Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือ ศรัทธา รุ่งอรุณเเห่งสันติภาพโลก โดย พระภาวนาวิริยคุณ

หนังสือ ศรัทธา รุ่งอรุณเเห่งสันติภาพโลก โดย พระภาวนาวิริยคุณ

Description: หนังสือ ศรัทธา รุ่งอรุณเเห่งสันติภาพโลก โดย พระภาวนาวิริยคุณ

Search

Read the Text Version

บทที่ ๖ ปัจจัยส่งเสริมสัมมาทิฏเ จากบทที่ ๔ได้กล่าวแล้วว่า บุคคลที่มีสัมมาทิฏฐิมั่นคง เท่านั้น จึงจะสามารถพัฒนาตถาคตโพธิสัทธาขึ้นในจิตใจ ของตนให้มั่นคงถาวรตลอดไป กระนั้นก็ตามก่อนที่สัมมา- ทิฏฐิจะหยั่งรากลึกลงไปในจิตใจของผู้คนอย่างแท้จริงได้นั้น จำ เป็นจะต้องมีปัจจัยสำคัญยิ่งคอยล่งเสริมสนับสนุนให้ สัมมาทิฏฐิตั้งมั่นอยู่ได้อย่างมั่นคงไม่คลอนแคลน ถ้าจะอุปมาเหมีอนการก่อสร้างตึกระฟ้า ปัจจัยสำคัญ ยิ่งนี้ก็อาจเปรียบได้กับวัสดุการก่อสร้างต่างๆ เช่น เหล็กเล้น ยู่นช่เมนต์ ทราย กรวด และหินขนาดต่างๆ ฯลฯ ซึ่งเป็น องค์ประกอบของคอนกรีตเสริมเหล็กที่ท่าให้ตึกระฟ้าทรงตัว ตั้งตระหง่านอยู่ได้อย่างมั่นคง s ,©๗(ท ; ปัจจัยส่งฟรํมสืมมาทิฎฐ www.kalyanamitra.org

ถ้าจะอุปมาเหมือนต้นไม้ใหญ่ ปัจจัยสำคัญยิ่งนี้ก็ เหมือนกับรากประเภทต่างๆ รวมถึงกิ่งก้านและใบ ซึ่งทำ หน้าที่สรรหาและปรุงอาหารมาปารุงเลี้ยงต้นไม้ใหญ่ได้อย่าง ทั่วถึงนั่นเอง และตราบใดที่ปัจจัยสำคัญยังทำหน้าที่หล่อ เลี้ยงล่งเส^มสน้บสนุนต้นไม้นั้นต่อไป รวมทั้งไม่ถูกรบกวน จากคัตรูใดๆ อีกด้วย ต้นไม้ใหญ่นั้นก็ย่อมจะยีนต้น ตระหง่านน้บร้อยปีพันปี ปัจจัยสำคัญยิ่งดังกล่าวสามารถล่งเสริมสนับสนุน ตึกระฟ้าและต้นไม้ใหญ่ให้มั่นคงถาวรได้ฉันใด มรรคมีองค์๘ ก็ฉันนั้น ย่อมเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่สามารถล่งเสริมสนับสนุน สัมมาทิฏฐิในจิตใจบุคคลให้มั่นคงแน่วแน่ตลอดไป รวมทั้ง จะทวีความเข้าใจให้ลุ่มลึกยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับอีกด้วย กล่าวได้ว่า สัมมาทิฏฐิอันเป็นปอเกิดของตถาคตโพธิสัทธานั้น จะมั่นคงเพียงใดขึ้นอยู่กับการปฏิบัติมรรคมืองค์ ๘ อย่าง ต่อเนื่องเป็นสำคัญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงมรรคมีองค์ ๘ ไว้ เป็นองค์ประกอบอันดับสุดท้ายของอริยสัจ ๙ สำ หรับใข้เป็น วิธีปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ทั้งปวงโดยลี้นเข้ง มีผลสัพธ์คึอ การบรรลุมรรค ผล นิพพานอันเป็นบรมสุข เซึ่อว่าผู้ที่เคย ตึกษาพระพุทธศาสนา ย่อมมืความเข้าใจดีอยู่แล้ว ดังนั้น ในบทนี้จึงขอกล่าวถึงมรรคมีองค์ ๘ อย่างย่อๆ เพียงเพี่อแสดงให้เห็นว่า มรรคมีองค์ ๘ สัมมาทิฎเ และ ตถาคตโพธิสัทธา มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสืนติภาพโลก www.kalyanamitra.org

องค์ประกอบของมรรคมืองค์ ๘ มรรคมีองค์ ๘ ประกอบด้วยองค์มรรค เรียงลำด้บ ด้งต่อไปนี้ ๑. สัมมาทิฏเหมายถึง ปัญญาอันเห็นชอบ ความเห็น ชอบ ความเห็นถูกต้อง ๒. สัมมาสังกปปะ หมายถึง ความดำริชอบ ความคิด ชอบ ความคิดถูกต้อง ฅ. สัมมาวาจา หมายถึง วาจาชอบ วาจาถูกต้อง การพูดถูกต้อง ๔. สัมมาก้มมันตะ หมายถึง การงานชอบ ทำ ถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ๔. สัมมาอารวะ หมายถึง ความเลี้ยงชีวิตชอบ ทำ อาชีพถูกต้อง ๖. สัมมาวายามะ หมายถึง ความเพียรชอบ ความเพียรถูกต้อง ๗. สัมมาสติ หมายถึง ความระลึกชอบ ระลึกถูกต้อง ๘. สัมมาสมาธิ หมายถึง ความตั้งจิตมั่นชอบ ตั้งจิต ไว้ถูกต้อง พระธรรมคำสังสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ส่วนมากมักจะทรงแสดงไว้ ๒ ระดับ คือ ๑) ระดับโลกียะ4งเป็นระดับต้นเป็นเรื่องของชาวโลก ที่ยังเป็น!]ลุชน หนาด้วยกิเลส «๗๕ องค์ประกอบของมรรคมีองค์ ๘ www.kalyanamitra.org

๒) ระดับโลคุตตระซึ่งเป็นระดับสูงหรือระดับพ้นวิสัย ของชาวโลก เป็นระดับที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิเลสแล้ว มรรคมีองค์ ๘ นี้ ก็เช่นเดียวกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแสดงไว้ทั้ง ๒ ระดับ แต่ในที่นี้จะกล่าวขยายความเฉพาะ ระดับชาวโลกเท่านั้น ๑. สัมมาทิฏเ หมายถึง ป็ญญๆสันเห็นชอบ ได้แก่ ความเข้าใจถูกเกี่ยวกับเรื่องโลกและข้วิตตามความเป็นจริงเช่น เรื่องกฎแห่งกรรม บุญ-บาป ดี-ชั่ว ควร-ไม่ควรโลกนี้-โลกหน้า คุณของบุพการื คุณของพระอรหันต์ คุณของพระสัมมา สัมพุทธเจ้า และที่สำคัญยิ่งก็คือ เรื่องอริยสัจ ๔ บุคคลที่มีป้ญญาเข้าใจเรื่องดังกล่าว ย่อมรู้จักอบรมตน ปรับปรุงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของตน เพื่อให้สามารถ ดำ รงชีวิตอยู่อย่างมีความสุขตามอัตภาพ คราใดที่ประสบ อุปสรรคและป้ญหาต่างๆ ในชีวิต ก็สามารถหาทางแกไขให้ สำ เร็จลุล่วงได้ด้วยความสุจริต โดยไม่ต้องก่อบาปกรรมเพื่ม ขึ้น ขณะเดียวกันก็เกิดปัญญาหาทางสังสมบุญกุศลให้ยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยวิธีการต่างๆ ตามหสักธรรม เพื่อความสุขของชีวิต ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า จนกว่าจะเข้าล่พระนิพพาน เพื่อ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏที่เต็มไปด้วยความ ทุกข์อีกต่อไป พร้อมกันนั้นก็พยายามหาหนทางชี้แนะปลูกฝัง อบรมผู้ใกล้ชิดให้มีสัมมาทิฎฐิอยู่เสมอ สัมมาทิฏฐินี้ ท่านจัดไวิในเรื่องของปัญญา หรือปัญญา ขันธ์ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก .* ©๗๖;s www.kalyanamitra.org

๒. สัมมาสังกัปปะ หมายถึง ดำ ริชอบ ได้แก่ ความ คิดถูกต้อง ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากสัมมาทิฏฐิ หรือความเข้าใจ ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องโลกและชีวิตตามความเป็นจริง หรือ สัจธรรมทั้งปวง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสอธิบายสาระสำคัญ ๓ ประการ ของสัมมาสังกัปปะไว้ใน มหาสติปัฏฐานสูตร® ดังนี้ •'สัมมาสังกัปปะเป็นอย่างไร คือความดำริออก จากกาม ความดำริในการไม่พยาบาท ความดำริใน การไม่เบียดเบียน นี้เริยกว่า สัมมาสังกัปปะ\" ความดำริออกจากกาม คือ ความคิดที่จะนำไป^การ กระทำที่หลีกเลี่ยงจากการหมกม่นอย่ในกามสุข หรือกามคุณ ๕ได้แก่ รูป รส กลิ่น เลียง สัมผัส ซึ่งนอกจากจะเป็นสาเหตุ แห่งทุกข์แล้วยังเหนื่ยวรั้งคนเราให้ติดข้องอยู่ในวงจรแห่ง สังสารวัฏ อย่างไม่มีทางพบความหลุดพ้นอีกด้วย ความดำริในการไม่พยาบาท คือ ความคิดที่จะนำไปส่ การกระทำที่หลีกเลิ่ยงจากการโกรธแค้น และเบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งจ้ดเป็นการสังสมกรรมชั่วให้ตนเอง อีกทั้งเป็นการก่อเวร ผูกพันกันข้ามชาติด้วย ความดำริในการไม่เบียดฒียน คือ ความคิดที่จะนำไป ส่การกระทำที่หลีกเลิ่ยงจากการเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น การเบียดเบียนตนเองนั้นมีอยู่หลากหลายรูปแบบ เช่น การ ทรมานตน ด้วยการปฏิบัติผิดต่างๆ ตามความเชื่อนอก ® ม.มู. ๑๒/๑๓๕/๑๒๖ (มจร.) ๑๗๗ องค์ประกอบของมรรคมีองค์ ๘ www.kalyanamitra.org

พระพุทธศาสนาการขาดวินัยในการดูแลสุขภาพร่างกายตนเอง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวไต้ว่า บุคคลที่ไต้ร้บการปลูกฝัง สัมมาทิฎฐิอย่างถูกต้อง และพัฒนาขึ้นตามลำดับ อยู่ห่างไกล จากมิจฉาทิฎฐิบุคคล ความคิดของเขาย่อมจะเป็นสัมมา- สังกัปปะเสมอ ซึ่งจัดเป็นกรรมดีที่จะเป็นเหตุนำพาชีวิตไปยู่ ความสุขความเจริญ สัมมาสังกัปปะนี้ ท่านจัดไวิไนเรื่องปัญญา หรือ ปัญญาขันธ์ เช่นเดียวกับสัมมาทิฏฐิ ฅ. สัมมาวาจา หมายถึง วาจาชอบ ได้แก่ การพูดจา อย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นการประพฤติสุจริตทางวาจา ตามธรรมดา คนเรามีความเข้าไจอย่างไร ย่อมจะมี ความคิดตามที่ตนเข้าไจ ครั้แเมื่อจะพูดสิงไดออกมา เขาก็จะ พูดตามที่เขาคิด บุคคลที่มีสัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ ก่อนจะพูดสิงได เขาจะต้องตรืกตรองอย่างรอบคอบและคิด ปรุงแต่ง วาจาไห้เหมาะสมเสืยก่อน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไต้ ตรัสไว้ไน จูฬเวทลลสูตร® ว่า \"บุคคลย่อมตรึกตรองแส้วจึงฟล่งวาจา เพราะฉะนั้น วิตก (ตรึก) และวิจาร (ตรอง) จึงเป็น วจีสังขาร (ปัจจัยปรุงแต่งวาจา)...\" ด้วยเหตุนี้ สัมมาวาจาจึงเป็นองค์มรรคที่พระสัมมา- สัมพุทธเจ้าทรงเรึยงลำดับต่อจากสัมมาสังกัปปะ ซึ่งเป็นเรื่อง ® ม.ม. ๑๙/๕๐๙/๓๒๘(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ร)๗๘ www.kalyanamitra.org

ของความคิดนึกตรึกตรอง ถ้าคนเรามีดวามคิดถูกต้องก็ย่อม จะพูดออกมาอย่างถูกต้องเหมาะสม ดีงาม ไพเราะน่าฟัง แต่ ถ้ามีความคิดเป็นมิจฉาสังกัปปะ คำ พูดของเขาย่อมจะก้าวร้าว รุนแรง หยาบคาย แม้บางครั้งจะเป็นคำสุภาพ แต่ก็แฝงไว้ ด้วยความคิดทุจริต อาจกล่าวไต้ว่า สัมมาวาจามีความหมายอยู่ ๒ สักษณะ คือการพูดถูกด้องในเนื้อหา ^งเป็นสัมมาทิฏฐิ สักษณะหนึ่ง อีกลักษณะหนึ่งจัดเป็นสัมมาสังกปปะ ในแง่ของความคิดที่ แสดงว่าจะประพฤดิให้ถูกต้องที่งประกอบด้วยการไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเอียดไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจัอไร้สาระ จะ เห็นว่าความประพฤติถูกต้องทั้ง ๔ประการนี้คือเรื่องวจีสุจริต หรืออาจอนุโลมเข้าในเรื่องการรักษาคืลข้อที่ ๙ ในคืล ๕ ให้ บริสุทธิ้บริบูรณ์ก็ย่อมได้ เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว สัมมาวาจาเป็นวาจาสุภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ มีสักษณะสำคัญอยู่ ๕ ประการ ดังที่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน วาจาสูตร® ดังนี้ ๑. เป็นวาจาที่กล่าวถูกกาล ๒. เป็นวาจาที่กล่าวเป็นสัจจะ ๓. เป็นวาจาที่กล่าวอ่อนหวาน ๔. เป็นวาจาที่ประกอบด้วยประโยชน์ ๕. เป็นวาจาที่กล่าวด้วยเมตตาจิต ® อัง.ปัญจก. ๓๖/๑๙๘/๔๓๙(มมก.) องค์ประกอบของมรรคมีองค์ ๘ www.kalyanamitra.org

สำ หรับผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะย่อมมี ปัญญาตรึกตรองและกลั่นกรองถ้อยคำที่เป็นวาจาสุภาษิต เป็นนิสัย จึงกล่าวแต่วจีสุจริตเสมอ ซึ่งจัดเป็นการทำกรรมดี สัมมาวาจานี้ ท่านจัดไว!นเรึ่องของดีล หริอดีลขันธ์ ๔. สัมมากมฟ้นตะ หมายถึง การงานชอบ เป็นการ ประพฤติสุจริตด้วยการกระทำทางกายได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ การไม่สักทรัพย์ การไม่ประพฤติผิดในกาม จะเห็นว่าการ ประพฤติกายสุจริตทั้ง ๓ ประการนี้ คือการรักษาดีล ๓ ข้อแรกในคืล ๕ให้บริสุทธบริบูรณ์นั่นเอง ท่านผู้อ่านคงจะสังเกตเห็นโทษภัยของการประพฤติผิด คืล ๓ ข้อแรกด้งกล่าว ที่เกิดขึ้นแก่ผู้คนในสังคมเสมอมา ทุกยุคทุกสมัย ด้วยพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ พระสัมมา สัมทุทธเจ้าจึงตรัสแสดงอานิสงส์ คือผลดีของการรักษาสืล ๓ ข้อแรกได้บริสุทธบริบูรณ์!ว้สอนใจผู้คนนี้® ๑) การเว้นจากการฆ่า มีอานิสงส์คือ มีอวัยวะสมบูรณ์ มีเชาวน์ว่องไว มีเท้าเรึยบงดงาม นวลและสะอาด มีความกล้า มีก่าสังมาก มีวาจาสละสลวย เป็นที่รักของชาวโลก มีความ องอาจ มีรูปไม่พิการบกพร่อง เป็นผู้!ม่ตายเพราะด้ตรู เป็นผู้ มีบริวารมาก เป็นผู้มีรูปงาม ทรวดทรงดี มีโรคน้อยไม่โศกเศร้า ไม่พสัดพรากจากสัตว์'\"และลั่งที่รักที่พอใจ มีอายุยีน ® ชุ.ธ. ๓๙/๒/๔๐ (มมก.) ^ คำ ว่า สัตวในพระพทธสาสนา หมายถึง สัตวโลกทุกชนิด ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๑๘๐ www.kalyanamitra.org

๒) เว้นจากการลักทรัพย์ มีอานิสงส์คือ ความมั่งมี โภคทรัพย์สมบัติ โภคทรัพย์ที่ยังไม่เกิดก็จะเกิดขึ้นอย่างถาวร ได้โภคทร้พย์ตามที่ปรารถนาอย่างฉับพลัน โภคทรัพย์ที่มีอยู่ ไม่ถูกแบ่งด้วยพระราชา โจร นํ้า ไฟ หรือทายาทที่ไม่รักกัน ไม่รู้จักความไม่มี มีความอยู่เย็นเป็นสุข ได้โลๆตตรทรัพย์ ๓) การเว้นจากการบ่ระพฤติผิดในกาม มีอานิสงส์คือ ความไม่มีด้ตรู ความเป็นที่รักของทุกคน ความนอนสบายตื่น สบาย ความพ้นภัยในอบาย ความเป็นผู้ไม่เกิดเป็นสตรื หรือ เป็นคนไม่มีเพศ มีอารมณ์ดีเสมอ มีรูบ่ร่างลักษณะบริบูรณ์ ความอยู่เป็นสุขไม่ต้องลำบากตรากตรำ ความไม่มีภัยจากทุกทิศ อนึ่ง พระลัมมาลัมพุทธเจ้า ยังได้ตรัสแสดงโทษภัยของ การทำผิดคืลทั้ง ๓ ข้อ ดังกล่าวไว้ใน สัพพลหุสสูตร® ดังนี้ ๑) บ่าณาติบาตอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว I กระทำให้มากแล้วย่อมยั3ลัตว้ให้เป็นึ่พ!นนรก : ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเบ่รตริลัย ริบาก I แห่งบ่าณาติบาตอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความ i ฟ็นผู้มีอายุา&ฟ้ห้เป็นพแก่ผู้มาเกิด[ป็นมบุษย์ j ๒) อทินนาทานอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ; กระทำให้มากแล้วย่อมยังสัตว์ให้เป็นพในนรก I ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในฝรตริลัย ริบาก 1 แห่งอทินนาทานอย่างฌาที่สุด ย่อมย้งความ I พินาศแห่งโภคะให้เป็นไบ่แก่ผู้มาเกิดเป็นม'4ษย์ ® อัง.อัฎฐก. ๓๗/๑๓๐/๔๙๕(มมก.) «๘® องค์ประกอบของมรรคj3aงค์ ๘ www.kalyanamitra.org

๓) กาเมสุมิจฉาจารอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบาก แห่งกาเมสุมิจฉาจารอย่างเบาที่สุด ย่อมยัง สัตรูและเวรให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ จากอานิสงส์และโทษภัยของการประพฤติกายสุจริตและ ทุจริตตามลำดับดังที่พระพุทธองค์ตรัสแสดงไว้นี้ย่อมเห็นได้ว่า การประพฤติกายสุจริตทั้ง ๓ ประการดังกล่าว เป็นสิงจำเป็น อย่างยิ่งลำหรับทุกคนที่จะต้องปฏิบัติให้บริสุทฒริบูรณ์ เป็น กิจว้ตรประจำใจจนกลายเป็นนิสัยที่ดีงามตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมอันทรงคุณค่าเช่นนี้จะเกิดขึ้น ได้จริง ก็เพราะบุคคลมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ และสัมมา- วาจา สัมพันธ์กันมาตามลำดับเป็นอย่างดี สัมมาอัมมันตะนี้ ท่านจัดไว้ในเรื่องของสืล หรือสีลขันธ์ ๔. สัมมาอาชีวะ หมายถึง ความแยงชีวิตชอบ ได้แก่ การประกอบอาชีพที่ไม่ใช่มิจฉาอาชีวะ ท่านผู้อ่านคงพอจะ ตรองได้ว่า บุคคลที่มีสัมมาวาจาและสัมมากัมมันตะแล้ว ย่อมรู้ถึกละอายแก่ใจที่พูดเท็จ ย่อมสามารถประกอบอาชีพ เลี้ยงชีวิตที่เป็นสัมมาอาชีวะโดยไม่เกี่ยวข้องกับมิจฉาอาชีวะได้ พระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงสักษณะของมิจฉาอาชีวะไว้ใน มหาจัตตาเสกสตร® ว่า ® ม.อุ. ๑๔/๑๙0/๑๘๐ (มจร.) ศรัทธา รุ่งqณแห่งสันติภาพโลก ; ©๘๒ www.kalyanamitra.org

\"มิจฉาอาเวะเป็นอย่างไรคือการพูดหลอกลวง การเลียบเคืยง การหว่านล้อม การพูดและเล็ม การใช้ลาภต่อลาภนี้เป็นมิจฉาอารวะ\" นอกจากนี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงเกี่ยวกับ อาชีพค้าขาย ๕ ประการ ที่ฆราวาสไม่ควรประกอบไว้ใน วณิชชสูตร® ด้งนี้ ๑) การค้าด้สตราจุธ ๒) การค้าขายสัตว์ (ม\"เ^ย์) ๓) การค้าขายเนี้อ (สัตว์เอาไปฆ่า) ๔) การค้าขายของมึนเมา ๕) การค้าขายยา'พิษ บุคคลที่ประกอบอาชีพค้าขาย ๕ ประการนี้ ย่อมไม่ สามารถหลีกเลี่ยงจากการทำผิดคืล ๕ได้เลย ถ้า'พิจารณาใใง้รอบคอบแล้ว จะเ'ฬ็นได้ว่าสาระสำคัญ ของสัมมาอาชีวะ คือการงดเว้นการกระทำบางอย่าง เ'ที่อส่ง เสริมส'นับส'นนคืลในข้อสัมมาวาจาและสัมมากัมมันตะใ'ถ้ บริสุทธื้บริบุรณ์ยิ่งขึ้น สัมมาอาชีวะนี้ ท่านจัดไว้ในเรื่องของคืล หรือลีลขันธ์ ๖. สัมมาวายามะ หมายถึง ความเพียรชอบ ได้แก่ การขยันเจริญสมาธิภาวนา เ'พึ่อใ'ฬ้บรรลุจุดมุ่งหมาย ๔ประการ ® อัง.ปัญจก. ๒๒/๑๗๗/๒๙๕(มจร.) , ,; ©''๙๓ - องค์ประกอบซองมรรคมองค์ ๙ www.kalyanamitra.org

ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงไ^น มหาสติป้ฏฐานสูตร® ดังนี้ \"สัมมาวายามะ เป็นอย่างไร คือภิกษุในธรรม วินัยนี้ สร้างฉันทะ พยายาม ปรารถนาความเพียร ประคองจิต ยุ่งมั่นเพื่อ... ๑) ป้องก้นบาปอทุศลธรรม'\"ที่ย่งไม่เกิด มิให้เกิด ขึ้น ๒) ละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแสัว ๓) ทำ กุศลธรรม'\" ที่ย้^เกิดให้เกิดขึ้น ๔) ความดำรงอยู่ไม่เลือนหาย ภิญโญภาพ I (ความยิ่งขึ้เป้ป)ไพษุลย์ เจ่ริญเต็มที่แห่งกุศล- ; ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว\" สัมมาวายามะนี้ ท่านจัดไวในเรื่องของสมาธิ หรึอ สมาธิขันธ์ ๗. สัมมาสติ หมายถึง ความระลึกชอบ สัมมาสติเป็น เรื่องเดียวกับสติปัฏฐาน ๔ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัส แสดงเรื่องสัมมาสติไวิใน มหาสติปัฏฐานสูตร'^ ซึ่งมีใจความ ® ที.ม. ๑๐/๔๐๒/๓๓๖ (มจร.) ^ อกศลธรรม ในที่นี้หมายถึงนิวรณ์ ๕ได้แก่ ๑)กามฉันทะ ๒)พยาบาท ๓) ถึนมิทธะ (ความง่วงเหงาหาวนอน) ๔)อุทธัจจะทุกทุจจะ (ความไ^งรเาน) ๕) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) กุสลธรรม ในที่นี้หมายถึงสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ พิจารณาเห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม (อกุสลราสิสูตร ส.ม. ๑๙/๓๗๑/๒๑๖)(มจร.) ^ ที.ม. ๑๐/๔๐๒/๓๓๖ (มจร.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก «>(•(£'. www.kalyanamitra.org

โดยย่อดังนี้ \"สืมมาสติ เปีนอย่างไร คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ ; ๑. พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มี สัมป'รญํญะ มีสติ กำ จัดอภิชฌาและโทมนัส ในโลกได้ ๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ ฯลฯ ๓. พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ ๔. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มี ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่ กำ จัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกได้\" พระเดชพระคุณหลวงยู่วัดปากนํ้า พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้อธิบายขยายความมหาสติปัฏฐานสูตรไวิใน พระธรรมเทศนาของท่าน มีสาระสำคัญโดยย่อดังนี้® ๑) เห็นกายในกาย หมายถึง เมื่อเจริญสมาธิจน สามารถรวมใจเป็นหนึ่ง สงบนึ่ง ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างต่อเนึ่อง และเกิดความสว่างโพลงขึ้นที่ศูนย์กลางกาย ครั้นแล้วผู้ปฏิบัติก็จะได้เห็นกายต่างๆ ปรากฏขึ้นณศูนย์กลาง กายของตน เริ่มจากกายมนุษย์ละเอียดเป็นอันดับแรก และ ต่อเนึ่องไปยังกายภายในที่สวยงามยิ่งขึ้น ถ้าใจยังรวมนึ่ง สนิทต่อไปเริ่อยๆ ก็จะได้เห็นกายพระปฏิมากรเกตุดอกบัวดูม ซึ่งเรียกว่าพระธรรมกาย โดยเริ่มตั้งแต่ธรรมกายโคตรภูเรื่อย ไปจนถึงธรรมกายอรหัต ๑ พระมงคลIทพมุนี(๒๕๓๗)มรดกธรรมของหลวงพ่อวัคปากนํ้า(พระมงคล เทพมุนี(กรุงเทพฯ: วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ)หน้า ๕๒๐-๕๔๑ ๑๙๕ องค์ประกอบของมT5คมองค์ ๙ www.kalyanamitra.org

๒)เห็นเวทนาในเวทนา ผู้เจริญสมาธิภาวนาขณะที่ได้ เห็นกายภายในแต่ละกาย ก็จะได้เห็นเวทนา คือ ความเสิก ทุกข์ สุข ไม่ทุกข์ ไม่สุข ดีใจ เสียใจ ของแต่ละกายด้วย ฅ) เห็นจิตในจิต นอกจากเห็นความรู้สีกของกาย ภายในที่ได้เห็นแล้ว ผู้เจริญสมาธิภาวนา ยังสามารถเห็น ดวงจิตของแต่ละกายได้อย่างชัดเจนด้วย ๔) เห็นธรรมในธรรม ทั้งกายมนุษย์หยาบและกาย ภายในแต่ละกายล้วนมีดวงธรรมที่ทำให้กายเหล่านั้นดำรงชีวิต อยู่ได้ เช่น กายมนุษย์หยาบก็มีดวงธรรมที่ทำให้กายมนุษย์ หยาบดำรงชีวิตอยู่ได้ ถ้าดวงธรรมนี้ด้บ ชีวิตเราก็ด้บทันที ผู้เจริญสมาธิภาวนาที่มีจิตรวมเป็นหนึ่งสงบนิ่งและ สว่างโพลงจนสามารถเห็นกายภายในแต่ละกายแล้ว ก็จะ สามารถเห็นเวทนาของแต่ละกาย เห็นจิตของแต่ละกาย และ เห็นดวงธรรมของแต่ละกายไปตามลำดับๆ ผู้เจริญสมาธิภาวนา เมื่อสามารถเห็นกายในกายเนืองๆ ในลักษณะดังกล่าวแล้ว ย่อมเกิดความวิริยะอุตสาหะเจริญ ภาวนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะรู้สีกมีความสุขอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันสติสัมปชัญญะก็มั่นคงยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับ นั่นคือสัมมาสติได้เกิดขึ้นอย่างบริบูรณ์ พร้อมกันนั้นก็เกิด ป็ญญารอบรูสัจธรรมกว้างขวางยิ่งขึ้น จึงทำให้สามารถกำจด อภิชฌาและโทมนัสออกจากจิตใจของตนได้ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๑๘๖ www.kalyanamitra.org

สัมมาสตินี้ ท่านจัดไวในเรื่องของสมาธิ หรือสมาธิขันธ์ ๘. สัมมาสมาธิ หมายถึง ความตั้งจิตมั่นชอบ ได้แก่ ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง หรือเรืยกว่าเอกคคตาจิต ซึ่งเกิด จากการปฏิบัติตามมรรค ๗ องค์แรกอย่างบริสุทธิบริบูรณ์ ด้ง ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงไว้ใน มหาจัตตารีสกสูตร® ว่า \"ดูก่อนภิกชุทั้งหลาย ก็สืมมาสมาธิที่เป็นอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือสัมมาทิฎฐิ สัมมา สังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะสัมมาสติ เป็นไฉนดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแสัวด้วย องค์ ๗ เหล่านึ๊แล เรียกว่า สัมมาสมาธิที่เป็นอริยะ สันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง\" มรรคทั้ง ๘ ข้อนี้ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันตั้งแต่ข้อ แรกจนถึงข้อสุดท้าย แต่ละข้อต่างสนับสนุนเกื้อกูลกันไปตาม ลำ ดับ ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน มหาจัตตารีสกสูตร'\" ดัง ต่อไปนี้ \"ผู้มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ ก็มีพอเหมาะ ผู้มีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ก็มีพอเหมาะ ผู้มีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ ก็มีพอเหมาะ ผู้มีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ก็มีพอเหมาะ ® ม.อุ. ๒๒/๒๕๓/๓๔® (มมก.) ^ ม.อุ. ๒๒/๒๗๑'/๓๕๐ (มมก.) ©๘๗ องค์ประกอบของมรรค»5องค์ ๘ www.kalyanamitra.org

ผู้มีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ ก็มีพอเหมาะ ผู้มีสัมมาวายามะ สัมมาสติ ก็มีพอเหมาะ ผูมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ก็มีพอเหมาะ\" ความสัมพันธ์ระหว่างองค์มรรคทั้ง ๘ อาจแสดงด้วย แผนภมิดังนื สัมมาสมาธิ สัมมาสังกัปปร ๗ ฅ สัมมาสติ สัมมาวาจา สัมมาวายามร สัมมาก้มมันดร ๔ สัมมาอาชีวร สัมมาสมาธินี้ ท่านจัดไวในเรื่องสมาธิ หรือสมาธิขันธ์ ศรัทธา รุ่งอรุณเพ่งสันติภาพโลก 0๘๙ www.kalyanamitra.org

สรุป มรรคมีองค์ ๘ท่านสรุปให้สันลงเพียง ๓ประการ เรียก ว่า ไตรสิกขา คือ สีล สมาธิ และป็ญญฺา ทั้งนี้เพี่อสะดวกแก่ การนำไปปฏิบัติ และจัดกลุ่มแบ่งได้ดังนี้ มรรคมีองค์ ๘ ไตรสิกขา ปัญญา ๑. สัมมาทิฎฐิ ๒. สัมมาสังกัปปะ ๓. สัมมาวาจา } คืล ๔. สัมมากัมมันตะ ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ ๗. สัมมาสติ สมาธิ ๘. สัมมาสมาธิ มรรคมีองค์ ๘ แม้จะเริ่มต้นที่สัมมาทิฏฐิ แต่เมื่อปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามลำดับแห่งองค์มรรคอย่างบริสุทธี้บริบูรณ์ จนถึงมรรคองค์สุดท้ายคือสัมมาสมาธิแล้ว ก็จะส่งผลให้ สัมมาทิฏฐิของผู้ปฏิบัติยกระดับสูงขึ้นอีก เกิดปัญญาเข้าใจ โลกและชีวิต ตลอดจนถึงสัจธรรมต่างๆ ทวียิ่งขึ้นอีก ผู้เจริญ สมาธิภาวนายิ่งปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ได้มากรอบเพียงใด สัมมาทิฏฐิของเขาก็จะทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้นเพียงนั้น ด้วย เหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า การปฏิบัติตามมรรคมีองค์๘คือการสร้าง รากฐาน หรือปัจจัยเพื่อส่งเสริมสนับสนน \"สัมมาทิฎเ\" ให้ สถิตมั่นคงอยู่ในจิตใจของบุคคลยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดชีวิต ®๘(* องค์ประกอบของมรรคมองค์ a www.kalyanamitra.org

www.kalyanamitra.org

บทที่ ๗ ■'' A \\v55- การปลูกฝังตถาคตโพธิสัทธา ดังได้กล่าวแล้วในบทที่ ๔ ว่า สัมมาทิฎแบื้องด้น คือ บ่อเกิดแห่งตถาคตโพธิสัทธา ดังนั้น การปลูกฝ็งล้มมาทิฏฐิ ลงในจิตใจของผู้คน จึงเป็นเรื่องแรกที่จำเป็นและสำคัญที่สุด ทั้งต้องปลูกฝืงกันตั้งแต่เยาว์วัย การปลูกฝึงล้มมาทิฏฐิที่จะ ก่อให้เกิดผลล้มฤทธอย่างแท้จริง จะต้องเป็นล้กษณะการ ปฏิบัติที่กระทำเป็นกิจวัตรประจำวันจนกลายเป็นนิล้ย ดังนั้น จึงมีคำถามตามมาหลายคำถามดังนี้ ๑๙® การปลูกฝืงตถาคตโพธสัทธา www.kalyanamitra.org

• นิสัยคืออะไร •นิสัยมีกี่ประ๓ท แต่ละประ๓ทมีคุณและโทษอย่างไร • นิสัยมีหน้าที่อะไร •นิสัยพื้นฐานที่จำเป็นต้องรีบฝึกมีอะไรบ้าง • นิสัยมีกระบวนการเกิดขึ้นอย่างไร • แหล่งกำเนิดนิสัยอยู่ที่ไหน นิสัยคืออะไร นิสัย คือ พฤติกรรมทางกาย วาจา และใจ ที่คนเราทำ ชาๆ อยู่เสมอ มีทั้งคิดชาๆ พูดชํ้าๆ ทำ ชํ้าๆ จนเกิดเป็นความ เคย%นต้องทำเป็นประจำ ถ้าไม่ได้ทำเช่นนั้นอีก จะรู้สืกว่าตน ขาดอะไรไป เช่น ผู้ที่เคยสวดมนต์ก่อนนอนเป็นประจำ ถ้า คืนใดเข้านอนโดยไม่ได้สวดมนต์ก็จะหสับยาก หรีอบางคนที่ เคยสูบบุหรี่เป็นประจำ ถ้าวันไหนไม่ได้สูบบุหรี่ก็จะรู้สิก หงุดหงิดจนไม่มีสมาธิที่จะทำการงาน เป็นต้น ประเภทของนิสัย นิสัยของคนโดยทั่วไป อาจแปงออกเป็นประ๓ทใหญ่ๆ ได้ ๒ ประ๓ท คือนิสัยดีกับนิสัยไม่ดีหรีอนิสัยเสีย ผู้ที่มีนิสัยดีก็เพราะคิดดี พูดดี ทำ ดี เป็นปกติ หรีอกล่าว ได้อีกอย่างหนึ่งว่าผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิย่อมคิดดี จึงพูดดีเป็นปกติ (อันเป็นกระบวนการของการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘) ผู้ที่เป็น เช่นนี้ย่อมชื่อว่าเป็นผู้มีนิสัยดี นิสัยดีนี้จะเป็นโปรแกรมบุญ สำ หรบสร้ไงสรรค์คุณความดีต่างๆ ของบุคคล สันเป็นทางนำ ความสุข ความสำเร็จและบุญกุศลมาสํดีวิดของผู้ปฏิบัติอย่าง ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก Qelo www.kalyanamitra.org

ต่อเนื่องดลอด^วิดนื้ อีกทั้งจะส่งผลดีไปถึงโลกหน้าอีกด้วย นื่ดีอคุณซองนิสัยดี ในทางกลับกัน ผู้มีนิลัยไม่ดีหรึอนิลัยเสีย คือผู้ที่มี ความเห็นผิดทำนองคลองธรรมหรือที่เรียกว่ามิจฉาทิฏเ จึงคิด ไม่ดีพูดไม่ดี และทำไม่ดีเป็นปกติ นิสัยไม่ดีนื่จะเป็นโปรแกรม บาปหรือโปรแกรมก่อกรรมทำชั่วประจำอีวิตของบุคคลนั้น อันเป็นทางนำความยุ่งยาก เดีอดร้อน ความทุกข์ ความสัม- เหลว บาปอกุศล และสัดรูคู่อาฆาดมาส่ข์วิดของบุคคลอย่าง ต่อเนื่องดลอดดีวิดนั้ และเมื่อละโลกไปแล้วก็จะด้องไปส่ ทุคดิอย่างแน่นอน นื่คือโทษของนิสัยไม่ดี หน้าที่ของนิสัย ตามธรรมดาคนเราทุกคนต่างมีใจเป็นนาย ใจนี้ยัง ควบคุมพฤติกรรมทุกอย่างของคนเราอีกด้วยดังที่พระลัมมา- ลัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย คาถาธรรมบท'^''ว่า ''มโนฟุพฺพงฺคมา ธมุมา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหวหน้า\" ถ้าถามต่อไปว่าใครหรืออะไรเป็นหัวหน้าควบคุมใจของ เรา คำ ตอบก็คือนิสัยนั่นเอง ที่เป็นหัวหน้าหรือเป็นนาย คอยควบคุมบงการคนเราใหัประพฤติดีหรือชั่วต่างๆ นานา ® ชุ.ธ. ๔๑/๑๐/๑ (มมก.) ®พ01 ทาราทึ่ของนิสัย www.kalyanamitra.org

นิสัยพีนฐานทีจำเป็นต้องรืบ่แก นิสัยพื้นฐานที่จำเป็นต้องรีบฝึกให้กับทุกคนตั้งแต่ เยาว์วัย เพื่อจะไต้เติบโตขึ้นเป็นคนดีที่โลกต้องการมีอยู่๓ชนิด คือ ๑. ความเคารพ ๒. ความมีวินัย ๓. ความอดทน ๑. ความเคารพ ความเคารพ หมายถึง การเปีดใจ ค้นหา ยอมรบและ ยกย่องนับถือคุณความดีที่มีอยู่ในตัวบุคคล วัตถุ และ เหตุการณ์ต่างๆ บุคคลที่มีความเคารพเป็นนิสัย ย่อมชอบจับจ้องมอง หาคุณความดีของทุกๆ คน มองหาคุณประโยชน์ของทุกๆ สิงและทุกๆ เหตุการณ์ที่ตนเกี่ยวข้องและรับรู้ เมื่อพบแล้วก็ ยอมรับนับถึอพร้อมทั้งประพฤติปฏิบัติตนต่อบุคคล วัตถุ และเหตุการณ์นั้นๆ อย่างเหมาะสม ในที่สุดพฤติกรรมอันดี งามที่ตนประพฤติปฏิบัติทั้งหมดนั้น ก็จะเกิดเป็นนิสัยดีงาม ของตนต่อไป ความเคารพที่ตัองรีบฝึกกันให้เป็นนิสัย ตั้งแต่เยาว์วัย มี ๖ ประการ คือ ๑. ความเคารพพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ศรัทธา รุ่งอรุณแพ่งสันติภาพโลก ๑พ www.kalyanamitra.org

๒. ความเคารพมารดาบิดาและญาติผู้ใหญ่ ๓. ความเคารพการสืกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ สืกษาทางธรรม ๔. ความเคารพสมาธิ ๕. ความเคารพความไม่ประมาท ๖. ความเคารพการปฏิสันถาร แท้ที่จริงบุคคลที่มีความเคารพเป็นนิสัย ก็คือบุคคลที่ ประพฤติดามสัมมาทิฏฐิช้อที่ ฅ คือ การยกย่องบูชามีผลนั่นเอง นิสัยอันดีงามนี้นอกจากจะเป็นการสังสมกรรมดีที่จะสามารถ อำ นวยประโยชน์สุขให้แก่บุคคลนั้นแล้ว ยังจะสามารถก่อให้ เกิดประโยชน์สุขแก่สังคมโดยรวมอีกหลายประการ ที่สำ คัญ คือการเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่บุคคลรอบข้าง ๒. ความมึวินัย รินิย หมายถึง ระเบียบ ข้อบงสับ ข้อท้าม ที่บญญ้ติไว้ เป็นหสักปฏิบติ เพื่อความสงบเรียบร้อยดีงามทั้งชองดนเอง และหมู่คณะ บุคคลที่มีวินัยเป็นนิสัยย่อมมีปกติรักการปฏิบัติตาม ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อห้าม ที่ก่าหนดไว้ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ ทำ งาน สถาบันการคืกษา ตลอดจนตามที่สาธารณะต่างๆ รวมทั้งระเบียบปฏิบัติในลักษณะที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี กฎหมายปกครองท้องถิ่นและประเทศ ที่สำ คัญคือผู้มีวินัย ย่อมสามารถรักษาคืลได้บริสุทฒริบูรณ์ &ร่:๕ . นํสัยพนฐานที่จ้าเป็นต้อง่รบฝึก www.kalyanamitra.org

ความมีวินัยที่ต้องรีบแกใmiเนนิสัยมีอยู่ ๔ ประการ คือ ๑. ความมีวินัยในการแสดงความเคารพ การรู้จัก แสดงความเคารพอย่างถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ ย่อม เป็นเสน่ห์ประจำตัวอย่างหนึ่งของผู้ปฏิบัติ ๒. ความมีวินัยในการรักษาความสะอาด ความสะอาด ในที่นี้หมายถึง การรักษาความสะอาดทั้งร่างกาย เครื่องนุ่งห่ม สิงของเครื่องใช้และสถานที่ ทั้งที่เป็นของตนเองและผู้อื่น ตลอดจนสถานที่สาธารณะที่ตนเช้าไปเกี่ยวช้อง การที่ผู้คนใน สังคมแกนิสัยให้มีวินัยในการรักษาความสะอาดต้งกล่าวแล้ว นอกจากจะทำให้ทั้งผู้คน สิงของ สถานที่ และสิงแวดล้อม สะอาด น่าดู เป็นที่เจริญตาเจริญใจแล้ว ยังเป็นการป้องกน มิให้เกิดการจับผิดล้นขึ้นอีกด้วย ๓. ความมีวินัยในการรักษาความเป็นระเบียบ ความ เป็นระเบียบในที่นี้หมายถึง ความมีระเบียบในการทำกิจวัตร ประจำวันต่างๆ เกี่ยวกับ การกิน การนอน การแต่งกาย การ ทำ งานในหนัาที่ที่รับผิดชอบ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ได้แก่ การประกอบอาชีพหรือการคืกษาเล่าเรียน การจัดการเรื่อง รายรับและรายจ่าย เรื่องการบริหารร่างกายและการพักผ่อน เป็นต้น ผู้ที่มีวินัยดีในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ย่อมสามารถวางแผน จัดระเบียบ ในการทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างลงตัว ทำ ให์ไม่มี ปัญหาสับสนรุ่นวาย ย่อมมีอารมณ์ดี สุขภาพกายและใจของ สมาชีกในครอบครัวทุกคนก็พลอยดีไปด้วย ยิ่งกว่านั้นยัง อาจสามารถจัดแน่งเวลาไว้สำหรับคืกษาและปฏิบัติธรรม เป็น ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ©๙๖'. www.kalyanamitra.org

กิจวัตรประจำวันได้อีกด้วย ซึ่งถ้าทำได้เช่นนี้ย่อมได้รู่อว่า บรรลุ วัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ว่า\"เราเกิดมาสร้ไงบารมี\" แล้วและถ้ามีวิริยะอุตสาหะสืกษาและปฏิบัติธรรมมากขึ้นอีก ก็จะเป็นการตอกยํ้าตถาคตโพธิสัทธาให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้น ๙. ความมีวินัยในการตรงต่อเวลา ความตรงต่อเวลา ในที่นี้หมายถึง ความตรงต่อเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ทุกๆ เรื่อง นับตั้งแต่เรื่องกิจวัตรประจำวันของตัวเราเอง เช่น การ กินอาหารแต่ละมื้อเป็นเวลา การเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา การออกจากบ้านไปทำงานหรือไปโรงเรียนและการกลับถึง บ้านเป็นเวลา เป็นต้น นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องความตรงต่อเวลา ในการทำภารกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้อึ่น เช่น การเข้าทำงานและ เลิกงานตรงเวลา การเข้าประชุมและเลิกประชุมตรงเวลา การ ไปถึงที่นัดหมายตรงเวลา เป็นต้น ผู้ที่มีปกติตรงต่อเวลาเป็นนิลัยก็เพราะมีความสำนึก รับผิดชอบ ต่อภารกิจหน้าที่ที่ตนจะต้องกระทำอย่างสูง ดังนั้น บุคคลประเภทนี้จึงมีประสิทธิภาพในการทำงานสูง เป็นที่ เคารพเชื่อถึอไว้วางใจ จากผู้ร่วมงานเป็นอย่างดีและมักจะ ประสบความสำเร็จในอารีพการงานของตนอีกด้วย ผู้ที่มีปกติตรงเวลาเป็นนิลัยในการทำกิจวัตรประจำวัน ต่างๆ ของตนเอง ย่อมจะมีความตรงต่อเวลาในการทำกิจที่ เกี่ยวข้องกับผู้อื่นด้วย ยกเว้นกรณีที่มีเหตุขัดข้องเหลือวิลัย เท่านั้น ดังนั้น เด็กๆ ทุกคน ควรได้รับการสืกวินัยว่าด้วย ความตรงต่อเวลา ในการทำกิจวัตรประจำวันของตนเองให้ เกิดเป็นนิลัย เพื่อว่าเขาจะสามารถสร้างวินัยในเรื่องความตรง ต่อเวลา เมื่อทำภารกิจต่างๆ นอกบ้านให้เป็นนิสัยด้วย ©«๗ นํสัยพื้นฐานที่จำฟ้นต้องรบฝึก www.kalyanamitra.org

ต. ความอดทน ความอดทน หมายถึง ความยีนหยัดไม่ท้อถอยในการ ทำ ความดี แม้ว่าจะมีอุปสรรคใดๆ มาขวางกั้น ความอดทนมีอยู่ ๒ ลักษณะ คือ ๑. เมื่อถูกบีบคั้น ถูกเยาะเย้ย ก็ต้องอดทน ไม่ยอม ล้มเลิก ๒. เมื่อถูกยั่วเย้า ก็ต้องอดใจ ไม่ลุ่มหลง นิลัยอดทน คือ นิลัยที่ไม่ท้อถอยในการทำคุณงาม ความดีทุกชนิด ผู้ที่มีนิลัยอดทนจึงเป็นผู้ที่ไม่เคยล้มเลิก ทำ ความดีกลางคันทุกกรณี ความอดทนที่ต้องรีบแกให้เป็นนิสัย ๔ ประการ คือ ๑. ความอดทนต่อความลำบากตรากตรำ หมายถึง ความอดทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศตามธรรมชาติที่มีความ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดปี เช่น ทนแดด ทนลม ทนฝน ทน ความร้อน-หนาวของอากาศ เป็นต้น บุคคลที่ขาดความอดทนต่อความสำบากตรากตรำ เมื่อต้องประสบกับสภาพดินฟ้าอากาศตามธรรมชาติที่ไม่มี ความแน่นอน เปลี่ยนแปลงทุกๆ ฤดูกาล แต่ละฤดูกาลยัง เปลี่ยนแปลงทุกวันอีก ก็จะรู้ถึกท้อถอย หมดกำลังใจที่จะ สานงานซึ่งกำลังทำอยู่ให้สำเร็จลุล่วงไปไต้ ยิ่งกว่านั้นความไม่ แน่นอนของสภาพดินฟ้าอากาศ ยังจะส่งผลให้เกิดปัญหาอึ่นๆ ตามมาอีกมากมาย ถ้าบุคคลขาดความอดทนต่อความสำบาก ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก www.kalyanamitra.org

ตรากตรำเสียแล้ว ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในการทำดี ทุกรูปแบบ ๒. ความอดทนต่อทุกขเวทนา หมายถึง ความอดทน ต่อโรคภัยไข้เจ็บ ตลอดถึงความหิวโหย ความง่วงเหงา หาวนอน เป็นต้น บุคคลบางคนอาจมีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงสมบูรณ์ เพราะมีโรคประจำตัวมาตั้งแต่เกิด เช่น โรคภูมิแพ้ ฯลฯ หรือ เพราะประสบอุบัติเหตุร้ายแรง หรือเพราะสาเหตุอื่นก็ตาม ถ้า เขามีความอดทนต่อทุกขเวทนา เขาก็จะมีจิตใจทรหดอดทน พร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ อยู่เสมอ ย่อมสามารถ ประกอบคุณงามความดีต่างๆไต้ ไม่แพ้ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์ ในทำนองกล้บภัน บุคคลที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ดี แต่บางครั้งเมื่อเจ็บไข้ไต้ปวยเล็กๆ น้อยๆ หรือ หิวโหยเพราะขาดแคลนอาหารกะทันหัน หรืออดหลับอดนอน เพราะมีงานเร่งด่วนที่ต้องทำให้เสร็จทันเวลา ถ้าขาดความ อดทนต่อทุกขเวทนาเสียแล้ว เขาก็จะรู้สืกถดลอยหรือท้อแท้ ไม่มีกำลังใจที่จะทำงานที่กำลังทำอยู่ให้สำเร็จลุล่วงไปไต้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า ถ้าทำสำเร็จจะไต้ร้บอานิสงส์สุดจะพรรณนา ด้วยเหตุนี้ การปลูกฝังความอดทนต่อทุกขเวทนาให้ เกิดเป็นนิสัยตลอดชีวิตของคนเราจึงเป็นสิงจำเป็นที่ต้องรืบทำ ฅ. ความอดทนต่อความเจ็บใจ หมายถึง ความอดทน ต่อความโกรธ ความไม่พอใจ ความขัดใจ อันเกิดจาก พฤติกรรมของผู้คนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมักจะมีการกระทบกระทั่ง ๑«'๙ นิสัยพื้นฐานที่จำฟ้นต้องรบฝึก www.kalyanamitra.org

ด้วยคำพูดเยาะเย้ยถากถาง ด้วยกิริยามารยาทที่ไม่เหมาะสม ตลอดจนความไม่ยุติธรรมทั้งจากผู้บังคับบัญชาและผู้ร่วม งานทุกฝ่าย ความเจ็บใจเกิดจากกิเลสตระถูลโทสะ ซึ่งแฝงอยู่ในใจ ของทุกคนตั้งแต่เกิด ถ้าคนเราสามารถข่มกิเลส คือโทสะให้ สงบลงได้ แม้ใครจะแสดงพฤติกรรมชั่วร้ายกระทบกระทั่ง ถ้าวร้าวต่อเรา เราก็สามารถวางเฉยได้ด้วยใจสงบ ความ เจ็บใจย่อมไม่เกิดขึ้น ตามธรรมดานั้น เราไม่สามารถห้ามผู้อื่นมิให้แสดง พฤติกรรมกระทบกระทั่งเราได้ แต่เราสามารถข่มใจของ เราเองให้สงบได้ ด้วยการไม่ถือโทษโกรธผู้อื่นหรือด้วยการ ให้อภัยทาน ถ้าเราสามารถทำได้ ความร้าวฉาน ความอาฆาต บาดหมางระหว่างตัวเราและผู้อื่นย่อมไม่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ การฝึกความอดทนต่อความเจ็บใจด้วยการ ข่มโทสะให้สงบลง ด้วยการวางเฉยไม่ถือโทษโกรธกันและกัน จึงควรรีบปลูกฝังกันให้เป็นนิสัยตลอดชีวิตทุกๆ คน ๔. ความอดทนต่อความยั่วยวน หมายถืง ความ อดทนต่อกิเลสตระกูลโมหะ คือความรู้ไม่จริงหรือความ หลงใหลได้ปลื้ม เข่นหลงใหลกับคำสรรเสริญเยินยอหลงใหล กับลาภ ยศ ซึ่อเสียง ตลอดจนอบายมุขต่างๆ เป็นด้น ความหลงใหลได้ปลื้มหรือเห่อเหิมกับลาภ ยศ และ คำ สรรเสริญ จะเป็นสาเหตุให้คนเราขาดปัญญาไตร่ตรอง ด้วยโยนิโสมนสิการ ขาดเหตุผลพินิจพิจารณาว่าสิงใดถูก หรือผิด เป็นบุญหรือเป็นบาป ควรทำหรือไม่ควรทำ จึงมัก ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๐๐ www.kalyanamitra.org

เห็นผิดเป็นชอบ หรือกล้าเสียงกระทำความผิดด้วยความ ประมาท ถ้าทำแล้วไม่ได้รับโทษภัยอะไร ก็จะย่ามใจทำต่อไป จนคุ้นเป็นนิสัย ในที่สุดก็ต้องประสบปัญหาร้ายแรงถึงขั้นถูก จับติดคุกติดตะราง ด้งที่เป็นข่าวอยู่เสมอ สำ หรับบางคนที่พัวพันอยู่กับอบายมุข ไม่ว่าจะอยู่ใน ฐาน,ะนายทุน ^ห้บริการ หรือลูกค้า ผู้รับบริการ แม้บางคน จะรํ่ารวยในตอนต้น แต่ในที่สุดต่างก็หนีไม่พันปัญหาเดือด ร้อนด้วยกันทั้งสิน เพราะขาดความอดทนต่อความยั่วยวนนั่นเอง ผู้คน จำ นวนมากในสังคมมนุษย์เรา ทุกเพศทุกวัยและทุกฐานะ จึง ต้องประสบปัญหาเดือดร้อนต่างๆ นานาในชีวิตเสมอมาทุก ยุคทุกสม้ย ด้งนั้น การปลูกผิงความอดทนต่อความยั่วยวน ให้เป็นปกตินิสัย จึงเป็นสิงที่ต้องกระทำกันอย่างรืบด่วนตั้ง แต่เยาว์วัย โดยสรุปก็คือนิสัยพื้นฐานที่จำเป็นต้องรีบฝึกตั้งแต่เยาว์ วัยทั้ง ๓ ชนิดนี้ คือ เคารพวินัย อดทนถือได้ว่าเป็นคุณธรรม สำ คัญยิ่งที่สามารถคุ้มครองป้องกันบุคคล ให้ดำเนินชีวิตอยู่ ได้ด้วยการประกอบแต่กรรมดืไม่มีย่อหย่อน คราใดที่เผชิญ ปัญหาก็สามารถใช้คุณธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ มาแกไขให้ สำ เร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ด้งนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี การดำเนินการปลูกผิงคุณธรรมทั้ง ๓ ชนิดด้งกล่าว ให้แก่ เยาวชนทุกๆ คนอย่างรีบด่วน เพื่อให้เกิดเป็นนิสัยพื้นฐาน ประจำใจ ๒๐® นิสัยพื้นฐานที่จำเป็นต้องรีบฝึก www.kalyanamitra.org

กระบวนการ๓ดขึ้นของนิสัย ดังได้กล่าวแล้วว่า นิสัย คือ พฤติกรรมที่คนเราทำชํ้าๆ กันอย่างต่อเนื่อง นื่งมีทั้งการคิด การพูด และการทำชํ้าๆ กัน แท้ที่จริงแล้วการคิด การพูด และการกระทำเป็นกระบวนการ ต่อเนื่อง มาจากการทำงานของอายตนะภายในหรืออินทรีย์ทั้ง ๖ ประการของเรา ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้นกายและใจ กล่าวคือ เมึ่อตาเราได้เห็นสิงใดปอยๆ ใจย่อมรับรู้ แล้วใจก็คิดถึงสิง นั้นปอยๆ เมื่อหูได้ฟังเรื่องใดปอยๆ ใจย่อมรับรู้ แล้วใจก็ คิดถึงเรื่องนั้นชํ้าแล้วซํ้าอีก เมื่อจมูกดมกลิ่นของสิงใดปอยๆ ใจย่อมรับรู้ แล้วใจก็คิดถึงลิ่งนั้นปอยๆ เมื่อลิ้นลิ้มรสอาหาร หรือเครื่องดื่มอย่างใดปอยๆ ใจย่อมรับรู้ แล้วใจก็คิดถึงสิง นั้นปอยๆ โดยสรุปก็คือ เมื่อคนเราได้เห็นรูปได้ฟังเสียงได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ได้จับต้องลิ่งใดปอยๆ ใจของเราย่อมจดจำไว้ ขณะ เดียวกันก็จะมีความต่อเนื่องเป็นกระบวนการ ให้คิดถึงลิ่งนั้น ปอยๆ พูดถึงลิ่งนั้นปอยๆ รวมทั้งทำลิ่งนั้นปอยๆ อีกด้วย ในที่สุดก็จะเกิดเป็นความเคยชินและกลายเป็นนิสัยตลอดไป ถ้าการคิด การพูด และการทำปอยๆ ชํ้าๆ นั้นเป็นเรื่อง ดีมีคุณประโยชน์นิสัยที่ดีก็จะถูกพัฒนาขึ้นประจำจิตใจคนเรา เช่น การเจริญสมาธิภาวนาเป็นนิสัย ซึ่งจะเป็นทางนำความสุข ความกระฉับกระเฉง กระชุ่มกระชวยมาล่ชีวิตของเรา อันจะ เป็นเหตุให้คนเราตั้งใจประกอบสัมมาทิฏฐิให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ในทางกลับกัน ถ้าการคิด การพูด และการกระทำปอยๆ ชํ้าๆ นั้นเป็นเรื่องชั่ว มีโทษภัย เช่น การเสพสุราและสิงเสพติด นิสัยที่ไม่ดีก็จะฝืงแนํนตราตรืงอยู่ในจิตใจคนเรา อันจะเป็น ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๐๒ www.kalyanamitra.org

เหตุให้เกิดการกระทบกระทั่งกันในครอบครัว เกิดเป็นกัตรู อาฆาตมาดร้ายกันในหมู่เพื่อนฝูง ขณะเดียวกันความเห็นผิด เป็นชอบหรือมิจฉาทิฏฐิก็จะทวีขึ้นเรื่อยๆ จิตใจของเราก็จะยิ่ง เศร้าหมองเพื่มขึ้น จิตใจยิ่งเศร้าหมองมากขึ้นเพียงใด โอกาส ที่จะไปส่ทุคติเมื่อวาระสุดท้ายแห่งชีวิตมาถึงก็มากขึ้นเพียงนั้น เนื่องจากอายตนะหรืออินทรืย์ของเราต้องทำงานตลอด เวลาที่เราตื่นอยู่ เราจึงจำเป็นต้องรู้จักปกป้องจิตใจของเรา มิให้เกิดกระบวนการที่จะก่อให้เกิดนิสัยไม่ดีด้วยประการต่างๆ แล้วพยายามสอนใจตนเอง ให้สร้างแต่กระบวนการที่จะก่อ ให้เกิดนิสัยดีทุกลมหายใจ ถ้าทำได้เช่นนี้ชีวิตก็จะประสบแต่ ความสุข ด้งธรรมภาษิตที่ว่า \"จิตที่คุ้มครองไวได้แล้ว นำ ความสุขมาให้\"® แหล่งกำเนิดนิสัย แหล่งกำเนิดนิสัยหรือสถานที่เพาะนิสัยของคนเรา ทั้ง นิสัยดีและนิสัยไม่ดี ก็คึอ กิจวัตรกิจกรรมต่างๆ ที่เรา ประพฤติปฏิบัติเป็นประจำๆ ในแต่ละวันนั่นเอง สำ หรับ สถานที่แวดล้อมที่เราใช้กระทำกิจกรรมต่างๆ ในรอบวัน อาจ แปงได้เป็น ๕ แห่ง หรือในที่นี้จะเรืยกว่า ๕ ห้อง คือ ๑. ห้องนอน ๒. ห้องนํ้า ๓. ห้องแต่งตัว ® ชุ.ชา.(£๖/๙๖/๓๖๖ (มมก.) ๒๐๓ แทล่งกำเนิดนิสัย www.kalyanamitra.org

๔. ห้องอาหาร ๕. ห้องทำงานหรือห้องเรียน ๑. ห้องนอน ในที่นี้จะขอให้คำนิยามหรือคำจำกัดความของห้องนอน ว่า \"ห้องสำหรบฟ้ฒนานิสัยรักบุญกลัวบาป\" หน้าที่หลักของห้องนอน จากคำจำกัดความของห้องนอน จึงกล่าวได้ว่า หน้าที่ หลัก อันดับแรกของห้องนอน คือเป็นห้องสำหรับปลูกฝืง สัมมาทิฏฐิหรือความเห็นชอบ ๑๐ ประการ อันเป็นหลักในการ ดำ เนินชีวิตให้เป็นสุข ๔ ประการ และความจริงประจำโลกอีก ๖ ประการ หน้าที่หลักของห้องนอนอันดับถัดไปก็คือ เป็น ห้องสำหรับปลูกฝังสัมมาสมาธิ หรือความตั้งใจมั่นชอบได้แก่ การมีใจตั้งมั่นอยู่ภายในกาย ณ ศูนย์กลางกายอยู่เป็นนิจ ความรู้ที่ต้องมืเกี่ยวลับห้องนอน ด้วยเหตุที่ห้องนอนเป็นแหล่งปลูกฝังคุณธรรมสำคัญ ทั้งลัมมาทิฏฐิและลัมมาสมาธิ ซึ่งจะเป็นเครื่องตอกยํ้าองค์ มรรคอีก ๖ ประการในมรรคมีองค์ ๘ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน เรื่องการคิดดี การพูดดี และการทำดี ดังนั้น จึงจำเป็นต้อง เอาใจใส่เรื่องห้องนอนอย่างจริงจัง ศรํ?พธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๐๔ www.kalyanamitra.org

นับตังแต่ทีตัง ขนาด การตกแต่ง การดูแลรักษา ตลอดจนระเบียบวินัย ในการใช้ห้องนอน กล่าวคือ ห้องนอนต้องตั้งอยู่ในทิศทางลมผ่านเช้าออก ได้สะดวก อากาศปลอดโปร่ง ไม่แคบหรือกว้างเกินไป ตกแต่งอย่างเรืยบง่ายด้วยวัสดุอุปกรณ์ที่สะดวกแก่การ ทำ ความสะอาดและการดูแลรักษาต้องไม่นำโทรทัศน์สัตว์เลี้ยง อาหาร เครื่องดื่ม เข้าไปในห้องนอน ต้องไม่ประดับตกแต่ง ห้องด้วยภาพลามกอนาจารหรือภาพอื่นๆ ที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตลอดจนพื้นและผนังห้องต้อง สะอาดอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้ฝ่นละอองจับหรือมีหยากไย่เกาะ อนึ่ง ควรเข้านอนและดื่นนอนให้เป็นเวลาและให้ตรง เวลา ต้องไม่นอนดึกและไม่ดื่นสาย นอกจากนี้จะต้องไม่มี การทะเลาะเบาะแว้งกัน หรือมีการลงโทษกันในหยู่สมาชิก ของครอบครัวก่อนเข้านอน เพราะจะทำให้นอนไม่หสับและ อาจสร้างปัญหายุ่งยากตามมา ประโยช'นไนการใช'สอยห้องนอน การใช้สอยห้องนอนอย่างถูกวิธี ย่อมอำนวยประโยชน์ ให้แก่^ข้อเนกประการ ซึ่งอาจแปงได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ Q. ทางใจ บุคคลสามารถพัฒนาความเคารพ ความมีวินัย และ ความอดทนจนเป็นนิสัยเพราะปฏิบัติตามวินัยประจำห้องนอน ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ ๒0๕ แทล่งกำเนดนํสัย www.kalyanamitra.org

๑) กราบพระสวดมนต์และเจริญสมาธิภาวนาก่อนนอน ๒) ทบทวนบุญ-บาปที่ตนได้กระทำในแต่ละวัน ๓) ตักเตือนอบรมสังสอนสมาชิกในครอบครัว ตลอด จนทำกิจกรรมเล่าหรืออ่านหนังสือธรรมะก่อนนอน เพื่อเตือน ใจให้ระลึกถึงเรื่อง ผิด-ชอบ ชั่ว-ดี บาป-บุญ คุณ-โทษ ควร-ไม่ควร ประโยชน์-ไม่ใช่ประโยชน์ นรก-สวรรค์ และ นิพพาน ๔) กราบพระ สวดมนต์ไหว้พระและเจริญภาวนา หลังจากตื่นนอน พร้อมทั้งสมาทานดีล ๕) วางแผนในการทำบุญกุศลและการทำงานใน วันใหม่ ๖) ใช้ปลูกฝืงสืลธรรมด้วยการเล่าธรรมะก่อนนอน ๒. ทางกาย ห้องนอนชาวโลก ใช้เป็นสถานที่พักผ่อน นอนหลับ และสร้างทายาทที่มีบุญมาเกิดเป็นมนุษย์ ห้องนอนชาววัด ใช้เป็นสถานที่พักผ่อน นอนหลับ และปาเพ็ญเพียรภาวนา ผลจากการใช้หองนอนอย่างถูกวิธี การใช้ห้องนอนอย่างถูกวิธีย่อมอำนวยให้บุคคล มีศรัทธามั่นคงในพระสัมมาลัมพุทธเจ้าและพระรัตนตรัย ด้วยเหตุนีชื่อเรืยกที่แท้จริงของห้องนอน ก็คีอ ห้องมหา เริมงคล ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๐๖ www.kalyanamitra.org

๒. ห้องนา ในที่นี้ขอให้คำนิยามของห้องนํ้าว่า \"ห้องส์าหรับพัฒนา นิสัยในการพิจารณาสังขาร\" หน้าที่หลักของห้องนํ้า ห้องนํ้าโดยทั่วไปย่อมมีไว้รองร้บการใช้สอย ๒ ประการ คือเป็นห้องสำหรับอาบนํ้าชำระร่างกายและเป็นห้องส้วม ในแง่ของการใช้เป็นห้องส้วมนั้น สิงปฏิกูลที่ร่างกายขับถ่าย ออกมา ไม่ว่าอุจจาระหรือปัสสาวะ ส้วนสามารถปงบอก สภาวะของสุขภาพร่างกายได้ว่า เป็นปกติหรือผิดปกติที่ อวัยวะภายในส่วนใดของร่างกาย เช่น โลหิตที่ปนออกมากับ อุจจาระเนื่องจากท้องผูก เพราะดึ่มนั้าไม่พอเพียงกับความ ด้องการของร่างกาย หรือเนื่องมาจากกระเพาะอาหารเป็นแผล หรือริดสีดวงทวารกำเริบ ปัสสาวะมีฟองอากาศมากเนื่องจาก อาการของโรคเบาหวาน เป็นต้น บุคคลที่มีปัญญาพิจารณาสังเกตสิงปฏิกูลของตนเอง เป็นประจำ นอกจากจะเป็นการสร้างนิสัยให้รู้จักหาความรู1น เรื่องการดูแลสุขภาพของตนด้วยวิธีการต่างๆ แทนที่จะ ปล่อยไปตามยถากรรมแส้ว ยังจะเกิดปัญญาพิจารณา ๓ สิง ต่อไปนี้อย่างต่อเนื่องด้วย คือ ๑) ความไม่งามของร่างกาย ๒) ความเป็นรังแห่งโรคของร่างกาย ๓) ความเสีอมโทรมของร่างกายที่ดำเนินไปอย่าง ต่อเนื่อง ๒0๗ แหล่งกำเนีดนิสัย www.kalyanamitra.org

การใช้ปัญญาพิจารณา ๓ สิงดังกล่าวเนืองๆ ย่อม น้อมนำให้บุคคลเกิดความคิดที่ถูกต้อง ตามหลักพระพุทธ- ศาสนาที่เรียกว่า สัมมาสังกัปปะหรีอความดำริชอบ ซึ่ง ประกอบด้วย ๑) ไม่คิดหมกมุ่นในกาม ๒) ไม่คิดอาฆาตเคียดแค้น ๓) ไม่คิดเบียดเบียนรังแกใคร ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าหน้าที่หลักของห้องนํ้า คีอ การปลูกฝังสัมมาสังกัปปะ ความเทต้องมืเกี่ยวก้บห้องนํ้า ด้วยเหตุที่ห้องนํ้าเป็นแหล่งปลูกฝังและแหล่งกำเนิดของ คุณธรรม คีอ สัมมาสังกัปปะห้องนํ้าทุกแห่งไม่ว่าห้องนํ้าในบ้าน ในที่ทำงานหรีอในที่สาธารณะ จึงควรได้รับการเอาใจใล่อย่าง ละเอียดรอบคอบ ทั้งด้านการออกแบบ การติดตั้งอุปกรณ์ การดูแลรักษา ตลอดจนมารยาทการใช้สอย กล่าวคีอ • ขนาดของห้องนํ้าไม่ควรเล็กเกินไป แต่ไม่จำเป็น ต้องใหญ่มากนักจนเกินความจำเป็น • การตกแต่งห้องนํ้าควรเน้นในเรื่องความปลอดภัย ความสะอาด และความสะดวกต่อการดูแลรักษา • อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีครบถ้วน ต้องมีคุณภาพดี เพี่อใช้!ด้นาน ทั้งต้องมีอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับ เด็กและคนชรา พร้อมทั้งมีดำแนะนำวิธีใช้ อุปกรณ์สมัยใหม่ที่ติดตั้งไว้ในห้องนํ้าด้วย ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก , ๒๐๘ www.kalyanamitra.org

• เอาใจใส่ดูแลรักษาสุขภาพ ด้วยการสังเกตสิง ปฏิกูลที่ขับถ่ายออกจากร่างกาย • ปลูกฝังนิสัยสมาชิกทุกคนในบ้านให้ช่วยดูแลรักษา ความสะอาดห้องนํ้า ด้วยการจัดตารางผสัด- เปลี่ยนหมุนเวียนกันทำความสะอาด • รู้จักใช้นํ้าอย่างประหยัด • จัดหาสิงของเครื่องใช้ประจำห้องนํ้า สำ รองไว้ มิให้ขาด • มีความเคารพเกรงใจผู้อยู่ร่วมบ้านทั้งในเรื่อง การใช้ห้องนํ้าและเรื่องอื่นๆ ประโยชนในการใช้สอยห้องนา การใช้สอยห้องนํ้าอย่างถูกวิธี ย่อมอำนวยประโยชโ?1ห้ แก่ผู้ใช้อเนกประการ ซึ่งอาจแปงออกได้เป็น ๒ สักษณะ คือ ๑. ทางใจ บุคคลจะสามารถพัฒนาความเคารพ ความมีวินัย และความอดทนจนเป็นนิสัย ก็เพราะปฏิบัติตามวินัยห้องนํ้า ด้งมีรายละเอียดต่อไปนี้ ๑) พิจารณาความไม่งามของร่างกาย ๒) พิจารณาความเป็นรังแห่งโรคของร่างกาย ๓) พิจารณาเรื่องความเลี่อมโทรมของร่างกายอยู่ เป็นนิจ ๒๐๙ นทล่งกำผิดนสัย www.kalyanamitra.org

๒. ทางกาย บุคคลจะสามารถพัฒนาความเคารพ ความมีวินัย และ ความอดทนจนเป็นนิสัย เนื่องจากได้ปฏิบัติตามวินัยทางกาย ประจำห้องนํ้า ด้งต่อไปนี้คีอ ๑) พิถีพิถันในเรื่องการดูแลสุขภาพ ๒) ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย เสีอผ้า และ เครื่องนุ่งห่ม ๓) เอาใจใส่พิจารณาเรื่องการขับถ่ายของเสียออก จากร่างกายทุกๆ วัน ผลการใชหองนํ้าอย่างถูกหลักวิชา การใช้ห้องนํ้าอย่างถูกหสักวิชาย่อมอำนวยให้บุคคลรู้จัก ดู แลรักษาสุขภาพของตนอยู่เสมอซึ่งจะทำให้มีสุขภาพ ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มีโรคนัอย ด้วยเหตุนี้ชึ่อเรียกที่ แท้จริงของห้องนํ้าก็คือ ห้องมหาพิจารณา ต. ห้องแต่งตัว ห้องแต่งตัว คือ ห้องสำหรับพัฒนานิสัยตัดใจและนิสัย หน้าที่หลักของห้องแต่งตัว จากคำจำถัดความช้างตัน จึงกล่าวได้ว่า หน้าที่หสักของ ห้องแต่งตัว คือ เป็นแหล่งสำหร้บใช้ปลูกฝังสัมมาสติ คือความ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒ร)๐ www.kalyanamitra.org

ระลึกชอบหรือระลึกถูกต้อง ได้แก่ การฝึกตนให้มีความ ระมัดระวังในทุกๆ เรื่อง ไม่ประมาทเผอเรอ มีดวามตื่นตัว อยู่ตลอดเวลา ไม่ปล่อยใจไปตามอำนาจกิเลส หรือตาม กระแสสังคม ไม่คิดหมกมุ่นอยู่ในกาม แต่บริบูรณ์พร้อมด้วย สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ ตลอดเวลา ความรู้ที่ต้องมีเกี่ยวกิบห้องแต่งตัว ความรู้สำคัญยิ่งที่เกี่ยวข้องกับห้องแต่งตัว ก็คือความรู้ เรื่องการแต่งตัวอย่างเหมาะสมในทุกสถานการณ์ เมื่อสังเกต ดูการแต่งตัวของผู้คนในสังคมป้จจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน กลุ่มเยาวชนนักคืกษามหาวิทยาลัย รวมทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ ที่ต่างวิ่งตามแฟชั่นเสือผ้าในท้องตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา อาจกล่าวได้ว่า เพราะแต่ละคนขาดสติ จึงไม่ ตระหนักถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการแต่งตัว จึงตัองตก เป็นทาสของนักออกแบบแฟชั่นเสือผ้า ด้วยการยอมหมด เปลืองเงินทองจำนวนมากไปกับเสือผ้าที่ออกแบบมาใหม่ๆ อย่างไม่รู้ลึกเสืยดาย เพราะเกรงว่าตนจะแต่งกายไม่ทันสมัย แม้ว่าเสือผ้าบางแบบบางตัวสวมไล่แล้วจะอุจาดตาไม่น่าดูก็ตาม เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการสวมไล่เสือผ้าเครื่อง นุ่งห่ม ที่ทุกคนควรรู้นน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแสดง ไวใน สัพพาสวสูตร® ว่า ® ม.ยู. ๑๒/๒๓/๒๒ (มจร.) ๒๑® แหล่งกำเนิดนิสัย www.kalyanamitra.org

\"ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาโดยแยบคาย แล้วใช้สอยจีวรเพียงเพื่อป้องกันความหนาว ความ ร้อน เหลือบ ยุง ลม แดด และสัมผัสแห่งสัตว์ เลื้อยคลาน เพียงเพื่อปกปีดอวัยวะที่ก่อให้เกิด ความละอาย\" บรรดามารดาบิดาผู้ปกครองทั้งหลาย เมื่อได้ทราบจุด มุ่งหมายที่แท้จริงของการแต่งกายตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัส แสดงไว้แล้ว ก็พึงอบรมสังสอนบุตรธิดาให้ตระหนักในเรื่อง การแต่งตัวให้เหมาะสมตั้งแต่เยาว์วัย ไม่ตามกระแสสังคมที่ ผู้แสวงหาผลประโยชน์ชักนำไปในทางที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า ความรูที่จำเป็น ต้องมีเกี่ยวกับเรื่องการแต่งกาย มีอยู่ ๒ ประการ คือ ๑. การแต่งตัวให้เหมาะสมทุกสถานที่ ๒. ใช้เครื่องแต่งตัวที่เหมาะสมกับฐานะ ขณะเดียวกันก็ต้องไม่สนับสนุนเด็กให้แต่งหน้าก่อนวัย อันควร ประโยช'นในการใช้สอยห้องแต่งตัว การใช้สอยห้องแต่งตัวอย่างถูกวิธีย่อมอำนวยประโยชน์ ให้แก่ผู้ใช้อเนกประการ ซึ่งอาจแปงออกได้เป็น ๑. ทางใจ บุคคลจะสามารถพัฒนาความเคารพ ความมีวินัย และ ความอดทนจนเป็นนิสัยก็เพราะปฏิบัติตามวินัยประจำห้อง แต่งตัว ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ ศพัธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๑๒ www.kalyanamitra.org

๑) ตัดใจไม่ลุ่มหลงในลาภ ยศ สรรเส^ญ สุข ๒) ตัดใจไม่มัวเมาในเรื่องความหนุ่มสาว ในความ ไม่มีโรค ในความมีอายุ ๓) ตัดใจไม่'^งเฟัอ ๔) ตัดใจสร้างบุญกุคลเป็นประจำ ๒. ทางกาย บุคคลจะสามารถพัฒนาความเคารพ ความมีวินัย และ ความอดทนจนเป็นนิสัย เนื่องจากแต่งตัวอย่างถูกหสักวิชา ผลการใช้ห้องแต่งตัวอย่างถูกหลักวิชา ผลการใช้ห้องแต่งตัวอย่างถูกหสักวิชาย่อมอำนวยให้ บุคคลมีความเพียรในการสร้างกุคล ด้วยเหตุนี้ชื่อเรียกที่แท้ จริงของห้องแต่งตัวคึอ ห้องมหาสติ ๔. ห้องอาหาร นิยามของห้องอาหาร คือ ห้องพัฒนานิสัยรู้จักประมาณ ในการพูดและการใช้ทเพย์ห้องอาหารในที่นี้หมายรวมถึงห้อง รับแขกและห้องครัวด้วย หน้าที่หลักของห้องอาหาร เนื่องจากสมาชิกทุกคนในบ้านจะต้องเช้ามาใช้ห้องอาหาร หรีออีกนัยหนื่งก็คือ ห้องอาหารเป็นห้องที่สมาชิกทุกคนใน ๒ร๓ แหล่งกำเนดนํสัย www.kalyanamitra.org

บ้านต่างเข้ามาประชุมพร้อมหน้ากันทุกวัน ดังนั้น ห้องนี้จึง เหมาะที่สุดสำหรับใข้เป็นห้องปลูกฝังสัมมาวาจาและสัมมา- ก้มมันตะ ให้แก่มวลสมาชิก สัมมาวาจา คือ การพูดชอบ หรือพูดถูกต้องไต้แก่ การ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ทว่าพูดแต่ความจริง สุภาพ ไพเราะอ่อนหวาน ไม่หยาบคาย ถ้าสมาชิกคนใดที่เข้ามาไข้ห้องนี้ขาดสัมมาวาจา ก็จะก่อป้ญหา เดือดร้อน ไม่สบายใจ แก่สมาชิกทุกคนทันที และอาจ บานปลายเป็นปัญหาใหญ่โตต่อไปอีก ส่วนสัมมาก้มมันตะ คือ การกระทีาชอบหรือทำถูกต้อง ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์ดัดชีวิต ไม่สักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ทว่าเสือกทำแต่สิงที่ดืงาม ไม่ผิดกฎหมาย ตลอดจน ฃนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดืงามของสังคม ความเทต้องมีเกี่ยวกับห้องอาหาร ห้องอาหารนอกจากจะเป็นสถานที่สำหรับรับประทาน อาหารแล้ว ยังสามารถเป็นทั้งห้องประชุมสำหรับสนทนาแลก เปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างสมาชิกในครอบครัวด้วย เป็น ทั้งห้องเรืยน ที่มีมารดา บิดาหรือผู้ปกครองทำหน้าที่ปลูกฝัง อบรม สังสอน ดักเดือน แนะแนวทางต่างๆ ให้แก่มวล สมาชิกในครอบครัว ด้งนั้นความรู้ที่ต้องมีเกี่ยวกับห้องอาหาร ควรประกอบด้วยเรื่องต่อไปนี้ คือ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก ๒ร๙' www.kalyanamitra.org

๑. ลักษณะของห้องอาหาร บ้านใดที่ใซ้ห้องอาหารรวมกับห้องรับแขก ห้องนั้น ก็ต้องมีขนาดกว้างขวางพอสมควร โดยจัดโต๊ะเก้าอี้ส่วน ที่ใช้รับแขกไว้ทางต้านประดูทางเข้าด้านหน้า และจัดโต๊ะ รับประทานอาหารไว้ทางด้านหลังห้อง ซึ่งติดต่อกับห้องครัว ผนังห้องอาหารและห้องรับแขกควรประดับตกแต่งให้ดู สวยงามดัวยเครื่องประดับที่มีลวดลายและสีลันเย็นตา ไม่^^ดฉาดร้อนแรง สิงที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษในห้องนี้ก็คือการ รักษาความสะอาด ไม่ควรเก็บอาหารไว้!นห้องนี้ แต่ถ้าจะมี การเก็บอาหารแห้งบางอย่างไว้ก็ต้องมีภาชนะเก็บอย่างมิดช้ด มิฉะนั้น จะเป็นที่รวมของมด แมลงสาบหรือแมลงอื่นๆ รวม ทั้งหนูอีกด้วย ๒. ห้องครัว ห้องครัว คือ ห้องสำหรับเก็บอาหารทุกประเภท และเป็น ห้องเตรียมอาหารประจำว้น จำ เป็นต้องจัดเก็บอาหารและ อุปกรณ์ต่างๆ อย่างมีระเบียบ เพื่อความสะดวกต่อการ ประกอบอาหารและใช้งาน ห้องครัวต้องสะอาดอยู่เสมอ มิฉะนั้นจะเป็นที่ชุมนุมของมด แมลงต่างๆ และหนูซึ่งจะเป็น แหล่งเพาะเชื้อโรคติดต่อได้ ต. ห้องรับแขก บ้านใดที่มีห้องรับแขกอยู่รวมกันกับห้องอาหาร ควร แปงเขตระหว่างห้องทั้งสองให้ชัดเจนด้วยการใช้เครื่องเรือน บางอย่างกั้นไว้เช่นโต๊ะ ตู้ชั้นวางของหรือฉากไม้เตี้ยๆ เป็นต้น ๒®๕ แหล่งกำเนํดนํสัย www.kalyanamitra.org

๔. อุปกรณ์เครี่องใช้ อุปกรณ์เครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับห้องอาหาร ห้องครัว และห้องรับแขก ควรจัดเตรียมไว้ให้พร้อม มีจำ นวนครบ สำ หรับสมาชิกทั้งหมดในครอบครัว ทั้งต้องมีการดูแลรักษา ให้สะอาดและอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ๕. วัตถุดิบและเครื่องปรุง เจ้าของบ้านควรมีการจัดหาวัตถุดิบและเครื่องปรุงอาหาร ไว้ให้ครบตามความจำเป็นและมีจำนวนพอเพียง ทั้งนี้เพื่อ ความสะดวกในการจัดเตรียมอาหารสำหรับสมาชิกของ ครอบครัวในแต่ละวันๆ ๖. วิธีการปรุงอาหาร วิธีปรุงอาหารถือว่าเป็นงานดิลปะอย่างหนึ่ง ผู้ที่มีดิลปะ ในการปรุงอาหาร จำ เป็นต้องมีความรู้หลายแง่หลายมุม เกี่ยวกับวัตถุดิบ เครื่องปรุงและวิธีปรุงอาหารแต่ละอย่าง ผู้ที่ มีดิลปะในการปรุงอาหารอย่างแท้จริงนั้น นอกจากจะ สามารถปรุงอาหารให้มีรสชาติอร่อยน่ารับประทานแล้ว ยังจะ สามารถถนอมคุณค่าทางโภชนาการของวัตถุดิบแต่ละอย่างที่ น่ามาปรุงอาหารอีกด้วย ดังนั้น ผู้เป็นมารดาบิดาในแต่ละครอบครัว ควรเอาใจ ใส่พัฒนาความรู้ความสามารถ เพื่อให้ตนมีดิลปะในการปรุง อาหารบ้างตามสมควร แล้วตั้งใจถ่ายทอดดิลปะของตนให้แก่ บุตรหลานในครอบครัวด้วย ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒ร๖ www.kalyanamitra.org

ครอบครัวใดที่ผู้ปกครองสามารถน้อมนำบุตรหลานให้ เข้ามาช่วยทำครัวตั้งแต่เยาว์รัย ย่อมถือได้ว่าครอบครัวนั้น มี วิธีสร้างความรักใคร่ ความสามัคคีกลมเกลียว และการ ทำ งานร่วมกันเป็นทีมระหว่างสมาชิกในครอบครัวได้อย่าง ชาญฉลาดทีเดียว ๗. การถนอมอาหาร การถนอมอาหาร คีอ วิธีการรักษาอาหารตามหลัก โภชนาการมิให้เน่าเลีย สามารถเก็บรักษาไว้รับประทานใน ระยะยาว ครอบครัวใดสามารถถนอมอาหารต่างๆ ไว้รับ- ประทานในระยะยาวได้ นอกจากตนจะมีอาหารหลากหลาย ชนิดไว้รับประทานทุกฤดูกาลแล้ว ยังสามารถประหยัดราย จ่ายได้อีกด้วย ด้งนั้น แต่ละครอบครัวจึงควรคีกษาหาความรู!นการ ถนอมอาหารไว้บ้างเพื่อถนอมอาหารไว้ร้บประทานในระยะยาว ก็จะสามารถลดรายจ่ายของครอบครัวลงได้ หรือถ้าสามารถ ทำ เป็นอุตสาหกรรมในครอบครัวได้ ก็มีโอกาสเพื่มรายได้ให้ แก่ตนเองอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากความรู้ทง ๗ประการ เกี่ยวกับห้องอาหารที่ได้ พรรณนามาแล้วนี้ ยังมีความรู้ที่ขาดมิได้อีกอย่างหนึ่งคีอ สมาชิกทุกคนต้องรับประทานอาหารพร้อมหน้ากันทั้ง ครอบครัว ทั้งนี้เพราะเป็นบ่อ๓๑ของความสามัคคีเป็นนํ้า หนึ่งใจเคียวกันนั่นเอง ๒®๗ แหล่งกำmดนสัย www.kalyanamitra.org

ประโยชนในการใช้สอยห้องอาหาร การใช้สอยห้องอาหารอย่างถูกวิธีย่อมอำนวยประโยชน์ ให้แก่ผู้ใช้อเนกประการ ซึ่งอาจแปงออกได้เป็น๒ ลักษณะ คือ ๑. ทางใจ บุคคลจะสามารถพัฒนาความเคารพ ความมีวินัย และ ความอดทนจนเป็นนิสัย เพราะปฏิบัติตามวินัยประจำห้อง อาหาร ด้งมีรายละเอียดต่อไปนี้ ๑)รู้จักประมาณในการรับประทานอาหาร หมายถึง มี สติระลึกอยู่เสมอว่าเรารับประทานอาหารเพื่อให้ชีวิตสามารถ ดำ รงอยู่ได้ การรับประทานอาหารน้อยเกินไปย่อมเกิดความ หิวโหย ไม่สามารถทำงานในหน้าที่ได้เต็มความสามารถ แต่ การรับประทานอาหารมากเกินไป ย่อมทำให้รู้ลึกง่วงเหงา หาวนอน เกียจคร้านในการทำการงานในหน้าที่ และอาจ ทำ ให้เป็นโรคอ้วนซึ่งเป็นชนวนแห่งโรคอื่นๆ ตามมาอีก ๒) รู้จักประมาณในการใช้ทรัพย์ หมายถึง การใช้ ทรัพย์โดยกำหนดให้รายจ่ายน้อยกว่ารายได้ เพื่อให้มีเงิน เหลือเก็บไวิใช้โนคราวจำเป็น และเพื่อให้มีเงินสำหรับบริจาค เพื่อสร้างบุญกุศล อันเป็นหนทางไปยู่สุคติในสัมปรายภพ ผู้ที่มีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ย่อมต้องก่อหนี้สิน ซึ่งจะ ก่อให้เกิดปัญหาเดือดร้อนต่างๆ ไปตลอดชีวิต หมดโอกาส สร้างบุญกุศล ย่อมเป็นทุกข์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ฅ) รู้จักประมาณในวาจา หมายถึง การใช้ดำพูดที่ นุ่มนวล มีเหตุผล มีประโยชน์ เหมาะกับกาลเทศะใน สถานการณ์ต่างๆ เช่น เมื่อสมาชิกคนใดในครอบครัวมี ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตภาพโลก ๒®๘ www.kalyanamitra.org

ปัญหาเดือดร้อนสมาชิกทุกๆ คนต่างร่วมกันให้คำปรึกษาหารึอ เพึ่อให้สามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ หรึอเมื่อสมาชิกคนใดใน ครอบครัวมีเรื่องคับข้องใจ ก็สามารถระบายความในใจให้แก่ สมาชิกทุกคนในครอบครัวฟังได้ โดยไม่ถูกตำหนิติเตียน แต่ ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม ให้เกิดกำลังใจสามารถเผชิญชีวิต ต่อไปได้ด้วยความมั่นใจ ๒. ทางกาย บุคคลจะสามารถพัฒนาความเคารพ ความมีวินัย และความอดทนจนเป็นนิลัย เนื่องจากได้ปฏิบัติตามวินัยทาง กายประจำห้องอาหาร ดังต่อไปนี้ ดือ ๑) ใช้ห้องอาหารสำหรับประกอบอาหาร ๒) สมาชิกในบ้านรับประทานอาหารพร้อมหน้ากันใน ห้องอาหาร ๓) ใช้ห้องอาหารเป็นที่เก็บอาหาร ๔) ใช้ห้องอาหารเป็นที่ต้อนรับแขก ผลการใช้หองอาหารอย่างถูกหลักวิชา การใช้ห้องอาหารอย่างถูกหลักวิชา ย่อมอำนวยให้ บุคคลสามารถพัฒนานิสัยชื่อตรง ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา ด้วยเหตุนี้ชื่อที่แท้จริงของห้องอาหารก็ดือ ห้องมหาประมาณ ๕. ห้องทำงาน ห้องทำงาน ดือ ห้องสำหรับพัฒนานิสัยใฝ่ครามสำเร็จ ๒®* แหล่งกำณิดนิสัย www.kalyanamitra.org

หใราที่หลกฃองห้องทำงาน จากคำนิยามของห้องทำงาน จึงกล่าวได้ว่า หน้าที่หลัก ของห้องทำงาน คือการปลูกฝังสัมมาอารวะ ซึ่งเป็นองค์มรรค อันดับที่ ๕ ในมรรคมีองค์ ๘ คือความเลี้ยงชีวิตชอบ เว้นจากการแสวงหารายได้ในทางผิดคืลธรรม ผิดกฎหมาย ผิดจารีตประเพณี ซึ่งล้วนเป็นมิจฉาอาชีวะทั้งลี้น ความรู้ที่ต้องมืเกี่ยวกับห้องทำงาน ความรู้ที่ทุกคนต้องมีเกี่ยวกับห้องทำงานประกอบด้วย เรื่องต่อไปนี้ คือ ๑) อาชีพ ประเภทของงานที่ทำ สิงแรกที่จะต้อง ตระหนักก็คือ เป็นอาชีพหรืองานที่ไม่ผิดคืล ไม่ทำลาย ประเพณี และวัฒนธรรมอันดีงามของชาวพุทธและท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่ทำงานที่เกี่ยวข้องกับอบายมุขทุก ประ๓ท ทุกรูปแบบ ไม่ทำงานที่เกี่ยวข้องกับความเซึ่อนอก บุญเขตหรือนอกพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุให้ผู้คนที่ เกี่ยวข้องถูกครอบงำด้วยโมหะ คือความหลง ข้ามภพข้ามชาติ รวมทั้งงานที่ผิดกฎหมาย เป็นต้น ๒) ทำ เลที่ประกอบอาชีพ ทำ เลที่ประกอบอาชีพต้อง สอดคล้อ่งกับชุมชนและสิงแวดล้อม ทั้งนี้เพื่อความเหมาะสม เพื่อความสำเร็จในงานอาชีพ เช่น ร้านของชำ ร้านอาหาร ต้อง อยู่ในเขตชุมชนหนาแน่น และเพื่อสอดคล้องกับเทศบัญญัติ ของท้องถิ่น เช่น โรงงานห้ตถกรรม หรือ อุตสาหกรรม ต้อง อยู่ห่างจากชุมชนพอประมาณ เป็นต้น ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๒๐ www.kalyanamitra.org

ท) ลักษณะห้องทำงาน ต้องมีขนาดเหมาะสมกับ จำ นวนบุคลากร และชนิดของงาน ต้องไม่คับแคบ เพราะจะ ทำ ให้การทำกิจกรรมต่างๆ ขัดข้องและเกิดปัญหา แต่ก็ไม่ จำ เป็นต้องกว้างใหญ่เกินไป เพราะจะทำให้ต้องลงทุนสูง ๔) การตกแต่ง การตกแต่งห้องทำงานหรือสถานที่ ประกอบการต่างๆ สิงแรกที่ต้องคำนึงถึง คือ ต้องสอดคล้อง และอำนวยความสะดวก ความคล่องตัว ในการทำกิจกรรม ของงานอาชีพแต่ละอย่าง ต่อจากนั้นก็ต้องคำนึงถึง ความปลอดภัย ความสะอาด ถูกสุขอนามัย ความสวยงาม ดูสบายตา ไม่ประดับประดาด้วยภาพลามกอนาจาร เป็นต้น ๔) อุปกรณ์เครื่องใข้อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ที่จำ เป็น สำ หรับห้องทำงานแต่ละห้อง ต้องจัดหามาให้พอเพียงไม่ต้อง หยิบยืมจากห้องอื่น ทั้งนี้เพื่อให้การทำงานของแต่ละคน มีความคล่องตัว และมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บรรดา อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ในห้องทำงาน ต้องจัดเก็บให้เป็น ระบบอย่างมีระเบียบ เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการใช้ ทำ งานต่างๆ และเพื่อปลูกฝังนิสัยรักความเป็นระเบียบ เรืยบร้อย ของผู้ทำงานในห้องทำงานด้วย ๖) การดูแลรักษา อุปกรณ์ เครื่องใช้ แต่ละอย่างใน ห้องทำงานต้องได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี เพื่อให้คงทน ใช้งานได้ยืนยาว อุปกรณ์เครื่องใช้แต่ละอย่างต้องใช้งานให้ เหมาะสมและถูกวิธี ทั้งต้องใช้อย่างทะนุถนอม เพื่อป้องกัน มิให้เกิดความเสียหายได้ง่าย ครั้นเมื่ออุปกรณ์อย่างใดชำรุด เสียหาย ก็จำ เป็นต้องรืบช่อมแซม เพื่อให้ใช้งานไต้อีก การ ปล่อยทิ้งไวิไมรีบซ่อมแซม นอกจากจะก่อให้เกิดอันตราย ๒๒ร แหล่งทำผํดนสัย www.kalyanamitra.org

และไม่มีอุปกรณ!ช้งานแล้ว อุปกรณ์เครื่องใช้ชิ้นนั้นอาจจะ เสิอมคุณภาพจนใช้งานอีกไม่ได้เลยถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป ๗) ลักษณะของบุคคลแด่ละคนในห้องทำงาน ผู้ที่ เป็นหัวหน้างานหรือผู้บริหารทุกคนจำเป็นต้องรู้จักสังเกตและ เรียนรู้สักษณะนิสัยของผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่เสมอ แล้วมอบ- หมายหน้าที่การงานให้เหมาะกับความรู้ความสามารถและ นิสัยของแต่ละคน คนใดมีผลงานดีเด่นก็ควรยกย่องชมเชย หรือปูนปาเหนิจรางว้ลเป็นพิเศษตามความเหมาะสม เพื่อให้ เขามีกำสังใจทำงานให้ดียิ่งๆ ขึ้นต่อไปอีก สำ หรับคนที่มีประสิทธิภาพในการทำงานตํ่า ผู้บริหาร ก็จำ เป็นต้องคันหาสาเหตุให้พบ แล้วชิ้แนะให้เขาสามารถ พัฒนาคักยภาพของตนเองให้สูงขึ้นเท่าที่จะทำไต้ แต่ถ้าเขา ยังไม่สามารถพัฒนาตนเองไต้ ผู้บริหารก็อาจต้องตัดสินใจ อย่างใดอย่างหนึ่งตามความเหมาะสม อาจกล่าวโดยสรุปว่า ผู้บริหารจำเป็นต้องเรียนรู้ว่า บรรดาสมาชิกในทีมงาน คนใดเป็นคนดี คนใดเป็นคนพาล แล้วมอบหมายหน้าที่การงานให้เหมาะสม เพื่อให้คนดี ทำ ความดีไต้เต็มที่ เพื่อให้คนพาลไต้ปรับปรุงแกไขตนเองให้ ดีขึ้น แต่ถ้าคนพาลยังไม่ดีขึ้น หรือเลวลงอีก ผู้บริหารก็ จำ เป็นต้องคัดคนพาลออกไปเสีย เพื่อความอยู่รอดและ ความยั่งยืนขององค์กร อย่างไรก็ดี ผู้ทำ งานอยู่ในห้องทำงานทุกแห่ง ผู้ร่วม งานอยู่ในทีมงานทุกทีม ควรไต้รับการดีกษาอบรมเพื่อพัฒนา ตนเอง ทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างต่อเนึ่อง ปัจจุบันนี้ ความรู้ทางต้านเทคโนโลยีถ้าวหน้าขึ้นมาก ผู้คนล่วนใหญ่จึง ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก ๒๒๒ www.kalyanamitra.org