แต่ก็มีโยนิโสมนสิการ คิดพิจารณาธรรมด้วยเหตุด้วยผล ชอบคบหาสมาคมกับบัณฑิต ผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรม ผู้เป็น กัลยาณมิตร เมื่อมีปัญหาไม่เข้าใจธรรม เรื่องใด ก็กล้าชักถาม ครั้นได้มีโอกาสพบเห็นและฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จึง เพิ่มพูนความมั่นใจเรื่องผลของกรรมดีกรรมชั่วโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อพระล้มมาล้มพุทธเจ้า ทรงแสดง ธรรมโปรดบุคคลในกลุ่มที่ ๓ นี้ พระองค์จะทรงปลูกศรัทธา คล้ายการนำเข้าส่บทเรียน เพิ่อทบทวนรี้อฟินความทรงจำ โปรแกรมธรรมที่ฝ็งใจมาข้ามภพข้ามชาติ โดยตรัสเทศนา อนุปุพพิกถา® ซึ่งประกอบด้วย ๑) ทาน ๒) คิล ๓) สวรรค ๔) โทษความตํ่าทราม ความเศร้าหมองแห่งกาม ๕) อานิสงส์ในการออกบวช แท้ที่จริง อนุปุพพิกถา ก็คือสาระสำคัญของล้มมาทิฎฐิ นั่นเอง เพราะเรื่องโทษของกาม และอานิสงส์ของการออกบวช ย่อมเป็นเรื่องที่สนับสนุนยีนยันประสบการณ์การสร้างบารมี ของพระล้มมาล้มพุทธเข้าโดยตรง ครั้นเมื่อผู้ฟังเกิดตถาคตโพธิล้ทธาแล้ว พระพุทธองค์ ก็ตรัสเทศนาอริยล้จ ๔ ต่อไป ซึ่งมีผลให้ผู้ฟังบางท่านบรรลุ โสดาปัตติผล ด้งกรณีของพราหมณ์กูฏท้นตะ'° และบิดามารดา ® ท.สี ๙/๒๙๘/๑๐๙{มจร.) ^ ที.สี. ๙/๓๕๖/๑๔๙(มจร.) ศรัทธา รุ่งอรุณแท่งสันตภาพโลก ๗๒ www.kalyanamitra.org
ของพระยสกุลบุตร® ซึ่งเมื่อได้ฟังธรรม ก็ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นต้น บุคคลในกลุ่มที่ ๓ นี้ เมื่อได้มีโอกาสเข้าเฝ็าและฟัง พระธรรมเทศนา จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ่อยๆ ย่อม สามารถบรรลุธรรมโดยลำดับ ซึ่งส่วนมากจะบรรลุโสดา- ปัตติผลเป็นพระโสดาบัน พระอริยบุคคลระดับที่ ๑ เช่น พระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินมคธ มหาอุบาสิกาวิสาขา และอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นต้น ๔. ปทปรมะ แบ่ลว่า \"ผู้มีบท (คึอถ้อยคำ) เป็นอย่าง ยิ่ง\" หมายถึงบุคคลที่ฟังไว้มาก แสดงไว้มาก ทรงจำไว้มาก และพูดไว้มาก แต่ไม่บรรลุธรรมในชาตินี้ คือไม่สามารถที่จะ ปาเพ็ญฌาน วิปัสสนา มรรคหรือผลให้บังเกิดได้เปรียบ เสมีอนบัวที่อยู่บนโคลนตมถ้นสระ เนื่องจากบุคคลกลุ่มนี้มีตถาคตโพธิสัทธาเป็น โปรแกรมที่ฝังใจมาเพียงเล็กน้อย มีประสบการในการปฏิบัติ มรรคมีองค์ ๘ มาเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อมีโอกาสได้พบเห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ ก็เกิดกำสังใจทุ่มชีวิตปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งบางคนก็ สามารถเห็นอริยสัจ ๔ ภายในตนได้เหมีอนกัน เมื่อปฏิบัติ มรรคมีองค์ ๘ มากขึ้น ตถาคตโพธิสัทธาย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเงา ตามตัว และปฏิญาณตนขอถึงพระรัตนตรัย เป็นสรณะ ตลอดชีวิต ดังมีหสักฐานมากมายปรากฏอยู่ในพระสูตรต่างๆ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ® ป็นพัชชากถา วิ.มหา. ๔/๒๖/๓๓ (มจร.) ๗๓ คุณลักษณะของผู้มศรัหไทในสมัยพุทธกาล www.kalyanamitra.org
ในการตรัสเทศนาโปรดบุคคลกลุ่มที่ ๔ นี้ พระสัมมา สัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น ๑๐ ประการ® ซึ่ง ประกอบต้วย ๑. ทานที่ให้แล้วมีผล ๒. ยัญที่บุชาแล้วมีผล I _ <=4 I ๓. การเช่นสรวงทีเช่นสรวงแล้วมีผล ๔. ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี ๕. โลกนี้มี ๖. โลกหน้ามี ๗. มารดามีคุณ ๘. บิดามีคุณ ๙. สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมี ๑๐. สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติปฏิบัติชอบ ทำ ให้แจ้ง โลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ แจ้งก็มีอยู่ในโลก ศรัทธาอันมีพึ้นฐานมาจากสัมมาทิฏฐิ เป็นเหตุให้ บุคคลกลุ่มนี้ พากเพียรปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ รอบแล้วรอบ เล่าอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันในระดับหนึ่ง แม้จะยังไม่ เซึ่ยวชาญแก่รอบด้งเช่นกลุ่มที่ ๒ และ ๑ แตกมีปัญญา มนสิการโดยแยบคาย เกี่ยวกับการดิาเนินชีวิตอยู่เสมอจน เป็นคุณสมบัติประจำใจหลายประการด้งนี้คือ ๑. รูจ้กตั้งเป้าหมายชีวิต ฅ ระดับ ได้แก่ ® ม.สุ. ๑๔/๑๓๖/๑๗๖ (มจร.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๗(£ www.kalyanamitra.org
๑) ระดับบนดินคึอตั้งเพื่อตั้งตัวเป็นหลักฐานได้โดย ปฏิบัติทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๒) ระดับบนฟ้า คือ ตั้งใจสร้างบุญกศลม่งส่สวรรค์ โดยปฏิบัติ ลัมปรายิกัตถประโยชน์ ฅ) ระดับเหนือฟ้า คือ ตั้งใจปาเพ็ญเพียรภาวนาทำใจ หยุดใจนิ่งที่ศูนย์กลางกาย โดยปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เพื่อมุ่ง ประโยชน์สูงสุดคือ ความหลุดพ้น ๒. รู้หลักการดัดสินใจโดยธรรม ได้แก่ การตัดสิน ปัญหาต่างๆ โดยยึดหลักธรรมเป็นเกณฑ์ เช่น คืล กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นตัน การปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ของบุคคลในกลุ่มนี แม้จะ ไม่มีโอกาสบรรลุมรรคผลประการใด แต่ก็จะเป็นอุปนิลัยหรือ โปรแกรมติดอยู่ในขันธลันดานข้ามภพข้ามชาติต่อไป อันจะ เป็นปัจจัยให้ได้ถือก่าเนิดในบุญเขต ทำ ให้มีโอกาสพ้ฒนา ตถาคตโพธิสัทธาเพื่มขึ้นอีก คำ สารภาพของเทวดา จากการคืกษาเกี่ยวกับเรื่องคุณลักษณะของผู้มีตถาคต โพธิสัทธา หรืออุปนิสัยของผู้คนในสม้ยพุทธกาลทั้ง ๔ กลุ่ม ที่แตกต่างกันอย่างมากมายนั้น เมื่อพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล กันแล้ว ก็น่าจะกล่าวได้ว่า ตถาคตโพธิสัทธาของแต่ละคน นั่นเอง ที่เป็นเหตุให้บุคคลสร้างบุญกุศล หรือสั่งสมบารมีมา ต่างกัน แต่จะต่างกันอย่างไรนั้น มีปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ใน ๗๕ คำ สารภาพของIทวดา www.kalyanamitra.org
เทวดาสูตร® ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่เหล่าภิกษุ ถึงเรื่อง ที่เกิดขึ้นในคืนวันหนึ่ง เมื่อมีเหล่าเทวดามากมายหลายกลุ่ม มานมัสการพระพุทธองค์ และกราบพูลถึงสาเหตุที่ทำให้พวก ตนเกิดเป็นเทวดาที่มีศักดิ้ฐานะแตกต่างกันในหมู่เทพชั้นสูงบ้าง ชั้นตํ่าบ้าง ดังนี้ สำ หรับ เหล่าเทวดา ที่ไปเกิดในหมู่เทพชั้นตํ่านั้น มี สาเหตุมาจากความเดือดเนี้อร้อนใจ เนึ่องจากปฏิบ้ติหน้าที่ ของตนต่อบรรพชิตบกพร่อง ในครั้งที่เคยเกิดเป็นมนุษย์ เพราะความประมาทแตกต่างกันไป เช่น เทวดาบางกลุ่มในครั้งที่เป็นมนุษย์ เมื่อบรรพชิตทั้ง หลายมาเยือนถึงบ้าน ก็ลุกรับ แต่ไม่กราบไหว้ บางกลุ่ม ลุกร้บ กราบไหว้ แต่ไม่นิมนต์นั่ง บางกลุ่ม ลุกรัน กราบไหว้นิมนต์ให้นั่ง แต่ไม่ถวายของ ขบฉัน บางกลุ่ม ถวายของขบฉัน แต่ไม่สนใจฟังธรรม บางกลุ่ม ก็นั่งฟังธรรม แต่ไม่ตั้งใจฟัง บางกลุ่ม ตั้งใจฟัง แต่จำไม่ได้ บางกลุ่ม จำ ได้ แต่ไม่ได้คิดพิจารณาเนี้อหาสาระของ ธรรม บางกลุ่ม แม้พิจารณาเนี้อหาสาระของธรรมแล้ว แต่ก็ ไม่มีความเข้าใจพอที่จะน้าไปปฏิบ้ติให้ถูกต้อง ® อัง.นวก. ๒๓/๑๙/๔๖๘(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก ๗๖ www.kalyanamitra.org
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเกิดความร้อนอกร้อนใจ เนื่องจาก ปฏิบัติหน้าที่ต่อบรรพรดบทพร่องประการหนื่ง และขาดหลัก ธรรมในการดำเนินรวิตอย่างถูกต้อง ทำ ให้ต้องมาประสบ ปัญหาต่างๆ อีกประการหนื่ง ซึ่งเมื่อละโลกไปแล้วก็ไปเกิดใน หมู่เทพชั้นตํ่า ส่วนเทวดาจำนวนงJากอีกกลุ่มหนื่ง มีการปฏิบัติหน้าที่ ของตนต่อบรรพช่ตตรงข้ามกับกลุ่มที่กล่าวมาแล้วทุกประการ จึงไปเกิดในหมู่เทพชั้นสูง จากคำสารภาพของเหล่าเทวดาที่ไปเกิดในหมู่เทพชั้นตํ่า ย่อมแสดงว่าในครั้งที่เกิดเป็นมนุษย์มีตถาคตโพธิสัทธาเพียง เล็กน้อย จึงมิได้ขวนขวายในการสืกษาและปฏิบัติธรรม ทำ ให้ขาดความเข้าใจเรื่องการสร้างบุญกุศล มีชีวิตอยู่อย่าง ประมาท ส่วนคำกราบพูลของเหล่าเทวดาที่ไปบังเกิดในหมู่เทพ ชั้นสูงนั้น ย่อมแสดงว่าในครั้งที่เกิดเป็นมนุษย์ มีตถาคตโพธิ- สัทธามากพอสมควร จึงรู้วิธีสร้างบุญกุศลไม่บกพร่อง และ ตถาคตโพธิสัทธาของเหล่าเทวดาในกลุ่มนี้ จะเป็นอุปนิสัยติด ใจข้ามภพข้ามชาติตลอดไป ซึ่งจะช่วยให้สามารถหลุดพ้นได้ ในชาติใดชาติหนื่งอย่างแน่นอน ๗๗ คำ ศารภาพของเทวดา www.kalyanamitra.org
สรุป สาระสำคัญแห่งธรรมชาติของพระพุทธเจ้านั้น หาก พิจารณาตั้งแต่ชาติแรกเริ่มสร้างบารมี จนกระทั่งถึงวัน สุดท้ายที่เสด็จคับขันธปรินิพพาน อาจกล่าวโดยสรุปได้ ๕ ประการ คือ ๑. ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปที่ทรงปัญญา สามารถ เล็งเห็นสภาพอันแท้จริง จนเกิดความเข้าใจเริ่องโลกและชีวิต ตามความเป็นจริงว่า สัตวโลกทั้งปวงต่างตกอยู่ในทะเลแห่ง ความทุกข์ หรือต่างติดคุกคือสังสารวัฏอย่างไม่มีวันพ้นไปยู่ อิสรภาพได้เลย จึงจินตนาการวาดฝันอยู่เสมอว่าน่าจะมีวิธี ทำ ให้พ้นทุกข์จากสังสารวัฏได้ และถ้าตนทำได้สำเร็จ ก็จะ พยายามชแนะ ช่วยเหลือ โอบอุ้มเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลายให้ พ้นทุกข์ดังเช่นตนด้วย โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิน นี่คือสิงที่เรียกกันว่า พระโพธิสัตว์บ้าง นํ้าใจพระโพธิสัตว์บ้าง ๒. เมื่อเกิดความเชื่อมั่นในจินตนาการของตนแล้ว พระโพธิสัตว์ก็เริ่มลงมีอปฏิบัติ เพื่อแสวงหาทางแห่งความ พ้นทุกข์ จากประสบการณ์ชีวิต ก็ทำ ให้เกิดปัญญามั่นใจว่า การประพฤติสุจริตเท่านั้น ที่จะพบทางพ้นทุกข์ได้ จึงทุ่มเท ชีวิตสร้างคุณความดีหรีอบุญกุศล ชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน อานิสงส์ของบุญกุศลที่ปาเพ็ญอย่างอุกฤษฏ์นั้น มีปริมาณสูง เกินกว่าจะเรียกว่าบุญ จึงมีคำคัพท์เรียกใหม่ว่า บารมี ซึ่งใน ภายหสังต่อมาได้มีการจิาแนกบารมีออกเป็น ๑๐ ประการ เพื่อความเข้าใจง่าย สะดวกต่อผู้ที่จะมาคืกษาในภายหลังและ เรียกว่า บารมี ๑๐ หรีอทศบารมี ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๗๘ www.kalyanamitra.org
อานิสงส์จากภาวนามยปัญญาในระหว่างปาเพ็ญ ทศ บารมีย่อมทำให้พระโพธิสัตว์มีญาณทัสสนะเห็นแจ้งรู้แจ้ง ความจริงต่างๆ อันเป็นธรรมดาโลกอย่างมากมาย ถึงขันที่ สามารถจะบรรลุอรหัตผลได้ทันที เมื่อได้ฟังธรรมจาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แต่เพราะ มโนปณิธานอันแน่วแน่ที่ต้องการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพี่อ อนุเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งปวง จึงได้รับการพยากรณ์ว่า จะได้ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแน่นอน พระโพธิสัตว์จึงมุ่ง มั่นปาเพ็ญเพียรต่อไปอีก ในที่สุดพระโพธิสัตว์ก็ประจ้กษ์ขัดด้วยญาณทัสสนะ ว่า การปาเพ็ญปัญญาบารมีอย่างมั่นคงจะทำให้บรรลุ พระโพธิญาณ® ๓. การปาเพ็ญปัญญาบารมี ก็คือการปาเพ็ญสัมมา สมาธิ อันประกอบด้วยองค์ ๘ หรือมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง นับแต่นั้นมาพระโพธิสัตว์ก็มุ่งมั่นปาเพ็ญมรรคมีองค์ ๘ อย่าง อุกฤษฏ์ และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔. หสังจากตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็เริ่มเผยแผ่พระ ธรรมวินัยตลอดมา และสร้างพุทธบริษัท ๔ ไปพร้อมๆ กัน โดยมีสงฆ์เป็นผู้นำ ๕. ทรงวางแนวทางเพี่อสร้างความมั่นคงและส่งต่อ พระพุทธศาสนาให้แก่พระสัมมาล้มพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป โดยมีหสักการสำคัญ ๕ ประการ คือ ® สุเมธกถา ชุ.พุทธ. ๓๓/๑๓๒/๕๘๕(มจร.) ๗* สรุป www.kalyanamitra.org
๑) ตั้งพระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์ ๒) สร้าง-รักษา-และขยายตถาคตโพธิสัทธาด้วย อปริหานิยธรรม ๓) การเยี่ยมชมสังเวชนียสถาน สามารถก่อให้เกิด ตถาคตโพธิสัทธาแก่^ปเยี่ยมชมได้เป็นอย่างดี และเพิ่ม กำ สังใจในการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ยิ่งขึ้น ๔) ตรวจทานคำสอนตามหสักมหาปเทส ๔ ๕) ประเมินความสำเร็จตามเกณฑ์การประดิษฐาน พระพุทธศาสนา สำ หรับธรรมชาติของพระพุทธเจ้าในข้อที่ ๕ มิได้มี อรรถาธิบายอยู่ในบทที่ ๑ นี้ เนึ่องจากได้มีรายละเอียด ปรากฏอยู่ในมหาปรินิพพานสูตร ซึ่งเป็นภาคผนวกของ หนังสีอเล่มนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม เพิ่อช่วยให้ท่านผู้อ่านเข้าใจพุทธ ประสงค์สำคัญในการตรัสเทศนามหาปรินิพพานสูตร จึงได้มี อรรถาธิบายพระธรรมเทศนาบางเรื่องพอสังเขปไวในบทที่ ๑๐ ด้วย ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก <so www.kalyanamitra.org
บทท ๒ T ความหมายของศรัทธา คำ ว่า ศรัทธา เป็นคำที่ผู้คนในสังคมไทยโดยทั่วไป ทุกยุคทุกสมัย นำ มาใช้พูดและเขียนกันอยู่เป็นประจำ ผู้คน ส่วนมากมีความเช้าใจว่าคำนี้หมายถึงความเชื่อต่างๆ ที่ ปรากฏในสังคม นับตั้งแต่ความเชื่อในความสามารถของบุคคล เช่น บุคคลสำคัญของโลกหรือผู้นำชองประเทศ เป็นต้น ความเชื่อในเรื่องหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีผู้คนส่วน มากพากันนิยมชมชอบ ซึ่งเกิดเป็นครั้งคราว เช่น ฮวงจุ้ยนิยม ไสยเวทนิยม เป็นต้น ความเชื่อคันเกิดจากความพอใจ ประทับใจ มั่นใจ เมื่อ ถูกชี้นำ โน้มน้าวด้วยวาทคัลป็ เช่น คำ โฆษณาชวนเชื่อของ สัทธิต่างๆ เป็นต้น ๘® ความหมายของศรัทธา www.kalyanamitra.org
คำ ว่าศรัทธาในความหมายของความเชื่อดังกล่าวย่อม เป็นศรัทธาที่ปราศจากเหตุผลและปัญญาแต่เป็นไปตามอารมณ์ จึงขาดความมั่นคง คือเกิดขึ้นและดับหายไปได้ง่าย เปลี่ยน- ไปเปลี่ยนมาได้ง่าย ความหมายของศรัทธาตามหลกพระพุทธศาสนา คำ ว่า ศรัทธา ไม่ใช่ภาษาไทยแท้ ในปัจจุบันมีการเขียน คำ นี้แตกต่างกันอยู่ ๒ แบบ คือ ๑) ศรทธา การสะกดแบบนี้ แสดงว่ามีรากดัพท์มาจาก ภาษาสันสกฤต นิยมใช้เขียนกันในหนังสือภาษาไทยทั่วไป ๒) สัทธา การสะกดแบบนี้ แสดงว่ามีรากดัพท์มาจาก ภาษาบาลี นิยมใช้เขียนกันเฉพาะในบทสวดมนต์พระไตรปิฎก และหนังสือธรรมะรุ่นเก่า ไม่ว่าจะเขียนแบบใดก็ตาม ทั้ง ๒ คำ นี้มีความหมาย ตามหสักพระพุทธศาสนาตรงกัน คือหมายถึง ความเชื่อปักใจ เพราะหมดสงสัยโดยสินเช้ง เนื่องจากได้ใช้ปัญญาพิจารณา ไตร่ตรอง ตามหสักเหตุผลกสัยไปกลับมา ซํ้าแล้วซํ้าอีก อย่างรอบคอบโดยปราศจากการใช้อารมณ์จนเกิดเป็นมูลฐาน (ทสุส%เมูสิกา) มั่นคง และเกิดความเช้าใจอย่างลึกขึ้งถึงขั้น ไม่มีใครๆในโลกมาเปลี่ยนแปลงความเชื่อนี้ได้ นี่คือความ หมายที่แท้จริงของคำว่าศรัทธาในพระพุทธศาสนาชึ่งมีคำเต็มว่า \"ตถาคตโพธิสัทธา\" ศรัหธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๘๒ www.kalyanamitra.org
การที่ชาวพุทธบางท่าน โดยเฉพาะผู้ที่เคยบวชใน พระพุทธศาสนาแล้ว เคยเข้าวัดฟังธรรมส่งสมบุญกุศลมา เป็นระยะๆ แล้ว ครั้นเมื่อตนเองประสบเคราะห์กรรม หรือ เมื่อมีการโฆษณาชวนเชื่อเรื่องไสยเวท เรื่องเทวนิยม ใน ลักษณะต่างๆ จนเกิดเป็นกระแสสังคมขึ้น ก็ละทิ้งพุทธธรรม ไปยึดถือความเชื่อตามกระแสสังคมนั้นชาวพุทธที่มีพฤติกรรม เช่นนี้ ไม่จัดว่าเป็นผู้มีศรัทธาตามความหมายในพระพุทธ- ศาสนา คือไม่มีตถาคตโพธิสัทธานั่นเอง บทบาทของศรัทธา ตามธรรมดาก่อนที่บุคคลจะศรัทธาในส่งใด เขาย่อมจะ ใข้ปัญญาพิจารณาหาเหตุผลว่าส่งนั้นถูกต้องจริง ดีจริง เป็น ประโยชน์จริง หรือไม่ อย่างไร จนกระทั่งมั่นใจว่า ตนไต้ พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ต่อจากนั้น ศรัทธาก็จะมีบทบาท สำ คัญนำไป^การกระทำตามมาตรฐานที่ตนยึดมั่นไว้ในใจนั้น ด้วยเหตุนี้ หากบุคคลใดมีศรัทธาในเรื่องอะไร อย่างไร หรือระดับไหนก็ตาม ศรัทธานั้นจะทำหน้าที่เป็นแม่บท หรือ มาตรฐานในการตัดสินถูก-ผิดสำหรับเรื่องต่างๆ ของบุคคล นั้นต่อไป นั่นคือหากใครมีศรัทธาในส่งที่ผิดทำนองคลองธรรม เขาจะประพฤติตนผิดหรือชั่วร้ายเลวทราม ซึ่งจะก่อให้เกิด โทษภัยอย่างมหันต์ทั้งแก่ตนเองและสังคมอย่างไม่มีทางแกไข ในทางกสับกัน หากใครมีศรัทธาในส่งที่ถูกต้องตามทำนอง คลองธรรม เขาก็จะประพฤติตนอยู่ในกรอบแห่งคืลธรรม am บทบาทของศร้ทธา www.kalyanamitra.org
อยู่เสมอ ซึ่งจะก่อให้เกิดคุณความดีและบุญๆศลแก่เขาเอง สุดจะนับจะประมาณทั้งชาตินี้และชาติหน้า ยิ่งกว่านั้น อานิสงส์แห่งความประพฤติดีปฏิบัติชอบของเขาจะแผ่ขยาย ไปยังสังคมส่วนรวมอีกด้วย เพราะเหตุที่ศรัทธาเป็นบาทฐานหรือแม่บทนำไปยู่การ ตัดสินใจในการกระทำทุกๆ เรื่องในลำดับต่อไปนี่เอง ผู้เผยแผ่ ศาสนาทุกศาสนา จึงยึดกลวิธีเผยแผ่ศาสนา ด้วยการทำให้ ผู้คนเกิดศร้ทํธาต่อคำสอนในศาสนาของตนเป็นอันดับแรกซึ่ง บางศาสนาก็ใ^ธีนิ่มนวล ด้วยการใช้หสักจิตวิทยา ชักจูงโน้ม- น้าว ขอร้อง จนกระทั่งหลอกส่อให้เพลิดเพลินหลงเชื่อ ด้วย การแจกลิงละอันพันละน้อยบ้าง ด้วยการให้บริการต่างๆ บ้าง จนทำให้ผู้รับรู้สืกพอใจและเห็นดีเห็นงามกับการปฏิบัติอย่าง มีนํ้าใจไมตริของผู้เผยแผ่ศาสนา ซึ่งในที่สุดก็กลายเป็น ยอมรับในคำสอนและเช้าเป็นสมาชิกของศาสนานั้นด้วยความ เต็มใจ โดยไม่ต้องใช้ปัญญาไตร่ตรองหาเหตุผลอะไร แต่บาง ศาสนาก็ใช้วิธีการโหดร้าย ฃ่มขู่ เข่นฆ่าทำ ให้ผู้คนต้องจำยอม เช้าเป็นศาสนิก เพราะความกลัวเกรงอันตราย ครั้นต่อมา เมื่อถูกครอบงำด้วยขนบธรรมเนียมต่างๆ ทางศาสนา นานๆ ไปก็จะเกิดความเคยชินจนกลายเป็นความศรัทธาไปโดยปริยาย ลำ หร้บพระพุทธศาสนานั้นไม่มีกลวิธีดังเช่นศาสนาอื่นๆ แต่จะเชื้อเชิญผู้คนให้เช้ามาดีกษาหาความรู้ และใช้ปัญญา พิจารณาไตร่ตรองหลักธรรมคำสอนด้วยโยนิโสมนสิการ คือ พิจารณาเพื่อเช้าถึงความจริงโดยสืบค้นจากเหตุไปยู่ผล จาก ผลกลับมายู่เหตุตามลำดับ เมื่อบุคคลตรองด้วยปัญญาจน เกิดความเช้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ย่อมเกิดศรัทธาตามมา ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก «•(£ www.kalyanamitra.org
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนานั้น ยึดหลักการ ปลูกศรัทธาโดยเริ่มจากการแสดงความปรารถนาดีอย่างจริงใจ และความเมตตากรุณา ด้วยการแนะนำบุคคลใหใลัป็ญญา ของตนพิจารณาไตร่ตรองพระธรรมคำสอนต่างๆ ด้วยเหตุผล โดยไม่มีการลักจูง ไม่มีการบังคบขู่เข็ญแต่ประการใด ครั้น เมื่อบุคคลเกิดความเลัาใจอย่างลึก^ง ถูกด้องถ่องแท้แล้ว จึง ค่อยด้ดสินใจเข็อเป็นลำด้บต่อไป ดังมีหลักฐานปรากฏอยู่ใน กาลามสูตร® ริ่งมีสาระสำคัญ โดยสรุป ๑๐ ประการ ดังนี้ ๑. (ท่านทั้งหลาย)อย่าได้เชื่อโดยฟัง(เรียน)ตามกันมา ๒. อย่าได้ถือโดยสำดับสืบๆ กันมา ๓. อย่าไดัถือโดยความตื่นว่า ได้ยินว่าอย่างนี้ๆ ๔. อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา ๕. อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา ๖. อย่าได้ถือโดยนัย คือคาดคะเน ๗. อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ ๘. อย่าได้ถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับลัทธิของตน ๙. อย่าได้ถือโดยเชื่อว่า ผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ๑๐. อย่าได้ถือโดยความนับถือว่า สมณะผู้นี้เป็นครู ของเรา จากสาระสำคัญทั้ง ๑๐ ประการดังกล่าวนี้ มิได้ หมายความว่า พระพุทธองค์ทรงห้ามมิให้เชื่อสิงเหล่านั้นเลย แต่หมายความว่าไม่ควรเชื่อเพียงลักแต่ว่าอ้างสิงเหล่านั้น โดยไม่ได้ใลัสติป็ญญาของตนพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผล ® อัง.ดิก. ๓๔/๕๐(เ/๓๓๗-๓๓๑'(มมก.) ๘๕ บทบาทของศรัทธา www.kalyanamitra.org
ให้รอบคอบ!,สืยก่อน เพราะการเชื่อสักแต่ว่าฟังเขามา หรือสัก แต่ว่าอ้างตำรา โดยไม่พิจารณาไตร่ตรองถึงเหตุผลอย่าง รอบคอบเสียก่อน ย่อมมีโอกาสผิดพลาดได้มาก ศรัทธา ๔ - ตถาคตโพธิสัทธา ในคัมภีร์พระไตรปีฎกซึ่งถือว่าเป็นคัมภีร์สำคัญที่สุดของ พระทุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทนั้น ไม่ปรากฏว่าพระสัมมา สัมพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงเรื่องศร้ทธาโดยตรงไว้ในพระสูตรใด พระสูตรหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ได้ทรงแสดงเรื่องศรัทธาไว้เป็น องค์ธรรมอันดับแรกของหลายพระสูตร และได้ตรัสแสดง ความหมายของคำว่าศรัทธาไว้ในบางพระสูตรเท่านั้น เช่น วิตถตสูตร® และทุติยพลสูตร'° เป็นต้น ประเด็นสำคัญของความหมายของคำว่าศรัทธา ที่ตรัส แสดงไว้ในแต่ละพระสูตรล้วนตรงกันคือ \"เชื่อพระป็ญญๆ เครื่องตรสเของตถาคต\" ซึ่งมีคัพท์เฉพาะเป็นที่คุ้นสูของผู้ คืกษาธรรมะว่า \"ตถาคตโพธิสัทธา\" อย่างไรก็ตาม ลักษณะ ศรัทธาที่ประกอบด้วยเหตุผลและปัญญาตามหลักพระพุทธ ศาสนานั้น พระอรรถกถาจารย์ได้จำแนกศรัทธาออกเป็น ๔ ประ๓ท คือ ๑) กัมมสัทธา ๒) วิปากสัทธา ๓) กัมมัสสกตาสัทธา ๔) ตถาคตโพธิสัทธา ® อัง.ปัญจก. ๓๖/๒/๓ (มมก.) ๒ อัง.สัตตก. ๓๗/๔/๗(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๙0 www.kalyanamitra.org
๑) กัมมสัทธา คือ เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อสาระสำคัญ ของกฎแห่งกรรมที่ว่า \"ทำดีต้องได้รบผลดีจริงทำชั่วต้องได้ริบ ผลชั่วจริง\" ดังธรรมภาษิตว่า \"บุรุษ(บุคคล) ทำ กรรมเหล่าใดไว้ เขาย่อม เห็นกรรมเหล่านั้นในตนผู้ที่ทำกรรมดีย่อมได้รบผลดี ผู้ทำ กรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว บุคคลหว่านพืชเจ!น ใดย่อมได้รับผลเจ!นนั้น®\" ๒) วิปากสัทธา คือ เชื่อว่าวิบากหรึอผลของกรรมมีจริง เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วต้องมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิด จากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว ไม่มีใครหลบเลี่ยงวิบาก แห่งกรรมชั่วของตนได้เลย ด้งที่พระพุทธองค์ตรัสไวิใน ปาปวรรค'° ว่า \"บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ ก็ ไม่พืงพ้นจากกรรมชั่วได้หนีไปท่ามกลางมหาสมุทร s ก็ไม่พืงพ้นจากกรรมชั่วได้ (เพราะ) เขาอยู่แล้วใน ประเทศแห่งแผ่นดินใด พืงพ้นจากกรรมชั่วได้ ' ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่\" อนึ่งสำหรับผู้ทำกรรมดี ย่อมได้รับผลดีเป็นรางวัล คอ มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขในโลกนี้ เมื่อละโลกไปแล้วจะไปเสวย สุขในชีวิตบนสรวงสวรรค์ และถ้าใจของผู้นั้นหมดกิเลสโดย ® จุลลนันทิยชาดก ชุ.ชา. ๕๗/๒๙๔/๓๘๙(มมก.) ^ ชุ.ธ. ๔๒/๑๙/๓(มมก.) ๘๗ ศร้ทธา ๔ - ตถาคตโพธํศพัถ www.kalyanamitra.org
สินเชิงย่อมบรรลุพระนิพพาน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน ปาปวรรค® ว่า \"ผู้มีฑรรมลามก ปอมเข้าถึงนรก ผู้มีกรรมเป็น ทางแห่งสุคติย่อมไปสวรรค์ ผู้ใม่มีอาสวะย่อม ปรินิพพาน\" ท) กัมมสสกตาสัทธา คือ เชื่อว่าแต่ละชีวิตมีกรรมเป็น ของตน ใครจะดีหรือชั่วก็เพราะการกระทำของตนเอง ไม่มี ใครหรือสิงใดมาบันดาลให้เป็นไป ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน จฬกัมมวิภงคสตร'^ ว่า Vน \"สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาท แห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาดัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ เลวและประณีตได้\" ๔) ตถาคตโพธิสัทธา คือ เชื่อมั่นในองค์พระตถาคต ว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยปราศจากความสงสัยใดๆ ทั้งสิน ปักใจเชื่อว่าพระพุทธองค์ทรงพระคุณสมบูรณ์พร้อม ทั้ง ๙ ประการ'\" อันได้แก่ ® ชุ.ธ. ๔๒/๑๙/๓ (มมก.) ม.อุ. ๒๓/๕๘๑/๒๕๑(มมก.) ๓ พระภาวนาวิริยคุณ(เผด็จ ทตฺตซีโว)(พิมพ์ครั้งที่ ๓/๒๕๕๑)พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ (ปทุมธานี : กองวิชาการ อาศรมบัณฑิต) หนา ๑๒๙-๒๐๐ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก dci www.kalyanamitra.org
พระคุณประการที่ ๑ อรหํ ทรงเป็นพระ อรหันต์ คือพระหัยของพระองค์บริสุทธี้ ผุดผ่อง ปราศจากกิเลสทั้งปวง เป็นผู้ควรแนะนำสังสอน ผู้อื่น สมควรได้รับความเคารพบูชาอย่างสูงสุด จากสัตวโลกทั้งมวล พระคุณประการที่ ๒ สมมาสมพทฺโธ ตรัสรู้ ด้วยพระองค์เองโดยถูกต้อง ทรงรู้และเห็น สัจธรรมทั้งปวง มีอริยสัจ ๔ เป็นสำคัญ อันเป็น เหตุให้พระองค์ทรงมีพระปัญญาถึงขั้นสามารถ กำ จัดกิเลสในพระทัยได้โดยเด็ดขาด และทรง เห็นความบริสุทธิผุดผ่องของพระทัยได้โดย พระองค์เอง ด้วยอำนาจความสว่างโพลงที่บังเกิด ขึ้นกลางพระทัย อันเป็นผลเนื่องมาจากการเจริญ สมาธิภาวนาอย่างยิ่งยวดชนิดสละชีวิตเป็นเดิม พันนั่นเอง พระคุณประการที่ ๓ วิชชาจรณสมฺปนฺโน ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ วิชชาในที่นี้ หมายถึงความรู้แจ้งที่กำจัดมืดเสียได้มีดคืออะไร ในที่นี้หมายถึงขันธ์ ๕(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)จรณะ หมายถึง ธรรมควรประพฤติ ๑๔ ประการ® วิชชาและจรณะนี้เป็นผลสิบเนื่องมาจาก พระพุทธคุณ ๒ ประการแรก และจะเป็นเหตุ แห่งพุทธคุณอีก ๖ ประการที่เหลือ ® จรณะ ๑๔ ประการ: ๑) สืล/ปาฎิโมกข์สังวร ๒) อินทรีย์สังวร ๓) โภชเนมัตตัญญตา ๔)ซาคริยานุโยค ๕)สัทธา ๖)สติ ๗)หิริ ๘)โอตตัปปะ ๙)พาหุสัจจะ ๑๐)อุปักกโม ๑๑)ปัญญา ๑๒ - ๑๕)รูปฌาน ๔ ๘๙ ศรัทธา ๔ - ตถาคตโพธิศรัทธา www.kalyanamitra.org
พระพุทธคุณประการที่ ๔สุดโต ทรงดำเนิน ไปดีแล้ว พระเดชพระคุณหลวงปูวัดปากนํ้า พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้อธิบาย ความหมายของดำว่า สุคโต ไว้หลายนัย แต่นัยที่ สำ คัญที่สุดของสุคโต คือ ทรงดำเนินทางจิตไป ได้อย่างถูกต้อง ได้แก่ ดำ เนินไปทาง คืล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นวิถีทางเดียวที่จะไปส่แดนอันเกษม คือ นิพพาน พระคุณประการที่ ๕โลกวิทู ทรงรู้แจ้งสภาวะ อันเป็นคติธรรมดาแห่งโลก ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ประการ คือ ๑) สังขารโลก ได้แก่ โลกที่มีอาหารเป็นปัจจัย ปรุงแต่งปรนเปรอถึง ๔ ประเภท ได้แก่ อาหารที่เรารับประทานกันทุกวัน (กวนี[งกา- ราหาร) อาหารที่ทำให้เกิดเวทนา หรือความ รู้ถึกเป็นสุขเป็นทุกข์ต่างๆ (ผัสสาหาร) อาหารที่ทำให้เกิดความคิด ซึ่งนำไปส่การ ก่อกรรมต่างๆ (มโนสัญเจตนาหาร) และ อาหารที่ก่อให้เกิดความรู้แจ้งทางอารมณ์ หรือที่เรืยกว่า วิญญาณ อันเป็นปัจจัยหล่อ เลี้ยงให้เกิดนามรูป (วิญญาณาหาร) คือ ร่างกายและจิตใจของสัตว์โลกทั้งหลาย ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก <KO www.kalyanamitra.org
๒) สัตวโลกได้แก่ หมู่สัตว์ทั้งหลายในโลก ที่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งสัตวโลกนั้น หมายถึงทรงรู้แจ้งซึ่งธรรมเป็นที่มาแห่งจิต ของสัตว์ทั้งหลาย เช่น อัธยาด้ยและความ คิดเห็นต่างๆ เป็นด้นทรงรู้แจ้งถึงกิเลส จริต ความเป็นผู้มีใจบุญหรือใจบาป มีอินทรืย์ แก่หรืออ่อน เพียงพอที่จะอบรมสังสอนให้ บรรลุธรรมได้หรือไม่อย่างไร ตลอดจนมี ศรัทธาปักใจเชื่อ ในพระธรรมคำสั่งสอน เพียงใด เป็นต้น ฅ) โอกาสโลกได้แก่ สภาพต่างๆ ทางภูมิศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ที่ประกอบกันขึ้นเป็นที่อยู่ อาด้ยของสัตวโลกทั้งมวล ทั้งโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ ตลอดทั่วทุกจักรวาล โดยสรุป ก็คือ โลกวิทู หมายถึง พระพุทธองค์ทรงรู้ และเห็นแจ้งสภาพความเป็นไปของสัตว- โลกทั้งมวล ตั้งแต่เหตุแห่งการมาเกิด การ ดำ รงชีวิต ทัศนคติและนิสัยต่างๆ จุดหมาย ปลายทางที่จะต้องไปส่หสังจากละโลกนั้!ป แล้ว การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ตลอดจนสภาพทางภูมิศาสตร์ของภพภูมิ ต่างๆ ศรัทธา ๕ - ตถาคตโพธํศรัทธา www.kalyanamitra.org
พระคุณประการที่ ๖ อนุตตโร ปุริสทมฺมสารถิ ทรงมีพระปรีชาญาณในการที่จะฝึกและสอนคน ให้เป็นคนดีโดยไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนว่าโดยที่สุด ก็คือ ทรงฝึกให้สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ พระคุณประการที่ ๗ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ ทรงเป็นบรมครูแห่งมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย พระพุทธคุณข้อนี้ เกิดจากการที่พระองค์ทรงเป็น โลกวิทูนั่นเอง จึงทรงสามารถฝึกได้ทั้งมนุษย์ และเทวดาทั้ง ๖ ชั้นฟ้า รวมทั้งรูปพรหมอีกด้วย พระคุณประการที่ ๘พุทฺโธ ทรงมีพระทัยเบิก บาน เพราะทรงบรรลุพระสัพพัญฌุตญาณ ซึ่ง ทำ ให้สามารถโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ ตามพระองค์ไปด้วย พระคุณประการที่ ๙ ภควา ทรงหัก สังสารจักรเสียได้ คำ ว่าจักรในบริบทนี้ หมายถึง อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรม ซึ่งเป็นเสมือน ตัวจักรที่พ้ดผันส่งต่อไปยังกันและกัน ทำ ให้เกิด กำ ลังผลักด้นหมุนเวียนวนอยู่ในวัฏลังสารอย่าง ไม่มีวันจบสิน ไม่มีวันที่ลัตวโลกทั้งมวลจะ หลุดพ้น ออกไปจากภพทั้ง ๓ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ แต่สำหร้บพระองค์นั้นทรงหักลังสาร- จักรได้สำเร็จ ทรงหลุดพ้นจากภพ ๓ เสด็จส่พระ นิพพานได้สำ เร็จเรียบร้อยแล้ว ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก (3(๒ www.kalyanamitra.org
อนึง ภควา ยังหมายถึงทรงเแจ้งธาตุธรรม ทั้งปวงด้วยสัมมาสัมโพธิญาณ จึงทำให้ทรง สามารถจำแนกหสักธรรมออกเป็นหมวดหมู่ใหญ่ หมวดย่อย ไปจนถึงหมวดที่ละเอียดๆ ได้อย่าง พิสดาร เช่นทรงจำแนกขันธ์ ๕ออกเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ทรงจำแนกอายตนะ (เครื่องรู้และสิงที่รู้) ออกเป็น ๒ ประเภท คึอ อายตนะภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖ รวม เป็นอายตนะ ๑๒ ทรงแปงเจตสิก(คุณสมบัติต่างๆ ของจิต เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรัทธา เมตตา สติ ปัญญา ฯลฯ) ออกเป็น ๕๒ อย่าง ได้แก่ อกุศลเจตสิก ๑๔โสภณเจตสิก ๒๕ และอัญญสมานาเจตสิก ๑๓ (เจตสิกที่ประกอบ เขัาได้กับจิตที่เป็นกุศลและอกุศล) เป็นต้น จากพระพุทธคุณอันประเสํริฐทั้ง ๙ประการดังกล่าวแล้ว ย่อมเห็นได้ขัดว่า ไม่มีปุกุชนคนใด ไม่มีเทวดาองค์ใดใน สรวงสวรรค์ ไม่มีพรหมองค์ใดในพรหมโลก ไม่มีอรหันตสาวก รูปใด มีคุณสมบัติเทียบเทียมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระคุณ อันประเสรัฐทั้งหมดนี้เป็นคุณสมบัติเฉพาะพระองค์ ที่เกิด จากการสังสมบุญบารมีมาเป็นเวลานานนับภพนับชาติไม่ถ้วน อันเป็นปัจจัยให้เกิดสัพพัญญตญาณ ทำ ให้ทรงเห็นแจ้ง รู้แจ้งแทงตลอดในสัจธรรมทั้งปวง ศรัทธา ๔ - ตถาคตโพธํศรัทธา www.kalyanamitra.org
ดังนั้น บุคคลที่มีดวามเ^อมั่นในพระพุทธคุณ ๙ ย่อม ได้ที่อว่าเ,ป็นผู้มี \"ตถาคตโพธิสัทธา\" คือเที่อในพระคุณและ คำ สังสอนของพระองค์ว่าเป็นจริง ด้งที่พระองค์ตรัสเและ ทรงสังสอน จัดเป็นความเร่อในหสักพระพุทธศาสนา ส่วนความเร่อเกี่ยวกับเรื่องกรรมทั้ง ฅ ประการแรก ด้งกล่าวแล้ว จัดว่าเป็นความเร่อในหล้กเหตุผล ทั้งนี้เพราะ เรื่องกรรมเป็นสภาวะที่เป็นจริงตามธรรมชาติ หรือเป็น เหตุผลที่เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งบุคคลโดยทั่วไปสามารถ พิจารณาไตร่ตรองให้เกิดความเข้าใจได้[ดยไม่ยากนัก ดังนั้นเมื่อบุคคลใดไข้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุ ผลจนเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องศรัทธาทั้ง ๓ ข้อแรก แล้ว เขาย่อมเกิดความเข้าใจในเรื่องกรรมหรือกฎแห่งกรรม ได้โดยง่าย ซึ่งจะเป็นปัญญาให้เกิดความเข้าใจพุทธคุณ ๙ ต่อไปได้อย่างอัศจรรย์อีกด้วย ฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงตถาคตโพธิ- สัทธาแต่เพียงอย่างเดียว ย่อมมีความหมายครอบคลุม ไปถึงความศรัทธาในเรื่องกฎแห่งกรรมด้วย ยิ่งกว่านั้น พระธรรมคำสอนในพระสูตรต่างๆ ที่พระสัมมาล้มพุทธเจ้า ตรัสคำว่า \"ศรัทธา\"ย่อมหมายครอบคลุมถึงตถาคตโพธิสัทธา โดยปริยาย ความหมายของคำว่า \"ตถาคต\" คำ ว่า \"ตถาคต\"ในพจนานุกรมโดยทั่วไป ก็จะให้ความ หมายแต่เพียงว่า \"พระนามของพระพุทธเจ้า\" ซึ่งทำให้เรามี ความรู้เพิ่มขึ้นเฉพาะแต่ด้านภาษาเท่านั้น มิได้เพิ่มพูนปัญญา ทางธรรมขึ้นอีกเลย ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก <*๔ www.kalyanamitra.org
อย่างไรก็ตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสอธิบาย ความหมายของคำว่า ตถาคตไว้ด้วยพระองค์เอง เชื่อว่าจะทำให้ พุทธศาสนิกและผู้สนใจค์กษาพระพุทธศาสนาเกิดความ เข้าใจกระจ่างแจ้งขึ้นอีกมากมายมหาศาล ไม่เฉพาะเพียง ความหมายของคำนี้เท่านั้น ทว่ายังทำให้เกิดความเข้าใจ กระจ่างแจ้งทั้งวิธีปฏิบัติเพี่อความหลุดพ้นและคุณวิเศษ เหนือสัตวโลกทั้งปวงของพระองค์อีกด้วย ด้งปรากฏใน โลกสูตร® ซึ่งมีสาระสำคัญโดยย่อดังนี้ \"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตได้ตรัสรู[ลก คือ เรื่องทุกข์ทั้งปวง (ทุกขอริยสัจ) แล้ว ตถาคตจึงห่าง ไกลจากความทุกข์ ตถาคตได้ตรัสรู้ โลกสทุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง (ทุกขสมุทัยอริยสัจ) แล้ว ตถาคตจึงละเหตุแห่งทุกข์ได้ ตถาคตได้ตรัสรู้ ความดับทุกข์ (ทุกขนิโรธอริยสัจ) แล้ว ตถาคตจึง ดับทุกข์ของตนได้สำเร็จ ตถาคตได้ตรัสรู้วิธีปฏิบัติ เพี่อความดับทุกข์ (มรรคมีองค์ ๘)แล้ว ตถาคตจึง บำ เพ็ญตามข้อปฏิบัติจนดับทุกข์ของตนได้สนิท ภิกษุทั้งหลาย เรื่องอายตนะภายนอก ๖(รูปรส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมถ!) ที่ชาวโลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก เทวดา และมนุษย์ ต่างพากัน ยึดถือ แสวงหา คะนืงถืงนั้น ตถาคตได้ตรัสรู้ โดย ทั่วแล้ว เพราะเหตุนั้น จึงได้ชื่อว่า ตถาคต ® อัง.จตุกก. ๓๕/๒๓/๖๕(มมก.) (Xi ความหมายของคำว่า \"ตถาคต' www.kalyanamitra.org
การที่ตถาคตตรัสแสดงว่า ได้ตรัสรู1นราตรีใด จะปรินิพพานในราตรีใด ถ้อยคำทั้งปวง ย่อมเป็น ไปอย่างนั้น ไม่มีผิดพลาดคลาดเคลื่อน เพราะเหตุ นั้นจึงได้ชื่อว่า ตถาคต ตถาคต กล่าวอย่างใดก็ทำอย่างนั้น (ยถาวาที ตถาการี) ทำ อย่างใดก็กล่าวอย่างนั้น (ยถาการี ตถาวาที) เพราะเหตุนั้นจึงได้ชื่อว่า ตถาคต ตถาคตเป็นผู้ยิ่งใหญ่ (โดยอริยสีลาทิคุณ) ไม่มีใครครอบงำได้ เป็นผู้เห็นถ่องแท้ เป็นผู้แผ่ อำ นาจไปในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก และหยู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ เพราะเหตุนั้นจึงได้ชื่อว่า ตถาคต\" ในตอนสุดท้ายของโลกสูตร มีบทสรุปด้งต่อไปนี้ \"ท่านผู้ใดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งซึ่งโลก(ทุกข์) ทั้ง ปวง รู้อารมณ์ (อายตนะภายนอก) ตามที่เป็นจริง อยู่อย่างไรในโลกทั้งปวง เป็นผู้ไม่ติดอยู่ในโลก เป็นผู้ไม่มีตัณหา ทีฏฐิ ริษยา ในโลกทั้งปวง ท่านผู้ นั้นแล เป็นปราชญ์ใหญ่ยิ่งกว่าสรรพสัตว์ปลดเปลื้อง เครื่องผูกมัดเสียลื้น ได้บรมสันติ คือ พระนิพพาน อันไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ นั่นคือ พระขีณาสพพุทธเจ้า ผู้ไม่มีทุกข์ ผู้ตัดความสงสัยแล้ว ผู้ถึงแล้วซึ่งความ สินกรรมทั้งปวง ผ้หลุดพ้นแล้วเพราะสินอุปธิ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก «๖ www.kalyanamitra.org
เพราะอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จึงเป็น พระพุทธะ (ผู้ตรัสรู้อริยสัจ ๔) เป็นสีหประเสริฐ (ในหยู่มนุษย์) ทรงประกาศพรหมจักร แก่ชาวโลก กับทั้งเทวดา เพราะรู้พระคุณเช่นนี้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ที่ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ(เครื่องช่วยทำลาย ขจัด ปัดเป่าทุกข์ภัย และกิเลสต่างๆในจิตใจให้หมดสิน) จึงพากันมานมัสการพระองค์ ผู้เป็นมหาบุรุษผู้ ปราศจากความครั่นคร้าม พระองค์ทรงฟิกพระองค์แล้วประเสริฐกว่าผู้ฟิก ทั้งหลาย พระองค์เป็นฤๅษีผู้สงบแล้ว ประเสริฐกว่า ผู้สงบทั้งหลาย พระองค์ทรงพ้นแล้ว เลิศกว่าผู้พ้น ทั้งหลาย พระองค์ทรงข้าม (โอฆะ คือการเวียนว่าย ตายเกิด) แล้ว ประเสริฐกว่าผู้ข้ามทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย จึง นมัสการพระองค์ ผู้เป็นมหาบุรุษ ผู้ปราศจากความ ครั่นคร้าม บุคคลเปรียบปานพระองค์ ไม่มีในโลก มนุษย์กับทั้งโลกเทวดา\" จากเนี้อหาสาระในโลกสูตรที่กล่าวมานี้ท่านผู้อ่านคงจะ ทวีความเข้าใจชาบซึ้งในคุณวิเศษของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพิ่มขึ้นจากพระพุทธคุณ ๙ เป็นอันมาก และคงจะมีผลให้ ตถาคตโพธิสัทธา ประทับตรีงแน่นลงในจิตใจของท่านยิ่งขึ้น อีกหลายเท่าทีเดียว Ofrt ความหมายของคำว่า \"ตถาคต' www.kalyanamitra.org
อนึ่ง ในกรณีที่ท่านผู้อ่านได้พบคำว่า ศรัทธา ในคัมภีร์ พระพุทธศาสนา หรือได้ยินได้ฟังคำว่า ศรัทธา ในวงผู้สนทนา ธรรม ท่านก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า หมายถึง ตถาคตโพธิสัทธาโดย ไม่ลังเลสงสัย เหตุให้เกิดตถาคตโพธิสัทธา สมัยหนึ่ง® พระสัมมาลัมพุทธเจ้าประทับอยู่ณนิคมของ พวกศากยะ ในแคว้นสักกะ ครั้งนั้นพระเจ้าปเสนทีโกศล เสด็จไปนิคมชื่อ นครกะ แคว้นสักกะ ด้วยพระราชกรณียกิจ บางอย่าง แต่เมื่อทรงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ นิคมของพวกเจ้าศากยะ ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลนัก จึงเสด็จ ไปเฝืา พระเจ้าปเสนทีโกศลเสด็จไปเฝ็าพระพุทธองค์ ถึงที่ ประทับ ทรงซบพระเสียรลงจุมพิตพระยุคลบาทของ พระพุทธองค์ด้วยพระโอษฐ์ ทรงนวดพระยุคลบาทด้วยฝ่า พระหัตถ์ทั้งสอง พระพุทธองค์ตรัสถามว่า ทรงเห็นประโยชน์อะไร จึงทรงกระท่าความนอบน้อมในสรืระ และแสดงอาการ ฉันท์มิตรถึงเพียงนั้น พระเจ้าปเสนทีโกศลทูลตอบว่า ทรงเห็นคล้อยตามคุณ ธรรมของพระพุทธองค์ที่ปรากฏประจักษ์แก่พระองค์ว่า พระ ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ พระธรรมอัน พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ พระสงฆ์ ® ธัมมเจติยสูตร ม.ม. ๑๓/๓๖๔-๓๗๔/๒๒๙-๔๕๙(มจร.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๙๘ www.kalyanamitra.org
สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว และทรงอฒิาย ประโยชน์แต่ละประการโดยมีสาระสำคัญดังนี้ ๑. สมณพราหมณ์พวกอื่นประพฤติพรหมจรรย์ เป็นเวลานานไม่ตํ่ากว่า ๑๐ ปี บางพวกก็ นานถึง ๒๐ ปี ๓๐ ปี หรือ ๔๐ ปี แล้วกลับ ไปปาเรอด้วยกาม แต่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มอบกายถวายรวิตประพฤติพรหมจรรย์ อนึ่ง ไม่มีพรหมจรรย์อื่นบริสุทธบริบูรณ์เหมีอน ธรรมวินัยนี้ ๒. คนเหล่าอื่นไม่ว่าพระราชา กษัตริย์พราหมณ์ คหบดี มารดา บิดากับบุตร ผู้ที่เป็นญาติพี่ น้องกัน เป็นเพี่อนกัน ต่างทะเลาะวิวาทกัน แต่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไม่วิวาทกัน มีความ สมัครสมานสามัคคีกัน ๓. สมณพราหมณ์พวกอื่นมีผิวพรรณไม่ผ่องใส แต่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีผิวพรรณผ่องใส เพราะรูคุณวิเศษ ๔. พระเจ้าปเสนทิโกศลเองเป็นกษัตริย์มีพระ ราชอาชญา ขณะทรงวินิจฉัยคดีก็ยังมีคน พูดสอดแทรก ส่วนพระผู้มีพระภาค เมื่อ ทรงแสดงธรรมไม่มีแมัเสิยงไอเคียงจาม โดยไม่ต้องใช้อาชญาและคัสตรา ๕.-๘. กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี และสมณะ ผู้เป็นบัณฑิตที่มาเช้าเผิาพระผู้มีพระภาค ofec เหตุให้เกํดตถาคตโพธํสัทธา www.kalyanamitra.org
ต่างเตรียมตัวมาโต้วาทะ แต่ในที่สุดกลับ กลายเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคทุกราย รายใดที่ทูลขอบวช ไม่นานนักก็สามารถทำ ให้แจ้งชึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันยอดเยี่ยม ๙. ช่างไม้ ๒ คน ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรง ชุบเลี้ยงมาตลอด มีความเคารพพระผู้มี พระภาคเจ้ามากกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล โดยนอนฟ้นสืรษะไปทางทิศที่พระผู้มี พระภาคประทับอยู่ แล้วเหยียดเท้าไปทาง พระเจ้าปเสนทิโกศล ๑๐. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ทรงเป็น ชาวโกศล ทรงมีพระชนมายุ ๘๐ พรรษา เท่า กับพระเจ้าปเสนทิโกศล เพราะเหตุนี้ พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงได้ท่าความเคารพ นบนอบเป็นอย่างยี่งในพระผู้มีพระภาค และทรงแสดงอาการฉันท์มิตร ถึงเพียงนั้น ครั้นแล้วพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทูลลากลับ จากสาระสำคัญ ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลตอบ พระลัมมาลัมพุทธเจ้าทั้งหมดนี้ ย่อมแสดงว่า พระเจ้าปเสนทิ- โกศลทรงประจักษ์แจ้งในพระปัญญา และพระบารมีของ พระพุทธองค์ ที่สามารถตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ ทรง ประจักษ์แจ้งว่า พระธรรมที่ตรัสรู้นั้น ประเสรีฐสุด หาคำลัง สอนของศาสดาใดๆ ในโลกมาเทียบมิได้ พร้อมทั้งทรง ประจักษ์แจ้งว่า พระธรรมอันประเสรีฐนั้น ทรงคุณค่า ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๑00 www.kalyanamitra.org
อำ นวยให้พระสงฆ์สาวกผู้ตั้งใจปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จริงจัง สมํ่าเสมอ ไม่บกพร่อง ย่อมสามารถพัฒนาตนให้เป็น ผู้ประเสริฐยิ่งกว่าสาวกของศาสดาอื่นๆ จนกระทั่งสามารถ บรรลุความหลุดพันตามพระพุทธองค์ในที่สุด จากพระราชดำรัสของพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่ตรัส แสดงความเลื่อมใสศรัทธาในพระผู้มีพระภาคนี้ คงจะช่วยให้ ท่านผู้อ่านเกิดความเข้าใจพระพุทธคุณยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้นว่า ความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธ- ศาสนาของตนนั้น เป็นตถาคตโพธิสัทธา อย่างแท้จริง พระคุณตามความเป็นจริง ๘ ประการ สมัยหนึ่ง® พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห์ ครั้งนั้น ป้ญจสิกขะ ผู้เป็นบุตรของคนธรรพ์ ได้เข้าไปเฝืาพระผู้มีพระภาค และได้กราบพูลเล่าเรื่องที่ตน พบเห็น ในคืนวันอุโบสถขึ้น ๑๕ คํ่า อันเป็นวันมหาปวารณา โดยมีเหล่าเทพชั้นดาวดีงสัทั้งสินได้ไปประชุมกันณธรรมสภา บรรดาเทพบริษัทต่างนั่งกันอยู่เต็มสภา ฝ่ายมหาราชทั้ง ๔องค์ ต่างนั่งประจำทิศทั้ง ๔ พวกเทพที่เคยประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มี พระภาคเจ้า ต่างมียศ และรัศมีรุ่งเรืองกว่าเทพที่ไม่ได้ ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะเหตุนี้พวกเทพชั้นดาวดึงส์จึงเกิด ปีติโสมนัสว่า \"ท่านทั้งหลาย หมู่เทพเจริญเต็มที่ (สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นเต็มบริบูรณ์) หมู่อสูรเลื่อมถอยลง (อบายจะว่าง)\" ® มหาโควินทสูตร ที.มหา. ๑๔/๒๐๙-๒๑๖/๑-๙(มมก.) ๑๐® เทตุให้เกิดตถาคตโพธสัทธา www.kalyanamitra.org
ท้าวสักกะจอมเทพทรงทราบความเลื่อมใสของทวยเทพ ชั้นดาวดึงส์แล้ว จึงตรัสพรรณนาพระคุณตามความเป็นจริง ซองพระผู้มีพระภาค ชึ่งมีสาระสำคัญโดยย่อดังนี้ ๑. ทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชน เป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อ ประโยชน์และความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ ๒. ทรงแสดงธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วย ตนเองไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน พวกผู้รู้พึงทราบ เฉพาะตน เราไม่เคยเห็นศาสดาองค์ใด แสดงธรรมที่พร้อมด้วยองค์ประกอบเช่นนี้ ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน ๓. ทรงบัญญัติไว้เป็นอย่างดีว่า ธรรมใดเป็น กุศล-อๆศล, มีโทษ-ไม่มีโทษ, พึงเสพ-ไม่ พึงเสพ, เลว-ประณีต, ดำ -ขาว เราไม่เคย เห็นศาสดาองค์ใดบัญญัติธรรม พร้อมด้วย องค์ประกอบเช่นนี้เลย ไม่ว่าในอดีตหรือ ปัจจุบัน ๔. ทรงบัญญัติข้อปฏิบัติสำหรับบรรลุพระ นิพพานให้แก่พระสาวก ทั้งพระนิพพาน และข้อปฏิบัติก็เหมาะสมกัน เราไม่เคยเห็น ศาสดาองค์ใดทรงบัญญัติข้อปฏิบัติเพื่อ บรรลุพระนิพพานเช่นนี้เลย ไม่ว่าในอดีต หรือปัจจบัน ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๑๐๒ www.kalyanamitra.org
๕. ทรงได้พระสหายทั้งที่เป็นพระเสขะ (พระอริยบุคคลที่ยังไม่บรรลุพระอรหัต) และพระขีณาสพ (พระอรหันต์) ผู้อยู่จบ พรหมจรรย์แล้ว แต่ก็ทรงปลีกพระองค์จาก พระสหายเหล่านั้น ทรงยินดีในการอยู่ตาม ลำ พังพระองค์เดียว เราไม่เคยเห็นศาสดา องค์ใดผู้ทรงมุ่งมั่นปฏิบัติธรรม ที่ยินดีกับ การอยู่ตามลำพังเช่นนี้เลย ไม่ว่าในอดีต หรือป้จจุบัน ๖. ทรงเพียบพร้อมด้วยชื่อเลียง และลาภ มากมาย แต่ก็เสวยพระกระยาหารอย่าง ปราศจากความมัวเมา เราไม่เคยเห็นศาสดา องค์ใดมีจริยาวัตรเช่นนี้เลย ไม่ว่าในอดีต หรือปัจจุบัน ๗. ทรงมีปกติตรัสอย่างไร ก็ทรงทำอย่างนั้น ทรงทำอย่างไร ก็ตรัสอย่างนั้น เราไม่เคย เห็นศาสดาองค์ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ ธรรมเช่นนี้เลยทั้งในอดีตหรือปัจจุบัน ๘. ทรงข้ามความสงสัยทั้งปวง ปราศจากความ เคลือบแคลง ทรงมีความดำริอันสำเร็จ สมบูรณ์ ไม่ติดอยู่เพียงขั้นใดขั้นหนึ่ง เรา ไม่เคยเห็นศาสดาองค์ใดประกอบด้วยองค์ คุณธรรมเช่นนี้เลยไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน ๑๐๓ พระคุณตามความเป็นจรํง ๘ ประการ www.kalyanamitra.org
เมื่อท้าวสักกะจอมเทพทรงประกาศพระคุณตาม ความเป็นจริง ๘ประการของพระผู้มีพระภาคจบลงแล้ว ทวยเทพชั้นดาวดึงล้ ต่างมีใจยินดีเบิกบาน เกิดปีติ และโสมนัส สุดจะประมาณได้ จากเรื่องพระคุณตามความเป็นจริง ๘ ประการนี้ ท่าน ผู้อ่านย่อมทราบชัดแล้วว่า ท้าวสักกะจอมเทพ และเหล่าทวย เทพชั้นดาวดึงส์ ผู้มีตาทิพย์ ต่างประจักษ์ชัดแจ้งในคุณวิเศษ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งไม่มีศาสดาองค์ใดเทียบเทียมได้ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน ด้งนั้นบุคคลใดก็ตาม ที่มีความเลื่อม ใสศร้ท่ธาในพระพุทธศาสนา ขอจงสืกษาและปฏิบัติธรรมต่อ ไปอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพี่อเพิ่มความมั่นคงให้แก่ ตถาคตโพธิสัทธาของท่าน และเพี่อให้บรรลุความหลุดพัน โดยเร็วเถิด สรุป ศรัทธา โดยทั่วไปหมายถึง ความเซึ่อ ตามธรรมดาการ ที่บุคคลจะเกิดความเซึ่อในลื่งใดลื่งหนึ่งนั้น ล้วนมีเหตุปัจจัย หลากหลายรูปแบบนำมาก่อน ซึ่งเหตุปัจจัยบางอย่างก็เป็น เพียงการโฆษณาชวนเซึ่อของกลุ่มบุคคลผู้อาด้ยหสักจิตวิทยา ที่สอดคล้องกับอัธยาด้ยของผู้คนส่วนมาก บางอย่างก็ใชัวิธี บังคับลู่เข็ญให้ต้องเซึ่อตาม บางอย่างก็ใช้วิธีแนะผู้คนให้รู้จัก ใช้ปัญญา ไตร่ตรองด้วยเหตุผลแล้วจึงเชื่อ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อในเรื่องต่างๆ ของคนเรานั้น ล้วนเปลื่ยนแปลงได้ ทั้งสิน ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก «>๐๙ www.kalyanamitra.org
สำ หร้บความเชื่อในพระพุทธศาสนาซึ่งใช้คำว่า\"ศรัทธา\" ตามที่ปรากฏอยูในพระคัมภีร์นั้น แท้ที่จริงมีคำเต็มว่า\"ตถาคต- โพธิสัทธา\" ซึ่งหมายถึงความเชื่อป้กใจ เพราะหมดสงสัย โดยสินเช้ง ในพระป้ญญาตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณของ พระพุทธเจ้า เนื่องจากไดใช้ป้ญญาพิจารณาไตร่ตรองด้วย โยนิโสมนสิการ จนเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ่ง ถึงชั้นไม่มี ความเชื่ออื่นใดในโลกมาลบล้างเปลี่ยนแปลงความเชื่อ!!กใจ นื่โด้เลย อนึ่ง แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นเพียงมนุษย์ที่ ปรากฏกายอยู่ในโลกเฉกเช่นมนุษย์ทั้งหลาย แต่ก็ทรงคุณ วิเศษเหนือมนุษย์ เทวดา และพรหมทั้งปวง ทรงเป็นศาสดา ที่มีคัษยานุคัษย์ ทั้งในมนุษยโลก และเทวโลก ที่สำ คัญยิ่ง คือทรงสังสอนเหล่าคัษย์ให้บรรลุความหลุดพ้นได้เช่นเดียว กับพระองค์ ด้วยวิธีปฏิบัติด้งเช่นที่พระองค์ทรงปฏิบัติ จน ประสบผลสำเร็จแล้ว ด้งนั้นจึงนับเป็นโชคอย่างยิ่งใหญ่ สำ หรับผู้ที่สนใจ พระพุทธศาสนา ถ้าท่านตั้งใจคืกษาและปฏิบัติธรรม ด้วย โยนิโสมนสิการ จนเกิดตถาคตโพธิสัทธาแล้ว ย่อมจะห่าง จากความทุกข์ออกไปเรื่อยๆ ประสบความสุขทั้งกายและใจ เพิ่มขึ้นตามสำดับ สักวันหนึ่งก็จะเข้าใจชาบชึ้งด้วยใจตนเอง กับพุทธพจน์ที่ว่า นตฺถิ สนุติปริ สุขํ หมายถึง ความสุข (อื่น) ยิ่งกว่าความสงบไม่มี® ® ชุ.ธ.(1๒/๒(11/๓๗๑ (มมก.) ®o(f สรุป www.kalyanamitra.org
www.kalyanamitra.org
บทที่ ต ไ\"-' คำ สอนเรื่องศรัทธาในพระพุทธศาสนา เรื่อง \"ศร้ฑธา\"หรือ \"ความเชื่อ\"นับว่าเป็นคำสอนสำคัญ อันดับแรกของทุกศาสนา รวมทั้งพระพุทธศาสนาด้วย ทังนี เพราะก่อนที่บุคคลใดจะนับถือศาสนาใดด้วยความเต็มใจนั้น เขาจะต้องมีศรัทธาปักใจเชื่อในศาสนานันอย่างแท้จริง ในพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน ผู้ที่ประกาศตนว่า เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา คือเป็นพุทธมามกะ พุทธ ศาสนิกชน อุบาสกหรืออุบาสิกาก็ตาม คุณสมบัติข้อแรกที่เขา จะต้องมี คือ ศรัทธาในพระรัตนตรัย แล้วขอถึงพระรัตนตรัย หรือที่เรืยกว่า ไตรสรณๆคมน์ได้แก่ การยึดเอาพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่เคารพสูงสุด ^ __ เนชวต ©๐๗ คำ สamรึ่องศรัทธาในพระพุทธศาสนา www.kalyanamitra.org
ดังได้กล่าวแล้วในบทที่ ๑ว่า ความหมายของศรัทธาตาม หล้กพระพุทธศาสนานั้นจะต้องเป็นความเชื่ออันเกิดจาก การ ใฟ้ป็ญญาไตร่ตรองตามหลักเหตุผล จนเกิดความเข้าใจอย่างลึก ซึ้งถึงขันไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงความเชื่อนั้!ด้ ดังนั้น ก่อนที่ บุคคลใดจะมีศรัทธาในพระรัตนตรัย ก็จำ เป็นต้องใช้ปัญญา ของตนพิจารณาไตร่ตรองตามเหตุผล จนเกิดความเข้าใจ อย่างถ่องแท้เลึยก่อน มิใช่สักแต่ว่าศรัทธาตามบรรพบุรุษ ลกษณะของศรัทธาที่ไม่ถูกต้อง ใน กาลามสูตร® มีข้อความปรากฏว่า ในคราวที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จจาริกไปในโกศลชนบท บรรลุถึง เกสปุตตนิคม ซึ่งเป็นที่อยู่ของหมู่ซนกาลามโคตร ชาวเกส- มู่ตตนิคมได้ทราบถึงกิตติดัพท์อันงามของพระพุทธองค์จึง พร้อมใจกันไปเฝืา และกราบทูลพระพุทธองค์ว่า มีสมณ- พราหมณ์มากมายหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเยี่ยมนิคมของตน สมณพราหมณ์แต่ละท่านล้วนอวดอ้างคุณวิเศษของตน แล้ว ติเตียนสมณพราหมณ์อื่นๆ เป็นประจำ เป็นเหตุให้ชาวนิคม เกิดความสงสัย ไม่รู้ว่าใครพูดจริง ใครพูดเท็จ จึงกราบทูลขอ คำ แtเะนำจากพระพุทธองค์ ในเบื้องต้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสสอนให้ชาวเกสปุตตนิคมละศรัทธาที่ไม่ถูกต้อง ๑๐ ประการ คือ ® อัง.ดิก. ๓๔/๕๐(£/๓๓๗-๓๓®'(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตภาพโลก 00๘ www.kalyanamitra.org
๑. อย่าส์อโดยได้ฟัง (เรียน) ตามกันมา ๒. อย่าได้ถือโดยลำดับสืบๆ กันมา ๓. อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินอย่างนี้ๆ (เล่าลือ) ๔. อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา ๕. อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา (คิดเอาเอง) ๖. อย่าได้ถือเอาโดยนัยคือคาดคะเน (อนุมานตาม หลักเหตุผล) ๗. อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ (คิดเอาตาม เหตุการณ์) ๘. อย่าได้ถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับลัทธิของตน ๙. อย่าได้ถือโดยเชื่อว่า ผู้พูดสมควรจะเชื่อได้(น่าเชื่อ) ๑๐. อย่าได้ถือโดยความนับถือว่าสมณะผู้นี้เป็นครู ของเรา เมื่อตรัสเทศนาถึงลักษณะของศร้ทธาที่ไม่ถูกต้องทั้ง ๑๐ ประการนี้แล้ว พระพุทธองค์ก็ตรัสสอนให้ซาวนิคมรู้จักใช้ ปัญญาพิจารณา เห็นสืงที่ควรละเว้นนั้นด้วยตนเอง โดยยก เรื่องโลภะโทสะโมหะที่เกิดขึ้นในใจของบุคคลขึ้นมาตรัสปุจฉา (ถาม) ว่ากิเลสเหล่านี้จะทำให้บุคคลมีพฤติกรรมอย่างไร มี ประโยชน์หรีอไม่ แล้วให้ชาวนิคมวิลัชนา (ตอบ) โดยเปรียบ เทียบกับพฤติกรรมของบุคคลที่จิตปราศจากโลภะโทสะโมหะ ว่าเป็นอย่างไร มีประโยชน์หรีอไม่ ลักษณะของศรัทธาที่ไม่ถูกต้อง www.kalyanamitra.org
เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว ชาวนิคมต่างมีความ เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ศรัทธาตามความหมายในพระพุทธ- ศาสนาต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและ!]ญญา โดยปราศ จากการใต้อารมณ์ ธรรม ๕ ประการ มืผลเป็น ๒ อย่าง สมัยหนึ่ง® พระสัมมาล้มพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปในแคว้น โกศลพร้อมกับพระภิกษุหมู่ใหญ่เสด็จถึงหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อ โอปาสาทะ พราหมณ์ผู้ปกครองหมู่บ้านนี้ชื่อ จ้งกี ได้พา พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านไปเฝ็าพระพุทธองค์ซึ่งประทับอยู่ ณปาไม้สาละ ชื่อเทพวันในหมู่บ้านนั้น ในคณะของจ้งกีพราหมณ์ มีเด็กหพุ่อายุ ๑๖ ปี คน หนึ่งชื่อกาปทิกะ เป็นผู้จบไตรเพท อักษรศาสตร์ประวัติศาสตร์ ฯลฯ อีกทั้งมีความรู้และชำนาญในเรื่อง \"ลักษณะมหาบุรุษ\" เป็นที่ยกย่องในหมู่พราหมณ์ว่าเป็นพหูสูต เป็นบัณฑิต ได้ กราบหูลถามพระพุทธองค์ว่าทรงมีความเห็นอย่างไร เกี่ยว กับบทมนต์ทั้งหลาย ที่เชื่อสิบต่อกันมาตามคัมภีร์หลาย ชั่วคนแล้วว่า บทมนต์อันเป็นคำสอนของพราหมณ์ทั้งหมด เท่านั้นเป็นความจริง แต่คำสอนของอาจารย์อื่นไม่จริง พระสัมมาล้มพุทธเจ้าได้ตรัสสนทนากับ กาปทิกะ ใน สักษณะ ปุจฉา-วิสัชนา ทำ นองเดียวกับที่ตรัสสอนชาวนิคม เกสปุตตะ แล้วทรงสรุปการสนทนาในเบื้องด้นว่า ในบรรดา พราหมณ์ทั้งหลาย อาจารย์คนใดคนหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์ของ ® จงกสูฟิร ม.ม. ๑๓/๔๒๒-๔๓<f/(f๓0-๕๔๗ (มจร.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๑๑๐ www.kalyanamitra.org
อาจารย์ตลอด ๗ ชั่วอาจารย์ของพราหมณ์ทั้งหลาย ฤๅษี ผู้เป็นบูรพาจารย์ของพวกพราหมณ์และเป็นผู้แต่งมนต์ที พราหมณ์ทั้งหลายในปัจจุบันขับตาม ไม่มีผู้ใดแม้เพียงสักคน หนึ่งกล่าวว่า เขารู้สิงนั้น เห็นสิงนั้น สิงนั้นเท่านั้นที่เป็นจริง อย่างอื่นไม่จริง ครั้นแล้วพระพุทธองค์ ได้ตรัสถามชายหนุ่มว่า เขามี ความเข้าใจอย่างไรเกี่ยวกับอุปมาที่ว่าคนตาบอดเข้าแถวเกาะ หลังกน คนอยู่หัวแถว คนอยู่กลางแถว และคนอยู่ปลายแถว ต่างก็มองไม่เห็นกัน แม้ฉันใด ภาษิตของพราหมณ์ทังหลายก็ ฉันนั้นเหมีอนกัน อาจจะเปรียบได้กับแถวคนตาบอด คือแม้ คนอยู่หัวแถว คนอยู่กลางแถวและคนอยู่ปลายแถวต่างก็ มองไม่เห็นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ความเชื่อของพราหมณ์ทังหลาย ย่อมหามูลมิได้ ใช่หรีอไม่ กาปทิกะได้กราบทูลว่า สำ หรับเรื่องนี้พราหมณ์ทั้ง หลายไม่ได้เล่าเรียนกันมาด้วยความเชื่ออย่างเดียว แต่เล่า เรียนด้วยการฟังตามกันมา พระพุทธองค์จึงตรัสทบทวนว่า ในครังแรกชายหนุ่ม ได้อ้างถึงความเชื่อ แต่มาในบัดนี้เขาอ้างถึงการฟังตามกันมา ครั้นแล้วทรงสรุปว่า \"ธรรม ๔ประการนั้มีผลเป็น๒ อย่างในปัจจุบัน\"ธรรม ๕ ประการนี้ ประกอบด้วย ๑. ความเชื่อ (ศรัทธา) ๒. ความชอบใจ (รุจิ) ๓. การฟังตามกันมา (อนุสสวะ) ธรรม ๕ ประการ มีผลฟ็น ๒ อย่าง www.kalyanamitra.org
ธรรม ๕ ประการนี้ แต่ละประการมีผลเป็น ๒ อย่างใน ปัจจุบัน คือ สิงที่เร่อก้นด้วยดี แต่สิงนั้นกลบเป็นของว่างเปล่า เป็นเท็จไปก็มี สิงที่ไม่เร่อก้นด้วยดี แต่สิงนั้นกลับเป็นจริงแท้ ไม่เป็นอื่นก็มี ครันแล้วตรัสสอนชายหใ^ต่อไปว่า คนผู้ฉลาดเมื่อจะ ตามรักษาสัจจะ (ความจริง)ไม่ควรจะตกลงใจในข้อนั้นอย่าง เด็ดขาดว่า \"นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จริง\" ธรรม ๕ ประการนี้ จัดว่าเป็นศรัทธาหรือความเชื่อที่ฟัง ที่เล่าต่อๆกันมาไม่ไต่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา เพราะศรัทธา ในพระพุทธศาสนาเป็นความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม อันเป็น ส่วนแห่งคำสอนของพระตถาคต กำ เนิดของศรัทธา ศรัทธา เป็นเรื่องของความรู้สิกนึกคิดในจิตของคนเรา การที่บุคคลใดจะเกิดศรัทธาในเรื่องใด จำ เป็นต้องมีเหตุ ปัจจัยมากระตุ้นให้เป็นแรงจูงใจ เกิดความสนใจ อันนำไปล่ ความเลื่อมใสศรัทธาในที่สุด ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็เช่นกัน ย่อมต้องมีเหตุปัจจัยมากระตุ้นบุคคลให้เกิดแรง จูงใจ สนใจ เลื่อมใส อันนำไปล่ความศรัทธาเป็นลำดับถัดไป สร้ทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๑0๒ www.kalyanamitra.org
การก่อกำเนิดของศรัทธาในพระพุทธศาสนานั้นมีมาหลายทาง ด้วยกัน อาจสรุปเป็นหัวข้อใหญ่ๆ ได้ ๔ หัวข้อใหญ่ดังนั้ ๑. การถือประมาณต่างๆ บุคคลที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนานั้น บางพวกบาง กลุ่ม ก็ยึดถือเอาคุณสมบัติของพระภิกษุผู้เทศนาสังสอน เป็นประมาณ เนื่องจากพระภิกษุแต่ละรูปย่อมมีคุณสมบัติ แตกต่างกันออกไป ดังนั้น กำ เนิดแห่งศรัทธาของศาสนิก แต่ละคนจึงแตกต่างกันออกไปด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแบ่งบุคคลประ๓ทนี้ออกเป็น ๔ กลุ่ม® คือ ๑) ถือรูปเป็นประมาณ (รูปปปมาโณ) บุคคล บางพวกเมื่อได้มองเห็นรูปร่างสง่างาม มีบุคลิกสักษณะดีของ พระภิกษุผู้เผยแผ่พระศาสนาก็เกิดความเลื่อมใสชอบใจ อาจ เป็นปัจจ้ยก่อกำเนิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา หรืออาจเลิกสนใจไปเลยก็ได้ เพราะยังเป็นศรัทธาที่มิได้ ประกอบด้วยเหตุผลและปัญญา ๒) ถือประมาณในเถืยง(โฆสปฺปมาโณ)บุคคล บางพวกเมื่อได้ยินกระแสเสิยงอันไพเราะของภิกษุ หรือ ได้ยินคำกล่าวสรรเสริญเยินยอเกียรติคุณของพระภิกษุรูปใด รูปหนื่ง จากผู้คนต่างๆ ก็รู้สืกเลื่อมใสชอบใจในคำสอนของ พระภิกษุรูปนั้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยก่อกำเนิดศรัทธาใน พระพุทธศาสนาเป็นลำดับต่อไป หรืออาจเลิกสนใจไปเลยก็ได้ เพราะยังเป็นศรัทธาที่ขาดเหตุผลและปัญญา ® รูปสูตร อัง.จตุกก. ๓๕/๖๕/๒๑๐(มมก.) ๑®๓ กำ เนิดของศรัทธา www.kalyanamitra.org
ฅ) ถือประมาณในความครํ่าหรือเศร้าหมอง (ลูขปุปมาโณ) บุคคลบางพวกมีความชอบใจเลื่อมใส พระภิกษุที่ครองจีวรสีเก่า ดูเศร้าหมองไม่สดใสหรือพระภิกษุ ที่ประพฤติตนครํ่าเครืยดเป็นทุกรกิริยา ประพฤติตน เคร่งครัดเข้มงวดในการฝึกหัดขัดเกลาตนเอง ความชอบใจ เลื่อมใสพระภิกษุดังกล่าวนี้ อาจเป็นปัจจัยให้เกิดศรัทธาใน พระพุทธศาสนาในที่สุด หรืออาจเลื่อมศรัทธาไปก็ได้ เพราะ ตนมิได้รับประโยชน์อย่างใดจากการประพฤติปฏิบัติของ พระภิกษุเช่นนั้น ๔) ถือประมาณในธรรม(ธมฺมปฺปมาโณ)บุคคล บางพวกพิจารณาพระธรรมเทศนาที่พระภิกษุแสดงแล้ว มองเห็นสารธรรมหรือการประพฤติดีปฏิบัติชอบ อันได้แก่ สืล สมาธิปัญญาของภิกษุรูปนั้นแล้ว เกิดความร้สืกชอบใจเลื่อมใส น้อมใจที่จะเชื่อถือ คือ เกิดศรัทธาทั้งตัวพระภิกษุผู้แสดง ธรรมและพระพุทธศาสนา ความศรัทธาของบุคคล ๓ ประ๓ทแรก มีกำ เนิดจาก อารมณ์ ความรู้สีก อาจถูกครอบงำชักพาไปด้วยอคติ ถูกพัด วนเวียนหรือติดอยู่แค่รูปแบบภายนอก ไม่รู้จักบุคคลที่ตน มองได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งไม่เข้าถึงสาระ จึงมีโอกาสผิด พลาดได้มาก ส่วนผู้ถือประมาณในธรรม ย่อมสามารถรู้จัก บุคคลที่ตนมองได้อย่างถูกต้องถ่องแท้ รู้จักคิดพิจารณา ไตร่ตรองธรรมที่ตนได้ฟังด้วยหลักเหตุผล อย่างมีโยนิโส- มนสิการ ไม่ถูกอคติพัดพาไป จึงมีโอกาสเข้าถึงธรรมที่ปราศ จากเครื่องปิดบังหรือลื่งที่ครอบคลุม ศรัทธาของบุคคลกอุ่มนื้ จึงอยู่บนพื้นฐานซองเหตุผลและปัญญา ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก www.kalyanamitra.org
๒. การสดับเสียงจากภายนอก การสดับเสียงจากภายนอก หมายถึง การได้ยินได้ฟัง ข้อมูลหรือธรรมจากผู้อื่น ซึ่งอาจจะเป็นบิดามารดาหรือครู อาจารย์ของเราเอง จากนักวิชาการ ผู้สอนศาสนา เพื่อนฝูง ตำ รับตำราต่างๆ ตลอดจนสือทุกประ๓ท เมื่อบุคคลได้ยินได้ ฟัง ได้อ่าน คือ ได้รับข้อมูลจากแหล่งภายนอกดังกล่าว ถ้า ข้อมูลนั้นเหมาะกับอุปนิสัยใจคอหรือมุ่งชักจูงโน้มน้าวให้ คล้อยตามก็สามารถทำให้ผู้รับข้อมูลพลอยเห็นดีเห็นงามและ เชื่อตามข้อมูลนั้นได้ กล่าวได้ว่า ส่วนประกอบภายนอก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล หรือบุคคลผู้ให้ข้อมูล ย่อมมีอิทธิพลชักจูงในด้านความคิดเห็น ทัศนคติ ค่านิยม ตลอดจนความรู้ความเข้าใจต่างๆ ซึ่งท่าน รวมเรืยกว่า \"ทิฏเ\" ถ้าเป็นทิฏฐิที่ไม่ถูกต้อง มีโทษ เรืยกว่า \"มิจฉาทิฏฐิ\" ถ้าเป็นฝ่ายที่ดีงาม ถูกต้อง เป็นประโยชน์เรืยก ว่า \"สัมมาทิฎเ\" มิตรใดมีอิทธิพลชักจูงให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ ก็เป็นมิตรชัว เรืยกว่าเป็น \"ปาปมิตร\" มิตรใดชักนำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ก็เป็นมิตรดี มิตรแท้ เรืยกว่า \"กัลยาณมิตร\" ดังนั้น หสักการเบื้องต้นในแง่การคืกษา หรือความ ถ้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ก็คือ กัลยาณมิตรเป็นป้จจัยให้เกิด ศรัทธา หรือการคบบัณฑิต การเสวนากับสัตบุรุษเป็นป็จจัย แห่งศรัทธา ๑๑๕ กำ เนิดของศรัทธา www.kalyanamitra.org
เกี่ยวกับการสดับเสียงจากภายนอกเป็นบ่อเกิดแห่ง ศรัทธานั้น มีเรื่องราวบ่รากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา มากมาย แต่ที่เห็นผลชัดเจนมาก ก็คือ เรื่องในกูฏทันตสูตร® ชึ่งมีสาระสำคัญว่า พราหมณ์กูฏทันตะ หัวหน้าหยู่บ้านขานุมัตตะ ใในเคธ ชนบท วันหนึ่งขณะที่พราหมณ์จัดเตรียมพิธีบูชายัญตาม บ่ระเพณีพราหมณ์ ชึ่งมีการเตรียมสัตว์ต่างๆ สำ หรับฆ่า บูชายัญหลายพันชีวิต แต่ครั้นได้สดับกิตติคัพท์อันงามของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากเหล่าพราหมณ์และคหบดีชาวบ้าน ที่กำ ลังพากันไบ่เข้าเฝีาพระพุทธองค์ ซึ่งเสด็จจาริกไบ่ยังมคธ- ชนบทและบ่ระทับอยู่ในอัมพสัฎฐิกาอุทยานใกล้หมู่บ้านขาน- มตตะ พราหมณ์กูฏทันตะก็เกิดความสนใจมากถึงกับเข้าร่วม ขบวนไบ่กับชาวบ้าน โดยไม่พิงคำคัดค้านจากเหล่าพราหมณ์ หลายร้อยคนที่เตรียมตัวเข้าร่วมพิธีบูชายัญ ขณะที่เข้าเฝืาพระพุทธองค์ พราหมณ์กูฏทันตะได้'ทูล ถามเกี่ยวกับการทำพิธีบูชายัญที่ถูกต้อง ในที่สุดพราหมณ์ กูฏทันตะก็เบ่ลี่ยนใจมาทำพิธีบูชายัญตามแบบที่พระพุทธองค์ ทรงแ'นะนำ ซึ่งเป็นการบูชาที่ใช้ทรัพย์น้อยกว่า แต่มีอานิสงส์ มากกว่า ทั้งไม่ต้องมีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเลย ยิ่งกว่านั้นขณะที่ พิงพระธรรมเทศนา พราหมณ์กูฏทันตะ ยังได้บรรลุโสดา- ปัตติผลอีกด้วย จิตใจของเขาจึงเปียมล้นด้วยศรัทธาใน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงขอถึงพระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์เป็นสรณะ และแสดงตนเป็นอุบาสกตลอดชีวิต ® ท.สี. ๑๒/๑๙®'-๒๓๘/๔๐-๗๐ (มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก ๑«>๖ www.kalyanamitra.org
ต. การคิดค้นด้วยตนเอง การคิดค้นด้วยตนเองมีสาเหตุมาจากภายใน อาจ เป็นการคิดหาเหตุผลตามหลักตรรกะ การคาดคะเนตามหลัก เหตุผล (อนุมาน) การคิดเปรียบเทียบสิงที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกัน(อุปมาน)การคิดตรึกตรองตามอาการที่ปรากฏ การคิดอุปมาเปรียบเทียบ เมื่อความรู้อันเกิดจากการคิดค้น ตริตรองด้วยตนเอง สามารถตอบสนองความอยากรู้อยาก เห็นในเรื่องง่ายๆ ตามธรรมชาติได้ ก็ทีาให้มนุษย์เชื่อมั่นใน ความคิดของตนเอง เชื่อมั่นในสิงที่ตนเองคิดและกระทำอยู่ ความเชื่อที่เกิดจากการคิดค้นด้วยตนเองด้งกล่าวนี้ จะเป็น ความเชื่อที่มีพลังมาก มีความมั่นคงและเปลี่ยนแปลงได้ยาก มาก ด้งปรากฏในเรื่อง ความเชื่อของเจ้าลัทธิต่างๆ เจ้าลัทธิที่ มีชื่อเลึยงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีในสมัยพุทธกาลก็คือ ครูทั้ง ๖ ชึ่งมีความเชื่อต่างกันดังนี้® กฎเกณฑ์ของคืลธรรมโดยสินเชิง พระพุทธศาสนาเรียกลัทธิ นี้ว่า \"อกิริยทิฎฐิ\" ๒) ครูฟ้กขลิโคสาล คำ สอนของครูผู้นี้ สรุปได้ ว่า กรรมที่บุคคลทำไว้แล้ว ไม่มีผลถึงอนาคต นั่นคือ \"ไม่มี เหตุหรือไม่มีปัจจัย\" นั่นเอง พระพุทธศาสนาเรียกลัทธินี้ว่า \"อ!,หตุกทิฏฐิ\" ® สามญญผลสูตร ท.สี. ๑๑/๙๑-®!'®!'/๒๘๘-๓๐๙(มกก.) «9๗ กำ ผิดของศร้ทธา www.kalyanamitra.org
ฅ) ครูอสิตเกสกัมพล คำ สอนของครูผู้นี้สรุปได้ เป็น ๒ ประเด็น ประเด็นแรก คือ บุญ-บาปไม่มี การทำบุญ ทำ ทานไม่มีผล คือ ปฏิเสธทั้งเหตุและผล พระหุเทธศาสนา เรียกลัทธินี้ว่า \"ๆXตถิกทิฏ!\"ประเด็นที่สอง คือ มนุษย์เราเมื่อ ตายแล้วก็ดับสูญ เพราะธาตุ ๔อันเป็นองค์ประกอบของมนุษย์ ต่างแตกกระจายกลับไปเป็นธาตุ ๙ ด้งเดิม พระพุทธศาสนา เรียกลัทธินี้ว่า \"อุจเฉททิฏ!\" ๔) ครูปกุทธกัจจายนะ คำ สอนของครูผู้นี้ สรุปได้ว่า ทุกอย่างในโลกนี้ประกอบด้วยสิงสำคัญ ๒ประการ คือ ธาตุต่างๆ มี ดิน นํ้า ลม ไฟ เป็นต้น กับ จิต วิญญาณ หรีอชีวะ หรีออัตตา ทั้งธาตุและจิต ล้วนเป็นของเที่ยงแท้ ไม่มีดับหรือถูกทำลายไปได้ พระพุทธศาสนาเรียกลัทธินี้ว่า \"ล้สสตทิฏ!\" ๔) ครูนิครนถนาฏบุตร มีอีกชื่อหนึ่งว่า ศาสดา มหาวีระ เป็นศาสดาองค์ที่ ๒๔ ของศาสนาเชน ลัทธินี้ถือว่า \"การทรมานกาย เป็นทางไปส่ความพ้นทุกข์\" เรียกว่า \"อัตตกิลมถานุโยค\" นักบวชในกลุ่มนี้มีความเป็นอยู่อย่าง เข้มงวดกวดขันต่อร่างกาย เช่น อดข้าว อดนํ้า ตากแดด ไม่ นุ่งผ้า หรีอที่เรียกกันว่าอยู่ในสภาพของทิฆัมพร คือ ผู้นุ่งฟ้า หรีอนุ่งลมห่มฟ้า สานุดิษย์ในลัทธินี้เรียกกันว่า \"พวกนิครนถ์\" ๖) ครูล้ญชัยเวล้ฏฐบุตร หรีอล้ญชัยปริพาชก คำ สอนในลัทธินี้ล้วนไม่แน่นอน ชัดส่ายลื่นไหล เพราะเหตุ หลายอย่าง เช่น ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก www.kalyanamitra.org
• เพราะเกรงจะพูดปด จึงต้องปฏิเสธว่า อย่าง นี้ก็ไม่ใช่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ • เพราะเกรงจะเป็นการยึดถือ จึงต้องปฏิเสธ แบบประการแรก • เพราะเกรงจะถูกชักถาม จึงต้องปฏิเสธแบบ ประการแรก • เพราะโง่เขลา จึงต้องปฏิเสธตลอดกาล คือ ไม่ยอมรับอะไรและไม่ยืนยันอะไรทั้งสิน พระพุทธศาสนาเรียกคำสอนของครูผู้นี้ว่า \"อมราวิกเข?เกาทิฏเ\" ครูทั้ง ๖ หรีอเจ้าลัทธิทั้ง ๖ นี้ ต่างมีนิลัยช่างคิดค้น ตริตรองด้วยตนเอง จนมีความรู้แตกฉานในสิงที่คิด และ เกิดเป็นความเชื่อมั่นอย่างเหนียวแน่นไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ ยอมรับ ไม่ยอมเชื่อความคิดหรีอลัทธิของผู้อึ่น ยิ่งกว่านั้นยังพยายามเผยแพร่ความคิดของตนไป^ สาธารณะอย่างต่อเนื่อง ทำ ให้มีสานุคิษย์ประ๓ทที่มีศรัทธา โดยไร้เหตุผลและปัญญาเป็นจำนวนมาก สานุสิษย์ประเภทนี้ แหละที่มีบทบาทสำค้ญในการเผยแพร่มิจฉาทิฎเให้แก'ซาว โลกต่อไป ๔. การทดลองปฏิบํแตด้วยตนเอง การทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง หมายถืง การน่าความรู้ และประสบการณ์จากการก่อกำเนิดของศรัทธาทั้ง ๓ ประการดังกล่าวแล้ว มาทดลองปฏิบัติจริง เป็นการพิสูจน์ ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาว่าเกิดผลดีหรีอไม่อย่างไร ffifflor กำ 1นดชองศร้ทธา www.kalyanamitra.org
ถ้าพบว่าความรู้และประสบการณ์ดังกล่าวนี้ ไม่เป็นจริง หรือ ไม่เป็นประโยชน์ แถมยังไหโทษอีกด้วย ถ้าแน่ใจว่าการ พิสูจน์นั้นถูกต้องเหมาะสมแล้ว ผู้มีปัญญาก็จะปฏิเสธความรู้ และประสบการณ์นั้นโดยสินเชิง ในทางกลับกัน ถ้าประจักษ์ ว่าผลของการพิสูจน์เรื่องเหล่านี้เป็นจริง มีประโยชน์ มีคุณ โดยส่วนเดียว ไม่มีโทษเลยแม้น้อยนิด เขาก็จะมีความเชื่อ มั่นในเรื่องเหล่านั้น แล้วพยายามทดลองปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดจะพัฒนาเป็นความศรัทธาที่ตั้งอยู่บนเหตุผลและ ปัญญา เกี่ยวกับเรื่องของปัญญานี้ พระพุทธศาสนาไต้แปง ปัญญาออกเป็น ๓ ประ๓ท® คือ ๑) จินดามยป็ญญา คือ ปัญญาซึ่งเกิดจากการคิด พิจารณาหาเหตุผล ปัญญาประ๓ทนี้จัดเป็นปัญญาระดับตร เพราะยังไม่มีการพิสูจน์ด้วยการลงมีอปฏิบัติจริง ศรัทธาที่ถือ กำ เนิดจากจินดามยปัญญาย่อมง่อนแง่นคลอนแคลนและ เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๒) สุดมยปัญญา คือ ปัญญาซึ่งเกิดจากการสดับตรับ พิงและจากการคืกษาเล่าเรืยน ปัญญาประเภทนี้ก็จัดเป็น ปัญญาระดับตํ่า เพราะยังไม่มีการพิสูจน์ด้วยการลงมีอ ปฏิบัติจริง ศรัทธาที่ถือกำเนิดจากสุดมยปัญญาย่อมง่อนแง่น คลอนแคลนและเปลี่ยนแปลงได้ง่ายเย่นเดียวกันกับ จินดามยปัญญา ® ท.ปา. ๑๖/๒๒๘/๑๗๓-®๗๔(มมก.) สร้ทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก «๒๐ www.kalyanamitra.org
ฅ) ภาวนามยป้ญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการเจริญ สมาธิภาวนา การเจริญสมาธิภาวนา หมายดึง การทำใจหยุด ใจนิ่ง ณ ที่ดั้งซองใจตามธรรมชาติ ที่งอยู่ ณ ศูนย์กลางกาย โดยปราศจากความติดใดๆ ทั้งสิน ความสว่างอันเป็นธรรมชาติ แห่งความบริสุทธฃองใจก็จะเกิดขึ้น ใจนิ่งสนิทได้ต่อเนื่อง ยาวนานเพียงใด ความสว่างโพลงขนาดพระอาทิตย์เที่ยงวัน หลายๆ ดวงมารวมกัน แต่ทว่าเย็นกายเย็นใจ ไม่ร้อนแรงด้ง แสงอาทิตย์ ก็จะทวีความสว่างได้ต่อเนื่องยาวนานเพียงนั้น ความสว่างนี้เองที่ส่องให้ \"เห็นสัจธรรม\" ต่างๆ ซึ่งจะทำให้ ผู้เจริญภาวนาเห็นแจ้ง รู้แจ้งไปตามความจริง อันเป็นเหตุให้ เกิดปัญญารู้แจ้งแทงตลอด โดยไม่ต้องคิดค้นตริตรอง หาเหตุผลใดๆ ทั้งสิน ปัญญาที่ถือกำเนิดจากการภาวนานี้ เรียกว่า \"ภาวนามยปัญญา\" เป็นปัญญาที่เกิดจากการลงมือ ปฏิบัติจริง พระพุทธศาสนาถือว่าปัญญาประ๓ทนี้เป็นปัญญาระดับ สูงสุด อย่างไรก็ตาม ภาวนามยปัญญาของผู้เจริญภาวนา แต่ละคน ย่อมมืระดับแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ของแต่ละคนโดยเฉพาะ กล่าวโดยสรุปได้ว่า บรรดาศรัทธาที่มีกำเนิดต่างๆ กัน ดังกล่าวมาแล้วทั้ง ๔ หัวข้อใหญ่ ศรัทธาที่จะก่อให้เกิด ปัญญาอย่างสูงสุดและเป็นศรัทธาตามความหมายใน พระพุทธศาสนาดัวย คือ ศรัทธาที่มีกำเนิดจากการทดลอง ปฏิบัติด้วยตนเอง โดยเฉพาะการปฏิบัติภาวนามยปัญญา ๑๒® กำ เนิดของศร้ทธา www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 513
Pages: