www.kalyanamitra.org
ใน พระมหาสมคิด ชยาภิรโต หนังสือเล่มแรกที่วิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ความรู้ในพระไตรปิฎก ออกมาเป็นศาสตร์ต่าง ๆ ได้อย่างแจ่มชัด www.kalyanamitra.org
ใน ที่ปรึกษา : พระมหาสมชาย านวฑุ ฺโฒ (M.D., Ph.D.) เรื่อง : พระมหาสมคิด ชยาภิรโต (M.B.) ลิขสิทธิ์ : มหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย ศิลปกรรม : อภิวัตร โพธิทัพพะ จัดรูปเล่ม : สันทัด ศักดิ์สาคร พิสูจน์อักษร : สภุ าพร ประสิทธิ์ ข้อมูลทางบรรณานุกรมของส�ำ นักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data โดย พระมหาสมคิด ชยาภิรโต สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก. พิมพ์ครั้งแรก : 25 พฤศจิกายน 2558 จำ�นวน 1,000 เล่ม ปทุมธานี : 447 หน้า : ภาพประกอบ 1.ธรรมะกับชีวิตประจำ�วัน. I ชื่อเรื่อง. ISBN : 978-616-7963-04-4 294.318 ราคา 200 บาท จัดพิมพ์โดย : บริษัท สำ�นักพิมพ์ทันโลกทันธรรม จำ�กัด 62/13 หมู่ 11 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทมุ ธานี 12120 โทรศัพท์ 0-2552-5215 เว็บไซต์ www.tltpress.com อีเมล์ [email protected] พิมพ์ที่ : บริษัท โอ เอส พริ้นติ้ง เฮ้าส์ จำ�กัด เลขที่ 113/13 ซอยวัดสวุ รรณคีรี ถนนบรมราชชนนี แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรงุ เทพฯ 10700 โทรศัพท์ 0-2424-6944 โทรสาร 0-2434-3802 เว็บไซต์ www.osprinting.co.th www.kalyanamitra.org
ค�ำนำ� ผู้เขียนใช้เวลาศึกษาและเรียบเรียงสรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎกเล่มนี้เป็น เวลาประมาณ 1 ปี โดยเร่ิมต้นจากการอ่านและเก็บข้อมูลศาสตร์ในทางโลก จากนน้ั ก็พยายามอ่านพระไตรปิฎกในส่วนพระวนิ ยั และพระสูตรให้ครบทกุ เล่ม ซึ่ง มอี ยู่ 33 เลม่ ส�ำหรบั พระอภธิ รรมอกี 12 เลม่ อา่ นเฉพาะขอ้ มลู ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั หนงั สอื เลม่ น้ี เพราะเนอื้ หาสว่ นส�ำคญั ในพระอภธิ รรมลงลกึ เรอ่ื งจติ เจตสกิ รปู และนพิ พาน เป้าหมายของการอ่านในเบ้ืองต้นคือ การรวบรวมและแยกข้อมูลออกเป็น ศาสตรต์ า่ ง ๆ โดยดวู า่ เนอื้ หาสว่ นใดเกย่ี วขอ้ งกบั ศาสตรใ์ ดกจ็ ดั ไวใ้ นศาสตรน์ น้ั เมอ่ื รวบรวมข้อมูลได้มากพอแล้ว จึงน�ำข้อมลู แต่ละศาสตร์มาจัดระบบระเบียบ ศึกษา ท�ำความเข้าใจ วิเคราะห์ สังเคราะห์ แล้วเรยี บเรียง สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก (3) คำ�นำ� www.kalyanamitra.org
สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎกเล่มนี้จะมีการเปรียบเทียบกบั ศาสตร์ต่าง ๆ ใน ทางโลก โดยเปรยี บเทยี บในแงข่ องความสอดคลอ้ งบา้ งและความตา่ งบา้ ง ความจรงิ อย่างหน่งึ ทเี่ ราต้องตระหนักคือ ความรู้ต่าง ๆ ท่ีเราได้รับน้ันมาจากการเปรียบเทียบ โดยมาก การเปรียบเทียบน้ียังเป็นหลักการพื้นฐานแห่งทฤษฎีสัมพัทธภาพของ ไอน์สไตน์ ซงึ่ น�ำไปสู่การปฏิวตั ิวงการวิทยาศาสตร์จากหน้ามอื เป็นหลงั มอื มาแล้ว เราไมร่ หู้ รอกวา่ ตวั ของเราสงู หรอื ตำ่� หากเราไมไ่ ดเ้ ปรยี บเทยี บกบั คนอน่ื ถา้ เรา เกดิ และเตบิ โตในปา่ โดยไมไ่ ดเ้ จอคนอน่ื เลย เราจะขาดความรตู้ า่ ง ๆ มากมาย ค�ำว่า ตวั เราขาว ด�ำ หลอ่ สวย ขเ้ี หร่ เปน็ ตน้ จะไมม่ อี ยใู่ นความคดิ เรา เพราะในความรสู้ กึ ของเรานนั้ โลกทง้ั โลกมเี ราอยคู่ นเดยี ว เราไมไ่ ดเ้ หน็ คนทตี่ า่ งจากเรา ท�ำใหค้ วามรเู้ กย่ี ว กบั ตัวเราเองบางประการไม่แจ่มชัด เวลาที่เรามองดูกระจกหลายท่านอาจจะเคยคิดว่าตัวเองดูดีแล้ว แต่เม่ือใคร กต็ ามมายนื อยขู่ า้ งหลงั เรา ความคดิ เราอาจจะเปลย่ี นไป บางคนอาจจะรสู้ กึ วา่ ตวั เอง ดดู ยี ง่ิ ขนึ้ บางคนอาจจะเฉย ๆ แตบ่ างคนอาจจะรสู้ กึ แยล่ งเนอ่ื งจากไดเ้ หน็ ความจรงิ อยา่ งชดั เจน เพราะในกระจกไมไ่ ดม้ ภี าพเราคนเดยี ว แตม่ ภี าพ 2 คนใหเ้ ปรยี บเทยี บ กนั จรงิ ๆ แลว้ หนา้ ตาเรากไ็ มไ่ ดเ้ ปลย่ี นไปจากเดมิ แตค่ วามรสู้ กึ ของเราอาจจะเปลย่ี น เพราะไดร้ ตู้ �ำแหนง่ ทแี่ ทจ้ รงิ วา่ “หนา้ ตาของเราอยตู่ �ำแหนง่ ไหน” คอื ดกี วา่ เขา เทา่ เขา หรือด้อยกว่าเขา การศึกษาพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน หากได้เปรียบเทียบกับศาสตร์อ่ืนหรือ ศาสนาอื่นบ้าง เราจะเข้าใจพระพุทธศาสนาได้แจ่มชัดข้ึน และจะเห็นคุณค่าของ พระธรรมค�ำสอนมากข้ึน คำ�นำ� (4) สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
หนังสือเล่มน้ีส�ำเร็จได้ด้วยความรู้อันล้�ำค่าจากครูอาจารย์ทุกท่านตั้งแต่ พระบรมครคู อื พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แมจ้ ะทรงปรนิ พิ พานไปนานแลว้ แตพ่ ระธรรม ค�ำสอนยงั มีบันทกึ ไว้ในพระไตรปิฎกให้ได้ศกึ ษาเป็นแสงสว่างน�ำทางชีวติ ผู้เขียนได้ความรู้อย่างมากจากหนังสือมรดกธรรม 69 กัณฑ์ ของพระเดช พระคณุ พระมงคลเทพมนุ ี (หลวงปวู่ ดั ปากนำ�้ ภาษเี จรญิ ) ดว้ ยเหตทุ หี่ ลวงปเู่ ชยี่ วชาญ ท้ังปริยัติและปฏิบัติ ท�ำให้พระธรรมเทศนาของท่านลึกซ้ึงยิ่ง ช่วยให้ผู้เขียนเข้าใจ ค�ำสอนในพระไตรปิฎกได้ดยี งิ่ ข้นึ และท่ีส�ำคัญต้องกราบขอบพระคุณ พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ผู้เป็นต้นบุญต้นแบบให้ผู้เขียนได้เลือกด�ำเนินชีวิตในเส้นทาง นักบวช และอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์อย่างมีความสุขภายใต้ร่มบารมีธรรมของ หลวงพ่อมาได้ 18 พรรษาแล้ว ผู้เขียนกราบขอบพระคุณ พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ (หลวงพอ่ ทตั ตชโี ว) ผเู้ ปน็ แรงบนั ดาลใจ เปน็ ตน้ บญุ ตน้ แบบในการอา่ นพระไตรปฎิ ก และให้แนวทางในการวเิ คราะห์ สงั เคราะห์พระไตรปิฎกได้อย่างแจ่มชดั คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ศิษย์เอกของหลวงปู่ วดั ปากนำ�้ ท่านมคี วามเชยี่ วชาญด้านธรรมะปฏบิ ตั มิ าก ค�ำสอนของท่านเรยี บงา่ ยแต่ ลกึ ซง้ึ เป็นอปุ การะแก่ผู้เขียนอย่างมาก นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้รับความรู้ แนวคิด หลักการศึกษา การวิเคราะห์ สงั เคราะห์ หลกั การเรยี บเรยี ง ตลอดจนไดร้ บั ความเมตตาในการตรวจแกไ้ ขตน้ ฉบบั จากพระมหาสมชาย านวฑุ โฺ ฒ (M.D., Ph.D.) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วดั พระธรรมกาย และอธกิ ารบดีมหาวทิ ยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย (Dhammakaya Open Uni- versity, California, USA) สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก (5) คำ�นำ� www.kalyanamitra.org
ผู้เขียนขอบคุณผู้ประสานงานจดั ท�ำหนงั สอื ได้แก่ กลั ฯ เขมกิ า วรสันต์โต, กัลฯ สุภาพร ประสิทธิ์ และเจ้าหน้าทมี่ หาวิทยาลยั ธรรมกาย แคลฟิ อร์เนยี ทกุ ท่าน ขอบคณุ กลั ฯ สนั ทดั ศกั ดสิ์ าคร ซง่ึ ไดช้ ว่ ยจดั รปู เลม่ และงานศลิ ปกรรม (Artwork) และขอบคุณผู้ให้การสนับสนนุ ทุกท่านซงึ่ มีส่วนส�ำคญั ให้หนงั สือเล่มนส้ี �ำเร็จ หากมขี อ้ บกพรอ่ งอนั ใดในหนงั สอื เลม่ น้ี ขอความกรณุ าผอู้ า่ นชว่ ยใหค้ �ำแนะน�ำ มาด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูง เพื่อที่ผู้เขียนจะได้น�ำมาปรับปรุงให้หนังสือสมบูรณ์ ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป ซง่ึ จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การเผยแผค่ �ำสอนในพระพทุ ธศาสนาใหก้ วา้ งไกล จะได้เป็นประทปี ส่องทางชวี ติ ให้แก่ชาวโลกท้งั หลายสืบไป พระมหาสมคดิ ชยาภริ โต 27 กนั ยายน 2558 คำ�นำ� (6) สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
คำ�นิยม พระพทุ ธเจา้ ขณะเปน็ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะราชกมุ าร ทรงส�ำเรจ็ การศกึ ษาหรอื จบ ศาสตร์ 18 สาขา 25 แขนง ประกอบกับพระปัญญาอันเกิดจากการตรัสรู้ของ พระองค์เองภายหลงั ทรงบ�ำเพ็ญทุกกรกิรยิ า แล้วทรงค้นพบ (ตรสั รู้) ทางสายกลาง ซ่ึงเป็นทางสายเอก (มรรคมีองค์ 8) ผลจากการค้นพบของพระองค์นับเป็น พระอจั ฉรยิ ภาพระดบั อนตุ ตระ (ไมม่ ใี ครเสมอเหมอื น) ทา้ ทาย และทนตอ่ การพสิ จู น์ มากวา่ 2,600 ปมี าแลว้ ยงิ่ กลายเปน็ เรอ่ื งทน่ี า่ ทง่ึ ทงั้ ในปจั จบุ นั และแนวโนม้ ในอนาคต ว่ายิ่งมีการค้นพบศาสตร์สาขาต่าง ๆ อย่างละเอียดลึกซึ้งมากเท่าใด ก็ยิ่งพบว่า สรรพศาสตร์เหล่าน้ันล้วนแล้วแต่ปรากฏในค�ำสอนทางพระพุทธศาสนาโดยปรากฏ ในคมั ภีร์พระไตรปิฎกแล้วทัง้ สน้ิ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก (7) คำ�นิยม www.kalyanamitra.org
ซึ่งสอดคล้องกับท่ี อัลเบรต์ิ ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นกั วทิ ยาศาสตร์ เอกของโลกกลา่ วไวว้ า่ ศาสนาในอดุ มคตคิ อื ศาสนาครอบจกั รวาลทรี่ วมเรอ่ื งธรรมชาติ ท่ีวิทยาศาสตร์ศึกษากับเร่ืองจิตใจที่ศาสนา ศึกษาได้อย่างกลมกลืนเป็นเอกภาพ (unity) หรอื เป็นบรู ณาการ “ถ้าจะมศี าสนาใดศาสนาหนง่ึ ทต่ี อบสนองความต้องการ ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ศาสนาน้นั กค็ อื พระพุทธศาสนา” (If there is any religion that could cope with modern scientiifc needs it would be Buddhism) การบรู ณาการมใิ ชก่ ารแทรกแซงปลอมปน หากแตเ่ ปน็ การศกึ ษาวเิ คราะหอ์ ยา่ ง รอบคอบด้วยปัญญาหรือเหตุผล และสังเคราะห์เชื่อมโยงอย่างลึกซ้ึงด้วยกรุณา แล้วน�ำมาบูรณาการ (ปัญญากบั กรุณา) ผสมผสานให้กลมกลนื ลงตวั เพ่ือประโยชน์ สูงสุดทางการศกึ ษาพฒั นาชีวติ และสังคม การศึกษาสรรพศาสตร์อย่างบูรณาการอาจท�ำได้ 3 วิธี คือ 1) ปรับ สงั คมศาสตรเ์ ขา้ หาพระพทุ ธศาสนา (ยดึ พระพทุ ธศาสนาเปน็ แกนแลว้ น�ำสงั คมศาสตร์ เดิมมาบูรณาการให้เติมเต็ม) 2) ปรับพระพุทธศาสนาเข้าไปหาสังคมศาสตร์ 3) ต่างฝ่ายต่างปรับเข้ามาหากันอย่างพอเหมาะ หนังสือต�ำราวิชาการ “สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก” เล่มนี้ ได้ชี้ให้เห็นว่า ขุมทรัพย์ทางปัญญา หรอื ศาสตร์สาขาต่าง ๆ (สรรพศาสตร์) ทโี่ ลกปัจจุบันก�ำลังต่ืน เต้น ค้นคว้าศึกษาวจิ ัยน้นั ได้มปี รากฏอยู่แล้วในคัมภีร์พระไตรปิฎก ขาดแต่เพียง การเปิดใจหันมายอมรบั ศึกษาวจิ ยั อย่างจริงจงั แล้วน�ำไปบรู ณาการด้วย 3 วิธขี ้าง ต้น หนังสือเล่มนจ้ี งึ ถือเป็นต้นแบบของการจดั หมวดหมู่สรรพศาสตร์ ได้อย่างเป็น ระบบและลงตวั ในด้านเนอ้ื หาสาระ และได้แสดงให้เห็นกศุ ลฉันทะในการบรู ณาการ เป็นตัวอย่างในเบอื้ งต้นแล้ว คำ�นิยม (8) สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
หวงั ใจวา่ ผศู้ กึ ษาจะไดย้ ดึ หนงั สอื เลม่ นเ้ี ปน็ เสมอื นคมู่ อื หรอื เขม็ ทศิ ในการศกึ ษา พระพุทธศาสนาอย่างเป็นระบบและสามารถเชือ่ มโยงกบั ศาสตร์สาขาอ่ืน ๆ ได้อย่าง ต่อเนื่องและลงตวั เพ่ือประโยชน์สุขแก่ตนเองและสังคมโลกสืบไป ด้วยรกั และศรทั ธาในธรรม (ดร.แสวง นิลนามะ) หวั หน้าภาควิชาศาสนาและปรัชญา คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก (9) คำ�นิยม www.kalyanamitra.org
สารบญั ค�ำน�ำ 3 ค�ำนิยม 7 บทท่ี 1 บทน�ำ 15 บทท่ี 2 สรรพศาสตร์ในทางโลก 19 2.1 ภาพรวมสรรพศาสตร์ในทางโลก 19 2.2 หลกั การเบอ้ื งต้นของแต่ละศาสตร์ 24 บทท่ี 3 ความรู้พ้นื ฐานเรอ่ื งเอกภพ 61 3.1 ความหมายของเอกภพ 61 3.2 ทฤษฎสี �ำคญั ส�ำหรบั ศกึ ษาเอกภพ 62 3.3 การก�ำเนดิ และโครงสร้างของเอกภพ 79 3.4 หลุมด�ำสิ่งลกึ ลบั ในห้วงอวกาศ 83 3.5 จโี นมหน่วยพน้ื ฐานของสงิ่ มีชีวติ 85 สารบัญ (10) สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
บทที่ 4 หลกั ธรรมส�ำคญั ในพระไตรปิฎก 89 4.1 ภาพรวมหลกั ธรรมส�ำคญั ในพระไตรปิฎก 89 4.2 นพิ พาน 90 4.3 ความไม่ประมาท 91 4.4 ละชว่ั ท�ำดี ท�ำใจให้ผ่องใส 93 4.5 มรรคมอี งค์ 8 94 4.6 ไตรสกิ ขา 96 4.7 พระไตรปิฎก 97 4.8 นยิ าม 5 97 บทท่ี 5 มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 103 5.1 ภาพรวมมนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 103 5.2 ประวตั ิศาสตร์โลกและมนษุ ยชาต ิ 105 5.3 ความหมายและองค์ประกอบของชวี ติ มนษุ ย์ 116 5.4 ความส�ำคญั และธรรมชาติของใจ 121 5.5 วงจรของกิเลส กรรม และวบิ าก 125 5.6 นสิ ัย : ปัจจยั สร้างกรรมอย่างต่อเน่ือง 133 5.7 กรรมลขิ ิตชีวิตมนษุ ย์และสรรพสัตว์ท้ังหลาย 139 5.8 เป้าหมายชวี ติ ของมนุษย์ 140 5.9 ความส�ำคัญของการเป็นมนษุ ย์ 147 บทท่ี 6 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 151 6.1 ภาพรวมรัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 151 6.2 การก�ำเนิดรัฐ 153 6.3 เป้าหมายของการเมอื งการปกครอง 155 6.4 ธรรมาธิปไตยหวั ใจของรัฐศาสตร์ 155 6.5 ธรรมาธปิ ไตยไม่ใช่ระบอบการปกครอง 157 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก (11) สารบัญ www.kalyanamitra.org
6.6 หลกั ธรรมส�ำคัญในการปกครอง 159 6.7 ความส�ำคัญของเศรษฐกิจต่อการปกครอง 172 6.8 ตัวอย่างการปกครองของพระเจ้ามหาวชิ ติ ราช 174 6.9 บทวเิ คราะห์การปกครองของพระเจ้ามหาวิชิตราช 179 6.10 เปรยี บเทยี บรัฐศาสตร์ทางโลกกับทางธรรม 193 บทท่ี 7 นิตศิ าสตร์ในพระไตรปิฎก 199 7.1 ภาพรวมนติ ิศาสตร์ในพระไตรปิฎก 199 7.2 ความเป็นมาของกฎหมายในพระไตรปิฎก 201 7.3 พระวนิ ยั คือ กฎหมายในพระไตรปิฎก 203 7.4 องค์ประกอบของสกิ ขาบท 212 7.5 ขน้ั ตอนการบญั ญตั สิ กิ ขาบท 214 7.6 หมวดหมู่และจ�ำนวนสิกขาบท 218 7.7 ตวั อย่างสกิ ขาบทในพระปาฏโิ มกข์ 221 7.8 สกิ ขาบทเป็นพทุ ธบัญญตั ิมใิ ช่มติคณะสงฆ์ 223 7.9 การประชมุ ทบทวนสกิ ขาบททุกกึ่งเดือน 227 7.10 อธกิ รณ์ในพระไตรปิฎก 229 7.11 อธิกรณสมถะ : ธรรมเคร่ืองระงับอธกิ รณ์ 234 7.12 พระวนิ ยั ธร : นกั กฎหมายในพระธรรมวินยั 242 บทท่ี 8 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 245 8.1 ภาพรวมเศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 245 8.2 ทรพั ย์ 2 ประการในพระไตรปิฎก 246 8.3 เศรษฐศาสตร์ระดบั จลุ ภาคในพระไตรปิฎก 254 8.4 เศรษฐศาสตร์ระดบั มหภาคในพระไตรปิฎก 267 8.5 เปรยี บเทยี บเศรษฐศาสตร์ทางโลกกบั ทางธรรม 272 สารบัญ (12) สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
บทท่ี 9 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 289 9.1 ภาพรวมวาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 289 9.2 วาจาสุภาษิตหลักพ้ืนฐานของการพูด 291 9.3 อานิสงส์การกล่าววาจาสุภาษิต 296 9.4 โทษของการกล่าววาจาทุพภาษติ 299 9.5 องค์แห่งธรรมกถกึ : หลกั พ้ืนฐานของการแสดงธรรม 301 9.6 หลกั การแสดงธรรมให้มีประสิทธิภาพและประสทิ ธผิ ล 302 9.7 หลกั การตอบปัญหาของพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า 323 9.8 การโต้วาทธรรมของพระสมั มาสัมพุทธเจ้าและพทุ ธบรษิ ัท 333 บทท่ี 10 วทิ ยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก 341 10.1 ภาพรวมวิทยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก 341 10.2 เจตคตติ ่อความรู้ในพระไตรปิฎก 343 10.3 ลกั ษณะของความรู้ในพระไตรปิฎก 347 10.4 วธิ กี ารแสวงหาความรู้ในพระไตรปิฎก 348 10.5 สมาธกิ ับการค้นพบของนกั วทิ ยาศาสตร์ 351 10.6 นยิ าม 5 กฎแห่งสรรพสิง่ ในอนนั ตจกั รวาล 356 10.7 การพิสจู น์ค�ำสอนในพระไตรปิฎก 383 บทท่ี 11 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 389 11.1 ภาพรวมแพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 389 11.2 การดแู ลสุขภาพในพระไตรปิฎก 391 11.3 การรกั ษาสุขภาพในพระไตรปิฎก 398 11.4 เปรยี บเทยี บแพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 425 กบั การแพทย์ยุคปัจจุบนั 435 บทท่ี 12 บทสรุป 439 บรรณานุกรม 443 ประวัตผิ ู้เขียน สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก (13) สารบัญ www.kalyanamitra.org
(14) สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
บทท่ี 1 บทนำ� องคค์ วามรใู้ นพระไตรปฎิ กมคี วามลกึ ซง้ึ และกวา้ งขวางมาก นอกจากจะมหี ลกั ค�ำสอนเพอื่ ความพน้ ทกุ ขแ์ ลว้ ยงั มคี วามรคู้ รอบคลมุ ศาสตรท์ างโลกตา่ ง ๆ มากมาย อีกด้วย กล่าวคือ ครอบคลุมทั้งหมวดวิชามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และ วทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ ศาสตร์ท้ังปวงในทางโลกน้นั สรุปรวมลงใน 3 หมวดวิชานี้ มนษุ ยศาสตรน์ นั้ กลา่ วถงึ ตวั มนษุ ยโ์ ดยเนน้ โลกภายในของมนษุ ย์ ไดแ้ ก่ เรอ่ื ง จติ ใจ ความรู้สกึ นกึ คดิ คณุ ค่าของความเป็นมนษุ ย์ เป็นต้น ซงึ่ มสี าขาวชิ าย่อยดงั น้ี เช่น วชิ าศาสนา วชิ าปรัชญา วิชาภาษาศาสตร์ อารยธรรม และวิชาประวตั ิศาสตร์ เป็นต้น www.kalyanamitra.org
สงั คมศาสตรน์ น้ั กลา่ วถงึ มนษุ ยก์ บั ความสมั พนั ธ์ของมนษุ ยด์ ้วยกนั เป็นเรอ่ื ง โลกภายนอกของมนุษย์ทางด้านสังคม ซึ่งมีสาขาวิชาย่อยดังน้ี เช่น รัฐศาสตร์ นิตศิ าสตร์ เศรษฐศาสตร์ วาทศาสตร์ การจัดการ และสังคมวทิ ยา เป็นต้น ส่วนวิทยาศาสตร์น้นั มชี ่ือเตม็ ว่า “วิทยาศาสตร์ธรรมชาต”ิ เป็นหมวดวชิ าทวี่ ่า ด้วยเรื่องมนุษย์และสิ่งแวดล้อมทางกายภาพซ่ึงเป็นโลกภายนอกของมนุษย์เช่นกัน มสี าขาวชิ าย่อยดงั นี้ เช่น เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา แพทยศาสตร์ ดาราศาสตร์ และ เกษตรศาสตร์ เป็นต้น สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎกนี้กล่าวถึงศาสตร์ท่สี �ำคญั ๆ 7 ศาสตร์ โดยมี ศาสตรท์ เ่ี ปน็ หมวดวชิ าใหญ่ 2 ศาสตร์ คอื มนษุ ยศาสตรก์ บั วทิ ยาศาสตร์ และศาสตร์ ทเ่ี ปน็ สาขาวชิ ายอ่ ยอกี 5 ศาสตร์ คอื รฐั ศาสตร์ นติ ศิ าสตร์ เศรษฐศาสตร์ วาทศาสตร์ และแพทยศาสตร์ ซ่งึ 4 ศาสตร์แรก ได้แก่ รฐั ศาสตร์ เป็นต้น จัดอยู่ในหมวดวชิ า สงั คมศาสตร์ ส่วนแพทยศาสตร์นนั้ จัดอยู่ในหมวดวิชาวิทยาศาสตร์ องค์ความรู้ในพระไตรปิฎกนั้นเน้นเรื่องมนุษยศาสตร์เป็นหลัก รองลงมาคือ สังคมศาสตร์ ส่วนด้านวทิ ยาศาสตร์น้ันมีกล่าวไว้เพียงส่วนน้อย แต่แม้จะมีน้อยถึง กระน้ันกม็ ีความลกึ ซงึ้ และกว้างไกลกว่าองค์ความรู้ในทางโลกมาก เพราะเป็นความ รู้แจ้งที่เกิดจากเห็นแจ้งด้วยภาวนามยปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้เป็น ความรู้ทเี่ กิดจากการอ่าน การคิด และต้ังสมมติฐานแบบนกั วทิ ยาศาสตร์ ความรทู้ เี่ กย่ี วกบั วทิ ยาศาสตรซ์ งึ่ ปรากฏอยใู่ นพระไตรปฎิ กนนั้ เปน็ ความรทู้ น่ี า่ ทึ่งมาก กล่าวคือ เรื่องโลกธาตุหรือเอกภพซึ่งเป็นส่ิงท่ีกว้างใหญ่ไพศาล และเร่ือง อะตอมซึง่ เป็นส่ิงทีเ่ ล็กจวิ๋ มองด้วยตาเปล่าไม่เหน็ ซ่ึงนักวทิ ยาศาสตร์เพง่ิ ค้นพบเมื่อ ไม่นานมาน้ี มกี ล่าวไว้ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาเป็นเวลานบั พนั ๆ ปีมาแล้ว ความรเู้ รอ่ื งเอกภพในทางวทิ ยาศาสตรน์ น้ั เพงิ่ ถกู พฒั นาขน้ึ อยา่ งเปน็ รปู ธรรม เมอ่ื ไมก่ ร่ี อ้ ยปที ผ่ี า่ นมาน้ี คอื ตงั้ แตก่ าลเิ ลโอ (พ.ศ. 2107-2185) สรา้ งกลอ้ งโทรทรรศน์ บทนำ� 16 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ส�ำหรับส่องดูดวงดาวส�ำเร็จ น�ำมาซ่ึงการค้นพบเทหวัตถุในห้วงอวกาศมากมาย เป็นการเร่มิ ต้นการศึกษาเอกภพอย่างจรงิ จังและพัฒนาเรอื่ ยมาจนถงึ ปัจจุบัน ในปจั จบุ นั การศกึ ษาเรอื่ งเอกภพกา้ วหนา้ ไปมากเพราะมเี ทคโนโลยอี นั ทนั สมยั มากมายเขา้ ชว่ ย เชน่ มกี ลอ้ งโทรทรรศนฮ์ บั เบลิ ซงึ่ ถกู สง่ ออกไปโคจรรอบโลก สามารถ ตรวจจบั ภาพของเทหวตั ถใุ นระยะไกลเปน็ พนั ลา้ นปแี สงได้ แตถ่ งึ กระนนั้ อาณาบรเิ วณ ของเอกภพที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเพ่ิงได้แค่ 10-11% ของความกว้างของ 1 โลกธาตุขนาดใหญ่ท่ีมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเท่านั้น ยิ่งไปกว่าน้ันพระสัมมา- สัมพุทธเจ้ายังตรัสว่าโลกธาตุไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียวแต่มีเป็นหม่ืนเป็นแสนโลกธาตุ ทเี ดียว นี้คอื ความมหศั จรรย์ขององค์ความรู้ในพระไตรปิฎก ทางดา้ นการแพทยน์ นั้ กม็ หี ลายอยา่ งทน่ี า่ สนใจ เชน่ ในสมยั พทุ ธกาล วชิ าการ แพทย์มคี วามก้าวหน้ามากถงึ กับมีการผ่าตดั สมองและล�ำไส้ด้วย ท้งั ๆ ท่ีการผ่าตดั ครง้ั แรกดว้ ยการแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั ในเมอื งไทยเพง่ิ เรม่ิ ตน้ ขนึ้ เมอื่ ในรชั กาลท่ี 3 หรอื 170 กวา่ ปมี านเ้ี อง นอกจากนกี้ ารดที อ๊ กซ์ (Detox) และการอบซาวนา่ (Sauna) เพอื่ ขับพิษก็ไม่ได้เป็นส่ิงใหม่ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุใช้วิธีเหล่าน้ีรักษา สขุ ภาพกันมาตงั้ แต่สมัยพุทธกาลแล้ว ส�ำหรับสังคมศาสตร์นั้นก็มีองค์ความรู้ที่ส�ำคัญและน่าสนใจมากมาย ซึ่ง สามารถน�ำมาประยกุ ตใ์ ชส้ �ำหรบั แกป้ ญั หาสงั คมในปจั จบุ นั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ไมว่ า่ จะเปน็ ปัญหาเร่ืองการเมืองการปกครอง ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความยากจนและการ คอร์รปั ช่นั เป็นต้น ปัญหาเหล่าน้มี ีสาเหตุมาจากอะไร และควรจะแก้ไขอย่างไร กม็ ี บนั ทกึ ไว้ในพระไตรปิฎกทงั้ ส้ิน ส�ำหรบั มนษุ ยศาสตรน์ นั้ เปน็ เนอื้ หาหลกั ของค�ำสอนในพระไตรปฎิ ก เพราะจดุ ประสงคห์ ลกั ในการตรสั สอนธรรมะของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ คอื เพอ่ื ชว่ ยใหม้ นษุ ย์ พ้นจากความทกุ ข์ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 17 บทนำ� www.kalyanamitra.org
18 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
บทท่ี 2 สรรพศาสตรใ์ นทางโลก 2.1 ภาพรวมสรรพศาสตร์ในทางโลก ค�ำว่า “สรรพศาสตร์” มาจากค�ำสองค�ำ คอื “สรรพ” และ “ศาสตร์” สรรพ แปลว่า ทกุ สิง่ , ทั้งปวง หรือท้ังหมด 1 ส่วน ศาสตร์ แปลว่า ระบบวชิ าความรู้ 2 ดังนน้ั สรรพศาสตร์ จงึ หมายถงึ ระบบวชิ าความรู้ทง้ั ปวงหรอื ศาสตร์ทัง้ ปวงที่มีอยู่ ในโลกนี้ ซง่ึ องคก์ ารยเู นสโก3 ไดจ้ ดั แบง่ เปน็ วชิ าใหญ่ ๆ ไว้ 3 หมวด คอื มนษุ ยศาสตร์ (Humanities) สังคมศาสตร์ (Social Sciences) และวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Sciences) 4 หรอื เรียกโดยย่อว่า วิทยาศาสตร์ 1 ราชบัณฑติ ยสถาน. (2525). “พจนานุกรม.” หน้า 803. 2 แหล่งเดิม หน้า 783. 3 องคก์ ารยเู นสโก (Unesco) คอื องคก์ ารวา่ ดว้ ยวฒั นธรรมวทิ ยาศาสตรแ์ ละการศกึ ษาแหง่ สหประชาชาต.ิ 4 จิรโชค วีระสัย และคณะ. (2546). “รัฐศาสตร์ทั่วไป.” หน้า 15. www.kalyanamitra.org
2.1.1 หมวดวิชามนุษยศาสตร์ หมวดวิชามนุษยศาสตร์น้ันเกิดข้ึนมาในโลกก่อนหมวดวิชาอื่น ว่าด้วยโลก ภายในของมนุษย์ ได้แก่ ความรู้สึกนึกคิด, จรยิ ธรรม, การส่ือสาร และคณุ ค่าของ ความเป็นมนษุ ย์ เป็นต้น ซึง่ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คอื กลุ่มวชิ าบรสิ ุทธิ์ และ กลุ่มวชิ าประยุกต์ กลุ่มวิชาบรสิ ทุ ธิ์ กลมุ่ วชิ าบรสิ ทุ ธ์ิ ไดแ้ ก่ วชิ าศาสนา วชิ าปรชั ญา วชิ าภาษาศาสตร์ หรอื อกั ษรศาสตร์ วิชาศิลปะ เป็นต้น วิชาต่าง ๆ ในหมวดมนุษยศาสตร์มีลักษณะเป็นนามธรรม มคี วามเจริญก้าวหน้ามาก่อน จึงเป็นความรู้พน้ื ฐานให้กบั วชิ าอ่ืน ๆ ทตี่ ามมา กลุ่มวชิ าประยุกต์ กลุ่มวิชาประยุกต์ คอื วชิ าบรสิ ุทธ์ทิ ี่ถกู น�ำมาใช้ประโยชน์โดยตรงในการด�ำรง ชีวิต หรืออาจพูดว่า วิชาประยุกต์ คือ การน�ำเอาความรู้บริสุทธิ์มาใช้งาน ได้แก่ ปรชั ญาการด�ำเนนิ ชวี ติ ศาสนาในชวี ติ ประจ�ำวนั ภาษาส�ำหรบั ธรุ กจิ อตุ สาหกรรมศลิ ป์ ศิลปะการแสดง การท่องเทีย่ ว ภาษาองั กฤษเพอื่ การท่องเท่ยี ว เป็นต้น 2.1.2 หมวดวิชาสังคมศาสตร์ เปน็ หมวดวชิ าทศี่ กึ ษาเรอ่ื งมนษุ ยแ์ ละความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนษุ ยด์ ว้ ยกนั เอง ซง่ึ เกยี่ วกบั โลกภายนอกของมนษุ ยใ์ นสว่ นทเี่ ปน็ สภาพแวดลอ้ มทางสงั คม 1 แบง่ เปน็ 2 กลุ่มวิชาเช่นกนั คือ กลุ่มวิชาบริสุทธ์ิ และกลุ่มวชิ าประยกุ ต์ กลุ่มวิชาบรสิ ทุ ธิ์ กลมุ่ วชิ าบรสิ ทุ ธิ์ แบง่ ออกเปน็ 3 กลมุ่ วชิ ายอ่ ย คอื ความรทู้ วั่ ไป ความรเู้ ฉพาะ ด้าน และกลุ่มวิชาผสม 1 อไุ รวรรณ ธนสถิต. (2530). “หลกั มนษุ ยศาสตร์.” หน้า 14. สรรพศาสตร์ในทางโลก 20 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
(1) กลุ่มความรู้ทั่วไป หมายถึง กลุ่มวิชาที่เป็นความรู้ทว่ั ไปเกี่ยวกบั สังคม มนุษย์ เช่น มนุษยวทิ ยา สงั คมวทิ ยา เป็นต้น (2) กลมุ่ ความรเู้ ฉพาะดา้ น หมายถงึ กลมุ่ วชิ าความรใู้ นดา้ นตา่ ง ๆ ทจี่ �ำเปน็ ต่อการด�ำรงอยู่ในสังคมของมนุษย์ เช่น รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ จิตวทิ ยา เป็นต้น (3) กลุ่มวิชาผสม หมายถึง กลุ่มวิชาทีน่ �ำความรู้ต่างวิชากันมาผสมผสาน กัน เช่น มนุษยวิทยากายภาพ สังคมวิทยาการเมือง เศรษฐศาสตร์ การเมือง จิตวิทยาสังคม ธุรกิจการเกษตร การเกษตรอุตสาหกรรม เป็นต้น กลุ่มวิชาประยุกต์ กลมุ่ วชิ าประยกุ ต์ คอื วชิ าทน่ี �ำความรบู้ รสิ ทุ ธข์ิ องสงั คมศาสตรม์ าใชป้ ระโยชน์ ในชวี ติ มหี ลายสาขาวชิ า เชน่ การพฒั นาชมุ ชน การสงั คมสงเคราะห์ การจดั การ การ เป็นผู้น�ำ มนุษยสัมพันธ์ การโฆษณา นิเทศศาสตร์ วาทศาสตร์ การวางแผน คอมพิวเตอร์ธุรกิจ นิเทศธุรกิจ การจดั การอุตสาหกรรม เป็นต้น 2.1.3 หมวดวิชาวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตรซ์ ง่ึ มชี อื่ เตม็ วา่ “วทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาต”ิ นนั้ เปน็ หมวดวชิ าทศ่ี กึ ษา เรื่องมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ซ่ึงว่าด้วยโลกภายนอกของมนุษย์ในส่วนที่เป็นสภาพ แวดล้อมทางกายภาพ 1 เช่น ศึกษาเรื่องดิน น�้ำ หิน แร่ธาตุ อากาศ พืช สัตว์ รวมทงั้ “มนษุ ย์” ด้วย หมวดวชิ านี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มวชิ าเช่นกนั คอื กลุ่มวิชาบริสทุ ธิ์ และกลุ่มวชิ าประยุกต์ 1 อไุ รวรรณ ธนสถิต. (2530). “หลักมนษุ ยศาสตร์.” หน้า 14. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 21 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
กลุ่มวิชาบรสิ ทุ ธิ์ กลุ่มวิชาบริสุทธ์ิ คือ กลุ่มวิชาที่เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างท่ี เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติท่ีเป็นไปตามกฎพ้ืนฐานของธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คอื สาขาชวี ภาพ สาขากายภาพ และสาขาผสม (1) สาขากายภาพ (physical science) ศกึ ษาสง่ิ ไมม่ ชี วี ติ เชน่ ดนิ นำ�้ หนิ แร่ธาตุต่าง ๆ ประกอบด้วยสาขาวิชาเคมี ฟิสกิ ส์ ธรณีวทิ ยา โลหวิทยา เป็นต้น (2) สาขาชีวภาพ (biological science) ศกึ ษาสิ่งมีชีวติ ต่าง ๆ เช่น คน สัตว์ พืช เช้ือโรค ประกอบด้วยสาขาวิชาชีววิทยา พืช แมลง นก สตั วศาสตร์ เป็นต้น (3) สาขาผสม เป็นสาขาทีศ่ กึ ษาแบบผสมผสานกนั ท้งั ชีวภาพและกายภาพ เช่น ชีวเคมี วิทยาศาสตร์อาหาร เทคโนโลยีอาหาร ไบโอเทคโนโลยี เป็นต้น กลุ่มวชิ าประยกุ ต์ กลมุ่ วชิ าประยกุ ต์ คอื วชิ าทน่ี �ำความรบู้ รสิ ทุ ธขิ์ องวทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาตมิ าใช้ ประโยชน์ในชีวิต เช่น แพทยศาสตร์ พยาบาล เภสัช สาธารณสุข สัตวแพทย์ วศิ วกรรมส่ิงแวดล้อม วศิ วกรรมบรกิ าร วศิ วกรรมการจดั การ งานก่อสร้าง เป็นต้น สรรพศาสตร์ในทางโลก 22 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
สรรพศำสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 23 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
2.2 หลกั การเบ้ืองตน้ ของแตล่ ะศาสตร์ จากที่กล่าวมาในหวั ข้อ 2.1 จะเหน็ ว่า ศาสตร์ทั้งปวงในทางโลก แบ่งออกเป็น 3 หมวดวิชาใหญ่ ๆ คือ มนษุ ยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์ ในแต่ละ หมวดวชิ ากจ็ ะมศี าสตรย์ อ่ ยลงไปอกี มากมาย ในทน่ี จ้ี ะน�ำเสนอหลกั การเบอ้ื งตน้ ของ ศาสตร์ที่ส�ำคัญ 7 ศาสตร์ คือ มนุษยศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วาทศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และแพทยศาสตร์ ซึ่งจะใช้ในการเปรยี บเทียบกบั ความรู้ ในพระไตรปิฎกในบทอ่นื ๆ ต่อไป 2.2.1 มนุษยศาสตร์ 1.) ความหมายของมนุษยศาสตร์ วชิ ามนษุ ยศาสตรม์ บี ทบาทส�ำคญั ในดา้ นการศกึ ษามาเปน็ เวลานานตง้ั แต่ สมัยกรกี โบราณ ชาวกรกี มคี วามเชอ่ื ว่า ในบรรดาสิง่ มหัศจรรย์ของโลก ไม่มสี ิง่ ใด มหศั จรรย์เท่ากบั มนษุ ย์ ค�ำว่า มนษุ ยศาสตร์ เทยี บได้กับค�ำว่า Humanities ใน ภาษาองั กฤษ ซงึ่ มาจากภาษาละตนิ ว่า humanitas หมายถงึ เรือ่ งราวของมนษุ ย์ หรอื ความเป็นมนษุ ย์ ในปัจจุบันวิชามนุษยศาสตร์ได้พัฒนาจากอดีตไปมาก จึงท�ำให้ความ หมาย หรือค�ำจ�ำกัดความของ “มนษุ ยศาสตร์” แตกต่างจากในอดตี ไปบ้าง แต่ถึง กระนั้นก็ยังมุ่งเน้นในเรื่องมนุษย์ อุไรวรรณ ธนสถิตย์ ได้ให้ความหมาย “มนษุ ยศาสตร์” ไว้ว่า เป็นหมวดวิชาที่เรียนเรื่องเก่ียวกับมนุษย์และการแสดงออก เกี่ยวกับตวั เอง เป็นวชิ าที่ว่าด้วย “โลกภายในของมนุษย์” ได้แก่ ความรู้สกึ นกึ คิด จรยิ ธรรม และการส่ือสาร เป็นต้น 1 1 อุไรวรรณ ธนสถิต. (2530). “หลักมนุษยศาสตร์.” หน้า 13-14. สรรพศาสตร์ในทางโลก 24 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
วิทย์ วิศทเวทย์ ให้ความหมายมนุษยศาสตร์ไว้ว่า เป็นวิชาทศ่ี ึกษาถึง สงิ่ ทม่ี นษุ ยค์ ดิ ท�ำ ใฝฝ่ นั จนิ ตนาการและรสู้ กึ ดงั นน้ั วชิ านจ้ี งึ ปรากฏเปน็ วชิ าวรรณคดี ศิลปะ ปรัชญา ศาสนา ประวตั ศิ าสตร์ คือ ศกึ ษามนุษย์ในฐานะท่มี นษุ ย์มไิ ด้เป็น สตั วช์ วี วทิ ยา (วทิ ยาศาสตร)์ หรอื สตั วส์ งั คม (สงั คมศาสตร)์ แตศ่ กึ ษามนษุ ยใ์ นฐานะ เปน็ ตวั เอง1 มนษุ ยศาสตร์ คอื การศกึ ษาทเ่ี กย่ี วขอ้ งโดยตรงกบั ความเปน็ มนษุ ย์ เพอ่ื ความเจริญงอกงามของความเป็นมนุษย์ และเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขของ มนษุ ย์... 2 ในความหมายเดมิ “มนษุ ยศาสตร”์ เปน็ การศกึ ษาทเ่ี นน้ หนกั ดา้ นจติ ใจ ถอื เปน็ การพฒั นาสตปิ ญั ญาคณุ ธรรม และรสนยิ มของบคุ คลทเี่ ป็นคณุ คา่ สงู สดุ แต่ ปัจจุบันมนุษยศาสตร์ขยายขอบเขตออกไปครอบคลุมถึงการศึกษาท่ีน�ำไปเป็น ประโยชน์ใช้สอยโดยตรงอีกด้วย กล่าวคือ เป็นการผสมผสานระหว่างวิชาการกับ อาชพี โดยตระหนกั วา่ ความรทู้ างอาชพี จ�ำเปน็ ตอ้ งควบคไู่ ปกบั วชิ าการและการพฒั นา จติ ใจของผู้ศึกษา จงึ จะก่อให้เกดิ ประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จรงิ 3 2.) ลักษณะทวั่ ไปของมนษุ ยศาสตร์ ลักษณะทั่วไปของมนุษยศาสตร์ อาจจะแบ่งออกเป็น 5 ประการ ดังต่อไปนี้ (1) ปรัชญาหลักทางมนุษยศาสตร์ คือ การส�ำนึกในคุณค่าของความ เป็นมนุษย์ (2) จดุ ประสงคท์ สี่ �ำคญั ของมนษุ ยศาสตร์ คอื การแสวงหาความหมายและ คณุ คา่ ของความเปน็ มนษุ ย์ รวมทงั้ คณุ คา่ ของประสบการณม์ นษุ ย์ เพอื่ 1 วิทย์ วศิ ทเวทย์. (2528). “การศกึ ษาวชิ ามนุษยศาสตร์ : ขอบเขตและจดุ มุ่งหมาย.” หน้า 31. 2 อรสา ไทยานนท์. (2550). “เทคโนโลยีมนุษยศาสตร์.” [ออนไลน์]. 3 คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. (2550). “มนษุ ยศาสตร์.” [ออนไลน์]. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 25 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
น�ำมาปรบั ปรงุ คณุ ภาพชวี ติ เพอื่ ใชแ้ กไ้ ขปญั หาความทกุ ขท์ งั้ ในดา้ นวตั ถุ และด้านจติ ใจโดยยึดคุณธรรมเป็นหลัก (3) วิธีการหลักของการศึกษาทางมนุษยศาสตร์ คือ การตีความและการ วินจิ ฉัยประสบการณ์โดยใช้หลกั ตรรกวทิ ยาหรอื หลักเหตผุ ล (4) การค้นหาข้อเท็จจริงและความหมายแต่เพียงอย่างเดียวเป็นแต่เพียง กจิ กรรมสว่ นหนง่ึ ของการศกึ ษาทางมนษุ ยศาสตร์ กจิ กรรมทางปญั ญา ท่ีส�ำคัญย่ิง คือ การไตร่ตรองใคร่ครวญเพื่อแสวงหาความหมายและ คุณค่าในข้อเทจ็ จริงท่ศี กึ ษา (5) ในเม่ือมนุษยศาสตร์เป็นกิจกรรมเพ่ิมพูนทางปัญญาท่ีเก่ียวพันกับ ประสบการณ์มนุษย์ ดงั น้นั เรอื่ งของวุฒิภาวะและประสบการณ์ของตัว นักมนุษยศาสตร์เองก็เป็นสิ่งทีค่ วรค�ำนึงนึกถงึ ด้วย 1 วิชามนุษยศาสตร์นั้นเน้นจุดหมายท่ีตัวมนุษย์ วิชาน้ีจึงเป็นการสร้าง คนในฐานะเป็นคน ไม่ใช่สร้างคนในฐานะเป็นผู้ประกอบอาชีพ เช่น วิศวกร หรือ สถาปนกิ ความเป็นคนในความหมายทว่ี ่ามรี ่างกายและท�ำอะไรต่าง ๆ ทต่ี ้องการได้ นน้ั เป็นของท่ีไม่ต้องศึกษาเพราะเป็นอยู่แล้ว แต่การสร้างคนอย่างที่ “ควรจะเป็น” นัน้ เราจะต้องศึกษา อปุ มาเหมือนแร่เหลก็ มคี วามเป็นเหล็กโดยธรรมชาติ แต่ถ้าจะ หาเหลก็ ทด่ี กี ต็ ้องมกี ารดดั แปลงแร่ธรรมชาตนิ น้ั เสยี ก่อน ถ้าได้เหลก็ ดแี ล้ว จะน�ำไป ท�ำอะไรก็ดหี มด เช่นเดยี วกนั ถ้าได้คนดแี ล้ว จะเป็นวศิ วกร สถาปนกิ หรือข้าราชการ ต�ำแหนง่ ใด ๆ กด็ หี มด แตบ่ ดั นเี้ ราสรา้ งวศิ วกรแตไ่ มไ่ ดส้ รา้ งคนดใี นตวั เขา เขากอ็ าจ ท�ำงานอย่างไม่มีคุณภาพและคดโกงได้ง่ายโดยเห็นเป็นเร่ืองธรรมดาไป การพัฒนา ความเป็นคนเสียก่อนจงึ เป็นพนื้ ฐานทีส่ �ำคัญของการพัฒนาประเทศในด้านอ่นื ๆ 1 อไุ รวรรณ ธนสถิต. (2530). “หลักมนษุ ยศาสตร์.” หน้า 17-18. สรรพศาสตร์ในทางโลก 26 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
3.) การศึกษาแต่ละสาขาวิชาในแง่มนษุ ยศาสตร์ จากทกี่ ลา่ วในตอนตน้ วา่ หมวดวชิ ามนษุ ยศาสตรป์ ระกอบดว้ ยสาขาวชิ า ตา่ ง ๆ มากมาย เชน่ สาขาวชิ าภาษา ศลิ ปะ วรรณคดี ประวตั ศิ าสตร์ ปรชั ญา ศาสนา เป็นต้น การศกึ ษาวชิ าต่าง ๆ เหล่าน้ใี นแง่ของมนุษยศาสตร์จะต้องมลี ักษณะดังน้ี 3.1) สาขาวิชาภาษา การศกึ ษาภาษาในแงม่ นษุ ยศาสตรม์ ไิ ดม้ งุ่ ดา้ นทกั ษะ คอื ความสามารถ ในการใช้ภาษาติดต่อสื่อสารกันได้เท่านั้น แต่ศึกษาเพ่ือเป็นทางน�ำไปสู่ความเข้าใจ ความคิด อารมณ์ และแก่นแท้ของงานท่ีมนษุ ย์สร้างสรรค์ขน้ึ โดยใช้ภาษา 3.2) สาขาศิลปะและวรรณคดี ศลิ ปะแตล่ ะแขนงลว้ นเปน็ การใชส้ อื่ ตา่ ง ๆ เพอ่ื แสดงอารมณค์ วามรสู้ กึ ของมนษุ ยอ์ ยา่ งส�ำคญั การเขา้ ใจศลิ ปะและวรรณคดจี ะท�ำใหเ้ ขา้ ใจมนษุ ยแ์ ละสงั คม แงม่ มุ ตา่ ง ๆ ได้ เราไมอ่ าจรจู้ กั ฮติ เลอรด์ ว้ ยการผา่ ตดั หรอื ดเู พยี งพฤตกิ รรมภายนอก เท่าน้ัน แต่เรารู้จกั เขาได้โดยรู้เร่ืองราวส่วนตวั หรืออ่านงานเขียนของเขา 3.3) สาขาประวัตศิ าสตร์ ประวตั ศิ าสตรท์ �ำให้เราเหน็ รปู แบบของเหตกุ ารณ์และการตดั สนิ ใจของ มนษุ ย์ต่อเหตกุ ารณ์น้นั ๆ อย่างซำ้� ๆ ท�ำให้มนษุ ย์มองเห็นภาพตัวเอง และความ รสู้ กึ นกึ คดิ ของตวั เองวา่ จะตอ้ งท�ำอยา่ งไรเมอ่ื จะตอ้ งเจอกบั เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ เหลา่ นนั้ บ้าง ส�ำหรบั การศึกษาสาขาวชิ าอ่ืน ๆ ในแง่มนุษยศาสตร์ก็มลี ักษณะเช่นที่ กล่าวมาข้างต้นนี้ คอื เป็นการศึกษาเพ่อื เจาะลึกลงไปถงึ ความรู้สึกนกึ คิด จติ ใจของ มนษุ ย์ ซงึ่ เปน็ นามธรรมโดยปรากฏเปน็ รปู ธรรมอยใู่ นงานตา่ ง ๆ ทเ่ี ขาสรา้ งขน้ึ ท�ำขน้ึ การศึกษาทางมนุษยศาสตร์จะท�ำให้ผู้ศึกษาได้รับประโยชน์ท่ีส�ำคัญอย่างน้อย สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 27 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
3 ประการ คอื รู้จกั ตัวเองเป็นอย่างดี รู้จกั ผู้อ่นื และรู้จักสภาพแวดล้อมท่ตี นเอง ต้องเกีย่ วข้องอยู่เป็นอย่างดี 2.2.2 รัฐศาสตร์ 1.) ความหมายของรัฐศาสตร์ รัฐศาสตร์เป็นสาขาหน่ึงในหมวดสังคมศาสตร์ ศึกษาเก่ียวกับ ปรากฏการณ์และพฤติกรรมของสังคมทางด้านการเมืองและการปกครอง ค�ำว่า “รัฐศาสตร์” ในภาษาอังกฤษใช้ค�ำว่า “Political Science” มีรากศัพท์มาจากภาษา เยอรมันว่า “staatswissenschaft” (สตาตวิสเซนชาฟต์) แปลตามตัวอักษรได้ว่า “ศาสตร์แห่งรัฐ” ค�ำว่า “รฐั ” เป็นองค์การทางการเมอื งอย่างหนง่ึ หมายถงึ กลุ่มคนหรือ ชุมชนทางการเมืองซึ่งอาศัยอยู่รวมกันอย่างเป็นระเบียบในดินแดนหรืออาณาเขต แน่นอน มีรัฐบาลและอ�ำนาจอธปิ ไตยของตนเอง สามารถบริหารกิจการทง้ั หลายทั้ง ภายในและภายนอกรัฐโดยอสิ ระ พ้นจากการควบคุมของรฐั ภายนอก 1 “รัฐ” เป็นองค์การทางการเมืองสูงสุดและส�ำคัญท่ีสุด ไม่มีองค์การใด เทียบเท่า ค�ำว่า รัฐ ในทางรัฐศาสตร์ หมายถงึ ประเทศหรอื ชาติ แต่เมื่อกล่าวถึง ค�ำว่า “ประเทศ” เรามักจะเน้นในเรือ่ งสภาพทางภมู ิศาสตร์ เม่อื ใช้ค�ำว่า “ชาต”ิ เรามกั จะเน้นในเร่ืองของคน เช่น เช้ือชาติ เป็นต้น ส่วนเม่อื พดู ถงึ ค�ำว่า “รฐั ” เรามักจะเน้น ถงึ สภาวะทางการเมอื ง ค�ำว่าประเทศและชาตจิ ึงเป็นเพยี งส่วนหนึ่งของรัฐเท่านั้น รัฐศาสตร์ จงึ หมายถึง ศาสตร์ที่ศกึ ษาเรื่องการเมอื งและการปกครอง น่ันเอง 1 ธีรวุฒิ โศภษิ ฐกิ ลุ . (2549). “ความรู้เบอ้ื งต้นเกย่ี วกบั รัฐศาสตร์.” หน้า 22. สรรพศาสตร์ในทางโลก 28 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
2.) องค์ประกอบของรัฐ “รัฐ” ในทางรัฐศาสตร์จะต้องมีองค์ประกอบที่ส�ำคัญ 4 ประการคือ ประชากร อาณาเขตหรือดินแดนทีแ่ น่นอน รฐั บาล และอ�ำนาจอธิปไตย 2.1) ประชากร ค�ำว่า ประชากร ในทีน่ ้ี หมายถงึ ประชาชนท่อี าศยั อยู่ใน รัฐใดรัฐหน่ึงและมีถิ่นฐานท่ีท�ำมาหากินอยู่ในรัฐน้ัน เป็นผู้ถือสัญชาติ ของรฐั นั้น นอกจากน้ยี งั รวมถงึ คนต่างด้าวท่อี าศยั อยู่ในรัฐนั้นด้วย 2.2) อาณาเขต หรอื ดนิ แดนทแี่ นน่ อน เปน็ องคป์ ระกอบทส่ี �ำคญั อกี อยา่ งหนง่ึ ของรัฐ หากมีแต่กลุ่มคนแต่ไม่มดี ินแดนอาศยั เป็นของตนเองแล้วก็ไม่ อาจถือเป็นรฐั ได้ 2.3) รฐั บาล เป็นองค์กรปกครองของรฐั ท่มี ีอ�ำนาจบริหารประเทศ ตามปกติ รฐั บาลประกอบดว้ ย ฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ิ ฝา่ ยบรหิ าร และฝา่ ยตลุ าการ และ จะมีหน่วยงานย่อยลงไปเรียกว่าหน่วยงานทางการปกครอง รัฐบาลมี 2 ระดบั คือ ระดบั นโยบาย ได้แก่ คณะรฐั มนตรี รัฐสภา ศาล และ ระดับปฏิบัติการ ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานปกครอง ย่อยลงไป 2.4) อ�ำนาจอธปิ ไตย เป็นอ�ำนาจสูงสดุ ในการปกครองประเทศ ส�ำหรบั ใช้ใน การด�ำเนินงานของรัฐท้ังกิจการภายในและภายนอกโดยอิสระ เช่น อ�ำนาจในการบงั คบั บญั ชาประชาชนของตนและพลเมอื งของรฐั อน่ื ทเี่ ขา้ มาในดินแดนของตน การใช้อ�ำนาจอธิปไตยน้ีมักจะออกมาในรูปของ กระบวนการทางกฎหมาย ในรัฐ ๆ หน่ึงจะมีอ�ำนาจอธิปไตยเพียง “หน่วยเดียว” การแบ่งอ�ำนาจอธิปไตยออกเป็น อ�ำนาจนิติบัญญัติ อ�ำนาจบริหาร และอ�ำนาจตุลาการ เป็นการแบ่งเพ่ือความสะดวกว่า องค์กรใดจะเป็นผู้ใช้อ�ำนาจอธปิ ไตยส่วนไหนเท่านน้ั สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 29 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
“อ�ำนาจนิตบิ ัญญัต”ิ นน้ั เป็นอ�ำนาจในการบัญญตั กิ ฎหมาย โดยมี “รฐั สภา” อนั ประกอบดว้ ยสมาชกิ สภาซงึ่ ไดร้ บั เลอื กตง้ั จากประชาชนใหเ้ ขา้ มาท�ำหนา้ ทบี่ ญั ญตั ิ กฎหมาย “อ�ำนาจบรหิ าร” เป็นอ�ำนาจในการบริหารประเทศตามกรอบของกฎหมาย ท่ฝี ่ายนติ ิบญั ญัตจิ ดั ท�ำข้ึน ผู้ใช้อ�ำนาจน้ี ได้แก่ “คณะรัฐมนตร”ี และ “ข้าราชการ ประจ�ำ” ส่วน “อ�ำนาจตุลาการ” น้ัน เป็นอ�ำนาจในการตัดสินคดี กรณีท่ีมีการ ท�ำผิดกฎหมายและมีการฟ้องร้องเกิดข้ึนซึ่งจะประกอบด้วยศาลต่าง ๆ เช่น ศาลรฐั ธรรมนูญ, ศาลยตุ ธิ รรม, ศาลปกครอง และศาลทหาร 3.) ระบอบการเมืองการปกครอง หลงั จากทม่ี นษุ ยไ์ ดส้ ละสภาพการมชี วี ติ อยตู่ ามธรรมชาตแิ ลว้ เขา้ มาอยู่ รวมกนั เป็นสังคมและได้จัดตัง้ องค์การทางการเมอื งขึ้น มนษุ ย์ทงั้ หลายกไ็ ด้ร่วมกัน ก�ำหนดกฎเกณฑ์และวางแนวปฏิบัติเพ่ือด�ำเนินกิจกรรมทางการเมืองการปกครอง ชุมชนทางการเมืองที่เป็นระบบนี้เรียกว่า ระบอบการเมืองการปกครอง (Political System) การศึกษาระบอบการเมืองการปกครองน้ันได้มีมาเป็นเวลานับพันปีแล้ว เม่ือเวลาได้ล่วงเลยมาถึงปัจจุบันระบอบการเมืองการปกครองก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ด้วย ดังจะได้กล่าวต่อไปนี้ 3.1) ระบอบการเมืองการปกครองในอดีต ระบอบการเมืองการปกครองในอดีตตามแนวคิดของเพลโตและ อรสิ โตเตลิ แบง่ เปน็ 3 แบบ คอื การปกครองโดยคนคนเดยี ว การปกครองโดยคณะ บุคคลจ�ำนวนน้อย และการปกครองโดยคนส่วนใหญ่ หรือคนทั้งหมด การปกครองโดยคนคนเดียว คือ ราชาธปิ ไตย หมายถงึ การปกครอง ทอ่ี �ำนาจในการปกครองอยู่ท่คี นเพยี งคนเดยี ว คือ กษัตริย์ เพลโต และอริสโตเตลิ เห็นว่า ราชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองทด่ี ที สี่ ดุ ถ้าหากสามารถหากษตั รยิ ์ที่ดี สรรพศาสตร์ในทางโลก 30 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ได้ แตถ่ า้ หากเปน็ การปกครองโดยกษตั รยิ ท์ ไี่ มด่ ี กจ็ ะสรา้ งความเสยี หายอยา่ งใหญห่ ลวง การปกครองโดยคณะบุคคลจ�ำนวนน้อย คือ ระบอบอภิชนาธิปไตย หรือคณาธิปไตย เป็นการปกครองโดยคณะบุคคลจ�ำนวนน้อยซ่ึงมีความรู้ความ สามารถ หรอื มฐี านะดใี นสงั คม อาจมจี ดุ มงุ่ หมายการปกครองเพอ่ื ประโยชนส์ ขุ ของ ประชาชนทงั้ หมด หรอื ปกครองโดยค�ำนงึ ถงึ ประโยชนข์ องตนเองและพรรคพวกของ ตนเป็นส�ำคัญ การปกครองโดยคนส่วนใหญ่หรอื คนทั้งหมด เพลโตเรยี กระบอบการ ปกครองแบบมีอ�ำนาจปกครองอยู่ที่คนส่วนใหญ่ในรัฐที่ใช้กฎหมายเป็นหลักในการ ปกครองว่า ประชาธิปไตย ในขณะที่อริสโตเติลเห็นว่า การปกครองที่เขาเรียกว่า ประชาธิปไตยนั้นเป็นการปกครองท่ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของผู้ปกครอง คือ ฝ่ายข้างมาก เป็นการปกครองโดยคนส่วนใหญ่เพ่อื คนส่วนใหญ่ 3.2) ระบอบการเมืองการปกครองในปัจจุบัน ระบอบการเมืองการปกครองตามแนวคิดของเพลโตและอริสโตเติลน้ี ใชก้ นั มาเปน็ เวลานานหลายสบิ ศตวรรษ แตใ่ นปจั จบุ นั นยิ มแบง่ การเมอื งการปกครอง เป็น 2 ระบอบใหญ่ ๆ คอื ระบอบประชาธปิ ไตย และระบอบเผดจ็ การ ระบอบประชาธปิ ไตย ค�ำว่า ประชาธิปไตย ในภาษาไทยมาจากค�ำว่า ประชา หมายถึง ประชาชน กับค�ำว่า อธิปไตย หมายถึง อ�ำนาจสูงสุด ค�ำว่าประชาธิปไตยตรงกับ ค�ำว่า Democracy ในภาษาอังกฤษ ซ่งึ มคี วามหมายว่า การปกครองทอี่ �ำนาจสูงสดุ ในการปกครองเป็นของประชาชน สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 31 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
หลักการของระบอบประชาธปิ ไตย (1) หลักเหตุผล ระบอบนี้เช่ือว่ามนุษย์ทุกคนมีปัญญาและเหตุผล ของตนเอง จึงมีการวางหลักให้มีการประชุมแลกเปล่ียนความ เหน็ กนั และใช้เหตุผลในการตัดสนิ ใจปัญหาต่าง ๆ (2) หลกั เสรีภาพ ระบอบนีถ้ อื ว่าเสรีภาพเป็นส่งิ ส�ำคญั เพราะเป็นสิ่ง เก้ือกูลให้มนุษย์สามารถใช้สติปัญญาความสามารถและเหตุผล อย่างเตม็ ท่ี (3) หลกั ความเสมอภาค ซง่ึ เป็นความเสมอภาคในทางการเมอื งและ กฎหมาย โดยทางการเมืองนั้นทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการ ออกเสยี งเลอื กตง้ั ในทางกฎหมายนนั้ จะมกี ารคมุ้ ครองประชาชน ทกุ คนอย่างเท่าเทยี มกนั (4) หลกั ความยนิ ยอม หมายถงึ การทป่ี ระชาชนยินยอมให้ผู้แทนท่ี ตนไดล้ งคะแนนเลอื กเขา้ ไปท�ำหนา้ ทบ่ี ญั ญตั กิ ฎหมายและบรหิ าร ประเทศ แต่ถ้าผู้แทนนั้น ๆ ไม่ด�ำเนินการตามเจตนารมณ์ของ ประชาชน ประชาชนกม็ สี ิทธิถ์ อดถอนและสบั เปล่ยี นรฐั บาลได้ (5) หลักเสียงข้างมาก โดยอุดมคติแล้วในการตัดสินปัญหาใด ๆ ระบอบน้ีต้องการสร้างความเห็นพ้องต้องกัน แต่ในทางปฏิบัติ การอาศัยเสียงเป็นเอกฉันท์อาจท�ำไม่ได้ ระบอบนี้จึงยอมรับ ความเหน็ ของเสยี งข้างมากในการตดั สินใจ (6) หลกั การปกครองโดยยดึ กฎหมาย กลา่ วคอื มกี ารวางหลกั และ กฎเกณฑต์ า่ ง ๆ ในรปู ของตวั บทกฎหมายไวเ้ ปน็ ทแี่ นน่ อน เพอื่ ใช้เป็นหลักในการบริหารประเทศ สรรพศาสตร์ในทางโลก 32 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ระบอบเผดจ็ การ แนวคิดแบบเผด็จการมีลักษณะตรงข้ามกับประชาธิปไตย เช่น ไม่ ศรัทธาและเช่ือม่ันในสติปัญญา เหตุผลและความสามารถของมนุษย์ในการแก้ ปัญหาของตนเอง ไม่ยอมรับเรื่องสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกันของมนุษย์ เชอ่ื วา่ อ�ำนาจในการปกครองเปน็ เรอ่ื งของผปู้ กครอง ประชาชนทว่ั ไปมหี นา้ ทป่ี ฏบิ ตั ิ ตามเท่านน้ั ปรัชญาเผดจ็ การถอื ว่า อ�ำนาจคือธรรม หลกั การของระบอบเผดจ็ การ (1) จ�ำกดั สิทธิเสรภี าพของประชาชน (2) รวมอ�ำนาจไว้ในมือของตนคนเดียวหรือคณะเดียว ยึดหลัก “ผู้น�ำนยิ ม” (3) ใช้ระบบป้องกันและควบคุมสังคมอย่างเข้มงวดกวดขัน (4) ก�ำหนดให้มีศนู ย์อ�ำนาจในการปกครองเพียงองค์กรเดยี ว คอื รวมอ�ำนาจท้ังนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการไว้กับอ�ำนาจ บรหิ าร (5) ใชอ้ �ำนาจรนุ แรงในการขจดั ปัญหาความขดั แยง้ ต่าง ๆ ในกรณี ทม่ี กี ลมุ่ หนงึ่ กลมุ่ ใด ไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั กลมุ่ ทคี่ รองอ�ำนาจอยู่ กลมุ่ เหล่าน้ันกจ็ ะต้องถูกกวาดล้างอย่างเด็ดขาดและรุนแรง 2.2.3 นิติศาสตร์ 1.) ความหมายของนิตศิ าสตร์ ค�ำว่า นติ ิ ในภาษาสนั สกฤต หมายถงึ ขนบธรรมเนียม แบบแผน แต่ ในระยะหลังวงการกฎหมายไทยเข้าใจว่า นติ ิ หรอื เนติ แปลว่า กฎหมาย แต่ตาม ศพั ท์ด้ังเดิมของอนิ เดยี แท้ ๆ นิติ แปลว่า ขนบธรรมเนียม เช่น ราชนติ ิ โลกนติ ิ ใน สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 33 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
อินเดยี ค�ำว่า นติ ิศาสตร์ จึงหมายถึง วชิ าเก่ยี วกับราชนติ ปิ ระเพณี เป็นความรู้ท่ี ราชปุโรหติ จะต้องรู้เพราะปุโรหติ เป็นท่ีปรึกษาราชการแผ่นดิน ค�ำว่านิติศาสตร์ตามความหมายของอินเดียจึงมีความหมายใกล้กับ รฐั ศาสตร์ในภาษาไทยปัจจบุ นั เพราะฉะนน้ั ผ้รู ้ทู างนติ ศิ าสตรข์ องอนิ เดยี จงึ หมายถงึ ผู้ทรงปัญญาท่ีจะให้ค�ำแนะน�ำเร่ืองกิจการบ้านเมือง ค�ำที่หมายถึงกฎหมาย แท้ ๆ ไทยเราแต่เดมิ มาเรียกว่า ธรรมะ เช่น กฎหมายดั้งเดมิ ของไทยเราเรยี กว่า พระธรรมศาสตร์ มิได้เรียกว่า พระนิติศาสตร์ ค�ำว่า พระธรรมศาสตร์ เป็นค�ำ ศักดิ์สทิ ธใ์ิ นความคิดของคนไทยสมัยก่อน 1 อย่างไรกต็ ามเมอื่ พดู ถงึ “นติ ศิ าสตร์” ในปจั จบุ นั หมายถงึ “วชิ าทศี่ กึ ษา เร่ืองกฎหมาย” กฎหมายน้ันมีอุดมคติที่ส�ำคัญซึ่งเป็นจิตวิญญาณของกฎหมาย 3 ประการ คือ ความยุตธิ รรม ความสงบเรียบร้อยของสังคม และความมีประโยชน์ สมประสงค์ 2.) บ่อเกิดของกฎหมาย กฎหมายมีบ่อเกิด 2 ประเภท คือ กฎหมายที่บัญญัติขึ้น เช่น พระราชบัญญัติ พระราชก�ำหนด พระราชกฤษฎีกา เป็นต้น และกฎหมายที่มิได้ บัญญตั ิขน้ึ ได้แก่ กฎหมายประเพณี หลักกฎหมายท่ัวไป และค�ำพิพากษาของศาล ก. กฎหมายทีบ่ ัญญตั ขิ นึ้ เป็นลายลกั ษณ์อักษร หมายถึง กฎหมายทีเ่ กิดขนึ้ จากกระบวนการนิติบัญญัติ หรอื กฎหมาย ลายลักษณ์อักษรท่ีเป็นบทมาตรา ซ่ึงผู้มีอ�ำนาจในการบัญญัติมี 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิตบิ ัญญัติ ฝ่ายบริหาร และองค์การอสิ ระ 1 ปรีดี เกษมทรพั ย์. (2541). “นติ ปิ รชั ญา.” หน้า 63. สรรพศาสตร์ในทางโลก 34 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
(1) กฎหมายนิตบิ ัญญตั ิ เป็นกฎหมายท่ตี ราข้นึ โดยฝ่ายนิตบิ ัญญัติ ได้แก่ พระราชบญั ญตั ิ (พ.ร.บ.) ซง่ึ เปน็ กฎหมายแท้ เพราะออกมาโดยฝา่ ยทมี่ หี นา้ ทบี่ ญั ญตั ิ กฎหมายโดยตรง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 169-178 ร่างพระราชบัญญัติน้ันจะเสนอให้รัฐสภาพิจารณาได้โดยคณะรัฐมนตรี หรอื สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งต้องมีมติพรรคท่สี มาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้สังกัด ใหเ้ สนอและตอ้ งมสี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรพรรคนน้ั รบั รองไมน่ อ้ ยกวา่ 20 คน และ ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติเก่ียวด้วยการเงินจะต้องได้ค�ำรับรองจากนายกรัฐมนตรี โดยเบ้ืองต้นจะให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อน เม่ือสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบ แลว้ จงึ เสนอใหส้ มาชกิ วฒุ สิ ภาพจิ ารณา ถา้ สมาชกิ วฒุ สิ ภาเหน็ ชอบ กจ็ ะน�ำขน้ึ ทลู เกลา้ ถวายเพ่ือพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเม่ือประกาศในราชกิจจา- นเุ บกษา 1 แล้วจึงมผี ลใช้บังคับเป็นกฎหมาย (2) กฎหมายบริหารบญั ญตั ิ เป็นกฎหมายทตี่ ราขนึ้ โดยฝ่ายบรหิ าร ซง่ึ ตาม ระบบกฎหมายไทย กฎหมายบรหิ ารบญั ญตั แิ บง่ เปน็ 2 ประเภท คอื พระราชก�ำหนด และกฎหมายล�ำดบั รอง “พระราชก�ำหนด” (พ.ร.ก.) คอื กฎหมายทฝี่ า่ ยบรหิ าร คอื คณะรฐั มนตรี ไดร้ บั อ�ำนาจจากรฐั ธรรมนญู ใหต้ รากฎหมายแทนฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ิ ในกรณมี เี หตจุ �ำเปน็ บางประการ พระราชก�ำหนดจงึ มคี ่าบงั คับเท่ากบั พระราชบญั ญัติ และอาจแก้ไขเพ่ิม เตมิ หรอื ยกเลกิ พระราชบญั ญตั ไิ ด้ แตท่ ง้ั นฝ้ี า่ ยบรหิ ารจะตราพระราชก�ำหนดไดเ้ ฉพาะ กรณีพเิ ศษที่รฐั ธรรมนูญก�ำหนดไว้เท่าน้นั 1 ราชกิจจานเุ บกษา คอื หนังสอื ที่จัดพิมพ์กฎหมายและประกาศต่าง ๆ ของทางราชการที่ออกเผยแพร่ เพ่อื ให้ประชาชนได้รู้ถงึ ความมอี ยู่และรายละเอยี ดของกฎหมายและประกาศต่าง ๆ สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 35 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
“กฎหมายล�ำดับรอง” เป็นกฎหมายที่ฝ่ายบริหารได้รับมอบอ�ำนาจจาก ฝ่ายนิติบัญญัติให้ตราบทบัญญัติก�ำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขใน รายละเอียดท่ีจะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติภายใต้หลักการท่ีพระราชบัญญัติ ก�ำหนดไว้ โดยฝา่ ยบรหิ ารจะตรากฎหมายล�ำดบั รองใหข้ ดั แยง้ กบั กฎหมายแมบ่ ท คอื พระราชบัญญัติไม่ได้ กฎหมายล�ำดับรองน้ันมีดังต่อไปนี้ คือ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง และข้อบังคับต่าง ๆ (3) กฎหมายองค์การบัญญตั ิ เป็นกฎหมายซึง่ ออกโดยองค์การมหาชนทีม่ ี อ�ำนาจอิสระ กล่าวคือ มีอ�ำนาจปกครองตนเองภายในขอบเขตทีก่ ฎหมายก�ำหนดไว้ องค์การปกครองตนเองในปัจจบุ ันน้ี ได้แก่ เทศบาล สุขาภบิ าล องค์การบริหารส่วน จงั หวดั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำบล กรงุ เทพมหานคร และเมอื งพทั ยา องคก์ ารปกครอง ตนเองเหล่านี้ต่างมีอ�ำนาจออกกฎหมายบังคับแก่ราษฎรที่อาศัยอยู่ในอาณาเขต ปกครองของตนไดภ้ ายในขอบเขตทพ่ี ระราชบญั ญตั กิ อ่ ตง้ั องคก์ ารเหลา่ นน้ั ก�ำหนดไว้ นอกจากนยี้ งั มอี งคก์ ารมหาชนอสิ ระอนื่ อกี ทม่ี อี �ำนาจออกขอ้ บงั คบั ทเี่ ปน็ กฎหมายได้ เช่น มหาวิทยาลัยของรฐั เป็นต้น ล�ำดบั ชน้ั ของกฎหมายลายลักษณ์อกั ษร (1) กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดเป็นแม่บทของกฎหมายท้ัง หลาย ดงั นนั้ กฎหมายทกุ ประเภทจะออกมาขดั หรอื แยง้ กบั รฐั ธรรมนญู มไิ ด้ (2) พระราชบัญญัติ เป็นกฎหมายท่ีมีล�ำดับชั้นรองจากรัฐธรรมนูญเพราะ เป็นกฎหมายทอ่ี อกโดยอาศยั อ�ำนาจของรฐั ธรรมนญู โดยตรง (3) พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่ตราข้ึนโดยฝ่ายบริหารเพื่อใช้ในการ จดั ระเบยี บบรหิ ารราชการหรอื ก�ำหนดหลกั เกณฑว์ ธิ กี ารหรอื เงอ่ื นไขใน การบงั คบั การให้เป็นไปตามกฎหมายซง่ึ เป็นเรือ่ งทีส่ �ำคญั สรรพศาสตร์ในทางโลก 36 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
(4) กฎกระทรวง เป็นกฎหมายทตี่ ราข้นึ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ออก โดยอาศัยแม่บท คือ พระราชบัญญัติ พระราชก�ำหนด เพื่อบัญญัติ เกี่ยวกับรายละเอียดต่าง ๆ ของกฎหมายแม่บท โดยจะก�ำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข ในการบังคบั การหรือปฏิบตั ิการให้เป็นไป ตามกฎหมาย ทง้ั นกี้ ฎกระทรวงจะขัดกบั กฎหมายแม่บทไม่ได้ (5) กฎหมายองค์การบัญญัติ ได้แก่ ข้อบัญญัติท้องถ่ินต่าง ๆ เช่น เทศบญั ญตั ิ ข้อบญั ญตั ิจงั หวดั ข้อบัญญัตกิ รงุ เทพมหานคร ข้อบังคบั สขุ าภบิ าล เป็นต้น ข. กฎหมายที่มไิ ด้บัญญตั ิข้ึนเป็นลายลักษณ์อักษร ในทางวชิ านติ ศิ าสตรย์ อมรบั วา่ นอกจากกฎหมายทบ่ี ญั ญตั ขิ น้ึ แลว้ ยงั มกี ฎเกณฑแ์ บบแผนความประพฤตขิ องคนในสงั คมบางอยา่ งทมี่ ไิ ดบ้ ญั ญตั ขิ นึ้ แตม่ ี ผลบงั คบั เปน็ กฎหมายได้ คอื กฎหมายประเพณี หลกั กฎหมายทว่ั ไป และค�ำพพิ ากษา ของศาล กฎหมายประเพณี จารีตประเพณที ่มี ลี ักษณะเป็นกฎหมายจะต้องมลี กั ษณะส�ำคญั 2 ข้อ คือ (1) เป็นจารีตประเพณที ป่ี ระชาชนได้ปฏิบัตกิ ันมานานและสม�่ำเสมอ (2) ประชาชนมคี วามรสู้ กึ วา่ จารตี ประเพณเี หลา่ นน้ั เปน็ สง่ิ ทถี่ กู ตอ้ งและตอ้ ง ปฏิบตั ติ าม ส่วนจารีตประเพณีใดท่ีไม่เข้าหลักเกณฑ์ท้ังสองประการนี้จึงไม่ได้ช่ือว่า เป็น กฎหมายประเพณี เหตทุ ีต่ ้องมกี ฎหมายประเพณีเพราะว่าการด�ำเนนิ ชีวติ ของคนใน สังคมสลับซับซ้อนเกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์จะเขียนเป็นกฎหมายลายลักษณ์ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 37 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
อกั ษรใหค้ รอบคลมุ ครบถว้ นได้ ในบางกรณจี งึ ตอ้ งใช้จารตี ประเพณมี าประกอบการ พิจารณา หลกั กฎหมายทวั่ ไป หลักกฎหมายทั่วไป หมายถึง หลักกฎหมายท่ีมีอยู่ในระบบกฎหมายของ ประเทศนน้ั โดยคน้ หาไดจ้ ากกฎหมายทเี่ ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรของประเทศนนั้ เอง เชน่ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพง่ หรอื กฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษรอน่ื ทม่ี ี หลกั ใหญพ่ อทจี่ ะท�ำใหเ้ ปน็ หลกั อา้ งองิ ส�ำหรบั น�ำมาปรบั แกค่ ดี โดยจะใชใ้ นคดที ไี่ มม่ ี จารตี ประเพณี เปน็ ตน้ เปน็ หลกั ในการวนิ จิ ฉยั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 4 วรรค 2 ซง่ึ บญั ญตั ไิ วว้ า่ ถา้ ไมม่ จี ารตี ประเพณเี ชน่ วา่ นน้ั ใหว้ นิ จิ ฉยั คดอี าศยั เทยี บบทกฎหมายทใี่ กลเ้ คยี งอยา่ งยง่ิ และถา้ บทกฎหมายเชน่ นนั้ ไมม่ ดี ว้ ย ให้ วนิ จิ ฉยั ตามหลกั กฎหมายทวั่ ไป ค�ำพพิ ากษาของศาล ค�ำพพิ ากษาของศาลตาม Civil Law อนั เปน็ ระบบกฎหมายภาคพน้ื ยโุ รปและ เอเชยี ไดแ้ ก่ ฝรงั่ เศส เยอรมนั สเปน ญป่ี นุ่ เกาหลี และไทย ถอื วา่ ค�ำพพิ ากษาโดย ทวั่ ไปไมใ่ ชบ่ อ่ เกดิ ของกฎหมาย นอกจากค�ำพพิ ากษานนั้ จะเปน็ ค�ำพพิ ากษาบรรทดั ฐาน คอื เปน็ ค�ำพพิ ากษาตวั อยา่ งทคี่ นปฏบิ ตั ติ าม เปน็ ค�ำพพิ ากษาทด่ี ไี มม่ คี �ำพพิ ากษาอนื่ มา คดั คา้ นหรอื โตแ้ ยง้ มคี นรจู้ กั กนั ทว่ั ไป แลว้ กป็ ฏบิ ตั ติ ามกนั มานาน 3.) หมวดหมขู่ องกฎหมาย ในปจั จบุ นั สามารถจดั หมวดหมกู่ ฎหมายออกเปน็ 4 หมวดดว้ ยกนั คอื กฎหมายมหาชน กฎหมายเอกชน กฎหมายสงั คม และกฎหมายเศรษฐกจิ สรรพศาสตร์ในทางโลก 38 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
กฎหมายมหาชน เปน็ กฎหมายทวี่ า่ ดว้ ยอ�ำนาจสงู สดุ ในการปกครอง อนั ประกอบ ดว้ ย รฐั ธรรมนญู กฎหมายปกครอง กฎหมายอาญา กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ พระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม1 กฎหมายระหวา่ งประเทศ แผนกคดเี มอื ง กฎหมายเอกชน ไดแ้ ก่ กฎหมายแพง่ กฎหมายพาณชิ ย์ และกฎหมายระหวา่ ง ประเทศแผนกคดบี คุ คล (1) กฎหมายแพ่ง เป็นกฎหมายที่ก�ำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนใน เร่อื งบุคคล หนี้ ทรัพย์สิน ครอบครวั และมรดก (2) กฎหมายพาณิชย์ เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ เช่น หุ้นส่วน บริษัท ประกันภัย ต๋ัวเงิน กฎหมายทะเล เป็นต้น ใน ประเทศไทยทั้งกฎหมายแพ่งและพาณิชย์รวมอยู่ในประมวลกฎหมาย ฉบบั เดียวกนั ในช่ือว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ (3) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดบี คุ คล เป็นกฎหมายทวี่ ่าด้วยความ สัมพันธ์ระหว่างเอกชน แต่เอกชนน้ันมีสัญชาติต่างกนั กฎหมายสงั คม เปน็ กฎหมายทม่ี ลี กั ษณะความเกย่ี วกนั ระหวา่ งกฎหมายเอกชน และมหาชน เชน่ กฎหมายแรงงาน กฎหมายประกนั สงั คม เปน็ กฎหมายทบี่ ญั ญตั ขิ น้ึ เพอื่ ความสงบสขุ และความเปน็ ธรรมในสงั คม กฎหมายเศรษฐกจิ หมายถงึ บทบญั ญตั ทิ บี่ ญั ญตั ถิ งึ กจิ การทางเศรษฐกจิ เพอ่ื ทจี่ ะควบคมุ ชแ้ี นวทาง สง่ เสรมิ หรอื จ�ำกดั การกระท�ำการทางเศรษฐกจิ 4.) การใชก้ ฎหมาย การใช้กฎหมาย คือ การน�ำข้อเท็จจริงท่ีเกิดขึ้นในคดีมาปรับกับตัว 1 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม คือ กฎหมายที่จัดระเบียบองค์กรศาลยุติธรรม และก�ำหนดอ�ำนาจศาล ตลอดจนเขตอ�ำนาจของศาลยุตธิ รรมต่าง ๆ สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 39 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
กฎหมายและวินิจฉัยชี้ขาดว่า ข้อเท็จจริงน้ันมีผลทางกฎหมายอย่างไร ข้อเท็จจริง ในคดสี �ำหรบั การพจิ ารณาของศาล คอื บรรดาเรอ่ื งราวอนั เปน็ ประเดน็ ขอ้ พพิ าทและ รายละเอยี ดในส�ำนวนคดี ซง่ึ ศาลไดส้ รปุ จากพยานหลกั ฐานตา่ ง ๆ ทค่ี คู่ วามไดก้ ลา่ ว อา้ งในกระบวนการพจิ ารณาและศาลรบั ฟงั เปน็ ทย่ี ตุ วิ า่ เปน็ เชน่ นนั้ เมอ่ื ไดข้ อ้ เทจ็ จรงิ แลว้ จึงน�ำข้อเท็จจริงมาปรับกับตัวบทกฎหมายเรียกว่า เป็นการใช้กฎหมายหรือเรียกว่า การปรบั บท นน่ั เอง โดยสามารถสรปุ ขน้ั ตอนการใชก้ ฎหมายไดด้ งั น้ี (1) ตรวจสอบวา่ ขอ้ เทจ็ จรงิ ในคดวี า่ เกดิ ขน้ึ จรงิ ดงั ขอ้ กลา่ วอา้ งหรอื ไม่ ซง่ึ จะ ต้องพิสูจน์ด้วยพยานหลกั ฐานต่าง ๆ (2) เม่ือได้ข้อเท็จจริงแล้วจะต้องค้นหากฎหมายท่ีตรงกับข้อเท็จจริงนั้นมา ปรบั บท (3) วนิ จิ ฉยั วา่ ขอ้ เทจ็ จรงิ ในคดนี นั้ ปรบั ไดก้ บั ขอ้ เทจ็ จรงิ ทเ่ี ปน็ องคป์ ระกอบ ในบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายหรอื ไม่ (4) ถา้ ปรบั ไดใ้ หช้ ว้ี า่ มผี ลตอ่ กฎหมายอยา่ งไร หากกฎหมายก�ำหนดผลทาง กฎหมายไว้หลายอย่าง ผู้ใช้กฎหมายจะต้องใช้ดุลพินิจตัดสินใจเลือก ผลทางกฎหมายอย่างใดอย่างหนึง่ ให้เหมาะสมกบั ข้อเทจ็ จรงิ ท่เี กดิ ข้นึ ล�ำดบั การใชก้ ฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 4 ก�ำหนดใหใ้ ชก้ ฎหมายทบี่ ญั ญตั ิ ขน้ึ เปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรกอ่ น เมอ่ื ไมม่ บี ทบญั ญตั กิ ฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษรมาปรบั ใช้ กบั คดไี ดจ้ งึ ใหน้ �ำจารตี ประเพณใี นทอ้ งถน่ิ มาใช้ หากไมม่ จี ารตี ประเพณใี นทอ้ งถน่ิ มาปรบั ใชไ้ ด้ กใ็ หน้ �ำเอาบทบญั ญตั กิ ฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษรมาปรบั ใชอ้ กี ครงั้ หนง่ึ ในฐานะท่ี เปน็ บทกฎหมายทใี่ กลเ้ คยี งอยา่ งยงิ่ หากไมส่ ามารถท�ำไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและเปน็ ธรรม อกี กต็ อ้ งน�ำหลกั กฎหมายทว่ั ไปมาปรบั ใชเ้ ปน็ ขนั้ สดุ ทา้ ย สรรพศาสตร์ในทางโลก 40 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
2.2.4 เศรษฐศาสตร์ 1.) ความหมายของเศรษฐศาสตร์ ค�ำวา่ เศรษฐศาสตร์ (Economics) มาจากภาษากรกี วา่ Oikos แปลวา่ ครวั เรอื น และ nomos แปลวา่ กฎระเบยี บ ดงั นนั้ รวมกนั แลว้ จงึ หมายความวา่ “การ จดั การในครวั เรอื น” สว่ นค�ำวา่ “เศรษฐกจิ ” (Economy) มาจากภาษากรกี 2 ค�ำรวม กนั คอื Oikos หมายถงึ บา้ น และ nemien หมายถงึ การจดั การ ดงั นนั้ เศรษฐกจิ จงึ หมายถงึ “การจดั การบา้ น”1 จะเหน็ วา่ ค�ำวา่ เศรษฐกจิ มคี วามหมายใกลเ้ คยี งกบั ค�ำวา่ เศรษฐศาสตรม์ าก อลั เฟรด มารแ์ ชลล์ (Alfred Marshall) กลา่ วถงึ ความหมายของวชิ า เศรษฐศาสตรไ์ วว้ า่ เปน็ วชิ าทศ่ี กึ ษาเกยี่ วกบั พฤตกิ รรมของมนษุ ยท์ งั้ ในระดบั บคุ คล และสงั คมในการด�ำเนนิ กจิ กรรมทาง “เศรษฐกจิ ” เพอ่ื การด�ำรงชพี ใหไ้ ดร้ บั ความสขุ สมบรู ณ์ 2 ดงั นนั้ เศรษฐศาสตรจ์ งึ เปน็ วชิ าทวี่ า่ ดว้ ยเรอื่ งเศรษฐกจิ นน่ั เอง วนั รกั ษ์ มง่ิ มณนี าคนิ ไดน้ ยิ ามค�ำวา่ เศรษฐศาสตร์ ไวว้ า่ เศรษฐศาสตร์ คอื ศาสตรท์ ศี่ กึ ษาเกย่ี วกบั การเลอื กหนทางในการใชท้ รพั ยากรการผลติ อนั มอี ยจู่ �ำกดั ส�ำหรบั การผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารใหก้ บั มนษุ ย์ ซงึ่ มคี วามตอ้ งการอยา่ งไมจ่ �ำกดั เพอื่ ให้ เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ 3 ค�ำว่า “ทรัพยากร” หมายถึง ส่ิงท้ังปวงอันเป็นทรัพย์ ซึ่ง “ทรัพย์” หมายถงึ สงิ่ ทถี่ อื วา่ มคี า่ ไดแ้ ก่ วตั ถมุ รี ปู รา่ ง เชน่ เงนิ ตรา, สงิ่ อนื่ ๆ หรอื วตั ถทุ ไ่ี มม่ ี รปู รา่ ง เชน่ ปญั ญา เรยี กวา่ อรยิ ทรพั ย์ 4 สว่ นทรพั ยากรการผลติ หมายถงึ ทรพั ยากรท่ี น�ำมาผลติ สนิ คา้ และบรกิ าร แบง่ เปน็ 4 ประเภท คอื ทดี่ นิ แรงงาน ทนุ และผปู้ ระกอบ การ 1 จรินทร์ เทศวานิช. (2531). “หลักเศรษฐศาสตร์เบอื้ งต้น.” หน้า 2. 2 ณรงค์ ธนาวิภาส. (2542). “เศรษฐศาสตร์เบอ้ื งต้น.” หน้า 10. 3 วันรักษ์ ม่งิ มณนี าคิน. (2541). “เศรษฐศาสตร์เบือ้ งต้น.” หน้า 2. 4 ราชบัณฑติ ยสถาน (2525). “พจนานกุ รม. (ฉบับอิเลก็ ทรอนิกส์).” สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 41 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
2.) ประเภทของเศรษฐศาสตร์ 2.1) เศรษฐศาสตรม์ หภาค คอื การศกึ ษาเศรษฐกจิ ทงั้ ระบบหรอื ทง้ั ประเทศ ไดแ้ ก่ รายไดป้ ระชาชาติ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรายได้ การบรโิ ภค การ ออม การลงทุน และระดบั การจ้างงานโดยทว่ั ไป การใช้จ่ายของรฐั บาล การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เป็นต้น 2.2) เศรษฐศาสตรจ์ ลุ ภาค คอื การศกึ ษาเศรษฐกจิ หนว่ ยยอ่ ย เชน่ ครวั เรอื น บรษิ ทั หา้ งรา้ นตา่ ง ๆ การก�ำหนดราคาของสนิ คา้ แตล่ ะชนดิ ตน้ ทนุ และ ปริมาณการผลิตของสนิ ค้าแต่ละชนิด เป็นต้น 3.) เปา้ หมายของเศรษฐศาสตร์ เปา้ หมายสงู สดุ ของเศรษฐศาสตรโ์ ดยเฉพาะระดบั มหภาคนนั้ คอื การ ศกึ ษาเพอื่ แสวงหาแนวทางท�ำใหป้ ระชาชนในประเทศอยดู่ กี นิ ดี (Maximize Social Welfare) กล่าวคอื จะต้องท�ำใหเ้ ศรษฐกจิ ของประเทศดี มกี ารจ้างงานอย่างเตม็ ท่ี เศรษฐกจิ เตบิ โตอยา่ งตอ่ เนอื่ ง มกี ารกระจายรายไดอ้ ยา่ งทว่ั ถงึ คอื รายไดไ้ มก่ ระจกุ ตวั อยใู่ นกลมุ่ ใดกลมุ่ หนงึ่ แตม่ กี ารกระจายไปสมู่ อื ของประชาชนทว่ั ทกุ ครวั เรอื น ปญั หา ความอดอยากยากจนไดร้ บั การจดั การแกไ้ ข เปน็ ตน้ 4.) อปุ สงคแ์ ละอปุ ทาน 4.1) อปุ สงค์ (Demand) คือ ปริมาณความต้องการสนิ ค้า ณ เวลาใดเวลา หนึง่ โดยความต้องการดังกล่าวนี้ต้องเป็นความต้องการท่สี ามารถจ่าย ได้ แต่โดยท่ัวไปเม่ือระดับราคาสินค้าเพิ่มข้ึนหรือสินค้าแพงข้ึนความ ต้องการสินค้าชนิดนน้ั จะลดลง สรรพศาสตร์ในทางโลก 42 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
4.2) อุปทาน (Supply) คือ ปรมิ าณเสนอขายสนิ ค้า ณ เวลาใดเวลาหน่ึง โดยทวั่ ไปเมอ่ื ระดบั ราคาสนิ ค้าเพม่ิ ขนึ้ หรอื สนิ คา้ แพงขนึ้ ผ้ขู ายจะยนิ ดี เสนอขายสินค้าในปรมิ าณท่ีเพมิ่ ขึ้น เมอ่ื ใดทสี่ นิ คา้ ถกู ขายในตลาด ณ ระดบั ราคาทผี่ บู้ รโิ ภคมคี วามตอ้ งการ สนิ คา้ มากกวา่ จ�ำนวนสนิ คา้ ทผี่ ลติ ได้ กจ็ ะเกดิ การขาดแคลนสนิ คา้ ขนึ้ ซงึ่ จะสง่ ผลให้ ราคาสนิ คา้ แพงขน้ึ ในทางตรงขา้ มระดบั ราคาจะตำ�่ ลงเมอ่ื ปรมิ าณสนิ คา้ มมี ากกวา่ ความ ตอ้ งการ กระบวนการดงั กลา่ วจะด�ำเนนิ ไปจนกระทง่ั ตลาดเขา้ สจู่ ดุ ดลุ ยภาพ ซง่ึ เปน็ จดุ ทอ่ี ปุ สงคก์ บั อปุ ทานมคี วามสมดลุ พอดกี นั 5.) ระบบเศรษฐกจิ ระบบเศรษฐกิจ (Economy system) หมายถึง ระบบการก�ำหนด กรรมสทิ ธแ์ิ ละวธิ ใี นการบรหิ ารจดั การแรงงานและทรพั ยากรในการผลติ การกระจาย และการบรโิ ภคของประชาชนในแตล่ ะประเทศ ซง่ึ ระบบเศรษฐกจิ ทสี่ �ำคญั ๆ ไดแ้ ก่ ระบบ ทนุ นยิ มหรอื ระบบนายทนุ , ระบบสงั คมนยิ ม และระบบเศรษฐกจิ ผสม 5.1) ระบบทนุ นยิ ม (Capitalism) ระบบทนุ นยิ ม หมายถงึ ระบบเศรษฐกจิ ทเี่ อกชนเปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธใิ์ น ทรพั ยส์ นิ ของตน การตดั สนิ ใจทางเศรษฐกจิ เปน็ กจิ กรรมสว่ นบคุ คลไมใ่ ชก่ ารควบคมุ บรหิ ารโดยรฐั ซงึ่ ลกั ษณะส�ำคญั ของระบบทนุ นยิ มมดี งั นี้ (1) เอกชนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทั้งที่เป็นปัจจัยการผลิตและ ทรพั ย์สนิ อ่นื ๆ เอกชนมสี ิทธเิ สรีภาพในการเลอื กใช้ทรพั ย์สินของตน อย่างเตม็ ท่ี (2) เอกชนเจา้ ของทรพั ยส์ นิ หรอื เจา้ ของธรุ กจิ เปน็ ผมู้ อี �ำนาจในการตดั สนิ ใจ ทุกข้ันตอนของกระบวนการผลิต ตั้งแต่การริเร่ิมกิจการ การเลือกใช้ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 43 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
ทรพั ยากรการผลติ วธิ กี ารผลติ และการก�ำหนดราคาสนิ ค้าและบรกิ าร ของตน (3) กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ด�ำเนนิ ไปโดยผา่ นกลไกของราคาหรอื กลไกตลาด กลา่ วคอื ผผู้ ลติ จะตดั สนิ ใจการผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารตามความตอ้ งการ ของตลาดโดยค�ำนึงถงึ ก�ำไรเป็นส�ำคัญ ก�ำไรจงึ เป็นเง่อื นไขส�ำคัญท่สี ดุ ของระบบทนุ นยิ ม (4) อาจมีการผูกขาดการผลิตได้โดยกลุ่มท่ีมีทุนมากจะขยายการผลิตมาก ท�ำให้ต้นทนุ การผลิตต�่ำ ส่วนผู้ที่มีทนุ น้อยไม่อาจขยายการผลิตขนาด ใหญไ่ ด้ ท�ำใหต้ น้ ทนุ การผลติ สงู เมอื่ ตน้ ทนุ สงู จงึ ตอ้ งขายแพง เปน็ เหตุ ให้ขายไม่ออก ในท่สี ุดจึงต้องยกเลกิ ธุรกจิ ไป (5) การกระจายรายได้ขาดความเสมอภาคและความเป็นธรรม กล่าวคือ คนกลุ่มน้อย จะมีความม่ังค่ังมากแต่คนส่วนใหญ่ในสังคมจะมีฐานะ พอมีอนั จะกินจนถึงขนาดยากจน (6) ท�ำให้กลุ่มนายทุนครอบง�ำการก�ำหนดนโยบายบริหารประเทศ เพราะ กลุ่มนายทุนมีอิทธิพลทางการเงินมาก สามารถใช้อิทธิพลทางการเงิน เข้าครอบง�ำทางการเมืองการปกครองได้ 5.2) ระบบสงั คมนยิ ม (Socialism) ระบบสงั คมนยิ ม หมายถงึ ระบบเศรษฐกจิ ทเ่ี กดิ จากแนวคดิ หลกั คอื ต้องการให้กรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินเป็นของส่วนรวมเพ่ือลดความบกพร่องของระบบ ทนุ นยิ ม โดยเฉพาะการเอารดั เอาเปรยี บของกลมุ่ นายทนุ ทงั้ หลาย ระบบสงั คมนยิ มมี 3 แบบหลกั ๆ คอื สงั คมนยิ มอดุ มคติ สงั คมนยิ มประชาธปิ ไตย และสงั คมนยิ ม มารก์ ซสิ ตห์ รอื คอมมวิ นสิ ต์ สรรพศาสตร์ในทางโลก 44 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
(1) สงั คมนยิ มอดุ มคติ (Utopian Socialism) แนวคดิ นมี้ มี าตง้ั แตโ่ บราณวา่ ดว้ ยการจดั สงั คมใหท้ กุ คนมกี รรมสทิ ธริ์ ว่ ม กนั ในทรพั ยส์ นิ และมนษุ ยม์ คี วามเทา่ เทยี มกนั ทงั้ ในทางสงั คม ทางการปกครอง และ ทางเศรษฐกจิ มกี ารท�ำงานรว่ มกนั ชว่ ยเหลอื กนั อนั ท�ำใหส้ งั คมมแี ตส่ นั ตสิ ขุ ปราศจาก การทะเลาะ แกง่ แยง่ ชงิ ดกี นั (2) สงั คมนยิ มประชาธปิ ไตย (Democratic Socialism) เปน็ ระบบเศรษฐกจิ ทเ่ี กดิ จากแนวคดิ ทตี่ อ้ งการใหก้ รรมสทิ ธใิ์ นทรพั ยส์ นิ เปน็ ของสว่ นรวมเพอื่ ลดความบกพรอ่ งของระบบนายทนุ แตใ่ นขณะเดยี วกนั กย็ งั เคารพ แนวคดิ แบบประชาธปิ ไตยในเรอื่ งความเสมอภาคและเสรภี าพ แนวคดิ นเี้ ปดิ โอกาสให้ รฐั บาลเขา้ มาสรา้ งความเปน็ ธรรมแกส่ งั คม ขจดั ปญั หาการเอารดั เอาเปรยี บกนั แตย่ งั คงไวซ้ ง่ึ เสรภี าพสว่ นบคุ คล (3) ระบบสงั คมนยิ มมารก์ ซสิ ต์ (Marxism) ระบบเศรษฐกจิ นคี้ นทว่ั ไปมกั รจู้ กั ในนามระบบคอมมวิ นสิ ต์ ระบบนรี้ ฐั จะ เป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ในทรัพย์สิน ปัจจัยการผลิตจะเป็นของรัฐท้ังหมด เอกชนมี กรรมสทิ ธเิ์ ฉพาะทเ่ี ปน็ ของสว่ นตวั และสนิ คา้ ผบู้ รโิ ภคเทา่ นน้ั รฐั จะวางแผน ตดั สนิ ใจ และด�ำเนนิ การทางเศรษฐกจิ เอง ประชาชนเปน็ เพยี งผปู้ ฏบิ ตั ติ าม การด�ำเนนิ การผลติ ไมข่ น้ึ อยกู่ บั การแสวงหาก�ำไรแตเ่ ปน็ ไปตามทร่ี ฐั วางแผนไว้ ในระบบนจ้ี งึ ไมม่ เี สรภี าพ และไมม่ กี ารแขง่ ขนั 5.3) ระบบเศรษฐกจิ แบบผสม (Mixed Economy) เปน็ ระบบเศรษฐกจิ ทผี่ สมระหวา่ งระบบทนุ นยิ มกบั ระบบสงั คมนยิ ม โดย รัฐบาลของประเทศท่ีใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมได้เข้าไปมีบทบาทและควบคุม กจิ กรรมของเอกชนมากขน้ึ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ กจิ การทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั คนจ�ำนวนมากและ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 45 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
ตอ้ งเสยี คา่ ใชจ้ า่ ยสงู รวมทงั้ กจิ กรรมทเี่ กยี่ วกบั ความมนั่ คงของชาตโิ ดยอยใู่ นรปู แบบ รฐั วสิ าหกจิ ตา่ ง ๆ ประเทศตา่ ง ๆ ในโลกสว่ นใหญใ่ ชร้ ะบบเศรษฐกจิ แบบผสมน้ี 2.2.5 วาทศาสตร์ 1.) ความหมายของวาทศาสตร์ วาทศาสตร์ หมายถงึ วชิ าทศี่ กึ ษาถงึ การสอื่ สารความคดิ และความรสู้ กึ โดยการใชส้ ญั ลกั ษณต์ า่ ง ๆ ทงั้ ทเ่ี ปน็ สญั ลกั ษณท์ มี่ องเหน็ ไดแ้ ละรบั ฟงั ได้ ซง่ึ มนษุ ยจ์ ะ ตอ้ งใชส้ ญั ลกั ษณเ์ หลา่ นถี้ า่ ยทอดความรสู้ กึ นกึ คดิ ของตนไปสผู่ อู้ นื่ หรอื จากผพู้ ดู ไปสู่ ผฟู้ งั 1 Baird และ Knower อธบิ ายวา่ วาทศาสตรน์ น้ั ศกึ ษาถงึ การสอ่ื สารความ รสู้ กึ นกึ คดิ ภาษา เสยี ง การแสดงออก กริ ยิ าทา่ ทาง และบคุ ลกิ ของผพู้ ดู ซงึ่ การสอื่ สาร นอ้ี าจจะกระท�ำขนึ้ เพอื่ บอกกลา่ วชแ้ี จงไปยงั ผใู้ ดผหู้ นงึ่ หรอื ผอู้ น่ื หลาย ๆ คน และอาจ จะกระท�ำขน้ึ เพอ่ื ตอ้ งการมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ทศั นคติ พฤตกิ รรมของผอู้ นื่ เพอื่ ใหส้ อดคลอ้ ง กบั ความมงุ่ หมายของผพู้ ดู สรปุ แลว้ วาทศาสตร์ หมายถงึ ศาสตรแ์ หง่ การพดู นนั่ เอง วาทศาสตรเ์ ปน็ วชิ าทมี่ ผี สู้ นใจศกึ ษากนั มาก ทงั้ นเี้ พราะชว่ ยสง่ เสรมิ อาชพี หลกั ทงั้ หลายแทบทกุ อาชพี ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพยงิ่ ขนึ้ บคุ คลไมว่ า่ จะมอี าชพี ใด กต็ อ้ งใช้ การพดู ทงั้ สนิ้ หากบคุ คลเหลา่ นมี้ คี วามสามารถในการพดู ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล กย็ อ่ ม ไดเ้ ปรยี บและมโี อกาสประสบความส�ำเรจ็ ในหนา้ ทกี่ ารงานมากขนึ้ 2.) กระบวนการตดิ ตอ่ สอื่ สาร กระบวนการตดิ ตอ่ สอ่ื สาร หมายถงึ กระบวนการในการแลกเปลยี่ นความ รสู้ กึ นกึ คดิ อารมณ์ ขอ้ มลู ขา่ วสาร ทศั นะ ของบคุ คลตงั้ แตส่ องคนขนึ้ ไป การตดิ ตอ่ 1 วิรัช ลภริ ตั นกุล. (2543). “วาทนิเทศและวาทศลิ ป์ฯ.” หน้า 5. สรรพศาสตร์ในทางโลก 46 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
สอ่ื สารจงึ เปน็ ปฏกิ ริ ยิ าสมั พนั ธท์ างสงั คมทสี่ อื่ ความหมายผา่ นระบบสญั ลกั ษณแ์ ละระบบ ขา่ วสาร โดยมสี ว่ นประกอบทส่ี �ำคญั 4 ประการ คอื ผสู้ ง่ สารหรอื ผพู้ ดู , สารหรอื เรอ่ื ง ราวทพี่ ดู , ชอ่ งทางและผรู้ บั สารหรอื ผฟู้ งั (1) ผู้ส่งสารหรือผู้พูด (Sender or Speaker) คือ แหล่งต้นตอของการ ตดิ ต่อสอื่ สาร หมายถงึ บคุ คลทเ่ี ริม่ ท�ำการติดต่อสอื่ สารก่อน (2) สารหรือเร่ืองราวที่พูด (Message) คือ เน้ือหาสาระหรือสัญลักษณ์ ภาษา สญั ญาณต่าง ๆ ทส่ี ่อื ความหมายให้เป็นทเ่ี ข้าใจกันได้ (3) ช่องทาง (Channel) คือ วิถที างหรอื หนทางท่ชี กั น�ำเอาข่าวสารน้นั ไปสู่ ผรู้ บั หรอื เปน็ ตวั น�ำสารนน้ั ไปสผู่ ฟู้ งั ซง่ึ มอี ยหู่ ลายชอ่ งทาง เชน่ การพดู การเขยี น เป็นต้น (4) ผู้รับสารหรือผู้ฟัง (Receiver or Listener) คือ บคุ คลหรือกลุ่มคนท่ี เป็นเป้าหมายของการส่ือสาร ผู้รับหรือผู้ฟังจึงเป็นเป้าหมายท่ีผู้ส่งสาร หรอื ผู้พดู ต้งั ใจจะส่งสาร เพ่อื ให้ผู้รบั สารหรอื ผู้ฟังเข้าใจในสารน้นั ตาม ท่ีผู้พูดประสงค์ 3.) หลกั ส�ำคญั ของการตดิ ตอ่ สอื่ สาร หลกั ส�ำคญั ของการตดิ ตอ่ สอื่ สารมอี ยอู่ ยา่ งนอ้ ย 7 ประการ คอื ความนา่ เชอ่ื ถอื , ความเหมาะสมกลมกลนื กบั สภาพแวดลอ้ ม, เนอ้ื หาสาระ, ความชดั เจน, ความ ตอ่ เนอื่ งและความสมำ่� เสมอ, ชอ่ งทางในการสอ่ื สาร และขดี ความสามารถของผรู้ บั (1) ความนา่ เชอ่ื ถอื การตดิ ตอ่ สอ่ื สารจะตอ้ งเรม่ิ ดว้ ยบรรยากาศแหง่ ความนา่ เชอื่ ถอื เมอ่ื ผรู้ บั สารเชอ่ื มน่ั แลว้ การสอ่ื สารกจ็ ะส�ำเรจ็ ผลไดโ้ ดยงา่ ย เพราะผรู้ บั จะมคี วามตง้ั ใจรบั สาร นน้ั ๆ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 47 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
(2) ความเหมาะสมกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม การตดิ ตอ่ สอื่ สารจะตอ้ งเหมาะสมกลมกลนื กบั ความเปน็ จรงิ แหง่ สภาพ แวดลอ้ ม และจะตอ้ งเปดิ โอกาสใหผ้ รู้ บั มสี ว่ นรว่ ม เชน่ ซกั ถามดว้ ย เพอื่ ความเขา้ ใจดี ยงิ่ ขนึ้ ในสารนน้ั ๆ (3) เนือ้ หาสาระ เน้ือหาสาระของข่าวสารจะต้องมีความหมายต่อผู้รับเสมอ จะต้อง สอดคลอ้ งไมข่ ดั แยง้ ตอ่ ระบบคา่ นยิ มของเขา และทส่ี �ำคญั มนษุ ยจ์ ะเลอื กรบั ขา่ วสารที่ คาดวา่ จะเปน็ ประโยชนแ์ กเ่ ขา หากเหน็ วา่ ไรป้ ระโยชนเ์ ขายอ่ มไมส่ นใจในขา่ วสารนน้ั (4) ความชัดเจน ในการตดิ ตอ่ สอ่ื สาร ขา่ วสารจะตอ้ งมคี วามชดั เจน โดยอาจใชภ้ าษาหรอื ถอ้ ยค�ำทง่ี า่ ย ๆ เพอ่ื ความเขา้ ใจตรงกนั ทง้ั ผสู้ ง่ และผรู้ บั ขา่ วสารทมี่ คี วามสลบั ซบั ซอ้ น เขา้ ใจยาก อาจจะน�ำมาท�ำเปน็ หวั ขอ้ ค�ำขวญั ทส่ี น้ั ๆ งา่ ย ๆ กไ็ ด้ (5) ความต่อเนื่องและสม่ำ� เสมอ การติดต่อส่ือสารเป็นกระบวนการท่ีไม่มีท่ีสิ้นสุด ฉะน้ัน เพ่ือให้มี ประสทิ ธภิ าพ จะตอ้ งมกี ารยำ�้ เตอื นบอ่ ย ๆ เพอื่ ใหซ้ มึ ซาบเขา้ ไปในใจผรู้ บั (6) ช่องทางในการสือ่ สาร ชอ่ งทางในการสอ่ื สาร คอื ตวั เชอื่ มประสานระหวา่ งผสู้ ง่ กบั ผรู้ บั ท�ำใหผ้ ู้ สง่ และผรู้ บั สามารถสอื่ สารกนั ได้ ผสู้ ง่ สารจะตอ้ งเลอื กใชช้ อ่ งทางสอื่ สารทผ่ี รู้ บั มใี ชอ้ ยู่ หรอื สามารถจะรบั ไดแ้ ละมคี วามเชอ่ื ถอื ในชอ่ งทางนน้ั ดว้ ย (7) ขดี ความสามารถของผรู้ บั ในการตดิ ตอ่ สอื่ สารนน้ั เราตอ้ งค�ำนงึ ถงึ ความสามารถของผรู้ บั สารดว้ ย การสื่อสารจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด ถ้าท�ำให้ผู้รับใช้ความพยายามในการรับสาร สรรพศาสตร์ในทางโลก 48 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ลดนอ้ ยลงมากทสี่ ดุ ทง้ั นข้ี น้ึ อยกู่ บั ความสามารถดา้ นตา่ ง ๆ ของผรู้ บั เชน่ อปุ นสิ ยั ใจคอ และพน้ื ฐานความรู้ 4.) การเตรยี มตวั พดู อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ การเตรยี มตวั พดู อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพควรมขี น้ั ตอนอยา่ งนอ้ ย 8 ประการ คอื การเลอื กเรอื่ งทจี่ ะพดู การตงั้ วตั ถปุ ระสงคใ์ นการพดู ใหช้ ดั เจน การคน้ ควา้ รวบรวม เนอ้ื หาทจี่ ะน�ำมาพดู การจดั ระเบยี บเรยี บเรยี งเรอื่ งทจ่ี ะพดู การฝกึ ซอ้ มกอ่ นพดู จรงิ การน�ำเสนอ และการวเิ คราะหป์ ระเมนิ ผล (1) การเลอื กเรอื่ งทจ่ี ะพดู การเลอื กเรอ่ื งทจ่ี ะพดู ตอ้ งใชว้ จิ ารณญาณเลอื กเรอื่ งใหเ้ หมาะสมแกผ่ ฟู้ งั โอกาส กาลเทศะ และจดุ มงุ่ หมายในการพดู นนั้ ๆ ดว้ ย และควรพจิ ารณาวา่ เรอ่ื งทจี่ ะ พดู นต้ี นเองมคี วามถนดั ดเี พยี งไรและจะตอ้ งศกึ ษาคน้ ควา้ หาความรเู้ พม่ิ เตมิ อกี อยา่ งไร นอกจากนค้ี วรเลอื กเรอื่ งทนี่ า่ สนใจและมปี ระโยชนเ์ หมาะแกก่ ารฟงั ดว้ ย (2) การวเิ คราะหผ์ ฟู้ งั การวเิ คราะหผ์ ฟู้ งั เปน็ สงิ่ ส�ำคญั อกี ประการหนง่ึ ทผ่ี พู้ ดู จะละเลยไมไ่ ด้ เพราะ จะชว่ ยใหผ้ พู้ ดู สามารถทราบถงึ เงอื่ นไขตา่ ง ๆ ของผฟู้ งั เชน่ อายุ เพศ พน้ื ฐานการศกึ ษา ความสนใจ ทัศนคติ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการ เตรยี มเนอื้ หาทจี่ ะพดู (3) การตงั้ วตั ถปุ ระสงคใ์ นการพดู ใหช้ ดั เจน การตั้งวัตถุประสงค์การพูดเป็นส่ิงส�ำคัญมาก เพราะการพูดโดยไม่มี วตั ถปุ ระสงคอ์ าจกลายเปน็ พดู เพอ้ เจอ้ ไรส้ าระหาประโยชนม์ ไิ ด้ ซง่ึ โดยทว่ั ไปการพดู มวี ตั ถปุ ระสงค์ 3 ประการ คอื การพดู เพอื่ ใหค้ วามรู้ การพดู เพอื่ โนม้ นา้ วชกั จงู ใจ และ การพดู เพอ่ื ความเพลดิ เพลนิ จรรโลงใจ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 49 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450