Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือ ศรัทธา รุ่งอรุณเเห่งสันติภาพโลก โดย พระภาวนาวิริยคุณ

หนังสือ ศรัทธา รุ่งอรุณเเห่งสันติภาพโลก โดย พระภาวนาวิริยคุณ

Description: หนังสือ ศรัทธา รุ่งอรุณเเห่งสันติภาพโลก โดย พระภาวนาวิริยคุณ

Search

Read the Text Version

มรรคนั้นไม่อาจจะไม่เป็นเหตุ มรรคนั้นที่มีอยู่ก็ จักมี เราจักแสวงหามรรคนั้น เพี่อหลุดพ้นไปจากภพ เมื่อความทุกข์มี ข์อว่าความสุขก็ต้องมี ฉันใด เมื่อภพมีอยู่ วิภพ®ก็จำต้องปรารถนา ฉันนั้น เมื่อความร้อนมี ความเย็นอย่างอึ่นก็ต้องมี ฉันใด เมื่อไฟ ๓° อย่างมีอยู่ นิพพาน(ความดับ) ก็ จำ ต้องปรารถนา ฉันนั้น เมื่อความจัวมี แม้ความดีก็ต้องมี ฉันใด เมื่อความเกิดมีอยู่ ความไม่เกิดก็จำต้องปรารถนา ฉันนั้น\" ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การไตร่ตรองด้วยเหตุผลที่มี พื้น ฐานจากความเข้าใจในสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น ๑๐ ประการ ย่อม นำ ไปส่การจับประเด็นถูกที่ทำให้เกิดความแน่ใจในเรื่องการ ข้ามพ้นวัฏสงสารว่าเป็นสิงเป็นไปได้ ยิ่งกว่านั้น หากผู้ที่จับประเด็นถูกนั้น มีพื้นนิสัยเดิม เป็นนักสู้กับอุปสรรคปัญหา คือมีนิสัยพึ่งตนเองด้วยแล้ว ย่อม เป็นผู้มีกำลังใจมหาศาล และมีความเชื่อมั่นว่า การแสวงหา หนทางพ้นทุกข์ไม่ไฟเรื่องเหลือวิสัยชองมนุษย์ที่จะทำไม่ได้จึง สามารถให้กำลังใจตนเอง ในระด้บที่พร้อมจะทุ่มชีวิตเป็นเดิม พ้นเพี่อหาทางพ้นทุกข์ ด้งคำกล่าวให้กำลังใจตนเองของสุเมธ โพธิสัตว์'\" ต่อไปอีกว่า ® วิภพ หมายถึง ธรรมที่ไม่ให้เกิด (ชุ.ทุทฺธ.อ. ®o/®®o) ^ ไฟ ฅ หมายถึง ไฟคือราคะ โทสะ และโมหะ (ที.ปา.(แปล)๑๑/๓๐๕/๒๖๘) ^ สุเมธกทา ชุ.ใ'^ทธ. ๓๓/๑๓-๒๖/๕๖๙-๕๗๐(มจร.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๒ www.kalyanamitra.org

\"บุรุษผู้ตกไปในหลุมดูถเห็นสระนํ้าเต็ม ไม่ เข้าไปยังสระนํ้านั้น นั้นไม่ใช่ความผิดของสระนํ้า ฉันใด เมื่อสระนํ้าอมฤต®มีอยู่บุคคลไม่แสวงหาสระนํ้า นั้น อันเป็นที่ช่าระมลทินคือกิเลสนั้น ก็ไม่ใช่ความ ผิดของสระนํ้าอมฤต ฉันนั้น เมื่อทางไปมีอยู่ บุรุษนั้นถูกข้าคืกปีดล้อมไม่ ยอมหนีไปนั้น ไมใช่ความผิดของหนทาง ฉันใด เมื่อทางเกษมมีอยู่ บุคคลถูกกิเลสปิดล้อม ไม่ แสวงหาทางนั้นนั้นก็ไมใช่ความผิดของทางอันเกษม ฉันนั้น คนปวย เมื่อหมอมีอยู่ ก็ไม่ให้หมอเยียวยา ความป๋วยไข้นั้น นั้นไมใช่ความผิดของหมอ ฉันใด คนมีทุกข์ถูกความปวยไข้คือกิเลสเบียดเบียน ไม่แสวงหาอาจารย์ นั้นก็ไมใช่ความผิดของอาจารย์ ผู้แนะนำ เอาเถิดเราควรเป็นผู้!ม่มีความห่วงใย ไม่มีความต้องการ ละทิ้งร่างกายที่เปีอยเน่า เต็มไป ด้วยซากศพต่างๆ นั้!ปเสีย ฉันนั้น คนปลดเปลื้องซากศพที่น่ารังเกียจที่ผูกไว้ที่คอ แล้ว ไปอยู่เป็นสุขอย่างเสรีตามลำพังตน ฉันใด เราไม่มีความห่วงใย ไม่มีความต้องการ ละทิ้ง ร่างกายที่เปีอยเน่าเป็นที่รวมซากศพต่างๆ นั้!ปเสีย ฉันนั้น ® สระนํ้าอมฤต ในที่นี้หมายถึงนิพพาน(ชุ.ทุทฺธ.อ. <stdl(ร)®®) ๒๓ ความรู้Iกี่ยวกับวัฏสงสาร www.kalyanamitra.org

คนชายหญิงถ่ายอุจจาระลงในสัวม แล้วละทิ้ง ล้วมไปไม่มีดวามห่วงใย ไม่มีความต้องการ ฉันใด เราจักละทิ้งร่างกายที่เต็มไปด้วยซากศพต่างๆ น!ปเสีย ตุจคนถ่ายอุจจาระ(ลงในล้วม) แล้วละทิ้ง ส้วมไป ฉันนั้น เจ้าของเรือทิ้งเรึอที่ครํ่าคร่า ชำ รุด นํ้าไหลเข้าได้ ไปอย่างไม่มีความห่วงใย ไม่มีความต้องการ ฉันใด เราจักละทิ้งร่างกายนี้ที่มีทวาร ๙ มีของไม่ สะอาด ไหลออกอยู่เป็นนิตย์ไปเสีย ดุจเจ้าของเรือ ละทิ้งเรือที่ครํ่าคร่าไป ฉันนั้น บุรุษนำสิงของมีค่าไปกับพวกโจร เห็นภัยคือ การถูกปล้นสิงของจึงละทิ้ง(โจร)ไปเสีย ฉันใด กายนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เปรืยมเสมอด้วย มหาโจร เราจักละกายนั้!ปเพราะกลัวแต่การปล้น กุศลธรรม ฉันนั้น\" จากอุปมาอุปไมยที่ยกมาข้างต้นนี้ สะท้อนให้เห็นว่า พระ สัมมาล้มพุทธเจ้าของเรา ขณะยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงมี กำ สังใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวกับการเผชิญอุปสรรคปัญหายิ่งนัก ท่านไม่มีความหวั่นกสัวเลยว่าจะไม่สามารถแสวงหาหนทาง ดับทุกข์ไต้พบ ท่านมีแต่ความมั่นใจว่าทางดับทุกข์ต้องมีอยู่ ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่ทำให้ท่านมีความคิดเช่นนี้ เป็นผล มาจากนิสัยพึ่งตนเองอย่างทุ่มสิวิตเป็นเดิมพันของท่าน การยกหลักฐานเรื่องอุปมาอุปไมยขึ้นมานี้ ต้องการจะ ชี้ให้เห็นว่า การที่บุคคลใดจะพัฒนาตนจากการเป็นพระโพธิสัตว์ มาส่การตรัสรู้เป็นพระสัมมาล้มพุทธเจ้านั้น ทุกอย่างล้วนมีที่มา ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๔ www.kalyanamitra.org

ที่ไป ไม่ใช่อยู่เฉยๆ แล้วทุกอย่างจะเกิดขึ้นเอง หรือต้องคอย ให้มีพรหม มีเทวดา หรือมีใครมาดลใจให้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเหตุเป็นผลมีที่มาที่ไป ดังนั้น จากที่กล่าวไว้ก่อนหน้าแล้วว่า ปัจจัยที่ทำให้ เกิดพระโพธิสัตว์นั้น มาจากนิสัย ๓ ประการ ได้แก่ นิสัยไม่จับผิดใครทำ ให้ท่านสามารถสังสมปัญญาที่เป็น สัมมาทิฏฐิเบื้องต้น ๑๐ ประการ มานับภพนับชาติไม่ถ้วน นิสัยพึ่งตนเองอย่างทุ่มเวิตเป็นเดิมฟัน ทำ ให้ท่านมี กำ สังใจไม่สินสุด ที่จะแหกคุกคือวัฏสงสารน!ปให้ได้ แม้จะ ถูกสารพัดอุปสรรคปัญหา โดยเฉพาะอวิชชาคือความไม่รู้ และภพชาติที่ปิดบังความจริงอยู่ตลอดเวลาก็ตาม แต่ท่านก็ ไม่ย่อท้อที่จะเอาชนะอวิชชาและการเวียนว่ายตายเกิดให้ได้ และนิสัยที่มากในความกตัญฌูกตเวที ท่านจึงไม่คิด แหกคุกวัฏสงสารออกไปล่าพังผู้เดียว แต่จะนำพาชาวโลกที่ เป็นเสมีอนพ่อแม่ญาติพี่นัองของท่านหลุดพ้นจากการเวียน ว่ายตายเกิดตามไปด้วย นิสัยทั้ง ๓ประการที่สังสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วนนี้เอง ที่ท่าให้แม้ท่านไปเกิดในภพชาติใหม่ ถูกปิดกั้นด้วยภพชาติ และความไม่รู้คืออวิชชา อีกทั้งถูกหลอกล่อด้วยตัณหา แต่ ท่านก็จะสามารถจับประเด็นในการพัฒนาชีวิตได้ถูกต้อง เรื่อยไป รอบแล้วรอบเล่า ยกตัวอย่างเช่น เมื่อความคิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิเบื้องด้น๑๐ประการท่าให้ ท่านแนใจว่า \"กฎแห่งกรรมมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง การสร้างบารมีไปตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจัามีจริง\" ด้วย ๒๕ ความรู้เกี่ยวกับวัฏสงสาร www.kalyanamitra.org

อำ นาจแห่งสัมมาทิฏฐิในใจนั้นเอง ทำ ให้ท่านจับประเด็นถูกว่า หนทางพ้นทุกข์นั้นต้องอยู่บนเสันทางของการทำความดี ท่าน จึงทุ่มชีวิตเป็นเดิมพัน ห้กดิบกับความชั่ว ทุ่มเทสร้างความดี ผลที่ได้ก็คือ ความรูสิกที่ฟ็นสุขผ่องใสอยู่ภายในใจทำให้ท่าน เกิดกำลังใจที่จะทำความดียิ่งๆ ขึ้นต่อไปอีก ครั้นเมื่อท่านยิ่งทุ่มชีวิตทำความดีมากเท่าไหร่ ความ สุขผ่องใสภายในใจยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ตรงนี้เอง ที่ท่าให้ ท่านเกิดความแนใจว่า หนทางต้บทุกข์นั้นต้องอยู่ภายในใจของ ตนเองไฝใข์อยู่นอกตัว ท่านจึงจับประเด็นถูกว่า\"การตับทุกข์ นั้น ต้องพยายามเก็บใจไวในตัว\" เพราะเมื่อพยายามเก็บใจไว้ ในตัว ไม่ปล่อยให้ใจไปติดเหยิ่อล่อที่เป็นทุกข์ภายนอกตัว นานเท่าไร ความสงบใจก็เกิดมากขึ้นเท่านั้น ความสุขผ่องใส ในใจก็เกิดมากขึ้นเท่านั้น ความสุขผ่องใสที่เกิดจากเก็บใจไร้ในตัวนี้เอง ท่าให้ ภาวนา\"ท่านจึงมั่นใจว่า \"การแสวงหาหนทางตับทุกข์ เพื่อแหก คุกคือว้ฎสงสารออกไปไต้นั้น ต้องแสวงหาต้วยการทำ ภาวนาอย่างทุ่มชีวิตเป็นเดิมพ้น\" บุคคลที่เริ่มเจริญสมาธิภาวนา ถ้าสามารถวางใจได้ ถูกส่วน ใจย่อมรวมเป็นหนึ่งที่ศูนย์กลางกาย ความสว่าง ภายในย่อมเกิดขึ้นทีละน้อยๆ มีความรู้สิกสงบทั้งใจและกาย ขณะเดียวกันก็รู้สืกมีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิต ประสบการณ์ภายในอันน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิด แรงบันดาลใจที่จะเจริญภาวนาให้ยิ่งๆ ขึ้นต่อไปอีก ศรัหธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๖ www.kalyanamitra.org

ทักษะในการทำภาวนาก็ทำนองเดียวกับทักษะในการ กระทำกิจกรรมอื่นๆ กล่าวคือการเจริญภาวนายิ่งมากรอบขึ้น ประสบการณ์ภายในก็จะยิ่งก้าวหน้าไปตามลำดับๆ จน กระทั่งเกิดความสว่างโพลงขนาดดวงอาทิตย์เที่ยงวันมากดวง มารวมกันที่ศูนย์กลางกาย ทว่าปราศจากความร้อนแรง มีแต่ ความร้สืกเป็นสุขอย่างยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันความ สว่างโพลงนั้นก็ล่องให้เห็นแจ้งรู้แจ้งตามความเป็นจริง จน เกิดเป็น ภาวนามยป้ญญๆ® ขึ้นมา สำ หรับบุคคลที่มีประสบการณ์!นการเจริญภาวนาถึงขั้น เห็นแจ้งรู้แจ้งความจริงดังกล่าว ภาวนามยปัญญาของเขา ย่อมกระตุ้นให้เขาแสวงหาทางพาตนให้พ้นจากกองทุกข์ ทำ นองเดียวกับคนติดคุกย่อมหาทางที่จะทำให้ตนพ้นออกมา จากคุกโดยเร็ว อันที่จริงโลกเรานี้ก็เป็นเสมือนคุกขนาดมหึมาที่ฃัง สรรพสัตว์ทั้งหลายรวมกันไว้ ผู้มืปัญญาจึงเกิดคำถามเตือน ใจตนเองว่า เมื่อใดหนอเราจะออกจากคุกได้ วันใดที่เรามื อิสรภาพพ้นออกไปจากคุก วันนั้นเราก็จะพ้นทุกข์ จะทำ อย่างไรหนอ เราจึงจะออกจากคุกได้ แต่ถึงอย่างไรก็น่าจะมื วิธีที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ถ้ารู้จักแสวงหาด้วยปัญญา เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้แล้ว บุคคลผู้มืปัญญาย่อมคิด แสวงหาวิธีการที่จะทำให้ตนพ้นทุกข์เรื่อยไป ยิ่งกว่านั้นยังคิด ® ปัญญาแบ่งออกเป็น ฅ ชนิด คือ ๑)จีนตามยปัญญา = ปัญญาสำเร็จด้วย การคิด ๒)สุตมยปัญญา=ปัญญาสำเร็จด้วยการฟัง ฅ)ภารนามยปัญญา = ปัญญาสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา เป็นปัญญาเกิดจากการเห็นแจ้งรู้แจ้ง โดยไม่ต้องคิด ๒๗ ความรู้๓ยวกับวัฏสงสาร www.kalyanamitra.org

ฝืนต่อไปอีกว่าถ้าตนพ้นทุกข์จริงแล้ว คงจะมีความสุขมาก ถ้าเป็นเช่นนั้น ตนจะต้องพยายามชักชวนชี้แนะบรรดาผู้คนที่ ยังติดอยู่ในคุกแห่งสังสารวัฏ ให้ปฏิบัติตามวิธีการเช่นเดียว กับตนด้วย เพี่อว่าทุกๆ ชีวิตจะได้พ้นทุกข์และประสบสุขกัน ถ้วนหน้า แทนที่ตนจะกสับไปเย้ยหยันยิ้มเยาะ เหล่าผู้คนที่ ยังติดคุกอยู่ ดังเช่นผู้ชนะโดยทั่วไปในปัจจุบันชอบประพฤติ ปฏิบัติกนเป็นนิสัย เมื่อพยายามคิดค้นไปเรื่อยๆ ด้วยความเชื่อมั่นว่า การ เจริญภาวนาน่าจะเป็นวิธีการแสวงหาที่มีประสิทธิภาพยิ่ง เพราะยิ่งมีประสบการณ์ภายในมากขึ้น จิตใจก็ทวีความ บริสุทธยิ่งขึ้น ไม่ถูกรบกวนบีบคั้นด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลงเหมีอนแต่ก่อน ความคิดฟ้งซ่านด้วยเรื่องต่างๆ ก็ สงบลง ความสังเลสงสัยขณะเจริญภาวนาก็หายไป ความ สว่างโพลงภายใน ณ ศูนย์กลางกายก็ทวียิ่งๆ ขึ้นไป เกิดเป็น \"ภาวนามยป้ญญๆ\"ในระดับที่เรียกว่า \"ญาณทัสสน»ะ\" ขึ้นุมา \"ญาณห้สสน>ะ\"นี้เองที่ใช้เป็นเครื่องมีอในการระลึกชาติ หนหสังไปดูการสร้างบารมีของตนเองมาน้บภพน้บชาติไม่ถ้วน ทำ ให้๓ดภาวนามยป็ญญาในระดับที่สามารถออกแบบชีวิต เพื่อการแหกดุกวัฏสงสาร® ได้จริง ดังนี้ ๑) ต้องเตรียมเสบียงข้ามภพข้ามชาติ จึงเป็นที่มาของ การปาเพ็ญ \"ทานบารมี\" ๒) ต้องเตรียมกายมนุษย์เอาไว้รองวับการบรรลุธรรม จึงเป็นที่มาของการปาเพ็ญ \"สิลบารมี\" และ \"เนกขัมมบารมี\" ® สุเมธกลา ชุ.พุทธ. ๓๓/๑๑๕-๑๖๕/๕๘๓-๕๘๘(มจร.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๒๙ www.kalyanamitra.org

ฅ) ต้องเตรียมคุณสมบัติในการบรรลุธรรม จึงเป็น ที่มาของการปาเพ็ญ \"บัญญาบารมี\",\"วิรียบารมี\",\"ขันติบารมี\", \"สัจจบารมี\" และ \"อธิษฐานบารมี\" ๔) ต้องเตรียมครามพร้อมในการบำเพ็ญหน้าที่ กัลยาณมิตร จึงเป็นที่มาของการปาเพ็ญ \"เมตตาบารมี\" และ \"อุเบกขาบารมี\" ในที่สุด บุคคลผู้มีภาวนามยปัญญา มองเห็นแนวทางว่า วิธีการที่จะทำให้ตนพ้นทุกข์นั้น จะต้องไม่ใช่การประพฤติ ทุจริตต้วยประการทั้งปวง ไม่ใช่การเหยียบยํ่าเบียดเบียนผู้อื่น แต่ต้องเป็นการประพฤติสุจริต หรือประพฤติดีปฏิบัติชอบ ด้วยประการทั้งปวง ที่เรืยกว่า \"บารมี ๑๐ ทัศ\"พร้อมกันนันก็ ต้องพวกเพียรปฏิบัติตนให้บริสุทธื้ด้วยกาย วาจา ใจ ด้วย การเจริญภาวนาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ก่อให้ เกิดความขัดแย้งกับผู้คนรอบข้าง แต่จะต้องหันหน้าเข้าหากัน อยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคี ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสนับสนุนการ เจริญภาวนาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เมื่อมั่นใจในวิธีการของตนแล้ว บุคคลผู้มีปัญญาอย่าง สูงส่งนั้นก็ตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า ต่อแต่นี้เป็นต้นไป ตนจะ ตั้งใจปฏิบัติเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์ให้แก่ตนเอง เมื่อ สัมฤทธิผลแล้ว นั่นคีอได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเป็น พระพุทธเจ้า ก็จะอนุเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งปวงไม่มียกเว้น ด้วยการชี้แนะแนวทางให้เกิดปัญญาสามารถปฏิบัติตนอย่าง ถูกต้อง เพื่อให้พ้นทุกข์หรือพ้นคุกเช่นเดียวกับตนโดยไม่มี ผู้ใดตกหส่นหลงเหลือติดอยู่ในคุกเลย taGf ความรู้เกี่ยวกับวัฏสงสาร www.kalyanamitra.org

มีความจำเป็นอย่างยิ่งว่า ในระหว่างที่เป็นพระโพธิสัตว์ น่าเพ็ญบารมีอยู่นั้นจะต้องผ่านชั่วโมงการบ่าเพ็ญภาวนามาอย่าง ยิ่งยวด จนกระทั่ง เกิดญาณทสสนะ® ที่เรียกว่า ทิพยจักษุ'^ อันเป็นคุณวิเศษที่ทำให้สามารถระลึกซาติ'\"หนหสังไปได!กลๆ ยิ่งสามารถระลึกชาติได้มากเท่าไหร่ ยิ่งเกิดความรูที่ถูกต้องใน การสร้างบารมีมากเท่านั้น ยิ่งเกิดความมั่นใจว่าตนสังสม บารมีอยู่บนเสันทางเก่า'^ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ หน้านี้มากเท่านั้น จึงยิ่งเกิดกำลังใจมหาศาล ทำ ให้ไม่ยอมแพ้ หรีอท้อถอยต่ออุปสรรคในการทำความดี ยิ่งกว่านั้น ในระหว่างการสร้างบารมี หากได้มีโอกาส พบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นองค์ปัจจุบันในขณะนั้นอีก ด้วย ยิ่งทำให้เกิดกำสังใจมหาศาล ซึ่งเปรียบเสมีอนกับร่น น้องได้พบกับรุ่นพี่'^ที่ประสบความสำเร็จในการตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปก่อนหน้าแล้ว ยิ่งทำให้เกิดกำสังใจ ® สุเมธดาบส ปาเพ็ญภาวนาอย่างยิ่งยวด ก็บรรลุอภิญญา ๕ ภายในเวลา ๗ วัน เป็นผู้ยินดีในฌาน (สุเมธกถา ชุ.พุทธ. ๓๓/๓๓-๓๕/๕๗๑ (มจร.). หีป้งกรพุทธวงส์ ชุ.พุทธ. ๓๓/๑๒/๕๙๓ (มจร.)) ^ พระอนุรุทธะเป็นพระอรหันต์ผู้เลิศในด้านทิพยจักชุ'หรือการระลึกชาติเพราะ ท่านชำนาญการปาเพ็ญภาวนาแบบอาโลกกสิณ (อาโลกกสิณ แปลว่า กสิณ แลงลว่าง หมายถึง การฝึกลมาธิด้วยการกำหนดบริกรรมนิมิตที่เป็นดวงใล ลว่าง เพี่อรวมใจให้หยุดนิ่งเป็นลมาธิอยู่ภายในสูนย์กลางกาย มานับภพ นับชาติไม่ถ้วน ท่านจึงเป็นพระอรหันต์เพียงรูปเดีย .ที่ลามารถบรรยาย การเข้าฌานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะเลด็จดับขันธปรินิพพานได้ละเอียด ที่สุด ในขณะที่พระอรหันต์องค์อื่นๆ ก็ระลึกชาติได้ แต่ไม่สามารถเก็บ รายละเอียดได้เท่ากับท่าน (มหาปรินิพพานสูตร ที.ม. ๑๐/๒๑๙/ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก www.kalyanamitra.org

มหาศาล เป็นเหตุให้สามารถรักษามโนปณิธานที่ตั้งใจไว้ตั้ง แต่ชาติแรกไว้ได้ตลอดรอดฝัง จนกระทั่งตรัสรู้เป็นพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายได้สมบูรณ์ จากตัวอย่างที่นำมาแสดงเหตุผลนี้ คือ การอธิบายมา ตามลำดับๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า ทำ ไมพระโพธิสัตว์ ผู้ ตั้งปณิธานจะแหกคุกคือวัฏสงสารไว้อย่างแน่วแน่ จึงสามารถ พัฒนาตนเองมาอย่างตลอดรอดฝัง จนกระทั่งตรัสรู้เป็นพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นหากกล่าวโดยสรุป ก็คือ การที่พระโพธิสัตว์องค์ ใดจะสามารถรักษามโนปณิธานไว้ได้ตลอดรอดฝัง จน กระทั่งตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเ.จ้านั้น มีจุดเริ่มด้นจาก ดวามเป็นผู้มีนิสัยไม่จ้บผิดใคร มีนิสัยพึ่งตนเอง และมีนิสัย มากด้วยกด้ญฌูกตเวที ทำ ให้มองโลกและชีวิตตามความ เป็นจริงออกว่า \"ชีวิตนั้เป็นทุกข์ การแหกคุกคือว้ฏสงสารได้ เป็นอิสระสุขอย่างยิ่ง\" จึงตั้งมโนปณิธานแสวงหาทางดับทุกข์ เป็นเส้นทางการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ โดยที่ใน ขณะนั้นยังเหลือหนทางสร้างบารมีอีก ๔ อสงไขย แสนมหากัป จึงจะได้ ทางการสร้างบารมี (สุเมธกถา ชุ.พุทธ. ๓๓/๑๕๕-๑๖๕/๕๘๓-๕๘๘(มจร.)) ^ นครสูตร ส.นิ. ๑๖/๖๕/๑๒๘(มจร.) ^ ในอดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ขณะเสวยพระชาติเป็น สุเมธดาบสพอได้ยินว่าพJ_ร-ะที_ ปังกรพุทธเจ้าเ1^ส.ด็พจอุบัติขึ้นแส้วก็ปIลาบป.ล.ืเ^้^ม.ยินดี ตื้นตันใจเป็นที่สุด ครุ่นคิดถึงแต่คำว่า \"พุทโธ พุทโธ\" อยูในใจตลอดเวลา เพราะดีใจที่อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า จะได้พบกับพระสัมมาส้มพุทธเจ้ารุ่นพี่ของ พระองค์ อันเป็นเสมือนการได้เห็นปลายทางแห่งการสร้างบารมีของ พระองค์ไว้ล่วงหน้า (ชุ.พุทธ. ๓๓/๔๐-๔๔/๕๗๒ {มจร.)) ความรู้เกื่ยวกับว้ฎสงสาร www.kalyanamitra.org

เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากนั้นก็อาสัยนิสัย พื้นฐานที่ติดตัวมาทั้ง ๓ประการปรับปรุงความคิด การกระทำ และคำพูดของตนเองมาตามลำดับๆ ดังตัวอย่างที่กล่าวไว้ ข้างตัน ธรรมชาติของสัตวโลก ด้วยเหตุที่สัตวโลกทั้งหลายตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส นับ แต่วันคลอดจากครรภ์มารดาก็ถูกกิเลสบีบคั้นอันเป็นเหตุให้ ทำ ชั่วได้ง่าย เพราะขาดสติยั้งคิดทบทวนอย่างสุชุมรอบคอบ จึงมักจะทำชั่วกันแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน คือเมื่อคิดจะทำชั่ว ในเรื่องใด ก็มุ่งมั่นจะทำให้สำเร็จให้จงได้ แม้จะต้องพลีชีพก็ ยอม เช่น เมื่อเวลาแสดงความร้ายกาจเข้าใส่กัน ต่างฝ่ายก็จะ ทำ รุนแรงแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันเป็นประจำ ในที่สุดก็เกิด นิสัยทำชั่วแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ครั้นแล้วนิสัยชั่วนี้ก็จะ กลายเป็นโปรแกรมติดตัวติดใจข้ามภพข้ามชาติ และทวี ความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างยากที่จะแกไข คราใดที่ประสบสิงที่ไม่พอใจ ก็พร้อมที่จะทำร้าย ทำ ลายผู้อื่นอย่างรุนแรงชนิดเอาชีวีตเป็นเดิมพัน คราใดที่ ประสบสิงถูกใจแต่มีเจ้าของหวงแหน ก็พร้อมที่จะแย่งชิงเอา มาเป็นของตน แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันหรือแม้ที่สุดเมื่อจะทำ สิงใดในชีวิตประจำวัน ก็ทำ ด้วยความรุนแรง ทั้งนี้ เพราะ โปรแกรมทำความชั่วอย่างรุนแรงแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ได้ ติดเป็นนิสัยแล้วนั่นเอง โปรแกรมนี้จะคอยกระตุ้นให้ ทำ ความชั่วในเรื่องต่างๆ ชํ้าแล้วชํ้าอีก และล่งผลให้สัตวโลก ต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสารสุดแสนนาน ขนาด ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๓๒ www.kalyanamitra.org

นํ้าตาที่หลั่งไหลออกมา มีปริมาณมากกว่านํ้าในมหาสมุทรทั้ง๔ รวมกัน ไนทำนองกลับกัน เรื่องการทำความดี ผู้คนส่วนมาก จะทำกันอย่างเหยาะแหยะย่อหย่อน ไม่เอาจริงเอาจัง เช่น การให้ทาน ก็ทำ กันอย่างเหยาะแหยะ และพอใจจะให้เฉพาะ บุคคลผู้ใกล้ชิด บางกรณีสิงที่นำมาให้ทานก็ได้มาจากการ ทำ บาปที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ ก็คือ คราใดที่รํ่ารวยมาจากการพนัน ก็จะจัดเลี้ยงกันแบบไม่อั้น แถมยังเลี้ยงสุรายาเมา แล้วก็ก่อ เรื่องทะเลาะวิวาทกันถึงกับปลิดชีวิตกันบ้าง หริอมิฉะนัน ก็ เป็นเหตุให้ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนเพราะความเมามาย เป็นต้น ยิ่งกว่านั้น เมื่อเห็นผู้ใดทำทานบ่อยๆ ทำ ทานด้วย โภคทร้พย์จำนวนมาก ก็จะทักท้วงห้ามปราม วิพากษ์วิจารณ์ เป็นเหตุให้ผู้นั้นต้องปรับเปลี่ยนการทำทานของตนลง ทังๆ ที่ ตนมีความพร้อมในเรื่องโภคทรัพย์ ทำ ให้ต้องทำทานอย่าง เหยาะแหยะไปด้วย ในเรื่องการรักษาคืลนั้นเล่า ผู้คนส่วนใหญ่ก็รักษากัน แบบเหยาะแหยะอีกด้วย เช่น เมื่อรับคืล ๕ จากพระ ก็มี ผู้คนไม่น้อย ที่ตั้งใจรับเฉพาะข้อที่ตนคิดว่าจะปฏิบัติได้ ส่วนข้อที่คิดว่าจะปฏิบัติไม่สะดวกก็จะไม่รับ หริอบางคนก็รับ เฉพาะบางข้อ เฉพาะบางวัน เป็นต้น ด้งนั้นในลังคมจึงขาดฆราวาสที่เป็นแบบอย่างในการ รักษาคืล เด็กที่เกิดมาใหม่ย่อมลังเกตเห็นและซึมซับ พฤติกรรมที่ขาดคืลขาดธรรมของผู้ใหญ่รอบด้าน ไม่ว่าจะ ธรรมชาติของสัตวโลก www.kalyanamitra.org

เป็นพ่อแม่ผู้ปกครองของตน หรือผู้คนระดับชั้นนำในสังคม ซึ่งสมควรจะเป็นมาตรฐานแบบอย่างในการรักษาสืลให้แก่ ผู้คนโดยทั่วไป แม้เยาวชนจะได้รับการปลูกฝังอบรมเรื่องสืล จากโรงเรืยนจากวัดมาบ้าง ก็อาจจะรักษาสีลเพียงบางข้อ บาง กรณีเท่านั้น เช่นไม่ฆ่าคนแต่ฆ่าสัตว์ ไม่สักทรัพย์.แต่ก็มี กุศโลบายหาเงิน\"ไตIต๊ะ\"ไม่ดื่มสุราก็เฉพาะเทศกาลเข้าพรรษา ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นเหตุให้ชาวพุทธรักษาสืลกันแบบเหยาะแหยะ ส่วนการเจริญภาวนานั้น แม้ผู้คนส่วนใหญ่ที่เรียก ตนเองว่าพุทธสาสนิก แต่ก็ไม่ใคร่จะได้เจริญภาวนาหรืออาจ จะท่าบ้าง ก็ท่าอย่างเหยาะแหยะ โดยอ้างเหตุผลคล้ายๆ กัน ว่าไมม้เวลา หรือบางคนก็คิดว่าการเจริญภาวนาเป็นเรื่องของ สงฆ์ ของนักบวชโดยเฉพาะ ชํ้าร้ายกว่านั้น ผู้นำ ทางความคิด บางคนในสังคม ยังแสดงทรรศนะว่า ถ้าผู้คนในบ้านเมืองพา กันสนใจหลับตาเจริญภาวนากัน ไม่ข้าไม่นานบ้านเมืองก็จะ ถึงกาลส่มสลาย เพราะเหตุที่เต็มไปด้วยคนเกียจคร้าน การ แสดงทรรศนะเช่นนี้คึอการแสดงความโง่เขลาอย่างแท้จริง เพราะเขาไม่รู้แม้สักนิดเดียวว่า ภาวนามยปัญญานั้นประเสัริฐ ยิ่งกว่าปัญญาอย่างอื่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตรัสรู้!ด้ก็เพราะการเจริญภาวนาเป็นสำคัญ ด้งนั้น นิสัยท่าความดีอย่างเหยาะแหยะ จึงติดตัว ติดใจผู้คนเรื่อยไป ในที่สุดก็เกิดโปรแกรมท่าความความดี แบบเหยาะแหยะติดเป็นนิสัยตลอดไป ตราบใดที่นิสัยท่าความชั่วเป็นโปรแกรมที่มือำนาจ รุนแรงกว่านิสัยท่าความดี ตราบนั้นนิสัยชอบท่าความชั่ว ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก m<t www.kalyanamitra.org

ย่อมชนะนิสัยชอบทำความดีตลอดไป เพราะเหตุนี้เอง สังคม โลกจึงสับสนๅนวายเสมอมา แม้แต่สังคมชาวใ/^ทธในประเทศ ไทยซึ่งได้ร้บยกย่องให้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก ก็กำ สังเกิดปัญหาสับสนวุ่นวายด้วยโปรแกรมทำความชั่วแบบ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน กำ สังออกฤทธิ้อย่างน่าอเนจอนาถ นับว่า เป็นการเพิ่มทุกข์ที่เคยมีอยู่แล้ว ให้ทับทวียิ่งขึ้นอีก ทั้งหมดนี้ คือธรรมชาติของสัตวโลก ซึ่งต่างต้อง ลอยคออยู่ในทะเลทุกข์ จึงมีคำถามว่า จะทำอย่างไรดี หรือ จะมีวิธีการอย่างไร ที่จะทำให้เราตะเกียกตะกายขึ้นฝีงได้ เพิ่อจะได้พันจากทะเลทุกข์อย่างเด็ดขาด เหตุกระดุ้นให้เกิดทุกข์ นอกจากโปรแกรมทำความชั่วแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แล้ว ยังมีความจริงที่ต้องพิจารณาอีกประการหนึ่งนั่นคือ เหตุปัจจัยที่คอยกระตุ้นให้คนเรามีความทุกข์ ความเดีอดร้อน ไม่สร่างซา ซึ่งอาจแปงออกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ ๑. ความร้ายกาจของตัวเราเอง ซึ่งที่แท้ก็คือ กิเลสอัน เป็นธาตุสกปรก ที่ติดแน่นอยู่ในใจของทุกคน คอยบีบคั้นให้ผู้คนจำนวนไม่นัอย มีความ ร้ายกาจเป็นนิสัย ชนิดที่แก้ไขไม่ได้เลยก็ว่าได้ นั่นคือ ความหิวที่ติดตัวมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกความ หิวนี้ สามารถบีบคั้นใจและกายของบางคนให้ เกิดอารมณ์รุนแรง ชนิดที่พร้อมจะฆ่าทุกชีวิตที่ เกี่ยวข้องขัดขวางได้ เพราะความหิวนี้ถือว่าเป็น ๓๕ เทตุกระตุ้นใพ้กํดทุกข์ www.kalyanamitra.org

โรคอย่างหนึ่งดังที่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน สุขวรรค® ว่า ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง'® ๒. ความร้ายกาจจากสภาพแวดล้อม ซึ่งมีทั้งสิง แวดล้อมที่เป็นมนุษย์และสัตว์ รวมทั้งสภาพ ธรรมชาติที่ไม่เอื้ออำนวย และก่อให้เกิดปัญหา ต่างๆ อยู่เสมอ บรรดาสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายใน โลกนี้ ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่โตเท่าใด มีพิษร้าย แรงขนาดไหน ถ้าคนเรามีปัญญาไม่ประมาท เสินเล่อ รู้จักวิธีป้องกันและปราบปราม ก็ สามารถรอดพ้นอันตรายและความร้ายกาจจาก ดิรัจฉานทุกประ๓ท ดังมีตัวอย่างปรากฏให้เห็น อยู่มากมายทุกยุคทุกสมัยจนกระทั่งปัจจุบัน เช่น ช้างปามีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์หลายสิบเท่า มี นิสัยดุร้ายยิ่งนักในขณะตกมันแต่คนเราก็สามารถ ปราบฤทธึ้ช้างได้เด็ดขาด อีกทั้งฝึกให้รับใช้งาน หนักอยู่ในปา ฝึกให้เล่นกีฬาและแสดงกิจกรรม นันทนาการต่างๆ ในเมีอง ให้ผู้คนเกิดความ สนุกสนานรึ่นเริงบันเทิงใจได้ บรรดาสัตว์ดุร้าย ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิงห์โต เสือ งูเห่า งูจงอาง ฯลฯ คนเราก็สามารถจับมาใส่กรงขังให้สาธารณชน ดูในสวนสัตว์ได้ แม้พญานาคซึ่งมีฤทธิ้เดช ยิ่งนัก คนเราก็สามารถปราบพยศให้ยอมสยบ แทบเท้าได้ด้งกรณี พญานาคซึ่ออหิฉัตตะ ถูก ® ชุ.ธ. ๒๕/๒๐๓/๙๕(มจร.) ๒ ที่เรียกความหิวว่าเป็นโรคอย่างยิ่ง เพราะต้องเยียวยารักษาอยู่ตลอดเวลา ศร้ทธา รุ่งอรุณแห่งสัแติภาพโลก ๓๖ www.kalyanamitra.org

พระโมคคัลลานะทรมานจนหมดพยศอย่าง ราบคาบ ยอมสยบอยู่แทบเท้าพร้อมทั้งแผ่ พังพานเป็นร่มเงาปกป้องคุ้มครองพระมหาเถระ ใหได้รับความสบาย® ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า แม้ความร้ายกาจจากสัตว์ดิรัจฉาน จะมากมายเพียงใด ถ้าคนเรามีปัญญา ไม่ตั้งอยู่ในความ ประมาท ไม่มีเวรภัยผูกพันกันมาก่อน ย่อมรอดพันภัยจาก สัตว์ร้ายได้ แต่ความร้ายกาจจากมนุษย์ด้วยภันนี่แหละ ร้ายกาจ ที่สุดทั้งนี้เพราะแต่ละคนต่างมีกิเลสที่ติดแน่นอยู่ในใจ ซึ่งมี คัพท์เรียกว่า กิเลสมาร เป็นเสมีอนทัพหน้าของพญามาร คอย บีบคั้นควบคุมบงการให้ท้าชั่วแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันอยู่เสมอ ที่สังเกตเห็นได้ง่ายก็คือโมหะ หรีอความหลงของผู้คน ที่คอย บีบคั้น บังคับให้คิดร้ายในด้านต่างๆ เช่น คนที่มีโภคทรัพย์ มากมายมหาศาล มีตำ แหน่งสูงล่งในสังคม ก็คิดระแวงว่า บรรดาบริวารที่รับใซใกล้ชิด โดยเฉพาะบริวารที่มีสติปัญญา เฉียบแหลม จะพัฒนาตนให้เทียบเทียมหรีอลํ้าหน้าตน ทั้ง ด้านโภคทรัพย์และตำแหน่งในสังคม เมื่อถูกโมหะบีบคั้นให้คิดระแวงเช่นนี้แล้ว บริวารของ โมหะอีก ๒ ตระถูล คือ โลภะและโทสะ(ความโลภและความ พยาบาทจองเวร) ก็เข้าสนับสนุนห้วหน้าใหญ่ทันที ในที่สุด ® พทธวรรควรรณนา ขฺ.ธ. ๔๒/๒๔/๓๙๐ (มมก.) ๓๗ เหตุกระตุ้นใพ้กดทุกข์ www.kalyanamitra.org

กระหนํ่าชํ้าเติมความทุกข์ทั้งกายและใจ ชึ่งมีอยู่ตามธรรมดา ให้แก่ทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายรุกรานเอง และฝ่ายถูกรุกราน นี้เป็นเพียงลักษณะหนึ่งที่เกิดเป็นความร้ายกาจจาก มนุษย์ ยังมีความร้ายกาจอย่างอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ความ โลภ ความเห็นแก'ตัว ความโง่เขลาเบาปัญญาในการแสวงหา เพื่อเลี้ยงชีวิต ทำ ให้ผู้คนพากันปฏิบัติการต่างๆ อันเป็นการ ทำ ลายสิงแวดล้อม เช่นตัดไม้ทำลายปาการทำลายต้นนํ้าลำธาร ซึ่งเปรียบเสมีอเส้นโลหิตของมนุษย์ การผสิตสิงประดิษฐ์ทัน สม้ย ต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้แก่คนเรา ซึ่งใน ระยะแรกก็พากันมองเพียงด้านเดียว ว่าเป็นอัจฉริยภาพของ นักประดิษฐ์ โดยมองข้ามผลเสิยของสิงประดิษฐ์เหล่านั้น ที่ จะตามมาในภายหลัง ในที่สุดผลเสียต่างๆ ที่ลังสมไว้นานแล้ว ก็ปรากฏตัวให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมในลักษณะต่างๆ เช่น มลพิษที่เกิดขึ้นทั้งในอากาศและในนํ้า บรรยากาศที่ทำให้โลก ร้อน การสูญพันธ์ของพีชและลัตว์ต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความ สมดุลตามธรรมชาติ เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้ จะทวีความ รุนแรงขึ้นตามลำดับๆ ถึงขั้นทำลายโลกทีเดียว ด้งที่มีคำ พยากรณ์จากองค์การนาชา®เผยแพร่ออกมาเป็นข่าวว่า นํ้าจะ ท่วมโลกในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหนัา ทั้งหมดนี้คือเหตุปัจจัยที่ทำให้คนเทประสบความทุกข์ และความเดีอดร้อนไม่สร่างซา และบีบคั้นให้คนเราสร้าง โปรแกรมทำความชั่วอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน โดยยากที่จะ หาเวลาคิดสร้างโปรแกรมทำความดี ® องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ : สหรัฐอเมริกา (National Aeronautics and Space Administration_NASA) ศร้ทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๓ร> www.kalyanamitra.org

การแก1ฃเพื่อยกตนขึ้นจากทะเลทุกข์ จากหัวข้อที่ผ่านมาย่อมเห็นได้ว่าความร้ายกาจประจำตัว นั้น มีทั้งความร้ายกาจประจำตัวของเราเอง และความ ร้ายกาจประจำตัวของผู้อื่นทุกๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความ ร้ายกาจอันเกิดจากโรค คือความหิว เมื่อเป็นเช่นนี้ ความ ร้ายกาจของแต่ละคน แต่ละฝ่าย จึงโหมเข้าใส่กันอย่างไม่มีที่ สินสุด ดังนั้น การแก้ปัญหาความร้ายกาจเข้าใส่กันจะสัมฤทธิ ผลได้จริง คงจะมีอยู่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น คือต้องแก้ โปรแกรมท่าความดีแบบเหยาะแหยะ ให้เปลี่ยนเป็น โปรแกรมท่าความดีแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน บารมื การท่าความดีแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันคือที่มาของบารมี ทั้งนี้ เพราะเมื่อคนมีปัญญาตั้งใจท่าความดีตามหลัก พระพุทธศาสนาอย่างจริงจังสมํ่าเสมอ ย่อมสามารถพัฒนานิสัย ละชั่ว ท่าดี ท่าใจให้ผ่องใส ให้เกิดขึ้นอย่างถาวร เมื่อท่าความ ดีทั้ง ๓ ประการนี้ บุญย่อมเกิดแก่ผู้ท่า แม้ท่าความดีแบบ เหยาะแหยะผู้ท่าก็จะได้บุญน้อย แต่ถ้าท่าความดีแบบเอา ชีวิตเป็นเดิมพัน อานิสงส์ของการท่าดีย่อมเกิดแก่ผู้ท่า มากมายมหาศาลเกินกว่าจะเรียกว่าบุญ จึงต้องบัญญัติคำ กัพท์ใหม่ คือ บารมีขึ้นมาใช้เรียก ดังนั้น ถ้าถามว่าบารมีคืออะไร คำ ตอบก็คือ คำ ว่า บารมี มีความหมายอย่างน้อย ๒ ประการ คือ บารมี www.kalyanamitra.org

๑. บารมี หมายถึง บุญที่มีคุณภาพสูง มีปริมาณมาก เพราะเป็นอานิสงส์ของการทำความดีแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน และทำอย่างถูกหลักวิชา ๒. บารมี หมายถึง นิสัยเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการ ทำ บุญหรือทำความดี ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการทำความดี อย่างอุกฤษฏ์ในข้อ ๑ อย่างต่อเนื่องนั่นเอง การสร้างบารมืฃองพระโพธิสัตว์ เมื่อมั่นใจในคุณค่าของการสร้างความดีด้วยปัญญาของ ตนแล้ว พระโพธิสัตว์ก็ตั้งใจมุ่งมั่นลังสมคุณความดีอย่างต่อ เนื่องไปตามลำด้บๆ แท้ที่จริงในขณะที่เริ่มลังสมคุณความดีนั้น พระโพธิลัตว์มิได้ล่วงรู้มาก่อนว่า จะต้องสร้างบารมีอะไรบ้าง จำ นวนเท่าใด รู้แต่เพียงว่า สิงใดที่ไม่ดี ไม่ควร ไม่เหมาะสม จะต้องไม่ทำอย่างเด็ดขาดชนิดที่กล่าวได้ว่า อะไร ที่ชั่วจะเอา ชีวิตเป็นเดิมพัน - เลิก ส่วนอะไรที่ดีจะเอาชีวิตเป็น เดิมพัน - ทำ ยิ่งกว่านั้นจากประสบการณโนการเจริญภาวนาตลอดมา ทำ ให้พระโพธิลัตว์มีความมั่นใจในอานิสงส์อย่างมหาศาลของ การเจริญภาวนา เพราะนอกจากจะทำให้รู้สืกมีความสุขกาย สบายใจเพิ่มขึ้นโดยตลอดแล้ว ยังช่วยให้เห็นแจ้ง รู้แจ้ง ความจริงมากมาย ที่ไม่สามารถรู้ด้วยวิธีอื่นๆ โดยสรุปก็คือ เมื่อความสุขเพิ่มขึ้น ทุกข์ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และปัญญา ก็ทวียิ่งขึ้นอีกด้วย จึงตั้งใจมุ่งมั่น ทำ จิตใจให้ผ่องใสให้ถึงที่ สุดให้ได้ด้วยการเจริญภาวนาชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่มี ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๙๐ www.kalyanamitra.org

ย่อหย่อน ไม่มีหยุดยั้ง จากประสบการณ์ที่มุ่งมั่น ละเว้นความชั่วแบบเอาชีวิต เป็นเดิมพัน ทำ ความดีแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน และทำใจให้ ใสแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน มาเป็นเวลานานแสนนาน ชั่วกัป ชั่วกัลป๋ ในที่สุดพระโพธิสัตว์ก็ได้พบว่ากิจวัตรทั้ง ๓ ประการ ชึ่งมีด้พท์ว่าบุญกิริยาวัตถุ ที่ตนปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องนัน สามารถแปงออกได้เป็นธรรมหรือความดีโดดเด่น ๑๐ เรื่อง ซึ่งมีด้พท์ว่าทศบารมี ได้แก่ ๑. ทานบารมี หมายถึง การให้สิงที่ควรแก่ผู้ที่ควรให้ด้วยความเต็มใจ โดยไม่ยั้งมือ เมื่อให้แล้วไม่เสืยดาย ไม่รู้ถึกอาสัยไยดี หรือ คิดทวงคืนในภายหสัง ขณะเดียวกันก็เกิดปัญญารู้ด้วย ตนเองว่า เมื่อได้ทำทานแล้ว ความรู้ถึกตระหนื่ในใจก็ลดลง พระโพธิสัตว์จึงเกิดความรู้ถึกเชื่อมั่นว่าถ้าทำทานอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะสามารถกำจัดกิเลสคือความตระหนื่ออกจากใจให้ สินไปแล้ว ยังเป็นโอกาสแห่งการสังสมคุณความดีหรือบุญให้ เพิ่มพูนยิ่งขึ้น ทำ นองเดียวกับการสะสมทรัพย์ แม้เพียงวันละเล็ก ละน้อย คทั้แนานไปย่อมมีจำนวนมากพอที่จะนำไปใช้จ่ายเพิ่อ วัตถุประสงค์ต่างๆ แม้บุญนื่!ม่สามารถนำไปจับจ่ายใช้สอย ได้ด้งเช่นทรัพย์ แต่ก็เป็นสิงที่ทำให้รู้ถึกสุขใจ ปลื้มใจทุกครั้ง ที่นึกถึง ถ้าสร้างบุญตลอดชีวิตก็คงจะมีความสุขใจ ปลื้มใจ ไปตลอดชีวิต และถ้าต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ บุญอันเกิดจากทานที่สังสมไว้ดีแล้วนี้ ย่อมนำพาไปเกิดใน ๔® การสร้างบาร}Jของพระโพธิสัตว์ www.kalyanamitra.org

สุคติภูมิ เมื่อตนละโลกไปแล้ว ครั้นเมื่อต้องเวียนกลับมาเกิด เป็นคนอีก ย่อมบริบูรณ์ด้วยโภคทร้พย์สมบัติ ซึ่งจะอำนวย ให้สามารถทำทานอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันต่อไปอีก ย่อม กำ จัดกิเลสคือความตระหนี่ให้สินไปได้ และอาจเกื้อหนุนให้ กำ จัดกิเลสอื่นๆ ได้อีกหลายๆ อย่าง ย่อมเป็นปัจจัยให้พัน ทุกข์ได้ ความรู้สืกนึกคิดในทำนองนี้ของพระโพธิสัตว์ ย่อม ไม่ใช่ความคิดฝันอย่างเลื่อนลอยแบบฝันเพื่!อง ทั้งนี้ เพราะมี ประสบการณ์ภายในที่ทำให้เห็นแจ้ง รู้แจ้งความจริงอย่างถูก ต้องมามากพอ ด้งนั้น พระโพธิสัตว์จึงมุ่งมั่นสร้างทานอย่าง เอาชีวิตเป็นเดิมพันเรื่อยไป ถึงขั้นบริจาคได้แม้อวัยวะและชีวิต ด้วยความคิดว่ายอมตาย แต่ไม่ยอมหวง นี่คือความหมายของ การปาเพ็ญทาน ในระดับที่เรียกว่า ทานบารมี ๒. คืลบารมี หมายถึง ความสำรวมกาย สำ รวมวาจา สำ รวมใจ ให้ สุจริตเป็นปรกติ ไม่ยอมปล่อยใจให้เกิดความรู้ถึกโกรธ หรีอ เกลียดใคร ให้เกิดความคิดอยากได้ ช่วงชิงสมบัติของผู้อื่น หรีอกระทำสิงหนี่งประการใดที่ขาดความซึ่อตรง รวมทั้งไม่ ยอมปล่อยใจให้เกิดความรู้ถึกต้องการเสพลื่งที่เป็นพิษต่อ ร่างกายและจิตใจ อันเป็นเหตุให้คนขาดสติสัมปชัญญะ ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถควบคุมตนให้ประพฤติสุจริตเป็นปกติได้ อนี่ง จากประสบการถfLนชีวิตประจำวันย่อมช่วยให้ พระโพธิสัตว์เรียนรู้ด้วยตนเองว่า การรักษาคืลได้บริสุทธ บริบูรณ์ ย่อมทำให้เป็นที่ร้กของผู้คนโดยทั่วไป แต่การ ศรัทธา รุ่งอรุณแท่งสันติภาพโลก £๒ www.kalyanamitra.org

ประพฤติผิดสืลย่อมแตกจากมิตร ย่อมเป็นที่เกลียดชังของ ผู้คนรอบข้าง และอาจมีสัตรูมากมาย ยิ่งกว่านั้น จากประสบการณ์ภายใน พระโพธิสัตว์ย่อม เห็นแจ้งรู้แจ้งว่า ความประพฤติของคนเราทุกอย่างย่อมก่อให้ เกิดผลตามเจตนารมณ์ของผู้ประพฤติปฏิบัติเสมอ ทำ นอง เดียวกับการปลูกพืช กล่าวคือ เมื่อปลูกถั่วสันเตา ผลที่ผู้ ปลูกจะได้เก็บเกี่ยว จะต้องเป็นถัวสันเตาเสมอ ไม่มีทางจะ กลายสายพันธุ!ปเป็นตำแย หรึอหมามุ่ยอย่างแน่นอน และที่ สำ คัญยิ่งก็คือสามารถช่วยให้พระโพธิสัตว์เห็นแจ้งรู้แจ้งว่า การรักษาคืลได้บริสุทธิบริบูรณ์นัน สามารถป้องกันและกำจัด เวรภัยได้ทุกชนิด ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ดังนั้น พระโพธิสัตว์จึงตั้งใจมุ่งมั่นรักษาคืลให้บริสุทธิ บริบูรณ์อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน สามารถยุติการแสดงความ ร้ายกาจต่อผู้อื่นได้เด็ดขาด สามารถงดเว้นความชั่วทังปวงได้ อย่างแทัจริง ถือได้ว่าเป็นการสร้างบุญกุศลไม่มีบาปอกุศล เจือปนเลย ด้วยความคิดว่ายอมตาย แต่ไม่ยอมทุจริต นี่คือ การรักษาคืล ในระดับที่เรียกว่า สิลบารมี ฅ. เนกขัมมบารมี หมายถึง การสละชีวิตการครองเรือน เพี่อออกบวช เนี่องจากประจักษ์ชัดถึงทุกข์ภัยในสังสารวัฏ จากประสบการณ์ปฏิบัติบุญกิริยาวัตถุ ๓ แบบเอาชีวิต เป็นเดิมพัน ทำ ให้พระโพธิสัตว์ได้ค้นพบว่า ความต้องการ เรื่องเพศ เรื่องกาม เรื่องความสุขทางเนึอหนังตลอดจนเรือง ความสะดวกสบายต่างๆ เป็นเรื่องที่เกิดมาจากทุกข์ภายใน ๔๓ การส^งบารมีของพระโพธิสืตว์ www.kalyanamitra.org

การออกบวชเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่สามารถข่มกามภายในไม่ให้ ลามออกมาภายนอกได้ ด้งนั้น เนกขัมมะหรือการออกบวช จึงสามารถทำให้ปลอดโปร่งจากเรื่องกาม เป็ดโอกาสให้ ปฏิบัติตนบริสุทธยิ่งขึ้นทั้งกาย วาจา ใจ เพราะกามฉันทะ จะ ถูกกำจัดอย่างฮวบฮาบ ทำ ให้สามารถประพฤติพรหมจรรย์ได้ ตลอดชีวิต เกิดนิสัยเบื่อหน่ายโลกียสุข จึงตั้งใจมุ่งมั่นทุ่มเท ชีวิตให้แก่การปฏิบัติตนให้บริสุทธยิ่งๆ ขึ้นชนิดยอมตาย แต่ ไม่ยอมเป็นทาสของกามนี่คือการประพฤติพรหมจรรย์ในระดับ ที่เรืยกว่า เนกขัมมบารมี ๔. ป้ญญาบารมี หมายถึง ความรู้แจ้งขัดว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับชี้วัดความดี หรือความสุจริต และ ความชั่ว คือความทุจริตของแต่ละคน ทำ นองเดียวกับวินัย หรือประมวลสิกขาบทของพระสงฆ์ เป็นมาตรฐานสำหรับชี้วัด การปฏิบัติถูกต้อง หรือผิดของพระภิกษุ พร้อมกันนั้นปัญญา ก็ยังเป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการฆ่ากิเลสให้มลาย หายสูญไปจากใจผู้คนอีกด้วย จากประสบการณ์ภายใน อันเกิดจากการปฏิบัติ บุญกิริยาวัตกุ ๓ แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ทำ ให้พระโพธิสัตว์ ได้ค้นพบว่า การเข้าไปไต่ถามครูอาจารย์ผู้รู้จริง โดยไม่เว้น ชายหญิง ไม่เลือกฐานะของครูอาจารย์ว่าตํ่าด้อยหรือสูงส่งได้ มากท่านเพียงใด ก็จะเกิดปัญญาเพิ่มขึ้น เร็วขึ้นเพียงนั้น จึงตั้งใจมุ่งมั่นเข้าไปหา เข้าไปนั่งใกล้ สอบถาม เงี่ยโสต พังธรรม ทรงจำธรรม ว่าอะไรเป็นกุศล-อกุศล คุณ-โทษ ศรํ(หธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๔(£ www.kalyanamitra.org

ควรทำ-ไม่ควรทำ อย่างละเอียดลออ ทุกแง่ทุกมุมจากครู อาจารย์ผู้รู้จริง แล้วนำมาปฏิบัติให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก การทุ่มเทชีวิตมุ่งมั่นปฏิบัติอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ด้วยความเด็ดเดี่ยว ตลอดเวลาเช่นนี้ด้วยความคิดว่า ยอมตาย ไม่ยอมเขลา คือการเพิ่มพูนปัญญาในระดับที่เรียกว่า ปัญญาบารมี ๔. วิริยบารมี หมายถึง ความกระตือรือร้แในการหักดิบแกไขนิสัยไม่ พึงประสงค์ให้หมดสินไป แล้วเพิ่มพูนนิสัยดีงามให้ยิ่งๆ ขึ้น ตามหลักสัมมาวายามะ อันเป็นองค์ประกอบของมรรคมีองค์ ๘ ชึ่งมีหสักการอยู่ ๔ ประการ ได้แก่ ๑) เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้ เกิดขึ้น ๒) เพียรก่าจัดบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป ๓) เพียรสร้างกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ๔) เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่นและให้ เจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์ จากประสบการณ์ภายในอันเกิดจากการปฏิบัติบุญ กิริยาวัตถุ ๓ แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันมาเป็นเวลายาวนาน พระโพธิสัตว์ย่อมประจักษ์ชัดว่า การเจริญภาวนาด้วยการ ประคับประคองใจให้หยุดนิ่งสนิท ณ ศูนย์กลางกายในทุก อิริยาบถ ได้ต่อเนิ่องนานมากเท่าไร ย่อมเป็นการกำจัดความ เกียจคร้านและนิสัยไม่ดีต่างๆ ทั้งน้อยและใหญ่ได้อย่างวิเศษ ๔๕ การสรางบารมของพระโพธสัตว์ www.kalyanamitra.org

ขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มพูนบุญกุศลในจิตใจตนให้สูงขึ้น ตามลำดับ เมื่อบุญกุศลเพิ่มขึ้นมากเพียงใด บาปอกุศลก็ลด ลงเพียงนั้น ทำ ให้เกิดปัญญารู้ชัดยิ่งขึ้นว่า กิเลสในใจตนจะ อันตรธานไปสิน เมื่อบุญกุศลของตนเต็มบริบุรณ์ เมื่อเกิดปัญญารู้ชัดเช่นนี้แล้ว พระโพธิสัตว์จึงมีแรง บันดาลใจในการเจริญภาวนา ชนิดยอมตาย แต่ไม่ยอมแพ้ การปาเพ็ญเพียรเช่นนี้ คึอความเพียรในระดับที่เรียกว่า วิริยยารมี ๖. ขันติบารมี หมายถึง ความอดทน ยืนหยัด ประพฤติแต่กุศลธรรม ที่ไตร่ตรองดีแล้ว ด้วยความเด็ดเดี่ยวมั่นคง ชนิดเอาชีวิต เป็นเดิมพัน ตลอดระยะเวลาอันยาวนานแห่งการสร้างบุญกุศลข้าม ภพข้ามชาติ พระโพธิสัตว์ย่อมประสบอุปสรรคสุดคณานับ ทั้งที่เป็นผลมาจากกรรมชั่วในอดีต ซึ่งยังติดตามมาดัดรอน บีบคั้นอย่างไม่ลดละ ทั้งที่เป็นผลมาจากกรรมใหม่ในชาตินั้นๆ เอง ที่พลั้งเผลอไปทำความไม่งามขึ้น จึงถูกนินทาว่าร้ายต่างๆ นานาอย่างเกินแก่เหตุ ในขณะเดียวกัน ก็ได้รับการสรรเสัริญ เยินยอ ยกย่องอย่างมากมาย อันเป็นผลมาจากกรรมดีที่เคย ทำ ไว้ ซึ่งหากไม่ระมัดระวัง ก็อาจผยอง ลืมตัว เป็นผลเลืยได้ แต่เพราะเหตุที่ม่งมั่นในมโนปณิธานแห่งการตรัสรู้สัมมา สัมโพธิญาณ พระโพธิสัตว์จึงสามารถพัฒนาความอดทนต่อ ทุกๆ กรณีที่ประสบได้สำเร็จ ตั้งแต่ไม่รู้ลืกครั่นคร้ามเกรง กสัวความร้ายกาจของผู้คนที่ไม่หวังดี ไม่อนาทรร้อนใจ หรีอ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๔๖ www.kalyanamitra.org

รู้สืกหวั่นไหวเมื่อถูกนินทา ขณะเดียวกันก็ไม่แสดงอาการ ลำ พอง หลงลืมตัว เมื่อได้ร้บคำยกย่องสรรเสริญ จึงสามารถ วางตนเสมอต้นเสมอปลายกับผู้คนรอบข้าง โดยไม่เดยแสดง อาการเย่อหยิ่งจองหอง ถือตัวให้เป็นที่รังเกียจของใครๆ ทั้งสิน มุ่งมั่นแต่ปรารภความเพียร เพื่อทำให้ใจหยุดนิ่งสนิท ณ ศูนย์กลางกายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะมีสภาวะ แวดล้อมตามธรรมชาติที่ก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคก็ตาม ความอดทนต่อนินทา สรรเสริญ ชนิดยอมดายไม่ยอมท้อถอย เข{นนื้ คึอความอดทนในระดับที่เรียกว่า ข้นติบารมี ๗. สัจจบารมี หมายถึง ความจริงใจ หรีอความตั้งใจจริงในการแสวงหา ความจริงให้ถึงที่สุดด้วยชีวิตว่าอะไรคือกุศล® อุปมาเหมีอนดาว ประกายพรึกไม่ทั้งวงโคจร ไม่ว่าฤดูใดๆ ฉันใด พระโพธิสัตว์ ก็จักไม่ก้าวล่วง การคิด การพูด การกระทำ อย่างถูกต้องเป็น กุศล ฉันนั้น โดยเหตุนี้ พระโพธิสัตว์ จึงตั้งใจเลือกคิดเฉพาะสิงที่ ถูกต้องเป็นกุศลล้วนๆ เท่านั้น (ซึ่งเป็นไปตามหล้กสัมมา สังกัปปะในมรรคมีองค์ ๘) เมื่อจะพูดสิงใด พระโพธิสัตว์ก็ จะตั้งใจเลือกพูดเฉพาะความจริงเท่านั้น อีกทั้งรักษาคำพูด ของตนด้วยชีวิต(ซึ่งเป็นไปตามหสักสัมมาวาจาในมรรคมีองค์ ๘) เมื่อจะทำสิงใดพระโพธิสัตว์ ก็มุ่งมั่นทำให้สิงนั้นสำเร็จ ลุล่วงด้วยดี โดยตั้งใจเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำกายให้ บริสุทธไปด้วย เพื่อความเห็นแจ้งรู้แจ้งที่สุดของกุศล (ซึ่งเป็น ® โพธิราชกุมารสูตร ม.ม. ๒๑/๔๘๙/๑๐๕(มมก.) ๙๗ การสรไงบารมีของพระโพธิสัตว์ www.kalyanamitra.org

ไปตามหลักสัมมาก้มมันตะในมรรคมีองค์ ๘) โดยเหตุที่พระโพธิสัตว์ตั้งใจเลือกคิด พูด ทำ แต่สิงที่ มั่นใจแล้วว่าเป็นกุศลจริง ตรงตามที่ได้รับคำแนะนำอย่างดี จากครูอาจารย์ จึงปราศจากความลังเลใดๆ สามารถทุ่มเท พลังใจทั้งหมดให้แก่การเจริญภาวนา เพื่อเห็นแจ้งประจักษ์ ใจด้วยตนเองว่าที่สุดของกุศลที่เรียกว่าอริยสัจบ้างนิพพานบ้าง เป็นอย่างไร โดยถือปฏิบ้ติว่า ยอมตาย ไม่ยอมคด หรีอยอม ตาย ไม่ยอมเถลไถล นี่คือความจริงใจในการแสวงหากุศล ระดับที่เรียกว่า สัจจบารมี ๘. อธิษฐานบารมี หมายถึง ความมั่นคงตรงต่อพระนิพพาน อุปมาเหมีอน ภูเขาใหญ่ไม่เขยื้อนเพราะแรงลม โดยเหตุที่พระโพธิสัตว์ มีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ความ พ้นทุกข์ หรีอพ้นคุกแห่งสังสารวัฏอย่างเด็ดขาด ซึ่งหมายถึง การบรรลุนิพพานนั่นเอง ขณะเดียวก้น จากประสบการณ์ ภายในที่ก้าวหน้าตลอดมา ก็มั่นใจว่า จำเป็นต้องกำจัดกิเลส ภายในตัวให้สินซากเด็ดขาดเท่านั้น จึงจะบรรลุนิพพานได้ พร้อมก้นนั้นก็มั่นใจว่า วิธีการที่จะกำจัดกิเลสให้สำเร็จได้จริง ก็คือการสร้างบุญกุศลอย่างยิ่งยวดด้วยการทำกาย วาจา ใจ ให้สุจริต และบริสุทธิด้วยการเจริญภาวนา ถึงระดับเป็น สัมมาสมาธิทุกลมหายใจเข้าออกให้ได้เท่านั้นไม่มีวิธีอื่น เมื่อมั่นใจเช่นนี้แล้ว พระโพธิสัตว์ก็ตั้งใจมุ่งมั่นเจริญ สมาธิภาวนาอย่างจริงจังต่อเนี่อง โดยการประคองใจให้หยุด นั่งสนิท ณ ศนย์กลางกาย ถึงขนาดแม้กำลังตื่นอยู่แต่ขาดรู้ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพ'fan www.kalyanamitra.org

ภายนอก มีแต่รู้เห็นอย่างยิ่งอยู่ภายใน ทำ ให็ไม่ได้ยินเสียงดัง จากสิงแวดล้อม หรึอแม้เสียงฟ้าผ่าใกล้ที่พัก® การทุ่มเทชีวิต จิตใจให้แก่การเจริญภาวนา ชนิดยอมตายไม่ยอมทิ้งพระ นิพพานเช่นนี้ คือความมั่นคงของจิตใจในระดับที่เรียกว่า อธิชฐานบารมี ๙. เมตตาบารมี หมายถึง ความปรารถนาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นสุขไม่ ยิ่งหย่อนไปกว่าตน ไม่ว่าสัตวโลกเหล่านั้นจะเป็นมิตรหรีอตั้ง ตัวเป็นดัตรูกับตนก็ตาม อีกทั้งไม่หวังผลตอบแทนใดๆ จาก ผู้ที่ตนอนุเคราะห์ช่วยเหลือให้เป็นสุขด้วย จากประสบการณ์ปฏิบัติบุญกิริยาวัตถุ ๓ แบบเอาชีวิต เป็นเดิมพัน ทำ ให้พระโพธิสัตว์ได้ค้นพบว่า ไม่ว่าผู้ตั้งตัวเป็น มิตรหรีอดัตรูก็ตาม ในอดีตอันยาวนานล้วนเคยเป็นญาติกัน มาก่อนทั้งสิน ดังปรากฏใ'แมาตุสูตร'\"และพระสูตรต่างๆ ตั้ง แต่เคยเป็นมารดา บิดาบ้าง •ที่ชายน้องชายบ้าง •ที่สาวน้องสาว บ้าง บุตรชายบุตรหญิงบ้าง แต่จากภพชาติอันยาวนานปีดบ้งไวั จนกระทั่งต่างจำกันไม่ได้ เมื่อรู้เห็นอย่างนี้ จึงบังเกิดความ ปรารถนาดีแก่สรรพสัตว์โดยทั่วหน้า เสมีอนบิดากับบุตร •ที่ กับน้อง ฯลฯ ในชาตินั้นๆ อนึ่งการตั้งความปรารถนาดีเช่นนี้ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทำ ให้พระโพธิสัตว์ประจักษ์ชัดด้วยตนเองว่า สามารถป้องกัน ® มหาปรินิพพานสูตร เรื่องใ]กกุสะ มัลลบุตร ซึ่งอยูในภาคผนวกของหนังสือ เล่มนี้ ส.นิ. ๑๖/๑๓๗/๒๒๗ (มจร.) มาตุสูตร ปิตุสูตร ภาตุสูตร ภคินิสูตร 1]ตตสูตร ธีตุสูตร ๔๙ การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ www.kalyanamitra.org

มิให้เกิดความรู้สืกขัดเคือง ความรู้สืกเคืยดแค้นและพยาบาท เมื่อเกิดการกระทบกระทั่งกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี อันเป็นเหตุ ปัจจัยให้สามารถสร้างบารมีร่วมกันเป็นทีมได้สะดวกราบรื่น นอกจากนี้การเจริญเมตตาอย่างจริงจังต่อเนื่อง ย่อมเป็นการ เพิ่มพูนบุญกุศลอย่างมากมายเป็นเหตุให้สามารถกำจัดสังโยชน์ ซึ่งเป็นกิเลสละเอียดให้เบาบางลงได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ พระโพธิสัตว์จึงทุ่มเทพสังใจในการเจริญ ภาวนา เพิ่อการตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอย่างทุ่มเท พร้อม กันนั้นก็ตั้งใจสละชีวิต อบรมสังสอนช่วยเหลือเขาเหล่านั้นให้ พ้นทุกข์ และประพฤติปฏิบัติธรรมตามมา เป็นการ อนุเคราะห์เพิ่อนร่วมโลกทั้งปวงให้พ้นทุกข์ ดังเช่นตนอย่าง ทั่วถึง ตามมโนปณิธานที่ตั้งไว้ดีแล้ว ความปรารถนาดีต่อ สรรพสัตว์อย่างบริสุทธใจ ชนิดยอมตาย ไม่ยอมทอดทิ้งใคร เช่นนี้ คือความปรารถนาดีในระดับที่เรียกว่า เมตตาบารมี ๑๐. อุเบกขาบารมี หมายถึง การทำใจวางเฉยมีสติทุกเมื่อ จิตตั้งมั่นดำรงอยู่ ภายในได้เหมีอนแผ่นดิน สามารถร้บรู้ปัญหาและเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าทุกข์หรีอสุข รักหรีอขัง อย่างปราศจากความยินดียินร้าย มีใจหยุดนื่งไม่กระเพิ่อมไหวเพราะมั่นในธรรม มองโลก- ธรรม ๘ ได้แก่ มีลาภ-เลือมลาภ มียศ-เลือมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ ว่าเป็นธรรมชาติที่มีอยู่คู่โลก ไม่ใช่ของแปลก ประสบการณ์ภายในของพระโพธิสัตว์ ซึ่งก้าวหน้าขึ้น ตามลำดับๆ ทำ ให้เห็นแจ้งรู้แจ้งความจริงของโลกและชีวิต ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๕๐ www.kalyanamitra.org

ตามลำดับๆ ย่อมเป็นเหตุให้พระโพธิสัตว์สามารถป้องกัน มิให้เกิดความรู้สืกหวั่นไหวในโลกธรรม ๘ ได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งมีผลให้ใจตั้งมั่นอยู่ ณ ศูนย์กลางกายเป็นสมาธิอย่าง ต่อเนื่อง จึงมีพสังใจมุ่งมั่นต่อการเจริญภาวนาอย่างชนิดที่ เรียกว่า ยอมตาย ไม่ยอมหวั่นไหว ความไม่ยินดียินร้ายต่อ โลกธรรม ๘ ได้อย่างแท้จริงนี้ คือความวางเฉยในระดับที่ เรียกว่า อุเบกขาบารมี บารมี ๔ ข้อแรก คือ ทาน สีล เนกขัมมะ และป้ญญา เป็นข้อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยชีวิตโดยตรง ส่วนบารมี ๖ ข้อ ที่เหลือเป็นอุปการธรรม คือธรรมเป็นเครื่องสนับสนุนให้การ ปาเพ็ญบารมีทั้ง ๔ ข้อแรก เจริญก้าวหน้าต่อไป ดังนั้น บารมี ทั้ง ๖ ข้อหสัง จึงจัดเป็นประเภทสมภาร คือบุญที่สะสมไว้ ลำ หรับเป็นเครื่องอุดหนุน ซึ่งจะแทรกอยู่ในขณะที่ปฏิบัติ บารมีหสัก ๔ ข้อแรก ธรรมหรีอความดีทั้ง ๑๐ เรื่องนี้ แท้ที่จริงก็คือการละชั่ว การทำดี การทำใจให้ผ่องใส ที่พัฒนาขึ้นมาตามลำดับๆ นั่นเอง ทว่าเป็นการปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังหนักหน่วงและเข้มข้น จึงมีอานิสงส์มากมายเกินกว่าจะเรียกว่าบุญ ย่อมสมควร เรียกเลืยใหม่ว่า บารมี ๑๐ หรีอ ทศบารมี ดังนั้น จะเห็นได้ว่า เมื่อพระโพธิสัตว์เรื่มลงมือปฏิบัติ ขัดเกลาตนเอง เพื่อแสวงหาโมกขธรรมนั้น ท่านยังไม่มีความ รู้เรื่องทศบารมีเลย ความรู้เรื่องนี้!ด้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ ในการปฏิบัติอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันในภายหลังนั่นเอง และ ได้กลายเป็นขันธสันดาน ข้ามภพข้ามชาติของพระโพธิสัตว์ ตลอดไป ๕๑ การสร้างบารมของพระโพธิสัตว์ www.kalyanamitra.org

แม้พระโพธิสัตว์จะมุ่งมั่นพากเพียรทุ่มเทชีวิตให้กับ การปาเพ็ญบารมีเพียงใดก็ตาม แตกไม่สามารถหลีกเลี่ยง อุปสรรคขวากหนามได้ ชึ่งมีทั้งวิบากกรรมเก่าในอดีตชาติที่ ตามมาส่งผล และวิบากกรรมใหม่อันเกิดจากความประมาท พลาดพลั้งกระทำความผิดในชาตินั้นๆ ด้งนั้น ในบางชาติก็ไป เสวยวิบากแห่งกรรมชั่วของตนในทุคติ เช่นเดียวกับมิจฉา ทิฏฐิชนคนเลวทั้งหลาย ดังจะเห็นจากอดีตชาติของพระสัมมา สัมพุทธเจ้าของเรา เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่ง พระพุทธองค์ตรัสแสดงไว์ในชาดกต่างๆ ในคัมภีร์ชุททก นิกายชาดกนั้น ปรากฏว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เมื่อ ครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ ได้เคยเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานหลาย ชาติหลายประ๓ท เช่น หกบ ไก่ กระต่าย ปลา โค กระบือ ช้าง ม้า กวาง สุนัข สุกร ราชลีห์ ลิง เหี้ย พญานาค ครุฑ และเกิดเป็นหงส์เป็นนกชนิดต่างๆ ฯลฯ เนื่องจากโปรแกรมการสร้างบารมีได้ถูกกำหนดไว้เป็น ขันธสันดานแล้ว ด้งนั้น ไม่ว่าพระโพธิสัตว์จะไปบังเกิดใน ทุคติหรือสุคติก็ตาม ก็จะมีอุปนิสัยแตกต่างจากสัตวโลกโดย ทั่วไป คือมุ่งมั่นสร้างบารมีอย่างต่อเนื่อง ไม่ย่อหย่อนไม่หยุด ยั้ง นอกจากเพื่อแกไขตนเองให้บริสุทธื้บริบูรณ์ยิ่งขึ้นแล้ว ยัง พยายามชี้แนะอบรมสังสอนแกไข ^กล้ชิดและผู้เกี่ยวช้อง เพื่อให้พ้นทุกข์ไปพร้อมๆ กับตนอีกด้วย ด้งมีกรณีของพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์เสวย พระชาติเป็นสุนัข® ได้แสดงธรรมถวายพระราชาผู้ทำลิงที่ไม่ เป็นธรรม เพราะทุเบารับสังให้ฆ่าสุนัขนอกวังทั้งหมด ® ฃุ. ช. ๒๗/๒๒/๑0(มจร.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๕๒ www.kalyanamitra.org

เนื่องจากสุนัขในพระราชฐานลอบเข้าไปกัดหนังหุ้มราชรถ แต่ เข้าพระทัยผิดว่าเป็นสุนัขนอกวัง ต่อเมื่อพระโพธิสัตว์พิสูจน์ ได้แล้ว จึงทำให้ฝูงสุนัขนอกวังรอดพ้นความตาย นอกจากจะแสดงธรรมสอนพระราชาแล้ว ก็ยังสามารถ สอนเหล่าสัตว์ดิรัจฉานอยู่เสมอ ดังเช่น เมื่อตรังพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นพญาวานร® ได้แสดงธรรมแก่จระเข้ว่าผู้ที่มี ธรรม ๔ ประการ คือ สัจจะ ธรรม ธิติ จาคะ ย่อมพ้นจาก อำ นาจด้ตรูได้ แม้เมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นคนจัณฑาล^ ก็มี ความอาจหาญตักเตือนพระราชาได้ กล่าวคือเมื่อได้เห็น พระเจ้าพรหมทัตนั่งเรียนมนตร์ในที่สูงกว่าอาจารย์ เป็นการ ไม่แสดงความเคารพอาจารย์ จึงเข้าทูลเตือนว่า เป็นการ กระทำที่ไม่เหมาะ เป็นต้น พระพทธเจ้า แม้พระโพธิสัตว์จะมุ่งมั่นพากเพียรสร้างบารมีทุกภพทูก ชาติ ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็ตาม แต่ชาติที่สร้างบารมีได้เต็ม คือเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ เพราะเหตุที่พระโพธิสัตว์มีสักษณะพีเศษอยู่อย่างหนื่งคือ มีใจหนักแน่นมั่นคงเป็นเลิศ ผิดกับใจของผู้คนทั้งหลาย เนื่องจากมีความบริสุทธื้สะอาดมาก เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็จะปฏิบัติกิจอันพึงทำต่อไปอีก กรณียกิจอันสำคัญยิ่งก็คือ ® กมภีลชาดก ชุ.ชา. ๒๗/๑๔๗/๑๐๔(มจร.) ๒ ฉจชาดก ชุ.ชา. ๒๗/๓๓/๑๖๓ (มจร.) ๕๓ พระพุทธเจ้า www.kalyanamitra.org

การทำใจให้หยุดนิ่งสนิทอยู่ภายในกาย ชํ้าแล้วชํ้าเล่า ยังผล ให้นิวรณ์ ๕ ถูกกำจัดไปโดยง่ายในชาติต่อๆ มา พระโพธิสัตว์ปาเพ็ญบารมีเต็มเปียมแล้ว เมื่อถึงกาล อันสมควรก็จะเกิดในชาติเป็นมนุษย์ ได้ออกบวชแสวงหา โมกขธรรม มุ่งมั่นปาเพ็ญเพียรใหใจนิ่งสนิทยิ่งๆ ขึ้น โดย การปฏิบัติตามแนวทางของมรรคมีองค์ ๘ ในที่สุดความ ร้ายกาจหรือกิเลสภายในของตนก็หมดฤทธื้ ความร้ายกาจ ของผู้อี่นก็ไม่สามารถยั่วยุบีบคั้นได้ เพราะใจนิ่งเป็นอุเบกขา อยู่ตลอดเวลา แม้ธรรมชาติแวดล้อมจะไม่เอื้ออำนวยเพียงใด จิตใจก็ยังวางเฉยเป็นปกติได้ เมื่อใจนิ่งสนิทถึงที่สุดก็ สามารถสถิตมั่นอยู่ ณ ศูนย์กลางกายได้อย่างถาวร ไม่ถอน ถอยอีกต่อไป เกิดความสว่างโพลงราวกับความสว่างของดวง อาทิตย์ หลายพันหลายหมื่นดวงมารวมกัน ทว่าปราศจาก ความร้อนแรง มีเฉพาะแต่ความสงบเย็น ความสว่างโพลงนี้เองที่เป็นอุปกรณ์ล่องให้เห็นแจ้งรู้ แจ้งสัจธรรมทั้งปวง มีอริยสัจ ๔ เป็นสำคัญ อันเป็นเหตุให้ บรรลุอาสวักขยญาณ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การทำใจนิ่งสนิทให้สถิตมั่นอยู่ ณ ศูนย์กลางกายได้ อย่างถาวรนี้ แท้ที่จริงก็คือการปฏิบัติสัมมาสมาธิที่เป็นอริยะ อันประกอบด้วยองค์ ๗® หรืออริยมรรคมีองค์ ๘ ที่สมถูรณ์ นั่นเอง หสังจากตรัสรู้แล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละ พระองค์ก็ทรงแสดงธรรมสังสอนมวลมนุษย์ ทำ ให้เกิด พระพุทธศาสนาขึ้นในโลก เมื่อถึงอายุขัยแล้ว พระองค์ก็ ® มหาจัตตารีสกสูตร ม.อุ. ๒๒/๒๕๓/๓๔๑(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๕<£ www.kalyanamitra.org

ปรินิพพาน คงเหลืออยู่แต่ศาสนาหรือคำสอนของพระองค์ มอบไว้ให้แก่ชาวโลก ศาสนาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงตั้งขึ้นนั้น จะดำรงอยู่ในความนับถือของมหาชนเป็นเวลานานนับพันๆ ปี ตราบใดที่ยังมีพุทธศาสนิกผู้มีตถาคตโพธิสัทธา พากเพียร สืกษาและปฏิบัติพระศาสนาอยู่ ตราบนั้นพระพุทธศาสนาก็ ยังมั่นคงถาวรลืบต่อกันไปเรื่อยๆ แต่ถ้ายุคใดสมัยใดไม่มีคน เรียน ไม่มีคนปฏิบัติ ศาสนธรรมคำสอนก็จะเลือนหายไป โลกก็ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนา จากนั้นอีกนานแสนนาน กว่าจะมีพระโพธิสัตว์องค์ใหม่จุติมาเกิด และได้ตรัสรู้ แล้ว ตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นอีกโดยนัยนี้จึงปรากฏว่าในอดีตอันไกล ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว เป็นจำนวนมาก และใน อนาคตก็จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ลืบเนื่องต่อไปอีก โดยนัยเดียวกัน พระพทธเจาองค์ปัจจุบัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตั้งพระพุทธศาสนาไว้ใน ปัจจุบัน มีพระนามเดิมว่าสิทธัตถะ สกลโคตมะ เป็นพระโอรส ของพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางมหามายา พระราชาและ พระราชินีแห่งแคว้นสักกะ ประสูติก่อน พ.ศ.๑ แปดลืบปี เจ้าชายลืทธัตถะทรงเป็นรัชทายาท คึอผู้ที่จะครองราชย์ ต่อจากพระราชบิดา ได้ทรงดีกษาดิลปศาสตร์ครบทุกแขนง ในสมัยนั้นอย่างดีเยี่ยม ทรงเพียบพร้อมไปด้วยความสุขใน การครองชีวิตฆราวาส แต่เพราะเหตุที่มีปณิธานอันแน่วแน่ ๕๕ พระทุทธเจ้าองค์ปัจจุบ้น www.kalyanamitra.org

เป็นโปรแกรมถาวรติดอยู่ในขันธสันดานมาตลอดระยะเวลาที่ เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นปัจจัยผลักดันให้เจ้าชายสิทธัตถะ ตัด พระทัยอย่างเด็ดขาดจากการครองฆราวาส ซึ่งเพียบพร้อม ด้วยสุขารมณ์อย่างหาผู้ใดเทียบมิได้ เสด็จออกบรรพชา เพี่อ แสวงหาสัมโพธิญาณ ประสบการณ์ก่อนเสด็จออกบรรพชา ขณะที่พระช14มายุได้ ๗ ป็ เจ้าชายสิทธัตถะได้เข้ารับ การสืกษาติลปวิทยา ที่สำ นักของท่านราชครูวิศวามิตร วิชา ความรู้ที่ทรงสืกษาก็คือ ศาสนาพื้นเมืองในสมัยนั้น ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์ มีคัมภีร์ไตรเพท อันประกอบด้วยฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท เป็นคำสอนหลัก ถือว่าโลกธาตุทั้งปวง เป็นของเทวดา มีเทวดาประจำอยู่ในธาตุต่างๆ เช่น ดินนํ้า ลม ไฟ ใครปรารถนาผลอย่างใดก็เช่นสรวงอ้อนวอนเทวดานั้นๆ หรือด้วยการประพฤติตบะทรมานร่างกายด้วยวิธีต่างๆ ในปีเดียวกันนั้นเอง เจ้าชายสิทธัตถะได้ตามเสด็จพระ ราชบิดาไปในงานวัปปมงคลแรกนาขวัญ ขณะที่พระองค์ ประทับนั่งขัดสมาธิอยู่ตามลำพังที่ใต้ต้นหว้า แม้จะเป็นเวลา บ่ายแล้ว แต่เงาของต้นหว้าก็ไม่คล้อยไปตามดวงอาทิตย์พระ- ราชบิดาเห็นเป็นเหตุอัศจรรย์ จึงถวายบังคมพระราชโอรส เพราะศรัทธาในความอัศจรรย์นั้น มีคำ อธิบายของท่านผู้รู้ปรากฏอยู่ในหนังสือพุทธประวัติ ว่า เหตุอัศจรรย์ในครั้งนั้นเกิดขึ้นเพราะเจ้าชายสิทธัตถะทรง เจริญภาวนาด้วยพระองค์เอง และบรรลุปฐมฌานเหตุการณ์ ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๕๖ www.kalyanamitra.org

ครั้งนี้ย่อมแสดงว่า การเจริญภาวนาของเจ้าชายตั้งแต่ครั้ง เป็นพระโพธิสัตว์ได้เป็นโปรแกรมอยู่ในขันธสันดานมานาน นักหนาแล้ว จึงติดมาจนถึงปัจจุบันชาติ ประสบการณ์เมื่อเริ่มเสด็จออกบรรพชา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสเล่าประสบการณ์ก่อน ตรัสรู!ว์ในโพธิราชกุมารสูตร® ว่าขณะเมื่อเสด็จออกบวชนั้นทรง ตั้งเป้าหมายไว้ว่า \"จะแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล\" เพราะเหตุที่ทรงเชื่อมั่นว่า ความสงบเท่านั้นคือทางอัน ประเสริฐ ไม่มีทางอื่นยิ่งกว่า พระองค์จึงเสด็จไปคืกษาใน ล่านักของอาฬารดาบสได้ปาเพ็ญอรูปฌานสมาบัติ จนบรรลุ อากิญจัญญายตนฌาน เช่นเดียวกับอาจารย์พระองค์จึงทรง ลาจากไป เพราะทรงเห็นว่าผลของการปฏิบัตินั้นยังไม่ สามารถบรรลุนิพพานได้ ครั้นแล้วพระองค์จึงเสด็จไปคืกษาต่อในล่านักของ อุทกดาบส ได้ปาเพ็ญอรูปฌานสมาบัติจนบรรลุเนวสัญญา นาสัญญายตนฌาน เช่นเดียวกับอาจารย์ พระองค์ก็ทรงลา จากไปอีก เพราะยังไม่พอพระทัย ด้วยทรงเห็นว่าผลของการ ปฏิบัตินั้นยังไม่สามารถบรรลุนิพพานได้ เนื่องจากยังต้องไป เกิดอีกในพรหมโลกเมื่อละโลกนี้!ปแล้ว ต่อจากนั้นพระองค์ก็เสด็จตระเวนหาว่าอะไรเป็นกุศล เรื่อยไป จนกระทั่งจาริกไปล่แคว้นมคธ บรรลุถึงอุรุเวลา ® ม. ม. มก. ๒๑/๘๘๙-/๑๐๕ ๕๗ ประสบการณ์เมึ่อเริ่มเสด็จออกบรรพชา www.kalyanamitra.org

เสนานิคม ชึ่งมีภูมิประเทศร่มรื่นเหมาะแก่การปาเพ็ญเพียร จึงตัดสินพระทัยพำนักอยู่ ณ นิคมนี้ ขณะที่ทรงปาเพียรอยู่นั้น ได้มีฃ้ออุปมาปรากฏขึ้นใน พระทัยถึง ๓ ข้อ และข้อสุดท้าย คือ ไม้ที่แห้งสนิทส์งวางอยู่ บนบกห่างจากนํ้า ถ้าบุคคลนำมาก่อไฟ ไฟก็จะติดอย่าง แน่นอน อุปมาข้อสุดท้ายนี้เอง ทำ ให้พระองค์ได้ข้อคิดว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดก็ตาม ที่สามารถหลีกเลี่ยงออก จากกามทั้งกายและใจได้แล้วทั้งละและระงับความพอใจ ความกระวนกระวาย ความกระหายในกามได้อย่างเบ็ดเสร็จ แล้ว แม้จะต้องเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาห้สอันเกิดจาก การปาเพ็ญเพียร หรือจะไม่ได้เสวยทุกขเวทนาอันเกิดจาก การการปาเพ็ญเพียรเลยก็ตาม ย่อมเป็นผู้ควรแก่การเห็นแจ้ง รู้แจ้ง และการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม ข้อคิดจากอุปมานี้เองทำให้พระองค์เรื่มปาเพ็ญทุกกร- กิริยาเรื่อยมา โดยปรับเปลี่ยนวิธีการทรมานตนหลายแบบ หลายอย่าง อีกทั้งลดปริมาณอาหารที่ฉันลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง ร่างกายซูบผอม ชนิดที่เรืยกว่าหนังทุ้มกระดูกทีเดียว แต่ก็ยัง ไม่สามารถตรัสรู!ด้ จึงทรงเห็นว่าความอ่อนแอของร่างกาย ย่อมเป็นอุปสรรคอย่างอื่นต่อการปาเพ็ญเพียร ครั้นแล้วพระองค์จึงตัดสินพระท้ยเสวยพระกระยาหาร ตามปกติซึ่งเป็นเหตุให้ภิกษุบ็ญจวัคคิย์ ซึ่งออกบวชเพื่อตาม ไปอุปัฏฐากพระองค์ พากันทิ้งพระองค์ไปหมด ด้วยสำคัญ ผิดว่าพระองค์ คลายความเพียร มิได้ปฏิบัติตามมโนปณิธาน ศรทธารุ่งอรุณแห่งสันตํภาพโลก ๕๘ www.kalyanamitra.org

หลังจากเสวยพระกระยาหารตามปกติ พระวรกายมี กำ ลังวังชามากขึ้น การปาเพ็ญเพียรของพระองค์ก็ก้าวหน้าขึ้น ตามลำดับ จากการบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และ จตุตถฌาน ที่ไม่มีทุกฃไม่มีสุฃ มีสติบริสุทธเพราะอุเบกขา พระองค์ตรัสแสดงต่อไปว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะแก่ การใช้งานตั้งมั่นไม่หวั่นไหว จึงทรงน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวา- สานุสสติญาณก็ทรงระลึกชาติก่อนของพระองค์เองได้มากมาย นับชาติไม่ถ้วนในเวลาปฐมยามแห่งราตรี นั่นคึอ ได้บรรลุวิชชา ที่ ๑ แสดงว่ากำจัดอวิชชาได้แล้ววิชชาจึงเกิดขึ้นหรือเมื่อกำจัด ความมีดได้แล้ว ความสว่างจึงเกิดขึ้น ครั้นปาเพ็ญเพียรต่อไป เมื่อจิตเป็นสมาธิหยุดนิ่งยิ่งขึ้น อีก ปราศจากกิเลสตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เหมาะแก่การใช้งาน จึง ทรงน้อมจิตไปเพื่อ จุตูปปาตญาณ ก็เห็นสภาพสรรพสัตว์ทั้ง ชั้นตํ่าและชั้นสูงที่กำลังตาย กำ ลังไปเกิดใหม่ ด้วยตาทิพย์อัน บรีสุทธเหนือมนุษย์ทำให้ทรงร้ช้ดถึงหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ของตนๆ นั่นคือได้บรรลุวิชชาที่ ๒ ในฟ้ชฌิมยามแห่งราตรี ครั้นปาเพ็ญเพียรต่อไป เมื่อจิตเป็นสมาธิปราศจากกิเลส ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เหมาะแก่การใช้งาน จึงทรงน้อมจิตไปเพื่อ อาสวักฃยญาณทำ ให้ทรงรู้ชัดถึงอริยสัจ ๔ได้แก่ทุกข์ เหตุแห่ง ทุกข์หรือสมุทัย นิโรธหรือนิพพาน และการปฏิบัติ(มรรคมีองค์ ๘) อันเป็นทางบรรลุนิพพาน เมื่อทรงเห็นแจ้งรู้แจ้ง เช่นนี้ แล้วจิตก็หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวงได้แก่ กาม(กามาสวะ) การเกิด หรือวัฏสงสาร(ภวาสวะ)และ อวิชชา หรือกิเลสที่หมัก ดองอยู่ในลันดาน ทำ ให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง (อวิชชาสวะ) ๕๙ ประสบการณ์เมื่อเริ่มเสด็จออกบรรพชา www.kalyanamitra.org

เมื่อจิตหลุดพ้นจากอาสวะทั้ง ๓ แล้ว ก็ทรงรู้ชัดว่า หลุด พ้นแล้ว ชาติล้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำ กิจที่ควรทำ เสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นไปอย่างน็้อีกต่อไป พระองค์ได้บรรลุวิชชาที่ ฅ ในป็จฉิมยามแห่งราตรี กำ จัดอวิชชาได้แล้ว วิชชาที่เกิดขึ้น กำ จัดความมีดได้แล้ว ความสว่างก็เกิดขึ้น ครั้แแล้วพระองค์ยังได้ตรัสเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ธรรมที่ พระองค์บรรลุนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามยาก สงบ ประณีต ไม่เป็นวิล้ยแห่งตรรกะ (หมายความว่าจะไซ้วิธีคิดหาเหตุผล ตามหลักตรรกศาสตร์ไม่สำเร็จ) ผู้เป็นบัณฑิต (คึอผู้มีภาวนา มยปัญญา) เท่านั้นจึงจะรู!ด้ ส่วนผู้ที่ยังเพลิดเพลิน หรือ อาลัยอาวรณ์อยู่กับกามคุณ ไม่มีลิทธิรู้!ด้เลย การเผยแผ่พระธรรมวินัย หลังจากตรัสรู้แล้ว พระลัมมาลัมพุทธเจ้าก็ทรงเริ่ม เผยแผ่พระธรรมวินัย ด้วยบทบาทของ\"บรมครู\"อย่างสมบูรณ์ แบบ โดยมีขั้นตอนด้งนี้ คือ ขั้นตอนที่ ๑ ทรงจำแนกผู้เรืยน ขั้นตอนที่ ๒ ทรงวางหลักสูตร ขั้นตอนที่ ๓ ทรงสร้างศรัทธา ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๖0 www.kalyanamitra.org

๑. ทรงจำแนกผู้เรียน® ก่อนที่พระบรมครูจะตรัสเทศนาแก่ผู้ใด พระองค์จะ ทรงตรวจดูด้วยญาณทัสสนะผู้เรียนว่ามีภูมิรู้ภูมิธรรมหรือ ตถาคตโพธิสัทธา ซึ่งเป็นโปรแกรมติดเป็นอุปนิสัยข้ามภพ ข้ามชาติมา ในระดับใด สามารถจะบรรลุธรรมระดับใดได้ หรือไม่ ความสว่างในใจของเขา เป็นผู้ที่มีตถาคตโพธิสัทธา เพียงใด โดยจำแนกออกได้เป็น ๙ กลุ่มใหญ่ ๑) อุคฆฎิตัญญ (ผู้เข้าใจได้ฉับพลัน) ๒) วิปจิตญฌู (ผู้เข้าใจต่อเมื่อขยายความ) ท) เนยยะ (ผู้ที่พอจะแนะนำได้) ๔) ปทปรมะ (ผู้ที่สอนให้รู!ด้เพียงตัวบทคือ พยัญชนะ) การตรวจเช่นนี้เป็นหนึ่งในพุทธกิจประจำวันทั้ง ๕ ประการของพระองค์ กล่าวคือ ทุกวันในตอนเข้ามีด พระองค์ จะทรงตรวจพิจารณาสัตว์ที่สามารถและที่ยังไม่สามารถบรรลุ ธรรมอันควรจะเสด็จไปโปรดหรือไม่ เมื่อทรงตรวจ คุณสมบัติแล้ว ก็ทรงตรวจต่อไปด้วยว่า จะทรงแสดง\"ธรรม\" หัวข้อใดและอย่างไร ผู้นั้นหรือบุคคลเหล่านั้นจึงจะบรรลุธรรม แล้วเสด็จไปโปรด เช่น เสด็จไปให้เห็น ไปบิณฑบาต ไป แสดงธรรม เป็ดโอกาสให้ชักถาม เป็นต้น ถ้าผ้ที่ได้รับการโปรดจากพระองค์ เป็นผ้มีคุณสมบัติ ,^ . ท ๆ . ท,ๆ. ท,000ว่ 0ๆ ^ แห่งการบรรลุธรรม ย่อมบรรลุธรรม เนระดับ เดระดับหนัง เดั ® อ่านรายละเอียดเรื่องการจำแนกผู้เรียนในหัวข้อคุณลักษณะของผู้มีศร้ทธาใน สมัยพุทธกาล หน้าทั ๖๗ ๖® การเผยแผ่พระธรรมวินัย www.kalyanamitra.org

ในทันทีที่ฟังพระธรรมเทศนาจบ ดังเช่น ปุโรหิตอัคคิทัตและ บริวาร® บรรลุอรหัตผล พระโกณฑัญญะบรรลุโสดาปัตติผล เป็นต้น ๒. ทรงวางหลักสูตร พระบรมครูทรงตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณด้วยพระองค์ เองได้ ก็เพราะการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อย่างเอาชีวิตเป็น เดิมพันด้งนั้นธรรมที่เป็นแกนของหสักสูตร ก็คือมรรคมีองค์ ๘ เพราะเป็นทางเดียวที่จะช่วยไห้หลุดพันจากความทุกข์ อย่างแท้จริง ด้งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์'® ตรัสพระคาถาไว้ว่า \"นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง มรรคทางทั้งหลายอันให้ถึงอมตธรรม ทางมีองค์ ๘ เป็นทางอันเกษม\" แต่เพราะเหตุที่มหาชนและพุทธบริษ้ททั้งหลายมีพื้นฐาน ทางธรรม มีตถาคตโพธิสัทธาแตกต่างกันมากถึง ๔ ระดับ ด้งได้อธิบายแล้ว พระบรมครูจึงจำเป็นต้องวางหสักสูตร สำ หรับการอบรมปลูกฝังพระธรรมวินัยหลายระดับ ทำ นอง เดียวกับในโลกปัจจุบัน ที่แบ่งหสักสูตรการดีกษาเป็นระดับ อนุบาล ประถม มัธยม และอุดม ในระดับอุดมซึ่งเคยมีเพียง ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกแล้ว ในปัจจุบันก็ยังมีระดับ ปริญญาเอกภาคหลัง (Post Doctoral Degree) อีกด้วย ® พทธวรรควรรณนา ชุ.ธ. ๔๒/๒๔/๓๔๐ {มมก.) ^ มาคัณฑิยสูตร ม.ม. ๑๓/๒๑๗/๒๕๖(มจร.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๖๒ www.kalyanamitra.org

อาจกล่าวได้ว่า แกนใหญ่ของหลักสูตรของพระบรมครู นั้นคือมรรคมีองค์๘อันประกอบด้วยฉบับย่อและฉบับพิสดาร ในการแสดงพระธรรมเทศนาของพระบรมครูจึงมีทั้งโดยย่อ โดยพิสดาร และโดยพิสดารเป็นพิเศษเพราะเหตุนี้พระธรรม วินัยที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา จึงมีจำนวนมากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ซึ่งสามารถแสดงด้วยแผนภูมิต่อไป a ควา«ไม่ประมาท รตตสิกชา ภาพรวมพระไตรปิฎก ๘๔,๐0๐ พระธรรมกันธ์ โดยพระภาวนาใรินคุณ(เผด็จ ทชุตปิโว) จากแผนภูมินี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า บุคคลที่มีความรู้ เชี่ยวชาญ ไม่ว่าศาสตร์ใดๆ ในโลก หรือแม้แต่พุทธศาสตร์ โดยเฉพาะ คือสามารถทรงจำพระธรรมวินัยได้หมดทัง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็ตาม แต่ตราบใดที่ยังไม่สามารถ ละชั่ว ทำ ดี ทำ ใจให้ผ่องใส(ด้วยการเจริญสมาธิภาวนา)ได้อย่าง เด็ดขาด หรือละชั่วได้บ้าง ทำ ดีได้บ้าง เจริญภาวนาบ้าง แต่ ในขณะเดียวกันก็ยังกล่าวเท็จบ้าง ดื่มเบียร์ สุราเมรัยบ้างฯลฯ ๖(ท การเผยIiwmsmรมวินัย www.kalyanamitra.org

ก็ยากที่จะพัฒนาสัมมาทิฏฐิเบื้องต้นให้บริบูรณ!ด้ ย่อมยากที่ จะพัฒนาตถาคตโพธิสัทธาให้แก่กล้าอย่างสมบูรณ์แบบไต้ ซึ่งนอกจากจะไม่สามารถบรรลุธรรมระดับใดแล้ว ยังเท่ากับ ไม่ได้เตรียมตัวไว้รอพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัส^นอนาคตอีกด้วย เปรียบเสมือนคนลอยคออยู่ในทะเลที่ยังมองไม่เห็นฝัง ย่อม มืแต่รอวันจมลงส่กันทะเล ในทางกลับกัน บุคคลใดที่แม้มิได้มืความรู้ทางโลก มากนัก หรีอแม้แต่ความรู้ทางธรรมในภาคทฤษฎีหรีอภาค ปริยัติธรรม ก็มืเพียงน้อยนิด แต่มืตถาคตโพธิสัทธาเต็ม เปียมสามารถละชั่วทุกรูปแบบได้ ตั้งใจมุ่งมั่นท่าแต่ความดี โดยการรักษาดีลให้บริสุทธบริบูรณ์ ขยันเจริญภาวนาเป็น ชีวิตจิตใจ แม้จะยังไม่บรรลุมรรคผลอันใดในชาตินี้ แตก ถือว่าได้พัฒนาตถาคตโพธิสัทธาเป็นโปรแกรมชีวิตติดอยู่ใน ขันธสันดานสำหรับภพชาติต่อๆ ไปแล้ว ย่อมไม่ตกตํ่า ย่อมมื โอกาสได้พบพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต ย่อมมื โอกาสพันคุกคือสังสารวัฏอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การคืกษาและปฏิบัติตามพระ ธรรมวินัยเกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริง จำ เป็นต้องรู้และ เช้าใจวิธีพัฒนาตถาคตโพธิสัทธาให้แก่ตนเองอย่างถูกต้อง เสียก่อน ท. ทรงสร้างศรัทธา ก่อนที่จะตรัสเทศนาพระธรรมวินัย พระบรมครู ทรงมื วิธีปลูกศรัทธาแก'ผู้ฟัง ซึ่งเปรียบเสมือนการน่าเช้าส่บทเรียน หลากหลายวิธี โดยให้เหมาะสมกับอุปนิสัยของผู้เรียนตามที่ ได้ทรงตรวจด้วยญาณท้สสนะแล้ว ด้งนี้ คือ ศรัทธารุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๖๔ www.kalyanamitra.org

๑) วิธีปุจฉา-วิสัชนา หรือ ถาม-ตอบ พระองค์ทรงใช้ วิธีนี้กับเหล่าปริพาชกอยู่เสมอเพราะแต่ละคนก็ถีอว่าตนเป็นผู้รู้ มีดรูบาอาจารย์เป็นปราชญ์ มีชื่อเสียงมาก่อนพระบรมครู บางคนก็เห็นว่า พระธรรมคำสังสอนของพระบรมครูไม่ถูกต้อง บางคนก็เห็นว่าพระบรมครูมีความเห็นสุดโต่ง อย่างไรก็ตามปริพาชกส่วนมากที่มีโอกาสเช้าเฝ็า สนทนาธรรมกับพระบรมครู ไม่ว่าจะมีทัศนคติอย่างใดต่อ พระองค์ ล้วนตาสว่างขึ้นทั้งสิน เพทะธุลีในดวงตาถูกกำจัด ออกไปหลักจากได้ฟ้งธรรม จึงขอถึงพระบรมครูเป็นสรณะบ้าง ของบรรพชาอุปสมบทบ้าง บวชไม่นานนักก็ได้บรรลุมรรคผล ดังที่ปรากฏในปริพาชกวรรค®ว่า ในจำนวนปริพาชก ๙ คนที่ ไปสนทนากับพระบรมครู บรรลุอรหัตผล ๓ คน บรรลุโสดา ป้ตติผล ๑ คน แสดงตนเป็นอุบาสกตลอดชีวิต ๓ คน ส่วน ที่เหลืออีก ๒ คน ก็มีตถาคตโพธิสัทธา และ ๑ ใน ๒ คนนี้ ได้ออกบวชหลังพุทธปรินิพพานและบรรลุอรหัตผล ในสมัย พระเจ้าธรรมมาโศกทช ๒) วิธีแน.ะนำคุณสมบ้ดิของพระองค์ ในกรณีที่ผู้ฟังธรรมยังไม่แนใจในพุทธคุณของพระบรม ครูหรืออยากรู้ถึงคุณประโยชน์ของการออกบวชเป็นภิกษุสงฆ์ พระบรมครูก็จะตรัสแสดงพระพุทธคุณ ๙ ซึ่งเป็นคุณสมบ้ติ ของพระองค์อันเป็นผลจากการประพฤติพรหมจรรย์ ตาม พระธรรมวินัย ดังกรณีที่ตรัสแสดงแก่ พระพุทธคุณ ๙ แก่ พระเจ้าอชาตดัตรู'°เมื่อเสด็จเข้าไปเฝืาพระบรมครูเป็นครั้งแรก ® จูฬวัจฉ่โคตตสูตร ม.ม ๑๓/๑๘๕/๒๑๕(มจร.) ^ สามัญญผลสูตร ที.สี. ๙๑๙๐/๖๔(มจร.) ๖๕ การเผยแผ่พระธรรมวนัย www.kalyanamitra.org

ฅ) ฟล่งฉัพพรรณรังสิ พระบรมครูทรงใช้วิธีเปล่งฉัพพรรณรังสีเพื่อสร้างศร้ทธา แก่ผู้เรียนให้ปรากฏเป็นอัศจรรย์อยู่หลายครั้งหลายหน ดัง กรณีที่ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้ามหากัปปินะพร้อมทั้งบริวาร กำ ลังเสด็จไปขอผนวชกับพระบรมครูปรากฏในข่ายพระญาณ ในเวลาใกล้รุ่งวันหนึ่ง ครั้แถึงเวลาเช้าพระบรมครูก็ทรงบาตร และจีวรด้วยพระองค์เอง แล้วเสด็จไปเป็นระยะทางถึง ๑๒๐ โยชน์ ก็ถึงริมฝ็งแม่นํ้าจ้นทภาคานที แล้วประทับนั่งเปล่ง ฉัพพรรณรังสีอยู่ที่โคนต้นไทร เพื่อรอคณะของพระเจ้ามหา กัปบนะ เป็นต้น ๔) แสดงยมกปาฏิหAาริ«ยJ์? แม้พระบรมครูจะทรงบัญญัติสิกขาบทไม่ให้ภิกษุ ภิกษุณี ทำ ปาฏิหาริย์ก็ตาม แต่ในคราวจำเป็นก็ทรงแสดง ยมกปาฏิหาริย์ด้วยพระองค์เองเพื่อเป็นการสร้างศรัทธาแก่ มหาชน ด้งมีรายละเอียดปรากฏอยู่ในพุทธวรรควรรณนา® การปลูกศรัทธาลงในจิตใจของผู้เรียนหรีอผู้ฟังธรรมนั้น นอกจากพระบรมครูจะทรงกระทำเพื่อเป็นการปฐมนิเทศหรีอ นำ เข้าล่บทเรียนแล้ว พระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงแก่เหล่า สาธุชนที่มาใหม่ มีตถาคตโพธิสัทธาอยู่ในระดับตํ่ามาก หรีอ ยังเป็นมิจฉาทีฏฐิก็จะทรงแสดงอุปมาโวหารมากมาย เพื่อให้ ผู้ฟังเกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องไดโดยง่าย สามารถพัฒนา สัมมาทีฏฐิขึ้นมาขับไล่มิจฉาทีฏฐิให้สูญสลายไปโดยเร็ว ® ชุ.ธ. ๔๒/๒/ ๒๘๗(มมก.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๖๖ www.kalyanamitra.org

คุณลักษณะของผู้มีศรัทธาในสมัยพุทธกาล มีหลักฐานปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาว่าก่อนที่พระ ลัมมาลัมพุทธเจ้าจะทรงเริ่มตรัสเทศนาโปรดลัตว์นั้น พระองค์ทรงพิจารณาเห็นอุปนิสัยของผู้ดนแตกต่างกันมากถึง ๔ กลุ่ม หรือ ๔ ระคับ ซึ่งเปรียบเสมือนบว ๔ เหล่า® คังนี้คือ ๑. อุคฆฏิตัญฌู คือ ผู้เข้าใจได้ฉับพลัน เนื่องจากมี ตถาคตโพธิสัทธาสูงมาก เปรียบเสมือนบัวที่โผล่พ้นนํ้า เป็นผู้ ที่มีพื้นฐานตถาคตโพธิสัทธาฝังใจมาข้ามภพข้ามชาติ ทั้งนี้ เพราะได้ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ รอบแล้วรอบเล่า แบบเอาชีวิต เป็นเดิมพัน แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุพระอรหัตได้ในชาตินั้นๆ จึงยังต้องฟองเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารต่อไปอีก ครั้นชาตินี้!ด้เกิดมาพบพระสัมมาล้มพุทธเจ้า เพียงแต่ ได้ฟังพุทธวจนะสันๆ ไม่ต้องอธิบายขยายความใหัมากมาย ก็เกิดตถาคตโพธิสัทธาอย่างเปียมล้น ในระคับที่สามารถ บรรลุธรรมได้เดี๋ยวนั้นทันทีทั้งๆที่บางท่านเป็นนักบวชปริพาชก ซึ่งอยู่นอกบุญเขต เช่นพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้ายของพระพุทธองค์เป็น ตัวอย่าง การที่บุคคลในกลุ่มที่ ๑ มีตถาคตโพธิสัทธาสูงมาก มี ปัญญาไว สามารถเข้าใจพุทธวจนะ ที่พระพุทธองค์ตรัสเพียง สันๆ ทั้งนี้เพราะปาเพ็ญบารมีมานาน นับภพนับชาติไม่ถ้วน การประพฤติปฏิบัติดีเยี่ยมในอดีตชาติ เป็นโปรแกรมฝังแน่น ® อุคฆฎิตัญฌูสูตร อัง.จตุกก. ๒๑/๑๓๓/๒๐๒ (มจร.) ๖๗ คุณลักษณะของผู้มีศรัทธาใฬมัยทุทธกาล www.kalyanamitra.org

อยู่ในใจมาจนถึงชาติปัจจุบัน เป็นอุปนิสัยและเป็นคุณสมบัติ ประจำตัวที่สังเกตเห็นได้ง่ายหลายประการ เช่น ๑) เป็นผู้มีสีล มีกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อย สุขุม รอบคอบในทุกๆ เรื่อง มีปกติเห็นภัยในโทษแม้เล็กน้อย จึงมี หิริโอตตัปปะอย่างยอดเยี่ยม ๒) เป็นพหูสูต คึอขวนขวายถึกษาด้นคว้าด้วยการฟัง พระธรรมคำสังสอนในพระพุทธศาสนา จนเกิดความเข้าใจ อย่างลึกซึ้งทุกๆ เรื่องที่ได้ถึกษา ทรงจำไว้ แล้วปฏิบัติตาม อย่างเคร่งครัดจนเป็นนิสัย ฅ) เป็นผู้มีมิตรดี คือตั้งใจคบหาสมาคมภับบัณฑิต และภัลยาณมิตร หลีกเลี่ยงการคบคนพาลอย่างเด็ดขาด ๔) เป็นผู้ร่าง่าย คือเป็นผู้อดทนรับฟังคำพรํ่าสอนของ บุพการี ผู้เป็นครูบาอาจารย์ ผู้เป็นบัณฑิตด้วยความเคารพ ๔) เป็นผู้ขยัน คือไม่เกียจคร้านในการงานที่จะต้อง ช่วยกันทำ โดยไม่เลือกว่าเป็นงานสูงหรีองานตํ่า ๖) เป็นผู้สนใจถึกษาและสนทนาธรรม คือมีความ ยินดีพอใจในการฟังธรรม และสนทนาธรรมเพื่อแลกเปลี่ยน ความรู้ ตลอดจนความคิดเห็นเกี่ยวกับธรรม ไม่สนใจการ สนทนาปราศรัยด้วยเรื่องไร้สาระ ๗) เป็นผู้ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศล หมายถึง มี ความพากเพียรในการเจริญภาวนา เพราะเมื่อใจรวมเป็นหนึ่ง เป็นสมาธิอย่างต่อเนึ่อง ย่อมกำจัดอกุศลคือกิเลส ทั้งระดับ หยาบและระดับกลางได้เด็ดขาด ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๖(ร www.kalyanamitra.org

๘) เป็นผู้ได้ฌาน การบรรลุฌานแม้เพียงปฐมฌานก็ ทำ ให้มีความสุขทั้งกายและใจ บุคคลในกลุ่มนี้จึงพากเพียรทำ ภาวนารอบแล้วรอบเล่าอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันเสมอมา ๙) เป็นผู้ระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ ประสบการณ์ ภายในอันเกิดจากการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ รอบแล้วรอบเล่า อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน นอกจากจะทำให้บรรลุฌานระดับ ต่างๆ ได้แล้วยังสามารถระลึกชาติก่อนของตนได้อีกด้วย ๑๐) เป็นผู้มีตาทิพย์อันบริสุทธเหนือปุถุชนทั่วไป ย่อม สามารถรู้เห็น การเกิดและตายของสัตวโลก ชีงเป็นไปตาม กรรมของตนๆ คุณสมบัติทั้ง ๑๐ ประการของบุคคลในกลุ่มที่ ๑ นี้ อาจอยู่ในระดับใกล้เคียงกันสุเมธดาบส สมัยยังเป็นพระโพธิ- สัตว์ปาเพ็ญบารมีอยู่ ในครั้งที่ได้พบพระทีปังกรพุทธเจ้านั้น ถ้าสุเมธดาบสปรารถนาพระอรห้ตย่อมสามารถบรรลุได้ใน ครั้งนั้น เนื่องจากสังสมบารมีมามากพอ (แต่เพราะเหตุที่ ปรารถนาการตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นวิสัย ของผู้ที่มีมหากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้ สุฌธดาบสจึงสามารถ รักษาสัจจบารมีได้อย่างเหนียวแน่นต่อไปอีก) ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันนี้ เมื่อบุคคลในกลุ่มที่ ๑ ได้มีโอกาสฟ้งพุทธวจนะเพียงสันๆ ก็สามารถบรรลุพระ อรห้ตได้ทันที อนื่ง จากคุณสมบัติข้อ ๑๐ ของบุคคลในกลุ่มนี้ แม้ยัง มิได้บรรลุอรห้ตผลเป็นพระอรห้นต์ย่อมสามารถเห็นนิพพานได้ ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธี้เหนีอปุลุซนทั่วไป ๖0C คุณลักษณะของผู้มศร้ทธาในสมัรJทุทไรกาล www.kalyanamitra.org

๒. วิปจิดัญฌู คือ ผู้เข้าใจต่อเมื่อขยายความ เนื่องจาก มีตถาคตโพธิสัทธาค่อนข้างสูงเปรียบเสมือนบัวที่กำลังปริ่มนํ้า จักบานในวันรุ่งขึ้น มีความเข้าใจถูกต้องและเชื่อมั่นในเริ่อง กฎแห่งกรรมเต็มเปียม จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะไมทาผิดคืล ส่วนการทำสมาธิยังไม่แก่กล้าเท่ากลุ่มที่ ๑ แต่เพราะเหตุที่ ต้องท่องเที่ยวอยูในสังสารวัฏมานานแสนนานได้ร้ปการปลูกผิง อบรมเริ่องสัมมาทิฏฐิมาดีเยิ่ยม ทำ ให้มีอุปนิสัยรักดีเกลียดชั่ว เป็นโปรแกรมติดข้ามภพข้ามชาติมา จึงมีสัมมาทิฎฐิ ระดับโลกิยะชนิดแก'รอบ ที่กำ ลังจะก้าวไปส่ระดับโลกุตระ หากพากเพียรปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ รอบแล้วรอบเส่าแบบเอา ชีวิตเป็นเดิมพันต่อไป ย่อมจะสามารถเพิ่มพูนทั้งตถาคต- โพธิสัทธา และบารมีให้เท่าเทียมกลุ่มที่ ๑ ไดิไม'ยากนัก อย่างไรก็ตาม กส่าวได้ว่าบุคคลในกลุ่มที่ ๒ นี้ มี คุณสมบัติระดับเดียวกับ คุณสมบัติ ๕ ประการของบุคคลที่ พีงบรรลุธรรมได้ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสไว้ในโพธิราชกุมาร- สูตร® ดังนี้คือ ๑) เป็นผู้มีศรัทธา เชื่อปัญญาเครื่องตรัสรู้ของ ตถาคตว่า \"แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็น พระอรห้นต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อม ด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีรู้แจ้งโลก เป็นสารถีผู้ที่ควร ฝึกได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค\" ® ม.ม. ๑๓/๓๔๔/๙๑๗ (มจร.) ศรัทธา รุ่งอรุณแห่งสันติภาพโลก ๗๐ www.kalyanamitra.org

๒) เป็นผู้มีสุขภาพดี มีโรคาพาธน้อย ประกอบด้วย ไฟธาตุสำหรับย่อยอาหารสมํ่าเสมอ ไม่เย็นนักไม่ร้อนนัก ปานกลางพอเหมาะแก่การปาเพ็ญเพียร ฅ) เป็น^โอ้อวดไม่มีมารยา เป็ดเผยตนตามความ เป็นจริงในศาสนา หรือในเพื่อนผู้รู้ทั้งหลาย ๔) เป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อ ยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย ๔) เป็นผู้มีป็ญญา ประกอบด้วยปัญญาที่เป็นอริยะ เห็นความเกิดและความดับ สามารถชำแรกกิเลสให้ถึงความ สินทุกข์โดยชอบ พระลัมมาลัมพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวทั้ง ๕ ประการ เมื่อได้พระองค์เป็นผู้แนะนำอบรมลังสอนให้เอง โดยตรง ย่อมสามารถกำจัดกิเลสในตนให้หมดสิน บรรลุ ความหลุดพ้นภายใน ๗ ปี ๖ ปี ๕ปี หรือ ๗ เดือน ๖ เดือน ๕ เดือนหรือ ๗ คึน ๗ วัน ๖ คืน ๖ วัน ๕ คืน ๕ วัน หรือ ๑ คืน ๑ วัน หรือแม้พระองค์ทรงลังสอนในเวลาเช้า ก็สามารถบรรลุ คุณวิเศษในเวลาเย็นได้ ฅ. เนยยะ คือ ผู้ที่พอจะแนะนำได้ เนื่องจากบุคคล กลุ่มนี้มีตถาคตโพธิสัทธาในระดับปานกลาง เปรืยบเสมีอน บัวที่อยู่ในนํ้า หรือใต้ระดับผิวนํ้า รอวันที่จะมีโอกาสพ้นนํ้า บุคคลในกลุ่มนี้จะมีความเช้าใจชัดเจนและเชื่อมั่นเรื่องกฎ แห่งกรรม รอบของการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ยังไม่มากพอ ๗© คุณลักษณะของผู้มีศรัทธาใฬมัยทุทธกาล www.kalyanamitra.org