นั่นคึอพระธรรมวินัยก็จะยืนยงไม่มีสูญสลาย ขณะ เดียวกันตถาคตโพธิสัทธา ก็จะงอกงามขึ้นในจิตใจผู้คนรุ่น แล้วรุ่นเล่า แมีใม่เคยใด้เห็นพระองค์จริงของพระสัมมา สัมพุทธเจ้าก็ตาม แต่ก็ใด้เห็นพระองค์อยู่ในใจ เนื่องจากการ เจริญมรรคมีองค์ ๘รอบแล้วรอบเล่าอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เนื่องจากมีพุทธบริษ้ทอยู่มากมาย แต่ละคนล้วนมีภูมิรู้ ภูมิธรรม หน้าที่การงานความรับผิดชอบแตกต่างกันออกใป พระพุทธองค์จึงทรงแสดงอปริหานิยธรรมใวิให้เหมาะสำหรับ ทั้งฆราวาสและภิกไ^งฆ์ อปริยานิยธรรมสำหร้บฆราวาสนั้นมีชีอว่า ราชอปริหา- นยธรรม บางแห่งก็เรียกชื่อว่า วัชชีอปริหานิยธรรม เพราะ พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเรื่องนี้เป็นครั้งแรกแก่เจ้าวัชชี นับแต่นั้นมาพวกเจ้าวัชชีก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเสมอมา เป็นเหตุให้แคว้นวัชชีมีความเจริญรุ่งเรีองมาโดยตลอด และ มีฤทธมีอาา๓าพมาก ถึงฃั้นที่พระเจ้าอชาตสัตรู พระราชา แห่งแคว้นมคธ มีพระประสงค์จะโค่นล้มให้พินาศย่อยยับ ทว่า ก่อนที่จะยกทัพใปตีแคว้นวัชชี พระเจ้าอชาติสัตรู ใด้รับสังให้วัสสการพราหมณ์ มหาอำมาตย์ใปกราบทูลถาม ความเห็นจากพุทธองค์เสียก่อน ในที่สุดมหาอำมาตย์ก็ใด้ ข้อสรุปเพื่อกสับใปทูลพระราชาของตนว่า แม้พวกเจ้าวัชชีมี อปริหานัยธรรมเพียงข้อเดียว ใม่จำเป็นต้องมีครบทั้ง ๗ ข้อ ก็มีแต่ความเจริญอย่างเดียว ใม่มีความเสีอมเลย ดังนั้น จึง ใม่ควรทำสงครามกับพวกเจ้าวัชชี นอกจากจะใช้วิธีปรองดอง ทางการทูต หรีอใม่ก็ทำให้แตกสามัคคีกัน ๓๒๓ • . ธรรมสำหรับรักษาพระธรรมวํนัยให้ยนยง www.kalyanamitra.org
ส่วนอปริหานิยธรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์ มีชึ่อว่า ภิกขุ อปริหานิยธรรม พระษุทธองค์ทรงแสดงไว้ทั้งหมดถึง ๖หมวด แต่ละหมวดใน ๕หมวดแรก ประกอบด้วยองค์ ๗ ส่วนหมวดที่ ๖ มีเพียง ๖ องค์ หมวดแรกเหมาะสำหรับสงฆ์ในระดับผู้ บริหารโดยตรง อย่างไรก็ตามทุกหมวดเป็นสิงที่ต้องปฏิบัติ เพื่อพัฒนาตนไป^ความหลุดพ้นเพื่อสิบทอดตถาคตโพธิสัทธา เพื่อความเจริญยั่งยืนของพระพุทธศาสนา และเพื่อความสุข ความสมัครสมานสามัคคีของสงฆ์ ด้งพุทธพจน์ว่า สุขา สงฺฆสฺส สามคุคี ความพร้อมเพียงของหยู่คณะให้เกิดสุข® อนึ่ง การจัดประขุมรวมสงฆ์ทั้งตำบล ทั้งอำ๓อ ทั้ง จังหวัด ทั้งประเทศ หรือจนกระทั่งทั่วโลก ย่อมถึอว่าเป็นการ ปฏิบัติตามอปริหานิยธรรมในอีกสักษณะหนึ่ง ซึ่งจะสามารถ ทำ ให้เกิดพลังสามัคคีอย่างเหนียวแน่นขึ้นในองค์กรสงฆ์ ย่อมทำให้องค์กรสงฆ์เจริญรุ่งเรือง มั่นคงแข็งแกร่งตลอดไป เพราะบรรพชิตทั้งมวลต่างมีทิฏฐิ คีล สมาธิ ปัญญา ไปใน ทางเดียวกันอยู่ในระดับใกล้เคียงกันไม่มีความเห็นขัดแย้งกัน ต่างมีความสงบด้วยกาย วาจา ใจ มีคีลาจารวัตรงดงาม น่า ประทับใจยิ่งนัก มีความเมตตา กรุณาอยู่เป็นนิจ อีกทั้งทรง ภูมิรู้ภูมิธรรมสูงพอที่จะอบรมลังสอนมหาชนให้รู้จักวิธีปิดนรก เปิดสวรรค์ให้แก่ตนเองอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นก็จะช่วยให้ผู้ที่มาไม่ทันพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประจักษ์ขัดว่าพระบรมศาสดาของเรานั้นทรงพระคุณ ประเสริฐอย่างยากที่จะหาศาสดาองค์ใดในโลกปัจจุบันเทียบได้ ® อานันทสังฆสามัคคีสูตร อัง.ทสก. ๓๘/๔๐/๑๓๙(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๓๒๙ www.kalyanamitra.org
จึงเกิดตถาคตโพธิสัทธาได้ง่าย และพากเพียรปฏิบัติมรรคมี องค์ ๘ อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ซึ่งนอกจากจะทำให้ศรัฅธา ของแต่ละคนทวีขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังจะสามารถแผ่ขยายออกไป ทั่วสังคมอย่างไม่หยุดยั้งอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าสงฆ์ย่อหย่อนในการปฏิบัติ อปริหานิยธรรม ต่างฝ่ายต่างไม่เอื้ออาทรซึ่งกันและกัน โดย เฉพาะหมู่สงฆ์ใดที่ถูกด้ตรูภายนอกคุกคาม เบียดเบียน ทำ ลายล้าง ก็ไม่ได้รับความเอื้อเพีอจากสงฆ์กลุ่มอื่นที่ยังอยู่ดี มีสุข ไม่ช้าไม่นานรัดพระทุทธศาสนาก็จะร้างไปทีละวัดๆ ใน ที่สุดพระทุทธศาสนาก็จะล่มสลายหมดสินไปจากโลกนี้ ดังนั้นชาวทุทธทั้งหลายควรทำความเช้าใจให้ถูกต้องว่า อายุของพระทุทธศาสนานั้นขึ้นอยู่กับตถาคตโพธิสัทธาใน จิตใจของชาวทุทธทุกคน ตราบใดที่ชาวทุทธยังมุ่งมั่นปฏิบัติ มรรคมีองค์ ๘ อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตราบนั้นพระทุทธ ศาสนาก็จะมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคงแข็งแกร่ง ใครก็ตามที่ชอบ คิดหรือชอบถามว่าพระทุทธศาสนาจะมีอายุยาวนานไปอีกเท่า ไหร่ จะมีอายุถึง ๕,๐๐๐ ปี ด้งที่เล่าขานกันมาจริงหรือไม่ คงจะได้คำตอบที่ชัดเจน ณ ทีนี้แล้ว คุณประโยชน์ของอปริหานิยธรรม การปฏิบัติตามราชอปริยธรรมซึ่งเป็นอปริหานิยธรรม สำ หรับฆราวาส ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมายต่อ แคว้นรัชชีและเจ้ารัชชีด้งปรากฏอยู่ในมหาปรินิพพานสูตร ย่อมเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณประโยชน์อย่างมหาศาลของการ ปฏิบัติตามอปริหานิยธรรม ๓๒๕ - คุณประโยชน์ของอปริหานัยธรรม www.kalyanamitra.org
สำ หรับภิกษุอปริหานิยธรรมนั้น ย่อมก่อให้เกิด ประโยชน์อย่างกว้างขวางยิ่งกว่าราชอปริหานิยธรรมอย่าง มากมาย ซึ่งอาจกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้ ๑. สามารถรักษาพระธรรมวินัยให้ดำรงอยู่ตลอดไป นานเท่านาน และสามารถทำหนัาที่แทนพระบรมศาสดาสัมมา สัมษุทธเจ้าได้เป็นอย่างดี ๒. พระธรรมวินัย ไม่วิบัติ ไม่ผิดเพี้ยน เปลี่ยนแปร ไปเป็นสัทธรรมปฏิรูป ๓. กระตุ้นให้พุทธบริษัทเกิดตถาคตโพธิสัทธา และผู้ ที่มีตถาคตโพธิสัทธาเป็นโปรแกรมติดอยู่ฃันธสันดานข้ามภพ ข้ามชาติมาแล้ว ตถาคตโพธิสัทธานั้นก็จะแก่กล้ายิ่งขึ้น ๔. พุทธบริษัทต่างมีก่าสังใจปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ๕. พระเถระผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรม มีก่าสังใจในการท่า หนัาที่กัลยาณมิตรยิ่งขึ้น ท่าให้ต้นแบบคนดีในสังคมทวี จำ นวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ๖. จำ นวนสัมมาทิฏฐิบุคคลในสังคมย่อมเพิ่มมาก ขึ้นโดยสำดับ พร้อมกันนั้น จำ นวนมิจฉาทิฎฐิบุคคลในสังคม ย่อมลดลง ๗. นิสัยรักดี รังเกียจชั่ว จะเป็นโปรแกรมติดอยู่ใน ขันธสันดานของผู้ปฏิบัติตามหสักอปริหานิยธรรมอย่าง เหนียวแน่นมั่นคงข้ามภพข้ามชาติ ๘. เป็นการล่งต่อไม้ผสัดไปยังพระพุทธเจ้าที่จะมา ตรัสรู้!นอนาคต ฯลฯ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๓๒๖ www.kalyanamitra.org
การคัดสรรอปริหานิยธรรม สำ หรับเหล่าพุทธบริษ้ทสมัยหลังทุทธกาลซึ่งส่วนมากยัง มีภูมิรู้ภูมิธรรมไม่แตกต่างกับบุคคลในกลุ่มปทปรมะ เพียง สำ พังตนเอง ก็ยังยากที่จะป้องกันตนให้พันจากอำนาจของ มารได้ด้งนั้นการปฏิบัติกิจวัตร กิจกรรม และพิธีกรรม ต่างๆ จะต้องร่วมมีอร่วมใจกันปฏิบัติเป็นทีม จึงจะพอรอดตัว ด้ง คำ ขวัญว่า \"พุทธบริชฑต้องฟ้นหนึ่งเดียวกัน\"คือไม่แตกกลุ่ม กัน เพราะถ้าแตกกลุ่มกันพุทธบริษัทเองนั่นแหละ จะกลาย เป็นมารขัดขวางการบรรลุธรรมของหยู่คณะ แต่ถ้า พุทธบริษัทมีความสามัคคืพร้อมเพรียงกัน ย่อมนำความน่า ศรัทธาเลื่อมใสมาลุ่ตนเอง และผู้พบเห็นได้โดยง่าย โดยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องเลือกพิจารณาอปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ หมวดนั้นให้รอบคอบก่อนนำมาประพฤติปฏิบัติอย่าง เหมาะสม เพี่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด สิล ๕ สนับสนุนอปริหานิยธรรม เมื่อพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการแล้วย่อมเห็นได้ว่าการ ที่พระล้มมาล้มพุทธเจ้าตรัสเรื่องโทษของคนทุคืล ๕ ประการ และอานิสงส์ของคใ^คืล ๕ ประการ ก็เพี่อชี้ให้เห็นว่า การ รักษาคืล ๕ อย่างบริสุทธบริบูรณ์และสมํ่าเสมอคือเครื่องมือ สำ คัญอย่างหนึ่งที่สนับสนุนการปฏิบัติอปริหานิยธรรม ทั้งนี้ เพราะผู้คนจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้ นอกจากจะต้องมี ทีฏฐิเสมอกันแล้วยังต้องมีคืลเสมอกันอีกด้วย ๓๒๗ สืล ๕ สนับสนุนฮปรํหานิยธรรม www.kalyanamitra.org
การที่สังคมโลกมีปัญหารุ่นวายตลอดมา โดยเฉพาะ สังคมไทยที่รุ่นวายอย่างยิ่งอยู่ทุกวันนี้ นอกจากจะมีความ แตกต่างกันในเรื่องทิฏฐิแล้ว ความแตกต่างในเรื่องสืลนี่เอง ที่เป็นตัวเร่งให้ความแตกต่าง ความขัดแย้ง ในสังคม ทวีความรุ่มร้อนรุนแรงด้วยอำนาจกิเลสในจิตใจ วัตอุประสงคไนการเล่าเรื่องมาร การที่พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องมารนั้นย่อมแสดงให้เห็น ว่ามารนั้นมีอยู่หลายพวกหลายกลุ่ม แม้พระพุทธองค์จะทรง ชนะมารแล้ว แต่ก็ทรงชนะอย่างเด็ดขาดเฉพาะมารภายใน คึอกิเลสมารเท่านั้น ยังใม่ทรงสามารถชนะมารกลุ่มอื่นใด็โดย เด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งม้จจุมาร คือความตาย แม้พระพุทธองค์จะเคยทรงชนะพญามารและเสนามาร ในวันที่จะตรัสรู้มาแล้ว แตกเป็นการชนะเพียงชั่วคราวเท่านั้น และมารนี่เองที่ตามรบกวนรังควานจนเป็นเหตุให้ต้องเสด็จ ดับขันธปรินิพพานก่อนกำหนดอายุกัปถึง ๒๐ ปี มารคือศัตรูเายของนักสร้างบารมื พระธรรมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ4งปรากฏอยู่ ในพระสูตรต่างๆ นั้น จะเห็นใต้ว่า พระพุทธองค์มิใต้ตรัส เทศนาเกี่ยวกับเรื่องมารอย่างเป็นกิจสักษณะ ดังเช่นในมหา ปรินิพพานสูตรเลย ทั้งๆ ที่มารใต้ตามรังควานเหล่าพุทธ สาวกอยู่เป็นระยะๆ เสมอมา แม้พระโมคคัลลานะ ซึ่งเป็น พระอรหันต์ ก็ย้งถูกมารใจบาปเข้าใปสิงอยู่ในท้อง ต้งมี เรื่อง สรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก (ท๒C* www.kalyanamitra.org
ราวปรากฏอยู่ในมารตัชชนียสูตร® ซึ่งมีเนื้อความโดยย่อ ดังนื้ สมัยหนึ่งขณะที่พระโมคคัลลานะเดินจงกรมอยู่กลางแจ้ง รู้สิกผิดปกติว่า เหมีอนมีของหนักๆ อยู่ในท้อง ในลำไท้ใหญ่ ของท่านเอง จึงหยุดเดินจงกรม กลับเข้าในวิหาร นั่งพิจารณา สำ รวจตัวเอง จึงทราบว่ามีมารใจบาปเข้าไปสิงอยู่ และทราบ ต่อไปว่า มารนั้นเป็นหลานของท่านในชาติก่อนๆ จึงเรียกให้ มารออกมา เมื่อมารนั้นออกมายืนแอบข้างประดู ท่านจึง เทศน์สอนมีสาระสำคัญ ดังนื้ ๑. สำ คับญาติให้พิงว่า ในอดีตชาติ ท่านเคยเกิดเป็น มารชื่อ ทูสิ มีนัองสาวชื่อกาลี น้องสาวมีบุตรคนหนึ่ง คึอมาร นั้น ท่านจึงเป็นญาติกับมารนั้น ๒. เล่าอดีตกรรมของท่านในชาติที่เกิดเป็นมารชื่อทูสิ ว่า ได้เคยทำร้ายพระอริยสาวกชื่อ พระวิธุระ ผู้เป็นอัครสาวก ของพระพุทธเจ้า พระนามว่า กฤลันธะ และทำความเดีอด ร้อนแก่พระสงฆ์ผู้ทรงดีล จึงเป็นเหตุให้ตกนรกหมกไหม!ด้ รับทุกขเวทนาแสนสาห้ส อยู่ในมหานรกหลาวเหล็กชื่อ ปัจจ้ตตเวทนียนรกเป็นเวลาหลายพันปีพ้นจากมหานรกนั้นแล้ว หมกไหม้อยู่ในอุสสทนรก ซึ่งเป็นบริวารของมหานรกนั้นอีก หมื่นปี ๓. ท่านจึงขอให้มารนั้นอย่างได้ทำร้ายพระอริยสาวก เช่นท่าน เพราะจะส่งผลไหไปตกนรกหมกไหม้เหมีอนที่ท่าน ได้รับมาแล้ว สรุป ผลปรากฏว่า มารนั้นร้ลีกเลียใจ แล้วหายตัวไป ® ม.ยู. ๑๒/๕๐๖/๕๔๕(มจร.) .; mtoar;^. มารสือสัต^ยของนักสร้างบารมี www.kalyanamitra.org
นอกจากจะตามรังควานเหล่าพุทธสาวกด้วยการเข้าสิง แล้วมารยังเข้าสิงพรหม เพื่อให้กระทำตามที่ตนต้องการอีกด้วย ด้งมีเรื่องราวปรากฏอยูในพรหมนิฟ้นตนิกสูตร® รื่งมีเนื้อความ โดยย่อ ด้งนื้ สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระทัยว่า ท้าวพกพรหมผู้เป็นมหาพรหมมีความเข้าใจผิดว่า ทุกชีวิตใน พรหมโลกเป็นนิจจัง คือไม่เกิด ไม่แก'ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ เป็นสถานที่ปราศจากทุกข์โดยสินเชิง พระพุทธองค์จึงเสด็จ ไปยังพรหมโลก เพื่อโปรดท้าวพกพรหมให้เข้าใจถูกต้องว่า ทุกชีวิตในพรหมโลกเป็นอนิจจัง คือยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ยังต้องตกอยูในความทุกข์ทั้งสิน ขณะนั้น มารใจบาปได้เข้าสิงพรหมปาริสัชชะองค์หนึ่ง ให้กล่าวยุยงพกพรหม มิให้เชื่อพระดำรัสของพระพุทธองค์ พร้อมทั้งให้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า พกพรหมเป็นผู้สร้างโลก เป็นบิดาของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีใครกล้าขัดขืนอำนาจได้ พร้อมทั้งให้ลู่สำทับว่า เคยมีสมณพราหมณ์ที่กล่าวตำหนิ ธาตุดิน นํ้า ไฟ ลม ภูต เทวดา พรหม และพรหมโลก เมื่อละ โลกไปแล้วก็ไปล่ทุคติ ส่วนสมณพราหมณ์ที่กล่าวสรรเสรัญ สิงเหล่านื้ล้วนไปล่สุคติ เมื่อละโลกไปแล้ว พระพุทธองค์ จึงตรัสกับมารนั้นว่า พระองค์ทรงรู้ว่า เป็นมาร อย่านึกว่าไม่รู้ แม้มหาพรหมและบริวารทั้งปวง ก็ตก อยู่ในอำนาจของมาร แต่พระองค์มิได้อยู่ในอำนาจนั้น ฯลฯ ® ม. ยู. ๑๒/๕๐๑/๕๓๗(มจร.) ศรัทธา รุ่งอรุณแพ่งสันติภาพโลก (ท๓๐ www.kalyanamitra.org
การที่พระพุทธองค์ไม่ใคร่ได้ตรัสเรื่องมารบ่อยนัก ทั้งๆ ที่มารรบกวนเหล่าพุทธสาวกมาตลอด ก็เพราะพระองค์ทรงมี อา'แภาพบ่กป้องคุ้มครองเหล่าพุทธสาวกให้พ้นภัย เมื่อถูก มารใจบาบ่รบกวนได้ ล่วนบรรดาอรห้นตสาวกก็มีฤทธ อา14ภาพรู้ทั'นมาร สามารถขับไล่มารให้เลิกรบกวนได้ แต่หลัง จากพุทธบ่รินิพพาน เหล่าพุทธสาวกที่ยังมีภูมิรู้ภูมิธรรมตํ่า จะรอดพ้นความชั่วร้ายของมารได้อย่างไร เพราะเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสแสดงเรื่องมารไว้ ในมหาบ่รินิพพานสูตร เ'ที่อให้เหล่าพุทธสาวกทั้งหลายได้ ตระหนักถึงภัยอันตรายจากเหล่ามารในภายหน้า และการที่จะ ป้องกันตนเองได้สำเร็จ มีอยู่วิธีเดียวเท่านี้น คือ ต้องเอาถึวิต เป็นเดิมพันในการปฏิบติตามพระธรรมวินัย มิฉะนั้น ก็จะเอา ตัวไม่รอด อนึ่ง จากห้วข้อเรื่องมารกราบพูลให้บ่รินิพพาน ย่อมมี เพิยรมรรคมิองคํ ๘ อย่างอุกฤษฏ์แลิว ย่งจะต้องสามารถ บ่ราบบ่รับ่วาท ที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยชอบธรรมได้อีกด้วย ปรัปวาท หมายถึง คำ กล่าวโทษหรือคำกล่าวโจมตีจาก ศาสนาอื่น ดังนั้นปราบปรัปวาท จึงหมายความว่า พุทธบริษัท ต้องสามารถแก็ไขขึ้แจงคดต้านการโจมตี เพื่อให้ผู้กล่าว โจมตีตลอดจนสาธารณซนเกิดความเข้าใจพระธรรมวินัย อย่างถูกต้อง และยุติการกล่าวโจมตีอย่างเด็ดขาด แล้วพลิก จากมิจฉาทิฏเมาเป็นล้มมาทิฏฐิโดยเร็วเพื่อจะไต้พันจากนรก incno มารคือสัตรูร้ายของVนาสร้พบารมี www.kalyanamitra.org
การที่พุทธบริษัทจะมีสักยภาพและประสิทธิภาพปราบ ปรัปวาทได้สำเร็จก็เพราะตนเองต้องทรงภูมิรู้ภูมิธรรมพร้อม ทั้งภาคปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ประทานกำลังใจให้แก่พุทธบริษัท ด้วยพระมหากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้พระพุทธองค์ทรง มีกศโลบายในการให้กำลังใจพุทธบริษัทให้มุ่งมั่นปฏิบัติมรรค มีองค์ ๘ ให้แก่รอบยิ่งขึ้น ด้วยการตรัสเทศนาอริยสัจ ๔ ว่า ถ้าบุคคลเพียงแต่รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ประการเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องรอบรู้สิงใดๆ มากกว่านี้ ก็จะสามารถพาตนให้ พ้นไปจากคุก คือสังสารวัฏได้อย่างเด็ดขาด อนึ่ง การที่ทรงพยากรณ์คติของบรรดาภิกบุ ภิกบุณี อุบาสก อุบาสิกา ที่ละโลกไปแล้ว ก็เพี่อเพิ่มพูนกำลังใจให้ พุทธบริษัททั้งหลายเห็นว่าผู้ที่ไม่ประมาท มุ่งมั่นปาเพ็ญเพียร มรรคมีองค์ ๘ อย่างอุกฤษฏ์ แม้ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ แต่ส่วนใหญ่ก็สามารถละสังโยชน์เบื้องตํ่า ๕ ประการได้เด็ดขาด เมื่อยังเกิดใหม่ในสรวงสวรรค์เป็นพระ อนาคามี ย่อมสามารถปาเพ็ญเพียรต่อไปอีกได้ และจะได้ ปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาเกิดอีก อุบาสกจำนวน มากก็บรรลุธรรมเป็นพระสกิทาคามี ซึ่งจะกลับมาเกิดในโลก นี้อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนอุบาสกกลุ่มสุดท้ายต่างบรรลุ ธรรมเป็นพระโสดาบัน ไม่มีความตกตํ่า มีความแน่นอนว่าจะ บรรลุความหลุดพ้นในวันข้างหน้า ศรัพธา รุ่งอรุณแพ่สันตํภาพโลก , ,'tnmlo ■. www.kalyanamitra.org
แว่นธรรมคือเครี่องมือพยากรณ์ตนเอง แว่นธรรมตามพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์นั้น ประกอบด้วยความเลื่อมใสในคุณของพระรัตนตรัยอย่างมั่นคง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนลื่งจะเป็นเหตุให้เกิดตถาคตโพธิสัทธา มุ่งมั่นปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ย่อมมี โอกาสมีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน เมื่อเป็นพระโสดา บันแล้วย่อมพยากรณ์ตนเองได้ว่า จะไม่มีทางตกตํ่าไปเกิดใน ทุคติเลย แต่จะมีโอกาสบรรลุมรรคผลยิ่งๆ ขึ้นไป จนกระทั่ง บรรลุนิพพานในอนาคตอย่างแน่นอน คุณค่าและความสำคัญของสังเวชนืยสถาน คนเราแต่ละคนล้วนมีทัศนความคิดเห็น ตลอดจนจริต แตกต่างกันไป เชีน ชาวพุทธบางคนไม่สนใจการเจริญภาวนา แต่ชอบตักบาตรทุกวัน บางคนไม่สนใจคิกษาพระธรรมวินัย แต่ชอบสะสมพระเครื่อง บางคนไม่สนใจฟังเทศน์ ฟังธรรม แต่ตั้งความปรารถนาจะไปกราบสังเวชนียสถาน ในประเทศ เนปาลและอินเดีย ให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ด้งนั้น การที่ปูย่า ตาทวดของเรา สร้างพระพุทธรูป ขนาดใหญ่ก็ดี สร้างพระเจดีย์ไว้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุ พระผง และอัฐบริขารของพระเถระก็ดี เพื่อให้ผู้คน ไปกราบไหว้\\jชา ลื่งเหล่านี้ ล้วนเป็นการปลูกฝืงตถาคตโพธิ- สัทธาให้แก่ผู้คนรุ่นหลังทั้งสิน ขึ้งจะเป็นเครื่องมีอเชื่อมโยงไป ปูการคิกษาพระธรรมวินัย หรีอการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ใน เวลาต่อไป หรีอมิฉะนั้น ตถาคตโพธิสัทธาของเขาในชาตินี้ ,• oimoi ;^ คุณค่าและความสำคัญของสังเวชไพสถาน www.kalyanamitra.org
ย่อมเป็นเสมือนการส่งต่อไม้ผลัดไป^พระพุทธเจ้าที่จะมา ตรัสรู1นกาลเบื้องหน้าได้เช่นกัน โดยเหตุนี้ การที่พระลัมมาลัมพุทธเจ้าตรัสเทศนาเรื่อง เกี่ยวกับลังเวชนียสถาน รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ไวในมหา- ปรินิพพานสูตรมากมายนั้น ย่อมเป็นการปลูกฝังตถาคตโพธิ ลัทธา ให้แก่ผู้มาภายหลัง ที่ได้มืโอกาสได้อ่าน ได้ฟัง หรือได้ สืกษาทั้งสิน สรุป พระลัมมาลัมพุทธเจ้าของเรานั้น ทรงสมyรณ์พร้อม ด้วยพระพุทธคุณ ๓ ประการ อันเป็นพระคุณอันประเสริฐ ของพระสัมมาลัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ได้แก่พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ พระธรรมเทศนาในมหาปรินิพพานสูตรนี้ แสดงถึง พระมหากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระพุทธองค์ทรง ปรารถนาให้เกิดขึ้นจริงหลังจากพุทธปรินิพพานแล้ว ซึ่งจะขอ กล่าวเป็นข้อๆ โดยสังเขป ด้งนี้คือ ๑. พุทธบริษัททั้งปวง พึงยึดพระธรรมวิน้ยเป็น ศาสดาของตนแทนพระพุทธองค์ ๒. การที่จะรักษาพระธรรมวิน้ยให้มั่นคงถาวร พุทธ- บริษัททั้งปวงจะต้องปฏิบัติอปริหานิยธรรมอย่างสมํ่าเสมอ ๓. พระพุทธศาสนาจะมืฤทธ มิอานุภาพมั่นคง แข็งแกร่ง ถ้าพุทธบริษัทสม้ครสมานสาม้คคืกันปฏิบัติพระ- ธรรมวิน้ยเป็นหมู่คณะ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก . snmof • , www.kalyanamitra.org
๔. พุทธบริษ้ททั้งปวงหรือส่วนใหญ่ทรงภูมิรู้ภูมิธรรม สมภูรณ์พร้อม ทั้งภาคปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธเท่านั้น จึง จะสามารถหักล้างและป้องกันการปราบปร้ปวาทได้ ๖. ตถาคตโพธิสัทธาเป็นอุปกรณ์สำคัญในการ ขับเคลื่อนการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ๗. การรักษาพระธรรมวินัยให้มั่นคง นอกจากจะ ทำ ให้ชนรุ่นหสังเกิดตถาคตโพธิสัทธาได้ง่ายแล้ว ยังเป็นการ ส่งต่อไม้ผสัดไปส่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ใน อนาคตอีกด้วย ๘. การปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ๙. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า บุคคลผู้รู้แจ้ง แทงตลอดในอริยสัจ ๔ ย่อมบรรลุความหลุดพ้นได้เด็ดขาด ๑๐. แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จด้บขันธ- ปรินิพพานไปแล้ว ตถาคตโพธิสัทธาก็สามารถบังเกิดขึ้นแก่ คนรุ่นหสัง และจะเป็นโปรแกรมติดแน่นอยู่ในใจบุคคลผู้มี ปัญญาได้ จำ นวนบุคคลที่มีตถาคตโพธิสัทธายิ่งมีมากเท่าใด สันติสุฃก็จะเกิดขึ้นแก่สัตวโลกมากเท่านั้น ๑๑. อายุพระพุทธศาสนาขึ้นอยู่กับตถาคตโพธิสัทธา ในจิตใจของมหาชน mjn<f; สรุป www.kalyanamitra.org
ธรรมบรรยายทั้งหมดในบทนี้ คือเหตุผลที่นำมหา ปรินิพพานสูตรมาลงไว้เป็นภาคผนวกของหนังสีอเล่มนี้ เพราะพระธรรมเทศนาทุกเรื่องในพระสูตรนี้ ถ้าพิจารณา อย่างลึกซึ้งย่อมเห็นได้ว่า มีนัยเกี่ยวข้องกับตถาคตโพธิสัทธา ทุกเรื่อง เพื่อเป็นแนวทางเชื่อมต่อพระพุทธศาสนาระหว่าง พระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้แต่ละพระองค์ พ,f- - \"สันติภาพโลก เริ่มต้นที่ สันติสุขภายใน สันติสุขภายใน เริ่มต้นที่ ตถาคตโพธิสัทธา\" ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ,^'๓๓๖;' www.kalyanamitra.org
ภาคผนวก พระสุตตันตปีฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร ว่าตัวยมหาปรินิพพาน อ้างอิงจาก พระไตร่ฮฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม ๑๐ www.kalyanamitra.org
www.kalyanamitra.org
มหาปรินิพพานสูตร ว่าด้วยมหา!]รินิพพาน ะ:พ \" [๑๓๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห์ สมัยนั้นพระราชาแห่งแคว้นมคธพระนามว่า อชาตดัตรู เวเทหิบุตร มีพระประสงค์จะเสด็จไปปราบแคว้น วัชชี รับสังว่า \"เราจะโค่นล้มพวกวัชชีผู้มีฤทธ®มากอย่างนี้ มี อาใ<๓าพ'\" มากอย่างนี้ ให้พินาศย่อยยับ'\"\" [๑๓๒] พระราชาแห่งแคว้นมคธพระนามว่าอชาต- ดัตรู เวเทหิบุตร รับล้งเรียกวัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ แคว้นมคธมาตรัสว่า \"มาเถิด พราหมณ์ ฟานจงไปเฝืาพระผู้ มีพระภาคถึงที่ประทับ กราบพระยุคลบาทด้วยเสืยรเกล้า แล้วทูลถามถึงพระสุขภาพ ความมีพระโรคาพาธน้อย กระปรี้ กระเปร่า มีพระพลานามัยสมบูรณ์อยู่สำราญ ตามคำของเรา ว่า 'ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระราชาแห่งแคว้นมคธพระนาม ว่าอชาตดัตรู เวเทหิบุตร ขอกราบพระยุคลบาทของพระผู้มี พระภาคด้วยพระเสืยร ทูลถามถึงพระสุขภาพ ความมี ® ฤทธ ในที่นี้หมายถึงความพร้อมเพรียงกัน(ที.ม.อ.๑๓๑/๑๑๕) ^ อา\\๓ไพ ในที่นี้หมายถึงการได้รันการทีกษาสืกฝนสืลปะต่างๆ เช่น สืลปะ เรื่องช้าง (ที.ม.อ.๑๓๑/๑๑๕) ใพ้พินาศย่อยยับ ในที่นี้หมายถึงทำใหไม่มี ให้ถึงความไม่เจริญ และให้ถึง ความเสือม!ปแห่งญาติ เป็นต้น(ที.ม.อ.๑๓๑/๑๑๕) [๓) ว่าด้วยมหาปรินิพพาน www.kalyanamitra.org
พระโรคาพาธน้อย กระปรี้กระเปร่า มีพระพลานามัยสมบูรณ์ อยู่สำราญ' และจงกราบทูลว่า 'ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระราชาแห่งแคว้นมคธพระนามว่าอชาตค์ตรู เวเทหิบุตร มี พระประสงค์จะเสด็จไปปราบแคว้นวัชชี มีรับสังอย่างนี้ว่า 'เราจะโค่นล้มพวกวัชชีผู้มีฤทธื้มากอย่างนี้ มีอา'แภาพมาก อย่างนี้ให้'พินาศย่อยยับ' พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์แก่ ท่านอย่างไร ท่าน'พิงจำค่าพยากรณ์นั้นให้ดีแล้วมาบอกเรา เพราะว่าพระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่ตรัสคำเ'ท็จ®\" วัสสการพราหมณ์ [๑๓๓] ว้สสการพราหมณ์มหาอำมาตย์แคว้นมคธ ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว เทียมยานพาหนะคันงามๆ ขึ้น ยานพาหนะคันงามๆ ออกจากกรุงราชคฤห์พร้อมด้วยยาน พาหนะคันงามๆ ติดตามอีกหลายคันไปยังภูเขาคิชฌคูฏ จน สุดทางที่ยานพาหนะจะเข้าไปได้ ลงจากยานพาหนะเดินเข้าไป เฝ็าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่ บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกัน จึงนั่ง ณ ที่สมควร ได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า \"ข้าแต่ท่านพระโคดม พระราชาแห่งแคว้นมคธพระนามว่า อชาตคัตรู เวเทหิบุตร ขอกราบพระยุคลบาทของพระโคดมด้วยพระเดียร ทูลถาม ถึงพระสุขภาพ ความมีพระโรคาพาธน้อย กระปรี้กระเปร่า มี พระพลานามัยสมบูรณ์อยู่สำราญ พระราชาแห่งแคว้นมคธ พระนามว่าอชาตคัตรู เวเทหิบุตร มีพระประสงค์จะเสด็จไป ® ดูเทียบ องฺ.สตฺตก.(แปล)๒๓/๒๒/๓๒-๓๖ (ฟ่ www.kalyanamitra.org
ปราบแคว้นวัชชี มีรับสังอย่างนี้ว่า 'เราจะโค่นล้มพวกวัชชีผู้มี ฤทธื้มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ ให้พินาศย่อยยับ\" ราชอปริหานิยธรรม [๑๓๙] สมัยนั้น ท่านพระอานนท์ยืนถวายงานพัด พระผู้มีพระภาคอยู่ ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ พระผู้มีพระภาค รับส์งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสถามว่า ๑. \"อานนท์ เธอได้ยินไหมว่า •พวกเจ้าวัชชีหมั่น ประชุมกันเนืองนิตย์ ประชุมกันมากครั้ง\" ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า พระองค์ได้ยินว่า 'พวกเจ้าวัชชีหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ประชุมกัา^ากครั้ง\" พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า \"อานนท์ พวกเจ้าวัชชีพึง หวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบ เท่าที่พวกเจ้าวัชชียังหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ประชุมกันมาก คเง\" ๒. \"อานนท์ เธอได้ยินไหมว่า 'พวกเจ้าวัชชีพร้อม เพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม และพร้อม เพรียงกันท่ากิจที่พวกเจ้าวัชชีจะพึงทำ\" \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินว่า 'พวกเจ้า วัชชีพร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม และ พร้อมเพรียงกันท่ากิจที่พวกเจ้าวัชชีจะพึงท่า\" 1(ป็ ราชอปรหานิยธรรม www.kalyanamitra.org
\"อานนท์พวกเจ้าวัชชีพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีดวามเสีอมเลย ตราบเท่าที่พวกเจ้าวัชชียังพร้อมเพรียง กันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม และพร้อมเพรียงกัน ท่ากิจที่พวกเจ้าวัชชีจะพึงท่า\" ๓. \"อานนท์ เธอได้ยินไหมว่า •พวกเจ้าวัชชีไม่ บัญญัติลิงที่มิได้บัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างลิงที่บัญญัติไว้แล้ว ถือ ปฏิบัติมั่นตามวัชชีธรรมที่วางไว้เดิม®\" \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินว่า 'พวกเจ้าวัช ชีไม่บัญญัติลิงที่มิได้บัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างลิงที่บัญญัติไว้แล้ว ถือปฏิบัติมั่นตามวัชชีธรรมที่วางไว้เดิม\" \"อานนท์ พวกเจ้าวัชชีพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสิอมเลย ตราบเท่าที่พวกเจ้าวัชชียังไม่บัญญัติลิงที่ มิได้บัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างลิงที่บัญญัติไว้แล้ว ถือปฏิบัติมั่น ตามวัชชีธรรมที่วางไว้เดิม\" ๔. \"อานนท์ เธอได้ยินไหมว่า 'พวกเจ้าวัชชี ล้กการะ เคารพ นับถือ \\!ช'ไเจ้าวัชชีผู้มีพระชนมายุมากของชาววัชชี และสำคัญถ้อยคำของท่านเหล่านั้นว่าเป็นลิงควรริบฟัง\" \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินว่า'พวกเจ้าวัชชี สักการะ เคารพ นับถือ yชาเจ้าวัชชีผู้มีพระชนมายุมากของ ชาววัชชีและสำคัญถ้อยคำของท่านเหล่านั้นว่าเป็นลิงควรริบฟัง\" ® วัซสีธรรมที่รางไร้เดิมหมายถึงประเพณีที่สืบต่อกันมานาน จับผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นโจร ผู้จับจะไม่สอบสวนเอง แต่จะส่งให้ฝ่ายสอบสวน ฝ่ายสอบสวน สืบสวนแล้วรู้ว่าไม่ใช่ก็ปล่อย ล้ายังสงสัยก็ส่งต่อขึ้นไปตามลำดับชั้น บาง กรณีอาจส่งถึงเสนาบดี บางกรณีอาจส่งถึงพระราชาเพี่อทรงวินิจฉัย (ที.ม.อ. (ริ)cn(±/(ริ)(ริ)เฬ) (๖) www.kalyanamitra.org
\"อานนท์พวกเจ้าวัชชีพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีดวามเสือมเลย ตราบเท่าที่พวกเจ้าวัชชียังสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเจ้าวัชชีผู้มีพระชนมายุมากของชาววัชชี และ สำ คัญถ้อยคำของท่านเหล่านั้นว่าเป็นสิงควรรับฟัง\" ๕. \"อานนท์ เธอได้ยินไหมว่า 'พวกเจ้าวัชชีไม่ชุด คร่าขืนใจกุลสตรี หรือกุลกุมารีให้อยู่ร่วมด้วย\" \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินว่า 'พวกเจ้า วัชชีไม่ชุดคร่าขืนใจ กุลสตรี หรือกุลกุมารีให้อยู่ร่วมด้วย\" \"อานนท์ พวกเจ้าวัชชีพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่พวกเจ้าวัชชียังไม่ชุดคร่า ขืนใจกุลสตรี หรือกุลกุมารีให้อยู่ร่วมด้วย\" ๖. \"อานนท์ เธอได้ยินไหมว่า 'พวกเจ้าวัชชี สักการะ เคารพ นับถือ บูชาเจดีย์ในแคว้นวัชชีของชาววัชชีทั้งในเมีอง และนอกเมีอง และไม่ละเลยการบูชาอันชอบธรรมที่เคยให้ เคยกระท่าต่อเจดีย์เหล่านั้นให้เสือมสูญไป\" \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินว่า'พวกเจ้าวัชชี สักการะ เคารพ นับถือ บูชาเจดีย์ในแคว้นวัชชีของชาววัชชี ทั้งในเมีองและนอกเมีอง และไม่ละเลยการบูชาอันชอบธรรม ที่เคยให้เคยกระทำต่อเจดีย์เหล่านั้นให้เสือมสูญไป\" \"อานนท์พวกเจ้าวัชชีพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่พวกเจ้าวัชชียังสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเจดีย์ในแคว้นวัชชีของชาววัชชีทั้งในเมีองและ นอกเมีอง และไม่ละเลยการบูชาอันชอบธรรมที่เคยให้เคย กระทำต่อเจดีย์เหล่านั้นให้เสือมสูญไป\" [๗] ราชอปรํทานํยธรรม www.kalyanamitra.org
๗. \"อานนท์ เธอได้ยินไหมว่า 'พวกเจ้าวัชชีจัดการ รักษา คุ้มครอง ป้องกันพระอรหันต์ทั้งหลายโดยชอบธรรม ด้วยตั้งใจว่า 'ทำอย่างไร พระอรหันต์ที่ยังไม่มาพึงมา^แว่น แคว้นของเรา ท่านที่มาแล้วพึงอยู่อย่างผาสุกในแว่นแคว้น\" \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินว่า 'พวกเจ้า ว้ชชีจัดการรักษาคุ้มครอง ป้องกันพระอรหันต์ทั้งหลายโดย ชอบธรรมด้วยตั้งใจว่า 'ทำอย่างไร พระอรหันต์ที่ยังไม่มา พึง มายู่แว่นแคว้นของเรา ท่านที่มาแล้วพึงอยู่อย่างผาสุกในแว่น แคว้น\" \"อานนท์ พวกเจ้าว้ชชีพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่พวกเจ้าวัชชียังจัดการรักษา คุ้มครอง ป้องกันพระอรหันต์ทั้งหลายโดยชอบธรรมด้วย ตั้งใจว่า 'ท่าอย่างไร พระอรหันต์ที่ยังไม่มา พึงมายู่แว่นแคว้น ของเรา ท่านที่มาแล้วพึงอยู่อย่างผาสุกในแว่นแคว้น\" [๑๓๕] ลำ ดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสังกับ วัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์แคว้นมคธว่า \"พราหมณ์ สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่สารันททเจดีย์ เขตกรุงเวสาลี ได้แสดง อปริหานิยธรรม ๗ ประการนี้แก่พวกเจ้าวัชชี พวกเจ้าวัชชีพึง หวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียวไม่มีความเสือมเลยตราบเท่า ที่พวกเจ้าวัชชียังมีอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการนี้อยู่และใส่ ใจอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการนี้อยู่\" เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ วัสสการพราหมณ์ มหาอำมาตย์แคว้นมคธได้กราบพูลด้งนี้ว่า \"ข้าแต่ท่านพระ โคดม พวกเจ้าวัชชีมีอปริหานิยธรรมแม้เพึยงข้อเดียวก็พึง หวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียวไม่มีความเสือมเลย ไม่จำ (๘) www.kalyanamitra.org
ต้องกล่าวว่ามีครบทั้ง ๗ ประการ ข้าแต่พ่านพระโคดม พระราชาแห่งแคว้นมคธพระนามว่าอชาตต้ตรู เวเทหิบุตร ไม่ ควรทำสงครามกับพวกเจ้าว้ชข้ นอกจากจะใช้วิธีปรองดอง ทางการทูต หรือไม่ก็ทำให้แตกสามัคคีกันข้าแต่พ่านพระโคดม ถ้าอย่างนั้น บัดนี้ ข้าพระองค์ขอทูลลากลับ เพราะมีกิจมาก มีหน้าที่ที่จะต้องทำอีกมาก พระพุทธเจ้าข้า\" พระผู้มีพระภาคตรัสว่า \"พราหมณ์ ขอพ่านจงกำหนด เวลาที่สมควร ณ บัดนี้เถิด\" จากนั้น ว้สสการพราหมณ์ มหาอำมาตย์แคว้นมคธมี ใจยินดีชื่นชมพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากที่นั่ง จากไป ภิกชุอปริหานิยธรรม'' [๑๓๖] เมื่อว้สสการพราหมณ์มหาอำมาตย์แคว้น มคธจากไปไม่นาน พระผู้มีพระภาครับลังเรืยกพ่านพระ อานนท์มาตรัสว่า \"อานนท์ เธอจงไปนิมนต์ภิกษุที่เข้ามาพัก อยู่ในกรุงราชคฤห์ทุกรูปให้มาประชุมกันที่หอฉัน\" ฉันแล้ว เข้าไปเฝืาพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาท แล้วยึนอยู่ ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว ขอพระผู้มี พระภาคจงกำหนดเวลาที่สมควรณบัดนี้เถิด พระพุทธเจ้าข้า\" ® ดูเทียบ องฺ.สตฺตก.(แปล)๒๓/๒๓-๒๗/๓๗-๔๑ (of) ภิกชุอปริหานยธรรม www.kalyanamitra.org
ลำ ดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงลุกจากพุทธอาสน์ เสด็จเข้าไปยังหอฉันประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้แล้ว รับส์งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า\"ภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดง อปริหานิยธรรม ๗ ประการแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกส่าว\" ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระ ดำ รัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า \"ภิกษุทั้งหลาย ๑. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญ® อย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังหมั่น ประชุมกันเนืองนิตย์ ประชุมกันมากครั้ง ๒. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยัง พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกัน เลิกประชุม และพร้อมเพรียงกันท่ากิจที่ สงฆ์จะพึงท่า ๓. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังไม่ บัญญัติลิงที่เรามิได้บัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างลิง เราได้บัญญัติไว้แล้ว ถือปฏิบัติมั่นตาม สิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แล้ว ๔. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยัง ล้กการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุผู้เป็น ® ครามเจริญ ในที่นี้หมายถึงความเจริญด้วยคุณธรรมมีสืลเป็นต้น (ที.ม.อ. ๑๓๖/๑๒๖) l®ol www.kalyanamitra.org
เถระเป็นรัตตัญญ® บวชมานาน เป็นสังฆบิดร เป็นสังฆปริณายก และสำคัญถ้อยคำของ ท่านเหล่านั้นว่าเป็นสิงควรรับฟัง ๕. ภิกษพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียวไม่มี ความเสีอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังไม่ตกอยู่ ในอำนาจแห่งตัณหาก่อให้เกิดภพใหม่ที่เกิด ขึ้นแล้ว ๖. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังเป็น ผู้ม่งหวังเสนาสนะปา ๗. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังตั้ง สติไว้ในภายในว่า 'ท่าอย่างไร เพื่อนพรหม จารีทั้งหลายผู้มีดีลงามที่ยังไม่มา พึงมา ท่านที่มาแล้วพึงอยู่อย่างผาสุก' ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังมีอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการนี้อยู่ และใล่ใจอปริหานิยธรรมทัง ๗ ประการนีอยู่ [๑๓๗] ภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงอปริหานิยธรรม๗ ประการอีกหมวดหนึ่งแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จง ® ฟ้นเถระในที่นี้หมายถึงเป็นผู้มีความมั่นคง(ถิรภาวะ)ในพระศาสนาไม่หวน คืนไป^เพศคฤหัสถ์อีกประกอบด้วยคุณธรรมทึ่ให้เป็นพระเถระคีอสืลเป็นต้น รัตตัญฌู เป็นตำแหน่งเอตทัคคะที่พระอัญญาโกณฑัญญะได้รับยกย่องจาก พระพุทธเจ้ามีความหมายว่ารู้ราตรีนาน คือบวชรู้แจ้งธรรม และเป็นพระ ขีณาสพก่อนพระสาวกทั้งหลาย (ที.ม.อ. ๑๓๖/๑๒๖,ที.ม.ฎีกา ๑๓๖/๑๕๕) ภกชุอปรํหานิยธรรม www.kalyanamitra.org
เราจักกล่าว\" ภิกษุเหล่านั้นพูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระ ภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า \"ภิกษุทั้งหลาย ๑. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสีอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังเป็น ^ม่ชอบการงาน® ไม่ยินดีการงาน ไม่หมั่น ประกอบความเป็นผู้ชอบการงาน ๒. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสิอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังเป็น ผู้!ม่ชอบการพูดคุย'° ไม่ยินดีการพูดคุย ไม่ หมั่นประกอบความเป็นผู้ชอบการพูดคุย ๓. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังเป็น ผู้ไม่ชอบการนอนหลับไม่ยินดีการนอนหลับ ไม่หมั่นประกอบความเป็นผู้ชอบการ นอนหลับ ® ไม่ชอบการงานในที่นี้หมายถึงไม่เพลิดเพลินอยู่ด้วยการทำงาน เซ่น การทำ จีวร การทำผ้ากรองนํ้า จนไม่มีเวลาปาเพ็ญสมณธรรม เซ่น ถ้าท่านรู้จักแบ่ง เวลา ถึงเวลาเรียนก็เข้าเรียน ถึงเวลาสวดมนต์ก็สวด ถึงเวลาเจริญภาวนาก็ เจริญ ไม่ถึอว่า ชอบการงาน (ที.ม.อ. ๑๓๗/®๒๘) ^ ไม่ชอบการพูดคุยหมายถึงไม่ชอบพูดคุยเรื่องนอกธรรมนอกวินัยตลอดทั้งวัน เซ่นเรื่องผู้หญิงถ้าสนทนาธรรมเพี่อแก้ปัญหาไม่ถึอว่าชอบการพูดคุย(ที.ม.อ. ๑๓๗/๑๒๘) [«๒! www.kalyanamitra.org
๔. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังเป็น ผู้ไม่ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ยินดีการ คลุกคลีด้วยหมู่ ไม่หมั่นประกอบความเป็น ผู้ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่ ๕. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเลีอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังเป็น ผู้ไม่มีความปรารถนาชั่ว ไม่ตกไปส่อำนาจ ของความปรารถนาชั่ว ๖. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังไม่มี มิตรชั่ว มีสหายชั่ว มีเพื่อนชั่ว ๗. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเลีอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังไม่ ถึงความหยุดชะงักในระหว่างเพึยงเพราะ บรรลุคุณวิเศษชั้นตํ่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเลีอมเลย ตราบที่ภิกษุยังมีอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการนี้อยู่ และใส่ใจอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการนี้อยู่ [๑๓๘] ภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงอปริหานิยธรรม ๗ ประการอีกหมวดหนึ่งแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว\" ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระ ดำ รัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า [๑๓] ภกชุอปริหานํยธรรม www.kalyanamitra.org
\"ภิกษุทังหลาย ๑. ภิกชุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มี ความเสีอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังมีศร้ทธา* ๒. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มี ความเสิอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังมีหิริ ๓. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสีอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังมี โอตตัปปะ ๔. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสีอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังเป็น พหูสูต'\" ๕. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มี ความเสิอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังปรารภ ความเพึยร'\" ๖. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มี ความเสีอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังมีสติตั้งมั่น ๑ ศรัทธา แปลว่าความเรู่อ มี ๔ อย่างคีอ {๑)อาคมนียะ(ศร้ทธาของพระโพธิ สัตว์ ผู้ปาเพ็ญเพี่อพระสัพพัญญตญาณ)(๒)อธิคมะ(ศรัทธาของพระอริย บุคคล)(๓)ปสาทะ(ศรัทธาในพระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์)(๔)โอกัปปนะ (ศรัทธาอย่างมั่นคง) แต่ในที่นี้หมายถงปสาทะและโอกัปปนะเท่านั้น (ที.ม.อ.๑๓๘/๑๒®') พหูสูต แปลว่า ผู้ฟังมามาก มี ๒ อย่าง คือ(๑)ปริยัตติพหูสูต(แตกฉานใน พระไตรปีฎก)(๒)ปฏิเวธพหูสูต (บรรลุสัจจะทั้งหลาย) พหูสูตในที่นี้หมาย ถึงปริยัตติพหูสูต (ที.ม.อ. ๑๓๔/๑๓๐) ^ ปรารภความเพียรหมายถึงบ่าเพ็ญเพียรทั้งทางกายทั้งทางจิต ความเพียรทาง กาย คือ เว้นการคลุกคลี ด้วยหหู่คณะ เป็นอยู่โดดเดี่ยว ความเพียรทางจิต คือ บรรเทาความฟังซ่านแห่งจิต (ที.ม.อ. ๑๓๘/๑๓๐) 1®<£! www.kalyanamitra.org
๗. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีดวามเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังมี ปัญญา ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังมีอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการนี้อยู่ และใฟ้,จอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการนีอยู่ [๑๓๙] ภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงอปริหานิยธรรม๗ ประการอีกหมวดหนึ่งแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จง ใฟ้,จให้ดี เราจักกล่าว\"ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสด้งนี้ว่า \"ภิกษุทั้งหลาย ๑. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียวไม่มี ความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังเจริญสติ ล้มโพชฌงค์ (ธรรมที่เป็นองค์แห่งการ ตรัสรู้คึอความระลึกได้) ๒. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยัง เจริญธัมมวิจยล้มโพชฌงค์ (ธรรมที่เป็น องค์แห่งการตรัสรู้คือการเฟ้นธรรม) ๓. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยัง เจริญวิริยล้มโพชฌงค์ (ธรรมที่เป็นองค์ แห่งการตรัสรู้คือความเพึยร) ๔. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว |®๕] ภิกชุอปรํหานัยธรรม www.kalyanamitra.org
ไม่มีความเสีอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์ (ธรรมที่เป็นองค์แห่งการ ตรัสรู้คือความอิ่มใจ) ๕. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสิอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยัง เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ (ธรรมที่เป็นองค์ แห่งการตรัสรู้คือความสงบกายสงบใจ) ๖. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสิอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยัง เจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ (ธรรมที่เป็นองค์ แห่งการตรัสรู้คือความตั้งจิตมั่น) ๗. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสิอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยัง เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ (ธรรมที่เป็นองค์ แห่งการตรัสรู้คือความวางใจเป็นกลาง) ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสีอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังมีอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการนอยู่ และใ?flจอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการนี้อยู่ [๑๔๐] ภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงอปริหานิยธรรม ๗ ประการอีกหมวดหนึ่งแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จง ใ?นี้จให้ดี เราจักกล่าว\"ภิกษุเหล่านั้นทูลร้บสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า \"ภิกษุทั้งหลาย ๑. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสีอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยัง [«๖] www.kalyanamitra.org
เจริญอนิจจสัญญา (กำหนดหมายความไม่ เที่ยงแห่งสังขาร) ๒. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสิอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยัง เจริญอนัตตสัญญา (กำหนดหมายความ เป็นอนัตตาแห่งธรรมทั้งปวง) ๓. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเส์อมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยัง เจริญอสุภสัญญา(กำหนดหมายความไม่งาม แห่งกาย) ๔. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยัง เจริญอาทีนวสัญญา(กำหนดหมายทุกข์โทษ ของกายอันมีความเจ็บไข้ต่างๆ) ๕. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยัง เจริญปหานสัญญา (กำหนดหมายเพื่อละ อกุศลวิตกและบาปธรรมทั้งหลาย) ๖. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยัง เจริญวิราคสัญญา(กำหนดหมายวิราคะว่า เป็นธรรมละเอียดประณีต) ๗. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยัง เจริญนิโรธสัญญา (กำหนดหมายนิโรธว่า เป็นธรรมละเอียดประณีต) lortl ภํกชุอปรํหานยธรรม www.kalyanamitra.org
ภิกชุทั้งหลาย ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีดวามเสีอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังมีอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการนี้อยู่ และใส่ใจอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ประการนี้อยู่ [๑๔๑] ภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงอปริหานิยธรรม อีกหมวดหนึ่งแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว\" ภิกษุเหล่านั้นพูลรับสนองพระดำรัสแล้วพระผู้มี พระภาคจึงได้ตรัสด้งนี้ว่า \"ภิกษุทั้งหลาย ๑. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังตั้ง มั่นเมตตากายกรรมในเพื่อนพรหมจารีทั้ง หลายทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ® ๒. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังตั้ง มั่นเมตตาวจึกรรมในเพื่อนพรหมจารี ทั้ง ในที่แจ้งและในที่ลับ ๓. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังตั้ง เมตตามโนกรรมในเพื่อนพรหมจารี ทั้งในที่ แจ้งและในที่ลับ ๔. ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสือมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังมี การบริโภคโดยไม่แปงแยกลาภทั้งหลายอัน ® ในที่แจ้งและในหี่ลับ ในที่นี้หมายถึงทั้งต่อหน้าและลับหลัง (ที.ม.อ. ๑๔๑/ ๑๓๒) («๙] www.kalyanamitra.org
ประกอบด้วยธรรม ได้มาโดยธรรม โดยที่ สุดแม้เพียงบิณฑบาต (อาหารในบาตร) บริโภคร่วมกับเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายผู้ มีสืล ๕. ภิกษุพีงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเส์อมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังมี สืลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็น ไท® ท่านผู้รู้สรรเส่ริญไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิ ครอบงำ เป็นไปเพื่อสมาธิเสมอกันกับเพื่อน พรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ ๖. ภิกษุพีงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสีอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังมี อริยทิฎฐิอันเป็นธรรมเครื่องนำออกเพื่อ ความสินทุกข์โดยชอบแก่ผู้ท่าตาม เสมอ กันกับเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายทั้งในที่แจ้ง และในที่ลับ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสีอมเลย ตราบเท่าที่ภิกษุยังมีอปริหานิยธรรมทั้ง ๖ ประการนี้อยู่ และใฟ้,จอปริหานิยธรรมทั้ง ๖ ประการนีอยู่\" [๑๔๒] ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเมื่อประทับอยู่ ที่ ภูเขาคิชฌภูฏ เขตกรุงราชคฤห์ ทรงแสดงธรรมีกถาเป็นอัน มากแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า \"สืลมีลักษณะอย่างนี้ สมาธิมี ลักษณะอย่างนี้ ปัญญามีลักษณะอย่างนี้ สมาธิอันบุคคล อบรมโดยมีสีลเป็นฐาน ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ® เป็นไท ไนที่นี้หมายถึงไม่เป็นทาสของตัณหา (ที.ม.อ. ๑๔๑/๑๓๗) [©๙] ภิกชุอปริหานยธรรม www.kalyanamitra.org
ปัญญาอันบุคคลอบรมโดยมีสมาธิเป็นฐาน ย่อมมีผลมาก มี อานิสงส์มาก จิตอันบุคคลอบรมโดยมีปัญญาเป็นฐานย่อม หลุดพ้นโดยชอบจากอาสวะทั้งหลาย คือ กามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ\" [๑๔๓] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ตาม ความพอพระทัยในกรุงราชคฤห์ รับสังเรียกท่านพระอานนท์ มาตรัสว่า \"มาเถิด อานนท์ เราจะเข้าไปยังอัมพลัฎฐิกาวันกัน\" ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มี พระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมูใหญ่เสด็จไปถึงอัมพลัฏเกาวัน ประทับอยู่ที่พระตำหนักหลวงในอัมพลัฎเกาวัน ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาค เมื่อประทับอยู่ที่พระตำหนักหลวงในอัม- พล้ฏเกาวัน ทรงแสดงธรรมีกถาเป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้ว่า \"คืลมีลักษณะอย่างนี้ สมาธิมีลักษณะอย่างนี้ ปัญญามีลักษณะอย่างนี้ สมาธิอันบุคคลอบรมโดยมีคืล เป็นฐาน ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาอันบุคคล อบรมโดยมีสมาธิเป็นฐาน ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิต อันบุคคลอบรมโดยมีปัญญาเป็นฐาน ย่อมหลุดพ้นโดยชอบ จากอาสวะทั้งหลาย คือ กามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ\" [๑๔๔] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ตามความพอพระทัยในอัมพลัฏเกาวัน รับลังเรียกท่าน พระอานนท์มาตรัสว่า \"มาเถิด อานนท์ เราจะเข้าไปยังเมีอง นาฟันทากัน\" ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มี พระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จไปถึงเมีองนาฟันทา ประทับอยู่ที่ปาวารีกัมพวัน เขตเมีองนาฟันทานั้น [too] www.kalyanamitra.org
ท่านพระสารืบุตรบันลือสีหนาท® [๑๔๕] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝืาพระผู้มี พระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้งนี้ว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า พระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่าไม่เคยมี จักไม่มี และย่อมไม่มีสมณะหรีอพราหมณ์ผู้อื่น ซึ่งจะมีปัญญาในทาง พระสัมโพธิญาณยิ่งกว่าพระผู้มีพระภาค\" พระผู้มีพระภาคตรัสว่า \"สารีบุตร เธอกล่าวอาสภิวาจา (วาจาอย่างองอาจ)อย่างสูง เธอถึอเอาด้านเดียวบันลือสีหนาทว่า 'ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระ ภาคอย่างนี้ว่า ไม่เคยมี จักไม่มี และย่อมไม่มีสมณะหรีอ พราหมณ์ผู้อื่น ซึ่งจะมีปัญญาในทางพระสัมโพธิญาณยิ่งกว่า พระผู้มีพระภาค' สารีบุตร เธอกำหนดรู้พระทัยฃองพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ในอดีตกาลด้วยใจของ ตนแล้วหรีอว่า •แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้นจึง ทรงมีดีลอย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้นจึง ทรงมีธรรมอย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จึงทรงมีปัญญาอย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่า นั้นจึงทรงมีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้ มีพระภาคเหล่านั้นจึงทรงมีธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้นอย่างนี้\" ดูเทยบ สํ.ม.(แปล)๑๙/๓๗๘/๒๓๐ บันลือสืหนาทในที่นี้หมายถึงอาการที่เปล่งวาจาอย่างองอาจดุจพญาราชสีห์ที่ คำ ทมอยูในปา (สํ.ม.อ. ๓/๓๗๘/๒๘๑,สํ.ฎีกา ๒/๓๗๘/๕๖๐) [๒®] ท่านพระสารีบุตรบันลอสีหนาท www.kalyanamitra.org
ท่านพระสารีบุตรพูลตอบว่า \"หามิได้ พระพุทธเจ้าข้า\" \"สารีบุตร เธอกำหนดรู้พระทัยของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ในอนาคตกาลด้วยใจ ของตนแล้วหรีอว่า 'แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จักทรงมีสืลอย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จักทรงมีธรรมอย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่า นั้นจักทรงมีปัญญาอย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาค เหล่านั้นจักทรงมีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้นจักทรงมีธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้น อย่างนี้\" \"หามิได้ พระพุทธเจ้าข้า\" \"สารีบุตร เธอกำหนดรู้ใจเราผู้เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ด้วยใจของตนแล้วหรีอว่า'แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคทรงมีค์ลอย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระ ภาคทรงมีธรรมอย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคทรง มีปัญญาอย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคทรงมีธรรม เป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคทรงมี ธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้นอย่างนี้\" \"หามิได้ พระพุทธเจ้าข้า\" \"สารีบุตร ก็ในเรื่องนี้ เธอไม่มีเจโตปริยญาณ®ใน พระอรหันตสัมมาล้มพุทธเจ้า ทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน ® เจโตปริยญาณหมายถึงปรีชากำหนดรู!จผู้อี่นได้คือ รู!จผู้อื่น อ่านความคิด ของเขาได้ เช่นรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ใจเขาเศร้าหมองหรีอผ่องไส เป็นด้น {ที.สี. {แปล)๙/๒๔๒/๘๐-๘๑, ๔๗๖/๒๐๘-๒๐๙) [๒๒! www.kalyanamitra.org
เมื่อเป็นเช่นนั้น บัดนี้ ไฉนเธอกล่าวอาสภิวาจา เธอถือเอา ด้านเดียวบันลือสีหนาทว่า •ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ เลื่อมใสพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ไม่เคยมี จักไม่มี และ ย่อมไม่มีสมณะหรือพราหมณ์ผู้อื่น ซึ่งจะมีปัญญาในทาง พระสัมโพธิญาณยิ่งกว่าพระผู้มีพระภาค\" [๑๔๖] ท่านพระสารืบุตรกราบทูลว่า ••ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ถึงแม้ว่าข้าพระองค์จะไม่มีเจโตปริยญาณใน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน แต่ข้าพระองค์ก็รู้วิธีการอ^^าน เปรืยบเหมีอนเมีองชายแดน ของพระเจ้าแผ่นดินมีรากฐานมั่นคง มีกำ แพงแข็งแรง มีป้อม ค่ายแข็งแรง มีประดูเดียว นายประตูของเมีองนั้นเป็นคน เฉลียวฉลาด หสักแหลม ห้ามคนที่ไม่รู้จัก อนุญาตให้คนที่ รู้จักเข้าไปได้ เขาเดินสำรวจดูหนทางตามล่าดับรอบเมีองนั้น ไม่เห็นรอยต่อ หรือช่องกำแพงโดยที่สุดแม้เพียงที่ที่พอแมว ลอดออกได้ เขาย่อมรู้ว่า •สัตว์ใหญ่ทุกชนิดเมื่อจะเข้าหรือ ออกเมีองนี้ ก็จะเข้าหรือออกทางประตูนี้เท่านั้น' แม้ฉันใด วิธี การอนุมานก็ฉันนั้นเหมีอนกัน ข้าพระองค์ทราบว่า พระผู้มี พระภาคอรห้นตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ในอดีตกาล ทรงละนิวรณ์ ๕ ที่เป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทอนกำลังปัญญา มีพระทัยมั่นคงดีในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตาม ความเป็นจริง ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว แม้พระผู้ มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ในอนาคตกาล ก็จักทรงละนิวรณ์ ๕ ที่เป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทอนกำลัง ปัญญา มีพระทัยมั่นคงดีในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง จักตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แม้ [๒๓! ท่านพระสารบุตรบันลอสีหนาท www.kalyanamitra.org
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ทรงละ นิวรณ์ ๕ ที่เป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทอนกำสังป้ญญา มี พระทัยมั่นคงดีในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตาม ความเป็นจริง ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณพระพุทธเจ้าข้า\" [๑๔๗] ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเมื่อประหับอยู่ใน ปาวาริกัมพวัน เขตเมีองนาฟันทา ทรงแสดงธรรมีกถาเป็นอัน มากแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า \"ดีลมีสักษณะอย่างนี้ สมาธิมี สักษณะอย่างนี้ ปัญญามีสักษณะอย่างนี้ สมาธิอันบุคคล อบรมโดยมีดีลเป็นฐาน ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาอันบุคคลอบรมโดยมีสมาธิเป็นฐาน ย่อมมีผลมาก มี อานิสงส์มาก จิตอันบุคคลอบรมโดยมีปัญญาเป็นฐาน ย่อม หลุดพ้นโดยชอบจากอาสวะทั้งหลาย คือ กามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ\" โทษของคนทุสิล ๕ ประการ' [๑๔๘] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ตาม ความพอพระทัย ในเมีองนาฟันทา รับสังเรียกท่านพระ อานนท์มาตรัสว่า\"มาเถิด อานนท์ เราจะเข้าไปยังปาฏลิคามกัน\" ท่านพระอานนท์พูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มี พระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หยู่ใหญ่เสด็จไปถึงปาฏลิคาม พวกอุบาสกอุบาสิกาชาวปาฏลิคามได้ทราบว่า \"พระผู้มี พระภาคเสด็จถึงปาฏลิคาม\" จึงพากันเข้าไปเฝืาพระผู้มี พระภาคถึงที่ประทับถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้ ® ดูเทยบ วิ.ม.(แปล)๕/๒๙๕/๙๗-๙๘,ชุ.อุ. ๒๕/๗๖/๒๐๙-๒๒๕ (๒๔] www.kalyanamitra.org
กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคโปรดทรงร้บเรึอนพักแรมของพวกข้าพระองค์ ดัวยเถิด\" พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ด้วยพระอาการดุษณี พวกอุบาสกอุบาสิกาชาวปาฏลิคาม ทราบอาการที่ พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้วจึงลุกจากที่นั่ง ถวาย อภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณเข้าไปยังเรือนพัก แรมแล้ว ijเครื่องลาดทั่วเรือนพักแรมแล้ว \\เลาดอาสนะ ตั้ง หม้อนํ้าตามประทีปนํ้ามันไว้ เข้าไปเฝืาพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ถวายอภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคด้งนี้ว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้า พระองค์ได้ปูเครื่องลาดทั่วเรือนพักแรมแล้ว ปูลาดอาสนะ ตั้งหม้อนํ้า ตามประทีปนํ้ามันไว้แล้ว ขอพระองค์จงทรง กำ หนดเวลาที่สมควร ณบัดนี้เถิด พระพุทธเจ้าข้า\" ครั้แในเวลาเข้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปยังเรือนพัก แรม ทรงล้างพระบาทแล้วเสด็จเข้าส่เรือนพักแรม ประทับนั่ง พิงเสากลาง ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ฝ่ายภิกษุสงฆ์ล้างเท้าแล้ว เข้าส่เรือนพักแรม นั่งพิงฝา ด้านทิศตะวันตก ผินหน้าไปทางทิศตะวันออกอยู่เบื้อง พระปฤษฎางค์ของพระผู้มีพระภาค ส่วนอุบาสกอุบาสิกาชาวปาฏลิคามล้างเท้าแล้ว เข้าปู เรือนพักแรม นั่งพิงฝาด้านทิศตะวันออก ผินหน้าไปทางทิศ ตะวันตกอย่เบื้องพระพักตร์ของพระผิ'มีพระภาค [๒๕] โทษซองคนทุสืล ๕ประการ www.kalyanamitra.org
[๑๔๙] ลำ ดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสังเรียก อุบาสกอุบาสิกาชาวปาฏลิคามมาตรัสว่า \"คหบดีทั้งหลาย ดีล วิบัติของบุคคลผู้ทุดีล มีโทษ ๕ประการนี้ โทษ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. บุคคลผู้ทุคืล มีคืลวิบัติในโลกนี้ ย่อมถึง ความเสีอมโภคทรัพย์เป็นอันมาก ชึ่งมี ความประมาทเป็นเหตุนี้เป็นโทษประการที่ ๑ แห่งคืลวิบัติของบุคคลผู้ทุคืล ๒. กิตติดัพท์อันชั่วของบุคคลผู้ทุคืล มีคืล วิบัติย่อมกระฉ่อนไป นี้เป็นโทษประการที่ ๒ แห่งคืลวิบัติของบุคคลผู้ทุคืล ๓. บุคคลผู้ทุคืล มีคืลวิบัติจะเข้าไปยังบริษ้ทใดๆ จะเป็นข้ตติยบริษัทก็ตาม พราหมณบริษัท ก็ตาม คหบดีบริษัทก็ตาม สมณบริษัทก็ตาม ย่อมไม่แกล้วกล้า เก้อเขินเข้าไป นี้เป็นโทษ ประการที่ ๓ แห่งคืลวิบัติของบุคคลผู้ทุคืล ๔. บุคคลผู้ทุคืล มีคืลวิบัติ ย่อมหลงลืมสติตาย นี้เป็นโทษประการที่ ๔ แห่งคืลวิบัติของ บุคคลผู้ทุคืล ๕. บุคคลผู้ทุคืล มีคืลวิบัติ หลังจากตาย แล้วไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก นี้ เป็นโทษประการที่ ๕ แห่งคืลวิบัติของ บุคคลผู้ทุคืล \"คหบดีทั้งหลาย คืลวิบัติของบุคคลผู้ทุคืล มีโทษ ๕ ประการนี้แล [๒๖] www.kalyanamitra.org
อานิสงส์ของคนมืสิล ๕ ประการ [๑๕๐] คหบดีทั้งหลาย ดีลสมบัติของบุคคลผู้มีดีล มีอานิสงส์ ๕ ประการนี้ อานิสงส์ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. บุคคลผู้มีคืล สมบูรณ์ด้วยคืลไนโลกนี้ ย่อม มีโภคทรัพย์เป็นอันมาก ชึ่งมีความไม่ ประมาทเป็นเหตุ นี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๑ แห่งคืลสมบัติของบุคคลผู้มีคืล ๒. กิตติด้พท์อันงามของบุคคลผู้มีคืล สมบูรณ์ ด้วยคืล ย่อมขจรไป นี้เป็นอานิสงส์ประการ ที่ ๒ แห่งคืลสมบัติของบุคคลผู้มีคืล ๓. บุคคลผู้มีคืล สมบูรณ์ด้วยคืล จะเข้าไปยัง บริษัทใดๆ จะเป็นข้ตติยบริษัทก็ตาม พราหมณบริษัทก็ตาม คหบดีบริษัทก็ตาม สมณบริษัทก็ตาม ย่อมแกล้วกล้า ไม่เก้อ เขินเข้าไป นี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๓ แห่ง คืลสมบัติของบุคคลผู้มีคืล ๙. บุคคลผู้มีคืล สมบูรณ์ด้วยคืล ย่อมไม่ หลงลืมสติตาย นี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๔ แห่งคืลสมบัติของบุคคลผู้มีคืล ๕. บุคคลผู้มีคืล สมบูรณ์ด้วยคืล หลังจาก ตายแล้ว ย่อมไปเกิดใน สุคติโลกสวรรค์ นี้ เป็นอานิสงส์ประการที่ ๕ แห่งคืลสมบัติ ของบคคล\"'^ (๒๗] อานสงส์ของคนมีสืล ๕ประการ www.kalyanamitra.org
คหบดีทั้งหลาย สืลสมบัติของบุคคลผู้มีดีล มีอานิสงส์ ๕ ประการนี้แล® [๑๕๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้ อุบาสกอุบาสิกาชาวปาฏลิคามเห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอา ไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้ สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถาเกือบตลอดคึน ทรงส่งกลับด้วย พระดำรัสว่า ••คหบดีทั้งหลาย ราตรีผ่านไปมากแล้ว'\" ขอท่าน ทั้งหลายจงกำหนดเวลาที่สมควร ณ บัดนี้เถิด\" อุบาสก อุบาสิกาชาวปาฏลิคามทูลรับสนองพระดำรัสแล้วลุกจากที่นั่ง ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วจากไป เมื่ออุบาสกอุบาสิกาชาวปาฏลิคามเหส่านั้นจากไปไม่นาน พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังเรีอนว่าง การสรางเมืองปาฏลืบุตร\" [๑๕๒] สมัยนั้น มหาอำมาตย์สุนีธะและมหา อำ มาตย์วัสสการะชาวแคว้นมคธ สร้างเมีองในปาฏลิคามเพี่อ ป้องกันพวกเจ้าวัชชี เทวดาจำนวนมากจับจองที่เป็นพันๆ แห่ง ปานกลาง ย่อมน้อมไปเพี่อจะสร้างนิเวศนี้!นที่ที่เทวดาผู้มี สักดื้ปานกลางจับจอง จิตของพระราชาและราชมหาอำมาตย์ ® ดูเทียบ องฺ.ปฌฺจก.(แปล)๒๒/๒๑๓/๓๕๕-๓๕๖ ^ ราตรีผ่านไปมากแลวหมายถึงเกือบจะสว่างนั่นเอง(ที.ม.อ.๑๕๑/๑๔๐-๑๔๑) ดูเทียบ วิ.ม.(แปล)๕/๒๘๖/๑๐๐-๑๐๑ (๒๙! www.kalyanamitra.org
ที่มีสักดื้น้อย ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน้1นที่ที่เทวดาผู้มี สักดิ้น้อยจับจอง® พระผู้มีพระภาคทรงเห็นเทวดาจำนวนมากเหล่านั้น พา กันจับจองที่เป็นพันๆ แห่ง ในปาฏลิคาม ด้วยทิพยจักษุอัน บริสุทธิ้เหนือมนุษย์ ครั้นในเวลาเช้าเมื่อเสด็จลุกขึ้น ร้บส์ง เรียกท่านพระอานนท์มาตรัสถามว่า \"อานนท์ ใครจะสร้าง เมืองในปาฏลิคาม\" ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า \"มหาอำมาตย์สุนืธะและ มหาอำมาตย์วัสสการะ ชาวแคว้นมคธกำลังจะสร้างเมืองใน ปาฏลิคาม เพื่อป้องกันพวกเจ้าว้ชช้ พระพุทธเจ้าช้า\" พระผู้มืพระภาคตรัสว่า \"มหาอำมาตย์สุนืธะและมหา อำ มาตย์วัสสการะชาวแคว้นมคธ จะสร้างเมืองในปาฏลิคาม เพื่อป้องกันพวกเจ้าวัชชี เหมือนได้ปรึกษากับพวกเทพชัน ดาวดึงส์แล้ว ณ ที่นี้ เราได้เห็นเทวดาจำนวนมากพากัน จับจองที่เป็นพันๆ แห่ง ในปาฏลิคาม ด้วยทิพยจักษุอัน บริสุทธเหนือมนุษย์ จิตของพระราชาและราชมหาอำมาตย์ที่มื สักดื้ใหญ่ ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวสนIนที่ที่เทวดาผู้มื สักดิ้ใหญ่จับจอง จิตของพระราชาและราชมหาอำมาตย์ที่มื สักดี้ปานกลาง ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน้1นที่ที่เทวดาผู้ มีสักติปานกลางจับจอง จิตของพระราชาและราชมหา อำ มาตย์ที่มืสักดน้อย ย่อมน้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน1นที่ที่ ® ทราบว่า เทวดาเหล่านี้ เข้าสิงในร่างของคนผู้เ^ยวชาญฺวิชาดูพื้นที่ แล้วให้ผู้ เที่ยวชาญเหล่านั้น บอกว่าควรจะสร้างบ้านเมืองที่นั้นที่นี้ ด้วยประสงค์จะให้ พระราชาและราชมหาอำมาตย์ผู้มืสักดี้ใหญ่ มืด้กดี้ปานกลาง มืสักดน้อย ใกล้ชิดกับตน และทำสักการะสมควรแก่ตน (วิ.อ. ๓/๒๘๖/๑๗๙) [๒๙] กา'รสTTงฟ้องปาฏลบุตร www.kalyanamitra.org
เทวดาผู้มีสักดื้น้อยจับจอง ตราบใดที่ยังเป็นแดนที่อารยชน ติดต่อกันอยู่ ตราบใดที่ยังเป็นเส้นทางค้าขาย ตราบนั้น เมือง ปาฏลีบุตรนียังจะเป็นเมืองชั้นเยี่ยม เป็นย่านการค้าอยู่ต่อไป แต่เมืองปาฏลีบุตรนั้นจะมือันตราย๓อย่าง คืออันตรายจากไฟ อันตรายจากนํ้า หรืออันตรายจากการแตกความสามัคคี\" [๑๕๓] ต่อมา มหาอำมาตย์สุนีธะและมหาอำมาตย์ วัสสการะชาวแคว้นมคธเข้าไปเฝัาพระผู้มืพระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกัน แส้วยึนอยู่ ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มืพระภาคดังนี้ว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอท่านพระโคดมพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ โปรดรันภัตตาหารของพวกข้าพระองค์ในวันนี้เถิด\" พระผู้มืพระภาคทรงรับนิมนต์ด้วยพระอาการดุษณี เมื่อมหาอำมาตย์สุนีธะและมหาอำมาตย์วัสสการะชาว แคว้นมคธทราบพระอาการที่พระผู้พระภาคทรงรับนิมนต์ แส้วจึงเข้าไปยังที่พักของตน ส้งให้จัดเตรืยมของขบฉัน อัน ประณีตไว้ในที่พักของตนแส้วให้คนไปกราบทูลแด่พระผู้มื พระภาคว่า \"ได้เวลาแส้ว ภัตตาหารเสร็จแส้ว พระพุทธเจ้าข้า\" ครั้นในเวลาเข้า พระผู้มืพระภาคทรงครองอันตรวาสก ถึอบาตรและจีวร®พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปยังที่พักของ มหาอำมาตย์สุนีธะและมหาอำมาตย์วัสสการะชาวแคว้นมคธ ® ดุรองอันตรวาสกลือบาตรแลร!จีวร เป็นสำนวนแสดงประเพณ1นกไรเข้าบ้าน นี้มิใข้ว่าก่อนหน้านี้ พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงนุ่งสบง ถือบาตรและจีวรไป โดยเปลือยพระวรกายส่วนบน ครองอันตรวาสก หมายถืง พระผู้มีพระภาค ทรงผลัดเปลี่ยนสบงหรือขยับสบงที่นุ่งอยูให้กระชับ ลือบาตรและจีวรหมาย ถืงทรงถือบาตรด้วยพระหัตถ์ ทรงถือจีวรด้วยพระวรกาย คือ ห่มจีวรอุ้ม บาตรน้นเอง (วิ.อ. ๑/๑๖/๑๘๐,ที.ม.อ. ๑๕๓/๑๔๓,ที.ม.ฎีกา ๑๕๓/๑๗๑) 1๓๐1 www.kalyanamitra.org
ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่1jลาดไว้แล้ว มหาอำมาตย์ทั้งสอง ได้นำของขบฉันอันประณีตประเคนภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า ทรงเป็นประธาน ให้อิ่มหนำด้วยมีอของตนๆ เมื่อพระผู้มีพระ ภาคเสวยเสร็จวางพระหัตถ์จากบาตร มหาอำมาตย์สุนีธะและ มหาอำมาตย์ว้สสการะชาวแคว้นมคธเลือกที่นั่ง ณ ที่สมควร ที่ใดที่หนึ่งซึ่งตํ่ากว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนาด้วยพระ คาถาเหล่านี้ว่า •'บัณฑิตอยูในที่ใด เลี้ยงดูท่านผู้มีสืล ผู้สำ รวม ประพฤติพรหมจรรย์ ในที่ที่ตนอยู่นั้น พึงอุทิศทักษิณา®แก่เหล่าเทวดาผู้สถิตอยู่ในที่นั้น เทวดาเหล่านั้นอันเขา\\jซาแล้ว ย่อมบูชาตอบ อันเขานับถือแล้ว ย่อมนับถือเขาตอบ จากนั้นย่อมอนุเคราะห์บัณฑิตนั้นเป็นการตอบแทน ดุจมารดาอนุเคราะห์บุตรผู้เกิดแต่อก'° ด้งนั้น ผู้ที่เทวดาอนุเคราะห์แล้ว ย่อมพบเห็นแต่สิงที่เจริญทุกเมื่อ\" ครั้นทรงอนุโมทนาแก่มหาอำมาตย์สุนีธะและมหา อำ มาตย์ว้สสการะชาวแคว้นมคธด้วยพระคาถาเหล่านี้ ทรง ลุกจากพุทธอาสน์เสด็จจากไป ® พึงอทิสทักษิณา หมายถึงพึงให้ส่วนบุญ (ที.ม.อ. ๒/®๕๓/๑๔๓) ^ บุตรผู้เกิดแต่อก หมายถึงบุตรที่มารดาเลี้ยงดูให้เจริญอยู่แนบอก (ที.ม.อ. ๑๔๓/๑๔๓) (๓๑! การสร้างฌองปาฎสีบุตร www.kalyanamitra.org
[๑๕๔] ลำ ดับนั้น มหาอำมาตย์สุนีธะและมหา อำ มาตย์วัสสการะชาวแคว้นมคธตามเสด็จพระผู้มีพระภาค ไปเบื้องพระปฤษฎางค์ ด้วยคิดว่า \"ประดูที่ท่านพระสมณ- โคดมเสด็จออกไปในว้นนี้จะมีชื่อว่าประตูพระโคดม ท่าที่ พระองค์เสด็จข้ามแม่นํ้าคงคาจะมีชื่อว่าท่าพระโคดม\" ต่อมา ประตูที่พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจึงได้มีชื่อว่า ประตูพระโคดม คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปใกล้ แม่นํ้าคงคา เวลานั้น แม่นํ้าคงคาเต็มเสมอฝัง นกกา(ก้ม)ดื่ม กินได้คนทั้งหลายผู้ปรารถนาจะข้ามฟาก บางพวกเที่ยวหาเรือ บางพวกเที่ยวหาแพ บางพวกผูกทุ่น พระผู้มีพระภาคพร้อม ด้วยภิกษุสงฆ์ทรงหายไปจากฝังนี้แห่งแม่นํ้าคงคาไปปรากฏ ที่ฝังโน้น เหมีอนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนออกหรือคู้แขนเข้า ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรคนเหล่านั้นผู้ปรารถนา จะข้ามฟาก บางพวกเที่ยวหาเรือ บางพวกเที่ยวหาแพ บาง พวกผูกทุ่น เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบความนั้นแล้ว ทรง เปล่งอุทานในเวลานั้นว่า \"คนพวกหนึ่งกำลังสร้างสะพาน® ข้ามสระ'®ใหญ่ โดยมิให้แปดเปีอนด้วยโคลนตม ขณะที่คนอีกพวกหนึ่งกำลังผูกทุ่นอยู่ ชนผู้ฉลาดได้ข้ามพ้นไปแล้ว\" ภาณวารที่ ๑ จบ ® สะพาน หมายถึงอริยมรรค {ที.ม.อ. ๑๕๔/๑๔๔) ^ สระ หมายถึงตัณหา (ที.ม.อ. ๑๕๔/๑๔๔) [๓๒] www.kalyanamitra.org
เรื่องอริยสัจ ๔® ประการ [๑๕๕] ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาครับสังเรียกท่านพระ อานนท์มาตรัสว่า \"มาเถิด อานนท์ เราจะเข้าไปยังโกฏิคามกัน\" ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงโกฏิคาม ประทับอยู่ที่ โกฏิคามนั้นรับส์งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า \"ภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ประการ เราและเธอทั้งหลายจึงเที่ยวเร่ร่อนไปตลอดกาล ยาวนานอย่างนี้ อริยสัจ ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดทุกขอริยสัจ เราและ เธอทั้งหลายจึงเที่ยวเร่ร่อนไปตลอดกาล ยาวนานอย่างนี้ ๒. เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดทุกขสมุทยอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายจึงเที่ยวเร่ร่อนไปตลอด กาลยาวนานอย่างนี้ ๓. เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดทุกขนิโรธอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายจึงเที่ยวเร่ร่อนไปตลอด กาลยาวนานอย่างนี้ ๔. เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดทุกขนิโรธคามินิ ปฏิปทาอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายจึงเที่ยว เร่ร่อนไปตลอดกาลยาวนานอย่างนี้ ® ดูเทียบ วิ.ม.(แปล)๕/๒๘๗/๑๐๓-๑๐๔. สํ.ม.(แปล)๑๙๑๐๙๑/๖๐๕ [๓๓1 เรื่องอรํยสัจ ๔ประการ www.kalyanamitra.org
ภิกษุฑั้งหลาย เราและเธอทั้งหลายได้รู้แจ้งแทงตลอด ทุกขอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายได้รู้แจ้งแทงตลอดทุกฃ- สมุทยอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายได้รู้แจ้งแทงตลอด ทุกขนิโรธอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายได้รู้แจ้งแทงตลอดทุกข นิโรธคามินิปฏิปทาอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายถอนภวตัณหา ได้แล้ว ภวเนตติ® สินไปแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก\"'\" พระผู้มี พระภาคผู้สุคตศาสดาได้ตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า \"เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง เราและเธอทั้งหลาย จึงท่องเที่ยวไป ในชาตินั้นๆ ตลอดกาลยาวนาน แต่เพราะได้เห็นอริยสัจ ๔ เราและเธอทั้งหลายจึงถอนภวเนตติได้ ตัดรากเหง้าแห่งทุกข์ได้เด็ดขาด บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก\" ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเมึ่อประทับอยู่ที่โกฏิคาม ทรง แสดงธรรมีกถาเป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า \"สีลมี สักษณะอย่างนี้ สมาธิมีสักษณะอย่างนี้ ปัญญามีลักษณะ อย่างนี้ สมาธิอันบุคคลอบรมโดยมีสืลเป็นฐาน ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาอันบุคคลอบรมโดยมีสมาธิเป็นฐาน ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันบุคคลอบรมโดยมี ® ภรเนตติหมายถึงตัณหานำไป^ภพตัณหาประคุจเชือกซึ่งสามารถน่าสัตว์ออก จากภพไป^ภพ (ที.ม.อ. ๑๕๕/๑๔๔,องฺ.จตุกุก.อ. ๒/๑/๒๗๔) ^ ดูเทียบ อง..จตุกุก.(แปล)๒๑/๑/๑-๒ 1๓๔) www.kalyanamitra.org
ปัญญาเป็นฐาน ย่อมหลุดพ้นโดยชอบจากอาสวะทั้งหลาย คือ กามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ\" ความไม่หวนกลเบมาและจะสำเร็จสัมโพธิ ในวันข้างหน้า'' [๑๕๖] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ตาม ความพอพระทัยในโกฏิคาม รับสังเรียกท่านพระอานนท์มา ตรัสว่า \"มาเถิด อานนท์ เราจะเข้าไปยังนาทิกคามกัน\" ท่าน พระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หยู่ใหญ่เสด็จถึงนาทิกคาม ประทับอยู่ที่ พระตำหนักอิฐ ในนาทิกคาม ลำ ดับนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝืาพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุสาฬหะที่มรณภาพในนาทิกคาม มีคติเป็นอย่างไร มีภพหนัาเป็นอย่างไร ภิกษุณีนันทาที่มรณภาพในนาทิกคาม มีคติเป็นอย่างไร มีภพหนัาเป็นอย่างไร อุบาสกสุทัตตะที่ดับชีพในนาทิกคาม มีคติเป็นอย่างไรมี ภพหน้าเป็นอย่างไร ® ดูเทียบ สิ.ม.(แปล)๑๙/๑๐๐๔-๑๐๐๖/๕๐๕-๕๐๙ ๓๕ ความไม่หวนกลับมาและจะสำเร็จสัมโพรในวันข้างหน้า www.kalyanamitra.org
อุบาสิกาสุชาดาที่ดับชีพในนาทิกคาม มีคติเป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร อุบาสกกกุธะที่ดับชีพโนนาทิกคาม มีคติเป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร อุบาสกการฟิมภะ ฯลฯ อุบาสกนิกฏะ ฯลฯ อุบาสกกฏิ สสหะ ฯลฯ อุบาสกตุฎฐะ ฯลฯ อุบาสกสันตุฏฐะ ฯลฯ อุบาสกภฏะ ฯลฯ อุบาสกสุภฏะที่ดับชีพโนนาทิกคาม มีคติ เป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร [๑๕๗] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า \"ภิกษุสาฬหะ ทำ โห้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะ อาสวะสินไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยูในปัจจุบัน ภิกษุณีน้นทาเป็นโอปปาติกะ® เพราะสังโยชน์เบื้องตํ่า ๕ ประการสินไปปรินิพพานโนภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลก นั้นอีก อุบาสกสุทัตตะเป็นพระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ ประการสินไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง มา^ภพนี้ อีกเพียงครั้งเดียวก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ® โอปปาติกะ หมายถึงสัตว์ที่เกิดและเติบโตเต็มที่ทันที และเมื่อจุติ (ตาย) ก็ หายวับไปไม่ทิ้งซากศพ เช่น เทวดาและสัตว์นรก เป็นต้น(ที.สี.อ.๑๗๑/๑๔๙) แต่ในที่นี้หมายถึงพระอนาคามีที่เกิดในภพชั้นสุทธาวาส (ที่อยู่ของท่านผู้ บริสุทธิ้) ๕ ชั้แมีชั้นอวิหา เป็นต้น แล้วดำรงภาวะอยู่ในชั้นนั้นๆ ปรินิพพาน สินกิเลสในภพชั้นสุทธาวาสนั่นเองไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก(องฺ.ติก.อ.๒/ ๘๗-๙๘/๒๘๒-๒๘๓) (๓๖) www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 513
Pages: