Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ห้าปีในสยาม เล่ม ๑

ห้าปีในสยาม เล่ม ๑

Description: ห้าปีในสยาม เล่ม ๑

Search

Read the Text Version

200 บทท่ี ๗ หวั เมอื งลาว (ตอนต่อ) - แมน่ ำ�้ โขง ไดว้ า่ ขอ้ ตกลงนเ้ี กดิ ขน้ึ มาปกปอ้ งสยามจากการทจี่ ะถกู ผนวกดว้ ยความโลภเอา เขา้ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของอาณานคิ มไซง่ อ่ นและตงั เกย๋ี ไดท้ นั เวลา กรงุ เทพฯ ในตอน ปลาย พ.ศ. ๒๔๓๘ นน้ั เตม็ ไปดว้ ยความยงุ่ เหยงิ และจากบนั ทกึ ขอ้ ตกลงทที่ ยอย ออกมาเปน็ ระยะ ซงึ่ เกบ็ รกั ษาไวท้ กี่ ระทรวงตา่ งประเทศกรงุ เทพฯ เกยี่ วกบั ทกุ ประเด็นที่เป็นไปได้นั้น ท�ำให้รู้สึกได้ว่าข้ออ้างใดๆ ที่ใช้ในการรุกรานสยามไป เม่ือเร็วๆ นี้คงจะตอ้ งถูกเปดิ โปงออกมาไมว่ นั ใดกว็ ันหนงึ่ ภายใตก้ ารถูกขม่ เหง รงั แกซำ้� แลว้ ซำ้� เลา่ ทำ� ใหเ้ กดิ ความหวาดกลวั ไปทวั่ ทกุ หยอ่ มหญา้ ในสยามวา่ อาจ ต้องสูญเสียพื้นท่ีจังหวัดทางตอนเหนือไปทั้งหมด จันทบูรณ์ก็ยังถูกยึดครอง และรอบเขตแดนภายในระยะ ๒๕ กโิ ลเมตรกถ็ กู ควบคมุ ดแู ลโดยผแู้ ทนทางการ ฝรัง่ เศสจนกว่าทางการสยามจะเพกิ ถอนสทิ ธอิ ำ� นาจ ณ ที่นั้นโดยสิน้ เชิง สยาม ประกาศวา่ จะไมย่ อมปฏบิ ตั ติ ามมาตราใดๆ ทอี่ ยใู่ นสนธสิ ญั ญาทท่ี �ำไวก้ บั ฝรง่ั เศส ในปี พ.ศ.๒๔๓๖ แต่การประทว้ ง ข้อโตแ้ ยง้ และการอุธรณเ์ พอ่ื ประนีประนอม โดยใช้วิธีไกล่เกลี่ยของพวกเขากลับต้องพบกับการปฏิเสธอย่างเฉียบขาดท่ีจะ ให้มกี ารเจรจา ความวนุ่ วายทมี่ าพรอ้ มความตอ้ งการใหเ้ กดิ การรกุ คบื ไดส้ ง่ เสยี งสะทอ้ น กลบั อยา่ งเร่งเร้าอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ทอี่ อกอยู่ในอินโดจีนของฝร่ังเศสอย่าง ไมจ่ บไมส่ นิ้ สภุ าพสตรที ง้ั หลายเรม่ิ นกึ ถงึ เพชรนลิ จนิ ดาของตนและสง่ ทรพั ยส์ นิ มคี า่ ไปยงั สงิ คโปร์ พวกผชู้ ายตา่ งมอบทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งใหเ้ ปน็ เรอ่ื งของอนาคตโดย ดษุ ฎี ความพา่ ยแพส้ นิ้ หวงั ของเพอ่ื นบา้ นชาวตะวนั ออกตอ่ การถกู ขเู่ ขญ็ คกุ คาม นี้ อาจจะย่ิงทำ� ใหพ้ วกเขาเช่อื งชา้ เซ่อื งซมึ มากกว่าทเี่ ป็นอย่แู ลว้ ตามธรรมชาติ ก็เป็นได้ เหมือนการขู่เด็กชายให้ต่ืนกลัวบางส่ิง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจท่ีชาว สยามดูเหมอื นจะถูกขใู่ ห้ตกอยู่ในสถานะไม่พึงประสงคท์ ่พี วกเขาตอ้ งเผชิญกับ มันโดยไมส่ ามารถดำ� เนนิ การใดๆ ได้ ด้วยบคุ ลิกแบบชาวตะวนั ออกทำ� ให้พวก เขาไม่สามารถลุกฮือข้ึนต่อสู้กับสถานการณ์เช่นนี้เหมือนเช่นท่ีเป็นในหมู่ชาว ตะวนั ตก พวกเขาไดแ้ ตป่ ลอ่ ยวางและปลอ่ ยใหก้ งลอ้ หมนุ เวยี นผา่ นไป แตจ่ รงิ ๆ แล้ว ด้วยหลักประกันอนาคตเพียงเล็กน้อยนิดเช่นนี้ก็ยากท่ีมนุษย์คนใดจะไม่

หา้ ปีในสยาม เล่ม ๑ 201 ส้ินหวัง ชาวสยามก็เปน็ เหมอื นผู้คนท่ัวไปท่ีปรารถนาจะได้เหน็ ความหวงั กลบั คนื มาส่สู ง่ิ ทีพ่ วกเขาลงทุนลงแรงไปบา้ ง แต่ผลที่ไดก้ ลับกลายเปน็ ความสิน้ หวัง ผู้คนพากันถกเถียงกันอย่างเซ็งแซ่ถึงความเป็นไปได้ที่จะถูกฝรั่งเศสผนวกเข้า เป็นประเทศอาณานคิ ม ภายใตส้ ถานการณเ์ ชน่ นนั้ จงึ ไดม้ กี ารประกาศใชข้ อ้ ตกลงระหวา่ งองั กฤษ - ฝรั่งเศสขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ.๒๔๓๙ รัฐบาลในกรุงปารีสน้ันไม่ได้เป็น คณะบริหารท่ีประสบความก้าวหน้าในทุกนโยบาย และข้อตกลงในเร่ืองเกี่ยว กบั ดินแดนแถบแม่นำ้� โขงกเ็ ป็นประจกั ษ์พยานถงึ ความจริงใจของการประกาศ ค�ำปฏิญาณฉันท์มิตรที่ฝร่ังเศสมีต่อสยาม แต่ในเรื่องท่ีเกี่ยวกับจันทบูรณ์และ บรเิ วณโดยรอบในระยะ ๒๕ กโิ ลเมตรทพ่ี วกเขายึดครองไว้โดยไมย่ อมเคลอื่ น ย้ายไปไหน กับการแทรกแซงอันไม่พึงประสงค์โดยน�ำท้ังหมดมาเก่ียวพันกับ สนธสิ ญั ญาใน พ.ศ.๒๔๓๖ นน้ั กระทรวงการตา่ งประเทศขององั กฤษเราซาบซงึ้ ดีอยแู่ ก่ใจ พระมหากษตั รยิ ผ์ ทู้ รงรแู้ จง้ โดยตลอดถงึ สถานการณท์ ง้ั ในกอ่ นหนา้ และ หลงั จากทมี่ กี ารขอ้ ตกลงในบดั นด้ี เู หมอื นจะกลายเปน็ พระมหากษตั รยิ พ์ ระองค์ ใหม่ ทัง้ จำ� นวนและลกั ษณะของงานที่พระองคท์ รงวางแนวทางไวต้ อ่ หนา้ สภา ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินของพระองค์ใน พ.ศ. ๒๔๓๙ ถึง ๒๔๔๐ นั้น เป็น เคร่อื งยืนยนั ไดว้ ่าอะไรกำ� ลงั จะเกิดข้ึนและประเมนิ ไดว้ ่าสิง่ ท่เี รยี กกันว่า “การ ยอมแพ้ของสยาม” มีความสำ� คัญสำ� หรบั พระองค์ ท้ังยงั สรา้ งความวิตกกงั วล ให้แกเ่ หล่าเสนาบดขี องพระองค์เพยี งใด แต่บางทีประจักษ์พยานที่ดีท่ีสุดท่ีจ�ำเป็นต่อการรับประกันแม่น้�ำโขงก็ คอื ลกั ษณะท่าทขี องกลมุ่ คนท่เี ร่งเรา้ อยา่ งหนกั ท่ีจะ “ทำ� ลาย” ชาวสยามโดยท่ี พวกเขาไม่ละอายแม้แต่น้อย อินโดจีนฝรั่งเศสแสร้งท�ำเป็นไม่เช่ือและเพิกเฉย ต่อความตกลงท่ีมีร่วมกัน การฟ้องร้องครั้งแรกติดตามมาด้วยเสียงสะท้อนท่ี แสดงถึงความเสียอย่างรุนแรงต่อโอกาสในการผนวกเอาสยามเข้าไว้ในครอบ ครองซึง่ เคยพลาดมาแลว้ ครั้งหน่ึง นโยบายทง้ั หมดทเ่ี กิดตามมาก็เพ่ือลดความ

202 บทท่ี ๗ หัวเมอื งลาว (ตอนตอ่ ) - แม่นำ�้ โขง นา่ เชอ่ื ถอื ของสญั ญาและเพอ่ื สนบั สนนุ ความเชอื่ ทว่ี า่ สญั ญานน้ั ใชก้ ารไมไ่ ด้ “การ ทรยศต่อสิทธิอันชอบธรรมของฝรั่งเศสเหนือสยาม” ถูกก�ำหนดไว้เป็นหัวข้อ ลา่ สดุ ทม่ี อี ยใู่ นขอ้ ตกลง สยามยอมรบั วา่ มนั เปน็ โอกาสเดยี วทจ่ี ะใหอ้ นิ โดจนี ของ ฝรั่งเศสได้ดูแลตนเอง และประสบการณ์ท่ีเกิดข้ึนกับแม่น้�ำโขง และหัวเมือง อาณานคิ มลาว เมอ่ื พ.ศ.๒๔๓๖ กไ็ ม่ไดช้ ว่ ยแกป้ ัญหาประชากรเบาบางบริเวณ ทร่ี าบสงู โคราชไดเ้ ลย ถา้ เปน็ ทก่ี รงุ เทพหรอื ทแี่ มน่ ำ�้ เจา้ พระยากเ็ ปน็ อกี เรอื่ งหนงึ่ และหากรัฐบาลฝร่ังเศสที่กรุงปารีสยังจะไม่มีการเคล่ือนไหว นโยบายเร่ือง อาณานิคมฝรั่งเศสน่เี องท่จี ะทำ� ใหม้ ันเกิดการเคลอื่ นไหว จ�ำเป็นที่จะต้องอธิบายออกนอกเรื่องไปบ้างเพื่อบอกให้รู้ว่าเหตุใดเชียง แขงจึงต้องถูกยึดครอง ไม่ว่าฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดก็ย่อมต้องเสียดายต่อการสูญเสีย ของตนเป็นอันมาก เป็นการช้ีให้เห็นว่าการปรากฏตัวของฝรั่งเศสที่บริเวณฝั่ง ซา้ ยของแมน่ ้�ำโขงนัน้ มิได้เข้ามาแทรกแซงขดี ความสามารถในการมุง่ สเู่ มอื งจนี โดยทางรถไฟของอังกฤษจากพม่าหรือรัฐฉานของสยามตามท่ีเราได้เคยคิดไว้ ว่าเขาจะท�ำเช่นนั้น อาจเป็นเรื่องชอบด้วยเหตุผลที่จะถามว่าประเทศอังกฤษ ควรทจี่ ะรักษาเชียงแขงไวส้ ักเพยี งใด เชียงแขงอนั เปน็ เมอื งซ่ึงใครๆ ก็ต้องจำ� ใจ ยอมรบั ว่าเป็นเมืองซ่งึ เข้าถึงไมไ่ ด้ง่ายๆ และก็ไม่ได้มีคุณค่ามากมายนักกับการ ท่ีเราต้องสูญเสียการค้าในประเทศสยามไปด้วยการชวนทะเลาะอย่างแยบยล ที่ก่อให้เกิดข้ึนโดยคณะอาณานิคมของฝรั่งเศส โดยท่ีพวกเขาไม่ต้องตกอยู่ใน ฐานะผ้รู กุ ราน และโดยทพ่ี วกเราไม่สามารถเขา้ แทรกแซงโดยชอบธรรมได้ โดยความเป็นจรงิ แล้วขอ้ ตกลงระหวา่ งองั กฤษและฝรง่ั เศสน้นั เปน็ แบบ อยา่ งอนั ดงี ามในเรอ่ื งนโยบายการเปดิ ทา่ เรอื ทง้ั ปวงและการเปดิ การคา้ เสรอี ยา่ ง เสมอภาคซง่ึ รฐั บาลองั กฤษไดด้ ำ� เนนิ การอยา่ งอาจหาญนา่ ชมเชยและแสดงออก อย่างเคารพสทิ ธใิ นประเทศจีนไปเม่ือเรว็ ๆ น้ี แตใ่ นเมอื่ มันไมไ่ ดเ้ กิดในแผ่นดนิ อังกฤษจงึ ไม่อาจทีจ่ ะประเมนิ คุณคา่ ทแ่ี ท้จรงิ ออกมาได้

ห้าปใี นสยาม เล่ม ๑ 203 มจั ฉานุ ลกู ชายของหนุมานและนางเงอื ก

พายและหางเสือ บทท่ี ๘ หัวเมอื งลาว - แมน่ ำ�้ โขง (ตอนตอ่ ) เชยี งของ - เหมืองเพชรพลอย - ทองคำ� ----------------------------------- ยามเมอ่ื ขา้ พเจา้ นงั่ ลงทรี่ มิ ฝง่ั แมน่ ำ�้ ทเี่ มอื งเชยี งของ มองขา้ มผา่ นสายนำ�้ สีตะกั่วอันกวา้ งใหญ่ ทีเ่ ห็นอยไู่ กลโพ้นเบ้ืองหนา้ คือแนวปา่ รกรา้ งวา่ งเปล่าสดุ ลูกหูลูกตา บริเวณแถบนี้ไม่มีต้นสักให้เห็นแม้เพียงต้นเดียว ข้าพเจ้ารู้สึก ห่างไกลจากโลกอันเปรียบเสมือนฝันร้ายอันป่าเถื่อนบ้าคลั่งท้ังมวลโดยสิ้นเชิง เขา้ สคู่ วามคดิ ทวี่ า่ สมแลว้ ทมี่ นั เปน็ เหตแุ หง่ การทะเลาะทมุ่ เถยี งของมหาอำ� นาจ จากยุโรป ส�ำหรับพวกเราแล้วความสนใจท่ีมีต่อแม่น้�ำห่างไกลจากเร่ืองของ การเมอื ง ที่ทอดตัวอย่เู บอื้ งหน้าก็คอื หนทางมุ่งกลบั บ้าน ใจกลางแม่นำ้� คอื เสน้ ทางที่เราต้องใชเ้ ดนิ ทางตอ่ ไปในอีก ๒ เดือนขา้ งหน้า เว้ิงอ่าวเล็กๆ ของมนั กับ ทางนำ�้ ทที่ ง้ั แคบและกวา้ งในสว่ นทส่ี ามารถเดนิ ทางไปถงึ ลว้ นเปน็ สง่ิ ทต่ี อ้ งสำ� รวจ

ห้าปีในสยาม เล่ม ๑ 205 และศึกษาเพอ่ื ท�ำความรู้จัก กล่ินหอมสดช่ืนของกระแสนำ�้ ไหลเอื่อยโชยมาเข้า จมกู และกระแสนำ้� ทเี่ หน็ กระฉอกกระเพอ่ื มเปน็ รว้ิ กล็ ว้ นสรา้ งความเพลดิ เพลนิ ให้แก่สายตาของพวกเราไปในอีกหลายๆ วันที่จะมาถึงระลอกบนยอดคล่ืนท่ี พลกิ พลวิ้ อยา่ งรา่ เรงิ ทเ่ี หน็ ตอ่ จากภาพแนวตน้ ไมส้ ดุ ลกู หลู กู ตา เปน็ เหมอื นภาพ ภมู ิประเทศภายหลงั จากทเ่ี ราเดนิ ทางออกจากลอนดอนมาไดส้ กั ระยะหนึ่ง เราไดส้ ัมภาษณพ์ ดู คยุ กับพวก เจา้ หรือทีเ่ ขาเรยี กตัวเองวา่ หัวหน้าชาว พมา่ และไดเ้ รม่ิ ตน้ ทดสอบเรอื่ งแหลง่ เพชรพลอยกนั อกี ครง้ั นบั เปน็ หนบ้ี ญุ คณุ จากการค้นพบของนักขดุ ชาวพมา่ แหง่ รฐั ฉาน เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๓๓ ทไ่ี ปตอ้ งตากับ ผลกึ แกว้ เฮอรไ์ ซไนต์ (Hercynite) เล็กๆ ท่ีถกู นำ�้ พัดจนสกึ กร่อนซ่ึงเรียกกันว่า นิล และสังเกตเห็นได้วา่ มนั จะอย่คู วบคู่ไปกับซัฟไฟร์เสมอไมเ่ คยเปล่ียน ผลกึ แกว้ ชนดิ นจ้ี ะปรากฏอยทู่ บ่ี รเิ วณกน้ บง้ึ กระแสน�้ำทางฝง่ั ซา้ ยของแมน่ �้ำดา้ นตรง กันข้ามกับเมืองเชียงของ ชาวฉานเองได้ท�ำการส�ำรวจค้นหาด้วยความอดทน อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอันเป็นปกติวิสัยของพวกเขามานานนับปีแล้ว ระยะ เวลาการสำ� รวจอนั เนนิ่ นานตอบแทนพวกเขาดว้ ยการคน้ พบซฟั ไฟรอ์ นั สวยสด งดงามยิ่งในบรเิ วณรอบขา้ งซึ่งเป็นกรวดท่รี ะดบั นำ�้ ลกึ จาก ๑๒ ถึง ๒๐ ฟตุ มัน แปรสภาพไปตามลักษณะของผวิ นำ�้ ที่ผันแปรไมห่ ยุดนิง่ ของ หว้ ย หรือกระแส น้�ำทม่ี ันฝงั ตวั อย่ใู นก้นบงึ้ แม่น�้ำนน้ั มีความหนาต้ังแต่ ๕ ถึง ๑๘ นว้ิ ฟุตประกอบ ด้วยกรวดท่ีถูกน้�ำซัดจนเป็นก้อนกลมมน พร้อมกับเศษหินก้อนเหล่ียมที่แตก ละเอียดของหินบะซอล์ตท่ีมีลักษณะสวยงามแปลกตา บางครั้งก็มีเนื้อแข็งแต่ บางครง้ั กผ็ ุกร่อนจนกลายสภาพเป็นโคลนสอี อกนำ�้ เงิน (ในบางพืน้ ที่) หรือไมก่ ็ เป็นโคลนออกสีแดงๆ ซง่ึ ดเู หมือนวา่ จะเปน็ สภาพกรวดแทๆ้ แตด่ ั้งเดิมของท่นี ่ี เช่นเดียวกับในแหล่งเพชรพลอยในต�ำบลต่างๆ ท่ัวสยามที่มีทิวเขาเหยียดยาว ดว้ ยยอดเขาเปน็ แนวราบ และตามบรเิ วณซง่ึ สายแหลง่ แรเ่ พชรพลอยถอื ก�ำเนดิ ข้ึนนั้น ก็เหมือนจะประกอบด้วยกรวดหินชนิดน้ีท้ังหมด โดยมีการก่อตัวเป็น ฐานหนิ เนอื้ แขง็ อยใู่ ตก้ รวดลงไป เราไดพ้ บแรก่ ะรนุ ๑ ทบึ แสงอยใู่ นเนอ้ื กรวดดว้ ย ๑ Corundum คอื แรช่ นดิ หนึง่ มาจากอลูมเิ นยี ม แข็งเป็นทส่ี ามรองจากเพชร ถา้ สีฟา้ จะกลายเปน็ พลอยหรือนลิ สแี ดงจะ กลายเปน็ ทับทิม แตถ่ ้าสีไมส่ ดใสกจ็ ะกลายเป็นขพี้ ลอย เรียกว่ากากกะรนุ ใช้ทำ� กระดาษทรายหรอื บดลน้ิ เครอื่ งยนต์ บางที เรยี กโดยเขา้ ใจผิดว่ากากเพชร – สวป.

206 บทที่ ๘ หัวเมอื งลาว - แมน่ ำ�้ โขง (ตอนตอ่ ) รวมทั้งหินคว็อตซ์ ซ่งึ โดยทั่วไปอยูใ่ นรูปก้อนกรวดสีขาว แตบ่ างครงั้ กจ็ ะอยูใ่ น รปู ผลกึ แกว้ โปรง่ แสงและโกเมนเมด็ เลก็ ๆ บา้ งเลก็ นอ้ ย โดยสว่ นมากซฟั ไฟรม์ กั จะเป็นกอ้ นทึบแสงหรอื ไมก่ ม็ สี ซี ีดจางมาก จ�ำนวนของหินซัฟไฟร์ทม่ี สี ีจัดและ น้�ำงามทีพ่ บไดจ้ ะมเี ปอร์เซน็ ต์นอ้ ยกว่าที่พบในเหมอื งไพลิน แม้ว่าจะถูกน�้ำพดั สกึ กรอ่ นรนุ แรงแตร่ ปู ทรงของผลกึ แกว้ รปู หกเหลย่ี มกม็ กั จะดโู ดดเดน่ อยทู่ า่ มกลาง กอ้ นหนิ ทมี่ ขี นาดใหญก่ วา่ เปน็ ทนี่ า่ สงั เกตวา่ ซฟั ไฟรท์ พี่ บไดใ้ นสยามมเี นอ้ื เปราะ น้อยกว่าทับทิมซ่ึงตามทฤษฎีแล้วสัดส่วนของการที่เนื้อแก้วตกผลึกนั้นไม่ค่อย จะแตกตา่ งกนั นกั โดยทว่ั ไปขอ้ บกพรอ่ งของซฟั ไฟรจ์ ะเปน็ เรอ่ื งของสสี ว่ นทบั ทมิ น้ันเป็นเร่อื งจ�ำนวนที่มนั แตกหักไป แม้ว่าเราจะได้ท�ำการค้นหาและสอบถามอย่างละเอียดถ่ีถ้วนแล้ว แต่ หากวา่ เคยมกี ารพบซฟั ไฟรใ์ นแหล่งแร่มาแลว้ จริงๆ เหตกุ ารณ์เชน่ น้คี งจะไมม่ ี ทางปรากฏข้นึ บรเิ วณหนิ บะซอลตท์ อ่ี ยตู่ ามเนนิ เขา การเนา่ เปอ่ื ยผพุ งั ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ โคลน อนั เปน็ รากฐานของกรวดซึง่ พบไดใ้ นทกุ ระดบั ชนั้ ของการเน่าเป่อื ยผุพงั ตงั้ แต่ สว่ นทมี่ ขี อบแหลมคมไปจนถงึ สว่ นทเี่ ปน็ เนอื้ โคลนออ่ นยวบนน้ั ขา้ พเจา้ ใครข่ อ สรุปว่าน่ันคือแหล่งด้ังเดิมที่ซัฟไฟร์ก่อตัวขึ้น1 และตามที่ข้าพเจ้าได้เห็นจาก การสงั เกตตามบรเิ วณใกลเ้ คยี งจงั หวดั จนั ทบรู ณใ์ นตอนนก้ี ไ็ มพ่ บสมมตฐิ านอน่ื ใดท่นี ่าจะเป็นไปไดอ้ ีก เร่อื งเก่ียวกับทับทิมท่ีพวกเราถูกส่งมาเพื่อให้ทำ� รายงาน เมื่อดูจากการ ขุดส�ำรวจที่ท�ำในช่วงสั้นๆ มันก็ได้ปลุกเร้าความสงสัยให้เกิดข้ึนว่าคงไม่เคยมี การเจอทบั ทมิ จากการขดุ ครงั้ ใดๆ มากอ่ น สว่ นเรอื่ งทบั ทมิ เมด็ งามทข่ี า้ ราชการ ชาวสยามไดส้ ง่ มาถวายแด่พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทกี่ รงุ เทพฯ โดยกลา่ ว วา่ เขาขดุ พบมนั ทเี่ มอื งเชยี งของดว้ ยวธิ ดี ำ� เนนิ การขดุ สำ� รวจอยา่ งแขง็ ขนั จงึ เปน็ เหมือนกับเร่ืองการหลอกลวงทั้งเพ และการสอบถามท่ีท�ำขึ้นในภายหลังก็ สามารถยนื ยนั เร่อื งนไี้ ด้ เราสามารถเสาะหาร่องรอยที่มาของทบั ทิมท่ีวา่ ถูกซ้อื 1 ศาสตราจารย์ เฮนรี ลูอสิ ก็มีความเหน็ เชน่ เดียวกันนี้ นติ ยสารแรธ่ าตุ vol.x No.48 ในที่นมี้ ันประกอบไปด้วยหนิ บะ ซอลต์ ใสเหมือนแก้ว (หินพนั มา้ เนอื้ ดอก และหนิ ออไกต์ ซง่ึ เป็นฐานของหนิ ระแนงฟันมา้ ธาตเุ หลก็ สีดำ� เหมือนโลหะและ แก้ว) – ตน้ ฉบบั

ห้าปีในสยาม เลม่ ๑ 207 ไปโดยข้าราชการคนน้ันจากการสอบถามเอาจากนักขุดชาวฉาน เขาบอกชื่อ เหมืองในพม่าซ่ึงเป็นท่ีมาของทับทิมนั้น แค่เพียงได้เห็นโกเมนเม็ดเล็กๆ กท็ ำ� ให้เขาโมเมวา่ มนั คือทับทิม เกียรตคิ ุณที่ไดจ้ ากการค้นพบน้จี งึ ท�ำใหเ้ ขาได้ รับสิทธิในการเลือกซ้ือทับทิมเม็ดที่ดีท่ีสุดเท่าที่จะเลือกได้ และจัดการส่งไป ถวายพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รายงานของพวกเราตอ้ งไมเ่ ปน็ ทถี่ กู ใจของ เขาท่กี �ำลังคิดฝันเฟอื่ งถึงความกา้ วหนา้ ในหน้าที่การงานอยา่ งแน่นอน เมื่อเร็วๆ น้ีข้าพเจ้าได้เห็นรายงานของตังเกี๋ยท่ีระบุว่าวิศวกรเหมืองแร่ ชาวฝรั่งเศส “เคยได้เจอทับทิมและซัฟไฟร์เป็นจ�ำนวนมากมายละลานตา ซึ่ง ความสำ� เรจ็ ครง้ั นไี้ ดส้ รา้ งความมนั่ ใจใหก้ บั บรษิ ทั ตา่ งๆ ทอ่ี าจจะกำ� ลงั เตรยี มตวั เขา้ มาด�ำเนนิ กจิ การดา้ นเหมอื งแร”่ เรอ่ื งบรเิ วณพนื้ ทซ่ี งึ่ ขดุ เจอนน้ั ไมไ่ ดบ้ อกเอา ไว้ ขา้ พเจ้ามน่ั ใจเป็นอยา่ งย่ิงวา่ ตอ้ งไมใ่ ช่เชียงของอย่างแนน่ อน เพราะวา่ พวก นกั ขดุ ชาวฉานซง่ึ จดั วา่ เปน็ นกั ขดุ ทมี่ คี ุณสมบตั ขิ องนกั แสวงหาเพชรพลอยโดย กำ� เนดิ มากทสี่ ดุ ในโลกนนั้ ตอนน้ี (พ.ศ. ๒๔๔๐) ใกลจ้ ะทงิ้ การขดุ ทงั้ หมดทเี่ มอื ง น้ันไปจนหมดแล้ว เนอ่ื งจากมันเป็นงานทล่ี ำ� บากและยากเยน็ แสนเข็ญ ยงิ่ นัก ส�ำหรบั ในภูมิภาคอันห่างไกลแบบนน้ั ความไมแ่ นน่ อนในเรอ่ื งตำ� แหนง่ ของกรวดซง่ึ ในหลายพนื้ ทจี่ ะเหน็ ไดช้ ดั วา่ ถกู ทำ� ลายไปหรอื ไมก่ ใ็ ชเ้ ปน็ แหลง่ แรไ่ มไ่ ดอ้ กี ตอ่ ไปนนั้ คงมที มี่ าจากการคาด การณไ์ วใ้ นใจหรอื การค�ำนวณพนื้ ทข่ี องแหลง่ เพชรพลอยโดยใหข้ อ้ สรปุ ผดิ พลาด ไปอยา่ งมหันต์ พวกนักขุดชาวฉานใช้ไม้ไผ่เล่ียมปลายเหล็กในการเจาะรูเล็กๆ ในทกุ แหง่ ทเ่ี จอ นลิ ในบรเิ วณกน้ บง้ึ ของ หว้ ย เสยี งปลายเหลก็ กระทบกบั กรวด จะบอกให้พวกเขารู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะแทงลึกลงไปอีก บางทีพวกเขาก็เสาะ แสวงหากนั ในทา่ ทางแบบเดมิ นอี้ ยหู่ ลายอาทติ ยอ์ ยา่ งไรผ้ ล หรอื ไมก่ เ็ ปน็ อกี ครงั้ หนึ่งที่เขาได้พบก้อนแร่และเจาะโพรงลงไปหามันเพียงเพื่อจะได้เจอพลอยเม็ด ลบี ๆ หรอื ขุ่นมวั หาความงามไมไ่ ดเ้ ทา่ นัน้ ความกร้าวแกร่งโดยกำ� เนิดของพวก เขาน้ันยอดเย่ียมมาก จนบางคนคงอดนึกไม่ได้ว่าผลตอบแทนที่ได้รับช่างยาก เยน็ เขญ็ ใจนกั ดว้ ยสภาพปา่ อนั โหดรา้ ยกบั การขดุ เจาะทตี่ อ้ งแชอ่ ยใู่ นหลมุ โคลน

208 บทท่ี ๘ หวั เมืองลาว - แมน่ ำ�้ โขง (ตอนต่อ) เยน็ ยะเยอื กเปน็ เมอื กลน่ื ๆ หา่ งไกลจากรม่ กำ� บงั หรอื เสบยี งตา่ งๆ ตอ้ งหนาวสน่ั จากพษิ ไขแ้ ละลม้ ตายลงดว้ ยโรคบดิ เราพบพวกเขาอยทู่ วั่ ไปทกุ หนทกุ แหง่ เพอ่ื คน้ หาร่อยรอยของ นลิ ท้งั หมดนท้ี ำ� ขึ้นด้วยความรกั ในชีวติ ปา่ อันเสรแี ละดว้ ย ธาตุแท้ของนักการพนันที่มีอยู่ควบคู่กันหรือเพ่ือโอกาสท่ีจะได้เจอซัฟไฟร์สัก เมด็ สองเมด็ ท่ีมีมูลคา่ มากถงึ ๖๐ หรือ ๑๐๐ รปู ี วิธีการช�ำระล้างก็เหมือนกันมากกับที่ท�ำกันในการขุดหาเพชรพลอย ในท่ัวทุกหนแหง่ ของสยาม เม่อื หลุมทขี่ ุดจมนำ�้ กจ็ ะท�ำการวิดเอาน้�ำท่ีสะสมใน ตอนกลางคืนออก จากน้ันจึงได้น�ำก้อนแร่ออกมาใส่ไว้ในตะกรา้ เพื่อน�ำไปล้าง ในกระแสน�้ำ วิธีการที่ใช้ไม้ไผ่ท่อนยาวหมุนรอบตัวอยู่บนสาต้นส้ันปลายแฉก และมกี ารถว่ งนำ้� หนกั อยทู่ ป่ี ลายดา้ นสนั้ เปน็ วธิ ที ม่ี กั จะใชใ้ นการชกั รอกและสบู เอาน้�ำออกจากหลุมลึก เขาจะใช้ตะกร้าสานไม้ไผ่ก้นตื้นๆ นั้นในการท�ำความ สะอาดก้อนแร่ เม่ือโคลนหลุดออกด้วยการแกว่งตัวของตะกร้าภายใต้กระแส นำ�้ ไหล คนงานกจ็ ะโยนหินกอ้ นใหญอ่ อกมาแล้วน�ำมันไปล้างท่อี ืน่ จากนั้นจงึ “แกวง่ ตะกร้า” ล้างสว่ นที่เหลอื ดังนัน้ เขากจ็ ะได้ก้อนแร่เล็กๆ เบาๆ ออกมา อยทู่ างรมิ ดา้ นนอก วธิ นี จ้ี ะตอ้ งพจิ ารณาเลอื กเฟน้ อยา่ งรวดเรว็ และโยนกอ้ นแร่ ท่ไี ม่ต้องการท้งิ ไป ตาและมือจะต้องเคลือ่ นไหวและจับตอ้ งอยา่ งระมัดระวงั ไป ท่กี อ้ นแรท่ ี่เหลอื อยู่ในตะกร้า แล้วจึงทำ� การเกบ็ ซัฟไฟร์ โกเมน หรอื หินสอี นื่ ๆ ทกุ เมด็ ขน้ึ มาดว้ ยการตรวจสอบอยา่ งไมเ่ รง่ รอ้ นในภายหลงั เวลาประมาณเทยี่ ง งานของวันนี้กเ็ สร็จ ทกุ คนจะกลับไปยังกระต๊อบไมไ้ ผข่ องตนเพ่อื ใชเ้ วลาท้งั วัน ในการซุบซิบนินทา เล่นการพนันหรือไม่ก็ท�ำการคัดเลือกและปลาบปล้ืมกับ อญั มณที ขี่ ดุ มาไดท้ า่ มกลางแสงตะวนั บางทกี ท็ �ำอยอู่ ยา่ งนนั้ นบั เปน็ รอ้ ยๆ ครงั้ เราสามารถสังเกตได้ถึงความซื่อสัตย์แท้จริงที่พบในหมู่พวกเขาอย่างน่าแปลก ใจ จากการทีเ่ พชรพลอย ๒ ถงึ ๓ เม็ด ถกู ส่งผา่ นมอื กันไปมาในกล่มุ คนท่มี ามงุ ดูโดยไม่ต้องกลัวว่าจะหายแม้แต่น้อย ถ้าจะพูดถึงความตลกขบขันและนิสัย ดแี ลว้ นน้ั ไมม่ ที ไี่ หนจะมาเทยี บเทา่ ทหี่ มบู่ า้ นชาวเหมอื งเพชรพลอยแหง่ รฐั ฉาน ไปได้

หา้ ปีในสยาม เลม่ ๑ 209 ยอดรวมของแรเ่ พชรพลอยจากเหมอื งเหลา่ น้ใี นระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๔๓๕ - ๓๖ มีจ�ำนวนท่นี ำ� ออกจ�ำหนา่ ยได้ไม่น่าจะเกินไปกว่า ๒๕,๐๐๐ กะรตั หรอื เฉลย่ี แลว้ ขดุ ไดป้ ระมาณ ๑๒๕ กะรตั ตอ่ คน สถติ แิ บบนไ้ี มใ่ ชเ่ รอื่ งทจ่ี ะหาไดง้ า่ ยๆ ในสถานท่ีซึ่งไม่เคยมีใครเก็บรวบรวมข้อมูลมาก่อน และในท่ีซึ่งผู้ตั้งค�ำถาม ตอ้ งการทจ่ี ะนำ� เสนอตวั เลขสถติ นิ น้ั ใหม้ นั ขดั แยง้ ยงุ่ เหยงิ โดยเจตนา เมอื่ ไมต่ อ้ ง วนุ่ วายอยกู่ บั การปลกุ ปน่ั เรอื่ งราวใหใ้ หญโ่ ตเกนิ เหตุ คนงานทเี่ หมอื งเพชรพลอย จะอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นท่ีสุด เขามักจะเล่าถึงความส�ำเร็จของเขาอย่างหดหู่ และยนื ยนั วา่ เขาไมม่ หี นิ แรม่ คี า่ ตา่ งๆ สมคำ� รำ�่ ลอื เขาจะหยบิ ยกเอาตวั อยา่ งหนิ แรท่ ่ีใชก้ ารไมไ่ ด้ ๒ - ๓ ชนิ้ ออกมาใหค้ ุณดู จากน้ันเม่อื เขาคดิ วา่ คณุ ปรารถนา ท่ีจะซือ้ เขาก็จะใหค้ ณุ ไดเ้ ลือกหินแร่ท่ดี กี ว่าทหี่ อ่ เอาไว้ดว้ ยกระดาษหอ่ สกปรก เพียงแคห่ ลงั จากการดืม่ น้�ำชา กนิ หมาก และสนทนาในเรือ่ งทว่ั ๆ ไป ขณะทท่ี ุก คนยนื กรานวา่ คณุ จะตอ้ งไป เขากจ็ ะคอ่ ยๆ คลม่ี ว้ นหอ่ กระดาษและหอ่ สำ� ลจี าก ท่ีเขาซ่อนเอาไว้ในตัวออกช้าๆ ส่ิงที่เขาน�ำมาเสนอคุณเป็นส่ิงท่ีท�ำให้คุณลืม หายใจ เพราะมันคอื ราชาซฟั ไฟรอ์ นั ล้ำ� ค่า และทับทมิ ทล่ี ว้ นงดงามสะกดใจ ในไม่ช้าพวกเราก็เสรจ็ ส้นิ การเยี่ยมชมการขุดทุกแหง่ ซึ่งกำ� ลังด�ำเนนิ อยู่ ทีห่ ้วยปากฮ่าม หว้ ยพงุ และท่อี น่ื ๆ ทัง้ ยังคงตอ้ งใช้ความพยายามและการสบื เสาะแสวงหาแหลง่ แร่ทีข่ ยายบริเวณออกไป คนของเราในขณะนี้มีจ�ำนวนลดลง เนื่องจากชาวน่านทุกคนต่างพากัน กลบั บา้ น และเมอ่ื ชา้ งกบั ควาญชา้ งของพวกมนั ไดจ้ ากเราไปแลว้ เราจงึ รสู้ กึ เหงาๆ อยบู่ า้ ง ดว้ ยความทพ่ี วกเขาเปน็ สงิ่ ทเี่ ชอ่ื มโยงสงิ่ สดุ ทา้ ยของพวกเราทมี่ กี บั พนื้ ท่ี ทางทิศใต้ ข้าพเจ้ายกเลิกการส�ำรวจดินแดนส่วนที่เหลือทั้งหมดท่ีเมืองเชียงของ ด้วยไม่เกดิ ประโยชน์อันใดท่จี ะเดนิ ทางคบื หนา้ ต่อไป และไดน้ �ำหัวหนา้ นักขดุ มาดว้ ยจากความชว่ ยเหลอื ของชายชาวฉานร่างกายก�ำย�ำจ�ำนวนหนงึ่ หรือสอง คน ดว้ ยเรอื ขดุ เลก็ ๆ ๓ ลำ� เราจงึ ใชเ้ วลา ๒ - ๓ วนั แลน่ ทวนนำ้� ขน้ึ ไปสชู่ ายแดน เมอื งเชยี งแสน ซง่ึ ทำ� ใหไ้ ดร้ บั ประสบการณใ์ นการสำ� รวจดตู น้ ทางแมน่ �้ำโขงเปน็ ครัง้ แรกด้วย

210 บทท่ี ๘ หัวเมืองลาว - แม่นำ�้ โขง (ตอนตอ่ ) ใกลช้ ายแดนเมอื งเชยี งแสน บริเวณแมน่ ำ้� โขง การตั้งค่ายพกั แรมตอนกลางคืนบนแหลมทรายแบบน้ีนา่ จะเป็นท�ำเลท่ี อยู่ห่างจากป่าพอๆ กับเป็นบริเวณที่น่าจะปลอดภัยจากเสือ เราข้ึนไปปฏิบัติ งานบนหบุ เขาทบี่ รเิ วณตน้ นำ้� ทกุ สายระหวา่ งเมอื งเชยี งแสนและเชยี งของอยา่ ง สมบุกสมบันต้ังแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก ที่บริเวณชายแดนเมือง เชียงแสนเราได้พบหนิ เน้ือแข็งตามสภาพทีป่ รากฏอยตู่ ามปกติ แตม่ ันจะคอ่ ยๆ มวี วิ ฒั นาการมาสหู่ นิ ทมี่ แี รผ่ สมและกลายเปน็ ผลกึ หนิ จำ� นวนมหมึ าทลี ะเลก็ ละ นอ้ ยจนกลายสภาพเปน็ ไซไนท์ และแรไ่ มกา้ ไซไนท์ เมอื่ เดนิ ทางลงมาตามแมน่ ำ้� สู่ห้วยน้�ำงาวพวกเราก็ถึงบริเวณที่เป็นแร่ไมก้าผลึกของแร่หินชอร์ (shorl) ซึ่งอยู่ในรูปโครงสร้างของผลึกหินท่ีมักจะสังเกตเห็นได้ถึงความสวยงาม เป็น ประเภทหนิ ไดโอไรต์ (diorite) และกรสิ สนั (greisson) ตำ่� จากตรงนจี้ ะเปน็ บรเิ วณ อันกว้างใหญ่มหึมา ซึ่งล้อมรอบด้วยภูมิประเทศซึ่งมีลักษณะเป็นบะซอลต์๑ ตดิ ตามมาดว้ ยหนิ บะซอลตช์ นดิ ตา่ งๆ ทไ่ี ดร้ บั การเปลยี่ นแปลงจนกลายเปน็ หนิ ขรุ ขระและแหลมคมโผลอ่ ยพู่ น้ นำ้� ซง่ึ บาดเทา้ และมอื ของเราไดเ้ หมอื นมดี ทเี ดยี ว2 ๑ Basalt : หินท่เี กิดจากภเู ขาไฟ มีสีดำ� และเน้ือละเอยี ด – สวป. ซง่ึ เป็นหนิ ยาวเอยี งดูเหมอื นหนิ อคั นีประกอบอยู่ใน 2 มิสเตอร์ ไพรเออร์ (Prior) พบวา่ หนิ เหลา่ น้นี ั้นประกอบดว้ ยหนิ ฟนั ม้า ชน้ั ฐานซึ่งมเี นอ้ื หนิ เปน็ ลวดลายพอประมาณของหินฟันมา้ ที่มรี ูปร่างอยา่ งไม้ระแนง แม็กนีไตท์และออไกท์ (magnetite และ augite) บางตวั อยา่ งทไ่ี ดม้ าเปน็ พวกผลกึ หนิ บา้ งกเ็ ปน็ หนิ บะซอลท์ เหมอื นหนิ อคั นที ม่ี ลี กั ษณะแตกตา่ งกนั บา้ ง เลก็ นอ้ ย หินตา่ งๆ ทีป่ รากฏอย่ทู ั้งหมดนมี้ ีอายมุ ากกว่าหินทข่ี ดุ ได้จากแหล่งขุดพลอยทีจ่ งั หวดั จนั ทบูรณ์ – ตน้ ฉบับ

หา้ ปใี นสยาม เล่ม ๑ 211 เมอ่ื ไรกต็ ามทเี่ ราไดพ้ บภมู ปิ ระเทศซงึ่ เปน็ หนิ อคั นหี รอื หนิ แกรนติ โผลอ่ ยู่ ตามชน้ั ผิวดิน หรือก้อนกรวดหนิ อคั นี เราก็จะไมม่ วี ันพบ นิล หรือร่องรอยใดๆ ของแร่เพชรพลอยได้ แต่เมื่อข้างใต้แผ่นผืนหินบอซอลต์อันงามเลิศคือสภาพ ภมู ิประเทศบรเิ วณทางตะวนั ออกของแมน่ ำ�้ ที่ห้วยน�้ำงาวนี้ เราจึงไมไ่ ดเ้ ดินทาง ไปบนช้ันหินอัคนีอีกเลย และเป็นอีกคร้ังที่เราได้เข้าสู่พ้ืนที่ซ่ึงเป็นแหล่งเพชร พลอยซงึ่ กลายสภาพมาจากเขาลกู ยาวลูกเดียวกัน ทวิ ทศั นข์ องแมน่ ำ�้ โขงตรงจดุ นค้ี ลา้ ยคลงึ กบั ทเี่ ราเหน็ อยตู่ ำ่� ลงไปตามทาง สเู่ มอื งหลวงพระบางมากเพยี งแตม่ พี นื้ ทขี่ นาดเลก็ กวา่ เทา่ นน้ั บรเิ วณกน้ หบุ เขา ซ่ึงเปน็ พื้นท่ีสว่ นที่ใหญท่ ีส่ ดุ มคี วามกว้างจาก ๖๐๐ ถึง ๗๐๐ หลา ซ่ึงในฤดนู ำ�้ ลดต�่ำน้ันจะเห็นเป็นพื้นทรายแผ่กว้างตระการตา เหนือขึ้นไปได้ยินเพียงเสียง ผสมผสานระหวา่ งเสยี งออื้ องึ ของความเรว็ ของลมในระยะไกลๆ แทรกดว้ ยเสยี ง ลมพลว้ิ กระเพอ่ื มเพยี งแผว่ ๆ กอ่ นจะถงึ เวลาของกระแสลมยามเทย่ี งวนั แลเหน็ ขอบหนิ อนั แหลมคมทโ่ี ผลพ่ น้ พนื้ ขน้ึ มาเพยี งครง่ึ กอ้ นตระหงา่ นอยทู่ ว่ั ไปทกุ หน แหง่ เปน็ หนิ ทถี่ กู ขดั เกลาจนสกุ ใสเปน็ เงาอยา่ งนา่ อศั จรรยต์ ามวถิ ที างธรรมชาติ ทดี่ เู หมอื นจะไมเ่ คยหยดุ พกั นนั่ กค็ อื การถกู ซดั ดว้ ยทรายทล่ี มหอบเอามาในฤดู น�้ำหลากและถูกตะกอนหนาทึบในแหล่งกระแสน�้ำอันเชี่ยวกรากพุ่งมาปะทะ เหนอื หนิ ดา้ นบนในฤดนู ำ�้ ขนึ้ สงู กอ้ นหนิ ตา่ ง ๆ ทแี่ มน่ ำ�้ โขงลว้ นไดร้ บั การขดั เกลา เชน่ นจี้ นทำ� ใหม้ นั ดแู ปลกเปน็ พเิ ศษ ลกั ษณะของผลกึ หนิ เหนอื บรเิ วณหลวงพระ บางซ่ึงแยกตัวออกเป็นชั้นหินปูนอยู่ด้านล่างและลักษณะหินเน้ือแข็งสีแดง ซง่ึ อยู่เหนอื บรเิ วณเวยี งจันทนน์ บั เปน็ ความงดงามเฉพาะตัว และจากพ้ืนผวิ อัน สกุ ใสของมนั นเ่ี องจงึ ทำ� ใหม้ องแลว้ เกดิ อาการลวงตาไดม้ าก เนอ้ื ทรายจะประกอบ ดว้ ยจำ� นวนอนั มหาศาลของแรค่ วอ็ ตซ์ทม่ี แี รเ่ หลก็ สีเหลืองเป็นผลึกรปู สเี่ หลย่ี ม แร่ไมก้า รวมทงั้ แร่แมเ่ หลก็ ปนอยู่จึงทำ� ใหม้ ันดูเปน็ ประกายแวววาวเป็นพเิ ศษ ยามเมอ่ื ต้องแสงอาทิตย์ เราอยู่ในท่ามกลางทางทุรกันดารที่เป็นพ้ืนหินและพ้ืนทรายซ่ึงถูกแดด แผดเผาร้อนระอุจนมิอาจเดินเท้าเปล่าได้ในตอนกลางวัน แม่น�้ำไหลเป็นทาง วกเวยี นเชยี่ วกรากทรี่ ะดบั ตำ่� ลงไป ๓๐ ฟตุ ซอกซอนไปตามแกง่ หนิ และมคี วาม

212 บทท่ี ๘ หัวเมืองลาว - แมน่ ำ�้ โขง (ตอนตอ่ ) กว้างราว ๑๖๐ หลา ตรงบางจดุ นน้ั มีกระแสน�้ำไหลเชี่ยวแรงตลอดช่องแคบที่ กว้างเกอื บ ๖๐ หลา อนั เป็นความเร็วท่ีข้ามผ่านไปไดย้ ากยิ่ง ไม่เพยี งแตม่ ีสนั คล่ืนและก้อนหินโดยรอบคอยกีดขวางอยู่เท่าน้ัน แต่แค่ในระดับความเร็ว ธรรมดาๆ เรอื กอ็ าจตอ้ งปะทะกบั ทอ้ งแมน่ ำ้� อนั เตม็ ไปดว้ ยหนิ ขรขุ ระอยแู่ ลว้ ยงิ่ ไปกวา่ นนั้ วงั นำ้� วนทม่ี อิ าจหยง่ั คะเนได้ ยงั ไดเ้ หนยี่ วรง้ั เราออกไปนอกทศิ ทางได้ ถึง ๑ ใน ๔ โดยลากออกไปนอกทิศทางทมี่ ักจะตรงข้ามกับความตอ้ งการของ ลูกเรอื ลกั ษณะเช่ยี วกรากอนั นา่ แปลกของผิวน้�ำซงึ่ เกิดข้ึนอยา่ งไม่หยดุ หย่อน ท่ีมักจะท�ำให้ต้องรีบเสือกหัวเรือตัดสายน้�ำตรงมุมอันพอเหมาะพอดีตรงจุดที่ บางคนคดิ วา่ มนั เปน็ กระแสของนำ้� นนั้ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ แรงตอ่ สกู้ ดดนั อนั มหาศาล ของมนั ทอี่ ยเู่ บอ้ื งลา่ ง ดว้ ยความทตี่ อ้ งการจะบกุ เบกิ อยา่ งหนกั ขา้ พเจา้ จงึ ไมท่ นั ไดฉ้ ุกคิดในเรอ่ื งความลึกของสายนำ�้ ในบางพืน้ ที่ แตท่ เี่ หนอื แกง่ หลวงและทีใ่ ต้ หลวงพระบางเราวัดความลึกได้เกินกว่า ๒๐ ฟาทอม เว้ิงอ่าวอันกว้างใหญ่ ซึง่ ในหลายๆ พ้ืนที่ถกู กดั เซาะเปน็ แอ่งดว้ ยกระแสน�้ำหมุนวนไหลย้อนกลับอนั ทรงพลงั นน้ั ไดไ้ หลเซาะเขา้ ไปทางดา้ นในโดยมหี นิ เปน็ อปุ สรรคขวางกนั้ นบั เปน็ อา่ วทสี่ ำ� คญั มากและเปน็ สง่ิ เตอื นใจอนั เปน็ ประโยชนส์ �ำหรบั คนทค่ี ดิ วา่ ไมส่ �ำคญั การลองใชค้ อ้ นตอกเพอ่ื กะเทาะเอาชน้ิ สว่ นของหนิ บะซอลตอ์ อกมากย็ ง่ิ กระตนุ้ ความเช่ือที่มีมานานว่าสายน�้ำวนอันเงียบสงบแต่แฝงความน่ากลัวซึ่งพบได้ใน บางส่วนทมี่ กี �ำลังออ่ นกว่าน้ี คงใชท้ ้ังเวลาและกำ� ลังแรงไหลวนของมนั กดั เซาะ กินลกึ เข้าไปในเนอื้ หินเป็นระยะถึง ๖๐ หลาได้อยา่ งไม่ต้องสงสยั กระแสน้�ำท่ีไหลย้อนกลับเช่ียวแรงที่ปรากฏอยู่ท่ัวไปได้ถูกกีดขวางด้วย หินขรุขระ และสนั ดอนทรายตามจดุ ตา่ งๆ บนแมน่ ้�ำ ตามรมิ ทางที่พุ่มไมเ้ ลอ้ื ย เต้ยี ๆ สูงเพยี ง ๒ ถงึ ๓ ฟุต และโคลนทกี่ ำ� ลังค่อยๆ แหง้ กรงั ซึ่งยงั คงมีรอ่ งรอย ของเสือ กวางหรอื แมแ้ ต่งใู หเ้ ห็น นกจำ� นวนมากโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ พวกนกกระยางยงั คงทง้ิ รอ่ งรอยในโค ลนนม่ิ ๆ เละๆ ตรงท่มี ันได้บกุ ลยุ เขา้ ไปจับปลาเอาไว้ ซึ่งเราจะเห็นพวกมนั ยนื อยู่ท่ามกลางสายหมอกในยามเชา้ ตร่โู ดยมพี ้นื นำ้� อำ� พรางตวั ไวค้ รง่ึ หน่งึ

หา้ ปใี นสยาม เล่ม ๑ 213 เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นนกกาน�้ำตัวใหญ่ในแม่น�้ำและน่ังอยู่บนก้อน หนิ แตท่ น่ี ง่ั เงยี บๆ มากกวา่ และดเู ปน็ มติ รมากกวา่ กค็ อื นกกานำ้� ตวั เลก็ อยา่ งไร ก็ตามเราไม่ได้เห็นมันอีกในทางตอนใต้ของหลวงพระบาง ขณะเดียวกับที่เรา พบนกกาน้�ำขนาดใหญ่กว่าได้ทั่วไปในสยามอยู่บ่อยๆ และกินมันเป็นอาหาร เยน็ เป็นประจำ� นกพนั ธท์ุ น่ี า่ จบั ตามองทส่ี ดุ ทพ่ี วกเราเคยไดย้ นิ และเหน็ มานน้ั คอื นกเงอื ก สลับสีพันธุ์ใหญ่ท่ีค่อยๆ กระพือปีกไปตามเส้นทางของมันเพ่ือมุ่งหน้าตัดผ่าน แนวป่า หลังจากนั้นอีกหลายปีเราก็ได้พบมันท่ีตะนาวศรีในจ�ำนวนที่มากจน ทำ� ใหเ้ สยี งรอ้ งและเสยี งตอ่ สขู้ องมนั กลายเปน็ เสยี งทสี่ รา้ งความรำ� คาญได้ สตั ว์ ปีกจ�ำพวกเป็ด ไก่ มีให้เห็นอย่างอุดมสมบูรณ์ นกกระสาค่อนข้างหายาก สว่ นนกอนิ ทรจี ะมเี ปน็ จำ� นวนมาก แตจ่ ากการทม่ี นั อยหู่ า่ งไกลกบั การทขี่ า้ พเจา้ ขาดความรใู้ นเรอ่ื งนจ้ี งึ ไมอ่ าจกลา่ วสง่ิ ใดเพม่ิ เตมิ ไดอ้ กี เพอ่ื นทไ่ี มเ่ คยรจู้ กั กนั มา กอ่ นเลยนนั้ สง่ เสยี งซง่ึ เราจดจ�ำกนั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ขา้ พเจา้ จงึ ยนิ ดที กี่ ลบั มาไดย้ นิ เสียงมนั อกี คร้ัง มันเปน็ เสียงดงั อย่างเริงร่าสะท้อนกลบั ไปกลับมาในหบุ เขาอนั ยง่ิ ใหญแ่ มจ้ ะอยใู่ นวนั ทร่ี อ้ นระอแุ ละเงยี บสงดั จนดเู หมอื นวา่ มนั เปน็ เสยี งทตี่ อ้ ง อยคู่ วบคกู่ นั ไปกบั ทศั นยี ภาพแหง่ ขนุ เขา ยามคำ่� คนื นกฮกู จะรอ้ งครางอยา่ งเศรา้ สร้อยและมีนกเค้าแมวร้องเสียงดังฟังชัด เม่ือถึงยามรุ่งอรุณเสียงร้องลากยาว สุดเสียงของฝูงชะนีคงท�ำให้ใครบางคนคิดไปว่าในพงป่าพื้นเมืองแห่งหุบเขา แมน่ ำ�้ โขงนน้ั เปน็ ทง้ั ความสนกุ สนานและความซมึ เศรา้ ของพวกมนั ควบคกู่ นั ไป สองวนั แหง่ การเดนิ ทางขน้ึ ไปทางเหนอื และตะวนั ออกสเู่ ขตแดนอกี ดา้ น หนง่ึ ของแหลง่ เพชรพลอยซง่ึ รวมระยะทางไดป้ ระมาณ ๑๐ ไมลน์ น้ั นบั เปน็ เรอ่ื ง นา่ สนใจยง่ิ เนอื่ งจากเสน้ ทางนไี้ ดน้ ำ� เราไปพบรอ่ งรอยของเสอื และรอยเทา้ ของ ชา้ งปา่ จ�ำนวนมหาศาลอนั เป็นรอ่ งรอยทเ่ี ราไม่เคยไดเ้ ห็นตามริมฝ่ังแมน่ ำ้� พวก มันผู้เป็นเจ้าป่าแห่งน้ีได้ปักหลักอยู่กันอย่างสงบสุขมาช้านานในเขตแดนท่ียัง เป็นข้อถกเถยี งกันอยู่ มันคงจะมเี วลาว่างสบายๆ ในชว่ งพกั ของการโคน่ ลม้ ตน้ ไผ่หรือไม่กล็ า่ ตัวระมาด ในขณะท่ีทัง้ ฝรงั่ เศสและอังกฤษตา่ งพยายามท�ำใหข้ ้อ

214 บทท่ี ๘ หวั เมอื งลาว - แม่นำ้� โขง (ตอนต่อ) โตแ้ ยง้ นนั้ กลายมาเปน็ ขอ้ ตกลงรว่ มกนั หากตอนนพ้ี วกมนั ตกไปเปน็ ของฝรงั่ เศส อยา่ งนอ้ ยมนั กค็ งแสดงความยนิ ดกี บั ตวั เองไดใ้ นเรอ่ื งทวี่ า่ อาณาจกั รของพวกมนั ดเู หมอื นจะถกู รกุ รานนอ้ ยลงทง้ั จากพวกพอ่ คา้ หรอื จากพวกนกั ลา่ สตั วม์ ากกวา่ ทจี่ ะเปน็ เรอื่ งอนื่ การถอ่ เรอื ขดุ ตา้ นกระแสนำ้� ในแมน่ ำ้� โขงตามทไี่ ดร้ บั การสอนมาจากชาว ลาวตามริมฝั่งดูเหมือนจะเป็นที่นิยมกันมากกว่ารูปแบบที่นิยมถ่อกันในแม่น�้ำ เจา้ พระยา เพราะทีบ่ นดาดฟ้าเรือแทบจะไมม่ ที วี่ ่างสำ� หรบั ให้คนสองคนเข้าไป นง่ั ได้ อกี ท้งั เรือยังหมุนและตะแคงอยตู่ ลอดเวลา เรอ่ื งตลกๆ เกย่ี วกบั การแล่น เรอื ทวนกระแสนำ�้ นั้นเลา่ กันได้ไมร่ ้จู บ การเดินเรือท่ีความเรว็ ๔ ไมล์ต่อช่วั โมง โดยทต่ี อ้ งเจอสายนำ้� วนมากขน้ึ จนถงึ แอง่ หนิ ขนาดใหญท่ ำ� ใหเ้ ราตอ้ งจบั และยดึ เรือให้มั่นด้วยถ่อกันโคลงตรงบริเวณขอบริมด้านบนของหินอยู่ครู่หน่ึงแล้วจึง คอ่ ยๆ แทรกหวั เรอื ลงชา้ ๆ เหนือนำ�้ ที่ไหลลดระดบั สูช่ ่วงรับนำ้� เขา้ ตรงบรเิ วณท่ี เปน็ พนื้ นำ้� ราบเรยี บใสเหมอื นกระจกซงึ่ อยทู่ างตอนบน เรอื จะเกดิ อาการโคลงเคลง และหยุดชะงัก จากนั้นจึงค่อยใช้หางเสือท้ายเรือที่อยู่ลึกลงไปในน้�ำถือท้ายไว้ ไดอ้ ยา่ งมนั่ คงเชน่ เคย ระหวา่ งความเรว็ ทยี่ ำ�่ แยเ่ ชน่ นร้ี ะยะทางทดี่ ที ค่ี วรจะทำ� ได้ คอื ๕ กโิ ลเตรตอ่ ชว่ั โมง ซงึ่ เมอ่ื เขา้ สคู่ วามเรว็ นอ้ี นั ตรายใหญห่ ลวงทอ่ี าจเกดิ ขนึ้ ได้ก็คือการท่ีข้างเรือจะพลิกตะแคงขณะที่มันพุ่งลงสู่กระแสน้�ำ อาการเช่นนี้ ท�ำใหเ้ รอื เกดิ อับปางได้มากทส่ี ุด ทั้งๆ ที่พูดกนั ว่ามนี างเงือกพยายามจะควา้ ตวั คนที่ก�ำลังว่ายนำ�้ แต่ปรากฏว่ามีคนเคยจมนำ�้ อยู่เพยี งไม่ก่คี น ในหลายๆ พน้ื ทจี่ ะใชว้ ธิ ีขนของออกจากเรือพร้อมๆ กนั และทำ� การลาก จงู ไปโดยใช้เชอื กซึ่งมกั จะกนิ เวลารว่ มวันหรอื ๒ วนั ในสถานท่ีซ่งึ มรี ะยะทาง ไกลมากๆ การแล่นตามกระแสน้�ำจะท�ำให้เรือจะเปลี่ยนสภาพเป็นเรือกู้ชีพโดยใช้ วธิ กี ารงา่ ยๆ และชำ�่ ชองดว้ ยการผกู มดั ไมไ้ ผเ่ อาไวท้ บ่ี รเิ วณกราบเรอื วธิ กี ารเชน่ นีไ้ ม่เพียงแต่จะทำ� ใหเ้ กดิ ช่องอากาศซ่งึ จ�ำเป็นตอ่ การพยงุ ให้เรอื ลอยตัวเทา่ น้ัน แต่ยงั เป็นการเพิม่ ระยะจากกราบเรือถงึ ขอบริมนำ้� ทำ� ใหป้ ากเรือกว้างขึ้นอกี ถงึ

หา้ ปใี นสยาม เลม่ ๑ 215 ๒ ฟตุ เรอื จงึ ไมม่ ที างพลกิ ควำ่� ไดง้ า่ ยๆ ดงั นนั้ ในความเปน็ ผเู้ จรญิ แลว้ อยา่ งทเ่ี รา โอ้อวดน้ัน ชาวลาวคงจะเหน็บแนมได้ว่าพวกเราก�ำลังล้าหลังพวกเขาในเรื่อง การส�ำรวจเรือบดอย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงยุคของเรือที่มีหัวเรือขนาดใหญ่นั่น แหละ เราเสร็จสิ้นภารกจิ ทเ่ี มืองเชียงของภายในเวลา ๑๐ วัน ขา้ พเจา้ ไดเ้ ขยี น รายงานส�ำหรับน�ำเสนอทางการเมืองเชียงใหม่แล้วจึงส่งให้ท่านข้าหลวงผู้เป็น เพอื่ นของเรา ในระหวา่ งทเ่ี ราออกไปทำ� การสำ� รวจทวนแมน่ ำ้� ขน้ึ ไป ทา่ นขา้ หลวง กไ็ ดส้ อดสา่ ยสายตาไปยงั ลกู มา้ ซงึ่ เปน็ ของเจา้ หวั หนา้ และวธิ กี ารจดั การเพอื่ ให้ ไดม้ าซงึ่ ลกู มา้ นน้ั เปน็ เหมอื นบทเรยี นหนงึ่ ของพวกเรา ทา่ นขา้ หลวงรวู้ า่ เรามลี กู มา้ เหนอ่ื ยออ่ นทอี่ ยากจะกำ� จดั ไปใหพ้ น้ ดงั นน้ั เพอื่ ใชป้ ระโยชนจ์ ากการซอ้ื ของ เจา้ หัวหน้า และท�ำให้เขาจำ� เป็นตอ้ งใช้เงินสด เขาจึงใช้อ�ำนาจของตนในฐานะ ข้าหลวงจากเชยี งใหม่ ส่ังให้ เจ้า ทนี่ ่าสงสารแสดงความอยากไดแ้ ละขอซอื้ ลกู มา้ ไปจากพวกเราในราคาทแี่ พงลบิ ลว่ิ โดยใชเ้ งนิ ในกระเปา๋ ของเจา้ หวั หนา้ จาก นน้ั กห็ วงั วา่ จะสามารถชกั ชวนให้ เจา้ ขายลกู มา้ ทเี่ ขาเลง็ เอาไวใ้ หต้ วั เองได้ โชค ไม่ดีท่ขี า้ พเจ้าเกดิ ไดข้ า่ วในเร่อื งน้เี ข้า เมือ่ เจา้ ได้มาขอรอ้ งข้าพเจา้ เพ่อื ขอซ้อื ลกู มา้ สักตัวหน่งึ ดว้ ยใบหน้าอนั เศร้าหมองทจี่ ำ� ใจต้องปฏิบตั ิตามคำ� สง่ั ขา้ พเจ้า จงึ ได้แสดงความรูส้ ึกเสยี ใจจรงิ ๆ วา่ ไม่สามารถแยกขายสัตว์ท่ีมคี ุณคา่ นน้ั จาก กันได้ เจ้า ที่น่าสงสารจึงกลับมามีชีวิตชีวาและเริ่มเป็นมิตรกับเรา และเมื่อ ข้าพเจ้ากลับไปหาท่านข้าหลวงแล้วต้ังคำ� ถามว่าเขาไม่คิดว่าข้าพเจ้าท�ำถูกใช่ มั้ย? ค�ำตอบของเขาก็แสดงความเช่ือถอื ดังทีเ่ ป็นอยู่ปกติวา่ ขา้ พเจ้าเปน็ ฝ่ายถกู เสมอ แต่ดจู ะมคี วามกระตือรือรน้ น้อยกว่าทเี่ คยเปน็ เมื่อพวกเราจากมาเขาได้ ชใ้ี ห้เหน็ ถึงคณุ สมบตั ดิ ๆี ที่มอี ยูม่ ากมายในตวั เขาอยู่นานพอควรทีเดยี ว ทง้ั ยงั ขอรอ้ งใหข้ า้ พเจา้ บอกใหท้ างการทกี่ รงุ เทพฯ ไดร้ ถู้ งึ คณุ งามความดใี นตวั เขาให้ ด้วย การอำ� ลาจากนกั ขดุ ชาวฉานและหวั หนา้ คนงานของพวกเรากลบั มลี กั ษณะ เป็นอกี แบบหนึ่ง แม้ว่าตลอดท้ัง ๑๐ วนั พวกเขาจะไดร้ ว่ มท�ำงานเพ่อื เราอยา่ ง

216 บทที่ ๘ หวั เมอื งลาว - แมน่ ำ�้ โขง (ตอนตอ่ ) ไมร่ จู้ กั หยดุ จกั หยอ่ นทง้ั ถอ่ เรอื บกุ บนั่ ตดั ผา่ นปา่ รก ขดุ รู เดนิ เทา้ อยใู่ นอณุ หภมู ิ ทหี่ ายใจแทบไมอ่ อก แบกหามสมั ภาระตา่ งๆ และพกั แรมทา่ มกลางน�้ำคา้ งหนาว เยอื ก ทง้ั หมดทเี่ ราสามารถทำ� ไดก้ ค็ อื ทำ� ใหพ้ วกเขายอมรบั รางวลั ใดๆ กไ็ ดจ้ าก พวกเรา แตด่ เู หมือนเขาจะกังวลตอ่ ความคิดของพวกเราท่ปี รารถนาจะมอบส่ิง ใดสงิ่ หนงึ่ ใหพ้ วกเขา และประกาศออกมาวา่ ทพี่ วกเขาเขา้ มาทำ� งานกเ็ พอื่ ทำ� ให้ ข้าพเจ้าพอใจเท่าน้ัน มิได้มุ่งหวังท่ีจะเอาเงินเอาทองของข้าพเจ้า หากคนเรา สามารถกลา่ วใหพ้ รทด่ี ใี ดๆ ได้ ขา้ พเจา้ ใครข่ อพรใหพ้ วกเขาอยใู่ นใจของขา้ พเจา้ เสมอไมม่ วี นั รา้ งรา ใครกต็ ามทไี่ ดพ้ บกบั หมอ่ งอนุ นน่ั แสดงวา่ เขาไดพ้ บกบั ความ เป็นมนุษย์ทีแ่ ท้จรงิ เข้าแลว้ ภาระหนา้ ทค่ี รง้ั สดุ ทา้ ยทพ่ี วกเราคอื การไดใ้ หค้ วามชว่ ยเหลอื ดว้ ยการไป ปรากฏกายในวนั แรกของงานฌาปนกจิ เจา้ คนเกา่ ซงึ่ จดั ขนึ้ ทบี่ รเิ วณทโ่ี ลง่ กวา้ ง ข้างหน้า วัด ส�ำคัญแหง่ หนงึ่ แผงเล็กๆ ท่ีก้นั ไวส้ �ำหรบั ผูช้ มต้งั อยโู่ ดยรอบพ้นื ท่ี สเี่ หลย่ี มตรงกลางเปน็ เชงิ ตะกอนทใี่ ชเ้ ผาศพตกแตง่ ประดบั ประดาดว้ ยผา้ สขี าว และแดงกับร่มปลายแหลมท่ีใช้มุงเป็นหลังคาจ�ำนวนมาก เราไปเป็นเกียรติใน พธิ พี รอ้ มกบั เจา้ คนใหมผ่ คู้ นทตี่ ดิ ตามเรามาแตง่ กายดว้ ย ผา้ นงุ่ ไหมผนื ทด่ี ที สี่ ดุ พวกเขาดูจะมีท่าทางเบิกบานส�ำราญใจมาก ด้วยต่างก็รักชอบเร่ืองแบบนี้ สง่ิ แรกทเ่ี ราไดช้ มคอื การรำ� ดาบและรำ� หอกทเี่ นบิ นาบเชอื่ งชา้ โดยกลมุ่ ชายฉกรรจ์ ทพี่ ากนั กวดั ไกวอาวธุ สเี งนิ ในมอื ไปมา จากนนั้ กถ็ งึ การชกมวยระหวา่ งแชมเปย้ี น จากหลายๆ หมบู่ า้ นโดยจะมกี ารขานชอ่ื ของพวกเขากอ่ นการชกแตล่ ะรอบ เมอ่ื ได้ท�ำความเคารพประธานในพิธีด้วยการคลานเข่าเข้ามาแล้ว พวกเขาจึงเร่ิม ท�ำท่าทางต่อสู้หลอกล่อเพ่ือเป็นการหยั่งเชิงและจดจ้องคู่ต่อสู้ในขณะท่ีก�ำลัง เต้นและร่ายร�ำไปรอบๆ อีกฝ่ายหนึ่งโดยใช้ท่าทางและออกลีลาร้อยแปด การออกลีลามากจนดูน่าข�ำเช่นน้ีก็เพ่ือให้พวกท่ีถือหางทั้งสองฝ่ายได้มีโอกาส ตัดสนิ ใจ การเข้าคลุกวงในจนชลุ มุนมีทงั้ เตะ ท้ังหลอกล่อและถอยหนี ท่ตี ลก ยงิ่ กวา่ นนั้ กค็ อื การจดจอ้ งใหอ้ กี ฝา่ ยหนง่ึ เขา้ มาหา แลว้ ทนั ใดนนั้ กเ็ ขา้ ไปกอดรดั ฟัดเหวยี่ ง พันตกู ันในระยะใกล้ และเตะกนั อย่างคล่องแคล่วว่องไวเป็นพิเศษ

หา้ ปีในสยาม เลม่ ๑ 217 ผตู้ ดั สนิ และเจา้ หนา้ ทซี่ งึ่ คอยชว่ ยเหลอื นง่ั ยองๆ เตรยี มพรอ้ มทจี่ ะเขา้ ไป ขดั จงั หวะการตอ่ สู้ ในตอนทา้ ยแตล่ ะยกจะมผี ชู้ ายนำ� นำ�้ ทใ่ี สอ่ ยใู่ นขนั เงนิ ยน่ื ให้ นักมวยโดยวางไว้ให้บนหัวเข่า ผู้ชนะท่ีปราบคู่ต่อสู้ลงได้จะได้รับเงินจาก เจ้า คนละ ๓ รูปี จึงดเู หมอื นว่าจะเป็นการต่อสู้กนั โดยไมห่ วงั ส่งิ ตอบแทน นอกเสีย จากเกยี รติยศและชอ่ื เสยี งในฐานะคนของหมบู่ ้าน ความกระตอื รอื รน้ รนุ แรงยงิ่ ขน้ึ จนเลยเถดิ ไปถงึ ขน้ั เอด็ ตะโรดว้ ยความดี อกดีใจเมื่อถงึ รอบของนกั มวยรุ่นจ๋ิว เด็กชายเล็กๆ พวกนี้แสดงให้เหน็ ถึงความ กลา้ หาญเตม็ เปย่ี มแตท่ วา่ มคี วามชำ� นาญเชงิ มวยเพยี งนอ้ ยนดิ บรรดาลงุ ๆ และ พอ่ ของพวกแกพากนั เตน้ ไปรอบๆ เพอื่ กระตนุ้ พวกเดก็ ๆ ดว้ ยสหี นา้ ทส่ี นกุ สนาน และหวั เราะกนั อยา่ งไม่หยุดหย่อนในยกที่เดก็ ๆ ตอ่ ส้กู นั ไดด้ เี ปน็ พเิ ศษ โดยจะ มเี สยี งป่ีเปา่ คลอเป็นทว่ งทำ� นองแปลกๆ ฟังดเู ศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา ตกค่�ำฝูงชนท่ีห่อหุ้มร่างกายสวมใส่เส้ือผ้าด้วยผ้าลายตาหมากรุกจะมา รวมตวั กนั เพอ่ื ฟงั นกั รอ้ งตาบอดรอ้ งเพลงปากเปลา่ ดว้ ยเสยี งทตี่ ำ่� และรวั เรว็ กลบั ไปกลบั มาทา่ มกลางแสงวบู วาบจากเทยี นชนวน มนั ไมไ่ ดเ้ ปน็ เพลงทร่ี อ้ งในงาน ศพเกยี่ วกับหวั หนา้ ผยู้ ิง่ ใหญ่ท่ีจากไป แต่เป็นการคอ่ นขอดวิพากษว์ จิ ารณ์เรอ่ื ง ชีวิตท่ัว ๆ ไปโดยเนน้ ทเ่ี รื่องการปกครองในเมืองเชียงของเป็นพิเศษ ศีรษะของ ผู้คนที่นั่งยองๆ อยู่คลาคล่�ำเบ้ืองหน้าเขาโยกส่ายไปมาจากการระเบิดเสียง หัวเราะ กลุ่มควันจากการสูบบุหร่ีคงจะขาดหายไปอย่างปัจจุบันทันด่วนเมื่อ เกดิ เสยี งหวั เราะดงั สนนั่ ทะลอุ อกมานอกกรอบพนื้ ทสี่ เี่ หลย่ี มสลวั ราง แลว้ เสยี ง นน้ั กซ็ าลงอกี ครง้ั เสยี งพดู รวั เรว็ ตำ่� ๆ ของเขาจงึ ผสมผสานไปกบั ความเงยี บคลอ ด้วยเสียงสวดของพระสงฆ์ซึ่งเทศน์เป็นภาษาบาลีถ่ีกระช้ันอยู่รอบเชิงตะกอน เพ่อื ขับไลภ่ ตู ผิ ตี ่างๆ ไปให้พน้ จากสภาพสงั คมแวดลอ้ มทีด่ งึ ดดู ใจเบอ้ื งหน้าเชน่ น้ีคงทำ� ใหพ้ วกเราแยก ตวั ออกไปไดย้ าก เราจากเชียงของมาในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๓๖ และถึงหลวง พระบางภายใน ๑๒ วนั หลังจากที่เสรจ็ จากการสำ� รวจระยะสั้นๆ ตามพ้นื ทรี่ มิ

218 บทที่ ๘ หวั เมืองลาว - แม่นำ�้ โขง (ตอนตอ่ ) สองฟากฝง่ั แมน่ ำ�้ การเดนิ ทางขาลงใชเ้ วลาเพยี ง ๕ วนั สว่ นการเดนิ ทางขาขนึ้ ตอ้ งใชเ้ วลา ๑๒ ถงึ ๑๕ วนั เลยทเี ดยี ว โดยทว่ั ไปแลว้ การเดนิ ทางขน้ึ ไปทางตอน เหนือของแม่นำ�้ ในสยามจะต้องเผอ่ื เวลาไวเ้ ปน็ ๓ เทา่ ถึงจะปลอดภยั เราใช้เวลา ๓ วันข้ึนไปทางหุบเขา น้�ำงาว เพ่ือค้นหาทอง น�้ำงาวเป็น แมน่ ำ้� ซง่ึ อยถู่ ดั ไปทางตะวนั ออก นำ้� องิ อยใู่ นบรเิ วณใกลเ้ คยี งกบั ปา่ แกง่ งาว ปา่ มีพิษชนิดเดียวกับเทือกเขาถนนธงชัยและดงพญาเย็น ซ่ึงมีกิตติศัพท์ในเร่ือง ไข้ป่าอันน่าสะพรึงกลัวเช่นเดียวกัน พืชพรรณไม้ท่ีข้ึนอยู่หนาทึบจนท�ำให้มัน เป็นป่าท่ีมีอากาศเย็นยะเยือกและมืดคร้ึมดังท่ีเป็นอยู่นั้นอาจจะเป็นที่มาของ สภาพดินอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งยังคงสภาพอยู่ในสัดส่วนที่ไม่เส่ือมสลายของหิน ซงึ่ มีธาตปุ นู ผสมในระดับชนั้ หินปูนขนาดมหึมา ในหลายๆ พนื้ ทช่ี นั้ หนิ ปูนนไ้ี ด้ ถูกกัดกร่อนจนกลายสภาพเป็นหินปูนด้วยปริมาณคงที่ซ่ึงน�้ำฝนที่ตกกระหน�่ำ ก็ยังกดั เซาะมันไดเ้ พียงเลก็ น้อย ส่วนในท่ีอ่นื ๆ นน้ั สสารทีเ่ ป็นธาตุหินปูนไดถ้ กู ละลายจนสลายไปในพื้นทขี่ นาดใหญ่ เหลอื แตด่ นิ ร่วนสีแดงเอาไว้และตอ่ มาก็ ถูกปกคลุมดว้ ยพชื พรรณไมท้ ่ีเจรญิ เตบิ โตสะพรั่งหนาทึบ ระหวา่ งทางทเ่ี ราเดนิ ทางไปตามแมน่ ำ�้ โขงเราไดพ้ บกบั เรอื มากมายพรอ้ ม ดว้ ยลูกเรอื จ�ำนวนต่างๆ กันตง้ั แต่ ๖ ถงึ ๘ คนออกไปท�ำงานรอ่ นทองในชว่ ง ผลดั ส้ันๆ ทบ่ี ริเวณพื้นทรายของแม่น�้ำ เวลาส�ำคัญจะเปน็ ช่วงหลงั จากฤดูฝนที่ ดเู หมอื นวา่ นำ้� จำ� นวนมากจากทว่ั ทกุ สารทศิ จะไหลไปกอ่ กวนและพดั พาทองคำ� จำ� นวนเล็กๆ นอ้ ยๆ ใหไ้ หลลงมาตามแม่น�้ำแล้วไปกองทับถมกนั ไวอ้ ีกท่ีบนผนื ทรายต่างๆ ตัวอย่างเช่นทางใต้เมืองหนองคายจะมีสันทรายขนาดใหญ่ท่ีรู้จัก กันในชื่อ หาดข้าม เป็นทซ่ี ง่ึ ประชาชนท้งั หมดพากนั ไปทีน่ น่ั เพือ่ รอ่ นทองเพียง วนั เดียวใน ๑ ปี ขณะที่นำ�้ ซึ่งทว่ มอยไู่ ด้เหอื ดแห้งไปแลว้ ซ่งึ การทำ� งานวันเดียว น่ันแหละท่ีสูบเอาทองไปจากฝั่งจนเกล้ียง จนเมื่อเกิดน�้ำท่วมประจ�ำปีก็จะได้ เวลาท�ำงานอีกครง้ั ทางตอนเหนือจากแม่น้�ำข้ึนไปนับจากเมืองเชียงแสนลงมาเป็นสถานท่ี ซงึ่ เลอื กไวใ้ ชใ้ นการรอ่ นทองเหมอื นเชน่ เคยและนา่ จะอยตู่ ำ�่ ลงมาจากจดุ หกั มมุ

หา้ ปใี นสยาม เลม่ ๑ 219 ของแม่น�้ำตรงบริเวณที่น้�ำวนก่อตัวให้เกิดเป็นน�้ำท่วมสักประมาณฟุตหรือ ๒ ฟุต โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงต้องใหห้ า่ งจากแนวพุ่มไม้เตย้ี ๆ ท่ีงอกอยู่ตามพ้นื ทราย ดว้ ย วิธีของกระบวนการร่อนทองก็เหมือนในทุกๆ ที่ นักขุดแต่ละคนจะมี ตะแกรงรอ่ นทองของตนเอง เปน็ จานท�ำจากไมท้ ี่กว้าง ๓๐ นวิ้ ฟุต และวัดจาก ตรงกลางลกึ ๕ นว้ิ นำ� ไปลอยไวท้ ใ่ี นแมน่ ำ�้ โดยแขวนเหนย่ี วไวก้ บั กอ้ นหนิ ตะกรา้ ทใ่ี สก่ อ้ นแรท่ จ่ี ะสนั่ ไปสนั่ มาอยบู่ นจานไม้ มเี พยี งกอ้ นแรเ่ ลก็ ๆ เทา่ นนั้ ทจี่ ะลอด รผู า่ นไปได้ สว่ นกอ้ นทใี่ หญก่ วา่ นนั้ จะถกู โยนออกไปไวอ้ กี ทางหนง่ึ มอื ทง้ั ๒ ขา้ ง จะสา่ ยตะแกรงรอ่ นทองจากทางซา้ ยไปทางขวาอยเู่ รอื่ ยๆ ในขณะเดยี วกนั กจ็ ะ กดที่ริมตะแกรงไปรอบๆ เพื่อ“รับแสงอาทิตย์” เป็นการไล่น้�ำและจุ่มน้�ำไป พรอ้ มๆ กนั วัสดุทเี่ บากว่าเชน่ ผลกึ แก้วและแร่ไมกา้ จะถูกกำ� จัดออกไปสว่ นแร่ ที่มีความถ่วงจ�ำเพาะมากกว่ารวมทั้งพวกแม่เหล็กธรรมชาติท่ียังตกค้างอยู่น้ัน จะได้รับการร่อนออกมาอย่างระมัดระวังแล้วน�ำไปใส่ไว้ในลังไม้ใบเล็ก และ สุดท้ายก็จะหอบห้ิวเอากลับไปให้พวกผู้หญิงที่บ้าน มีคนเคยบอกข้าพเจ้า (แตข่ า้ พเจา้ ไมเ่ คยไดเ้ หน็ เอง) วา่ หากเปน็ ไปไดแ้ ลว้ พวกเขาจะใชป้ รอทแยกทอง ออกมาต่างหาก ขณะท่ี “การรอ่ น” ยังคงด�ำเนินตอ่ ไป ทองทเี่ ก็บได้จะได้รบั การแยกออกมาแล้วน�ำออกไปวางไวใ้ นเปลอื กไม้แห้ง วธิ นี ้ีคนรอ่ นแตล่ ะคนมัก จะรอ่ นทองได้ประมาณ ๑ ถงึ ๒ หนุ ๑ตอ่ การท�ำงานวันละ ๘ ชั่วโมง โดยทว่ั ไป แลว้ ทองทลี่ อยนำ้� มานจี้ ะเปน็ ทองชน้ั ดแี ละถกู นำ�้ พดั พาจนสกึ กรอ่ นไปในอตั รา สงู ดว้ ย ค่าเฉล่ียสูงการร่อนทองไดม้ ากถึง ๒ หนุ ตอ่ วนั นบั เป็นอตั ราเฉล่ยี สูง มาก เท่ากับวา่ กล่มุ คน ๘ คนจะรอ่ นทองได้ ๕ ออนซ์ต่อวนั โดยทว่ั ไปแลว้ พวก เขาจะทำ� งานนี้เดอื นหนง่ึ ไม่เกิน ๒ - ๓ อาทติ ย์ แคน่ ้ันก็เพียงพอท่จี ะได้ทองมา ท�ำก�ำไลเล็กๆ สกั วงหรอื ๒ วงให้แก่หัวหนา้ หมบู่ ้าน แทนการถกู เกณฑ์ไปขดุ คู คลองอันเป็นงานซึ่งชาวอินโดจีนท่ีมีลักษณะแข็งแรงแจ่มใสท�ำกันอยู่ตามปกติ พวกเจ้าหนา้ ทข่ี องรฐั จะเรียกเกบ็ ค่าธรรมเนยี มต้ังแต่ ๓ ถึง ๔ รปู ีต่อหวั ๑ หุน ชอื่ มาตราวัดหรือชงั่ ของจีน ในมาตราวดั ๑ หุน หมายถึงเสน้ ผ่าศนู ย์กลาง ๑.๕ ใน ๑๖ ของน้ิวในมาตราช่งั ๕ หุน เทา่ กับ ๑ เฟ้ือง – สวป.

220 บทท่ี ๘ หวั เมอื งลาว - แม่นำ�้ โขง (ตอนต่อ) ลักษณะท่ีเป็นโคลนดินปนกรวดอีกแบบหน่ึงได้ก่อตัวอยู่ตามดินแดน บางส่วนของแมน่ ้�ำโขง โดยจะสังเกตดูไดท้ ีน่ ำ�้ เบง็ นำ�้ อู และกระแสนำ้� ท่อี ย่ทู าง ฝั่งซ้ายของมันรวมท้ังที่น�้ำงาวกับกระแสน�้ำอ่ืนๆ ที่อยู่ทางฝั่งขวา ก้อนกรวด เหลา่ นโ้ี ดยทว่ั ไปจะเปน็ กอ้ นกรวดทเี่ ปน็ กอ้ นหยาบๆ และสกึ กรอ่ นเพราะถกู นำ้� พดั เพยี งเลก็ นอ้ ยโดยธรรมชาตแิ ลว้ จะปรากฏอยตู่ ามทอ้ งนำ้� เกา่ แกท่ กี่ น้ หบุ เขา สว่ นกอ้ นทองค�ำเนอ้ื บรสิ ุทธ์มิ ากๆ นน้ั พอจะหาไดจ้ ากพวก ข่าแจะ และชาวล้อื ทเ่ี ปน็ คนรอ่ นมาได้ ชาวจนี จากหลวงพระบางคนหนง่ึ พยายามทดสอบการทำ� งาน ตามปกตริ ว่ มกบั แรงงานขา่ แจะทน่ี ำ�้ เบง็ แตก่ ลบั พบวา่ พนื้ ทนี่ นั้ มแี ตค่ วามกนั ดาร จนเมอื่ ครบ ๖ เดือน เขาจงึ ได้ยตุ กิ ารเสี่ยงโชคของตนดว้ ยพจิ ารณาเห็นแลว้ วา่ มีแต่ขาดทุน ความกันดารที่เกิดข้ึนน้ันคงจะเนื่องมาจากการที่พวกข่าแจะได้ ยกั ยอกเอาทองคำ� ชิ้นดีท่หี ามาไดไ้ ปจนหมดส้นิ ตน้ กำ� เนดิ ของทองคำ� ตอ้ งอยตู่ ามพนื้ ทอ่ี นั กวา้ งใหญต่ ามรอยแยกของหนิ คว็อตซ์ซ่ึงพบได้เสมอตามแนวภูเขาอย่างแน่นอน แต่ตามหลักแล้วบริเวณพ้ืน ผวิ ซง่ึ มเี นอ้ื แขง็ และไมม่ สี ภาพการเปลย่ี นแปลงทางเคมบี นพนื้ ผวิ จะไมเ่ คยปรากฏ ร่องรอยของทองค�ำให้ข้าพเจ้าเห็นได้เลยสักครั้ง อาจเป็นเหมือนเช่นท่ีเป็นใน พืน้ ทอ่ี ่นื ๆ ทแี่ ร่หินปูนแคลไซต์ (calcite) และหินปูนเนอื้ แก้วใส ซึ่งมี อยอู่ ยา่ ง ดาษดน่ื จะแทรกตวั ข้ึนมาซ้อนอยบู่ นชัน้ หินซงึ่ แตกแยกออกเป็นแผ่น (schists) ในพน้ื ทนี่ น้ั ซง่ึ หมายความวา่ คงตอ้ งมอี ะไรเกดิ กบั มนั สกั อยา่ ง แตข่ า้ พเจา้ กม็ ไิ ด้ ใชท้ งั้ วธิ กี าร เวลา หรอื การสำ� รวจตรวจตราใดๆ เพอ่ื ทำ� การสบื คน้ อยา่ งเอาเปน็ เอาตายซึ่งน่าจะเป็นวิธีจ�ำเป็นในการเข้าถึงเรื่องน้ีอย่างจริงจัง เราได้ท�ำการ สอบถามในประเดน็ นอี้ ยา่ งรอบคอบแต่กไ็ ม่ปรากฏว่าพวกชาวลาวหรือข่าแจะ คนใดจะเคยได้รู้เรื่องนี้หรือเคยท�ำงานในแหล่งแร่ทองค�ำหรือแร่ใดๆ ประเภท เดียวกันน้ีมาก่อน นอกเสียจากแหล่งโคลนตมธรรมดา จากองค์ประกอบทาง แรธ่ าตขุ องทรายทแ่ี ม่น�้ำโขงท�ำใหข้ า้ พเจ้าเชื่อม่ันอยา่ งแรงตอ่ ความคดิ ทว่ี า่ คงมี ทองค�ำกระจัดกระจายอยู่อย่างเบาบางท่ัวหินผลึกแก้วเน้ือใสท่ีแตกแยกเป็น แผ่นๆ อย่างหนาแน่น เชื่อว่าการเสื่อมสลายและการแตกหกั ของหนิ ปูนเหล่าน้ี

ห้าปีในสยาม เล่ม ๑ 221 เป็นเชน่ เดยี วกับทีเ่ กดิ ขน้ึ กับหนิ เนือ้ แข็ง และการที่มีทองคำ� ในปริมาณนอ้ ยนดิ ในอาณาบรเิ วณอนั กวา้ งใหญข่ นาดนี้ กเ็ ปน็ เรอื่ งทม่ี คี วามเกย่ี วขอ้ งกนั เปน็ อยา่ ง มาก ขา้ พเจา้ จงึ ไมส่ งสยั เลยวา่ การแปรสภาพของแรเ่ หลก็ สเี หลอื งผลกึ รปู สเี่ หลย่ี ม (pyrites) ซงึ่ มอี ยเู่ ปน็ จำ� นวนมากมายมหาศาลในเนอ้ื ทรายของแมน่ ำ้� โขงนนั้ จะ เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นทองค�ำอย่างเป็นอิสระมากกว่า แม้ว่าอาจจะมีเพียง ปริมาณเลก็ นอ้ ยเท่าน้ัน ส�ำหรับข้าพเจ้าแล้วการท่ีคนท�ำเหมืองชาวยุโรปจะเคยได้เจอทองค�ำใน การทำ� เหมอื งบรเิ วณหบุ เขาแมน่ ำ�้ โขงหรอื ไมน่ นั้ เปน็ เรอื่ งนา่ สงสยั อยา่ งยง่ิ ดจู าก พัฒนาการด้านคมนาคมติดต่อส่ือสาร และการพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับ สถานการณ์ จากการว่าจา้ งแรงงานพื้นบ้านและใชว้ ธิ กี ารตา่ งๆ เพื่อขยายและ พฒั นาอตั ราสว่ นการทำ� งานแลว้ ก็เชอ่ื วา่ นา่ จะเปน็ ไปได้ แต่โดยท่ัวไปชาวยโุ รป มักจะเริ่มต้นงานด้วยการส่ังซื้อเครื่องมือต่างๆ เข้ามาโดยใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ เพอ่ื ซอื้ เครอื่ งจกั รกลราคาแพงคณุ ภาพชน้ั เยยี่ มโดยทย่ี งั ไมไ่ ดเ้ รยี นรสู้ ถานการณ์ ของภมู ปิ ระเทศน้นั ๆ เสยี กอ่ น เขาได้ว่าจา้ งคณะท�ำงานชาวยุโรปกลมุ่ ใหญ่ซง่ึ ต่างกโ็ ดนเลน่ งานด้วยไขป้ ่าหรือไมก่ พ็ ากนั ดมื่ สุราจนตวั ตาย เขากวาดล้างอคติ ต่างๆ ของชาวบ้านลงจนราบคาบ คนพืน้ บา้ นชาวสยามรวมทั้งลาวนั้นไมไ่ ดม้ ี คุณสมบัติพอทจี่ ะเป็นคนงานได้ เมอื่ ไม่ได้เดอื ดรอ้ นในเร่อื งเงนิ กไ็ ม่มีเหตุทเี่ ขา จะต้องหาเร่อื งไปทำ� งานเพือ่ ให้ไดเ้ งนิ มา ความรกั ในอสิ ระเสรีและการทำ� อะไร ตามใจชอบนน้ั ท�ำใหก้ ารควบคมุ พวกเขาท�ำไดย้ ากยงิ่ เพราะเขาจะไปจะมาตาม แตค่ วามพอใจซึ่งก็คงจะไม่เปน็ ไรหรอกหากว่ามนั เปน็ เรอ่ื งการดำ� เนนิ ชีวติ ตาม ทางของตัวเขาเอง แต่กับความต้องการของชาวยุโรปแล้วมันเป็นอีกเร่ืองหน่ึง ข้อเท็จจริงเหล่านี้จึงเป็นปมของทุกๆ ปัญหาในเร่ืองแรงงานของประเทศนี้ หากเขาต้องการเงินเพ่ือไปเผาศพญาติพี่น้องหรือเม่ือฤดูกาลท่ีผ่านมาผลผลิต ขา้ วเกดิ ตกต่�ำ เขากจ็ ะสะพายสมั ภาระควา้ ดาบ และเดนิ ทางม่งุ หนา้ ลงสแู่ หลง่ งานใกล้ทส่ี ุดทเ่ี ขารู้จัก เช่นงานสร้างรางรถไฟทโ่ี คราช เหมืองแร่ทเี่ มืองกบินทร์ หรอื ไม่ก็ไปกรงุ เทพฯ แล้วลงมือทำ� งานแลกคา่ ตอบแทนเลก็ ๆ นอ้ ยๆ แต่จัดได้

222 บทที่ ๘ หวั เมอื งลาว - แมน่ ำ�้ โขง (ตอนตอ่ ) วา่ เป็นการกระท�ำแบบสภุ าพบรุ ุษ และเม่อื เขาไดใ้ นสิ่งทีเ่ ขาตอ้ งการแล้ว เขาก็ จะจากไปอย่างปัจจุบันทันด่วนในตอนเช้าวันฤกษ์งามยามดีวันหน่ึง ไปอย่าง ปุบปบั เช่นตอนขามา และมักจะไดห้ วั วัวหัวควายเหมาะๆ ๒ - ๓ หัวติดมือกลับ ไปดว้ ยเสมอ ไม่ใช่ความออ่ นแอทางร่างกายและสติปญั ญาหรอกทที่ ำ� ใหเ้ ขาตำ่� ชน้ั หา่ งไกลจากแรงงานกลุ ชี าวจนี แตเ่ ปน็ เรอื่ งความตอ้ งการในความมนั่ คงและ ใจรกั ทจ่ี ะทำ� ตา่ งหาก ทกุ สถานการณท์ เ่ี ปน็ อยทู่ กุ วนั นบ้ี อกใหร้ ถู้ งึ อปุ สรรคอยา่ ง ใหญ่หลวงทมี่ ีต่อกิจการของชาวยโุ รปตรงบรเิ วณพนื้ ที่ต่�ำของสยาม แล้วท่ีเกดิ ขึ้นบริเวณริมฝั่งแม่น�้ำโขงจะมากกว่าสักเพียงไหน เหมือนอย่างท่ีนักเขียนชาว ฝรงั่ เศสกลา่ วไวอ้ ยา่ งตดิ ตลกเมอ่ื พดู ถงึ เมอื งจำ� ปาศกั ดแิ์ ละบรเิ วณแมน่ ำ�้ โขงตอน ล่างของลาวไวว้ า่ “ไม่มีใครสกั คนบอกไดจ้ ริงๆ ว่าเรามาหาอะไรกันในดินแดน ท่ีมแี ต่พิษไขช้ ่ัวนาตาปอี ย่างนี้ เร่อื งภูมิประเทศอนั เปน็ ทต่ี ดิ ตราตรงึ ใจน้นั ไมน่ า่ สงสยั แต่ใหต้ ายเถอะ! ผอู้ ยอู่ าศยั หายไปไหนกนั หมด? เห็นมแี ตผ่ คู้ นทดี่ ลู �ำบาก ยากเข็ญเพียงไม่ก่ีคนอยู่ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างก�ำลังฝ่าฟันอุปสรรคท่ีเกินจะ ต้านทานไปอย่างส้ินหวัง ใช้เวลานอนเก้าในสิบชั่วโมงเพื่อชายคนนั้นจะได้ใช้ เป็นข้ออ้างไม่ให้ถูกส่งตัวไปยังสังคมท่ีต้องท�ำงานเหมือนวัวเหมือนควาย เชอื่ แนว่ า่ มคี วามถกู ตอ้ งเปน็ จรงิ อยมู่ ากถา้ คดิ ในเชงิ ปรชั ญา แตใ่ นเชงิ ธรุ กจิ แลว้ คงไม่อาจท�ำอะไรเป็นงานเป็นการได้ และมีเร่ืองต้องปรับปรุงแก้ไขอีกมาก ไมน่ า่ เชอ่ื จรงิ ๆ ทน่ี บั ตงั้ แตผ่ แู้ ทนทางการทตู ประจำ� เมอื งสตงึ เตรงไดจ้ า่ ยคา่ แรง ให้พวกกุลีของเขาเปน็ เงิน๘ หรือ ๙ เหรียญอเมรกิ ันตอ่ เดือน ทกุ คนท่มี ีปัญหา ขาดแคลนเงินทองจึงได้พากันเดินทางไปที่น่ังเป็นโขยง พวกเขาจะบากบั่น พากเพียรท�ำงานอยู่ได้ในราว ๓ สัปดาหจ์ นเพียงพอท่ีจะหาเงนิ มาจุนเจอื ชีวติ อันเฉือ่ ยชาทเี่ หลืออยู่ทั้งปไี ด้ เพราะถ้าเปน็ พวกลาวเทยี นแลว้ จะจ่ายเงนิ ใหข้ ้า ทาสทมี่ าท�ำงานเป็นเวลา ๒ ปีเพียง ๑๐ เหรียญเท่านน้ั แล้วในระหวา่ งนัน้ พวก นี้กจ็ ะปล่อยให้พวกเรารอคอยอยกู่ บั ความหวัง” เขาสรปุ ทา้ ยอย่างท้อแท้

หา้ ปใี นสยาม เล่ม ๑ 223 ปากอู แม่นำ้� โขง บทที่ ๙ หัวเมืองลาว - แม่นำ�้ โขง (ตอนต่อ) ชาวขา่ และชาวเขาเผา่ อ่นื ๆ - แอง่ นำ�้ - ภูเขาไฟ - นำ้� อู ----------------------------------- ขณะที่อยใู่ นหุบเขาเมืองงาวพวกเราได้พบเห็นการรอ่ นทองแบบสะเปะ สะปะและเหน็ การอยรู่ ว่ มกนั ฉนั พนี่ อ้ งของชาวลอื้ ทอ่ี าศยั อยแู่ ถบนนั้ กลมุ่ ผหู้ ญงิ และเด็กประมาณ ๕๐ คน ต่างพากันออกมาค้อนรบั พวกเราที่ ศาลา พรอ้ มท้ัง จดั วงดนตรีท่ีมขี ลุย่ ๔ เลา บรรเลงต้อนรับพวกเราตอนอาหารคำ่� และเล่นเลย กันไปจนถึงเทยี่ งคืน เรามนี กั เดินทางเทา้ ตัวยงเดนิ ทางรว่ มมาด้วยคนหน่ึงหรอื สองคนซ่ึงข้าพเจ้าไม่เคยได้เจอใครท่ีไหนจะเพียบพร้อมเป็นเลิศในทุกๆ เร่ือง มากไปกว่าคนสองคนท่ีมากับเรานี้ พวกเขาท้ังกระเซ้าเย้าแหย่ หัวเราะและ

224 บทที่ ๙ หัวเมอื งลาว - แม่นำ�้ โขง (ตอนต่อ) ตะโกนโหวกเหวกทง้ั ๆ ท่ีก�ำลังเกบ็ ขา้ วของเหมือนเรามเี ดก็ ผชู้ ายซนๆ มาดว้ ย หลายคน เครื่องแต่งกายของพวกเขานั้นออกจะคล้ายกับในละครโจรสลัด แต่จากท่าทางท่ีดูดีของพ่อแม่และใบหน้าอันน่ารักของพวกเด็กๆ จึงท�ำให้เรา เกดิ ความร้สู ึกประทับใจในตัวพวกเขาเอามากๆ แตด่ งั้ เดมิ นนั้ ชาวลอ้ื จะมาจากแควน้ สบิ สองปนั นาและไดร้ ว่ มอพยพผคู้ น เคลอื่ นย้ายลงมาตามแนวชายแดนจีนทางตอนใต้มงุ่ หนา้ ลงส่ทู ศิ ตะวันตกเฉยี ง ใต้ โดยใชเ้ วลานบั เปน็ ปๆี เพราะวา่ ชาวจนี ฮอ่ ไดอ้ อกทำ� การปลน้ ทรพั ยส์ นิ เปน็ บรเิ วณกวา้ งใหญท่ างทศิ เหนอื และทศิ ตะวนั ออกมงุ่ หนา้ สตู่ งั เกย๋ี พวกโจรฮอ่ นนั้ มุ่งม่ันจะท�ำลายและสกัดกั้นการเพ่ิมจ�ำนวนของผู้คนในภูมิประเทศอันงดงาม แถบเมืองเชยี งขวางซ่ึงอยูท่ างตะวันออกของเมืองหลวงพระบางในสว่ นทกี่ ำ� ลัง อยู่ในชว่ งของการขยายตวั ชาวเขาเหลา่ น้ีค่อนข้างจะแตกต่างจากพวกไทหรอื ชาวฉาน พวกน้แี บง่ ออกเปน็ ๒ กลุ่ม ซงึ่ แม้วา่ จะมีนักเขียนหลายๆ คนกลา่ วไว้วา่ พวกเขาไมไ่ ดม้ ีสง่ิ ใดแตกต่างกัน แตท่ ว่ากย็ งั มคี วามแตกต่างปรากฏใหเ้ หน็ กลุ่มแรกคือ พวกข่า (กลา่ วคอื พวกทาส) หรอื กลุ่มเผ่าพนั ธ์ุดง้ั เดิมของ ชาวเขาที่ถกู ชาวสยามเชอ้ื สายฉานบกุ รกุ ดนิ แดนจนตอ้ งหนีเตลิดขึ้นสูภ่ ูเขา ซง่ึ ทุกวันน้ีพวกเขาคลุกคลีใกล้ชิดอยู่กับชาวลาว มีขนบธรรมเนียมแบบด้ังเดิมที่ เครง่ ครดั และมีอุปนิสัยค่อนขา้ งกระตอื รือร้นขยันขนั แขง็ ขา่ แจะ

หา้ ปีในสยาม เล่ม ๑ 225 ขณะเดียวกนั นัน้ ชาวลาวทอี่ าศัยอยตู่ ามหุบเขาต่างๆ ก็มักจะใช้ชีวิตอยู่ บนสนั เขาทเ่ี ปน็ เขาสงู ไมเ่ คยนอ้ ยกวา่ ๓,๐๐๐ ฟตุ เหนอื ระดบั นำ้� ทะเล และพน้ื ที่ โลง่ แจง้ ในปา่ บนลาดเนนิ เขาสงู ทมี่ กั จะมองเหน็ ออกไปไดไ้ กลหลายๆ ไมล์ ขณะ ทฤี่ ดหู นาวมาเยยี่ มเยอื นแทนแสงแดดอนั รอ้ นระอพุ วกเขากจ็ ะวนุ่ วายอยกู่ บั การ ถากถาง ไร่ ทีอ่ ยตู่ ามไหล่เขาให้เตยี นโล่ง พวกเขาทำ� งานจากล่างข้ึนบน ท�ำการ ตัดต้นไม้ท่ีขึ้นไล่เรียงลงมาตามลาดเขา และเมื่อต้นไม้แถวสูงสุดล้มลงมันก็จะ กลงิ้ ทบั ตน้ ไมท้ กุ ตน้ ใหต้ กลงมาพรอ้ ม ๆ กนั ตน้ ไมจ้ ะถกู ทงิ้ ไวใ้ หแ้ หง้ โดยใชเ้ วลา ๒ ถงึ ๓ เดือน จากนนั้ จึงจุดไฟขึน้ จนท่ัว ท�ำการเผาทุกสงิ่ ไมว่ ่าจะมคี า่ หรือไมม่ ี เปน็ การใหป้ ยุ๋ พน้ื ดนิ ดว้ ยขเี้ ถา้ ในเดอื นมนี าคมและเมษายนกอ่ นทฝ่ี นจะโปรยปราย ลงมาอากาศจะหนาทึบไปดว้ ยควันโขมงแดงฉานจากไฟที่เผาไหม้ ไร่ บวกกบั กลุ่มควันตามธรรมชาติที่มาพร้อมกับกระแสลมทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่เกิด อยู่บ่อย ๆ ในตอนน้ัน จึงท�ำให้ไม่สามารถมองเห็นภูเขาท่ีอยู่ไกลออกไปเป็น ระยะทางถงึ ๓ ไมลร์ วมถงึ พระอาทติ ยล์ กู กลมแดงในบรรยากาศขนุ่ มวั เปน็ ควนั คลุ้ง นับเป็นการท�ำลายไม้สักอันทรงคุณค่าอย่างมากมายมหาศาลซ่ึงไม่อาจ ทดแทนได้ดว้ ยตน้ ออ่ นของพืชผลอยา่ งยาสูบ ฝา้ ย หรือขา้ วตามเนนิ เขาทป่ี ลูก ขึน้ มาแทน หลงั จากเก็บเกย่ี วสกั ๖ หรอื ๗ ครั้ง คนพวกนก้ี จ็ ะโยกยา้ ยไปยังที่ ใหม่ ทง้ิ ใหต้ น้ แกเ่ ตบิ ใหญร่ กเรอ้ื กลายเปน็ ไมช้ นั้ ตำ่� ไรค้ ณุ คา่ ทลี่ ว่ งลำ�้ เขา้ ไปไมถ่ งึ ท�ำให้หนอ่ ออ่ นที่ขึ้นอย่บู รเิ วณนน้ั ไม่มีโอกาสเตบิ โต บริเวณพน้ื ท่ซี ง่ึ เคยทำ� ไรไ่ ว้ จะถกู ปลอ่ ยทงิ้ ใหห้ ญา้ และไมไ้ ผข่ น้ึ สงู รกเรอื้ ทำ� ใหเ้ กดิ ไฟไหมป้ า่ ตอ่ ไปอกี เรอ่ื ยๆ ถ้าอยู่ในดินแดนลาวทางตะวันตกของนครเชียงใหม่ คนลาวพวกนี้จะ เรยี กชือ่ ตนเองวา่ ละวา้ ถ้าอยู่ในตอนเหนือของแม่นำ�้ โขงใกล้ๆ เชียงของเราจะ พบเขาเรยี กตวั เองวา่ ละเมด็ สว่ นกลมุ่ คนทสี่ บื เชอื้ สายมาจากแถบเขานำ้� เบและ นำ้� ทานั้นมชี ่ือวา่ ขา่ ฮวด และ ข่ายวน พวก ขมุ (หรอื ขมกุ ) ทไี่ ด้รบั การขนาน นามวา่ เปน็ ชาวปา่ ชน้ั ยอดจะตง้ั รกรากอยเู่ ปน็ จำ� นวนมากในจงั หวดั นา่ นอนั เปน็ เมอื งทพ่ี วกเขานยิ มในความเดด็ เดยี่ วเทย่ี งธรรมของคณะผปู้ กครอง หรอื ไมพ่ วก ขมุก็จะไปรับจ้างท�ำงานในป่าสักท่ีเมืองเชียงใหม่ซึ่งพวกเขาเห็นว่าสามารถจะ ท�ำรายไดใ้ หแ้ กพ่ วกเขา

226 บทที่ ๙ หวั เมืองลาว - แม่นำ�้ โขง (ตอนต่อ) ช่อื ที่ชาวสยามใชเ้ รียกวา่ ข่าแจะ น้ันเป็นชอื่ ทใ่ี ช้เรยี กพวกเขาโดยรวมๆ ทั่วไป พวกข่าแจะจะมรี ปู รา่ งเตย้ี เปน็ คนร่างหนาบกึ บึน อยรู่ วมกันเปน็ ชมุ ชน เลก็ ๆ ในหม่บู า้ นตามเขตชายแดนทมี่ ักจะตงั้ อย่ตู ามแนวปา่ โดยสว่ นมากจะมี ความซือ่ สตั ยจ์ งรกั ภกั ดีฝงั แน่นอยู่ในจิตใจและเป็นเผ่าพันธทุ์ ีโ่ งเ่ ขลา ส่วนพวก ขมุ ทม่ี จี ำ� นวนมากทสี่ ดุ นน้ั เปน็ พวกทฉ่ี ลาดทส่ี ดุ เชน่ กนั ชาว ขา่ ฮวด ทม่ี ารบั จา้ ง แบกหามใหพ้ วกเราในบางคร้งั ดูจะเปน็ พวกทลี่ ้าหลงั ทสี่ ดุ องคป์ ระกอบสำ� คัญ ของเครอื่ งแตง่ กายของพวกนคี้ อื ปน่ิ ปกั ผมเงนิ อนั ยาวเสยี บอยตู่ รงมวยผมทข่ี มวด มนุ่ ทางดา้ นหลังศรี ษะ กับตุม้ หูเงนิ อนั ใหญ่หรือดอกไม้ท่ีทดั ไว้ตรงซอกหู แม้ใน ยามเมื่อเราจะจ่ายเงินเราก็ไม่มีทางจะรู้ชื่อพวกเขา พวกน้ีจะเคร่งขรึมและน่ิง เงียบแม้เมื่ออยู่ในหมู่พวกเดียวกันเอง จากการที่ได้เห็นคนเหล่าน้ีแล้วท�ำให้ ปกั ใจเชอื่ เรอ่ื งเลา่ ขานของชาวลาวเกยี่ วกบั สถานภาพของพวกเขาไดโ้ ดยไมย่ าก ขา่ แจะ นน้ั เปน็ พช่ี ายใหญข่ อง ลาว จากการตายของผเู้ ปน็ บดิ าทำ� ใหเ้ ขา ไดร้ บั สทิ ธใิ นการเลอื กสว่ นแบง่ ของทรพั ย์สินเป็นคนแรก อนั มีกล่องอย่ใู บหนึ่ง บรรจุห่อของ ๒ หอ่ กับชา้ ง ๑ ตวั พร้อมด้วยลกู นอ้ ย ข่าแจะ เอาหอ่ ของห่อแรก ซงึ่ วางอยดู่ า้ นบนไป ขา้ งในหอ่ คอื ผา้ เดยี่ วผนื นอ้ ยทเี่ ขานงุ่ กนั อยใู่ นทกุ วนั นี้ ลาว ไดน้ น้ั ไดร้ บั ผา้ นงุ่ อยา่ งดชี าวสยามไดผ้ า้ โธตี๑ (dhotie) เขาจงึ นงุ่ ผา้ นงุ่ มาตงั้ แต่ ตอนนน้ั เมือ่ ขา่ แจะ เห็นว่าตนเองเลือกพลาด ตอ่ มาจงึ ได้เลือกเอาช้างตัวใหญ่ ไป แลว้ นำ� มันกลบั บ้านทิง้ ตวั เลก็ ไว้ให้ ลาว ฝ่ายแม่ช้างกเ็ อาแต่คดิ ถงึ ลูกช้างจึง วง่ิ หนกี ลบั ไปหาลกู ชา้ งซง่ึ อยกู่ บั ลาวดงั นนั้ ลาว จงึ ไดไ้ ปแตส่ ง่ิ ดๆี ขา่ แจะ จงึ หนี ความกลดั กลมุ้ มงุ่ หนา้ ขน้ึ สภู่ เู ขาและด�ำรงชีวติ อยตู่ อ่ ไปโดยไม่มี ผ้านงุ่ หรอื ชา้ ง และแมล้ าวจะกลา่ วอยเู่ สมอวา่ ขา่ แจะเปน็ พชี่ ายใหญ่ แตก่ ไ็ มเ่ คยมคี วามเวทนา ต่อการท่ีเคยกดขี่เขามาในอดีต และถือว่าข่าแจะเป็นเหมือนทรัพย์สมบัติส่วน ตัวของตนเสมอ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเมืองหลวงพระบาง ผลที่ตามมา ภายหลังก็คือการก่อความไม่สงบของพวกข่าแจะที่พากันอพยพเข้ามาใน พ.ศ. ๒๔๒๑ เป็นจำ� นวนหลายพันคน ๑ ผา้ น่งุ แบบโจงกระเบน - สวป.

หา้ ปใี นสยาม เล่ม ๑ 227 แตท่ ง้ั ๆ ทพ่ี วกเขามอี ากปั กรยิ าทด่ี รุ า้ ยและปา่ เถอ่ื น แตข่ า่ ทมี่ ากบั เรานน้ั กลบั สุภาพเปน็ ชนพ้นื บ้านทไ่ี มม่ ีพษิ มีภยั ทรหดอดทน เปน็ นกั เดินปา่ ขนานแท้ และเปน็ นักปืนป่ายท่มี ากความสามารถ ชาวเขากลุม่ ทีส่ องในหมู่ชนชาว ลอ้ื นน้ั ประกอบไปดว้ ยชาวเขาเผา่ เย้า ลีซอ๒ ข่าถ่ิน แม้ว มเู ซอ (พวกฉานเรียกมโู ซ)1 อีก้อ กุย และเผ่าอนื่ ๆ ท่พี เนจร ไมม่ ที อ่ี ยเู่ ปน็ หลกั แหลง่ ทง้ั หมดนมี้ าจากการโยกยา้ ยถน่ิ ฐานจากถนิ่ ตะวนั ออก เฉียงเหนือสู่ทิศใต้และตะวันออก รกรากของพวกน้ีดูเหมือนจะอยู่ท่ีที่ราบสูง แหง่ ยนู าน กวางเจาและกวางสซี ่ึงอยู่ทางตอนใต้ของจนี และพวกเขากย็ งั คงมี ใจรักในทิวทัศน์ของขุนเขาและขนบธรรมเนียมอันงดงามที่เป็นลักษณะอัน บง่ บอกถงึ ความแตกตา่ งกนั อยา่ งไม่เส่อื มคลาย ชาวเผ่า ล้านชา้ ง และ ลซี อ เป็นเผา่ ทม่ี ีการแต่งกายและประเพณีคลา้ ย ชาวยนู านมากทสี่ ดุ เผา่ ขา่ ถนิ่ นนั้ ยงั คงไวผ้ มเปยี และกนิ ดว้ ยตะเกยี บ สว่ นผหู้ ญงิ จะแตง่ กายด้วยเสือ้ ตวั หลวมและกางเกงทรงเป็นถงุ ต้งั บ้านเรือนเปน็ แนวยาว ตามสนั เขาเตยี้ ๆ มพี น้ื บา้ นเปน็ ดนิ เหนยี วเหมอื นบา้ นทพ่ี วกชาวจนี สรา้ งบนพน้ื ราบในสยาม พวกเขานบั เปน็ การเกษตรกรทีข่ ยันขันแข็งและมีความเชยี่ วชาญ มากกว่าชาวเขาเผา่ อื่นใด ยกตัวอย่างเช่นในการสีข้าวโดยใช้เครอ่ื งตำ� ขา้ วแบบ ใช้เท้าคนต�ำ มันท�ำงานด้วยคานขนาดยาวท่ีปลายด้านหน่ึงเป็นสากหรือที่บด ขนาดหนัก สว่ นคานอกี ด้านท่นี ้�ำหนักเบากวา่ จะเป็นทีว่ างเท้า เม่ือเดก็ ผู้หญงิ ๒ คนขนึ้ ไปยืนบนทว่ี างเท้า ปลายด้านทเ่ี ปน็ สากกจ็ ะยกขึน้ และเมอ่ื กระโดดลง สากกจ็ ะถกู ปลอ่ ยใหต้ กลงมา เสยี งกระแทกเปน็ จงั หวะของการตำ� ขา้ วเปน็ เสยี ง ท่คี ุน้ เคยกนั ดใี นทุกๆ หม่บู ้าน ชาวล้านชา้ งจะใช้ก�ำลงั จากน้�ำแทนการใชเ้ ด็กผู้ หญงิ โดยจะตดิ ตัง้ รางน้�ำไว้ตรงปลายด้านเบาและจะมีนำ้� จากทอ่ ไม้ไผค่ อยไหล มาเติมในรางใหเ้ ต็ม ความหนกั จะทำ� ใหร้ างนำ้� ตกลงกระดกใหป้ ลายสากยกข้นึ เมอ่ื ถึงจุดท่ีกำ� หนดไว้จึงปล่อยน้�ำออก สากทป่ี ลายด้านหนักกจ็ ะตกกลบั ลงมา ในครกและโขลกลงไปบนข้าวเปลือก ๒ ต้นฉบับภาษาองั กฤษใช้ Yao Yin อนั เปน็ ชอื่ ทพี่ วกถ่นิ ในพมา่ (เมยี นมาร)์ ใชเ้ รียกพวกลีซอ - สวป. 1 วารสารภูมศิ าสตร์ vol.7 No.6 เจา้ ชายเฮนรี ดอร์ลีน ทรงได้ตัง้ ข้อสังเกตทนี่ า่ สนใจบางประการเกีย่ วกบั กลมุ่ ชนท่ีอยู่เหนือ กว่าชาวเขาเหลา่ น้เี อาไว้ เช่นเดยี วกับข้อสงั เกตเร่ืองชนเผ่าไทยรมิ ฝง่ั แม่นำ้� โขงเหนือเสน้ ละตจิ ดู ที่ ๒๒ องศา ในหนังสือ “ตงั เกี๋ยสูอ่ นิ เดยี ” ของเขา – ต้นฉบับ

228 บทที่ ๙ หวั เมืองลาว - แม่นำ�้ โขง (ตอนต่อ) ชาวเขาเผา่ ลีซอ ซง่ึ คลา้ ยคลึงกบั พวกข่าถน่ิ เปน็ อนั มากนนั้ ดเู หมือนจะ เปน็ เผา่ ทสี่ ะอาดสะอา้ นและสงา่ งามทส่ี ดุ ในหมชู่ าวเขาดว้ ยกนั พวกเขาเปน็ ชา่ ง เงินท่ีเฉลียวฉลาดและน�ำเอาแร่เงินมาตอกสลักลงบนเคร่ืองแต่งกายของตน อยา่ งมากมาย สว่ นพวกผหู้ ญงิ จะทำ� งานปกั ผา้ ไหมไดอ้ ยา่ งงดงาม โดยปกตพิ วก ผู้ชายจะใส่กางเกงทรงหลวมคล้ายทหารเรือซึ่งเหมือนกับชาวเขาทุกเผ่าโดย ท่ัวไป ส่วนผู้หญิงจะมีท่ีพิเศษออกไปก็คือพวกเธอจะติดเคร่ืองประดับผมที่มี สีสันงดงามและตกแต่งประดับประดาจนสุดฝีมือไว้บนศีรษะ เมื่อฝรั่งเศสเข้า ครอบครองเมอื งไลและสิบสองจไุ ทย2 ไดใ้ นปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ชนกลุ่มนีไ้ ดอ้ พยพ ไปทางตะวันตกสู่เมืองสิงห์และทางตอนเหนือของหลวงพระบางเป็นจ�ำนวน มาก กล่าวกันว่าพวกเย้ามีอยู่ด้วยกัน ๑๒ เผ่า น่าแปลกตรงที่เลข ๑๒ นี้ มาปรากฏในหมคู่ นเหลา่ นไ้ี ดอ้ ยา่ งไรทงั้ ยงั เปน็ ตวั เลขทใ่ี ชใ้ นทางภมู ศิ าสตรด์ ว้ ย ชาวเขาเผา่ แมว้ จะเปน็ กลมุ่ ทม่ี คี วามงดงามเฉพาะตวั พวกเขาเรยี กรอ้ ง สทิ ธทิ จ่ี ะแบง่ แยกออกเปน็ ๑๐ ถึง ๑๒ เผา่ อยา่ งชัดเจน เมื่อ ๑๕ ปมี าแล้วทฝ่ี ง่ั ตะวันตกของแม่นำ�้ โขงจะไมม่ ใี ครพบพวกแม้วได้เลยสักคน แตจ่ ากนนั้ เป็นต้น มาพวกเขากไ็ ดค้ อ่ ย ๆ ขยายตวั ลงมาทำ� การถากถางผนื ดนิ ทลี ะเลก็ ละนอ้ ยทำ� ให้ มีหินปูนก่อตัวขึ้นตามมา เป็นผลท�ำให้ความอุดมสมบูรณ์เหือดหายไปจากดิน ซงึ่ เคยอดุ มสมบรู ณส์ งู สดุ ดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วไปแลว้ แตว่ ธิ นี ก้ี ย็ งั ทำ� ใหผ้ วิ ดนิ ถกู ทำ� ลาย น้อยกวา่ พนื้ ท่อี ืน่ ๆ ในอนิ โดจนี บริเวณข้างๆ เนินเขาท่ีเพาะปลูกข้าว พวกเขาจะปลูกข้าวโพดอินเดีย ยาสบู ปอและผกั ตา่ ง ๆ ส่วนในบางหม่บู า้ นนนั้ มีการปลกู ฝนิ่ แตเ่ ราก็ไม่เคยเห็น มากับตา เราไดพ้ บชาวเขาผหู้ ญงิ บางคน ซ่ึงตามปกติแล้วเมอื่ พวกชาวเขาเหลา่ นไี้ ดเ้ หน็ เราเขา้ กม็ กั จะกระโจนมงุ่ หนา้ ออกสปู่ า่ ราวกบั กวาง โดยหอบหว้ิ ลกู นอ้ ย ติดหลังไปด้วย ผู้หญิงเผ่านี้จะนุ่งกระโปรงจีบส้ันๆ และใส่สนับแข้ง สวมเสื้อ คลุมเผ่าหน้าแบบไม่มีแขน มีผ้าโพกหัวคลุมผมไว้อย่างประณีตเป็นผ้าปักไหม อย่างงดงามท่ัวผนื ซึ่งเป็นเครื่องแตง่ กายแบบธรรมดาสำ� หรับพวกเขา 2 เรื่อง ชาวเขา ๑๒ เผ่าที่เรยี กตนเองว่า ไต (Twelve tribes called Tai) – ต้นฉบับ

ห้าปใี นสยาม เลม่ ๑ 229 อกี อ้ บนท่รี าบสงู

230 บทท่ี ๙ หัวเมืองลาว - แม่นำ้� โขง (ตอนต่อ) ท่ีคลา้ ยกนั มากกค็ อื ชาวเขาเผ่า มูเซอร์ อีกอ้ และ กยุ แตใ่ นขณะทชี่ าว เข่าเผ่ามูเซอร์จ�ำนวนมากได้พากันมาตั้งรกรากเป็นระยะทางไกลทางด้าน ทศิ ตะวนั ตกบนฝง่ั ขวาของแมน่ ำ้� โขงและในอาณาเขตเมอื งเชยี งใหมเ่ รากลบั พบ พวกอกี ้อไดแ้ หง่ เดียวทนี่ ำ�้ อู พวกเราได้พบกับชาวเขาเผ่ามูเซอร์จ�ำนวนมากก�ำลังข้ามแม่น�้ำโขงท่ี บรเิ วณเมอื งเชียงของ ทั้งผชู้ ายผหู้ ญงิ และเดก็ เล็กแบกของหนกั กันจนหลังโก่ง แต่ยังแกว่งแขวนได้อย่างน่าอัศจรรย์ หญิงชาวบ้านนั้นข้ีอายเป็นอย่างยิ่ง สว่ นเด็กๆ จะคอ่ ยๆ คลายความตนื่ กลัวได้โดยเรว็ แลว้ พวกที่เหลอื ก็จะมามงุ ลอ้ มพวกเรา มาทดลองยงิ ปืนของเรารวมไปถงึ หยบิ จบั ของที่แปลกหูแปลกตา ชิน้ อ่ืนๆ ของพวกเราดว้ ย มิสเตอร์สก็อตต์บอกข้าพเจ้าว่าชาวจีนเรียกพวกนี้ว่า ลาไฮ๑ ส่วนพวก เขาเรยี กตัวเองวา่ ลาฮู (La Hu) ตวั ฮ ในท้ัง ๒ ค�ำเป็นเสียงท่เี ปลง่ ออกมาจาก ลำ� คอค่อนข้างมาก กลุ่มสยามมเู ซอรไ์ ด้ใหค้ ำ� แนะนำ� แก่พนั เอกวดู้ ธอร์ปว่าคร้งั หน่ึงน้ันเมอร์สิเออร์ปาวีเคยอ้างสิทธิในตัวพวกเขาว่าเป็นผู้อยู่ในอารักขาของ ฝรั่งเศสตามชอ่ื เรยี ก เหน็ ได้ชดั ถงึ ความช่ยุ ตรงทใ่ี ชค้ ำ� วา่ มองสิเออร์ นำ� หนา้ ชอ่ื เปน็ การบดิ เบอื นท่ีกระท�ำโดยผูท้ รยศชาวอังกฤษและชาวสยามนิสยั เลวๆ ประเพณอี ยา่ งหนง่ึ ของชาวมเู ซอรท์ ปี่ ระจกั ษไ์ ดก้ ค็ อื การเผาคนตาย หาก ตายโดยอบุ ตั เิ หตจุ งึ จะทำ� การฝงั หากแตจ่ ะฝงั ศพไวใ้ นดนิ บรเิ วณปา่ ใกลๆ้ หมบู่ า้ น และมักจะปลูกต้นข้าวหรือธัญพืชอ่ืนๆ ทิ้งไว้ท่ีหลุมฝังศพเพื่อให้ดวงวิญญาณ คอยปกปกั รกั ษา ชาวเขาทั้ง ๓ กลุ่มน้ีจะมีรูปร่างเล็กๆ คล้ายคลึงกัน เมื่อน�ำไปเปรียบ เทยี บกบั ชาวลาวพวกผหู้ ญงิ จะตวั กระจอ้ ยรอ่ ยอยา่ งนา่ ขนั พวกเธอรา่ เรงิ อยา่ ง นา่ อศั จรรยใ์ จและนา่ รกั นา่ เอน็ ดู ความมนี ำ�้ อดนำ้� ทนทแ่ี สดงออกบนสหี นา้ ของ พวกเธอนน้ั สะดดุ ตาสะดดุ ใจผมู้ าเยอื นหนา้ ใหมๆ่ ไดม้ ากกวา่ เครอื่ งแตง่ กายอนั งดงามทส่ี วมใส่ ๑ ต้นฉบับภาษาองั กฤษสะกดวา่ Law Hè – สวป.

หา้ ปีในสยาม เล่ม ๑ 231 สว่ นพวกผชู้ ายจะแตง่ กายดว้ ยผา้ โพกหวั หลากสสี นั เสอ้ื คลมุ ปดิ หนา้ อก ตวั สนั้ กบั กางเกงทรงหลวมทตี่ กแตง่ ประดบั ประดาอยา่ งพถิ พี ถิ นั ซงึ่ ทง้ั หมดนน้ั ท�ำให้พวกเขาแตล่ ะคนดเู หมือนๆ กนั จนทำ� ให้ผู้ทมี่ าใหม่ๆ เกดิ ความสบั สนได้ แต่เมื่อได้ไปเจอพวกเขาท�ำงานในป่า ตอนที่ม้วนขากางเกงขึ้นมาจนถึงต้นขา ถอดเส้ือคลุมและผ้าโพกหัวออกแล้วน่ันแหละพวกเขาจึงดูเปลี่ยนแปลงไป แลดเู ปน็ สตั วโ์ ลกทปี่ า่ เถอ่ื นทสี่ ดุ เทา่ ทเี่ คยเหน็ หากแตพ่ วกเขานนั้ มจี ติ วญิ ญาณ ของความสภุ าพออ่ นโยนกันโดยถว้ นหน้า ดินแดนซ่ึงไม่อยู่ในครอบครองของผู้ใดซ่ึงอยู่ระหว่างจีน ตังเกี๋ย พม่า และสยามซ่ึงต่างฝ่ายต่างส่งมอบเคร่ืองบรรณาการให้แก่กันโดยที่ไม่มีใครข้ึน กับใคร เป็นดินแดนซ่ึงเป็นท่ีอยูป่ ัจจุบันของชนชาติเหลา่ น้ี และชาวยุโรปกย็ ัง คงรู้จักกันน้อยมาก สาเหตุส�ำคัญเนื่องมาจากความยากล�ำบากในการเข้าและ ออกจากพรมแดนจีน ใน พ.ศ. ๒๔๒๙ - ๓๐ ดร.มอร์ริสนั (Dr.Morrison) ได้ ประสบความส�ำเร็จในการเดินทางไปตามล�ำพังอย่างสงบเสง่ียมเจียมตัวไปจน ทวั่ ประเทศน้ี ในขณะทห่ี ลายๆ คนตอ้ งพบกบั ความลม้ เหลวดว้ ยการใชเ้ สน้ ทาง เข้าและออกเมืองจีนทางแคว้นสิบสองปันนาและหัวเมืองลาวของสยาม โดย มงุ่ มนั่ ไปตามเสน้ ทางทมี่ ผี กู้ ลา่ วขวญั ถงึ อยา่ งมากชอ่ื เสน้ ทางสายเชยี งฮงุ้ (Keng Hung Sumao Route) นับเป็นการกระท�ำที่น่าสังเกตส�ำหรับคนท่ีเดินทาง อา้ งวา้ งเพียงล�ำพัง โดยทไี่ มม่ ีความรใู้ นเรอ่ื งภาษาใดๆ ส่วนเรอื่ งประสบการณ์ ของเขาทค่ี วรจะไดร้ บั การเผยแพรใ่ หโ้ ลกไดร้ บั รเู้ พยี งใดนนั้ ขนึ้ อยทู่ ว่ี า่ มนั จะเปน็ เร่ืองทนี่ า่ สนใจพอๆ กบั ทีส่ รา้ งความเพลดิ เพลินให้หรอื ไม่ ชาวลื้อที่พวกเราติดต่อด้วยดูเหมือนจะมีรูปร่างสูงที่สุดในหมู่คนเหล่านี้ ท้ังยังดเู ปน็ พวกท่ีเจรญิ แล้วมากทส่ี ุด จริงๆ แล้วผคู้ นมากมายในหบุ เขานำ้� งาว น้ันนับถือศาสนาพุทธและมีการสร้างวัดวาอาราม แม้แต่บางคนยังท�ำการสัก รา่ งกายตงั้ แต่บนั้ เอวจนถึงหัวเข่าตามแบบประเพณขี องชาวลาวตะวันตก รวม ถงึ การโกนผมรอบศรี ษะเหลอื เพยี งตรงกลางไวเ้ ปน็ กระจกุ ภาษาทใ่ี ชก้ ค็ ลา้ ยคลงึ กบั ภาษาลาวมาก อนั ทจ่ี รงิ แลว้ ตอนทต่ี อ้ งลยุ ขา้ มกระแสนำ้� พวกเขาจะตอ้ งเอา

232 บทที่ ๙ หัวเมอื งลาว - แมน่ ำ้� โขง (ตอนตอ่ ) ข่าเคยี นและขมุ

หา้ ปใี นสยาม เล่ม ๑ 233 เสอ้ื ผ้าใสห่ บี ห่อแล้วเทินไว้เหนือศรี ษะ แตล่ ักษณะทีเ่ ด่นชดั แบบนี้ของพวกเขา ไดห้ ายไปจนใครๆ กไ็ ม่อาจบอกได้วา่ พวกไหนเปน็ ล้ือพวกไหนเป็นลาว พวกเขาเป็นเจ้าของสุนัขที่พอจะมีลักษณะดีอยู่บ้าง ดูเผินๆ มันจะมี คุณสมบัตคิ ลา้ ยกับกลุ ีมากทเี ดียว ดไู ดจ้ ากศีรษะและหทู ี่มคี ุณสมบตั ิดพี อๆ กนั ขนสนี ำ�้ ตาลปนดำ� และไมม่ หี าง เจา้ บญุ ยนื นำ� มนั มาพรอ้ มกบั เขาดว้ ยตวั หนง่ึ แต่ มนั นน้ั เปน็ นกั ลา่ มอื อาชพี และภายในไมก่ เี่ ดอื นหลงั จากนนั้ เรากต็ อ้ งสญู เสยี มนั ไปในดงพญาเยน็ ดว้ ยความรสู้ กึ เสยี ใจอยา่ งสดุ ซงึ้ แตล่ ะคนตา่ งกค็ ดิ วา่ มนั คงจะ ไปอยกู่ บั อกี คณะหนง่ึ จนกระทง่ั สน้ิ สดุ การเดนิ เทา้ แลว้ ตอนนนั้ กส็ ายเกนิ กวา่ ท่ี จะยอ้ นกลับไปคน้ หา พวกเราจงึ ไม่ได้พบมันอกี เลย ทศั นยี ภาพทมี่ เี สนห่ ข์ องหมบู่ า้ นแถบแมน่ ำ้� โขงเหลา่ นก้ี ค็ อื การทไ่ี มม่ ภี าพ สนุ ขั ขา้ งถนนรอ้ งเอง๋ ๆ เปน็ ฝงู ดงั ทไี่ ดเ้ หน็ ตามปกติ ประชาชนจะเลย้ี งสนุ ขั พนั ธ์ุ ภเู ขาขนยาวซึ่งพวกเขาใหก้ ารดูแลพวกมันอยา่ งดี พวกเราข้ามจากเมอื งน่านเขา้ ส่อู าณาเขตของเมืองหลวงพระบางทีบ่ ้าน ปากทา ซง่ึ เป็นหมบู่ ้านมีสถานท่ตี ง้ั อันงดงามอยู่บนปากแมน่ ำ�้ ชื่อเดียวกัน เรา สง่ คนและเรอื ล�ำเกา่ กลับไป และรับคนกับเรือลำ� ใหมม่ าพร้อมดว้ ยคนนำ� ทางท่ี รู้ความเร็วของกระแสนำ้� เบือ้ งล่างเป็นอยา่ งดี เราได้พบขา่ แจะ ๒ - ๓ คนน�ำ ขา้ วสารลอ่ งแพไมไ้ ผล่ งมาเพอ่ื นำ� ไปขายและไดพ้ บชาวลาวในหมบู่ า้ นซง่ึ ไดก้ ลาย เป็นเพื่อนผู้มีรอยสักของพวกเราไปในไม่ช้า แต่ว่าเป็นพวกลาวพุงขาว (Lao Pung Kao) หรอื ชาวลาวตะวนั ออกจากหลวงพระบาง ในหม่พู วกเขามีผู้ชาย อยเู่ พยี งไมก่ ค่ี นและเปน็ พวกทไ่ี วห้ นวดไวเ้ คราเพยี งบางๆ ซงึ่ ดแู ลว้ เปน็ สว่ นเกนิ ท่คี อ่ นขา้ งจะดแู ปลกแยก ตำ่� จากบรเิ วณนค้ี อื ทซ่ี ง่ึ เราไดท้ ำ� ความคนุ้ เคยกบั แกง่ นำ�้ ในแมน่ ำ�้ โขงเปน็ คร้ังแรกและได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับมันหน่ึงหรือสองเร่ือง เรื่องแรกก็คือในการ ล่องตามน้�ำน้ันต้องอย่าปล่อยให้เรือลอยเข้าไปใกล้เรืออีกล�ำหน่ึงไม่ว่าจะด้วย เหตุผลใดๆ กต็ าม ทางน้�ำท่เี รอื แล่นตามกันไปอย่างชดิ กระชนั้ อาจเปน็ เหตใุ ห้ เกดิ รอ่ งบมุ๋ ของนำ้� ผวิ นำ�้ จะหมนุ วนปน่ั ปว่ น ในแอง่ นำ�้ จะเตม็ ไปดว้ ยฟองนำ้� แตก

234 บทท่ี ๙ หัวเมืองลาว - แมน่ ำ้� โขง (ตอนตอ่ ) ซา่ นอยา่ งทไี่ มเ่ คยเปน็ มากอ่ นราวกบั ทะเลปา่ เราตดิ ตามเรอื ของนายสขุ ไปอยา่ ง กระช้ันชิด ซงึ่ คนในเรือของเขาต่างดีใจกันยกใหญ่เม่อื เหน็ เรือของเราปักหัวลง ไปในแอง่ นำ้� หมนุ วนนนั้ ตามดว้ ยกระแสนำ้� ทไี่ หลพงุ่ อยา่ งเชย่ี วกรากทป่ี ะทะเรา ทางด้านทา้ ยเรือและพงุ่ เขา้ กระแทกท่รี อบลำ� เรอื กว่า ๖ คร้งั ทีค่ ลนื่ ถาโถมเขา้ ใสเ่ ราอย่างรุนแรงแทบไมน่ ่าเชอื่ พายขนาดยาวท่ีอย่ตู รงหัวเรือและหางเสือถอื ท้ายเรือท่ียาวถึง ๙ ฟุตน้ันไร้ประโยชน์อย่างน่าข�ำในเมื่อเราหมุนรอบจนเป็น วงกลมและเปียกปอนจนท่ัวหน้า ห้องโดยสารท่ีท�ำจากไม้ไผ่น่ันเองท่ีท�ำให้เรา ลอยตวั อยไู่ ด้ และเรากพ็ าเรอื พน้ จากหนิ ไดส้ ำ� เรจ็ สมตามความตง้ั ใจ ในทส่ี ดุ เรา จึงมาลอยลำ� อยู่ตรงส่วนปลายลำ� น้ำ� ที่อยู่ตำ�่ กว่าในสภาพทเ่ี ปียกโชกและนา่ ขำ� เราไดย้ นิ เสยี งปะทลุ นั่ เปรยี๊ ะตรงบรเิ วณทซ่ี งึ่ กระแสนำ้� วนไหลเชย่ี วกราก จากบรเิ วณฝง่ั ดา้ นในเขา้ ส่กู ระแสนำ้� อีกครง้ั เป็นเสียงดังเหมือนเวลาสาดนำ�้ ลง ไปบนท่อนไม้ที่ก�ำลังลุกไหม้ บางคร้ังบางคราวกระแสน้�ำวนที่ก่อให้เกิดเป็น วงั นำ้� วนได้อย่างเหลอื เชอ่ื น้นั แผเ่ ส้นผา่ ศูนยก์ ลางออกกวา้ งราวๆ ๑๐ ถงึ ๑๒ ฟตุ มนั จะยดึ หวั เรอื หรอื ทา้ ยเรอื เอาไวแ้ ละดดู จนเรอื แกวง่ ไหวไปในทศิ ทางหนง่ึ ในขณะท่ีท้ายเรือถูกดูดไว้ด้วยกระแสน�้ำไหลเชี่ยวที่มีก�ำลังแรงพอๆ กันในอีก ทิศทางหนึ่ง หากส่วนปลายด้านใดปะทะกับก้อนหินแล้วละก็หนทางท่ีดีที่สุด คือควรจะรีบขึ้นฝง่ั เม่อื ตกอยู่ในน�้ำเชยี่ วบางแหง่ ที่พืน้ ท้องนำ้� เทลาด สิ่งแรกที่เปน็ กนั มากก็ คอื นำ้� จะทะลักพรวดข้ามขอบเรอื เขา้ มา แลว้ คลื่นลูกส้ันๆ ก็ยงั กระหน�่ำซัดเข้า มาอีกอย่างฮึกเหิม ทุกคนท่ีอยบู่ นเรอื ต่างมงี านกันจนลน้ มือ ฝีพายทอี่ ยู่หวั เรอื กำ� ลงั ตะแคงหวั เรอื โดยทค่ี นถอื ทา้ ยจะคอยชว่ ยอยทู่ ป่ี ลายอกี ดา้ นหนง่ึ เพอื่ ทำ� ให้ เรือต้ังล�ำได้ตรง เหล่าฝีพายต่างจ้วงพายกันจนสุดความสามารถ ส่วนพวกที่ เหลอื จะช่วยกนั วิดนำ้� ออกอยา่ งเข้มแข็งทะมดั ทะแมง หรอื ไม่ก็ตะโกนใหก้ ำ� ลัง ใจคนทีม่ เี วลาจะฟงั หากน้�ำเชีย่ วนัน้ เลวร้ายมาก ลูกเรือก็จะขน้ึ ฝง่ั เพือ่ จดั การ กินอาหารให้เรียบร้อย พวกเขาจะหยุดการเค้ียวหมาก และจะช่วยกันเปรียบ เทียบสิ่งท่ีสังเกตได้หลังจากเกิดเหตุการณ์ ดังนั้นจึงมักเป็นเหตุการณ์ที่ถ้อยที ถ้อยอาศัยกนั เสมอ

หา้ ปีในสยาม เล่ม ๑ 235 ท้ังน้�ำวนและระลอกคล่ืนในอ่าวทรายเหนือน้�ำเชี่ยวนั้นมีลักษณะพิเศษ มากจากการท่ีมันไหลเข้ามาและแตกตัวออกไปยังสถานที่ต่างๆ โดยจะขยาย ขนาดขน้ึ ทลี ะหลายๆ ฟตุ เหมอื นเชน่ การกระจายตวั ของคลน่ื ในทอ้ งมหาสมทุ ร การล่องแก่งในน�้ำเชี่ยวเช่นน้ีส่วนมากมักใช้แพไม้ไผ่ขนาดใหญ่ แต่ต้อง เปน็ แคก่ ารลอ่ งแพตามนำ�้ เทา่ นน้ั แพเหลา่ นคี้ ลา้ ยๆ กบั หมบู่ า้ นลอยนำ้� ทมี่ หี ลงั คา ทรงกลมขนาดใหญ่ปกคลุมให้ร่มเงาตัวแพไว้อย่างสมบูรณ์แบบ แพทั้งหมดมี ความยาวกวา่ ๑๐๐ ฟุต และกว้าง ๒๐ ถึง ๓๐ ฟตุ โดยจะหงายส่วนดา้ นทา้ ย แพขึ้น ทขี่ ้างหน่งึ ของแพจะมีพายอยู่ ๓ ถึง ๔ ด้าม เฉพาะทีแ่ พทา้ ยขบวนน้นั จะมีพายถึง ๑๐ ด้ามไว้ใช้ขวางล�ำเพ่ือพยุงแพให้ลอยตรงไปยามเมื่อตกอยู่ใน กระแสน�ำ้ เช่ียว เรือนแพเหล่าน้ันจะบรรทกุ คนจ�ำนวนระหว่าง ๓๐ ถงึ ๔๐ คน แลว้ แตข่ นาดของแพและลอยไปในกระแสนำ�้ แตเ่ พยี งลำ� พงั มนั จงึ ไมอ่ าจฝนื ตวั ต้านทานกระแสลมแรงยามอยใู่ นสายนำ�้ เช่นนน้ั ได้ เมื่อขบวนแพถึงเมืองหลวง พระบาง ชาวแพจะขนข้าวสารและฝ้ายลงจากแพแล้วร้ือแพออก ลูกเรือชาว ลาวบางคนจะออกเดินทางไปเดือนๆ เพื่อแสวงหาสินค้า บางส่วนออกไปต่อ รองราคาของกบั พวกขา่ แจะ ในขณะทค่ี นอน่ื ไปสรา้ งหมบู่ า้ นชวั่ คราวตามรมิ ฝง่ั แมน่ �้ำใหญแ่ ละท�ำการตอ่ แพเพม่ิ แพทบ่ี รเิ วณตอนเหนอื แมน่ �้ำอแู ละลำ� นำ�้ อื่นๆ จงึ ตอ้ งมีขนาดเล็กกวา่ อยา่ งแนน่ อน จากหลวงพระบางเราได้เจอชุมชนการค้า เลก็ ๆ ชวั่ คราวเหลา่ นอี้ ยหู่ ลายแหง่ จากการสอบถามชใ้ี หเ้ หน็ วา่ ในเมอื งไดท้ ำ� การ ซอ้ื ขา้ วท่เี พาะปลูกได้ไวเ้ กอื บท้งั หมด ในขณะทีส่ ดั สว่ นของการบริโภคขา้ วทม่ี ี เพยี งจ�ำนวนน้อยนน้ั สามารถจะเพาะปลกู ไดท้ ่ีบรเิ วณที่ราบล่มุ ในเมือง จากบรเิ วณท่ีมชี ่อื วา่ บา้ นท่าเนิน ข้าพเจ้าพรอ้ มกับขา่ แจะ ๒ - ๓ คนได้ เดินทางข้ามเส้นทางช่องภูเขาไฟซึ่งระบุไว้บนแผนท่ีของนายแม็คคาร์ธีย์ ชาว ลาวเรยี กพวกนว้ี า่ ภูไฟไหม้ เป็นการเดินเท้าทีย่ ากล�ำบากมากอันเน่อื งมาจาก ความร้อน แต่เม่ือเราขึ้นไปถึงส่วนยอดเขาเหนือท่ีราบลุ่มหงสาวดีแล้วจึงค่อย ยังช่ัวขึ้น เม่ือมองลงมาก็ได้พบกับทิวทัศน์ของแหล่งเพาะปลูกอันงดงามและ หลงั คาของหมบู่ า้ นทเ่ี หน็ อยลู่ บิ ๆ เบอ้ื งลา่ ง ซง่ึ เปน็ ภาพทใ่ี หก้ ำ� ลงั ใจไดเ้ ปน็ อยา่ ง

236 บทท่ี ๙ หัวเมอื งลาว - แม่นำ้� โขง (ตอนต่อ) ดี ผคู้ นทง้ั หมดลว้ นเปน็ ชาวลาวพงุ ขาว และขณะทขี่ า้ พเจา้ กำ� ลงั ครงึ่ นง่ั ครง่ึ นอน อยใู่ น ศาลา ขา้ พเจา้ กแ็ วว่ เสยี งดนตรที ว่ งทำ� นองหวานครำ�่ ครวญของ แคน เปน็ คร้ังแรกเม่ืออยู่ท่ีน่ี มันเป็นเคร่ืองดนตรีแบบหีบเพลงเป่าซึ่งเป็นที่นิยมเล่นกัน มากในหลวงพระบาง ในกลุม่ ขา่ แจะท่มี ากับเรา มอี ยคู่ นหน่ึงมีอาการแบบทช่ี าวสยามเรียกว่า บ้าจี้ หรอื ท่แี ปลตรงตัวจากภาษาองั กฤษว่า “mad from tickling” พวกน้นั บอกวา่ เปน็ เพราะแมข่ องเขาจก๊ั จเ้ี ทา้ ของเขามากเมอ่ื ตอนเขายงั เปน็ เดก็ มเี พอ่ื น ของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะจ้ีจนเขาสามารถพ่นถ้อยค�ำลามกหยาบคาย ออกมามากมาย ซง่ึ ถา้ เปน็ เวลาอนื่ ๆ แลว้ เขาจะเปน็ ชายหนมุ่ ผเู้ งยี บขรมึ ไมเ่ คย แม้แต่จะคิดใช้ค�ำพูดพวกน้ี แต่เมื่อมีการเรียกช่ือเขาแล้วบอกให้เขาท�ำอะไร ก็ตาม เขาจะทวนประโยคทีพ่ ูดไปน้ันทนั ควันและรีบทำ� ท่าทางตามทม่ี คี นบอก ใหเ้ ขาทำ� ดว้ ยอาการรบี รอ้ นลกุ ลน เมอื่ เปน็ แบบนแ้ี ลว้ ใครจะบอกใหเ้ ขาทำ� อะไร หรอื พูดอะไรกไ็ ด้ ดูเหมือนวา่ เขาจะไมร่ ู้สกึ ตวั เอาเสยี เลยว่าเขาไดพ้ ูดอะไรออก ไปหรือท�ำอะไรลงไปในขณะที่ตกอยู่ภายใต้อาการท่ีประสาทตื่นตระหนกแบบ แปลกๆ หลายครง้ั ทเี่ ราไดเ้ ดนิ ทางรว่ มกบั ผมู้ อี าการปว่ ยทางประสาทแบบทเ่ี ขา เปน็ กนั อยู่ ในครงั้ ทส่ี องนนั้ เราพบในหมชู่ าวลาวคนหนง่ึ เจอทหี่ ลวงพระบางอกี คนหนงึ่ ใกลเ้ มอื งโคราช แลว้ กเ็ จอในหมชู่ าวกะเหรย่ี งและตามเขตชายแดนเมอื ง ราชบุรีมากกว่าหนงึ่ คนขนึ้ ไป ข้อสงั เกตเพียงอยา่ งเดียวทข่ี ้าพเจา้ รู้มาน้ันไดม้ า จากการใหค้ ำ� อธบิ ายเรอ่ื ง Latah โดยนาย เอฟ.เอ.สเวท็ เทน็ แฮม (F.A.Swettenham) ในหนังสือของเขาช่ือ “Malay Sketches”3 ในหนังสือนนั้ เขาทำ� การบรรยาย ชี้เฉพาะไว้ในลักษณะอาการที่เกิดแบบเดียวกัน ซ่ึงเป็นหลักฐานท่ีช้ีให้เห็นว่า อาการแบบนไ้ี ดเ้ ปน็ กนั อยา่ งแพรห่ ลายจากเหนอื สดุ ไปสใู่ ตส้ ดุ ของอนิ โดจนี เลย ทเี ดียว เรื่องภูเขาไฟนั้นสร้างความผิดหวังที่ไม่หนักหนาสาหัสอะไรนัก ปล่อง ภเู ขาไฟแตล่ ะช่องมีขนาดความยาวประมาณ ๒๐๐ หลาและกวา้ ง ๘๐๐ หลา และอยู่เหนือพื้นราบราว ๒๐๐ ฟุต ปล่องอากาศเหล่านั้นค่อยๆ ลาดไปทาง 3 ลอนดอน , จอห์น เลน, พ.ศ. ๒๔๓๘ (ค.ศ.๑๘๙๕) - ตน้ ฉบับ

หา้ ปใี นสยาม เล่ม ๑ 237 ๒๐ องศาทางตะวนั ออกของทิศใต้ ส่วนใหญ่บรเิ วณตอนใต้จะเปน็ ปล่องภเู ขา ทย่ี ังไมด่ บั มีควันจาง ๆ ลอยอยทู่ ั่วไป ไมม่ ผี ้ใู ดทีจ่ ะสามารถยำ�่ เดินไปบนก้นบงึ้ ทเ่ี ปน็ กากขเ้ี ถา้ ได้ มรี อยแตกกะเทาะขนาดใหญ่ ๒ - ๓ รอยทต่ี รงมมุ ดา้ นตะวนั ออก เฉยี งใตต้ รงทซ่ี งึ่ มคี วนั และกรดรอ้ นฉา่ โชยควนั กรนุ่ ขน้ึ มาเลก็ นอ้ ย พนื้ ตรงนร้ี อ้ น จัดและเท้าทั้งคู่ที่ต้องย่�ำอยู่บนรอยแตกกะเทาะน้ันก็ย่ิงแดงระอุเพราะความ รอ้ น ถา้ เอาไมไ้ ผท่ มิ่ ลงไปกค็ งจะจดุ ไฟตดิ มรี อ่ งรอยของซลั เฟอรไ์ ฮโดรเจนและ กรดคารบ์ อนกิ อยู่ ซง่ึ สะเกด็ ของซลั เฟอรต์ รงรอยทเ่ี ปดิ อยคู่ งจะสมั พนั ธก์ บั การ ย่อยสลายของกา๊ ซดังกลา่ ว การเปลี่ยนสีใหเ้ ข้ากับสภาพแวดลอ้ มทว่ั ไปมีความ สมั พนั ธก์ บั คลอไรดข์ องเหลก็ โดยเปน็ ไปตามลกั ษณะเฉพาะทางธรรมชาติ สว่ น ใหญ่ ดเู หมอื นมนั ยงั คงมคี วนั บางๆ จำ� นวนมากกวา่ นเี้ มอื่ ตอนทนี่ ายแมค็ คารธ์ ยี ์ ไดแ้ วะมาเมอ่ื ปหี รอื สองปกี อ่ น แตก่ ไ็ มม่ สี ญั ญาณใดๆ บง่ บอกถงึ การระเบดิ อยา่ ง รนุ แรงเมอื่ ในอดตี ยามฝนตกจะมพี ลงั ไอนำ�้ ตามธรรมชาตเิ กดิ ขนึ้ มากมาย และ เกิดการกระเซน็ แตกซา่ นมากกวา่ ท่เี รามองเหน็ ลกั ษณะอาการเชน่ นยี้ งั คงเป็น อยู่ในปัจจุบันกับภูเขาไฟท่ียังไม่ระเบิดในลูกที่บางทีก�ำลังอ่อนก�ำลังลงเร่ือยๆ หากจะมองโดยทวั่ ไปแลว้ การพงุ่ ไหลของกา๊ ซซลั เฟอรน์ เี้ หมอื นเปน็ การบอกถงึ ปฏิกิริยาท่ีลดน้อยถอยลง ข้าพเจ้ามองไม่เห็นสัญญาณท่ีแสดงถึงร่องรอยใดๆ ของการเคลอื่ นตวั ของเปลอื กโลกเลย และกไ็ ม่กระจา่ งชดั นกั วา่ ทำ� ไมถึงไดเ้ กิด มีปล่องภูเขาไฟข้ึนตรงจุดที่มีลักษณะพิเศษนี้ ดูจากการที่ต้นไผ่ไหม้เกรียมจน ด�ำเหลือแต่ตอที่เพิ่งจะเห็นผ่านตาไป เหตุการณ์ในแบบเดียวกันก็คงจะเกิด ลุกลามลงไปทางตอนใตอ้ ีกเร่ือยๆ ปฏกิ ริ ยิ าทเ่ี กดิ ขน้ึ เปน็ ไปเฉพาะทอ้ งถน่ิ โดยไมป่ รากฏวา่ สง่ อทิ ธพิ ลไปยงั สภาพธรณวี ทิ ยาในเขตพนื้ ทข่ี า้ งเคยี งมากนกั ถงึ แมจ้ ะเนอ่ื งมาจากเงอื่ นไขสภาพ ความเป็นป่าทึบของภูมิประเทศ แต่จุดใกล้สุดที่ท�ำให้สามารถพูดถึงมันหรือ แมแ้ ตเ่ ห็นสิง่ อนื่ ใดได้ คอื ก้อนหินท่ีบริเวณแมน่ ำ�้ โขงซ่งึ อย่หู ่างออกไป ๑๐ ไมล์ ทศั นยี ภาพทแี่ สนจะดงึ ดดู ใจของแมน่ ำ�้ ระหวา่ งเมอื งเชยี งของและหลวงพระบาง ตลอดเส้นทางที่เราเดินทางผ่านน่าจะเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนตัวอย่างรุนแรง

238 บทที่ ๙ หัวเมอื งลาว - แมน่ ำ้� โขง (ตอนตอ่ ) ของผลึกหนิ นเี้ ป็นอย่างยงิ่ อันเป็นเหตุของแรงบบี อดั ตัวอันทรงพลังและสภาพ บดิ เบ้ียว4 ในหลาย ๆ พื้นที่ซึ่งสังเกตเหน็ ไดจ้ ากตวั อย่างหินเหล่านี้ พบว่าส่วน ผสมท่ีส�ำคัญของเนื้อหินคือแม็กนีเซีย (magnesia) และเหล็กบางทีก็เป็น อลูมินา (alumina) และเหล็ก ส่วนที่ไกลออกไปทางตะวันออกนน้ั จะเปน็ ผลกึ หนิ ไมกา้ เสยี เป็นส่วนมาก ยอดเขามีความสงู ตระหง่านเหนือระดบั แมน่ �ำ้ ถึง ๕,๐๐๐ ฟตุ ซง่ึ ทำ� ให้ มันแลดูสลัวเลือนราง โดยท่ัวไปจะปรากฏมีหินปูนเรียงรายอยู่อย่างหนาแน่น ยอดเขาเหล่าน้ันมีหน้าผาแต่ละด้านสูงชันและเป็นภาพที่ดูเด่นเป็นสง่าย่ิงนัก โดยมองเห็นตัดกับท้องฟ้ายามเย็นสีแดงฉานควบคู่ไปกับเสียงพายุฟ้าผ่าอย่าง รุนแรงเปรี้ยงแรกแห่งฤดูกาล เสียงสายฟ้าฟาดดังกังวานและสะท้อนก้องกับ หน้าผาของหุบเขาชันลึกในขณะนั้นช่างเป็นการเติมเต็มทัศนียภาพได้อย่าง สมบูรณ์แบบ เปน็ ภาพทีข่ า้ พเจา้ ม่นั ใจว่าคงทำ� ใหผ้ ู้คนพากันเชื่อวา่ ผสี าง มีจริง โดยไมต่ อ้ งมีเหตผุ ลใดๆ อย่างแน่นอน เหนอื หลวงพระบางขนึ้ ไปไมก่ ไี่ มลม์ แี มน่ ำ้� ใหญส่ ายสำ� คญั หลายสายทเี่ ปน็ สาขาของนำ้� อแู ละนำ้� สองไหลมาบรรจบกบั แมน่ ำ้� โขง ปรมิ าณนำ�้ ทไี่ หลผา่ นเมอื ง นน้ั ประมาณวา่ มากเปน็ ๓ เทา่ ของทไี่ หลผา่ นเมอื งเชยี งของ และนายแมค็ คารธ์ ยี ์ ได้พบว่ามันมีการระบายน�ำ้ ออกถึง ๔๒,๐๐๐ ควิ บกิ ฟตุ ต่อวนิ าที ในฤดแู ลง้ น้�ำ ในแม่น้�ำสาขาเหล่านี้จะใสสะอาด เป็นลักษณะท่ีแตกต่างจากน้�ำในแม่น�้ำโขง ซ่งึ เต็มไปด้วยตะกอนจนออกสีน้�ำตาลอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างที่เดินทางข้ึนไปตอนเหนือน้�ำอูในระยะที่พอๆ กันไปเมืองงอย เราพบพวกอกี อ้ มากมาย และไดเ้ ขา้ ไปเยย่ี มบางครอบครวั ทอ่ี าศยั อยใู่ นกระทอ่ ม ตกปลาแบบแปลกตาที่อยู่ตรงกลางแม่น้�ำ มันเป็นการตกปลาแบบต่อเนื่อง โดยใช้ท้ังคันเบ็ดและแห อีกท้ังในแม่น้�ำก็มีที่จับปลาเต็มไปหมด เมื่อก้าวข้าม บรเิ วณต้นกระแสนำ้� ไปจะมีหลักจบั ปลาเรยี งแถวถๆ่ี ปกั หลกั ไวก้ ับกอ้ นกรวดท่ี 4 ตวั อยา่ งทไ่ี ด้จากแนวหินบะซอลต์ทเี่ หมือนหินอัคนีซง่ึ รุกล้�ำเข้าไปในพ้นื ท่ีหลายแหง่ ประกอบดว้ ยแนวหินสเี ขียวออ่ นเป็น บริเวณกวา้ งไปจนถึงผลกึ แรอ่ อไกตเ์ น้ือบางสีนำ�้ ตาลซดี จาง รวมท้งั แรห่ นิ ฟนั มา้ หินท่ีเหมือนหนิ อคั นซี ง่ึ มีแนวฐานหนาแน่น ไปด้วยแร่หินฟนั ม้า กอ่ ตวั ไขวส้ ลับไปมาเหมอื นไมร้ ะแนง แร่ออไกต์ และแมกนีไทต์ แรต่ ่าง ๆ เหล่านี้กอ่ ตัวเปน็ ฐานราก อยา่ งหนาแน่น มกี ระแสน้ำ� ไหลเช่ียวปรากฏให้เห็นเสมอในบริเวณละแวกใกล้เคยี งแนวหินเหลา่ นี้ ทงั้ ในแมน่ ำ�้ โขงและนำ�้ อู – ต้นฉบับ

หา้ ปีในสยาม เล่ม ๑ หญงิ ชาวลื้อ หญงิ ชาวไทยเหนอื และหญงิ ลาว 239

240 บทท่ี ๙ หัวเมืองลาว - แมน่ ำ�้ โขง (ตอนต่อ) กน้ แมน่ �้ำ มกี ารสรา้ งหลงั คายกขนึ้ เปน็ นง่ั รา้ นในทกุ ๆ ระยะ ๒๐ หลาเหนอื พน้ื ที่ ว่างบนแนวเสาหลกั จบั ปลา ถ่วงน้�ำหนกั เอาไวด้ ว้ ยกอ้ นหนิ พรอ้ มกับค้�ำยันเอา ไวอ้ ยา่ งแนน่ หนาเหนอื ผวิ กระแสน้�ำทไ่ี หลบา่ ทางดา้ นขา้ ง มกี ารยกพน้ื โดยรอบ ด้านในพร้อมทั้งมุงหลังคากับกรุฝาผนังด้วย หญ้าคา หรือหญ้าตามป่าลงมา จนถงึ รมิ น้�ำ แสงสวา่ งจากแหล่งเดยี วท่ีแวบผ่านกระแสนำ้� เบ้อื งลา่ งมาจากชาย คหู่ นง่ึ ทนี่ งั่ จอ้ งมองอยา่ งนงิ่ เงยี บและสบู ยาสบู มวนยาวรว่ มกนั เปน็ ชวั่ โมงๆ บางที เขากจ็ บั ปลาที่ผา่ นมาได้ตวั หรือสองตัวดว้ ยการใชฉ้ มวกช่วยหรือไม่กเ็ หวย่ี งแห ขนาดกว้างดักไว้ ภรรยารปู รา่ งเลก็ ของพวกเขาจะดุใหเ้ ด็ก ๆ เงยี บเสียงแลว้ จงึ หุงข้าวบนพื้นแคบๆ ราว ๓ ฟุตรอบขอบที่ยกพื้นด้วยความสบายอกสบายใจ เปน็ ที่สดุ ทัศนียภาพของน�้ำอูที่สังเกตเห็นได้จะเป็นหน้าผาหินปูนสูงลิบอยู่เป็น ช่วงๆ ตามทางนำ้� บางพน้ื ทจ่ี ะพบหนิ ปนู ซง่ึ ประกอบดว้ ยแมกนเี ซยี ม แคลเซยี มและคารบ์ อเนต แทนท่อี ยู่อยา่ งหนาแนน่ ส่วนในพน้ื ท่อี ืน่ ๆ ซ่ึงอดุ มสมบูรณ์มาก ๆ ตรงบริเวณ เหนือปากบากจะมีกล่ินฉุนเฉียวรุนแรงของก๊าซซัลเฟอร์ไฮโดรเจนโชยออกมา จากก้อนหินท่ีแตกกะเทาะใหม่ๆ หินปูนจะมีสัดส่วนที่คงท่ีโดยใช้เวลาไม่นาน นกั และมกั จะพบโครงสรา้ งการยอ่ ยสลายของหนิ ปนู ทก่ี ลายเปน็ ทรายอยบู่ อ่ ยๆ พรอ้ มกบั ลกั ษณะทด่ี คู ลา้ ยการกอ่ ตวั ทบั ถมทเี่ หน็ ในหลายพนื้ ทข่ี องหลวงพระบาง อยา่ งเช่นทป่ี ากสี (Pak Si) กอ็ าจพบเหน็ กระบวนการแห่งการทับถมน้ันได้ มี หมบู่ า้ นเลก็ ๆ ของพวกชาวลอื้ อยทู่ ว่ั ไปทกุ หนทกุ แหง่ โดยอยหู่ า่ งออกไปทางดา้ น หลงั ของแม่น้�ำเล็กน้อย แต่เปน็ หมบู่ ้านทีส่ รา้ งขนึ้ อย่างหยาบๆ กวา่ ทเี่ หน็ ตาม ริมฝั่งแม่น้�ำโขง เราได้เห็นผู้คนท่ีนี่ท�ำกระดาษกันบนแผ่นลินินแผ่กว้าง และ ท�ำการตัดใบยาสบู มกี ารเพาะปลูกไหมและฝา้ ยบา้ งเลก็ น้อย ทั้งยังปลูกกลว้ ย และน�้ำตาลอ้อย ซึ่งท้ังน�้ำตาลอ้อยกับนกกาน้�ำท่ีเรายิงได้น้ันเป็นอาหารเพียง อยา่ งเดียวท่ีเราหามาเพม่ิ เติมไวใ้ นห้องเสบยี งได้ ของทกุ อยา่ งทหี่ ามาได้จากท่ี ตา่ งๆ กเ็ พอื่ เอาไวแ้ ลกเปลย่ี นสนิ คา้ กบั พวกชาวบา้ นทปี่ ฏเิ สธการใชเ้ งนิ เรากลบั

ห้าปใี นสยาม เลม่ ๑ 241 ไปใชร้ ายการอาหารบ้านปา่ ของเจ้าบุญยืนท่เี ขานำ� เอาสมุนไพรกลนิ่ แรง แต่ถกู สขุ อนามยั มาผสมผสานแทนการใชใ้ บชา รวมทงั้ ตวั ผเี สอ้ื แมลงประเภทจงิ้ หรดี ทอด และกบท่ีรู้จักกันในชื่อว่า อึ่งอ่าง ซึ่งทั้งหมดล้วนมาจากบันทึกรายการ อาหารยอดนิยมของเขา ความยุ่งยากในการแบ่งปันการใช้หนทางสัญจรไปมาในแม่น�้ำส่วนใหญ่ นน้ั มาจากเรอื จากหลวงพระบางทสี่ ญั จรผา่ นมาเปน็ ประจำ� สว่ นใหญจ่ ะแลน่ ไป ทางตอนเหนอื ของแมน่ ำ�้ เพอ่ื รบั ซอื้ ขา้ วและเกลอื จากนาเกลอื ทางดา้ นทศิ ตะวนั ตกใกล้ๆ กับเมืองสาย รวมไปถงึ ข้าวปลาอาหารอื่นๆ แลว้ พวกเขากจ็ ะพากัน ขนทุกสิ่งทุกอย่างท่ีสรรหามาได้กลับมา ดังนั้นพวกชาวบ้านจึงเหลือหนทาง สัญจรไปมาอยู่เพียงนิดเดียว แต่ส�ำหรับพวกเขาแล้วก็ไม่มีความจ�ำเป็นต้องใช้ มนั มากนกั เขาหินปนู ทีบ่ รเิ วณนำ�้ อู

242 บทที่ ๙ หัวเมอื งลาว - แมน่ ำ�้ โขง (ตอนตอ่ ) เราได้พบเรือของชาวบ้านเหล่านี้หลายล�ำ มีผู้ชาย ๓ หรือ ๔ คน นุ่งผ้านุ่ง พันรอบท่อนกลางล�ำตัวก�ำลังค้�ำถ่ออย่างขมักเขม้นโดยไม่หยุดพัก เปน็ การถอ่ เรอื ตา้ นกระแสนำ�้ ในระยะทางหลายกโิ ลเมตรตอ่ เทยี่ ว ทกุ ลำ� จะตอ้ ง มไี กต่ วั ผขู้ นั อยบู่ นหลงั คาเรอื เสมอมไิ ดข้ าด เนอื่ งจากความแคบกบั ความซอกแซก ซับซ้อนของกระแสน้�ำ เรือที่แล่นไปมาบางช่วงจึงล�ำเล็กกว่าในแม่น�้ำโขง แบกรบั น้�ำหนกั ได้เพยี ง ๑๒ cwt๑ เรอื ของข้าพเจา้ ยาวตลอดล�ำเพียง ๔๕ ฟตุ ปากเรือกวา้ ง ๓ ฟุต และลึก ๑ ฟตุ ๓ นิว้ ท่พี ักช่วั คราวกลางลำ� เรอื สำ� หรบั พอ อยู่ได้ ๑ คนน้นั มีชอ่ งว่างเหนือศีรษะราว ๓ ฟุต แพขา้ วสารจำ� นวนมากตา่ งเตรยี มพรอ้ มทจ่ี ะเดนิ ทางลอ่ งตามนำ�้ ในตอน ทร่ี ะดบั น้�ำเพ่ิมสงู ขึน้ บางวันเราต้องเจอกับฝนตกกระหน�่ำอย่างหนักซึ่งท�ำให้เราคืบหน้าไป ไม่ได้เน่ืองจากชาวลาวนั้นไม่อาจท�ำงานได้ท่ามกลายสายฝนฉ่�ำเย็นเปียกโชก และเน้ือตัวสั่นเทาของพวกชาวลาวท่ีน่าสงสารก็ท�ำให้เรือต้องส่ันสะเทือนไป ท้ังล�ำ ครั้งหนึ่งเราได้แล่นเรืออยู่ในกระแสน�้ำอันเลวร้ายของแก่งหลวงในยาม ทฝ่ี นเทลงมาอยา่ งหนกั คงจะทำ� ใหน้ กึ ถงึ เรอ่ื งเคราะหห์ ามยามรา้ ยทต่ี ลกไปกวา่ นไี้ ม่ได้อกี แล้ว เมฆลอยเร่ยี ลงต�่ำเหนือเนินเขาทีช่ ุ่มโชกอยู่โดยรอบ กระแสน้�ำ เชี่ยวสาดซ่าเอนลาดไปตามแรงลม แม่น�้ำสีเทาเช่ียวกราก ส่วนมนุษย์ท่ีระทด ท้อและเนื้อตัวส่ันเทาต่างพากันด้ินรนต่อสู้อยู่บนเรือท่ีบรรทุกของเต็มล�ำเรือ แลน่ ข้ามก้อนหินล่ืนๆ ทำ� การชกั ลากดว้ ยเชอื กหรือไม่ก็กระเสือกกระสนอยใู่ น นำ�้ เมอื่ เรอื ถกู กระแสนำ้� กวาดออกไป เหตกุ ารณเ์ หลา่ นมี้ กั จะเกดิ ขน้ึ ยามเมอ่ื เรอื ต้องแล่นตัดฝ่ากระแสน�้ำแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ในทุกเวลาฉุกเฉินชายทุก คนจะแสดงออกถึงความกล้าหาญ และความหนกั แน่นมั่นคงอยา่ งแรงกลา้ พอ ๆ กบั ความสามารถในการตัดสินใจ เมอื่ เราผ่านพน้ ไปไดท้ ุกคนก็จะรบี ลนลาน มาที่หม้อข้าวเย็นๆ ในฉับพลันแล้วพากันปั้นข้าวหน่ึงก�ำมือเข้าปากก่อนท่ีจะ เดินทางตอ่ ไป ๑ Cwt = hundredweight (หนึ่งรอ้ ยส่วนของน�้ำหนกั ) – สวป.

หา้ ปใี นสยาม เลม่ ๑ 243 คนทจี่ ะลอ่ งเรอื ไปตามแมน่ ำ้� เหลา่ นี้ กเ็ พอื่ จะเรยี นรศู้ ลิ ปะการลอ่ งเรอื ให้ ได้อย่างช่�ำชองเปน็ แน่ เมืองงอยเป็น “เมือง” ใหญ่ที่สุดบนริมฝั่งน�้ำอู มีหมู่บ้านอยู่ประมาณ ๑๐๐ หลงั คาเรอื น สว่ นเมอื งซนั และเมอื งขวาจะมบี า้ นเรอื นอยรู่ ะหวา่ งตวั เมอื ง ทง้ั สองนเี้ พยี งแค่ ๖๐ หลงั คาเรอื น ซ่ึงไมอ่ าจใชค้ �ำนำ� หน้าชอ่ื เมอื ง ได้ นอกเสีย จากว่าบางทีจะมีผู้อยู่อาศัยเป็นชาวลาวไม่ใช่พวกชาวเขา ท�ำให้ได้แนวคิด งา่ ยๆ ในเรอื่ งความหนาแนน่ ของประเทศ ค�ำวา่ เมือง นั้นโดยทว่ั ไปหมายถงึ ชมุ ชนเลก็ ๆ หรอื ทพ่ี ำ� นกั ของขา้ หลวง ในภมู ภิ าคนค้ี อ่ นขา้ งจะหมายถงึ หมบู่ า้ น ชาวลาว ไมน่ ับหม่บู า้ นของพวกขา่ และพวกชาวเขา ความสำ� คญั ในการตั้งหลกั แหล่งของพวกชาวลาวในฐานะกลุ่มชนท่ีมีอิทธิพลในย่านนี้แท้ที่จริงแล้วเป็น หัวใจสำ� คญั ของหม่บู า้ นชาวเขาทอ่ี ยู่รายรอบ ระหว่างการเดินทางคืบหน้าไปที่บ่อปากจิมเราได้เจอลูกสุนัขท่ีดูแปลก ตวั หนง่ึ มนั มลี ำ� ตวั สดี ำ� มรี ว้ิ สนี ำ�้ ตาลสนมิ เหลก็ เปน็ แถบเหมอื นเสอื และมปี ลาย ข้อเท้ากับแถบกลางหน้าอกสีขาว ดูเหมือนเจ้าสัตว์ตัวผู้น้ันมันจะรู้ตัวว่ามันได้ กลายเปน็ สมบัติของข้าพเจ้าด้วยเงิน ๑ รปู ี เราเรียกช่อื มันว่า โรเวอร์ (Rover) จากนั้นการเดินทางของมันจงึ ไดเ้ ริ่มข้ึน เมืองงอยมีสถานท่ีตั้งอันงดงามอยู่ในช่องเขาหินปูนหน้าผาสูงชัน มที ร่ี าบลมุ่ ท�ำการเพาะปลกู เล็กๆ นอ้ ยๆ มองเหน็ อยูไ่ กลลิบ เมอื งน้มี ถี นนสาย หลกั ทม่ี คี ลองขนาบอยทู่ ง้ั ๒ ขา้ ง มลี กั ษณะแบบหวั เมอื ง ลาวในหลวงพระบาง มองเห็นพระอารามต้งั อยทู่ เี่ ชงิ เขาซึ่งมีเจดยี ย์ อดแหลมครอบคลุมอยู่ท้ังหบุ เขา เมอ่ื พวกฮอ่ เคลื่อนตวั ลงมาใน พ.ศ. ๒๔๓๐ ชาวลาวผู้ออ่ นแอจึงละท้งิ ถนิ่ ฐาน ที่ต้ังตรงน้ีไปเสีย ฝ่ายข้าศึกที่ลิงโลดผู้คงจะต้องล�ำบากล�ำบนอย่างแสนสาหัส หากพ้นื ทยี่ ังคงถกู ยึดครองอยู่ จึงไดพ้ ากันกลิง้ ปนื ผาหน้าไม้ซึ่งถูกทงิ้ เอาไว้ตาม ภเู ขาไปยงั แมน่ ำ�้ เราพบชาว กุย ตัวเล็กๆ หลายคนเดนิ ทางมายังทน่ี ่พี รอ้ มกับ แบกสัมภาระหนักอง้ึ ทัง้ ข้าวและฝา้ ยจนตัวโคง้ งอเป็น ๒ ทอ่ นอย่ขู ้างใต้หบี หอ่ มหมึ าท่แี บกไว้ พวกเขาจะใช้วิธวี างส่วนกว้างของสมั ภาระแตล่ ะหีบหอ่ ขวางไว้ ตรงหน้าผาก

244 บทที่ ๙ หวั เมอื งลาว - แม่นำ้� โขง (ตอนตอ่ ) ทางหลวงของเมอื งกค็ อื แมน่ ้�ำสายนี้ สนั เขาหนิ ปนู เปน็ ตวั กอ่ ใหเ้ กดิ อปุ สรรค ในการติดต่อคมนาคมในหนทางอื่นๆ เห็นได้ว่าในภูมิภาคส่วนนี้จะไม่มีการใช้ ช้างในการขนสง่ ระดบั การเพมิ่ สงู ของนำ�้ มกั จะเกดิ จากการเทกระหนำ�่ ของสายฝนทสี่ าดซา่ เหนอื ตลง่ิ ทรายอนั เปน็ บรเิ วณทซี่ ง่ึ พวกรอ่ นทองพากนั ดน้ั ดน้ ไปถงึ แลว้ พวกเรา ก็ลอ่ งกลับลงมาตามแม่นำ้� พรอ้ มด้วยข้อมลู เล็กๆ นอ้ ยๆ เกย่ี วกับเรื่องนี้ แตม่ นั กเ็ ป็นเพียงข่าวลอื เท่านัน้ หนิ ปนู มกี ารเวน้ ชอ่ งหรอื ถำ้� ไวใ้ นตำ� แหนง่ อนั เหมาะเจาะจนพวกชาวลาว หวั ไวนำ� มาดดั แปลงใหเ้ ปน็ วหิ ารศกั ดส์ิ ทิ ธซ์ิ งึ่ มพี ระพทุ ธรปู จำ� นวนมากมายคอย จอ้ งมองนกั เดนิ ทางทเ่ี ดนิ ทางผา่ นมา สถานทน่ี น้ั ปดิ ธงกระดาษ ๓ สจี ำ� นวนมาก ไวอ้ ยา่ งลวก ๆ มองเหน็ ธงทป่ี ดิ ไวโ้ ดยหนว่ ยงานของฝรง่ั เศสแหง่ “สหพนั ธร์ ะดบั สงู ประจ�ำประเทศลาว” (Syndicat du Huat Lao) เป็นสีสนั ตัดกับก้อนหนิ มนั เปน็ หนว่ ยงานทคี่ วบคมุ อยแู่ ถวนแ้ี ละไมร่ จู้ ะหาหนทางใดประกาศศกั ดาแหง่ พลงั อ�ำนาจของตนเอง ขา้ พเจ้าเชื่อวา่ การกระทำ� แบบน้เี ปน็ ลกั ษณะของความ บา้ คลั่งซึ่งเปน็ อกี หนทางหนึ่งทใี่ ชค้ กุ คามผูอ้ อ่ นแอกวา่ ตอนขาลอ่ งลงมาจากแมน่ ำ้� เรอื ของเราไดต้ ดิ ตง้ั ชอ่ งอากาศทท่ี ำ� จากไมไ้ ผ่ ท้ังยงั มกี ราบเรือยกสูงซงึ่ มีความจำ� เปน็ มากในการช่วยป้องกนั เรอื พวกเราพบ ชว่ งเวลาแหง่ ความบนั เทงิ ใจจากกระแสนำ้� สดุ เลวรา้ ยสองครง้ั คอื ทแี่ กง่ กางและ แกง่ หลวง เปน็ แกง่ ทม่ี องดูแล้วย่ิงชวนให้รูส้ ึกลึกลับวังเวง และยากที่จะพุง่ เรือ ให้ทะยานไปโดยมีอากาศช้ืนลอยตัวเรี่ยต่�ำอยู่เหนือผิวแก่งน�้ำทั้งสอง และท่ี ผวิ นำ้� กม็ ปี รมิ าณนำ้� จำ� นวนมากไหลยอ้ นกลบั เพอ่ื เปน็ การบรรเทาความแรงของ กระแสนำ้� โดยเฉพาะกระแสนำ้� อนั ตรายอยา่ งทแี่ กง่ กาง พวกเราจงึ คอ่ ยๆ ดงึ เรอื และวดิ นำ�้ ออก ซง่ึ เปน็ โชคดที ไ่ี มม่ กี ระแสนำ�้ ใดๆ มารบกวนจนเราสามารถหลบ หลกี ก้อนหนิ และคล่ืนแรงๆ ตรงกลางแม่นำ�้ ไดส้ �ำเร็จ

ห้าปีในสยาม เล่ม ๑ 245 ปากสงู แมน่ �้ำโขง ในวนั สดุ ทา้ ยของการเดนิ ทางสหู่ ลวงพระบาง เราไดต้ ง้ั เกณฑส์ ำ� หรบั พาย เรอื แขง่ ระยะทางไกลระหวา่ งเรอื ตา่ งๆ ขนึ้ มา ซงึ่ จดุ ประกายความกระตอื รอื รน้ ของพวกเราไดเ้ ปน็ อนั มาก เมอื่ ตอ้ งพายอยา่ งหนกั พวกลาวมกั จะกลายเปน็ ฝพี าย อย่างท่ีต้องเรียกว่า “นักจ้วง” ซึ่งมีฝีมือขนาดท่ีจะท�ำให้ฝีพายรุ่นเก่าต้องตก ตะลงึ ข้าพเจา้ สามารถปลกู ฝงั ความคดิ ในเรือ่ งเกีย่ วกับพระจิต๑ ใหล้ ูกเรือของ ข้าพเจา้ ฟงั ทีละเลก็ ละน้อย ซึ่งสง่ ผลให้พวกเราถงึ หลวงพระบาง หงุ หาและรบั ประทานอาหารเยน็ ของเราไดก้ อ่ นนายสกุ ผซู้ ง่ึ เรง่ ใหจ้ งั หวะกรรเชยี งลกู เรอื ของ เขาอยา่ งกลา้ หาญมาตลอดทงั้ วนั จนไดย้ นิ เสยี งโหฮ่ วิ้ อนั แผว่ โหยแหบแหง้ พวก เราหาอาหารให้เขาแล้วจึงออกไปร่วมชมการแสดงดนตรีของพวกลาวท่ีจัดขึ้น โดยท่านข้าหลวง ส่วนคนอ่ืนๆ กลับมาถึงก่อนท่ีจะเท่ียงคืน ชาวลาวพากัน ประหลาดใจไม่นอ้ ยเมอ่ื ทราบว่าการพายเรอื นัน้ เปน็ ศิลปะซ่ึงไม่เป็นทีร่ จู้ ักในท่ี อนื่ นอกเหนอื จากแมน่ ำ�้ โขง แตพ่ วกเขาก็มีความสุภาพพอทจ่ี ะไมก่ ลา่ วออกมา วา่ เขาคดิ กับข้าพเจา้ เช่นไร เม่ือขา้ พเจา้ ได้สาธยายถึงเรอ่ื งการแข่งขันเป็นครัง้ ท่ี แปด ๑ Trinity หมายถึง พระผูเ้ ปน็ เจ้าในศาสนาคริสตซ์ ึง่ แบง่ เปน็ ๓ องค์ คือพระบิดา พระบตุ ร พระจิต ในตน้ ฉบบั ภาษาองั กฤษ กล่าวถึง Third Trinity หมายถึง พระจิต – สวป.

ประตูวดั พระบาง บทท่ี ๑๐ หวั เมืองลาว - แม่นำ�้ โขง (ตอนตอ่ ) หลวงพระบาง - การรุกรานของพวกฮอ่ - การส�ำรวจของชาวสยาม - ประชากร การคา้ - แม่น�้ำที่ใชเ้ ดินเรือได้ - ปากลาย - เวยี งจันทน์ ----------------------------------- เมืองหลวงพระบางเป็นศูนย์กลางการท�ำงานของเราตลอดเวลาใน ระหว่างที่เราเดินทางอยู่ตามบริเวณน้ี และพวกเราก็ได้ท�ำการส�ำรวจไปแล้ว หลายคร้ังโดยเรม่ิ จากทีต่ รงจดุ น้ี ท้ังๆ ทอ่ี ากาศเดือนมนี าคมร้อนจัดแตพ่ วกเรา กลับอยู่กันอย่างสบายอกสบายใจ เน่ืองจากความโอบอ้อมอารีของทุกๆ คน

หา้ ปใี นสยาม เล่ม ๑ 247 รวมทง้ั ทา่ นขา้ หลวงผสู้ ามารถและเอาการเอางานนามวา่ พระพลษั ฎา๑ ผมู้ คี วาม มานะพยายามเหนอื ขดี ความสามารถในการทจ่ี ะทำ� ใหพ้ วกเราสะดวกสบายและ ยังชว่ ยเหลอื ในเรอื่ งงานของพวกเราดว้ ย เมืองนี้รู้จักกันในช่ือเดิมว่า ล้านช้าง ซึ่งหมายถึงที่ราบในท่ามกลางฝูง ช้างและได้รับชื่อใหม่อันไพเราะว่า พระบาง โดยมาจากช่ือของพระพุทธรูป ทองคำ� ขององคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กลา่ วกนั วา่ เปน็ พระพทุ ธรปู ทมี่ มี าดง้ั เดมิ จากเกาะลงั กาแลว้ มายงั กมั พชู า จากนนั้ จงึ ถกู นำ� มาไวท้ เี่ มอื งหลวงพระบาง เมอื่ พระพทุ ธรปู มาถงึ ในครง้ั แรกนน้ั ไดถ้ กู อญั เชญิ ไปยงั เมอื งเวยี งจนั ทน์ แลว้ ยา้ ยมา กรงุ เทพฯ จากน้ันจงึ ไดน้ ำ� กลบั มาไว้ทเี่ วยี งจนั ทน์อีกครงั้ เมอ่ื พวกฮ่อบุกรกุ เข้า มายงั สถานทน่ี ใี่ น พ.ศ. ๒๔๓๐ กลมุ่ “ชาวลาวสงู อายเุ จา้ เลห่ ”์ จงึ ขนยา้ ยพระบาง หลบหนอี อกไปแล้วนำ� ไปฝังไว้อยา่ งปลอดภัย1 เหตุการณ์ต่อไปน้ีเป็นผลของความผิดพลาดอันน่าเศร้าที่สร้างความยุ่ง ยากให้แก่บ้านเมืองมาเป็นระยะเวลายาวนาน การรุกของพวกฮ่อท่ีได้เริ่มมา ตัง้ แต่ พ.ศ. ๒๔๓๑ ไดถ้ กู ก�ำจัดขอบเขตไปทางภาคตะวันออกของเมืองหลวง พระบาง พวกฮอ่ ไดท้ ำ� ลายเมอื งสบิ สองจไุ ทยกบั หวั พนั หา้ ทงั้ หกและไดร้ กุ ลำ้� เขา้ สู่เชียงขวางเลยไปถึงเมืองเวียงจันทน์ตรงโค้งแผ่นดินกว้างใหญ่ทางตะวันออก ของแม่น้�ำโขงบรเิ วณเสน้ ขนานที่ ๑๘ ณ จดุ นี้พวกฮอ่ ถูกยับยงั้ และเกือบจะถกู ขับไล่ไปโดยพระยามหาอมาตย์ อีกขบวนหนึ่งถูกตีแตกโดยพระยาราช๒ ที่ทุ่งเชียงค�ำ และแล้วความผิดพลาดใหญ่หลวงก็เกิดข้ึนจากการลดจ�ำนวน ประชากรทเ่ี มอื งนน้ั เพอ่ื ทจี่ ะตดั กำ� ลงั ฐานทม่ี นั่ ของพวกฮอ่ ในอนาคต ประชาชน จงึ ไดร้ บั ค�ำสง่ั ใหเ้ คลอ่ื นยา้ ยไปทางทศิ ตะวนั ตก พวกฮอ่ จงึ กลบั มารวมพลกนั ได้ อกี เปน็ จำ� นวนมหาศาล และตงั้ มั่นอย่ทู เ่ี มืองพวน2 ความพยายามทไ่ี มเ่ ด็ดขาด ของรัฐบาลสยามเพ่ือกวาดล้างผู้ก่อการร้ายในประเทศได้เริ่มข้ึนตอนต้นปี พ.ศ.๒๔๒๘ กองทพั ๒ กองตกี ระหนาบค่ายของพวกฮ่อท่ีทงุ่ เชียงค�ำ ทพั หนึ่ง ๑ แปลตามต้นฉบับภาษาองั กฤษที่เขียนวา่ Pra Prasada มาจากช่อื เต็มวา่ พระพลษั ฎานุรกั ษ์ - สวป. 1 แม็คคาร์ธยี ,์ รายงานเรอ่ื งการส�ำรวจในประเทศสยาม (Report on a Survey in Siam), เป็นรายงานท่ีเตม็ ไปด้วยข้อมลู ท่ี ๒ น่าสนใจ – ต้นฉบบั Praya Rat มาจากช่อื เต็มวา่ พระยาราชวรานุกูล (พระสรุ ยิ ภักดี) – สวป. แปลตามต้นฉบับภาษาองั กฤษทเี่ ขียนว่า 2 อา้ งแลว้ – ต้นฉบบั

248 บทที่ ๑๐ หวั เมืองลาว - แม่นำ�้ โขง (ตอนตอ่ ) อยู่ภายใต้การควบคุมของพระยาพิชัย๑ นายทัพฝีมือดีที่มีวิธีการรบแบบเก่า ผู้เป็นบิดาของเจ้าเมืองพิชัยคนปัจจุบัน อีกทัพหนึ่งน้ันควบคุมโดยพระยาราช ซ่ึงดูเหมือนจะได้รับส่วนของความอ่อนแอจากราชส�ำนักท่ีเขาเติบโตมาอย่าง เตม็ เปีย่ ม รวมท้ังความเยอ่ หยิ่ง ความถือดี และความโงเ่ ขลาด้วย เนอื่ งจากความไมล่ งรอยกนั ของสองผนู้ ำ� และขาดการจดั การในเรอ่ื งกำ� ลงั พล จงึ ไมอ่ าจกลา่ วไดว้ า่ การตโี อบลอ้ มคา่ ยของพวกฮอ่ ไดร้ บั ผลส�ำเรจ็ แมร้ ปู การณ์ จะแสดงใหเ้ หน็ วา่ ชาวสยามสามารถจดั การกบั พวกฮอ่ ไดอ้ ยา่ งงา่ ยๆ และสบายอก สบายใจเหมอื นการพน่ ควนั บหุ รกี่ ต็ าม นายแมคคาร์ธีย3์ ผู้ได้อยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ขณะนั้น เป็น พยานรเู้ ห็นถงึ การวางเฉยทีพ่ วกเขามีตอ่ การบาดเจบ็ ของพวกตนเอง ตอ่ ความ หนาวเย็นและการถูกทอดท้ิงในยามค�่ำคืน ต่ออารมณ์อันร่าเริงเบิกบานและ เสยี งทพ่ี วกเขาผลดั กนั ตะโกนทา้ ทายกบั พวกฮอ่ และตอ่ วธิ กี ารสรู้ บแบบปลอ่ ย ใหเ้ ปน็ ไปตามยถากรรมทีพ่ วกเขาทำ� กันอยู่ พระยาพิชัยเคลื่อนทัพออกจากทางเหนือไปยังเมืองแถง4 และส่งลูกทัพ ทป่ี ว่ ยและบาดเจบ็ ไปยงั เมอื งหลวงพระบาง และเปดิ การเจรจากบั เจา้ ไล5สภุ าพ บุรุษผทู้ รงอิทธิพลทส่ี ดุ ในกลุม่ พวกฮ่อธงดำ� ผ้ซู ่ึงบิดาของเขาถกู เจ้า แห่งเมอื ง หลวงพระบางคนกอ่ นใชก้ ำ� ลงั เขา้ ยดึ อำ� นาจการปกครองแควน้ สบิ สองจไุ ทย เขา ไดแ้ สดงอาการคดั คา้ นอยา่ งรนุ แรงตลอดมาตอ่ ความคดิ ทจ่ี ะรกุ ลำ�้ ดนิ แดนญวน และเปน็ ศตั รกู บั พวกฝรง่ั เศส จงึ ไดม้ ารวมตวั กบั พวกธงดำ� และกลมุ่ ฮอ่ ทเ่ี คลอ่ื นไหว อย่บู รเิ วณชายแดน ขณะนีเ้ ขาไดส้ ง่ จดหมายพรอ้ มดว้ ยของกำ� นัลให้ลกู ชายทงั้ สองคนของเขาไปมอบให้พระยาพชิ ยั และก็ดจู ะได้ผลตอบรับซ่ึงเปน็ ทีน่ า่ พอใจ ในทกุ ๆ เรอ่ื ง สว่ นพระยาพชิ ยั ผรู้ ว่ มตอ่ สกู้ บั สมคั รพรรคพวกของตนมาโดยตลอด ไดล้ ม้ ป่วยลงดว้ ยพษิ ไขจ้ งึ เดินทางกลบั ไปยงั เมืองหลวงพระบาง ความตายของ ชาวสยามทเี่ กดิ ขน้ึ จากการเจบ็ ไขเ้ พยี งอยา่ งเดยี วนน้ั มอี ตั ราสงู มาก หลงั จากนนั้ ไมน่ านพระยาพิชัยจงึ เสียชีวติ ลงเพราะพษิ ไข้ ๑ พระยาพชิ ยั (ดศิ ) – ตน้ ฉบับ (Report on a Survey in Siam) -ตน้ ฉบบั รายงานเรื่องการส�ำรวจในประเทศสยาม ต้นฉบับ 3 ในแผนท่ีฝรั่งเศสคอื เมืองเดยี นเบียนฟู – ต้นฉบับ 4 นักเขียนฝรงั่ เศสเรยี กว่า Deo Van Tir – 5

ห้าปใี นสยาม เลม่ ๑ 249 ความพยายามทจ่ี ะกวาดลา้ งพวกฮอ่ ใหอ้ อกไปพน้ เขตราชอาณาจกั รสยาม น้ันได้เกิดข้ึนอีกคร้ังใน พ.ศ.๒๔๓๐ เม่ือกรมหมื่นประจักษ์ฯ๑ ได้ถูกส่งจาก หนองคายเพื่อให้ไปควบคุมดูแล ส่วนพระยาสุรศักด์ิมนตรีน้ันก็ได้เดินทางคืบ หน้าต่อไปจนถึงเมืองหลวงพระบาง ขณะท่ีพระยาเดโชเดินทัพจากหนองคาย เข้ายึดครองทุ่งเชียงค�ำโดยไม่มีการต่อสู้ขัดขืนมากนัก เน่ืองจากการท่ีพระยา สุรศักด์ิผลักดันใหพ้ วกฮอ่ ถอยทพั กลบั ไปยังเมืองแถงเสียแลว้ หากเม่อื มาคิดดู ก็น่าจะเป็นเพราะวา่ เจา้ ไลนนั้ มิไดม้ กี ารกระท�ำทีซ่ อ่ื ตรงนัก เขาไดจ้ ับบุตรชาย สองคน ซงึ่ จะเปน็ ผ้สู ืบทอดต�ำแหน่งต่อจากเขาในลกั ษณะเปน็ ตัวประกัน และ ในทสี่ ดุ ก็ไดส้ ่งท้งั สองคนไปยงั กรุงเทพฯ นายแมค็ คารธ์ ีย์ ซงึ่ ไดอ้ ยู่ในเหตุการณ์ ได้ชี้ให้เห็นว่าการจัดการในสถานการณ์เช่นนั้นจะจบลงได้ด้วยความรุนแรงแต่ เพยี งประการเดยี ว และนา่ ทจ่ี ะสง่ ตวั เจา้ ไลไปไวใ้ นกำ� มอื ของฝรง่ั เศสเสยี แตค่ ำ� พูดของเขาไม่ได้รับความสนใจใดๆ และหลังจากนั้นไม่นานเจ้าไลต้องกลับไป กรุงเทพฯ เพอ่ื พกั ฟนื้ ใหท้ เุ ลาจากอาการเจ็บป่วยแสนสาหสั พระยาสรุ ศกั ดม์ิ นตรเี ชอื่ ในความคดิ ของตนเองวา่ เขาไดก้ ระทำ� การสำ� เรจ็ ตามจุดมุ่งหมายจึงไดเ้ ดินทพั กลับลงมาตามแม่น�้ำ และไดร้ ับทราบขา่ วตามมา วา่ มพี วกฮอ่ อยทู่ ี่หลวงพระบาง ไม่น่าเชื่อจริงๆ ที่ไม่มีการจัดก�ำลังทหารท้ิงไว้ที่เมืองงอยหรือหลวง พระบางเพอื่ รกั ษาอำ� นาจทย่ี ดึ มาไดจ้ ากพวกฮอ่ ประกอบกบั การทเี่ จา้ ไลตดั สนิ ใจฉับพลันดังที่ได้คาดการณ์เอาไว้เพ่ือเรียกร้องให้ปล่อยตัวลูกชายทั้งสอง ของตน และเพอื่ รกุ คบื หนา้ เขา้ สหู่ ลวงพระบาง เมอื่ เปน็ ดงั นนั้ จงึ ไมเ่ กดิ การตอ่ สู้ ขดั ขืน ทหารเกณฑช์ าวฮอ่ ของเจ้าไลไดบ้ ุกเขา้ ยดึ หลวงพระบางพร้อมด้วยชาว ลาวทส่ี บั สนอลหม่านแตกฮืออยู่เบอื้ งหนา้ เหล่าทหารด้วยอาการตื่นตระหนก ผคู้ มุ้ กนั ซงึ่ เปน็ กำ� ลงั คนเพยี งอยา่ งเดยี วทสี่ ามารถจดั หามาพทิ กั ษเ์ จา้ เมอื ง ผชู้ ราในขณะนั้นได้แก่พอ่ คา้ ชาวอังกฤษเชือ้ สายพม่าจำ� นวนเพยี ง ๒๐ คน ตวั เจา้ เมอื งนน้ั ประกาศว่าท่านจะอยู่กับทีแ่ ละยอมตาย ณ ทน่ี ้ันมากกว่าท่ีจะหนี ๑ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจกั ษศ์ ลิ ปาคม ในรชั กาลที่ ๕ ทรงสถาปนาเป็นกรมหมื่นประจกั ษศ์ ลิ ปาคม พ.ศ. ๒๔๒๔ เป็นนายพลตรี บงั คบั การกรมทหารรักษาพระราชวัง ทรงเปน็ แม่ทพั ปราบฮ่อ ทางชายแดนมณฑลอดุ ร และเปน็ ขา้ หลวงตา่ ง พระองคส์ ำ� เรจ็ ราชการมณฑลอุดร ทรงเป็นต้นสกุลทองใหญ่ – สวป.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook