คำนำ วฒั นธรรมเป็นส่งิ สะท้อนให้เห็นถึงคณุ ค่าวิถีชวี ติ ท่ีชุมชนและท้องถน่ิ ต่าง ๆ ได้พฒั นาและสร้างสรรค์ขึ้น เพ่ือใช้เป็นเครื่องมือในการดาเนินชีวิต โดยแสดงออกในรูปแบบและวิธีการท่ีหลากหลาย ทั้งในรูปแบบของวิถีชวี ิต ขนบธรรมเนียมประเพณี ภมู ปิ ญั ญา และศิลปะ เป็นต้น เพ่ือเป็นการปลูกจติ สานึกและกระตุน้ ให้คนในชุมชนท้องถ่ิน เกิดความตระหนัก มคี วามตน่ื ตัว และเขา้ มามีส่วนรว่ มในการฟ้ืนฟูเผยแพร่ และสืบสานภูมปิ ัญญาท้องถ่ินของตน จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดท่ีมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ มีวัฒนธรรมและมีองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นท่ีแตกต่าง และความหลากหลายในองค์ความรู้ภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรมท้องถ่ินที่มี การสง่ั สมและสืบทอดมาอยา่ งต่อเนื่องและปรากฏให้เหน็ ในปัจจบุ ัน การพฒั นาจงั หวดั เชียงราย เพ่อื สรา้ งความเข้มแข็ง ใหก้ ับชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ท่สี าคญั ประการหนง่ึ คอื การพลกิ ฟ้นื ศลิ ปะ และวฒั นธรรมท้องถ่ินที่มีอยใู่ นท้องถน่ิ นน้ั ๆ ในด้านตา่ ง ๆ ได้แก่ ภูมิปัญญาในแต่ละสาขา โดยเฉพาะภูมปิ ัญญาในการประกอบอาชีพเปน็ ภูมิปัญญาความรู้ เชิงศิลป์แขนงต่าง ๆ ท่ีมีศิลปินท้องถิ่นและศิลปินแห่งชาติตลอดจนช่างฝีมือ ซึ่งวัฒนธรรมและองค์ความรู้ ภมู ปิ ัญญาดังกล่าวเป็นทรัพยากรทส่ี าคัญสามารถใช้ประโยชนห์ รือเกื้อกูลชุมชนท้องถิน่ ผู้เปน็ เจา้ ของได้ เพ่ือเป็นการส่งเสริม สนับสนุน สืบสาน และอนุรักษ์ฟื้นฟูขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งการเสริมสร้างคุณค่าทางสังคมและจิตใจต่อมรดกทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งสาคัญ ในการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้และเป็นผู้สืบทอดมรดกวัฒนธรรมของชาติ รวมทั้งให้ประชาชน และเยาวชนในท้องถิ่นได้เรียนรู้ความสาคัญของวิถีชีวิต คุณค่าของประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น ความเป็นมาและ วัฒนธรรมประเพณี อนั จะสร้างความภาคภูมิใจและจิตสานึกในการดูแลรักษาวัฒนธรรมประเพณี ภูมิปญั ญาท้องถิ่น และเอกลักษณ์ของชาติ เกิดการสืบสานและต่อยอดในการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมประเพณีของชาติให้สืบต่อไป กรมส่งเสริมวฒั นธรรม จึงได้สนบั สนุนงบประมาณใหส้ ภาวฒั นธรรมจังหวัดเชียงราย ในการดาเนินงานโครงการ จัดทาฐานข้อมูลดา้ นมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรมท้องถน่ิ จังหวัดเชยี งราย ประจาปี 2565 ท้ังนี้ สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ สานักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้จัดทา หนังสือฐานข้อมูลด้านมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท้องถิ่น จังหวัดเชียงราย ประจาปี 2565 และหวังเป็น อย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริม สนับสนุน สืบสาน และอนุรักษ์ฟื้นฟูมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย ให้เป็นท่ีรู้จักและแพร่หลายทั้งในกลุ่มของเด็ก เยาวชน และประชาชนท่ัวไป สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายขอขอบคุณสภาวัฒนธรรมอาเภอทุกอาเภอ สภาวัฒนธรรมตาบล/เทศบาลทุกแห่ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งในพ้ืนท่ีจังหวัดเชียงราย รวมไปถึงปราชญ์ชาวบ้านทุกท่าน ที่ได้ให้ความ อนเุ คราะห์ขอ้ มูล ภาพถ่าย ในการจดั ทาหนงั สอื องค์ความรู้เล่มน้ีเปน็ อยา่ งยิ่ง สภาวัฒนธรรมจงั หวดั เชียงราย สงิ หาคม ๒๕๖๕
สำรบัญ หน้า วรรณกรรมและภำษำ 1 3 - การใช้นามสกลุ ของคนในพื้นทอ่ี าเภอแม่จัน 5 - คา่ ว จอ๊ ย 6 - คา่ วจอ้ ย คา่ วซอ - คา่ วธรรมเรื่องนางอุทธรา, สานวนมขุ ปาฐะ (วรรณกรรมปากเปล่า ) 9 ท่ชี าวบ้านเลา่ สอดคล้องกับเรื่องนางอุทธรา โดยเนอื้ เรื่องโยงเข้ากับสถานที่จรงิ 11 - ตานานพระธาตดุ อยตุง 15 - ประวตั ิคนยอง (บ้านแม่คาสบเปนิ ) 17 - ภาษาขมุ 20 - ภาษาบีซู 21 - วรรณกรรมลา้ นนา 23 - สรภัญญะ ๒๕ - หนงั สือตารายาเมืองลา้ นนา ๓๑ - อักษรธัมมล์ า้ นนา ๓๓ - วรรณกรรม “แต่งค่าว” - ค่าวฮ่า ๓๕ ๓๘ ศลิ ปะกำรแสดง ๔๑ ๔๓ - โปงลาง ๔๕ - กลองยาวประยุกต์ หมู่ ๑๑ บ้านใหมร่ อ่ งหวาย ๔๗ - ข่วงเฮียนฮู้เฮือนป้อครูมานิตย์ ๔๙ - เตน้ รากระทุ้งไม้ไผ่ (บอ่ ฉ่อง ตุ๊) ๕๒ - แคนมง้ ๕๕ - การแสดงฟ้อนเล็บกลมุ่ พัฒนาสตรีอาเภอแม่สาย ๕๗ - การขับซอ ๕๙ - การดดี ซึง ๖๑ - การฟอ้ นเลบ็ ๖๒ - การฟอ้ นดาบ การฟอ้ นเจิง ๖๔ - การฟ้อนสาวไหม ๖๖ - ดนตรีพน้ื เมือง ๖๙ - ฟอ้ นเล็บ การแสดงพ้นื บ้าน ๗๑ - ฟ้อนเลบ็ ๗๓ - ฟอ้ นมิ่งขวญั คีรศี รีขุนตาล ๗๕ - ฟ้อนลา้ นนา ๗๗ - ฟ้อนศิลามณี ๘๐ - ฟ้อนสาวไหม - ภมู ปิ ญั ญาดา้ นนาฎศิลป์ การตีระนาด - ภูมิปัญญาดา้ นนาฎศลิ ป์ การฟ้อนสาวไหม - รานก ราโต
สำรบัญ หนา้ ศลิ ปะกำรแสดง (ต่อ) ๘๒ ๘๔ - ราพดั จีน ๘๖ - วงปีพ่ าทย์ (สบุ รรณศลิ ป์) ๘๙ - วงสะลอ้ ซงึ กลุ่มผสู้ งู อายหุ มู่ 11 ๙๒ - ศลิ ปะการแสดงวงป่ีพาทย์ โรงเรยี นผู้สูงอายตุ าบลป่าซาง ๙๔ - ศิลปะการแสดง (ช่างปี/่ ฟ้อนเจงิ ) ๙๖ - ศิลปะการแสดง และนาฏศิลป์พ้นื บ้าน (ขบั ลื้อ) ๙๙ - กลองหลวง ๑๒ ราศี (กลองหลวงลา้ นนา) ๑๐๑ - แคนม้ง ๑๐๕ - คา่ ว จ๊อย ซอ ๑๐๗ - การฟ้อนสาวปอยหลวง ๑๐๙ - ศิลปะ “การฟอ้ นเลบ็ ” ๑๑๑ - ดนตรีพ้นื เมืองล้านนา (ดนตรสี ะล้อ ซอ ซึง) ๑๑๓ - ภูมปิ ัญญาชาวบ้านด้านศิลปะการแสดงฟ้อนรา ๑๑๕ - การฟอ้ นเลบ็ ๑๑๗ - การเลา่ คา่ ว จ๊อย ซอ พืน้ เมืองล้านนา ๑๑๙ - เต้นจะคึ (ปอยเตเว) ๑๒๑ - สะลอ้ ซอ ซงึ ๑๒๔ - การตกี ลองสะบัดชยั ๑๒๖ - คา่ ว จอ๊ ย ซอ ๑๒๘ - ภูมิปญั ญาชาวบา้ นดา้ น ดนตรพี ้นื บา้ น สะล้อ ซอ ซึง ตาบลม่วงคา ๑๓๐ - ภูมิปญั ญาชาวบ้าน ดา้ นดนตรพี น้ื บ้าน (สะล้อ ซอ ซึง) ตาบลเมอื งพาน ๑๓๒ - ภูมิปัญญาชาวบา้ น ดา้ นซอพ้นื เมือง - ภมู ิปญั ญาชาวบ้านด้านการขับซอพนื้ เมือง ๑๓๔ ๑๓๖ แนวปฏิบัตทิ ำงสงั คม พธิ กี รรม ประเพณี และงำนเทศกำล ๑๓๘ ๑๔๐ - พิธีกรรมทางศาสนา 1๔๓ - พธิ ีกรรมสู่ขวัญควาย 1๔๖ - พธิ สี ง่ เคราะหบ์ า้ นเคราะหเ์ มือง 1๕๐ - พธิ บี วงสรวงเจ้าหลวงเทิง 1๕๒ - ประเพณีสรงน้าพระธาตุจอมจ้อ 1๕๔ - ประเพณบี ุญผะเหวด 1๕๖ - แพทยพ์ น้ื บ้านล้านนา พิธีกรรมบาบัด (จิตบาบัด) 1๕๘ - แห่นางแมวขอฝน 1๖๐ - การเล้ยี งผเี จา้ ท่ี 1๖๓ - การแตง่ กายชาติพนั ธข์ุ มุ - การทาบายศรี - ด้านประเพณีและวฒั นธรรม (บุญบัง้ ไฟ) - ตานกว๋ ยสลากบ้านห้วยกา้ งรัฐ
สำรบัญ หน้า แนวปฏิบัตทิ ำงสงั คม พิธกี รรม ประเพณี และงำนเทศกำล (ตอ่ ) 1๖๖ 1๖๙ - ตาพยา่ นาเจอ่ นาบทือ ยา่ ง (ความเชอื่ ในเรอ่ื งการนับถือหอเส้อื บา้ น) 1๗๐ - บายศรสี ู่ขวัญ สง่ เคราะห์ 1๗๒ - บายศรีสขู่ วัญงานแต่งงาน 1๗๔ - ประเพณีเก่ียวกับวงจรชีวติ การข้ึนทา้ วทั้งส่ี 1๗๕ - ประเพณีและเทศกาลปีใหม่ลาหู่ (ตรษุ จีน) 1๗๖ - ประเพณีโยนลกู ช่วง ๑๗๘ - ประเพณีถวายสลากภตั 1๘๒ - ประเพณีทาบุญเมือง สะเดาะเคราะห์และถวายสลาก 25 1๘๔ - ประเพณีทาบุญตานข้าวใหม่ 1๘๖ - ประเพณบี วงสรวงพระเจ้าพรหมมหาราช 1๘๘ - ประเพณบี ุญบ้งั ไฟตาบลดงมหาวัน 1๙๐ - ประเพณีปีใหมเ่ ขาะจาเว 1๙๓ - ประเพณสี รงน้าพระธาตดุ อยกู่ 1๙๕ - ประเพณสี ืบชะตาแม่น้าจัน 1๙๗ - ประเพณสี ู่ขวญั ควาย 1๙๙ - ปอยส่างลอง ๒๐๐ - พธิ ีกรรม ประเพณี การฮ้องขวัญ สบื ชะตา ๒๐๓ - พิธกี รรมทางศาสนา ๒๐๖ - พธิ กี ินอ้อผะญา๋ ลา้ นนา ๒๐๘ - พธิ บี ายศรีสขู่ วัญ ๒๑๐ - พิธีสู่ขวัญ/อา่ นคา่ ว ๒๑๔ - พิธีอญั เชิญเคร่ืองสักการะ บวงสรวงอนสุ าวรยี พ์ ระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ๒๑๖ - พิธีฮ้องขวัญ (สู่ขวญั /เรียกขวญั ) สะเดาะเคราะห์ ๒๑๘ - พิธฮี อ้ งขวัญ หรอื หมอขวญั ๒๒๓ - วถิ ีชีวติ ชาวไทยวน ๒๒๔ - ส่งเคราะห์ส่วนตัว ๒๒๖ - สง่ เสรมิ ศลิ ปะ วฒั นธรรม ประเพณีท้องถนิ่ (ปีใหม่โลช้ งิ ช้าเผ่าอาขา่ ) ๒๒๘ - สรงน้าพระธาตุ ๒๓๐ - สรงนา้ พระธาตกุ ู่หิน ๒๓๒ - สรงน้าพระธาตจุ อมหมอกแกว้ ๒๓๔ - สรงน้าพระธาตุมหามงคล 5 ยอด ๒๓๖ - หอเจา้ ทีด่ งชาวบ้าน ๒๓๘ - ฮอ้ งขวญั ๒๔๐ - ประเพณีไหลเรือไฟ ๑๒ ราศี ๒๔๒ - ประเพณีการล่องสะเปา (ย่เี ป็ง) ชมุ ชนบ้านสบกก 2๔๔ - ประเพณีการเลย้ี งเสอ้ื บ้าน - พธิ ีถวายหนังแดง
สำรบัญ หน้า แนวปฏบิ ัตทิ ำงสงั คม พิธกี รรม ประเพณี และงำนเทศกำล (ต่อ) ๒๔๖ ๒๔๘ - พธิ ีกรรม ผปี ู่ย่าหมอ้ นง่ึ ๒๕๐ - พิธีสืบชะตา ๒๕๓ - การตานกว๋ ยสลาก ๒๕๖ - พธิ ีสืบชะตาขนุ น้าแม่ขา้ วต้มท่าสุด และพิธีสืบชะตาขุนนา้ ห้วยพลู ๒๕๘ - ประเพณีไหว้สาพระธาตผุ าตอง ๒๖๑ - ประเพณวี นั ศลี (สือหน)ี่ ๒๖๔ - กินวอ (เคาะจาเว) ๒๖๖ - ปูจ่ า๋ นประจาวัดสนั ทราย ๒๖๗ - ภมู ปิ ัญญาชาวบา้ น ดา้ นพธิ ีกรรม - ภมู ิปญั ญาชาวบ้าน ดา้ นศาสนพิธี ๒๖๙ 2๗1 อำหำร/ควำมรู้และกำรปฏบิ ัตเิ ก่ียวกบั ธรรมชำติและจักรวำล 2๗2 274 - การทาทองม้วนกรอบ 2๗6 - การแพทย์แผนไทยสมนุ ไพรพ้ืนบ้าน (หมอพน้ื บา้ นล้านนา) 2๗8 - แกงฮังเลหมก 280 - ขนมจีนนา้ เง้ยี ว 282 - ข้าวแตน๋ น้าแตงโม 284 - ขา้ วแรมฟนื (ปา้ นวล) 286 - ข้าวแรมฟืนหรอื ข้าวฟนื 288 - ข้าวหมาก 290 - เครอ่ื งดื่มชา 2๙2 - แคบหมจู นั ทรส์ วย 295 - ซาลาเปา (ยนู นาน) 297 - ต้มเตา้ หู้ (โจ๊ะตะโป่ดบ๊ั ) 299 - นวดจับเสน้ หมอสมุนไพร 301 - นา้ เง้ยี ว 303 - นา้ พริกซั่มจ้ิน 306 - นา้ พริกทราย 309 - นา้ พริกน้าผกั 311 - นา้ ออ้ ยค้ันสด 313 - ปลาสม้ สองพนี่ ้องมั่งมี 316 - แพทย์พื้นบ้านลา้ นนา พิธกี รรมบาบดั (จิตบาบดั ) 319 - ลานสุขภาพโพธนาราม 321 - ลาบดอย 323 - ลาบปลาน้าโขง - ลาบหมูอาข่า - ลาพี ซา่ ทอ ลาบพรกิ สมุนไพร - สมนุ ไพร
สำรบัญ หน้า อำหำร/ควำมรูแ้ ละกำรปฏบิ ัติเกยี่ วกบั ธรรมชำตแิ ละจักรวำล (ต่อ) 325 327 - สมุนไพรรักษารดิ สดี วง (ยารักษามะโหก) 329 - หน่อมัน 331 - หมอชาวบา้ น (หมอเปา่ เพ่ือการรกั ษาโรคงสู วัดและโรคกระดูก) 333 - หมอดูทานายโชคชะตา ทานายอนาคตของบคุ คล 334 - หมอพ้นื เมือง 337 - หมอเมือง ปราชญ์สมุนไพร 339 - หมอยาสมุนไพร 341 - หมตู นุ๋ (ยูนนาน) 343 - หอ่ นงึ่ ไก่เมอื งข้าวควั่ ๓๔5 - เหลา้ อุ หรอื สุราหมกั ๓๔7 - โหราศาสตร์ ๓๕3 - อาหารชาติพนั ธไุ์ ทยอง ๓๕5 - ปลากระบอก ๓๕7 - หลามบอน (แกงบอน) ๓๕9 - จิน้ สม้ ๓๖๑ - ภูมปิ ัญญาชาวบ้านด้านการแพทย์พนื้ บา้ น (หมอเมือง) ๓๖๓ - ขา้ วปุก (ออฝ)ุ ๓๖๕ - การแพทย์แผนไทย และการแพทย์พืน้ บ้านไทย ๓๖๗ - ขา้ วตม้ มดั (ข้าวต้มผัด) ๓๖๙ - ปราชญ์ชาวบา้ น (หมอสมนุ ไพรพ้ืนบา้ น) ๓๗๑ - ภูมิปัญญาชาวบ้านด้านการแพทย์พน้ื บ้าน สมุนไพร ลูกประคบ ๓๗๓ - ภูมปิ ัญญาชาวบ้านด้านการแพทย์และสาธารณะสขุ การตอกเสน้ ๓๗๕ - การนวดแผนไทย การแพทย์พน้ื บา้ น ๓๗๗ - การแปรรปู อาหารขนมไทย - การแปรรปู อาหารจากปลา (ไสก้ รอกปลานลิ ) 380 ๓82 งำนชำ่ งฝมี ือดัง้ เดมิ ๓84 ๓86 - กลุ่มตดั เย็บชุมชนหว้ ยไคร้พัฒนา ๓88 - การทาบายศรี ๓90 - การปลกู หม่อนเลย้ี งไหมและการทอฟ้าไหม 392 - การแปรรปู กะลามะพร้าว 394 - การสานไม้กวาดดอกหญา้ (กง๋ ) ๓97 - การสานแห 399 - แกะสลักจากเศษไม้ 401 - ขลุย่ ไม้ - ขนั บายศรสี ขู่ วญั - ขา้ วถกั หรอื ขจาขา้ วเปลือก - เคร่อื งจักสาน
สำรบัญ หนา้ งำนชำ่ งฝีมอื ด้งั เดมิ (ต่อ) 403 404 - เคร่ืองจักสาน งานหัตถกรรม 406 - เคร่อื งจกั สาน ชมุ ชนคณุ ธรรมวดั พนาลยั เกษม 409 - เครื่องป้นั ดินเผา (ป้ันหมอ้ ) 411 - โคมลา้ นนา 413 - งานจักสานผู้สูงอายุ 415 - จักสาน บ้านไคร้ 417 - จักสานจากหวาย 420 - จักสานตะกรา้ หวายเทยี ม 422 - ศิลปหตั ถกรรมพนื้ บาน (ช่างตมี ีด) 424 - ชา่ งตีเหลก็ วยั เกา๋ 426 - ช่างสานงานศลิ ป์ 431 - ตะกรา้ หวาย 433 - ตุงไชย (ตุงไจย หรอื ตงุ ชยั ) 435 - ตุงสบิ สองราศี (ตงุ ตวั เปิ้ง หรือตุงปใี หม่) 437 - ตมุ้ เหยีย่ น (ทีต่ กั ปลาไหล) , ทดี่ กั ปลา 439 - เตามดี ปงหลวง 441 - ทอผ้าพนื้ เมือง , ทาตุง 443 - บอกไฟดอก / โคมลอย 446 - ปราสาทศพ ๔58 - ปราสาทศพ (บ้านร่องบัวลอย) ๔60 - ปนั้ พระพุทธรูป หลอ่ พระพุทธรูป ป้ันรปู เหมอื น ๔62 - ผลิตภณั ฑเ์ ส่อื สานจากต้นกก ๔65 - ผา้ ขาวม้าทอมือ ๔67 - ผา้ ชดุ ไทใหญ่ ๔69 - ผ้าทอกลุ่มชาติพนั ธลุ์ มุ่ แมน่ ้าโขง ๔71 - ผา้ ทอไทล้ือ ๔74 - ผ้าทอมือบ้านสันหลวงใต้ ๔77 - ผา้ ทอหมูบ่ ้านท่าขนั ทอง ๔79 - ผ้าทออีสานลา้ นนา ๔86 - วิสาหกจิ ชมุ ชนผลิตภัณฑท์ ามอื บา้ นจงเจรญิ “ผา้ ปัก” ๔88 - ผ้าปกั ชดุ ชาตพิ นั ธ์ุไตหยา่ 491 - ผ้าปักดว้ ยมอื : กลุ่มวสิ าหกิจชุมชนกลุ่มงานฝีมอื ปักผ้าดว้ ยมอื ๔93 - ผา้ ปักมอื ๔95 - ผา้ ปักมอื ชาติพันธุอ์ าข่า ๔97 - ผา้ ปกั มอื บ้านสนั ทางหลวง 499 - ผา้ ปักมอื ลายเชียงแสนหงส์ดา - ผ้าพ้ืนเมือง บา้ นปงนอ้ ยใต้
สำรบัญ หนา้ งำนชำ่ งฝีมือดัง้ เดมิ (ตอ่ ) 501 4๕๘ - ผ้าไหมทอมือ บ้านห้วยเคียน 507 - มีด (เผา่ มง้ ) 511 - ไมก้ วาดดอกหญา้ บา้ นป่าม่วง 513 - ไมก้ วาดดอกหญ้า ป่าก่อดา 515 - ไมก้ วาดดอกหญา้ เมืองชมุ 517 - ไม้กวาดดอกหญ้าและไม้กวาดทางมะพร้าว 519 - สานสุม่ ไก่ 521 - เสื่อกก 523 - เส่ือกกบา้ นป่าลนั 525 - เยบ็ หมวกสาน บา้ นศรีชมุ 527 - ซ้าหวด 529 - ผา้ อิ้วเมี่ยน 532 - ผ้าไหมทอมอื บ้านวงั ศลิ า 534 - เครอ่ื งป้นั ดนิ เผาเวียงกาหลง – เวยี งป่าเป้า 536 - ภมู ิปญั ญาชาวบา้ นด้านผลิตภณั ฑ์เคร่ืองจกั สาน 538 - สานตะกร้าทางมะพรา้ ว 540 - เครือ่ งจักสาน (ฆ้องไม้ไผ)่ ๕๔๒ - งานแกะสลักไม้ สล่าคาจนั ทร์ ยาโน ๕๔๔ - การปักผา้ ลาหู่ (มอตอ้ เว) ๕๔๖ - การสร้างพระวิหาร (เครอ่ื งประดบั ) งานประดิษฐ์ปนู ปน้ั ๕๔๘ - ตงุ ไส้หมู ๕๕๑ - จักสานขนั โตกหวาย ๕๕๓ - ภมู ิปญั ญาชาวบ้าน ดา้ นแกะสลกั ไม้ ๕๕๕ - ภมู ิปัญญาชาวบ้านด้านงานชา่ งฝีมอื ดงั้ เติม - การจัดทาเคร่ืองบายศรสี ขู่ วัญ 557 559 กำรเลน่ พ้ืนบ้ำน กฬี ำพ้นื บ้ำน และศลิ ปะกำรต่อสปู้ อ้ งกันตัว 562 - การชนไก่ 564 - การเล่นลกู ช่วง - ของเล่นพืน้ บ้านจากใบมะพรา้ ว 565 - ลูกชว่ ง (ปใี หม่ม้า) 567 - เล่นลูกข่าง (หม่ะข่าง) 569 ๕๗๑ - โลช้ ิงชา้ - ลกู ขา่ ง (โกว่อิ) - มวยไทย
-1- แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ัญญำทำงวฒั นธรรมจงั หวัดเชยี งรำย ประจำปี ๒๕๖๕ สภำวฒั นธรรมเทศบำลตำบลแม่จนั อำเภอแม่จัน จงั หวัดเชยี งรำย ๑. ช่ือข้อมลู การใช้นามสกุลของคนในพื้นท่อี าเภอแม่จัน ๒. ลักษณะ วรรณกรรมพ้ืนบา้ นและภาษา ศิลปะการแสดง แนวปฏบิ ตั ิทางสงั คมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรู้และการปฏบิ ัติเกีย่ วกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล งานชา่ งฝีมอื ดั้งเดมิ การละเลน่ พ้นื บา้ น กีฬาพื้นบ้าน และศลิ ปะการต่อสู่ป้องกนั ตวั ๓. รำยละเอยี ดขอ้ มูล ๓.๑) ประวตั ิความเปน็ มาของขอ้ มลู การบังคับให้ใช้นามสกุล ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ จึงโปรดให้มี การต้ังนามสกุลเหมือนกับประเทศอื่น ๆ โดยให้ตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุล เม่ือวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2455 มีผลใช้บังคับต้ังแต่วันท่ี 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 มีการให้คนไทยทุกคนต้องมีนามสกุล นามสกุล คือ ชื่อบอกตระกูล (หรือสกุล) เพ่ือแสดงที่มาของบุคคลนั้น ๆ ว่ามาจากครอบครัวไหน ตระกูลใด ธรรมเนียมการใช้นามสกุลปรากฏอยู่ทั่วไปในหลาย ๆ ประเทศและวัฒนธรรม ซึ่งในแต่ละท่ีก็อาจจะมี ลักษณะเฉพาะแตกตา่ งกันไป ในหลาย ๆ วัฒนธรรม (เช่น ทางตะวันตก ตะวันออกกลาง และในทวีปแอฟริกา) นามสกุลจะอยู่ใน ลาดับหลังสุดของชื่อบุคคล แต่ในบางวัฒนธรรม โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออก (จีน ญ่ีปุ่น เกาหลี เวียดนาม) นามสกุลจะอย่ใู นลาดับแรก ส่วนนามสกุลของไทยจะอย่เู ป็นลาดบั สุดทา้ ยเหมือนทางตะวันตก ๓.๒) ขนั้ ตอน/วิธีการ/ดาเนินการเก่ยี วกบั ข้อมลู ศึกษาประวัติความเป็นมาและข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของการตั้งอาเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ตลอดจนการสร้างบ้านแปงเมือง และการสืบเช้ือสายสกุลในหมู่บา้ น ตาบล และอาเภอ แต่เดิมนั้นคนในชมุ ชน จะมีมีนามสกุล แต่จะใช้ชื่อบ้านเป็นสร้อยหรือคล้ายนามสกุล เช่น ชื่อ “นายดีบ้านดอย” “นายสีสันทราย” เม่อื มกี ารบังคบั ใชเ้ ป็นกฎหมายใหค้ นไทยต้องไปขออนุญาตมีนามสกลุ ในส่วนของอาเภอแม่จัน นายอาเภอได้มี การประชมุ กานนั ผูใ้ หญ่บา้ นใหร้ าษฎรมาแจ้งเพ่ือมารบั เอานามสกลุ ตัวเอง ซึ่งราษฎรสมัยนนั้ ยงั ไม่ค่อยมีความรู้ เก่ียวกับคาว่านามสกุล จึงอาศัยนายอาเภอตั้งให้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนมากจะเอานามบ้านมาเป็นนามสกุล เช่น ราษฎรท่ีอพยพมาจากอาเภอแม่ทา จงั หวดั ลาพนู มาตงั้ ถิ่นฐานอยู่อาเภอแมจ่ ัน นายอาเภอจะตั้งนามสกลุ ให้ว่า “จันทาพูน” ด้วยเหตุน้ีคนที่มาจากจังหวัดลาพูนจึงใช้นามสกุล “จันทาพูน” อยู่มากมาย ราษฎรที่อยู่แต่ละ หม่บู ้านจะอาศยั ช่ือบ้านมาต้ังนามสกุล เชน่ บา้ นป่าซาง ให้ใช้นามสกุล “ซางสภุ าพ” บา้ นร่องก๊อ ให้ใช้นามสกุล “ก๊อใจ” บ้านสันนา ให้ใช้นามสกุล “นาใจ” บ้านบ่อก้าง ให้ใช้นามสกุล “ก้างออนตา” บ้านแม่คา ให้ใช้ นามสกุล ซาวคาเขต บ้านสันทราย ให้ใชน้ ามสกลุ “ทรายหมอ” หรอื “อรินต๊ะทราย” บ้านแมค่ ี ให้ใชน้ ามสกุล “มงคลคี” บ้านป่าเปา ใช้นามสกุล “ปาเปาอ้าย” บ้านแม่คาสบเปิน ให้ใช้นามสกุล “คาเงิน” และบ้านป่าตึง ใช้นามสกุล “ตบ๊ิ ปา่ ตงึ ” เปน็ ต้น
-2- ๔. ชื่อผู้ท่ีถือปฏิบัตแิ ละผสู้ ืบทอด ๔.๑ ผู้ทีถ่ อื ปฏบิ ัติ ช่ือ นางมาลินี แย้มเมือง วัน เดือน ปเี กดิ ๑๑ กรกฎาคม ๒๔๘๘ ทอ่ี ยู่ ๗/๑ หมู่ ๓ ตาบลแม่จัน อาเภอแมจ่ นั จงั หวดั เชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ ๐๘๑ ๐๒๒ ๘๓๓๕ หรอื ๐๙๓ ๐๐๕ ๑๕๗๓ ๔.๒ ผูส้ บื ทอด ช่ือ กลุ่มผูส้ งู อาย/ุ กลมุ่ แม่บ้าน/กลุ่มเดก็ นกั เรียนและเยาวชน ในพื้นทเ่ี ขตเทศบาลตาบลแม่จัน ทีอ่ ยู่ เขตเทศบาลตาบลแม่จัน อาเภอแม่จัน จังหวดั เชยี งราย ๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏิบัตอิ ย่างแพรห่ ลาย เสีย่ งตอ่ การสญู หาย ไมม่ ีปฏบิ ัตแิ ลว้ ๖. รปู ภำพภมู ิปญั ญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมิปัญญำทำงวฒั นธรรม
-3- แบบสำรวจมรดกภมู ิปัญญำทำงวัฒนธรรมจังหวดั เชียงรำยประจำปี ๒๕๖๕ สภำวัฒนธรรมจังหวัดเชยี งรำย อำเภอเวียงชยั จงั หวัดเชียงรำย ๑. ชือ่ ข้อมูล คา่ ว จ๊อย ๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพืน้ บ้านและภาษา ศิลปะการแสดง แนวปฏบิ ตั ทิ างสังคมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรแู้ ละการปฏบิ ตั เิ ก่ยี วกบั ธรรมชาติและจกั รวาล งานชา่ งฝมี อื ด้ังเดิม การละเล่นพืน้ บา้ น กีฬาพน้ื บา้ น และศลิ ปะการต่อสูป่ ้องกนั ตัว ๓. รายละเอยี ดขอ้ มลู ๓.๑ ประวตั คิ วามเป็นมาของข้อมลู ในอดีต ค่าว จ๊อย เผยแพร่ในสังคมเกษตรกรรมโดยอาศัยประเพณีท้องถิ่นเป็นโอกาสและสถานท่ี สาหรบั เผยแพร่ ต่อมามีระบบส่ือสารมวลชนเปน็ ช่องทางเพ่ิมโอกาสมากข้ึน การบนั ทึกแผน่ เสียง ใหเ้ ผยแพร่ได้ กว้างไกลไปถึงภูมิภาคอ่ืน ๆ ค่าว จ๊อย จึงมีสถานภาพเพ่ิมข้ึนจากเดิมคือ เป็นท้ังเพลงพื้นบ้าน มหรสพ และ ผลผลิตจากภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ ท่ีทาหน้าท่ีขัดเกลาทางสงั คม การถา่ ยทอดแกเ่ ยาวชนทีส่ นใจ ค่าว หรือ ค่าวจ๊อย เป็นวรรณกรรมด้านบทบาทของท้องถ่ินเป็นการแต่งท่ีเป็นฉันทะลักษณ์สัมผัส นอก-ใน เป็นร้อยกรองด้านศัพท์ภาษาที่สละสลวย ใช้ภาษาคาเขียนที่ด่ังเดิมใช้เขียนบทค่าวนี้ในเร่ืองการบันทึก ตานาน คาสอน ตารับตารา ตารายาสมุนไพร การเขียนบทค่าวเดิมมักเขียนดว้ ยอักขระล้านนาหรืออักษรธรรม-หรือ ตวั เมือง เพลงร้องพื้นบ้านค่าว จ๊อย มีลักษณะเป็นวรรณกรรมแสดงออกเป็นคาพูดโต้ตอบกัน เช่น การหยอกสาว หรือเป็นการขับร้อง เช่น จ๊อยและซอ วรรณกรรมเหล่านี้มีฉันทลักษณ์หลายรูปแบบ ซึ่งเรียกรวม ๆ กันว่า คาค่าว คาเครอื หรอื ค่าว ค่าว เป็นคาประพันธ์ท่ีมีแบบแผนของชาวล้านนามีฉันทลักษณ์ที่ระบุจานวนคาในวรรค และสัมผัส ระหวา่ งวรรค สรุปเป็นคากลา่ วสน้ั ๆ จ๊อย เป็นวิธีขับลานาโดยใช้ค่าว เป็นเน้ือหาหลักบางทีเรียกว่า จ๊อยค่าว วิธีขับจ๊อยมักจะดาเนิน ท่วงทานองไปอย่างช้าๆ มีการเอ้ือน อาจมีเคร่ืองดนตรี บรรเลงคลอประกอบหรือไม่ก็ได้ ลีลาและทานองจ๊อย ทน่ี ิยมใช้ ได้แก่ โกง่ เฮียวบง่ ม้าย่าไฟ และทานองวงิ วอน ๓.๒ ขนั้ ตอน/วธิ กี าร/ดาเนนิ การเก่ียวกับขอ้ มูล ค่าว หรือค่าวจ๊อย ใช้ในการแต่งเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่บังเกิดข้ึนในท้องถิ่น มีประโยชน์ในด้านบันทึก ความทรงจาให้คนรุน่ หลงั ไดร้ ้เู รื่องราวในอดีต การเลา่ ค่าวมีได้หลายลักษณะ จาแนกตามโอกาสดงั นี้ 1. การเล่าค่าวภายในครอบครัว ส่วนใหญ่จะเล่าหลังอาหารเย็น เพ่ือคลายบรรยากาศท่ีเงียบเหงา ในตอนกลางคนื เพราะในสมัยก่อนยงั ไมม่ ีวทิ ยุ โทรทศั น์ และสง่ิ บนั เทิง เหมือนในสมยั น้ี 2. การเล่าค่าวในงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานปอยบวชลูกแก้ว (งานบวชเณร) งานข้ึนบ้านใหม่ งานแต่งงาน งานปอยเข้าสงั ข์ (งานทาบุญอทุ ิศส่วนกศุ ลไปหาคนตาย สมยั กอ่ นต้องใชเ้ วลาเตรยี มงานหลายวนั ) 3. การเล่าค่าวในงานศพ เพื่อให้ผู้ท่ีมาอยู่เป็นเพ่ือนเจ้าของบ้านได้ฟังในขณะท่ีศพยังไม่ได้เผา เพือ่ ไม่ใหบ้ รรยากาศเศร้าหมองเกินไป
-4- ๔. ชื่อผูท้ ี่ถือปฏิบตั แิ ละผู้สบื ทอด ๔.๑ ผ้ทู ีถ่ ือปฏิบัติ ชอื่ นางปน๋ั คาตื้อ วนั เดอื น ปเี กิด 23 มิถนุ ายน 2492 ท่ีอยู่ 18 หมู่ 5 ตาบลผางาม อาเภอเวยี งชัย จงั หวดั เชยี งราย หมายเลขโทรศัพท์ - ๔.๒ ผู้สืบทอด ช่ือ นางก๋วน แกว้ นนิ ตา วัน เดือน ปีเกดิ 20 มถิ นุ ายน 2498 ท่อี ยู่ ๓๕ หมู่ 5 ตาบลผางาม อาเภอเวยี งชัย จังหวัดเชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ - ๕. สถานะการคงอยู่ ปฏิบัตอิ ยา่ งแพรห่ ลาย เสีย่ งตอ่ การสูญหาย ไมม่ ปี ฏบิ ตั แิ ลว้ ๖. รูปภาพภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม/กิจกรรมทางภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
-5- แบบสำรวจมรดกภมู ิปญั ญำทำงวฒั นธรรมจงั หวัดเชยี งรำยประจำปี ๒๕๖๕ สภำวฒั นธรรมจังหวดั เชยี งรำย อำเภอขนุ ตำล จงั หวดั เชยี งรำย ๑. ชื่อข้อมูล คา่ วจ้อย ค่าวซอ ๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพืน้ บา้ นและภาษา ศลิ ปะการแสดง แนวปฏิบัตทิ างสงั คมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรู้และการปฏบิ ัตเิ กี่ยวกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล งานช่างฝมี อื ดงั้ เดมิ การละเล่นพน้ื บา้ น กีฬาพ้ืนบ้าน และศิลปะการตอ่ สปู่ ้องกนั ตวั ๓. รายละเอียดขอ้ มูล ๓.๑ ประวตั ิความเปน็ มาของข้อมลู เจา้ ของภมู ปิ ัญญา นายไว ธะนะแก้ว บา้ นเลขที่ 24 หมูท่ ี่ 13 ต.ต้า อ.ขุนตาล จ.เชียงราย โทร 063-435-8480 ค่าวจ้อย ซอ เป็นวรรณกรรมพ้ืนบ้านคนทางเหนือ นับวันจะสูญหายไป ฉะน้ันวัฒนธรรมล้านนา ต้องช่วยกันอนุรักษ์ให้ลูกหลานได้ศึกษา สืบทอด ประเพณีวัฒนธรรมล้านนา เช่นกาบ่าเก่า กาอู้ กาจ้อย กาซอ กาคลอ้ งจองต่างๆ ซง่ึ ผเู้ ฒา่ ผ้แู ก่ควรมีการอนุรักษ์ไวเ้ พ่อื ใหล้ ูกหลานไดส้ บื ทอด เชน่ ค่าวเรื่องความหลง หลงจิ้ต หลงใจ๋ บ่ดีแต้ๆ บ่เหมือนด่ังอั้นหลงตาง หลงเข้าป่าไม้ ดงดอยหนาหนาม กลับมาหาตาง กาเดียวก้อได้ หลงจ้ิต หลงใจ๋ ไผ๋หั๋นจ้ักได้ บ่มีวันเนอเจ่ือเต๊อะ จ้ักลาบากใจ๋ เมื่อไปเติกเม๊อะ จักสิ่งอ้ันบ่ควร หลงเหยหลง หลงตางป่าไม้ แหนบหลงได้ซาววัน ยังกลับป้อกป้ิก คืนได้หนหลัง หลงใจ๋หลงกา หลงคืนบ่ได้ เพราะหลงอ้กใจ๋ หลงคอหลงใส้ หลงจก้ั คืนไปยากลา้ ๔. ชื่อผทู้ ่ีถือปฏิบัตแิ ละผู้สืบทอด ๔.๑ ผทู้ ีถ่ ือปฏิบตั ิ ช่อื นายไว ธะนะแกว้ วัน เดือน ปเี กดิ - ทอ่ี ยู่ 24 หมู่ 13 ตาบลต้า อาเภอขุนตาล จังหวดั เชยี งราย หมายเลขโทรศัพท์ - ๔.๒ ผู้สบื ทอด ช่ือ - วัน เดือน ปีเกิด - ท่ีอยู่ - หมายเลขโทรศัพท์ - ๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏิบตั ิอยา่ งแพรห่ ลาย เสี่ยงต่อการสูญหาย ไม่มีปฏบิ ตั แิ ลว้ ๖. รูปภำพภูมิปญั ญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม -ไมม่ ี-
-6- แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรมจังหวดั เชยี งรำย ประจำปี ๒๕๖๕ สภำวฒั นธรรมจงั หวัดเชยี งรำย สภำวัฒนธรรมอำเภอเทงิ จงั หวดั เชียงรำย ๑. ชื่อข้อมลู ค่าวธรรมเรื่องนางอุทธรา, สานวนมุขปาฐะ (วรรณกรรมปากเปลา่ ) ทช่ี าวบ้านเล่าสอดคลอ้ งกบั เร่ืองนางอุทธรา โดยเนื้อเรื่องโยงเข้ากบั สถานทจ่ี รงิ ๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพืน้ บ้านและภาษา ศลิ ปะการแสดง แนวปฏิบตั ิทางสงั คมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรู้และการปฏิบัติเกีย่ วกบั ธรรมชาติและจักรวาล งานช่างฝีมือด้ังเดมิ การละเลน่ พ้นื บ้าน กีฬาพ้นื บ้าน และศลิ ปะการต่อสู่ป้องกนั ตัว ๓. รำยละเอยี ดข้อมูล ๓.๑) ประวัตคิ วามเป็นมาของข้อมูล ค่าวธรรมเป็นงานประพันธ์ท่ีมีรูปแบบเป็นชาดก มีจุดประสงค์เพ่ือใช้เทศน์สั่งสอนประชาชนในวัน สาคัญทาพุทธศาสนา ค่าวธรรมเร่ืองนางอุทธรา เป็นท่ีนิยมกันในอาเภอเทิงมากกว่าเรื่องอ่ืน ๆ เนื่องจาก เร่ืองเล่าจะเก่ียวโยงเข้ากับสภาพภูมิประเทศในอาเภอเทิงหลาย ๆ แห่ง เช่น ดอยทา บ้านทุ่งตะไห และ หนองสามขา เปน็ ต้น นางอุทธราเป็นลกู เศรษฐี บ้านทุ่งตะไห (ปจั จบุ นั คือบา้ นทุ่งขันไชย อาเภอเทงิ จังหวัดเชยี งราย) เศรษฐี มเี มยี สองคน ได้ฆา่ เมียหลวงตายแช่นา้ อย่ทู ่ีฮ่องแช่ (ปัจจบุ ันเรยี กรอ่ งแช่อยู่ท้ายหม่บู ้าน) ตอ่ มาเมยี หลวงเกิด เป็นเตา่ มีกระดองเป็นทองอยใู่ นหนองน้ี เมียน้อยให้เศรษฐีไปจบั เต่ามาต้ม ขณะตม้ เต่าร้องไหจ้ ึงเรียกวา่ บ้านเตา่ ไห้ ต่อมาเพี้ยนเปน็ บา้ นตะไห ดอยทาทเ่ี มืองเทิง เปน็ ดอยนางอุทธรา บางทีเรียก ดอยอุททา ซึง่ ชาวบา้ นสร้างกู่ หรอื เจดยี บ์ รรจธุ าตุ ของนางอทุ ธราไว้ข้างใน ปัจจบุ นั ชารดุ เหลือแต่กองอฐิ มคี อกวัวและท่ีมดั ววั ซึง่ นางอทุ ธราเคยนาไปเล้ยี ง ๓.๒) ขัน้ ตอน/วิธีการ/ดาเนินการเกยี่ วกบั ข้อมลู เรื่องย่อ กลา่ วถงึ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ.เชตะวันฯ วันหนึ่งสาวกปรารภกันถึงเร่ืองการได้รับผลบุญ และบาป พระพุทธองคจ์ ึงแสดงพระธรรมเทศนาเร่ืองนี้ให้ฟัง นานมาแลว้ มพี ระยาตนหนงึ่ ช่ือพรหมทัต ครองเมืองพาราณาสี ในเมืองนั้น มเี ศรษฐชี ื่อกุบปิตตา มภี รรยาสองคน ชือ่ นางอชุ ุจติ ตา มีลูกสาวช่อื นางอทุ ธรา ภรรยาน้อยเปน็ ผกี ระสือชอ่ื มิจฉารี มีลกู สาวชือ่ สามา เดิมที เศรษฐรี ักภรรยาทง้ั สองเท่าเทยี มกัน วนั หน่งึ เศรษฐีพาเมยี ทั้งสองไปทอดแหหาปลา และแบ่งปลาท้ังสองข้องให้เท่าเทยี มกนั แตน่ างมิจฉารี แอบกนิ ปลาในข้องตนจนหมดแลว้ ออกอุบายขอเปล่ียนท่ีนงั่ กับนางอชุ ุจิตตา ก่อนจะกลับบ้านเศรษฐีไปดูไม่เห็น มีปลาในข้องเมียหลวง จึงโกรธใช้ไม้พายตีหัวนางอุชุจิตตาตกน้าตายกลายเป็นเต่าทองอยู่ในหนองน้าแห่งน้ัน (บ้ำนร่องแช่) เม่ือกลับถึงบ้านนางอุทธราไม่เห็นแม่ จึงนั่งร้องให้รอแม่อยู่หน้าบ้าน เทวดาบันดาลให้สุนัขพูดได้ มาเล่าเหตุการณ์ให้นางอุทธราฟัง และบอกให้ไปพบแม่ที่เกิดเป็นเต่าทองท่ีหนองน้า วันรุ่งขึ้นเม่ือถูกใช้ให้ไป เล้ียงวัว นางอุทธราจึงไปหาแม่ ต่อมานางมิจฉารีสังเกตเห็นจึงออกอุบายแสร้งว่าป่วย ให้เศรษฐีไปหาเน้ื อ เต่าทองมาให้กินจึงจะหาย เศรษฐีจึงไปจับเต่ามาให้นางอุทธราต้ม (บ้ำนเต่ำไห้ บ้ำนตะไห เพี้ยนกลำยเป็น บำ้ นทงุ่ ขันไชย) กอ่ นตายแม่สั่งใหเ้ อากระดกู ไปฝงั ไวท้ ท่ี างส่ีแยก จากนัน้ ก็กลายเปน็ ต้นโพธ์ทิ องงอกมา 1 ตน้
-7- ที่สีเหลืองอร่าม เวลาลมพัดใบจะมีเสียงไพเราะเหมือนดนตรีป่ีพาทย์ ผู้คนเล่าลือถึงหูพระยาพรหมทัต ทรงยก ไพร่พลมาดูและพยายามขุดไปไว้ในวัง แต่ทาไม่ได้มีแต่นางอุทธราผู้เดียวท่ีอธิษฐานแล้วขอถอนต้นโพธ์ิได้ พระยาพรหมทัตจึงนาต้นโพธ์ิไปปลูกในวังและแต่งต้ังนางอุทธราเป็นอัครมเหสีอยู่ได้ 2 ปี มีลูก 2 คน นางมิจฉารีผู้เป็นแม่เลี้ยงคิดจะฆ่านางอุทธรา จึงออกอุบายว่าเศรษฐีป่วยให้ไปเยี่ยมแล้วฆ่าเสีย จากน้ันส่ง ลูกสาวตนเองปลอมตวั ไปแทน พระยาพรหมทตั จบั ได้ ใหฆ้ า่ แลว้ เอาไปทาเป็นเนื้อส้มส่งให้เศรษฐีและนางมิจฉารีกิน ส่วนนางอุทธราได้ไปเกิดในลูกมะตูมที่สวนนายประตูด้านเหนือเมืองพาราณสี ได้ออกมาช่วยทาความสะอาด บ้านให้นายประตู จับตัวไว้เป็นลูก จึงได้ไปช่วยนายประตูร้อยดอกไม้ขายทุกวัน มีคนซ้ือไปถวายพระยาพรหมทัต ทรงจาฝีมือนางได้ จงึ มารบั ตัวกลบั ไปเป็นอคั รมเหสีตามเดมิ สว่ นเศรษฐีและนางมิจฉารีก็ถูกธรณีสูบตาย ๔. ชอ่ื ผ้ทู ี่ถอื ปฏิบตั ิและผู้สืบทอด ๔.๑ ผ้ทู ีถ่ ือปฏบิ ัติ พระครสู ิริคันธวงศ์รองเจา้ คณะอาเภอเทิง รปู ที่ ๑ ชาวบ้านทงุ่ ขนั ไชย วัน เดือน ปีเกิด - ทอ่ี ยู่ - หมายเลขโทรศัพท์ - ๔.๒ ผู้สืบทอด ช่ือ - วนั เดือน ปเี กดิ - ที่อยู่ - หมายเลขโทรศัพท์ - ๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏิบัตอิ ย่างแพร่หลาย เสีย่ งตอ่ การสญู หาย ไม่มีปฏิบตั แิ ลว้ ๖. รปู ภำพภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม ศาลเจา้ แมน่ างอุทธรา ท่ีวดั อทุ ธรา สถานทีจ่ รงิ ท่มี ีช่ือสอดคล้องกับเรอ่ื งเลา่
-8- สถานทจ่ี รงิ ท่มี ชี ื่อสอดคลอ้ งกับเรื่องเลา่ ภาพเร่ืองราวเกยี่ วกับ เร่อื งเตา่ น้อยอองคา บนผนงั วัดช้างคา้ ในอาเภอเทิง หลวงพอ่ พระครสู ิริคันธวงศ์ รองเจา้ คณะอาเภอเทิง รูปท่ี๑ ได้ใชค้ รา่ วธรรมเร่อื งนางอุทธรา (เตา่ นอ้ ยอองคา) เทศนาส่งั สอน ชาวบ้าน มาโดยตลอด และยังเขียนภาพเร่ืองราว บนผนงั อุโบสถ ของวดั งิ้วใหม่ โดยรอบ
-9- แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรมจังหวัดเชยี งรำย สำนักงำนวัฒนธรรมจงั หวัดเชยี งรำย อำเภอแมส่ ำย จงั หวดั เชยี งรำย ๑. ช่ือข้อมูล ตานานพระธาตุดอยตุง ๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพ้ืนบ้านและภาษา ศลิ ปะการแสดง แนวปฏิบตั ิทางสงั คมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรูแ้ ละการปฏิบัติเกีย่ วกบั ธรรมชาติและจกั รวาล งานชา่ งฝมี ือดั้งเดิม การละเล่นพ้นื บ้าน กีฬาพ้นื บ้าน และศลิ ปะการตอ่ สปู่ ้องกนั ตัว ๓. รำยละเอยี ดขอ้ มูล ๓.๑) ประวัตคิ วามเปน็ มาของข้อมลู ตานานที่เล่าสืบต่อกันมาของพระธาตุดอยตุงมีอยู่ว่า ที่บริเวณพระธาตุดอยตุง ประกอบด้วยยอดเขา หลายลูกสลับซับซ้อนกันอยู่ บริเวณนี้เป็นท่ีอยู่ของอารยชนกลุ่มหน่ึงที่เรียกว่า วิรังคะ บ้าง ลัวะ บ้าง พวกนี้มี หัวหน้าชื่อปู่เจ้าลาวจก มีเมียช่ือ ผ่าเจ้าลาวจก สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับอยู่ท่ียอดเขาลูก หน่ึงทรงมะนาวตัดและทานายว่าในอนาคตจะมีพระอรหันต์นาพระธาตุของพระองค์มาประดิษฐาน ณ ท่ีนี้ ซ่ึง ต่อไปภายหนา้ จะเปน็ บ้านเปน็ เมอื ง มีกษัตรยิ ค์ ้าชพู ุทธศาสนาตราบช่ัว 5,000 พระวสั สา ทิวเขาท่ีทอดยาวทางด้านทิศตะวันตกของอาเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายเป็นพรมแดนธรรมชาติที่ก้ัน ระหว่างประเทศไทยกับพม่า มีชื่อเรียกว่าทิวเขาแดนลาว หรือเทือกเขาดอยตุง บริเวณพ้ืนท่ีน้ีมีกลุ่มดอย สลบั ซับซอ้ น เปน็ แหล่งชุมชนโบราณทปี่ รากฏเร่ืองราวในตานานเลา่ ขานสบื ตอ่ กันมาหลายยคุ หลายสมยั ทิวเขากลุ่มหน่ึงที่ทอดตัวเรียงเป็นรูปสามเส้า ดอยทางทิศใต้เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุซึ่งเป็นท่ีเคารพ นับถือและเช่ือกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นปฐมธาตุเจดีย์แห่งล้านนาท่ีสร้างขึ้นเม่ือปี พ.ศ.1454 โดยพระเจ้าอุชุ ตราชแห่งนครโยนกนาคพันธ์ุ นั่นคือ พระมหาชินธาตุเจ้าบนดอยตุง ด้วยความเชื่อที่ว่าภายใต้พระมหาสถูปท้ัง สององค์ของพระมหาชินธาตุเจ้าดอยตุงเป็นที่ประดิษฐานพระรากขวัญเบ้ืองซ้ายและพระบรมสารีริกธาตุส่วน อนื่ ๆ ปรากฏเป็นความเชอ่ื สบื ทอดบันทึกไวใ้ นเอกสารตานานที่กล่าวอา้ งถึงการนาพระบรมสารรี ิกธาตุมาสู่ดอย ตุงและการสถาปนาพระมหาสถูประบุศักราชในตานานไกลโพ้นถึงยุคพุทธกาล เน้นย้าความศักด์ิสิทธิ์สูงสุด ผูกพนั ตานานกบั ความเชือ่ เลอ่ื มใสที่ยาวนานมา ตานานเก่ียวกับพระธาตุดอยตุงปรากฏอยู่ในตานานพ้ืนเมืองของล้านนาเป็นความเช่ือปรัมปราของ จารีตการสืบทอดประวัติความเป็นมาแห่งดินแดนท่ีแสดงให้เห็นถึงการเสื่อมสลายและความรุ่งโรจน์ของ อาณาจักรชุมชนในบริเวณอันกว้างใหญ่ของลุ่มแม่น้าโขง แม่น้ากกและแม่น้าสายที่เกี่ยวเน่ืองกับอิทธิพลของ พุทธศาสนาที่แพร่ขยายเขา้ สู่ดินแดนบรเิ วณน้ี ตานานท่ีเล่าสืบต่อกันมาของพระธาตุดอยตุงมีอยู่ว่า ท่ีบริเวณพระธาตุดอยตุง ประกอบด้วยยอดเขา หลายลูกสลับซับซ้อนกันอยู่ บริเวณน้ีเป็นท่ีอยู่ของอารยชนกลุ่มหน่ึงท่ีเรียกว่า วิรังคะ บ้าง ลัวะ บ้าง พวกนี้มี หัวหน้าช่ือปู่เจ้าลาวจก มีเมียช่ือ ผ่าเจ้าลาวจก สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับอยู่ท่ียอดเขาลูก หนึ่งทรงมะนาวตัดและทานายว่าในอนาคตจะมีพระอรหันต์นาพระธาตุของพระองค์มาประดิษฐาน ณ ท่ีน้ี ซง่ึ ตอ่ ไปภายหนา้ จะเป็นบ้านเป็นเมอื ง มกี ษัตริย์ค้าชูพุทธศาสนาตราบช่ัว 5,000 พระวัสสา
-10- ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2470 องค์พระธาตทุ รุดโทรมมาก ครูบาเจา้ ศรวี ชิ ยั กบั ประชาชนออจึงได้บูรณะ ข้ึนใหม่ โดยสรา้ งเปน็ เจดีย์องคร์ ะฆังขนาดเลก็ 2 องค์ บนฐาน 8 เหลยี่ ม ตามศิลปะแบบลา้ นนา การบูรณะคร้ัง หลังสุดมีข้ึนเม่ื อ ปี พ. ศ. 2516 โ ดยกระทรว ง มห าด ไ ท ย ได้ส ร้า ง พร ะธ า ตุ อง ค์ ให ม่ ขึ้น ค ร อ บ พระเจดีย์เดมิ ไว้ พระธาตุดอยตุง เป็นโบราณสถานที่สาคัญทางพระพุทธศาสนา สร้างมาแต่โบราณกาล หลักฐาน แรกท่ีพระพุทธศาสนา เข้ามาประดิษฐานในล้านนา ตามประวัติได้กล่าวไว้พระมหากัสสะปะเถระได้อัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุ ส่วนพระธาตุรากขวัญเบื้องซ้าย หรือกระดูกไหปลาร้าข้างซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า มามอบถวายแด่พระเจ้าอุชุตราช เจ้าผู้ครองนครนาคพันธ์โยนกชัยบุรี รัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์ สิงหนวัติ เป็นประธานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ณ ดอยดินแดง หรือดอยตุงในปัจจุบัน เมื่อแรกก่อสร้าง พระสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ได้ทาธงตะขาบ หรือภาษาพ้ืนเมืองเรียกว่า “ตุง” ใหญ่ยาวหลายพันวา ปักไว้บนยอดดอยดินแดงคู่กับพระธาตุ ตุงขนาดมหึมาน้ี ได้ทอดร่มเงาปกคลุมบ้านเมือง ที่ตั้งอยู่บนที่ราบเบ้ืองล่าง ใหม้ ีความร่มเยน็ ยอดเขาอนั เป็นท่ีตั้งองคพ์ ระธาตุ จึงได้รับการเรียกสืบต่อกันมาวา่ “ดอยตุง” ๓.2) ขัน้ ตอน/วิธกี าร/ดาเนินการเกีย่ วกบั ขอ้ มลู - 4. ช่อื ผูท้ ่ีถอื ปฏิบตั แิ ละผสู้ ืบทอด 4.๑ ผทู้ ีถ่ อื ปฏิบัติ ชอื่ พระพทุ ธิวงศ์วิวัฒน์ วัน เดือน ปีเกดิ - ทอ่ี ยู่ หมู่ ๒ ตาบลหว้ ยไคร้ อาเภอแมส่ าย จงั หวัดเชยี งราย หมายเลขโทรศัพท์ - ๔.๒ ผู้สืบทอด ชื่อ - วนั เดอื น ปีเกิด - ท่อี ยู่ - หมายเลขโทรศัพท์ - 5. สถำนะกำรคงอยู่ ปฏบิ ตั อิ ย่างแพร่หลาย เสย่ี งต่อการสญู หาย ไมม่ ปี ฏิบตั ิแลว้ 6. รปู ภำพภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม/กิจกรรมทำงภูมปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม พระธาตดุ อยตงุ พระวหิ าร
-11- แบบสำรวจมรดกภมู ิปญั ญำทำงวัฒนธรรมจังหวดั เชียงรำย ประจำปี ๒๕๖๕ สำนกั งำนวัฒนธรรมจังหวดั เชียงรำย อำเภอแม่จนั จังหวัดเชียงรำย ๑. ช่ือข้อมลู ประวตั คิ นยอง (บา้ นแมค่ าสบเปิน) ๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพ้ืนบา้ นและภาษา ศลิ ปะการแสดง แนวปฏิบัติทางสังคมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรแู้ ละการปฏบิ ัติเกย่ี วกบั ธรรมชาตแิ ละจักรวาล งานชา่ งฝมี ือดัง้ เดมิ การละเลน่ พ้นื บา้ น กีฬาพื้นบา้ น และศลิ ปะการต่อส่ปู ้องกันตัว ๓. รำยละเอยี ดขอ้ มลู ๓.๑) ประวัตคิ วามเปน็ มาของข้อมูล ชาวยอง หรือชาวเมืองยองคือชาวล้ือที่ต้ังบ้านเรือนอยู่บริเวณเมืองยอง และกระจายอยู่ในด้าน ตะวันออกของรัฐฉาน ประเทศพม่า เขตสิบสองปันนา ในมณฑลยูนนานของจีน ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงถูกพระเจ้ากาวิละแห่งนครเชียงใหม่กวาดต้อนเข้ามาตั้งบ้านเรือนใน จังหวัดลาพูน เชียงใหม่ เชียงราย และน่าน ตามนโยบาย \"เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง\" เพ่ือฟ้ืนฟูบ้านเมือง หลงั การปกครองของพมา่ ในลา้ นนาสิน้ สดุ ลง จากตานาน ชาวเมืองยองซึ่งเป็นชาวล้ือได้อพยพมาจากเมืองเชียงรุ่งและเมืองอ่ืน ๆ ในสิบสองปันนา และได้อพยพเข้ามาต้ังถ่ินฐานครั้งใหญ่ในเมืองลาพูนและเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2348 ด้วยสาเหตุของสงคราม เจ้าเมืองยองพร้อมด้วยบุตรภรรยา น้องท้ัง 4 ญาติพ่ีน้อง ขุนนาง พระสงฆ์และไพร่พลจากเมืองยอง จานวน 20,000 คนเขา้ มาแผ้วถางเมืองลาพูนทร่ี า้ งอยู่ ตั้งบา้ นเรือนตามล่มุ นา้ แมท่ า นา้ แม่ปิง ผคู้ นท่ัวไปในแถบน้ันจึง เรยี กคนทีม่ าจากเมืองยองว่า ชาวไทยอง ในสมยั น้ันผคู้ นต่างเมืองทม่ี าอยู่ร่วมกนั จะเรียกขานคนที่มาจากอีกเมืองหน่ึงตามนามของคนเมืองเดิม เช่น คนเมืองเชียงใหม่ คนเมืองลาปาง คนเมอื งแพร่ คนเมืองนา่ น คนเมืองเชยี งตุง เป็นตน้ แตข่ องคนเมืองยอง น้ัน ต่อมาคาว่าเมืองได้หายไป คงเหลืออยู่คาว่า คนยอง ดังน้ัน ยอง จึงมิใช่เป็นเผ่าพันธ์ุ และเมื่อวิเคราะห์ จากพัฒนาการประวัตศิ าสตรข์ องเมืองยองแลว้ ชาวไทยอง ก็คือ ชาวไทลอ้ื น่ันเอง ประวัติบ้านแม่คาสบเปิน หมู่ ๑ และบ้านแม่เปิน หมู่ ๑๔ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๕ ชว่ งเวลานนั้ เมืองเชียงแสนยังไม่ไดร้ ับการฟ้ืนฟูให้เป็นบ้านเมืองขึ้นมา จึงทาใหม้ กี ลุ่มชาวเง้ียว (ไทใหญ)่ ชาวไทเขนิ และชาวไทลื้ออพยพเขา้ มาอาศัยอยใู่ นทรี่ าบเชยี งแสน ดังน้ัน เจา้ เมืองเชียงใหมไ่ ดท้ ราบถึง เรื่องน้ีจึงให้เจ้าราชวงศ์เมืองเชียงใหม่แจ้งแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพ่ือให้ทรงทราบถึง การเข้ามาบุกรุกของชาวเชียงตุง พระองค์จึงแจ้งให้เจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ในขณะน้ันคือพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เกณฑก์ าลงั พลจากเมอื งเชียงใหม่ ลาปาง และลาพูนขนึ้ มาขบั ไล่ชาวเชยี งตุงออกจากพ้ืนที่เมืองเชยี งแสน ต่อมา เมอื่ ไดข้ ับไล่ชาวเชียงตงุ ออกไปแล้วพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าให้ทาการฟื้นฟูเมือง เชียงแสนข้ึนมาใหม่โดยโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอินต๊ะซ่ึงเป็นบุตรของเจ้าบุตรเจ้าบุญมาเจ้าผู้ครองนครลาพูนเป็น ผู้เกณฑ์ราษฎรชาวเชียงใหม่ ลาพูนและชาวลาปางข้ึนมาฟ้ืนฟูเมืองเชียงแสน เมื่อปี ๒๔๒๓ จากบันทึกของ ชาวต่างชาติทเ่ี ข้ามาเมืองเชียงใหมแ่ ละเมอื งเชียงแสนในยคุ นนั้ ได้กล่าวถึงการฟนื้ ฟูเมืองเชยี งแสนเอาไวด้ งั นี้
-12- “เจ้าพญาเชียงแสนนั้นเดิมเป็นคนเมืองลาพูน ต่อมาข้ึนมารับตาแหน่งครองเมืองเชียงแสน เมื่อฟ้ืน เมืองใน พ.ศ. ๒๔๒๗ เจ้าพญามีชาวเมืองอยู่ในความดูแล ๓๐,๐๐๐ คน และในจานวนน้ันเป็นชายฉกรรจ์ ๒,๕๐๐ คน ชายฉกรรจ์หมายถึงไพร่ชายท่ีมิใชท่ าส มีอายุต้ังแต่ ๑๘ ปี ถึง ๗๐ ปี และเป็นนักรบ เทียบสัดส่วน ว่ามีผู้ใหญ่ ๑ คนต่อประชากรทาส ๕ คน ดังเจ้าพญาจึงมีผู้ใหญ่ ๖,๐๐๐ คน และมีจานวนประชากรทาส ๑๗,๕๐๐ คน ชาวฉานเมืองพิงค์จัดเชลยหรือผู้อพยพชาวพม่า-เชียงเเสน ให้เป็นทาสเชลย และมีชนชั้นปกครอง จานวนนอ้ ย เจา้ พญาใชเ้ กลอื ๑ เม็ดตอ่ จานวนชาวเมือง ๑ คน เมืองเชียงแสนน้ันรกร้างมา ๗๗ ปีแล้ว พระเจ้ากรุงสยามทรงมีพระราชโองการให้นาเชลยชาวเชียงแสน กลับคืนเพือ่ ฟืน้ เมืองขน้ึ มาใหม่ ในพระราชโองการกาหนดว่าใหน้ าเชลยชาวเชียงแสนท่เี ป็นผใู้ หญ่แลว้ จากเมือง ลาพูน ๕๐๐ คน จากเมืองละคอร ๑,๐๐๐ คน จากเมืองเชียงใหม่ ๓๗๐ คนและจากเมืองน่าน ๑,๐๐๐ คน แต่เมืองน่านอ้างว่าเพิ่งฟื้นเมืองท่ีอยู่เหนือแม่ของ ประชากรขาดแคลน จึงส่งเชลยร่วมกับเมืองละคอร ลาพูน และเชียงใหม่ในครั้งนี้ไม่ได้ หากว่ายังสร้างเมืองเชียงแสนไม่ได้ เมืองน่านจะร่วมมือภายหลังดูเหมือนว่าเจ้า หลวงเมืองละคอรก็ไม่ให้ความร่วมมือ พร้อมให้เหตุผลว่าเพ่ิงฟื้นเมืองละคอร เมืองพะเยา และเมืองงาวไป ดังนั้นขอให้เมืองอ่ืนรบั หน้าที่อันทรงเกียรติฟ้ืนเมืองเชียงแสนแทน พระเจ้ากรงุ สยามทรงรบั ฟังเหตผุ ลของเมือง น่าน แตม่ พี ระราชโองการยา้ ใหเ้ มืองละคอรส่งเชลย ๑,๐๐๐ คนเมอื งเชยี งใหม่ ๑,๐๐๐ คน เมอื งแพร่ ๓๐๐ คน และไพรไ่ ททั้งหมดในสงั กดั ของเจา้ นายเมืองลาพูนท่ีได้รับตาแหน่งไปครองเมืองเชยี งแสน อยา่ งไรก็ตามเมืองละคอรก็ไมส่ ่งคนไปตามพระราชโองการจนเกือบต้องข้อหาขบถ ในทส่ี ดุ กย็ อมส่งคน ไปประมาณ ๕๐๐ ถึง ๖๐๐ คนพร้อมด้วยครอบครัวไปยงั เมืองเชยี งแสน เมื่อไปเมืองเชียงแสนนั้นประชากรยัง มีอยู่อย่างเบาบาง ท่ัวท้ังเมืองมีประชากรประมาณ ๖๐๗ หลังคาเรือน และในตัวเมืองนั้นมีเพียง ๑๓๙ หลังคา เรือน เจ้าพญาเมืองเชียงแสนบอกว่า มีเชลยชาวเชียงแสนจากเมืองละคอร เมืองเชียงใหม่ และเมืองลาพูน เดินทางมายังเชียงแสนจานวนมาก ตามพระราชโองการ และขากลับเมืองเชียงรายก็ได้พบกับผู้อพยพเหล่าน้ี ดว้ ย มีชาวเชียงแสนอพยพลีภ้ ัยไปอาศัยอยทู่ ี่เมืองนายประมาณ ๖๔๑ หลงั คาเรอื น เจ้าพญาเมืองเชียงแสนยังโกรธเคืองเจ้าหลวงเมืองลาพูนอดีตเจ้าชีวิตของตนยังไม่หาย เพราะได้กักไพร่พล ที่ตอ้ งตามเจา้ พญามายังเมืองเชยี งแสนไป ๒,๕๐๐ คน เปน็ ธรรมเนียมของชาวฉานเมืองพงิ ค์ว่าไพร่เปลี่ยนสังกัด มูลนายได้ตามใจปรารถนา หากเจ้านายนั้นโหดร้ายไม่เป็นธรรม แต่แรกเม่ือเจ้าพญาได้รับตาแหน่งเจ้าเมือง เชียงแสนนั้นได้มีการโอนไพร่มาสังกัด ๒,๕๐๐ คนซึ่งท้ังหมดต้องย้ายครัวพร้อมข้าทาสไปเมืองเชียงแสนตาม เจา้ พญาเมืองลาพนู น้นั นา้ ท่าไม่อุดมสมบรู ณ์เท่าเมืองเชยี งแสน ชาวเมืองก็สมัครใจจะยา้ ยขึ้นไป เมอื งเชยี งแสน เป็นเมืองอิสระไม่ขึ้นกับลาพูน ดังน้ันเจ้าหลวงเมืองลาพูนจึงเกรงว่าจะสูญเสียประชากรไปซึ่งหมายถึงสูญเสีย อานาจการปกครองไปด้วย “ตอนบ่ายเราเดินสวนกับผู้อพยพนับร้อยคนจากเมืองลาพูนที่น่ังพักผ่อนกันอยู่ ขา้ งตัวมกี องสมั ภาระสว่ นตวั และววั กย็ นื อยู่ขา้ งๆ สัมภาระส่วนใหญ่นน้ั พวกผูช้ ายเปน็ คนหามมา” จากข้อความดังกล่าวทาให้ทราบถึงกลุ่มคนที่เข้ามาฟ้ืนฟูเมืองเชียงแสน (ที่ราบเชียงแสน) ชาวไทยวน (คนเมือง) จะเป็นกลุ่มลูกหลานเชลยเมืองเชียงแสนด่ังเดิมท่ีถูกกวาดต้อนไป และกลุ่มชาวไทลื้อเมืองยอง (ไทยอง) ซึ่งเป็นลูกหลานเชลยชาวเมืองยองที่ถูกกวาดต้อนจากเมืองยองในสมัยพระเจ้ากาวิละแห่งเมืองเชียงใหม่ท่ีนา ชาวยองไว้ยังเมืองลาพูน ชาวลาพูนท่ีมาฟ้ืนฟูเมืองเชียงแสนในยุคนั้นก็คือบรรพบุรุษของชาวแม่คาสบเปิน และชาวแม่เปนิ ในปัจจุบนั บา้ นแม่คาสบเปินและบ้านแม่เปินก่อตั้งข้ึนเมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๓ ในยคุ ฟ้ืนฟูเมืองเชียงแสน บา้ นแม่คาสบเปิน ต้ังช่ือหมู่บ้านตามชอื่ แม่น้าคาท่ีไหลผา่ นหม่บู ้านทางทิศใต้และทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ส่วนคาวา่ สบเปินมาจาก ท่ีตั้งของหมู่บ้านจะอยู่บริเวณที่แม่น้าเปินมาบรรจบกับแม่น้าคา จึงได้เรียกช่ือหมู่บ้านว่า แม่คาสบเปิน คาว่า สบน้ันแปลว่า ปาก หรือปากแม่น้า เหมือนชาวลาวเรียกปากแม่น้าว่า ปาก เช่น ปากแบง (บริเวณท่ีแม่น้าแบง มาบรรจบกบั แม่นา้ โขง) เปน็ ต้น
-13- บ้านแม่คาสบเปินและบ้านแม่เปินต้ังอยู่ในตาบลแม่คา หรอื แขว่นแม่คาในแขวงเชียงแสนหลวง ในขณะนั้น แขวงเชียงแสนหลวง(เมอื งเชยี งแสน) มีท้ังหมด ๗ ตาบล เมอื่ ปี พ.ศ.๒๔๔๐ ต่อมาเมอ่ื ปี ๒๔๕๒ แขวงเชียงแสน หลวงได้เปลี่ยนช่ือมาเป็นอาเภอแม่จัน ส่วนก่ิงอาเภอเชียงแสนได้เปล่ียนเป็นชื่ออาเภอเชียงแสน ในอดีตพ้ืนท่ี ของตาบลแม่คามีอาณาเขตท่ีกว้างขวางมากโดยพื้นท่ีอาเภอแม่ฟ้าหลวงในปัจจุบันก็เป็นอาณาเขตของตาบล แม่คา ตาบลแม่ไร่ และตาบลห้วยไคร้บางส่วนก็เคยเป็นพื้นที่ของตาบลแม่คา ในอดีตบ้านแม่คาสบเปินได้ทา การแยกหมู่บ้านออกเป็นสองหมู่บ้านเพ่ือสะดวกในการปกครองและการของบประมาณเม่ือปี พ.ศ.๒๕๔๘ โดยแบ่งหมู่บ้านคือ บ้านแม่คาสบเปิน หมู่ที่ ๑ และบ้านแม่เปินหมู่ที่ ๑๔ บ้านแม่คาสบเปินและบ้านแม่เปินมี วัดอยู่ ๑ แหง่ โรงเรียน ๑ แหง่ ฌาปนสถาน ๑ แห่ง โรงสีขา้ วชมุ ชน ๒ แห่ง ศูนย์พัฒนาเดก็ เล็ก ๑ แห่ง ประปา หมบู่ า้ น ๒ แห่ง หมวดการปกครอง ๕ หวั หมวด หอผีเสื้อบ้าน ๓ แหง่ โดยหมู่บ้านแม่คาสบเปินและบ้านแม่เปินเป็นหมู่บ้านชาวไทยอง (ไทลื้อเมืองยอง) ท่ีเข้มแข็งในการ ดารงอัตลักษณ์ทางภาษาพูด วิถีชีวิตชาวไทยอง ศิลปะหัตถศิลป์ และเป็นหมู่บ้านที่มีช่างศิลป์ในหลากหลาย สาขา เป็นชมุ ชนที่ทาการเกษตรกรรมไดเ้ ป็นอนั ดบั ตน้ ๆ ของจังหวัดเชียงราย ทาเนียบผู้ปกครองหม่บู ้าน(ผู้ใหญ่บา้ น) หมูท่ ี่ ๑ 1. พอ่ กานนั สม คาเงนิ ดารงตาแหนง่ ตัง้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๔๔๐ – ๒๔๔๒ 2. พอ่ หลวงสขุ คาเงนิ ดารงตาแหนง่ ตง้ั แต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ – ๒๔๗๐ 3. พอ่ หลวงขนั คาเงิน ดารงตาแหน่งตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ – ๒๔๙๐ 4. พอ่ หลวงตุ้ย คาเงนิ ดารงตาแหนง่ ตัง้ แต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ – ๒๕๐๘ 5. พ่อหลวงปวง จนิ ดาหลวง ดารงตาแหน่งตง้ั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๗๘ – ๒๕๐๘ 6. พ่อหลวงอนิ่ คา คาเงนิ ดารงตาแหนง่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ – ๒๕๑๓ 7. พ่อหลวงป๋ัน คาเงิน ดารงตาแหนง่ ต้งั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๒๑ – ๒๕๒๕ 8. พอ่ หลวงพรหมมินทร์ วงค์กา ดารงตาแหน่งตัง้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๒๕ – ๒๕๒๘ 9. พอ่ หลวงชยั พร รัตนคณุ กรณ์ ดารงตาแหนง่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ – ๒๕๓๑ ๑๐.พ่อหลวงพรหมมินทร์ วงคก์ า ดารงตาแหน่งตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๓๑ – ๒๕๔๕ ๑๑.พอ่ หลวงชยั วัน คาเงนิ ดารงตาแหนง่ ตง้ั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ – ๒๕๕๒ ๑๒.พ่อหลวงไพศาล เข่ือนแก้ว ดารงตาแหนง่ ตัง้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๕๒ – ปจั จุบนั หมทู่ ่ี ๑๔ พอ่ หลวงถนอมศักด์ิ นาใจ ดารงตาแหน่งตัง้ แต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ – ปจั จุบัน ๓.๒) ขั้นตอน/วิธีการ/ดาเนนิ การเก่ยี วกบั ข้อมูล ลงพน้ื ทสี่ อบถามผู้มคี วามรู้ ปราชญ์ชาวบา้ น การศกึ ษาข้อมูลประวัตหิ มบู่ ้าน ปจั จบุ ันชาวแมค่ าสบเปิน ยังคงสืบทอดวิถีวัฒนธรรมของคนยองมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาษาพูด เม่ือเราไปถึงบ้านแม่คาสบเปิน ผูค้ นยงั พดู คยุ เป็นภาษายอง อาหารการกิน การแตง่ กาย ประเพณีและพธิ ีกรรม
-14- ๔. ช่อื ผู้ที่ถือปฏิบตั แิ ละผ้สู บื ทอด ๔.๑ ผู้ที่ถือปฏิบัติ ชื่อ นายปรีชา รอดสวุ รรณ์ (ประธานสภาวัฒนธรรมตาบลแมค่ า) วนั เดอื น ปีเกิด - ที่อยู่ 317 หมู่ 1 ตาบลแมค่ า อาเภอแมจ่ ัน จงั หวดั เชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ 062 263 0183 ๔.๒ ผู้สืบทอด ชอื่ นายกฤตดนยั สมบัติใหม่ วัน เดอื น ปีเกิด 7 เมษายน 2527 ทีอ่ ยู่ 385 หมู่ 14 ตาบลแม่คา อาเภอแมจ่ นั จังหวดั เชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ 089 192 1072 ๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งแพรห่ ลาย เสี่ยงตอ่ การสญู หาย ไม่มีปฏิบัติแลว้ ๖. รูปภำพภูมปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมิปัญญำทำงวฒั นธรรม ลกั ษณะบา้ นเรือนของคนยอง ลกั ษณะการแตง่ กายของคนยอง และการแสดงดนตรพี น้ื เมืองวงแม่คา
-15- แบบสำรวจมรดกภมู ิปญั ญำทำงวัฒนธรรมจงั หวดั เชียงรำย ประจำปี ๒๕๖5 สำนกั งำนวัฒนธรรมจังหวดั เชียงรำย อำเภอเวยี งแกน่ จังหวดั เชียงรำย ๑. ชื่อข้อมูล ภาษาขมุ ๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพน้ื บา้ นและภาษา ศลิ ปะการแสดง แนวปฏิบัตทิ างสงั คมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความร้แู ละการปฏิบตั ิเกย่ี วกบั ธรรมชาติและจกั รวาล งานช่างฝมี ือดั้งเดิม การละเลน่ พื้นบ้าน กีฬาพน้ื บ้าน และศลิ ปะการตอ่ สู่ป้องกนั ตวั ๓. รำยละเอียดข้อมูล ๓.๑) ประวตั ิความเป็นมาของข้อมลู ขมุ เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุที่มีถ่ินฐานบริเวณตอนเหนือของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนาน ได้แก่ บรเิ วณทางใต้ของประเทศจีน ทางภาคเหนอื ของประเทศไทย ประเทศเวียดนาม และสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว ท่ีมีชาวขมุอยู่เป็นจานวนมากที่สุด จากหลักฐานเอกสารเก่าแก่ทาให้เชื่อกันว่า ชาวขมุ เป็นกลุ่มชน ด้งั เดมิ ทส่ี าคญั กล่มุ หนึง่ ของดินแดนสวุ รรณภูมิ มชี ือ่ ขมปุ รากฏอยู่ คาว่า ขมุ แปลว่า คน เป็นคาที่ชาวขมุใช้เรียกตนเอง จึงเป็นทั้งชื่อเผ่าและชื่อภาษา คาเรียกชาวขมุ ในลาว มี 2 คา คือคาวา่ “ขา่ ” และ “ลาวเทงิ ” หรอื “ลาวบนท่ีสูง” เพื่อให้แตกต่างจากกลุม่ คนท่ีพูดภาษาลาว และตระกูลไทยอ่ืน ๆ สาหรับชาวขมุในประเทศไทย เป็นที่รู้จักทั้งชื่อ “ข่า” และ “ขมุ” มาเป็นเวลานาน ชาวขมุชอบสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณชายเขาหรือบนเขาสูง จึงมักถูกมองว่าเป็นชาวเขากลุ่มเล็กในภาคเหนือ จังหวัดเชียงรายและจังหวัดน่านบริเวณรอยต่อกับประเทศลาว นอกจากน้ันยังพบกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัด สพุ รรณบรุ ี กาญจนบุรี และอทุ ยั ธานี ชาวขมุแต่ละกลุ่มมีวัฒนธรรมและภาษาที่ต่างกันไปเล็กน้อย และมีคาว่า ตม้อย ที่ใช้เรียก ชาวขมุดว้ ยกันเองแต่ต่างกลุ่มกัน ต่อทา้ ยดว้ ยลกั ษณะเฉพาะหรือถิน่ ที่อยู่ของแตล่ ะกลมุ่ เชน่ ตม้อยปหู ลวง (ช่ือ หมู่บ้านเดิม) ตม้อยเพอะ (ลักษณะเฉพาะของภาษา คาว่า “กิน”) ตม้อยอัล (คาว่า “ไม่” ลักษณะเฉพาะของ ภาษา) ตม้อยลื้อ (อยู่ในกลุ่มพวกลื้อ) เป็นต้น คาว่า “คมุ้” หมายถึงกลุ่มของตน ใช้ในการแยกชาวขมุออกจาก เช้ือชาติอ่ืน ๆ และคาว่า “แจะ” หมายถึงกลุ่มคนเช้ือสายไทย ทั้งไทยกลาง ไทยภาคเหนือ ลาว ลื้อ และไทดา และใช้คาวา่ “แมว” เรยี กกล่มุ แมว้ เปน็ ต้น ภาษาขมุ อยู่ในสาขาย่อยของขมุอิค (Khmuic) สาขามอญ-เขมร (Mon-Khmer) ในตระกูลภาษา ออสโตรเอเชียติค (Austroasiatic Language Family) ซ่ึงมีภาษามัล-ปรัย และมลาบรี เป็นภาษาร่วมสาขา ยอ่ ยเดยี วกัน ภาษาขมุแตล่ ะถน่ิ แต่ละพ้ืนท่ีมีความแตกต่างเล็กน้อยด้านระบบเสยี ง ระดบั คา และระดับประโยค ข้ึนอยู่กับอิทธิพลภาษาอื่น ๆ ในสังคมท่ีมีการติดต่อส่ือสารกันดว้ ย ลักษณะภาษาขมุน้ี เป็นของสาเนียงหมู่บ้าน ห้วยเอยี น อาเภอเวียงแกน่ จงั หวดั เชียงราย ทไ่ี ดม้ กี ารศกึ ษาและฟ้นื ฟูภาษาดว้ ยอักษรไทยแล้ว
-16- พยัญชนะของภาษาขมุมีท้ังหมด 22 เสียง ได้แก่ ก, ค, ง, จ, ช, ซ, ญ, ด, ต, ท, น, บ, ป, พ, ฟ, ม, ย, ร, ล, ว, อ, และ ฮ. ซงึ่ เป็นพยัญชนะต้นไดท้ งั้ หมด (เสยี ง ฟ อาจพบไดใ้ นประเภทคายมื เทา่ นัน้ ) พยัญชนะควบกลา้ 7 เสียง ไดแ้ ก่ ปล-, ปร-, พร-, กล-, กร-, กว- และ คร- พยญั ชนะสะกด 15 เสียง ได้แก่ -ก, -ง, -จ, -ยฮ, -ญ, -ด, -น, -บ, -ม, -ย, -ร, -ล, -ว, และ -ฮ. มีเสียงสระท้ังส้ิน 20 เสียง แบ่งเป็นสระเสียงสั้น -ะ, -า, - ิ, - ี, - ึ, - ื, -ุ , - ู , เ-ะ, เ-, แ-ะ, แ-, โ-ะ, โ-, เ-าะ, -อ, เ-อะ, เ-อ, แ- ิ, และ เ-า. มีสระประสม เ- ยี ะ, เ- ยี , เ- ือะ, เ- อื , -ัวะ และ ั-ว. มีเสียงวรรณยุกต์ 1 เสยี ง ไดแ้ ก่ -้ ระดบั เสียงสูง-ตก ๓.2) ขัน้ ตอน/วิธีการ/ดาเนินการเกี่ยวกับข้อมลู ลงพื้นทีส่ อบถามผมู้ ีความรู้ ปราชญ์ชาวบ้าน 4. ช่อื ผูท้ ี่ถือปฏิบัตแิ ละผ้สู บื ทอด 4.๑ ผู้ท่ีถอื ปฏบิ ตั ิ ช่ือ นายบณั ฑิต บุญเสริม วนั เดือน ปีเกดิ - ที่อยู่ บา้ นหว้ ยเอยี น ตาบลหล่ายงาว อาเภอเวยี งแก่น จังหวดั เชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ - 4.๒ ผู้สืบทอด ชอ่ื นายคตนานต์ เรอื นเทอม วัน เดือน ปีเกิด - ทีอ่ ยู่ บา้ นห้วยเอียน ตาบลหลา่ ยงาว อาเภอเวยี งแกน่ จงั หวัดเชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ - 5. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ตั ิอย่างแพร่หลาย เสยี่ งต่อการสญู หาย ไม่มปี ฏิบัตแิ ลว้ 6. รปู ภำพภูมปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม/กิจกรรมทำงภูมิปัญญำทำงวฒั นธรรม (พร้อมบรรยำยใต้ภำพ)
-17- แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวฒั นธรรมจังหวัดเชียงรำย ประจำปี ๒๕๖๕ สภำวฒั นธรรมจงั หวัดเชยี งรำย อำเภอแมล่ ำว จงั หวัดเชยี งรำย ๑. ชื่อข้อมลู ภาษาบซี ู ๒. ลักษณะ วรรณกรรมพ้ืนบา้ นและภาษา ศลิ ปะการแสดง แนวปฏิบัติทางสังคมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรแู้ ละการปฏิบัติเก่ียวกบั ธรรมชาติและจักรวาล งานชา่ งฝมี อื ดงั้ เดมิ การละเลน่ พ้ืนบา้ น กีฬาพ้ืนบา้ น และศลิ ปะการต่อส่ปู ้องกนั ตวั ๓. รำยละเอียดขอ้ มลู ๓.๑) ประวตั ิความเป็นมาของขอ้ มูล ชนเผ่าพื้นเมืองบีซู เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุดั้งเดิมท่ีอยู่ในพ้ืนท่ีจังหวัดเชียงราย โดยมีการเปิดเผยตัวตนให้ เป็นที่รู้จักของคนท่ัวไปเม่ือปี พ.ศ.๒๕๔๘ ที่ชนพื้นเมืองบีซูได้เข้าร่วมกับเครือข่ายชนพ้ืนเมืองแห่งประเทศไทย ท่ีจัดงานเดินรณรงค์ในจังหวดั เชียงใหม่ เพื่อให้สังคมรับรู้วา่ มีกลุม่ ชาติพันธ์บุ ีซู เป็นชนเผ่าพื้นเมืองอยใู่ นจังหวัด เชยี งรายของประเทศไทย ชนเผ่าพ้ืนเมืองบีซู คาดว่าเป็นกลุ่มชนดั้งเดิมในพ้ืนท่ีจังหวัดเชียงราย การเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ต้ังแต่ สมัยใดไม่สามารถระบุได้แต่เดิมนั้นมักถูกเรียกรวมกับกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะหรือละว้า จากการศึกษาของ นกั วชิ าการในอดีตพบวา่ ชาชาติพันธ์บุ ีซู มกี ารตง้ั ถิ่นฐานอยู่ในจงั หวัดเชยี งรายเกือบทงั้ หมด และมกี ารอา้ งอิงถึง การตง้ั ถน่ิ ฐานไดช้ ดั เจนนัก โดยในจังหวัดเชยี งรายนนั้ มกี ลุม่ ชาติพนั ธุ์ที่พูดภาษาบีซูตงั้ ถ่นิ ฐานอยู่ ๕ หม่บู ้า ลักษณะเด่นท่ีเป็นอัตลักษณ์ของข้อมูล บีซูเป็นกลุ่มชาติพันธ์ุที่มีวัฒนธรรมด้านภาษาพูดที่ นักภาษาศาสตร์จัดอยู่ในกลุ่มภาษาโลโลใต้ สาขาย่อยของตระกูลภาษาทิเบโต-เบอร์มัน (Tibeto – Burman) ซง่ึ ไดค้ น้ พบกลมุ่ ชนบีซูพดู ภาษาของตนเองในพน้ื ท่ีจังหวัดเชียงรายมาตงั้ แตป่ ี พ.ศ.๒๕๐๙ ชนเผา่ พนื้ เมืองบีซูจัง เป็นท่ีรู้จักในกลุ่มนักวชิ าการดา้ นภาษา มายาวนาน ซ่ึงต่อมากระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศข้ึนทะเบียนภาษา บีซเู ป็นมรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติ ประจาปพี .ศ. ๒๕๕๗ ๓.๒) ข้นั ตอน/วิธกี าร/ดาเนินการเก่ยี วกบั ข้อมูล ภาษาบีซูบ้านดอยชมภูตาบลโป่งแพร่อาเภอแม่ลาวจังหวัดเชียงรายมีพยัญชนะต้น ๒๙ หน่วย เสียงมี ๔ หน่วยเสียงที่คนรุ่นใหม่ไม่ออกเสียง ได้แก่ ฮน ฮม ฮุย และฮล สระมี ๑๐ หน่วยเสียง ความสั้นยาว ของเสยี งสระไม่มนี ัยสาคัญทางความหมาย ซึ่งเปน็ เอกลกั ษณ์ของภาษาตระกูลทิเบต-พม่า กลา่ วคือจะออกเสียง สระเสียงสน้ั หรือยาวก็ได้ ไม่ได้ทาให้ความหมายเปล่ียนไป เชน่ ยะ - ยา “ไร่” ซึ่งตา่ งจากภาษาไทยท่ีการออกเสียง สระสั้นหรือยาวทาให้ความหมายเปล่ียนแปลงวรรณยุกต์มี ๓ หน่วยเสียง ได้แก่ เสียงระดับกลาง ระดับต่าตก และระดับสูงข้ึน การเรียงคาในประโยคมีลักษณะแบบ ประธาน – กรรม - กริยา (SOV) เช่น กงาฮ่างจ่า ฉัน- ข้าว-กิน = ฉันกินขา้ ว เป็นตน้
-18- - หน่วยเสยี งท่ีเปน็ ไดท้ ้งั พยัญชนะตน้ และพยญั ชนะทา้ ยมี 8 หนว่ ยเสยี ง ได้แก่ /m/, /n/, /ŋ/, /p/, /t/, /k/, /w/ และ /j/ - หน่วยเสียงพยัญชนะควบมี 12 หนว่ ยเสียง ได้แก่ /ml/, /mj/, /bl/, /bj/, /kl/, /kw/, /kj/, /kʰl/, /kʰj/, /pl/, /pʰl/ และ /pʰj/ เกดิ ใน ตาแหนง่ ตน้ พยางค์เท่าน้ัน - พยญั ชนะ /m̥/, /n̥/, /ŋ̥ /, /l̥/, /j/̥ ออกเสยี งคล้ายมลี มนาหนา้ แต่ปัจจบุ ันเสียงลมนาหนา้ ลดลง หรือไม่มีแลว้ - หน่วยเสียง /f/ พบเฉพาะในคายมื - ระบบเสยี งภาษาบีซูถ่นิ ดอยชมภมู ีเฉพาะสระเดี่ยว โดยสระประสม /ia/ ปรากฏเฉพาะในคายมื เชน่ /ʔetɕ͡ ʰia/ 'เอเชีย' - ความสัน้ ยาวของเสยี งสระไม่ทาใหค้ วามหมายของคาเปลี่ยนแปลง แต่สระท่ีมพี ยัญชนะทา้ ยเปน็ /m/, /n/, /ŋ/, /w/, /j/ มักมีเสียงยาวกวา่ สระท่ีมีพยญั ชนะท้ายเปน็ /p/, /t/, /k/ อยา่ งไรก็ตาม ระบบ เขียนอักษรไทยใช้รปู สระเสยี งยาวในทุกบริบท - สระในพยางค์เปิดจะเป็นเสยี งยาวตามดว้ ยเสยี งกกั ทเี่ สน้ เสียง เช่น /jḁ / [jḁ ːʔ] 'ไก'่ ; วรรณยุกต์ ภาษาบีซถู ิน่ ดอยชมภมู ีหนว่ ยเสยี งวรรณยกุ ต์ 3 หน่วยเสยี ง[7] ได้แก่ หนว่ ยเสียงวรรณยกุ ตก์ ลาง (mid tone) เชน่ /jḁ / 'ไก'่ หน่วยเสียงวรรณยกุ ต์ต่า (low tone) เชน่ /jḁ̀ / 'คนั ' หน่วยเสียงวรรณยุกต์สงู (high tone) เช่น /jḁ́ / 'ไร่' การสบื สาน สร้างสรรค์ และพัฒนาต่อยอดข้อมลู เนอ่ื งจากภาษาพดู ที่เป็นเอกลักษณ์ของบีซู พดู กันได้ น้อยลง เด็กส่วนมากเรียนหนังสือในระบบโรงเรียนอยา่ งน้อย ๖ ปี และได้รับอิทธิพลจากวทิ ยแุ ละโทรทัศน์ บีซู รุ่นนี้จะม่ันใจในการใช้ภาษาไทยมาตรฐานมากขึ้นและกลมกลืนกับคนพ้ืนเมือง รวมทั้งอายไม่กล้าใช้หรือพูดภาษา บซี กู บั คนภายนอกมากนัก แต่บีซรู ่นุ ปจั จบุ ัน ใหค้ วามสาคญั กับการสอนใหล้ ูกหลานพูดภาษาบีซู ในหมู่บา้ นดอย ชมพูได้ใช้ตัวอักษรไทยในการใช้ภาษาเขียน โดยได้รับการสนับสนุนการฟื้นฟูภาษาบีชูจากหน่วยงานหลายแหง่ เชน่ ศนู ย์ศึกษาและฟนื้ ฟูภาษาและวฒั นธรรมในภาวะวิกฤตสถาบันวิจยั ภาษาและวฒั นธรรมเอเชีย มหาวทิ ยาลัยมหิดล และสานักงานกองทุนสนับสนุน การวิจัย (สกว.) ได้เข้ามาช่วยให้ทุนสนับสนุนผู้นาชุมชนบีซู ในการฟื้นฟูภาษาบีซู ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้เปิดศูนย์บ่มเพาะภาษาบีซูหรือศูนย์เด็กเล็กท่ีครูผู้สอนและพี่เลี้ยงต่างก็ใช้ภาษาในการ เรียนการสอน โดยไม่มีภาษาคาเมืองหรือภาษาไทยกลางเข้ามาปน นอกจากนั้นยังมีกลุ่มเยาวชนกลุ่มเล็ก ๆ ท่ีคอยเผยแพรแ่ ละสอนภาษาบีซูใหก้ ับเด็กบีซู ซง่ึ กไ็ ด้รับการสนับสนนุ จากผ้ใู หญ่ในชุมชนเป็นอยา่ งดี ภาษาบีซูนั้นเป็นเอกลักษณ์ของชาวบีซู เพราะว่าภาษาบีซูเป็นปัจจัยสาคัญท่ีจะทาให้คนภายนอกว่า พวกเขาคือชนเผ่าพื้นเมืองบีซู นอกจากนั้นชาวบีซูยังมองว่าภาษาบีซูเป็นภาษาท่ีปู่ย่าตายายพ่อแม่เคยพูดกันมา และสั่งสอนให้พูดกันถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมท่ีควรจะอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างย่ิง ซ่ึงต่อมากระทรวงวัฒนธรรม ไดป้ ระกาศขึน้ ทะเบียนภาษาบซี เู ปน็ มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของชาติประจาปพี .ศ. ๒๕๕๗ ภาษาบซี เู ป็นภาษาพูด ไมม่ รี ะบบการเขียนและตัวอักษร เมือ่ สภาพสังคมเปลย่ี นและคนบซี เู ร่ิมแต่งงาน กับคนภายนอกกลุ่มมากขึ้น ทาให้คนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านพูดภาษาบีซูได้น้อยลง นิยมพูดภาษาไทยภาคเหนือ (คาเมือง) และภาษาไทยภาคกลางมากขึ้น จนคนบีซูรุ่นผู้ใหญ่เริ่มกังวล และต้องการให้ภาครัฐและนักวิชาการ ช่วยเหลือในการอนุรักษ์ภาษาบีซู สถาบันภาษาศาสตร์ SIL จึงได้ทาโครงการวิจัย “การฟื้นฟูภาษาและภูมิปัญญา เพ่ือพัฒนาการศึกษาและกลุ่มชาติพันธุ์” และได้พัฒนาระบบการเขียนภาษาบีซูโดยใช้อักษรไทยขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๓๙ เพอื่ ใชบ้ ันทึกนิทาน ทาพจนานุกรมภาพภาษาบีซู-ไทย-อังกฤษ เพอื่ เป็นแบบเรียนใช้สอนในศูนย์เด็กเล็ก ของชุมชน
-19- ๔. ชือ่ ผ้ทู ถ่ี ือปฏบิ ตั ิและผ้สู บื ทอด ๔.๑ ผูท้ ถ่ี อื ปฏิบัติ ชอ่ื นายอนุ่ เรือน วงค์ภักดี วนั เดอื น ปเี กิด - ทอี่ ยู่ หมู่ ๗ ตาบลโปง่ แพร่ อาเภอแม่ลาว จังหวดั เชยี งราย หมายเลขโทรศัพท์ ๐๙๓ ๒๖๒ ๑๕๙๑ ๔.๒ ผู้สบื ทอด ช่ือ นางสาวยพุ ารตั น์ ตคิ า วนั เดอื น ปเี กดิ 2513 ทอี่ ยู่ ๑ หมู่ ๗ ตาบลโปง่ แพร่ อาเภอแมล่ าว จงั หวัดเชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ 086 086 7382 5. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งแพร่หลาย เสีย่ งต่อการสูญหาย ไม่มปี ฏบิ ัตแิ ล้ว 6. รปู ภำพภูมปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม หนงั สือค่มู ือระบบเขียน ภาษาบซี ู การสอนภาษาบีซู ศูนย์ถา่ ยทอดวัฒนธรรมชนเผา่ บีซู บา้ นดอยชมภู ตาบลโป่งแพร่ อาเภอแมล่ าว จังหวดั เชียงราย
-20- แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ัญญำทำงวัฒนธรรมจงั หวดั เชียงรำย ประจำปี ๒๕๖๕ สภำวฒั นธรรมจังหวัดเชยี งรำย สภำวัฒนธรรมอำเภอเทงิ จังหวดั เชยี งรำย ๑. ชื่อข้อมูล วรรณกรรมล้านนา ๒. ลักษณะ วรรณกรรมพ้นื บ้านและภาษา ศลิ ปะการแสดง แนวปฏบิ ัติทางสังคมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรู้และการปฏิบตั เิ กย่ี วกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล งานช่างฝีมอื ด้งั เดมิ การละเลน่ พ้นื บ้าน กีฬาพ้ืนบ้าน และศลิ ปะการตอ่ ส่ปู ้องกนั ตัว ๓. รำยละเอยี ดขอ้ มลู ๓.๑) ประวตั ิความเปน็ มาของขอ้ มลู บ้านไคร้หมู่ 22 เป็นหมู่บ้าน หนึ่งของตาบลตับเต่า ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่แยกมาจากหมู่ท่ี 3 ตาบลตับเต่า ซ่ึงมีประประชาชน ได้อพยพมาจากจังหวัดน่านบางส่วน ได้มาตั้งถิ่นฐาน ณ หมู่บ้านไคร้ หมู่ 3 และในเวลา ต่อมามีประชากร มากข้ึน จึงได้แยกหมู่บ้านเพ่ือประโยชน์ด้านงบประมาณ และแบ่งเขตรับผิดชอบ ในการ จดั การทรพั ย์ยากรทางดา้ นทิศตะวันออกของหม่บู า้ น มธี รรมชาตทิ ี่อุดมสมบูรณ์ มีผูส้ ืบทอด วรรณกรรม ภาษา ซึ่ง นางศรีเลย สิทธิเขียว เป็นผู้ท่ีเขียนโคลง กลอน แบบล้านนาได้ ซึ่งทางภาคเหนือเรียกว่า ค่าว ซอ เป็นโครง กลอน ท่ีสามารถเขียนสะท้อนวิถีชีวิต และเร่ืองราว ของหมู่บ้าน เร่ืองของศีลธรรม ศาสนา รวมถึงวรรณกรรม นทิ านพ้นื บ้านต่าง ๆ ซึง่ เป็นภมู ิปัญญาทีค่ วรจะสืบทอด และให้เยาชนเดก็ รนุ่ ใหมไ่ ด้เรยี นรู้ ๓.๒) ข้นั ตอน/วิธกี าร/ดาเนินการเกี่ยวกับข้อมูล ทาการศึกษาจัดเก็บข้อมูลศึกษา และทาข้อมูลให้เป็นสารสนเทศเพื่อ การสืบทอดภูมิปัญญาสู่เยาวชน รนุ่ หลังและคงสภาพภมู ิปญั ญา ๔. ชอ่ื ผู้ที่ถอื ปฏิบัติและผู้สืบทอด ๔.๑ ผทู้ ถี่ อื ปฏบิ ตั ิ ชอื่ นางศรีเลย สิทธเิ ขียว วนั เดือน ปเี กิด 3 มนี าคม 2482 ทอ่ี ยู่ 150 หมู่ 22 ตาบลตบั เต่า อาเภอเทงิ จังหวดั เชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ 080 672 7034 4.๒ ผู้สบื ทอด ชอ่ื - วนั เดือน ปีเกดิ - ทีอ่ ยู่ - หมายเลขโทรศัพท์ - 5. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ัติอย่างแพรห่ ลาย เสย่ี งตอ่ การสญู หาย ไม่มปี ฏิบตั แิ ล้ว ๖. รปู ภำพภมู ิปัญญำทำงวัฒนธรรม/กิจกรรมทำงภูมิปัญญำทำงวฒั นธรรม
-21- แบบสำรวจมรดกภมู ิปัญญำทำงวฒั นธรรมจังหวัดเชยี งรำยประจำปี ๒๕๖๕ สภำวฒั นธรรมจังหวดั เชยี งรำย อำเภอเวยี งชยั จงั หวดั เชียงรำย ๑. ชอ่ื ข้อมลู สรภญั ญะ ๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพนื้ บา้ นและภาษา ศลิ ปะการแสดง แนวปฏิบตั ทิ างสงั คมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรู้และการปฏิบตั เิ ก่ยี วกับธรรมชาติและจกั รวาล งานช่างฝมี อื ดงั้ เดิม การละเล่นพ้นื บา้ น กีฬาพ้ืนบา้ น และศิลปะการตอ่ สู่ป้องกันตัว ๓. รายละเอยี ดข้อมูล ๓.๑ ประวตั คิ วามเป็นมาของข้อมลู สรภัญญะ คือ การสวดและร้องเพลงพื้นบ้านประเภทหน่ึงท่ีผสมผสานกันมีการร้องและราประกอบ บทสวดจะมีลักษณะเป็นฉันท์หรือกาพย์ เป็นการสวดในทานองสังโยค คือ การสวด เป็นจังหวะหยุดตาม รูปประโยคฉันทลักษณ์ บทสวดจะมีลักษณะเป็นฉันท์หรือกาพย์ก็ได้ แต่ทีนิยมกันมากคือ กาพย์ยานี สาหรับ เนื้อหาจะเก่ียวข้องกับศาสนา บาปบุญคุณโทษ นิทานชาดก นอกจากน้ัน ก็ยังมีการแต่งกลอนเน้นไปทาง ศิลปวัฒนธรรม เช่น กลอนถามข่าว โอภาปราศรัย ชักชวนให้ไปเยี่ยม การลา หรือเป็นวรรณกรรมท้องถ่ินของ อีสาน เช่น เรืองกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เป็นต้น บทสวดสรภัญญะมักไม่เน้นในเรื่องความรัก เพราะการสวด สรภัญญะเก่ยี วขอ้ งกับศาสนา และผ้ฝู กึ สอนเป็นพระภิกษุ จึงไมใ่ หม้ ีเน้ือหาเกีย่ วกับความรัก เพราะไม่เหมาะกับ พระสงฆ์ บทร้องสรภัญญะเนื้อหาของเพลงสรภัญญะจะกล่าวถึงเรื่องราวของพุทธศาสนา ยกย่องสรรเสริญ บุคคลผู้มีพระคุณ ให้ความรู้เก่ียวกับนิทาน ตานานพื้นบ้านและเหตุการณ์ปัจจุบัน มุ่งอบรมสั่งสอนให้คนทา ความดีมีจริยธรรม พรรณนาธรรมชาติ นิทานพื้นบ้าน ช่วยให้เกิดอารมณ์ผ่อนคลาย มีเร่ืองราวสนุกสนาน ก่อให้เกิดความสามัคคี บทเพลงสรภัญญะ จึงเป็นเพลงขับจริยธรรมอย่างแท้จริงการเลือกใช้คาในเพลง สรภัญญะที่ทาให้เกิดความงามและความไพเราะ จะใช้คาให้สัมผัสท้ังในวรรคและระหว่างวรรค นอกจากน้ี ทโี่ ดดเดน่ ทีสุดก็คือมีการเลอื กใชค้ าภาษาถ่ินของตนมาประยุกต์กบั ภาษาไทย ประเภทของสรภัญญะได้จาแนกไว้ 10 ประเภท คือ บทบูชาพระรัตนตรัย บทนมัสการไหว้ครูและ เคารพบิดามารดา บทคาสอนทางพุทธศาสนาสรรเสริญพระศาสนาและวันสาคัญต่าง ๆ ทางพุทธศาสนา บทท่ี เป็นคาสอนทางโลก บทสุภาษิตคาพังเพยอุปมาอุปไมย บทท่ีอยู่ในความสนใจของชาวบ้าน บทที่เป็นเหตุการณ์ ปจั จุบัน บทพรรณนาธรรมชาติ บทวรรณกรรมพ้ืนบ้าน และบททีม่ เี นอื้ หาเบด็ เตลด็ ในอดีตการขับร้องสรภัญญะมีบทบาทสาคัญต่อชุมชนชาวอีสานเป็นอย่างมากจึงมีการส่งเสริมและ สนับสนุนการขับร้องและสวดสรภัญญะด้วยการจัดประกวดการขับร้อง เป็นกิจกรรมแทรกในงานต่าง ๆ อันส่งผลให้มีผู้คิดและแต่งบทสรภัญญะกันมากขึ้น ซ่ึงผู้ที่แต่งส่วนใหญ่ ได้แก่ พระสงฆ์ หรือฆราวาสท่ีเคยบวช เรยี น หรือมปี ระสบการณใ์ นการขบั สรภัญญะและรักในศลิ ปะการประพนั ธ์
-22- ๓.๒ ขน้ั ตอน/วิธกี าร/ดาเนนิ การเก่ียวกบั ข้อมลู ปัจจุบันการสวดสรภัญญะน้ัน นิยมสวดกันในงานศพ งานทอดผา้ ป่า งานกฐิน งานทอดเทยี น งานกวน ข้าวทิพย์ และในกิจกรรมวันธรรมสวนะ (วันพระ) และชาวบ้านได้ร่วมใจกันสืบสานการสวดสรภัญญะให้คงอยู่ ดว้ ยการสวดสรภัญญะในวันธรรมสวนะและงานบุญต่าง ๆ ๔. ช่ือผูท้ ถี่ อื ปฏิบัตแิ ละผู้สบื ทอด ๔.๑ ผทู้ ีถ่ อื ปฏิบตั ิ ชอ่ื นางบัวลา ขนั ธวิชัย วนั เดอื น ปเี กิด ๗ มีนาคม ๒๔๙๓ ทอ่ี ยู่ ๑๐๔ หมู่ ๑๐ ตาบลผางาม อาเภอเวียงชยั จังหวดั เชยี งราย หมายเลขโทรศัพท์ ๐๙๒ ๔๓๑ ๘๖๓๓ ๔.๒ ผู้สืบทอด ชื่อ นางผ่องศรี มาแสน วนั เดอื น ปีเกิด ๒๕ มีนาคม ๒๔๙๗ ทอ่ี ยู่ ๖๑ หมู่ ๑๐ ตาบลผางาม อาเภอเวียงชยั จังหวดั เชยี งราย หมายเลขโทรศัพท์ ๐๘๘ ๔๐๒ ๕๕๒๐ ๕. สถานการณ์คงอยู่ ปฏบิ ตั อิ ย่างแพร่หลาย เสยี่ งต่อการสญู หาย ไมม่ ปี ฏบิ ตั แิ ลว้ ๖. รูปภาพภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม/กจิ กรรมทางภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม
-23- แบบสำรวจมรดกภมู ิปัญญำทำงวฒั นธรรมจงั หวัดเชยี งรำย ประจำปี ๒๕๖๕ สภำวัฒนธรรมจงั หวดั เชยี งรำย อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงรำย ๑. ช่ือข้อมลู หนังสือตารายาเมืองล้านนา ๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพ้นื บ้านและภาษา ศลิ ปะการแสดง แนวปฏบิ ัติทางสงั คมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรู้และการปฏิบตั ิเกยี่ วกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล งานชา่ งฝีมือด้ังเดมิ การละเลน่ พ้นื บา้ น กีฬาพืน้ บ้าน และศิลปะการตอ่ สปู่ ้องกันตัว ๓. รำยละเอียดข้อมูล ๓.๑) ประวตั ิความเปน็ มาของขอ้ มลู ชาวเหนือมีการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับวิธีการดูแลสุขภาพ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ จากบรรพบุรุษ และปฏิบัติสืบทอดกันมาได้อย่างสอดคล้องกับวิถีชีวิตของตนเอง แม้ว่าการแพทย์แผนปัจจุบันจะมีความ เจรญิ กา้ วหน้าและมสี ถานพยาบาลมากแล้วก็ตาม บางครัง้ มีการดูแลปฏิบัติตนตามความเช่ือถือดั้งเดิมควบคู่ไป กับการรักษาด้วยแผนปัจจุบัน สาหรับการแพทย์แผนโบราณในภาคเหนือนับว่ามีส่วนผสมผสานอยู่ใน ชีวิตประจาวันมาแต่เดมิ เพราะถือวา่ การรู้จกั ดูแลสุขภาพ รจู้ ักใช้ยาสมนุ ไพรทีอ่ ยรู่ อบตวั มาใช้ในการรกั ษาโรค หมอเมืองซึ่งเป็นหมอพื้นบ้านภาคเหนือ เป็นตาแหน่งทางสังคมของบุคคลท่ีมีความรู้ในการปัดเป่า เยียวยาปญั หาโรคภัยไข้เจ็บทุกข์ร้อนตา่ ง ๆ ของชุมชน ด้วยพืชสมนุ ไพรหรือวธิ ีการ อนื่ ๆ หมอเมืองจึงมิได้เป็น เพยี งตาแหนง่ ทางวิชาชพี และมิใช่พ่อค้าขายยาหรือคนสมุนไพร แตห่ มอเมืองและตาราหมอเมืองเปรยี บเสมือน องค์ความร้แู ละภูมิปัญญาทอ้ งถิน่ ทม่ี ีการสืบทอดกนั มาหลายช่ัวอายุ นายสุทัศน์ ก๋าแก้ว ได้ศึกษาเรียนรู้ภาษาล้านนา(ตั๋วเมือง) ตั้งแต่อายุ 11 ปี (บวชเรียนเป็นสามเณร) และไดเ้ ริ่มศึกษาตารายา(ปับ๊ สา) ตั้งแต่ พ.ศ. 2514 เป็นต้นมา โดยไดอ้ ่านปับ๊ สาของนายคาอา้ ย กา๋ แก้ว (ปู)่ ๓.๒) ขน้ั ตอน/วิธีการ/ดาเนนิ การเก่ียวกบั ข้อมูล หนังสือตารายาเมืองล้านนา เป็นหนังสือท่ีแปลจากป๊ับสาภาษาล้านนาเป็นภาษาไทย มีตารายา มากกว่าหน่ึงพันชนิดในหน่ึงเล่ม โดยนายสุทัศน์ ก๋าแก้ว ได้ดาเนินการศึกษาค้นคว้าป๊ับสาท่ีเป็นตารายาของ นายคาอ้าย ก๋าแก้ว (ปู่) ซึ่งนายคาอ้าย ก๋าแก้ว (ปู่) เป็นหมอเมืองในยุคน้ัน นายสุทัศน์ ก๋าแก้ว ได้ศึกษาแปล ตารายาจากตั๋วเมือง (อักษรลา้ นนา) มาเปน็ ภาษาไทยเรือ่ ยมาจนถงึ ปจั จบุ ัน ๔. ช่ือผทู้ ่ีถอื ปฏิบัติและผสู้ ืบทอด ๔.๑ ผู้ทีถ่ อื ปฏบิ ัติ ชื่อ นายสทุ ศั น์ กา๋ แกว้ วัน เดอื น ปีเกิด ๔ ตุลาคม ๒๕๐๒ ท่ีอยู่ 9 หมูท่ ี่ 4 ตาบลเวยี งเหนือ อาเภอเวยี งชยั จังหวดั เชยี งราย หมายเลขโทรศัพท์ ๐๘๓ ๔๘๑ ๗๑๓๗
-24- ๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งแพรห่ ลาย เสย่ี งต่อการสญู หาย ไมม่ ปี ฏิบตั แิ ลว้ ๖. รูปภำพภมู ปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม
-๒๕- แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ัญญำทำงวฒั นธรรมจังหวัดเชยี งรำย ประจำปี ๒๕๖๕ สภำวฒั นธรรมจังหวดั เชยี งรำย อำเภอปำ่ แดด เชียงรำย ๑. ชอื่ ข้อมูล อกั ษรธมั ม์ลา้ นนา ๒. ลักษณะ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา ศลิ ปะการแสดง แนวปฏิบัตทิ างสังคมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรูแ้ ละการปฏิบัติเกยี่ วกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล งานช่างฝมี อื ดงั้ เดิม การละเลน่ พ้ืนบา้ น กีฬาพืน้ บ้าน และศิลปะการต่อส่ปู ้องกนั ตัว ๓. รำยละเอยี ดข้อมลู ๓.๑) ประวตั คิ วามเป็นมาของข้อมูล อักษรธัมมล์ ้านนา หรือ ตัวเมือง หรือ อักษรยวน ในอดตี เรียกว่า ไทยเฉียงลาวเฉียงตามช่ือมณฑลลาวเฉียง เป็นอักษรท่ีใช้ในสามภาษา ได้แก่ ภาษาไทยถิ่นเหนือ, ภาษาไทลื้อ ในประเทศจีน และภาษาไทเขิน ในประเทศพม่า นอกเหนือจากนี้ อักษรล้านนายังใช้กับลาวธรรม (หรือลาวเก่า) และภาษาถิ่นอื่น ในคัมภีร์ใบลานพุทธและ สมดุ บันทกึ อักษรนยี้ ังเรยี ก อักษรธรรมหรืออกั ษรยวน ภาษาไทยถ่ินเหนือเป็นภาษาใกล้ชิดกับภาษาไทยและเป็นสมาชิกของตระกูลภาษาเชียงแสน มีผู้พูด เกือบ 6,000,000 คนในภาคเหนือของประเทศไทย และหลายพันคนในประเทศลาว ซ่ึงมีจานวนน้อยท่ีรู้ อักษรล้านนา อักษรน้ียังใช้อยู่ในพระสงฆ์อายุมาก ภาษาไทยถ่ินเหนือมีหกวรรณยุกต์ ขณะท่ีภาษาไทยมี ๕วรรณยุกต์ ทาใหก้ ารถอดเสียงเป็นอักษรไทยมีปัญหา มคี วามสนใจในอักษรล้านนาขึน้ มาอกี บ้างในหมู่คนหน่มุ สาว แตค่ วามยุ่งยาก เพมิ่ ข้นึ คอื แบบภาษาพดู สมัยใหม่ ทเ่ี รยี ก คาเมือง ออกเสียงต่างจากแบบเก่า ๓.๒) ขัน้ ตอน/วิธกี าร/ดาเนนิ การเก่ียวกับข้อมูล อักษรธรรมล้านนา หรือ ตัวเมือง พัฒนามาจากอักษรมอญโบราณ เช่นเดียวกับอักษรพม่า อักษรชนิดนี้ ใช้ในอาณาจักรล้านนาเม่ือราว พ.ศ. 1802 จนกระท่ังถูกพม่ายึดครองใน พ.ศ. 2101 ปัจจุบัน ใช้ในงานทาง ศาสนา พบได้ทั่วไปในวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย (ส่วนที่เป็นเขตอาณาจักรล้านนาเดิม และเขตที่ได้รับ อิทธิพลวัฒนธรรมล้านนาบางแห่ง) นอกจากนี้ยังแพร่หลายถึงไปถึงเขตรัฐไทยใหญ่แถบเมืองเชียงตุง ซึ่งอักษร ทใ่ี ชใ้ นแถบน้นั จะเรียกช่อื ว่า \"อักษรไตเขิน\" มลี ักษณะท่ีเรยี บง่ายกวา่ ตวั เมอื งทีใ่ ช้ในแถบลา้ นนา อนึ่ง อักษรธรรมล้านนายังได้แพร่หลายเข้าไปยังอาณาจักรล้านช้างเดิมผ่านความสัมพันธ์ทางการทูต และทางศาสนาระหวา่ งล้านนากบั ลา้ นชา้ งในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 21 รว่ มสมัยกับพระเจ้าโพธิสารราชและ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้าง เป็นต้นเค้าของการวิวัฒนาการของแบบอักษรที่เรียกว่าอักษรธรรมลาว (หรือท่ีเรียกในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทยว่า \"อักษรธรรมอีสาน\") ในเวลาตอ่ มา อักษรธรรมล้านนาจดั ตามกลุ่มพยัญชนะวรรคตามพยัญชนะภาษาบาลี แบง่ ออกเป็น 5 วรรค วรรคละ 5 ตัว เรียกว่า พยัญชนะวรรค หรือ พยัญชนะในวรรค อีก 8 ตัวไม่จัดอยู่ในวรรคเรียกว่า พยัญชนะ อวรรค หรือ พยัญชนะนอกวรรค หรือ พยัญชนะเศษวรรค สว่ นการอา่ นออกเสียงเรียกพยัญชนะท้ังหมดน้ัน จะเรียกว่า “ตว๋ั ”เชน่ ต๋ัว กะ/ก/ ตัว๋ ขะ/ข/ ตวั๋ จะ/จ/ เปน็ ตน้ พยัญชนะปกติ อักษรไทยท่ีปรากฏเป็นการถ่ายอักษรเท่าน้ัน เสียงจริงของอักษรแสดงไว้ในสัทอักษรสากล ซ่ึงอาจจะ ออกเสียงต่างไปจากอกั ษรไทย
-๒๖- ตวั เมือง อักษรไทย เสยี ง สทั อกั ษร อักษร ก กะ /kǎ/ สูง ข ข๋ะ /kʰǎ/ สูง ฃ ฃ๋ะ /xǎ/ สูง ค ก๊ะ /ká/ ตา่ ฅ คะ /xá/ ตา่ ฆ ฆะ /kʰá/ ตา่ ง งะ /ŋá/ ตา่ จ จ๋ะ /tɕǎ/ สูง ฉ ส๋ะ /sǎ/ สงู ช จะ๊ /tɕá/ ตา่ ซ สะ /sá/ ตา่ ฌ ซะ /sá/ ตา่ ตา่ ญ ญะ /ɲá/ สงู สงู ฏ ระ่ ตะ๋ /tǎ/ กลาง ฐ ระ่ ถ๋ะ /tʰǎ/ ตา่ ฑ, ด ดะ๋ /da/ ฒ ระ่ ทะ /tʰá/ ต /tǎ/ สูง ถ /tʰǎ/ สงู ท /tá/ ตา่ ธ /tʰá/ ตา่ น /ná/ ตา่ บ /bǎ/ กลาง ป /pǎ/ สูง ผ /pʰǎ/ สูง ฝ /fǎ/ สูง พ /pá/ ตา่ ฟ /fá/ ตา่ ภ /pʰá/ ตา่ ม /má/ ตา่ ย ต่า /ɲá/ ตา่ ย กลาง /jǎ/ กลาง ร /há/ ตา่ ฤ /lɯ/ ล /lá/ ตา่
-๒๗- ตวั เมือง อกั ษรไทย เสียง สัทอกั ษร อักษร ฦ /lɯ/ ว /wá/ ตา่ ศ /sǎ/ สูง ษ /sǎ/ สงู ส /sǎ/ สงู ห /hǎ/ สูง ฬ /lá/ ตา่ อ /ʔǎ/ กลาง ฮ /há/ ตา่ ฦ /lɯ/ พยัญชนะซอ้ น (ตวั ซอ้ น) เป็นพยญั ชนะท่ีใส่ไว้ใต้พยญั ชนะตัวอนื่ เพือ่ ทาหน้าท่ีอย่างใดอย่างหน่ึงดังนี้ 1. เพอื่ หา้ มไม่ใหพ้ ยัญชนะทไี่ ปซอ้ น (ตวั ขม่ ) ออกเสยี งสระอะ หรือ 2. เพอื่ ทาหน้าทเ่ี ปน็ ตวั สะกด ซึ่งพยญั ชนะท่ลี า้ นนารบั มาจากภาษาอื่นต้ังแต่แรกจะมีรปู พยัญชนะซ้อน ทกุ ตวั ยกเว้น กับ เท่าน้ันที่ไมม่ ี พยญั ชนะทีม่ ีรปู พยญั ชนะซอ้ นมดี งั ต่อไปนี้ พยัญชนะนอกเหนือจากน้ี ซ่ึงได้แก่ เป็นพยัญชนะท่ีล้านนา ประดิษฐ์ข้ึนมาเอง ดังนั้นจึงไม่มีรูปพยัญชนะซ้อน แต่อย่างไรก็ตามเพ่ือให้สามารถเขียนคาที่มาจาก ภาษาต่างประเทศได้ใกล้เคียงกับภาษาเดิมมากที่สุด จึงสมควรมีการประดิษฐ์รูปพยัญชนะซ้อน ของ และ ข้นึ มาเพ่ิมเตมิ
รูป พยัญชนะพเิ ศษ -๒๘- เอ แบบบาลี ลึ ลือ เอ ฤ,ฤๅ (ฤๅ) ฦ ชอื่ อ๋ิ แบบบาลี อี แบบบาลี อุ๋ แบบบาลี อู แบบบาลี lɯ᷇ ʔ /lɯ̄ ː/ ถอดอกั ษร อิ อี อุ อู /ēː/ สทั อักษร /íʔ/ /īː/ /úʔ/ /ūː/ รูป ชอ่ื แล แล แบบไทล้ือ นา ญะญะ ส สองห้อง ระโฮง ถอดอกั ษร แล/และ นา ญญฺ สฺส ร (ควบกลา้ ) สทั อักษร /lɛ̄ ː/ /nāː/ /n.ɲ/ /t.s/, /s.s/, /sː/ /r/, /l/, /ʰ/ สระ สระจม เปน็ สระท่ีไม่สามารถออกเสียงไดด้ ว้ ยตัวเอง ต้องนาไปผสมกับพยญั ชนะกอ่ นจึงจะสามารถออก เสยี งได้
-๒๙- สระลอย เป็นสระท่ีมาจากภาษาบาลี สามารถออกเสียงได้ด้วยตัวเองไม่จาเป็นต้องนาไปผสมกับพยัญชนะก่อน แต่บางครั้งก็มีการนาไปผสมกับพยัญชนะหรือสระแท้ เช่น คาว่า \"เอา\" สามารถเขียนได้ โดยเขียนสระจาก ภาษาบาลี 'อ'ู ตามด้วย สระแท้ 'า' คือ วรรณยกุ ต์ เน่ืองจากล้านนาได้นาเอาระบบอักขรวิธีของมอญมาใช้โดยแทบจะไม่มีการปรับเปล่ียนเลย และภาษา มอญเองก็เป็นภาษาที่ไม่มีวรรณยุกต์ ดังน้ันในอดีตจึงไม่ปรากฏว่ามีการใช้เคร่ืองหมายวรรณยุกต์ ในการเขียน อักษรธรรมล้านนาเลย (เคยมีการถกเถียงกันเร่ืองชื่อของล้านนาว่าจริง ๆ แล้วช่ือ \"ล้านนา\" หรือ \"ลานนา\" กันแน่ แต่ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า \"ล้านนา\") จนกระทั่งในระยะหลังเมื่ออิทธิพลของสยามแผ่เข้าไปในล้านนาจึงปรากฏ การใช้รูปวรรณยุกต์ในการเขียนอักษรธรรมล้านนา ภาษาล้านนาสามารถผันได้ 6 เสียง (จริง ๆ แล้วมีท้ังหมด 7 หรอื 8 เสียง แตใ่ นแตล่ ะท้องถ่ินจะใช้เพียง 6 เสยี งเท่านน้ั ) การผนั จะใชก้ ารจับคู่กนั ระหวา่ งอักษรสูงกับอักษร ต่าจึงทาให้ต้องใชว้ รรณยุกต์เพียง 2 รูปเท่านน้ั คือ เอก กับ โท (เทียบภาษาไทยกลาง) เชน่ การที่มีรูปวรรณยุกต์เพียง 2 รูปนี้ทาให้เกิดปัญหากับอักษรกลาง คือ ไม่สามารถแทนเสียงได้ครบท้ัง 6 เสียง ดังน้ันจึงอาจอนุโลมให้แต่ละรูปศัพท์แทนการออกเสียงได้ 2 เสียง เสียงวรรณยุกต์สาเนียงเชียงใหม่มี 6 เสียง คือ เสยี งจตั วา, เสียงเอก, เสยี งโทพิเศษ, เสยี งสามัญ, เสยี งโท, และเสยี งตรี เสียงวรรณยกุ ต์ ตัวอยำ่ ง กำรถอดรหัสเสียง กำรออกเสียง ควำมหมำยในภำษำไทย เสยี งจตั วำ ขา /xǎː/ [xaː˩˦] ขา เสียงเอก ขา่ /xàː/ [xaː˨˨] ขา่ เสยี งโทพิเศษ ฃา้ /xa̋ː/ [xaː˥˧] ฆา่ เสยี งสำมัญ ฅา /xaː/ [xaː˦˦] หญ้าคา เสยี งโท ไฮ่ /hâjː/ [hajː˦˩] ไร่ เสยี งตรี ฟา้ /fáː/ [faː˦˥˦] ฟ้า
-๓๐- กำรแสดงเสยี งวรรณยุกต์ เสยี ง คาเปน็ สระ คาเปน็ สระยาว คาเปน็ สระยาว คาตาย สระ คาตาย สระ วรรณยกุ ต์ ยาว ไม้เอก ไม้โท สน้ั ยาว อกั ษรสูง เสยี งจตั วา เสียงเอก เสยี งโทพเิ ศษ เสียงจัตวา เสียงเอก อักษรกลาง เสียงสามญั เสียงเอก เสียงโทพิเศษ เสยี งจัตวา เสียงเอก อกั ษรตา่ เสยี งสามัญ เสยี งโท เสียงตรี เสียงตรี เสยี งโท ๔. ชอ่ื ผ้ทู ่ีถอื ปฏิบัตแิ ละผู้สบื ทอด ๔.๑ ผทู้ ีถ่ ือปฏบิ ตั ิ ช่อื นายมนสั กณั ทะวชั วนั เดือน ปเี กดิ - ทอ่ี ยู่ หมู่ ๘ ตาบลปา่ แดด อาเภอป่าแดด จงั หวดั เชยี งราย หมายเลขโทรศัพท์ ๐๘๙ ๙๕๒ ๖๑๙๕ ๔.๒ ผสู้ ืบทอด ชื่อ สภาวัฒนธรรมอาเภอปา่ แดด วนั เดือน ปีเกิด - ทอี่ ยู่ หมู่ ๘ ตาบลป่าแดด อาเภอป่าแดด จงั หวัดเชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ - ๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ตั ิอยา่ งแพร่หลาย เสี่ยงตอ่ การสญู หาย ไมม่ ปี ฏิบัตแิ ล้ว ๖. รูปภำพภูมปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม/กิจกรรมทำงภูมปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม หนงั สอื ออนไลน์ ผ่านเวบ็ ไซต์
-๓๑- แบบสำรวจมรดกภมู ิปัญญำทำงวฒั นธรรมจงั หวดั เชยี งรำย ประจำปี 2565 สภำวัฒนธรรมจังหวัดเชยี งรำย อำเภอเวียงปำ่ เป้ำ จงั หวดั เชียงรำย 1. ชื่อข้อมูล วรรณกรรม “แตง่ ค่าว” ๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพ้ืนบา้ นและภาษา ศิลปะการแสดง แนวปฏบิ ัติทางสงั คมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรู้และการปฏิบัตเิ ก่ยี วกบั ธรรมชาตแิ ละจักรวาล งานชา่ งฝีมือดง้ั เดิม การละเลน่ พน้ื บ้าน กีฬาพ้ืนบา้ น และศิลปะการต่อสปู่ ้องกันตวั ๓. รำยละเอียดขอ้ มลู ๓.๑) ประวัติความเป็นมาของข้อมลู “ค่ำว” การแต่งค่าว บทค่าว หรือ “ค่ำวฮ่ำ” รวมเรียกว่า “ค่ำว” เป็นเอกลักษณ์เป็นวรรณกรรม ด้านภาษาของล้านนา ทั้งภาษาพูด ภาษาเขียน เป็นทั้งมรดกทางวรรณกรรมท่ีทรงคุณค่าทางกวีท่ีร้อยกรอง เปน็ อรรถรสทางภาษาทส่ี ระสวยงดงาม “ค่ำว” หรือนักค่าวมักจะแต่งเรื่องธรรม-คาสอน, ประวัติศาสตร์, ยาสมุนไพร, คาถาอาคม, บทร้อง เก้ียวพาราศีสาวๆ , บทซอ บทค่าวที่ข้ึนช่ือในล้านนา เช่น ค่าวดาววีไก่น้อย, ค่าวซอเจ้าสุวัตร์-นางบัวคา, ค่าว หงส์หิน ฯลฯ และค่าวพญาพรม รจนาหรือแต่งค่าวด้วยสานวนโวหาร และภาษาท้องถิ่นนอกจากจะให้ความ บันเทิงแล้วยังแสดงออกเชิงความสามารถของกวีท่ีรู้จักไขว่คว้าสรรณหาถ้อยคาที่ไพรเราะกินใจมาเรียงร้อย จนได้ท้ังอรรถทางภาษาและเพลิดเพลินไปด้วยกับจินตนาการอันทรงพลังภายใต้คาสัมผัสคล้องจองซ่ึงถือเป็น แบบฉบับฉนั ทลักษณข์ องชาวลา้ นนา “พระยาพรหมโวหาร คือ นักกวีล้านนาเป็นบรมครูการแต่งค่าวของชาวล้านนาเป็นที่รู้จักของนักค่าว ทั่วไปและถือเอาคา่ วพระยาพรหมโวหารเปน็ ตน้ แบบ 3.2) ขั้นตอน/วิธีกำร/ดำเนินกำรเกยี่ วกบั ข้อมูล - ศกึ ษาการแต่งจากพ่อครู แมค่ รู ครบู า หลวงพอ่ หลวงลุง ผ้เู ปน็ นักคา่ ว “ค่ำว” มกั แต่งเขยี นดว้ ยภาษาลา้ นนาเป็นหลัก มายคุ หลังสามารถแต่งด้วยภาษาไทย “บทคำ่ ว” ใช้คู่กบั บทอ่านเป็นค่าวจ๊อย คือ คา่ วจ๊อยที่มลี ลี าการอา่ นด้วยท้วงทานอง ๔. ชือ่ ผู้ท่ีถือปฏิบตั ิตำมและสบื ทอด 4.1 ผู้ทถ่ี อื ปฏิบัติ ชอ่ื นายณฐั ชวนิ พรมกร (รุ่งราษฎรส์ มั พันธ์) วนั เดือน ปเี กดิ 20 พฤศจกิ ายน 2498 ทอ่ี ยู่ 136 หมู่ 9 ตาบลเวียงกาหลง อาเภอเวียงป่าเป้า จังหวดั เชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ 081 885 0742 4.2 ผู้สืบทอด ชอ่ื นายภรู ณิ ฐั ปนั แก้ว (ร.สลีโหง้ ) วนั เดือน ปเี กดิ 3 สิงหาคม 2506 ทอี่ ยู่ หมู่ 3 ตาบลเวยี งกาหลง อาเภอเวยี งปา่ เป้า จงั หวดั เชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ 088 431 6150
-๓๒- ๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ัติอย่างแพร่หลาย เสี่ยงต่อการสญู หาย ไม่ปฏบิ ัตแิ ล้ว ๖. รูปถ่ำยภูมิปญั ญำทำงวฒั นธรรม/กจิ กรรมทำงภมู ปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม แบบสำรวจมรดกภมู ิปัญญำทำงวัฒนธรรม
-๓๓- แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ัญญำทำงวัฒนธรรมจงั หวัดเชยี งรำย ประจำปี 2565 สภำวฒั นธรรมจงั หวัดเชยี งรำย อำเภอแมส่ ำย จังหวดั เชยี งรำย ๑. ช่ือข้อมูล คา่ วฮ่า ๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา ศิลปะการแสดง แนวปฏิบตั ิทางสังคมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรู้และการปฏบิ ัติเกี่ยวกบั ธรรมชาติและจกั รวาล งานช่างฝีมือดงั้ เดมิ การละเล่นพ้นื บ้าน กีฬาพื้นบ้าน และศลิ ปะการต่อสู่ป้องกันตวั ๓. รายละเอยี ดข้อมูล ๓.๑ ประวตั คิ วามเปน็ มาของขอ้ มูล ค่าว เป็นวรรณกรรมมีสันนิษฐานที่เกิดมานานมีหลายอย่าง เช่น ค่าวธรรม ค่าวซอ ค่าวจ้อง เป็น ลักษณะคาประพันธ์ ทม่ี ีลักษณะเฉพาะตวั มีส่วนคลา้ ยกลอนแปด และเป็นวรรณกรรมทีมีคุณคา่ ทางด้านภาษา ล้านนา เป็นส่ิงที่เรียกได้ว่าเป็นสุนทรียะ บอกเล่าเร่ืองราวประวัติศาสตร์วิถึชีวิตของสังคม มีทานองร้อง ทาให้ นา่ ฟังเวลาทศ่ี ิลปนิ ขบั ขาน ในอดตี มผี ู้เฒา่ ผู้แก่ ในพน้ื ท่ีหลายคน สามารถถ่ายทอดร่าค่าวได้ แต่ในปัจจุบัน ผเู้ ฒ่าผู้แก่เหลา่ นัน้ เรมิ่ ล้มหายตายจากไป ทาให้เส่ียงต่อการสูญหาย แต่ยังคงมีบุคคลท่ีอนุรักษ์อยู่ในปัจจุบัน แต่ก็ไม่มากเหมือนเช่น อดตี กาล 3.2 ข้ันตอน/วธิ กี าร/ดาเนินการเกี่ยวกับข้อมูล 1. คน้ หาผ่านการสบื ถามข้อมลู จากบุคคลทว่ั ไป 2. สอบถามถึงประวัติความเปน็ มาในการอนุรักษ์ ของบุคคลทถ่ี กู เลอื ก 3. เก็บรวบรวมขอ้ มูล 4. ปฏิบตั จิ ริงพิธกี รรมตา่ ง ๆ ในชมุ ชน เชน่ งานบวช งานบญุ งานขนึ้ บา้ นใหม่ 4. ชื่อผทู้ ี่ถือปฏบิ ตั ิและผูส้ ืบทอด 4.1 ผู้ท่ถี ือปฏบิ ตั ิ ชอื่ นายสิทธิชัย ซาวคาเขตร วัน เดือน ปีเกิด 20 พฤษภาคม 2535 ท่ีอยู่ 428 หมู่ 1 ตาบลโปง่ งาม อาเภอแม่สาย จงั หวัดเชยี งราย หมายเลขโทรศัพท์ 084 591 1598 4.2 ผูส้ ืบทอด ช่ือ - วัน เดือน ปเี กิด - ท่อี ยู่ - หมายเลขโทรศพั ท์ - ๕. สถำนะกำรคงอยู่ ปฏิบตั อิ ยา่ งแพรห่ ลาย ⃞ เสย่ี งต่อการสูญหาย ⃞ ไมม่ ปี ฏิบตั แิ ล้ว
- ๓๔ - ๖. รปู ภำพภมู ิปญั ญำทำงวัฒนธรรม /กจิ กรรมทำงภูมปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม
-๓๕- แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรมจังหวดั เชียงรำย ประจำปี ๒๕๖๕ สภำวฒั นธรรมจังหวดั เชยี งรำย อำเภอเวยี งเชียงรุ้ง จงั หวดั เชียงรำย ๑. ช่ือข้อมลู โปงลาง ๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพืน้ บา้ นและภาษา ศลิ ปะการแสดง แนวปฏบิ ตั ทิ างสังคมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรู้และการปฏิบัตเิ กยี่ วกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล งานชา่ งฝีมือดง้ั เดิม การละเล่นพ้นื บา้ น กีฬาพ้นื บา้ น และศิลปะการต่อสู่ป้องกันตวั ๓. รำยละเอียดขอ้ มลู ๓.๑) ประวัตคิ วามเป็นมาของขอ้ มลู กลุ่มการแสดงดนตรีโปงลางโรงเรียนเวียงเชียงรุ้งวิทยาคม เร่ิมมาจากแต่เดิมคนภาคอีสานได้ย้ายถิ่น ฐานมาอยู่ในอาเภอเวยี งเชยี งรุ้งเปน็ จานวนมาก และไดน้ าเอาเครื่องดนตรีโปงลางมาเล่น เพ่อื ความสนุกสนาน นายจรัญ ไชยวงค์ษา ครูโรงเรียนเวียงเชียงรุ้งวิทยาคม เห็นความสาคัญของเครื่องดนตรีโปงลางประกอบกับ เห็นว่า นักเรียนส่วนมากเป็นคนอีสาน มีพื้นฐานการเล่นโปงลางจากบรรพบุรุษอยู่บ้าง จึงได้ทาการสอนวิชา ดนตรี โดยเน้นเคร่ืองดนตรีโปงลางข้ึน ต่อมาเม่ือนักเรียนเล่นได้คล่องแคล่ว จึงเร่ิมจัดตั้งเป็น วงดนตรีโปงลางโรงเรียนเวียงเชียงรุ้งวิทยาคม เพ่ือสืบสานดนตรีโปงลางให้คงอยู่ และได้นาการแสดง ศิลปวัฒนธรรมไปแสดง และเผยแพร่ในงานวัฒนธรรม ประเพณี ระดับชุมชน ตาบล อาเภอและระดับจังหวัด ซึ่งเปน็ การสง่ เสริม เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของทอ้ งถน่ิ ให้ได้รบั การสืบทอดตอ่ ไป โปงลาง คือ ระนาดพืน้ เมืองอีสาน เป็นเครื่องดนตรปี ระเภทเครื่องเคาะทาทานองและจังหวะไปพร้อม กัน ลูกระนาดทาจากไม้ท่อนขนาดลาแขน เป็นตัด กลึง และถากตกแต่งเทียบเสียงดนตรี โด , เร , มี , โซ, ลา เรียงเสียงลาดับจากต่าไปสูงได้ ๑๒ ลูก ๑๓ ลูก หรือ ๑๔ลูก แล้วนามาร้อยผืนระนาดด้วยเชือกเส้นโตขนาด เทา่ กบั เชอื กผกู วัว เวลาเล่นใช้แขวนเปน็ แนวเฉียงลงมาทามุมประมาณ ๖๐ องศากบั พืน้ ให้ดา้ นลกู ใหญเ่ สยี งทุ้ม อยู่ตอนบนและด้านลูกเลก็ สั้นและเสยี งแหลมอยู่ตอนล่าง การเคาะโปงลางมักใช้ผู้เล่น ๒ คน คนเล่นทานอง เพลงจะเข้าเคาะทางด้านหน้าของผืนโปงลาง เรียกว่าเป็น “หมอเคาะ” อีกคนหน่ึงเข้าเคาะข้างขวามือของ หมอเคาะ มีหน้าที่เคาะเสียงประสานและทาจังหวะเรยี กเป็น “หมอเสิร์ฟ”ไม้ที่นามาทาลูกโปงลางน้ันนิยมใช้ ไม้มะหาด(ไม้หมากหาด) ซึ่งมีข้ึนอยู่ตามป่าเบญจพรรณทั่วไปไม้ชนิดนี้มีเปลือกเหนียวแข็งไม่บิดแตกเป็นเสยี้ น เวลาแห้งแลว้ เคาะมีเสยี งดังดีมาก ย่ิงเป็นไม้มะหาดจากต้นท่ียนื ตายยง่ิ เสียงดีเป็นพิเศษ ช่างทาโปงลางบางคน จึงตัดเซาะเผารากต้นมะหาด แลว้ ปลอ่ ยให้ยืนตน้ ตายก่อนโคน่ มาทาลกู โปงลาง ความหมายของโปงลาง มี ๒ ลักษณะ คาว่า “โปง” และ “ลาง” โปง เป็นสิ่งที่ใช้ตีบอกเหตุ เช่น ตีใน ยามวิกาลแสดงว่ามีเหตุร้าย ตีตอนเช้าก่อนพระบิณฑบาตใหญ้ าติโยมเตรยี มตัวทาบุญตักบาตร และ ตีเวลาเยน็ เพ่ือประโยชน์ให้คนหลงป่ากลับมาถูก เพราะเสียงโปงลางจะดังกังวานไปไกล (สมัยก่อนใช้ตีในวัด) ส่วนคาว่า ลาง น้ัน หมายถึง ลางดี ลางร้าย การแสดงโปงลางโรงเรียนเวยี งเชยี งรุง้ วิทยาคมโรงเรียนเวียงเชยี งรุ้งวิทยาคม เป็นโรงเรียนที่เปิดสอนระดับมัธยมศึกษา การแสดงโปงลางเปน็ การแสดงที่บ่งบอกถึงประเพณีการละเล่นของ ชุมชนท่ีมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นการแสดงที่ใช้สาหรับแสดงในงานมงคลต่าง ๆ ของท้องถ่ิน ท่ีมาของการตีโปงลางตีเพื่อให้เกิดเสียงดัง โปง หมายถึง เสียงของโปง ลาง หมายถึง สัญญาณบอกลางดีหรือ ลางแห่งความรื่นเริง โปงลางจึงหมายถึง เคร่ืองดนตรีท่ีมีเสียงแห่งลางดี ทาด้วยไม้เน้ือแข็ง เรียงร้อยกัน ๑๒ ท่อน ใชแ้ ขวนเวลาตี การบรรเลงตีเขา้ จังหวะเร็ว ดว้ ยความสนุกสนาน มีคณุ ค่าในศลิ ปะการแสดงของท้องถ่นิ
-๓๖- ๓.2) ขัน้ ตอน/วิธีการ/ดาเนนิ การเก่ยี วกับขอ้ มูล การแสดงโปงลางเป็นการแสดงบรรเลงในงานมงคล และงานร่ืนเริงต่าง ๆ และงานกิจกรรมประเพณี ของชุมชน หรือแม้กระทั่งในงานโชว์ต่าง ๆ หรือพิธีเปิดงานต่าง ๆ ก็จะมีการนาการแสดงโปงลางมาบรรเลง โอกาส/เวลาท่ีละเลน่ การแสดงโปงลางน้ันนิยมแสดงในงานบุญต่าง ๆ เช่นงานบวช งานบุญกฐิน งานประเพณีตา่ ง ๆ ในท้องถิ่น รวมทั้งงานร่ืนเริงต่าง ๆ และแสดงในงานมหกรรม หรือกิจกรรมที่จัดตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น วัด โรงเรยี น ข่วงวฒั นธรรม รวมทั้งงานกจิ กรรมในสถานที่อืน่ ๆ องค์ประกอบท่บี ง่ บอกให้เหน็ คุณลักษณะของศลิ ปะการแสดง เครื่องดนตรี 9 ชิน้ ประกอบด้วย (๑) โปงลาง (๒) แคน (๓) พณิ โปรง่ (๔) โหวด (๕) หมากกับ๊ แก้บ (๖) กลอง (7) ไหซอง (8) ฉาบ (9) ฉง่ิ การแสดงโปงลาง มีการถ่ายทอดและบ่มเพาะ ภายใต้การสอนของนายจรัญ ไชยวงค์ษา ครูชานาญ การพิเศษ โรงเรียนเวียงเชียงรุ้งวิทยาคม ผ่านการเรียนการสอนวิชาดนตรี และการฝึกประสบการณ์ให้แก่ นักเรยี นผา่ นการรบั งานแสดงในชื่อของ “วงโปงลางโรงเรียนเวียงเชียงรุง้ วทิ ยาคม” ออกแสดงตามงานประเพณี และเทศกาลต่าง ๆ 4. ชอ่ื ผูท้ ี่ถอื ปฏิบัติและผูส้ ืบทอด 4.๑ ผู้ท่ีถือปฏบิ ัติ ชื่อ นายจรญั ไชยวงษา ครูโรงเรยี นเวียงเชียงรงุ้ วทิ ยาคม วัน เดือน ปเี กิด - ทอ่ี ยู่ 41 หมู่ 12 ตาบลทงุ่ กอ่ อาเภอเวยี งเชียงรุง้ จังหวดั เชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ - 4.๒ ผูส้ บื ทอด นักเรยี นโรงเรยี นเวียงเชยี งร้งุ วทิ ยาคม ช่อื - วนั เดือน ปเี กิด ที่อยู่ 41 หมู่ 12 ตาบลทุ่งกอ่ อาเภอเวยี งเชียงร้งุ จงั หวดั เชยี งราย หมายเลขโทรศัพท์ 053 953 275-6 5. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ัตอิ ยา่ งแพรห่ ลาย เสีย่ งต่อการสูญหาย ไมม่ ปี ฏบิ ตั ิแลว้ 6. รูปภำพภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม/กิจกรรมทำงภูมปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม
-๓๗- อุปกรณ์กำรแสดงโปงลำง โปงลาง กลอง พณิ โปรง่ โหวด ไหซอง แคน
-๓๘- แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรมจังหวัดเชยี งรำย ประจำปี ๒๕๖๕ สภำวฒั นธรรมจงั หวัดเชยี งรำย อำเภอเวยี งเชยี งรุ้ง จงั หวดั เชยี งรำย ๑. ช่ือข้อมลู กลองยาวประยุกต์ หมู่ ๑๑ บ้านใหมร่ ่องหวาย ๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพนื้ บ้านและภาษา ศลิ ปะการแสดง แนวปฏิบัติทางสังคมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล อาหาร/ความรู้และการปฏบิ ตั ิเกย่ี วกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล งานชา่ งฝมี ือด้ังเดิม การละเล่นพ้นื บา้ น กีฬาพน้ื บา้ น และศลิ ปะการต่อสูป่ ้องกันตัว ๓. รำยละเอยี ดขอ้ มูล ๓.๑) ประวตั ิความเป็นมาของขอ้ มลู กลองยาว เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ประเภทตี ที่ชนชาวอีสานนามาใช้ในการประกอบดนตรีพื้นบ้าน อีสาน ที่ประกอบเข้ากับดนตรีพ้ืนบ้านอีสานประเภทอื่น ๆ โดยทาขึ้นเองทีสืบทอมาจากบรรพบุรุษท่ีสืบทอด ต่อกนั มา เพอื่ ใช้ประกอบการละเล่นงานร่ืนเริงต่าง เชน่ นาขบวนผ้าป่า กฐิน ตอ้ นรับแขกมาเป็นคณะ งานบวชนาค แสดงกลองรา กลองยาว หรอื กลองยาวประยุกต์ บ้านใหม่ร่องหวาย หมู่ ๑๑ ตาบลดงมหาวัน เป็นหมู่บ้านที่แยกมาจากบ้านร่องหวาย หมู่ ๒ เม่ือปี ๒๕๒๑ โดยในปี พ.ศ.๒๕๐๗ มีประชาชนอพยพมาจากภาคอีสาน เช่นจังหวัดอุบลราชธานี ขอนแก่น อุดรธานี และ จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นส่วนใหญ่ เริ่มแรกคณะกลองยาว เร่ิมต้นจากนายอานวย นามแสงกลาง ขณะน้ันดารงตาแหน่ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านร่องหวาย หมู่ ๒ เข้าร่วมคณะกลองยาวบ้านร่องหวาย โดยมีนายเสาร์ สาระพนั ธ์ เปน็ ผกู้ อ่ ต้ัง และหัวหน้าคณะกลองยาวรวมกลุม่ เปน็ คณะ โดยจดั แสดงตามงานประเพณีต่าง ๆ ของ ชุมชน ในระดับตาบล จนเป็นท่ีรู้จัก และออกแสดงในระดับอาเภอ จังหวัด จากนั้นมาบ้านร่องหวายมีจานวน ประชากรเพ่ิมมากข้ึนจึงทาการแยกหมู่บ้านใหม่เป็นหมู่บ้านใหม่ร่องหวาย หมู่ ๑๑ และนายอานวย นามแสงกลาง จึงได้ก่อตั้งคณะกลองยาวข้ึนใหม่ โดยเริ่มต้นมีแต่กลองยาวท่ีทากันเอง และนาดนตรีประเภทอื่น มาประยุกต์ เขา้ กบั คณะกลองยาว และมจี านวนผู้เลน่ เพมิ่ มากขน้ึ และนาการราเซ้ิงมาประกอบในขบวนและได้จดั แสดงตาม งานตา่ ง ๆ ในระดับหมูบ่ ้าน ตาบล อาเภอ จงั หวดั ต้งั แตน่ น้ั เปน็ ต้นมา ศิลปะการแสดงกลองยาวเป็นมรดกทางวัฒนธรรมทางอีสานท่ีงดงามที่ได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษ จนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน เป็นส่ิงท่ีสามารถใช้เป็นสื่อจุดรวมใจของคนในหมู่บ้านและชุมชน ในเวลาฝึกซ้อมหรือไป แสดงในงานต่าง ๆ จะมีเด็ก เยาวชนของหมู่บ้านเข้าร่วม ไปในงานดังกล่าว จึงทาให้เด็ก เยาวชน เกิดการซึมซับ เอาสิ่งท่ีดีงามของวัฒนธรรมแล้วจึงมีการถ่ายทอดให้แก่เด็กและเยาวชน สามารถสร้างรายได้ ให้กับครอบครวั และชมุ ชน พรอ้ มท้งั เปน็ การอนุรักษ์ วัฒนธรรมอสี าน มาจวบจนทุกวันนี้
-๓๙- ๓.2) ข้ันตอน/วิธีการ/ดาเนินการเกย่ี วกับขอ้ มลู องค์ประกอบ ของศิลปะการแสดงกลองยาวประยกุ ต์ ๑) เคร่อื งดนตรี ๖ ชิน้ ประกอบด้วย กลองยาว พิณ แคน กลองชุด ฉาบใหญ่ โปงลาง ๒) ผ้แู สดง ประมาณ ๒๕ คน รปู แบบวิธกี ารแสดง การแสดงกลองยาวเป็นการร่วมกิจกรรมงานบุญประเพณีต่าง ๆ ที่จัดข้ึนในหมู่บ้าน และหมู่บ้านใกล้เคียง เช่น งานบุญทอดผ้าป่า งานบุญสลากภัตร งานปอยหลวง งานบุญกฐิน โดยการแสดงพร้อมกับการราเซิ้ง ทางอีสาน และงานอ่ืน เช่น งานถ่ายทอดวัฒนธรรมโดยองค์กรในท้องถิ่น ระดับอาเภอ จังหวัด หรือเข้าร่วม การแข่งขันกลองยาวแต่ละโอกาส แต่ปัจจุบันได้มีการประยุกต์เอาราเซิ้งประกอบในคณะ ทาให้ผู้คนมีความ ความสนใจกับคณะกลองยาวประยุกต์ ในงานต่าง ๆ ๔. ชือ่ ผู้ที่ถอื ปฏิบตั แิ ละผู้สืบทอด ๔.๑ ผู้ทถ่ี อื ปฏิบตั ิ ช่ือ นายอานวย นามแสงกลาง วนั เดือน ปเี กดิ - ที่อยู่ ๔๙ หมู่ ๑๑ ตาบลดงมหาวัน อาเภอเวยี งเชียงรุง้ จงั หวัดเชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ ๐๘๗ ๑๘๕ ๕๔๐๐ ๔.๒ ผู้สบื ทอด ช่อื กลมุ่ ผสู้ งู อายุตาบลดงมหาวนั วนั เดือน ปเี กิด - ทีอ่ ยู่ หมู่ ๑๑ ตาบลดงมหาวัน อาเภอเวยี งเชียงรุ้ง จังหวดั เชยี งราย หมายเลขโทรศัพท์ - ๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ัติอย่างแพร่หลาย เสี่ยงตอ่ การสูญหาย ไม่มปี ฏบิ ตั ิแล้ว ๖. รูปภำพภมู ปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมิปัญญำทำงวฒั นธรรม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 589
Pages: