒๕๐๐, คำนำ) บัดน้ีกาลเวลาได้ล่วงไปแล้ว ๕๐ ปี ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธรูปปางต่างๆ ก็พัฒนาก้าวไกลไปกว่า เม่ือกึง่ ศตวรรษที่แลว้ มาก จงึ เห็นสมควรที่จะรวบรวมเรื่องราวเก่ียวกบั พระพุทธรปู ปางตา่ งๆ ขึ้นอกี ครง้ั หนึ่งเป็นราชพลี ถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นที่เคารพอย่างสูงสุดของประชาชน ชาวไทย ในโอกาสมหามงคลนี ้ พิรยิ ะ ไกรฤกษ์ ธนั วาคม ๒๕๕๑ (๑๙)

ประวตั ผิ เู้ ขยี น ร องศาสตราจารย์ ดร. พริ ิยะ ไกรฤกษ์ เมธวี ิจัยอาวโุ สสาขาประวัติศาสตรศ์ ลิ ปะ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ ได้รับประกาศนียบัตรวิชาจิตรกรรมจาก Oskar Kokoschha’s School of Vision เมอื งซาลสเบอรก์ ประเทศออสเตรีย และประกาศนยี บตั รวิชาประติมากรรมจาก Royal College of Art กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร หลังจากนน้ั ไดห้ นั ความสนใจไปในการศกึ ษาวชิ าประวตั ศิ าสตร์- ศิลปะ และเม่ือ พ.ศ. ๒๕๑๘ กส็ ำเร็จการศกึ ษาจากมหาวิทยาลยั ฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ไดร้ ับปริญญา ดษุ ฎีบณั ฑิตทางประวตั ศิ าสตรศ์ ิลปะ ดร. พริ ยิ ะ ได้เคยเป็นอาจารย์สอนวิชาประวตั ิศาสตร์ศลิ ปะทคี่ ณะโบราณดคี มหาวทิ ยาลัยศิลปากร ต่อมาได้ย้ายมาเป็นอาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เม่ือ พ.ศ. ๒๕๒๐ และ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ หลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว จึงทำหน้าท่ีเป็นผู้อำนวยการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากน้ันยังได้รับเลือกเป็นนายกสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ในช่วง ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ – ๒๕๓๕ และได้รบั เกียรติใหเ้ ป็นเมธวี จิ ยั อาวุโสในสาขาประวตั ิศาสตร์ศลิ ปะ ของสำนกั งาน กองทุนสนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ดร. พิรยิ ะ เป็นท่รี ้จู กั กันดีในวงวิชาการทัง้ ในประเทศและนานาชาติ ในเรอ่ื งเกย่ี วกบั ประวตั ศิ าสตร์ ศิลปะของเอเชีย และยังเป็นผู้จัดตั้งแผนกศิลปะแห่งเอเชียที่ National Gallery of Australia ณ กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๑๙ อีกท้ังยังเขียนบทความเป็นประจำเกี่ยวกับ ศิลปะและโบราณคดีท้ังท่ีเป็นภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ พิมพ์ลงในวารสารนานาชาติหลายฉบับ เชน่ Artibus Asiae, Art of Asia และ Oriental Art เปน็ ตน้ งานเขียนภาษาอังกฤษชิ้นสำคญั คือหนังสือ The Sacred Image: Sculpture from Thailand จัด พิมพ์โดย Museum füür Ostasiatische Kunst, Kööln เม่ือ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซ่ึงได้รับการแปลเป็นภาษา ฝรั่งเศส เยอรมัน และญ่ีปุ่น ส่วนหนังสือเรื่อง Art of Peninsular Thailand Prior to the Fourteenth Century A.D. ซึ่งกรมศิลปากรจัดพิมพ์เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาท สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั พ.ศ. ๒๕๒๓ และไดร้ บั การแปลเปน็ ภาษาจีน นอกจากนั้นแล้ว ดร. พิริยะ ยังแต่งตำราเรยี นวชิ าประวตั ิศาสตรศ์ ลิ ปะ เชน่ ประวัติศาสตรศ์ ลิ ปะ ในประเทศไทย ฉบับคู่มือนักศึกษา (พ.ศ. ๒๕๒๘) ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๓๓) และ อารยธรรมไทย พน้ื ฐานทางประวัติศาสตรศ์ ิลปะ (พ.ศ. ๒๕๔๔) ฯลฯ งานวิจัยค้นคว้าในระยะหลังท่ีได้รับการกล่าวอ้างมากท่ีสุดได้แก่เรื่อง จารึกพ่อขุนรามคำแหง วรรณคดปี ระวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งแห่งกรุงสยาม (พ.ศ. ๒๕๓๒) และ ศลิ ปะสโุ ขทยั และอยุธยา ภาพลักษณ์ ที่ต้องเปลี่ยนแปลง (พ.ศ. ๒๕๔๕) ซ่ึงเป็นการทบทวนองค์ความรู้เดิมทางด้านประวัติศาสตร์และ ประวัติศาสตร์ศิลปะของไทย ผลงานวจิ ัยล่าสุดซ่งึ อยรู่ ะหวา่ งการดำเนนิ งานได้แก่ “ศลิ ปะแหง่ ชาติในรอบหกทศวรรษ: พุทธศลิ ป์ ในสมยั รชั กาลที่ ๙” (๒๐)

การใชห้ นงั สือ เนือ่ งจากหนังสอื ลกั ษณะไทย เลม่ ๑ พระพุทธปฏิมา อัตลกั ษณ์พทุ ธศิลป์ไทย มีเนือ้ หาทล่ี กึ ซง้ึ ถงึ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมไทย ผ่านการศึกษาพระพุทธปฏิมาและรูปเคารพจำนวนมาก มีข้อมูลและภาพประกอบท่ีหลากหลายและซับซ้อน แบ่งเป็นหมวดหมู่หลายประเภทด้วยกัน เพ่ือให้ สะดวกแกผ่ ู้ใชห้ นังสอื เลม่ นี้ ผูเ้ ขยี นจึงไดม้ วี างรปู แบบแนวทางการนำเสนอเน้อื หา ๒ วิธกี าร คอื ๑. นำเสนอเรื่องราวของเนอ้ื หาเรียงลำดับเปน็ รปู แบบเฉพาะของผู้เขียน โดยกำหนดให้ ใชส้ สี ำหรบั ขอ้ ความพิเศษ ซงึ่ แตล่ ะสจี ะมคี วามหมายถงึ เนือ้ หาดังต่อไปนี้ สแี ดง หมายถึง การระบหุ มายเลขรปู ท่ีไปพรอ้ มกบั เน้อื หาปรกติ เช่น (รูปท่ี ๓.๒๗) สีนำ้ เงนิ หมายถึง การอ้างอิงเอกสารระบบนามปี เช่น (ส. พลายน้อย และภาวาส ๒๕๒๒, ๑๔) สีส้ม หมายถงึ การอา้ งองิ รปู ทีอ่ ยทู่ ีอ่ ืน่ ๆ (ถอยหลงั -ไปข้างหน้า) เช่น (ดรู ูปท่ี ๓.๗๖) สีเทา หมายถึง การอ้างองิ เนอ้ื หาทีอ่ ยูท่ อี่ ่ืนๆ (ถอยหลัง-ไปข้างหนา้ ) เช่น (ดบู ทที่ ๕ หน้า ๑๗๓) สีแดง (รูปท่ี) สนี ้ำเงิน (อา้ งอิง) สสี ม้ (ดรู ปู ท่ี) สเี ทา (ดูบทท่)ี ๒. ลำดบั การเรยี งหัวข้อ ไลเ่ รียงตามน้ ี ภาคท่ี บทที่ หมวด ตอนที่ ปาง หรือกลุ่มพระพทุ ธรูป สมยั ช่วง ยคุ (๒๑)

สารบัญ วัตถุประสงค ์ (๗) คำนำหนงั สอื ชุด ลักษณะไทย (๙) (๒๒) คำชแ้ี จง (๑๒) คำนำ (๑๓) สำนกึ ในพระมหากรณุ าธิคุณ (๑๗) กติ กิ รรมประกาศ (๑๘) คำปรารภ (๑๙) ประวตั ิผู้เขียน (๒๐) การใชห้ นงั สือ (๒๑) บทนำ ๑ พระพทุ ธรปู และพระพทุ ธปฏมิ า ๑ พระพทุ ธปฏมิ าที่มคี วามศกั ดส์ิ ิทธิ ์ ๔ - ภาคกลาง - หลวงพ่อโบสถน์ ้อย วดั อมรนิ ทราราม ๔ ๕ - หลวงพ่อปู่ วัดโกรกกราก ๕ ๖ - ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ - พระตวิ้ - พระเทียม วัดโอกาส ๖ - ภาคเหนอื - พระเจา้ ทองทิพย์ วัดพระเจา้ ทองทพิ ย์ ๗ - หลวงพอ่ พุทธรงั สี วัดพระยืนพุทธบาทยุคล ๗ - ภาคใต ้ - พระผุด วดั พระทอง การศึกษาพระพทุ ธปฏมิ า ๑๕ ๒๓ ๑ ๒๓ ๒๓ ๒๘ ภาค พทุ ธศาสนากับพระมหากษัตรยิ ์ ๒๙ ๓๖ ๓๖ ๔๑ บทที่ ๑ กำเนดิ พระพุทธรูปและพระพุทธปฏมิ า ๔๕ บทท่ี ๒ พระพทุ ธลกั ษณะ พระอิริยาบถ และปาง ๔๕ ๑. พระพุทธลกั ษณะ - มหาบรุ ุษลักษณะ ๕๑ ๒. พระอิริยาบถ ๓. ปาง และท่มี าของปาง ๕๑ ๔. ปางซึ่งเปน็ ทนี่ ิยมในประเทศไทย ๕๑ ๔.๑ พระพุทธปฏิมาประจำวัน ๔.๒ พระพุทธปฏิมาปางอ่ืนๆ บทท่ี ๓ สถาบันพระมหากษัตริยก์ บั พระพุทธปฏมิ า หมวด ก. ความสมั พันธร์ ะหว่าง พระมหากษตั รยิ ก์ บั พระพทุ ธศาสนา หมวด ข. พระพทุ ธรูปท่ีพระมหากษตั ริยท์ รงสร้างข้นึ เพ่ืองานพระราชพิธี ตอนที่ ๑ พระราชพธิ ีถอื น้ำพระพพิ ฒั น์สตั ยา ๑.๑ พระพทุ ธมหามณรี ตั นปฏิมากร (พระแก้วมรกต)

๑.๒ พระพทุ ธรูปทรงเครอ่ื งฉลองพระองค ์ ๕๔ พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลก และพระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัย ๕๖ ๑.๓ พระพทุ ธรูปประจำรชั กาล ๖๗ ๑.๔ พระชยั วฒั นป์ ระจำรชั กาล ๗๒ ตอนที่ ๒ พระราชพิธเี ฉลมิ พระชนมพรรษา ๗๒ ๒.๑ พระพทุ ธรูปประจำพระชนมพรรษารัชกาลท่ี ๑ - ๗ ๗๖ ๒.๒ พระพทุ ธรปู ทท่ี รงสรา้ งขึน้ ในโอกาสสำคัญตา่ งๆ (๑) พระพุทธสยามาภิวัฒนบพติ ร ๗๖ ภมู พิ ลนริศทสสหสั สทิวัสวชั การี ๗๘ ปณั ณาสวรรษศรอี ุภยั มหามงคล ๗๘ (๒) พระพทุ ธสกลสนั ติกรบพิตร บรมจกั ริศรสถติ มงคล ๗๙ (๓) พระพุทธรูปปางนาคปรก ๗๙ (๔) พระพทุ ธรูปปางสมาธิ ๗๙ (๕) พระพุทธรปู ประจำพระชนมพรรษามหามงคล ๕ รอบ ๘๐ (๖) พระพุทธรปู ปางหา้ มสมุทรมหามงคล ๘๐ เฉลมิ พระชนมพรรษา ๖ รอบ ๘๘ ตอนที่ ๓ พระราชพธิ ฉี ตั รมงคล และ ๘๘ พระราชพธิ ีทรงบำเพ็ญพระราชกศุ ลทกั ษิณานุประทาน ๙๑ - พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ตอนที่ ๔ พระราชพิธีพืชมงคลและพระราชพธิ จี รดพระนงั คลั แรกนาขวญั ๔.๑ พระคนั ธารราษฎร ์ ๔.๒ พระเสกรวงขา้ ว หมวด ค. พระพทุ ธรูปท่ีพระมหากษัตริยท์ รงสรา้ งข้นึ เพ่ือเปน็ พระเกยี รตยิ ศและฉลองพระราชศรัทธาในพระพทุ ธศาสนา ๙๒ ตอนที่ ๕ พระพุทธปฏมิ าท่ีสร้างขึ้นแทนองค์พระมหากษตั รยิ ์ และพระราชวงศ์ ๙๒ - พระพทุ ธปฏมิ าทรงเครอ่ื งฉลองพระองค ์ ๙๒ ตอนที่ ๖ พระพทุ ธปฏิมาทท่ี รงสร้างเมอื่ คร้งั ทรงผนวช ๑๐๔ ๖.๑ พระพทุ ธนนิ นาท ๑๐๔ ๖.๒ พระพุทธนาคชนิ นะ ๑๐๔ ๖.๓ พระพุทธธรรมาธิปกบพติ ร ๑๐๔ ๖.๔ พระพุทธนาราวันตบพติ ร ๑๐๔ หมวด ง. พระพุทธรปู ที่พระมหากษัตริยท์ รงสรา้ งเพื่อกิจการพเิ ศษ ๑๐๖ ตอนท่ี ๗ พระพุทธรูปทพี่ ระมหากษตั รยิ ์ทรงสรา้ งเพอ่ื กิจการพิเศษ ๑๐๖ ๗.๑ พระสมั พทุ ธพรรณี ๑๐๖ ๗.๒ พระพทุ ธปริตร ๑๐๙ ๗.๓ พระสัมพทุ ธพรรณโณพาศ ปรมินทรมหาราชนมสั มยั ๑๐๙ หมวด จ. พระพทุ ธรปู ทีม่ ผี ู้ทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตรยิ ์ ๑๑๑ เพือ่ เสรมิ พระเกียรติยศและสิริมงคล ๑๑๑ ตอนที่ ๘ พระพทุ ธรูปทม่ี บี คุ คลทลู เกลา้ ฯ ถวาย ๑๑๑ ๘.๑ พระพทุ ธบุษยรัตนจักรพรรดิพมิ ลมณมี ัย ๑๑๒ ๘.๒ พระนากสวาดเิ รอื นแก้ว ๑๑๒ ๘.๓ พระแกว้ องค์นอ้ ยนาคปรก ๑๑๒ ๘.๔ พระแก้วเชยี งแสน ๑๑๓ ๘.๕ พระพทุ ธบุษยรัตนน้อย (๒๓)

๘.๖ พระพทุ ธเพชรญาณ ๑๑๔ ๘.๗ พระพุทธรูปหยก ๑๑๔ ๘.๘ พระพุทธรปู ยืนอ้มุ บาตร ๑๑๔ ๘.๙ พระไพรีพนิ าศ ๑๑๕ ๘.๑๐ พระนิรันตราย ๑๑๖ ๘.๑๑ พระพทุ ธรปู งาลงั กา ๑๑๗ ๘.๑๒ พระพทุ ธรูปของแกรนด์ ดยุก เฮส ๑๑๙ ๘.๑๓ พระอมติ าภพทุ ธะ ทองคำ ๑๑๙ ตอนที่ ๙ พระพุทธรูปทปี่ ระชาชนร่วมใจสรา้ งเพ่ือทลู เกล้าฯ ถวาย ๑๒๐ ๙.๑ พระพทุ ธนริ โรคนั ตรายชัยวฒั นจ์ ตุรทิศ ๑๒๐ ๙.๒ พระพทุ ธสรุ ิโยทยั สริ ิกติ ิฑฆี ายมุ งคล ๑๒๓ ๙.๓ พระพุทธศรีสงขลานครินทร์ ๑๒๓ ๙.๔ พระพุทธนิรโรคนั ตราย ๑๒๕ ๙.๕ พระพทุ ธรูปปางห้ามสมุทรมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๑๒๕ หมวด ฉ. พระพทุ ธรปู ท่ีพระมหากษัตรยิ ท์ รงสร้าง ๑๒๖ เพ่ือชาติและพุทธศาสนา ๑๒๖ ตอนท่ี ๑๐ พระพทุ ธรปู ทพี่ ระมหากษตั ริย์ทรงสร้างเพ่อื ชาติและพุทธศาสนา ๑๒๖ ๑๐.๑ พระนิรนั ตรายเรือนแก้ว ๑๒๖ ๑๐.๒ พระชยั วฒั นมงคลวราภรณ ์ ๑๒๘ ๑๐.๓ พระพทุ ธมณรี ัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตนอ้ ย) ๑๒๙ ๑๐.๔ พระนริ โรคนั ตราย ๑๓๑ ๑๐.๕ พระพทุ ธรปู ปางประทานพร ภ.ป.ร. ๑๓๓ ๑๐.๖ พระพุทธนวราชบพิตร (๒๔)

๒ภาค พระพทุ ธปฏมิ าในประเทศไทย ตามพระอริ ยิ าบถ บทที่ ๔ พุทธศาสนากับพระพทุ ธปฏิมาในประเทศไทย ๑๓๙ ตอนที่ ๑ พระพทุ ธปฏมิ าในประเทศไทยก่อนพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 13) ๑๔๑ ๑.๑ ลทั ธศิ ราวกยาน ๑๔๑ - นกิ ายมูลสรรวาสตวิ าส ๑๔๑ - นกิ ายมหาสังฆกิ ะ ๑๔๒ - นกิ ายสมั มิตียะ ๑๔๔ - นิกายเถรวาท ๑๔๔ ๑.๒ ลทั ธมิ หายาน ๑๔๗ - นิกายสขุ าวดี ๑๔๗ ๑.๓ ลัทธวิ ชั รยาน หรือตันตระยาน ๑๔๘ ตอนที่ ๒ ประวัติการเผยแผ่พุทธศาสนาในราชอาณาจกั รไทย ตัง้ แต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 13) ๑๕๑ ๒.๑ ภาคกลาง ๑๕๒ (๑) สมยั อาณาจักรมอญโบราณ (“ทวารวดี”) พ.ศ. ๙๕๐ – ๑๕๐๐ (ค.ศ. 407 - 957) ๑๕๒ (๒) สมัยอาณาจักรกัมโพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351) ๑๕๓ (๓) สมยั สุโขทัย ๑๕๖ - ช่วงก่อตัง้ อาณาจักรสุโขทยั พ.ศ. ๑๘๐๐ – ๑๘๔๒ (ค.ศ. 1257 – 1299) ๑๕๖ - ชว่ งอาณาจกั รสโุ ขทยั พ.ศ. ๑๘๔๒ – ๑๙๒๑ (ค.ศ. 1299 – 1378) ๑๕๖ - ช่วงเมืองประเทศราชของอยุธยา พ.ศ. ๑๙๒๑ – ๒๐๐๖ (ค.ศ. 1378 – 1463) ๑๕๘ (๔) สมยั อยธุ ยา ๑๕๙ - ช่วงเมอื งพระยามหานคร พ.ศ. ๑๘๙๔ – ๑๙๙๑ (ค.ศ. 1351 – 1448) ๑๕๙ - ช่วงเมืองลูกหลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) ๑๖๐ - ชว่ งวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) ๑๖๑ ๒.๒ ภาคเหนอื ๑๖๔ (๑) สมัยอาณาจักรมอญหรภิ ญุ ไชย พ.ศ. ๑๗๐๐ – ๑๘๓๕ (ค.ศ. 1157 – 1292) ๑๖๔ (๒) สมยั ล้านนา ๑๖๔ - ชว่ งกอ่ ตงั้ อาณาจักรลา้ นนา พ.ศ. ๑๘๓๙ – ๑๘๙๘ (ค.ศ. 1296 – 1355) ๑๖๔ (๒๕)

- ชว่ งอาณาจกั รล้านนา ๑๖๕ พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๑๐๑ (ค.ศ. 1355 – 1558) ๑๖๕ (ก) ยคุ ร่งุ เรอื งของลา้ นนา ๑๖๗ พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525) ๑๖๗ (ข) ยุคเสือ่ ม ๑๖๗ พ.ศ. ๒๐๖๘ - ๒๑๐๑ (ค.ศ. 1525 - 1558) ๑๖๘ - ชว่ งพม่าปกครอง ๑๖๘ พ.ศ. ๒๑๐๑ – ๒๓๑๗ (ค.ศ. 1558 – 1774) - ชว่ งประเทศราชของสยาม พ.ศ. ๒๓๑๗ – ๒๔๔๒ (ค.ศ. 1774 – 1899) ๑๖๘ ๒.๓ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ๑๖๘ - สมยั ล้านช้าง ๑๖๙ - ชว่ งก่อตัง้ อาณาจักร ๑๖๙ พ.ศ. ๑๘๓๔ – ๑๙๓๖ (ค.ศ. 1291 – 1393) - ชว่ งอาณาจักรลา้ นชา้ ง พ.ศ. ๑๙๓๖ – ๒๒๔๖ (ค.ศ. 1393 – 1703) - ช่วง ๓ นครรฐั พ.ศ. ๒๒๔๖ – ๒๓๓๒ (ค.ศ. 1703 – 1789) - ช่วงประเทศราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๓๓๒ – ๒๔๓๖ (ค.ศ. 1789 – 1893) บทที่ ๕ พระพทุ ธปฏมิ าประทับขัดสมาธิราบ ๑๗๓ ๑๗๓ หมวด ก. ปางสมาธ ิ ๑๗๓ ๑. พระพุทธมหามณรี ตั นปฏิมากร (พระแกว้ มรกต) ๑๗๕ ๑.๑ พระพทุ ธมหามณรี ัตนปฏมิ ากรจำลอง สมยั ล้านนา ๑๗๕ - ช่วงอาณาจักรล้านนา ๑๗๕ - ยุครุ่งเรอื ง ๑๗๗ ๑.๒ พระพทุ ธมหามณรี ตั นปฏมิ ากรจำลอง สมัยอยธุ ยา ๑๗๗ - ชว่ งเมอื งลกู หลวง ๑๗๗ ๑.๓ พระพุทธมหามณีรัตนปฏมิ ากรจำลอง สมยั รัตนโกสินทร์ ๑๘๑ ๒. พระพุทธปฏิมาประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางสมาธ ิ ๒.๑ พระพทุ ธปฏิมาประทับขัดสมาธริ าบ ปางสมาธิ ๑๘๑ สมยั อาณาจักรกัมโพช ๑๘๒ ๒.๒ พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางสมาธิ สมัยอยธุ ยา ๑๘๒ (๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร ๑๘๓ (๒) ชว่ งเมอื งลูกหลวง ๑๘๔ (๓) ชว่ งวงราชธาน ี ๑๘๙ ๒.๓ พระพุทธปฏิมาประทบั ขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ สมยั รัตนโกสนิ ทร์ ๑๙๘ ๒.๔ พระพุทธปฏมิ าประทับขดั สมาธริ าบ ปางสมาธิ สมัยลา้ นนา ๑๙๘ (๑) ชว่ งก่อต้งั อาณาจักรลา้ นนา ๑๙๘ (๒) ชว่ งอาณาจกั รล้านนา ๑๙๘ - ยุครงุ่ เรอื ง ๑๙๙ ๒.๕ พระพุทธปฏิมาประทบั ขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ สมัยล้านช้าง ๑๙๙ (๑) ช่วงอาณาจักรลา้ นชา้ ง ๑๙๙ (๒) ช่วงประเทศราชอาณาจักรสยาม (๒๖)

หมวด ข. ปางสมาธิ นาคปรก ๒๐๐ ๓. พระพทุ ธปฏิมาประทับขัดสมาธริ าบ ปางสมาธิ นาคปรก ๒๐๐ ๓.๑ พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางสมาธิ นาคปรก สมัยอยธุ ยา ๒๐๐ - ช่วงวงราชธานี ๒๐๐ ๓.๒ พระพุทธปฏิมาประทบั ขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ นาคปรก สมัยรตั นโกสนิ ทร ์ ๒๐๑ ๒๐๒ หมวด ค. ปางสมาธิ ทรงเคร่อื ง ๔. พระพทุ ธปฏิมาประทับขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ ทรงเครอื่ ง ๒๐๔ ๔.๑ พระพุทธปฏมิ าประทับขดั สมาธริ าบ ปางสมาธิ ทรงเครอ่ื ง สมัยอยธุ ยา ๒๐๔ (๑) ชว่ งเมอื งลกู หลวง ๒๐๔ (๒) ช่วงวงราชธานี ๒๐๕ ๔.๒ พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางสมาธิ ทรงเครอื่ ง สมยั รตั นโกสนิ ทร ์ ๒๐๖ ๒๐๘ หมวด ง. ปางมารวชิ ัย ๕. พระพุทธกัมโพชปฏมิ า ๒๐๘ ๕.๑ พระพุทธกมั โพชปฏิมาจำลอง สมัยอาณาจกั รกมั โพช ๒๐๙ - หลวงพ่อพนญั เชงิ ๒๐๙ ๕.๒ พระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลอง สมัยอยุธยา ๒๑๒ (๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร ๒๑๒ (๒) ช่วงเมืองลูกหลวง ๒๑๔ (๓) ช่วงวงราชธาน ี ๒๑๔ ๕.๓ พระพุทธกัมโพชปฏมิ า สมัยรัตนโกสนิ ทร ์ ๒๑๕ ๕.๔ พระพุทธกัมโพชปฏิมา สมยั ล้านนา ๒๑๗ - ชว่ งอาณาจกั รล้านนา ๒๑๗ - ยคุ รงุ่ เรือง ๒๑๗ ๖. พระพุทธชนิ ราช ๒๑๙ ๖.๑ พระพทุ ธชนิ ราช สมัยอยธุ ยา ๒๒๓ - ช่วงวงราชธานี ๒๒๓ ๖.๒ พระพุทธชนิ ราชจำลอง สมัยรตั นโกสินทร์ ๒๒๔ ๗. พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธิราบ ปางมารวิชยั ๒๓๓ ๗.๑ พระพทุ ธปฏมิ าประทับขดั สมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยสุโขทยั ๒๓๓ (๑) ช่วงอาณาจกั รสโุ ขทัย ๒๓๓ (๒) ช่วงเมืองประเทศราชของอยธุ ยา ๒๓๔ ๗.๒ พระพทุ ธปฏิมาประทับขดั สมาธิราบ ปางมารวชิ ยั สมยั ลา้ นนา ๒๓๖ (๑) ชว่ งกอ่ ตัง้ อาณาจักรลา้ นนา ๒๓๖ (๒) ชว่ งอาณาจกั รล้านนา ๒๓๖ - ยุครุ่งเรือง ๒๓๖ - ยุคเสือ่ ม ๒๔๒ (๓) ช่วงพม่าปกครอง ๒๔๔ (๔) ช่วงประเทศราชของสยาม ๒๔๕ ๗.๓ พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขดั สมาธิราบ ปางมารวิชยั สมยั ลา้ นช้าง ๒๔๖ (๑) ชว่ งอาณาจกั รลา้ นชา้ ง ๒๔๖ (๒) ช่วง ๓ นครรฐั ๒๕๒ (๒๗)

(๓) ชว่ งประเทศราชอาณาจกั รสยาม ๒๕๓ ๗.๔ พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขดั สมาธิราบ ปางมารวชิ ยั สมัยอาณาจกั รกัมโพช ๒๕๔ ๗.๕ พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขัดสมาธริ าบ ปางมารวิชัย สมัยอยุธยา ๒๕๕ (๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร ๒๕๕ (๒) ชว่ งเมอื งลูกหลวง ๒๕๖ - พระมงคลบพิตร ๒๕๘ - แบบสโุ ขทัย ๒๖๐ - แบบกำแพงเพชร ๒๖๑ (๓) ช่วงวงราชธานี ๒๖๒ - แบบสุโขทยั ๒๖๔ - แบบกำแพงเพชร ๒๖๖ - แบบสวรรคโลก ๒๖๖ - แบบพิษณุโลก ๒๖๘ ๗.๖ พระพุทธปฏมิ าประทับขัดสมาธริ าบ ปางมารวชิ ัย สมัยรัตนโกสินทร ์ ๒๗๐ - พระศรศี ากยมนุ ี ๒๗๑ ๒๘๖ หมวด จ. ปางมารวิชยั ถือตาลปตั ร ๒๘๖ ๘. พระพุทธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธิราบ ปางมารวชิ ยั ถอื ตาลปัตร ๘.๑ พระพุทธปฏิมาประทบั ขัดสมาธริ าบ ปางมารวชิ ัย ถือตาลปัตร สมัยอาณาจักรกัมโพช ๒๘๖ ๘.๒ พระพทุ ธปฏมิ าประทับขัดสมาธริ าบ ปางมารวิชยั ถอื ตาลปตั ร สมยั อยธุ ยา ๒๘๗ (๑) ชว่ งเมอื งพระยามหานคร ๒๘๗ (๒) ช่วงวงราชธาน ี ๒๘๘ ๘.๓ พระพทุ ธปฏมิ าประทับขัดสมาธริ าบ ปางมารวิชัย ถือตาลปตั ร สมยั รัตนโกสนิ ทร์ ๒๘๙ ๒๙๒ หมวด ฉ. ปางมารวิชัย นาคปรก ๙. พระพทุ ธปฏิมาประทับขดั สมาธริ าบ ปางมารวิชยั นาคปรก ๒๙๒ ๙.๑ พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธิราบ ปางมารวิชยั นาคปรก สมัยอาณาจกั รกัมโพช ๒๙๒ ๙.๒ พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย นาคปรก สมยั รตั นโกสนิ ทร ์ ๒๙๓ ๒๙๔ หมวด ช. ปางมารวชิ ยั ทรงเครอื่ ง ๑๐. พระพทุ ธปฏมิ าประทับขัดสมาธริ าบ ปางมารวิชยั ทรงเคร่ือง ๒๙๔ ๑๐.๑ พระพทุ ธปฏิมาประทับขดั สมาธิราบ ปางมารวิชยั ทรงเคร่ือง สมยั อาณาจักรกัมโพช ๒๙๔ ๑๐.๒ พระพุทธปฏิมาประทบั ขัดสมาธริ าบ ปางมารวชิ ัย ทรงเครื่อง สมัยลา้ นนา ๒๙๖ (๑) ช่วงกอ่ ตง้ั อาณาจกั ร ๒๙๖ (๒) ชว่ งอาณาจกั รล้านนา ๒๙๗ - ยุครุง่ เรอื ง ๒๙๗ ๑๐.๓ พระพทุ ธปฏมิ าประทับขัดสมาธริ าบ ปางมารวชิ ัย ทรงเครอ่ื ง สมัยอยธุ ยา ๒๙๙ (๒๘)

(๑) ชว่ งเมืองลูกหลวง ๒๙๙ (๒) ช่วงวงราชธานี ๓๐๐ ๑๐.๔ พระพุทธปฏิมาประทับขดั สมาธริ าบ ปางมารวชิ ัย ทรงเครอ่ื ง สมยั รัตนโกสนิ ทร์ ๓๐๔ ๓๐๖ ๓๐๖ หมวด ซ. ปางพระศรีอารยิ เมตไตรย ๑๑. พระพุทธปฏิมาประทับขดั สมาธริ าบ ปางพระศรอี าริยเมตไตรย - พระพทุ ธปฏมิ าประทับขัดสมาธริ าบ ปางพระศรอี ารยิ เมตไตรย สมัยรตั นโกสินทร์ ๓๐๖ ๓๐๘ หมวด ฌ. ปางขอฝน ๓๐๘ ๑๒. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางขอฝน - พระพุทธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธริ าบ ปางขอฝน สมัยรตั นโกสนิ ทร์ ๓๐๘ ๓๐๙ หมวด ญ. ปางประทานพร ๓๐๙ ๑๓. พระพุทธปฏิมาประทบั ขัดสมาธริ าบ ปางประทานพร - พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางประทานพร สมัยรตั นโกสนิ ทร์ ๓๐๙ บทท่ี ๖ พระพทุ ธปฏิมาประทับขัดสมาธเิ พชร ๓๑๕ หมวด ก. ปางมารวชิ ัย ๓๑๕ ๑. พระพทุ ธสิหงิ ค ์ ๓๑๕ ๑.๑ พระพทุ ธสหิ ิงคจ์ ำลอง สมัยลา้ นนา ๓๑๘ (๑) ชว่ งอาณาจกั รล้านนา ๓๑๘ - ยคุ รุ่งเรือง ๓๑๘ - พระพุทธนรสหี ์ ๓๒๓ (๒) ชว่ งพมา่ ปกครอง ๓๒๔ ๑.๒ พระพทุ ธสหิ ิงค์จำลอง สมัยลา้ นช้าง ๓๒๕ - ชว่ งอาณาจกั รลา้ นช้าง ๓๒๕ ๑.๓ พระพุทธสิหงิ ค์จำลอง สมยั สโุ ขทัย ๓๒๖ - ชว่ งเมอื งประเทศราชของอยธุ ยา ๓๒๖ ๑.๔ พระพุทธสิหงิ คจ์ ำลอง สมยั อยุธยา ๓๒๘ (๑) ชว่ งเมืองลกู หลวง ๓๒๘ - แบบนครศรีธรรมราช ๓๒๙ - แบบสุโขทยั ๓๓๐ (๒) ช่วงวงราชธานี ๓๓๑ - แบบนครศรีธรรมราช ๓๓๓ ๑.๕ พระพุทธสหิ งิ คจ์ ำลอง สมยั รตั นโกสนิ ทร ์ ๓๓๔ ๒. พระพุทธปฏิมาประทับขดั สมาธเิ พชร ปางมารวชิ ัย ๓๔๐ สมาธิเพชร ปางมารวชิ ยั สมยั รัตนโกสนิ ทร์ ๓๔๐ ๓๔๒ หมวด ข. ปางมารวิชัย ถอื ตาลปตั ร ๓. พระชยั วัฒน์ (พระพุทธปฏิมาประทบั ขดั สมาธิเพชรปางมารวชิ ัย ถอื ตาลปตั ร) ๓๔๒ - พระชัยวัฒน์ สมัยรตั นโกสินทร ์ ๓๔๒ (๒๙)

หมวด ค. ปางมารวชิ ัย ทรงเครือ่ ง ๓๔๓ ๔. พระพุทธปฏิมาประทบั ขดั สมาธเิ พชร ปางมารวิชยั ทรงเคร่อื ง ๓๔๓ ๔.๑ พระพทุ ธปฏิมาประทับขดั สมาธิเพชร ปางมารวชิ ัย ทรงเครื่อง สมยั อาณาจักรกัมโพช ๓๔๓ ๔.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธเิ พชร ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง สมัยลา้ นนา ๓๔๔ - ชว่ งอาณาจกั รล้านนา ๓๔๔ - ยคุ รุง่ เรอื ง ๓๔๔ ๓๔๙ หมวด ง. ปางสมาธ ิ ๕. พระพทุ ธปฏิมาประทับขดั สมาธิเพชร ปางสมาธ ิ ๓๔๙ ๕.๑ พระพทุ ธปฏิมาประทับขัดสมาธเิ พชร ปางสมาธิ สมัยอยธุ ยา ๓๔๙ - ชว่ งเมอื งลกู หลวง ๓๔๙ ๕.๒ พระพุทธปฏมิ าประทับขดั สมาธิเพชร ปางสมาธิ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ๓๕๐ ๓๕๕ หมวด จ. ปางสมาธิ นาคปรก ๖. พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธเิ พชร ปางสมาธิ นาคปรก ๓๕๕ - พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขัดสมาธเิ พชร ปางสมาธิ นาคปรก สมยั รัตนโกสินทร์ ๓๕๕ หมวด ฉ. ปางประทานอภยั ๓๕๖ ๗. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางประทานอภัย ๓๕๖ - พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธเิ พชร ปางประทานอภยั สมัยรัตนโกสนิ ทร์ ๓๕๖ หมวด ช. ปางปฐมเทศนา ๓๕๗ ๘. พระพุทธปฏิมาประทับขดั สมาธิเพชร ปางปฐมเทศนา ๓๕๗ - พระพุทธปฏมิ าประทับขัดสมาธิเพชร ปางปฐมเทศนา สมยั รัตนโกสนิ ทร์ ๓๕๗ ๓๖๒ หมวด ซ. ปางขอฝน ๙. พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขัดสมาธเิ พชร ปางขอฝน ๓๖๒ - พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธิเพชร ปางขอฝน สมัยรตั นโกสนิ ทร ์ ๒๖๒ บทท่ี ๗ พระพทุ ธปฏมิ าประทับห้อยพระบาท ๓๖๕ หมวด ก. ปางพจิ ารณาชราธรรม ๓๖๕ ๑. พระพทุ ธปฏมิ าประทบั หอ้ ยพระบาท ปางพิจารณาชราธรรม ๓๖๕ ๑.๑ พระพุทธปฏมิ าประทบั ห้อยพระบาท ปางพิจารณาชราธรรม สมัยอาณาจักรมอญโบราณ (“ทวารวด”ี ) ๑.๒ พระพทุ ธปฏิมาประทบั หอ้ ยพระบาท ปางพจิ ารณาชราธรรม ๓๖๕ สมยั รตั นโกสินทร์ ๓๖๖ ๓๖๗ หมวด ข. ทรงเคร่อื ง ๓๖๗ ๒. พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท ทรงเครอื่ ง ๓๖๗ - พระพทุ ธปฏมิ าประทับหอ้ ยพระบาท ทรงเคร่อื ง สมยั ลา้ นช้าง ๓๖๗ - ชว่ ง ๓ นครรัฐ (๓๐)

หมวด ค. ปางป่าเลไลยก์ ๓๖๘ ๓. พระพุทธปฏมิ าประทบั ห้อยพระบาท ปางป่าเลไลยก ์ ๓๖๘ ๓.๑ พระพุทธปฏมิ าประทบั หอ้ ยพระบาท ปางป่าเลไลยก์ สมัยอยุธยา ๓๖๘ (๑) ชว่ งเมอื งลกู หลวง ๓๖๘ (๒) ชว่ งวงราชธาน ี ๓๗๐ ๓.๒ พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ห้อยพระบาท ปางปา่ เลไลยก์ ๓๗๑ สมัยรัตนโกสนิ ทร์ ๓๗๓ หมวด ง. ปางขอฝน ๓๗๓ ๓๗๓ ๔. พระพทุ ธปฏิมาประทับห้อยพระบาท ปางขอฝน พระพุทธปฏมิ าประทับห้อยพระบาท ปางขอฝน สมัยรัตนโกสินทร ์ บทที่ ๘ พระพทุ ธปฏิมายืน ๓๗๕ หมวด ก. พระพุทธปฏมิ ายืน พระหัตถ์ทัง้ สองข้างทอดลงข้างพระอรู ุ ๓๗๕ ๑. พระพุทธปฏมิ ายืน ๓๗๕ ๑.๑ พระพทุ ธปฏมิ ายนื สมยั ลา้ นนา ๓๗๕ (๑) ช่วงอาณาจักรล้านนา ๓๗๕ - ยคุ รงุ่ เรอื ง ๓๗๕ - ยคุ เส่ือม ๓๗๗ (๒) ชว่ งพมา่ ปกครอง ๓๗๗ ๑.๒ พระพทุ ธปฏมิ ายนื สมยั ล้านชา้ ง ๓๗๘ (๑) ชว่ ง ๓ นครรัฐ ๓๗๘ (๒) ช่วงประเทศราชอาณาจกั รสยาม ๓๗๘ ๑.๓ พระพทุ ธปฏมิ ายืน สมยั อยธุ ยา ๓๗๙ - ช่วงวงราชธาน ี ๓๗๙ ๓๘๐ หมวด ข. ทรงเครือ่ ง ๓๘๐ ๒. พระพุทธปฏมิ ายืน ทรงเครื่อง ๒.๑ พระพทุ ธปฏมิ ายืน ทรงเครือ่ ง สมยั ล้านนา ๓๘๐ - ช่วงประเทศราชของสยาม ๓๘๐ ๒.๒ พระพุทธปฏิมายนื ทรงเครือ่ ง สมยั อยธุ ยา ๓๘๑ - ช่วงวงราชธานี ๓๘๑ ๓๘๒ หมวด ค. ปางประดษิ ฐานรอยพระบาท ๓. พระพทุ ธปฏิมายืน ปางประดิษฐานรอยพระบาท ๓๘๒ - พระพทุ ธปฏิมายนื ปางประดษิ ฐานรอยพระบาท สมัยลา้ นนา ๓๘๒ - ช่วงอาณาจกั รลา้ นนา ๓๘๒ - ยุครุง่ เรือง ๓๘๒ ๓๘๓ หมวด ง. ปางประทานพร ๔. พระพทุ ธปฏมิ ายนื ปางประทานพร ๓๘๓ ๔.๑ พระพุทธปฏมิ ายนื ปางประทานพร สมยั อาณาจกั รกมั โพช ๓๘๓ ๔.๒ พระพุทธปฏมิ ายนื ปางประทานพร สมยั อยุธยา ๓๘๔ - ช่วงเมืองลกู หลวง ๓๘๔ (๓๑)

หมวด จ. ปางห้ามญาติ ๓๘๕ ๕. พระพุทธปฏมิ ายืน ปางหา้ มญาติ ๓๘๕ ๕.๑ พระพทุ ธปฏิมายืน ปางหา้ มญาติ สมยั อาณาจกั รกมั โพช ๓๘๕ ๕.๒ พระพทุ ธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ สมัยสุโขทยั ๓๘๗ - ชว่ งก่อต้ังอาณาจกั รสโุ ขทัย ๓๘๗ ๕.๓ พระพุทธปฏิมายนื ปางห้ามญาติ สมยั อยธุ ยา ๓๘๘ (๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร ๓๘๘ (๒) ชว่ งเมืองลกู หลวง ๓๙๐ - แบบสโุ ขทัย ๓๙๐ (๓) ชว่ งวงราชธาน ี ๓๙๒ - พระศรสี รรเพชญ์ ๓๙๒ ๕.๔ พระพุทธปฏมิ ายนื ปางห้ามญาติ สมัยรตั นโกสินทร์ ๓๙๗ - พระร่วงโรจนฤทธ ์ิ ๓๙๘ ๕.๕ พระพุทธปฏิมายืน ปางหา้ มญาติ สมยั ลา้ นนา ๔๐๐ - ช่วงประเทศราชของสยาม ๔๐๐ ๔๐๑ หมวด ฉ. ปางหา้ มญาติ ทรงเครือ่ ง ๖. พระพทุ ธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ ทรงเครื่อง ๔๐๑ - พระพทุ ธปฏิมายืน ปางหา้ มญาติ ทรงเครอ่ื ง สมัยอยธุ ยา ๔๐๑ (๑) ชว่ งเมืองลกู หลวง ๔๐๑ (๒) ช่วงวงราชธาน ี ๔๐๖ หมวด ช. ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย พระหัตถข์ วาประทานพร ๔๐๘ ๗. พระพุทธปฏมิ ายืน ยกพระหตั ถซ์ า้ ยประทานอภยั พระหตั ถข์ วาประทานพร ๔๐๘ - พระพทุ ธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ซา้ ยประทานอภยั พระหตั ถข์ วาประทานพร สมยั อาณาจกั รกมั โพช ๔๐๘ หมวด ซ. ยกพระหตั ถซ์ า้ ยประทานอภัย พระหตั ถข์ วาประทานพร ทรงเคร่ือง ๔๐๙ ๘. พระพทุ ธปฏิมายนื พระหัตถซ์ ้ายประทานอภัย พระหตั ถข์ วาประทานพร ทรงเครือ่ ง ๔๐๙ - พระพุทธปฏมิ ายนื พระหตั ถซ์ ้ายประทานอภยั พระหัตถ์ขวาประทานพร ทรงเครอื่ ง สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ๔๐๙ ๔๑๐ ๔๑๐ หมวด ฌ. ปางห้ามพระแกน่ จันทน์ ๙. พระพทุ ธปฏิมายืน ปางหา้ มพระแกน่ จันทน ์ ๙.๑ พระพทุ ธปฏิมายนื ปางห้ามพระแก่นจันทน์ สมยั อาณาจกั รกมั โพช ๔๑๐ ๙.๒ พระพุทธปฏิมายืน ปางหา้ มพระแก่นจนั ทน์ สมัยอยุธยา ๔๑๑ - ช่วงวงราชธาน ี ๔๑๑ ๙.๓ พระพทุ ธปฏมิ ายนื ปางหา้ มพระแกน่ จันทน์ สมัยรัตนโกสินทร์ ๔๑๔ ๔๑๕ หมวด ญ. ปางหา้ มพระแก่นจันทน์ ทรงเครอ่ื ง ๔๑๕ ๑๐. พระพทุ ธปฏมิ ายืน ปางห้ามพระแกน่ จนั ทน์ ทรงเครอ่ื ง - พระพุทธปฏิมายนื ปางหา้ มพระแกน่ จันทน์ ทรงเครอ่ื ง สมยั อยธุ ยา ๔๑๕ - ช่วงเมอื งพระยามหานคร ๔๑๕ (๓๒)

หมวด ฎ. ปางหา้ มสมทุ ร ๔๑๖ ๑๑. พระพทุ ธปฏิมายืน ปางหา้ มสมุทร ๔๑๖ ๑๑.๑ พระพทุ ธปฏมิ ายนื ปางหา้ มสมทุ ร สมัยอาณาจกั รกมั โพช ๔๑๖ ๑๑.๒ พระพุทธปฏมิ ายนื ปางห้ามสมุทร สมัยสโุ ขทยั ๔๑๘ - ช่วงเมืองประเทศราชของอยธุ ยา ๔๑๘ ๑๑.๓ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมทุ ร สมยั ลา้ นนา ๔๑๘ - ช่วงอาณาจกั รล้านนา ๔๑๘ - ยุครงุ่ เรือง ๔๑๘ ๑๑.๔ พระพุทธปฏิมายืน ปางหา้ มสมทุ ร สมยั อยุธยา ๔๑๙ (๑) ชว่ งเมอื งพระยามหานคร ๔๑๙ (๒) ช่วงวงราชธาน ี ๔๑๙ ๑๑.๕ พระพุทธปฏมิ ายืน ปางห้ามสมทุ ร สมัยรัตนโกสินทร์ ๔๒๐ ๑๒. พระบางเจา้ ๔๒๔ ๑๒.๑ พระบางเจา้ จำลอง สมยั ลา้ นชา้ ง ๔๒๖ - ช่วง ๓ นครรฐั ๔๒๖ ๑๒.๒ พระบางเจา้ จำลอง สมยั รตั นโกสนิ ทร ์ ๔๒๗ ๔๒๘ หมวด ฏ. ปางห้ามสมทุ ร ทรงเครอ่ื ง ๔๒๘ ๑๓. พระพุทธปฏิมายนื ปางห้ามสมุทร ทรงเครื่อง ๑๓.๑ พระพทุ ธปฏิมายืน ปางหา้ มสมุทร ทรงเคร่อื ง สมัยอาณาจกั รกมั โพช ๔๒๘ ๑๓.๒ พระพทุ ธปฏิมายนื ปางสมทุ รห้าม ทรงเครื่อง สมัยอยธุ ยา ๔๓๐ (๑) ชว่ งเมอื งลกู หลวง ๔๓๐ (๒) ชว่ งวงราชธานี ๔๓๒ - แบบกำแพงเพชร ๔๓๓ - แบบนครศรีธรรมราช ๔๓๓ ๑๓.๓ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมทุ ร ทรงเครือ่ ง สมัยรัตนโกสนิ ทร ์ ๔๓๔ ๔๓๗ หมวด ฐ. ปางอุ้มบาตร ๔๓๗ ๑๔. พระพุทธปฏิมายนื ปางอุม้ บาตร ๔๓๗ ๑๔.๑ พระพทุ ธปฏิมายืน ปางอมุ้ บาตร สมัยลา้ นนา ๔๓๗ (๑) ช่วงอาณาจกั รลา้ นนา ๔๓๗ - ยุคร่งุ เรอื ง ๔๓๗ (๒) ช่วงประเทศราชของสยาม ๔๓๘ ๑๔.๒ พระพทุ ธปฏิมายนื ปางอุ้มบาตร สมยั อยธุ ยา ๔๓๘ - ชว่ งวงราชธานี ๔๔๐ ๑๔.๓ พระพุทธปฏมิ ายืน ปางอ้มุ บาตร สมัยรัตนโกสนิ ทร์ ๔๔๑ - หลวงพอ่ โต วดั อนิ ทรวหิ าร บางขุนพรหม ๔๔๓ หมวด ฑ. ปางรำพงึ ๔๔๓ ๔๔๓ ๑๕. พระพทุ ธปฏมิ ายนื ปางรำพึง - พระพทุ ธปฏิมายนื ปางรำพึง สมัยรตั นโกสินทร์ ๔๔๖ ๔๔๖ หมวด ฒ. ปางถวายเนตร ๑๖. พระพทุ ธปฏิมายืน ปางถวายเนตร (๓๓)

๑๖.๑ พระพุทธปฏมิ ายนื ปางถวายเนตร สมัยอยุธยา ๔๔๖ - ช่วงวงราชธาน ี ๔๔๖ ๑๖.๒ พระพุทธปฏมิ ายนื ปางถวายเนตร สมยั ล้านนา ๔๔๙ - ชว่ งประเทศราชของสยาม ๔๔๙ ๑๖.๓ พระพุทธปฏมิ ายืน ปางถวายเนตร สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ๔๕๑ ๔๕๔ หมวด ด. ปางเปดิ โลก ๔๕๔ ๑๗. พระพุทธปฏิมายนื ปางเปิดโลก ๔๕๕ หมวด ต. ปางขอฝน ๔๕๕ ๑๘. พระพุทธปฏิมายืน ปางขอฝน บทท่ี ๙ พระพทุ ธปฏมิ าลลี า ๔๕๙ ๑. พระพทุ ธปฏมิ าลีลา สมยั สโุ ขทยั ๔๖๐ - ช่วงเมอื งประเทศราชของอยธุ ยา ๔๖๐ ๒. พระพุทธปฏิมาลีลา สมัยลา้ นนา ๔๖๔ (๑) ชว่ งอาณาจักรล้านนา ๔๖๔ - ยุครุง่ เรอื ง ๔๖๔ (๒) สมัยประเทศราชของสยาม ๔๖๖ ๓. พระพุทธปฏมิ าลลี า สมยั ล้านชา้ ง ๔๖๗ - ช่วงอาณาจักรลา้ นช้าง ๔๖๗ ๔. พระพทุ ธปฏมิ าลีลา สมยั อยธุ ยา ๔๖๘ (๑) ช่วงเมอื งพระยามหานคร ๔๖๘ (๒) ช่วงเมืองลกู หลวง ๔๗๐ - แบบสุโขทัย ๔๗๐ - แบบกำแพงเพชร ๔๗๒ (๓) สมยั วงราชธานี ๔๗๔ - แบบสวรรคโลก ๔๗๕ - แบบสุโขทัย ๔๗๗ ๕. พระพุทธปฏมิ าลีลา สมยั รตั นโกสนิ ทร ์ ๔๗๘ บทท่ี ๑๐ พระพทุ ธปฏิมาไสยาสน์ ๔๘๕ ๑. พระพุทธปฏิมาไสยาสน์ สมัยอยธุ ยา ๔๘๖ (๑) ชว่ งเมอื งลกู หลวง ๔๘๖ - แบบสโุ ขทัย ๔๘๖ (๒) ชว่ งวงราชธานี ๔๘๘ ๒. พระพทุ ธปฏิมาไสยาสน์ สมยั รตั นโกสินทร ์ ๔๙๒ บทท่ี ๑๑ พระพุทธปฏมิ าปางอน่ื ๆ ๔๙๙ ๑. พระสอ่ี ิรยิ าบถ สมัยอยธุ ยา ๔๙๙ - ช่วงวงราชธานี ๔๙๙ ๒. พุทธประวตั ิ ๕๐๒ ๒.๑ พุทธประวัติ สมัยอยธุ ยา ๕๐๒ - ชว่ งวงราชธาน ี ๕๐๒ - แบบสุโขทัย ๕๐๒ ๒.๒ พุทธประวตั ิ สมัยรตั นโกสนิ ทร์ ๕๐๔ (๓๔)

๓. พระพทุ ธปฏิมาประจำวนั ชาตา สมัยอยุธยา ๕๑๐ - ช่วงวงราชธาน ี ๕๑๐ ๔. พระพทุ ธปฏมิ าประจำเดือน สมัยรัตนโกสนิ ทร์ ๕๑๒ บทสรุป ๕๑๕ ๑. พระพุทธปฏมิ ากอ่ นพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ (กลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 13) ๕๑๙ ๑.๑ ลทั ธิศราวกยาน ๕๑๙ ๑.๒ ลทั ธิมหายาน ๕๑๙ ๑.๓ ลัทธิวัชรยาน หรือตันตระยาน ๕๑๙ ๑.๔ ลทั ธติ นั ตระยานสมยั จักรวรรดิกมั พชู า ๕๒๐ ๒. พระพุทธปฏิมาตงั้ แต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๔ (กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 13 - กลาง 19) ๕๒๐ ๒.๑ นิกายเถรวาท คณะกัมโพชสงฆ์ปกั ขะ ๕๒๐ ๒.๒ นิกายเถรวาท คณะมหาวิหาร ฝ่ายคามวาสี ๕๒๑ ๒.๓ นิกายเถรวาท คณะมหาวหิ าร ฝ่ายอรัญวาสี ๕๒๒ ๒.๔ นิกายเถรวาท คณะสีหฬภกิ ขุ ๕๒๒ ๒.๕ คณะสยามนกิ าย ๕๒๔ (๑) คณะสยามนกิ าย ฝ่ายคามวาสี ๕๒๔ (๒) คณะสยามนิกาย ฝ่ายอรัญวาสี ๕๒๕ ๓. พระพทุ ธปฏิมาหลังพุทธศตวรรษท่ี ๒๕ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19) ๕๒๖ ๕๒๖ บรรณ าน ุกรม - คณ ะธ รร มย ุติก นิก าย ๕๓๐ ภ าค ผนก.ว อกภ ธิ า น ศ พั ท ์ ๕๔๖ ข. ภาพอธบิ าย ๕๔๘ ๑. ราชาศพั ทท์ เ่ี กี่ยวข้องกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย ๕๖๙ ๒. องค์ประกอบพระพทุ ธปฏมิ า ๓. เครื่องทรงของพระพุทธรปู ทรงเครื่องฉลองพระองค์ ๕๖๙ ๔. พระพุทธรูปแบบเชยี งแสน ๕๗๐ ๕. พระพุทธรูปอ่ทู อง ๕๗๑ ๕๗๒ ค. รายพระนามพระมหากษตั รยิ ไ์ ทย ๕๗๓ (สโุ ขทัย - อยธุ ยา - ธนบรุ ี - รัตนโกสินทร์ - ล้านนา) ๕๗๔ ง. แผนท ี่ ๕๗๖ ๑. แผนท่ปี ระเทศอินเดีย ๒. แผนทเ่ี อเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ้ ๕๗๖ ๓. แผนทส่ี มัยอยธุ ยา ชว่ งเมืองพระยามหานคร ๕๗๗ ๔. แผนท่สี มัยอยธุ ยา ช่วงเมอื งลกู หลวง ๕๗๘ ๕. แผนที่สมัยอยุธยา ช่วงวงราชธาน ี ๕๗๙ ๕๘๐ จ. ศักราชสำคญั ของพุทธศาสนาและพุทธศิลป ์ ๕๘๑ ดรรชนี ๕๙๒ (๓๕)





พระพุทธรูปประจำวนั พิพรรธน์ ไกรฤกษ์ (รปู ท่ี ๘.๙๐) พริ ิยะ ไกรฤกษ์ ปน้ั หนุ่

บทนำ หนังสือ ลักษณะไทย เล่ม ๑ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย มีจดุ ประสงคท์ ี่จะสนองพระราชปรารภในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว ท่ไี ดพ้ ระราชทาน ไว้เม่อื กงึ่ ศตวรรษที่แลว้ ว่า ปางของพระพุทธเจา้ ซงึ่ แสดงพระพทุ ธจรยิ าวัตรตามพุทธประวตั ิ และท่ีมีผูค้ ิด สร้างข้ึนในภายหลังอยู่หลายปางด้วยกัน ถ้าได้รวบรวมขึ้นเรียงตามลำดับใน พุทธประวัติ ให้มีคำอธิบายลักษณะของปางนั้นๆ ตลอดจนที่มาและความนิยม ในการสร้าง รวมทั้งปางต่างๆ ที่เกิดข้ึนใหม่ ให้มีปางมากที่สุดเท่าท่ีจะทำได้ ก็จะเป็นคุณประโยชน์แก่การศึกษาของพุทธศาสนิกชน และบรรดาผู้ท่ีสนใจ (บริบาลบุรภี ณั ฑ์ และ เกษม ๒๕๐๐, คำนำ) และพร้อมกนั นน้ั หนงั สือเลม่ นก้ี ็ยงั มงุ่ ที่จะตอบสนองเจตนารมณข์ อง ม.ร.ว. คกึ ฤทธิ์ ปราโมช “ที่จะให้ผู้อ่านได้รู้ถึงลักษณะไทย ด้วยการมองเมืองไทยและคนไทย โดยผ่านทางวัฒนธรรม” (ธนาคาร กรงุ เทพ ๒๕๒๔, คำนำ) พ ระพทุ ธรูปและพระพุทธปฏิมา พระพุทธปฏิมา คือ รูปเปรียบ หรือรูปแทนองค์พระพุทธเจ้า เป็นปูชนียวัตถุที่พุทธศาสนิกชน ในประเทศไทยได้สร้างไว้ อันถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมท่ีสำคัญท่ีสุดของไทย ซึ่งตกทอดกันมาร่วม ๑,๕๐๐ ปี และเน่ืองด้วยว่าพระพุทธปฏิมาส่วนใหญ่ที่หลงเหลืออยู่น้ัน สร้างข้ึนจากถาวรวัตถุ เช่น ศิลา สัมฤทธิ์ หรอื ทองคำ จงึ ยังดำรงสภาพดงั เดิมไว้ได้ ขณะทผ่ี ลงานทางศิลปกรรมอื่นๆ ไดเ้ ส่ือมสภาพและ อนั ตรธานหายไปตามกาลเวลา ไม่วา่ จะเปน็ ปราสาท ราชวงั สถปู อุโบสถ วิหารการเปรียญ ก็ชำรดุ ทรุด โทรมเหลือเพียงแค่ซากปรักหักพัง มีเพียงพระพุทธปฏิมาเท่านั้นท่ียังคงอยู่เป็นพยานให้กับอดีตของไทย ดังท่ศี ิลป์ พรี ะศรี ได้กล่าวไว้ว่า ชีวิตสลาย อาณาจักรพินาศ ผลประโยชน์ของบุคคลมลายหายส้ินไป แต่ศิลป เท่านั้นท่ียังคงเหลือเป็นพยานแห่งความเป็นอัจฉริยะของมนุษย์อยู่ตลอดกาล (ศลิ ป์ ๒๕๐๖, ๕๑) ซ่ึงเป็นการขยายความสัจธรรมที่ว่า “ชีวิตแสนสั้น ศิลปะยืนนาน” ของ ฮิปโปคราเทส (Hippocrates) แพทยช์ าวกรีกโบราณ (พ.ศ. ๘๔ - ๑๘๗ / ก่อน ค.ศ. 460 – 357) (Knowles 2001, 377) บทนำ ๑

ใช่แต่ว่าพระพุทธรูปเป็นงานศิลปะ ซึ่งหมายถึงงานสร้างสรรค์ของมนุษย์ท่ีผู้สร้างจงใจให้เกิด ความประทับใจ แต่พระพทุ ธรปู ซึ่งไดแ้ ก่รูปของพระพุทธเจา้ ยงั เป็นปชู นยี วัตถซุ ่ึงมคี วามศกั ด์สิ ิทธิ์ เพราะ มีความสัมพันธ์กับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงส่ิงท่ีระลึกในพระพุทธองค์ก็ตาม ดังที่ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ทรงจำแนกไวใ้ นหมวดอุเทสกิ เจดีย์ ว่า อุเทสิกะเจดีย์นั้น เป็นของสร้างข้ึนโดยเจตนาอุทิศต่อพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ ไม่กำหนดว่าจะต้องเป็นอย่างไร เพราะฉนั้นบันดาพุทธเจดีย์ท่ีสร้างขึ้น ถ้ามิได้ เป็นธาตุเจดีย์ หรือบริโภคเจดีย์ หรือธรรมเจดีย์แล้ว ก็นับว่าเป็นอุเทสิกะเจดีย์ ท้งั สน้ิ (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๖๙, ๘ – ๙) เม่ือมีการสร้างพระพุทธรูปข้ึนมา ก็มีความมุ่งหมายที่จะให้มีความเหมือนองค์พระสัมมา- สมั พทุ ธเจา้ เท่าทจ่ี ะทำได้ จงึ ไดส้ ร้างประวตั ิใหก้ บั พระพทุ ธรูปสำคัญวา่ เปน็ รูปจำลองมาจากองคพ์ ระพุทธเจ้า เช่นพระพทุ ธรปู พระเจา้ แกน่ จนั ทน์ (ดูบทท่ี ๑ หนา้ ๑๘) และพระพทุ ธสิหิงค์ (ดูบทท่ี ๖ หนา้ ๓๑๕) และ เพื่อท่ีจะธำรงรักษาความเหมือนและความศักด์ิสิทธิ์ของพระพุทธองค์ไว้ จึงมีการจำลองสืบต่อกันมา จนเรียกรูปของพระพุทธองค์ว่า พระ ปฏิมา (บาลี) หรือ ปฺรติมา (สันสกฤต) ซึ่งแปลว่า “รูปเปรียบ” (จันทบุรีนฤนาถ ๒๕๑๕, ๔๕๓) หรือ “รูปจำลอง” ดังน้ัน พระพุทธปฏิมาจึงหมายถึงรูปจำลองของ พระพุทธเจ้า ซึ่งเลียนแบบสืบต่อกันมาจนมีเอกลักษณ์เฉพาะประจำแต่ละหมวดหมู่ จนเรียกได้ว่าหมวด พระเจ้าแกน่ จันทน์จำลอง หรือหมวดพระพุทธสหิ ิงคจ์ ำลอง เป็นตน้ ค่านิยมของการจำลองหรือเลียนแบบดังกล่าว นำไปสู่กฎเกณฑ์ทางสุนทรียภาพของพระพุทธ รูป ที่มีส่วนสัดและขนาดท่ีได้รับการกำหนดไว้อย่างแม่นยำ โดยใช้ความยาวและความกว้างของพระ พักตรเ์ ปน็ เกณฑ์ ดงั เช่น ตำราการก่อสร้างพระพทุ ธรูป ที่เขยี นข้ึนทลี่ า้ นนาประมาณกลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ – กลาง ๒๑ (คริสต์ศตวรรษท่ี 15) หากจะสร้างพระพุทธปฏิมา ขนาดเท่าพระพุทธองค์ ให้วัดจากพระชานุ (เข่า) ถงึ พระชานุ เมื่อประทับขดั สมาธแิ ลว้ หารดว้ ย ๔ ๑ ส่วนเทา่ กับฐานถึงพระนาภี (สะดือ) ๑ ส่วนจากพระนาภีถึงพระอุระ (หน้าอก) ๑ ส่วนจากพระอุระถึง พระหนุ (คาง) ๑ สว่ นจากพระหนถุ งึ ไรพระศก (ตีนผม) พระพาหา (แขนท่อน บน) ยาวเท่าพระพกั ตร์ พระกร (แขนท่อนลา่ ง) ยาวเทา่ พระพกั ตร์ พระกรถงึ ปลายพระองคุลียาวเท่าพระพักตร์ พระองคุลี (น้ิวมือ) ยาวเท่ากับครึ่งหน่ึง ของความยาวพระพกั ตร์ ขอ้ พระองคลุ ี (ข้อน้วิ ) แตล่ ะข้อเท่ากบั ๑/๓ ของคร่ึง หนึ่งของความกว้างพระพักตร์ ฝ่าพระหัตถ์เท่ากับครึ่งหน่ึงของความกว้าง พระพักตร์ พระนลาฏ (หน้าผาก) กว้างเท่ากับคร่ึงหน่ึงของความยาวพระ พักตร์ ความยาวของพระเพลา (ต้นขา) และพระชงฆ์ (ขาท่อนล่าง) เท่ากับ ความยาวของพระพักตร์ ฝ่าพระบาทเท่ากับความยาวของพระพักตร์ นิ้ว พระบาทยาวเท่ากับ ๑/๓ ของความยาวพระพักตร์ ข้อน้ิวพระบาทยาวเท่ากับ คร่งึ หนึ่งของนว้ิ พระบาท พระอุระถงึ พระอังสา (ไหล่) ยาวเทา่ พระพักตร์ พระ อังสากว้างเท่ากับสองเท่าของความยาวพระพักตร์ ยอดพระถัน (หัวนม) ซ้าย ขวาห่างกันเท่ากับ ๓/๔ ของความยาวพระพักตร์ พระโอษฐ์ (ปาก) กว้าง เทา่ กบั ๑/๓ ของความยาวพระพักตร์ พระเนตรถงึ พระนลาฏ (หน้าผากกวา้ ง) เท่ากับ ๑/๓ ของความยาวพระพักตร์ ดวงพระเนตรดำกลมเหมือนสีกีบเท้าโค และมีแววคล้ายผลกระเทียม พระขนง (ค้ิว) โก่งเหมือนคันศรพระอินทร์ พระกรรณ (หู) ยาวเท่ากับพระพักตร์ ขอบพระกรรณด้านบนเสมอด้วยพระ ขนง พระพักตร์ของพระพุทธปฏิมาจะสะท้อนให้เห็นความรู้สึกของหน้าท้ัง ๓ ได้แก่ หน้าไทย หน้าขอม และหน้าโจร (หน้ากษัตริย์) หน้าไทยเหมือนกับพระ พักตร์ของพระจกั รพรรดิราช การผสมผสานของ ๓ หน้าน้ี เปน็ ลักษณะเฉพาะ ของพทุ ธปฏิมา เรยี กว่า “ราชสงิ ห”์ (Swearer 2004, 54 – 55) ๒ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณพ์ ุทธศิลป์ไทย

รูป ก. พระพทุ ธปฏมิ าสรา้ งขน้ึ ตามสัดสว่ นจาก เหตุที่เปรียบโจรกับพระมหากษัตริย์นั้น ก็เพราะว่า ถึงแม้พระมหากษัตริย์จะทรงมี ตำราสร้างพระพทุ ธรูป แตง่ ขึ้นท่ลี า้ นนา หน้าท่ีปกป้องประชากรของพระองค์ แต่ก็ทรงมีพระราชอำนาจท่ีจะขูดรีดทรัพย์สินเช่นเดียวกับโจร ประมาณกลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ - กลาง ๒๑ จึงได้รับการกล่าวในพระไตรปิฎก รวมกับกลุ่มที่นำมาซึ่งความหายนะ อาทิ “พระมหากษัตริย์ โจร (คริสตศ์ ตวรรษที่ 15) เสนาบดี สงคราม ความหวาดกลัว และการยุทธ” ดังท่ีปรากฏอยู่ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย และ อังคตุ ตรนิกาย (Gombrich 2003, 78 – 81) จึงแสดงให้เหน็ วา่ ตำราการกอ่ สร้างพระพทุ ธรูป นี้ แตง่ ขนึ้ ในช่วงที่นกิ ายเถรวาท คณะสหี ฬภกิ ขุ มีอิทธิพลอยา่ งมากต่อธรรมเนยี มการสร้างพระพุทธรปู ในลา้ นนา พระพุทธปฏิมาท่ีสรา้ งขน้ึ จาก ตำราการก่อสรา้ งพระพทุ ธรปู น้ี (รปู ก.) มลี ักษณะใกลเ้ คยี งกับ พระพุทธรูปในหมวดพระพทุ ธสหิ ิงค์ของล้านนา (ดรู ูปที่ ๖.๑) ส่วนพระพุทธปฏิมาที่สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยอ้างอิง จาก ตำราสร้างพระพุทธรูป ซึ่งเขียนขึ้นในรัชกาลเดียวกัน ได้ให้สูตรการสร้างสัดส่วนพระพุทธรูป โดยเริ่มต้นจากขนาดความกว้างของหน้าตัก ที่มีผลกับการกำหนดความสูง และขนาดของพระพักตร์จะ ใช้เป็นตัวต้ังในการกำหนดสัดส่วนอื่นๆ ของพระพุทธรูป (รูป ข.) ซึ่งผลที่ปรากฏเห็นได้ว่าสอดคล้องกับ พระพุทธรปู ทีส่ ร้างขนึ้ ในรชั กาลนั้นเป็นสว่ นใหญ่ ถ้าจะสร้างพระพุทธรูป น่าตักแต่สามศอกขึ้นไป ให้เอาส่วนนั้นตั้งขึ้นแต่ พระบาทล่าง ถึงพระจุไรเป็นกำหนด ถ้าจะไขขึ้นหน่อยหนึ่งให้เอาจดหว่าง พระขนง แมน้ พระเจา้ องคย์ อ่ มใหเ้ อาจดปลายพระนาสิก จงึ จะเหน็ ทรงสูง แลว้ ให้เอาส่วนพระภักตร์ ขวางพระอุระให้จดปลายนมท้ังซ้ายขวาแล้ว ให้เอาส่วน พระภกั ตร์สอบแตบ่ ัน้ พระองคถ์ งึ พระสอเปนสามสว่ น ไขออกสว่ นละนิ้ว แลว้ ให้ เอาส่วนพระภักตร์สองส่วนก่ึงขวางเปนพระพาหา แล้วให้เอาส่วนพระภักตร์ใส่ โดยหนาเสมอหลังมาจดนมจงได้ แล้วให้ปันส่วนพระหัตถ์พระกรท้ังสามท่อน เอาส่วนพระภักตร์เข้าสอบส่วนต่อส่วน แล้วให้เอาส่วนพระภักตร์วางแต่สดือ ออกไปจงได้เสมอพระบาท แลว้ ให้เอาสว่ นพระภักตร์ ตัง้ แตพ่ ระบาทข้นึ มาจงได้ เสมอพระหัตถ์ อนึ่งให้สอบเอาแต่พระนาสิกมาเสมอพระหนุ ขวางลงเปนผ้า สังฆาฏิ แล้วให้ทำพระภักตร์เปนสามส่วน เอาส่วนหนึ่งต้ังข้ึนแต่พระจุไรสูง เสมอเส้นพระศก แล้วให้เอาส่วนนั้นหย่ังแต่พระเกษมาลาออกมาตรงพระจุไร แล้วใหเ้ อาส่วนนั้นตงั้ ข้ึนไปเปนวงทรึก [เป็นวงโค้งนูน] แลว้ ให้เอาดวงพระภักตร์ ไขสน่อย [ปรบั เล็กน้อย] เปนพระรศั มี อนง่ึ ใหป้ ันคลองพระเนตรเปนสีส่ ว่ นไวห้ ัว ตาส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งเปนตาดำ สองส่วนเปนหางตา ถ้าจะทำพระบาทแต่ส้น ตลอดปลายนิว้ ใหเ้ อาสว่ นพระภักตร์ พระกรรณก็เอาส่วนพระภกั ตร์ แต่ลดเสีย พอสมควร (ตำราสร้างพระพุทธรปู ๒๔๖๓, ๑๒ – ๑๓) รปู ข. พระพทุ ธปฏมิ าสร้างขนึ้ ตามสดั ส่วนจาก ตำราสรา้ งพระพุทธรูป แตง่ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔ (ค.ศ. 1824 - 1851) บทนำ ๓

ถงึ แม้ว่าในปจั จบุ ันจะไมม่ ีการสร้างพระพุทธรูปตาม ตำราสร้างพระพุทธรปู อกี ตอ่ ไป แตก่ ย็ ัง มีการสร้าง “พระพุทธปฏิมา” หรือการจำลองพระพุทธรูปสำคัญในอดีตอยู่เร่ือยมา ทว่าส่วนท่ีถือได้ว่า เป็นค่านิยมของยุคปัจจุบันก็คือ การสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาใหม่ตามอุดมคติของประติมากร โดยมิได้ เป็นการจำลองรูปแบบของพระพุทธรูปองค์ใดเลย เช่น พระพุทธรูปยืนปางถวายเนตร ซึ่งอัลฟอนโซ ทอร์นาเรลลี (Alfanso Tornarelli) ปน้ั ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ (ค.ศ. 1910) (ดรู ปู ท่ี ๘.๑๐๐) และพระประธานพทุ ธมณฑล ซ่งึ ศิลป์ พรี ะศรี ออกแบบในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ (ค.ศ. 1955) (ดูรูปที่ ๙.๓๐ ข.) ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่พระพุทธปฏิมา ในความหมายของรูปจำลอง แต่ก็เป็น พระพุทธรูปแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหมวดอุเทสิกเจดีย์เช่นกัน หนังสือเล่มน้ีจึงจะใช้คำว่า “พระพทุ ธรปู ” เม่อื หมายถึงองคแ์ รก หรอื องค์ต้นแบบ เพอ่ื ให้เหน็ ความแตกต่างระหวา่ งพระพทุ ธรปู องค์ต้นแบบ กับ “พระพุทธปฏิมา” อันเป็นองค์ท่ีจำลองหรือสร้างเลียนแบบสืบต่อมา อย่างไรก็ดี คำว่า “พระพุทธรูป” กับ “พระพุทธปฏิมา” น้ันเป็นคำท่ีอนุโลมใช้แทนกันได้ในภาษาไทยแต่เดิมอยู่ แล้ว เพ่ือความเหมาะสม หนังสือเล่มนี้อาจจะเลือกใช้ตามการเรียกขานท่ีมีแต่เดิมมาหรือตามความ คุ้นชินของคนไทย ท้ังน้ี หนังสือเล่มน้ีจะยังคงยึดประเด็นการจำลองหรือเลียนแบบพระพุทธรูปเป็น หลกั ซึง่ เปน็ อัตลักษณ์ท่โี ดดเด่นของพุทธศิลปใ์ นประเทศไทย อนั หาทอ่ี ่นื ใดมาเทียบเคียงได้ยาก เม่ือความหมายของพระพุทธปฏิมาเปลี่ยนไป ความหมายของความศักดิ์สิทธ์ิย่อมเปลี่ยนไป ด้วย เพราะในการจำลองพระพุทธปฏิมาหาใช่แต่ลอกเลียนเพียงความเหมือนของพระพุทธรูปต้นแบบ เท่านั้น แต่เป็นการธำรงรักษาอำนาจและฤทธานุภาพขององค์ต้นแบบไว้ด้วยพิธีกรรมท่ีมีความศักดิสิทธ์ิ เชน่ พธิ ีพุทธาภิเษกโลหะทจ่ี ะนำไปหล่อพระ พธิ ีสงฆ์สวดมนต์และนั่งภาวนาปลุกเสกตลอดคืน พิธีสังเวย เทวดา และเมื่อเททองหล่อพระพุทธรูปแล้ว ยังมีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถ พิธีเบิกเนตร และส้ินสุดลง ด้วยพิธสี มโภชพระพทุ ธรูป อนง่ึ ในภาคเหนอื ยงั มีการ “บวชพระเจา้ ” อันหมายถงึ การทำอุปสมบทใหก้ ับ พระพุทธรูป สวดมนตท์ ้ังคืน และทำพิธใี สห่ วั ใจพระเจ้า รวมทงั้ กวนข้าวมธปุ ายาสถวายพระพทุ ธรูปด้วย (ศิลปากร ๒๕๔๓ ก, ๒๗) เพราะฉะน้ันพระพุทธปฏิมาทุกองค์จึงมีความศักดิ์สิทธ์ิอยู่ในพระองค์อยู่แล้ว ส่วนพระพุทธปฏิมาท่ีมีความศักด์ิสิทธิ์เป็นพิเศษ ได้แก่ พระพุทธปฏิมาที่มีประวัติยาวนาน เช่น พระพุทธ- สหิ งิ ค์ (ดรู ปู ท่ี ๖.๑) พระพุทธมหามณีรัตนปฏมิ ากร (พระแก้วมรกต) (ดูรูปท่ี ๓.๖ ก.) และพระบางเจา้ (ดู รูปท่ี ๘.๖๖) เป็นต้น จนมีความพยายามท่ีจะสร้างประวัติศาสตร์ ให้กับพระพุทธปฏิมาบางองค์ เพ่ือให้เกิด ความศักด์ิสิทธิ์มากขึ้น ดังเช่น พระพุทธชินราช (ดูรูปที่ ๕.๖) และพระพุทธไตรรัตนนายก วัดพนัญเชิง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ดูรูปที่ ๕.๔๘) เป็นต้น ดังนั้น พระพุทธรูปท่ีจัดสร้างขึ้นใหม่โดยมิได้จำลองมาจากพระพุทธปฏิมาสำคัญ ย่อมมี พุทธานุภาพด้อยกว่าเป็นทุนเดิม แต่ความศักด์ิสิทธิ์ก็สามารถปรากฏข้ึนได้ในภายหลัง หากพระพุทธรูปที่ สรา้ งขนึ้ ใหมน่ ้ันมอี ำนาจดลบนั ดาลให้ผู้มีจติ ศรทั ธาในพระองคป์ ระสบความสำเรจ็ ดงั ความประสงค์ รปู ค. หลวงพอ่ โบสถ์น้อย นอกจากพระพุทธปฏิมาท่ีมีความศักด์ิสิทธิ์และมีประวัติที่ยาวนานเช่นพระพุทธปฏิมาที่กล่าวถึง โต ขำเดช ปนั้ พระเศียร ข้างต้น ซ่ึงอาจจะเรียกได้ว่าเป็นพระพุทธปฏิมาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในระดับชาติ และประวัติศาสตร์ของ พ.ศ. ๒๕๐๔ (ค.ศ. 1961) สัมฤทธ์ิ ชาติไทยแล้ว ยังมพี ระพุทธปฏมิ าท่มี คี วามศักดสิ์ ิทธใ์ิ นระดบั ภมู ภิ าคและระดับท้องถนิ่ อกี มากมาย เชน่ หนา้ ตักกว้าง ๒.๔๔ เมตร สงู ๓.๙๒ เซนตเิ มตร พระอุโบสถน้อย วัดอมรนิ ทราราม พระพทุ ธปฏมิ าท่มี คี วามศักด์สิ ิทธ์ ิ กรงุ เทพมหานคร ภาคกลาง หลวงพ่อโบสถ์น้อย วัดอมรินทราราม เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร (รูป ค.) ซ่ึงเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๑ (ค.ศ. 1898) ช่างฝร่งั มาสอ่ งกลอ้ งเพอ่ื วางรางรถไฟสายบางกอกนอ้ ย – นครปฐม ปรากฏวา่ เสน้ ทางพุ่ง ตรงไปโดนองค์พระพุทธรูปพอดี แต่หลวงพ่อแสดงปาฏิหาริย์ โดยให้เกิดอาเพศต่างๆ จนช่างฝรั่งต้อง เปลี่ยนเส้นทางให้อ้อมหลวงพ่อไป (เรื่องเดียวกัน, ๓๗๓) และในช่วงสงครามโลกครั้งท่ี ๒ วัดอมรินทราราม โดนระเบิด แรงระเบิดทำให้พระเศียรหลวงพ่อหักลงมา และแตกร้าวจนต้องให้ช่างโต ขำเดช ปั้นพระ เศียรขนึ้ ใหม่ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ (ค.ศ. 1961) (เรื่องเดียวกัน, ๓๗๔) แต่ถึงกระนนั้ หลวงพ่อก็ยงั คงไว้ซึง่ ความศักดิ์สิทธ์ิ ผูใ้ ดขอสิ่งทีป่ รารถนา หลวงพ่อจะบนั ดาลให้สำเร็จสมความประสงค์ (ทศพล ๒๕๔๕, ๙๗) ๔ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณ์พุทธศลิ ปไ์ ทย

รูป ง. หลวงพ่อปู่ หลวงพ่อปู่ ปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ วดั โกรกกราก อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสาคร (รูป ง.) ซง่ึ เมือ่ ครงั้ ลอยแพตามแม่นำ้ ท่าจนี (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 18) ศิลา จะไปปากอ่าวน้นั เกิดพายฝุ นข้ึน ชาวบ้านจึงอญั เชญิ ข้ึนไปไว้บนฝัง่ พายุฝนจึงหายเปน็ ปลิดทิง้ ต่อมาเม่อื อุโบสถวัดโกรกกราก อำเภอเมอื งฯ เกิดไฟไหม้คร้ังใหญ่ เพลิงได้โหมลุกไหม้ท่ัวทั้งพระอาราม เหลือแต่อุโบสถที่ประดิษฐานหลวงพ่อปู่เพียง จังหวดั สมทุ รสาคร หลังเดียวเท่าน้ันที่ไม่เป็นอะไร และเมื่อเกิดโรคตาระบาดขึ้น ชาวบ้านจึงบนบานว่า หากหายเจ็บตาจะ ถวายแว่นตาหลวงปู่ จึงเป็นประเพณที ่ีจะบนบานหลวงปู่ด้วยแวน่ ตาจนทุกวนั น้ี (หลวงพ่อปู่วัดโกรกกราก [ม.ป.ป.], เอกสารแผน่ พบั ) ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื พระต้ิว – พระเทียม เป็นพระพุทธปฏิมาคู่บ้านคู่เมือง จังหวัดนครพนม ประดิษฐานอยู่ที่วัดโอกาส อำเภอเมืองฯ จงั หวัดนครพนม (รูป จ.) เล่ากนั วา่ เมื่อปี พ.ศ. ๑๓๒๘ (ค.ศ. 785) พญาศรีโคตรบูรหลวง โปรดใหช้ า่ งนำ ไม้ติ้วมาสร้างเป็นพระพุทธปฏิมา ซ่ึงก่อนที่จะนำมาสลักเป็นพระพุทธปฏิมาน้ัน ไม้ท่อนนี้ถูกใช้เป็นหมอน หนุนรองรับโกลนเรือท่ีจะลากลงสู่น้ำโขง แต่หมอนไม้ติ้วท่อนน้ีไม่ยอมให้โกลนเรือมาทับ กระเด็นออกมา ทำให้คนลากเรือบาดเจ็บฟกช้ำไปตามๆ กัน เม่ือสลักเป็นพระพุทธรูปแล้ว จึงนำไปประดิษฐานที่วัด พระธาตุบ้านสำราญ ต่อมาเกิดเพลิงไหม้หอพระ พระต้ิวจึงไหม้ไปพร้อมกับหอพระ ความทราบถึง พระเจ้าขัตติยวงศาฯ ผู้ครองนครศรีโคตรบูร จึงทรงให้สลักพระต้ิวข้ึนใหม่ให้เหมือนพระต้ิวองค์เดิมทุก ประการ สองสามปีต่อมา ชาวบ้านไปจับปลากลางน้ำโขง เกิดพายุหมุนขึ้น เห็นพระต้ิวองค์ที่ถูกไฟไหม้ ลอยข้ึนมาจากน้ำโขง เม่ือพายุสงบลงจึงอัญเชิญข้ึนมาประดิษฐานไว้ท่ีพระธาตุบ้านสำราญ พระ เจ้าขัตตยิ วงศาฯ ทรงทราบจึงพระราชทานพระนามพระพทุ ธรปู องคน์ ีว้ ่า “พระติว้ ” และองคท์ จี่ ำลองขน้ึ ใหม่ว่า “พระเทียม” ประดิษฐานคู่กันตั้งแต่นั้นมา และเม่ือได้มีการสร้างวัดโอกาสข้ึนในปี พ.ศ. ๒๒๘๑ (ค.ศ. 1738) จงึ อัญเชญิ พระต้ิว – พระเทยี ม มาประดษิ ฐาน ณ พระอารามแหง่ นี้ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ (ค.ศ. 1995) จงึ ไดจ้ ำลองพระตวิ้ – พระเทียมข้นึ ใหมเ่ พื่อสรงน้ำปิดทองแทนองคเ์ ดมิ (ประวัตพิ ระตว้ิ – พระเทียม [ม.ป.ป.], เอกสารแผน่ พบั ) รูป จ. พระติว้ - พระเทียม พทุ ธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 17 - กลาง 18) ไมป้ ดิ ทอง หนา้ ตกั กว้าง ๓๙ เซนติเมตร สูง ๖๐ เซนตเิ มตร หอพระต้ิว - พระเทยี ม วัดโอกาส อำเภอเมืองฯ จงั หวัดนครพนม บทนำ ๕

รูป ฉ. พระเจา้ ทองทพิ ย์ กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ ภาคเหนือ (ตน้ ครสิ ต์ศตวรรษที่ 16) สมั ฤทธ์ิ หน้าตักกวา้ ง ๘๐ เซนตเิ มตร สูง ๑.๒๐ เมตร พระเจ้าทองทิพย์ วหิ ารวัดพระเจ้าทองทิพย์ ความศักด์ิสิทธ์ิของพระเจ้าทองทิพย์ วัดพระเจ้าทองทิพย์ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย (รูป ฉ.) เปน็ ท่ปี ระจกั ษเ์ มอ่ื ปี พ.ศ. ๒๐๘๙ (ค.ศ. 1546) ในรัชกาลพระเจ้าโพธสิ าร (พ.ศ. ๒๐๖๓ – ๒๐๙๓ / ค.ศ. 1520 – 1550) ปกครองอาณาจักรล้านช้าง เม่ือพระองค์ทรงส่งพระเจ้าไชยเชษฐา พระราช- โอรส ไปครองอาณาจักรล้านนา แทนพญาเกตุ พระสสุระ (พ่อตา) ของพระองค์ท่ีสิ้นพระชนม์ พร้อม ด้วยพระพทุ ธรปู พระเจา้ ทองทิพย์ ซ่งึ พระองคท์ รงถอื ว่าเปน็ ผู้ให้กำเนิดพระราชโอรส สืบเนื่องมาจากเมอื่ ครั้งพระองค์ยังไม่มีพระโอรส จึงเสด็จไปทรงขอพรจากพระเจ้าทองทิพย์ ซ่ึงก็ได้ประทานมาสมดังพระ ราชประสงค์ คร้ันเมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาเสด็จทวนแม่น้ำโขงขึ้นมาตามลำน้ำกกและน้ำลาวพอมาถึง หน้าวัดพระเจ้าทองทิพย์ในปัจจุบัน เรือพระที่น่ังก็มาติดไม่สามารถท่ีจะเคล่ือนท่ีได้ พระเจ้าไชยเชษฐา จึงอัญเชิญพระเจ้าทองทิพย์ขึ้นประดิษฐานไว้ที่น่ัน และทรงสร้างมณฑปถวาย แล้วจึงเสด็จไปครองนคร เชียงใหม่ ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๓๖๘ (ค.ศ. 1825) จงึ ไดส้ ร้างพระวิหารขน้ึ และไดบ้ อกเลา่ ให้ชาวบ้านทราบ ถงึ ความศกั ด์สิ ิทธิ์ของพระเจ้าทองทพิ ย์ จนเปน็ ทเ่ี ลื่อมใสกนั จนทกุ วันนี้ (ประยุทธ ๒๕๔๙) และเมือ่ มีการ สรา้ งเหรียญพระเจา้ ทองทิพย์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ (ค.ศ. 1998) ความศกั ดิส์ ทิ ธิ์ของพระเจา้ ทองทพิ ยย์ งั คุ้มครองผู้ท่ีบูชาเหรียญด้วย ดังที่ปรากฏว่าผู้สวมใส่เหรียญมิได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ ๓ ตลบ แลว้ ตกลงไปในแม่น้ำลาวท่ีกำลงั แห้งขอดในชว่ งน้นั อีกทัง้ รถก็ยงั สามารถวิง่ ต่อไปได้ (โลกลี้ลบั ๒๕๔๙, ๓๗) หลวงพ่อพทุ ธรังสี ปรากฏการณ์มหัศจรรย์เกิดข้ึน เมื่อแม่ชี ๔ ท่าน เดินทางจากนครศรีธรรมราชไปนมัสการ พระพุทธรูปปูนป้ันองค์หน่ึงในมณฑปวัดพระยืนพุทธบาทยุคล อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ระหว่างที่ แม่ชีสำรวมจิตเจริญภาวนาอยู่น้ัน เกิดมีปาฏิหาริย์เป็นแสงรัศมีหกสี หรือฉัพพรรณรังสี พวยพุ่งออกมา จากพระนลาฏและพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปองค์น้ัน แม่ชีจึงนำความไปเล่าให้เจ้าอาวาสฟัง เจ้าอาวาสจึงไปเคาะท่อี งคพ์ ระพทุ ธรปู ปนู ทพี่ อกไวก้ ็หลดุ ออกมา เหน็ ว่าภายในเป็นทองสัมฤทธ์ิ (รูป ช.) จึงอญั เชิญมาประดิษฐานในพระอโุ บสถที่ผู้มจี ติ ศรทั ธาสร้างข้นึ กอ่ นหน้าน้ี (วบิ ลู ย์ [ม.ป.ป.], ไม่มีเลขหน้า) หลวงพอ่ พุทธรังสี จงึ เป็นพระพุทธรูปศักดส์ิ ิทธ์ิของละแวกน้นั นับจากนัน้ กม็ ผี มู้ าบชู ามิได้ขาด รปู ช. หลวงพอ่ พทุ ธรังสี ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ (กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 15) สมั ฤทธ์ิ หน้าตักกว้าง ๑.๑๐ เซนตเิ มตร สูง ๑.๓๒ เมตร อุโบสถวดั พระยืนพทุ ธบาทยุคล อำเภอลับแล จงั หวัดอตุ รดติ ถ์ ๖ พระพทุ ธปฏิมา อตั ลักษณ์พทุ ธศิลปไ์ ทย

รูป ซ. พระผุด สรา้ งเมอื่ ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1897) ภาคใต้ กอ่ อิฐถือปูน สูง ๒.๔๔ เมตร อุโบสถวดั พระทอง พระผุด อำเภอถลาง จงั หวัดภเู ก็ต วัดพระทอง อำเภอถลาง จังหวัดภูเกต็ (รูป ซ.) เป็นพระพุทธรูปศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิของจงั หวดั ถกู พบ เม่ือมีเด็กผู้หนึ่งเอากระบือไปผูกไว้กับพระเกตุมาลาที่มีโคลนตมพอกอยู่ ซึ่งโผล่ข้ึนมาจากพ้ืนดิน เม่ือเด็ก กลับไปถึงบ้านก็ล้มตายลง และเมื่อบิดาของเด็กไปเอากระบือ ก็เห็นกระบือตายเช่นกัน ตกกลางคืนฝัน ว่าท่ีลูกตายก็เพราะเอากระบือไปผูกกับพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปทองคำท่ีจมอยู่ในดิน รุ่งเช้าจึงพา กนั ไปล้างโคลนตมออกเห็นเปน็ พระเกตุมาลาของพระพุทธรปู ทองคำ ความทราบถึงเจ้าเมอื ง จงึ สั่งให้ขดุ พระพุทธรูปขน้ึ มาบชู า แต่ปรากฏว่ามีตัวต่อตัวแตนบนิ ขึน้ มาต่อยผทู้ ่ีขดุ จนล้มตายกันไปหลายคน แตต่ อ่ แตนเหล่าน้ันไม่ทำร้ายผู้ท่ีมากราบไหว้บูชา ต่อมามีชีปะขาวมาโบกปูนปิดทับพระพุทธรูปทองคำไว้ ครั้ง เม่ือศึกถลาง พม่ามากะเทาะปูนออก และเร่ิมขุดพระพุทธรูปทองคำ แต่มีมดขึ้นมากัดต่อยพม่าจนล้ม ตายไปหลายร้อยคน แต่พม่าก็ยังขุดต่อไปจนถึงพระศอ จนกระท่ังได้ยินเสียงคลื่นลมดังสนั่นหวั่นไหว คล้ายเสียงปืน จงึ ตกใจกลัวพากนั หนีขน้ึ เรอื กลับไป หลงั จากน้ันชาวบ้านจึงกอ่ พระพุทธรปู ขึ้นมาครง่ึ องค์ สวมทับพระพุทธรูปทองคำ และสร้างพระอุโบสถครอบพระพุทธรูปไว้ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1897) ช่างจากปนี ัง กอ่ พระผุดองค์ปัจจุบัน และสร้างพระอโุ บสถขึ้นใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ (ค.ศ. 1909) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินมานมัสการพระผุด และในโอกาสน้ีได้พระราชทานนามวัดใหม่ วา่ “วัดพระทอง” และในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ (ค.ศ. 1959) พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชดำเนินมา นมัสการหลวงพ่อวัดพระทอง และทรงลงพระปรมาภิไธยเป็นอักษรพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. (รูป ฌ.) (วัดพระทอง ๒๕๔๗, ๔ – ๑๐) การศึกษาพระพุทธปฏิมา พระพุทธปฏิมาจึงเป็นส่ิงที่อยู่คู่กับพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเหนือส่ิงอื่นใด แลว้ พระพุทธปฏมิ าเปน็ ทยี่ ึดม่นั ของชาวไทย และเป็นศนู ย์รวมของจิตใจตลอดชว่ งระยะเวลาอนั ยาวนาน ฉะน้ัน หากจะทำความรู้จักกับคนไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนิยามว่า ประกอบด้วย รา่ งกายและจิตใจ อันได้แก่ ศลิ ปวทิ ยา ธรรมเนียมประเพณี และความเช่ือถอื ซ่ึงรวมเรยี กวา่ “ความเป็น ไทย” น้ัน (สำนกั ราชเลขาธิการ ๒๕๓๑, ๙๖) กค็ วรทีจ่ ะทำความร้จู กั กับประวตั คิ วามเป็นมาและลกั ษณะ เฉพาะของพระพุทธปฏิมาท่ีสร้างข้ึนนับแต่ที่ชาวไทย ซ่ึงก็คือกลุ่มชนผู้ท่ีใช้ภาษาไทย ได้เข้ามาปกครอง ดินแดนทีเ่ ป็นประเทศไทยในปจั จุบนั อันเปน็ ช่วงเวลาท่นี บั ย้อนไปตงั้ แตช่ ว่ งต้นพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ (กลาง คริสต์ศตวรรษที่ 13) เป็นต้นมา ท้ังนี้ จะย้อนหลังเพ่ือให้ข้อมูลท่ีเกี่ยวกับประวัติพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้อง กับพุทธศาสนาในประเทศไทย เพ่ือที่จะได้เห็นภาพที่สะท้อนท้ังความสืบเนื่องและความเปล่ียนแปลงทาง ดา้ นศาสนา ความเชื่อ เศรษฐกจิ และสงั คมทีร่ ่วมกนั หล่อหลอมผา่ นกาลเวลาเรอื่ ยมาจนมาเป็นอัตลักษณ์ ของความเป็นไทยในปัจจบุ นั หนังสือเล่มนี้จึงใช้ข้อมูลท่ีเป็น พระพุทธปฏิมาที่มีความศักด์ิสิทธิ์ มีความสำคัญทาง ประวัติศาสตร์ มีคุณค่าทางวิชาการ และมีความโดดเด่นทางสุนทรียภาพ ท่ีสร้างข้ึนในขอบข่ายของวัด และวัง ทั้งที่เป็นพระประธานในอุโบสถ วิหาร และพระพุทธรูปบูชาของพระมหากษัตริย์และประชาชน แบง่ ได้เปน็ ขอบเขตทางด้านเวลา คอื ศกึ ษาพระพุทธปฏมิ าในประเทศไทยนบั ต้ังแตช่ าวไทยหรือกล่มุ ชนที่ ใช้ภาษาไทยเร่ิมเข้ามามีบทบาทในแผ่นดินนี้ เมื่อต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13) จนถงึ ปัจจุบัน และขอบเขตทางดา้ นพนื้ ที่ ไดแ้ ก่ บรเิ วณทเี่ ปน็ ประเทศไทยในปจั จุบนั รปู ฌ. พระปรมาภิไธยยอ่ ภ.ป.ร. พระราชทาน ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ (ค.ศ. 1959) ประดษิ ฐานทีผ่ นงั ดา้ นหน้าอุโบสถ วัดพระทอง อำเภอถลาง จังหวัดภูเกต็ บทนำ ๗

พระพุทธปฏิมาจึงเป็นหลักฐานทางโบราณวัตถุ และทางประวัติศาสตร์ท่ีสำคัญอย่างย่ิง ดังท่ี พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ไดม้ ีพระราชดำรสั ไว้ว่า เป็นท่ีทราบกันอยู่ว่า หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของประเทศของเราท่ีเป็น เอกสารมีอยู่โดยจำกัด การศึกษาประวัติศาสตร์จำเป็นต้องอาศัยหลักฐานทาง โบราณวตั ถเุ ทียบเคียงสนั นษิ ฐานด้วยอย่างมาก ดงั นน้ั จงึ ถอื ไดว้ า่ โบราณสถาน และโบราณวัตถุทุกแห่งทุกชิ้นเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างสำคัญ ซ่ึง ควรสำรวจและพิจารณาศึกษาอย่างละเอียดถ่ีถว้ น (สำนกั ราชเลขาธิการ ๒๕๒๗, ๓๑๖) ด้วยเหตุท่ีวา่ ชาวไทยเพิ่งเร่มิ ให้ความสนใจเกีย่ วกบั ประวัตคิ วามเป็นมาของพระพทุ ธปฏมิ า หลัง จากที่ชาวตะวันตกเห็นความสำคัญของพระพุทธปฏิมาในฐานะที่เป็นศิลปะโบราณวัตถุท่ีมีราคาซื้อขายใน ท้องตลาด และได้พยายามท่ีจะจำแนกยุคสมัยให้กับพระพุทธปฏิมา ดังเช่นงานของอัลเฟรด ซัลโมนี (Alfred Salmony) เรอื่ ง Sculpture in Siam ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ (ค.ศ. 1925) (Salmony 1972) แต่ ความรู้ที่รับทราบกนั ในปจั จุบนั เรมิ่ จากพระนพิ นธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ในหนงั สือเร่อื ง ตำนานพุทธเจดยี ส์ ยาม (ดำรงราชานภุ าพ ๒๔๖๙) พิมพใ์ นงานพระราชทานเพลิงศพเจา้ จอมมารดาชุ่ม ใน พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว พระมารดาของพระองค์ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ (ค.ศ. 1926) ตามดว้ ย งานของยอร์ช เซเดส์ (George Coedèès) เร่ือง โบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร (ยอช เซเดส์ ๒๔๗๑) ในอีกสองปีต่อมา ซึ่งหนังสือทั้งสองเล่มนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาวิชา ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดี เพราะได้จัดจำแนกแยกแยะพระพุทธปฏิมาที่สร้างข้ึนในประเทศไทย เปน็ ยุคสมยั ต่างๆ ขน้ึ เปน็ ครัง้ แรก ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ (ค.ศ. 1926) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครข้ึน ซึ่งขึ้นตรงต่อราชบัณฑิตยสภา ที่มียอร์ช เซเดส์ เป็นเลขานุการ ราชบัณฑิตยสภา เซเดส์เป็นชาวฝรั่งเศสที่ได้เล่าเรียนวิชาโบราณคดีและภาษาของทวีปเอเชีย เช่น บาลี สันสกฤต รวมทั้งภาษาเขมร และได้รับปริญญาสาขาศาสนศาสตร์ จากสถาบัน É cole pratique des hautes éé tudes (EPHE) กรุงปารสี ในปี พ.ศ. ๒๔๕๔ (ค.ศ. 1911) และในปีเดียวกัน ยงั ดำรงตำแหนง่ ศาสตราจารยท์ างนิรุกตศิ าสตรอ์ ินโดจนี (ศูนยม์ านษุ ยวทิ ยาสิรนิ ธร ๒๕๔๒, ๑๑) ดังน้นั จงึ นบั ได้ว่าเปน็ ผู้ เชี่ยวชาญทางภาษาเอเชยี ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ (ค.ศ. 1928) ราชบัณฑิตยสภา จึงมอบหมายให้เซเดส์ เป็นผู้แต่งหนังสือเรื่อง โบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร เพราะว่า “เมื่อเวลาจัดต้ังของใน พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร มีความจำเป็นที่จะต้องแยกโบราณวัตถุทั้งหลายออกเปนสมัยต่างๆ” (ยอช เซเดส์ ๒๔๗๑, ๒๙) วิธีการแยกโบราณวัตถุออกเป็นสมัยๆ ของเซเดส์ เริ่มขึ้นจากการรวบรวมพระพุทธปฏิมาท่ีมี ลักษณะพ้องกัน และนำไปเปรียบเทียบกับพระพุทธปฏิมาที่มีลักษณะใกล้เคียงกันท่ีมีอายุท่ีแน่นอน เช่น กลุ่มพระพุทธปฏิมาท่ีพบในจังหวัดปราจีนบุรี ลพบุรี นครปฐม และราชบุรี มีลักษณะคล้ายกับพระ พทุ ธปฏิมาอินเดยี ครงั้ ราชวงศค์ ปุ ตะทสี่ ารนาถและถำ้ อชญั ฏา ซ่ึงกำหนดอายเุ วลาไว้ในช่วง พ.ศ. ๘๖๐ – ๑๑๕๐ (ค.ศ. 317 – 607) จึงต้ังช่ือว่า “สมัยทวารวด”ี ดงั นัน้ คำวา่ “สมยั ” จงึ หมายถงึ ช่วงระยะเวลาที่มี การสร้างพระพุทธปฏิมาเหล่าน้ีเป็นที่แพร่หลาย แต่ความสับสนเกิดข้ึนเมื่อกล่าวว่า พระพุทธปฏิมาใน กลุ่มดังกล่าวเป็น “แบบสมัยทวารวดี” ซ่ึงหมายความว่า พระพุทธปฏิมาท่ีสร้างข้ึนในช่วง พ.ศ. ๘๖๐ – ๑๑๕๐ (ค.ศ. 317 – 607) นนั้ มลี กั ษณะเฉพาะสำหรับพระพุทธปฏิมาท่ีสรา้ งขนึ้ ในสมัยทวารวดี จึงเรียกวา่ “แบบทวารวด”ี ๘ พระพทุ ธปฏิมา อัตลกั ษณพ์ ทุ ธศิลปไ์ ทย

แม้แต่เซเดส์เองก็ยังตระหนักถึงความสับสนที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อเขียนถึง “สมัยศรี วิชยั ” เซเดสจ์ งึ เน้นด้วยการขีดเสน้ ใต้ว่า ช่อื “ศรวี ิชัย ซ่งึ พพิ ิธภณั ฑสถานฯ ใชเ้ ป็นเครอ่ื งหมายนั้น หาเป็น ช่ือแบบอย่างช่างไม่ เปนแต่ชื่อ สมัย อันหนึ่ง คือสมัยเม่ือกรุงศรีวิชัยมีอำนาจเหนือนานาประเทศบน แหลมมาลายูเท่านน้ั ” (เร่อื งเดียวกนั , ๓๓ – ๓๔, เน้นตามต้นฉบับ) ทงั้ นเ้ี พราะเซเดสเ์ ขา้ ใจดวี า่ “สมยั ศรี วิชัย” น้ันไม่มีแบบเฉพาะของตนเอง เพราะมีทั้งแบบของชวา แบบของอินเดีย แบบทวารวดี และแบบ จาม รวมอย่ใู น “สมัยศรวี ิชัย” เดยี วกนั แต่พอมาถึง “สมัยลพบุรี ซึ่งหมายความว่าเปนของฝีมือขอมที่สร้างขึ้นในสมัยเมื่อพวกขอม มาปกครองเมืองลพบุรีอยู่ บรรดาโบราณวัตถุที่จัดรวบรวมไว้ในสมัยลพบุรี... จะเป็นของท่ีพบที่เมือง ลพบุรีหรือที่เมืองอ่ืนๆ ก็ตาม ถ้ามีลักษณะเป็นฝีมือขอมอย่างเดียวกันแล้ว จัดเข้าในสมัยลพบุรีท้ังส้ิน” (เรื่องเดยี วกนั , ๓๕, เน้นตามตน้ ฉบบั ) แทนทจี่ ะเรียกว่า “สมัย” เซเดส์กลบั เนน้ ไปทแ่ี บบ “ฝีมอื ขอม” หรือ “สกุลชา่ งลพบรุ ี” (É cole de Labapurī) (Coedèès 1928, 26) ซงึ่ ก็คอื รปู แบบที่มีลกั ษณะร่วมกันของฝีมอื ชา่ งขอมนน่ั เอง เพราะฉะน้ัน “แบบ” และ “สมยั ” ณ ทนี่ ี้จึงมีความหมายเดยี วกนั เซเดส์ใช้ “แบบ” และ “สมยั ” ซ่ึงมีความหมายเดยี วกันกับพระพุทธปฏมิ าของไทย “สมัยเชียงแสนรุ่นเก่า... คือแบบช่างเมืองเชียงแสน... มีลักษณะดังนี้... มกั จะเปนพระน่งั ขดั สมาธิเพช็ ร์ มดี อกบวั รอง พระองคอ์ วบอว้ น และพระอุระ นูน ชายจีวรส้ัน พระพักตร์สั้น พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระโอษฐ์เล็ก พระหนุเป็นปม เส้นพระเกศใหญ่ไม่มีไร พระศกเป็นต่อมกลม พระรัสมีเหมือน ดอกบัวตูม” (ยอช เซเดส์ ๒๔๗๑, ๓๗) “สมัยสโุ ขทยั คอื บรรดาพระพทุ ธรปู ซึง่ โดยมากได้มาจากเมอื งสุโขทยั เมือง สวรรคโลก เมอื งพิษณุโลก และเมืองกำแพงเพชร... ถา้ เปนพระนั่งกน็ ่งั ขัดสมาธิ ราบทั้งน้ัน ไม่มีขัดสมาธิเพชร์ นอกจากน้ันยังมีลักษณะอื่นๆ ท่ีผิดกับพระพุทธ รูปเชียงแสนรุ่นเก่า อีกเปนต้นว่า ชายจีวรยาว และพระรัสมีเปนรูปเปลว” (เร่ืองเดยี วกัน, ๓๘, เน้นตามต้นฉบบั ) จากข้อความข้างต้น เห็นได้ว่า เซเดส์ใช้ “แบบ” กับ “สมัย” ในความหมายเดียวกัน คือ กลมุ่ พระพุทธรปู ทม่ี ีพทุ ธลักษณะรว่ มกัน (แบบ) สรา้ งขึน้ ในช่วงระยะเวลาเดียวกนั (สมยั ) การศึกษาวิจยั ภายใต้กรอบความคิดท่สี มเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพไดป้ ระทานไว้ และ ท่ีเซเดส์ได้ให้ไว้ ได้แก่ งานของหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ กับ เอ.บี. กริสโวลด์ ศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ (บรบิ าลบุรีภณั ฑ์ และ เอ.บ.ี กรสิ โวลด์ ๒๔๙๕) ม.จ. สุภทั รดศิ ดศิ กุล “พทุ ธศิลป์ในประเทศ ไทย” (สุภทั รดิศ ๒๕๐๐, ๓๗ – ๖๒) ซึ่งตอ่ มาเปลยี่ นเปน็ ศลิ ปะในประเทศไทย และพมิ พเ์ ป็นครงั้ ที่ ๑๐ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ (ค.ศ. 1995) (สภุ ัทรดศิ ๒๕๓๘) ฌอง บัวเซอลเี ย (Jean Boisselier) The Heritage of Thai Sculpture (Boisselier 1975) ไฮรมั วดู วารด์ จเู นียร์ (Hiram Woodward, Jr.) ศกึ ษาพระพุทธรูป ที่ เอ.บี. กรสิ โวลด์ สะสมไว้ทส่ี หรฐั อเมริกา ใน The Sacred Sculpture of Thailand: The Alexander B. Griswold Collection (Woodward 1997) และสนั ติ เล็กสุขุม ใน ประวัตศิ าสตรศ์ ลิ ปะไทย (ฉบับ ย่อ) (สันติ ๒๕๔๔) รวมทั้งการศึกษาแนวเจาะลึกตามยุคสมัยที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรง จำแนกไว้ เช่น พระพุทธรูปท่ีมีจารึกของล้านนาใน Dated Buddha Images of Northern Siam (Griswold 1957) ประวัติศาสตร์ศิลปะสมัยสุโขทัยของกริสโวลด์ใน Towards A History of Sukhodaya Art (Griswold 1967) บทนำ ๙

ต่อมามหาวิทยาลัยในประเทศทางแถบตะวันตกได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาพุทธศิลป์ของ ไทย ถึงกับให้ปริญญาระดับดุษฎีบัณฑิตและระดับมหาบัณฑิต เช่น วิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิตของเรจินัลด์ เลอ เมย์ (Reginald le May) A Concise History of Buddhist Art in Siam (Le May 1962 (1st ed. 1938)) การศึกษาศิลปะในภาคกลางของสยามระหวา่ งพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ – ๒๐ (กลางครสิ ต์ ศตวรรษที่ ๑๐ - กลาง ๑๔) ของไฮรมั วูดวารด์ (Woodward 1975) ศลิ ปะและสถาปัตยกรรมในสมยั สมเดจ็ พระเจ้าปราสาททอง ของฟอร์เรสต์ แมคกิลล์ (McGill 1977) รวมท้งั ศิลปะและสถาปัตยกรรมสมยั สมเด็จพระนารายณ์ ของจอห์น ลิสโตแพด (Listopad 1995) ในงานวิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต เช่น เรือ่ งพระพุทธรปู สกุลชา่ งลา้ นนา ของศกั ดช์ิ ยั สายสิงห์ (Saisingha 1999) เป็นต้น นอกจากการศึกษาเพ่ือกำหนดอายุเวลาตามยุคสมัยที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังมีประมวลภาพ พระพุทธปฏิมาจำแนกออกเป็นยคุ สมยั เชน่ ผลงานของสมเกียรติ โลห่ เ์ พชรรตั น์ เรื่อง พระพุทธรปู ศลิ ปะ สมัยอยธุ ยา (สมเกียรติ ๒๕๓๙) พระพุทธรปู สมยั รัตนโกสนิ ทร์ (สมเกยี รติ ๒๕๔๐) ประวตั ศิ าสตร์การ สรา้ งพระพทุ ธรูปลา้ นชา้ ง (สมเกยี รติ ๒๕๔๓) และ ศลิ ปะสุโขทัย (สมเกียรติ ๒๕๔๙) และทีเ่ ปน็ หนงั สือ ภาพเก่ียวกับประวัติของพระพุทธรูปสำคัญ เช่น พระพุทธรูปสำคัญ (ศิลปากร ๒๕๔๓ ก) พระพุทธรูป คบู่ า้ นคู่เมือง (วรนันทน์ ๒๕๔๓) และ พระพทุ ธรปู มรดกลำ้ ค่าของเมอื งไทย (ทศพล ๒๕๔๕) เป็นตน้ แต่ หนังสือภาพพระพุทธรูปและประวัติพระพุทธรูปสำคัญก็มิได้กล่าวถึงความเป็นมาของพระพุทธรูปอายุ เวลา หรอื สถานภาพของพระพุทธรูปในวฒั นธรรมไทยแต่อยา่ งใด หนังสือเล่มน้ีจึงมีจุดประสงค์ท่ีจะศึกษาพ้ืนฐานหรือเบื้องหลังของการสร้างพระพุทธปฏิมาใน ประเทศไทย เพื่อคลี่คลายความสับสนอันเป็นผลที่เกิดจากการวิเคราะห์ในอดีต โดยจะใช้ระบบที่ สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมประเพณีและคตินิยมของการสร้างพระพุทธปฏิมาในประเทศไทยเป็น สำคญั อันแตกต่างจากบรบิ ทการสร้างงานศลิ ปะในตะวันตก ซง่ึ ในการอธิบายของประวตั ิศาสตร์ศลิ ปะ ตะวันตกจะใช้ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ให้มีความหมายเดียวกันกับยุคสมัยทางรูปแบบศิลปะ อันไม่ สอดคล้องกับบริบทการสร้างพระพุทธปฏิมา ด้วยเหตุท่ีว่าพระพุทธปฏิมาน้ันเป็นรูปจำลองของ พระพุทธรูปองค์ต้นแบบ โดยจะจำลองสืบต่อกันเร่ือยมา ซึ่งมิได้ข้ึนกับยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แต่ อย่างใด แต่หากข้ึนอยู่กับกระแสความนิยมของพุทธศาสนิกชนที่การจำลองหรือสร้างพระพุทธปฏิมา มากกว่า ทั้งน้ีการจำลองดังกล่าวจะมุ่งธำรงพุทธลักษณะของพระพุทธรูปองค์ต้นแบบไว้ให้มากที่สุด ดังเช่นในกรณีของพระพทุ ธปฏมิ า “แบบสุโขทยั ” ซ่งึ สรา้ งขึน้ ในชว่ งระยะเวลาท่อี าณาจักรสุโขทยั รุ่งเรือง ระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐ (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 13 – กลาง 15) จงึ จะเรียกว่า “สมัย สโุ ขทัย” ได้ แต่เม่ืออาณาจักรอยุธยาเข้าครอบครองสุโขทัย พระพุทธปฏิมา “แบบ สุโขทัย” ก็ยังคงสร้างกันอยู่ จึงควรจะเรียกวา่ “สมยั อยธุ ยา แบบ สโุ ขทยั ” ตลอดจน “สมัย รัตนโกสินทร์ แบบ สุโขทัย” เพอ่ื ความ ถูกตอ้ งและชัดเจน นอกจากน้นั แลว้ ยังมีวัตถปุ ระสงค์ทีจ่ ะจำแนกแยกแยะว่าพระพทุ ธปฏิมาปางใด เป็นท่ี นยิ มในยุคสมัยใด และเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนน้ั เพือ่ ทจ่ี ะได้เห็นวา่ พระพุทธปฏมิ าที่สร้างขึน้ ในประเทศไทย นน้ั มีทั้งดา้ นเนือ้ หาสาระและพฒั นาการทางรูปแบบควบคกู่ ันไปตามกาลเวลา การศกึ ษาพระพุทธปฏมิ า ณ ท่ีนจี้ ะไมใ่ ช้ยุคสมัยเปน็ หลัก แต่จะจำแนกพระพทุ ธปฏมิ าออกเปน็ หมวดหมู่ตามพระอริ ิยาบถและพระกริ ยิ าต่างๆ ของพระหัตถ์ ซึ่งเรียกว่า “ปาง” ไมใ่ ช้เรยี กวา่ “ท่า” ทัง้ น้ี เพราะสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงประทานพระวินิจฉัยไว้ว่า “คำว่า “ท่า” เป็นคำเลวและ อาจจะใช้ไปทางขา้ งหยาบชา้ จะเอามาใช้สำหรบั พระพุทธปฏมิ าว่าท่านน้ั ทา่ นี้ หาควรไม่” (บริบาลบุรีภัณฑ์ ๒๕๓๑, ๕๓) การแบ่งแยกหมวดหมู่พระพุทธปฏิมาไทยตามปางต่างๆ ที่สร้างข้ึนนั้น มีจุดประสงค์ที่จะ แสดงให้เหน็ ว่า พระพุทธปฏมิ าเป็นรูปจำลองของพระพุทธรูปองคต์ น้ แบบ และมีการเลียนแบบสืบตอ่ กันมา ซ่ึงมิใช่แต่เพียงพระพุทธปฏิมาท่ีสร้างขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของพุทธ- ศาสนกิ ชนทุกชาติ ทุกภาษา หากแต่ว่าการศกึ ษาตามแนวทางนี้เพิ่งนำมาใชใ้ นหนงั สอื เลม่ น้ีเป็นครง้ั แรก ๑๐ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลกั ษณ์พทุ ธศลิ ปไ์ ทย

เม่ือพระพุทธปฏิมาเป็นรูปจำลอง การศึกษาจึงต้องดำเนินตามพุทธลักษณะของแต่ละหมวด หมู่ เช่น การสืบสาวพฒั นาการของพระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธเิ พชร ปางมารวชิ ัย ท่สี รา้ งขึ้นในแตล่ ะ ภูมภิ าค ตามช่วงระยะเวลาต่างๆ กนั โดยใช้พระพุทธปฏมิ าที่มีจารึกหรือที่สามารถจะกำหนดอายุเวลาได้ จากเอกสารที่เกี่ยวเน่ืองเป็นตัวกำหนด เช่น พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ได้แก่ พระพุทธสิหิงค์จำลอง (ดูบทที่ ๖ หน้า ๓๑๕) ซ่ึงเป็นพระพุทธปฏิมาสำคัญของนิกายเถรวาท คณะ สีหฬภิกขุ ซ่ึงนำเข้ามาสถาปนาในปี พ.ศ. ๑๙๖๗ (ค.ศ. 1424) ทงั้ ทลี่ ้านนา สโุ ขทยั และอยธุ ยา แต่เป็นท่ี นิยมแพร่หลายทีส่ ุดในอาณาจักรล้านนา ชว่ งรัชสมัยพระเจา้ ติโลกราชถงึ พญาแก้ว (พ.ศ. ๑๙๘๔ – ๒๐๖๘ / ค.ศ. 1441 - 1525) และในอาณาจักรอยุธยา นับจากรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ถึงการเสีย กรุงคร้ังทส่ี อง (พ.ศ. ๒๐๓๔ – ๒๓๑๐ / ค.ศ. 1491 - 1767) แต่พระพุทธรูปบางหมวด เชน่ พระพทุ ธรูปประทบั ขัดสมาธเิ พชร ปางปฐมเทศนา ไม่ปรากฏวา่ มีการสร้างขึ้นในประเทศไทย จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน โปรดเกล้าฯ ให้ สร้างพระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ข้ึนในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ (ค.ศ. 1956) หรือพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางประทานพร ซึ่งพระธรรมจินดาภรณ์ (ทองเจือ จินฺตากโร) เป็นผู้คิดแบบขึ้น เมื่อครั้งศิริราชพยาบาลฉลอง ๗๒ ปีของการก่อตั้ง ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ (ค.ศ. 1962) ซ่ึงเป็นต้นแบบให้กับพระพุทธรูปประทานพร ภ.ป.ร. ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกลา้ ฯ ใหห้ ลอ่ ขนึ้ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ (ค.ศ. 1965) เหน็ ไดว้ ่าในบริบทของพุทธศาสนาในประเทศไทย นั้น พระพุทธปฏิมาใช่แต่จะเป็นเพียงสิ่งท่ีระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหมวดของอุเทสิกเจดีย์ เทา่ น้นั แตเ่ ป็นรปู สญั ลักษณแ์ ทนองค์พระมหากษตั ริย์อกี ดว้ ย พระพุทธปฏิมาท่ีพระมหากษัตริย์ทรงสร้าง (ดูบทที่ ๓) เช่น พระพุทธรูปประจำรัชกาล พระ ชยั วัฒน์ประจำรัชกาล พระพุทธรปู ประจำพระชนมพรรษา และพระพทุ ธรูปประจำพระชนมวาร พระมหา กษตั ริย์ในพระบรมราชจักรวี งศเ์ ป็นตัวอย่างกรณีศกึ ษาพระพุทธปฏิมาของไทย เพราะนอกจากจะเปน็ การ ผนวกเอาพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์มารวมอยู่ในพระพุทธปฏิมาองค์เดียวกันแล้ว ยังแสดงให้เห็น ถึงแรงบันดาลใจจากพระราชศรัทธาที่ก่อให้เกิดความเปล่ียนแปลงในเชิงรูปแบบ ซ่ึงสะท้อนให้เห็นถึง พระราชนยิ มของแตล่ ะรัชกาลตามกาลเวลาไดอ้ ยา่ งชัดเจนทส่ี ดุ ผู้เขียนขอขอบพระคุณธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ให้ความไว้วางใจมอบทุนให้ ทำงานชิ้นนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสเจริญพระชนมพรรษา ครบ ๘๐ พรรษา ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะต้ังปณิธานให้หนังสือเล่มนี้มีความผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่ความสามารถจะ ทำได้ แต่เนื่องด้วยการวินิจฉัยข้อมูลที่มีข้อจำกัดทางปริมาณและเวลา จึงอาจเป็นตัวแปรที่ก่อให้เกิด ความผิดพลาดขึ้นได้ โดยเฉพาะการตีความหมายที่มาจากมุมมองในยุคปัจจุบัน ซ่ึงอาจไม่สอดคล้องกับ เหตกุ ารณ์ท่เี กิดข้นึ ในอดีต ดังนั้น หนังสือเลม่ น้จี งึ อาจมขี อ้ บกพร่อง ซ่ึงต้องปรบั ปรงุ แกไ้ ขในโอกาสตอ่ ไป อยา่ งไรกด็ ี ผ้เู ขียนหวังเปน็ อย่างย่งิ ว่า หนงั สือ ลกั ษณะไทย เลม่ ๑ พระพทุ ธปฏิมา อตั ลกั ษณพ์ ุทธศลิ ป์ ไทย เล่มน้ีเป็นความพยายามหนึ่งท่ีจะศึกษาและรวบรวมทั้งข้อมูลและรูปภาพท่ีเกี่ยวข้องกับพระพุทธ- ปฏิมาท่ีสำคัญอันถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ที่สะท้อนและบอกเล่าความเป็น ลักษณะไทย จากแง่มุม ทางดา้ นพทุ ธศลิ ป์ อันจะเป็นประโยชนไ์ ม่มากกน็ อ้ ยสำหรับผู้สนใจ ตลอดจนเป็นแหล่งข้อมลู อา้ งองิ สำหรบั ผู้ท่ีประสงค์จะศึกษาคน้ ควา้ ตอ่ ไป ตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ท่ีพระราชทาน ไว้ในพธิ ีพระราชทานปริญญาบตั รของมหาวทิ ยาลัยศิลปากร เมื่อวนั ท่ี ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ วา่ งานด้านการศกึ ษา ศิลปะและวฒั นธรรมนนั้ คืองานสรา้ งสรรค์ความเจรญิ ทาง ปัญญาและจติ ใจ ซึง่ เปน็ ตน้ เหตุทง้ั องคป์ ระกอบท่ีขาดไมไ่ ด้ของความเจรญิ ด้าน อ่ืนๆ ทั้งหมด และเป็นปัจจัยท่ีช่วยให้เรารักษาและดำรงความเป็นไทยไว้ได้ สบื ไป (สำนกั ราชเลขาธกิ าร ๒๕๑๕, ๓๔๔) บทนำ ๑๑

พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย