กำ เนิดตถาคตโพธิสัทธาในสมัยพทธกาล กำ เนิดศรัทธาของศาสนิกในสมัยพุทธกาลนั้นมีหลาย ลักษณะแตกต่างกันออกไป อาจแบ'งได้ดังนี้ ๑. ๓๑ศรัทธาทันทีที่ได้เห็นพระพุทธองค์ เนื่องจากพระลัมมาลัมพุทธเจ้าทรงมีบุคลิกลักษณะ สมบูรณ์พร้อมด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ ดังนั้น บุคคลใดที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ็าพระพุทธองค์ก็จะร้สืกประทับใจ และเกิดความเชื่อมั่นในพระองค์ทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลประเภทที่ถือประมาณในรูป (รูปปฺปมาโณ) และ ประ๓ทที่ถือประมาณในเลิยง (โฆสปฺปมาโณ) จะเกิดศรัทธา ในพระพุทธองค์อย่างสุดหัวใจทันทีที่ได้เข้าเฝ็า ครั้นเมื่อได้ ฟังพระธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์ก็จะทวีความศรัทธายิ่งขึ้น ทำ ให้บรรลุธรรมในขณะที่ฟังธรรมเทศนาบ้าง ในขณะที่ พระพุทธองค์ตรัสเทศนาจบลงบ้าง หรือบรรลุอรหัตผล ในทันทีที่พระพุทธองค์ตรัสโอวาทจบ ด้งกรณีของพระวัก- กลิเถระ® เป็นด้น สำ หรับพุทธศาสนิกในลักษณะที่ ๑ นี้ สรุปได้ว่า ใน ทันทีที่ได้เห็นลักษณะมหาบุรุษของพระสัมมาลัมพุทธเจ้าก็ เกิดศรัทธาอย่างยิ่ง ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธ- องค์ก็สามารถบรรลุอรหัตผล จะเห็นได้ว่าศรัทธาในลักษณะที่ ๑ นี้ แมัมิได้ประกอบด้วยเหตุผลและปัญญาแต่เป็นตถาคต โพธิสัทธาโดยแทั เพราะข้ามความสินสงลัยในคำสอนของ พระองค์ และบรรลุธรรมตามพระองค์ได้สำเร็จแล้ว ® ภิกชุวรรควรรณา ชุ.ธ. ๔๓/๓cfy๓๙๒(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก «๒๒ www.kalyanamitra.org
๒. เกิดศรทธาหลังจากได้ฟ้งธรรมจากพระพุทธองค์ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนามีเรื่องเกี่ยวกับบุคคลมากมาย ในสมัยพุทธกาลที่เกิดศรัทธาหลังจากที่ได้ฟังธรรมเทศนา ของพระสัมมาลัมพุทธเจา เช่น ชายหาณ่ชื่อสิงคาลกะ® เพียง ได้ฟังธรรมเป็นครั้งแรก และมิได้ทูลถามปัญหาใดๆ ทั้งสิน ครั้นพระพุทธองค์ตรัสพระธรรมเทศนาจบลง เขาก็กราบทูล พระพุทธองค์ว่า เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและกราบทูลขอ แสดงตนเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต แต่บางคนที่มาเข้าเฝ็าเพื่อทูลถามปัญหากับพระองค์เช่น ชายห*นุ่มชื่อกาปทิกะ'°พราหมณ์ชื่อ เอสุการี'\"และพระเจ้าอชาต คัตรู'^ เป็นต้น เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาที่พระองค์ตรัสตอบ ใ'ท้แล้ว แต่ละท่านต่างก็เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง จึง กราบทูลขอแสดงตนเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็น สรณะตลอดชีวิต สำ หรับพุทธศาสนิกในลักษณะที่ ๒ นี้ สรุปได้ว่า หลังจากได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์จบลงแล้ว แม้ยังไม่ บรรลุธรรม แต่ก็เกิดความเข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้ง เกิด ศรัทธาในการตรัสรู้ธรรมของพระตถาคตอย่างยิ่งยวด นั่นคือ เกิดตถาคตโพธิสัทธาแล้ว ® สิงคาลกสูตร ที.ปา. ๑๖/๑๗๒/๗๗ {มมก.) ^ จังกีสูตร ม.ม. ๑๓/(£๒๒/๕๓๐ (มจร.) เอสุกๆรีสูตร ม.ม. ๒๑/๖๖๑/๓๗๒(มมก.) ^ สาฟ้ญญผลสูตร ที.สี. ๑๑/(ร'/๒๘๘(มมก.) ©๒(ท กำ เนิดตถาคตโพธิสืทธาในศมัยทุทธกาล www.kalyanamitra.org
ฅ. เกิดศรัทธาหลังจากได้ฟ้งธรรมจากพระอรหันต- สาวก ในสมัยพุทธกาล บุคคลที่ไม่มีโอกาสพบพระสัมมา สัมพุทธเจ้าเลย แต่เมื่อได้มีโอกาสฟังธรรมหรือสนทนากับ พระอรหันตสาวกบางรูป ก็มีความเข้าใจพระธรรมค็าสังสอน ต่างๆ เป็นเหตุให้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง และยึดเป็นแนวทางปฏิบัติตลอดชีวิต ศรัทธาเช่นนี้ย่อมจัด เป็นตถาคตโพธิสัทธา ด้งกรณีพระยาปายาสิ® เป็นด้น ประวัติพระยาปายาสิ พระยาปายาสิ เป็นเจ้าผู้ครองนครเสตัพยะ ซึ่งเป็นนคร หนึ่งของแคว้นโกศลของพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นบุคคลหัว ก้าวหน้ามาก สนใจหาความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม ด้วย การพิสูจน์ทดลองด้วยตนเอง เรื่องใดที่ตนยังไม่สามารถพิสูจน้1ห้เห็นจริงได้จะไม่เชื่อ เช่นไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า เรื่องโอปปาติกะและเรื่องกฎแห่งกรรม เป็นต้น เนึ่องจากได้พิสูจน์ตามวิธีของตนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ ประสบผลตามความเป็นจริง เพราะไม่ได้พิสูจน์ด้วยการ ปาเพ็ญภาวนาดั่งเช่นพระพุทธองค์ พระยาปายาสิจึงมีความ เห็นเป็นมิจฉาทิฎฐิตลอดมา ยิ่งกว่านั้นยังเห็นว่าประชาชนใน เสตัพยนคร ซึ่งล้วนเชื่อเรื่องในโลกหน้า เรื่องโอปปาติกะ และกฎแห่งกรรมเป็นคนโง่ทั้งสิน ® ปายาสีราชญฌูฟึดร ท.ม. ๑๔/๓๐๑-๓๐๗/๓๖๙-๓๗๖(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก www.kalyanamitra.org
สมัยหนึ่ง พระยาปายาสิได้ข่าวการจาริกไปส่เสตัพย- นครของพระๆมารกัสสปเถระ พระอรหันตสาวกผู้เป็นพระ- ธรรมกถึก ชึ่งมีกิตติด้พท์เลื่องลือกันในหมู่ประชาชนว่า ท่าน เป็นบัณฑิต เป็นพหูสูต เพียบพร้อมด้วยปฏิภาณและปัญญา ฉลาดเฉียบแหลม เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของชาวเสตัพยนคร พระยาปายาสิได้ข่าวนี้แล้วร้สืกไม่สบายใจนัก ยิ่งได้เห็น ประชาชนต่างพากันไปคารวะ และฟังธรรมจากพระกุมาร กัสสปะ ก็ไม่สามารถนึ่งเฉยอยู่ได้ จึงได้จัดล้งให้เตรียม ขบวนไปฟังธรรมพร้อมกับประชาชน ด้วยหวังว่าตนจะได้มี โอกาสโต้วาทะกับพระเถระ ซึ่งน่าจะมีส่วนช่วยให้ประชาชน หายโง่ลงบ้าง พระกุมารกัสสปเถระ เมื่อได้ฟังความเห็นอันเป็น มิจฉาทิฏฐิของพระยาปายาสิแล้ว ด้วยนํ้าใจของกัลยาณมิตร พระเถระจึงตั้งใจอนุเคราะห์พระยาปายาสิด้วยการปลูกฝัง ล้มมาทิฎฐิเข้าไปแทนมิจฉาทิฏฐิ แต่แทนที่พระเถระจะแสดง ธรรมเทศนาสอนพระยาปายาสิ ท่านกล้บใช้วิธีตั้งคำถามแบบ อุปมาอุปไมยบ้าง โดยใช้หล้กตรรกะบ้าง ให้พระยาปายาสิ ต้องตอบคำถามมากมาย ในที่สุดพระยาปายาสิก็จนปัญญา ไม่สามารถหาข้อ โต้แย้งมาต่อกรพระเถระได้จึงน้อมร้บฟังธรรมะโดยดุษณีภาพ บังเกิดล้มมาทิฏฐิสว่างไสวในจิตใจขึ้นมากำจัดมิจฉาทิฏฐิที่ คำ มีดให้อันตรธานไปสิน ครั้นแล้วขอแสดงตนเป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิตต่อพระเถระ สำ หรับพุทธศาสนิกในล้กษณะที่ ๓ นี้ สรุปได้ว่า หล้ง จากได้สนทนาธรรม หรีอได้ฟังธรรมจากพระอรห้นตสาวก ก็ สามารถเข้าใจธรรมะได้อย่างถูกต้องลึกซึ้ง จึงเกิดศรัทธาทั้ง ๑๒๕ กำ เนํดตถาคตโพธํสัทธาในสมัยทุทธกาล www.kalyanamitra.org
พระเถระผู้เป็นธรรมกถึกและการตรัสรู้ธรรมของพระตถาคต อย่างยิ่งยวด นั่นคือ ๓๑ตถาคตโพธิสัทธาแล้ว สรุป กำ เนิดแห่งความเร่อหรือศรทธาที่แท้จริงในพระพุทธ ศาสนาต้องเกิดจาก \"ตถาคตโพธิสัทธา\" คือเป็นความเร่อที่ เกิดจากการพิจารถเาไตร่ตรองต้วยเหตุผลอย่างรอบคอบ โดยปราศจากการต้ดสินใจเร่อต้วยอารมณ์และความพอใจ หรือมีความเห็นคล้อยตามการเนำของผู้อื่น แด่จะมั่นคง มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กํบระต้บภาวนามยป็ญญาที่ไต้รับ จากการบำเพ็ญภาวนา ส่วนความเร่อหรือศรัทธาที่เกิดจากขาดการพิจารณา ไตร่ตรองให้รอบคอบ หรือมีความเห็นคล้อยตามการขึ้นำ ของผู้อื่นโดยให้อารมณ์และความพอใจเป็นใหญ่ ถือว่าเป็น ความเร่อแบบงมงาย ไม่ใส่ความเร่อในพระพุทธศาสนาที่ เรียกว่า \"ตถาคตโพธิสัทธา\" ในปัจจุบันแม้ผู้คนจะมีการคืกษๆทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งถึอว่ามีความก้าวหน้ากว่าสม้ยพุทธกาล มากมายก็ตาม แต่บุคคลส่วนใหญ่ก็ยังมีความเชื่อที่งมงายอยู่ ทั้งนี้ เพราะชาดการคืกษาทางธรรมอย่างจริงจัง ขาด ความรู้เรื่องหลักธรรมและข้อปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักธรรม ในพระพุทธศาสนา ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก 6)๒๖ www.kalyanamitra.org
แม้บุคคลบางกลุ่มที่มีการสืกษาพระพุทธศาสนา ประ๓ทรอบรู้ทั่วถึงทุกคัมภีร์ แต่ก็เป็นการคักษาที่เน้นหนัก ในทางทฤษฎีเท่านั้น ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติอย่างถูกต้องจริงจัง ด้งนั้นจึงไม่อยู่ในฐานะกัลยาณมิตร ที่สามารถแนะนำโน้มน้าว ให้ผู้ที่เชื่อแบบงมงายเกิดตถาคตโพธิสัทธาได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้คนในประเทศไทยส่วนใหญ่ แม้จะเรียก ตนเองว่าเป็นชาวพุทธ แต่เพราะเหตุที่ไม่ได้ปฏิบัติตนตาม หสักธรรมอย่างสมบูรณ์แบบ จึงไม่ได้รับประโยชน์จาก พระธรรมคำสังสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าที่ควร ชํ้าร้ายกว่านี้ บางรายนอกจากตนจะไม่ได้รับประโยชน์แล้ว ยัง กีดกนผู้อื่นมิให้ได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนาจาก พฤติกรรมมิจฉาทิฏฐิของตนอีกด้วย ๑๒๗ สรุป www.kalyanamitra.org
บททิ ๔ '\"T\")'^^0 r\")\" ศรัทธาคือปัจจัยให้เกิดปัญญา การปลูกฝังศรัทธาในอดีตกาล ถ้าย้อนกลับไปดูการปลูกฝังความเชื่อถือในพระพุทธ- ศาสนาของพุทธศาสนิกชนไทยในอดีตกาล จากเรื่องราวทาง วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของผู้คน ตั้งแต่สมัย กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีจนถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เรื่อยมา จนถึงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ จากเอกสารทางพงศาวดาร และวัฒนธรรมทัองถิ่นต่างๆตลอดจนวรรณกรรมไทยบางเรื่อง เราจะได้พบว่าศูนย์กลางประชุมชนของแต่ละทัองถิ่นคือ \"วัด\" ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า ไม่ใช่โรงภาพยนตร์ ไม่ใช่ตลาดนัด ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวไม่ใช่แหล่งอบายมุข ฯลฯ ดังในปัจจุบัน ๑๒®' การปลูกฝืงศรัแธาในอดีตกาล www.kalyanamitra.org
กิจวัตรประจำวันในยามเช้าของผู้คนแต่ละบ้าน คือการ ใส่บาตร กิจวัตรในยามเย็นหรือคํ่าฃองผู้คนแต่ละบ้าน คือการ สวดมนต์ การเล่านิทานชาดกให้ลูกหลานฟัง ตลอดจนการ เจริญภาวนา ในวันพระ ไม่ว่า ๘ คํ่า ๑๔ หรือ ๑๕ คํ่า ผู้คน แต่ละบ้านส่วนใหญ่ก็นิยมรักษาอุโบสถคืล บางคนไปรับคืลที่ วัดในตอนเช้า แล้วก็กลับไปรักษาคืลที่บ้าน บางคนโดย เฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมรักษาอุโบสถคืลติดต่อกัน ๓ วัน ชึ่งมีคำพระเรืยกว่า ปฏิชาครอุโบสถ โดยไปพักค้างกัน ที่วัดเพี่อรับอุโบสถคืล ทุกครั้งที่ไปวัดมักจะพาลูกหลาน ไปด้วย กิจกรรมสำคัญที่แต่ละวัดจัดให้ญาติโยม ก็คือการ แสดงพระธรรมเทศนา แต่ละวัดจะมีการสร้างพระนักเทศน์ หรือธรรมกถึกที่ทรงภูมิรู้ภูมิธรรม กอปรด้วยคืลปะและ ๆศโลบายในการแสดงธรรมให้เช้าใจง่าย สนุกสนาน ใช้ สำ นวนง่ายๆ ชวนให้ติดใจติดตามชนิดที่เช้าไปนั่งอยู่ในใจ ของผู้ฟังทีเดียว ครั้นช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ ทางพระพุทธ- ศาสนาแต่ละวัดก็จะจัดให้มีการเทศนั่1นลักษณะต่างๆ เช่น เทศน์แหส่ เทศน์มหาชาติ ซึ่งอยู่ในลักษณะ ปุจฉา-วิลัชนา โต้ตอบกันระหว่างพระนักเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ เรื่องราวที่นำ มาเทศน์คือ มหาเวสสันดรชาดก นอกจากนี้ก็แสดงเรื่อง ชาดกอื่นๆ ทั้ง ๙ เรื่อง ในทศชาติ ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ พระสัมมาล้มพุทธเจ้าในครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ บำ เพ็ญทค- บารมี ซึ่งชาวบ้านมักนิยมเรียกกัน \"เรื่องพระเจ้าสิบชาติ\" นอกจากนี้ยังมีพระธรรมเทศนาชาดกเรื่องอื่นๆ รวมทั้งสิน ถึง ๕๐๐ เรื่อง ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก www.kalyanamitra.org
นอกจากความรู้สืกสนุกสนานเบิกบานใจจากรส พระธรรม อันเกิดจากการฟังเทศน์และฟังสวดต่างๆ เช่น สวดพระมาลัยซึ่งเป็นที่นิยมกันมากแล้ว ญาติโยมก็ยังบันเทิง ใจกับการเที่ยวชมภาพจิตรกรรมอันประณีตงดงาม ด้วยฝึมือ จิตรกรไทยตามฝาผนังโบสถ์วิหาร ซึ่งล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับ พุทธประวัติ นับตั้งแต่พระพุทธองค์เสด็จออกบรรพชาจน กระทั่งถึงเสด็จดับฃันธปรินิพพาน และเรื่องชาดกต่างๆ ประสบการณ์ที่ได้ร้บจากกิจกรรมและเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ย่อมทำให้พุทธสาสนิกชนในอดีตกาล เกิดความเข้าใจอย่าง ลึกซึ้งในหลักธรรมสำคัญและเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธ- ศาสนา ตลอดจนข้อปฏิบัติต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น กล่าวได้ว่าญาติโยมผู้เป็นพุทธศาสนิกชนในอดีต แม้ ส่วนใหญ่ไม่รู้หนังลึอ แต่สามารถรู้และเข้าใจพระพุทธศาสนา โดยองค์รวมอย่างละเอียดลึกซึ้ง มากกว่าลูกหลานไทยใน ปัจจุบันซึ่งมีการดีกษาทางโลกสูงๆ เลึยอีก การที่วัดต่างๆ จัดกิจกรรมด้งกล่าวให้แก่ญาติโยมนั้น ถึอได้ว่าเป็นการปลูก ฝังความเชื่อในพระพุทธศาสนาที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ทีเดียว ความเ^อมั่นที่พัฒนาเป็นตถาคตโพธิสัทธา กิจกรรมต่างๆ ที่ญาติโยมในอดีตได้เห็น ได้ฟัง ได้มี ส่วนร่วมเมื่อไปวัดในแต่ละวัน แต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการทำ ทาน รักษาดีล สวดมนต์ เจริญภาวนา ฟังพระธรรมเทศนา ช่วยทำกิจกรรมต่างๆ ในวัดพอสมควร ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วย พัฒนาปัญญาให้ญาติโยมเข้าใจเรื่องอานิสงส์และความจำเป็น ©๓® ความเรู่อมั่นทึ่พัฒนาเป็นตถาคตโพธสัทธา www.kalyanamitra.org
ในการสังสมบุญกุศล การได้ฟังพระธรรมเทศนา และการได้ ชมภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับเรื่องชาดกต่างๆ ย่อมก่อให้ เกิดปัญญาเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องพระคุณของบุพการี เรื่องนรก สวรรค์ ตลอดจนโอปปาติกะ การได้ฟัง พระธรรม เทศนา และการได้ชมภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับเรื่อง พุทธประวัติย่อมก่อให้เกิดปัญญาเข้าใจเป็าหมายรวิตของการ ๓ดมาในโลกมนุษย์ รวมทั้งคุณวิเศษเหนือสรรพสัตว์ทั้ง ปวงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยสรุปก็คือ ประสบการณ์ต่างๆ ที่ญาติโยมได้รับ จากวัด ย่อมประทับอยู่ในความทรงจำทุกลมหายใจเข้าออก อย่างมิรู้ลืม ต่างเกิดเชื่อมั่นเชื่อถึอในคุณอันยิ่งใหญ่ของ พระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุให้แต่ละคนประพฤติปฏิบัติตน สอดคล้องกับสัมมาทิฎฐิ ๔ข้อแรก(อ่านรายละเอียดจาก บทที่ บุคคลที่มีวิถีชีวิตสอดคล้องกับสัมมาทิฎฐิทั้ง ๙ ประการ ใน ที่สุดย่อมเกิดความเชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้ามีจริง นั่นคือความ เชื่อมั่นย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิและสัมมาทิฎฐิจะ สมบูรณ์พร้อมทั้ง ๑๐ ประการ ต่อเมื่อความเชื่อมั่นนั้นได้ พัฒนาเป็น ตถาคตโพธิสัทธา ซึ่งพระสูตรต่างๆ ในคัมภีร์ พระพุทธศาสนาเถรวาทจะกล่าวเพียงสันๆ ว่า ศรัทธา ส์กษณะฃองผู้มืศรัทธา บุคคลที่มีศรัทธาก็เพราะมีสัมมาทิฏฐิชัดอยู่ในใจ จึง เกิดปัญญาเข้าใจพระพุทธคุณ ๙ โดยไม่สังเลสงสัย ชื่งมีผล ศรัทรา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๑๓๒ www.kalyanamitra.org
ให้เกิดปัญญาสามารถปฏิบัติตนในเรื่องต่างๆ ตามมาอีก หลายประการ เใเน ๑.รูจ้กตั้งเป็าหมาย#ริต ฅ ระดับ ได้แก่ ๑) เป้าหมายบนดินซึ่งจะบรรลุผลสำเร็จได้ด้วย การปฏิบัติตามคิหิปฏิบัติที่ซึ่อว่าหิฏฐธ้ม- มิกตถประโยชน์ ๒) เป้าหมายบนฟ้า ซึ่งจะบรรลุผลสำเร็จ ได้ด้วยการปฏิบัติตามคิหิปฏิบัติที่ซึ่อว่า สัมปรายิกดถประโยชน์ ฅ) เป้าหมายเหนือฟ้า เป็นเป้าหมายสูงสุดใน พระพุทธศาสนาจะบรรลุผลสำเร็จได้ด้วย การปฏิบัติมรรคมีองค์๘อย่างยิ่งยวด ชนิด เอา#วิตเป็นเดิมพัน และอาจต้องเป็นการ ปฏิบัติเพี่อดังสมบุญบารมีชนิดข้ามภพ ข้ามชาติ ๒. เหดักการดัดสินโดยธรรม การตัดสินโดยธรรม หมายถึง การตัดสินคดีหรือกรณีขัดแย้งต่างๆ ว่าถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควรโดยไข้สัมมาทิฏฐิ ๑๐ เป็นเครื่องมือมาตรฐาน ในบางกรณีการใข้สัมมาทิฏฐิ ๑๐ เป็นมาตรฐานอาจเกิดมติ ไม่เป็นเอกฉันท์ ดังนั้นจึงต้องใข้หสักกุศลกรรมบถ ๑๐® ร่วม ® กุศลกรรมบถ ๑๐ คือทางทำความดีอันน่าไป^ความสุขความเจริญหรือสุคติ ประกอบด้วย ๑) กายกรรม ๓ ได้แก่ ไม่ทำผิดคืล ๓ ข้อแรกไนคืล ๕ ๒)วจีกรรม ๔ ได้แก่ การไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูด เพ้อเจ้อ ๓)มโนกรรม ๓ได้แก่ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของผู้อี่นไม่เบียดเบียน ผู้อึ่น มีความเห็นชอบตามคลองธรรม ๑๓รท ลักษณะซองผู้มีศร้ทธา www.kalyanamitra.org
กับสัมมาทิฎฐิ ๑๐ ด้วย ฟน เมื่อต้องการพิจารณาว่าพ่อค้า ยาเสพติดสมควรถูกลงโทษขั้นประหารชีวิตหรือไม่ บางท่าน อาจเห็นว่าสมควร เนื่องจากเขาสร้างความทุกข์ความเดือด ร้อนให้แก่ผู้คนในสังคมอย่างกว้างขวาง บางท่านอาจเห็นว่า ไม่สมควร เพราะเป็นการลงโทษที่รุนแรงเกินไป กรณีเช่นนี้ถ้ายึดสัมมาทิฏฐิข้อ ๔ คือเรื่องกฎแห่ง กรรมเป็นหสักในการตัดสินก็อาจเกิดมติที่ไม่เป็นเอกฉันท์ จึงจำเป็นตัองใข้หสักกุศลกรรมบถ ๑๐ เข้ามาพิจารณาร่วม กับสัมมาทิฎฐิ ๑๐ ด้วย ย่อมจะได้คำตอบว่า การลงโทษผู้ค้า ยาเสพติดถึงขั้นประหารชีวิตเป็นการไม่สมควรเพราะผิดคืลข้อ เช่น การกักขังมิให้พ่อค้ายาเสพติดมีโอกาสสร้างปัญหาให้แก่ สังคมต่อไปอีก สำ หรับการตัดสินโดยธรรมนี้ นอกจากจะใช้สัมมาทิฏฐิ ๑๐ และกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นมาตรฐานร่วมกันในสังคม พุทธคาสนิกแล้ว บรรพบุรุษของไทยยังไดืใข้คืล ๕หรือคืล ๘ หรือมิฉะนั้นก็ใข้จารืตประเพณีเป็นมาตรฐานอีกด้วย โดยวิธี เหล่านี้บรรพบุรุษไทยก็สามารถบริหารบ้านเมีองให้สงบสุข เรื่อยมา ผู้คนโดยทั่วไปก็ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยสันติสุข และมีโอกาสสังสมบุญกุศลตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม ในสังคมบรรพบุรุษของไทยได้มีการใช้ กฎหมายตัดสินคดืต่างๆ อยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก ผิดกับ ปัจจุบันซึ่งใช้กฎหมายเป็นหสักในการตัดสินคดีต่างๆ โดย มิได้ใช้หลักธรรมอื่นๆ ด้งเช่นบรรพกาล ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก 0๓๙ www.kalyanamitra.org
กล่าวได้ว่า การใช้กฎหมายตัดสินคดีความต่างๆ นั้น สะท้อนให้เห็นว่า จิตใจของผู้คนในสังคมไร้คุณธรรม เนื่องจากยึดเอาผลประโยชน์เป็นตัวตั้ง ไม่คำนึงถึงข้อเห็จจริง ใครจะผิดหรือถูกอยู่ที่พยานหลักฐานเป็นสำคัญ ผู้กระทำผิด จริงก็อาจถูกตัดสินให้เป็นผู้บริสุทธี้ได้ ส่วนผู้บริสุทธิ้ก็อาจ ถูกตัดสินให้เป็นฝ่ายผิดได้ ถ้าพยานหลักฐานมีนํ้าหนักน้อย กว่าฝ่ายตรงข้าม q| q) ปลดปลงชีวิตพยานฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายพนักงานเมื่อรับสินบน ไปแล้ว ความเป็นธรรมในจิตใจของเขาย่อมอันตรธานไป พฤติกรรมอันไม่ชอบมาพากลเหล่านี้ ย่อมทำให้มิจฉาทิฎฐิ แผ่ขยายไปเรื่อยๆ บรรดามิจฉาทิฎฐิชนย่อมลังสมบาปอกุศล โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ลังคมใดที่ผู้คนไม่เคารพกฎหมาย ลังคมนั้นย่อมมีแต่ปัญหาลับสนวุ่นวายและจะล่มสลายไปใน ที่สุด อย่างไรก็ตาม บุคคลที่มีศรัทธาย่อมตัดสินกรณีหรือ ปัญหาต่างๆ ด้วยมาตรฐานดี-ชั่ว บุญ-บาป ขณะเดียวกันก็มี วิริยอุตสาหะทุ่มเทชีวิตให้กับการสร้างคุณความดีอันเป็นบุญ กุศลไม่เสิกรา ไม่ท้อถอยเพราะมีเป้าหมายชีวิตชัดเจนทั้ง ๓ระดับ กล่าวได้ว่า ผู้มีศรัทธาเท่านั้นที่จะฬฒนาและจรรโลง สังคมให้จีรังยั่งยืนได้อย่างแท้จริง ๑๓๕ ลักษณะของผ้มีศรัทธา www.kalyanamitra.org
อนึ่ง พระสัมมาสัมทุทธเจ้าได้ตรัสแสดงลักษณะของผู้ มีศร้ทธาไว้ ๑๑ ประการ® ชึ่งมีสาระสำคัญโดยย่อ ดังนี้ ๑. ๒. เป็นพชุสูต ๓. เป็นผู้มีมิตรดี ๔. เป็นผู้ว่าง่าย คือ อดทน ฟังคำพรํ่าสอนโดยเคารพ ๕. เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านในการงานที่จะต้องช่วย กันโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่เลือกงาน ทำ ได้ทุกอย่าง เพื่อเป้าหมายรวมของหยู่คณะ ๖. เป็นผู้สนใจคืกษาและสนทนาธรรม ๗. เป็นผู้ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม ๘. เป็นผู้ได้ฌาน ๔ ๙. เป็นผู้ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ ๑๐. เป็นผู้มีตาทิพย์อันบริสุทธเหนือมนุษย์ ๑๑. เป็นผ้ลืนอาสวะ ประโยชน์ของศรัทธา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสเกี่ยวกับประโยชน์ของ ศรัทธาไว่ใน อาฬวกสูตร'° ด้งนี้ ๑. ศรัทธาเป็นทร้พย์เครื่องปลื้มใจที่ประเส่ริฐของบุรุษ ในโลกนี้ ® สุภูติสูตร อัง.เอก. ๒๔/๑๔/๔๒๐-๔๒๕(มจร.) ส.ส. ๑๕/๒๔๖/๓๕®-๓๕๔(มจร.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก รรท๖ www.kalyanamitra.org
๒. บุคคลข้ามโอฆะได้ด้วยศร้ฑธา ๓. บุคคลเชื่อธรรมของพระอรหันต์ย่อมได้ปัญญา ๔. บุคคลอยู่ครองเรึอนประกอบด้วยศรัฅธา ละโลก น1ปแล้วย่อมไม่เศร้าโศก ๑. ศรัทธาเป็นทรัพย์!,ครื่องปลื้มใจที่ประเส^ฐของ บุรุษในโลกนี้ คำ ด้พท์สำคัญในทุทธดำรัสนี้ ที่ต้องนำมา พิจารณาให้ละเอียดคือ คำ ว่า ศรัทธา กับคำว่า ทรัพย์ สำ หรับคำว่า ทรัพย์ นั้นหมายถึง ทรัพย์สินเงินทอง ตลอดจนโภคทร้พย์สมบัติทั้งหลาย อันเป็นเหตุนำมาซึ่งปัจจัย ๔ ได้แก่ เสีอผ้า อาหาร ที่อยู่และยารักษาโรค บุคคลใดก็ ตามไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือบรรพชิต หากขาดแคลนหรือ ขาดตกบกพร่องในเรื่องปัจจัย ๔ นี้แล้ว การดำรงชีวิตอยู่ใน แต่ละวันย่อมไม่ราบรื่น ย่อมประสบปัญหามากบ้างน้อยบ้าง ตามสภาวะความขาดแคลนของแต่ละคน โดยสรุปก็คือย่อม ประสบความทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ ไม่เคยมีความปลื้ม ใจเกิดขึ้นเลย ในทางกลับกันบุคคลที่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ย่อมสามารถแสวงหาปัจจัย ๔ มาปารุงบำเรอความสะดวก สบายในชีวิตประจำวันได้ตามความปรารถนา สภาพชีวิตของ บุคคลที่มีทรัพย์สินเงินทองสำหรับอำนวยความสะดวกสบาย ตลอดเวลา ย่อมนำความสุขและความปลื้มใจมายู่บุคคลผู้ เป็นเจ้าของทร้พย์นั้นอย่างแน่นอน ©๓๗ s. ประโยชฟ้ธองศรัทธา www.kalyanamitra.org
สำ หรับคำว่า ศรัทธา ในที่นี้ย่อมหมายถึง ตถาคตโพธิ- สัทธา บุคคลที่มีความเชื่อมั่นในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ย่อมตั้งใจทุ่มเทเรัตปฏิบัติตามคำสังสอนทั้งมวล ของพระพุทธองค์ การปฏิบัติที่สำคัญในชีวิตประจำวันก็คีอ การทำทาน การรักษาสิล การเจริญภาวนา บุคคลที่สามารถทำทานเป็นกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะ เป็นการถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุ การบริจาควัตถุทานใน ลักษณะต่างๆ ก็เพราะมีโภคทรัพย์สมบัติ นอกจากนี้ การให้ ธรรมทานหรือการให้อภัยทานก็ตาม จิตใจของบุคคลนั้น ย่อมปลาบปลื้มใจทุกครั้งที่ระลึกถึงถุศลกรรมของตน บุคคลที่สามารถรักษาสิลให้บริสุทธื้ผุดผ่องเป็นกิจวัตร ประจำวัน บุคคลนั้นย่อมมีกิริยาวาจาอ่อนโยน หน้าตายิ้ม แย้มแจ่มใส น่าเข้าใกล้ น่าคบหาสมาคมด้วย คือเป็นบุคคลที่ น่ารักสำหรับ^ด้พบเห็นไม่มีใครรังเกียจ ไม่มีใครตั้งตนเป็น คัตรู สภาพเหล่านี้ย่อมน่าความสุขใจ ความปลื้มใจมาส่ บุคคลที่รักษาคืลบริสุทธผุดผ่องอย่างแน่นอน บุคคลที่เจริญภาวนาเป็นกิจวัตรประจำวัน นอกจากจะ ส่งเสริมตนเองให้มีปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรมตามแบบ อย่างสัมมาทิฏฐิบุคคล ซึ่งจะก่อให้เกิดความเชื่อมั่น และ ภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างดีแล้ว ความสุขและความสงบ อันเกิดจากการทำภาวนา ยังจะทำให้บุคคลนั้นปลาบปลื้มกับ ประสบการรน์ภายในของตนอยู่เสมอ ยิ่งถ้าประสบการณ์ ภายในก้าวหน้าไปมากเท่าใด ก็มีโอกาสบรรลุมรรคผล นิพพานได้เร็วขึ้นเท่านั้น ศรัทธา รุ่งอรุณแท่งสันติภาพโลก www.kalyanamitra.org
โดยสรุปก็คือ การปฏิบัติตามหลักธรรม ๓ ประการ คือ ทาน สืล และภาวนา เป็นสิงที่นำความสุขและความปลื้ม ใจมาส่ผู้ปฏิบัติอยู่เป็นนิจ อย่างไรก็ตาม แม้ทร้พย์สินเงินทอง จะนำความปลื้มใจมาส่ผู้เป็นเจ้าของเพียงใด แต่การปฏิบัติ ตามหลักธรรมดังกล่าวด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง ย่อมนำ ความปลื้มใจมาล่ผู้ปฏิบัติได้เหนือกว่าสูงกว่า เพราะเหตุนี้ พระสัมมาลัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้ม ใจที่ประเสรัฐของบุรุษ(มนุษย์)ในโลกนี้ ๒.บุคคลข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา สำ หรับพุทธดำรัสใน ข้อนี้มีคำดัพท์สำคัญที่จะต้องท้าความเข้าใจให้ถ่องแท้คือคำ ว่า โอฆะหมายถึง ทะเลกิเลสได้แก่ กิเลสที่ท่วมท้บจิตใจของหมู่ สัตว์ทั้งหลาย คำ ว่า ข้ามโอฆะ จึงหมายถึง การข้ามทะเลกิเลสหรือการ ละกิเลสทั้งปวงได้เด็ดขาด ดังนั้น บุคคลข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา จึงมีความหมาย ว่า บุคคลที่มีตถาคตโพธิสัทธาเต็มเปียม ย่อมละกิเลสทั้งปวง ได้เด็ดขาด นั่นคือบรรลุนิพพาน ยุติการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ในสังสารวัฏตลอดไป การมีตถาคตโพธิสัทธา สามารถทำให้บุคคลละกิเลสได้ อย่างไร ตามปกติผู้มีตถาคตโพธิสัทธาเปียมล้นอยู่ในจิตใจย่อม ปฏิบัติภาวนาสามารถประจักษ์แจ้งในอานิสงสัของการปฏิบัติ ประโยชน์ของศรัทธา www.kalyanamitra.org
เป็นความสุขกายสบายใจ ได้ด้วยตนเองโดยตรง เห็นผล ทันตาในชาตินี้ ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า จึงทวีกำลังใจในการ ประพฤติปฏิบัติมากขึ้น จนเกิดเป็นปัญญาสามารถสอนใจ ตนเองให้ละทิฎฐิ คึอสักกายทิฎเ ซึ่งหมายถึงความคิดเห็นอัน เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่าเป็นสิงเที่ยงแห้ยั่งยืนทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่เที่ยงแห้เป็นอนิจจัง ขณะเดียวกันก็ สามารถละความลังเลสงลัยในกุศลธรรมทั้งมวล (วิจิกิจฉา) และ สามารถละความเชื่อถือสิงตักดสิทธต่างๆ ที่ฟังกันต่อๆ มา อย่างงมงาย (สีสัพพตปรามาส) กระบวนการทางภาวนามยปัญญาที่ทำให้ผู้ปฏิบัติสามารถ สอนตนเองให้ละ ๓ สิงดังกล่าวออกจากใจได้ มีคำ ตัพท์ ในพระทุทธศาสนาว่า โสดาป็ตติมรรค (มรรคที่ ๑) ผลที่ได้ รับจากการละ ๓ สิง (ลักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ตังกล่าวออกจากใจด้วยโสดาปัตติมรรค เรียกว่าโสดาป็ตติผล ทำ ให็ได้เป็นพระโสดาบัน โดยเหตุที่พระโสดาบันประกอบด้วยความไม่ประมาท เป็นปกตินิลัย คือเจริญกุศลธรรมอย่างต่อเนื่อง ธรรม ๓ ประการ ที่เคยละได้แล้ว ย่อมไม่เจริญขึ้นอีก จิตใจจึง บริสุทธิ้ผุดผ่องยิ่งขึ้น อันเป็นเหตุให้ละ ราดะ โทสะโมหะ ให้ เบาบางลงอีก กระบวนการทางภาวนามยปัญญาระตับนี้ มีคำ ตัพท์ใน พระทุทธศาสนาว่า สกทาคามีมรรค หรีอสกิทาคามีมรรค (มรรคที่ ๒) ผลที่สิบเนื่องมาจากสกทาคามีมรรคเรียกว่า สกทาคามีผล ทำ ให้เป็นพระสกทาคามี ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตภาพโลก .;aVo www.kalyanamitra.org
พระสกทาคามีย่อมประจักษ์ชัดยิ่งขึ้นในผลอันวิเศษ แห่งการประกอบกุศลธรรม และตถาคตโพธิสัทธาในใจของ ตนอีกหลายร้อยหลายพันเท่าจึงทุ่มเทอีวิตจิตใจปาเพ็ญมรรคที่ ๓ ติดต่อกันไปอย่างไม่ลดละ จนเกิดเป็นปัญญาที่ทำให้ผู้ ปฏิบัติละกามราคะ คือความติดใจในกามคุณได้ขณะเดียวกัน กิสามารถละปฏิฆะ คือความที่จิตหงุดหงิดด้วยอำนาจโทสะได้ อีกด้วย กระบวนการทางภาวนามยปัญญาในระดับนี้ มีด้พท์ ทางพระพุทธศาสนาว่า อนาคามิมรรค (มรรคที่ ๓) ผลที่สีบ เนื่องจากอนาคามิมรรคเรียกว่า อนาคามิผล ทำ ให้เป็น พระอนาคามี เพราะเหตุที่พระอนาคามีปาเพ็ญปัญญาแห่งมรรคที่ ๔ คืออรห้ตมรรคด้วยปัญญาอันบริสุทธิปราศจากกามอย่าง แท้จริง จึงสามารถละอวิชชา คือความไม่รู้จริงในอริยสัจ ๙ ทำ ให้รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ ๔ได้ กระบวนการทางภาวนามยปัญญาในระดับอรหัตมรรคนี้ ย่อมทำให้ผู้ปฏิบัติสามารถบรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ใน ที่สุด ตถาคตโพธิสัทธาโดยแท้ เพราะมีตถาคตโพธิสัทธา บุคคลจึง พากเพียรปาเพ็ญกุศลธรรม จนประสบความก้าวหน้าไปตาม ลำ ดับๆ คือสามารถละทิฏฐิ ภพ กาม และอวิชชา รู้แจ้งเห็น แจ้งในอริยสัจ ๔ จึงบรรลุอรห้นต์ในที่สุด ทั้งหมดนี้ คือ ความหมายของพุทธดำรัสว่า บุคคลข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา - - ©cte . ประโยชน์ของศร้ทธา www.kalyanamitra.org
ฅ. บุคดลเสิอธรรมชองพระอรหันต์ย่อมใด้ป็ญญา ถ้อยคำที่ว่า \"เร่อธรรมของพระอรหันต์\" หมายถึง ศรัทธาใน คำ สังสอนของพระอรหันตสาวกทั้งปวง พระอรหันต์ทุกรูป แม้ จะเป็นเพียงพุทธสาวก มีคุณไม่เท่าพุทธคุณ ๙ของพระสัมมา- สัมพุทธเจ้า แตกสมบูรณ์พร้อมด้วยความบริสุทธและธรรม อันเป็นเครื่องตรัสรู้ (โพธิปักขิยธรรม) ในระด้บที่สามารถ บรรลุนิพพานได้ ด้งนั้น การเชื่อในพระธรรมคำสังสอนของ พระอรหันต์ จึงได้ปัญญาทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระอัน เป็นทางบรรลุนิพพาน แต่การที่จะได้ปัญญานั้น ใช่ว่าจะ อาด้ยเฉพาะศร้ท่ธาเฉยๆ เพียงอย่างเดียวโดยไม่ลงมีอปฏิบัติก็ หาไม่ สิงที่ต้องปฏิบัติก็คือ เข้าไปนั่งใกล้ท่าน เงี่ยหูฟังธรรม ของท่านด้วยความเคารพ คือตั้งใจฟังอย่างมีสติตลอดเวลา ไม่นั่งหลับสัปหงก ขณะที่ฟังธรรมก็ต้องคิดพิจารณาให้เกิด ความเข้าใจด้วยว่า อย่างใดดี อย่างใดชั่ว อย่างใดบุญ อย่าง ใดบาป (มิใช่เอาแต่จดลงสมุด) ถ้าตั้งใจท่าเช่นนี้ ก็จะได้ ปัญญาอย่างแน่นอน ครั้นแล้วก็จะต้องทรงจำธรรมที่ฟังมา แล้วนั้นมิให้หลงลืม พร้อมทั้งใคร่ครวญพิจารณาธรรมนั้นใน แง่มุมต่างๆ อย่างสมํ่าเสมอ อันเป็นการเตือนสอนตนเอง ให้ หมั่นปฏิบัติธรรมตามท่านไป อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนในการปฏิบัติที่กล่าวมานี้ มิใช่ ว่าจะกระท่าเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอ แต่จะต้องหมั่นเข้าไป หาพระอรหันต์ผู้เป็นครูบาอาจารย์ของตนปอยๆ ซึ่งจะมี โอกาสฟังธรรมปอยๆ ในที่สุดบุคคลก็จะสามารถลังสมทั้ง โลกิยปัญญาและโลกุตรปัญญาได้มากขึ้นเรื่อยๆ เข้าท่านอง ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก ; ๑๙๒ www.kalyanamitra.org
ที่ว่าเศรษฐกิจกับจิตใจต้องควบคู่กันไป ย่อมสามารถดำรง ชีวิตอยู่ได้อย่างผาสุกด้วยสัมมาอาชีวะ เป็นผู้มีเกียรติ สูงส่ง เป็นกัลยาณมิตรที่น่ารักใคร่นับถือท่ามกลางญาติมิตรและผู้ที่ ได้พบเห็น ขณะเดียวกันก็สามารถฝึกอบรมตน เพื่อพัฒนา ตนตามพุทธวิธีอย่างถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนไม่งมงาย ไม่หลงไป เกี่ยวข้องกับเรื่องนอกบุญเขต นอกพระพุทธศาสนา ย่อม สามารถอบรมกายวาจาใจของตนให้บริสุทธิยิ่งๆ ขึ้น อันเป็น หนทางเดียวที่น่าไปคู่ความหลุดพัน ทั้งหมดนี้ คือความหมายของพุทธดำรัสว่า บุคคลเร่อ ธรรมของพระอรหันต์ย่อมใด้ป็ญญา ๔. บุคคลอยู่ครองเรือนประกอบด้วยศรัทธา ละโลก ฟ้,ปแล้วย่อมไม่เศรัๆโศก ในพุทธดำรัสข้อนี้ มีถ้อยคำที่ต้อง ท่าความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกันอยู่หลายคำ ถ้อยคำแรกคือ \"บุคคลอยู่ครองเรือน\"หมายถึง ผู้ที่มิได้เป็นนักบวช มิได้เป็น ภิกษุ ในพุทธศาสนาเรียกบุคคลอยู่ครองเรีอนว่าฆราวาสหรีอ คฤหัสถ์ คำ ว่า ศรัทธา ก็หมายถึง ตถาคตโพธิสัทธา เช่นเดียว กับ ๓ ข้อที่ผ่านมา คำ ว่าโลกนี้หมายถึงโลกมนุษย์หรีออัตภาพ ที่ยังมีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่ ละโลกนี้!ปแล้ว หมายถึงตายไปจาก โลกนี้ ซึ่งจะต้องไปเกิดมีชีวิตใหม่ในโลกอื่น หรีอกสับมาเกิด เป็นมนุษย์ในโลกนี้อีก ไม่เศร้าโศกหมายถึงไปคู่สุคติ พระธรรมคำสังสอนในพระพุทธศาสนามีอยู่มากมาย เมื่อบุคคลน่ามาประพฤติปฏิบัติตามย่อมเกิดประโยชน์แก่ ตนเองและสังคมทั้งสิน อย่างไรก็ตาม มีธรรมอยู่หมวดหนึ่ง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานไว้เป็นหสักประพฤติ ปฏิบัติสำหรับผู้ครองเรีอนโดยเฉพาะ ธรรมหมวดนี้ ๑๔๓ • ประโยชไ;ของศร้ทธา www.kalyanamitra.org
คึอ ฆราวาสธรรม® ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ ๑) สัจจะ ๒)ธรรม ๓)ธิติ ๔)จาคะ ๑) สัจจะ หมายถึง ความจริง ๓ ประการ คือ จริงใจ ได้แก่ ซื่อสัตย์ จริงวาจาได้แก่ พูดจริง และจริงกายได้แก่ ทำ จริง บุคคลที่มี สัจจะ ย่อมเป็นที่เคารพนับถึอ และมีซื่อเสียง ๒) ธรรม หรืออาจใช้ว่า ทมะ โดยรูปด้พท์หมายถึง การฝ็กฝน การข่มใจ การฝึกนิสัย การปรับตัว การรู้จัก ควบคุมจิตใจตนเอง การแกไขข้อบกพร่อง เพี่อปรับปรุง ตนเองให้พัฒนาก้าวหน้าด้วยสติและด้วยปัญญาทางธรรม สำ หรับธรรมในหมวดนี้ ทั้งคำว่าธรรมและทมะ พระพุทธองค์ ทรงมุ่งเน้นที่เรื่องป็ญญาซื่งได้จากการตั้งใจฟ้งธรรม ฅ) ธิติ หมายถึง ความวิริยะอุตสาหะ ขยันหมั่นเพียร ทำ งานด้วยความหนักแน่นอดทนไม่หวั่นไหวไม่ท้อถอยมุ่งมั่น ให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ บุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็น นิสัยย่อมบรรลุเป้าหมายได้ไม่ยากนัก ๔) จาคะ หมายถึง ความเสียสละ เช่น สละกิเลส สละ ความสุขสบายและผลประโยชน์ส่วนตน มีใจกว้าง พร้อมที่ จะร้บฟังความทุกข์ ความคิดเห็น และความต้องการของผู้อึ่น พร้อมที่จะให้ความร่วมมีอ ช่วยเหลือผู้ร่วมงาน และผู้อื่นเท่า ที่จะสามารถทำได้ มีนํ้าใจ เมตตากรุณา เอื้อเฟือเผื่อแผ่ ไม่ ใจแคบเห็นแก่ตัวหรือเอาแต่ใจตัว บุคคลที่มีธรรมะช้อนี้เป็น นิสัยประจำตัว ย่อมเป็นบุคคลที่น่ารัก น่าเคารพนับถึอ และ มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือเกื้อถูลจากผู้อื่นได้โดยง่าย ย่อมไม่ตกระกำสำบาก ๑ อาฬรกสูตร ส.ส. ๒๕/๘๕๕/๔๒๖(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ©๔<£ • www.kalyanamitra.org
ฆราวาสที่ประพฤติตนตามฆราวาสธรรมอย่างเคร่งครัด จริงจังสมํ่าเสมอ เพราะมีตถาคตโพธิสัทธาอย่างเหนียวแน่น ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ย่อมมีความสุขตามอัตภาพ ครั้น ละโลกนี้!ปแล้ว ก็จะไป^สุคติ ซึ่งอาจจะเป็นโลกมนุษย์ หรือ โลกสวรรค์ ทั้งหมดนี้คึอความหมายของใ^ทธดำรัสว่า บุคคล อยู่ครองเรือนประกอบด้วยศรัทธา ละโลกนี้!ปแล้วย่อมไม่ เศร้าโศก อานิสงส์ของศรัทธา บุคคลที่มั่นคงในตถาคตโพธิสัทธา ย่อมได้รับอานิสงส์ จากศรัทธาที่ตนมีทั้งในโลกนี้และโลกหน้า อานิสงส์ของศรัทธาในโลกนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ตรัสเกี่ยวกับกุลบุตรหรือผู้ครองเรือนผู้มีตถาคตโพธิสัทธา ว่าจะได้รับอานิสงส์Iนปัจจุบันชาติ ๕ประการ ด้งนี้® ๑. ล้ปบุรุษในโลกทุกๆ ท่าน เมื่อจะอนุเคราะห์ย่อม อนุเคราะห์ผู้มีศรัทธาก่อนผู้อื่น ย่อมไม่อนุเคราะห์ผู้ไม่มี ศรัทธาก่อนผู้อื่น หมายความว่า บัณฑิตน้กปราชญ์หรือ กัลยาณมิตรทั้งหลาย มีพระภิกษุผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ เป็นด้น เมื่อจะอนุเคราะห์ฆราวาสคนหนึ่งคนใด จะต้องเลือก อนุเคราะห์ฆราวาสที่มีตถาคตโพธิล้ทธาเป็นอันดับแรก ครั้น แล้วจึงค่อยหาโอกาสไปอนุเคราะห์ฆราวาสที่ยังไม่เกิด ตถาคตโพธิสัทธา นั่นคือถ้าท่านหาโอกาสไม่ได้ ฆราวาสผู้ ปราศจากตถาคตโพธิสัทธาย่อมไม่ได้รับการอนุเคราะห์จาก ® สัทธานิรํ[งสสูตร อัง.ปัญจก. ๓๖/๓๘/๘๖ {มมก.) ©๔๕ อานํสงส์ของศรัทธา www.kalyanamitra.org
สัปบุรุษทั้งหลาย ย่อมไม่ฉลาดในการครองชีวิตตลอดจนการ แก้ปัญหาชีวิต ๒. เมื่อจะเข้ๆไปหาย่อมเข้าไปหาผู้มีศรัทธาก่อนผู้อื่น ย่อมไม่เข้าไปหาผู้นเมศรัทธาก่อนผู้อื่นหมายความว่า บัณฑิต หรือกัลยาณมิตร เมื่อคิดจะไปเยี่ยมเยียน หรือไปโปรด ฆราวาสคนหนึ่งคนใด ท่านก็จะเลือกไปโปรดฆราวาสที่มี ตถาคตโพธิสัทธาก่อนฆราวาสที่ยังไม่มีศรัทธา ทั้งนี้ เพราะ การสร้างศร้ท่ธาให้แก่ผู้ที่ยังไม่มีศร้ทธานั้นเป็นเรื่องยาก ต้อง ใช้เวลามากและไม่แน่ว่าจะสัมฤทธิผลหรือไม่ ฅ. เมื่อจะต้อนรับ ย่อมต้อนรับผู้มีศรัทธาก่อนผู้อื่น ย่อมไม่ต้อนรับผู้เม่มีศรัทธาก่อนผู้อื่น หมายความว่า คราใด ที่มีฆราวาสมาเช้าพบบัณฑิต หรือกัลยาณมิตรในโอกาสใดก็ ตาม ด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ท่านก็จะเลือกต้อนรับฆราวาสที่มี ตถาคตโพธิสัทธาก่อนฆราวาสที่ยังไม่มีศรัทธา เนึ่องจากผู้มี ศรัทธาย่อมมีปัญญาทางธรรมมากพอที่จะรับฟังธรรมของ บัณฑิตด้วยโยนิโสมนสิการ การต้อนรับผู้มีศรัทธาย่อมเกิด ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ๔. เมื่อจะแสดงธรรม ย่อมแสดงธรรมแก่ผู้มีศรัทธา ก่อนผู้อื่น ย่อมไม่แสดงแก่ผู้เม่มีศรัทธาก่อนผู้อื่นหมายความ ว่า คราใดที่พระภิกษุผู้เป็นกัลยาณมิตรจะต้องแสดงธรรมแก' ฆราวาส ไม่ว่าจะมีจำนวนน้อยหรือจำนวนมากก็ตาม ท่าน ย่อมจะจัดแปงผู้ฟังออกเป็นกลุ่มๆ และจะแสดงธรรมแก่ กลุ่มที่มีตถาคตโพธิสัทธาเป็นกลุ่มแรก ด้วยมั่นใจว่าการ แสดงธรรมของท่านจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟังอย่างมาก ส่วนการแสดงธรรมแก่ผู้ที่ยังไม่มีตถาคตโพธิสัทธา อาจจะ ศรัหธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๑๔๖ www.kalyanamitra.org
เกิดประโยชน์เพียงเล็กน้อย หรือบางทีอาจจะไม่เกิด ประโยชน์เลย ถ้าฆราวาสผู้ขาดศรัทธา มีความคิดเป็นมิจฉา ทีฏฐิเหนียวแน่น ๔. กุลบุตรผู้มีศรทธาเมื่อดายไปแล้วย่อมเช้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ จากอานิสงส์ข้อ ๑-๔ ย่อมเห็นได้ชัดว่าศรัทธาเป็น เครื่องน่าทางไปส่แหล่งปัญญา เมื่อบุคคลเกิดปัญญาแล้ว ย่อมมีความเห็นเป็นล้มมาทีฏฐิ เกิดปัญญาเข้าใจโลกและ ชีวิตตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น เข้าใจเป้าหมายของการได้เกิด มาเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง ย่อมตั้งใจประกอบแต่กุศลกรรม ระมัดระวังตนไม่ให้เกี่ยวข้องกับอกุศลกรรมอย่างเด็ดขาด ขณะเดียวกันก็พากเพียรอบรมตนให้บริสุทธด้วยกาย วาจาใจ ให้มากเท่าที่จะมากได้ แม้ยังไม่บรรลุความหลุดพ้น หล้งจาก ละโลกนี้ไปแล้วก็ได้โอกาสแห่งการเสวยผลของกุศลกรรม ของตน ในสุคติโลกสวรรค์อย่างแน่นอน พระล้มมาล้มพุทธเจ้าทรงยกย่องบุคคลที่มีตถาคต- โพธิล้ทธาว่าย่อมเป็นที่พึ่งของผู้คนเป็นอันมาก เฉกเช่น ต้นไทรใหญ่เป็นที่พึ่งของเหล่านกกาฉะนั้น ด้งพุทธดำรัสใน พระสูตรเดียวกันนี้ว่า® \"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรืยบเหมือนต้นไทร ใหญ่ที่ทางสีแยกมีพื้นราบเรืยบ ย่อมเป็นที่พึ่งของ พวกนกโดยรอบฉันใด กุลบุตรผู้มีศรัทธาก็ฉันนั้น เหมือนกันย่อมเป็นที่พึ่งของชนเป็นอันมาก คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา\" ® อัง.ปัญจก. ๓๖/๓๘/๘๗(มมก.) ®๔ท| อานิสงส์ของศรัทธา www.kalyanamitra.org
จากข้อความที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ย่อมเห็นได้ว่า ศร้ทธาเป็นทั้งสิอนำไปล่แหล่งแห่งป็ญญา เป็นทั้งบาทฐานแห่ง การพฒนาป็ญญาฃองบุคคล ตั้งแต่ระดับหยาบไป^ระดับ ละเอียด บริfjทธยิ่งๆ ขึ้นไป ถึงสามารถขจัดกิเลสอาสวะและ อวิชชาให้สูญสินไปจากใจบุคคลได้โดยสินเข้ง คือบรรลุความ หลุดพ้น หลุดออกไปจากวงจรของสังสารวัฏ อันหาเบื้องดัน และเบื้องปลายมิไดั เพื่อไปเสวยสุขข้วนิรันดร ส่วนผู้ที่ยังไม่ สามารถบรรลุความหลุดพ้น ก็มีโอกาสเสวยสุขในสุคติโลก สวรรค์เป็นเวลายาวนาน โทษของการขาดตถาคตโพธิสัทธา คนเราทุกคนเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้หรึออวิชชา มิ หนำขึ้ายังมีกิเลส ๓ ตระถูล คือ ความโลภ ความโกรธ และ ความหลง แอบแฝงเกาะติดแน่นอยู่ในใจ เสมือนโรคร้าย ประจำตัวมาตั้งแต่ถึอกำเนิด ทั้งยังเป็นโรคร้ายที่ไม่มืวัคซีน หรือยาชนิดใดป้องกันการกำเริบได้อีกด้วย อวิชชาและกิเลสเหล่านี้เอง ที่เป็นปัจจัยให้บุคคลมื ความเห็นเป็นมิจฉาทิฎฐิ คือ เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เพราะเห็นผิด จึงคิดผิด เพราะคิดผิด จึงพูดผิด ทำ ผิด เลี้ยง ชีวิตด้วยอาซีพผิด ฯลฯ คือผิดตลอดเสันทางดำรงชีวิต ดังนั้น มิจฉาทิฏฐิบุคคลจึงเป็นบุคคลอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง มิจฉาทิฎฐิบุคคลเพียงคนเดียวย่อมสร้างความพินาศ ฉิบหายให้แก่โลกได้ ซึ่งในเรื่องนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ ตรัสไวในเรื่องมิจฉาทิฎฐิและสัมมาทิฎฐิ® ว่า ® อัง.ทุก. ๓๓/๑๙©/๑๙๑(มมก.) สรทธา รุ่งอรุณแท่งสันติภาพโลก 0๔๘ www.kalyanamitra.org
\"บุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นวิปริต เขาทำให้คนเป็นอันมากออกจากสัทธรรมแล้วให้ตั้ง ! อยู่ในอสัทธรรม ดูก่อนภิกชุทั้งหลาย บุคคลคนเดียว นี่แล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็น ประโยชน์เกื้อถูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความฉิบหายมีใช!ประโยชน์เกื้อภูล เพื่อความทุกข์ แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย\" จากพุทธดำรัสนี้ ย่อมเห็นได้ว่าการที่มิจฉาทิฏฐิบุคคล เพียงคนเดียว สามารถทำความพินาศให้แก่โลกได้ ก็เพราะ เขาสามารถชักจูงโน้มน้าวให้คนดีจำนวนมาก ที่ตถาคตโพธิ สัทธายังไม่มั่นคงเหนียวแน่น คล้อยตามด้วยความเห็นวิปริต ผิดทำนองคลองธรรมของเขา ผู้คนจำนวนมากเหล่านี้เอง ที่พากันก่อความพินาศให้แก่โลก สรุป จากที่กล่าวมาแต่ต้นท่านผู้อ่านย่อมเห็นแล้วว่า ศรัทธา มีคุณประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของคนเราอย่างใหญ่หลวง น้บตั้งแต่ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างสันติสุข อยู่ในโลกนี้และประโยชน์สุขในโลกหน้า เนื่องจากได้ ออกแบบชีวิตไว้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อการได้ไปเสวยสุข อยู่ในโลกสวรรค์ ซึ่งจะได้โอกาสสังสมบุญบารมีต่อโดยการ ปฏิบัติธรรม ณ โลกสวรรค์อีก อันเป็นพื้นฐานน่าไปล่ ^๕(X . ส^ www.kalyanamitra.org
ประโยชน์สูงสุด คือ มรรคผลนิพพานอันเป็นทางหลุดพ้นใน ลำ ดับต่อๆ ไป ๑. คุณประโยชน์ของศรัทธาในโลกน็้ การที่บุคคลได้รับประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตอย่างมี สันติสุขอยู่ในโลกนึ๊ก็เพราะมีสัมมาทิฎฐิเป็นหลักเป็นประธาน อยู่ในจิตใจ ห่างไกลจากมิจฉาทิฏฐิ ทำ ให้ตั้งตนอยู่ในทำนอง คลองธรรม จึงสามารถสำเร็จประโยชน์!นเบื้องต้นคือมีปัญญา รู้จักประกอบสัมมาอาชีพได้ลัมฤทธิผลอย่างต่อเนื่อง ขณะ เดียวกันก็สามารถอบรมตนให้ตั้งอยู่ในฆราวาสธรรมไต้อย่าง มั่นคง การปฏิบัติตนถูกต้องตามทำนองคลองธรรมด้งกล่าว แล้วนี้ ย่อมเอื้ออำนวยให้บุคคลมีชีวิตอยู่อย่างผาสุก มีครอบ- ครัวที่อบอุ่น ในเวลาเดียวกันก็มีล่วนช่วยในการสร้างลังคม ลันติสุขอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ศรัทธาอันก่อให้เกิดลัมมาทิฏฐิขึ้นในใจ บุคคลในลำด้บที่ ๑ นี้ ถึงแม้จะเป็นความเชื่อต่อพระธรรมคำ ลังสอนในพระพุทธศาสนา ก็ยังไม่จัดว่าเป็นตถาคตโพธิลัทธา เพราะอาจเปลี่ยนแปลงไดในกาลข้างหน้า เมื่อชีวิตต้อง ประสบอุปสรรคขวากหนามโดยกะทันหัน ๒. คุณประโยชน์ของศรัทธาในโลกหน้า ลำ หรับประโยชน์สุขที่จะพึงได้รับในโลกหน้านั้น ใช่ว่า จะเกิดขึ้นเองได้โดยบังเอิญ แต่ว่าบุคคลจะต้องปาเพ็ญ บุญกิริยาวัตถุ ได้แก่ การทำทาน รักษาคืลและการเจริญ ภาวนาอย่างสมํ่าเสมอและต่อเนื่อง ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ©๕0 www.kalyanamitra.org
ในโลกนี้ด้วยศรัทธามั่นว่า ตนจะได้รับอานิสงส์ในโลกหน้า การที่บุคคลจะปาเพ็ญบุญกิริยาวัตถุได้อย่างมั่นคงต่อเนื่อง ก็ เพราะมีศรัทธาเป็นบาทฐานสำคัญ อันจะส่งผลให้บุคคล ตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฏฐิอย่างเหนียวแน่น สามารถปาเพ็ญบุญ กิริยาวัตถุและปฏิบัติฆราวาสธรรมเป็นนิสัยประจำชีวิต กระนั้นก็ตาม บุคคลที่มีศรัทธาในระดับที่ ๒ นี้ ถ้า ขาดการคบหาสมาคมใกล้ชิดกับกัลยาณมิตรอย่างสมํ่าเสมอ ศรัทธาของเขาก็อาจลดน้อยลงได้เหมีอนกัน ถ้าถูกคนพาล ชี้น่าชักชวนออกไปนอกเล้นทางบุญ ด้งนั้นความเชื่อในสำด้บที่ ๒ นี้ ก็ยังจัดเป็นตถาคตโพธิสัทธาไม่ได้เต็มที่ เพราะอาจ แปรเปลี่ยนได้เช่นกัน ฅ. ดุณประโยชน์ของศรัทธาต่อมรรคผลนิพพาน สำ หร้บบุคคลที่มีศรัทธาในสำด้บที่ ๒ นี้อย่างต่อเนื่อง สมํ่าเสมอ ไม่ลดน้อยถอยลงเลย ทว่ามีความพากเพียรทุ่มเท ชีวิตจิตใจปาเพ็ญบุญกิริยาวัตถุให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ชนิดเอาชีวิต เป็นเดิมพัน แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ ก็ตาม แต่ก็ ยังมุ่งมั่นเพ่งเล็งอยู่ที่ประโยชน์สูงสุด คึอมรรคผลนิพพาน หรือการบรรลุที่สุดแห่งธรรมเป็นเป้าหมายในชีวิต ศรัทธาเช่น นี้จึงจะจัดว่าเป็นตถาคตโพธิสัทธาอย่างแท้จริง กล่าวได้ว่า ศรัทธาในพระพุทธศาสนานั้น ๓ดเนได้ ไม่ยากนัก แต่กว่าจะหยั่งรากลึกลงเป็นตถาคตโพธิสัทธานั้น อาจมีอุปสรรคขวางกั้นอยู่ตลอดเวลา ด้งนั้น เพื่อทีจะทำให้ ศรัทธาที่เกิดขึ้นในจิตใจพุทธศาสนิกแล้ว กลายเป็นตถาคต- โพธิสัทธาฝืงแน่นอยู่จิตใจของทุกๆ คน โดยไม่มีวันเลึอม- ®<?© s. สรุป www.kalyanamitra.org
คลายหรือเปลี่ยนแปลงไป คนเราจำเป็นต้องมีดวามเข้าใจ อย่างลึกเงในธรรมะอันเป็นบาทฐานสำต้ญที่ก่อให้เกิดสัมมา- ทฏแบื้องต้นเสิยก่อน เพราะนั่นคือ ปอเกิดแห่งตถาคตโพธิ- สัทธา ลี่งเปรืยบเหมีอนต้นกำเนิดซองพลังงาน หรือต้น กำ เนิดของตานํ้า ตราบใดที่ดานํ้ายังไม่ถูก!เดดาย แม่นํ้าย่อมไม่มีวัน เหือดแห้งจากโลก ฉันใด และตราบใดที่สัมมาทิฏแบื้องต้น ไม่ถูกทำลาย ตถาคตโพธิสัทธาย่อมไม่มีวันเหือดแห้งหายไป ฉันนิน ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก .; ©ib www.kalyanamitra.org
บทที่ ๕ บ่อเกิดแห่งตถาคตโพธิสัทธา ได้กล่าวแล้วว่า บุคคลที่มีสัมมาทิฏฐิเท่านั้นที่จะ สามารถพัฒนาตถาคตโพธิสัทธาให้เกิดขึ้นในจิตใจของตนได้ อย่างยั่งยืนตลอดไป ด้งนั้น สิงแรกที่พึงกระท่าในการปลูกฝัง ตถาคตโพธิสัทธาก็คือ การปลูกฝังความรู้เรื่องสัมมาทิฎฐิลงใน จิตใจผู้คนตั้งแต่เยาว์วัย ต่อจากนั้นก็ต้องมีกัลยาณมิตรคอย ประคับประคองแนะแนวทางอยู่เสมอ เพี่อให้บุคคลเกิด ความเข้าใจ และมองเห็นประโยชน์อย่างแท้จริงของสัมมาทิฏฐิ แล้วยืดถือเป็นหสักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตโดยไม่ย่อหย่อน ตลอดไป ©๕๓ ปอเกํดแห่งตถาคตโพธํสัท!ท www.kalyanamitra.org
ความหมายของสัมมาทิฏฐิ ตามคัมภีร์พระพุทธศาสนาได้ให้ความหมายของสัมมา- ทิฎฐิ ไว้ว่า \"ความเห็นถูก\" หรือ \"ครามเห็นชอบ\" บางทีก็ใช้ ว่า \"เห็นถูก\" หรือ \"เห็นชอบ\" คำ ว่า \"เห็น\" หรือ \"ความเห็น\" ที่ใซในบริบทนี้ หมาย ถึง ความเข้าใจระดบลึก® ดังนั้น คำ ว่า สัมมาทิฎฐิ จึงหมายถึง ความเข้าใจถูกต้อง เกี่ยวกับความเป็นไปซองโลกและข้วิดดามความเป็นจริง (คือ สัจธรรมต่างๆ) เช่น เช้าใจเรื่องสังสารวัฏหรือการเวียนว่าย ตายเกิด คือทุกชีวิตตายแล้วไม่สูญ ยังต้องเกิดใหม่อีกเรื่อยไป ตราบเท่าที่ยังมีกิเลสอยู่ เช้าใจเกี่ยวกับหลักแห่งเหตุและผล หรือกฎแห่งกรรม คือท่าความดีต้องได้รับผลดีเสมอ ท่าความชั่วต้องได้รับผลชั่วเสมอ ชึ่งถึอเป็นกฎเหล็กตายต้ว โดยไม่มีช้อยกเว้น แต่ระยะเวลาแห่งการออกผลของกรรม ของแต่ละคนอาจช้าหรือเร็วแตกต่างกันไป เนื่องจากมีปัจจัย อื่นเช้ามาเกี่ยวช้องด้วย เป็นต้น บุคคลที่มีความเช้าใจถูกต้องดังกล่าวแล้ว ย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ เมื่อสัมมาทิฎฐิเช้าไปอยู่ในจิตใจของ บุคคลใดจนหยั่งรากลึกอย่างมั่นคงแล้ว ก็จะกลายเป็น ® ความเข้าใจมี๒ระดับ คือ ๑.ความเข้าใจระดับพื้นผิว หมายถึง ความเข้าใจ โดยทั่วไปเกี่ยวกับด้านกายภาพและวัตถุต่างๆ มีผลทางด้านจิตใจเพียงเล็ก น้อย ถ้าเข้าใจถูกด้องก็ไม่มีผลให้คนเราได้ขนสวรรค์ถ้าเข้าใจผิดก!ม่ตกนรก ๒.ความเข้าใจระดับลึก หมายถึง ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องโลกและชีวิตตาม ความเป็นจริง รื่งมีค่าด้พท์ว่าสัจธรรม เช่น อริยสัจ ๔ เป็นด้น มีผลต่อ จิตใจและการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องตามหสักคืลธรรม ถ้าเข้าใจถูกต้องก็มี โอกาสสังสมบุญบารมีเพี่อไปบังเกิดในสวรรค์ ถ้าเข้าใจผิดก็มีโอกาสตกนรก ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตภาพโลก ©๕๔ www.kalyanamitra.org
อุดมการณ์ หลักการ ทัศนคติ หรือทฤษฎีรวิตประจำใจ บุคคลนั้น ซึ่งจะเป็นแนวทางให้เขาประพฤติดีปฏิบัติชอบ ทั้งกาย วาจาและใจเสมอ สามารถปฏิบัติหน้าที่การงานของ เขาด้วยความสุจริตโปร่งใส ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ตลอดไป ขณะเดียวกันก็สามารถพัฒนาหิริโอตตัปปะ คึอ ความละอายแก่ใจต่อการทำชั่วทำบาป และความเกรงกลัวผล ของการทำบาป จึงสามารถตั้งอยู่ในกุศลธรรมตลอดไป อย่างไรก็ตาม ลัมมาทิฏฐินั้นไม่สามารถเกิดฃึนได้เอง โดยไม่มีการปลูกฝัง ทั้งนี้เพราะคนเราทุกคนล้วนเกิดมา พร้อมกับกิเลส ๓ ตระกูล คือ ความโลภ ความโกรธ และ ความหลง แฝงอยู่ไนจิตไจ ซึ่งนอกจากจะเป็นเหตุแห่งอวิชชา หรือความไม่รู้อริยลัจ ๔ ยังเป็นเหตุไห้เกิดมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งมี ความหมายตรงข้ามกับล้มมาทิฏฐิอันก่อไห้เกิดโทษภัยร้ายแรง ถึงขั้นทำความพินาศแก่โลกได้ ด้งที่พระล้มมาล้มพุทธเจ้า แสดงไว้ไน เอกธัมมบาลีตติยวรรค® ว่า \"บุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นวิปริต บุคคลผู้นั้นทำไห้คนหยู่มากออกจากล้ทธรรม (กุศลธรรมบถ ๑๐)ไห้ตั้งอยู่ไนอล้ทธรรม (อกุศล- กรรมบถ ๑๐) บุคคลผู้เป็นเอก (คนเดียว) นี้แล เมื่อเกิดขึ้นไนโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เกื้อกูลแก่คน หมู่มาก เพื่อไมใช่สุขแก่คนหมู่มาก เพื่อไม่ใช่ ประโยชน์แก่คนหมู่มาก เพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย...\" ® อัง.เอก. ๒๐/๓๐๘/๔๐ (มจร.) ©๕๕ ความหมายของสัมมาทิฎฐิ www.kalyanamitra.org
ด้วยเหตุนี้ การปลูกฝังสัมมาทิฏฐิลงในจิตใจผู้คน ตังแต่เยาว์วัย จึงเป็นสิงจำเป็นและสำคัญยิ่ง เพราะนอกจาก จะสามารถป้องกันผู้คนมิให้เกิดมิจฉาทิฏฐิแล้ว ยังจะ สามารถสักนำชาวโลกให้ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นทางนำ ไป^ความหลุดพ้นได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย ด้งพุทธพจน1น ปฐมฑิฎฐิสัมปทาสูตร® ด้งนี้ \"ดูก่อนภิกชุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิงที่เกิดขึ้นก่อน ที่เป็นนิมิตมาก่อน คึอ แสงเงิน แสงทอง สิงที่เป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตมาก่อน เพื่อ ความบังเกิดแห่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ของภิกพุ' คือความถึงพร้อมแห่งทิฏฐิ (สัมมาทิฏฐ) ฉันนั้นเหมีอนกัน ฯลฯ\" สัมมาทิฏฐิเบื้องต้น'° สัมมาทิฎฐิเบื้องด้น หมายถึง สัมมาทิฏฐิที่ยังมีกิเลส เจึอปนอยู่ แต่ก็เป็นความเห็นถูกต้องที่น้อมนำบุคคลให้คิด ถูกต้อง พูดถูกต้อง ทำ ถูกต้อง ประกอบอาชีพถูกต้องตามคืล- ธรรมและกฎหมาย มีความเพียรถูกต้อง มีสติระลึกถูกต้อง ตลอดจนทำสมาธิภาวนาถูกต้อง โดยสรุปก็คือ ประพฤติดี ® ส.ม. ๓๐/๑๓๔/๗๖ (มมก.) ^ พระพุทธองค์ตรัสไ'!ในมหาจัตฒรีสกสูตร ม.อุ. ๑๔/๑๓๖/๑๗๔ {มจร.) 'าาสัมมาทิฎฐิที่มี ๒ได้แก่ ๑.สัมมาทิฏเที่ยังมีอาสวะเป็นส่วนแห่งบญใฬ้ผฟิ คีออปริ (หมายถึงการเวียน'!ายตายเกิด) ๒. สัมมาทิฎเอันเป็นอริยะที่ไม่มี อาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์แห่งมรรค ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก fflcft) www.kalyanamitra.org
ปฏิบัติชอบดามหลักสีลธรรมสมํ่าเสมอโดยไม่ซาดดฑบฑพร่อง สัมมาทิฎฐิเบื้องต้นนี้แบ่งออกเป็น ๑๐ บ่ระการ คือ ๑. ทานที่ให้แลัวมีผล คำ ว่า \"ทาน\" ในสัมมาทิฏฐิข้อแรกนี้ หมายถึง การให้ หรือการแปงป้นที่งกนและกน ระหว่างผู้คนในครอบครัว ใน หมู่คณะ ในชุมชน ในลังคมน้อยใหfyทั่วประเทศและทั่วโลก นับตั้งแต่การให้หรือการแบ่งปันทรัพย์สินสิงของเครื่อง อุบ่โภคบริโภค ให้ความช่วยเหลือด้วยแรงกาย ให้คำแนะนำ เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ให้ธรรมะ ให้กำสังใจ ให้ความเป็นมิตร ให้อภัย ให้ความเมตตากรุณา ให้รอยยิ้ม แม้ที่สุดให้พรด้วย ความจริงใจและบ่รารถนาดี ครอบครัวใด หรือสังคมใดที่สมาชิกต่างคนต่างให้หรือ แบ่งปันซึ่งกันและกันในลักษณะดังกล่าวแล้ว ครอบครัวนี้น หรือสังคมนั้น ย่อมมีชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความอบอุ่น ความเห็นอกเห็นใจ และด้วยไมตรืจิตมิตรภาพเสมอ การเอา รัดเอาเบ่รืยบ การรังเกียจเดียดฉันท์ การจ้องจับผิดซึ่งกัน และกัน การแก่งแย่งชิงดี การแบ่งพรรคแบ่งพวก จนกลาย เป็นความร้าวฉานในหมู่สมาชิกย่อมไม่เกิดขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้น แต่ละคนก็จะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข และพร้อมที่จะพัฒนาตน ให้สมyรรน์พร้อมด้วยกุศลธรรม ห่างไกลจากพฤติกรรม อันเป็นอกุศลกรรมทั้งบ่วง ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า แต่ละชีวิตจะเป็นสุขได้จริง ถ้าชาวโลกต่างรู้จักแบ่งปันกันอยู่ แบ่งปันกันกิน แบ่งปันกัน ใข้อย่างถูกวิธี ชาวโลกต่างก็จะมีพอกินพอใช้อย่างทั่วถึงกัน ในทางตรงข้าม ถ้าชาวโลกแม้เพียงบางส่วนต่างก็เป็นคน ๑๕๗ สัมมาทฎฐเบื้องต้น www.kalyanamitra.org
แบบมือใครยาวสาวได้สาวเอาชาวโลกส่วนใหญ่ก็จะขาดแคลน อดอยากยากจน ในที่สุดปัญหาวุ่นวายเดือดร้อนต่างๆ ก็จะ ตามมาไม่รู้จบสิน สันติภาพโลกจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ๒. การสงเคราะห์ที่ทำแล้วมีผล การสงเคราะห์ หมายถึง การให้ความส่วยเหลือในด้าน ต่างๆ แก่บุคคลต่างๆ ที่ประสบปัญหาความขาดแคลน อดอยากยากไร้ ทุพพลภาพ ชราภาพส่วยเหลือตนเองไม่ได้ เด็กกำพร้าไร้ที่พึ่ง ผู้ประสบสาธารณภัย ตลอดจนสมณ- พราหมณ์ ผู้เ!เนครูสอนด็ลธรรมให้แก่สังคม เรื่องการสงเคราะห์นี้ แตกต่างจากเรื่องทานในข้อแรก ตรงที่การทำทานเป็นการแบ่งปันสิงของที่เรามีอยู่เกินความ- จำ เป็นให้แก่ญาติมิตร เพื่อนยู่ง เพื่อช่วยเหลือกันเป็นราย บุคคล หรือเพื่อแสดงนํ้าใจไมตรีต่อกัน โดยที่แต่ละคนไม่ได้ ประสบปัญหาเดือดร้อนขาดแคลนอะไรมากมายนัก ส่วนการสงเคราะห์นั้นมุ่งช่วยเหลือผู้คนทั่วไปในสังคม โดยไม่เจาะจงว่าจะเป็นมิตรสหายของเราหรือไม่ แต่เขาเป็นผู้ ด้อยโอกาสในด้านต่างๆ หรือบ่ระสบสาธารณภัย จึงมีความ เดือดร้อนมาก ถ้าไม่ได้รับการสงเคราะห์อาจจะดำรงชีวิตอยู่ ด้วยความลำบากหรืออาจจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ อนึ่ง เป็นความจริงที่ไม่มีใครบ่ฏิเสธได้เลยว่า คนเรา แต่ละคนล้วนแตกต่างกันมาตั้งแต่เกิด ทั้งด้านสุขภาพ ความ สมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายและจิตใจด้านฐานะทางเศรษฐกิจ และสังคม ด้านสติปัญญา ตลอดจนความสามารถในการทำ มาหากินเลี้ยงชีวิต บุคคลที่มีความบกพร่องในด้านต่างๆ ด้งกล่าว ย่อมเป็นผู้ด้อยโอกาสในสังคม ถ้าผู้มีโอกาสดีกว่า ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๑๕๘ www.kalyanamitra.org
ไม่ให้การสงเคราะห์ตามสมควร ก็จะกลายเป็นเสมึอนการ กีดกันโอกาสของผู้ด้อยโอกาสให้เหลือน้อยลงไปอีกโดยปริยาย ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ด้อยโอกาสบางกลุ่ม เช่น คนชรา คนทุพพล- ภาพและเด็กกำพร้า ต้องจบสิวิตลงโดยไม่มีใครเหลืยวแล หรือ อาจจะทำให้ผู้ด้อยโอกาสบางกลุ่ม เช่น คนยากจน คนไร้การ สืกษา ก่อปัญหาเดือดร้อนให้แก่สังคมเพื่อความอยู่รอดของ พวกเขา ด้วยการสักขโมย ทำ โจรกรรม จีปล้นหรือก่อ อาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ ดังนั้น การสงเคราะห์บุคคลด้ง กล่าวนี้ จึงเป็นสิงจำเป็นและสำคัญมาก การสงเคราะห์ใน สักษณะนี้จัดว่าเป็นสังคมสงเคราะห์ นอกจากสังคมสงเคราะห์แล้วก็ยังมีการสงเคราะห์ที่ จำ เป็นและสำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่งคือ ศาสนสงเคราะห์ ในทางพระพุทธศาสนานั้น พุทธสาสนิกประกอบด้วย พุทธบริษัท ๔ได้แก่ ภิกษุภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระสัมมา สัมพุทธเจ้าทรงสอนพุทธบริษัท ๔ ให้พื่งพาอาคัยเกื้อกูลกัน และกันกล่าวคือ พระภิกษุและภิกษุณี® มีหน้าที่ต้องคืกษาและ ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เพื่อความรู้แจ้งเห็น จริงสำหรับยึดเป็นหลักในการพัฒนาตนเองไปล่ความหลุดพ้น อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา และสำหรับทำ หน้าที่เป็นต้นแบบ ให้การฝึกฝนอบรมคืลธรรมและคุณธรรม ต่างๆ แก่เหล่าอุบาสก อุบาสิกา ซึ่งต่างต้องมีหน้าที่รับผิด ชอบครอบครัวและสังคมโดยรวมให้ต้งมั่นอยู่ในกุศลธรรมได้ โดยทั่วกันและยั่งยืน ให้เข้าใจและเซึ่อมั่นในพระธรรมคำลัง สอนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎแห่งกรรม ให้เข้าใจ ® แม้ปัจจุบันประเทศไทยไม่มีภิก!^ณี แต่ก็มีสามเณรเป็นจำนวนมาก ๑๕of สัมมาทิฎฐเบื้องต้น www.kalyanamitra.org
ว่าเป็าหมายสิวิตของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์คือการส์งสมบุญ บารมี ด้วยการทำทาน การรักษาคืลและการเจริญภาวนา เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง อันเป็นหนทางเดียวที่นำไปส่ความ หลุดพ้น มิฉะนั้น ก็จะต้องตกอยู่ในวังวนแห่งการเวียนว่าย ตายเกิดเรื่อยไป ซึ่งจะต้องประสบความทุกข์ทรมานในการ ดำ รงชีวิตอย่างไม่รู้จบสิน บรรดาอุบาสก อุบาสิกา หริอญาติโยม เมื่อได้รับรส พระธรรมจากการอบรมสิงสอนของพุทธบุตร จนเกิดปัญญา สามารถพ้ฒนาตน ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในกุศลธรรมแล้ว ก็ต้องแสดงความกตัญฌูกตเวทีและความรับผิดชอบในทาง ธรรมโดยการสงเคราะห์พระภิกษสงฆ์ด้วยปัจจัย ๔พร้อมทั้ง อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ตลอดจนยวดยานพาหนะเพื่อความ คล่องตัวในการให้การอบรมและเผยแผ่ธรรมะของท่าน เพื่อ ให้ท่านสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างกว้างขวางและเกิด ประสิทธิผลสูงสุด การที่ญาติโยมช่วยเหลือเกื้อกูลพระภิกบุ'สงฆ์ นอกจากตนจะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการทำบุญกับ เนือนาบุญแล้ว ยังจะเป็นการทำนุปารุงพระพุทธศาสนาให้ ยืนยาว สำ หรับเป็นที่พื่งที่ระลึกของเหล่าลูกหลานชาวพุทธ สิบไป อีกทั้งยังเป็นวิถีทางที่จะก่อให้เกิดสันติภาพโลกที่แท้จริง ได้อีกด้วย การสงเคราะห์ในลักษณะนี้จัดเป็นคาสนสงเคราะห์ ที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จะตัองให้ความร่วมมีอร่วมใจกัน กระทำอย่างต่อเนื่องสมํ่าเสมอโดยไม่บกพร่อง มิฉะนั้น ใน อีกไม่ช้าการปฏิบัติหน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ก็จะต้องชะงักงันลง นั่นย่อมหมายถึงความหายนะจะถาโถมเช้ามาทำลายสินติสุข ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก www.kalyanamitra.org
ของสังคมโดยรวม ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ชีวิตของเราจะเป็นสุขได้อย่าง ยั่งยืนตลอดไป ถ้าชาวโลกต่างร่วมมือร่วมใจกันทำสังคม สงเคราะห์ และคาสนสงเคราะห์อย่างต่อเนื่องสมํ่าเสมอ ฅ. การยกย่องบูชามีผล การยกย่องบูชาในหัวข้อนี้ หมายถึง การยกย่องบุคคล ที่ประพฤติสุจริต ประพฤติดีปฏิบติชอบ เพื่อประโยชน์สุช ของบุคคลอื่นตลอดจนผู้คนในสังคมส่วนรวม บุคคลที่มี อุปการคุณแก่ด้วเรา (มืมารดาบิดา ครูอาจารย์ และสมณ- พราหมณ์ เป็นต้น)ให้ปรากฏแก่บุคคลทั่วไปในสังคม รวมถึง การจบดีผู้อื่นแทนการจบผิด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าคอย จ้องจ้บถูก คือ พิจารณาหาคุณความดีของผู้อื่นกล่าวคือ เมื่อ เห็นว่าบุคคลใดตั้งอยู่ในคุณความดีสมํ่าเสมอ มืความ อุตสาหะวิริยะในการประกอบสัมมาอาชีวะ จนประสบความ สำ เร็จในชีวิตและหน้าที่การงานเราจะต้องไม่ดีดอิจฉาริษยาเขา แต่ควรข้กซวนกันยกย่องประกาศคุณงามความดีของเขาใหั ปรากฏอย่างกว้างขวาง เพี่อเป็นการเชิดชูใหัเขาเป็นบุคคล ต้นแบบที่ผู้คนในสังคมควรยืดเป็นแบบอย่างในการทำความดี โดยทั่วกัน บุคคลที่ตั้งอยู่ในคุณความดีและมุ่งมั่นบำเพ็ญ ประโยชน์สุขให้แก่ผู้อึ่น ฌึ่อเขาไต้รับการยกย่องบูชาจาก ผู้คนในสังคม เขาย่อมจะมืก่าสังใจและเกิดแรงบันดาลใจที่ จะบำเพ็ญประโยชน์และคุณความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ขึ้งใน ที่สุดก็จะก่อให้เกิดความเจริญกัาวหน้าและประโยชน์สุขแก่ สังคม ประเทศชาติและสังคมโลกโดยรวม ; ©๖® สัมมาทป็ฐฌื้องต้น www.kalyanamitra.org
ในทางกลับกัน ถ้าคนเราไม่รู้จักสร้างนิสัยจับจ้องมอง หาคุณความดีของบุคคลอื่น นอกจากตัวเราจะไม่มีบุคคลที่ เป็นตันแบบแห่งคุณความดี สำ หรับยึดถือปฏิบัติตามแล้ว ยังจะเป็นการสร้างนิสัยของเราให้คอยจับผิดผู้อื่นโดยปริยาย ครั้นเมื่อเห็นบุคคลมีผลงานหรือหน้าที่การงานดีเด่นกว่า เรา ก็จะเกิดความคิดอิจฉาริษยาขึ้นมาทันที พร้อมกันนั้นก็จะ พยายามชี้นำให้ผู้อื่นมีความคิดเห็นเช่นเดียวกันกับตัวเรา ด้วยการวิพากษ์วจารณ์คนดีในเชิงเสียหายต่างๆ นานา สังคมใดที่ผู้คนในสังคมโดยทั่วไปต่างจ้องจับผิดผู้อื่น ชอบวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นในเชิงเสียหาย ไม่มีการยกย่องเชิดชู ให้เกียรติบุคคลที่ม่งมั่นสร้างคุณความดีและประโยชน์สุข ให้แก่สังคมส่วนรวม ติเตียนผู้มีอุปการคุณแก่ตนอยู่เสมอ ในที่สุดผู้คนในสังคมนั้นต่างก็จะอยู่ร่วมกันอย่างไร้เกสามัคคี ไร้เมตตากรุณาอาจถึงขั้นที่บุตรธิดาไม่เคารพเชื่อฟ้งคำสังสอน ของพ่อแม่ หรือบางรายอาจจะกล่าวถ้อยคำถ้าวร้าวต่อบุพการื ส่วนพ่อแม่ก็จะเกิดความอิดหนาระอาใจไม่มีแก่ใจที่จะลังสอน อบรมและอุปการะช่วยเหลือหนํอเนื้อของตน ฝ่ายพี่น้องก็ อยู่ร่วมชายคาเดียวกันอย่างแล้งนํ้าใจ ฝ่ายสามีภรรยาก็มีแต่ เรื่องทะเลาะวิวาทกันอยู่เนืองๆ เป็นด้น ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ชีวิตของเราจะเป็นสุขได้และ ยั่งยืนตลอดไป ถ้าชาวโลกต่างรู้จักยกย่องบูชาคนดีและผู้มี อุปการคุณ เพี่อเป็นการให้กำลังใจกันในการทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป และเพี่อป้องกันการจับผิดอันเป็นเหตุแห่งความร้าวฉาน บั่นทอนกำลังใจและเป็นตัตรูกัน ศร้ทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๑๖๒ s www.kalyanamitra.org
๔. ผลคือวิบากซองกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี ที่ผ่านมาในพระพุทธศาสนา คำ ว่า \"วิบาก\"แปลว่า ผล ส่วนคำว่า \"กรรม\" แปลว่า การกระทำโดยเจตนา ไม่ว่าจะ เป็นการกระทำทางกาย วาจาหรือใจ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำดี หรือทำชั่วก็ตาม จัดเป็นกรรมทั้งสิน สาระสำคัญของสัมมาทิฏฐิข้อที่ ๔ นี้ก็คึอ บุคคลที่ กระทำดีย่อมได้รับผลดีเสมอ ส่วนบุคคลที่กระทำชั่วย่อมได้ รับผลชั่วเสมอ สาระสำคัญของสัมมาทิฏฐิดังกส่าวแล้วนี้ ท่านถือเป็น กฎเหล็กที่ใม่มีบุคคลใดหรือ^เศษใดๆ สามารถลบล้าง แก!ข เปลี่ยนแปลงได้ อีกทั้งไม่มีบุคคลใดรอดพ้นจากกฎเหล็กนี้ ได้เลย แม้เมื่อบรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม ทุก ชีวิตต่างต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของกฎเหล็กนี้ทั้งสิน กฎนี้ จึงมีชื่อเรืยกโดยเฉพาะว่า \"กฎแห่งกรรม\" สิงที่ชาวพุทธและชาวโลกทั้งปวงจะต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ ต่อไปอีกก็คือ ความหมายของกรรมดีและกรรมชั่ว กุศลกรรมบถ ๑๐® กุศลกรรมบถ แปลว่า ทางแห่งกุศลกรรม คือ การกระทำ ที่นบว่าเป็นความดี หรือกรรมดีมี ๑๐ ประการ แบ'งออกเป็น ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ด้งนี้ กรรมดีทางกายมี ๓อย่าง คือไม่ฆ่าสัตว์ไม่ล้กทร้พย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม (ได้แก่การรักษาคืล ๓ ข้อแรกในคืล ๕ ให้บริสุทธิ้บริบูรณ์นั่นเอง) ® จุนทสูตร อัง.ทสก. ๓๘/๑๖๕/๔๒๗(มมก.) ©๖๓ สัมมาทิฎฐิเบื้องต้น www.kalyanamitra.org
กรรมดีทางวาจา มี ๔ อย่าง คือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำ หยาบ ไม่พูดส่อเสิยด ไม่พูดเพ้อเจ้อ (ได้แก่การรักษาคืลข้อ ๔ ในคืล ๕แต่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นอีก๓อย่างให้บริสุทธบริ\\|รณ์) กรรมดีทางใจ มี ๓ อย่าง คือ ไม่โลภอยากได้ของเขา ไม่พยาบาทปองร้าย เห็นชอบตามคลองธรรม (สัมมาทิฏฐิ) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไวในจุนทสูตร® ว่า \"กุศลกรรมบถ ๑๐ประการนี้ เป็นความสะอาด เป็นตัวกระทำให้ (บุคคล) สะอาดด้วย...ก็เพราะ เหตุแห่งการประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ เทวดาทั้งหลายย่อมปรากฏ (ย่อมได้ไป เกิดเป็นเทวดา) มนุษย์ทั้งหลายย่อมปรากฏ (ย่อม ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์อีก) หรือว่าสุคติอย่างใดอย่าง หนึ่งแม้อื่นจึงมี (ย่อมไปเกิดในสุคติเสมอ)\" อกุศลกรรมบถ ๑๐ อกุศลกรรมบถ ๑๐ แปลว่า ทางแห่งอกุศลกรรม คือ การกระทำที่เป็นความชั่วหรือกรรมชั่ว มี ๑๐ ประการ แปง ออกเป็นทางกาย วาจา และใจ ด้งนี้ กรรมชั่วทางกาย มี ๓ อย่าง คือ ฆ่าสัตว์ สักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม (ได้แก่การทำผิดคืล ๓ ข้อแรกในคืล ๕ นั่นเอง) ® อัง.ทสก. ๓๔/๑๖(ร!/๔๓ร:(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ,.s !๙0(£'. www.kalyanamitra.org
กรรมชั่วทางวาจา มี ๙ อย่าง คือ พูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ (ได้แก่การทำผิดคืลข้อ ๔ ในคืล ๕ ชึ่งมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นอีก ๓ อย่าง) กรรมชั่วทางใจ มี ๓ อย่าง คือ คิดโลภอยากได้ของเขา คิดพยาบาทปองร้ายเขา เห็นผิดจากคลองธรรม (มิจฉาทิฏฐิ) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในจุนทสูตร® ว่า \"อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ เป็นความ ไม่สะอาด เป็นตัวกระทำให้(บุคคล) ไม่สะอาด ด้วย...ก็เพราะเหตุแห่งการประกอบด้วยอกุศล กรรมบถ ๑๐ ประการนี้ นรกจึงปรากฏ (ย่อมไป เกิดในนรก) กำ เนิดดิรัจฉานจึงปรากฏ (ย่อมไปเกิด เป็นสัตว์ดิรัจฉาน) เปรตวิสัยจึงปรากฏ (ย่อมไป เกิดเป็นเปรต) หรือทุคติอย่างใดอย่างหนึ่งแม้อื่นจึง มี (ย่อมไปเกิดในทุคติเสมอ)\" จากพุทธดำรัสเกี่ยวกับเรื่อง กุศลกรรมบถ ๑๐ และ อกุศลกรรมบถ ๑๐ นี้ ท่านผู้อ่านย่อมเห็นได้ว่า การ ประพฤติดีประพฤติชอบ หรือการสร้างกรรมดีนั้น มีคุณค่า และก่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อชีวิตของเราอย่างมากมาย มหาศาล ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ในทางกสับกัน การ ประพฤติชั่วหรือสร้างบาปกรรมนั้น มีทุกข์โทษภัยต่อชีวิต ของเราอย่างอเนกอนันต์ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกๆ คนที่จะต้องสร้างแต่ กรรมดี หสีกเลี่ยงการทำกรรมชั่วอย่างเด็ดขาดตลอดชีวิต ® อัง.ทสก. ๓๘/๑๖(11/๔๓๑ (มมก.) ๑๖๕ สัมมาทิฏฐิเบื้องต้น www.kalyanamitra.org
๔. โลกนื้มี ตามหลักพระพุทธศาสนา คำ ว่า \"โลก\" หมายถึง สิงที่ ทรุดโทรม ย่อยยับ สูญสลายได้ แบ่งออกเป็น ๓ ชนิด คือ ๑) สังขารโลก ได้แก่ ร่างกายของคนและลัตว์ ทั้งหลาย อันบ่ระกอบด้วยกายกับใจ ๒) สัตรโลก หมายถึง หมู่ลัตว์ทั้งหลาย ได้แก่ เทวดา มาร พรหม มนุษย์ เบ่รต อสุรกาย ดิรัจฉาน และลัตว์นรก ฅ) โอกาสโลก หมายถึง สถานที่ที่ลัตวโลกได้ อาด้ย เป็นที่อยู่ ที่ทำ มาหากินและเป็นที่ สร้างทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ได้แก่ ผืน แผ่นดิน แผ่นนํ้า และแผ่นฟ้า โอกาสโลกนี้ บางครั้งเรียกว่า ภาชนโลก เมื่อพิจารณาตามกฎแห่งกรรมแล้ว คำ ว่า \"โลก\" ใน ลัมมาทิฎฐิข้อที่ ๕ ย่อมหมายถึง สัตรโลก และคำว่า โลกนื้มี ย่อมหมายถึง โลกนื้มีที่มา กล่าวคือลัตวโลกแต่ละชนิด เช่น มนุษย์แต่ละคน ซึ่งล้วนแตกต่างกันไบ่ในด้านต่างๆ นั้น ย่อม มีกรรมเป็นที่มาคือมีกรรมในอดีตเป็นเหตุปัจจัยสำคัญบันดาล ให้แตกต่างกันไบ่อยู่ขณะนี้ ๖. โลกหน้ามี คำ ว่า\"โลก\"ในลัมมาทิฎฐิข้อที่ ๖ นี้ ย่อมหมายถึง สัตว โลกเช่นเดียวกับลัมมาทิฎฐิข้อที่ ๕ และที่ว่า โลกหน้ามี ย่อม หมายถึง โลกหน้ามีที่ไป คือ ไบ่เกิดในสุคติหรีอทุคตินั่นเอง ขึ้นอยู่กับผลกรรมที่ตนทำไว่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๑๖๖ www.kalyanamitra.org
บุคคลที่ประกอบแต่บุญทุศล คือ ทำ ทาน รักษาคืล และ เจริญภาวนาอย่างสมํ่าเสมอ เมื่อละโลกย่อมไปส่สุคติ ใน ทำ นองกลับกัน บุคคลที่ประกอบแต่บาปอกุศลหรือสร้าง กรรมชั่วอยู่เสมอๆ เมื่อละโลกย่อมไปส่ทุคติอย่างแน่นอน อนึ่ง จากพุทธพจน์ที่ยกมาแสดงไว้ ในสัมมาทิฏฐิข้อ ที่ ๔ นั้น ย่อมแสดงว่า พระพุทธองค์ ทรงยีนยันว่าโลกหน้า คือ นรกและสวรรค์มีจริง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง อีกทั้ง ทุกคนต้องเป็นที่พึ่งของตนเอง ไม่มีใครต่วยไห!ปส่สุคติไต้ นอกจากบุญกุศลที่ตนทำไว้เองเท่านั้น ส่วนบุคคลที่ต้องไป^ ทุคติ ก็เพราะบาปอกุศลที่ตนสร้างไว้เอง ไม่มีใครกลั่นแกล้ง ให้เป็นเช่นนั้น ๗. มารดามี สัมมาทิฏฐิข้อที่ ๗ นี้ มีความหมายว่า มารดาทุกคนมี พระคุณอย่างยิ่งต่อบุตรธิดาของตน พระคุณที่สำคัญที่สุดคือ การให้ต้นแบบร่างกายที่เป็นมนุษย์ พระคุณสำคัญอันดับรอง ลงมาคือการให้ชีวิตแก่บุตรธิดา ด้วยการอุ้มครรภ์มาจน กระทั่งคลอด ต่อจากนั้นก็ให้การเลี้ยงดูประคบประหงมเป็น อย่างดีด้วยความรักและความเมตตากรุณา บุตรธิดาจึงมี ชีวิตและเจริญเติบโตขึ้นตามลำดับๆ ทั้งกายและใจ ในขณะเดียวกันด้วยความรัก ความห่วงใย และความ ปรารถนาดี มารดาก็ให้การอบรมลั่งสอน ปลูกฝืงนิสัยที่ดีงาม ต่างๆ พร้อมทั้งสนับสนุนให้คืกษาเล่าเรืยน เพี่อให้มีความรู้ ทั้งทางโลกและทางธรรม ตลอดจนวิชาชีพในสถาบันการ คืกษาระดับต่างๆ ©๖๗ สัมมาทํฎฐํเบื้องต้น www.kalyanamitra.org
ที่สำ คัญก็คือ พระคุณของมารดาจะประจักษ์ชัดในใจ ของลูกก็ต่อเมื่อมารดาฟ็นผู้ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ ๔ ข้อแรกเป็น อย่างใ!เอยให้ลูกเห็นอย่างสมํ่าเสมอ ลูกก็จะได้รับการปลูกฝ็ง เรียนรู้สัมมาทิฏฐิให้เข้าไปอยู่ในใจโดยอัตโนมัติ แต่หาก มารดามิได้ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ ๔ ข้อแรกเป็นอย่างน้อยต่อลูก หรีอเป็นตัวอย่างแก่ลูก มารดาท่าน■นั้นจัดว่าเป็นบุคคลที่ให้ โทษแก่ลูกเพราะเท่ากับสอนให้ลูกเป็นมิจฉาทิฎฐิโดยอัตโ■แมัติ เนื่องจากลูกขาดต้นแบบคนดีนั่นเอง ด้งนั้น ความรักและความร้บผิดชอบของมารดาที่มีต่อ บุตรธิดาของตนจึงอยู่ที่การปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ ๔ข้อแรกต่อลูก ด้วยถือว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญของบุพการีที่จะต้องปฏิบัติต่อ บุตรธิดาของตน และนื่คือพระคุณของมารดาที่บุตรธิดา ทั้งหลายพึงแสดงความกตัญฌูกตเวทีต่อมารดาของตน ใน ฐานะผู้ให้ร่างกาย ให้ชีวิต และให้จิตใจที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ๘. บิดามี สัมมาทีฏฐิข้อที่ ๘นี้ ก็มีความหมายท่านองเดียวกันกับ สัมมาทิฏฐิข้อที่ ๗ คือ บิดามีพระคุณต่อบุตรธิดาของตน จะ ต่างกันก็ตรงที่บิดาไม่ได้อุ้มครรภ์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้า ไม่มีบิดา บุตรธิดาก็ไม่มีโอกาสถือกำเนิดขึ้น ด้งนั้น พระคุณ สำ คัญยิ่งที่บิดามีต่อบุตรธิดาก็คือการให้ต้นแบบที่เป็น ร่างกายมนุษย์รองลงมาก็คึอให้ชีวิต และบิดาจะฟ็นผู้ให้จิตใจ ที่ดีงามแก่ลูกไต้ก็ต่อเมื่อเป็นผู้ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ ๔ ข้อแรก เป็นอย่างน้อยต่อลูกนั่นเอง ใจของลูกจึงจะสัมผัสได้ว่า ความดีเป็นอย่างไร และนื่คือที่มาของพระคุณบิดา ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก www.kalyanamitra.org
อย่างไรก็ตาม แม้ในกรณีที่บิดามิได้ให้การอุปการะ บุตรธิดา ในฐานะบุพการีแต่ก็ยังมีพระคุณอย่างยิ่งใหญ่ต่อ บุตรธิดาอยู่นั่นเอง สมควรที่บุตรธิดาทุกคนจะต้องแสดง ความกต้ญญกตเวทีต่อบิดาของตน ๙. สัตว์ผุด๓ดซึ้'แมี คำ ว่า สัตว์ผุด๓ดขึ้นหมายถึง การถือกำเนิดของสัตว- โลกนอกมนุษยโลกขึ้งผุดเกิดขึ้นแล้วโตทันที มีต้พท์ทางธรรม เรียกว่า \"โอปปาติกะกำเนิด\" หรีอ \"อุปปาติกะกำเนิด\" โดย ทั่วไปมักพูดกันว่า \"โอปปาติกะ\" เป็นการเกิดโดยไม่ต้องอาต้ย พ่อแม่ แต่อาต้ยแรงกรรมที่ตนสังสมจากการปฏิบัติหรีอไม่ ปฏิบัติตามสัมมาทิฎฐิข้อ ๑-๔ กับข้อ ๗ และ ๘ จึงมีทังแรง กรรมฝ่ายลบและฝ่ายบวก แรงกรรมฝ่ายบวกจะนำไปถึอ กำ เนิดในสุคติภพ ได้แก่ เทวดา พรหมและมนุษย์ แรงกรรม ฝ่ายลบจะนำไปถึอกำเนิดในทุคติภพ ได้แก่ นรก ดิรัจฉาน เปรต และอสุรกาย ๑๐. ในโลกนี้มีสมณพราหมณ์ ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติ ชอบ ชนิดที่ทำให้แจ้งด้วยครามเยิ่ง แล้วประกาศโลกนีและ โลกหน้า สัมมาทิฏฐิข้อสุดท้ายนี้ หมายความว่า สมณพราหมณ์ หรีอนักบวชผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ตามทำนองคลองธรรม อย่างบริสุทธิบริบูรณ์ ถึงขั้นสามารถรู้แจ้งยิ่งเอง หรีอกล่าว อีกอย่างหนึ่งว่า สามารถตรัสรู้สัจธรรมทั้งปวงด้วยตนเอง เมื่อตรัสรู้แล้วก็มีมหากรุณาตั้งใจเผยแฝสัจธรรมเหล่านั้น ให้ชาวโลกได้รับรู้ อีกทั้งยังยืนยันเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด 0๖๙ ; สัมมาทิฏฐิเบื้องพ้น www.kalyanamitra.org
อันได้แก่ โลกนี้มีที่มา โลกหน้ามีที่ไป รวมทั้งเรื่องโอปปาติกะ ว่าเป็นเรื่องจริง สมณพราหมณ์องค์แรกที่สามารถตรัสรู้ด้วยตนเอง โดยไม่มีครูอาจารย์สังสอน คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วย พระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ที่จะช่วยสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นทุกข์ พระองค์จึงทรงสังสอนสัจธรรมที่ตรัสรู้!ด้นั้น ให้แก่สมณ- พราหมณ์และผู้สนใจใคร่เป็นสาวกทั้งหลายโดยไม่ทรงปิดบัง อะไรทั้งสิน ด้วยทรงปรารถนาจะให้สัตว์โลกทั้งหลายพ้นทุกข์ ตามพระองค์ไปด้วย บรรดาสาวกที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาซึ่งเต็มไปด้วย เหตุและผลต่างก็มีศรัทธาที่จะลงมึอปฏิบัติตาม ครั้นเมื่อ ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิและมรรคมีองค์ ๘ มากขึ้นแล้ว ก็ได้ ประจักษ์ในคุณประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ของพระธรรมคำสัง- สอนของพระพุทธองค์ยิ่งขึ้น จึงต่างทุ่มเทชีวิตและจิตใจ ประพฤติปฏิบัติกันอย่างหน้กหน่วงจริงจังชนิดเอาชีวิตเป็น เดิมพ้น ยิ่งปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ มากรอบขึ้น รอบแล้ว รอบ เล่า สัมมาทิฏฐิในใจของผู้ปฏิบัติก็ทวีความหนักแน่นมั่นคง ยิ่งขึ้นและพ้ฒนาขึ้นเป็นตถาคตโพธิสัทธาอย่างไม่คลอนแคลน อีกต่อไป การปฏิบัติด้วยตถาคตโพธิสัทธาชนิดเอาชีวิตเป็น เติมพันเช่นนั้น ทำ ให้มีผู้บรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหนด์ฑน มากมาย พระอรหันตสาวกเหล่านั้น แม้มิได้ตรัสรู้ด้วยตนเองดัง เช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็ต้องลงมีอปฏิบัติด้วยตนเอง ตามพระธรรมคำสังสอนของพระพุทธองค์ ด้วยใจมั่นคงใน ตถาคตโพธิสัทธา เมื่อประสบความหลุดพ้นแล้ว พระอรหันต- ศรทธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก , ©๗0 . www.kalyanamitra.org
สาวกทั้งหลายต่างก็ดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์ ด้วยการเผยแผ่พุทธธรรมให้ขยายกว้างออกไป เพื่อ ประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์ทั้งปวงจึงทำให้พระพุทธศาสนา ยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นเวลานานกว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว สาระสำคัญของล้มมาทิฏฐิข้อสุดท้ายนี้ อาจสรุปได้ว่า พระสัมมาล้มพุทธเจ้านั้นมีจริง บุคคลที่เกิดตถาคตโพธิสัทธา แล้วตั้งใจทุ่มเทชีวิตปฏิบัติตนถูกต้องบริสุทธบริบูรณ์ตาม พระธรรมคำล้งสอนของพระพุทธองค์ ทำ ให้สามารถบรรลุ อรหัตผลเป็นพระอรหันตสาวกนั้นมีจริง สรุป สำ หรับล้มมาทิฏฐิเบื้องต้น ๑๐ ประการที่กล่าวมานี้ แท้จริงล้มมาทิฏฐิข้อ ๑-๔ ก็คือ หสักการดำเนินชีวิตให้ เป็นสุขตามอัตภาพในขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ส่วนล้มมา ทฏฐิข้อ ๕-๑๐ ก็คือ ความจริงประจำโลกที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้ และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ เพื่อว่าจะสามารถดำเนินชีวิต ตามล้มมาทิฏฐิ ๔ ประการแรกไต้ถูกต้องสมบูรณ์แบบ อันจะ เป็นปัจจัยให้ตถาคตโพธิล้ทธาเพื่มพูนขึ้นในจิตใจตนตามสำต้บ อนึ่ง บุคคลใดก็ตามที่มีตถาคตโพธิล้ทธาฝืงแน่นอยู่ ในจิตใจ พร้อมกับทุ่มเทชีวิตจิตใจปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ รอบแล้วรอบเล่า ย่อมมีโอกาสบรรลุมรรคผลไปตามสำคับ ถ้ายังไม่สามารถบรรลุความหลุดพ้นในชาตินี้ ก็จะไต้โอกาส ล้งสมบุญกุศลไว้สำหรับภพชาติต่อๆ ไป และที่แน่นอนคือ จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างล้นติสุข เพราะไต้ล้งสมบุญกุศลอยู่ ตลอดเวลา eVtfd สรุป www.kalyanamitra.org
แต่หากบุคคลใดปราศจากความเข้าใจอันเป็นสัมมา- ทิฏฐิแล้ว บุคคลนั้นย่อมไม่เข้อเรื่องกฎแห่งกรรม อันเป็นเหตุ ให่ไม่เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม อันเป็นทางหลุดพ้นปวงแห่ง กรรมอย่างถาวรตามมาด้วย เขาย่อมไม่เชื่อว่า พระสัมมา- ล้มพุทธเจ้ามีอยู่จริง ย่อมทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่มี \"มิจฉาทิฏเ\" อย่างแรงกล้า และเป็นต้นตอแพร่ความเป็น มิจฉาทิฎฐิไปยู่ผู้อึ่นในล้งคม ชื่งถึอได้ว่าเป็นผู้ปีดกั้นหนทาง แห่งการทำความดีของผู้อึ่นไปโดยปริยาย เพราะเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า สัมมาทิฎฐิเบื้องต้นทั้ง ๑๐ ประการ เป็นปอเกิดแห่งตถาคตโพธิสัทธา ศรัทธา รุ่งอรุณแท่งสันตภาพ'bก ortio www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 513
Pages: