Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือจาริกบุญ_จารึกธรรม_ณ_แดนพุทธภูมิ

คู่มือจาริกบุญ_จารึกธรรม_ณ_แดนพุทธภูมิ

Description: คู่มือจาริกบุญ_จารึกธรรม_ณ_แดนพุทธภูมิ

Search

Read the Text Version

ธรรมบรรณาการ นอ้ มนมัสการ กตัญญู มทุ ติ า คารวะ เนือ่ งในโอกาสเจริญอายุวฒั นมงคลครบ ๔๗ ปี พระอธิการสมศักดิ์ โสรโท เจ้าอาวาสวัดภัททันตะอาสภาราม บ้านหนองปรอื ตำ�บลหนองไผ่แก้ว อำ�เภอบา้ นบงึ จงั หวัดชลบรุ ี วันศกุ รท์ ่ี ๒๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบ่งปันเป็ นธรรมทาน

บรู พาอาจริยสักการ ปาเจราจริยา โหนฺติ คณุ ตุ ฺตรานุสาสกา ครบู าอาจารย์เปน็ ผ้มู คี ณุ ย่ิง เปน็ ผู้พรำ่�สอนศลิ ปวทิ ยา ปญญฺ าวุฑฺฒิกเรเต เต ทนิ โฺ นวาเท นมามิหํ ข้าพเจ้าขอนอบนอ้ มครบู าอาจารยผ์ ูใ้ หโ้ อวาทเหลา่ นัน้

ดร.พระอาจารย์ภทั ทนั ตะอาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจรยิ ะ อาจารย์ใหญฝ่ า่ ยวิปัสสนาธรุ ะ ผู้ประสทิ ธ์ิประสาทถา่ ยทอดเทคนิคการ สอนวปิ ัสสนากรรมฐาน แก่ พระอธกิ ารสมศักดิ์ โสรโท

มทุ ติ าสักการะ ยี่ สิ บ เ ก้ า ตุ ล า ม า บ ร ร จ บ เป็นวันครบคล้ายวันเกิดประเสริฐศรี พ ร ะ อ ธิ ก า ร ส ม ศั ก ดิ์ ส่ี สิ บ เ จ็ ด ปี พ ร ร ษ า ที่ ย่ี สิ บ เ จ็ ด เ ส ร็ จ บ ริ บู ร ณ์ ข อ ท่ า น เ จ ริ ญ ก้ า ว ห น้ า ใ น ธ ร ร ม า อ ร หั น ต า พ ล า ส ม า บั ติ เ พิ่ ม พู น ข อ ท่ า น สุ ข อ น า มั ย ส ม บู ร ณ์ ได้อยู่เก้ือกูลแก่ศิษย์ตลอดกาลนาน ประพม.นั โชธย์ถุวาย

พระอธกิ ารสมศักด์ิ โสรโท ครบรอบอายุ ๔๗ ปี พรรษา ๒๗ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓

คำ�ปรารภ คู่มือ จาริกบุญ จารกึ ธรรม ณ แดนพุทธภูมิ เล่มนี้ จดั พมิ พ์ เป็นธรรมบรรณาการเพ่อื นอ้ มนมสั การ กตญั ญมู ทุ ิตาคารวะ และเป็นท่ี ระลึกเนื่องในโอกาสเจริญอายุวฒั นมงคลครบ ๔๗ ปี พระอธกิ าร สมศกั ด์ิ โสรโท เจ้าอาวาสวัดภทั ทันตะอาสภาราม บ้านหนองปรือ ต�ำ บลหนองไผ่แกว้ อ�ำ เภอบ้านบึง จังหวดั ชลบุรี ซง่ึ ในปีนต้ี รงกับวนั ศุกร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๓ เนอ้ื หาสาระในภาคแรกของหนังสือเลม่ นี้ เปน็ เรื่องของแดน พทุ ธภมู ิ ซึง่ ก็คอื ประเทศอินเดยี และเนปาลในปัจจบุ ัน อันเปน็ สถาน ทีเ่ กย่ี วเน่ืองและส�ำ คญั ยิ่งในพุทธศาสนา โดยแบง่ ตามเมืองต่างๆใน สมยั พทุ ธกาล ไมว่ ่าจะเปน็ เมืองอนั เป็นสงั เวชนียสถานท้งั ส่ี คอื ลมุ พินวี ัน สถานท่ีประสตู ิ พทุ ธคยา สถานท่ีตรัสรู้ พาราณสี สถานท่ี แสดงปฐมเทศนาและกุสนิ ารา สถานที่เสด็จดับขันธปรนิ ิพพานแห่งองค์ สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ รวมทัง้ เมืองอื่นอีก ๙ เมอื ง คือ ราชคฤห์ นาลนั ทา สาวัตถี สังกัสสะ โกสมั พี สาเกต กรุ ุ ปาฏลีบตุ รและเวสาล ี ขา้ พเจ้าได้รวบรวมพทุ ธประวัตทิ ี่เกีย่ วข้องกับเมืองนน้ั ๆ พรอ้ ม กบั ความสำ�คัญทีม่ มี าแต่คร้งั พทุ ธกาลจนถึงปัจจุบนั รปู แบบการน�ำ เสนอของหนังสือเล่มน้ีเป็นไปในลักษณะของหนังสือภาพที่มีเน้ือหาประ กอบคำ�อธิบายเร่ืองราวพอสังเขป นอกจากนี้ยังไดร้ วบรวมความเป็น มาของการจารกิ บญุ จารึกธรรมยงั สงั เวชนียสถานของชาวพุทธ และ ทศั นคตพิ ร้อมท้ังค�ำ แนะน�ำ ในการจาริกบญุ จารึกธรรม ณ แดนพุทธ ภมู ิ ของพระอาจารย์สมศกั ด์ิ โสรโท ไวใ้ นหนงั สอื เล่มนี้ดว้ ย

ในภาค ๒ ของหนังสือเลม่ นไี้ ด้รวบรวมบทสวดมนตท์ ีพ่ ระ อาจารยน์ ยิ มสวดในขณะจาริกบุญ จารึกธรรม ณ แดนพทุ ธภูมิ พร้อม กันน้ีไดร้ วมค�ำ บชู าพทุ ธสถานต่างๆ ในแดนพทุ ธภูมิไว้ดว้ ย และเพอ่ื เปน็ การคงพระบาลใี นบทสวดมนต์ไว้ มใิ ห้พุทธพจน์ผดิ เพ้ยี น จงึ ยังคง สญั ลกั ษณ์ปกี กา ( ๎ ) ไว้ในบทสวดมนต์ และไดอ้ ธบิ ายวธิ ีการอา่ น สัญลกั ษณด์ ังกล่าวไวใ้ นภาค ๓ ซงึ่ เป็นภาคผนวกของหนังสือ ขออนุโมทนาคณะผู้มีส่วนช่วยเหลือในการจัดทำ�ทุกภาคส่วน ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญในกุศลศรัทธาของผู้ร่วมบริจาคใน การจัดพิมพ์ หากมีภาพถา่ ยหรอื ขอ้ ความตอนใดในหนงั สือเล่มนผี้ ิด พลาดบกพรอ่ ง ขา้ พเจ้ากราบขออภัยและขอน้อมรับไว้ หวังเปน็ อย่างยิง่ วา่ หนังสอื เลม่ น้จี ะเป็นสอ่ื นอ้ มนำ�จิตใจของสาธชุ นท้งั หลาย ใหไ้ ดร้ ะลึก ถึงพระพทุ ธ พระธรรมและพระสงฆ์ อนั เป็นเหตุให้บุญกศุ ลที่ยงั ไมเ่ กิด ได้เกดิ ขนึ้ และยงั บญุ กศุ ลท่ีเกิดข้ึนแล้วให้เจริญยิ่งขึ้น เพอื่ เป็นปัจจัยให้ ถงึ ความหลุดพน้ จากทกุ ขใ์ นวฏั สงสาร และบรรลุถึงมรรคผลนิพพาน ในอนาคตกาลอันใกล้ บญุ กุศลทัง้ หลายทง้ั ปวงทีเ่ กดิ จากการจดั ทำ� หนงั สือเลม่ นี้ ขอน้อมถวายเปน็ เคร่ืองบูชา มทุ ติ าสักการะแด่พระอธิการ สมศกั ด์ิ โสรโท ดว้ ยความกตัญญูและระลกึ ในพระคุณอย่างสงู สุด ขอ คุณพระศรีรัตนตรัยและกุศลจริยวัตรปฏิบัติท่ีพระอาจารย์ได้บำ�เพ็ญมา จงเป็นพลวปัจจัยอำ�นวยพรให้พระอาจารย์เจริญงอกงามไพบูลย์สถิต สถาพรในบวรพระพทุ ธศาสนา และเพียบพรอ้ มด้วยจตรุ พธิ พรชยั คอื อายุ ว รรณะ สุขะ พละนปพฏ.ชภิ ยาพณัทธธร์ รมชสยุพารงสคม์ บัติ ตลอดกาลนานเทอญ บรรณาธกิ าร

ค�ำ อนโุ มทนา มีพทุ ธศาสนสุภาษติ ว่า กตญญฺ โุ น หิ สปปฺ ุริสา กตเวทโิ น คนดียอ่ มเปน็ ผู้กตัญญแู ละกตเวท ี (วินยั ๔/๙๒) สปฺปุรสิ ภูมิ ยททิ ํ กตญญฺ ุตา กตเวทติ า การรูค้ ุณและตอบแทนคุณ เปน็ คณุ ธรรมพนื้ ฐานของคนดี (เอกนบิ าต ๒๐/๗๐) ยสมฺ ึ กตญญฺ ุตา นตฺถิ นริ ตฺถา ตสฺส เสวนา ความกตัญญไู ม่มใี นคนใด การคบกบั คนนน้ั กไ็ ร้ประโยชน์ (ชวสกณุ ชาดก ๒๗/๑๓๐) อนโุ มทนาเจตนาอนั เป็นบุญของ นายแพทยช์ ยพัทธ์ ชยุพงค์ รวมทงั้ คณะผเู้ กีย่ วข้องทีไ่ ด้ชว่ ยกนั ขวนขวายแสวงหา ค้นคว้ารวบรวม ข้อมลู เพ่ิมเติมจากเน้ือหาทมี่ ีอยเู่ ดมิ ซงึ่ ได้จากพระไตรปิฎก มาจัด ทำ�เปน็ หนังสือ “คู่มือจาริกบุญ จารึกธรรม ณ แดนพทุ ธภูม”ิ ให้มี ความสมบรู ณย์ ่งิ ข้นึ เพ่อื นอ้ มถวายเป็นอาจริยบูชาแก่ข้าพเจา้ เนอ่ื ง ในงานทำ�บุญอายุวฒั นมงคลครบ ๔๗ ปี ๒๗ พรรษา ๒๙ ตุลาคม พทุ ธศักราช ๒๕๕๓

การที่ท่านท้ังหลายได้มีเจตนาที่ดีเท่ากับเป็นการประกาศ ยกยอ่ ง ตอบแทนครูบาอาจารยต์ ามสมควรแกเ่ หตแุ หง่ ความเป็น คนดี ซ่งึ บางครงั้ ความดคี นท่วั ไปมองไม่เห็น นอกเสยี จากวา่ คนดี จริงๆ จงึ จะตระหนกั เหน็ ได้ หนงั สอื เล่มนี้จดั พมิ พ์ เพื่อแจกเป็น ธรรมบรรณาการแก่ผู้รว่ มเดนิ ทางไปยังสังเวชนยี สถาน ๔ แหง่ และพุทธสถานทีเ่ กี่ยวขอ้ งอ่ืนๆ ณ ประเทศอนิ เดียและประเทศ เนปาล กบั คณะวดั ภทั ทนั ตะอาสภาราม ขออนโุ มทนาบุญแกค่ ณะศษิ ยานศุ ิษย์ และผู้รว่ มเปน็ เจา้ ภาพ ในการจัดพิมพห์ นังสอื เลม่ น้ี ดว้ ยอานภุ าพแห่งคณุ พระศรรี ัตนตรัย คุณความดอี นั เกดิ จากบุญกศุ ลทั้งหลาย จงปกแผ่คมุ้ ครองป้องกัน มอี ำ�นาจในการกำ�จัดทุกข์โศกโรคภัยอันตรายทงั้ มวล ขอให้มคี วาม สุขสมบรู ณ์ด้วย มนุษยสมบัติ สวรรคสมบตั ิ และพระนพิ พาน สมบัติ เทอญ พระอธิการสมศกั ดิ์ โสรโท เจา้ อาวาสวัดภทั ทันตะอาสภาราม

สารบัญ บูรพาอาจริยสักการ ๔ มุทิตาสักการะ ๖ คำ�ปรารภ ๘ ค�ำ อนุโมทนา ๑๐ ภาค ๑ จาริกบญุ จารกึ ธรรม ณ แดนพุทธภมู ิ • ความเปน็ มาของการจารกิ บญุ จารกึ ธรรม ยงั สังเวชนยี สถานของชาวพทุ ธ ๑๙ • ทำ�ไมขา้ พเจา้ จงึ ไปอนิ เดีย ๒๔ • ค�ำ แนะนำ�ในการจาริกบุญ จารกึ ธรรม ณ แดนพทุ ธภมู ิ ๒๘ • การจารกิ บุญ จารึกธรรม ณ แดนพทุ ธภมู ิ ลุมพินวี นั : ประสตู ิ ๓๐ พุทธคยา : ตรสั ร ู้ ๖๒ พาราณสี : ปฐมเทศนา ๑๐๔ ราชคฤห ์ : โอวาทปาฏโิ มกข์ ๑๒๘ นาลนั ทา : มาตภุ มู ขิ องอัครสาวก ๑๖๔ สาวัตถ ี : ยมกปาฏิหารยิ ์ ๑๗๔ สงั กัสสะ : ดาวดึงส์ ๒๐๔ โกสมั พ ี : สามคั คีธรรม ๒๑๔

สาเกต : กฐินทาน ๒๒๘ กุร ุ : มหาสตปิ ัฏฐานสูตร ๒๓๒ ปาฏลบี ตุ ร : โคตมตติ ถะ ๒๓๘ เวสาลี : บวชภกิ ษณุ ี ๒๔๖ กสุ นิ ารา : ปรนิ พิ พาน ๒๖๒ ภาค ๒ รวมบทสวดมนต์ ๒๙๙ ๓๐๑ คำ�บชู าพระรตั นตรัย ปพุ พะภาคะนะมะการะ ๓๐๕ คำ�ทำ�วตั รเช้า ๓๐๗ พทุ ธาภิถุติ ๓๐๘ ธมั มาภิถตุ ิ ๓๑๐ สงั ฆาภถิ ุติ ๓๑๑ ระตะนตั ตะยปั ปะณามะคาถา ๓๑๗ สงั เวคะปะรกิ ิตตะนะปาฐะ ๓๒๐ ปัตติทานะคาถา ๓๒๕ สัพพะปตั ตทิ านะคาถา ๓๒๖ ค�ำ ท�ำ วัตรเย็น ๓๒๙ พุทธานสุ สะติ ๓๓๐ พุทธาภิคตี ิ ธมั มานสุ สะต ิ ธัมมาภิคีติ

สงั ฆานุสสะต ิ ๓๓๒ สังฆาภคิ ีติ ๓๓๔ อทุ ทิสสะนาธิฏฐานะคาถา ๓๓๖ ๓๔๓ บทสวดมนตพ์ เิ ศษ ๓๔๔ ๓๔๕ นมัสการพระอรหนั ต์ ๘ ทิศ ๓๔๘ คาถาบชู าพระพทุ ธสหิ งิ ค ์ ๓๔๙ อะภณิ หะปัจจะเวกขะณะปาฐะ ๓๕๐ โอวาทะปาฏโิ มกขะคาถา ๓๕๑ ปะฐะมะพุทธะภาสิตะคาถา ๓๕๕ ปัจฉมิ ะพทุ โธวาทะปาฐะ ๓๕๖ คาถาโพธบิ าท ๓๖๓ คาถามงคลจักรวาลแปดทศิ ๓๖๕ บารมี ๓๐ ทัศ ๓๖๖ ๓๖๗ พุทธมนต์ พระสูตร ๓๗๐ ๓๗๑ กะระณียะเมตตะสุตตงั ๓๙๑ ขนั ธะปะริตตงั ๓๙๓ โพชฌังคะปะริตตัง ถวายพรพระ ชะยะปะริตตัง ธัมมะจกั กัปปะวัตตะนะสตุ ตงั ค�ำ บชู าพทุ ธสถานตา่ งๆ คำ�บูชาสถานทป่ี ระสูต ิ คำ�บูชาสถานทต่ี รัสร ู้

ค�ำ บชู าพระพทุ ธเมตตา ๓๙๕ ค�ำ บชู าพระศรีมหาโพธิ์ตรัสรู้ ๓๙๗ คำ�บชู าสถานทแ่ี สดงปฐมเทศนา ๓๙๙ ค�ำ บชู าสถานทีพ่ ระยสะพบพระพุทธองค ์ ๔๐๑ คำ�บูชาเวฬวุ ันมหาวิหาร ๔๐๓ ค�ำ บชู ามูลคันธกฎุ ี บนยอดเขาคชิ ฌกฏู ๔๐๕ คำ�บชู าถ้�ำ สกุ รขาตา ๔๐๗ ค�ำ บชู าเจดยี ์นาลนั ทา ๔๐๙ ค�ำ บชู ามูลคนั ธกุฎี เชตวนั มหาวหิ าร ๔๑๑ คำ�บูชาสถูปยมกปาฏิหาริย์ ๔๑๓ คำ�บูชาสถปู สังกสั สะนคร ๔๑๕ คำ�บูชาสถานท่ีแสดงมหาสติปฏั ฐานสตู ร ๔๑๗ ค�ำ บชู าพระบรมสารรี กิ ธาตเุ จดยี ์ เวสาลี ๔๑๙ ค�ำ บชู าสถปู ปรินิพพาน ๔๒๑ ค�ำ บชู าพระพุทธปรนิ ิพพาน ๔๒๓ ค�ำ บูชาสถานทถ่ี วายพระเพลิง ๔๒๕ ค�ำ บูชาโทณพราหมณ์เจดีย์ ๔๒๗ ๔๓๐ ภาค ๓ ภาคผนวก ๔๓๑ ๔๓๓ วธิ ีการอ่านสญั ลักษณ์ปีกกาในบทสวดมนต ์ บรรณานุกรม เอกสารอา้ งองิ

ภาค ๑

จารกิ บญุ จารึกธรรม ณ แดนพุทธภูมิ

การจารกิ บญุ จารกึ ธรรมของชาวพุทธในดนิ แดนพทุ ธภมู ิ คือ การเดนิ ทางของพุทธศาสนกิ ชนผู้มศี รทั ธา เพ่อื ไปสกั การะสถาน ที่สำ�คัญในพระพุทธประวัติหรือสถูปเจดีย์ท่ีมีความสำ�คัญเกี่ยวข้อง กับพระพทุ ธเจ้าพระบรมศาสดาแหง่ พระพุทธศาสนา ในดินแดนท่ี เรยี กว่า ชมพูทวปี ในสมยั พุทธกาล (คือดินแดนที่เป็นส่วนหน่งึ ของ อนิ เดยี และเนปาลในปจั จบุ ัน) โดยสถานท่สี �ำ คัญทถี่ ือไดว้ า่ เป็นจุด หมายหลักของชาวพทุ ธคือ สังเวชนยี สถาน ๔ ต�ำ บล คือ ลุมพนิ ี วนั สถานท่ีประสูติ พุทธคยา สถานทต่ี รสั รู้ สารนาถ สถานทแ่ี สดง ปฐมเทศนา และกุสินารา สถานที่เสด็จดับขนั ธปรนิ ิพพานแหง่ องค์ สมเด็จพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ซงึ่ นอกจากสงั เวชนียสถานแล้ว ยงั มสี ถานที่ส�ำ คญั อื่น ๆ อกี มาก ท่มี ีความเกี่ยวขอ้ งกบั พระพุทธเจ้า และประวัติศาสตรพ์ ทุ ธศาสนา ท้งั ท่ีเปน็ มหาสังฆารามในอดีต หรือ เมืองสำ�คัญในสมัยพุทธกาลท่ีมีความเกี่ยวข้องปรากฏในคัมภีร์ทาง พระพทุ ธศาสนา ซึ่งบางแหง่ ได้รบั การยกย่องให้เป็นมรดกโลก เชน่ พุทธคยา ถ�้ำ อชันตา-แอลโลรา่ เป็นตน้ เดิมนัน้ การเดินทางไปสักการะยังสถานท่ีตา่ ง ๆ ในดนิ แดน พทุ ธภูมเิ ปน็ ไปดว้ ยความยากลำ�บาก ตอ้ งมคี วามศรทั ธาต้ังม่นั อยา่ ง มากจึงจะสามารถไปนมัสการไดค้ รบทกุ แห่ง ปัจจุบนั การเดนิ ทาง สะดวกสบายขึ้น มีวัดพทุ ธนานาชาติอยใู่ นจดุ ส�ำ คญั ๆ ของพุทธ สถานต่าง ๆ ท�ำ ให้ชาวพุทธจากทวั่ โลกนิยมไปนมสั การพทุ ธสถาน ในดินแดนพุทธภมู เิ ปน็ จำ�นวนมากข้ึน

ความเปน็ มาของการจารกิ บุญ จารึกธรรม ยังสงั เวชนยี สถานของชาวพทุ ธ 19

ในวันเพ็ญ เดือน ๖ ณ กาลนัน้ พระพทุ ธเจา้ ทรงมพี ระ ชนมายุ ๘๐ พรรษา พระบรมศาสดาทรงตรัสแกพ่ ระอานนท์ว่า \"อานนท์ในยามท่สี ุดแห่งราตรวี ันนี้แหละ ตถาคตจะ ปรินิพพาน ณ ระหว่างไมส้ าละทงั้ คู่ ในสาลวโนทยานแห่งมลั ล กษตั ริย์ ใกล้เมอื งกุสินารา\" ครั้นพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ได้เสด็จพระพุทธ ดำ�เนนิ ขา้ มแมน่ ำ�้ หริ ัญญวดี ไปเมอื งกุสินารา โปรดใหพ้ ระอานนท์ ปูลาดเตยี งทบี่ รรทม ณ ระหวา่ งไมส้ าละทัง้ คู่ และเสดจ็ ขนึ้ บรรทม สีหไสยาสน์ (เป็นการนอนอย่างราชสีห์ คอื นอนตะแคงขวา ซ้อน เท้าเหลื่อมเท้า มอื ซ้ายพาดไปตามล�ำ ตัว มอื ขวาชอ้ นศรี ษะไมพ่ ลกิ กลับไปมา มสี ตสิ มั ปชญั ญะก�ำ หนดใจถึงการลกุ ข้ึนไว้) แต่พระบรม ศาสดามไิ ดม้ ีอฏุ ฐานสัญญามนสิการ คอื ไมค่ ิดจะลกุ ขน้ึ อกี แลว้ เพราะเหตุเปน็ ไสยาอวสาน คือการนอนครั้งสดุ ทา้ ย (หรอื อนุฏฐาน ไสยา คอื นอนไมล่ ุก) ณ พระแทน่ บรรทม หรือเตียงปรนิ ิพพานนั้นเอง พระพุทธ องค์ไดท้ รงปรารภเร่ืองราวต่างๆ หลายเร่ืองกบั พระอานนท์พุทธ อปุ ัฏฐาก คร้งั น้นั พระอานนทเ์ ถรเจ้าได้กราบทูลพระองค์วา่ “ในกาลก่อนภิกษุท้ังหลายที่ได้แยกย้ายกันไปจำ�พรรษา อยูต่ ามชนบทในทิศต่างๆ เมอื่ สิ้นไตรมาสครบ ๓ เดือนตามวนิ ยั นยิ มหรือออกพรรษาแลว้ ขา้ พระองค์ท้งั หลายกย็ ่อมจะเดินทาง

มาเฝา้ พระองค์เป็นอาจณิ วตั ร กเ็ พ่ือจะไดเ้ ห็นจะไดเ้ ขา้ ใกล้ จะได้ อปุ ัฏฐากพระองค์ อันจะทำ�ใหเ้ กิดความเจริญทางจติ ก็มาบดั นี้เมอื่ กาลแห่งการลว่ งไปแห่งพระองค์แลว้ ก็แลว้ ขา้ พระองค์ท้งั หลายกจ็ ะ ไมไ่ ดเ้ ห็น จะไม่ไดน้ ั่งใกล้ จะไม่ไดส้ นทนาธรรม เหมอื นกบั สมัยที่ พระองคย์ ังมีพระชนม์ชพี อีกต่อไป” เม่อื พระอานนทก์ ราบทูลดังนแ้ี ลว้ พระพุทธเจา้ ตรสั ว่า “อานนท์ สงั เวชนียสถาน ๔ ตำ�บล นี้ คอื ๑. สถานที่พระตถาคตเจ้าบังเกดิ แล้ว คอื ทีป่ ระสตู จิ ากพระ ครรภ์ (คอื อทุ ยานลุมพนิ ี ก่ึงกลางระหวา่ งกรุงกบิลพสั ดแ์ุ ละกรงุ เทวทหะ กรุงกบิลพสั ด์เุ ป็นเมอื งหลวงของแควน้ สกั กะ กรุงเทวทหะ เป็นเมืองหลวงของแควน้ โกลยิ ะ ปัจจบุ ันอย่ใู นเขตประเทศเนปาล หา่ งชายแดนภาคเหนือของประเทศอนิ เดยี ๖ กโิ ลเมตรคร่ึง บดั นี้ เรยี กว่า ลมุ มนิ เด) ๒. สถานทพี่ ระตถาคตเจา้ ตรสั รูอ้ นุตตรสัมมาสมั โพธญิ าณ (คือใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ภายในปา่ สาละ ใกลแ้ มน่ ำ้ �เนรญั ชรา ตำ�บล อรุ เุ วลาเสนานิคม แควน้ มคธ ปัจจุบนั คอื ควงโพธิ์ที่ตำ�บลพทุ ธคยา รฐั พิหาร ประเทศอนิ เดยี ) ๓. สถานทีพ่ ระตถาคตเจา้ แสดงธรรมจกั ร (คือสถานทีซ่ ึง่ พระพทุ ธเจ้าแสดงธรรมปฐมเทศนาโปรดปญั จวคั คยี ์ ณ ปา่ อสิ ปิ ตน มฤคทายวัน ทางทศิ เหนอื ของเมืองพาราณสี แคว้นกาสี ปัจจบุ ันนี้ เรยี กว่า สารนาถ พาราณสีบดั นีเ้ รียกวา่ วาราณส)ี 21

๔. สถานท่ีพระตถาคตเจา้ ปรนิ พิ พาน (คอื ทสี่ าลวโนทยาน เมืองกุสนิ ารา แควน้ มัลละ ปัจจุบนั นีเ้ รยี กเมอื งกาเซีย จงั หวดั โครกั ขปุระ) สถานที่ท้งั ๔ ตำ�บลน้แี ล ควรที่พทุ ธบริษทั คือ ภกิ ษุ ภิกษุณี อบุ าสก อบุ าสกิ า มคี วามเช่อื ความเลื่อมใสในพระตถาคต เจา้ จะดจู ะเหน็ และควรจะให้เกิดความสังเวชทั่วกนั ” “อานนท์ ชนท้ังหลายเหล่าใดเหล่าหน่งึ ได้เท่ยี วไปยงั เจดีย์ สงั เวชนียสถานเหลา่ น้ดี ้วยความเลอื่ มใส ชนเหลา่ นน้ั คร้นั ทำ� กาลกริ ยิ าลงจกั เข้าถึงสุคตโิ ลกสวรรค”์ อนงึ่ สงั เวชนียสถาน มคี วามหมายถงึ สถานอนั เป็นท่ตี ้ัง แหง่ ความสงั เวช แตค่ �ำ ว่า“สังเวช”ในทางธรรมนนั้ มีความหมายลึก ซึง้ กวา่ ความหมายของคำ�วา่ สังเวชทพ่ี บเหน็ กนั ท่วั ๆ ไป กล่าวคือ ในทางธรรมหมายถึง ความรู้สึกสลดใจที่ท�ำ ให้คิดได้ ทำ�ใหจ้ ิตใจหัน มานึกถงึ สง่ิ ท่ีดีงามเกดิ ความไมป่ ระมาท เพียรพยายามทำ�ส่ิงทเี่ ป็น กศุ ลตอ่ ไป จงึ จะเรยี กวา่ “สังเวช” สมเดจ็ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรง แสดงความ ๔ ต�ำ บลว่าเป็นท่คี วรเห็น ควรดู ควรใหเ้ กิดสงั เวชของ กุลบุตร กุลธดิ า นเ้ี องเป็นทีม่ าของสังเวชนียสถาน ๔ แหง่ ในดนิ แดนพทุ ธภูมิ ทชี่ าวพุทธท้ังหลายสมควรอยา่ งย่ิงทจี่ ะไปนมัสการ

สักการะสักครง้ั หนงึ่ ในชีวิต ห ลั ง จ า ก พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า เ ส ด็ จ ดั บ ขั น ธ ป ริ นิ พ พ า น พุทธศาสนิกชนผู้ศรัทธาทั้งหลายก็ได้นิยมเดินทางมานมัสการสถาน ทส่ี �ำ คัญเหลา่ น้ี ดังปรากฏหลกั ฐานของสมณทูตจากประเทศจนี เชน่ หลวงจนี ฟาเหียน พระถงั ซัมจัง๋ เปน็ ตน้ ท่ไี ด้เดนิ ทางมาจาก ประเทศจีนเพื่อสักการะสังเวชนียสถานและสถานท่ีสำ�คัญในพุทธ ประวัตอิ น่ื ๆ ซ่ึงรวมถงึ เรอื่ งราวการเดนิ ทางของชาวไทยท่ีจาริกไป พุทธคยาด้วย (ซงึ่ ผ้จู าริกได้นำ�รูปแบบสถาปัตยกรรมของพระมหา โพธเิ จดยี ม์ าสรา้ งเป็นเจดีย์ วัดเจดีย์เจด็ ยอดในตวั เมืองเชียงใหม่) แต่หลงั จากพระพทุ ธศาสนาไดเ้ ส่ือมไปจากอนิ เดยี สังเวชนยี สถาน และสถานที่สำ�คัญอน่ื ๆ ก็ได้ถกู ทง้ิ รา้ งไป ซง่ึ ในระยะนนั้ กม็ ีชาว พุทธเขา้ มาบรู ณะบา้ งเป็นครั้งคราว แตส่ ดุ ท้ายก็ได้ถกู ปล่อยทง้ิ ร้าง อยา่ งสิน้ เชิงในชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ จนอนทุ วปี อนิ เดยี (ยกเวน้ ศรลี ังกา) ถูกอังกฤษเขา้ มาปกครองเปน็ อาณานคิ ม จงึ ไดเ้ รมิ่ มกี าร เขา้ ไปบรู ณะขุดคน้ ทางโบราณคดยี ังสถานทีส่ �ำ คัญต่าง ๆ ซึ่งถกู ท้งิ ร้างเปน็ เนนิ ดินจำ�นวนมาก และมกี ารบูรณะเร่อื ยมาโดยศรัทธา ทนุ ทรัพย์ของชาวพุทธบา้ ง รัฐบาลอนิ เดียบ้าง จนในชว่ งหลงั พ.ศ. ๒๕๐๐ จึงได้เร่มิ มีชาวพุทธทกุ นิกายจากทั่วโลกนยิ มมานมสั การ สังเวชนียสถานและสถานที่สำ�คัญในพระพุทธศาสนาดินแดนพุทธ ภมู มิ ากขน้ึ จนถงึ ปัจจุบนั 23

ท�ำ ไมขา้ พเจา้ จงึ ไปอนิ เดีย โสรโท ภกิ ขุ

๑. เพราะนับถอื พระพุทธศาสนาต้งั แตย่ งั ไม่ลมื ตาดูโลก ในเม่ือบรรพบรุ ษุ นับถือพระพุทธศาสนา จงึ เป็นเหตุผล วา่ ทำ�ไมขา้ พเจ้าจึงตอ้ งไปประเทศอินเดีย ท่านเหล่านัน้ ได้กลา่ ว พรรณนาถงึ คณุ ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์และครบู า อาจารย์ท่ีท่านปฏิบัติดี ปฏิบัตชิ อบตามหลักค�ำ สอนของพระพุทธ องค์ ท�ำ ให้ข้าพเจา้ ไดย้ นิ ได้ฟังเร่อื งราวทเ่ี ก่ยี วข้องดังกล่าวนั้นอยู่ เสมอ จงึ เปรียบเสมอื นแรงผลกั ที่มีก�ำ ลงั ท�ำ ให้มีความปรารถนาท่ี จะไปส่สู ถานทแ่ี ห่งนนั้ สกั คร้งั หนง่ึ ในชีวิตของชาวพุทธ ๒. ไดศ้ ึกษาคน้ หาความจรงิ ในเมอ่ื ไปแลว้ สงิ่ ท่แี ฝงเรน้ อยูใ่ นจติ ใจ คอื ความใฝ่รู้ หรือ ใฝฝ่ นั วา่ เร่อื งทีไ่ ด้ยินไดฟ้ งั มาน้นั เท็จจริงอยา่ งไร หรือเปน็ เพียงแค่ ต�ำ นานหรอื เรอื่ งเลา่ เพอ่ื ให้ทกุ คนละเว้นความช่ัว ทำ�ความดี และ ท�ำ จติ ใจใหบ้ ริสทุ ธผ์ิ ่องใสเท่านน้ั ศาสดาหามตี ัวตนที่ชดั เจนไม่ แต่ เมือ่ ไปแลว้ ท�ำ ใหแ้ นบแนน่ ในศาสนายิ่งๆ ข้ึนไปอกี เพราะทุกสงิ่ คือ ความจริงท่ไี ด้รบั การยนื ยนั แล้ว ๓. ไดพ้ ิสูจน์ในสงิ่ ท่ีตนเองนับถือ ความรู้สึกภายในใจท่ีมีมาตลอดก็คือในเมื่อยอมรับนับถือ แล้ว แต่กอ็ ดไม่ไดท้ ี่ยังอยากจะพสิ จู นว์ ่า ส่ิงที่นบั ถอื นั้นเป็นเชน่ น้นั จรงิ ไหม เมื่อเปน็ เช่นนจี้ ึงตอ้ งพาใจไปพสิ ูจน์กับซากปรกั หกั พัง หรอื ซากอฐิ หิน ดิน ทราย ท่กี องทบั ถมกนั มายาวนาน ว่าเป็นอย่างท่ี เขาเล่าว่าหรือเปล่า บางครัง้ มีตำ�ราหรอื อาศัยต�ำ ราบอกทีต่ งั้ สถานที่ หรือทม่ี าท่ไี ปได้ชดั เจน แตอ่ าจจะพาใจไปไมถ่ ึง เพราะฉะนั้นจึงต้อง พสิ ูจน์ดว้ ยตนเอง 25

๔. แสวงหาเพ่อื ฝึกปรอื ตามหลักธรรมค�ำ สอน เมอ่ื พสิ ูจน์ชัดไมม่ ีขอ้ ตดิ ขัดในสิ่งทไ่ี ด้นับถือ แตก่ ็ยังด้อื ปรารถนาจะรใู้ หช้ ัดยงิ่ กว่าท่รี ู้ จึงน�ำ ไปสกู่ ารแสวงหาเพอื่ ฝกึ ปรือ ตามแนวทางที่ประเสริฐ อันไม่เป็นไปเพอ่ื ชราและมรณะอกี การ ไปอินเดียแต่ละครั้งจึงยึดแนวทางของท่านผู้ไปแล้วไม่กลับมาอีก อยา่ งนอ้ ยก็เป็นกำ�ลังใจวา่ ต้องเดินตามพระองค์ไป เพราะสิง่ ทเ่ี หน็ เปน็ ประจักษ์พยานอันชดั เจนวา่ ถ้ายังกลบั มาอีกกจ็ ะหนคี วามเปน็ เช่นนี้ไปไมไ่ ด้ ๕. ได้พบพระชนิ วรยงั แหลง่ ก�ำ เนิด พระพุทธเจ้าไดเ้ สด็จดบั ขนั ธปรนิ ิพพานไปแล้วก็จริง แต่สง่ิ ที่ ขา้ พเจ้าอยากพบ อาจจะเป็นเพยี งรอ่ งรอยหรอื กลิ่นไอแหง่ พระ ชนิ วร ซงึ่ กเ็ สมือนหน่ึงได้พบในความหมายแหง่ ภายในทีไ่ ม่มผี ู้หนึง่ ผใู้ ดล่วงรู้ นอกจากตวั ขา้ พเจา้ เองกบั รอ่ งรอยแห่งธรรมที่ไมเ่ คย เลอื นหายไปจากดวงใจของผเู้ ข้าถึงเลย ๖. ได้เปดิ โลกทัศนใ์ หก้ ว้าง ความเข้าใจของคนทย่ี ังท่องเทีย่ วอยูใ่ นโลก ความอยากที่ คอ่ นข้างจะมีกำ�ลงั คอื อยากมีความรู้ ความเห็นท่ีเปดิ กวา้ งมาก ขน้ึ เพราะการไปยังสถานทดี่ ังกลา่ วนนั้ ท�ำ ให้ได้เรียนรวู้ ฒั นธรรม ประเพณี โบราณคดี ประวตั ศิ าสตร์ วถิ ชี วี ติ ของผคู้ นในสมัย พทุ ธกาลกับสมยั น้ี ๗. ไดแ้ นวทางหรอื ตัวอย่างในการสอน ได้ยนิ ไดฟ้ งั จากผรู้ ้หู รอื ผู้ช�ำ นาญในดนิ แดนพุทธภูมิ ทบ่ี อก เล่าผา่ นสงั เวชนียสถาน รวมถงึ สถานท่สี �ำ คัญเก่ียวข้องอนื่ ๆ ทาง

พระพุทธศาสนา ปฏปิ ทาของพระพุทธองค์และพระอรหันตสาวก ท้งั หลาย ซงึ่ ไดต้ วั อย่างทดี่ ีในการสอนพุทธประวตั ิและธรรมะ ๘. มีโอกาสพบปะศาสนทายาทผถู้ า่ ยทอดคำ�สัง่ สอน ในบางคราวก็ได้พบกับเพื่อนสหธรรมิกซึ่งเป็นผู้ถ่ายทอด ค�ำ ส่ังสอนของพระพทุ ธเจา้ ซึง่ จากกันไปนาน โดยปกติถา้ อยู่ ประเทศไทยอาจจะไม่ค่อยได้พบกนั แต่พอไปอนิ เดยี กลบั มีโอกาส ได้พบกัน เสมือนหน่งึ พวกเรากลับมาเย่ียมบ้านเกดิ ของพ่อแม่ครูบา อาจารย์ จึงไดม้ ีโอกาสไดพ้ บกัน ๙. ไมอ่ ยากหลงใหลไดป้ ลมื้ จนลมื เจรญิ สติปัฏฐานสี่ เป็นโอกาสได้ตระหนักรู้ถึงความอยู่อยา่ งมีสติ เสมือนหนงึ่ ไดต้ กั เตอื นตนเองใหห้ มั่นเจริญหรือฝึกฝนในสติปัฏฐานทง้ั ส่ี อยู่ อย่างสม่ำ�เสมอ โดยได้อาศัยการมาแสวงบุญดว้ ยการจารกิ บญุ จารึกธรรม จดจารจารึกไวใ้ นจิตใจ ตามรอยบาทพระศาสดา เพอ่ื เปน็ ก�ำ ลังใจ จะได้ไม่หลงใหลได้ปล้มื กบั ส่ิงมายาทัง้ หลาย ดว้ ย การไม่เผลอหรอื มวั เมาประมาท เหมอื นหนง่ึ พระพทุ ธองค์ทา่ นได้ ตกั เตอื นว่า “วย ธมฺมา สงขฺ ารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ สงั ขาร ทง้ั หลาย มคี วามเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอท้ังหลายจงยงั ความไม่ ประมาทใหถ้ งึ พร้อมเถดิ ” 27

ค�ำ แนะน�ำ ในการจารกิ บุญ จารึกธรรม ณ แดนพุทธภมู ิ ของคณะศษิ ยานุศษิ ย์ วัดภทั ทนั ตะอาสภาราม โสรโท ภิกขุ

ขอ้ แนะนำ� ๑. แตง่ กายสุภาพเรียบรอ้ ย ส�ำ หรับพระภกิ ษุสามเณรใหล้ ดรม่ ห่มผ้าเฉวียงบ่า ๒. ถอดรองเท้าเม่อื เขา้ ไปภายในพุทธสถาน ๓. กราบบูชาพทุ ธสถาน ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ๔. กลา่ วค�ำ บูชา สวดมนต์ ไหวพ้ ระ ๕. ปฏิบัตวิ ปิ สั สนากรรมฐาน ๖. แผเ่ มตตา อุทิศบุญกศุ ลแก่สรรพสัตวท์ ้งั ปวง ๗. กราบลาพทุ ธสถาน ดว้ ยเบญจางคประดษิ ฐ์ ๘. ปฏบิ ตั ิตามระเบียบกฏเกณฑแ์ ละข้อแนะน�ำ ของสถานท่ีนัน้ ๆ ข้อควรงดเว้น ๑. ไม่สวมเส้ือคอเวา้ คอกวา้ ง และไมน่ ุ่งกระโปรงส้นั เหนอื เข่า ๒. ถา้ เป็นไปได้ ไม่ควรจดุ เทยี นธปู บูชา เพ่อื ชว่ ยกันลดมลพิษ และภาวะโลกรอ้ น ๓. ไม่ควรปิดทองคำ�เปลว เพือ่ ให้ทกุ คนได้เห็นเนอ้ื แทข้ องสิ่งน้นั ๔. ขณะถ่ายรปู ไม่ควรยนื หนั หลังบงั พระพักตรข์ องพระพทุ ธรูป ๕. ไมพ่ ูดคยุ เสียงดงั จนเปน็ การรบกวนผู้อืน่ ๖. ไมย่ นื หรือนัง่ ขวางทางเข้าออก ๗. งดเว้นการสูบบุหรี่ ๘. พงึ รกั ษาความสะอาดดว้ ยการไมท่ ิ้งขยะ บ้วนน้�ำ ลายหรอื น�ำ้ หมาก 29



ประสตู ิ

ประสตู ิการพระโพธิสตั ว์ สตั ตสหชาติของพระโพธิสัตว์

ประมาณ ๑๐๐ ปีเศษ ก่อนพทุ ธศักราช ประเทศอนิ เดยี หรือท่ีเรยี กกันวา่ ชมพทู วีป มีรัฐเล็ก ๆ รฐั หน่งึ อยูท่ างเหนือสดุ ของอินเดยี แถบเชงิ เขาหิมาลัย ช่อื ว่า กรุงกบลิ พสั ดุ์ อยูใ่ นความ ปกครองของแคว้นโกศลมีกษัตริย์ราชวงศ์ศากยะทรงพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ ได้อภิเษกสมรสกับพระนางสริ ิมหามายาเทวี แห่ง โกลิยวงศ์ กรุงเทวทหะ แคว้นโกลยิ ะ ซ่งึ ท้งั สองแคว้นมพี รมแดน ตดิ ต่อกัน ตามธรรมเนียมของคนอินเดียสมัยนนั้ ฝ่ายหญงิ จะต้อง เดนิ ทางไปคลอดบุตรทบ่ี า้ นเกดิ ดังนน้ั เมอื่ พระนางสิรมิ หามายา ทรงมีพระครรภแ์ ก่เต็มทจี่ ึงไดเ้ สด็จไปยงั กรุงเทวทหะบา้ นเกิด ทว่า เมือ่ ขบวนยาตราไปได้ประมาณ ๒๒ กิโลเมตรจากกรงุ กบลิ พสั ด์ุ ถงึ สวนลุมพนิ ี ซึง่ เปน็ สวนทกี่ ษัตรยิ ท์ ง้ั สองเมอื งดแู ลรักษารว่ มกัน พระนางประชวรพระครรภจ์ ะประสูติ โปรดใหห้ ยุดขบวนประทับ ใตร้ ่มตน้ ไมส้ าละตน้ หน่ึง พระนางทรงประทบั ยืน โดยพระหัตถ์ ขวาจับเหนย่ี วก่ิงตน้ ไม้สาละไว้ แล้วประสตู ิพระโอรส ณ ลมุ พนิ ีวนั สถานแห่งนนั้ ในวนั ศุกร์ ขึน้ ๑๕ คำ�่ เดอื นวิสาขะ แหง่ ปีกอ่ นพทุ ธ ศก ๘๐ เวลาสายใกล้เท่ยี ง พระโพธิสัตว์ประสูติด้วยพระวรกายที่สะอาดหมดจด ผดุ ผ่องดจุ แกว้ มณี ไม่แปดเป้อื นด้วยสิง่ ปฏิกลู ตา่ ง ๆ ท้งั ประกอบ ด้วยลักษณะมหาบุรษุ ๓๒ ประการ พอประสูตไิ ดค้ รู่หน่ึงกป็ ระทบั ยืนอย่างมนั่ คงด้วยพระบาททง้ั สอง ทรงผนิ พระพักตร์ไปทางทิศ เหนอื แลว้ เสด็จยา่ งพระบาทไป ๗ ก้าว ทอดพระเนตรดูทิศต่าง ๆ แลว้ เปล่งอาสภวิ าจาอยา่ งองอาจว่า

เสด็จมหาภิเนษกรมณ์ ตดั พระเมารอี ธิษฐานเพศเป็นนกั บวช

“อคโฺ คหมสมฺ ิ โลกสฺส, (ท.ี มหา. ๑๐/๓๑) เชฏโฐหมสฺมิ โลกสสฺ , เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสสฺ , อยมนฺติมา ชาติ, นตถฺ ทิ านิ ปุนพฺภโว” “เราเปน็ ผเู้ ลิศทีส่ ดุ ในโลก เราเป็นผู้เจรญิ ทส่ี ุดในโลก เราเปน็ ผปู้ ระเสริฐที่สุดในโลก ชาตนิ ี้เป็นชาติสดุ ทา้ ย บัดนี้เราจักไมเ่ กดิ อกี ” พระโพธิสตั ว์ประสตู ไิ ด้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะเชญิ พราหมณ์ ๑๐๘ มาขนานพระนามว่า สทิ ธตั ถราชกุมาร และท�ำ นาย ลกั ษณะซ่ึงมี ๒ คติ คือ อยคู่ รองราชยห์ รือออกผนวช มีโกณฑัญญ พราหมณ์ผู้เดยี วทที่ ำ�นายคติเดยี วว่า จะเสดจ็ ออกผนวชแน่นอน เมอ่ื ทรงประสูติได้เพียง ๗ วนั พระมารดาก็สวรรคต พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบดิ าไดม้ อบพระราชกุมารใหแ้ กพ่ ระนางปชาบดโี คตมี พระ นา้ นางเปน็ ผูเ้ ลยี้ งดูดจุ ดงั พระมารดาบงั เกิดเกล้า พอพระชนมายุ ๑๖ พรรษา ได้อภเิ ษกสมรสกับพระนางยโสธรา ต่อมาได้พระโอรสนาม ว่า ราหลุ กมุ าร และเสดจ็ ออกผนวชเม่อื พระชนมายุ ๒๙ พรรษา

ลุมพินีวัน ลุมพนิ วี ัน เป็นชือ่ สวนอนั เปน็ ทปี่ ระสตู ขิ องสทิ ธัตถราชกมุ าร เป็นสงั เวชนียสถานหนง่ึ ในสีแ่ หง่ ปจั จุบันเรยี กวา่ ลมุ มนิ เด (Lum- minde) อยูใ่ นเขตจังหวดั รปุ ันเดหิ (Rupandehi) ประเทศเนปาล ห่างจากด่านโสเนาลี (Sonauli) ประเทศอนิ เดีย ไปทางทิศเหนือ ประมาณ ๒๖ กโิ ลเมตร ลุมพนิ ีในปจั จุบัน เลขาธิการองคก์ ารสหประชาชาติ ทา่ นอู ถนั่ ชาวพมา่ ได้เดิน ทางมาลมุ พินีเม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ เห็นวา่ ลุมพินคี วรได้รบั การสง่ เสรมิ ใหเ้ ปน็ ศนู ยก์ ลางการแสวงบุญของชาวพุทธนานาชาติ และได้ เสนอตอ่ องค์การสหประชาชาติในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ทป่ี ระชมุ ทั้ง ๑๕ ประเทศได้ให้การสนับสนุนโครงการนี้ โดยมศี าสตราจารย์ Kendo Tange แห่งญีป่ ุ่นเป็นผู้ออกแบบมาสเตอร์แพลนเพอื่ สรา้ งลุมพินี และในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ท่านได้เสนอตอ่ สหประชาชาติ และไดร้ บั การ รับรอง พรอ้ มกนั นั้นกษตั รยิ ์ Birendra แห่งเนปาลได้ทรงโปรดให้จดั ตงั้ มลู นธิ ิเพือ่ พฒั นาลุมพนิ ีขน้ึ (Lumbini Development Trust)

ลมุ พนิ ี มโี ครงการบูรณะใหเ้ ป็นพทุ ธอทุ ยานของชาวพทุ ธทว่ั โลกโดยองคก์ ารสหประชาชาติเป็นเจา้ ของโครงการ ปจั จุบันนี้แบ่ง เปน็ ๓ เขต ได้แก่ ๑.เขตสวนลมุ พินีวัน (The Sacred Garden Zone) อาณา บริเวณโบราณสถานประกอบดว้ ยมายาเทววี ิหาร สระโบกขรณี เสา ศิลาจารึกพระเจา้ อโศกมหาราช และส่วนที่เปน็ เจดยี ก์ บั สังฆาราม ๒.เขตวัดนานาชาติ (The Monastic Zone) มคี ลองค่ัน กลางระหว่าง สายเถรวาท (Tharavada East Monastic Zone) มวี ดั พมา่ วดั ศรีลงั กา วัดไทย วดั แมช่ เี นปาล และส�ำ นักวิปัสสนา กบั สายมหายาน (Mahayana West Monastic Zone) มีวัดเกาหลี วัดจนี วดั ทเิ บต วัดเวยี ดนาม วัดชาวพุทธฝร่งั เศส วัดญ่ีปุน่ และ สำ�นกั วิปัสสนาบัณฑิตราม ในบริเวณน้ีสามารถเดินหรือนั่งรถเยยี่ ม ชมไดภ้ ายในวนั เดียว ๓.เขตหมูบ่ า้ นลมุ พินใี หม่ (The New Lumbini Village) เป็นสถานทพี่ ักบรเิ วณรอบนอก มีโรงแรม ทพ่ี กั ร้านอาหาร ไว้ให้ บรกิ ารแกผ่ ู้แสวงบุญ 37

มหามายาเทววี หิ าร “มหามายาเทวีวหิ าร” ถกู สรา้ งขน้ึ ประมาณศตวรรษที่ ๔ มี ศลิ าสลักภาพพทุ ธประวตั ปิ างประสตู ิ คอื เปน็ รปู พทุ ธมารดา อยู่ใน พระอริ ิยาบถยืน ทรงเหน่ยี วกิ่งไมส้ าละด้วยพระหัตถข์ วา มีรปู เจ้า ชายสิทธตั ถะโผล่ออกมาทางปสั สะขวาของพระพุทธมารดา และมี รปู พระนางปชาบดโี คตมี พรอ้ มข้าราชบริวารอยูต่ ดิ ตอ่ กัน และท้าว มหาพรหมไดน้ อ้ มรบั พระราชกุมาร พรอ้ มสง่ มอบพระราชกุมารแด่ พระนางสิรมิ หามายาเทวี มหามายาเทวีวิหาร

ภายในมหามายาเทววี หิ าร หนิ แกะปสาลงักปพระรสะโตู พิ ธสิ ตั ว์ ขอรงอพยรพะรโพะบธาสิ ทัตว์ 39

บรเิ วณรอบนอกของสวนลมุ พนิ วี นั

เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ไดพ้ บแผ่นศลิ าภายในวหิ าร ที่ สันนิษฐานว่าเป็นแผ่นหินท่ีแสดงรอยพระบาทในคราวประสูติของ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ปัจจุบันถูกเกบ็ รักษาไว้ทเี่ ดมิ โดยการสร้างครอบ ดว้ ยกระจกกันกระสนุ เมอ่ื การก่อสรา้ งบรู ณะปฏสิ ังขรณแ์ ล้วเสร็จ กษัตรยิ ค์ เยนทรา บีร์ บริ าม ซาห์ เดว แห่งเนปาล ได้เสด็จมา ประกอบพธิ ีเปดิ วิหารแหง่ นเ้ี ม่อื วนั ที่ ๒๖ พฤษภาคม ซึ่งตรงกบั วัน วสิ าขบูชา ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๔๖ สระโบกขรณี “สระโบกขรณี”เป็นท่ีสรงสนานของพระนางสิริมหามายาเทวี ก่อนจะให้ประสูตกิ าลพระกุมารและหลงั การประสูติ ที่ขอบสระนำ�้ ท�ำ เป็นขั้นบนั ไดโดยรอบลงไปถงึ น�้ำ มีทอ่ น�ำ้ ไหลลงสสู่ ระน้�ำ แห่งนี้ ปจั จบุ ันทางการเนปาลไดบ้ รู ณะและรกั ษาไวเ้ ปน็ อย่างดี สระโบกขรณี 41

เสาศิลาจารกึ พระเจา้ อโศกมหาราช ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ พบหลกั ฐานที่แนช่ ัดว่าจดุ ท่ีเปน็ “ลุมพินี วัน” ซง่ึ เปน็ ทปี่ ระสตู ิของเจา้ ชายสทิ ธัตถะนัน้ คือบริเวณ “ศลิ าจารึก พระเจา้ อโศกมหาราช” ผพู้ บเสาศลิ าน้ีคอื (Gen.Khadya Shum- sher Rana ผปู้ กครองเมอื งปัลปะ Palpa) และนกั โบราณคดีผู้ มีช่ือเสยี งของอังกฤษ คือ Dr. A Fuhrer เม่ือวันที่ ๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ ขณะที่พบศิลาจารกึ ถกู ปูนเก่าถมทบั อย่หู ลายฟุต ตอ้ งขดู อิฐปนู เหล่านน้ั ออก จึงพบอกั ษรท่ีเสา วดั ส่วนสงู ของเสาได้ ๒๖ ฟุต ๖ น้วิ ซึง่ ๘ ฟุต ๖ นว้ิ ฝังอยใู่ นดิน วดั ส่วนกลมได้ ๗ ฟุต ๓ นิว้ กล่าวกนั ว่าเดิมสงู ประมาณ ๗๐ ฟุต คงเน่อื งจากฟา้ ผา่ ลงมา เม่อื พระถังซัมจั๋งไปถึงลมุ พินไี ด้พบรปู วิคฑะซงึ่ ประดิษฐาน อย่บู นยอดเสาหลน่ บนอยพู่ ื้นดนิ ทา่ นกล่าววา่ วิคฑะเป็นรูปม้า ซ่ึง ทผี่ า่ นมา รปู ทพ่ี ระเจา้ อโศกทรงสรา้ งบนยอดเสาศิลาจารกึ ทั่วไปนนั้ มักเปน็ รูปสิงห์ ๔ ตวั บ้าง สิงห์ตัวเดียวบ้าง และรปู ววั บา้ ง แตท่ ่ี ลุมพินีคงเปน็ กรณพี เิ ศษทส่ี ร้างเป็นรูปม้า ซ่ึงหมายถึงพาหนะค่ใู จท่ี พาเสดจ็ ออกบรรพชากไ็ ด้ พระเจ้าอโศกทรงบัญชาให้ต้ังศิลาจารึกขึ้นเม่ือคราวเสด็จ ลุมพนิ ี หลงั จากครองราชย์ได้ ๒๐ ปี หรอื หลังพระพุทธปรนิ ิพพาน ได้ ๒๓๖ ปี เม่อื ทำ�สงั คายนาคร้ังที่ ๓ ท่อี โศการาม เมืองปาฏลีบุตร เสรจ็ แล้วก็เสด็จธรรมยาตรา จาริกแสวงบุญสกั การะพุทธสถาน ตามหมู่สงฆ์ มพี ระโมคคลั ลบี ตุ รติสสเถระหรอื สายมหายานเรยี ก วา่ พระอปุ คุต ทรงมพี ระประสงค์ต้องการสร้างอนสุ รณไ์ วใ้ ห้อยู่

เสาศิลาจารกึ พระเจ้าอโศกมหาราช 43

ชวั่ กาลนาน พระผนู้ �ำ ธรรมยาตราชใี้ ห้พระเจา้ อโศกทอดพระเนตร สถานที่สำ�คัญ และทูลว่า ณ ท่ีตรงน้ีคอื ท่ีประสูติของพระบรม ศาสดา พระเจ้าอโศกดีพระทยั ทอดพระองคล์ งราบกบั พน้ื แลว้ ลกุ ขน้ึ ประนมมอื ประทกั ษณิ ขอบูชาท่ีพระพทุ ธเจ้าประสตู ิ ในทวี ยาทาน กล่าววา่ พระเจา้ อโศกโปรดให้สรา้ งเจดียเ์ ปน็ อนสุ รณไ์ วใ้ นทป่ี ระสตู ิ ค�ำ วา่ เจดีย์ คงหมายถงึ ศลิ าจารึกหลกั น้ีนัน่ เอง นอกจากนน้ั พระเจ้าอโศกยังทรงได้บริจาคเงินเป็นทานแก่ประชาชนผู้เป็นพระ ญาติวงศข์ องพระบรมศาสดาอกี ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ แมก้ าลเวลาจะล่วงเลยมาหลายพนั ปี แตท่ ีย่ งั ปรากฏชัดเจน อยทู่ ่ีเสาศิลานี้ คอื อักษรพรหมี (พรม-มี) ซ่งึ ท่านเจา้ คุณพระ ราชธรรมมนุ ี (สกุ ิตตฺ )ิ ไดถ้ า่ ยทอดคำ�จารกึ บนเสาอโศก จากอกั ษร พรหมเี ป็นภาษาบาลแี ละภาษาไทย ความวา่ “เทวาน ปเิ ยน ปิยทสนิ า ลาชินา วีสตสิ าภสิ ิเตน อตน อาคาถ มหียเิ ต หทิ พุเธ ชาเต สกฺยมุนีติ สิลาวิคฑภี จ กาลาปติ สิลาถเภจ อุสปา ปเิ ต หทิ ภควํ ชาเตติ ลมุ พนิ ี คาเม อุภลเิ กกเฏ อฐภาคเิ ย จ แปลว่า พระเจา้ เทวานมั ปิยทสั สี (อโศก) ทรงเสวยราชย์ได้ ๒๐ ปี พระองคไ์ ดเ้ สด็จมาดว้ ยพระองคเ์ อง ทรงกระทำ�สักการบชู า ณ ท่ี นี้ พระองคท์ รงให้ทำ�ศลิ าเป็นรปู วิคฑะ เพอื่ เปน็ เครอ่ื งหมายวา่ “ศากยมุน”ี ได้ทรงอุบัติข้นึ ณ ทน่ี ี้ และลมุ พนิ ีน้ีเอง ที่พระองค์ โปรดให้งดเกบ็ ภาษีหรือสว่ ยอากร และโปรดให้เกบ็ เอาเพยี งพชื ผล ๑ ใน ๘ สว่ นเท่าน้ัน” ในปี พ.ศ. ๑๘๕๕ กษตั รยิ ์รปิ ุมัลละ แหง่ ราชวงศ์กามาลี

ไดส้ ลักอักษรบรเิ วณดา้ นบนเสาหิน ว่า Om Mani Padme hum Pipu Malla Ciranjatu : โอม มะนี ปัทเม หมุ ปิปุ มลั ละ จิรงั ชา ตุ : ซึ่งเป็นบทสวดมนต์แบบชาวพทุ ธทิเบต จารกึ อักษรพรหมบี นเสาศลิ าพระเจา้ อโศกมหาราช 45

วัดนานาชาติ รฐั บาลเนปาลไดจ้ ัดเนื้อท่หี กพนั ไรเ่ ศษ เปน็ อทุ ยานลุมพนิ ี พร้อมทง้ั จดั สรรทีด่ ินให้ชาวพุทธต่างชาตเิ ชา่ เพือ่ ก่อสรา้ งวดั ตาม สถาปัตยกรรมของประเทศนนั้ ๆ มที งั้ สายมหายานและเถรวาท ทีม่ าก่อสร้างไวเ้ ปน็ จำ�นวนมาก ไมค่ วรพลาดทีจ่ ะเยีย่ มชม สถานทีใ่ กลเ้ คียง กรุงกบิลพัสด์ ุ “กรุงกบลิ พัสด”ุ์ แห่งสกั กชนบทปจั จบุ ันเรยี กวา่ ตเิ ลารก็อต (Tilaurakot หรือ Ancient Kapilavastu) อยู่ห่างจากลมุ พินีไป ทางทิศเหนือ ๒๒ กโิ ลเมตร เปน็ พระราชวังของพระเจ้าสทุ โธทนะ พระราชบิดา ทเ่ี จา้ ชายสทิ ธัตถะทรงใชช้ ีวิตครองเรอื นจวบจนพระ ชนมายไุ ด้ ๒๙ พรรษา จงึ ทรงตัดสินพระทยั เสด็จออกผนวช มี ซากปรักหักพงั ของกรงุ กบิลพสั ดุ์ให้เห็นเปน็ หลกั ฐานอยูจ่ �ำ นวนมาก บริเวณทิศตะวันออกจะเป็นทางเข้าออกของหมู่มุขอำ�มาตย์และข้า ราชบริพาร ห่างจากก�ำ แพงไมไ่ กลนกั จะมองเหน็ เนินดินอย่กู ลาง ทุ่งไมห่ ่างจากแม่น้�ำ คัณฑกั คือ สถปู กณั ฐกะ ตามบนั ทกึ ของสมณะ ฟาเหียนทเ่ี ดินทางมากรุงกบิลพัสดุ์ พ.ศ. ๙๔๒ – ๙๕๗ กล่าว

ว่า สถูปแห่งน้ี คือ อนสุ รณข์ องการเสดจ็ ออกผนวชในยามคำ�่ คืน ทางประตดู า้ นทศิ ตะวนั ออก ขณะน้ยี ังมกี �ำ แพงขนาดใหญ่และช่อง ประตูใหเ้ ห็นเป็นหลกั ฐานสำ�คญั อยู่ บริเวณทิศตะวนั ตกเปน็ ประตู เสด็จพระราชด�ำ เนินในยามฉุกเฉนิ ดา้ นในมสี ระโบกขรณี ๓ แห่ง สันนิษฐานว่าคงเป็นสระท่ีพระเจ้าสุทโธทนะสร้างถวายพระราชกุมาร พรอ้ มด้วยปราสาท ๓ ฤดู และห่างออกไปทางทศิ เหนือจะมีฐาน สถูปขนาดใหญ่ นน่ั คอื สถปู พระพุทธบดิ าและสถูปพระพทุ ธมารดา กรงุ กบิลพสั ดุ์ในปจั จบุ ัน 47

ขอปงรเจาสา้ ชาาทยส๓ทิ ธฤัตดถู ะ ของพรปะรเจาา้สสาทุทโธทนะ ประตทู ศิ ตะวันออก ประตทู ิศตะวันตก ของกรุงกบลิ พสั ด์ุ ของกรงุ กบิลพัสด์ุ

สถปู กณั ฐกะ สถปู พระพทุ ธบดิ าและสถูปพระพทุ ธมารดา 49