Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นักธรรมตรี

Description: นักธรรมตรี

Search

Read the Text Version

อภณหป้จจเวกขณะ คือ. พิจารณาทุก«1วันว่า เรามี ความแก่ มีความเจ็บ มีความตายเรน่ธรรมดา ไม่ล่วง่ พ้นความแก่ เจ็บ ตายไปได้ เราด้องพลัดพรากจากของ รักของชอบใจฬั้งสัน เรามีกรรมเป็นฃฺองๆ ตน เราทาคื จักเด้ด ทาซว ^๕. ถาม ธรรมเครองทาความกล้าหาญ ๕ อย่าง มีอะไรบ้าง ? ตอบ ธรรมเครื่องทำความกล้าหาญมี ๕ คือ 0. ลัทธา เชื่อส์งที่ควรเซึ่อ ๒. สิล รักษากายวาจาให้เรียบร้อย ต. พาหลัจจะ ความเป็นผู้คืกษามาก ๔. วิรื่ยารัมภะ . ปรารภความเพียร ๕. ปัญญา รอบรู้สิงที่ควุรรู้ '^..ถาม การพิงธรรมมีอานิสงลัเท่าไร จงตอบมาให้ครบ ? ตอบ อานสงลัของการพิงธรรมมี ๕ อย่าง คือ่ ๑. ผู้พิงย่อมได้พิงสิงทยังไมเคยพิง ๒. สิงใดที่เคฺยพิงแล้วแต่ยังไม่เข้าใจซัด ย่อมเข้าใจ สิงนั้นซัด ต. บรรเทาความสงลัยลงเสิยได้ ๔. ทำ ความเห็นให้ฐกด้องได้ ๕. จ็ตของผู้พิงย่อมฝอ่งใส ๗.ถาม นิวรณธรรม คือ อะไร มีเท่าไร อะไรบ้าง ? ตอบ นิวรณธรรม คือ ธรรมยันกั้นจิตไมฺให้บรรลุความดี มี ๕อย่าง คือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ\" อุทธจจ- กกกุจจะ วิจิกิจฉา ต๙๒ ธรรมวภาค www.kalyanamitra.org

๘.ถาม จงจัดนิวรณธรรมทั้งหมดลงในอกศลมูลมๆดู ? ตอบ จัดกามฉันทะ ลงในโลภะ จัดพยาบาท ลงในโทสะ จัดถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะและวิจิกิจฉา ทั้ง ต นี้ ลงในโมหะ ๙. ถาม. อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟ้งซ่านและรำคาญ จัดเข้า ในขันธัIหนในขันธั ๕ เพราะเหตุไร ? ตอบ จัดเข้าในส์งฃารขันธ์ เพราะความฟ้งซ่านและรำคาญ เป็นเจตสิกธรรมที่เกิดขึ้นกับใจ 00.ถาม ธรรมอันกั้นจิตไมให้บรรลุความดี เรียกว่าอะไร ความ ดีที่ถูกกั้นไว!มให้บ่รรลุ หมายถึงความดีอย่างไหน ? ตอบ เรียกว่านวรเน หมายถึงความดีทุกอย่างแต่เมื่อ กล่าวโดุอตรงได้เฟสมาธิคือการทำจิตให้สงบ 00.ถาม ขันธ์ ๕ มีอะไรฺบ้าง? ตอบ ขันธ์ ๕มีรูป เวทนา สิ'ญญาสิ'งฃาร วิญญาณ ©๒.ถาม จงจัดขันธ์ ๕ ลงในนามรูปมาดู? ตอบ เวทนา สิ'ญญา สิ'งขาร วิญญาณ จัดเป็นนาม รูป คง . เป็นรป ธรรมรภาค ต๙ต www.kalyanamitra.org

ฉักกะ คือ หมวด ๖ คารวะ รอ ความเดารพนบลืออย่างหนักแน่น ๖ ประการ 0. พุทฮคารวตา เคารพใน่พระทุทรเจ้า ๒. ซัมมคาราตา เคารพในพระธรรม ๓. สังฆํคารวตา เคารพในพระสงฆ์ ๔. รกขาค่าราตา เคารพในการสิกษา ๕. ซัปปมาทคาราตา เคารพในคาามไม่ประมาท ๖.ปฏิสันถารคาราตา .คาามเคารพในปฏิสันถาร 0..พุทธคาราตา หมายถึง ความเคารพนับถึอในพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการกราบไหว้บูชาคุณทง กาย วาจา ใจ รวม ถึงการแสดงความเคารพในปูซนียวัตถุ เซนพระพุทธรูปปูซนัยสถาน เป็นด้น และตั้งใจฟ้งธรรมคำสอนด้วยความเอื้อเฟ้อ ๒.ซัมมคาราตา หมายถึง ความเคารพนับถึอ่ในพระธรรม คำ สอน ด้วยการตั้งใจสิกษาเล่าเรียน ทั้งภาคปริยัติ ปฏิบัติ จนท่อ ๓๙๔ ธรรมวิภาค . www.kalyanamitra.org

(เวธ ด้วยความเศารพยิ่ง.ไม่ดูหมิ่น เหฮยบยิ่า ฑั้งที่ฟ้น คำสอนและพระบญญัติ - ffl. ฟ้งฆคารรตา หมายถึง ความเคารพนับถึอในพระสงฆ์ หั้งทเป็นสมมติสงฆ์และอริยสงฆ์ด้วยทารกราบไหว้บู่ซา แสดง อาการนอบน้อม ตลอดจนเชื่อ.ฟิงคำสังสอนของท่านแด้วนำไป ปฏิบัติตาม ไม่แสดงอาการกิริยาดูหมิ่น ล้อเล่นกับท่าน ๔.รกขาคารวตา หมายถึง ความเคารพเอื้อเฟ้อในการ สืกษา ด้วยความตั้งใจสืกษ่าในไตรสิกขา คือ คืล สมาธิ ปัญญาไม่ เกียจ คร้าน ไม่ย่อท้อ ตั้งใจสิกษาไปจ่นฺกว่าจะสำเร็จ .๔.อปปมาทคาราตาห่มายถึง ความเคารพเอื้อเฟ้อในความ ไม่ประมาท่ ด้วยการมีสติไม่เผลอเลอ ในํการดำรงชื่วิต ระวังไมให้ หลงมวเมาในกามคุณไม่ประมาทฺในการละทุจริต ประกอบสุจริต. :๖. ปฎิรนถารคารวตา หมายถึง -ความเคารพเอื้อเฟ้อใน การด้อนวับ ด้วยการ้ยิ้มแยมแจ่มใส่ ไม่เป็นคนใจแคบ ด้อนวับดู มาเรอนด้วยไมตรีจิต ด้วยนํ้าใสใจจริง ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรม บ้างตามสมควร สรุป ความเคารพทั้ง ๖ ประการน เป็นเบื้องด้นที่จะ รองวับคุณธรรมอี่นทุที่จะพุงบัง.เกิดขึ้นกับฺเรา ฉะนั้นพึงมีความ เคารพนอบน้อมไว้ในที่ทุกสถาน สาราฌียธรรม คือ ธรรมเป็นตั้งแท่งความระลึกถึงกัน ๖ อย่าง 0. เช้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนภกษุ สามเณรทั้งต่อหน้าและกัปหลง หมัาย่ถึง ช่วยขวนขวายในกิจ ธุระ รรรมวิภาค ฅ๙๕ www.kalyanamitra.org

ของเพื่อนกันด้วยกาย มีพยาบาลภิกษุสามเณรไข เป็นด้น ด้วย เมตตากายกรรม ๒. เขาไปดั้งว^กรรมประกอบด้วยเมตดๆโนเพื่อนภิกษุ สามเณรดั้งตอหนาและอบหลง หมายถึง ช่วยขวนขวายโน่ภิจ ธุระของเพื่อนกันด้วยวาจา มีการกล่าวส์งสอน เป็นด้น ด้วยเมตตา วจีกรรม ท. เช้าไปดั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อ!๓กษุ สามเณรดั้งตอหนาและอับหลง หมาย่ถึงช่วยขวนขวายโนกิจธุระ ที่จะคิดแต่ส์งที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนกันด้วยเมตตามโนกรรม ๔. แปงป็นลาภที่ตนได้มาแล้วโดยชอบธรรม โห้แก่เพื่อน ภิกษุสามเณร ไม่หวงไวบริโภค^เพาะผู้เดียว เช่น ให้จีวร . บิณฑบาต เป็นด้น ด้วยจีตเมตตา ซี่อุสาธารณโภคี ๔.รักษาดีลบรสทรเสมอกันกับเพื่อนพระภิกษุสามเณรอืน«1 ไม่หำตนให้เป็นที่รังเภิยจขอํงผู้อื่น ซี่อว่า สิลสามัญญตา ๖. มึความเห้นร่วมกับภิกษุส่ามเณรอื่น ไม่วิวาทกับใคร^ เพราะมีความเห็นผิดกัน หมายถึง การปรับความเห็นโนพระธรรม วินัย ให้มีความเห็นเป็นอันเดียวกัน ซี่อว่าทิฏฐิสามัญญตา สรุป ธรรม ๖ อย่างนี้ ปอมทำให้ผู้ประพฤติตามเป็นที่รักที่ เคารพของผู้อื่น เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์อนุเคราะห์กันและกัน เป็นไปเพื่อความไม่วิวาทกันและกัน เป็นไปเพื่อความพร้อมเพรียง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อายดันะภายใน หมายถึง การเชื่อมด้อให้เภิดความรู้ชึ้น มี ๖ อย่าง ๓๙๖ ธรรมรภาค www.kalyanamitra.org

o. จกชุ คือ ตา หมายถึง ประสาทที่มองเห็นรูปตางๆได้ ๒.โสตะ คือ ถู หมายถึง ประสาทที่รับฟ้งเสิยงได้ ๓.ฆานะ คือ จมูกหมายถึง -ประสาทที่สูตกลิ่นได้ ๔.ชวหา คือ, ลิ้น หมายถึง ประสาทที่ลิ้มรสได้ ๕. กายะ คือ กาย หมายถึง ประสาทุที่ได้รับส์มผัส ๖. มนะ คือ' ใจ .หมายถึง จิตที่รับรู้อารมณ์ อายตนะภๆยฺนอก หมายถึง ร่งที่ถูกร้บรู้ฬรือสัมฺผสได้ด้วยอายตนะภายใน มี ๖ อย่าง คือ ลิ่งที่เห็นได้ด้วยตา คือ ลิ่งที่ได้ยินได้ด้วยถู 0. รูปฺ คือ ลิ่งที่สูตดมได้ด้ว์ยิจมูก • ๒. เสิยง ๓. กลิ่น ๔. รส คือ สิงที่ลิ้มรสได้ด้วยลิ้น ๕:โผฏเพพะ คือ สิงสิมผัสได้ด้วยกาย ๖. ธรรมารมณ์ คือ ลิ่งที่รู้สิกได้ด้วยใจ วิญญๆฌ[ หมายถึง ราตรหรือระบบการรชองจิตที่ได้สัมผสกับ จินิ นิ อารมณ์ที่มากระทบเป็นระบบการเรืยนเที่เกิดจากประสาทสัมผัส มี ๖ อย่าง 0. จุกชุจิญุญาณ คือ ความรู้สิกทางตา หมายถึง การ อุาส์'ยรูปมากระทบตา จึงเกิดความรู้ขึ้น ธรรมวิภาค ๓๙๗ www.kalyanamitra.org

ไช.โสตวิญญาณ คือ ความเรกทางหู หมายถึง การ อาสัยเสิยงกระทบหู จึงเกิดความรูขึ้น ๓.มานวิญญาณ คือ ความรู้สิคทางจมูก หม่ายถึง การ อาสัยกลิ่นกระทบจมูก จึงเกิดความรูขึ้น ๔;รวท่าวิญญาณ คือ ความเรกทางลิ้น หมายถึง การ อาส์'ยรสกระทบลิ้น จึงเกิดความรู้ขึ้น่ ๔.กายวิญญาณ คือ ความฐ้สิกทางกาย หมายถึง การ อาคื'ยโผฏฐพพะกระทบกาย จึงเกิดความรูขึ้น ๖.มโนวิญญาณ คือุ ความรู้รกทางใจ หมายถึง การ อาสัยธรรมเกิดกับใจ จึงเกิดความรู้ฃึ้น สัมผัส หมายถึง การลูกต้อง การกระทบกันระหว่างอายตนะ ภายโน อายตนะภายนอก มี ๖ อย่าง 0. จักชุสัมผัส หมายถึง รูปต่างๆ ที่ส์'มผัสฺได้ท่างตา ๒.โสตสัมผัสหมายถึง เสิยงต่างๆ ที่ส์มผัศได้ทางหู ๓.ฆานสัมผัส.หมายถึง กลิ่นต่างๆ ที่ส์มผัสได้ทางจมูก ๔.รวหาสัมผัส หมายถึง รสต่างๆ ที่สัมผัสได้ทางลิ้น ๕. กายสัมผัส หมายถึง สัมผัสต่างๆที่สัมผัสได้ทางกาย ๖. มโนสัมผัส หมายถึง อารม่ณต่างๆที่สัมผัสได้ทางใจ เวทนา หมายถึง การเสว่ย่อารมฌ ท่ร^การรบรู้อารมณ์ที่มา กระทบ เป็นการกระทบชองอายุตนะภายนออ่กับอายตนะภายใน ๓๙๘ ธรรมว๊ภาค www.kalyanamitra.org

แลวเกflความรู้รกต่าง^ มี ๖ อย่าง 0. จักชุสัมผสสชาเวทนา คือ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางตา หมายถึง ตาเมื่อมองเห็นรูปแล้วเกิดความรู้สิก สุขกาย่สุขใจบ้าง ทุกข์กายฒุฃใจบ้าง เกิดเฉยๆ บ้าง กายทุกข์ใจบ้าง เกิดเฉยๆ บ้าง ทุกข์กายทุกข์ใจบ้าง เกิดเฉยๆ บ้าง ๔. ชิวหาสัมผัสสซาเวทนา- คือ เวทนาเกิดจากสัมผัสทาง สิน หมายถึง ลิ้นเมื่อได้ลิ้มรสแล้วเกิดความรู้สิก สุขกายสุขใจบ้าง ทุกข์กายทุกข์ใจบ้าง เกิดเฉยๆ บ้าง ๔.ก่ายสัมผัสสซาเวทนา คือ เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย หมายถึง กาย่เมื่อได้สัมผัสแล้วเกิดความรู้สืก สุขกายสุขใจบ้าง ทุกข์กายทุกข์ใจบ้าง เกิดเฉยๆ บ้าง ๖. มโนสัมผัสสซาเวทนา คือ เวทน่าเกิดจากสัมผัสทางใจ หมฺายถึง ใจเมื่อได้รับรู้อารมณ์แล้วเกิดความรู้รก สุขใจบ้าง ทุกข์ ใจบ้าง เกิดเฉยๆ บ้าง ธาดุ หมายถึง ร่งที่ทร่งสภาพเดิมชองตนใ^มีการเปสี่ยน แปสง มี ๖ อย่าง bi ปฐวีธาตุ คือ ธาตุตน หมายถึง ธาตุอันใดที่มี ลักษณะแขนแข็งตัว ธาตุนั้นเป็นปฐวีธาตุ ปฐวีธาตุที่เป็นไปในกาย ธรรม์ว๊ภาค ๓๙๙ www.kalyanamitra.org

คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนํเง เนื้อ เอน กระดูก เยี่อในกระดูก่ ม้าม หัวใจ ตฺบ พังผืดไต ปอดไล็ใหญ่ไสัน้อย อาหารเถา อาหาร ใหม่ เป็นต้น ๒.อาโปธาตุ คือ ธาตุใ!ๆ หมฺายถึง ธาตุอันใดมีลักษณะ เอิบอาบ ธาตุนั้นเป็นอาโปธาตุ อาโปธาตุที่เป็นไปในกาย-คือ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ ม้นฃ้น นํ้าตา เปลวมัน นั้าลาย นั้ามูก ไขข้อมูตร เป็นต้น ๓. เตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ หมายถึง ธาตุอันใดมีลักษณะ ร้อน ธาตุนั้นเป็นเตโชธาตุ เตโซธาตุที่เป็นไปในกาย คือ ไฟที่ยัง ร่างกาย ให้อบอุ่น ไฟยังให้ร่างกายทรุดโทรม ไฟ่ที่ยังกายให้ กระวนกระวาย ไฟที่เผาอาหารให้ย่อย ๔. วาโยธาตุ คือ ธาตุลม หมายถึง ธาตุอันใดมีลักษณะ พัดไปมา ธาตุนั้นเป็นวาโยธาตุ วาโยธาตุที่เป็นไปในกาย คือ ลม พัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องล่าง ลมในห้อง ลม่ในไลั ลมพัดไป ตามตวลมหายใจ ๕. อากาสธาตุ คือ ธาตุอากาศ หมายถึง ธาตุที่ ละเอียดอ่อน บรรจุอยูในที่ว่างของธาตุอื่น^ ๖. วิญฌาฌธาต คือ่ ธาตร้ หมายถึง สภาวะจิตที่ร้ฆร้สิง 0» «»» 9 • ริฃ ฃ ต่างจุ ป็ญทาและเฉลยหมวด ๖ ร. ถาม คารวะมีกี่อย่าง^ ■อะไรบ้าง? ตอบ คารวะมี ๖ คือ เคารพในพระพุทธเจิา 0 เคารพใน พระธรรม 0 เคารพในพระสงฆ์ ๑ เคารพในการดีกษา 0 เคารพในความไม่ประมาท 0 เคารพในการปฏิลันถาร 0 ๔๐๐ ธรรมวิภาค www.kalyanamitra.org

J*.- - ๒.ถาม การคารวะในบิดามารดาครูอาจารย์จัดเข้าในอย่างไหน เพราะเหตุไร ? ตอบ การคารวะในบิดามฺารดาครูอาจารย์ จัดเข้าในเคารพใน พระธรรม เพราะพระธรรมคือคำส์ง์สอนของพระพุทธเจ้า พระองค์สอนให้เคารพบซาคนที่ควรเคารพบซา เซ่น บิดามารดาครูอาจารย์ เป็นต้น ๓. ถาม หลักธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกันและกัน ที่อว่า - อะไร ? ตอบ หลักธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกันและกัน ซื่อว่า สาราณียธรรม ๔. ถามฺ หลักธรรมนั้นไต้แก่อะไรบ้าง ? ตอบ หลกธรรมนั้นไต้แก่ เข้าไปตั้งเมตฺตากายกรรม0 เมตตา วจีกรรม 0 เมตตามโนกรรม 0 เฉลี่ยลาภ 0 . มีคืลเสฝbกัน 0 มีความเห็นร่วมกัน 0 ๕. ถาม สุ่าราณียธรรมข้อไหนลัาคญ เพราะเหตุไร ? ตอบ สาราณียธรรม ข้อที่ ๖ สำ คัญ เพราะทิฏเสามัญญตา มีความเห็นเสมอฺกันย่อมพาให้ตั้งมั่นในความสามัคคี ให้ มีความเมตตาอารีเออเฟ้อเผื่อแผ่กัน ประพฤติดีเสมอ กัน อนเป็นทางตัดการทะเลาะวิวาท สามารถควบคุม สาราณียธรํรมข้ออื่น,าให้ยั่งยืนอยู่ไต้ ๖. ถาม สาราณียธรรมแปลว่าอะไร ธรรมข้อนั้ย่อมอำนวยผล หรีอมีอานิสงส์แก่ผูปฏิบัติตามอย่างไร ? ตอบ ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึง ทำ ผู้ปฏิบัติตามให้ เป็นที่รัก เป็นที่เคารพของผู้อื่น เป็นไปเพื่อความอนุ- เคราะห์กันและกัน เป็นไปเพอความไฝวิวาทกันและกัน เป็นไปเพื่อ ความพรีอมเพียงกัน เป็นไปเพื่อความเป็น ธรรมวิภาด ๔๐๐ www.kalyanamitra.org

ฟ้นหนึ๋งอนเดียวก้น ๗.ถาม อินทรีย ๖ ก้บอารมณ ๖ มีดวามส์ฆพน&ก้นอย่างไร ? ตอบ่ อินทรีย ๖ กบอุารมณ ๖ มีดวามส์มพันธก้นอย่างนี้ ตา เป็นใทญโนการเพอารมณ์คือรูป ผู เป็นใหญในการฟ้งอารมณ์คือเสิยง จมูกเป็นใหญโนการสู่ดดมอารมณ์คือิกลิ่น สิน เป็นใหญโนการลิ้มอารมณ์คือรส กาย เป็นใหญโนการถูกต้องอารมณ์คือโผฏฐัพพะ ใจ เป็นโทญโนการรูอารมณ์คือธรรม. ๘.ถาม อายตนะ ๑๒ คืออ่ะไรบ้าง ? ตอบ อายตนะ๐๒คือตา หู จมูกลิ้นกายใจ รูปเสีย้ง'กลิ่น ^รส โผฏเพพะ และธรรมารมณ์ ๙. ถาม อะไรเรียกวา ส์มผส? ตอบ การกระทบก้นระหวางอายตนะภายในมีตาเป็นต้น อายตนะภายนอกมีรูปเป็นต้นเก้ดดวามรู้ฃฺน่ เรียกวา จักขวญญาณ ทง ต อ่ย่างนี้ร่วมกันในขณฺะเดียวกน เรียกวา ส์บ่ผ้gj 00.ถาม ในอายตนะ๐๒นี้น อย่างไหนเป็นรูปอย่างไหนเป็นนาม? ตอบ ตา หู จมูก ลิ้นกาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทง ๐๐ อย่างนี้ จัดุเป็นรูป ใจและธรฺรมารมณ์ คือ อารมณ์ที่เกิดกับใจ นี้เป็นนาม ๔๐๒ ธรรมรภาค www.kalyanamitra.org

สัตดุกะ ดือ หมวด ๗ อเ]ริหๆนยฺรรรม Jls ธรรมเป็น^ดงแฟงดวๆมไฝฟอม เป็ธรรมทึ่รนไป ผื่อศ่วามเจรญฟ็ายเดียว ฟึ ๗ อย่าง 0. หมั่น1^ะชุมทนเนืองนิต่ย ๒. เมื่อประชุมกพร้อมเพรืยงเก้นประชุม เมื่อเดีคประชุม กึพร้อมเพร้ย่งทนเรก และพร้อมเพร้องกนฟวยหากจที่สงฆ์จะ ต้องหำ ท. ไม่บญญดีร่งที่พระพุทธเจาไม่บญญดีชื้น ไมแอนร่งที่ พระองค์ทรงฃญเpitวแต้ว สมาทานดีก1ฬอย่ในรกขาบ่ทดามท พระองค์ทรงบญเ^ใว ๔. ภกชุเหลำโดเป็นผู้ใหญ่เนืนประธานในสงฆ์ เคารพ นืบถือภิกษุ่เหลำนั้น เชื้อฬ่งต้อยคาชองทาน ๔.ไม่ธุอำนกุ่จแก่ความ่อยากที่เกดชื้น ๖; รนดีในเสนาสนะฟ้า ธ่รรฟ้'รภาคิ Jopi www.kalyanamitra.org

๗. ตั้งใจอยูวา ผื่อ!4ภิกษุสามเผรร่งiป็นผู้มึ^ล ชึ๋งยัง ไฝมาส่อาวาส ขอให้มา ที๋มาแล้ว ก็ขอให้อยู่เป็นสช อริยทรัผย์ ดือ ทริฟย์ยันประเสริฐ ๗ ประการ 0. สัทธา เชื่อต่อร่งที่ควรเซี่อ .คือ เส์อในความตรัสรู้ ธรรมของพระพุทธเจ้า เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม เป็นต้น ๒.ล้ส รักษา กาย วาจา ให้เรียบร้อย คือ คืล ๕ หรือ ๘ ๓. ห้ริ ความละอายต่อบาป คือ ไฝกล้าทำความชั่ว ๔.โอตต้ปปะ สะ^กล้วต่อบาป คือ กลัวผลของการทำบาป ๕.พาษุสัจจะความฟ้นคนได้฿นไล้ฟ้งมามาก คือ ทรงธรรม และคืลปวิทยามาก โฝรู้ทั้งการฟ้ง การอ่าน การจดจา เป็นต้น ๖.จาคะ สละให้ปีนล้งของของตนแก่คนที่ควรให้ปีน คือ การแบ่งปันต้วยปัจจ้ย ๔ อันสมควร ๗. ปีญญา รอบร้ล้งที่เป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโย .ซน์ คือ ปัญญาที่สอนตนเองไต้ ,. สรุป อริยทรัพย์ ๗ นี้ จัดลงในสิก่ขา ๓ ไต้ ๒ สิกขา คือ 0. สิล หิริ โอตตัปปะ และจ้าคะ จัดเป็น สิลสิกขา ๒. ลัทธา พาทุลัจจะ และปัญญา จัดเป็น ปัญญาสิกขา สัปปุริสธรรม ดือ ธรรมซองสัสฺษุรุน^ ๗ ประการ 0. รมมัญผุดา ความเป็นด้รู้จักธรรม ดือ เหตุ หมายถึง ร้จักเหต ๔๐๔) ธรรมรภาค www.kalyanamitra.org

๒. อัดถผญดา ความเป็นผ้ร้อักอรรถ ดือ ผด ฬมายถึง เจักผล เซนรู้ว่าทาเหตุอย่างนี้ ย่อมได้ผลอย่างนี้ เป็นต้น ๓. อัดตัญฌุดา ความเป็นผู้เจกดน หมายถึง รู้จักตนว่า เรามศรัทธา สืลสุตะ จาคะ และปัญญาเท่านี้ แล้ววางตัวให้ เหมาะสมกบวุฒิภาวะของตน ไฝอวดดื้อถึอดี ให้สงบเสงี่ยมเจียมตน ๔. มัดตัญฺฌดา ความเป็น่ผู้เจักประมาณ หมายถึง รู้จัก ประมาณในการแสวงหา ในการรับ ในการจ่าย ไมให้ฟ้มเลอย ให้ รู้จักความพอดี รู้จักประมาณในการบริโภคแก'พอควร และรู้จัก ประมาณในการให้จ่ายให้รู้คุณค่าของสิงทึ่หามาได้ ๕. กาอัญฌดา ความ่เป็นผู้เจักกาลเวลา หมายถึง รู้ถึง คุณค่าของเวลาที่ฝานไป รู้จักการให้เวลาอย่างด้มค่าและเป็นฺ ปริะโย่ซน ไฝปล่อยเวลาให้ฝานไปอย่างไรัประใยซมั ให้รู้ว่าเวลา นี้ค่วรที่าอย่างนี้ เวลานี้ควรดูดอย่างนี้ ท่าและดูดอย่างไฝประมาท ๖.ปริสัญฌุดา ความเป็นผู้เจักประชุมชน หมายถึงฺ การรู้ จักล้งคมที่ตนอย่อาตัยที่ท่างาน รู้จักปรับตัวให้เข้ากับส์งคมชุมซน น'นๆ ไฝมีเรี่องกระทบกระทั่งกับผู้อี่น ได้รับความไว้วางใจจากคน ๗. ปุคคลปโรปรัญรนดา ความเป็นผู้รู้จักเลือกคบบุคคล หมายถึง การรู้จักเลือกคบคน ด้วยการดีกษาอุปนิสัยใจคอ เป็นด้น ของคนา นั้นว่าควรคบหรือไฝควรคบ เขาเป็นคนดีหรือคนเลว ให้เลือกคบคนที่เป็นคนดีมีคุณธรรม สรุป สัปปรืสธรรม เมื่อผู้ใดปฏิบัติตามได้ ย่อมเป็นผู้ที่ ควรแก'การยกย่องเคารพนับถือ เป็นผู้ที่น่าคบหาสมาคมด้วย เพราะ เขาเป็นสัตบรษ ธรรม่วิภาค •๔๐๕ www.kalyanamitra.org

รปปุรสรรรมอีก ๗ อยาง 0. ส์ตบุรุษประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ คือ มีศรัทธา 0 มี ความละอายบาป 0 มีความทลวต่อบาป 0 เป็นคนได้ยินได้ฟัง มาก 0 เป็นคนมีความเพฺยร 0 เป็นคนมีสคืตั้งมน 0 เป็นคนมี 0 ๒. จะปรึกษาสิงใดกับใครา ก็ไม่ปรึกษาเพี่อจะเบียดเบียน ตนและผู้อี๋น ฅ;จะคืดสิงใด ก็ไม่คืดเพี่อจะเบียดเบียนตนและผู้อี่น ๔.จะพูดสิงใด ก็ไม่พูดเพี่อจะเบียดเบียนตนและผู้อี่น ๕ จะทำสิงใด ก็ไม่ทำเพี่อจะเบียดเบยนตนและผู้อี่น ๖.มีความเห็นชอบ คือ เห็นว่าทำคืได้ดี ทำ ชั่วได้ชั่ว เป็นดุบ ๗. ให้ทานโดยเคารพ คือ เอื้อเพี่อแก่ขอุงที่ตนให้ และ ผู้รับทานนั้น ไม่ทำอาการดุจทิ้งเสีย คือ ธรรมเป็นองค์แฟงการตรัสรู้ มี ๗ อย่าง ชิ 0. สคื ความระรก่ได ๒. รุมม่วฺจยะ ความสอดฝอง่ธรรม ๓.วรยะ ความเพียร ๔. ปีติ ความอิ่มใจ ๔. บีสสิทรุ ค่วาม่สิงบใจแสะอารมผ ๖. สมารุ คํวามตั้งใจมั่น ๗. อุเปกชา ความวางเฉย ๔๐๖ ธรรมวิภาค www.kalyanamitra.org

o.สตสัมโพชฌงค์ หมายฺถึฟ้ เป็นองค์ฐรรมแห่งการตรัสรู้ คือ สติที่นึกถึงอารมถ!ในสติป้ฏฐาน ๔ มี.กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอารมถ! ๒. ธมมวิจยสัมโพชผงค์ หมายถึง เป็นองค์ธร่รมแห่ง การตรัสรู้ คือ ความเป็นผู้ฉลาดในการเลือกเฟ้นธรรมที่งที่เป็น ฝ่ายดีที่ควรบำเพ็ญ และฝ่ายไม่ดีที่ควรละทิ้งเลืย .. ^ยสัมโพซฌงค์ หมายถึง เป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ คือ;ความเพ็ยรพยายามประคองจิต ไมโห่เกิดความท้อถอยในการ ละและการปฏินัติได้แก่ .เพ็ยรระวัง เพ็ยรละ เพ็ยรใท้เกิดมี แลฺะ เพียรรักษา ๔.ปีติสัมโพซฌงค์ หมายถึง เป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ คือ ความอิ่มใจของจิตที่'ละอกคลได้ ปฏิบัติแต่ๆศลและสามารถ ปฏิบัติธรรมขั้นสูงได้งุ่าย ๕. ปีสสทรสัมโพชผงค์ หมายถึง เป็นองค์ธรรมแห่งการ ตรัสรู้ คือ ความสงบใจและอารมถ!ลืบเนื่องมาจากความปีติในการ ปฏิบัติธรรม เป็นเหตให้กายฺใจสงบ ๖.สมาธสํโพซฌงค์ หมายถึง เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ คือ ความเป็นผู้มีใจตั้งมั่นเป็นอารมถ!เดียวจนสามารถบรรลุฌานต่างร. ได้!ปตุามลำดับ. ๗.อุเบกขาสํ&iโพซฌ่งคุ หมายถึง เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ คือ ความวางเฉยในเมื่อได้อุปปน่าสมาธิ เป็นจิตที่แน่วแน่มีอุารมถ! เดียว เรียกว่า ญาณอุเบกขา ธรรมว๊ภาค ๔๐๗ www.kalyanamitra.org

ป็ญ่ทานละเฉลยหมวด ๗ 0. ถาม อปริหานิยธรรม สืออะไร มีf!ขอ จงแสดงมา ค ฃอ ตอบ .คือธรรมไมเป็นที่ตั้งแห่งความเส์อม มี ๗ ข้อ (ตอบข้อใดข้อหนี่ง)คือ 0. หมีนประชุมกันเนืองนึตย ๒. เมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุมเมื่อเลิกประชุม ก็พร้อมเพรียงกันเลิกและพร้อมเพรียงกันช่วยทำกิจ ที่สงฆจะต้องทำ ฅ.ไม'บัญญัติลิงที่พระพุทธเจาไมบัญญัคืขึ้น ไม่ถอนลิง ที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้แลิวํสมาทานคืกษาอยู่ใน ลิกชาบทตาม่ที่พระอุง่ค์ทรงบัญญัติไว้ ๔. ภิกษุเหล่าใดเป็น^หญ่ เป็นประธานในสงฆ เคารพ นับถือภิกษุเหล่านั้น เที่อฟ้งถ้อยคำของทาน ๕.ไม่ลุอำนาจแกความอุยากที่เกิดขึ้น .๖. ยินดีในเสนฺาสนะปา ๗..ตั้งใจอยู่วา เพื่อนภิกษุสามฺเณรขึ้งเป็นผู้มีคืล ขึ้งยัง ไม่มาล่อาวาส ขอให้มา ที่มาแล้ว ขอให้อยู่เป็นสุข to. ถาม ทรัพยัประ๓ทไหนเรียกว่า \"อริยทรัพยั\" ? ตอบ่ ทรัพย์คือคุณงามความดีที่มีในสันดานอย่างประเสริฐ เรียกว่า อริยทรัพย์ มื่ศรทํธา คืลเป็นต้น ๓. ถาม อริยทรัพย์ดีกว่าทรัพย์ภายนอกเพราะเหตุไร ? ตอบ ดีกว่า เพราะอริยทรัพย์เป็นคุณธรรม.เครี๋องบำรุงจิต้ใจ. ให้ปลื้ม ให้อบอุ่นมีแล้วไม่ต้องเป็นทุกข์กังวลในการ ๕๐๘ รรรมวํภาค www.kalyanamitra.org

คุ้มครองรักษา ใคฺรแย่งชิงเอาไปไม่ได้ ใช้เท่าไรไม่ด้อง กลัวหมดไมตองเส์ยงภัยในการแสวงฺหา ทั้งสามารถติด ตัวไปในลัมปรายฦพได้ด้วุย ๔. ถาม. พาหุลัจจะ หมายความว่าอย่างไร พาหุลัจจะ เป็นอริย- . ทรัพย์อย่างหนึ่งนั้น อธิบายอย่างไร ? ตอ่ฃ หมายความว่า ความเป็นผู้เคยได้ยินได้ฟ้งมามาก อธิบายว่า พาหุลัจจะ คือ ความเป็นผู้เคยได้ยินได้ฟังมา มากนั้นได้นึ่อว่าอริยทริพย์ เพราะเป็นเหตุให1ด้อิฏฐผล มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และไมตรี เป็นด้น ทั้งไม่เป็น ภาระแกเจ้าของและที่ดีพเศษ่กว่าทรัพย์สินเงินทองทั้วไป คือ ยิ่งใช้ยงมี ๔.ถาม มัดตัญฌุตา ความเป็นผู้รู้ประมาณ ในลัปปุริสธรรม มี อธิบายไว้อ่ย่างไร ? ตอบ ความเป็นผ้ร้ประมาณในการแสวงหาเครื่องเลี้ยงชิริต แดโดยทางํที่ซอบและรู้จักประมาณในการบริโภคแต่ พอควร ,๖. ถาม อริยทฺร้พย์ คือ ทรัพฺย์เซ่นไร เมื่อเทียบกับทรัพย์สินมี เงินทอง เป็นด้น ดีกว่ากันอย่างไร ? , ตอบ คือ ดุณงามความดีอย่างประเสริฐที่เกิดมีขึ๊นในลันดาน มีศรัทธา คืล เป็นด้น-ดีกว่ากัน เพราะเป็นคุณธุรรม . เครื่องบำรุงจิตใทีอบอนไม่ด้อฺงกังวลเดีอดริอนใครจะ เฟงชิงไปไม่ได้ใช้เท่ๆใดก1ม่ด้องกลัวหมดสินทั้งสามารถ ติดตามไปได้ถึงซฺาติหน้า เป็นที่พึ่งในลัมปรายภพได้ด้วย ธรรมวภำค ๔๐๙ www.kalyanamitra.org

อัฏฐกะ คือ หมวด ๘ โลกธรรม คือ ธรรมที่ครอบงำสัตว์โล่ก ๘ ประการ 0. มีลาภ ๒. เที่อมลาภ ฅ; มียศ ๔. ฟอมยศ ๕. นินทา ๖. สรรเสรญ ๗.สข . ๔.ทุกข์ โลกธรรมนี้นปงเป็น ๒ ประเภท คือ 0. อิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่น่าพอใจ ได้แก่ ความมีลาภ มียศ ความสรรเสริญ ความสุข ๒.อนิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ ได้แก่ เส์อมลาภ เสิอมยศ นินทา และทุก่ข์ โลกธรรมทั้ง .๘ ประการนี้ เมีออย่างใดอยางหฺนึ๋งเกิดขึ้น แลว พึงฟิจารณาด้วยฺป็ญญ่าของตํนว่า สิงนี้ที่เกิดขึ้นกับเรา ทั้ง ที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจ ก็เป็นเพยงการเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่ ๔๐๐ ธร*รมวิภาค www.kalyanamitra.org

นานก็มีการผันแปรเปลี่ยนไป สุดท้ายก็ถึงจุดที่ต้องพลัดพรากจาก ไปไฝจีรังยั่งยน เราควรวางตัว วางใจเป็นกลาง่ในโลกธรรมเหล่านี้ แล้วเราจะอยู่อย่างมีความสุข ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๔ ประการ คือ 0. ธรรมเหล่าใด เป็นไป1พื่อความกำหนัดย้อมใจ ๒. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพี่อความประกอบทุกข์ ๓. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพี่อความสะสมกองกิเลส ๔. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพี่อความอยากใหญ่ ๕. ธรรมเหล่าใด .เป็นไปเพี่อความไฝลันโดษย้นดีต้วยฃอฺง ที่มีอยู่ คือมีนี่แล้วอย่างไต้นั่น ๖. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพี่อความคลุกคลีต้วยหมู่คณะ ๗.ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพี่อความเกียจคร้าน ๘. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพี่อความเลี้ยงยาก ธรรมเหล่านี้พึงร้ว่า ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสอน ของพระศาสดา '0. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพี่อความคลายกำหนัด ๒. ธรรมเหลำใด เป็นไปเพี่อความปราศจากทุกข์ ๓. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพี่อความไม่สะสมกองกิเลส ๔. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพี่อความอยากอันนัอย ' ๕.ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพี่อความลันโดษยินดีด้วยของที่มีอยู่ ๖. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพี่อความสงัดจากหมู่ . * : ๗. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพี่อความเพึยร ธรรมวิภาค ๔00 www.kalyanamitra.org

๘. ธรรมเหลวใด เปีนไปเพี่อความแยงง่าย ธรรมเหล่านี้พึงฐว่า เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคาส์งสรน ของพระศาสดา มรรค มีองค์ ๘ หมายสิง หนทางหรึอแนววิธปฎนัรส์าหรับส์าเนันไปสํ ความดมทุกข์ มี ๔ อยาง 0. สัมมาทฏฐ ป็ญญาอนเห็นชอบ ๒. สัมมาสังกปปะ ดำ ริซ์อบ ๓.สัมมาวาจา เจรจาชอบ ๔. สัมมากมมันดะ หำ การงานชอบ ๕.สํผมาอาข์วะ เลี้ยงข์วิดชอบ ๖. สผมาวายามะ เพียรชอบ ๗. สัมมาสดิ ระสิกชอบ ๘. สัมมาสมาร ดั้งใจไว้ชอบ 0. สัมมาห็ฏฐ หมายลง ความเห็นทถูกต้อง เป็นปัญญา อันเห็นแว้งในอริยสัจ คือ เห็นทุกข์.เห็นสทุทัย เห็นนิโรธ เห็น มรรค ๒.สัมมาสังกัปปะ หมายสิง.ความดำริอันคูกต้อง ไต้แก' ความดำริออกจากกาม ออกจากความพยาบาท ออกจากความ เบียดเบียน. ๓. สัมมาวาจา หมายสิง วาจาที่คูกต้อง เว้นวว้ทุจริต ๔ ๔๐๒ ธ่รรมาภาค www.kalyanamitra.org

คือ:พูดเท็จ พูดคาหยาu พูดส่อเสิยด พูดเพ้อ่เ^อ ๔.สัมมากัมมนดร;หมายถึง ท็าการงานที่ชอบ.ธรรม เว้น จากกายทุจริต ๓ คือ ฆ่าสัตว์ ลกทรัพ่ย์ ประพฤติผิดในกาม ๔.สัมม์าอาชืวะ s หมายถึงทารเลี๋[ยงชีวิตที่ถูกติองไฝมี โทปทั้ง ๒ ฟิาย คือโทษทางโลก โทษทางธรรม รู้จกโนการแสวงหา ในการรับ โนการบริโภค ๖;สั&ฌๆวายามะ หมายถึง มีความเพยรที่ถูกต้อง ไต้แก่ สัมมัปปธาน ๔ คือ เพียรระวังบาปไมใหเถึคขึ้น เพียร ระวังบาปที่เถึดขึ้นแต้ว เพียรให้ฤศลเกดขึ้น เพียรรักษากุคลที่ ^.. .. JM . 9*. ๗. สัมมาส่ติ ■หมายถึง ความระลึกที่ถูกต้อง เป็นการ ลติป้ฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา วิด ธรรม ' ๘. สัมมาสมฺาธ หมายถึง ความตงใจที่ถูก่ต้อง เป็นความ ตั้งใจมั่นในการเจริญฌาน ๔ มีปฐมฌาน ชุ่ตั้ยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เท็นซ่อบ ดำริชอบ สงเคราะพีเชีาในป้ญญาสิกขา วาจาชอ่บ การงานชอบ เลี้ยงซวิตชอบ สงเครฺาะหเขาใน สิลสิกขา เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจไว้ชอบ สงเครารส«๓ใ'เ^ตสิกขา ป็ญุทๆนฟิะเฉลยหมวด ๘ 0. ถาม โลกธรรมมีโเอฺย่าง่ อะไรบ้าง ;? สอบ โลกธรรมมี ๘ อย่าง คือ มีลาภ:0 , เส์อมลาภ 0 มียศ ธรรมรทๆค ๔©ฅ www.kalyanamitra.org

o เส์อมยศ 0 สรรเสริญ 0 นินทา 0 สุข 0 ทุกข์0 .๒. ถามุ ท่านสอนให้ปฏิบตต่อโลกธรรมอย่างไร ? ตอบ ท่านสอนให้ปฎบัตต่อโลกธรรมอย่างนี้ คือ อย่าง ใดอย่างหนึ๋งเกิดขึ้น ศวรพิจารณาว่า ส์งนี้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา มันเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์มีความเฟร ปรวนเป็นธรรมดา ควรรู้ตามเป็นจริง อย่าให้ครอบงำจิต ไล้คืออย่ายินดีในฝวนที่ปรารถนา อย่ายินริายในส่วนที่ ไม่ปรารถนา ๓. ถามุ คาว่า เจรจาซอบในมรรคมีองค์๘ นั้น คือเจรจาอย่างไร? ตอบ คือเว้นจากชุเดเท็จ เว่นจากการพูดส่อเสิยฺด เรุ้นจาก พูดคาหยาบ และเว้นจากพูดเพ้อเจ้อ ๔. ถาม ส์มมาส์งกัปปะ ดำ ริซอบ คือ ดำ ริอย่างไร ? ตอบ คือ ดำ ริจะออกจากกาม 0 ดำ ริในอันไม่พยาบาท 0 ดำ ริในอันไม่เบียดเบียน 0 ๕. ถาม มรรคมีองค์ ๘ ข้อใดบ้างสงเคราะห์เข้าในสีลสิกขา ? ตอบ วาจาซอบ การงานซอบ เลี้ยงข้วิตซอบ สงเคราะห์เข้า ในสิลสิกขา ๖. ถาม โลกธรรมคืออะไร เมื่อเกิดขึ้นแล้วควรพิจารณาอย่างไร? ตอบ คือ ธรรมที่ครอุบงำสิตว้โลกอยู่ และสิตว์[ลกย่อมเป็น ไปตามธรรมนั้น ในโลกธรรม ๘ ประการนี้ อย่างใด อย่างหนี้งเกิดขึ้นควรพิจารณาว่า สิงนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา แต่ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็น ธรรมดา ควรรู้ตามที่เป็นจริงอย่าให้มันครอบงำจิตไล้คือ ๔อ๔ ธรรมรภาค www.kalyanamitra.org

อย่ายินดีในส่วนที่ปรารถนา อย่ายิน^ายในส่วนที่ไม่ ปรารถนา ๗.ถาม โนมรรคมีองค์ ๘คำวา\"เพียรชอบ\"คือเพียรอย่างไร ? ตอบ คือ เพียรระวังไมให้บาปเกิดขึ้นในส์นดาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว เพียรให้กุฬลเกิดขึ้นในสันดาน เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เส์อม ธรรมรภาค ๔€>๕ www.kalyanamitra.org

นวถะ หมวด ๙ หมายถึง มลทินรนเครี่องทำให้บุคคลต้องเศร้าหมอง รน เครี่องทำลายจฅไผั้ภาย่ในภายนอก 1! ๙ อย่าง 0.โกธะ โกรธ ๒. มักชะ ลบหลู่บุญบุณท่าน ๓. อสสา ริษยา ๔. มัจฉริยะ ด่ระหนี่ ๕. มายา มารยา ๖. สาเลยยะ มักอวด ๗. มสาวาท พคปค ๘.ปาป็จฉา มีความปรารถนาลามก ๙. มิจฉาทิฏฐ เห็นมิค 0. โกธะ หมายถึง ความโกรธแต้นขัดเสืองของจิตในเรื่อง ๔©๖ ธรรมรภาค www.kalyanamitra.org

ที่โม่ถูกใจตน ฌี่อคว.'ไมโกรธเกดขื้นแล้ว ควรระงับด้วยเมตตา V ๒. รรกขะ หมายถึง การลบหลู่บุญคุณท่านไฝรู้จักบุญคุณ ของผู้มีอุปการะ เป็นคนอกตัญฌูไฝรู้จักบุญคุณคน เมี่ฉเกิดขึ้นแล้ว ควรลบล้างด้วยความกตัญญกตเวที ๓. รสสา หมายถึง ความรุจฺฉาตาร้อนเมื่อเห็นผู้อี่นได้ดี กว่าตน เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ควรชำระได้ด้วยมทีตา ๔. ม'จฉรฺยะ หมายถึง คุวามตระหนี่ คือหวงแหนทรัพย์ สมบัตไฝกล้าที่จะสละสิงของของตุนให้เป็นประโยฺซน์แก่ผู้อี่น เมื่อ เกิดขึ้นแล้ว ควรกำจัดด้วยคุารให้ทาน. ๔, มายา หมายถึง คๆามมีมารยา เป็นคนเจ้าเล่ห์ มี เล่ห์เหล้ยมไฝยอมรับความผดพลาด เมื่อเกิดขึ้นฺแล้ว ควรแก้ด้วย ความเป็นคนซื่อตรง เป็นคนจริง ๖. สาเลยยะ หมายถึง ความมักอวด เป็นคนอวดดีเพื่อให้ ผู้อี่นยกย่องตน เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ควรละด้วยอัดตัญฌุตา รู้จัก ประมาณตน มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ๗. มุสาวาท หมายถึง การพูดเห็จ พูดให้คลาดเคลื่อนไป จากความเป็นจริง เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ควรแก้ด้วยการกล่าวคำจริง เป็นส์จจวาจา ๘. ปาป็จฉา หมายถึง มีความปรารถนาลามกอยากได้ของ ของผู้อึ่นมาเป็นของตนในทางที่ไฝชอบธรรม มีความอยากได้!น ทางที่ไฝดี เมื่อเกิดขึ้นแล้ว คฺวรแก้ด้วยความสิ'นโดษ ยินดีในสิงที่ มีอยู่ ๙. มจฉาทีฎเ หมายถึง ความเห็นผิดไปจากธรรมนอง ธรรมวภาค ๔©๗ www.kalyanamitra.org

คลองธรรม ฟ้นเหฺตุใหปฏเสธเรื่องบาปบญคุณโทษ สามารถ ทาความชั่วได้ทุกอย่าง เมื่อเกิดสันแล้ว ควรแก้ด้วยส์มมาทิฏฐ มี ความเห็นชอบตามธรรมนองคัลองธรรม ป้ญหาแสะเฉลยหมวด ๙ 0. ถาม มละคีอ มลทิน หมายถึงอะไร? ดอบ มละคีอมลทิน หมายถึง กิเลสเป็นเครื่องทำจิตใฟ้ เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ๒เ. ถาม มลทินข้อที่ 0และข้อที่ ๙ คืออะไร แก้ด้วยธรรมอะไร? ตอบ มลทินข้อที่© คือโกรธ■แก้ด้วยเจรื่ญเมตตา และมลทิน ข้อที่๙ คือเห็นผิค แก้ด้วยล้มมาทิฏฐิ ๔๐๔ ธรรมวภาค www.kalyanamitra.org

ทสกะ คือ หมวด 00 อกุศลกรรมนถ หมายถึง กรรมที่รนอกุศ่ล มุ่งกล่าวถึงความชั่วทบุคคล ประพฤติทั้งทางกาย ทางวาจา และท่างใจ ม 00 อย่าง ๐. ปาณาติบาต คือ ทำ ซีวตสัตว์ใฟ้ตกล่วงไป หมายถึง การฆ่าสัตว์ที่มีเจตนาจะใทํตาย ทั้งที่เ!เนมนุษย์และสัตว์ดิรัจฉาน ๒. อทนนาทาน คือ ถึอเอาสังขฺองที่เจ้าของไมใคื!หดวย อาการแห่งขโมย หมายถึง การสักทรัพย์ของผู้อี่นโดยมีเจตนาถือ เอาส์งของนั้นมาเป็นของตน ทั้งที่เป็นสังหาริมทรัพย์ และ อสังหาริมทรัพย์ ๓.กาเมฺสุมจฉาจาร คือ ประพฤติติด่ในกาม หมายถึง การ ก้าวล่วงล่ะเมีตคูครองของฟ้อนรวมถึงบุคคลดิอ่งห้ามที่!ม'ควรละเมีด เป็นการประพฤติฝ็ตโนกาม ๔.มุสาวาท คือ พูดเท็จ หมายถึง การพูด่ที่คลุไตเคลอน ไปจากความเป็นจริง พูตดิวย่ตั้งใจจะให้ฟ้อี่นเข้าใจฺผิดไปจากความ .เป็นจริง ธรรมวภาค ๔๐๙ www.kalyanamitra.org

๕.ปีสุณวาจา คือ พูดฟ้อเคืยด หมายถึง การพูดส่อเสียด ยุยงให้แตกกัน โดยนาคาพูดรกคนหนึ๋งไปบอกอีกคนหนึ่งเพื่อให้ แดกความสามัคคีกัน ๖. ผรุสวาจา คือ พูดคำหยาบ หมายถึง การพูดคำไฝ น่าฟ้ง เป็นคำพูดที่ทำให้เจ็บใจ เป็นอาการเหยียดหยามดูหมิ่น .ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความโกรธได้ง่าย า ๗.สัมมัปปสาปะ คือ พูดเพ้อเจ้อ หมายถึง การ พูดเพ้อเจ็อไม่มีประโยชน์ไม่มีเหตุผล หาแก่นสารไม่ได้ ๘. อภิชฌา คือโลภอยากได้ของเซา หมายถึง ความ คิดโลภเพ่งเล็งยากได้ฃอง่ผู้อี่นมาเป็นของตนในทางที่ไม่ซอฺบธรรม ๙. พยาบาท คือ.ปองร้ายเขา หมายถึง ความคืดปอง ร้ายผูอฺน เป็นกๆร่ผูกํใจเจ็บขัดเคืองเมิ่อผู้อนมากระทบกระทง ทำ ให้คิดอยากแก้แคนคืน 00. มีจฉาทิเ)เคือ เหนผิดจากคลองธรรฺม หมายถึง -ควฺามเห้นผิดจากความเป็นจริง เซ่น เห็นวาทำดีโม่ได้ดทำ ซวไมได้ชั่ว นรก สวรรค!ม่มี เป็นด้น กศลกรรมบถ หมายถึง กรรมคือนฟ็นทางแห่ง^ดดิ มี 00 อย่าง 0. ปาณาฅบ่าตา เวรมเน คือ เว้นจากการทำรวดสัตฺวให้ ดกล่วงไปหมายถึง การไม่ฆ่ากัตว์ทั้งที่เป็นมนุษย์และส์ตว้ติรัจฉาน ๒. อทนนาทานา เวรมเน คือ เว้นจากถึอเอาล่งของที่ เจ้าของไฝได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย หมายถึง ไม่ลักทรัพย์ของ ผู้อี่น ทั้งที่เป็นลังหาริมทรัพย์ และอลังหาริมทรัพย์ ๔๒๐ ธรรมวิภาค www.kalyanamitra.org

iw. กาเมสุ มจฉาจารา เวรมณ คือ เวนจากการ ประพฤตรดในกาม หมายถึง การไม่ล่วงละเมิดดู่ครองของผู้ถึน ตลอดจนผู้ที่มิเจ้าของห่วงแหน ๔.มสาวาทา เวรมณี คือเว้นจากการดูดเท็จ หมายถึง การดูดคาจริง ๔. ป็สุณาย วาจายุ เวรมณี คือ เว้นจากการดูดสํอ เสิยด หมายถึง ไม่ดูดคำที่ทำให่เสิยดแทงเจ็บซํ้านํ้าใจ ๖. ผรุ่สาย วาจาย เวรมณี คือ เว้นจ่ากการดูดคำ หยาน ห่มายถึง การไม่ดูดลูหมิ่นเหยียดหยามทำให้เกิดความรัก ใคร่ปรารถนาดีต่อกันและกน ๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี คือ เว้นจากการดูดเพ้อเจ้อ หมายถึงํ ดูดแต่สิงที่มีประโยชน์มิ.เหตุมีผล ๔.อนคืซฌา คือ ไมโลภอยากได้ของเซา หมายถึง ยินดี ในของที่ตนเองมิอยู ไม่อยากได้ของของค่นอึ่นมาเป็นของตน; ๙.อพยาบาท คือไม่พยาบาทปองร้ายเซา หมายถึง ไม่ คิดพยาบาทปองร้ายผู้อี่น มิความสามัคคีเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน 00. สัมมาท็ฏเคือ เห็นชอบดามคลองธรรม หมายถึง มิ ความเห็นถูกด้องตามความเป็นจริง ได้แก่เห็นวา ทำ ค1ด้ดีจริง ทำ ชั่วได้ชั่วจริง เป็นด้น บุญกิริยาว้ตลุ คือ ร่งเป็นที่ดั้งแฟงการบำเพ็ญบุญ มี 00 ประการ 0. ห่านมัย บุญส์าเร็จด้วยุการถวายทาน ๒. รลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักนาคืล ธรร่มวิภาด ๔๒© www.kalyanamitra.org

๓.ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา ๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้ายการประพฤด้ถ่อมตน ๕. เวยยาวจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยขวนขวาย ในร่งที่ชอบ ๖: ป็ดด้ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้สํวนบุญ ๗.ป็ตดาน'kทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอบุโมทนาสํวน บุญ้ ๘. รมมัสสวนามัย บุญสำเร็จด้วยกำรฟืงธรรม ๙. รมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการนสดงรรรม 00.ทิฏจุชุกัมม บุญสำเร็จด้วยการทำความเห็นโหฺ ดรง o.ทา\"นมัย หมายสิง บุญสำเร็จที่โด้จากการถวายทานด้วย การใ'พ้ทั้งที่เ!เนอามัสทาน ธรรมทาน และอภัยทาน เ\"ทื่อมุ่งกำจัด ความตระหนให้ออกไปจากใจ ๒.สํลมัยหมายสิง บุญสำเร็จ'อี่โด้จากการรักษาสืล เป็นการ ควบคุมกาย วาจา ให้เรียบร้อยดีงาม'ทั้ง ต ระดับ คือ ระดับด้น ได้แก่'นิจดีล ดีล ๕ ระดับกลาง ได้แก่ ดีล ๘ หรีอ อุโบสถดีล ระดับสูงได้แก่ ปาริสุทธิดีล หรีอ ดีล ๒๒๗ ของพระภิกษ ๓.ภาวนามัย หมายสิง บุญสำเร็จที่ได้จากการเจริญสมาธิ ภาวนา ด้วยการอบรมจิตใจในทางปฏิบัติที่เป็นสมถกมมัฎฐาน คือ การอบรมจิตใจให้สงบ 0 ริป้สสนากัมมัฏฐาน คือ การอบรม 0 ๔. อปจายนมัย หมายสิง บุญสำเร็จ'ที่ได้จากการประพฤติ ถ่อมตนตอ^หญ่ โดยซาตตระสูล วัย เป็นการแสดงความเคารพ ๔๒๒ ธรรมรภาค www.kalyanamitra.org

นับรอยำเกรง เป็นคนมีส์มมาคารวะทั้งต่อหน้าและลับหลัง ๕. เวยยาวัจจมัย หมายถึงฺ บุญสำเร็จvflสัจากการช่วย ขวนขวายในกิจที่ถูกสัอง มีจิตใจที่เอื้อเฟ้อต่อผู้อื่นสัวยกำลังกาย กำ ลังทรัพย์ กำ ลังสติปัญญาตามสมควร อันจะนำมาที่งประโยซย์ เอื้อคูลกัน ๖. ปัตติทานมัย หมายถึง บุญสำเร็จที่โสัจากการให้สํวน บุญอันเกิดจากการทำทาน รักษาติล เจริญภาวนา เป็นสันแกํผู้ที่ มีพระคุณซึ๋งท่านละจากโลกนี้โปแล้ว ๗. ปัตตานโมทนามัย หมายถึง บุญสำเร็จที่ไสัจากการ อนุโมทนาส่วนบุญของผู้อื่น ในเมีอผู้อื่น่ไสัทำความดี เป็นความ พล่อยยินดีที่นซมในบุญที่ผู้อื่นทำ ๘;ธมมัสํสวนามัยหมายถึง บุญสำเร็จที่โสัจากการฟังเทศน้ ฟังธรรม ฟังคำลังสอนของครูอาจารย์ ที่มีความรู้ มีคุณธรรม สัวย ความเคารพอ่อนน้อม ๙. ธมมเทสนามัย หมายถึง บุญสำเร็จที่ไสัจากการแสดง ธรรมสัวยความตั้งใจเทศน้ ตั้งใจแนะนำลังสอน เฟ้อใฟ้ผู้ฟังไสัรับ ประโยช่น้อปางแท้จริงตามสติปัญญาของตน 00. ท้ฎรุซกัมม์ หมายถึง บุญสำเร็จที่ไสัจากการทำความ เท้น ใหตรง เป็นการประคบประคองความเห็นของตนใท้ถูกสัอง ตามความเป็นจริง ที่เรียกว่า ลัมมาทิฏเ นั่นเอง สรุป บรรดาบุญกิริยาวัต่ถุ ๑๐ นี้ ทิฎรุชุกัมมัสำคญที่สุดุ เพราะเป็นเหตุแห่งการทำความติที่เหรออีก ๙อย่าง บุญกิริยารัตอุ ๑0 นี้ สงเคราะห์เข้าในบุญกิริยารัตอุ ๓ ดังนี้ ทา!ผย ปัตติทำ'นมัย ธมมเทสุนๆมัย จดุเป็น ทาน รลมัย อปจาย!ณัย เวยยาวจจมัย จดเป็น ติล ธรรมวภาค ๔๒ต www.kalyanamitra.org

ภาวนามย ป็ดดานุโม'ฬุนามัย เป็น ภาว)ท ธมมัส่สวนามัย ทิฎรุชุภมม ธร่รมะทบรรพรตค่วรพจารณาเนือง ใ 00 ประการ่ 0. .บรรพรตควรพิจารณาเนืองๆ วา บัดนี้เ:ๆามเพศตาง จากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิริยาใดๆ ของสมณะ ,เราต้องทำอาการ กิริยานั้นๆ ๒. บรรพ'รดควรพิจารณาเนือ^ๆ ว่า การเลี้ยุงฺขีวิตของเรา เนื่องต้วยผู้อี่น เราควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย ต. บรรพรดควรพิจารณาเนืองๆ ว่า อาการกาย ว์ๅจา อย่างอื่นที่เราจะต้องทำให้ดีลี้นไปกว่านั้ย้งมีอยู่อีก ไฝุใซเพิยงเท่านี้ . ๔. บรรพรดควรพิจารณาเนืองๆ ว่า.ตัวของเราเองติเตียน ตัวเราเองโดยติลไต้หรือไม่ ๕. บรรพรดควรพิจารณาเนืองๆ ว่า ต้รู!คร่ครวญแล้วติ เตียน,เราโดยสืลไต้หรือไม่ ๖. บรรพรดควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เราจะต้องพลัดพุลาด จากของรักของชอบใจต้วยกันหมดทั้งลี้น ๗,บรรุพรดดวรพิจารณาเนืองๆว่า เรามีกรรมเป็นของตัว เราทำตีจจัักกไไตต้้ตตีีททำำซวซ่วจ่ัจักกไไตต้้''รร'ว ๔๔., บบฺรTรพุรดควรพิจารณาเนืองๆ ว่า วัน.คืนล่วงไปๆ บัดนี้ เราทำอะะไเรรอยู่ ๙.บรรพรดควรพิจารณาเนืองๆ.ว่า เรายินตีในที่สง่'ดหรือไม่ ๔๒๔ ธรรมรภาค www.kalyanamitra.org

ในกาลภายหลัง ดงนั้น บรรพชิดดรรพิจารผาดนเอฺงเนือง<7 เพื่อเป็น เดรี่องเดือนสดไฝให้รมดร ดือ \" 0. เพื่อฺให้สำรวมอาการกิริยาให้เป็นไปตามสมณะสาฐป ๒. เพื่อให้ฉันอาหารตามมีตามได้ ไมให้เป็นผู้เลือกอาหาร ๓..เพื่อให้สำรวมกายวาจาให้ดฺยิ่ง*[ขึ้นไปโดยไมด้องหยุดยั้ง : ๔. เพื่อให้สำรวม ตรวจตราสืลของตนว่า ประพฤติ บกพร่องหรือไม่ . ๕.: เพื่อให้รู้จักริบพิงความเห็นผู้เร่าท่านจะติเตียนได้หรือไม่ ๖. เพื่อให้เตรียมใร่ไว้รับสภาพความจริงที่ตนจะด้องพลัด พรากจากคนและของที่รักใคร่ ฬ. เพื่อให้ท่าแต่ความติ เว้นความซวทั้งปวง ๘, เพื่อให้หมั่นขยันไม่ปล่อยเวลาให้สํวงไปโดอไร้สาร ประโยชน์ ๙. เพื่อให้สำนึกว่า คนพอใจในที่สงบล่เดหรือไม่ 00. เพื่อให้พากัเพียรฒื่ฟ้หบรรลุคุณวิเศษ^\"ค!r๚ชุ่รค ผ^ นิพพาน นาถกรณธรรม ธร่รมที่เป็น์ที่พื่^แกตน์เอง่ ม 00 ประท่าริ' 0 รส ดือ รักษาท่าย วาจา ให้เรียบร้อย หมายถึง การ รักษาตีลให้บรืสุทธี้บรืยูรณ์ด้วยอาการสำรวมระวังในอินทรีย์ ๖ ๒.พาหสัจจะ ดือ ดรามฟ้น^ด้ยนไค้พิงมาก ห้ม่าย่ถึง ความเป็นพดูสูต- - : ^ ธรรJjวิภทค ๔เ^๕ www.kalyanamitra.org

ฅ. ภัสยๆณมิดตดๆ ดือ ดวามเป็นผู้มิเพอนดื หมายถึง การคบมิตรแท้เป็นมิตรที่ดีงาม ๔.โฟิวจสสดา ดือ ความเป็นผู้งายสอนง่าย หมายถึง ไฝ ดื้อต่อคาสอนของครูอาจารย์ และพร้อมที่จะปฏิป๋ตตามคาส์'งสอน ทุกประการ ๕. กิงกรผฺเยสุ ท้กชดา ดือความขย์นเอาใจMนกิจรระ ของ่เพฺอ'นภทษุสามเณร หมายถึง ขวนขวายในกิจการงาน'น้อย ใหญ่ที่เกิดขึ้นด้วยความเต็มใจ ๖.ธมมกามดา ดือ ความเป็นผู้!คร์!นธรรมที่ชอบ หมาย ถึง ดืกษาเรียนรู้ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเมื่อทำงาน'ต!ด้ร้'บ มอบหมาย ๗. วิริยะ ดือ เพียรเ'ฬื่อจะละความชั่วประพฤดความดี หมายถึง ขยันหมั่นเพียรในการทำความดีโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค . ๘. สันโดษ ดือ ยนดีด้วยผ้า'นุ่ง ผ้าหม อาหาร ที่นอน ที่ นั่ง และยาดามที่จะได้ หมายถึง รู้จักประมาณในการใช้สอยสิง ต่างทุ ๙. สดี ดือ จำ สิงที่ได้ทำและคำที่ได้'พูดแล้วแม้นานได้ เถึง ระลึกถึงเรี๋องราวที่ทำไว!ด้ว่าทำสิงอะไรไปบ้าง - 00.ป็ญญา ดือ รอบรูในฺกองสังขารดามรฺนจรุงอย่างไร เถึง มิป้ญญาพีจารุณาไปตามคๅามเป็นจริงในไตรลักษณ์ หมายถึง เรึ๋องที่ควรนำมาสนทนา ชั่งเป็นเรื่องที่ก่อให้ ๔๒๖ ธรรมวิภาค www.kalyanamitra.org

เกดประโยชน'^นก่ผู้พูดนละผู้ฟืง มี 00 ประการ 0.อัปป็จฉกถา คือ ถฺอยคำที่ซักนาใฟ้มีความปรารถนาน้อย ไฝมักมากอยากเด่น ๒. สันดุฎฐกถา คือ ถ้อยคำที่ซักนาให้สันโดษยินดีด้วย ปัจจัยตามมีตามได้ . ฅ. ปวิเวกกถา คือ ถ้อยคำที่ซักน้าให้สงัตกายสงัดฺใจ ๔. อสังสัคดกถา คือ ถ้อยคำที่ซักน้าไม่ให้ระคนด้วยหมู่ ๕.วิรยารัมภกถา คือ ถ้อยคำที่ซักน้าให้ปรารภความเพียร ๖. สิลกถา คือ ถ้อยคำที่ซักน้าให้ตั้งอยู่ในคืล . ๗.สมาธิกถา คือ ถ้อยคำที่ซักน้าให้ทำใจให้สงบ ๘. ปัญญากถา คือ ถ้อยคำที่ซกน้าให้เกิตปัญญา ๙.วิมุตสิกถา คือ ถ้อยคาที่ซักน้าให้ทำใจให้พ้นจากกิเลส 00.วิมุตสิญาณพ้สสนกถา คือ ถ้อยคำที่ซักน้าให้เกิด์ความ่เ ความเห็นในความที่ใจพ้นจัากกิเลส อนุสสต หมายถึง ความระลึกถึงเนือง^ เพื่อทำใจให้สงบจาก น้วรณ์ ๕ มี 00 ประการ 0. พูทธานุสสสิ คือ ระลึกถึงคุณชองพระพูทรเจ้า หมาย .ถึง การสำรวมจิต น้อมระลึกถึงพระพุทธคุณให้จิตตั้งมั่นในคำภาวนา ๒. ซัมมานสสสิ คือ ระลึกถึงคุณชองพระรรรม หมาย ถึงการสำรวมจิตน้อมระลึกถึงพระธรรมคุณ ฅ.สังฆานุสสสิ คือ ระลึกถึงคุณชองพระสงฆ์ หมายถึง การสำรวมน้อมระลึกถึงพระสังฆคุณ ธรรมรภาค ๔๒๗ www.kalyanamitra.org

๔. สิลานุสสด คือ าะสิก่สิงสิล1เองํดินเอง่ หมๆยสิง การ ระลึกสิงสิลของตนที่ไสิสมาทานบริสุทธึ๊ดีแล้ว ๕.จาคานสสติ คือระลึกสิงทานที่ดนบเจาคแล้ว หมายสิง การระลึกสิงทาน^ตนได้ถวายแล้วปลื้มใจ . ๖.1>ทวดานสสติ คือ ระลึกสิงคุณที่ทำบดคลให้เป็นเทวดา หมายสิง การปึกสิงคุณธรรมที่ทำให้เป็นเทวดามี หิร'โอตตัปปะ ๗.มรณสสติ คือ ระลึกสิงความดายที่จะมฺาถึงดน หมาย สิง การใช้สติพิจารณาสิงความฺตายอนจะมีแก่ตนจนจตส่งบ ๘. กายคตาสติ คือ ระลึกทั่วไปในกาย หมายสิง การ ใช้สติพิจารณากา,ยุในกาย . ให้เป็นของน่าเกลียด น่ากลัว ให้ คสายความ;ฑหฟ้ดยินดี ๙. อานาปานัสสติ คือ ดั้งสติกำหนดิลมหายใจเช้าออก หมายสิง มีสติกำหนดลมหายใจเช้าออกไมให้พลั้งเผลอ 00. อ่ปสมานุสสติ คือ ระลึกสิงธรรมที่เป็นที่ระงบกิเลส หมายสิง การระลึกสิงคุณของพระนิพพานที่เป็นธรรมสงบจากกิเลส อาสวะทั้งปวง ปัญหาและเฉลยหนวด 00 0. ลาม หลักธรรมต่อไปนี้แปลว่าอะไรและเป็นที่อของธรรมอะไร ลึลมัย ลึลกถา.? ดอฃ ลึลมัย แปลว่า บุญสำเร็จด้วยการรักษาสืล เป็นซื่อ ของบุญ่กิริยาวัตถุ คือ สิงเป็นที่ตัง่แห่งการบา.เพิญบุญ ๔๒๘ ธรรมวํภาค www.kalyanamitra.org

สิลกถา แปลว่า ถ้อยคำที่ซักซวนให้อยู่ในสืล เป็น ซื่อของกถาวัตถุ คือ ถ้อยคำที่ควรพูดฺ ๒.ถาม อนุสสคื 00 ว่าโดยซื่อ คืออะไรบ้าง ? ตอบ อนุสสติ 00 ว่าโดยซื่อ คือ พุทธานุสสติ 0 อัมมานุส- สติ 0 ส์งฆานุสสติ 0 สิลานุสสติ 0 จาคานุสสติ 0 เทวดานุสสติ 0 มรถโสสติ 0 กายคดาสติ ๑ อานา- ปานุสติ 0 อปสมานุสสติ 0 ๓. ถาม ประชุมอย่างไรไฝควร จงตอบให้มีหลักประกอบด้วย ? ตอบ ถ้าประชุมกันด้วยเ1องหาประโยชน์มีได้ หรือประชุม. พุ่ดเรึ่อง ติวัจฉานถถา อย่างนี๋เ!ม่ควรุ ดังแสดงไวั ใน กถาวัตถุ 00 ข้อที่ ๔ ว่า อลังลัคคกถาถ้อยคำที่ซักนุา ไม่ให้ระคนด้วยหยู่ ๔โถาม นาถกรถ4ธรรุมคืออะไร นาถกรณธรรมข้อว่า กัลยาณ- มิตตตาหมฺาย่ความว่า อย่างไร? ตอบ คือธรรมทาที่พฺง ความเป็นผู้มีเพื่อนดีงาม ไม่คบ่คนุซื่ว ธรรมวิทา.ค ๔๒๙ www.kalyanamitra.org

ปกิณกะ หมวดเบ็ดเดเด อุปกิเลส หมายดึง โทษเครื่องเศร้าหมองใจ มี 0๖ ประก่าร 0. อภซฌาวสมโลภะ หมายถึง ความโลภไม่สมาเสมอ เป็นความโลภมากอยากไดสิงของของคนอี่น โดยไม่เลือกว่าจะได้ มาโดฺยวิธีใด เมื่อความโลภเกิดขึ้นควรระงันด้วยสินโดษ ความ ยินดีตาม มีตามได้ ๒.โทสะ หมายถึง ความขัดเคืองไม่พอใจ เป็นความร้ายกาจ ที่ทำ ใหใจเดีอดร้อน เมื่อโทสะเกิดขึ้น ควรระงับด้วยเม่ตตา ฅ.โกระ หมายถึง ความโกรธ เป็นคนที่โมโหฉุนเฉียว เจ้าอารมณ์เมื่อไม่ได้สิงที่ตนปรารถนา เมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้ว ควรระงับด้วยเมตตา ๔. อุปนๆหะ หมายถึง ความผูกโกรธ เป็นการผูกใจเจ็บ เก็บความโกรธนั้นไวในใจไม่รู้ลฺม ไม่ถึงกับคิดทำลายเขา แต่ก็ไม่ ให้อภัย เมื่อความผูกโกรธเกิดขึ้น ควรระงับด้วยเมตตาและกรุณา ๔ฅ0 ธรรมวิภาค www.kalyanamitra.org

๕.มกซะ หมายถึง ความลบหลู่บุญคุณท่าน เป็นการดี เสมอ ผู้อื่น เป็นผู้ขาดคุณธรรม เมื่อความลบหลู่บุญคุณ่ท่านเกิดขึ้น ควร ระงับด้วยุกตัญญ่กตเวที รู้คุณแล้วตอบแทนคุณท่าน ๖. ปลาสะ หมายถึง ดีตนเสมอท่าน ทั้งที่ตนด้อยกว่า เขาทุกด้าน เป็นการเกิดความทะนงตนว่าดีกว่าหรือเทียบเท่าคับเขา เมื่อความคิดดีตนเสมอท่านเกิดขึ้น ควรระงับด้วยความออนน้อม ถ่อมตนฺ ๗.อิสสา หมายถึง ความรืษยฺาตาร้อนเมื่อผู้อื่นได้ดีกว่าตน คลยกิดคันการทำความดีของคนอื่น เมื่อความริษยาเกิดขึ้น ควร ระงับด้วยมุทิตา ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี s ๔. มจฉรืยะ หมายถึง ความตระหนี่ถี่เหนียวหวงแหน ทรัพย!ฝกล้าสละส์งของของตนเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นเมื่อความ ตระหนี่เกิดขึ้น ควรระงับด้วยทาน คือ การให้ การบริจาค - ๙.มายา หมาย่ถึง คิวามมีมารยา เป็นคนเจ้าเล่ห์มีเหลี่ยม จัดชอบหลอกลวงผู้อื่น เมื่อความมีมารยาเกิดขึ้น ควรระงับด้วย .ความเป็นคนที่อตรง; 00.สาเดยยะ หมายถึง ความมกอวด เป็นคนขึ้โมีโอ้อวด สรรพคุณของตนเองว่าคือย่างนั้นดีอยิางนี้ เพื่อให้ผู้อื่น่ขึ้นซมยกย่อง เมื่อความอวดดีเกิดขึ้น ควรระงับด้ว่ยอัตตญฌุตำ รู้จักประมาณ ตนและอปจายนะ ความอ่อนน้อมถ่อมตุน 00. ถมภะ หมีายถึง ความเป็นคนหัวดื้อถือรั้น เป็นคนหัว แข็งว่ายากสอนยาก ไฝเขึ้อฟ้งคาแนะนำส์งสอนตักเตือนของใคร เมื่อความหัวดื้อเกิดขึ้น ควรระงับใสวจัสสตา ความเป็นผู้ว่าง่าย สอนง่าย. ธรรมรภาค '๔ต© www.kalyanamitra.org

©๒. สารัมภะ หมายถึง ความแข่งดี - เป็นค'แไม่รู้จก ประมาณตน คิดชิงดีรงเด่นกับผูอื่นไมได้ทำความดีเ'พี่อประโยชน์ จริง•เ เส์อเกิดความรู้สีกอยากแข่งดีเกดขึ้น ควรระงบด้วยอตตัญ- ฌุตา ความรู้จักประมาณตนและมดด้ญฌุตา ความรู้จัก พอ เหมาะพอดี - ©๓.มานะ หมายถึง ความลือตัว เป็นคนทะนงตนวาริเดษ่ ริโสกว่าผู้อื่น สำ คัญกว่าผู้อื่น เมอความมานะเย่อหยิ่งเกิดขึ้น ควร ระงับด้วยอัดตัญฌุตาและอปจายนะ ©๘• อตมานะ หมายถึง ความดูหรํนท่าน เป็นคนลือ่ตัว จัดชอบดูถูกสบประมาทผู้อื่น ว่าด้อยกว่าตน เมื่อความดูหมิ่นเกิด ขึ้น: ควรระงับด้วย่อปจายนะ และคารวตา รู้จักเคารพให้เกียรดีผู้ อื่น ©๕.มทะ หมายถึง ความมัวเมาเพสิตเพลินจนลืมตัว เป็น คนมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เมื่อความมัวเมาเกิดขึ้น ควร ระงับฺด้วยสดี ใ'ซ้เหตุและผล'คิจ์ารณาสิงต่างๆอย่างรู้เท่าทน ©๖. ปมาทะ หมายถึง ความประมาทเสินเลอ ขวดความ ละเอียดรอบคอบ ไม่รู้เท่าทันเหตุการณที่จะ.เกิดขึ้น เมื่อความ ประมาทเกิดขึ้นคว่รระงบด้วย่สดี/ // . '^ สรุป อุปกิเลส จัดเ'ข้าในอ่ตุศลมูลได้ดง'นี้ อภิชณาริสมโลภะ . ไ จัดเข้าในโลภะ / โทสะโกระอุปนาหะ ; 'จัดเข้าในโ'ifเสะ - มักขะ ปลาสะ อีสสา มัจฉริยะ,มายา r ๔๓๒ ธรรมวิภาค www.kalyanamitra.org

สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ จัดเขาในโมหะ อสิมานะ มทะ และปมาทะ โพธป็กชิยรรรม หุมายลึง ธรรมอนเ!!เนฝึกฝายแห่งการดรสรู เป็นธรรมที่ ที่าโห่นุ่คคฟิฐ้หสบคึอมีกเสส ให้ที่นเบกบานด้วยคุผ่วเศษไน อรยแสได้จริง ที่ ท๗ ฟระการ คือประกอบด้วย พละ ๕ โพซฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ สสิปัฏฐาน ๔ ส์มมัปปธาน ๔ อิทธิบาท่ ๔ อินทรีย์ ๕ ธฺรรฺมุรฺภ11?} ๔๓,ฅ www.kalyanamitra.org

คิหิปฏิบต จตุกกะ คือหมวด๔ กรรมกิเลส หมายถึง กรรมเครื่องเศร้าหมอง มี ๔ อย่าง 0. ปาณาตปาตา ทำ ชีวิตสัตว!ห้ตกล่วง ๒. อทินนาทาน ถือเอาสังชองที่เร้าของใมใต!ห้ต้วย อาการแห่งขโมย ฅ. กาเม๙ มจฉาจาร ประพฤตทิตในกาม ๔. มสาวาท พดเทิจ 0. ปาณาสิปาตา หมายถึง การฆ่าสัตว์ให้ตาย รวมถึงการ ทำ ร้ายเบียดเบียนสัตว์อื่นด้วย จะละได้ด้วยการเจริญเมตตากรุณา ต่อสัตว์ทั้งปวง ๒. อทินนาทาน หมายถึง การถือเอาสิงซ่องที่เจ้าของไม่ ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมยจะละได้ด้องประการสัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีวิตในทางที่คูกตอง พ.กาเมสุ มิจฉาจาร หมายถึง การประพฤติทิดในกาม เป็น การประพฤติล่วงประเวณึ!นบุคคลที่ผู้อื่นหวงแหน หริอผู้ที่มีเจ้าของ ๔ฅ๔ ธร่รฝวิภาค www.kalyanamitra.org

จะละได้ต้องส์ารวมในกาม ให้ยินฺดีในลู่?!รองของตน ๔.มสาวๆทุ หมายถึง การพูดเท็จ พูดโกหก พูดหลอกลวง ด้วยไม่ฟ้นจริง จะละได้ต้องพูดแต่คำจริง อบายมุข หมายถึง ปากทางแห่งความฟอฺม เป็นเหดุแห่งความ รบห่าย ร ๔ อย่าi 0. ความเป็!ณกเสงห่^ง ๒.ความเป็นนกเสงสุรา ๓. ความเป็นนักเสงเล่นการพนน ๔ ค้วามคบคน่ชํ่วเป็นมต่ร . 9. ความเป็นนักํเสงหฌง หมายถึง เป็นคนมกมากไนกาม สูกราคะครอบงำ ย่อมนำความฉิบหายมาให้หงตนเองและผู้อื่น ^ ๒. ความเป็นนักเสงสุรุา หมายถึง เป็นคนติดสุราเมรัย อนเป็นทตั้งแห่งความประมาท เมื่อประมาทแล้วฺสามๅรถหำความ ซํ่ฟ้.ด้ทุกอย่าง ๓. ความเป็นนักเสงเล่นการพนัน หมายถึง เป็นคนฺชอบ เล่นการพนันอันนำความฉิบหายมาให้ เมื่อติดเข้าแล้วทรัพย์ย่อม หมดไป ดังคำว่า!ฟไหฟ้0๐ ครั้ง อังไม่เท่าคนเสิยการพนันครั้งเดียว ๔. ความคบคนชั่วเป็!ฟ้ตร หมายถึง เป็นคนไม่รู้จักคบ คน เมื่อคบไปแล้วย่อมนำความฉิบหายมาให้ ธรรมวิภาค ๔๓๕ www.kalyanamitra.org

ด๓Jระ 11อประ' 0. อุฏฐาฬสัมปทา ถึงพร้อมดวยความหมน ๒. อารักขสัมํปทา ถึงฟร้อ่มด้วยการรักษา ฅ. กลยาผมิดดตา ความมิเพื่อนเ!)นดนดี ๔. สมชีวดา ความแ[ยงซึวิดดามสมควร 0.ธุฎฐานสัมปทา หมายถึง ความถึงพร้อมด้วยฺคุวามหมั่น คือฺ มิความขยันหมั่นฺเพียรในการสืกษา ในการประกอบฺอาชีพการ V งาน ในการทำหนาทต่างๆ เป็นด้น เพื่อเ&นการเกฝนให้เกิด ความชำนาญในหน้าที่ของตน ๒.อารักขสัมปทา หมายถึง คุวามถึงพร้อมด้วยรักษา รู้คุณ ค่าของสิงต่างๆที่หามาได้ทั้งทรัพยัสินเงินทอง ความรู้ เป็นด้น รู้จัก เก็บรักษาดูแลให้ดี ใช้อย่างมิประโยชน์ เกิดเป็นความสุข ๓.กิสยาฌมั่ดดดา ห่มาย^ ความมิเพื่อนเป็นคนดี คือ คบ บัณฑต ไมคบคนพาล ๔, สมรรดา หมายถึง เทั้ยงชีกิคุตามิฬมค่วรแก'กาลัง ทร้พยัที่ห่ามาได้แต่พอเหมาะห่อควรฺไมให้พื่มเลอย - สรุป ทิฏฐธัมมิลัตถประโยชน์ เป็นหัวใจที่ทำให้เป็นเศรษฐี มิบทย่อวา ธุ อา กะ สะ สัมปTlSทฅถประโยชน คือ ประโยชนภพชาคืห่น้ๆ ๔ ประการ 0. สิทราสัมปทา ถึงพร้อมด้วยัศร้ทรา คือ มิความเที่อใน สิงที่ควรเที่อ เซ่น ทำ ดีย่อมได้ผลดีจริง ทำ ชั่วย่อมได้ผลซั่ว่จริง ๔๓๖ ธรรมวิภาค www.kalyanamitra.org

๒.สิ®1&4ปทา รงพร้อมด้วยสิล้ ดีอ การรักษ'ใถๆย วาจา ใฟ้เรียบร้อย ด้วยการรักษาสืล ๕ สืล ๘ให้บรีสุทธี้บรีบูรณ ๓. จาคสมปทา สิงพร้อุม^ยการบรีจาคทาy lอ การ บรีจุาคส์งของของตนเพี๋อเป็นฺประโยชน์แก่ผ้อี่น ๔^ ป้ญญาสัมปทา สิงพร้อม่ด้วยปีญญา คือ มปญญาสอน ตyเองได้ว่า สิงนี้เป็นบาป คุวรเว้น สิงนี้เป็นบุญควรทำ เป็นด้น บิด^ฏิรูป คือ มิตรเทียมหรือดนเทียมมิตร ไฝควรคบ มิ ๔ สัาพวก ทนเปอกลอก มิ ๔ สกษณะ คือํ 0. ด้ดเอาแดได้ฝายเดียว คือ มุ่งหวังผลป์ระโยชน์จ่ากเพื่อน ๒.เดียให้นอย คดเอาให้1ด้มาก คือ เอารัดเอาเปรียบเพื่อน ๓. เมื่อฺมิภยมาสิงด้ว จึงฒ้ทำสิจของเพื่อน คือ ยามมี ทุกข์นึกฤงเพื่อน มีสุฃฺลืมเพื่อน ๔. คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชนของดน คือ เมื่อมี ประโยชน์ต่อกันอยู่กคบเป็นเพื่อน พอหมดประโยชน์แล้วก็ไม่สน คนคืนดพูค มิ ๔ ลกษ้ณะ คือ 0. เก็บเอาชองทล่วงแด้วมาปราศรัย คือ ดีแต่พูดไม่มื่ผลฺ ในป้จจุบัน ๒. อ้างเอาของที๋ยังไม่มิมาปราศรัย คือ พูดแต่เรื่องที่ไม่มื่ ความแน่นอน ๓.ฟังเคราร่าฬ์ด้วยสิงที่หาประ'ชุเผได้คือช่วยเหลือเพื่อน ด้วfยลืงที่หาประโยชน์มได้ ธรรมิวุ๊ภาค ๔๓๗ www.kalyanamitra.org

๔.ออกปากฬึ๋งมิได้คือ ยามเพื่อนเดือดร้อนมักมีข้ออ้างเสมอ คนหวประจบ มี ๔ ลกษผะ สอ 0. จะทำชั่วกคล้อยตาม คือทำความชั่วตามเพื่อน เมี๋อมี ภยหนีเอาส์วรอด to.จะทำดีก็คล้อยตาม คือ ทำ ความดตามเพื่อนอย่างเสิย ฅ. ต่อหน้าวาสรรเสรึญ คือ สรรเฟริญเฮนยอวาคือิย่างนั้น คือย่างนี้ ๘. ลับหล้งนั่งนินทา คือ พอ่ลับุหลังก็นินทาว่าร้ายเพื่อน เก็บความลับไม่อยู่ คนชักชวนในทางฉิบหาย มี ๔ ลักบผะ สอ 0. ชักซวนดื่มนั้าเมา คือ ซวนดื่มนํ้าเมาเสฺพดิดใหโทษ to.ชักชวนเที่ยวกลางคืน คือ ซวนเทยวกลางคืนในสถาน บันเทิงด่างา ๓.ชักซวนให้มัวเมาในการเล่น คือ เล่นจนเพลนไม่ดูเวลา ๔. ชักซวนเล่นการพน้น คือ ซวนเล่นการพนั่น ทำ ให้เสิย ทรัพย์ มีตรแท้ สอ มีดรทสหรือกัลยาผมดร มี ๔^พวก มิตรมีอุปการะ มี ๔ ลักบผะ คือ 0..{เองกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ว คือ มีสติซ่วยเหลือเพื่อน ๔๓๘ •ธรรมวิภาค www.kalyanamitra.org

เมื่อได้รับอันตราย ๒.ป้องอันทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว คือ ช่วย รักษาทรัพย์สมบัติไม่ใหใซในทางที่ผิด ฅ. เมื่อมีอัย เอาเป็นที่พื่งพำนกได้ คือไม่ทิ้งเพื่อน ๔.เมื่อมีธระ ช่วยออกทรัพย์เหเกนกว่าที๋ออกปาก คือ ช่วย เหลือเพื่อนด้วยความจริงใจ มิตรร่วมสขร่วมทุกข์ มิ ๔ ลกษณะ คือ 0.ขยายความอับซองตนแก่เพื่อน คือ เป็นคนเปีดเผยจริงใจ ๒.ปีตควๆมล้บของเพื่อนไมโล้แพร่งพรายคือไม่ขายเพื่อน ๓.ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ คือ เพื่อนเดือนริอนถ็รีบขวนขวาย ช่วยเหลือ ๔.แม้รวิดก็อาจสล่ะแทนได้ คือ เมื่อเพื่อนตกอยูโนอันต่ราย สืช่วยเหลือไม่คา'รงถึงชีวิตตน มิตรแนะประโยชน์ มิ ๔ อักษณะ คือ 0. ล้ามไม่โล้พาคฺวามชั่ว คือทิ้แจงให้เ'คืนโทษของการทำ ความชั่ว ๒. แนะ'นำใล้ตั้งอยู่ในความติ คือ ชี้แจงผลที่ได้จากการิ ทำ ความดือยู่เสมอ ๓.ใล้ฟิงส์งที่ยงไม่เคยฟิง คือ หมื่นเล่าเรื่องดืๆมีประโยชน์ ๔.บอกทางสวรรคเล้ คือ •ซักซวนในการบำเพ็ญกุศล เช่น ทำ ทาน เป็นด้น ธรรมรภาค ๔๓๙ www.kalyanamitra.org

มิตรมีความรกใคร่ ii ๔ ลกษณะ คึอ 0. ชุกิข ทุกข์ควย คอ ร่วมทุกข์ ๒.สฃ สุขค้วย คีอุ ร่วมสุข ๓.โต้เถียงคนที่^คดเตียนเพอน คือ ปกป็องเพอนไมให้ .ใครว่าร้าย ๔.ร้บรองคนที่พูคสรรเสริญเพึ๋อนคือ รนคืที่ผู้อื่นสรรเสริญ เพื่อน สังคหวดถ คีอ ธรรมเคเองยึสเหนี่ยว'J ๔ อย่าง 0.ทานให้ป้นส์งของของตนุแก่คนฺที๋ควรให้ปัน คือ เป็นการ ช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยวัตถุบ้าง ด้วยการแนะนำความรู้บ้าง เป็นด้น (โอุบออมอาริ) ๒. ปียวาจา เจรจาวาจาฑอุ่อุนหวาน คือุ ทุดจาแ,ต่คำทุมี ประโยชน์รู้จักกาลเทศะ บุคคล สกานที่ เป็นถอยคำที่น่ารักไพเราะ เป็นด้น (วจึไพเราะ)- :; ๓. อคถจริยา ประพฤตุร่ง่ที่เป็นปรุะโย•อุ;น คือ เป็นการ •ซวยเห้ลือกจการงานผูอื่นไมนิ่งดูดายทาตน่ใหเป็นประโยชน์ตุ่อผู้อื่น (สงเดร่าะ'ห้ชุมซ!!) ๔. สมานํดคคา ความเป็นฺคน่วางคนเสมอต้นเสมอปสาย ๔๔0. ธรรมรภๆค www.kalyanamitra.org

i สุขของคฤหัสถ์ มี ๔ อย่าง .น f. ^ 0. สุข๓ดแต่ความมีทรัพย์ ๒. สุขเกิดแต่การจ่ายทรพย์บรัโภค ๓. สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็นหนี้ ๔. สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ 0.สุขเกิดจากความมีทรัพย์ หมายถึง ผู้มีโภคะทรัพย์สมบ้ติ ธรรมวิภาค ๔๔© www.kalyanamitra.org