ตื่นตัวติดตามความรู้สมัยใหม่อยู่ตลอดเวลา จนทำให้มอง ข้ามความสำคัญของความรู้ทางธรรมไปเสีย ตังนั้น ในที่นี้จึงใคร่ขอเสนอแนะให้ผู้บริหาร หรือผู้นำ ทีมต่างๆ ได้หันมาให้ความสำคัญต่อการสืกษาทางธรรมกัน ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ โดยจัดโครงการลักษณะ ใดลักษณะหนึ่งที่สามารถน้อมนำชักชวนผู้ร่วมงานของท่าน ให้หันมาสนใจการสืกษาทางธรรมทั้งภาคทฤษฎีและภาค ปฏิบัติในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนึ่อง จนมองเห็นคุณค่าของ ธรรมะ เกิดนิสัยรักธรรมะ และตั้งใจปฏิบัติตามธรรมะจน เป็นนิสัย ความรู้ทางธรรมในพระพุทธศาสนานั้น ทรงคุณค่า มหาศาล บุคคลที่ได้ปฏิบัติตามหลักธรรมอย่างต่อเนึ่อง ย่อม เกิดปัญญา รู้จักพัฒนาตนเองได้[ดยไม่ต้องมีใครมาตักเตือน ปนว่า บุคคลที่ดีอยู่แล้วก็จะสามารถพัฒนาตนเองให้ดีได้ ยิ่งขึ้นบุคคลที่เป็นพาลก็จะสามารถแกไขตนเองให้เป็นคนดีได้ เข้าทำนอง \"ต้นคดปลายตรง\" มองเห็นคุณค่าของธรรมะ มีความรักธรรมะและตั้งใจปฏิบัติตามธรรมจนเป็นนิสัย เพราะเขาได้ประจักษ์ในคุณค่าของธรรมะแล้ว ท่านจะประจักษ์แจ้งถึงคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของธรรมะใน พระพุทธศาสนาก็ต่อเมื่อท่านได้ลงมีอพิสูจน์ด้วยตนเองเท่านั้น ประโยชน์ของการใช้สอยห้องทำงานอย่างถูกหลักวิชา บุคคลที่ใข้ห้องท่างานอย่างถูกหลักวิชา ย่อมสามารถ ได้รับประโยชน์อย่างกว้างขวาง ซึ่งอาจแปงออกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ ๒๒๓ แหล่งกำเนิดนสัย www.kalyanamitra.org
๑. ทางใจ การปฏิบัติตามวินัยประจำห้องทำงาน ด้วยความเคารพ ความมีวินัย และความอดทน ผู้ปฏิบัติย่อมได้รับประโยชน์ ในด้านจิตใจโดยสรุปคือ ๑) สามารถใช้สติปัญญาในการประกอบอาชีพให้ ประสบผลสำเร็จด้วยดีตามเป้าหมาย ๒) มีโอกาสเพิ่มพูนบุญกุศลให้แก่ตนเองเป็นนิจ ๓) แสวงหาความรู้ทางโลกและทางธรรมเป็นนิจ ทำ ให้สามารถเพิ่มพูนปัญญาขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ได้ก่อเวรภัย ภับใครๆ ทั้งสิน ๒. ทางกาย การปฏิบัติตามวินัยประจำห้องทำงานด้วยความเคารพ ความมีวินัย และความอดทน ผู้ปฏิบัติย่อมได้รับประโยชน์ ในด้านร่างกายซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากด้านจิตใจ คือ มี ความวิริยะอุตสาหะในการประกอบเฉพาะสัมมาอาชีพ เทำนั้น โดยไม่เกี่ยวช้องกับมิจฉาชีพทั้งปวง ข้อปฏิบัติอันเป็นวินัยประจำห้องทำงาน การที่ห้องทำงานจะสามารถช่วยพัฒนานิสัยใฝ่ความ สำ เร็จในหน้าที่การงานได้จริงนั้น สิงแรกที่ผู้ร่วมงานทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เป็นห้วหน้าจะต้องตระหนักอยู่เสมอก็คือ การงานทุกอย่างทุกเรื่อง จะสำเร็จตามวัตกุประสงค์ได้อย่าง ราบรื่น จะต้องรู้จักทำงานกันเป็นทีม ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๒๕ www.kalyanamitra.org
การทำงานเป็นทีม จะสามารถดำเนินไปได้ราบรื่นอย่าง แท้จริงก็เพราะผู้ร่วมงานแต่ละคนมีวินัยเกี่ยวกับการปฏิบัติ ตนจนเป็นนิสัย ในเรื่องต่างๆ ด้งนี้ คือ ๑) มีสัมมาวาจา สามารถใช้ดำพูดได้ถูกต้องเหมาะสม ทุกกรณี เรื่องใดที่ควรพูด จะต้องพูด เรื่องใดที่ไม่ควรพูด ต้องไม่พูด เป็นต้น ๒) มีความเคารพหมายถึง มีความเคารพในต้วบุคคล สถานที่ และเหตุการณ์ ต้องรู้จักแสดงความเคารพอย่าง เหมาะสมทุกกรณี รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ยกย่อง ให้เกียรติผู้อื่น รู้จักให้อภัย ไม่คอยจับผิดผู้อื่น และไม่ถือเอา ความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ ท) มีมารยาทดี การมีคุณสมบัติในข้อ ๑ และข้อ ๒ ย่อมเป็นปัจจัยส่งเสริมให้บุคคลแสดงมารยาทที่ดีงามและ เหมาะสม ต่อบุคคลอื่นเสมอ ๔) มีความรับผิดชอบ หมายถึง มีความรับผิดชอบทั้ง เรื่องส่วนตัวและหน้าที่ในตำแหน่งของตน มิให้มีความ บกพร่องในเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องงบประมาณ เรื่องการตรงต่อ เวลา เป็นต้น ๔) เคร่งครัดต่อระเบียบวินัย หมายถึง ความเคร่งครัด ต่อการปฏิบัติตามระเบียบวินัยทั้งที่เป็นเรื่องส่วนตัว และ ระเบียบวินัยของห้องทำงาน ๖) เอาใจใส่เรื่องอุปกรณ์ต่างๆ ในห้องทำงาน เช่น เลือกใข้อุปกรถห้เหมาะกับงาน จัดซ่อมแซมให้ท้นการ เมื่อ อุปกรณ์ชำรุดเสียหาย จัดเก็บและถนอมอุปกรณ์ต่างๆ ให้ เป็นระเบียบเรียบร้อย และใข้งานได้นานที่สุด ขณะเดียวกัน ๒๒๕ แทล่งกำฟ้ดนิสืย www.kalyanamitra.org
ก็ต้องคอยสืกษาค้นคว้าหาอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้งาน เพื่อให้สามารถทำงานได้สัมฤทธิผลตามเป้าหมาย เป็นต้น ผลของการใช้ห'องทำงานอย่างถูกหลักวิชา ผลของการใช้ห้องทำงานอย่างถูกหลักวิชา ย่อมอำนวย ให้บุคคลมีปัญญาเพื่มใ51นขึ้นตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ไม่มี เวรภัยใดๆ กับใครทั้งสิน ด้วยเหตุนี้ ชื่อเรียกที่แท้จริงของ ห้องทำงานคือ ห้องมหาสมบติ สรุป จากอรรถาธิบายเกี่ยวกับห้องต่างๆ ทั้ง ๕ห้อง ดังกล่าว ท่านผู้อ่านย่อมเห็นได้ว่า นิสัยของคนเราถูกเพาะจาก กิจกรรมในชีวิตประจำวัน ที่แต่ละคนกระทำกันในห้องทั้ง ๕ นี้เอง ถ้ากิจกรรมในห้องต่างๆ มีการวางแผน ดำ เนินการ ควบคุมดูแลอย่างเป็นระบบ มีระเบียบกฎเกณฑ์ถูกต้อง เหมาะสม เคร่งครัดและสมํ่าเสมอ พร้อมกันนั้นก็มีผู้อาวุโส หรีอผู้นำปฏิบัติตนเป็นต้วอย่างที่ดี ไม่มีบกพร่องหรือมักง่าย เยาวชนที่ต้องปฏิบัติกิจวัตรประจำวันอยู่ในห้องทั้ง ๕ ซึ่งมี ลักษณะดังกล่าว ย่อมได้รับการปลูกฝังอบรมปมนิสัยให้เป็น คนดี มีความเคารพ มีวินัย มีความอดทน ตรงต่อเวลา เป็น คุณธรรมประจำใจ มีนิสัยดีงามไปตลอดชีวิต ในทางกลับกัน เยาวชนที่เติบโตขึ้นมาในสิงแวดล้อมที่ มีการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันในห้องทั้ง ๕ ซึ่งปราศจาก กฎระเบียบ การแนะนำลังสอน และการควบคุม เช้าทำนอง ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตภาพโลก ๒๒๖ www.kalyanamitra.org
\"ใครใคร่ทำอะไรก็ทำไต้ตามความพอใจ\" ซึ่งที่แท้จริงก็คึอ การทำตามอำนาจกิเลสโลภ โกรธ หลง ในจิตใจของตนนั่นเอง กรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นการเพาะนิสัยเลวร้ายให้แก่เยาวชน ซึ่งจะทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนพาลสันดานหยาบ มีนิสัยก้าวร้าว ดุด้นไร้ระเบียบ ฯลฯ โดยสรุปก็คือ นิสัยของคนเราจะดีหรือเลว ล้วนมี แหล่งกำเนิดมาจากห้องทั้ง ๕ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการวางแผน จัดกิจกรรมให้เป็นกิจวัตรประจำวันในห้องทั้ง ๕ อย่างมี ระบบระเบียบ ถูกต้องดีงาม เหมาะสม ห้องทั้ง ๕ นี้ ย่อมชื่อ ว่า\"๔ห้องสิวิต เนรมิตนิสัยมนุษย์\" คือเนรมิตคุณสักษณะที่ พึงประสงค์ดังนี้ • เนรมิตผู้ปฏิบัติให้ใจสะอาด • เนรมิตคนทั้งชาติให้เป็นพลเมืองดี • เนรมิตนักสร้างบารมีให้เต็มบัานเต็มเมือง บุคคลที่สามารถพัฒนาคุณสักษณะที่พึงประสงค์ด้ง กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เพราะมีสัมมาทิฎเมั่นคงอยู่ในจิตใจ ย่อม มีตถาคตโพธิสัทธาอย่างมั่นคงด้วย เมื่อบุคคลปฏิบัติมรรคมี องค์ ๘ เนิ่นนานไป แน่นอนอย่างยิ่งว่า สัมมาทิฏฐิของเขาจะ ยิ่งพัฒนาขึ้นอีกมากมาย นั่นคือตถาคตโพธิสัทธาย่อมหยั่ง ลึกลงในจิตใจของเขาอีกหลายเท่าทวีคูณ ๒๒๗ สรุป www.kalyanamitra.org
;;เ^^^! www.kalyanamitra.org
บทท ๘ ^ โลกขาดกัลยาณมิตรไม่ได้ ความหวาดกลัวเป็นธรรมชาติของมนุษย์ คนเราทุกคนไม่ว่าเด็ก ^หญ่ ยากดีมีจน หรือมั่งคั่ง รํ่ารวยเพียงใด ล้วนมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวทั้งสิน นี้ เป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชนที่ยังไม่บรรลุ อริยผล จิตใจยังมีดบอดอยู่ด้วยอวิชชา ความหวาดกลัวที่มีอยู่ในจิตใจของแต่ละคนนั้น อาจ จะเหมีอนกันบ้าง แตกต่างกันบ้าง แต่ทว่าความหวาดกลัวที่ จะยกมากล่าวเป็นตัวอย่างต่อไปนี้ น่าจะเป็นความหวาดกลัว ที่ทุกๆ คนมีเหมีอนๆ กัน ถ้าจะแตกต่างกันไปบ้าง ก็ตรง ปริมาณของความหวาดกลัวเท่านั้น ๒๒๙ ความหวาดกลัวเป็นธรรมชาติของมนุษย์ www.kalyanamitra.org
ความหวาดกลัวประการแรก ก็คือ ความกลัวในเรื่อง ความขาดแคลนปัจจัย ๔ ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาด้ย เครื่อง นุ่งห่ม และยารักษาโรค เพราะถ้าขาดสิงเหล่านี้แล้ว โดย เฉพาะอย่างยิ่งอาหาร คนเราก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ถ้า พิจารณาให้ลึกซึ้งถึงสาเหตุที่แท้จริงของความหวาดกลัว ประการแรกนี้ ก็อาจกล่าวได้ว่า เป็นความกลัวตายกับกลัว ล่าบากนั่นเอง ความหวาดกลัวประการถัดมา ก็คือ ความกลัวภัย ลันตรายรอบด้านมีทั้งภัยจากสิงแวดล้อมตามธรรมชาติซึ่งอาจ เกิดขึ้นได้ทุกขณะ ภัยจากผู้คนที่แวดล้อมตัวเราอยู่ ไม่ว่าจะ เป็นผู้คนในลังคม ในที่ทำงาน เพื่อนบ้านและแม้แต่สมาชิก ในครอบครัวของตนเอง ภัยจากสัตว์เดียรัจฉานต่างๆ ไม่ เฉพาะแต่ผู้คนที่อยู่ในปาหรืออยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลจากชุมชน ซึ่งล้วนมีสัตว์ร้ายอาลัยอยู่ทั้งนั้น แม้ผู้ที่อยู่ในเมีองใหญ่ ก็มี โอกาสได้รับภัยอันตรายจากสัตว์น้อยใหญ่ ที่เป็นพาหะของ โรคติดต่อต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีความหวาดกลัวอีกประการหนึ่งที่ทุกๆ คนมีเหมีอนๆ กัน ก็คือความแก่และความตาย ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตัวอย่างของฺความหวาดกลัวที่คน เรามีเหมีอนๆ กันเท่านั้น แท้ที่จริงความหวาดกลัวในจิตใจ ของคนเรายังมีอีกมากมายสุดพรรณนา เพราะเหตุที่คนเราดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางภยันตรายรอบ- ด้านนี้เอง จึงท่าให้คนเราต้องการ \"ที่พึ่ง\" เพื่อให้ตนมีชีวิตอยู่ อย่างปลอดภัย ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๓๐ www.kalyanamitra.org
ความทุกข์เป็นเหตุให้แสวงหาที่พึ่ง นอกจากมีปัญหาเรื่องความหวาดกลัวแล้ว คนเรายัง ต้องเผชิญกับปัญหาอื่นๆ ในชีวิตอีกมากมาย เช่น ปัญหา สุขภาพ ชึ่งมีทั้งโรคประจำตัวและโรคที่จรมา ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำมาหากินอยู่เสมอ ปัญหาลังคม ซึ่ง นับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้คนไม่สนใจตักษา ธรรมะ ประกอบกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัญหา การเมีองซึ่งเกิดจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มมิจฉาทิฏฐิ บุคคลในแวดวงการเมีอง ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุ ให้ผู้คนโดยทั่วไปในลังคม มีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์เสมอมา เพราะเหตุที่ชีวิตต้องเผชิญทุกข์อยู่ทุกเมึ่อเชื่อวัน ผู้คน มากมาย ตกทอดมาตั้งแต่ครงโบราณกาล ทั่งที่ปรากฏเป็น ลายลักษณ์อักษร ทั้งที่ปรากฏเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ ประจำท้องถิ่น และเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของชนชาติ ในชุมชนต่างๆ สืบมาจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลหลักฐานที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น ได้แก่ คัมภีร์ของศาสนา และลัทธิความเชื่อต่างๆ ซึ่งเป็นที่ รู้จักกันแพร่หลายทั่วโลกในปัจจุบันนี้ ล่วนข้อมูลหลักฐานที่ ปรากฏอยู่ในรูปแบบทางวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียม ประเพณีของชนชาติต่างๆ นั้น มีอยู่ทั่วโลก เช่น พิธีไหว้ ดวงอาทิตย์ พิธีไหว้พระจันทร์ พิธีไหว้เจ้า ฯลฯ ๒๓® ความทุกข์เป็นเหตุให้แสวงหาที่พง www.kalyanamitra.org
พิธีที่ปรากฏให้เห็นกันโดยทั่วไปในท้องถิ่นต่างๆ ของ ประเทศไทยก็คือพิธีนำเครื่องเช่นไหว้หรือสังเวยผีสังเวยเจ้าปา เจ้าเขา นำ เครื่องเช่นไปบวงสรวงที่โคนต้นไม้ ซึ่งเชื่อกันว่ามี รุกขเทวาสิงสถิตอยู่ ที่ศาลเจ้า ศาลพระภูมิ ศาลเพียงตา ซึ่ง เชื่อกันว่ามีสิงสักดสิทธิ้สิงสถิตอยู่ บุคคลนำเครื่องเช่นไป บวงสรวง ก็เพราะมีความเชื่อว่า สิงสักดื้สิทธที่สิงสถิตอยู่ ณ สถานที่เหล่านั้น จะสามารถบันดาลในสิงที่ตนตั้งปรารถนาไว้ จึงขอยึดไว้เป็นที่พึ่งที่ระลึก คนบางกลุ่มบางพวกเมื่อมีความทุกข์ความเดือดร้อน ก็นิยมไปหาผู้ทำพิธีทรงเจ้าบ้าง พิธีทรงเจ้าเข้าผีบ้าง เพึ่อ ขอร้องให้เจ้าหรือผีที่มาเข้าทรงช่วยแก้ไขปัญหาที่ตนกำสัง ประสบอยู่ คนบางกลุ่มบางพวก เมื่อประสบปัญหาที่แก้ไม่ตก หรือมีเรื่องไม่สบายใจ ก็นิยมไปยังสำนักของอาจารย์ทาง ไสยเวท ผู้เชี่ยวชาญคาถาอาคม เพึ่อขอร้องให้ช่วยปัดเปา ความทุกข์ให้แก่ตนหรือช่วยทำลายสัตรูคู่อาฆาตของตน อาจารย์ทางไสยเวท ชื่งมีกระจายอยู่ทั่วประเทศไทยใน ปัจจุบัน แต่ละสำนักต่างมีเทคนิควิธีบริการผู้สนใจที่เข้ามา สมัครเป็นลูกคืษย์ลูกหาในสำนักของตนแตกต่างกันไป เช่น บางสำนักก็มอบเครื่องราง (ของที่นับถือว่าป้องกันอันตราย ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า ได้แก่ ตะกรุด ผ้ายันต์ เหล็กไหล) บาง สำ นักก็มอบของขสัง (ของที่มีอำนาจสักดสิทธที่เชื่อกันว่า อาจบันดาลให้สำเร็จได้ด้งประสงค์) ให้คืษย์ของตนไปบุชา กราบไหว้ ของขสังของบางสำนักก็เป็น กุมารทอง คือทำเป็น รูปเด็กไว้จุก ของบางสำนักก็เป็นนางกว้ก คือ ทำ เป็นรูปหญิง กวักมีอ ถือว่านำโชคลาภมาให้ ของบางสำนักก็เป็นรูปจำลอง อวัยวะเพศชาย เรืยกว่า ปลดขิก ศรัหธา รุ่งอรุณแห่งสืนติภาพโลก ๒๓๒ www.kalyanamitra.org
บรรดาบุคคลที่ฝากตัวเป็นลูกสืษย์ลูกหาของแต่ละ สำ นักต่างก็ยอมรับนับถือกราบไหว้บูชาเครื่องรางของขลัง และครูบาอาจารย์ทางไสยเวทของตนๆ เป็นสรณะ อาจารย์ทางไสยเวท แต่ละสำนักย่อมมีความถนัดและ ความเชี่ยวชาญแตกต่างกันไป เช่น บางสำนักที่เชี่ยวชาญในเรื่องดวงชะตา ก็จะทำการ พยากรณ์โชคชะตา ให้แก่ผู้เดือดร้อนที่แวะเวียนมาหาแทน การแจกเครื่องรางของขลัง บางสำนักที่เชี่ยวชาญในเรื่องสุขภาพ ก็จะทำการปรุง ยารักษาโรคพร้อมทั้งเสกคาถาแล้วเปามนต์แทนการทำนาย โชคชะตา หรือแจกเครื่องรางของขลัง บางสำนักที่เชี่ยวชาญเรื่องนํ้ามันพราย ก็ผลิตนํ้ามัน พรายเพี่อจำหน่ายจ่ายแจกให้แก่ผู้ชาย เพี่อใช้ทำเสน่ห์ให้ หญิงรัก บางสำนักที่เชี่ยวชาญเรื่องเสน่ห์ยาแฝด ก็พากเพียร ปลุกเสกเสน่ห์ยาแฝด สำ หรับจำหน่ายจ่ายแจกให้หญิง เพี่อ นำ ไปใส่อาหารให้สามีกินแล้วสามีรัก บางสำนักที่ถนัดเรื่องรดนํ้ามนต์ ก็จะมีกรรมวิธีแปลกๆ ควบคู่กับการรดนํ้ามนต์เพี่อแก้ปัญหาทุกๆ เรื่อง แต่บางสำนักก็สามารถจัดบริการหลายอย่างให้ในเวลา เดืยวกัน นอกจากนี้ ในลัทธิเทวนิยม ยังมีการเช่นสรวงบูชา เทพเจ้าเพี่อวัตลุประสงค์ต่างๆ กัน เช่น การบูชาพระพีฆเนศ ซึ่งเป็นชี่อเทพองค์หนึ่งมีเสืยรเป็นช้างถือว่าเป็นเทพแห่งดืลปะ บรรดาผู้ที่ทำงานด้านดืลปะก็นิยมเช่นสรวงบูชากัน การบูชา ๒๓๓ ความทุกข์เป็นIหตุให้แสวงหาที่พึ่ง www.kalyanamitra.org
พระวิษณุกรรม ซึ่งถือว่าเป็นเทพแห่งการช่าง บรรดาผู้ที่ ทำ งานด้านช่างก็นิยมเซ่นสรวงบูชากัน การเช่นสรวงบูชาด้ง กล่าวนี้ ยังเป็นที่นิยมกันอยูในสังคมไทยปัจจุบัน อนึ่ง การเช่นสรวงในสัทธิเทวนิยม ที่มีปรากฏอยู่ใน คัมภีร์พระพุทธศาสนา® ก็คือพิธีบูชามหายัญ ๕ ประการ ตาม แบบของพราหมณ์ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงติเตียน เนึ่องจากต้องมีการกระทำอันเป็นธุระริเริ่มมาก(เพราะริเริ่มด้วย ปาณาติบาต) แต่ไม่มีผลบุญมาก (เพราะผลบุญของยัญหรือ ทานถูกกำจัดด้วยบาปจากปาณาติบาต)ได้แก่ สัสสเมธ (หรืออัศวเมธ) ดำ เนินพิธีโดยการปล่อยม้า อุปการ (เป็นชื่อเรืยกม้าที่ปล่อยในพิธีนี้)ให้ผ่านไปยังดินแดน ต่างๆ เป็นการประกาศอำนาจของพระราชา เมื่อม้านั้นกสับมา แล้ว ก็จับม้านั้นฆ่าบูชายัญ ยัญนี้มีหสักบูชา ๒๑ หสัก เอาไว้ ผูกม้าที่จะฆ่า เป็นพิธีประกาศอานุภาพของราชาธิราชในอินเดีย ปุริสเมธ คือ การฆ่าคนบูชายัญ สัมมาปาสะ คือ การทำปวง แล้วขว้างไม้ลอดปวง ไม้ ตกที่ไหนก็ทำพิธีฆ่าสัตว์บูชายัญตรงนั้น ราชเปยยะ ยัญนี้มีหสักบูชาทำด้วยไม้มะตูม ๑๗ หสัก ไว้สำหร้บผูกสัตว์เลี้ยงสำหร้บฆ่า ๑๗ชนิด และมีการดื่มวาชะ (เนยใส และนํ้าผึ้งเสก) เพื่อเพิ่มพสังหรือเพื่อชัยชนะ นิรัคคฬะ(หรือสรรพเมธ) ยัญนี้!ม่มีขีดจำกัด เพราะมี การฆ่าครบทุกอย่างทั้งคนทั้งสัตว์เพื่อบูชายัญ ด้วยวัตถุ ประสงค์เพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์พร้อมแก่พระราชาทั้ง ® อุซชยสูตร อัง.จตุกก. ๓๕/๓๙/๑๔๙(มมก.) ศรํ?หธา รุ่งอรุณแห่งสันตภาพโลก ๒๓๙ www.kalyanamitra.org
โภคทร้พย์สมบัติ การขยายอาณาเขต และเพื่อจำนวนไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดิน เนื่องจากการแสวงหาที่พื่งหรือทางปลอดภัยในชีวิต ดังได้พรรณนามานี้ เป็นเรื่องของวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ผู้คนในสังคมต่างปฏิบัติสืบกันมา จากคนรุ่นหนื่ง ไปส่อีกรุ่นหนื่ง ต่อเนื่องกันไปนับด้วยร้อยปีพันปี จนกลาย เป็นความเคยชินที่ขาดมิได้ และกลายเป็นความเชื่อตามๆ กันมา โดยปราศจากการพิจารณาหาเหตุผล เข้าลักษณะ สีลพพตปรามาส โยนิโสมนสิการและสีลัพพตปรามาส การดำเนินชีวิตของคนเราในแต่ละวันๆ นั้น ต่างมี ประสบการณ์ผ่านเข้ามามากมาย ซึ่งทำให้เราต้องคิดพิจารณา และจะตัดสินใจเสือกได้อย่างถูกต้องเหมาะสมมากน้อยเพิยง ใดนั้น ขึ้นอยู่กับโยนิโสมนสิการของเราเอง คำ ว่า โยนิโสมนสิการ แปลว่า การพิจารณาเพื่อเข้าถึง ความจริง โดยสีบด้นหาเหตุผลไปตามลำดับ แยกแยะองค์ ประกอบจนมองเห็นความสัมพนธ์ระหว่างเหตุและผล เช่น นักเรืยนที่ตั้งใจเรืยน และขยันทำแบบฝึกหัดที่ครูอาจารย์ มอบหมายโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ย่อมมีผลการเรืยนดีเด่น หรือพวกเด็กหนุ่มที่ชอบเที่ยวกลางคึน ชอบดื่มสุรายาเมา แล้วพากันขับรถจักรยานยนต์แข่งกันอย่างสนุกสนาน ย่อมมี โอกาสประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน และเมื่อถูกนำส่ง โรงพยาบาล ถ้าไม่เข้าห้องฉุกเฉินก็ต้องเข้าห้องดับจิต เป็นต้น ๒๓๕ โยนิโสมV^การและสีลัพพตป'ฑมาส www.kalyanamitra.org
เหล่านี้คือตัวอย่างแนวคิดพิจารณาแบบโยนิโสมนสิการ ซึ่งมี หลักการที่สอดคล้องกับพระธรรมเทศนาในกาลามสูตร ซึ่งได้อ้างสิงไวในบทที่ ๑ อนึ่ง สมมุติว่า เจ้าของร้านขายของชำคนหนึ่ง มีความ คิดที่จะไปหา นางกวักหรือกุมารทอง จากอาจารย์ทางไสยเวท มาบูชากราบไหว้ ด้วยหว้งว่าตนจะประสบความสำเร็จในการ ค้าขาย เพราะของขลังเหล่านั้นจะสามารถดึงดูดลูกค้าจำนวน มากมายมาอุดหนุน โดยที่ตนมิได้มีการพัฒนาตักยภาพใน การบริหารจ้ดการทำธุรกิจแต่ประการใด ความคิดเช่นนี้ ไม่ถึอว่าเป็นความคิดแบบโยนิโสมนสิการ แต่เป็นความเซึ่อ อย่างงมงาย เรียกว่า สิลัพพตปรามาส คำ ว่า สีอ้พพตปรามาส แปลว่า ความถือมั่นสิลพรตโดย สักแต่ว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย คำ ว่า สืลพรต ประกอบด้วยคำว่า สิล กับ พรต สิล แปลว่า ข้อปฏิบัติ สืลในพระพุทธศาสนา หมายถึง คืล ๕คืล ๘ คืล ๒๒๗ แต่คืลนอกพระพุทธศาสนา ก็หมายถึงข้อปฏิบัติของผู้คน นอกพระพุทธศาสนา เช่น สีลจุ่ม (พิธีจุ่มหัวลงในนํ้า หรือใช้นํ้าเสกพรมคืรษะเพื่อ รับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน) คืลมหาสนิท (พิธีดื่มนํ้าอจุ่นและ กินขนมป้งที่เสกแล้ว เป็นเครื่องหมายแทนเลือดเนี้อที่พระ เยซูทรงเลืยสละไถ่บาปให้มนุษย์) สิลอด(การถือบวชของชาว มุสลิม) ไม่ดื่มไม่กินอะไรเลยตลอดเวลากลางวันในเดือน รอมดอน นอกจากนี้ก็มีข้อปฏิบัติต่างๆ ของพราหมณ์อีกมาก สร้หธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๓๖ www.kalyanamitra.org
คำ ว่า พรต แปลว่า วัตร หมายถึง กิจพึงกระทำ หรือ การปฏิบัติ วัตรนอกพระพุทธศาสนา ย่อมเป็นการปฏิบัติที่ แตกต่างจากวัตรในพระพุทธศาสนา ดังนั้นคำว่า สีลพรต จึงเป็นข้อปฏิบัติที่แตกต่างจากสืล และวัตรในพระพุทธศาสนาโดยสินเชิง หากแต่เป็นข้อปฏิบัติที่ ทำ ตามๆ กันไป โดยขาดโยนิโสมนสิการ มีคำ ศัพท์ในพระพุทธ- ศาสนาว่า สีลัพพตปรามาส หมายถึง ความเร่อแบบงมงาย สีลัพพตปรามาส เป็นองค์ประกอบของสังโยชน์® หรือกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ หรือธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ พุทธสาวกที่ตั้งใจปฏิบัติตามหลักธรรมเพียงใดก็ตาม ถ้ายังมี สีสัพพตปรามาส ย่อมไม่สามารถบรรลุโสดาปัตติผลเป็น อริยบุคคลระดับต้น คือ พระโสดาบันได้ สำ หรับบุคคลที่ทำพิธีเช่นสรวง เคารพบุชา สิงต่างๆ นอกพระพุทธศาสนา ที่ถือกันว่าศักดสิทธื้ ดังไต้กล่าวมาพอ สังเขปแล้วนี้ จัดว่าเป็นบุคลที่มีความเชื่ออย่างงมงาย หรือ สีสัพพตปรามาส ย่อมไม่มีโอกาสบรรลุความหลุดพ้น ต้อง เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารเรื่อยไปไม่รู้จบ ® สังโยชน์= กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์มี ๑๐ อย่าง คือ ก.โอรัมภาคิยสังโยชน์ - สังโยชน์เบื้องตํ่า ๕ได้แก่ ๑)สักกายทิฎฐิ(ความ เห็นว่าเป็นตัวตน) ๒) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) ๓) สีสัพพตปรามาส (ความยึดมั่นคืลพรต) ๔) กามราคะ (ความติดใจในกามคุณ) ๕) ปฏิฆะ (ความกระทบกระทั่งในใจ) ข.อุทธัมภาคิยสังโยชน์-สังโยชน์เบื้องสูง ๕ได้แก่ ๖)รูปราคะ(ความติดใจ ในรูปธรรมอันประณีต) ๗)อรูปราคะ (ความติดใจในรูปธรรม) ๘)มานะ (ความถือตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่) ๙) อุทธัจจะ (ความฟ็งซ่าน) ๑๐) อวิชชา (ความไม่รู้จริง) 10๓๗ ' โยนํโสมนสิการและสีลัพพตปรามาส www.kalyanamitra.org
สีลัพพตปรามาสเป็นของผู้มีปัญญานอย ความทุกข์เป็นเหตุป้จจัยผลักดันคนเราให้แสวงหาที่พึ่ง ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย นับตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาล เรื่อยมา จนถึงสมัยพุทธกาล แม้สมัยหลังพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบัน ก็ ยังมีบุคคลอีกมากมายมหาศาลที่ไม่เคยรู้รสอันประเสริฐแห่ง พระธรรมคำลังสอนของพระลัมมาลัมพุทธเจ้าจึงได้แต่ แสวงหาที่พึ่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะยังไม่ได้พบที่พึ่งที่ สามารถอำนวยความสุขอย่างแท้จริง หรือช่วยแก้ปัญหาได้ สำ เร็จ สำ หรับบางคนที่ฉลาดกว่าผู้อื่นก็ตั้งตนเป็นศาสดา เจ้า ลัทธิ เพึ่อเป็นที่พึ่งทางใจให้แก่ผู้ที่ฉลาดน้อยกว่า แตกอาจจะ ชี้แนะผิดบ้างถูกบ้าง เท่าที่สติปัญญาของตนจะอำนวย ปุโรหิตอัคคิทัต ในสมัยพุทธกาล ศาสดาเจ้าลัทธินอกเหนือจากครูทั้ง ๖ (ยกมากล่าวไวในบทที่ ๒ แล้ว)ก็ยังมีศาสดาเจ้าลัทธิอีกไม่น้อย ศาสดาท่านหนึ่งที่ปรากฏชื่ออยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาก็คือ ปุโรหิตชื่ออัคคิท้ต® พราหมณ์อัคคิท้ตเคยเป็นปุโรหิตของพระเจ้ามหาโกศล ผู้เป็นพระราชบิดาของพระเจ้าปเสนทิโกศล ครั้นเมื่อพระเจ้า มหาโกศลสวรรคตแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงสถาปนา พราหมณ์อัคคิท้ต ให้เป็นปุโรหิตต่อไปอีก แต่พราหมณ์ อัคคิท้ตได้กราบทูลขอพระบรมราชานุญาต ออกบวชนอก ® ชุ.ธ. ๔๒/๒๔/๓๔๐-๓๔๗(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๓๔ www.kalyanamitra.org
พระพุทธศาสนา และมีผู้คนจากแคว้นอังคะ มคธ และฤรุ เลื่อมใสออกบวชตามนับหมื่น นักบวชเหล่านั้นมีอัคคิทัดเป็น ประมุข ผู้คนจากทั้ง ๓ แคว้น ต่างนำเครื่องสักการะเป็นอัน มากมาถวายนักบวชเหล่านั้นทุกเดือน อาจารย์อัคคิทัตไดืให้ โอวาทแก่ประชาชนว่า \"พวกท่าน จงนับถึอภูเขาเป็นสรณะ จงนับถือปาเป็น สรณะ จงนับถืออาราม (สวนเป็นที่รื่นรมย์) เป็นสรณะ จง นับถือต้นไม้เป็นสรณะ พวกท่านจักพ้นจากทุกข์ทั้งสินด้วย อาการอย่างนี้\" อาจารย์อัคคิทัดนอกจากจะสอนเหล่านักบวชที่เป็นคิษย์ เช่นเดียวกับประชาชนแล้ว ยังได้สอนคิษย์ด้วยว่า \"กามวิดก พยาบาทวิดก และวิหิงสาวิดก® เกิดขึ้น แก่ผู้ใด ผู้นั้นจงขนทรายหม้อหนึ่งจากแม่นั้ามาเกลื่ยลงณที่นี้\" นักบวชทุกคนเห็นด้วย ด้งนั้น เมื่อความคิดเกี่ยวกับ อกุศลวิดก ไม่ว่าเรื่องหนึ่งเรื่องใด เกิดขึ้นแก่นักบวชผู้ใด นักบวชผู้นั้นก็ไปขนทรายมาเทลง ณ ที่นั้น ครั้นนานมา ดรง นั้นก็กลายเป็นกองทรายใหญ่ และมีนาคราชชื่ออหิฉัดดะมา อยู่เฝืากองทรายนั้นด้วยความหวงแหน สมัยหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะประทับอยู่ที่ เชดวนาราม กรุงสาว้ดถื ในเวลาจวนรุ่งวันหนึ่ง ขณะทรง ® อกุศลวิตก ท ประกอบด้วย ๑) กามวิตก (คิดแส่ไปในทางกามหาทาง ปรนปรือตน) ๒) พยาบาทวิตก (คิดในทางพยาบาท) ท) วิหิงสาวิตก (คิดในทางเบียดเบียนผู้อื่น) ๒๓๙ สีลัพพตปรามาสฟ็นของผ้มีป๋ญญาน้อย www.kalyanamitra.org
ตรวจดูอุปนิสัยของเวไนยสัตว์ได้ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งอรหัตผล ของอัคคิหัตพร้อมด้วยบริวาร ครั้นถึงเวลาเย็น พระพุทธองค์ ได้รับสังกับพระมหาโมคคัลลานะว่า อัคคิหัตกำสังสอน ประชาชนอย่างผิดๆ เธอจงไปยังสำนักของอัคคิหัต แสดง โอวาทเพื่อกสับใจคนเหล่านั้นเสีย ล่วนพระพุทธองค์จะเสด็จ ตามไปทีหสัง หสังจากได้น้อมรับพระบัญชาของพระพุทธองค์แล้ว พระมหาโมคคัลลานะก็รีบเดินทางไปสํลานที่ประชุมของอัคคิ- หัตหันที แต่ก็มีความกังกลว่าตนจะสามารถเปลี่ยนความคิด ของคนเหล่านั้นได้อย่างไร เนื่องจากมีจำนวนมากมาย แต่ใน ที่สุดพระเถระก็ใช้อุบายสลาย^^งชน โดยใช้อานุภาพของตน บันดาลให้ฝนลูกเห็บตกลงมา มีผลให้คนเหล่านั้นต่างแยก ย้ายไปหลบฝนกันคนละทิศละทาง ฝ่ายอัคคิหัตก็หลบเช้าไป อย่ในบรรณศาลาของตน พระเถระจึงไปเคาะประตูบรรณศาลาของอัคคิหัต เพื่อ ขอพักค้างด้วย แต่ถูกปฏิเสธ ในที่สุดพระเถระก็ขออนุญาต พักอยู่ที่กองทราย ซึ่งมีนาคราชที่ดุร้ายอาคัยอยู่ ในหันทีที่ได้เห็นพระเถระ นาคราชก็สำแดงเดชด้วย การบังหวนควัน ด้วยหวังจะปลิดชีพพระเถระ ฝ่ายพระเถระ ก็บังหวนควันโต้ตอบบ้าง ควันของทั้งสองฝ่าย เมื่อปะทะกันแล้ว ไม่อาจทำอันตรายพระเถระแต่ประการใด แต่กลับทำ อันตรายต่อนาคราช นาคราชจึงพ่นไฟใส่พระเถระ เมื่อเห็น ด้งนั้น พระเถระก็เช้าสมาบัติเตโชธาตุเป็นอารมณ์ ร่างกาย พระเถระจึงลุกโพลงเป็นไพ่บ้าง เปลวไพ่พุ่งขึ้นไปจนถึง พรหมโลก เปลวไพ่ทั้งสองฝ่ายมิอาจทำอันตรายใดๆ ต่อ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๔0 www.kalyanamitra.org
พระเถระเลย แต่ได้เผาลนนาคราชทั่วทั้งร่าง นาคราชจึงจำ ต้องยอมละพยศ เมื่อพระเถระสามารถทรมานนาคราชจนหมดพยศแล้ว ก็ขึ้นนั่งบนกองทรายฝ่ายนาคราชก็ฃดตัวโอบรอบกองทรายนั้น ส่วนหัวก็แฝพังพานใหญ่เท่าหัองโถงแห่งเรือนยอด (อาคารที่ มีหลังคาสูง) เพื่อเป็นร่มเงาปกป้องคุ้มครองพระเถระใหัได้รับ ความสบาย ครั้นร่งเช้าบรรดานักบวชที่เป็นสืษยานุตัษย์ของอัคคิหัต ต่างก็รืบพากันมาดูว่าพระเถระถูกนาคราชปลิดชีพแล้วหรือยัง ครั้นเห็นท่านนั่งอยู่บนกองทรายอย่างผู้ชนะต่างก็เช้ามารุมล้อม ประคองอัญชลีพลางกล่าวชื่นชมอาพุาพของพระเถระกันไม่ หยุดปาก ในขณะนั้น พระบรมศาสดาได้เสด็จมาถึง พระเถระจึง ลุกขึ้นถวายบังคม แล้วตอบช้อสงสัยของนักบวชเหล่านั้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระศาสดา ส่วนตนเป็นสาวกของ พระผู้มีพระภาคเจ้า นักบวชเหล่านั้นต่างพากันเชื่อมั่นว่า พระบรมศาสดาจะต้องมีอา'นุภาพยิ่งกว่าพระเถระมากมาย ครั้นประหับนั่งบนยอดกองทรายแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสถามอัคคิหัต เกี่ยวกับการใหัโอวาทสังสอนสาวกและ อุปัฏฐากของเขา เมื่ออัคคิหัตกราบ'ผูลให้ทรงทราบแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสสอนอัคคิหัตว่า การยึดถือวัตถุสิงของฟ็น ที่พึ่งนั้น ไม่สามารถพ้นทุกขได้เลย การถึงพระวัตนตรัยร่า เป็นที่พึ่งเท่านั้น จึงสามารถพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารได้ ด้ง พระธรรมเทศนาต่อไปนี้ ๒๔® สีลัพพตปรามาสเป็นของผู้มีปัญญาน้อย www.kalyanamitra.org
\"มนุษย์เป็นอันมาก ถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึง ภูเขา ป่า อาราม และรุกขเจดีย์ {ต้นไม้ที่ถือกันว่า ต้กดื้สิทธ์) สรณะนั่นแลไม่เกษม สรณะนั่นไม่อุดม เพราะบุคคลอาสัยสรณะนั่นย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้ง ปวงได้ ส่วนบุคคลใดถึงพระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมเห็นอริยสัจ ๔(คือ)ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล'วงทุกข์ และมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ 4งยังสัตว์ให้ถึงความสงบแห่งทุกข์ ด้วยป็ญญาชอบ สรณะนั่นแลของบุคคลนั้นเกษม สรณะนั่นอุดม เพราะบุคคลอาด้ยสรณะนั่นย่อมพ้น ทุกข์ทั้งปวงได้\" เมื่อจบพระธรรมเทศนา นักบวชอัคคิทัดและเหล่า สาวกทั้งหมด ต่างบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ทั้งหลาย ถวายบังคมพระบรมศาสดา แล้วทูลขอบรรพชา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้โดยตรัสว่า \"ท่านทั้งหลาย จงเป็นภิกษุมาเถิด จงประพฤติ พรหมจรรย์\" ครั้นผู้คนในแคว้นอังคะ แคว้นมคธ และแคว้นๆรุ นำ เครื่องสักการะมาถวายเหล่านักบวชดังเช่นเคย ได้เห็น อัคคิทัตพร้อมด้วยคณะคิษย์ เปลี่ยนสภาพจากฤๅษีมาเป็น ภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาก้นหมด ต่างมีบุคลิกสักษณะ สง่างามดุจพระเถระผู้บวชมานาน ก็รู้ถึกชื่นชมยินดี ขณะ เดียวก้นก็สงสัยว่า ระหว่างพระบรมศาสดาก้บพระอัคคิทัต ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๔๒ www.kalyanamitra.org
ใครจะใหญ่กว่ากัน แต่ก็คิดว่าพระอัคคิหัตน่าจะเป็นใหญ่กว่า พระบรมศาสดาจึงต้องเสด็จมาหาถึงที่พำนัก พระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาต้ยของชนเหล่านั้นด้วย พระญาณ จึงตรัสบอกพระอัคคิหัตให้ทำความกระจ่างแก่ชน เหล่านั้น พระอัคคิหัตจึงเหาะฃึ้นล่เวหาด้วยกำลังฤทธื้ แล้วลง มาถวายบังคมพระบรมศาสดา โดยเหาะขึ้นลงอยู่ถึง ๗ ครั้ง พร้อมทั้งประกาศความที่ตนเป็นสาวกว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดา ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก\" นับเป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่งใหญ่ของพระล้มมา ล้มพุทธเจ้า ที่เสด็จไปโปรดอัคคิหัต มิฉะนั้นแล้ว การบรรลุ พระอรหัตของเขาและคณะคิษย์ ก็คงจะเนิ่นนานออกไป อย่างไมมกำหนด หรืออาจถูกต้ดรอนโดยผลกรรมแห่ง สิล้พพตปรามาสที่พวกเขากำลังปฏิบัติกันอยู่ จนอาจทำให้ หมดโอกาสบรรลุพระอรหัตในชาตินั้นก็ได้ จากเรื่องอัคคิหัต อาจกล่าวสรุปได้ว่า ๑. พระล้มมาล้มพุทธเจ้าทรงพัฒนาพระองค์เอง จน สามารถตรัสรู้สัจธรรมทั้งปวง ทำ ให้ทรงคุณวิเศษเหนือมนุษย์ เทวดา และพรหม ทรงสามารถตรัสสอนมนุษย์เป็นจำนวน มากให้บรรลุอรหัตได้ ซึ่งไม่มีศาสดาองค์ใดทำได้ ๒. การปฏิบัติอย่างถูกต้องจริงจังตามหลักธรรม สำ คัญในพระพุทธศาสนา ย่อมเป็นการลังสมบุญกุศล สามารถป้องกันหรือบรรเทาทุกข์ และน้อมนำความสุขตาม สำ ด้บมาสํผู้ปฏิบัติ บุญกุศลนี้ถ้ามีมากพอย่อมล่งผลให้ไป ๒๔๓ สีลัพพตป■ฑมาสฟ้นฃองผู้มีปัญญาาฬ้ย www.kalyanamitra.org
บังเกิดในสุคติภูมิ ทั้งยังสามารถเป็นต้นทุนหรือรากฐาน สำ หรับสร้างบุญกุศลเพื่อเป็นอุปนิสัยสำหรับการบรรลุธรรม ในภายหน้า ๓. แม้ผู้สังสมบุญกุศลจะพสัดไปบังเกิดนอกบุญเขต เพราะบาปอกุศลใดก็ตาม แต่บุญกุศลที่เขาเคยสังสมไว้มาก ย่อมสามารถน้อมนำเขาให้คืนกสับมาส่บุญเขตอีก ๔. การปฏิบัติตามหสักปฏิบัตินอกพระพุทธศาสนา เป็นการกระทำที่ขาดโยนิโสมนสิการ เป็นการกระทำด้วย ความเชื่ออย่างงมงาย หรือสีสัพพตปรามาส ซึ่งนอกจากจะไม่ สามารถนำพาผู้ปฏิบัติไป^ความหลุดพ้นได้แล้ว ยังเพื่มพูน มิจฉาทิฏฐิขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นเหตุให้ห่างไกลสัมมาทิฏฐิโดย สินเชิงในที่ลุด ๕. มิจฉาทิฏฐิบุคคล ย่อมก่อทุกข์ให้ทั้งตนเอง ผู้คน รอบข้าง และสังคมโดยทั่วไป ย่อมอยู่เป็นทุกข์ทั้งโลกนี้และ โลกหน้า ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนาโดย ปริยาย การปฏิป้ติแบบนอกบุญเขตดู่อว่ามิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฎเ แปลว่า เห็นผิด ความเห็นที่ผิดจากคลอง ธรรม มีความหมายตรงข้ามกับสัมมาทิฎฐิ ซึ่งแปลว่า เห็นถูก เห็นชอบ เห็นถูกต้องตามคลองธรรม ในบทที่ ๔ได้กล่าวถึงสัมมาทิฏฐิเบื้องต้นหรือสัมมาทิฏฐิ ระดับโลกิยะ คือ ความเห็นถูกต้องตามคลองธรรมของ ยู่กุซนที่ยังมีกิเลส ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ซึ่งแปงออกเป็น ศรัทธา รุ่งอรุณนห่งสันติภาพโลก www.kalyanamitra.org
๑๐ ประการ ดังนั้น มิจฉาทิฏฐิ ซึ่งมิความหมายตรงข้ามกับ สัมมาทิฏฐิ จึงแปงออกเป็น ๑๐ ประการด้วย® ต่อไปนี้เป็นการแสดงการเปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่าง สัมมาทีฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายๆ สัร.เมาทิฏเ ๑๐ มิจฉาทิฏเ ๑๐ ๑. ทานที่ให้แล้วมีผล ๑. ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ๒. การสงเคราะห์ที่ทำ ๒. การสงเคราะห์ที่ทำแล้ว แล้วมีผล ไม่มีผล ๓. การยกย่องบูชามีผล ๓. การยกย่องบูชาไม่มีผล ๔. ผลวิบากแห่งกรรม ๔. ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดี ที่ทำ ดีและชั่วมี และชั่วไม่มี ๕.โลกนี้มี (ที่มา) ๕. โลกนี้!ม่มี (ที่มา) ๖.โลกหน้ามี (ที่ไป) ๖. โลกหน้าไม่มี (ที่ไป) ๗. มารดามีคุณ ๗. มารดาไม่มีคุณ ๘. บิดามีคุณ ๘. บิดาไม่มีคุณ ๙. สัตว์ที่เป็น ๙. สัตว์ที่เป็น อุปปาติกะมี อุปปาติกะไม่มี ๑๐. พระพุทธเจ้า ๑๐. พระพุทธเจ้าไม่มีจริง (ผู้ตรัสรู้เอง) มีจริง ® มหาจัตตารีสกสูตร ม.อุ. ๒๒/๒๕๕/๓๔๒ {มมก.) ๒๙๕ การปฏิบัติแบบนอกบุญเขตร่อว่ามัจฉาทฎฐ www.kalyanamitra.org
สัมมาทิฏฐิบุคคลย่อมสงสมบุญ บุคคลที่มีสัมมาทิฏฐิก็เพราะได้รับการปลูกฝังคุณธรรม ตามหลักพระพุทธศาสนา ให้เห็นประโยชน์และความจำเป็น ของการปฏิบัติกิจวัตรในชีวิตประจำวัน อันก่อให้เกิดบุญกุศล ซึ่งมีชึ่อเรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ฅ ได้แก่ ทานฟ้ย คือ ทำ บุญด้วยการให้ สิลมย คือ ทำ บุญด้วยการรักษาคืล และประพฤติดี ประพฤติสุจริต ภาวนามัย คือ ทำ บุญด้วยการเจริญภาวนา การปฏิบัติบุญกิริยาวัตถุ ๓ เป็นกิจวัตรประจำวัน นอกจากจะเป็นการลังสมบุญทุกวันแล้ว ยังสามารถพัฒนา สัมมาทิฏฐิในจิตของผู้ปฏิบัติให้สูงส่งยิ่งขึ้นอีก ย่อมปฏิบัติ สัมมาทิฎฐิข้อ ๑-๔ ได้เป็นปกตินิสัย และมีความเห็น สอดคล้องกับสัมมาทิฏฐิที่เหลืออีก ๖ ข้อ เป็นอย่างดี นั่นคือ ได้พัฒนาตถาคตโพธิสัทธาให้สูงส่งยิ่งขึ้นอีกด้วย จึงพยายาม ระมัดระวังตนมิให้ทำสิงใดอันเป็นบาปอกุศล พยายามหลีก ให้ไกลจากคนพาล ขณะเดียวกันก็พากเพียรลังสมบุญกุศล ให้ยิ่งๆ ขึ้นด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยหวังว่าจะได้บรรลุความ หลดพันตามพระบรมศาสดา และพระอรห้นตสาวกทั้งหลาย ของพระองค์ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒<^ www.kalyanamitra.org
มิจฉาทิฏฐิบุคคลย่อมสั่งสมบาป สำ หรับบุคคลที่ไม่เคยได้รับการปลูกฝังคุณธรรมตาม หลักพระพุทธศาสนา ย่อมไม่รู้จริงว่า สิงใดเป็นบุญหรือบาป สิงใดเป็นคุณหรือโทษ สิงใดควรทำ หรือไม่ควรทำ ประพฤติ ปฏิบัติตนไปตามความคิดเห็นอันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะถูก อำ นาจกิเลสครอบงำ ด้งนั้น การดำเนินชีวิตของมิจฉาทิฏฐิ บุคคล จึงเป็นการสั่งสมบาปอกุศลอยู่เสมอ ซึ่งอาจพิจารณา ในรายละเอียดได้ด้งนี้ ๑. ทานที่ให้แล้วไม่มีผล บุคคลที่ถือกำเนิดในลังคมพระพุทธศาสนา แต่ไม่เคย ได้รับการปลูกฝังคุณธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา ย่อม ไม่รู้อานิสงส์ของการทำทาน จึงคิดว่าการทำทานไม่มี ประโยชน์อะไร ทำ ให้ไม่คิดแปงปันหรือเสิยสละโภคทรัพย์ สิงของของตนให้แก่ใคร บางคนที่มีนิลัยตระหนี่ถี่เหนียว นอกจากจะไม่บริจาคทาน หรือแปงปันสิงของให้แก่ผู้อึ่นแล้ว ยังเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ พยายามเอารัดเอาเปรืยบผู้ อื่นอยู่ตลอดเวลา เช่นในยามที่ตนขาดแคลนทรัพย์สินเงิน ทองก็จะขอหยิบยืมจากผู้อึ่น แต่เมื่อถืงคราวผู้อื่นมาขอหยิบ- รมของตนบ้างก็จะปฏิเสธ หรือบางคนเมื่อหยิบยืมสิงของ จากผู้อื่นมาใช้แล้วก็ไม่ยอมส่งคืน ถ้าผู้เป็นเจ้าของไม่ตาม ทวงถาม ก็จะยึดเอาเป็นสมบัติของตน หรือถ้าเป็นพ่อค้า แม่ค้าก็จะหาทางเอาเปรืยบลูกค้าด้วยกลโกงต่างๆ เป็นตัน บุคคลบางคนดูเหมีอนเป็นคนใจดีมีความเมตตากรุณา สูง ยินดีเสิยสละทรัพย์สินเงินทองให้แก่ผู้อื่น แต่แท้ที่จริง ๒๙๗ มัจฉาทํฎฐิคคลย่อมสังสมบาป www.kalyanamitra.org
แล้วการกระทำนั้นก็เพื่อหวังผลตอบแทนบางอย่าง เช่น เพื่อ ขอเสียงสนับสนุนให้ตนชนะการแข่งขันเลือกตั้งเข้าไปส่ ยังเป็นการสร้างค่านิยมที่ไม่ถูกต้องขึ้นในสังคมอีกด้วย จะเห็นว่าบุคคลที่ขาดความเข้าใจหสักธรรมใน พระพุทธศาสนา นอกจากเขาจะไม่ได้สั่งสมบุญกุศลแล้ว ยัง สั่งสมบาปอกุศลอยู่เรื่อยๆ คราใดที่ประสบปัญหาชีวิต ก็จะ แก้ปัญหาตามความเชื่อนอกบุญเขต เช่น ไปหาหมอดู ไปหา อาจารย์รดนํ้ามนต์ ไปหาคนทรงเจ้า เป็นต้น หรือมิฉะนั้น บางรายก็ห้นไปเสพสุรายาเมา เพื่อให้ลืมความทุกข์ พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นการสั่งสมบาปอกุศลทั้งสิน นี่คือ โทษภัยของมิจฉาทิฏฐิ ๒. การสงเคราะห์ที่ทำแล้วไม่มีผล บุคคลที่ไม่รู้อานิสงส์ของการทำทาน คิดว่าการทำทาน ไม่มีประโยชน์อะไร ย่อมมองว่าการช่วยเหลือหรือสงเคราะห์ ผู้คนในสังคมที่มีปัญหาทุกข์ยากต่างๆเป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐ ชํ้าร้ายกว่านั้น ความตระหนี่และความเห็นแก่ตัวของบางคน ยังผสักด้นให้เขาประพฤติทุจริตต่างๆ เช่น เบียดบังสิงของ บางส่วน ที่มีผู้บริจาคให้แก่ผู้ประสบภัย ไว้เป็นของตน เป็นต้น บุคคลที่มีความตระหนี่ และเห็นแก่ตัว ย่อมไม่มีความ คิดที่จะทำศาสนสงเคราะห์เลย เพราะเขาคิดว่าตนไม่เคยได้ รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนา บางคนยังมีความเห็นผิดว่า พระสงฆ์เกียจคร้าน ไม่ต้องทำอาชีพการงานอะไร แต่ก็มีชีวิต อยู่อย่างสบายด้วยปัจจัยของชาวบ้านที่ต้องประกอบอาชีพ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๔๘ www.kalyanamitra.org
เขาจึงไม่คิดทำนุปารุงพระพุทธศาสนา จึงหมดโอกาสสั่งสม บุญกุศลกับเนื้อนาบุญ ความเห็นผิดทำให้เขาไม่รู้ว่า พระพุทธศาสนาจะยั่งยืน สืบไปเพื่อเป็นที่พึ่งที่ระลึกให้แก'ผู้คนในสังคม ก็เพราะได้รับ การสงเคราะห์จากพุทธศาสนิกเทำนั้น มิฉะนั้น พระพุทธ- ศาสนาก็ตั้งอยู่ไม่ได้ และถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา ผู้คนย่อม จะไม่รู้จักสั่งสมบุญ แต่จะพากันสั่งสมบาปทั้งโดยตั้งใจและ ไม่ตั้งใจ ถ้าเป็นเช่นนั้น นานไป สันติสุขในสังคมก็ยากที่จะ เกิดขึ้น นี่คือโทษภัยของมิจฉาทิฏฐิอีกประการหนึ่ง ฅ. การยกย่องบูชาไม่มีผล ด้วยเหตุที่จิตใจของมิจฉาทิฏฐิบุคคล ถูกครอบงำด้วย อำ นาจกิเลสอย่างเหนียวแน่น ทั้งความโลภ ความโกรธ และ ความหลง มีความเห็นแก่ตัวเป็นปกตินิสัย ไม่เคยคิดเสืยสละ ทว่าคิดแต่จะเอาเปรียบผู้อื่น แย่งชิงผลประโยชน์จากผู้อื่น แม้บางคนจะมีทรัพย์ศฤงคารมากมาย แต่ก็ยังมีความคิดว่า ตนยังยากจนอยู่คือเป็นบุคคลประ๓ทยากจนเพราะไม่รู้จักพอ จึงต้องการเด่นดังกว่าผู้อื่น ต้องการเอาชนะผู้อื่น ความคิด เหล่านื้ย่อมทำให้มิจฉาทิฎฐิบุคคลมีนิสัยอิจฉาริษยาอย่างรุนแรง จึงไม่คิดยกย่องสรรเสริญใคร เพราะการทำเช่นนั้นย่อมไม่ สามารถยกตนให้เด่นดังขึ้นได้ เขาจึงต้องใช้กลวิธีจ้องจับผิด ผู้อื่น ว่าร้ายผู้อื่น วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของผู้อื่นให้เกิด ความเสืยหาย เพื่อเป็นการยกตนเองให้เหนิอกว่าใครๆ หรีอ เพื่อยกย่องตนเองให้เด่นดังในสังคม นั่นย่อมหมายถึงเพื่อ เป็นการกรุยทางหาตำแหน่งและผลประโยชน์ให้แก่ตนเป็น สำ คัญอีกด้วย totfof มิจฉาทํฎฐิบุคคลย่อมสังสมบาป www.kalyanamitra.org
การกระทำของมิจฉาทิฎฐิบุคคล นอกจากจะเป็นการ บั่นทอนกำลังใจสัมมาทิฏฐิบุคคลที่ตั้งใจทำความดีเพื่อสังคม ต้องระงับหรือล้มเลิกการกระทำของตนแล้ว ยังทำให้ผู้คนใน สังคมเข้าใจว่า ผู้ทำ ผิดทำนองคลองธรรมเท่านั้นที่ได้รับการ ยกย่องจากสังคม เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเกิดเป็นกระแสสังคมผิดๆ ที่ผู้คนพากันยึดเป็นบรรทัดฐาน นี่คือโทษภัยของมิจฉาทิฏฐิ อีกประการหนี่ง ๔. กรรมดีและกรรมชั่วไม่มีผล ด้วยเหตุที่มิจฉาทิฎฐิชนถูกอำนาจกิเลสครอบงำประการ หนี่ง และขาดความรู้ทางธรรมอีกประการหนี่ง รวมทั้งได้เห็น ผู้คนในสังคมที่มีพฤติกรรม หรือทำอาชีพผิดคืลธรรม ผิด กฎหมายจำนวนไม่น้อย แต่ไม่ถูกลงโทษ ช่าร้ายยังดำรง ตำ แหน่งทางการเมืองใหญ่โต มีฐานะรํ่ารวย มีเกียรติสูงส่งใน สังคม มีผู้คนยกย่องนับถือ นอบน้อม เกรงอกเกรงใจ อยู่ ทั่วไปทุกยุคทุกสมัย จึงทำให้มิจฉาทิฎฐิชนไม่สามารถเข้าใจ เรื่องผลของกรรมดีและกรรมชั่วหรือกฎแห่งกรรม หากจะมี ผู้รู้มาชี้แนะ อธิบายเรื่องกฎแห่งกรรมให้เขาฟังด้วยความ ปรารถนาดี เขาก็จะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ หรือคัดค้านโต้แย้ง ดังสำนวนที่พูดกันอยู่เสมอว่า \"ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำ ชั่วได้ดีมี ถมไป\" เป็นด้น กส่าวได้ว่า มิจฉาทิฏฐิชนไม่เคยกลัววิบากของกรรมชั่ว ทั้งไม่เชื่อวิบากของกรรมดี มีแต่กฎหมายเท่านั้นที่เขาต้อง ระมัดระวัง แต่การ \"วิ่งเต้น'' และการไข้ระบบ \"เต้นสาย\"ของ มิจฉาทิฏฐิชน ก็สามารถทำให้กฎหมายไร้ความคักดลิทธอยู่ เนืองๆ ศพัธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๕๐ www.kalyanamitra.org
สังคมใดที่ผู้คนไม่เคารพกฎหมาย ไม่เชื่อกฎแห่งกรรม ผู้คนในสังคมนั้นย่อมสังสมแต่บาป สังคมนั้นจึงเต็มไปด้วย ความสับสนๅนวาย หาความสงบสุฃมิได้ นี่คือโทษภัยของ มิจฉาทิฎฐิอีกประการหนี่ง ๕. โลก'^ม่มี (ที่มา) ด้งได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น ข้อที่ ๕ - โลกนี้มี(ที่มา)ว่า คำ ว่า \"โลก\"หมายถึง สัตวโลก การที่สรรพ- สัตว์ทั้งหลายที่ปรากฏอยู่บนโลกมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรึอเดียรัจฉาน ล้วนมิความแตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง สำ หร้บในหมู่มนุษย์ ย่อมเห็นได้ว่า แต่ละคนล้วนแตก- ต่างกันตั้งแต่เกิด ทั้งๆ ที่เกิดในครอบครัวเดียวกัน เช่น บาง คนก็เป็นชาย บางคนก็เป็นหญิง บางคนรูปร่างหน้าตาดี บาง คนหน้าตาฃี้เหร่ บางคนพิกลพิการมาแต่กำเนิด บางคนมิสติ ปัญญาฉลาดหลักแหลม มิปฏิภาณไวกว่าพี่น้อง บางคนก็ หัวที่อ บางคนก็มิสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ บางคนก็อ่อนแอ เป็นโรคภูมิแพ้มาตั้งแต่เกิด บางคนก็มิอายุยืน บางคนก็ตาย ตั้งแต่เกิด เป็นต้น ตามหลักพระพุทธศาสนาอธิบายไว้ว่า เหตุปัจจัยแห่ง ความแตกต่างระหว่างบุคคลทุกกรณี คือ กรรมดีและกรรมชั่ว ที่แต่ละคนได้กระทำไว้ในอดีตชาติ แต่เพราะเหตุที่มิจฉาทิฎเ- ชนไม่รู!ม่เข้าใจ และไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม จึงคิดว่าโลกนี้ ไม่มีที่มา จึงดำเนินชีวิตอยู่อย่างประมาท สุดแต่อ่านาจกิเลส จะชักนำไป มิจฉาทิฎฐิชนทั้งหลาย นอกจากตนจะประสบ ความทุกข์ความเดือดร้อนแล้ว ยังก่อความเดือดร้อนจุ่นวาย ๒๕® มิจฉาทิฎฐํบุคคลย่อมสังสมบาป www.kalyanamitra.org
ให้ผู้คนรอบข้างและสังคมโดยรวมอีกด้วย นี่คือโทษภัยของ มิจฉาทิฏฐิอีกประการหนี่ง ๖. โลกหน้าไม่มี(ที่ไป)เพราะเหตุที่ขาดความรู้ความ เข้าใจทางธรรม ประกอบกับยังไม่เคยปรากฏข้อมูลหลักฐาน จากวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ยีนยันเรื่อง การเวียนมาเกิดใหม่ของบุคคลที่ล่วงสับไปแล้ว มิจฉาทิฎฐิชน จึงพากันเชื่อว่า ชีวิตของคนเราต่างสุดสินอย่างเบ็ดเสร็จเด็ด ขาดที่หลุมฝังศพ หรือเชิงตะกอน เพราะเหตุที่เชื่อมั่นว่าตายแล้วสูญหมด ผนวกกับ ความไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม มิจฉาทิฎฐิซนจึงมีชีวิตอยู่ อย่างประมาท มีการประพฤติทุจริตทั้งทางกาย วาจา ใจ เป็น อาจิณ เกี่ยวข้องพัวพันกับอบายมุข รูปแบบต่างๆ ทั้งคนรวย และคนจน คราใดที่มีความทุกข์ความเดือดร้อน ก็ห้นไปพึ่งความ เชื่อนอกบุญเขตเพึ่อแก้ปัญหา บางครั้งก็อาจจะบรรเทาทุกข์ลง ได้บ้าง แต่บางครั้งก็กลับเพึ่มทุกข์ยิ่งขึ้นอีก จึงต้องแสวงหาที่ พึ่งไปเรื่อยๆ บางคนที่บ้งเอิญไปสังเกตเห็นว่าอาจารย์ทาง ไสยเวทบางสำนักมีผู้คนนิยม ทำ ให้มีรายได้ดื เขาก็พยายาม หาวิธีอุปโลกน์ตนเองขึ้นมาเป็นอาจารย์ทางไสยเวทบ้าง เป็นการสร้างอาชีพใหม่ให้แก่ตน แต่บริการที่เขาจัดให้แก่ผู้ นิยมมาอุดหนุนจะแก้ปัญหาได้หรือไม่อย่างไรเป็นอีกเรื่องหนี่ง กล่าวได้ว่าพฤติกรรมของบรรดามิจฉาทิฏฐิชน ล้วน เป็นการลังสมบาปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ย่อมมีจิตใจเศร้าหมอง อยู่เสมอ ด้งนั้น เมื่อวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขามาถึง ย่อมไม่พ้นทุคติ ด้งพุทธพจน์ว่า ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๕๒ www.kalyanamitra.org
\"เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้\"® นี่คือโทษภัยของมิจฉาทิฏฐิอีกประการหนึ่ง ๗.-๘. มารดา-บิดา ไม่มี (คุณ) เป็นความจริงอย่างยิ่ง ว่า มารดาบิดาทุกคนเป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่งใหญ่ต่อบุตร ใน ฐานะผู้ให้รูปกายที่เป็นมนุษย์ของบุตร ให้ชีวิตแก่บุตร เพราะ ถ้าไม่มีมารดาบิดา บุตรย่อมไม่มีโอกาสถือกำเนิดมาเป็น มนุษย์และมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์นี้ ตามหลักพระพุทธ- ศาสนานั้นยกย่องมารดาบิดาว่าเป็นบุคคลหาได้ยาก ได้ซื่อว่า เป็นบุพการี หมายถึง บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน คือ เป็นผู้ อุปการะเลี้ยงดูบุตร ตั้งแต่ลืมตามาดูโลก จนกระทั่งเติบใหญ่ พร้อมทั้งให้การคืกษาอบรมปลูกลัมมาทิฏฐิ ให้วิชาชีพ และ บางรายที่มีฐานะดีก็มอบมรดกให้อีกด้วย นับว่าเป็นพระคุณ อย่างยิ่งของมารดาบิดา นอกจากนี้พระสัมมาลัมพุทธเจ้าทรง ยกย่องมารดาบิดาว่าเป็นพรหมของบุตร ด้งพุทธพจน์ว่า \"มารดาบิดาทั้งหลาย ผู้เอ็นดูประชา ซื่อว่าเป็น พรหม เป็นบุรพาจารย์ และเป็นอาหุไนย (ผู้ควรได้ รับสักการะ) ของบุตรทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ บุตรผู้มีปัญญาพึงนอบน้อมสักการะท่านด้วยข้าว ด้วยนํ้า...เพราะการบำรุงมารดาบิดานั้น ในโลกนี้ บัณฑิตทั้งหลายก็สรรเสัริญบุตรนั้น บุตรนั้นละโลก นี้!ปแล้ว ยังบันเทิงใจในสวรรค์\"^ ® วัตฉูปมสูตร ม.ยู. ๑๗/๙๒/๔๓๓(มมก.) ^ สพรหมสูตร อัง.จตุกก. ๓๕/๖๓/๒๐๘-๒๐๙(มมก.) ๒๕๓ มจฉาทฎฐิบุคคลย่อมสังสมบาป www.kalyanamitra.org
อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง ที่เหล่าบุคคล ซึ่งเห็นผิดพากันไม่รู้ชึ้งถึงคุณของบุพการี บางรายถึงกับปลง ชีวิ ตผู้บังเกิดเกล้าของตนซึ่งปรากฏเป็นข่าวในหน้า หน้งสือพิมพ์อยู่บัาง หรีอแมโนพระไตรปิฎกก็มีเรื่องราว ปรากฏว่าพระเจ้าอชาตกัตรูกษัตริย์ผู้ปกครองกรุงราชคฤห์ แห่งแคว้นมคธ ได้คบคิดกับพระเทวทัตเพื่อปลงพระชนม์ พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดา เป็นต้น การที่บุตรบางคนเนรคุณบุพการีของตนนั้น อาจมี สาเหตุมาจากพฤติกรรมของผู้เป็นมารดาบิดา บางข้อหรีอทุก ข้อต่อไปนี้ ๑. ไม่ได้ให้การอุปการะเลี้ยงดูบุตร หรีอให้การเลี้ยง ดูบกพร่องด้วยประการต่างๆ ๒. โหดร้ายทารุณต่อบุตร ๓. ปล่อยปละละเลยบุตรให้คบคนพาล จนถึงขั้นจม อยู่กับอบายมุข ๔. ไม่ได้ให้การอบรมบุตรในด้านคุณธรรม ตาม หลักพระพุทธศาสนา ๕. ไม่มีความเคารพ และว่าร้ายบุพการีของตนให้ บุตรเห็นอยู่เสมอ ๖. ไม่อุปการะเลี้ยงดูบุพการีของตน ซึ่งอยู่ในว้ยชรา ๗. ไม่เคยลังสอนอบรมบุตรให้รู้เงถึงคุณของบุพการี ของตน ๘. ไม่มีความรู้ทางพระพุทธศาสนา เลื่อมใสเรื่อง นอกบุญเขต และมีพฤติกรรมเป็นมิจฉาทิฏฐิ ศรัทธา รุ่งอรุณแท่งสันติภาพโลก ๒๕๙ www.kalyanamitra.org
๙. มีพฤติกรรมโหดร้ายต่อบุพการีของตน ๑๐. เลี้ยงดูบุตรแบบตามใจเกินควร จนบุตรมีดวาม เห็นว่า มารดาบิดามีหาใาที่ต้องรับผิดชอบต่อบุตร เพราะเป็นผู้าๆาใาง้บุตรถึอกำเนิดมา ความเห็นและพฤติกรรมอันเป็นมิจฉาทิฏฐิของมารดา บิดา ย่อมถูกถ่ายทอดไปส่บุตร ซึ่งทำใาง้บุตรเห็นว่ามารดา บิดาไม่มีคุณต่อเขาถือได้ว่าความเห็นของบุตรเป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งจะชักนำใใง้เขาสังสมบาปอกุศลอยู่เสมอ โดยไม่รู้จักคุณค่า ของบุญกุศลเลย นี่คือโทษภัยของมิจฉาทิฏฐิอีกประการหนึ่ง ๙. สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไฝมี ผู้ที่ไม่เซึ่อว่ามีสัตว์ที่เป็นอุปปาติกะ ก็คือไม่เซึ่อหรีอ ปฏิเสธเรื่องนรก-สวรรค์ ผู้ที่ปฏิเสธเรื่องนรก-สวรรค์ ย่อม ปฏิเสธเรื่องกฎแห่งกรรมโดยปริยาย ผู้ที่ปฏิเสธเรื่องกฎแห่ง กรรม ย่อมทำผิดคืลได้ทุกข้อ เพราะไม่มีหิริโอตตัปปะคอย ยับยั้งการทำผิดคืล ทำ บาป อนึ่ง ผู้ที่มีความเชื่อความนิยมชมชอบเรื่องนอกบุญเขต ย่อมไม่เคยได้รับการสังสอนชี้แนะ ให้มีความรู้ความเข้าใจใน เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องคืล และเรื่องนรก-สวรรค์ ด้งนั้น ผู้เห็นผิดจึงประพฤติปฏิบัติตนไปตามอำนาจกิเลสที่ครอบงำ จิตใจอยู่ตลอดเวลา ย่อมสังสมบาปอกุศลเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน โดยไม่รู้เลยว่า เมื่อละโลกไปแล้ว ตนจะต้องไปยู่แหล่งหนึ่ง แหล่งใดในทุคติทั้ง ๔ คือ นรก ดิรัจฉาน เปรต และ อสุรกาย นึ่คือโทษภัยของมิจฉาทิฏฐิอีกประการหนึ่ง ๒๕๕ มํจฉาทิฏเโเคคลย่อมสังสมบาป www.kalyanamitra.org
๑๐. พระพุทธเจ้าไม่มีจริง ประเด็นปัญหาของฃ้อนี้ คือ บรรดามิจฉาทิฏฐิชน เห็นว่าในโลกนี้ไม่เคยมีบุคคลที่สามารถตรัสรู้เองโดยชอบ คือบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณอันเป็นญาณเครื่องรู้แจ้งสัจธรรม ทั้งปวง ตลอดมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก รวมทั้งอบายภูมิ ด้วยตนเอง โดยไม่ได้อาศัยผู้อื่นสังสอนชี้แนะให้ จึงชื่อว่า พระพุทธเจ้า แล้วสอนผู้อึ่นให้รู้ตามได้ พ้นทุกข์ได้เช่นเดียว กับท่าน เมื่อพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการแล้ว ย่อมเห็นได้ว่า บรรดามิจฉาทิฏฐิชนทั้งหลาย มิได้ติดใจประเด็นปัญหานี้ อย่างจริงจังอะไรนัก เพราะพวกเขาต่างก็ประสบทุกข์ในชีวิต เนึองๆ ต้องพากันแสวงหาที่พึ่งเนืองๆ แต่เพราะมีปัญญาน้อย ขาดโยนิโสมนสิการ หรืออาจเป็นเพราะถูกบีบคั้นด้วยวิบาก ของอกุศลกรรมของตนที่เคยก่อไว้ในอดีตชาติ รวมทั้งที่ ก่าสังท่าอยู่ในปัจจุบัน ผนวกกับอำนาจกิเลสที่ซึมซาบเอิบ อาบจิตใจตลอดเวลา โดยเฉพาะโมหะหรือความหลงนั่นเอง ที่ครอบงำจิตใจของพวกเขาอยู่ จึงท่าให้พอใจกับการยึดที่พึ่ง นอกบุญเขต สุดแต่จะถูกกระแสสังคมชักนำไป ครั้นนานไปก็เกิดความคุ้นเคยและกลายเป็นนิสัยยึดติด สีสัพพตปรามาส แม้บางรายจะเป็นผู้มีการคืกษาทางโลกสูง แต่เพราะเหตุที่ไม่เคยสนใจคืกษาและปฏิบัติธรรม® จึงมิได้ ® พระธรรมคำสังสอนในพระพุทธศาสนาทั้งระดับโลกิยะและโลฤตระ สามารถ พิสูจน1ด1ดยการปฏิบัติด้วยตนเองดังบาลีว่า ปจฺจตฺตํ เวทิตพุโพ วิญญหิ เป็นวิสัยของวิญญชน(ผู้รู้ผิดรูชอบ)จะพึงรู1ดั,ต้องทำเองจึงเสวยได้เฉพาะตัว ทำ ให้กันไม่ได้ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒(fS) www.kalyanamitra.org
เข้าใจ มิได้ประจักษ์ในประโยชน์และคุณค่าของพระธรรม เข้าทำนอง \"ทพพีไม่รู้รสแกง\" จึงนึกถึงคุณวิเศษของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ออก มีค่าอุปมาอุปไมยที่ผู้คนนิยมกล่าวกันอยู่ปอยๆว่า \"เรา รับประทานอาหารเอง เราย่อมอิ่มท้องเอง ผู้อื่นที่ไม่ได้รับ ประทาน หรือผู้ที่หิวโหย ย่อมไม่อาจอิ่มท้องเหมือนกับเรา ยังคงหิวโหยต่อไป\" ซ้อนื้ฉันใด การยึดอิ่งสำหรับเป็นสรฌ>ะ หรือที่พึ่งก็ฉันนั้น คือเราจะด้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จึง จะประสบผลเอง ด้งตัวอย่างการปฏิบัติตามหสักธรรมใน พระพุทธศาสนาต่อไปนี้ การบริจาคทานปอยๆ ผู้บริจาคย่อมสามารถตัดความ ตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว ความเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นออกจาก ใจได้ ขณะเดียวกันผู้รับทานจากเรา ย่อมรู้ถึกนิยมชมชอบเรา เป็นมิตรกับเรา ย่อมทำให้เราสบายใจ สุขใจ ปลื้มใจ การรักษาคืลได้บริสุทธบริบูรณ์ ย่อมทำให้เราสบายใจ ปลอดกังวล เพราะไม่มีเวรภัยกับใคร ไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะ ถูกตามฆ่าล้างแค้น ถูกจี้ปล้น การเจริญภาวนาเป็นกิจวัตรทุกรันจิตใจย่อมผ่องใสไม่ เศร้าหมอง ย่อมเกิดปัญญาหาทางพัฒนาตน ให้ก้าวหน้าขึ้น ทั้งทางโลกและทางธรรมได้สำเร็จ เป็นต้น ในทางกสับกัน ถ้าเราไม่รู้หสักธรรมในพระพุทธศาสนา ดำ เนินชีวิตประจำวันด้วยความโลภ เห็นแก่ตัว คอยจ้องเอา เปรียบผู้อื่น ย่อมไม่มีใครอยากเป็นมิตรด้วย หรีออาจมีตัตรู รอบด้าน และถ้าประพฤติผิดดีลเป็นประจำ ไม่เคยเจริญ ๒๕๗ มํจฉาทิฏฐํบุคคลย่อมสืงสมบาป www.kalyanamitra.org
ภาวนาให้ใจนิ่งสงบระงับ จิตใจย่อมเร่าร้อนด้วยความคิดและ ปัญหามากมาย จิตใจย่อมเศร้าหมอง เป็นทุกข์ ยากที่จะหลับ ลงได้ในแต่ละคึนที่เข้านอน บุคคลที่มีจิตใจว้าวุ่นอยู่เสมอเช่น นี้ ถามว่าจะมีศาสดา ครูอาจารย์ เทพ หรึอภูตผีปีศาจตนใด มาช่วยบรรเทาทุกข์ให!ด้บ้าง เพราะฉะนั้น สาระสำคัญที่คนเราทุกคนต้องยึดเป็น สรณะตลอดชีวิต คือ ธรรมะ แล้วลงมีอปฏิบัติตามด้วยตนเอง อย่างจริงจัง มิใช่จะเสียเวลามาโต้เถียงกันว่าพระพุทธเจ้ามี จริงหรึอไม่ และสิงที่จะต้องพิจารณาคัวยโยนิโสมนสิการก็คือ การปฏิบัติตามอะไร และอย่างไรจึงจะช่วยบรรเทาทุกข์ลง เรื่อยๆ จนกระทั่งถึงคับทุกข์ในที่สุด แต่ถ้าไม่รู้จักคิด พิจารณาในเรื่องเหล่านี้ คนเราย่อมจะมีชีวิตไปตามกระแส กิเลส กระแสลังคม ชึ่งมีแต่จะลังสมบาปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นิ่คือ โทษภัยของมิจฉาทิฏฐิอีกประการหนิ่ง มิจฉาทิฏฐิทำใหหมดโอกาสล่วงทุกข์ ตามธรรมดาบุคคลที่มีความเชื่อนอกบุญเขต ย่อม เกี่ยวข้องพัวพันกับพิธีกรรมและกิจกรรมที่เนิ่องกับความเห็น อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ทั้ง ๑๐ ประการ ดังกล่าวแล้ว ซึ่งจะทำให้ พวกเขาหมดโอกาสล่วงทุกข์โดยสินเชิง ตราบเท่าที่ความเห็น ของเขายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เพราะเขาจะไม่มีโอกาส ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ เลย ศรัทธารุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๕๘ www.kalyanamitra.org
เหตุใดจึงกล่าวฟนนี้ ๓ท่านผู้อ่านลองพิจารณาความ- คิดและพฤติกรรม ที่ส่งผลต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ของมรรค มีองค์ ๘ เปรียบเทียบกับความคิดและพฤติกรรมที่ตรงข้าม กับมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องกันดังต่อไปนี้ ท่านก็จะ เข้าใจอย่างชัดเจน มรรคมีองค์ ๘ ซึ่งที่ตรงขามกับมรรคมีองค์ ๘ ๑. สัมมาทิฎฐิ - ความเห็นถูก ๑. มิจฉาทิฏฐิ - ความเห็นผิด ii ๒. สัมมาสังกัปปะ - ความคิดถูกต้อง ๒. มิจฉาสังกัปปะ - ความคิดผิด ๑) คิดออกจากกามออกบวช ๑) คิดแส่ไปในกาม รูป รส คิดปลอดจากโลภะ กลิ่น เสียง สัมผัส ๒)คิดไม่พยาบาท คิดเมตตา ธรรมารมณ์ ๓) คิดไม่เบียดเบียนใคร ๒) คิดพยาบาท คิดแกัแต้น ๓) คิดเบียดเบียนเขา เ เ ๓. สัมมาวาจา - เจรจาถูกต้อง ๓. มิจฉาวาจา - เจรจาผิด เว้นจากวจีทุจริต ๑) เว้นจากพูดปด วจีทุจริต ๒) เว้นจากพูดส่อเสียด ๓) เว้นจากพูดคำหยาบ ๑) พูดปด (ทุสาวาท) ๔) เว้นจากพดเพ้อเจ้อ ๒) พูดส่อเสียด (ปีสุณาวาจา) ๓) พูดคำหยาบ (ผรุสวาจา) I ๔) พูดเพ้อเจ้อ(สัมผัปปลาปะ) i ๒๕(* มิจฉาทํป็เทำใพ้เมดโอกาสล่วงทุกข์ www.kalyanamitra.org
๔. สัมมาก้มมันตะ - ทำ การงาน ๔. มิจฉาก้มมันตะ - ทำ การงาน ถูกต้อง คือ กายสุจริต ๓ ผิด คือ กายทุจริต ๓ ๑) เว้นจากฆ่าสัตว์ ๑) ฆ่าสัตว์(ปาณาติบาต) ๒) เว้นจากสักทร้พย์ ๒) สักทรัพย์(อทินนาทาน) ๓) เว้นจากประพฤติผิดในกาม ๓) ประพฤติผิดในกาม (กาฌสุมิจฉาจาร) เเ ๕. สัมมาอารวะ - เลี้ยงชีวิตถูกต้อง ๕. มิจฉาอาชีวะ - เลี้ยงชีวิตใน คือ เว้นจากเลี้ยงชีพในทางที่ผิด ทางที่ผิด คือ หาเลี้ยงชีพใน เช่น โกงเขา หลอกลวง สอพลอ ทางทุจริต ผิดวินัย หรือผิด บีบบังคับ^เข็ญ เป็นต้น คืลธรรม เช่น โกงเขา หลอก ลวงเขา เป็นต้น iเ ๖. สัมมาวายามะ - เพียรถูกต้อง ๖. มิจฉาวายามะ - พยายามผิด คือ เพียรในที่ ๔ สถาน คือ พยายามทำบาป ๑) เพียรระว้งบาปอกศล ที่ยัง พยายามทำอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น เป็นต้น (สังวรปธาน) ๒) เพียรละบาปอฤศลที่เกิด ขึ้นแล้ว(ปหานปธานุ) ๓) เพียรทำกุศลก^มที่ยัง ไม่เกิดให้เกิดขึ้น (ภาวนาปธาน) ๔) เพียฬกษากุศลธรรมที่เกิด ขึ้นแล้ว (อนุรักชนาปธาน) เเ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๖๐ www.kalyanamitra.org
๗. สัมมาสติ - ระลึกชอบ คือ ๗. มิจฉาสติ s ระลึกผิด คือ ระลึกในสติปัฏฐาน ๔ประคอง ระลึกถึงการอันจะยิ่งให้เกิด ใจให้อยูในตัวเป็นนิจ ราคะ โทสะ โมหะ J..๘.สัมมาสมาธิ s สมาธิถูกตัอง i\" คือ สมาธิที่เจริญตามแนว ๘. มิจฉาสมาธิ s ตงใจผด คือ จดจ่อ ปักใจแน่วในกามราค่ะ ของฌาน ๔ มีแติอุเบกขา และ ในพยาบาท เป็นตัน ใจจึงมืด ความสว่างภายในยิ่งๆ ขึ้นไป ลงๆ ทุกขณะ วิธีปฏิบัติเพี่อบรรลุความหลุดพ้น ตามหลักพระพุทธ■ ศาสนา ก็คีอการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจริงจัง ตามแนวมรรค มีองค์ ๘ แต่จากความคิดเห็นและพฤติกรรม ของบรรดา มิจฉาทิฏฐชนที่ยกมาเปรียบเทียบนี้ ล้วนห่างไกลจากมรรคมี องค์ <๘ โดยสินเชิง ล้วนเป็นการลังสมบาปอกุศลทุกประการ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า มิจฉาทิฎฐิทำให้บุคคลหมดโอกาส พ้นทุกข์ จำ ต้องติดอยู่ในคุกแห่งวัฏสงสารอย่างไม่รู้จบสิน ความหมายของถ้อยคำที่เสิอนไป คำ ด้พท์สำคัญส่วนมากที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธ- ศาสนาเถรวาทฉบับแปลเป็นภาษาไทย และตำราพระพุทธ■ ศาสนาที่มีผู้รจนาขึ้นเป็นภาษาไทยนั้น ส่วนใหญ่เป็นคำไทย ที่มีรากคัพท์มาจากภาษาบาลีและล้นสกฤต แตในปัจจุบันคำ คัพท์ทางพระพุทธศาสนาจำนวนไม่น้อย ถูกนำมาไชในความ หมายทั่วไป และมีความหมายแตกต่างไปจากความหมาย ^0๖®; มิจฉาทฎฐทำใพ้เมดโอกาสล่วงทุกข์ www.kalyanamitra.org
เดิมมากบ้างน้อยบ้าง บางครั้งก็ทำให้สีอสารกันไม่เข้าใจ หรือ เข้าใจผิดไปบ้างก็มี เช่น คำ ว่า บ้ณฑิต ตามความหมายทางธรรม แปลว่า ผู้ มีปัญญา น้กปราชญ์ ผู้ดำ เนินช่วิตด้วยปัญญา ผู้มีความ สามารถพิเศษโดยกำเนิด แต่ความหมายใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาใน ปัจจุบ้นคือ \"ผู้สำเร็จการคืกษาขั้นปริญญา\" และมีผู้คน จำ นวน>มากรู้เฉพาะแต่ความหมายใหม่เท่านั้น สำ หร้บคำว่า อารมณ์ตามความหมายทางธรรม แปลว่า เครื่องยึดหน่วงของจิต สิงที่จิตยึดหน่วง สิงที่ถูกรู้พรือถูกร้บ รู้ ได้แก่ อายตนะภายนอก ๖ (อารมณ์ ๖ ก็เรืยก)ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ (ลิ่งที่ใจนึกคิด) แต่ความหมายของคำว่าอารมณ์ ที่ใช้กันโดยทั่วไปใน ภาษาไทย ก็คือ ความรูเก หรือความเป็นไปทางจิตใจในขณะ ช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่นวันนี้อารมณ์ดี อารมณ์เสีย เขาชอบทำตาม อารมณ์ เป็นด้น อาจกล่าวได้ว่าคนไทยในปัจจุบ้น ถึงแม้จะ เป็นบัณฑิตผู้สำเร็จการคืกษาฃั้นปริญญาสูงสุด แต่ไม่เคย คืกษาตำราพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ไม่รู้ความหมายทาง ธรรมของคำนึเลย คำ ด้พท์สำคัญที่ต้องกล่าวถึงในที่นี้อีกคำหนึ่งก็คือคำว่า ศรืทธา ถึงแม้ความหมายของคำว่า ศร้ทธา ยังมีความหมายคง เดิมคือ ความเชื่อ ความเชื่อถึอ ความเลื่อมใสก็ตาม แต่คำว่า ศรัทธา ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนานั้น แท้ที่จริง หมายถึง ตถาคตโพธิสัทธาโดยเฉพาะซึ่งได้แก่ความเชื่อปักใจ เพราะหมดสงสัยโดยสินเชิงในพระปัญญาตรัสรู้พระสัมมา- สรัพธารุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๖1๐ www.kalyanamitra.org
สัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้า เนื่องจากได้ใช้ปัญญาพิจารณา ไตร่ตรองด้วยโยนิโสมนสิการ จนเกิดความเช้าใจอย่างลึกซึ้ง ครันเมื่อได้สืกษาและเจริญภาวนาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ความเชื่อปักใจก็จะทวียิ่งๆ ขึ้น ถึงขั้นไม่มีความเชื่ออื่นใดใน โลกมาเปลี่ยนแปลงความเชื่อปักใจนื่!ด้เลย อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงตถาคตโพธิสัทธา ย่อมหมาย ครอบคลุมถึงความเชื่อเกี่ยวกับกรรมอีก ๓ หัวช้อ คือ กัมมสัทธา วิปากสัทธา และกัมมัสสกตาสัทธา อีกด้วย ดังนั้น เมื่อท่านอ่านพบ คำ ว่า ศรัทธา ที่ปรากฏอยู่ใน พระสูตรต่างๆพึงระลึกเสมอว่า มีความหมายครอบคลุมศรัทธา ทั้ง ๔ อย่าง หรึอความเชื่อทั้ง ๔ อย่าง ดังกล่าวแล้ว ซึ่งแตก ต่างกับคำว่า ศรัทธา ที่ใช้Iนหนังสิออื่นๆ โดยทั่วไป ซึ่งหมาย ถึง ความเชื่อเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนื่งเพึยงเรื่องเดียวเท่านั้น อนื่ง โดยเหตุที่ความเชื่อเกี่ยวกับที่พึ่งนอกบุญเขตทุก กรณีไม่ว่าจะเป็น ผีสาง นางไม้ เจ้าปา เจ้าเขา เทพเจ้า ศาลเจ้า เครื่องรางของขสัง การทรงเจ้าเช้าผี การทำนายโชฺคชะตา การรดนํ้ามนต์ ฯลฯ ซึ่งบุคคลอาจเปลี่ยนแปลงความเชื่อได้ เมื่อประจักษ์ว่าสิงเหล่านั้นมิใช้ที่พึ่งซึ่งช่วยให้พ้นทุกข์ได้จริง จึงไม่ควรใช้คำว่า ศรัทธา แต่ควรใช้ว่า ความเชื่อ ย่อมจะลี่อ ความเช้าใจได้โดยไม่ก่อให้เกิดความสับสนกับความหมาย ทางธรรม เช่น ใช้ว่า \"คุณสมชายมีความเชื่อเรื่องไสยเวท\" ไม่ไชใช้คำว่า \"คุณสมชายศรัทธาเรื่องไสยเวท\" ๒๖๓ มํจฉาทฎฐิทำให้Vมดโอกาศล่วงทุกซ์ www.kalyanamitra.org
สรุป ด้วยเหตุที่คนเราต่างมีความทุกข์ ความไม่สบายใจ ใน การดำรงชีวิตกันทุกคน ด้งนั้น ผู้คนจึงพยายามชีกชวนกัน แสวงหาที่พึ่ง เพึ่อความอยู่รอดปลอดภัยและความสุขของตน เสมอมา ตั้งแต่ครั้งดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบัน ที่พึ่งที่ระลึก ของบรรพบุรุษย่อมตกทอดมายู่ลูกหลาน นั่นคือความเชื่อ ของคนรุ่นเก่า ย่อมตกทอดมายู่คนรุ่นใหม่ และตกทอดต่อ กันมาเรื่อยๆ ในบรรดาความเชื่อที่คนเรายึดถึอเป็นที่พึ่งที่ระลึกนั้น อาจแปงออกได้เป็น ๒ ประ๓ท คือ ลัทธิศาสนาต่างๆ กับ สิลัพพตปรามาส สำ หรับลัทธิศาสนาต่างๆ นั้นโดยทั่วไปมีคำ สอนให้ผู้คนละชื่วและทำดี เพึ่อไปยู่สุคติโลกสวรรค์หลังจาก ละโลกไปแล้ว เฉพาะพระพุทธศาสนาเท่านั้น ที่มีเป็าหมาย สูงสุดอยู่ที่นิพพาน คือ ความด้บสนิทแห่งกิเลสและกองทุกข์ สุดสินการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ จึงกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนา คือ ที่พึ่งที่แท้จริง ส่วนลึลัพพตปรามาสนั้น แม้จะเป็นความเชื่อที่งมงาย แต่ก็มีผู้นิยมทำตามๆ กันมา จนกลายเป็นขนบธรรมเนียม ประเพณีของเผ่าชน ของชุมชน และท้องถิ่นต่างๆ ตกทอด กันมาเรื่อย จากคนรุ่นเก่ายู่คนรุ่นใหม่ อย่างยากที่จะสูญสินไป ตราบใดที่ผู้คนยังมีทุกข์ ยังแสวงหาที่พึ่งกันอยู่ ข้อเสิยของสิลัพพตปรามาสก็คือ เป็นความเชื่อที่ ทำ ให้ผู้คนจมอยู่กับความเห็นอันเป็นมิจฉาทิฏเ ชื่งเป็นเหตุ ให้คิดผิด พูดผิด ทำ ผิด เลี้ยงชีพผิด โดยสรุปก็คือ «1ทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ;toW , www.kalyanamitra.org
การประพฤติปฏิบัติทุกอย่างที่ส์งสมบาปอกุศลอยู่เสมอ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บุญเป็นร่อของความสุข® นั่นคือ คนเราจะมีความสุขและความสำเร็จในชีวิตก็เพราะได้ สังสมบุญกุศลอยู่เสมอ ถ้าเช่นนั้นบุคคลที่เกี่ยวข้องอยู่กับ สีสัพพตปรามาส มีความเห็นเป็นมิจฉาทิฎฐิ สังสมแต่บาป อกุศลอยู่เป็นประจำ จะมีความสุขได้อย่างไร เพราะเหตุที่มี ความทุกข์ความเดือดร้อนไม่ว่างเว้นนั่นเอง บรรดามิจฉา- ทิฏฐิชนจึงก่อความเดือดร้อนให้แก่สังคม ประเทศชาติ และ โลกอีกด้วย ด้งนั้น จึงเป็นการสมควรที่สัมมาทิฏฐิชนทั้งหลาย จะ พึงร่วมมีอกันทำหน้าที่กัลยาณมิตร อนุเคราะห์ผู้ที่มีความเห็น เป็นมิจฉาทิฎฐิ ให้ห้นมาสนใจหลักธรรมในพระพุทธศาสนา อย่างจริงจัง ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาเกิดปัญญาพิจารณาด้วย โยนิโสมนสิการ เห็นว่าสิงที่เขาเชื่อถืออยู่นั้น มีโทษภัย มากมายมหาศาล สมควรหักดิบตัดใจเลิกอย่างเด็ดขาด แล้ว หันมาตั้งตันชีวิตใหม่ ด้วยการคืกษาและปฏิบัติธรรมกับ เนื้อนาบุญ ซึ่งจะทำให้พวกเขาได้พบที่พึ่งที่แท้จริง สามารถ พัฒนาสัมมาทิฏฐิขึ้นในจิตใจ พากเพึยรสังสมบุญกุศล เพึ่อ ความสุขของตนเองเป็นอันด้บแรก ซึ่งจะอำนวยให้เกิด สันติสุขของสังคมโดยรวมในที่สุด ® ปุญญวิปากสูตร อัง.สัตตก. ๓๗/๕๙/®๙๒(มมก.) สรุป www.kalyanamitra.org
www.kalyanamitra.org
บทท ๙ ความจริงที่ทุกคนต้องรู้ ผู้คนในยุคป้จจุบันที่โชคดี มีโอกาสถือกำเนิดมาเป็น คนในมนุษยโลกนี้ โดยทั่วไปยังไม่รู้จักสภาพที่แท้จริงแห่ง ชีวิตของตนเอง ยกเว้นบุคคลบางท่านที่สืกษาและปฏิบัติ ธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างอุกฤษฏ์เท่านั้น สำ หรับผู้ที่ยัง ขาดความรู้สำคัญยิ่งนี้ ถ้าท่านจะหันมาสนใจดีกษาและ ปฏิบัติธรรม ตามหลักพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังสมํ่าเสมอ กับครูบาอาจารย์ที่ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมอย่างแท้จริง ท่านย่อมจะ ได้รู้ความจริงและได้รับประสบการณ์ ที่จะท่าให้ชีวิตและ จิตใจของท่านทวีความสุขขึ้นอีกมากมายทีเดียว ๒๖๗ •- ควใมจริงที่ทุกคนต้องรู้ www.kalyanamitra.org
องค์ประกอบสำคัญยิ่งของ?วิต องค์ประกอบสำคัญยิ่งแห่งชี^ตของคนเรามีอยู่มากมาย แต่ที่สำคัญที่สุดมีอยู่ ๒ ส่วน คือ กาย กับ ใจ กาย ของแต่ละคน ต่างมีแอโรคร้ายติดมาด้วย คือ จุลินทรีย์ ซึ่งเป็นสิงมีชีวิต มีชื่อเรียกทางการแพทย์แตกต่าง กันไป และรอวันเวลาที่จะแผ่ขยายอิทธิพลในร่างกาย เชีอโรคร้ายต่างๆ ที่ติดมาในร่างกายของแต่ละคน อาจมี จำ นวนมากน้อยแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายอย่าง ร่างกายของคนเราประกอบด้วยธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน นํ้า ลมไฟ ย่อมเป็นอาหารได้เป็นอย่างดี เชื้อโรคจึงต่างมองร่างกาย ว่าเป็นอู่ข้าว อู่นํ้า สำ หร้บเลี้ยงชีวิตของมัน จนกว่าเจ้าของร่าง จะจบชีวิตไปโดยไม่สนใจว่าเจ้าของร่างที่มันอาคัยอยู่เป็นใคร ชีวงใดที่ร่างกายคนเราสมบูรณ์แข็งแรง เชื้อโรคยังไม่สามารถ ออกฤทธได้ก็ตั้งท่ารอจังหวะอยู่ เมื่อใดร่างกายคนเราอ่อนแอ เชื้อโรคก็สบโอกาสแผ่ขยายอิทธิพลท่าให้เจ้าของร่างกายป่วยไข้ ใจ เป็นวิญญาณธาตุ คือ ธาตุรู้ มีลักษณะละเอียดมาก จนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์พระลัมมาลัมพุทธเจ้า ตรัสว่า \"ใจนั้นละเอียดมาก เห็นได้แสนยาก\" แต่ถึงกระนั้นก็ ยังมีธาตุที่ละเอียดกว่าใจ ซึ่งมีลักษณะทั้งละเอียด ทั้งสกปรก แมัไม่ได้เป็นสิงที่มีชีวิตเหมีอนเชื้อโรค แต่ร้ายกาจยิ่งกว่า เชื้อโรคหลายร้อยหลายพันเท่า ซึ่งไม่ยอมอยู่ ณ ที่อื่นใด แต่ เฉพาะเจาะจงไปฝังตัวอยู่ในใจของคน ตั้งแต่ก่อนมาเกิดใน โลกมนุษย์ พระพุทธองค์ทรงเรียกธาตุนี้ว่า กิเลส สรฑธา รุ่งอรุณแพ่สันตํภาพโลก ,,• , www.kalyanamitra.org
เนื่องจากกิเลสมีลักษณะสกปรก เมื่อเข้าไปฝังตัวอยู่ ในใจของคนเรา จึงทำให้ใจส์งเป็นธาตุเข่นฟ้ว ส่งผลให้การร้บ รู้ของใจ คือ กระบวนการ รบ จำ คิด I ของใจ!.สิยคุณภาพ ไม่สามารถรับรู!ด้ตรงตามความเป็นจริงทำนองเดียวกับคนใส่ แว่นสิ เช่น เมื่อใส่แว่นสีเขียว ก็มองเห็นสิงต่างๆ ดูเป็นสีเขียว ผิดเพี้ยนจากความจริงไปหมด บุคคลที่รู้เห็นไม่ตรงตาม ความเป็นจริงย่อมกลายเป็นคนโง่ นอกจากทำให้ไม่สามารถรู้เห็นตรงตามความเป็นจริง แล้ว กิเลสยังสามารถบีบคั้น หมกดองใจ ดังเช่นการที่คนเรา ดองผัก ดองผลไม้ สามารถฉาบทาใจ ดังเช่นช่างทาสีใข้สีทา บ้านสามารถห่อหุ้มใจดังเช่นการที่เราไข้วัสดุอย่างใดอย่างหนื่ง ห่อทุ้มของไว้อย่างมิดชิด และที่ร้ายที่สุดก็คือ การกัดกร่อนใจ ดั่งเช่นนํ้ากรด หริอสนิม ที่กัดกร่อนเหล็ก แท่งเหล็กหรือแผ่นเหล็ก ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ เพียงใดก็ตาม เมื่อถูกสนิมเริ่มกัดกร่อน ถ้าปส่อยทิ้งไวไม่ข้า ไม่นาน แท่งเหล็กหรือแผ่นเหล็กนั้นก็จะพินาศแหลกลาญพัง ทลายเสียหายไร้ค่า ข้อนี้ฉันใด ใจที่ถูกกิเลสกัดกร่อนก็ฉันนั้น ย่อมเสิยคุณภาพ อันเป็นเหตุให้คิดไม่ดีพูดไม่ดี ทำ ไม่ดีต่างๆ นานา ก่อให้เกิดความทุกข์และความเดีอดร้อนทิ้งตนเอง ครอบครัว ผู้เกี่ยวข้องและผู้ที่แวดล้อม ถ้ากิเลสแพร่กระจาย ออกไปมากเท่าใด ความเสียหาย ความทุกข์ ความเดีอดร้อน ก็จะแพร่กระจายไปยังหมู่คณะ ชุมชน และสังคมมากเท่านัน 4งในที่สุดก็จะประสบความทุกข์และความเดีอดร้อนกันทั่วโลก ,,- เฟ้๖^.;,, องค์ประกอบสำคัญยํ่งซองรวํต www.kalyanamitra.org
พระสัมมาสัมพุทธเจาทรงค้นพบกิเลส ตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาล ไม่ปรากฏว่ามีบุคคลผู้ใดรู้ถึง สาเหตุที่ทำให้คนเรา คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำ ไม่ดี ครั้นเมื่อเห็น บุคคลใดคิดชั่ว พูดชั่ว ทำ ชั่ว ก็มักจะสันนิษฐานกันว่า จะ ต้องมีสิงใดสิงหนึ่งเข้าไปสิงสถิตอยู่ในตัวบุคคลนั้น แล้ว บังคับบัญชาให้แสดงพฤติกรรมชั่วข้าเลวทรามบางแห่งบางคน ก็เรียกสิงนั้นว่า ผีสางบ้าง ชาตานบ้าง ซึ่งเป็นสิงกาลี เป็นสิง จัญไร แล้วก็พากันหลงผิดหำพิธีกำจัดสิงชั่วร้ไยนั้นให้ออกจาก ตัวบุคคลนั้น โดยที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นตัวจริงของสิงชั่วร้าย นั้นเลย จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม จึงไต้ ทรงพบว่าในใจคนเราทุกคนมีกิเลสฝังต้วอยู่ และกิเลสนึ่เอง ที่คอยเฝัาทำร้าย และทำลายใจคนเรา จนกว่าจะตายไป เมื่อคนเราตายไปแล้ว เชื้อโรคทางกายก็ถูกเผาไป พร้อมกับศพของผู้ตาย ส่วนกิเลสนั้นไม่ถูกเผา เพราะฝ็งอยู่ ในใจซึ่งออกจากร่างไปตั้งแต่คนเราจบชีวิตแล้ว นั่นคือ กาย ถูกเผา แต่กิเลสยังติดอยู่กับใจที่ละร่างไปแสวงหาที่เกิดใหม่ หรีอภพใหม่ ใจที่ไปแสวงหาภพใหม่ ซึ่งมีคัพท์ทางธรรมว่า ปฏิสนธิจิด เมื่อไดีโอกาสเข้าไปปฏิสนธิ(แรกเกิดชื้น)ในครรภ์ ก่อให้เกิดชีวิตใหม่ชื้น กิเลสที่ติดอยู่กับใจนั้นก็จะแผ่ขยาย อิทธิพลต่อไปอีก ด้วยเหตุนี้ กิเลสจึงคุ้นอยู่กับใจของคนเรา และตามจองล้างจองผลาญใจอย่างไม่มีวันจบสิน จึงเป็นเหตุ ให้วัฏสงสาร หรีอการเวียนว่ายตายเกิด เป็นเรื่องไม่รู้จบ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก s ๒ฬว www.kalyanamitra.org
ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในติณกัฎฐสูตร® \"ดูก่อนภิกษุหลาย สงสาร(การเวียนว่ายตาย 1 เกิด) นี้ กำ หนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อ I เหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็น I เค่รึ่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้น I ย่อมไม่ปรากฎ\" กิเลส ต ระดับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงค้นพบว่า กิเลสที่ฝังแน่น อยู่ในจิตใจของแต่ละคนนั้น มีอยู่ถึง ๓ ระดับ ด้วยกัน คือ ๑. ระดับหยาบ ๒. ระดับกลาง ๓. ระดับละเอียด กิเลสระดับหยาบ กิเลสระดับหยาบนี้เป็นสิงที่ชาวโลกรู้จ้กกันดี แปงออก ได้เป็น ๓ ประ๓ท คือ ครามโลภ ครามโกรธ และครามหลง กิเลสระดับหยาบนี้ เมื่อเกิดขึ้นในใจ ก็จะบีบคั้นมาถึงกาย ให้พูดและทำในทางเสียหายต่างๆ เช่น เมื่อเกิดความโลภ ก็ แสดงออกด้วยการอยากได้ของเขาในทางมิชอบ ถ้าไม่ได้ดัง ปรารถนา ก็แสดงความโกรธด้วยวจีทุจริต หรือด้วยการ ทำ ลายล้างผลาญอย่างรุนแรง เมื่อเกิดความหลง เช่น หลง ® ส.นิ. ๒๖/๔๒๑/๕๐๖ (มมก.) ,•๒๗๑' กิ1ลสระดับหยาบ www.kalyanamitra.org
อิจฉาตาร้อนหลงรัก หลงชัง ก็กระทำสิงต่างๆ อย่างไร้เหตุผล การกระทำต่างๆ อันเนื่องมาจากจิตใจถูกบีบคั้นด้วยกิเลส ระด้บหยาบ ล้วนก่อให้เกิดความเสียหาย ทั้งเจ้าตัวเอง ทั้งผู้ เกี่ยวข้อง และผู้ที่อยู่ใกล้เคียง เพราะเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า กิเลสระดับหยาบนี้ คือป็จจ้ยให้๓ดทุกข์อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ถ้าบุคคลใดมีดวามระมัดระวังไม่ยอมให้ ความโลภ ความโกรธ และความหลง บีบคั้นใจจนล่งผล กระทบมาถึงกายของเขาได้ เขาก็จะไม่เดือดร้อน อีกทั้ง ไม่ทำให้คนอื่นต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย แต่ทั้งนี้ก็มิได้ หมายความว่า กิเลสได้หมดไปจากใจของเขาแล้ว ความคลายทุกข์ยังไม่ใร!ความสุข การที่คนเรามีวิธีควบคุมกิเลสหยาบไมให้ออกฤทธื้กำเริบ ได้ ย่อมจะทำให้ความทุกข์ผ่อนคลายลง แต่เนื่องจากคนเรา ไม่เคยรู้จ้กว่าความสุขเป็นอย่างไร จึงหลงเข้าใจผิดแล้ว ทึกทักเอาว่า สภาพที่ความทุกข์ลดลงนั้นแหละ เป็นสภาพที่ เป็นสุข แทัที่จริงยังไม่ใช่ความสุข นั่นเป็นความเพสินชั่วคราว เท่านั้น การที่คนเราอยู่ในอิริยาบถใดนานๆ ย่อมปวดเมื่อย เป็นสภาพทุกข์ทางกาย ไม่ใช่ทางใจอันเนื่องมาจากถูกกิเลส บีบคั้น ครั้นเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ ย่อมทำให้ความปวดเมื่อย คลายตัวลงบ้าง สภาพที่เป็นทุกข์ทางกายย่อมลดลง เพียง เท่านี้คนเราก็ถึอว่านื่คีอความสุข แท้ที่จริงเป็นเพียงความ คลายทุกข์เท่านั้น เด็กคนหนื่งร้องไห้ไม่หยุดเพราะอยากได้ ตุ๊กตาของเพื่อนมาก เด็กเกิดความทุกข์เพราะถูกกิเลสคีอ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก ,;teWb;^ , www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 513
Pages: