Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือ ศรัทธา รุ่งอรุณเเห่งสันติภาพโลก โดย พระภาวนาวิริยคุณ

หนังสือ ศรัทธา รุ่งอรุณเเห่งสันติภาพโลก โดย พระภาวนาวิริยคุณ

Description: หนังสือ ศรัทธา รุ่งอรุณเเห่งสันติภาพโลก โดย พระภาวนาวิริยคุณ

Search

Read the Text Version

ความโลภบีบคั้นใจ จึงแย่งfงตุ๊กตามาจากเพื่อน เมื่อแย่งfง ตุ๊กตามาได้แล้วเด็กก็หยุดร้องไห้ พลางหัวเราะร่าทั้งนํ้าตา อาการเช่นนี้เป็นเพียงความคลายทุกข์ ทำ ไห้รู้สืกดีไจ พอไจ ซึ่งจัดเป็นความเพลินชั่วคราวเท่านั้น ยังไม่ไช่ความสุขอย่าง แท้จริง การที่คนเรากระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีไจ หรือ เต้นแร้งเต้นกา เต้นรำ หรือร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี คนเราก็ หลงผิดทึกท้กเอาว่า นั่นคืออาการที่แสดงความสุข แท้ที่จริง เป็นเพียงความเพลินชั่วคราว หรือความสนุกสบายชั่วขณะ เท่านั้น เนื่องจากความทุกข์ไต้ผ่อนคลายลง กิเลสระดับกลาง กิเลสระดับปานกลางมีคำต้พท์ทางพระพุทธศาสนาเรืยก ว่า นิวรณ์ ขณะที่บางคนสามารถควบคุมกิเลสหยาบไม่ไห้ออกฤทธิ กำ เริบไต้แล้ว แต่ก็ยังถูกกิเลสระดับกลางคอยบีบคั้นต่อไปอีก ทว่าคนส่วนมากไม่รู้ ทั้งนี้เพราะคนเราคุ้นเคยอยู่กับมันมาตั้ง แต่เยาว์วัย และเพราะเหตุที่ไม่ถึงกับบีบคั้นจิตไจคนเราไห้ แสดงอาการน่าเกลียดน่ากลัวออกมา คนเราจึงยอมริบกันว่า นื่เป็นธรรมดาธรรมชาติของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม พระล้มมาล้มพุทธเจ้า ทรงรู้จักกำพีด ของกิเลสระดับกลางนี้เป็นอย่างดีว่า เป็นตัวขัดขวางความดี อย่างฉกาจฉกรรจ์ทีเดียว และทรงแปงออกเป็น ๕ ประ๓ท โดยเรืยงลำตับจากหยาบมาก ไปหาหยาบน้อย ต้งนี้ . -■toWm กิเลสระดับกลาง www.kalyanamitra.org

๑. กามฉันทะ หมายถึง ความพอใจรักใคร่ และอยาก ได้ในกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เช่น พอใจรักใคร่ อยากได้อยากดูวัตถุหรือบุคคลที่รูปงาม อยาก ฟังเสียงที่ไพเราะ อยากดมกลิ่นที่หอมชื่นใจ อยากลิ้มรสที่ อร่อย อยากสัมผัสลิ่งที่'พุ่มนวลถูกใจ ตามธรรมดา ความอยากเหล่านี้ มีอยู่ในใจ ไม่ได้ ทำ ความเสียหายใ'พ้แก่ใคร จึงจัดเป็นกิเลสอย่างกลาง 'กั้งๆ ที่ มิได้ก่อใ'ค้เกิดความเสียหาย แต่เมื่อกิเลสตัวนี้ก่าเริบขึ้นแล้ว ย่อมทำใ'ล้คนเราคิดอยากได้!'แนได้นี่ แมไม่ได้คิดโลภอยาก ได้ของใคร หรือคดโกงใคร แตกต้องขวนขวายไปหามา จึง ทำ ใ'ฬ้เหนี่อยล้า ใจหมดความกระปรี้กระเปร่า ทำ ใ'ฬ้เสียเวลา ในการประกอบคุณงามความดีซึ่งมีประโยช'น์และคุณค่าสูง กว่าการแสวงหากามคุณมาก'แก ด้งนั้น พระสัมมาสัม'พุทธเจ้า จึงจัดไว้เป็นกิเลสระด้บกลาง ๒. พยาบาท ความพยาบาทในบริบทนี้ หมายถึง ความรู้สีกขัดอกขัดใจ เพราะไม่สมปรารถนาในเรื่องกามฉันทะ แม้เป็นความรู้สีกอึดอัดขัดข้องอยู่ในใจ อยู่ในระดับความคิด มิได้แสดงออกมาเป็นความร้ายกาจ ทำ ร้าย หรือทำลายใคร แตกทำใ'^จช่นมัวเศร้าหมองไปด้วย ความขุ่นมัวเศร้าหมองนี้ ย่อมเป็นความ'ทุกข์ทางใจประการหนี่งซึ่งแตกต่างจากกามฉันทะ ต. ถีน)มิทธะ หมายถึง ความหด'ดู่และเซึ่องซึม เพราะ เหตุที่เกิดความร้สีกอึดอัดขัดใจ เนี่องจากไม่สมปรารถนา ก็ ทำ ใ'พ้คนเราเกิดความรู้ถึก'ท้อแ'ท้ ซึ่งคนอื่นอาจมองไม่ออก ครั้นแล้วความท้อแ'ท้ถดถอยนี้ ก็ทำ ใ'ท้เกิดความง่วงเหงา หาวนอนต่อไป ศรัทธารุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๗(ร www.kalyanamitra.org

สำ หร้บในกรณีที่ได้กามฉันทะตามปรารถนาแล้วแต่กว่า จะได้มาก็เหนื่อยล้า อ่อนแรง ก่อให้เกิดความหดหู่เชื่องซึม ขึ้นในจิตใจ แล้วกระทุ้งออกมาถึงกาย เป็นความง่วงเหงา หาวนอนต่อไป เพราะเหตุที่กิเลสระด้บกลางตัวนี้ มิได้ทำให้ผู้อึ่น เดือดร้อน อีกทั้งมาพร้อมกับความท้อ ความล้า และความ อ่อนเปลี้ยทางร่างกาย คนเราจึงมองไม่ออกว่า นี้ก็เป็นกิเลส อย่างหนื่งด้วย อันที่จริงถ้าร่างกายต้องการพักผ่อน เนื่องจากเรา ทำ งานหนักเกินไป ล้าเราได้หลับล้กงีบหนื่งก็พอเพียงแล้ว แต่เมื่อใดที่กิเลสตัวนี้เข้ามาแทรกซ้อน ก็จะทำให้ต้องหลับต่อ ไปอีกหลายชั่วโมง แม้เมื่อตื่นขึ้นมาก็ยังรู้ถึกง่วงเหงาหาวนอน และมิความรู้ถึกถดถอยท้อแท้แถมเข้ามาโดยเราไม่รู้ตัว อนื่ง บุคคลที่นั่งสมาธิแล้วหลับ แสดงว่ายังไม่เคยพบ ความสุขที่แท้จริงต่อเมื่อใดได้พบความสุฃที่แท้จริงภายในแล้ว จะไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอน อาการหล้บลัปหงก จะไม่เกิด ขึ้นเลย สำ หรับกิเลสระด้บกลางตัวที่ ๓ นี้ กล่าวได้ว่า เพราะ ใจถูกกิเลสบีบจนล้า แล้วล่งผลให้กายล้าตามไปด้วย จึง แสดงตัวออกมาเป็นความง่วงเหงาหาวนอน ๔. ธุทธจจกุกกุจจะ หมายถึง ความทุ้งซ่านและความ เดือดร้อนใจ กิเลสระดับกลางตัวที่ ๙ นี้ เมื่อกำเริบขึ้นแล้ว ย่อมทำให้ใจทุ้งซ่าน ความคิดสะเปะสะปะไม่มีระบบ คิดเรื่อง ต่างๆ ได้เป็นร้อยๆ เรื่อง โดยไม่จบลักเรื่องเดียว คิดเรื่อง หนื่งยังไม่จบ ก็คิดใหม่อีกเรื่องหนื่ง เปลี่ยนเรื่องคิดไปเรื่อยๆ ๒๗๕ กํเลสระดับกลาง www.kalyanamitra.org

ใจของคนที่ฟ้งจ[าน มีลักษณะไม่แตกต่างจากวานร ที่ กระโดดจากกิ่งไม้กิ่งหนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่ง แล้วก็กระโดดไป ยังกิ่งที่ ๓ ที่ ๔ที่ ๕ เรื่อยๆ ไปโดยไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย ผู้ที่คิดมาก นอนไม่หลับย่อมมีประสบการณ์เช่นนี้กันทุกคน ใจที่คิดฟ้งช่านสะเปะสะปะ นอกจากจะทำให้บุคคล อ่อนล้า ซึมเซาแล้ว ยังเปิดโอกาสให้กามฉันทะ และพยาบาท เข้าแทรกแซงได้อีกด้วย ๔. วิจิกิจฉา หมายถึง ความลังเลสงลัย ความเคลึอบ- แคลงสงลัยในฤศลธรรมทั้งหลาย เป็นกิเลสชั้นกลางที่มี สภาพนึ่มนวล เจือจางกว่ากิเลสอีก ๔ ตัว ที่ผ่านมา จืงทำให้ เรื่มเห็นสิงต่างๆ ค่อนข้างชัดเจนขึ้น แต่ก็ยังไม่ชัดเจนเพียงพอ จึงเกิดความไม่แนใจ ลังเลสงลัย จึงตัดสินใจไม่ได้เด็ดขาด แม้ถึงคราวเจริญสมาธิภาวนา ก็ยังสงลัยว่า ควรจะ เลือกฝึกวิธีใดดี จะฝึกแบบทุทโธ หริอลัมมาอะระห้งดี ถ้า ตัดสินใจเลือกฝึกตามแบบสัมมาอะระห้ง ก็ยังสงลัยอีกว่า จะ กำ หนดนิมิตเป็นองค์พระดี หริอเป็นดวงแถ้วดี อาการสงลัย เช่นนี้เกิดขึ้นเพราะถูกกิเลสชัดขวางอยู่ ใจจึงไม่สามารถสงบ นึ่งได้ พระลัมมาลัมพุทธเจ้า ได้ตรัสแสดงไวิในสังคารวสูตร® ว่า จิตใจของบุคคลที่ถูกครอบงำด้วยนิวรณ์ ย่อมไม่สามารถรู้ ชัดตามความเป็นจริง โดยทรงแสดงถ้อยคำอุปมาทีละข้อตาม ลำ ดับทั้ง ๕ ข้อ ด้งนี้ ® อัง.ปัญจก. ๓๖/๑๙๓/๔๑๔(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก - เนุ่๗๖ www.kalyanamitra.org

\"สมัยใด บุคคลมีใจอันกามราคะ...พยาบาท... ถีนมิทธะ...อุทธัจจคุกกุจจะ หรือวิจิกิจฉา กลุ้มรุม และไม่รู้ชัดแจ้งถึงวิธีสลัดออกจากกามราคะ เป็นต้นนั้น สมัยนั้นบุคคลย่อมไม่!!ม'เห็นตามเป็น จริง ซึ่งประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์ ของทั้งสองฝ่าย ใจที่ถูกกามราคะกลุ้มรุม เปรืยม เหมีอนภาชนะบรรจุนํ้าที่ระคนด้วยครั่ง ขมิ้น สิเขียวหรือสีเหลืองอ่อน...ใจที่ถูกพยาบาทกลุ้มรุม เปรืยบเหมีอนภาชนะที่บรรจุนํ้าเดือดพล่านเป็น ไอ...ใจที่ถูกถึนมิทธะกลุ้มรุม เปรืยบเหมีอนภาชนะ บรรจุนํ้าซึ่งปกคลุมด้วยสาหร่ายและแหน...ใจที่ถูก อุทธัจจคุกคุจจะกลุ้มรุม เปรืยบเหมีอนภาชนะ บรรจุนํ้าซึ่งถูกลมฬดไหววนเป็นคลี่น... ใจที่ถูก วิจิกิจฉากลุ้มรุมเปรืยบเหมีอนภาชนะบรรจุนํ้าชุ่นมัว s เป็น.ตม ซึ่งวางไร้ในที่มืด บุรุษมีตาดีส่องดูเงาหน้า ; ของตนใใ^าชนะบรรจุนํ้าเหส่านั้น ย่อมไม่สามารถ ; เห็นหน้าของตนตามความเป็นจริงได้\" จากพุทธดำรัสนี้ ย่อมเห็นได้ว่า นิวรณ์ ๕เป็นเหตุปัจจัย ให้คนเราโง่เขลาเนื่องจากไม่สามารถรู้เห็นตรงตามความเป็นจริง ความสุฃแทจริงเริ่มที่ปฐมฌาน ผู้ที่เจริญสมาธิภาวนา ที่สามารถข้ามพ้นความลังเลสงลัย สามารถประคองใจให้สงบนื่งอยู่ ณ ศูนย์กลางกายอย่าง ต่อเนื่อง กิเลสระดับกลางทั้ง ๕ ประการดังกส่าว ก็จะฟุบ ๒๗๗ ความสุขแท้จริงเริ๋มที่ปฐมฌาน www.kalyanamitra.org

ราบคาบลงไม่สามารถออกฤทธื้กำเริบได้ ใจก็เป็นอิสระทันที ไม่ถูกกลุ้มรุมด้วยนิวรณ์ ๕ อีกต่อไป ในทันทีที่ใจสงบนิ่งลงได้ ใจก็จะสว่างขึ้น ครั้นแล้ว ความรู้สิกเป็นขอย่างยิ่งก็จะเกิดตามมา ตรงนี้คือ ความสุข ที่แท้จริง ประสบการณ์ภายในเช่นนี้มีคำด้พท์ในพระพุทธ ศาสนาเรียกว่า ปฐมฌาน หรีอฌานที่ ๑ ประกอบด้วยองค์ ๕ ได้แก่ วิตก (ความตรึก) วิจาร (ตรอง) ปีติ (ความอิ่มใจ) สุข (ความสบายใจ) เอกัคคตา (ความมีอารมณ์เป็นหนิ่ง) บุคคลใดก็ตามที่มีประสบการณ์ภายในถึงจุดนี้ จะพูด เป็นเสิยงเดียวกันว่า สุขเหลือเกิน รู้ถึกช่มอกชุ่มใจ ชนิดพูด ไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะเป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิต จึงไม่รู้ว่าจะพรรณนาอย่างไร กล่าวได้ว่า ความสุขที่แท้จริงของคนเรา เริ่มต้นที่ ปฐมฌาน เป็นความสุขอนเกิดจากใจสงบนิ่ง เนิ่องจากก้าว ข้ามนิวรณ์ ๕ ใต้ล้าเร็จ ความลงเลสงสัยหมดไปแล้ว นิบ เป็นแสงเงินแสงทองของชีวิตทีเดียว ส่วนความรู้ถึกสบายใจ จากการไปเที่ยวดูสถานที่สวยงาม จากการฟังเพลงไพเราะ จากการรับประทานอาหารถูกปากถูกใจ จากการมีบริวารที่รู้ ใจแวดล้อมมากมาย เป็นเพียงแค่ความคลายทุกข์ชีวคราว ที่ คนเราสมมุติกันว่าเป็นความสุข แต่หาใช่ความสุขที่แทัจริงไม่ กิเลสระดับฟิะเอืยด พระล้มมาล้มพุทธเจ้าทรงเรียกกิเลสระดับละเอียด ว่า อวิชชา มีลักษณะละเอียดที่สุด เป็นต้นตอรากเหง้าของ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก . ;t'ortlW;. www.kalyanamitra.org

กิเลสทั้งหมด ทำ ให้เกิดความไม่รู้หรือรู้อย่างผิดๆ เป็นเหตุ ปัจจัยให้เกิดทุกข์อย่างแท้จริง ดังนั้น ภารกิจที่แท้จริงของ มนุษยชาติทั้งมวล คือการกำจัดอวิชชาให้1ด้เด็ดขาด ถ้ายังไม่ สามารถทำได้สำเร็จ ก็จะต้องทนทุกข์ทรมานและเดือดร้อน อยู่ต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิน อย่างไรก็ตาม บุคคลที่สามารถกำจัดนิวรณ์ ๕ได้สำเร็จ สามารถบรรลุปฐมฌานได้แล้วถ้าพากเพียรปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ต่อไป ด้วยความวิริยอุตสาหะอย่างยิ่งยวดชนิดเอาชีวิต เป็นพันเดิมพัน รอบแล้วรอบเล่า ย่อมบรรลุฌานในระดับที่ สูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดืยวกันความสงบนิ่งสนิทของใจก็ทวียิ่งขึ้น ทำ ให้สว่างโพลงยิ่งขึ้น มีความบริสุทธยิ่งขึ้นในระดับเดืยวกับ ดวงธรรม และรวมเป็นอนหนึ๋งอนเดียวกับดวงธรรม ทำ ให้ สามารถบรรลุมรรค-ผล สูงขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งบรรลุ อรหัตมรรค ความสว่างของใจและดวงธรรมในระดับอรหต- มรรค จึงล่องให้เห็นอริยสัจ ๔ อย่างจัดแจ้งสมบุรณ์พร้อม บุคคลผู้บรรลุอรหัตมรรค จึงสามารถกำจัดอวิชชา ส์ง เป็นดันตอของกิเลสที่อยู่ในใจใดัทั้งหมด ยังผลใหับรรลุ อรหัตผล เป็นพระอรหันต์ ทั้งหมดนี้ คือกระบวนการโดย ล้งเขปในการกำจัดอวิชชาให้ได้เด็ดขาด กระบวนการก้าวข้ามนิวรณ์ ๕ จากอรรถาธิบายที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านย่อมเห็นแล้วว่า การกำจัดนิวรณ์ ๕ เป็นเรื่องสำคัญมาก ตราบใดที่นิวรณ์ ๔ ยังไม่ถูกกำจัด ท่านก็จะไม่มีโอกาสพบความสุขอย่างแท้จริง ในชีวิตเลย อีกทั้งการกำจัดอวิชชาให้ได้เด็ดขาด ย่อมเป็นสิง . teWar;, กระบวนการก้าวรํทมนิวรณ์ ๕ www.kalyanamitra.org

ที่เป็นไปไม่ได้ทุกภพทุกชาติ นั่นย่อมหมายถึงว่าท่านจะต้อง เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในสังสารวัฏ อย่างไม่รู้จบสิน ทั้งๆ ที่ เกิดมาพบคำสอนในพระพุทธศาสนา ชึ่งชี้แนะวิธีกำจัดอวิชชา ไว้อย่างละเอียดพอที่จะนำมาปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จได้จริง อย่างที่ไม่เคยมีศาสดาองค์ใดในโลกทรงภูมิปัญญาเช่นนี้เลย กระบวนการก้าวข้ามนิวรณ์นั้นอาจเกิดขึ้นได้๒ทาง คือ ๑. ๓ดจากตถาคตโพธิสัทธา ผู้คนในสมัยพุทธกาล เพียงได้แลเห็นพระพักตร์ของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เชื่อมั่นว่า พระองค์ท่านทรงมีความ สุขจริง ทรงภูมิรู้จริง ครั้แได้เห็นสักษณะมหาบุรุษของพระองค์ ได้เห็นรัศมีและฉัพพรรณรังสีโดยรอบพระวรกาย ผู้คนก็มี ความสงบสำรวมด้วยความเคารพนับถึอ เกรงใจ ก้นถ้วนหน้า ครั้นได้ฟ้งพระธรรมเทศนาของพระองค์ซึ่งทรงแสดงลุ่มลึกไป ตามสำดับ ทำ ให้เข้าใจได้ง่ายในทันทีที่พระธรรมเทศนาจบ ผู้คนก็เกิดตถาคตโพธิสัทธาทันที ซึ่งยังผลให้บุคคลบางพวก บางกลุ่มบรรลุโสดาปัตติผล สกิทาคามีผล อนาคามิผล บาง พวกก็บรรลุอรหัตผล บางพวกแม้ยังไม่บรรลุมรรคผล ก็ประกาศตัวเป็นอุบาสกขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ยิ่งกว่านั้น ในบางครั้งพระพุทธองค์ยังทรงแสดง ปาฏิหาริย์ แม้พุทธสาวกบางองค์ก็แสดงปาฏิหาริย์ได้ การ กระทำเหล่านี้ ย่อมทำให้ญาติโยมเชื่อมั่นในคุณวิเศษของ พระพุทธองค์ แต่ละคนจึงเกิดตถาคตโพธิสัทธาทันที ไม่ว่า พวกเขาจะมีพื้นเพมาอย่างไร ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก www.kalyanamitra.org

อาจกล่าวได้ว่า ผู้คนในยุคพุทธกาล ย่อมรู้ว่าตนมี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้นแบบชีวิตแล้ว เพียงแค่ระลึก นึกถึงพระองค์คราใด ใจของเขาก็สว่าง สงบ ทำ ให้เกิดความ สุขอย่างแท้จริง. ผู้คนเหล่านั้น ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไปถึงไหน เพียงแค่นึกถึง พุทโธ ธัมโม สังโฆ ความสว่างก็เกิดขึ้นในใจ แล้ว คนไหนที่ยังไม่บรรลุปฐมฌาน ก็เฉียดเต็มทีแล้ว ด้งนั้น ผู้ที่ขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะในยุคนั้น ก็คือผู้ที่มีตถาคตโพธิสัทธาทั้งสิน แต่ละคนจึงมีฤทธิ้ป้องกัน ภัยต่างๆ ได้ เพราะข้ามนิวรณ์ ๕ ได้แล้ว ผิดกับผู้คนในยุค ปัจจุบันจำนวนไม่น้อย ที่ปากสวดตามพระว่า \"พุทธง สรลรง ด้จฉๆมิ\" แต่ใจกำสังนึกถึงสถานบันเทิงเริงรมย์ หริอสุรายาเมา ปากสวดตามพระว่า \"ธัมมัง สรถรง สัจฉามิ\" แต่ใจกำสังนึกถึง เลขเด็ดไว้ชื้อลอตเตอรี่ ปากสวดตามพระว่า \"สังฆัง สรถรง สัจฉามิ\" แตใจกำสังนึกถึงการไปเที่ยวชายทะเล เป็นด้น ๒. เกิดจากการสืกษาพุทธประว้ติและการเจริญสมาธิ ภาวนา พวกเราในปัจจุบันไม่มีโอกาสได้พบพระสัมมาล้มพุทธ เจ้า ก็จำ เป็นต้องคืกษาทั้งชาดกทั้งพุทธประวัติทั้งตรึกทั้งตรอง จากสุตมยปัญญา จินตามยปัญญา จนกระทั่งมองทะลุสัมมา ทฏฐิเบื้องสัน จากข้อ ๑ ถึง ข้อ ๑๐ อย่างชัดเจน ความชัดเจน ตรงนี้ ผนวกกับการเจริญสมาธิภาวนาอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จะก้าวข้ามนิวรณ์ ๕ได้ ในทันทีที่ก้าวข้ามนิวรถ41ด้ จะมีหลายสิงหลายอย่าง เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน คือ ความสงบนิ่งสนิทของใจ ทำ ให้เกิด ๒๘0 กระบวนการก้าวข้ามนํวรณ์ ๕ www.kalyanamitra.org

ความสว่างโพลง ความสุขอย่างแท้จริงในสิวิตปัง!.กีดขึ้น ตถาคตโพธิสัทธาก็เกิดขึ้น พร้อมๆ กับการเกิดของ!.ป็าหมาย สิวิต ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า \"ตถาคตโพธิสัทธา คือรุ่งอรุณ ของสันติภาพโลก\" และ \"สันติภาพโลกเกีดจากสันติภาพ ภายในเท่านั้น\" กิเลส คึอ รากเหง้าของมิจฉาทิฏเ กีเลส คือ อกุศลมูลหรือรากเหง้าของความทุจริต อันเป็น เหตุให้บุคคลเกิดมิจฉาทิฏฐิ คือ ไม่เข้าใจความเป็นไปของ โลกตามความเป็นจริง จึงคิดผิดไปจากทำนองคลองธรรม เมื่อคิดผิดก็ทำให้พูดผิด เช่น พูดโกหก พูดล่อเสียด พูด หยาบคาย พูดเพ้อเจ้อนินทา เป็นต้น ครั้แแล้วก็จะประพฤติ ผิดเป็นประจำ รวมทั้งประกอบอาชีพการงานเลี้ยงชีวิตในทาง ที่ผิดอีกด้วย โดยสรุปก็คือ มิจฉาทิฏฐิบุคคลย่อมทำผิดคืล เป็นปกตินิสัย เนื่องจากมีความเห็นผิดมิจฉาทิฏฐิบุคคลจึงไม่เชื่อเรื่อง กฎแห่งกรรม ไม่เชื่อเรื่องโลกนี้และโลกหน้า นั่นคือไม่เชื่อ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ตลอดจนเรื่องนรกสวรรค์ และ ไม่มีความศรัทธาในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงประพฤติปฏิบัติตนผิดคืล ผิดธรรม และผิดกฎหมาย เป็น นิสัย ก่อความเดือดร้อนให้แก'ตนเองครอบครัวและสังคมอยู่ เสมอ คราใดที่ตนเองเดือดร้อน เป็นทุกข์สาหัสสากรรจ์ บาง- รายก็ห้นไปพึ่งไสยศาสตร์ซึ่งไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง บางรายก็แก้ ปัญหาด้วยการเพึ่มปัญหาให้บานปลายออกไปอีก หรือ มิฉะนั้นก็ก่อปัญหาให้คนในสังคมต้องเดือดร้อนไปทุก ศรัทธา รุ่งอรุณแพ่งสันติภาพโลก ๒๘๒ www.kalyanamitra.org

หย่อมหญ้า เหล่านี้คือมหันตภัยในสังคม อันเกิดจากมิจฉา- ทิฏฐบุคคล มิจฉาทิฎฐิสรางคนพาลได้รวดเร็ว เป็นที่รู้ภันอยู่ว่าวัชพืชนั้น แม้มิได้มีการปลูกก็สามารถ งอกงามขึ้นเองและแพร่พันธุ!ด้อย่างรวดเร็ว ยากแก่การ กำ จัดให้หมดสินไป ข้อนี้ฉันใด มิจฉาทิฏฐิในจิตใจของผู้คน ก็ฉันนั้น คือสามารถทวีความร้อนแรงขึ้นในจิตใจ และแพร่ ขยายไปล่จิตใจผู้คนอย่างรวดเร็วเหมือนวัชพืช ทั้งนี้ ก็เนื่อง ด้วยกิเลส ๓ ตระกูล ที่แอบแฝงนอนเนื่องอยู่ในใจคนเรานั่นเอง ที่คอยเอิบอาบ ซึมชาบ บีบคั้น ผลักด้น เร่งเร้า คนเราให้คิด ชั่ว พูดชั่ว ทำ ชั่ว อยู่เสมอ หรือกล่าวอีกอย่างหนื่งก็คือ คอย บังคับบัญชาให้คนเราเป็นคน\"พาล\" อยู่ตลอดเวลา คนพาลแต่ละคนนั้น ล้วนพราวไปด้วยเล่ห์เพทุบาย ในการผูกมิตร โดยชักชวน หลอกล่อผู้คนให้เห็นดีเห็นงาม คล้อยตามความคิดเห็นผิดๆ และเข้าร่วมกระทำกิจกรรม ทุจริตกับตนด้วยความเต็มอกเต็มใจ ที่สังเกตเห็นได้ง่าย ที่สุดก็คือ การชักชวนผู้คนให้เข้าร่วมกิจกรรมหลากหลาย ใน วงการอบายมุข นับตั้งแต่ การเสพสิงเสพติด การพนันหลาก หลายรูปแบบ การเที่ยวกลางคืน ฯลฯ ใครก็ตามที่คบหา สมาคมกับคนพาล ย่อมจะถ่ายทอดมิจฉาทิฏฐิจากคนพาลได้ อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นคนมีนิสัยเลวร้ายต่างๆ ประจำ จิตใจอย่างยากที่จะกำจัดออกได้ นิสัยเลวร้ายนี้เอง ที่คอย บงการบุคคลให้มีจิตใจตํ่าทราม พอใจในการสร้างบาปอกุศล ไปตลอดชีวิต โดยไม่ร้สืกผิดแต่ประการใด (□๔ณ มํจฉาทํฎฐํสร้างคนพาลได้■รวดเร็ว www.kalyanamitra.org

สำ หรับคนดีที่หลงไปคบหาสมาคมกับคนพาล ไม่ช้าไม่ นานก็จะหลงผิดเห็นดีเห็นงามตามคนพาลไปด้วย คุณธรรม ความดีที่เคยมีอยู่ในจิตใจก็มลายหายสูญไป กลายเป็น สนับสนุนเหล่าคนพาลให้แข็งแกร่งขึ้นอีก ชํ้าร้ายกว่านั้นคือ ย้อนกลับมาโน้มนัาวบรรดาพรรคพวกของตนที่ยังเป็นคนดี ให้กลายเป็นคนพาลเหมีอนตน ถ้าทำได้สำเร็จ ก็จะเป็นการ ขยายเครือข่ายคนพาลให้กว้างขวางยิ่งขึ้นอีก ซึ่งจะก่อให้เกิด ความลับสนวุ่นวาย ระหว่างผู้คนในลังคมไม่มีที่สินสุด เพราะ เหตุนี้พระลัมมาลัมพุทธเจ้าจึงตรัสสอนว่า \"การไม่คบคนพาล เป็น)มงคลอันสงสุyด\"'0 ■ข \"ริ มิจฉาทิฎฐิป้องกันได้ด้วยสัมมาทิฏฐิ จากที่กล่าวมาแล้ว ท่านผู้อ่านย่อมเห็นได้ว่า มิจฉาทิฏฐิ บุคคล หรือคนพาลนั้นแพร่ขยายเครือข่ายได้รวดเร็วมากจึง มีคำ ถามว่า จะมีวิธีป้องกันมิจฉาทิฏฐิได้อย่างไร ก่อนอื่นพึงระลึกว่า มิจฉาทิฏฐิ คือ การขาดความเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องโลกและข้วิตตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นเหตุให้ บุคคลคิดผิด จึงพูดผิดและทำผิด จนเกิดเป็นนิลัยชั่วร้ายต่างๆ นั่นเอง และกลายเป็นคนพาลลันดานหยาบ ยากที่จะแกไข สำ หรับบุคคลที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เพื่อที่จะป้องกัน มิให้มิจฉาทิฏฐิครอบงำจิตใจชาวโลกต่อไปอีก จำ เป็นจะต้อง มีการปลูกผิงอบรมสัมมาทิฏฐิให้แก่บุคคลตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อ ให้เกิดความเช้าใจเรื่องโลกและชีวิตอย่างถูกต้อง อันจะเป็น ® ชุ.สุ. ๔๗/๓๑๘/๑๒๔(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก tocftf www.kalyanamitra.org

เหตุให้คิดถูก พูดถูก ทำ ถูกทุกๆ เรื่อง จนกลายเป็นนิสัย ประจำใจ เป็นบุคคลที่สมถูรณ์พร้อมด้วยสัมมาทิฏฐิ เพราะ คุณธรรมสัมมาทิฏฐิที่มีการปลูกฝังลงในจิตใจเยาวชนอย่าง ถูกวิธี จนเป็นนิสัยประจำใจตั้งแต่เยาว์วัย ย่อมเป็นภูมิคุ้มกัน ที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถป้องกันมิให้มิจฉาทิฎฐิกำเริบ ออกฤทธได้ อย่างไรก็ตาม การปลูกฝังอบรมสัมมาทิฏฐิลงในจิตใจ ผู้คน แม้จะเรื่มปลูกฝังตั้งแต่เยาว์วัยก็ตาม แต่ก็ต้องมี กระบวนการควบคุมดูแลให้สัมมาทิฏฐิมั่นคงอยู่ในจิตใจ อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ทั้งต้องกระทำให้แพร่หลายทั่วสังคม เพื่อให้เกิดเป็นวัฒนธรรมประจำใจของผู้คนในสังคม ถ้าเป็น เช่นนี้สัมมาทิฏฐิก็จะหยั่งรากลึกลงในสังคมและเป็นพสัง ป้องกันการแพร่ขยายของมิจฉาทิฏฐิได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ชอบลอกเลียนแบบกัน ถ้า สังคมมีแต่เฉพาะแบบอย่างที่ดี ผู้คนทั้งสังคมก็จะมีแต่ สัมมาทิฏฐิบุคคล ผู้เปียมด้วยตถาคตโพธิสัทธา สังคมนั้น ย่อมเป็นสังคมสันติสุขอย่างแท้จริง ใครเป็นนายของคนเรา ถ้าท่านจะลองถามพรรคพวกเพื่อนฝูงว่าใครคือเจ้านาย ของเรา ท่านอาจได้คำตอบหลายหลากแตกต่างกันไป เช่น บางคนอาจตอบว่า เจ้านายที่แท้จริงของเขาคือนายจ้าง บาง คนอาจตอบว่ามารดา บิดา บางคนอาจตอบว่าเจ้าหนี้ บางคน อาจตอบว่าภรรยาหรือสามี ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เจ้านายของ คนเราก็คือ \"ใจของเราเอง\"ด้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ๒๘๕ ใครเป็นนายของคนเรา www.kalyanamitra.org

ในยมกวรรควรรณา® ว่า \"ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ s สำ เร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจร้ายแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำ อยู่ก็ดี ทุกข์ย่อมไปตามเขาเพราะเหตุนั้น ดุจล้อ หบุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำ แอกไปอยู่ฉะนั้น ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำ อยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น เหมือนเงา ไปตามตัวฉะนั้น\" จากพุทธพจน์นี้ ย่อมเห็นได้ว่า เจ้านายที่แท้จริงของคน เราก็คือ \"ใจของตัวเรา\" นั่นเอง ที่คอยบงการให้คนเราแสดง พฤติกรรมชั่วร้ายหรือดีงาม กล่าวคือบุคคลที่มีใจร้ายนั้น หมายถึง มิจฉาทิฏเบุคคล ล่วนบุคคลที่มีใจผ่องใสนั้น หมายถึง สัมมาทิฎฐิบุคคล นิสัยเบนนายของใจ ถึงแม้พระสัมมาล้มพุทธเจ้าจะทรงแสดงว่า เจ้านายที่ แท้จริงของเรา คือใจของเราเองก็ตาม แต่ก็ยังทรงแสดงอีก ด้วยว่าใจของคนเรามีสักษณะแตกต่างกันออกไปเป็น\"ใจร้าย\" และ \"ใจผ่องใส\" ด้งนั้น จึงมีคำถามตามมาอีกว่า อะไรเป็นเหตุให้ สักษณะจิตใจของคนเราแตกต่างกันออกไปเช่นนั้น คำ ตอบ ก็คือ สภาวะแวดล้อมในชีวิตของคนเรานั่นเอง น้บตั้งแต่สิง ® ชุ.ธ. ๔๐/๑๑/๑ (มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๘๖ www.kalyanamitra.org

แวดล้อมตามธรรมชาติ ฃนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชน บุคคลแวดล้อมใกล้ชิดในครอบครัว ตลอดจนการปลูกฝัง อบรม จนกระทั่งกลายเป็นนีล้ยประจำใจ กล่าวให้เข้าใจง่าย ที่สุดก็คีอ นิสัยนั่นเองที่เป็นนายของใจ ๕ หอง?วิด เนรมิตนิสัยของคนเรา ตามธรรมดาเยาวชนที่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยจากมารดา บิดา ผู้ปกครอง และครูอาจารย์ให้มีความเห็นถูก คิดถูก พูดถูก และทำถูกโดยมีห้องทั้ง ๕เป็นห้องปฏิบัติการประจำวัน๕ห้อง- ชีวิตนั้นย่อมจะเนรมิตให้เขาเป็นคนที่มีนิสัยดีงาม ตั้งแต่เล็กจน เติบใหญ่ ซึ่งจะทำให้เขาสามารถป้องกัน ควบคุมกิเลสที่นอน เนื่องอยู่ในใจตน ให้สงบระงับนื่งอยู่ได้ตลอดเวลา ขณะเดียวกัน ก็สามารถประคับประคองจิตใจตนให้ผ่องใสอยู่เสมอ จิตใจที่ ผ่องใสนี้เอง ย่อมรังสรรค์แต่ความคิดดีๆ ได้มากมายเป็นอเนก ประการ ในทางกลับกัน เยาวชนที่ถูกปล่อยปละละเลย ไม่ได้รับ การอบรมบ่มนิสัยที่ดีงาม จึงเที่ยวคบหาสมาคมกับเพื่อนพาล และกลายเป็นคนพาลไปตลอดชีวิต หรือเยาวชนบางคน ก็มีบุคคลแวดล้อมใกล้ชิดในครอบครัว เป็นคนพาลสันดานหยาบ มีความเห็นเป็นมิจฉาทิฏฐิประพฤติตนผิดคิลธรรม ผิดกฎหมาย เป็นแบบอย่างผิดๆ ให้เห็นอยู่เป็นนิจ เยาวชนเหล่านีจึงมีชีวิต อยู่ในห้องปฏิบัติกิจวัตรประจำวันทั้ง ๕ ห้อง ที่หล่อหลอมให้เขา คิดผิด พูดผิด ทำ ผิด จนเกิดเป็นนิสัยเลวร้ายต่างๆ ที่คอย กระตุ้นกิเลส ๓ ตระกูล ที่นอนเนื่องอยู่ในใจให้ฟูเพื่อง เอิบอาบ ซึมชาบ ออกฤทธิบีบคั้น และเป็นเจ้านายบงการจิตใจของเขา ๒๔๗ ๕ ห้องรวิต ณรมิตนสัยๆ)องคงนรา www.kalyanamitra.org

ให้คิดร้ายได้สารพัดเรื่องไปตลอดชีวิตโดยไม่รู้สืกผิด หรือคิดว่า ตนทำบาปกรรม ทั้งนี้เพราะ ๕ ห้องชีวิต ได้เนรมิตให้เขามีนิสัย เลวร้ายเช่นนั้นอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเสียแล้ว ความจำเป็นของโครงการปลูกฝื[งสัมมาทิฏฐิ บุคคลที่มีจิตใจคิดทำแต่เรื่องเลวร้ายนั้น มิใช่เฉพาะ ตัวเขาเท่านั้น ที่จะต้องประสบความทุกข์และความเดือดร้อน แต่เขายังเป็นเหตุแห่งความเดือดร้อนของสังคมและโลกอีกด้วย ตังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงในเอกธัมมบาลี ตติยวรรค® ว่า \"บุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นวิปริต บุคคลนั้นทำให้คนหผู่มาก ออกจากสัทธรรม (กุศล กรรมบถ ๑๐)ให้ตั้งอยู่ในอสัทธรรม(อกุศลกรรมบถ ๑๐) บุคคลผู้เป็นเอก (คนเดืยว) นี้แล เมื่อเกิดขึ้น ในโลก ย่อมเกิดขึ้น เพื่อไม่ใช่สุขแก่คนหยู่มาก เพื่อไม่ใช่ประโยชน์แก่คนหยู่มาก เพื่อไม่เกื้อถูล เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย\" เพราะเหตุที่มิจฉาทิฏฐิมีโทษภัยร้ายแรงดั่งที่พระสัมมา- สัมพุทธเจ้าตรัสไวันั้น จึงเป็นการจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้อง จัดทำโครงการปลูกฝังสัมมาทิฏฐิลงในจิตใจ สำ หรับบุคคล ทุกเพศทุกวัย โดยเรื่มตั้งแต่เยาว์วัย และมีการดำเนินการ ต่อเนื่องไปตลอดชีวิตของผู้คน โดยใช้ ๕ ห้องชีวิตเป็นห้อง ® อัง.เอก. ๒๐/๓0๘/๘0(มจร.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๔๘ www.kalyanamitra.org

ปฏิบัติการหลัก สำ หรับปลูกฝังนิสัยที่ดีงามเพื่อให้สามารถ ทำ หน้าที่เป็นนายที่ดีฃองใจไปตลอดชีวิต บุคคลที่มีนิสัยดี ย่อม มีสัมมาทิฏฐิสมบูรณ์ เขาย่อมมีดถาคดโพธิสัทธาอย่าง แน่นแฟันและย่อมปฏิป้ดิมรรคมีองค์๘ได้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นในเวลาไม่นาน แกนนำของโครงการปลูกฝังสัมมาทิฏฐิ โครงการปลูกฝังสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น จะสามารถดำเนิน ไปไต้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิผล ก็ต่อเมื่อได้รับความ ร่วมมีออย่างจริงจัง และต่อเนื่องจากทุกๆ ฝ่ายในสังคม การที่จะจูงใจให้ทุกๆ ฝ่ายมาร่วมมีอกันทำโครงการนั้น จำ เป็นจะต้องมีแกนนำ ที่มีภูมิรู้ภูมิธรรมสูง เข้าใจหลักธรรม สำ คัญในพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องลึกซึ้ง มีประสบการณ์ ในการทำหน้าที่ของกัลยาณมิตรเป็นอย่างดี ทั้งต้องมีปณิธาน อันแน่วแน่ ในการทำงานเพื่อประโยชน์สุขของสังคมและโลก อย่างบริสุทธิ้ใจโดยไม่คิดหาผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝงอยู่ อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวโดยสรุปว่า แกนน่าที่สำด้ญฃอง โครงการปลูกฝังสัมมาทิฎฐิ ก็คือ บุคลากรจาก วัด บ้าน โรงเรียน หรือที่นิยมเรียกกันว่า บ้าน รัด โรงเรียน (บวร) บุคลากรที่เป็นแกนน่าทั้ง ๓ กลุ่มนี้ จำ เป็นต้องประสานความ ร่วมมีอ ในการดำเนินงานด้วยความเข้มแข็ง อดทน และด้วย มโนปณิธานอันแน่วแน่ตลอดไป โครงการจึงจะมีโอกาส สัมฤทธิผล ๒๘๙ . แกนนำของโครงการปลูกฝืงสัมมาทิฎฐิ www.kalyanamitra.org

คณลักษณะและหน้าที่ของบุคลากร บุคลากรของโครงการทมี^บ*ทบาทส์าสัญในด้านภูมิรู้ ภูมิธรรม ฑ็คือบุคลากรกลุ่มที่มาจากวัด ได้แก่ คณะสงฆ์ผู้มี ความ!,ข้าใจหลักธรรมส์าด้ญในพระพุทธศาสนาอย่างถูกด้อง ลึก^ง ทั้งภาคปริยัติ และภาคปฏิบติ มีประสบการกflนการ จัดทำกิจกรรมในโครงการปลูกฝืงอบรมลัมมาทิฏเ ส์าหรบ ผู้คนทุกเพศทุกวัย อย่างได้ผลเป็นรูปธรรม สามารถทำงาน ร่วมกบบุคลากรจากบ้านและโรงเรียนได้เป็นอย่างดี พร้อม ทั้งเป็นที่เคารพนับถือเกรงใจ จากบุคลากรทั้งสองกลุ่ม เสมอมา ส์าหร้บบุคลากรในกลุ่มที่มาจากโรงเรียน ก็คือ คณาจารย์จากโรงเรียนและสกาบ้นการดีกษาทั้วประเทศ ประ๓ทบุคคลกลุ่มนี้มีหน้าที่สำคัญ ๕ประการโดยย่อ คึอ ๑. ประสานความร่วมมือกับวัดในการจัดทำ โครงการอบรม ซึ่งอาจจัดขึ้นที่วัดหรือที่โรงเรียนตามความ เหมาะสม ๒. ประสานความร่วมมือกับบ้าน คึอ ผู้ปกครองของ นักเรียนให้เข้าใจจุดบุ่งหมาย และให้ความร่วมมือในการจัด ทำ โครงการทุกๆ ครั้ง ๓. พัฒนาตนเองด้วยการดีกษาหลักธรรมสำคัญใน พระพุทธศาสนา และหัวข้อธรรมที่ใช้เป็นหลักในการอบรม ให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกด้องลึกซึ้งพร้อมทั้งมืประสบการณ์ จากการลงมือปฎิบ้ติตามหลักธรรม จนสามารถให้การอบรม ลังสอนนักเรียนของตน ให้ดำเนินรีวิตอย่างถูกต้องตาม ศร่?ทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก . ๘๙© .. www.kalyanamitra.org

หลักธรรมในพระพุทธศาสนา หรือสามารถอธิบายให้ความ กระจ่างแก่ผู้ปกครองของนักเรืยน จนเกิดความเข้าใจ และ พอใจ ยินดีอนุญาตให้บุตรหลานของตนเข้าร่วมโครงการ อบรมทุกครั้ง ๔. ริเริ่มโครงการปลูกฝังอบรมลัมมาทิฏฐิเบี้องต้น ให้แก่นักเรืยนของตนเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม ๕. ติดตามประเมินผลทั้งการจัดการทำโครงการอบรม และพฤติกรรมของนักเรืยนที่เข้ารับการอบรมทุกครั้ง ส่วนบุคลากรในกลุ่มที่มาจากบ้าน คือ มารดาบิดาและ ผู้ปกครองของนักเรียน มีหน้าที่สำคัญ ๕ประการ คือ ๑. พัฒนาตนเองด้วยการคืกษา และปฏิบัติตาม หลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา เพี่อให้เป็นลัมมาทิฏฐิ บุคคล และเป็นต้นแบบสัมมาทิฏฐิของบุตรธิดาตลอดชีวิต ๒. จัดระเบียบตลอดจนกำหนดกฎกติกา สำ หรับ ห้องทั้ง ๔ ในบ้าน คือ ห้องนอน ห้องนํ้า ห้องอาหาร และ ห้องแต่งตัว ให้เป็นแหล่งปลูกฝังอบรมนิสัยที่ดีงาม (ดังได้ กล่าวไวิในบทที่ ๖)สำ หรับสมาชิกทุกๆ คนในบ้าน ๓. ให้ความร่วมมีอกับทางโรงเรียนทุกครั้งที่โรงเรียน จัดทำโครงการปลูกฝังอบรมคืลธรรมแก่บุตรธิดาของตน ๔. เอาใจใส่อบรมลังสอนบุตรธิดาของตนตามหลัก ธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างใกล้ชิดสมํ่าเสมอ ๕. เป็นต้นแบบให้แก่บุตรธิดาในการบำเพ็ญบุญกิริยา- วัตถุ มีการทำทาน รักษาคืล และเจริญภาวนา เป็นต้น ให้ เป็นกิจวัตรประจ่าวัน พร้อมทั้งพาบุตรธิดาเข้าวัดปฏิบัติธรรม .;๒๙® < คุณลักษณะและหน้าที่ของบุคลากร www.kalyanamitra.org

เป็นกิจวัตรตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อปลูกฝีงนิสัยรักการสังสมบุญ บารมีและเพื่อทำนุปารุงพระพุทธศาสนา ตามหน้าที่ของ พุทธมามกะ สรุป ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นหน้าที่อันสำคัญยิ่งที่บุคลากร ซึ่งเป็นแกนนำของโครงการปลูกฝังสัมมาทิฏฐิเบื้องต้นทั้ง ๓ กลุ่ม จะต้องปฏิบัติอย่างสมํ่าเสมอ มิให้ขาดตกบกพร่อง อนึ่ง การทำโครงการปลูกฝังอบรมสัมมาทิฏฐิที่จัดขึ้น ในสักษณะต่างๆ นั้น สิงสำคัญยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงก็คือ ศรัทธาฟ็นธรรมขั้นต้นในกระบวนการพฒนาป็ญญา แต่ต้อง เป็นศรัทธาที่ประกอบคัวยเหตุผลเสมอ หลักธรรมใน พระพุทธศาสนาที่มาเป็นหมวดหยู่ ถ้าเริ่มต้นด้วยศรัทธาก็จะ ลงท้ายด้วยปัญญาเสมอ เช่น ในวิตถตสูตร (ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา) เป็นต้น แต่ถ้าขั้นต้วยปัญญาแล้ว ไม่ต้องมีศรัทธากำกบก็ได้ ด้งเช่นในมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเริ่มต้น ด้วยปัญญา คือ สัมมาทิฏฐิ (สัมมาทิฏฐิจัดเป็นปัญญาขันธ์) แมไม่มีฃ้อศรัทธาในมรรคมีองค์ ๘ แต่ศร้ทํธาก็เป็นเหตุเป็น ปัจจัยให้ปฏิบัติและเชื่อมั่นตามสัมมาทิฏฐิ ๙ ข้อแรก จน ทำ ให้เกิดตถาคตโพธิสัทธาทำ ให้สัมมาทิฏฐิครบบริบูรณ์ทั้ง๑๐ ประการ อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะให้โครงการปลูกฝังสัมมาทิฏฐิ สัมฤทธิผลอย่างรวดเร็วและมั่นคง จำ เป็นจะต้องสร้างศร้ทธา ให้เป็นความประทับใจไม่รู้ลึมแก'ผู้ที่เข้าอบรมทั้งปวง ใน ศรทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒<(๒ ^ www.kalyanamitra.org

ลักษณะเดียวกับที่บรรพบุรุษไทย ซึ่งแมไม่รู้หนังสิอแต่ก็มี ความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการปาเพ็ญบารมีของ พระลัมมาลัมพุทธเจ้า และพระธรรมคำลังสอนของพระองค์ โดยได้รับจากกิจกรรม สิงแวดล้อม ตลอดจนบรรยากาศ ภายในวัดต่างๆ ในสมัยอดีต ซึ่งนอกจากเป็นความประทับใจ แล้วยังเป็นวิถีชีวิตชาวพุทธในที่สุดอีกด้วย อย่างไรก็ตามการ ปลูกฝังอบรมล้มมาทิฏฐิจำเป็นจะต้องเริ่มที่เด็กทุกๆ คน เพราะ จะทำให้มีศรัทธาแน่วแน่อยู่กับการสังสมบุญกุศลตลอดชีวิต โดยเหตุที่สภาพลังคมป้จจุบันแตกต่างไปจากสมัย อดีตอย่างเทียบกันไม่ได้เลย ประกอบกับอิทธิพลจาก วัฒนธรรมต่างประเทศมากมายหลายรูปแบบ ซึ่งล้วนแต่มี ลักษณะกระตุ้นกิเลสให้ออกฤทธชนิดไม่มีเวลาหยุดหย่อน หลั่งไหลเข้ามาทับถมกลืนกินลัมมาทิฎฐิที่มีอยู่ในจิตใจผู้คน บ้างแล้วโดยธรรมชาติ ให้สยบราบคาบพ่ายแพ้แก่มิจฉาทีฎฐิ โดยสินเชิงขณะนี้ผู้คนในลังคมไทยไม่ว่าเด็กหรือผู้Iหญจ้งเป็น โรคภูมิแพ้มิจฉาทิฎฐิอยู่ทั่วไป เพราะฉะนั้น สิงที่บุคลากรซึ่งเป็นแกนน่าของโครงการ ปลูกฝังล้มมาทีฏฐิเบื้องต้น จะต้องประสานใจประสานมีอ ร่วมกันทำงานให้แข็งข้นยิ่งขึ้นโดยเอา \"ตถาคตโพธิสัทธา\"เป็น ที่ตั้ง ย่อมจะทำให้เกิดกำลังใจอย่างสูงส่งไม่มีวันท้อถอย ด้วยมีศรัทธามั่นว่าการทำหน้าที่ของท่านคือการทำหน้าที่ ของกัลยาณมิตร ด้งเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติเป็น ตัวอย่างให้ดูแล้ว ๒๙๓ ส^ www.kalyanamitra.org

อนึ่ง มีข้อควรพิจารณาเป็นพิเศษว่า เหตุใดประเทศต่างๆ หลายประเทศที่พระพุทธศาสนาเดยเจริญรุ่งเรือง แต่กลับ ต้องเสือมลง สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสือมลง คืออะไรกันแน่ ผู้คนส่วนมากมักจะมองว่าเพราะถูกศาสนา อื่นรุกราน อย่างไรก็ตามถ้าไต้คืกษาพิจารณาอย่างรอบคอบ แล้วย่อมพบสาเหตุสำคัญ ๒ ประการ คือ ขาดการปลูกฝืง ตถาคตโพธิสัทธาอย่างมีประสิทธิภาพประการหนึ่ง และการที่ ชาวพุทธในประเทศนั้นจมอยู่กบอบายมุขอีกประการหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีความจริงเกี่ยวกับความคิดเห็นของ ซาวโลกโดยทั่วไปที่ควรพิจารณาเป็นพิเศษอยู่ประการหนึ่งคือ ผู้คนในโลกนี้มักจะมีความคิดว่าตนอยู่ในโลกกว้าง มีอิสระ- เสรืเต็มที่ แต่แท้ที่จริง เราอยู่บนแพลำเดียวเท่านั้น แมับางคน จะคิดว่าแพของเราใหรyโตมโหฬารมาก แต่ครั้นเมื่อชาวโลก ขึ้นมาอยู่บนแพพร้อมกันทั้งหมด ก็จะรู้สิกว่าพื้นที่บนแพ คับแคบลงถนัดใจ ด้วยเหตุนี้ คนบางพวกบางกลุ่มจึงต่าง ช่วงชิงพื้นที่บนแพกันให้ใต้มากที่สุด แต่เนื่องจากไม่สามารถ แปงสัน!]นส่วนกันโตยสันติวิธี จึงต้องมีการช่วงชิงลำนาจ ความเป็นใพญ่บนแพนั้น ต้วยการดึงเอาไมีไฝที่ทำแพออก มาเป็นอาวุธทุบดีฟาตฟ้นกัน ส่วนคนพวกที่มีตถาคตโพธิสัทธาที่งเป็นคนกลุ่มน้อย คเแแลเห็นกลุ่มคนที่กำสังกลุ้มรุมต่อสักันอยู่อย่างเมามัน ก็ พยายามจะห้ามปรามโตยการแยกย้ายกันไปนั่งอยู่ดามส่วน ต่างๆ ของแพ เพื่อต้กเตือนโน้มน้าวจิตใจผู้คนเพส่านั้นให้ เปลี่ยนจากมิจฉาทิฏเมาเป็นสัมมาทิฎเ จะไต้หยุตดึงไมัไผ่ ออกไปเป็นอาวุธวิวาทกัน หาไม่แสัว ถ้าแพแดก ทุกคนย่อม ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๙<r www.kalyanamitra.org

จมนํ้าดายหมด ใม่มีใดรรอดสักคนเดียว แด่ก็ดูเหมือนว่า มิจฉาทิฏฐิซนเหล่านั้นไม่สนใจฟ็งเลย \"สันติภาพบนแพ\"หรือ \"สันติภาพโลกของเรา\"จะเกิด ฃื้นได้จริงก็ด่อเมื่อทุกคนล่วยกันสร้างสันติภาพด้วยการfเก อบรมดนเองให้ดั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฏฐิเบื้องด้นทั้ง ๑๐ประการ อีกทั้งยึดหลักปฏิบัติดามกุศลกรรมบถ ๑๐ ให้สมั่าเสมอ ทุก ขณะที่ยึน เดิน นั่ง นอน หลังจากนั้นก็จะฟัผนาเป็น \"ดถาคดโพธิสัทธา\" เนในจิดใจ กลายเป็นความสว่างล่อง ให้เห็นทางที่ถูกด้องเหภายในจิดใจก่อให้เกิดสันติสุขภายใน และกลายเป็นพลังในการสร้างบุญบารมือย่างไม่เจบเน นั่น คือ หนทางบังเกิดเนของสันติภาพโลกที่เริ่มด้นจากสันติสุข ภายในด้วย \"ดถาคดโพธิสัทธา\" อย่างแท้จริง ๒๙๕ สรุป www.kalyanamitra.org

เ^^^''^' www.kalyanamitra.org

บทที่ ๑๐ ความมนคงยงยืน ของพระพุทธศาสนา ทุทธกิจ ๕ ต้นแบบการทุ่ม?วิตสราง ตถาคตโพธิสัทธา พระสัมมาสัมทุทธเจ้าทรงทราบดีว่าชาวโลกล้วนเกลียด ทุกข์อยากได้สุขกันทุกคน แต่น้อยคนนักจะรู้จักสันติสุขที่ แท้จริงว่าเป็นอย่างไร ชํ้าร้ายบางคนยังหาทางดับทุกข์ด้วย อบายมุขอีกด้วย จึงยิ่งกลายเป็นการเพิ่มทุกข์เผาผลาญใจยิ่ง ขึ้นไปอีก เปรียบเหมือนการดับไฟด้วยการสาดนํ้ามันเข้ากอง เพลิง ก็มืแต่ทำให้เพลิงยิ่งโหมลุกไหม้รุนแรงขึ้นไป หรือ เปรืยบเหมือนการดับกระหายด้วยการดื่มนํ้าทะเล ยิ่งดื่มมาก ,;๒๙๗ . ทุทธกํจ ๕ต้นแบบการทุ่ม?รตศT1งตถาค91โพธิสัทธา www.kalyanamitra.org

เท่าใด ก็ยิ่งมีแต่เพิ่มความกระหายมากเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อชาวโลกไม่รู้ว่าอะไรคือสันติสุขที่แท้จริง ทำ ให้เมื่อใดก็ตาม ที่มีการพูดถึงเรื่องการสร้างสันติภาพโลก ส่วนมากจะนึกถึงการวางอาๅธ และการท่มเทให้กับการหาวิธี วางอาๅธ ซึ่งภายนอกดูเหมือนกับว่าจะท่าให้โลกเกิด สันติภาพได้จริง แต่แท้ที่จริง การวางอาวุธ ยังไม่ใช่การทิ้งอาวุธ เป็นเพียงแต่การพักรบ และเตรียมจ้องหาโอกาสจะจับอาวุธ ลุกขึ้นมาท่าสงครามกันใหม่ ด้งนั้น หากยังไม่ได้ทุ่มเทให้กับ การสร้างสันติภาพโลกด้วยสันติสุขภายในอย่างจริงจัง โลก ย่อมไม่มืทางเข้าส่ยุคสันติภาพโลกที่แท้จริง พระสัมมาสัมพูทธเจ้าทรงรู้ว่า สันติภาพโลกที่แท้จริง ต้องเกิดจากการท่าภาวนา เพราะพระพุทธองค์ทรงหมดกิเลส แล้ว ใจของพระองค์แช่อิ่มอยู่กับสันติภาพโลกที่แท้จริง (คือ พระนิพพาน) อยู่ตลอดเวลา ด้งนั้น พระองค์จึงตรัสสอนให้ ชาวโลกรู้ว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ , สุขอื่น(ใด) ยิ่งกว่าความสงบ ย่อมไม่มื® การที่พระองค์ตรัสคำว่า \"สุขอื่น\" ก็เพราะทรงทราบว่า ความสุขมืหลายระดับ ได้แก่ ๑) ความสุขในระดับกามคุณ๔คือ สุขที่เกิดจากการ เกี่ยวข้องกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ท่าให้ใจยังขุ่นข้อง หมองมัวอยู่กับนิวรณ์ ๕ ซึ่งเป็นตัวป็ดกั้นไม่ให้ชาวโลกรู้จัก ความสุขที่แท้จริง ® ชุ.ธ. ๒๕/๒๐๒/๙๕(มจร.) ศรทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก - ๒๙๙;. www.kalyanamitra.org

๒) ความสุขในระดับรูปฌาน เป็นความสุขในขณะที่ ใจหยุดนิ่งเป็นสมาธิ หลุดพ้นจากนิวรณ์ ๕ เป็นต้นไป ชึ่งมี ความละเอียดประณีตลึกซึ้งของสมาธิอยู่ ๔ ระดับ ได้แก่ ปฐมฌานทุติยฌานตติยฌานจตุตถฌาน แต่ยังไม่หมดกิเลส ฅ) ความสุขในระดับอรูปฌาน เป็นความสุขในขณะ ที่ใจหยุดนิ่งเป็นสมาธิในระดับที่ละเอียดประณีตยิ่งกว่า จตุตถฌาน ชึ่งมีความละเอียดประณีตลึกซึ้งของสมาธิอยู่ ๔ ระดับ ได้แก่ อากาสานัญจายตนฌานวิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แต่ยัง ไม่หมดกิเลส ๔) ความสุขอันไพบูลย์ในระดับพระนิพพาน เป็น ความสุขที่เกิดจากการสินอาสวกิเลส เป็นความสุขที่สมบูรณ์ แบบไม่มีอะไรยิ่งกว่า ที่เรียกว่า \"เอกนตบรมสุข\" เพราะทำให้ หลุดพ้นจากวัฏสงสารได้อย่างเด็ดขาดแล้วมีแต่ความสงบระงับ ปราศจากกิเลสอยู่ตลอดเวลา ซึ้งเท่ากับเป็นการยืนยันว่าใจ ของพระองค์แช่อิ่มอยู่กับบรมสุขในพระนิพพาน ดังพุทธพจน์ ที่ตรัสว่า นิพฺพานํ ปรม่ สุขํ I พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง* : ยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังตรัสยืนยันอีกว่า การที่พระองค์ ทรงรู้จริงเช่นนั้!ต้ เพราะทรงทุ่มช่วิตเป็นเดิมพ้น ลองผิดลอง ถูกมานับภพนับชาติไม่ถ้วน กว่าจะพบหนทางตรัสรู้ไปยู่ ® ม.ม. ๑๓/๒๑๖/๒๕๔(มจร.) ๒๙๙ ทุทธฑจ ๕ ต้นแบบการทุ่มรวิตสร!งตถาคตโพธสัทธา www.kalyanamitra.org

พระนิพพานที่แท้จริงได้นั้น ต้องหมดเวลาไปยาวนานถึงยี่สิบ อสงไขยแสนมหากัปจึงไม่อยากไท้ใครต้องมาเสียเวลาเนิ่นนาน ด้งนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า อฏฺฐงฺคิโก จ มคฺคานํ ผเมํ อมตคามินนุติ [ บรรดาหนหางพั้หลายให้ถึงอมตธรรม i มรรคมีองค์ ๘ เรนหนทางอ้น๓ษม® ซึ่งเท่ากับพระพุทธองค์ทรงเอาผลการปฏิบัติของพระองค์ เอง มายืนยันว่า หนทางสายเดียวที่นิาโลกไป^การเกิด สันติภาพโลกที่แท้จริง นั่นคือ การปฏิบัติมรรคมีองค์๘ อย่าง ทุ่มชีวิตเป็นเดิมพัน แต่เนิ่องจากการที่ใครจะปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ใน ระดับที่บรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้ช้าหรือเร็วนั้น ขึ้นอยู่กับ ว่าบุคคลนั้นมีตถาคตโพธิสัทธาอยู่ในตัวมามากน้อยเพียงไร ถ้ามีตถาคตโพธิสัทธามาก ก็ปฏิบัติได้ผลเร็ว ถ้ามีตถาคต โพธิสัทธาน้อย ก็ปฏิบัติได้ผลช้า แตกจะไม่สูญเปล่าอย่าง แน่นอนส่วนผู้ที่ไม่มีตถาคตโพธิสัทธาเลย ย่อมไม่ได้อะไรเลย มิหนำชํ้า ยังไม่รู้จักวิธีการทำตนให้มีที่พึ่งในคราวประสบทุกข์ อีกด้วย พระพุทธองค์ทรงทราบดีว่า การสร้างตถาคตโพธิสัทธา เป็นเรื่องใหญ่ เพราะการที่มรรคมีองค์ ๘ จะขับเคลื่อนไปได้ ต้องมีตถาคตโพธิสัทธาเป็นตัวน่า หากไม่มีตถาคตโพธิสัทธา เป็นตัวนำแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่อาจช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หลุด ® มาคัณฑิยสูคร ม.ม. ๑๓/๒๑๖/๒๕๔(มจร.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก . .;๓๐๐ . , www.kalyanamitra.org

พ้นจากความทุกข์ได้แล้ว ยังไม่อาจประดิษฐานพระพุทธ- ศาสนาให้ตั้งมั่นอยู่ในโลกนื้!ปนานแสนนานอีกด้วย เพราะยิ่ง ชาวโลกมีตถาคตโพธิสัทธามั่นคงยั่งยืนมากเท่าใด พระทุทธ- ศาสนาก็จะมีความยั่งยืนมากเท่านั้น โลกก็จะยังคงมีอริย มรรคมีองค์ ๘ เป็นหนทางปฏิบัติเพื่อนำซาวโลกไปยู่สันติสุข ภายในอย่างแท้จริงตราบนานเท่านานมากเท่านั้น พระองค์ทรงตระหนักและห่วงใยชาวโลกเรื่องนี้ยิ่งนัก ทั้งตถาคตโพธิสัทธาของชาวโลกในส่วนที่เกิดมาทันพบ พระองค์ และส่วนของชาวโลกที่มาไม่ทันพบพระองค์ มิหนำตั้าพระองค์ก็ยังทรงมีเวลาของพระชนม์ชีพจำกัดอีกด้วย ทุกอย่างจึงถูกเร่งด้วยเวลา พระองค์จึงทรงอุทิศชีวิตปาเพ็ญ สร้างหน้าที่กัลยาณมิตรตลอดวัน ตลอดคึน และตลอด พระชนม์ชีพ เพื่อเร่งสร้างตถาคตโพธิสัทธาให้สถิตย์ มั่นคงอยู่ในโลกไปตลอดกาล ดังปรากฏใน\"พุทธกิจ ๔\"หรือ \"พุทธกิจวัตร ๔ ประการ®\"ได้แก่ ๑) ปุเรภัตตกิจ คือ พุทธกิจวัตรก่อนเสวยภัตตาหารเช้า ๒) ป็จฉๆภัตตกิจ คือ พุทธกิจวัตรหสังเสวยภัตตาหารเช้า ท) ปุริมยามกิจ คือ พุทธกิจวัตรในยามยํ่าคํ่า ๔) มัชฌิมยามกิจ คือ พุทธกิจวัตรในยามเที่ยงคืน ๔) ป้จฉิมยามกิจ คือ พุทธกิจวัตรในยามสุดท้าย (เวลาใกล้รุ่ง) ® อัจฉราสังฆาตวรรคที่๖อรรถกลาสู8^รที่ทอัง.เอก.๓๒/๕๒-๖๑/๑๑๒(มมก.} 01O® ทุทธกํจ ๕ ต้นนบยการทุ่มรวิตสร้างตถาคตโพธิสัทธา www.kalyanamitra.org

๑. ปุเรภัตตกิจ คือ พุทธกิจวัตรในตอนเช้า หลังจาก พระพุทธองค์ทรงตื่นบรรทมก่อนอรุณรุ่งแล้ว ก็ทรงชำระ พระวรกาย มีการล้างพระพักตร์ เป็นต้น เพื่อทรงอนุเคราะห์ พุทธอุปัฏฐาก และเพื่อให้พระวรกายมีดวามผาสุก จากนั้นก็ ทรงประทับนั่งอยู่บนอาสนะภายในพระคันธกุฎี รอเวลาที่จะ เสด็จออกบิณฑบาต ก่อนที่จะเสด็จออกบิณฑบาตในแต่ละวัน พระองค์ก็ ทรงเช้าผลสมาปัติ แล้วเช้ามหากรุณาสมาบติ แล้วจึงทรงแผ่ พระญาณตรวจดูเวไนยลัตว์ นับตั้งแต่หน้าพระคันธกุฎีไป จนถึงขอบจักรวาล เพื่อตรวจดูว่าในเช้าวันนั้น การปฏิบัติ มรรคมีองค์ ๘ ของผู้ใดมีความแก่รอบ เมื่อฟังธรรมจาก พระองค์แล้ว จะบรรลุมรรคผลได้บ้าง ด้วยวิธีการนี้ ผู้ใดที่มี มรรคมีองค์ ๘ แก่รอบ ก็จะปรากฏขึ้นในข่ายพระญาณ พระองค์ก็จะเสด็จไปหาในวันนั้น ซึ่งไม่ว่าจะมีคนเดียวหรือ หลายคน ไม่ว่าจะหนทางใกล้หรือหนทางไกลแสนไกล พระองค์ก็เต็มพระทัยเสด็จไป ทั้งนี้เพราะทรงเห็นคุณค่าของ ความเพียรในตัวบุคคล การที่พระองค์เสด็จไปเทศนี้โห้เขาฟัง ก็จะช่วยเร่งวันเร่งคืนให้เขาบรรลุธรรมได้เร็วขึ้น ย่นเวลาจาก ๗ ปี เป็น ๗ วันบ้าง ๑ วันบ้าง ครึ่งวันบ้าง เดยวนั้นทันทีบ้าง การเสด็จบิณฑบาตนั้น บางครั้งพระพุทธองค์ก็เสด็จ ไปลำพัง บางครั้งก็เสด็จไปพร้อมภิกษุแวดล้อมจำนวนมาก บางครั้งก็เสด็จไปด้วยปาฏิหาริย์ บางครั้งก็เสด็จดำเนินไป ตามปกติ ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เพื่อเป็นการสร้างตถาคตโพธิสัทธา ให้มั่นคงแก่ประชาชน ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพLin . cnoto www.kalyanamitra.org

การรับบิณฑบาตของพระองค์นั้น ตามปกติในเวลารุ่ง เช้าจะมีผู้คนมารอเฝืา เพื่อรอโอกาสกราบทูลนิมนต์พระใ'^ทส- องค์เสด็จไปรับบิณฑบาตที่บ้านเรือนของตน หากเช้าวันนั้น ผู้ที่มารอกราบทูลคนใดปรากฏอยูในข่ายพระญาณ พระพุทธองค์ ก็จะประทานบาตรให้แก่ผู้นั้น เขาก็จะอุ้มบาตรนำพระพุทธ- องค์ไปถวายภัตตาหารเช้าที่บ้านของตน เมื่อเสวยภัตตาหาร เช้าเสร็จแล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงอนุโมทนาให้เหมาะสมกับ ระดับมรรคมีองค์ ๘ ของเขาเหล่านั้นและคนอื่นๆ ที่ตามไป ร่วมอนุโมทนาด้วย ทำ ให้มีผู้เช้าถึงธรรมตามมาอีกมากมาย แต่หากเช้าวันใด ผู้มาปรากฏอยู่ในข่ายพระญาณอยู่ ณ สถานที่อื่น พระองค์ก็จะเสด็จไปหาบุคคลผู้นั้น และเมื่อทรง ไปถึงที่นั้น ก็จะทรงทักทายบุคคลนั้นขึ้นก่อน เพื่อให้เขาเกิด ความสนใจจะได้เปิดโอกาสให้พระองค์สร้างตถาคตโพธิสัทธา และแสดงพระธรรมเทศนาให้เหมาะแก'จริตนิสัยและระดับ การปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ นอกจากนี้ บางครั้งพระองค์เสด็จไปในเวลาที่ยังเช้า เกินไป ก็ทรงมีนํ้าพระทัยเสด็จแวะไปสนทนาธรรมตามสำนัก ของนักบวชในสัทธิต่างๆ เช่น สำ นักของปริพาชก เป็นต้น แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่สามารถบรรลุธรรมอันใด แต่ก็เป็นการ ฝึกให้คิดไตร่ตรองด้วยเหตุผลอย่างเป็นระบบ อันเป็นการปู พื้นฐานสัมมาทิฎฐิเบื้องต้น ๑๐ ประการ ให้ติดตัวไป ซึ่งก็ เป็นการปลูกตถาคตโพธิสัทธาไวให้แก'พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไป เพราะอย่างน้อยคนกลุ่มนี้ก็มีความตั้งใจดีที่จะแสวงหาทาง ด้บทุกข์ให้พบ เพียงแต่รอเวลาจะจับทิศให้ถูกเท่านั้น ทุทธกํจ ๕พ้นนบบการทุ่ม?วตสร้พตถาคตโพธสัทธา www.kalyanamitra.org

ดังนั้นเมื่อรวมเวลาในการปฏิบัติพทธกิจในตอนเช้าแล้ว ก็เป็นเวลา ๔ ชั่วโมง ๒. ป้จฉาภตตกิจ คือ พุทธกิจวัตรที่ปฏิบัติตั้งแต่ ช่วงสายถึงช่วงเย็น เนื่องจากในสมัยพุทธกาลได้แบ่งเวลา กลางวันออกเป็น ๓ ภาค แต่ละภาคมี ๔ชั่วโมง เรียกว่า ปฐม ภาค (ภาคที่ ๑) ทุติยภาค (ภาคที่ ๒) ตติยภาค (ภาคที่ ๓) ส่วนในเวลากลางคืนก็แบ่งออกเป็น ๓ ยาม แต่ละยามก็มีเวลา ๔ชั่วโมงเช่นกัน เรียกว่า ปฐมยาม(ยามต้น)มัชฌิมยาม(ยาม กลาง)ป็จฉิมยาม(ยามบ่ลายหรีอยามสุดท้าย)ดังนั้นพุทธกิจ หลังจากเสวยภัตตาหารเช้านี้ได้แก่ พุทธกิจในภาค๒และภาค ๓ของเวลากลางวันซึ่งอาจรวมเรียกว่า พุทธกิจตั้งแต่ช่วงสาย จรดเย็น กิจวัตรในช่วงภาค ๒ ของวันนั้น หลังจากพระพุทธ- องค์เสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว ก็จะเสด็จออกมานั่งประท้บ บนพุทธอาสน์ที่หน้ามุขพระคันธกุฎี เพี่อให้ภิกษุทั้งหลายไต้ เช้าเฝ็ารับพระโอวาท หรีอขอบ่ระทานคำสอนในเรื่องเกี่ยวกับ การเจริญภาวนาที่ตนค้างใจ ซึ่งพระองค์ก็จะตรัสแน,ะนำตาม ระดับการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ และความเหมาะสมกับจริต นิสัยที่ผู้ถามมีติดตัวมาข้ามภพข้ามชาติ หลังจากเหล่าพระภิกษุแยกย้ายกลับไปเจริญภาวนาแล้ว พระพุทธองค์ก็จะเสด็จเช้า^พระคันธกุฎี แล้วเช้ามหากรุณา- สมาบัติ เพี่อตรวจดูลัตวโลกอีกวาระหนื่ง เป็นครั้งที่ ๒ ของ วัน หากมีบุคคลใดที่ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ แก่รอบในเวลานั้น พระองค์ก็จะเสด็จไปแสดงธรรมให้เขาฟังท้นที สพัธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก motf www.kalyanamitra.org

กิจวัตรในช่วงภาค ๓ หรือเวลาเย็นของวันนั้น ไม่ว่า พระพุทธองค์จะเสด็จไปประทับที่บ้านเมืองใด พอตกเย็น จะ มืประชาชนจำนวนมาก พากันถือดอกไม้ของหอมมาประชุม กันในศาลาโรงธรรม ณ พระอารามที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ เพื่อรอฟังธรรมด้วยศรัทธาอันแรงกล้า เมื่อถืงเวลา พระพุทธ- องค์ก็จะเสด็จออกจากที่ประทับมายังศาลาโรงธรรม ประทับ บนพุทธอาสน์แล้ว ก็แสดงธรรมแก่ประชาชนที่มาเฝ็าตาม ความแก่รอบของมรรคมืองค์ ๘ และจริตนิสัยของประชาชน ในบ้านเมืองนั้น หลังจากทรงแสดงธรรมจบลงแล้ว ในแต่ละ วันก็มืผู้เข้าถึงธรรมเป็นจำนวนมาก ด้งนั้น เมื่อรวมเวลาปฏิบัติพุทธกิจในช่วงสายจรดเย็น แล้ว เป็นเวลา ๘ ชั่วโมง ฅ. ปุริมยามกิจ คือ พุทธกิจวัตรในยามยํ่าคํ่า หรือ ปฐมยาม พระพุทธองค์ทรงนุ่งห่มจีวรเรืยบร้อยแล้ว ก็เสด็จ ออกมาประทับบนพุทธอาสน์ บริเวณพระคันธกุฎีลำพัง พระองค์เดียว ไม่นานนัก ก็จะมืภิกษุทั้งหลายจากที่ต่างๆ พา กันมาเข้าเฝืาเพื่อทูลขอวิธีปฏิบัติกรรมฐานบ้าง ทูลถาม คำ ถามที่ค้างใจบ้าง ทูลอาราธนาให้แสดงธรรมบ้าง พระพุทธ- องค์ก็จะทรงตอบปัญหาและแสดงธรรมโปรดเหล่าภิกษุ ทั้งหลายอยู่ตลอดยามต้นจนถึงเวลาเที่ยงคืน(รวมเป็นเวลา ๔ ชั่วโมง) ๔. ม้ชฌิมยามกิจ คือ พุทธกิจวัตรในยามเที่ยงคืน หลังจากเหล่าพระภิกษุทั้งหลายกราบทูลลากลับไปแล้ว เหล่า เทวดาทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุก็จะพากันมาเข้าเฝืาพระพุทธ- องค์ เพื่อทูลถามปัญหาธรรมะต่างๆ ที่ตนด้างใจเมื่อตอนเป็น ๓๐๕ ทุทธกิจ ๕ ต้นแบบการทุ่ม?วํตสร้างตถาคตโพธิสัทธา www.kalyanamitra.org

มนุษย์บ้าง หรือค้างใจเมื่อตอนเป็นเทวดาบ้าง พระพุทธองค์ ก็ประทับตรัสตอบป้ญหาของเทวดาตั้งแต่เที่ยงคืนจนสิน มัชฌิมยาม (รวมเป็นเวลา ๔ ชั่วโมง) ๔. ป็จฉิมยามกิจ คือพุทธกิจวัตรในยามสุดทัาย(เวลา ใกล้รุ่ง) หลังจากเหล่าเทวดากราบพูลลาพระพุทธองค์กลับไป หมดแล้ว พระองค์จะทรงแปงเวลาในยามสุดทัายนี้ออกเป็น ๓ ส่วนโดยนับเอาส่วนละ ๑ ชั่วโมง ๒๐ นาที ในส่วนแรกของยามสุดท้าย พระพุทธองค์ทรงเดิน จงกรมเป็นเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ๒๐ นาที เพี่อผ่อนคลาย พระวรกายอันเนื่องมาจากประทับนั่งติดต่อกันเป็นเวลานาน ตลอดทั้งวัน ในส่วนที่สองของยามสุดท้าย หลังจากพระพุทธองค์ ทรงเดินจงกรมเสร็จแล้ว ก็เสด็จเข้า^พระคันธกุฎี เพื่อ บรรทมสี'พไสยาสน์อยู่ในสมาธิเป็นเวลา ๑ ชั่วโมง ๒๐ นาที ในส่วนที่สามของยามสุดท้าย พระพุทธองค์ทรงเสด็จ ลุกจากบรรทม ก็เป็นเวลาใกล้รุ่ง พระองค์จึงประทับนั่งเจริญ มหากรุณาสมาบัติ เมื่อทรงออกจากมหากรุณาสมาบัติแล้ว ก็ ทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ที่มีมรรคมีองค์ ๘ แก่รอบแล้ว พระพุทธองค์ก็จะเสด็จไปโปรดในเวลารุ่งเช้า นับเป็นการครบ รอบพุทธกิจวัตรใน ๑ วัน จากพุทธกิจ ๕ ประการ จะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ ทรงทุ่มชีวิตไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย ทุ่มชีวิตเป็นเดิมพัน เพี่อ ปฏิบัติพุทธกิจตลอดวันตลอดคืนจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ทรงใช้พุทธจักษุตรวจแล้วตรวจอีกวันละหลายเที่ยว ทั้งนี้ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก (ท0๖ www.kalyanamitra.org

เพราะพระองค์ทรงเคารพในธรรม มีดวามตระหนักชาบชึ้งใน คุณค่าของความวิริยอุตสาหะในการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ของคนเรา หากจะปล่อยให้บุคคลเหล่านั้นไปตรัสรู้เองนั้น เป็นการยาก แต่หากได้พระองค์ทรงชี้แนะให้ ก็จะช่วยเร่งวัน เร่งคืนให้เข้าถึงธรรมได้เร็วขึ้น จาก ๗ ปี ทำ ให้เหลึอ ๑ วัน หรือครึ่งวัน หรือเดี๋ยวนั้นทันที ร่งก็จะไม่ต้องเสียเวลาค้นหา เองมาก ในเวลาเดียวกัน ใครที่พลอยได้ฟังขณะนั้น ก็ได้ ปลูกฝังตถาคตโพธิสัทธาให้คนใหม่อีกด้วย แม้รู้ว่าเขาจะไม่ ได้บรรลุธรรมในชาตินี้ แต่ก็เป็นการเตรืยมชุนพลไปให้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป ได้ใช้งาน การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทุ่มชีวิตปฏิบัติพุทธกิจ๕ เช่นนี้ แท้จริงก็คือ พระองค์ทรงทุ่มชีวิตสร้างตถาคตโพเ สัทธารายวัน โดยใช้พระองค์เองเป็นแกนหสักในการ ประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคงไปอีกนานแสนนาน เพราะพระพุทธองค์ทรงรู้ดีว่า กว่าที่พระองค์จะมาตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นั้น เป็นเรึ่องยากแสนยาก กว่า พระองค์จะแสดงธรรมให้บังเกิดขึ้นในโลกได้นั้น เป็นเรึ่อง ยากแสนยาก กว่าจะมีผู้ที่สามารถบรรลุธรรมตามคำสอน ของพระองค์ไปได้นั้น เป็นเรึ่องที่ยากแสนยาก แต่ในอนาคต ข้างหน้า พระพุทธองค์จะต้องเสด็จดับขันธปรินิพพาน ซาว โลกที่เกิดมาในภายหสังจะไม่มีโอกาสพบพระพุทธองค์ หาก พระพุทธองค์ไม่ทรงเร่งประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคง ชาวโลกที่เกิดตามมาในภายหสังย่อมประสบความเคว้งคว้าง เดียวดาย ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารไปอีกนาน แสนนาน พระองค์ทรงห่วงใยชาวโลกในเรึ่องนี้ จึงทรงอุทิศ ๓๐๗ ทุทธกิจ ๕ ต้!นเบบการทุ่มชีวิตส^งตถาคตโพธิสัทธา www.kalyanamitra.org

ชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อสร้างตถาคตโพธิสัทธาให้มั่นคงในยุค ของพระองค์ จากนั้นก็ทรงวางธรรมวินัยไว้เป็นระบบการ รักษาตถาคตโพธิสัทธาให้มั่นคง เพื่อให้ชาวโลกในภายหน้า ได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนาที่บังเกิดขึ้นได้ยากแสนยาก และจะได้ช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ จนกว่าจะถึงมีอของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไป อัน เป็นการเตรียมคนให้ท่านไวใช้งาน และในเวลาเดียวกัน ก็ เป็นการเตือนชาวโลกที่มาไม่ทันพระพุทธองค์ว่า ไหรีบตั้งใจ ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เพื่อไปรอพบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภายหน้า หากท่านมาตรัสรู้เมื่อใด จะได้มีโอกาสบรรลุธรรม เช้าพระนิพพานไปในยุคของพระองค์ท่าน สิงสำคัญที่ชาวพุทธทุกคนต้องรู้ ก็คือ การที่พระพุทธ- ศาสนาจะอยู่หรีอไป แท้ที่จริงแล้ว ก็เนอยู่กับการสร้าง ตถาคตโพธิสัทธาและสิงที่ใช้ขึ้ว้ดความมีตถาคตโพธิสัทธามาก หรีอน้อย ก็คือ การปฏิบติมรรคมีองค์ ๘ อย่างทุ่มชีวิตเป็น เติมพัน หากยุคใด มีผู้ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อย่างทุ่มชีวิตเป็น เดิมพันจำนวนมาก โลกย่อมไม่เว้นว่างจากพระอรทันต์ พระพุทธศาสนาย่อมเจริญรุ่งเรีองยาวนาน แต่หากยุคใดมีผู้ ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อย่างทุ่มชีวิตเป็นเดิมพันจำนวนน้อย ยิ่งน้อยลงไปมากเท่าไรพระพุทธศาสนาก็เรียวลงไปมากเท่านั้น ด้งนั้น การที่พระพุทธศาสนาจะมั่นคงเพียงใดก็ตาม การที่ชาวโลกจะเช้าถึงธรรมหรีอไม่ก็ตาม การที่โลกจะเกิด สันติภาพที่แท้จริงหรีอไม่ก็ตาม ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับการสร้าง- ร้กษา-ส่งต่อตถาคตโพธิสัทธาจากคนรุ่นหนึ่งไปส่คนรุ่นหนึ่ง ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๓๐(• www.kalyanamitra.org

ด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อย่างทุ่มชีวิตเป็นเดิมพัน จนกว่าจะถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไป ด้งที่พระพุทธ- องค์ทรงปฏิบัติพุทธกิจ ๕ ประการ ไว้เป็นต้นแบบ เมื่อครั้ง ยังทรงดำรงพระชนม์ชีพนั่นเอง การเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมทุทธเจ้า เป็นการยาก มีหสักฐานปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนามากมาย หลายแห่ง ที่แสดงว่าหสังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ หนึ่งเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยก็ยัง สามารถเป็นเสมือนตัวแทนของพระพุทธองค์ สืบทอด พระพุทธศาสนาต่อไป ครั้นถึงวาระหนึ่งแล้วตถาคตโพธิ สัทธาของพุทธบริบัฑก็ลดนัอยถอยลงเรึ่อยๆ ทำ ให้การปฏิบัติ พระศาสนาธรรมย่อหย่อนลงตาม เป็นเหตุให้มิจฉาทิฎฐิเข้า มาแทนที่ ในที่สุดโลกก็ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนาไประยะ หนึ่ง ครั้นแล้วก็มีพระโพธิสัตว์องค์ใหม่จุติจากเทวโลกมาเกิด ในโลกมนุษย์อีก ครั้นตรัสรู้แล้วก็ตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นใหม่ ในอดีตอันไกลได้เคยมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกนี้แล้ว มากมายนับพระองค์ไม่ล้วน จากอรรถาธิบายนี้อาจทำให้บาง ท่านเข้าใจผิด คิดว่าการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละพระองค์นั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แท้ที่ จริงแล้วเป็นเรื่องสุดแสนยากทีเดียว โดยมีสาเหตุ ๒ ประการ ด้งนี้ moor การ๓ดฃื้นของพระสัมมาสัมทุทธเจ้า ฟ็นการยาก www.kalyanamitra.org

ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อพาตนให้พ้นทุกข์เป็นประการ แรก และมุ่งอนุเคราะห์สัตวโลกให้พ้นทุกข์ตามไปด้วยเป็น ประการที่สอง ในครั้งที่ทรงถือกำเนิดเป็นมานพหนุ่มผู้แบก มารดาข้ามมหาสนุทรเป็นต้นมา จนถึงกาลตรัสเนั้น นับเป็น เวลาข้านานรวมทั้งสินถึง ๒๐ อสงไขย® กับอีกหนึ่งแสน มหากัป'°หรือถ้าจะนับเฉพาะเวลาในการสร้างบารมีตอนปลาย นับตั้งแต่ได้รับการพยากรณ์จากพระทีปังกรพระพุทธเจ้า'\" ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอนในอนาคต จึงเจริญฌาน สมาบัติด้นหาพุทธการกธรรม''เมึ่อพบแล้วก็ทรงมุ่งมั่นปาเพ็ญ เพียรแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพ้น จึงตรัสรู้พระโพธิญาณนั้นใน กาลต่อมา 4งต้องใช้เวลานานถึง ๔ อสงไขย กับอีกหนึ่ง แสนมหากัป อันที่จริงถ้าพระโพธิสัตว์สุเมธดาบสจะเปลี่ยนใจจากมโน ปณิธานเดิม ซึ่งตั้งความปรารถนาไว้ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า มาเป็นเพียงพระอรห้นตสาวกธรรมดาของพระพุทธเจ้า ทีปังกรก็ย่อมได้และสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ใน ® อสงไขย คือ มากจนนับไม่ถ้วน, โกฏิยกกำลัง ๒๐, ๑๐ ล้านยกกำลัง ๒๐, จำ นวนที่ประกอบด้วยเลข ๑ ต่อท้ายด้วยเลย ๐ จำ นวน ๑๔๐ ตัว ^ มหาทปหมายถึง ร!วงเวลาที่ยาวนานมากประกอบด้วย ๔ช่วงเวลาของจักรวาล ไ&ก่ รง^ฎ (1|วฬ^าลังถูกทำ๓ฬ สังชุQO^S (เป็ฟวงเวลา®แต่ ความว่างเปล่า หลังจากจักรวาลถูกทำลาย)วิวัฏฎ(กำลังก่อตัวขนของจักรวาล) วิวัฎฎฐายี (จักรวาลที่ตั้งขึ้นใหม่เรียบร้อยเป็นปกติตามเดิม) โดยในช่วง ๑ มหากัป จะมีพระทุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้นได้ ๑-๕ พระองค์ หากมหากัปใดไม่มี พระทุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้น เรียกว่า สุญกัป ^ สุเมธกถา ชุ.พุทธ. ๓๓/๖๑/๕๗๕(มจร.) ^ พุทธการกธรรม หมายถึง ธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่ ทศบารมี สรทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ...s ๓๑๐,'. , www.kalyanamitra.org

วันนั้นทันที ก่อนร[วงเวลาที่จะได้รับการพยากรณ์จาก พระพุทธเจ้าทีป้งกร ไม่ต้องเสียเวลาอีกสุดแสนนานถึงสี อสงไขยกับแสนมหากัป แต่เพราะมีมหากรุณาอย่างเหนียว แน่นต่อสัตวโลก มโนปณิธานจึงมั่นคงยิ่งนัก ทำ ให้บุ่งมั่น ปาเพ็ญเพียรต่อไปอย่างไม่ย่อท้อถดถอย ด้งที่ตรัสแสดงไว้ ในสุเมธกถา® ด้งนี้ เมื่อเรานอนอยู่ที่พื้นดิน มีดวามคิดอย่างนี้ว่า เราเมื่อต้องการอยู่ ก็พึงเผากิเลสเราได้ (กำจัดกิเลสให้หมดสินไปได้)ในวันนี้ (แต่) จะมีประโยชน์อะไรแก่เรา ที่จะรู้แจ้งธรรมในศาสนานี้ โดยเพศที่คนอื่นไม่รู้จัก เราจักบรรลุสัพพัญญตญาณ พ้นแล้ว พึงปลดเปลื้องมนุษย์พร้อมทั้งเทวดา (ทรงเป็นห่วงสัตวโลก) ! จะมีประโยชน์อณ์รแก่เรา ' ที่เป็นผู้ชายเห็นกำสังความสามารถ จะช้ามพ้น่แต่เพึยงผู้เดียว เราจักบรรลุพระสัพพ้ญญตญาณ ช่วยมนุษย์โลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ช้ามพ้นด้วย ด้วยอธิการ (คือทุศลอ้นยิ่งใหญ่) นี้ ที่เราได้ทำแล้วในพระพุทธเจัไ (ทีป้งกร) ทรงเป็น.สูงสุดแห่งบุรุษ i เราจักบรรลุพระสัพพ้ญญตญาณ : จะช่วยหมูชนเป็นอ้นมากให้ช้ไมพ้น 1 ® ชุ.พุทธ. ๓๓/๕๔-๕๘/๕๗๔(มจร.) , .• ๓®® -.. การ๓ดฃื้นของพระสัมมาสืมทุทธเจ้า ฟ้นการยาก www.kalyanamitra.org

เราจ้กตัดกระแสแห่งสังสารว้ฏ ทำ ลายภพ'ฌั้ ๓ แล้วขึ้น^ธรรมนาวา® (เรือสีลธรรม) รเวยม'นุษยโลกพร้อม'ทั้งเทวโลกให้ข้ามพ้น ๒. การข้ดขวางของมาร สาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่ง■ที่ เป็นอุปสรรคของการบังเกิดขึ้นของพระล้มมาล้ม'เ^ทธเจ้า ก็ คือการขัดขวางของมาร ๕ {^ง มาร'\" แปลว่า ผู้ทำ ให้ตาย, ผู้ฆ่า มาร หมายถึง ผู้ขัดขวางมิให้มีโอกาสทำความดีได้โดย สะดวก, ผู้กิาจ้ดความดีที่มีอยู่ในตัวบุคคลให้หมดไป ๑) กิเลสมาร- มาร คือ กิเลส เพราะครอบงำทำให้เดีอด ร้อนอุ่นวายอยู่ตลอดเวลา (กิเลสมารนี้ย่อมบั่นทอนกำลังใจใน การปาเพ็ญเ'พียรเป็นอย่างยิ่งอยู่'ทุกลมหายใจเข้าออก) ๒) ขันธมาร - มาร คือ ร่างกาย เพราะหิวกระหาย เจ็บ ปวย ต้องดูแลรักษาตลอดเวลา ท) อภิสังขารมาร - มาร คือ อกุศลกรรม เพราะคอย ให้ผลกำจ้ดขัดขวางทำให้ตกตํ่าลงเรึ่อยๆ ๔) มัจจุมาร - มาร คือ ความตาย เพราะกำ จัดชีวิตให้ หมดโอกาสทำความดีต่อไปเด็ดขาด ๕) เทวบุตรมาร® - มาร คือ ผู้มีฤทธเดชตามล้างตาม ผลาญพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ ไม่ใหับังเกิด ® ธรรมนาวา ได้แก่ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ๒ พระธรรมกิตติวงค์(ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต), คำ วัด หน้า ๗๘๐ ๓ พระเดชพระคุณหลวง1jวัดปากนํ้าภาษีเจริญหรือพระมงคลเทพร^นี(สดจัน- ทสโร) ตั้งมโนปณิธานจะสร้างบารมีไปปราบมารงที่ ๕ นี้ ให้หมดสินชนิด ถอนรากถอนโคน ศร้ฯธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก cnelo www.kalyanamitra.org

ขึ้นในโลกนื้เพราะพยายามคุมขังสัตวโลกให้เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสารไปตลอดกาล ได้แก่ พญามาร® เสนามาร เทวบุตรมาร ธิดามาร พลมาร เป็นต้น สำ หรับมารฝูงที่ ๕ นี้ เป็นกายทิพย์ประ๓ทหนึ่ง มีภพ เป็นที่อยู่พิเศษของมันเอง มองเห็นด้วยทิพยจักษุ พรหมจักษุ พุทธจักษุ ไม่เห็นด้วยตามนุษย์ อุปสรรคทั้ง ๒ ประการนี้ คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้การ บังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องสุดแสนยาก เป็นสิงที่ชาว พุทธทุกคนต้องรู้ และควรรู้ต่อไปอีกด้วยว่าพวกเราชาวพุทธ ทั้งหลายโชคดีมากที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แม้จะไม่มี โอกาสได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตาม แต่พระธรรมคำสัง สอน และพระภิกษุสงฆ์ผู้สิบทอดพระพุทธศาสนา ก็ยังมีอยู่ มากมาย ที่สำ คัญคือยังมีพระสงฆ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบซึ่ง ทรงภูมิรู้ภูมิธรรม และตั้งใจปลูกฝ็งตถาคตโพธิสัทธาให้แก่ พทธบริบัท องค์ ๘ รอบแล้วรอบเล่า ชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จนกระทั้ง แก่รอบ กลายเป็นโปรแกรมชีวิตติดแน่นอยู่ในจิตใจ เป็นผัง สำ เร็จอันดีงามติดตัว ข้ามภพข้ามชาติไป ในที่สุดเราย่อมมี โอกาสประสบด้วยตนเองว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง ® หลังจากพระพุทธองค์ตรัสรู!ด!ม่นานนัก ขณะประทับอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ พญามารก็มาพูลเชิญให้เสด็จดับขันธปรินิพพาน จึงเกิดการต่อรองกันขึ้น ในเรื่องการประกาศพระพุทธศาสนา ดังปรากฎในมหาปรินิพพานสูตร ๓®๓ การIกํดขื้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรนการยาก www.kalyanamitra.org

ศรัทธาเป็นอริยทรัพย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในสืงคีติสูตร* ว่า ศรทธา เป็นอริยทรัพย์ คือเป็นอริยทรัพย์อันดับแรกในบรรดา อริยทรัพย์ ๗ ประการ ได้แก่ ศรัทธา คืล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ ปัญญา คำ ดัพท์ที่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันคือคำว่า อริยทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์อันประเสริฐอยู่ภายในจิตใจของ คนเรา ดีกว่าทร้พย์ภายนอก คือทร้พย์สินเงินทองทั้งปวง เพราะ ไม่มีผู้ใดแย่งชิงเอาไปได้ ไม่สูญหายไปด้วยภัยอันตรายต่างๆ ทำ ให้ไม่รู้สืกอ้างว้างยากจน อีกทั้งยังเป็นทุนสร้างทรัพย์ ภายนอกได้ตลอดชีวิต และเป็นโปรแกรมติดอยู่ในใจข้ามภพ ข้ามชาติชั่วนิจนิรันดร์ ด้งนั้นจึงกล่าวได้ว่า ตถาคตโพธิสัทธาเป็นสิงจำเป็นยิ่ง สำ หรับทุกๆ คน ประโยชน์ย์งใหญ่ของศรัทธา สาเหตุที่กล่าวว่า ศรัทธาเป็นสิงจำเป็นอย่างยิ่ง ก็เพราะ สามารถอำนวยประโยชน์อย่างมหาศาลต่อการคำเนินชีวิตของ คนเราใน ๓ สักษณะ คือ ๑. ให้แนวทางที่ถูกต้องในการดำเนินชีริตเพื่อพาตน ให้พนจากห้างทุกข์ และอังสารรัฏ ได้กล่าวแล้วว่าผู้ที่มีศรัทธา คือผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิพร้อม บริบูรโน์ทั้ง ๑๐ ประการ สัมมาทิฏฐิในระดับต้น เป็นสัมมา ® ท.ปา. ๑๖/๓๒๖/๒๒๗(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๓®ร: www.kalyanamitra.org

ทิฏฐิในระดับความเข้าใจ หรืออาจเรียกได้ว่า ศรัทธาระดับ สุตมยป็ญญา ตามวิสัยของมนุษย์ เมื่อเกิดความเข้าใจ สัมมาทิฏฐิดีแล้ว ย่อมคิดพิจารณาหาทางไป^การปฏิบัติให้ เกิดประโยชน์นั่นคือ ศรัทธาระดับจินตมยป็ญญาได้เกิดขึ้นแล้ว ต่อจากนั้นก็จะลงมือปฏิบัติจริง แต่โดยเหตุที่สัมมาทิฏฐิเป็น องค์ประกอบของมรรคมีองค์ ๘ ด้งนั้น เพื่อให้การปฏิบัติเกิด ประโยชน์อย่างแท้จริง ก็จะต้องปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ให้ครบ ถ้วน ครั้นเมื่อลงมือปฏิบัติจริงอย่างต่อเนื่อง แม้เพียงระยะ เริ่มต้น ก็ประจักษ์ถึงคุณค่าของมรรคมีองค์ ๘ ว่าก่อให้เกิด ความสุขยิ่งใหญ่ได้จริงอย่างที่ไม่เคยประสบมาในช่วงเวลา ก่อนการปฏิบัตินี้ประสบการณ์เช่นนี้ย่อมถึอได้ว่าศรัทธาระดับ ภาวนามยป็ญญาไต้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อได้ประจักษ์ในคุณประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ของการ ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ด้วยตนเองแล้ว บุคคลย่อมตั้งใจ ปฏิบัติต่อไปอย่างจริงจัง ย่อมสามารถประคองตนให้ดำเนิน ชีวิตอยู่อย่างสุจริต ห่างไกลจากบาปอกุศลทั้งปวง การปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ รอบแล้วรอบเล่า แม้ยังไม่ บรรลุมรรคผลประการใด ก็เป็นโอกาสสังสมบุญกุศลอย่าง ต่อเนื่อง เพื่อนำตนไปล่สุคติโลกสวรรค์หสังจากละโลกไปแล้ว ประสบการณ์จากการปฏิบัติก็จะเป็นโปรแกรมบุญกุศลติดอยู่ ในจิตใจ เป็นต้นทุนในการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ สำ หรับภพ ชาติต่อไปอีก ครั้นเมื่อเกิดมาเป็นคนอีก เนื่องจากมีโปรแกรม ศรัทธาเป็นต้นทุน จึงถูกดึงดูดไปล่แวดวงบัณฑิต ห่างไกล จากคนพาลโดยสินเชิง และถ้าบุญมากไต้เกิดมาในสม้ยที่มี พระพุทธเจ้า ไต้มีโอกาสพิงธรรมโดยตรงจากพระองค์เอง ย่อมบรรลุธรรมระดับใดระดับหนื่ง หรือแม้เพียงได้พิงธรรม ๓๑๕ ประโยชน์ยิ่งใทญ่ของศร้ทธา www.kalyanamitra.org

จากพระอรหันตสาวกเพียงสันๆ ก็สามารถบรรลุโสดาปัตติ- ผลได้ ด้งกรณีพระสารีบุตร ขณะบวชอยู่ในสำนักของสัญชัย ปริพาชก ได้มีโอกาสพบพระอัสสชิเถระขณะบิณฑบาต เกิด ความเลื่อมใสจึงติดตามไปสนทนา ขอถามหสักคำสอน ได้ฟัง คำ ตอบสันๆ เพียงคาถาเดียว พระสารีบุตรก็ได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน ๒. ปลูกฝืงนิสัยโยนิโสมนเฑารดือคิดอย่างมีเหตุผล ให้แก่บุคคล เนื่องจากสัมมาทิฏฐิและศรัทธาเบื้องต้น ยังอยู่ในระดับ สุตมยปัญญา และจินตมยปัญญา ดังนั้น ผู้ที่เกิดศรัทธา จำ เป็นอย่างยิ่งจะต้องเป็นผู้มีโยนิโสมนสิการ คือต้องคิด พิจารณาองค์ประกอบของสัมมาทิฎฐิทั้ง ๑๐ ประการด้วย เหตุผล จนเกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องลึกซึ้งโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นหัวใจของสัมมาทิฎฐิ ๑๐ หรีอ อาจกล่าวว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาก็ว่าได้ ผู้ที่มีโยนิโสมนสิการย่อมพยายามควบคุมจิตใจตนให้ สามารถละชั่ว ทำ ดี ทำ ใจให้ผ่องใส อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน อยู่เป็นนิตย์ ย่อมไม่เกี่ยวข้องสืสัพพตปรามาส ย่อมพยายาม ข่มนิวรรแ!นตนให้ราบคาบ ซึ่งนอกจากจะยังผลให้สามารถ พัฒนาตนเพื่อก้าวซึ้นล่สถานภาพแห่งอริยบุคคลแล้ว ยังจะมี ดักยภาพในการพัฒนาสังคมให้เจริญรุ่งเรีองและมีสันติสุขยิ่ง ขึ้นอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นผู้มีโยนิโสมนสิการยังปราศจากความ คิดแบบมิจฉาทิฏฐิชน ซึ่งล้วนพยายามแพร่โรคชั่วร้ายในใจ ตนให้เกิดเป็นโรคระบาดติดต่อทั่วสังคม แล้วพาก้นก่อความ ทุกข์ความเดือดร้อนให้เพิ่มขึ้นจากความทุกข์อันเป็น ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๓๑๖ www.kalyanamitra.org

ธรรมชาติที่ทุกคนต้องทนทรมานอยู่แล้ว ดังที่พระล้มมา ล้มพุทธเจ้าตรัสว่ามิจฉาทิฎฐิเพียงคนเดียวเกิดขึ้นในโลกก็ สามารถก่อความ!เนปวนล้บสนวุ่นวายเดีอดร้อนให้แก่โลก ได้อย่างมากมาย เพราะเหตุนี้การปลูกฝ็งโยนิโสมนสิการลงในจิตใจ มหาชนโดยทั่วกันจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนต่อเนื่องสมํ่าเสมอ ฅ. ให้กำลังใจในการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ผู้ที่มีประสบการณ1นการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ไม่ว่าใน ระดับโลกีย หรือโลกุตรย่อมประจ้กษ์แก่ใจตนเองว่ามิใช่เรื่อง ง่ายเลย เพราะเป็นการปฏิบัติที่สวนกระแสกิเลสในใจอย่าง แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเจริญล้มมาสมาธิอย่างถูก วิธี ถูกหล้กวิชา เพราะการที่จะควบคุมนิวรณ์ ๕ ให้สงบ ราบคาบนั้น ยากยิ่งกว่าการจับลิงมานั่งแป้นเสียอีก เพราะ เหตุนี้ผู้เจริญภาวนาจึงต้องมีก่าล้งใจอย่างยิ่งยวด ไม่ยอมเลิก ล้มง่ายๆ แม้จะมีประสบการณ1นการทำภาวนาที่เหมีอนไม่ ก้าวหน้า แม้หล้บตาเจริญภาวนาเป็นแรมปีก็ยังมีดตื้อมีดมิด ไม่เคยเห็นความสว่างภายในตนเลย ก็ยังคงพากเพียรสร้าง วิริยบารมีเรื่อยไปด้วยศรัทธา อย่างไรก็ตามเมื่อปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ แก่รอบยิ่งๆ ขึ้นย่อมบรรลุธรรมระดับใดระดับหนื่ง เช่น เป็นโคตรภูบุคคล ซึ่งจะทำให้เกิดก่าล้งใจพากเพียรปฏิบัติแก่รอบยิ่งๆ ขึ้น ย่อม บรรลุธรรมระดับต้นเป็นพระโสดาบัน ศรัทธาเท่านั้นที่จะเป็น ก่าล้งใจ ทั้งกระตุ้นและประดับประคองผู้ปฏิบัติให้บรรลุ ธรรมเป็นพระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ตาม ลำ ดับ ๓®๗ ประโยใทนjงใหโ1!ขฮงศร้ทธา www.kalyanamitra.org

เมื่อเป็นพระอรหันต์ สามารถทั้งเห็นแจ้งรู้แจ้งอริยสัจ ๙ และสัจธรรมต่างๆ ตามความเป็นจริง อีกทั้งตนเองก็มี สถานภาพเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง จึงไม่ ต้องอาสัยศรัทธาอีกต่อไป นึ่คึอต้กยภาพของศรัทธาที่บันดาลไหใจมีกำลังใจและ มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อย่างต่อเนึ่อง รอบแล้วรอบเล่าชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ทั้งหมดนี้คึอ ประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ของศร้ทธา ซึ่งเป็น สิงจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของชาวโลกทั้งมวล เหตุให้เกิดศรัทธาครั้งพทธกาล จากข้อมูลในพระไตรปิฎกทำให้เราได้ทราบว่า มหาชน มากมายในสมัยพุทธกาลต่างมีตถาคตโพธิสัทธากันตลอดชีวิต แมัผู้คนนอกบุญเขต เพียงได้มีโอกาสเข้าเฝืากราบทูลถาม ปัญหาหรือฟังธรรมเป็นครั้งแรก หรึอแม้เพียงได้สนทนา ธรรมกับพุทธสาวกเป็นครั้งแรกก็ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ดังกรณีพระยาปายาสิ เป็นด้น ทั้งๆ ที่เคยมีความเห็นเป็น มิจฉาทิฎฐิอย่างแรงกล้ามาก่อนทั้งนี้สันนิษฐานได้ว่า มีสาเหตุ ๒ ประการคือ ๑. มหาชนได้เห็นพุทธลักษณะที่สง่างามสมบูรณ์ แบบ เหนือมนุษย์โดยทั่วไปประกอบกับได้เห็นรัศมีสว่างออก จากพระวรกายตลอดเวลาข้างละ ๑ วา บางครั้งอาจได้เห็น ฉัพพรรณรังสี หรือรัศมี ๖ ประการ ซึ่งเปล่งออกมาจาก พระวรกายของพระองค์ นอกจากนี้อาจได้เห็นยมกปาฏิหาริย์ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก www.kalyanamitra.org

หรืออิทธิปาฏิหาริย์ที่พระองค์ทรงแสดงก็เกิดศร้ทธาทันที เชื่อ มั่นว่าพระพุทธองค์เป็นผู้ตรัสรู้อย่างแท้จริง ๒. กลุ่มบุคคลที่เดยปฏิบดิมรรคมีองค์ ๘ ซ้ามภพ ข้ามชาติมารอบแล้วรอบเล่า ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าใน อดีต ชึ่งก็เป็นสิงเดียวกับการปาเพ็ญทศบารมีนั่นเอง ดังที่ได้ กล่าวมาแล้ว ผู้ที่ปาเพ็ญทศบารมีมามากเท่าใดย่อม หมายความว่าได้ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘สมบุรณ์มากขึ้นเท่านั้น ครั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ในชาตินีต่าง ก็บรรลุธรรมสมควรแก่กำลังบุญบารมีที่ตนเคยสิงสมมาในอดีต ด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ แต่ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ ชึ่งที่ ปรากฎส่วนมากก็จะบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เช่น อนาถ- บิณฑิกเศรษฐี เป็นต้น แต่ปุโรหิตอัคคิท้ตและบริวารได้บรรลุ อรหัตผลเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดอย่างเป็นอัศจรรย์ ยิ่งกว่านั้น พระอรหันต์บางรูป เช่น พระทัพพมัลลบุตร พระเถระมหาสาวกองค์หนึ่งในอสีติมหาสาวก เมื่อพระชนม์ ๗ พรรษา มีศรัทธาอย่างแรงกล้าได้บรรพชาเป็นสามเณร ขณะ ปลงผม ขณะที่มีดโกนตัดกลุ่มผมส่วนที่ ๑ ได้บรรลุโสดา ปัตติผล ส่วนที่ ๒ ได้บรรลุสกทาคามิผล ส่วนที่ ๓ ได้ บรรลุอนาคามิผล พอปลงผมเสร็จก็ได้บรรลุพระอรหันต์ใน ขณะนั้นนั่นเอง ปัญหาในสมโยหลังพุทธปรินิพพาน พระสิมมาสิมพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นว่า เมื่อพระพุทธองค์ เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ววันใด ย่อมจะมีปัญหาเกิดขึ้น อย่างน้อย ๒ ประการ คือ ene>a( ปัญหาใฬมัยหลังทุทธปรินํพพาน www.kalyanamitra.org

๑. ตถาคตโพธิสัทธาในจิตใจของพุทธบริษัทจะลด น้อยถอยลง ซึ่งจะเป็นเหตุใหไม่มีโอกาสหลุดพ้นไปจากคุก คือสังสารวัฏได้เลย ดังนั้น จึงทรงดำริหาวิธีที่จะทำให้พุทธบริษัทสามารถ รักษาตถาคตโพธิสัทธาไวได้ดังเดิม ๒. กำ ลังใจของเหล่าพุทธบริษัทในการปฏิบัติตามพระ ธรรมดำลังสอนย่อมลดลง ดังนั้นจึงทรงดำริหาวิธีที่จะทำให้เหล่าพุทธบริษัทมีกำสัง ใจในการบำเพ็ญเพียรให้รุดหน้าไปได้จนกระทั่งสามารถกำจัด กิเลสได้หมดสิน บรรลุนิพพานตามพระองค์ไป บทบาทของพระธรรมวิใ]โย ในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้น เหล่าพุทธบริษัทได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ของพระพุทธ องค์โดยตรง ย่อมมีกำลังใจปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่าง เอาชีวิตเป็นเดิมพ้น เพราะมีพระพุทธองค์เป็นพยานยืนยัน มั่นดงอยู่แล้วว่า การปฏิบัติตามพระธรรมวินัยย่อมสามารถ บรรลุความหลุดพ้นได้อย่างแน่นอน จึงทำให้พุทธบริษัทมี เป้าหมายชีวิตอย่างเด่นชัด กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ \"การได้ ฟังธรรมโดยตรงจากพระโอษฐ์ทำให้พุทธบริษัทมีเป้าหมาย ชีวิตชัดเจนมั่นคง อีกทั้งมั่นใจว่าตนจะทำได้สำเร็จ เพราะมี พระพุทธองค์เป็นทั้งต้นแบบและพยานยืนยันความสำเร็จ\" ครั้นเมื่อพุทธบริษัทไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรม โดยตรงจากพระโอษฐ์ ไม่มีโอกาสได้เห็นพระพุทธองค์ผู้มี ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๓๒๐ www.kalyanamitra.org

ลักษณะมหาบุรุษ มีบุคลิกลักษณะพิเศษเหนึอมนุษย์ทั้งปวง ย่อมแน่นอนว่า ตถาคตโพธิสัทธาในใจเหล่าพุทธบริษัทจะลด น้อยถอยลงโดยลำดับ ถึงขั้นหมดสินไปในที่สุด หลังจากที่ทรงพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงเห็นว่ามีแต่พระธรรมวินัยเท่านั้น ที่จะ สามารถแก้ปัญหาทั้ง ๒ ประการดังกล่าวได้สำเร็จ โดยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสประกาศให้พุทธบริษัททั้งหลายทราบว่า พระธรรมวินัย จะเป็นศาสดาของพุทธบริษัททั้งมวลแทน พระองค์ และจะมีหน้าที่สำคัญ ๒ ประการ คือ ๑. พระธรรมวินัย จะท่าหน้าที่เป็นแนวทางสำหรับ การคืกษาและปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้น ๒. พระธรรมวินัย จะท่าหน้าที่เป็นต้นแบบมาตรฐาน ให้พุทธบริษัทยึดเหนี่ยวปฏิบัติตาม ดังเช่นสมัยที่พระพุทธ องค์ยังทรงพระชนม์อยู่ เหตุปัจจัยให'คนร่นหลังเกิดศรัทธา เหตุปัจจัยสำคัญยิ่งที่จะให้พระธรรมวินัย ท่าหน้าที่เป็น ศาสดาแทนพระพุทธองค์ได้อย่างมั่นคงถาวรก็คือ ตถาคต- โพธิสัทธา ของผู้คนและเหตุปัจจัยสำคัญยิ่งที่จะท่าให้ผู้คนเกิด ตถาคตโพธิสัทธา พร้อมที่จะแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ยึด พระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิตนั้น มีอยู่อย่างน้อย ๔ ประการ คือ ๑. ความพร้อมเพรียงของพุทธบริษัทโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งความพร้อมเพรียงของหยู่สงฆ์ (ntoo เหตุปัจจัยให้คนรุ่นหลังIกดศรัทธา www.kalyanamitra.org

๒. การประพฤติตนสุภาพเรียบร้อย และสุจริตทั้งกาย วาจาใจของพุทธบริษ้ฑโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สืลาจารวัตรอันสงบ สะอาด งดงาม เพื่อความน่าดูของหยู่สงฆ์ ๓. ความสามารถในการแสดงธรรมของสงฆ์ ที่ สามารถทำให้ผู้คนเกิดความเข้าใจพระธรรมวินัยได้ถูกต้อง ตรงตามพุทธประสงค์ ขณะเดียวกันสงฆ์ก็สมบูรณ์พร้อม ด้วยคุณสมบัติของกัลยาณมิตร และทุ่มเทปลูกฝังอบรมพุทธ บริษัททั้งหลายให้สมบูรณ์พร้อมด้วยคุณสมบัติของ กัลยาณมิตรตามสถานภาพของตน ๔. มีสถานที่ประพฤติปฏิบัติธรรมที่เป็นสัปปายะ สำ หรับผู้คน ธรรมสำหรบรักษาพระธรรมวิใ3ยใหยึนยง ด้วยพระมหากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงประทานเครื่องมีอสำหรับรักษาพระธรรมวินัยหริอระบบ ให้ยืนยงยาวนานเท่านาน ตราบกระทั่งถึงกาลสมัยของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรูเนอนาคต ด้วยการแสดง อปริหานิยธรรม ทั้งนี้ เพราะธรรมะหมวดนี้มีฤทธช่วยให้พุทธ- บริษัททั้งปวง มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งจะก่อให้เกิด ความรักสมัครสมานสามัคคีกัน ร่วมมีอร่วมใจกันทำกิจกรรม ต่างๆ เป็นทีม เพราะทุกคนมีเป้าหมายชีวิตตรงกัน อุปมา เหมีอนคนที่ลงเริอสำเดียวกัน ถ้าทุกคนต่างช่วยกันพาย ปราศจากคนไม่พายแต่เอาเท้ารานํ้า เรือก็จะสามารถแล่นไป ได้ไกลเท่าไกล จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๓๒๖ www.kalyanamitra.org