มสธ หน่วยที่5 แนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ ในการจัดการศึกษาปฐมวัย มสธ มสธอาจารย์ดร.ชนิพรรณ จาติเสถียร มมสสธธ มมสสธธ มมสสธธช่ือ อาจารย์ดร.ชนิพรรณจาติเสถียร วุฒิ M. Ed. in Early Childhood and Elementary Education Bank Street College of Education ค.ด. (การศึกษาปฐมวยั ) จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต�ำแหน่ง อาจารยป์ ระจ�ำสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ มสธ มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช หน่วยท่ีเขียน หนว่ ยที่ 5
5-2 การจดั การศกึ ษาและหลักสูตรสำ�หรับเดก็ ปฐมวัย มสธแผนการสอนประจ�ำหน่วย ชดุ วชิ า การจดั การศกึ ษาและหลักสูตรส�ำหรับเดก็ ปฐมวัย มสธ มสธหน่วยท่ี 5 แนวปฏบิ ตั ิท่เี หมาะสมกับพฒั นาการในการจดั การศกึ ษาปฐมวยั ตอนท่ี 5.1 แนวคิดพน้ื ฐานเกย่ี วกับแนวปฏิบัตทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการ 5.2 หลกั การและข้อพจิ ารณาของแนวปฏิบตั ิทีเ่ หมาะสมกับพัฒนาการ 5.3 การจัดการศกึ ษาส�ำหรบั เดก็ ปฐมวัยตามแนวปฏิบตั ทิ ่ีเหมาะสมกับพฒั นาการ มสธแนวคิด 1. แนวคดิ พนื้ ฐานเกยี่ วกบั แนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการประกอบดว้ ย ความหมาย ความ เปน็ มา และความสำ� คญั ของแนวปฏบิ ตั ทิ ่ีเหมาะสมกับพฒั นาการ มสธ มสธ2. การจดั การศกึ ษาปฐมวยั ใหส้ อดคลอ้ งกบั แนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการ ตอ้ งยดึ หลกั การ พฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ ปฐมวยั รวมทงั้ คำ� นงึ ถงึ พน้ื ฐานความรทู้ ตี่ อ้ งใชป้ ระกอบการ พจิ ารณาตดั สนิ ใจ และการต้งั เป้าหมายการเรียนรู้ 3. การจัดการศึกษาตามแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ ท่ีน�ำเด็กไปสู่เป้าหมายการเรียนรู้ และชว่ ยใหค้ รตู ดั สนิ ใจไดอ้ ยา่ งเหมาะสมใหค้ วามสำ� คญั กบั 5 เรอื่ ง ไดแ้ ก่ การวางแผนหลกั สตู ร เพ่ือให้บรรลุเปา้ หมายการเรยี นรทู้ สี่ �ำคัญ การจดั ประสบการณ์การเรียนรทู้ ่ีสง่ เสริมพฒั นาการ มสธและการเรยี นรู้ การประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรู้ การสรา้ งชมุ ชนทเ่ี ออ้ื ตอ่ การเรยี นรู้ และ การสร้างความสัมพันธ์ทเี่ ก้อื กูลกนั กบั ครอบครัว วัตถุประสงค์ เม่ือศึกษาหน่วยที่ 5 จบแลว้ นกั ศึกษาสามารถ มสธ มสธ1. อธิบายแนวคดิ พื้นฐานเกยี่ วกับแนวปฏบิ ัติทีเ่ หมาะสมกบั พฒั นาการได้ 2. อธิบายหลักการและขอ้ พจิ ารณาในการใชแ้ นวปฏิบัติทเ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการได้ มสธ3. อธิบายแนวทางการจัดการศกึ ษาปฐมวัยตามแนวปฏบิ ัติท่ีเหมาะสมกบั พัฒนาการได้
แนวปฏิบัตทิ ี่เหมาะสมกับพัฒนาการในการจดั การศึกษาปฐมวยั 5-3 กิจกรรมระหว่างเรียน มสธ1. ท�ำแบบประเมินผลตนเองกอ่ นเรียนหนว่ ยท่ี 5 2. ศกึ ษาเอกสารการสอนตอนที่ 5.1–5.3 3. ปฏบิ ัติกจิ กรรมตามทไ่ี ด้รบั มอบหมายในเอกสารการสอน 4. ฟงั ซดี ีเสยี งประจ�ำชุดวชิ า มสธ มสธ5. ชมดีวีดีประกอบชุดวิชา (ถา้ มี) 6. ทำ� แบบประเมินผลตนเองหลงั เรียนหน่วยที่ 5 ส่ือการสอน 1. เอกสารการสอน 2. แบบฝึกปฏบิ ัติ มสธ3. ซีดเี สยี งประจำ� ชดุ วิชา 4. ดีวดี ปี ระกอบชดุ วิชา (ถา้ ม)ี การประเมินผล มสธ มสธ1. ประเมินผลจากแบบประเมนิ ผลตนเองกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น 2. ประเมินผลจากกจิ กรรมและแนวตอบทา้ ยเรอ่ื ง 3. ประเมนิ ผลจากการสอบไล่ประจ�ำภาคการศึกษา เม่ืออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน มสธ มมสสธธ มสธหน่วยท่ี5ในแบบฝึกปฏิบัติแล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
5-4 การจัดการศึกษาและหลักสูตรสำ�หรบั เดก็ ปฐมวัย มสธตอนที่ 5.1 แนวคิดพ้ืนฐานเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ โปรดอา่ นหัวเร่ือง แนวคดิ และวตั ถปุ ระสงค์ของตอนที่ 5.1 แล้วจึงศึกษารายละเอยี ดตอ่ ไป มสธ มสธหัวเร่ือง 5.1.1 ความหมายของแนวปฏิบตั ทิ ี่เหมาะสมกบั พัฒนาการ 5.1.2 ความเปน็ มาของแนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกับพฒั นาการ 5.1.3 ความส�ำคญั ของแนวปฏิบัตทิ ีเ่ หมาะสมกบั พัฒนาการ มสธแนวคิด 1. แ นวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการเป็นแนวทางในการจัดศึกษาส�ำหรับเด็กปฐมวัยที่ คำ� นงึ ถงึ อายุและพัฒนาการเด็ก ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล และบริบททางสงั คมและ วฒั นธรรมของเด็กเป็นส�ำคญั 2. แ นวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการเป็นแนวทางที่พัฒนาขึ้นในช่วงต้นของศตวรรษที่ มสธ มสธ19 โดยสมาคมการศกึ ษาปฐมวยั แหง่ ชาตขิ องประเทศสหรฐั อเมรกิ า เพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพ การศึกษาในระดับปฐมวัย และมีการปรับปรุงอย่างต่อเน่ืองจนถึงปัจจุบัน โดยอาศัย ผลการวิจยั ข้ออภิปรายและวพิ ากษ์จากจากผ้ทู รงคุณวุฒิและนกั การศึกษาปฐมวยั จาก ประเทศตา่ งๆ เป็นฐานคิดในการปรบั ปรงุ พฒั นา 3. แนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการเปน็ แนวทางในการจดั การศกึ ษาทส่ี ง่ ผลกระทบและ มีความส�ำคัญต่อเด็กโดยตรง รวมทั้งมีความส�ำคัญต่อพ่อแม่ผู้ปกครอง ครู และสังคม มสธประเทศชาตใิ นแง่มุมท่แี ตกต่างกนั วัตถุประสงค์ เมื่อศกึ ษาตอนที่ 5.1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ 1. อธิบายความหมายของแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกบั พัฒนาการได้ มสธ มสธ2. อธบิ ายความเป็นมาของแนวปฏิบัติทีเ่ หมาะสมกบั พฒั นาการได้ มสธ3. อธิบายความสำ� คญั ของแนวปฏิบตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พัฒนาการได้
แนวปฏิบตั ิทเ่ี หมาะสมกับพัฒนาการในการจัดการศึกษาปฐมวยั 5-5 มสธเรื่องท่ี 5.1.1 ความหมายของแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ มสธ มสธการจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี ณุ ภาพ เปน็ การสรา้ งรากฐานทแ่ี ขง็ แรงใหแ้ กช่ วี ติ เพราะ การศกึ ษาทเี่ ดก็ ไดร้ บั ในชว่ งวยั นมี้ อี ทิ ธพิ ลอยา่ งยงิ่ ตอ่ การพฒั นาและการเรยี นรใู้ นอนาคต ดงั ที่ Heckman (2011) นักเศรษฐศาสตร์ รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ได้ชี้ว่า การลงทุนพัฒนาเด็กปฐมวัย เป็นการ ลงทนุ ท่ีคุ้มคา่ ท่สี ุด เนื่องจากการจดั การศกึ ษาในระดับปฐมวยั ทม่ี ีคุณภาพให้ผลตอบแทนคืนในอนาคตถงึ 7 เทา่ สอดคลอ้ งกบั วรี ะชาติ กเิ ลนทอง (2010) ทกี่ ลา่ ววา่ การพฒั นาเดก็ ในชว่ งปฐมวยั เปน็ การสรา้ งทนุ มนษุ ย์ ใหแ้ กป่ ระชากรของประเทศ และสามารถสรา้ งความเสมอภาคดา้ นเศรษฐกจิ และสงั คมได้ การจดั การศกึ ษา ส�ำหรับเด็กปฐมวัยให้มีคุณภาพมีหลายรูปแบบ หลายแนวทาง แนวทางหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่าง มสธมากในแวดวงการศึกษา คือ แนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ ซ่ึงในเร่ืองนี้จะกล่าวถึง ความหมาย ความเป็นมา และความส�ำคัญ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ความหมายของแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการในการจัดการศึกษาปฐมวัย มสธ มสธสมาคมการศึกษาปฐมวัยแห่งชาติในประเทศสหรัฐอเมริกา (National Association for the Education of Young Children) หรือที่เรียกกันว่า NAEYC ได้พัฒนา “แนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับ พฒั นาการ” ซง่ึ มชี อื่ เรยี กเปน็ ภาษาองั กฤษวา่ Developmentally Appropriate Practice หรอื ทเี่ รยี กกนั อยา่ งสน้ั ๆ วา่ DAP ซง่ึ NAEYC ไดอ้ ธบิ ายความหมายของแนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการวา่ เปน็ แนวทางทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การสอนทตี่ งั้ อยบู่ นฐานของงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั พฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ ปฐมวยั และพน้ื ฐานความรเู้ กยี่ วกบั ประสทิ ธผิ ลของการศกึ ษา การดแู ล และการใหก้ ารศกึ ษาแกเ่ ดก็ ปฐมวยั มสธโดยการจัดการศึกษาตามแนวปฏบิ ตั ทิ ่เี หมาะสมกบั พัฒนาการ สามารถช่วยใหเ้ ด็กเกิดพฒั นาการและการ เรยี นรสู้ ูงสุด แนวปฏิบตั ทิ ่ีเหมาะสมตง้ั อยบู่ นพ้ืนฐานความรูส้ ำ� คัญ 3 ประการ ไดแ้ ก่ 1) ความรูเ้ ก่ยี วกบั พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก 2) ความรู้เกี่ยวกับจุดแข็ง ความสนใจ และความต้องการของเด็กเป็น รายบคุ คล และ 3) ความรเู้ กย่ี วกบั บรบิ ททางสงั คมและวฒั นธรรมทเี่ ดก็ อาศยั อยู่ (Bredekamp & Copple, 1997; NAEYC, n.d.-a) มสธ มสธอยา่ งไรกต็ าม ดว้ ยแนวทางนไี้ ดร้ บั ความนยิ มอยา่ งแพรห่ ลาย จงึ มกี ารนำ� คำ� วา่ แนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสม กับพัฒนาการ ไปประยุกต์ใช้เพ่ืออธิบายบริบทและแง่มุมทางการศึกษาไว้หลากหลาย ท�ำให้ความหมาย ของค�ำน้ี ปรับเปลี่ยนไปจากความหมายเดมิ ท่ีให้ไว้โดย NAEYC มีรายละเอยี ด ดังตอ่ ไปน ี้ Copple & Bredekamp (2006, p. 3) ให้ความหมายของแนวปฏบิ ัติท่เี หมาะสมกบั พฒั นาการ วา่ เปน็ การสอนทตี่ อบสนองตอ่ ความตอ้ งการของเดก็ ทง้ั รายบคุ คลและรายกลมุ่ โดยคำ� นงึ ถงึ ธรรมชาตแิ ละ พฒั นาการของเด็กในแตล่ ะช่วงวยั ท่ีเออ้ื ให้เด็กแตล่ ะคนบรรลถุ ึงเปา้ หมายการเรียนรู้ ซึ่งการตง้ั เป้าหมาย มสธส�ำหรับเด็กแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับพัฒนาการและการเรียนรู้ ประสบการณ์ ความรู้ และ
5-6 การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รส�ำ หรบั เด็กปฐมวัย ทักษะของเด็ก ท้ังนี้เป้าหมายการเรียนรู้ท่ีตั้งไว้ต้องสร้างความท้าทาย แต่ต้องไม่ยากเกินไป จนเด็กไม่ มสธสามารถทำ� ได้ Eliason & Jenkins (2008) กล่าวว่า แนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ เป็นการท่ีครูจัด ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อตัวเด็ก ตามท่ีเด็กเป็น ไม่ใช่จากสิ่งที่ครูคาดหวังว่าเด็กจะเป็น แนวปฏบิ ัติทเี่ หมาะสมมลี กั ษณะส�ำคัญ คอื 1) มคี วามเหมาะสมกับวยั และพฒั นาการของเดก็ ตอบสนอง มสธ มสธต่อความแตกต่างระหว่างบุคคล และเหมาะสมกับวัฒนธรรมและภาษาของเด็ก 2) หลักสูตรและการจัด ประสบการณ์ในห้องเรียนตอบสนองต่อความต้องการของเด็กทุกคน 3) การเล่นเป็นองค์ประกอบส�ำคัญ ของหลักสูตร 4) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ส่งเสริมให้เด็กได้ลงมือกระท�ำ ได้เลือก ส�ำรวจ สืบค้น ตั้งค�ำถาม และแก้ปัญหา 5) เด็กสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง โดยต่อยอดจากประสบการณ์เดิม 6) พัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กเป็นไปตามอัตราการพัฒนาของเด็กแต่ละคน 7) การประเมินเด็กควร เป็นการประเมนิ ตามสภาพจริง 8) ครอบครวั เด็กมคี วามส�ำคัญ และ 9) ชุมชนทเี่ อื้อตอ่ การเรยี นรู้ มสธCopple & Bredekamp (2009, p. xii) กลา่ วว่า แนวปฏิบัติทีเ่ หมาะสมกับพฒั นาการเป็นการ ตอบสนองต่อความต้องการของเด็ก ครูต้องรู้จักเด็กทุกคนและช่วยให้เด็กบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ได้ การจดั การเรยี นการสอนจึงตอ้ งจัดให้เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของเด็ก ตอบสนองตอ่ ความแตกต่าง ระหวา่ งบคุ คล และสมั พนั ธก์ บั บรบิ ททางสงั คมและวฒั นธรรมของเดก็ การปฏบิ ตั ติ ามแนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสม กับพัฒนาการไม่ใช่การให้เด็กท�ำแต่ส่ิงท่ีง่ายๆ แต่ครูต้องตั้งเป้าหมายการเรียนรู้และจัดประสบการณ์ มสธ มสธการเรยี นรทู้ เี่ หมาะสมกบั การเรยี นรแู้ ละพฒั นาการของเดก็ ทง้ั นเ้ี ปา้ หมายตอ้ งมคี วามทา้ ทายเพยี งพอทจ่ี ะ ท�ำใหเ้ ดก็ สนใจและเกิดความก้าวหน้า Gordon & Browne (2014) กลา่ ววา่ แนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการ เปน็ แนวทางทพ่ี ฒั นาขน้ึ โดย NAEYC ทใ่ี ชอ้ งคค์ วามรแู้ ละงานวจิ ยั เกยี่ วกบั พฒั นาการเดก็ ความสนใจ ความสามารถของเดก็ เปน็ ฐานคิดในการจัดการศึกษาให้แก่เด็กปฐมวัย โดยมุ่งจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศการเรียนรู้ที่มุ่งเน้น ใหเ้ ดก็ เกดิ การเรยี นรผู้ า่ นกจิ กรรม การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรตู้ ามแนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการ มสธมลี กั ษณะสำ� คญั คอื 1) โปรแกรมและหลกั สตู รตอบสนองตอ่ ความสนใจและความตอ้ งการของเดก็ 2) เดก็ มสี ว่ นรว่ มในการเรยี นรแู้ ละเปน็ ผสู้ รา้ งองคค์ วามรดู้ ว้ ยตนเองผา่ นการเลอื กใชส้ อื่ ตา่ งๆ 3) การเลน่ เปน็ การ เรียนรู้ที่ส�ำคัญท่ีช่วยให้เด็กพัฒนา 4) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน 5) ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กในห้องเรียนเป็นข้อมูลส�ำคัญท่ีใช้ในการเลือกกลยุทธ์การสอน การจัดหาส่ือท่ีหลาก หลาย และการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ และ 6) ความคาดหวังที่ครูตั้งไว้ต้องเหมาะสมกบั วยั ของเดก็ มสธ มสธโดยเปน็ ความทา้ ทายทีพ่ อดี ไมย่ ากเกินความสามารถของเด็ก Child Care Aware (2016) ให้ความหมายของแนวปฏบิ ตั ิท่ีเหมาะสมกับพฒั นาการว่า เปน็ การ ใช้องค์ความรู้เก่ียวกับพัฒนาการเด็กและความต้องการของเด็กเป็นรายบุคคลเป็นฐานในการจัดโปรแกรม การศึกษาสำ� หรับเด็กปฐมวัย เพอื่ ให้สามารถจดั การศึกษาได้เหมาะสมกับอายุและช่วงพัฒนาการของเดก็ จีระพันธุ์ พูลพัฒน์ (2559, น. 287) ให้ความหมายของแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการว่า เปน็ การสอนทที่ ำ� ใหเ้ หมาะสมกบั วยั ของเดก็ ประสบการณ์ ความสามารถ และความสนใจทง้ั รายบคุ คลและ มสธกลมุ่ และช่วยให้เดก็ ก้าวผ่านส่งิ ทา้ ทายและบรรลเุ ป้าหมายท่ที ำ� ใหเ้ ด็กมีการเรยี นรอู้ ย่างต่อเนอ่ื ง
แนวปฏิบัติทเี่ หมาะสมกับพัฒนาการในการจัดการศกึ ษาปฐมวยั 5-7 อรุณี หรดาล (2553, น. 3) ให้ความหมายของแนวปฏิบตั ทิ ี่เหมาะสมกับพฒั นาการว่า เป็นการ มสธจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กที่หลากหลายและเหมาะสมกับวัย ประสบการณ์ ความสนใจ และความ สามารถ สามารถตอบสนองความต้องการของเดก็ เป็นรายบุคคลและเปน็ กลมุ่ จากความหมายทกี่ ลา่ วมาทงั้ หมดในขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ ถงึ แมน้ กั วชิ าการและนกั การศกึ ษาอธบิ าย ความหมายของคำ� วา่ แนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการแตกตา่ งกนั แตส่ าระสำ� คญั ทใี่ หไ้ วโ้ ดย NAEYC มสธ มสธยังคงเดิม คือ แนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นให้เด็กเกิด พฒั นาการและการเรยี นรสู้ งู สดุ ตามศกั ยภาพ โดยคำ� นงึ ถงึ พฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ ความตอ้ งการ ของเด็กเปน็ รายบคุ คล และบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของเดก็ เป็นสำ� คญั สรุปได้ว่า แนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ หมายถึง แนวทางในการจัดศึกษาส�ำหรับเด็ก ปฐมวยั ทพ่ี ฒั นาขนึ้ จากการใชอ้ งคค์ วามรจู้ ากการศกึ ษาและการวจิ ยั เกย่ี วกบั พฒั นาการและการเรยี นรขู้ อง เดก็ และพนื้ ฐานความรตู้ า่ งๆ เกยี่ วกบั การใหก้ ารศกึ ษาแกเ่ ดก็ ปฐมวยั มงุ่ เนน้ การจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ มสธปฐมวยั ทตี่ อบสนองตอ่ อายแุ ละชว่ งพฒั นาการในแตล่ ะวยั ประสบการณ์ และความสามารถของเดก็ ทง้ั ราย บุคคลและรายกลุ่ม ค�ำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของเด็ก ที่ เอื้อใหเ้ ดก็ แต่ละคนบรรลุเปา้ หมายการเรยี นรู้ มสธ มสธกิจกรรม5.1.1 ใหน้ กั ศึกษาอธบิ ายความหมายแนวปฏบิ ัตทิ เี่ หมาะสมกบั พัฒนาการ แนวตอบกิจกรรม 5.1.1 แนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ หมายถึง แนวทางในการจัดศึกษาส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีให้ ความส�ำคัญในเร่ืองการจัดการศึกษาท่ีเหมาะสมกับวัย พัฒนาการ ประสบการณ์ และความสามารถของ มสธเด็กทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม ค�ำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และบริบททางสังคมและวัฒนธรรม มสธ มสธ มสธของเดก็ รวมถึงชว่ ยใหเ้ ดก็ สามารถบรรลเุ ป้าหมายการเรียนรู้
5-8 การจัดการศกึ ษาและหลักสูตรส�ำ หรบั เด็กปฐมวัย มสธเร่ืองท่ี 5.1.2 ความเป็นมาของแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ มสธ มสธแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการเป็นแนวทางท่ีได้พัฒนาข้ึนโดย NAEYC สมาคมน้ีเป็น องคก์ รอสิ ระทม่ี บี ทบาทสำ� คญั อยา่ งยง่ิ ในการขบั เคลอื่ นและพฒั นาการศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ตง้ั แตแ่ รกเกดิ – 8 ปี ตง้ั แตใ่ นชว่ งตน้ ศตวรรษท่ี 19 จนมาถงึ ทกุ วนั นี้ เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจเกยี่ วกบั แนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการ มากย่ิงขน้ึ ในเรือ่ งนจ้ี ะกล่าวถึงความเปน็ มาของแนวปฏิบตั ทิ ่เี หมาะสมกบั พฒั นาการ ซง่ึ แบง่ เปน็ 3 ระยะ มรี ายละเอยี ด ดังนี้ มสธระยะท่ี 1 แนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการเรมิ่ ตน้ ในชว่ งตน้ ศตวรรษที่ 19 โดย International Kinder- garten Union (IKU) ซ่ึงในปัจจุบันเปล่ียนช่ือเป็น The Association for Childhood Education International (ACEI) นกั การศกึ ษากลมุ่ นใ้ี หค้ วามสนใจเกย่ี วกบั การจดั ศกึ ษาและการเตรยี มครใู นระดบั อนุบาล และพยายามหาแนวทางจัดการศึกษาส�ำหรับเด็กปฐมวัยขึ้น จึงได้คัดสรรผู้เช่ียวชาญจ�ำนวน 19 มสธ มสธคน เปน็ กรรมการในกำ� หนดแนวทางจดั การศกึ ษาในระดบั อนบุ าล ผลลพั ธท์ ไ่ี ดค้ อื รายงานจำ� นวน 3 ฉบบั รายงานฉบับแรกเน้นการจัดการเรียนการสอนที่มีโครงสร้างและยึดครูเป็นศูนย์กลาง รายงานฉบับที่สอง เปน็ การจดั การเรยี นการสอนผา่ นการเลน่ เปน็ ฐานทย่ี ดึ เดก็ เปน็ ศนู ยก์ ลาง และรายงานฉบบั สดุ ทา้ ยเปน็ การ จัดการเรียนการสอนทผ่ี สมผสานระหว่างแนวทางท่ี 1 และ 2 (Bredekamp, 1997 cited in Aldridge & Goldman, 2007) ต่อมา The National Association for Nursery Education (NANE) ซ่ึงภายหลงั ได้เปล่ยี นชื่อเปน็ National Association for the Education of Young Children (NAEYC) ได้ มสธตีพิมพ์คู่มือแนวทางการจัดศึกษาในระดับก่อนวัยเรียน เรียกว่า Minimum Essentials for Nursery School Education เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดการศึกษาส�ำหรับเด็กเล็ก (NANE, 1930 cited in Aldridge & Goldman, 2007) ระยะท่ี 2 มสธ มสธในทศวรรษทผี่ า่ นมา (ค.ศ. 1980-1990) ประเทศสหรฐั อเมรกิ าไดจ้ ดั ตงั้ ศนู ยร์ บั เลย้ี งเดก็ เปน็ จำ� นวนมาก ซง่ึ ศนู ยเ์ หลา่ นขี้ าดการควบคมุ คณุ ภาพและมบี คุ ลากรทท่ี ำ� งานในศนู ยจ์ ำ� นวนมากทไ่ี มผ่ า่ นการฝกึ ฝน ทาง NAEYC ตระหนักและเล็งเห็นความจ�ำเป็นในการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาส�ำหรับเด็กปฐมวัย ดงั นนั้ ในปี ค.ศ. 1985 จงึ พฒั นาเกณฑก์ ารรบั รองคณุ ภาพมาตรฐานการจดั ศกึ ษาในระดบั ปฐมวยั ขน้ึ เพอื่ ชว่ ยพฒั นาคณุ ภาพของศนู ยร์ บั เลยี้ งเดก็ ตอ่ มา NAEYC เหน็ วา่ เกณฑท์ พ่ี ฒั นาขน้ึ มานนั้ ขาดรายละเอยี ด เน้ือหา ท�ำให้ยากต่อการน�ำมาปฏิบัติ รวมท้ังในช่วงเวลาน้ันการจัดการศึกษาปฐมวัยบางส่วนเน้นไปใน มสธเรือ่ งการเรง่ อา่ นเขียนและจัดการเรียนการสอนทเี่ น้นครูเป็นศนู ย์กลาง ดังนัน้ ในปี ค.ศ. 1986 ทางสมาคม
แนวปฏบิ ัตทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการในการจัดการศกึ ษาปฐมวยั 5-9 จงึ ไดต้ พี มิ พเ์ อกสารขน้ึ เรยี กวา่ “แนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการ (Developmentally Appropriate มสธPractice: DAP)” เพอื่ แกไ้ ขปญั หาดงั กลา่ ว เอกสาร DAP จดั ทำ� ขน้ึ เพอ่ื ใหค้ วามรแู้ ละอธบิ ายรายละเอยี ด เกี่ยวกับลักษณะการปฏิบัติที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย ให้ผู้ที่ท�ำงานเกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยมีแนวทาง จัดการศึกษาส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีเหมาะสม เอกสารน้ีประกอบด้วยค�ำประกาศจุดยืนในการจัดการศึกษา (position statement) ส�ำหรับครูและนักการศึกษาปฐมวัยที่ระบุถึงแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ มสธ มสธครอบคลมุ เดก็ ตง้ั แต่แรกเกดิ –8 ปี ซึง่ คำ� ประกาศจุดยืนฉบับน้นี �ำเสนอเฉพาะแนวปฏบิ ตั ิท่ีเหมาะสม และ ตัวอย่างการปฏิบัติที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมส�ำหรับเด็กวัยแรกเกิดและวัยเตาะแตะ และส�ำหรับเด็กวัย 4-5 ปี ในปีต่อมา NAEYC ได้ปรับปรุงเอกสารฉบับน้ี โดยเพ่ิมรายละเอียดให้ครอบคลุมช่วงวัยอื่นๆ โดยเพิม่ เตมิ ตัวอยา่ งการปฏบิ ัติท่เี หมาะสมและไมเ่ หมาะสมส�ำหรบั เดก็ วัย 3 ปี และเด็กวัย 5-8 ปี เร่ือง รอยเช่ือมต่อ และเร่ืองการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการให้แก่บุคคลท่ี มสธเกยี่ วขอ้ ง เพอ่ื ใหผ้ ทู้ ที่ ำ� งานเกย่ี วขอ้ งกบั เดก็ เขา้ ใจแนวทางการจดั การศกึ ษาทเี่ หมาะสมสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั มากย่งิ ขนึ้ (Gestwicki, 2007, pp. 6-7; Gordon & Browne, 2014, p. 40; NAEYC, n.d.-a) ระยะท่ี 3 มสธ มสธหลังจากท่ีเอกสารแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการได้เผยแพร่ในคร้ังนั้น ทาง NAEYC ได้ รบั การวพิ ากษว์ จิ ารณจ์ ากบคุ ลากรทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั เดก็ ปฐมวยั ซง่ึ มที งั้ ผทู้ เ่ี หน็ ดว้ ยและไมเ่ หน็ ดว้ ย ดงั นนั้ ใน ปี ค.ศ. 1996 ทาง NAEYC จงึ ได้ทบทวนและปรับปรงุ DAP อีกคร้ัง โดยน�ำผลการวิจยั ขอ้ อภปิ ราย และวิพากษ์จากผู้ทรงคุณวุฒิและนักการศึกษาปฐมวัยจากประเทศต่างๆ มาวิเคราะห์และสังเคราะห์ จน สรุปได้เป็นค�ำประกาศจุดยืนในการจัดการศึกษาแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการในการจัดการศึกษา ปฐมวัย ฉบับปรับปรุง (อรณุ ี หรดาล, 2553, น.5) รวมทงั้ ไดต้ ีพมิ พห์ นังสอื ชอื่ วา่ แนวปฏบิ ตั ทิ ่ีเหมาะสม กบั พฒั นาการในการจัดการศึกษาปฐมวยั ฉบบั ปรับปรุง รายละเอียดของหนงั สือประกอบด้วยค�ำประกาศ มสธจุดยืนในการจัดการศึกษาแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ ฉบับปรับปรุง ข้อมูลเก่ียวกับพัฒนาการ และการเรียนรู้ของเด็กวัยแรกเกิด/วัยเตาะแตะ เด็กวัย 3-5 ปี และเด็กวัย 6-8 ปี ตัวอย่างการปฏิบัติ ท่ีเหมาะสมและไม่เหมาะสม และเร่ืองการส่งเสริมให้ครูเป็นผู้ตัดสินใจที่เหมาะสม (decision maker) เพ่ือให้ผู้ท่ีท�ำงานเกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยเกิดความเข้าใจเก่ียวกับแนวทางของแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับ มสธ มสธพฒั นาการมากย่ิงขน้ึ และสามารถน�ำไปใช้ในการสอนไดจ้ ริง ต่อมาในปี ค.ศ. 2008 เอกสารนี้ได้ถูกทบทวนและปรบั ปรงุ อกี ครงั้ และตพี มิ พ์เป็นหนงั สอื ชือ่ วา่ “แนวปฏบิ ัติท่ีเหมาะสมกบั พัฒนาการในการจัดการศึกษาปฐมวัย ฉบับที่ 3” ซง่ึ ประกอบด้วย ค�ำประกาศ จุดยืนในการจัดการศึกษาแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการฉบับล่าสุด พัฒนาการและการเรียนรู้ของ เดก็ วยั แรกเกดิ /วยั เตาะแตะ เดก็ วยั 3-5 ปี และเดก็ วยั 6-8 ปี การเปน็ ครทู มี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ รวมทงั้ เพม่ิ สอื่ ในรปู แบบของแผน่ ซดี ี ทม่ี ที ง้ั บทความและตวั อยา่ งวดิ โี อการสอนตามแนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการ นอกจากน้ี เอกสารฉบับปรับปรุงนี้มีการเปล่ียนแปลงส�ำคัญ คือ การปรับตัวอย่างการปฏิบัติที่เหมาะสม มสธและไมเ่ หมาะสม เป็นการปฏิบตั ทิ ี่เหมาะสมและการปฏบิ ตั ทิ ตี่ รงกนั ข้าม ด้วยทาง NAEYC ตระหนกั ว่า
5-10 การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รสำ�หรบั เด็กปฐมวัย ตวั อยา่ งพฤตกิ รรมบางอยา่ งไมไ่ ดถ้ อื เปน็ การปฏบิ ตั ทิ ไี่ มด่ หี รอื ไมถ่ กู ตอ้ ง แตห่ ากเปน็ ตวั อยา่ งพฤตกิ รรมท่ี มสธไม่ได้น�ำไปสู่การเรียนรู้ที่ดีที่สุด รวมทั้งบริบททางวัฒนธรรมอาจท�ำให้แต่ละบุคคลมีมุมมองเก่ียวกับ พฤติกรรมแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงได้ปรับเปลี่ยนช่ือ เพ่ือส่ือสารให้เห็น ตัวอย่างพฤติกรรมการปฏิบัติท่ี ตรงกันข้ามเป็นพฤติกรรมท่ีต้องพึงระวังมากกว่าท่ีจะชี้ว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง (Copple & Bredekamp, 2009, p.xi; NAEYC, n.d.-a) มสธ มสธกล่าวได้ว่า NAEYC ได้พัฒนาแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยน�ำ องค์ความรู้ใหม่ๆ ผลการวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก พ้ืนฐานความรู้เก่ียวกับการดูแล และการใหก้ ารศกึ ษาแก่เด็กปฐมวัย การเปล่ียนแปลงทางบริบทสังคม รวมท้งั ขอ้ วพิ ากษ์ ข้อวิเคราะห์จาก นกั การศกึ ษามาใชเ้ พอ่ื ปรบั ปรงุ แนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการใหเ้ หมาะสมกบั โลกทมี่ กี ารเปลย่ี นแปลง อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง รวมทงั้ มกี ารจดั เอกสารและสอื่ อนื่ ๆ ขน้ึ เพอื่ ชว่ ยใหผ้ ทู้ ท่ี ำ� งานเกย่ี วขอ้ งกบั เดก็ ปฐมวยั เขา้ ใจ แนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการมากยิ่งข้ึน ซึ่งความเป็นมาของแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ มสธสามารถสรปุ เปน็ เส้นเวลาได้ ดังนี้ มสธ มสธต้นศตวรรษที่19ระยะที่ 1 ระยะท่ี 2 ระยะท่ี 3 กล่มุ สหภาพอนุบาล นานาชาติได้ก�ำหนด แนวทางจดั การศกึ ษา มสธในระดบั อนบุ าล 1900 1980 1996 2008 1985 1996 2008 NAEYC พฒั นาเกณฑ์ NAEYC ตพี มิ พค์ ำ� ประกาศ DAP ไดถ้ กู ทบทวนและ การรับรองคุณภาพ จดุ ยนื ในการจดั การศกึ ษา ปรบั ปรงุ ในปี ค.ศ. 2008 มาตรฐานการจัดศกึ ษา แนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั และตพี มิ พเ์ ปน็ หนงั สอื ชอื่ วา่ ในระดบั ปฐมวัย พฒั นาการในการจดั การ “แนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั ศกึ ษาปฐมวยั ฉบบั ปรบั ปรงุ พฒั นาการในการจดั การ 1986 ศกึ ษาปฐมวยั ฉบบั ท่ี 3 NAEYC ตพี มิ พเ์ อกสาร “แนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสม กบั พฒั นาการ - DAP” มสธ มสธภาพที่ 5.1 ความเป็นมาของแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ1997 ตพี มิ พห์ นงั สอื ชอื่ วา่ “แนว ปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการในการจดั การ ศกึ ษาปฐมวยั ฉบบั ปรบั ปรงุ ” กิจกรรม 5.1.2 มสธให้นักศกึ ษาอธบิ ายความเป็นมาของแนวปฏิบัติทเี่ หมาะสมกบั พัฒนาการพอสังเขป
แนวปฏบิ ัติทเ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการในการจัดการศึกษาปฐมวัย 5-11 มสธแนวตอบกิจกรรม 5.1.2 แนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการเปน็ แนวทางทพี่ ฒั นาโดย NAEYC เพอื่ พฒั นาคณุ ภาพการ จดั การศกึ ษาปฐมวยั ในประเทศสหรฐั อเมรกิ า โดยเรมิ่ ตน้ จากการจดั ทำ� คมู่ อื แนวทางการจดั ศกึ ษาในระดบั กอ่ นวยั เรยี น เพอื่ เปน็ แนวทางในการจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ เลก็ ตอ่ มามกี ารจดั เกณฑก์ ารรบั รองคณุ ภาพ มาตรฐานการจดั การศกึ ษาในระดบั ปฐมวยั ขน้ึ แตด่ ว้ ยเกณฑน์ ขี้ าดรายละเอยี ด ทำ� ใหเ้ กดิ อปุ สรรคในการนำ� มสธ มสธไปใช้ ทำ� ใหท้ างสมาคมไดต้ พี มิ พเ์ อกสารขนึ้ ในปี ค.ศ. 1986 เรยี กวา่ “แนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการ (Developmentally Appropriate Practice: DAP)” เพื่อให้ความรู้และอธิบายรายละเอียดเก่ียวกับ ลกั ษณะการปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั เดก็ ปฐมวยั ใหผ้ ทู้ ที่ ำ� งานเกย่ี วขอ้ งกบั เดก็ ปฐมวยั มแี นวทางจดั การศกึ ษา ที่เหมาะสม เอกสาร DAP ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาเร่ือยมาจนถึงปัจจุบัน โดยน�ำองค์ความรู้ใหม่ๆ และผลการวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก และข้อวิพากษ์ ข้อวิเคราะห์จากนักการ ศกึ ษามาใชเ้ ปน็ ฐานในการพฒั นา นอกจากน้ี NAEYC ไดม้ กี ารตพี มิ พห์ นงั สอื ประกอบเอกสาร DAP ขนึ้ มสธเพอื่ ช่วยใหค้ รู และผทู้ ี่เกย่ี วขอ้ งกบั เด็กปฐมวัยมีความเข้าใจเกย่ี วกบั DAP มากย่ิงข้ึน มสธ มสธเรื่องท่ี5.1.3 ความส�ำคัญของแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ แนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการ เปน็ แนวทางในการจดั การศกึ ษาทใี่ หค้ วามสำ� คญั อยา่ งยง่ิ ตอ่ มสธสวัสดิภาพและการศึกษาของเด็ก โดยเน้นการจัดการศึกษาให้สอดคล้องและเหมาะสมกับวัย ความสนใจ ของเดก็ ทงั้ ในฐานะปจั เจกบคุ คลและในฐานะสมาชกิ ของกลมุ่ การจดั การศกึ ษาตามแนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสม กบั พฒั นาการเปน็ การจดั การศกึ ษาทตี่ อบสนองตอ่ ธรรมชาตแิ ละวถิ กี ารเรยี นรขู้ องเดก็ ชว่ ยสง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ มีพัฒนาการสมวยั รอบด้าน และเกิดการเรียนรู้ทม่ี ีความหมาย แนวปฏบิ ัติที่เหมาะสมกบั พฒั นาการจงึ มี ความสำ� คญั ตอ่ ตวั เดก็ อยา่ งยง่ิ อกี ทง้ั ยงั มคี วามสำ� คญั ตอ่ พอ่ แม่ ผปู้ กครอง ตอ่ ครู และตอ่ สงั คมและประเทศ มสธ มสธชาติ ดงั มรี ายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี ความส�ำคัญต่อตัวเด็ก 1. ท�ำให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวมท่ีสมดุลรอบด้าน แนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับ พฒั นาการตงั้ อยบู่ นหลกั การพฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ ปฐมวยั โดยใหค้ วามสำ� คญั ตอ่ การพฒั นาเดก็ ท้ังสี่ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา ซึ่งพัฒนาการเหล่าน้ี มสธมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กัน รวมท้ังส่งผลกระทบต่อกันและกัน ความเข้าใจน้ีท�ำให้ครูและบุคคลที่ เก่ียวขอ้ งกบั เด็กใหค้ วามส�ำคัญต่อการพฒั นาเดก็ ในทุกดา้ นอยา่ งสมดุล
5-12 การจัดการศกึ ษาและหลกั สตู รสำ�หรบั เดก็ ปฐมวยั 2. ท�ำให้เด็กเรียนรู้อย่างมีความสุข แนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการมุ่งให้เกิดแนวปฏิบัติ มสธทางด้านการสอนที่เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของเด็ก รวมทั้งค�ำนึงถึงประสบการณ์ ความสามารถ ความสนใจ และบริบทสังคมและวัฒนธรรมท่ีเดก็ อาศัยอยู่ การจัดประสบการณ์ลักษณะน้สี อดคลอ้ งกบั วถิ ี การเรยี นรขู้ องเดก็ ทำ� ใหเ้ ดก็ สนกุ สนานไปกบั การเรยี นรู้ มคี วามกระตอื รอื รน้ และความใครร่ ู้ อยากมสี ว่ นรว่ ม ในการเรยี นรู้ ไมร่ สู้ กึ เครียดกบั การเรียนรสู้ ง่ิ ใหมๆ่ มสธ มสธ3. ท�ำให้เด็กเกิดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีมีความหมาย แนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ เน้นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ค�ำนึงถึงประสบการณ์เดิมและส่ิงท่ีอยู่รอบตัวเด็ก ท�ำให้การเรียนรู้ท่ี เกดิ ขนึ้ เปน็ การเชอ่ื มโยงระหวา่ งประสบการณก์ ารเรยี นรเู้ ดมิ กบั ประสบการณก์ ารเรยี นรใู้ หม่ ทำ� ใหเ้ กดิ ความ เข้าใจเก่ียวกับส่ิงต่างๆ รอบตัวอย่างลึกซึ้งและมีความหมายต่อตัวเด็ก ดังท่ี Copple & Bredekamp (2006, p. 17) ไดช้ วี้ า่ หากเดก็ ไดร้ บั ขอ้ มลู และมโนทศั น์ (concept) ทเ่ี ชอ่ื มโยงกบั สงิ่ ทเ่ี ดก็ รแู้ ละเขา้ ใจแลว้ จะทำ� ให้เดก็ เรียนร้อู ย่างมคี วามหมายและนำ� ไปสูก่ ารเรยี นรทู้ ่ีดที สี่ ุด มสธ4. ท�ำให้เด็กเกิดความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง แนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการค�ำนึงถึงอายุและ พัฒนาการของเด็ก และความแตกต่างระหว่างบุคคล ท�ำให้เด็กได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเหมาะสม กบั วยั และธรรมชาตกิ ารเรยี นรู้ และการตอบสนองทส่ี อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการ ความสนใจของเดก็ แตล่ ะคน สง่ ผลให้เดก็ สนใจในส่งิ ทเี่ รยี นรู้ เรียนอยา่ งมีความสุข เกดิ ทัศนคติท่ดี ีต่อตนเองและต่อการเรียนรู้ และนำ� ไปสู่ประสบความสำ� เร็จในการเรยี น มสธ มสธ5. ทำ� ใหเ้ ดก็ ไดเ้ รยี นรถู้ งึ บทบาทหนา้ ทแ่ี ละการปฏบิ ตั ใิ นสงั คม แนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการ ให้ความส�ำคัญต่อบริบททางสังคมและวัฒนธรรมท่ีเด็กอาศัยอยู่ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้บทบาท หนา้ ทแ่ี ละการปฏบิ ตั ติ นในฐานะทเ่ี ปน็ สมาชกิ ของครอบครวั และชมุ ชนทเี่ ดก็ อาศยั อยู่ เรยี นรกู้ ารปฏบิ ตั ติ น ทเ่ี หมาะสม ไดซ้ บึ ซบั วฒั นธรรมและคา่ นยิ ม กฎ กตกิ าของสงั คม รวมถงึ คณุ ธรรมและจรยิ ธรรมตา่ งๆ (อรณุ ี หรดาล, 2553) มสธความส�ำคัญต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง 1. ท�ำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองมีความพึงพอใจในการเรียนรู้ของเด็ก แนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับ พฒั นาการเนน้ การพฒั นาเดก็ อยา่ งเปน็ องคร์ วมและการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ ต่ี อบสนองตอ่ ธรรมชาติ การเรียนรู้ของเด็ก ท�ำให้เด็กได้รับการพัฒนาทุกด้านอย่างสมดุล เรียนรู้อย่างมีความสุข และมีแรงจูงใจ มสธ มสธในการเรียน ท�ำใหพ้ ่อแม่ ผู้ปกครองมีความสุขใจและสบายใจที่เห็นลกู มีความกระตอื รือรน้ ในการเรยี น 2. พ่อแม่ ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของเด็ก แนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการเชื่อ วา่ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งครอบครวั และโรงเรยี นมคี วามสำ� คญั โดยความสมั พนั ธค์ วรตงั้ อยบู่ นฐานของความ เคารพซึ่งกันและกัน ใหค้ วามรว่ มมือกัน มกี ารสอื่ สารสองทาง ใหค้ รอบครวั มีส่วนร่วมในการตดั สินใจและ เป็นแหล่งเรียนรู้ (จีระพันธุ์ พูลพัฒน์, 2559) การจัดการศึกษาตามแนวทางน้ีให้ความส�ำคัญกับบทบาท ของพอ่ แม่ ผู้ปกครอง และเปดิ โอกาสใหพ้ ่อแม่ ผู้ปกครอง เข้ามามสี ว่ นร่วมในการเรยี นรกู้ ับเดก็ ส่งผลให้ พ่อแม่ ผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเพิ่มขึ้น และสามารถ มสธสนบั สนุนการเรียนรู้ของเดก็ ได้ดยี ่งิ ขนึ้
แนวปฏบิ ัตทิ ี่เหมาะสมกับพฒั นาการในการจัดการศกึ ษาปฐมวัย 5-13 ความส�ำคัญต่อครู มสธ1. ท�ำให้ครูสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีตอบสนองต่อความต้องการของเดก็ ไดอ้ ยา่ ง แทจ้ รงิ แนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการเปน็ แนวทางทคี่ รตู อ้ งนำ� ความรเู้ กย่ี วกบั พฒั นาการและการเรยี นรู้ ของเด็ก ข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก และข้อมูลเก่ียวกับบริบทสังคมและวัฒนธรรมมาใช้เป็นแนวทางในการจัด ประสบการณก์ ารเรียนรูท้ เ่ี ออ้ื ต่อพฒั นาการและความตอ้ งการของเดก็ ทำ� ให้การสอนของครตู อบสนองต่อ มสธ มสธธรรมชาตแิ ละการเรยี นรูข้ องเด็กปฐมวัย 2. ช่วยเพ่ิมพูนประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอน แนวปฏบิ ัติทีเ่ หมาะสมกับพฒั นาการ ส่งเสริมให้ครูใช้ยุทธศาสตร์การสอนที่หลากหลายเพ่ือตอบสนองต่อความต้องการของเด็กส่งผลให้ต้องมี การพฒั นาการจดั การเรยี นการสอนใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมากขนึ้ ดงั ทก่ี ลา่ ววา่ แนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการ เปน็ หวั ใจสำ� คญั ของการพฒั นาครใู หม้ ีประสิทธิภาพ (Copple & Bredekamp, 2009, p. 33) มสธความส�ำคัญต่อสังคมและประเทศชาติ 1. ท�ำให้สังคมและประเทศชาติมีทรัพยากรมนุษย์ที่ดีและมีคุณภาพ แนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พัฒนาการให้ความส�ำคัญกับการศึกษาในระดับปฐมวัย ซึ่งหากเด็กปฐมวัยได้รับการศึกษาท่ีมีคุณภาพ โอกาสที่เด็กจะเตบิ โตสมวยั มีพัฒนาการทด่ี ี สามารถพัฒนาตนเองได้เตม็ ศักยภาพย่อมมมี ากขึน้ ถอื เป็น มสธ มสธการวางรากฐานสำ� คัญของการพัฒนาเดก็ ให้เติบโตเปน็ พลเมอื งท่มี ีคณุ ภาพ 2. ท�ำให้ลดปัญหาทางสังคมในอนาคต แนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการช่วยให้การจัดการ ศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั มคี ณุ ภาพมากยง่ิ ขนึ้ การพฒั นาเดก็ อยา่ งสมดลุ ทงั้ สดี่ า้ นและพฒั นาทกั ษะพน้ื ฐาน ส�ำคัญท่ีเหมาะสมตามช่วงวัย เป็นการสร้างคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ให้แก่เด็กตั้งแต่วัยเยาว์ ท่ีส่งผลต่อ คณุ ภาพของประชากรในวนั ขา้ งหนา้ เพราะเดก็ ปฐมวยั ทไี่ ดร้ บั การดแู ลอยา่ งเหมาะสมตามชว่ งวยั นำ� ไปสู่ การมโี อกาสในการเรยี นรตู้ อ่ ในระดบั ทสี่ งู ขนึ้ และเปน็ แรงงานทม่ี คี ณุ ภาพมรี ายไดส้ งู สง่ ผลใหอ้ ตั ราการกอ่ คดี มสธหรือสร้างปัญหาสังคมลดน้อยลง นอกจากนี้ยังช่วยลดการขาดดุลและสร้างฐานเศรษฐกิจท่ีเข้มแข็งให้แก่ สังคม (Center for the Economics of Human Development, n.d.) สรปุ ไดว้ า่ แนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการมคี วามสำ� คญั อยา่ งยงิ่ ตอ่ ตวั เดก็ พอ่ แม่ ผปู้ กครอง ครู และต่อสังคมและประเทศชาติ เนื่องจากท�ำให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวมท่ีสมดุลรอบด้าน เรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามสขุ เกดิ ความรสู้ กึ ทดี่ ตี อ่ ตนเอง รวมทง้ั ทำ� ใหพ้ อ่ แม่ ผปู้ กครองเกดิ ความสขุ ใจและสบายใจ มสธ มสธชว่ ยใหค้ รสู ามารถจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ ต่ี อบสนองตอ่ ความตอ้ งการของเดก็ และเพม่ิ พนู ประสทิ ธภิ าพ มสธในการสอน นอกจากน้ยี งั ท�ำให้สงั คมและประเทศชาตมิ ที รัพยากรมนษุ ยท์ ม่ี คี ณุ ภาพ
5-14 การจัดการศึกษาและหลักสูตรส�ำ หรบั เด็กปฐมวัย มสธกิจกรรม 5.1.3 ใหน้ ักศกึ ษาอธิบายความสำ� คัญของแนวปฏบิ ตั ทิ ่ีเหมาะสมกบั พัฒนาการท่ีมตี อ่ เดก็ ปฐมวยั แนวตอบกิจกรรม 5.1.3 ความส�ำคัญของแนวปฏบิ ัติท่เี หมาะสมกับพฒั นาการท่ีมตี ่อเดก็ ปฐมวัย ไดแ้ ก่ มสธ มสธ1. ท�ำใหเ้ ด็กได้รบั การพัฒนาอย่างเปน็ องค์รวมทสี่ มดลุ รอบด้าน 2. ท�ำให้เด็กเรยี นรอู้ ยา่ งมีความสขุ 3. ท�ำใหเ้ ด็กเกดิ ประสบการณ์การเรยี นรทู้ ่มี คี วามหมาย 4. ทำ� ให้เด็กไดเ้ กดิ ความรู้สึกทด่ี ีต่อตนเอง มมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธ5. ทำ� ให้เด็กได้เรยี นรถู้ ึงบทบาทหน้าที่และการปฏบิ ตั ิในสังคม
แนวปฏบิ ตั ิทเ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการในการจัดการศึกษาปฐมวยั 5-15 มสธตอนท่ี 5.2 หลักการและข้อพิจารณาของแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวตั ถปุ ระสงคข์ องตอนที่ 5.2 แล้วจงึ ศกึ ษารายละเอียดต่อไป มสธ มสธหัวเรื่อง 5.2.1 หลกั การของแนวปฏิบัติทีเ่ หมาะสมกบั พัฒนาการ 5.2.2 ข้อพจิ ารณาในการใชแ้ นวปฏิบัติที่เหมาะสมกบั พฒั นาการ แนวคิด มสธ1. ห ลกั พฒั นาการและการเรยี นรเู้ ปน็ กรอบแนวทางในการจดั การศกึ ษาปฐมวยั ใหส้ อดคลอ้ ง กับแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ หลักพัฒนาการและการเรียนรู้ที่ส�ำคัญ คือ พัฒนาการทั้งส่ีด้านเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน พัฒนาการของเด็กเป็นไปตามล�ำดับขั้นตอน เปน็ แบบแผนเดยี วกนั แตม่ อี ตั ราและระยะเวลาของการพฒั นาทแี่ ตกตา่ งกนั พฒั นาการ และการเรียนรู้เป็นผลที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ของวุฒิภาวะทางชีววิทยาและส่ิงแวดล้อม มสธ มสธความสัมพันธ์ท่ีอบอุ่นม่ันคงกับผู้ใหญ่รอบข้างและความสัมพันธ์ที่ดีกับเพ่ือนส่งผลต่อ พัฒนาการ และการเล่นเป็นเครื่องมือสำ� คญั ในการพัฒนาเด็ก 2. ข ้อพิจารณาในการใช้แนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการในการจัดประสบการณ์การ เรยี นรมู้ ี 2 ประการ ประการแรก คอื พน้ื ฐานความรทู้ ตี่ อ้ งใชป้ ระกอบการพจิ ารณาตดั สนิ ใจ ประกอบด้วยความรู้เก่ียวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ความรู้เกี่ยวกับจุดแข็ง ความสนใจ และความต้องการของเด็กเป็นรายบุคคล และความรู้เกี่ยวกับบริบททาง มสธสงั คมและวฒั นธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ ประการท่สี อง คอื การตั้งเปา้ หมายการเรยี นรู้ วัตถุประสงค์ เม่ือศึกษาตอนที่ 5.2 จบแลว้ นักศึกษาสามารถ 1. อธบิ ายและยกตวั อย่างหลกั การของแนวปฏิบัติท่เี หมาะสมกบั พฒั นาการได้ มสธ มสธ มสธ2. อธบิ ายขอ้ พจิ ารณาในการใช้แนวปฏิบตั ทิ ่เี หมาะสมกบั พฒั นาการได้
5-16 การจดั การศึกษาและหลกั สตู รส�ำ หรับเด็กปฐมวัย มสธเรื่องท่ี 5.2.1 หลักการของแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ มสธ มสธแนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการ ใชง้ านวจิ ยั และองคค์ วามรเู้ กยี่ วกบั พฒั นาการและการเรยี นรู้ ของเด็ก และหลักพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย เป็นข้อมูลพื้นฐานในการก�ำหนดแนวทาง ในการจดั การศกึ ษาใหเ้ หมาะสมกบั เดก็ ปฐมวยั เนอื่ งดว้ ยความเขา้ ใจในหลกั พฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ ชว่ ยใหค้ รู นกั การศกึ ษาปฐมวยั รจู้ กั และเขา้ ใจพฤตกิ รรมเดก็ ซง่ึ เปน็ ฐานสำ� คญั ในการจดั การศกึ ษาและการ สนับสนุนการเรยี นรขู้ องเดก็ ปฐมวยั อยา่ งเหมาะสม ในคำ� ประกาศจดุ ยนื ในการจดั การศกึ ษาของ NAEYC เรอื่ ง แนวปฏบิ ตั ทิ ี่เหมาะสมกับพัฒนาการ ครอบคลุมเด็กตั้งแต่แรกเกิด–8 ปี ได้ระบุหลักการที่เกี่ยวข้องกับ พฒั นาการและการเรยี นรไู้ ว้ 12 ขอ้ เพอื่ ใชเ้ ปน็ หลกั คดิ ในการตดั สนิ ใจและตอบสนองตอ่ เดก็ รวมทง้ั เพอื่ นำ� มสธไปสู่การปฏิบัติท่ีสอดคล้องกับแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ ทั้งนี้ในการน�ำหลักการไปประยุกต์ใช้ ผู้ที่น�ำไปใช้อาจไม่ได้น�ำไปใช้ทุกข้อ แต่เลือกใช้เฉพาะหลักการของพัฒนาการและการเรยี นรทู้ ส่ี ำ� คญั และ เกย่ี วขอ้ งกบั บรบิ ทของตน สำ� หรบั หลกั การของแนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการ 12 ขอ้ มีรายละเอียด (Copple & Bredekamp, 2009; Kostelnik, Soderman, & Whiren, 2011) ดงั ต่อไปน้ี มสธ มสธ1. พัฒนาการท้ังสี่ด้านมีความส�ำคัญเท่าเทียมกันและเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน พฒั นาการทางดา้ น ร่างกาย ด้านอารมณ-์ จิตใจ ดา้ นสังคม และด้านสตปิ ญั ญา มคี วามสัมพนั ธเ์ ช่ือมโยงกันและมีอิทธพิ ลต่อ กนั และกนั การเปลย่ี นแปลงพฒั นาการดา้ นใดดา้ นหนง่ึ สามารถกระตนุ้ หรอื จำ� กดั พฒั นาการในดา้ นอน่ื ๆ ดว้ ย เช่น เด็กทเี่ ร่ิมคลานหรอื เดนิ จะมโี อกาสสำ� รวจโลกและเรียนรสู้ ิง่ ใหมไ่ ดม้ ากขน้ึ เห็นได้วา่ ความก้าวหน้า ของพฒั นาการดา้ นรา่ งกายสง่ ผลดตี อ่ พฒั นาการทางดา้ นสตปิ ญั ญาและความเปน็ ตวั ของตวั เอง (autonomy) หรอื ขณะทเ่ี ดก็ เลน่ ตวั ตอ่ กบั เพอื่ น เดก็ ไดฝ้ กึ ทกั ษะการใชม้ อื ในการหยบิ จบั สง่ิ ของ ไดค้ ดิ วางแผนแกป้ ญั หา มสธได้ใช้จินตนาการสร้างสรรค์ผลงาน ใช้ภาษาในการสื่อสารพูดคุยและแลกเปล่ียนความคิดเห็นกับเพ่ือน ไดฝ้ กึ ทักษะทางสงั คมตา่ งๆ ไมว่ า่ จะเปน็ การรบั ฟงั ความคดิ เห็นของผู้อ่ืน การประนีประนอม การแบง่ ปัน การทำ� งานรว่ มกบั ผอู้ นื่ รวมทง้ั ไดเ้ รยี นรทู้ จ่ี ะควบคมุ อารมณแ์ ละความตอ้ งการของตนเองดว้ ย จากตวั อยา่ ง การเลน่ ดังกล่าวจะเห็นได้ว่า เด็กใช้พัฒนาการทั้ง 4 ดา้ นควบคู่กันไป และความสามารถของเด็กในด้าน ตา่ งๆ สง่ ผลตอ่ กนั เชน่ การใชภ้ าษา และการควบคมุ อารมณต์ นเองสง่ ผลตอ่ ทกั ษะทางสงั คมของเดก็ หรอื มสธ มสธในทางกลบั กนั การทเ่ี ดก็ ไดเ้ ลน่ รว่ มกบั ผอู้ นื่ ทำ� ใหเ้ ดก็ ไดฝ้ กึ ทกั ษะทางภาษา การแสดงออกและการควบคมุ อารมณ์ จงึ กลา่ วได้ว่า พัฒนาการของเดก็ เปน็ ผลพวงของการเปล่ียนแปลงหลายดา้ นผสมผสานกัน (พชั รี ผลโยธนิ และอรุณี หรดาล, 2557, น. 11) ดงั น้นั การจัดประสบการณ์การเรียนร้ทู ีเ่ ออื้ ตอ่ การเรยี นรูจ้ งึ ควร จดั ใหค้ รอบคลุมพัฒนาการและการเรียนร้ใู นทกุ ๆ ดา้ น 2. พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามล�ำดับขั้นตอน พัฒนาการของเด็กทุกคน เปลี่ยนแปลงไปตามแบบแผนเดียวกัน โดยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีทิศทาง และเป็นลำ� ดับข้ันตอน ท�ำให้ มสธสามารถคาดการณแ์ ละทำ� นายความสามารถและพฤตกิ รรมทจี่ ะเกดิ ขนึ้ ในแตล่ ะชว่ งวยั ของเดก็ ไดอ้ งคค์ วามรู้
แนวปฏบิ ัตทิ เ่ี หมาะสมกบั พัฒนาการในการจดั การศกึ ษาปฐมวัย 5-17 นเ้ี ปน็ แนวทางสำ� คญั สำ� หรบั ครใู นการพฒั นาและจดั ทำ� หลกั สตู ร การจดั สภาพแวดลอ้ ม การออกแบบกิจกรรม มสธการเรยี นรู้ การใชก้ ลยทุ ธก์ ารสอน และการมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั เดก็ รวมทงั้ ทำ� ใหค้ รมู คี วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั ตวั เดก็ และตระหนักถึงทกั ษะและความสามารถทเ่ี ด็กท�ำได้หรอื ท�ำไมไ่ ด้ในแตล่ ะช่วงวัย 3. พัฒนาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ แตล่ ะคนมแี บบแผนเดียวกัน แต่มีอัตราและระยะเวลาของ การพฒั นาท่ีแตกต่างกนั ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลเกดิ ขน้ึ อยา่ งนอ้ ยจากปจั จยั 2 ดา้ น คอื ความผนั แปร มสธ มสธท่ีเกิดข้ึนกับกระบวนการพัฒนาการและความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละบุคคล เด็กท่ีอายุเท่ากันจึง อาจมคี วามสามารถทแ่ี ตกตา่ งกนั ทง้ั นเี้ กดิ จากความแตกตา่ งทางพนื้ อารมณ์ บคุ ลกิ ภาพ และความสามารถ เฉพาะตน รวมทัง้ การเตบิ โตในสภาพครอบครัว วิถีชวี ติ สงั คมและวัฒนธรรมทแ่ี ตกตา่ งกัน ตัวอยา่ งเชน่ เดก็ หญิงน�้ำและเดก็ หญงิ ฝน อายุ 4 ปี เท่ากัน เด็กหญงิ นำ�้ เดินไดเ้ ม่อื อายุ 1 ปี และพูดเปน็ ประโยคสัน้ ๆ ได้เมื่ออายุ 2 ปี ครึ่ง แต่ยังไม่สามารถที่จะแบ่งปันของเล่นกับผู้อื่นได้ด้วยตนเอง ในขณะที่เด็กหญิงฝน เดนิ ไดเ้ มอ่ื อายุ 14 เดอื น พดู เปน็ ประโยคสน้ั ๆ ไดค้ ลอ่ งแคลว่ เมอ่ื อายุ 3 ปี และตอนนสี้ ามารถแบง่ ปนั ของ มสธเล่นใหเ้ พอื่ นได้ด้วยตนเอง ในตัวอยา่ งน้จี ะเห็นวา่ เด็กทง้ั สองคนมีพัฒนาการปกติ และพัฒนาการเป็นไป ตามแบบแผนเดยี วกนั แตม่ อี ตั ราและระยะเวลาทแ่ี ตกตา่ งกนั อายจุ งึ เปน็ เพยี งสง่ิ ทบ่ี ง่ บอกถงึ ความสามารถ ตามพฒั นาการหรอื ความสนใจของเดก็ ในแตล่ ะชว่ งวยั แตด่ ว้ ยเดก็ แตล่ ะคนมคี วามแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล ทำ� ใหเ้ ดก็ แตล่ ะคนมที กั ษะ ความสนใจ ความสามารถทแี่ ตกตา่ งกนั ถอื เปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ดงั นน้ั การ จดั ประสบการณก์ ารเรยี นรตู้ อ้ งคำ� นงึ ถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลของเดก็ รวมทง้ั ตอ้ งใชก้ ลยทุ ธก์ ารสอน มสธ มสธและทรพั ยากรตา่ งๆ ทตี่ อบสนองตอ่ ความตอ้ งการของเดก็ เปน็ รายบคุ คลและนำ� พาเดก็ ทกุ คนไปสเู่ ปา้ หมาย ทตี่ ้ังไว้ได้ 4. พฒั นาการและการเรยี นรเู้ ปน็ ผลทเี่ กดิ จากปฏสิ มั พนั ธข์ องวฒุ ภิ าวะทางชวี วทิ ยาและสง่ิ แวดลอ้ ม พฒั นาการเปน็ ผลของปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั เดก็ ทเ่ี ตบิ โตและเปน็ ไปตามพฒั นาการกบั ประสบการณต์ า่ งๆ ทเี่ ดก็ ไดร้ บั อกี นยั หนงึ่ คอื พฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลทงั้ จากปจั จยั ดา้ นพนั ธกุ รรมและ ปัจจัยด้านสภาวะแวดล้อม เช่น เด็กท่ีมีพันธุกรรมด้านสุขภาพท่ีดี แต่หากช่วงแรกเริ่มของชีวิตไม่ได้รับ มสธสารอาหารทมี่ ปี ระโยชน์ เดก็ กไ็ มส่ ามารถพฒั นาไดเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ หรอื พน้ื อารมณข์ องเดก็ สง่ ผลตอ่ การ มปี ฏิสัมพันธ์ของเด็กและผู้อ่ืน และในทางกลับกัน การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืนส่งผลกระทบต่อพื้นอารมณ์ ของเดก็ เช่นกัน 5. ประสบการณ์แรกเริ่มของชีวิตมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ประสบการณต์ า่ งๆ ทเ่ี ดก็ สงั่ สมในอดตี สง่ ผลตอ่ ประสบการณก์ ารเรยี นรใู้ นอนาคต ไมว่ า่ จะเปน็ ประสบการณ์ มสธ มสธทางบวกหรอื ทางลบ เชน่ เดก็ ทไี่ ดร้ บั ประสบการณด์ า้ นสงั คมทเี่ หมาะสมในวยั อนบุ าล สง่ ผลใหเ้ ดก็ มที กั ษะ ทางสังคมท่ีดีและมคี วามมัน่ ใจในการสรา้ งสัมพนั ธภาพกับผู้อน่ื เมอ่ื อยใู่ นระดับชน้ั ท่สี งู ขน้ึ ประสบการณ์ที่ เกิดขึ้นนี้ช่วยต่อยอดให้เด็กมีทักษะทางสังคมท่ีดี ส่งผลต่อความส�ำเร็จทางการเรียนในภายภาคหน้า ใน ทางกลบั กนั เดก็ ทขี่ าดการพฒั นาทกั ษะทางสงั คมในวยั อนบุ าล เมอ่ื โตขนึ้ เดก็ อาจมปี ญั หาในการเขา้ สงั คม กบั ผอู้ นื่ เขา้ กบั เพอื่ นไมไ่ ด้ ไมไ่ ดร้ บั การยอมรบั จากเพอื่ น สง่ ผลตอ่ ความเสยี่ งในเรอื่ งสขุ ภาพจติ การเรยี น มสธและการทำ� ผิดกฎหมาย สรุปได้วา่ ประสบการณท์ ไี่ ดร้ บั น้นั ส่งั สมและส่งผลกระทบอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
5-18 การจดั การศึกษาและหลักสูตรสำ�หรบั เดก็ ปฐมวยั นอกจากน้ี ประสบการณใ์ นชว่ งแรกเรมิ่ ของชวี ติ ยงั สง่ ผลตอ่ การพฒั นาของสมองและการเชอื่ มโยง มสธของเซลลส์ มอง หากสมองไดร้ บั การดแู ลและพฒั นาอยา่ งเหมาะสม จะทำ� ใหเ้ ดก็ มพี ฒั นาการและการเรยี นรู้ ทดี่ ี แต่ถ้าสมองเด็กไมไ่ ด้รับการกระตนุ้ ทเ่ี หมาะสม จะสง่ ผลกระทบต่อการเรยี นรูใ้ นภายหลงั เชน่ ในช่วง สามปแี รกของชวี ติ เปน็ ชว่ งเวลาสำ� คญั ของการพฒั นาทางดา้ นภาษา หากเดก็ ไมไ่ ดร้ บั การพฒั นาในเรอื่ งนี้ จะสง่ ผลกระทบในระยะยาว ดังนัน้ การจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ จงึ ตอ้ งคำ� นึงถงึ การจดั สภาพแวดล้อม มสธ มสธทเ่ี ออ้ื ตอ่ การทำ� งานของสมองและการสง่ เสรมิ พฒั นาการทง้ั สดี่ า้ น และทกั ษะการเรยี นรทู้ ส่ี ำ� คญั ในชว่ งเวลา ที่เหมาะสมดว้ ย 6. พัฒนาการน�ำไปสู่การเปล่ียนแปลงที่สลับซับซ้อนข้ึน รวมทงั้ นำ� ไปสคู่ วามสามารถในการจดั ระเบยี บตนเอง (self-regulation) และการคดิ เชงิ สญั ลกั ษณ์ แบบแผนพฒั นาการนำ� ไปสกู่ ารเปลยี่ นแปลง ท่ีซับซ้อนขึ้นทั้งในด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา ขณะเดียวกัน สมอง ของเดก็ มกี ารพฒั นาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เพม่ิ พนู ประสทิ ธภิ าพในการจดั การขอ้ มลู และความจำ� ทงั้ สองสง่ิ นสี้ ง่ ผล มสธใหเ้ ดก็ สามารถทำ� ในสง่ิ ทยี่ ากและซบั ซอ้ นมากกวา่ เดมิ ได้ ในทนี่ จ้ี ะขอยกตวั อยา่ งความสามารถ 2 เรอื่ ง คอื ความสามารถในการจัดระเบียบตนเอง (self-regulation) และความสามารถทางการคดิ ความสามารถในการจดั ระเบยี บตนเอง เปน็ ความสามารถในการควบคมุ บงั คบั พฤตกิ รรม อารมณ์ และกระบวนการคิดให้จัดการและตอบสนองต่อสถานการณ์ท่ีเกิดขึ้นอย่างเหมาะสม (Cook & Cook, 2010; Gillespie & Seibel, 2006) เดก็ ไมไ่ ดเ้ กดิ มาพรอ้ มกบั ความสามารถทจี่ ะจดั ระเบยี บตนเองไดท้ นั ที มสธ มสธแต่เด็กมีศักยภาพท่ีจะพัฒนาและเพ่ิมพูนความสามารถในการจัดระเบียบตนเองผ่านการส่งเสริมและ สนับสนุนจากผใู้ หญร่ อบตัว (Center on the Developing Child Harvard University, 2017) ซงึ่ หาก เดก็ ได้รบั การสง่ เสรมิ ทเี่ หมาะสม จะท�ำให้การจัดระเบียบตนเองของเดก็ พฒั นาขึ้น ความสามารถอกี ดา้ นหนงึ่ ทมี่ กี ารเปลย่ี นแปลงในลกั ษณะทซี่ บั ซอ้ นขน้ึ คอื ความสามารถทางดา้ น การคดิ ลกั ษณะทางการคดิ ของเดก็ ปฐมวยั จะคอ่ ยๆ เปลยี่ นผา่ นจากการตอบสนองทใี่ ชป้ ระสาทสมั ผสั และ การเคลอื่ นไหวเปน็ การใชค้ วามคดิ เชงิ สญั ลกั ษณ์ โดยเดก็ จะสามารถใชว้ ตั ถสุ งิ่ หนงึ่ แทนวตั ถอุ กี ชน้ิ ได้ เชน่ มสธใช้บล็อกไม้มาเล่นเป็นโทรศัพท์แทน ลักษณะการคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการรับรู้ของเด็ก ซ่ึงความสามารถนี้จะพัฒนาและซับซ้อนมากยิ่งข้ึนเมื่อเด็กมีอายุมากขึ้น เห็นได้จากการที่เด็กใช้สื่อหรือ วิธีการต่างๆ สะท้อนความรู้และประสบการณ์ของตนเองได้หลากหลายขึ้น เช่น ภาษาพูด ท่าทาง การเคลอื่ นไหว การทำ� งานศิลปะ การสร้าง การเล่นบทบาทสมมติ การเขียน ฯลฯ 7. ความสัมพันธ์ที่อบอุ่นมั่นคงกับผู้ใหญ่รอบข้าง และการมีสัมพันธภาพท่ีดีกับเพื่อนช่วย มสธ มสธส่งเสรมิ พัฒนาการ ความสมั พนั ธท์ ด่ี ี อบอนุ่ ใกลช้ ดิ เปน็ กญุ แจสำ� คญั ในการพฒั นาทกั ษะและความสามารถ ของเดก็ ไมว่ า่ จะเปน็ ในเรอื่ งความเหน็ อกเหน็ ใจผอู้ นื่ ความรว่ มมอื การจดั ระเบยี บตนเอง ภาษาและการสอ่ื สาร การสร้างความสัมพันธ์กับเพ่ือน การพัฒนาตัวตน (identity formation) และการเรียนรู้ทางสังคมด้าน วัฒนธรรม (cultural socialization) ความสัมพนั ธเ์ ริ่มแรกและส�ำคัญที่สุด คือ ความสมั พันธ์ระหวา่ งเด็ก กับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ซ่ึงความสัมพันธ์นี้ก่อให้เกิดความผูกพันท่ีจะน�ำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อ่ืน ในเวลาต่อมา การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ส�ำหรับเด็กปฐมวัย จึงควรเปิดโอกาสและช่วยให้เด็กสร้าง มสธความสัมพันธ์ทอี่ บอุ่นกบั เพ่ือน และผู้ใหญค่ นอนื่ ๆ นอกเหนอื จากคนในครอบครวั ด้วย
แนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกับพฒั นาการในการจัดการศกึ ษาปฐมวัย 5-19 8. พฒั นาการและการเรยี นรเู้ กดิ ขนึ้ ในบรบิ ทสงั คมและวฒั นธรรมทหี่ ลากหลาย ในขณะเดยี วกนั มสธบริบทสังคมและวัฒนธรรมส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ บริบทสังคมและวัฒนธรรมท่ีอยู่ แวดล้อมตวั เดก็ ไม่วา่ จะเปน็ ในครอบครัว ในสถานศึกษา ในชุมชน หรอื ในสงั คมมีความเช่อื มโยงสัมพันธ์ และมีอิทธิพลอย่างย่ิงต่อเด็ก เช่น เด็กท่ีเติบโตในครอบครัวท่ีอบอุ่น เปี่ยมด้วยความรัก และอาศัยอยู่ใน ชมุ ชนทดี่ ี แตอ่ าจไดร้ บั อทิ ธพิ ลทางลบจากสงั คมในเรอ่ื งตา่ งๆ เชน่ การไมใ่ หเ้ กยี รตคิ นทม่ี เี ชอื้ ชาตติ า่ งจาก มสธ มสธตนเอง การเหยียดเพศ เปน็ ต้น ทำ� ใหเ้ ดก็ มภี าพพจนต์ ิดลบเกี่ยวกบั กล่มุ คนนั้นๆ และเลือกปฏิบัติตอ่ คน ไม่เท่าเทียมกัน ดังน้ัน การท�ำความเข้าใจกับพัฒนาการของเด็กจ�ำเป็นต้องค�ำนึงถึงบริบทสังคมและ วฒั นธรรมทีเ่ ดก็ อาศัยอยดู่ ว้ ย นอกจากนี้ ครตู อ้ งตระหนกั วา่ ทกุ วฒั นธรรมแปลความหมายของพฤตกิ รรมและพฒั นาการของเดก็ แตกตา่ งกนั ดงั นน้ั ในการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรแู้ ละการทำ� งานกบั เดก็ ครตู อ้ งทำ� ความเขา้ ใจกบั อทิ ธพิ ล ของบรบิ ทสงั คมวฒั นธรรม และสถานการณใ์ นครอบครวั ของเดก็ ทสี่ มั พนั ธแ์ ละเกย่ี วขอ้ งกบั การเรยี นรขู้ องเดก็ มสธอกี ประการหนง่ึ ครคู วรตระหนกั ดว้ ยวา่ มมุ มอง ความคดิ และความเชอ่ื ของตนนนั้ กเ็ กดิ จากบรบิ ทวฒั นธรรม เชน่ กัน ดงั น้นั ในการเลอื กตัดสนิ ใจเร่อื งตา่ งๆ ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั พัฒนาการและการเรยี นร้ขู องเดก็ จึงไมค่ วร ยดึ ความคิดของตนเพยี งฝา่ ยเดียว แตต่ อ้ งคำ� นงึ ถึงมมุ มองอื่นๆ ด้วย 9. เดก็ มคี วามสนใจและตอ้ งการทจ่ี ะเรยี นรแู้ ละทำ� ความเขา้ ใจกบั โลกรอบตวั เดก็ ปฐมวยั เรยี นรู้ โดยสรา้ งองคค์ วามรแู้ ละความเขา้ ใจเกยี่ วกบั โลกรอบตวั ผา่ นประสบการณต์ รงและประสบการณท์ ไี่ ดร้ บั จาก มสธ มสธบุคคลต่างๆ รอบข้าง เด็กรับรู้ส่ิงต่างๆ ที่เกิดข้ึนและทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับส่ิงเหล่าน้ีผ่านการ ปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่และเด็กอื่นๆ การเล่น การสัมผัสจับต้องสื่อ รวมท้ังการเรียนรู้ผ่านกระบวนการคิด เชน่ การสงั เกตสิ่งทเี่ กดิ ขนึ้ การสะท้อนส่ิงท่ีคน้ พบ การจนิ ตนาการความเปน็ ไปได้ การตงั้ คำ� ถาม การคดิ หาคำ� ตอบ ฯลฯ การเรยี นรขู้ องเดก็ ในลกั ษณะดงั กลา่ ว ทำ� ใหเ้ กดิ ความรู้ ความเขา้ ใจ และสามารถประยกุ ต์ ใช้ความรู้ในสถานการณ์ใหม่ๆ ได้ ดังนั้นครูจึงควรใช้กลยุทธ์การสอนท่ีหลากหลาย เพ่ือตอบสนองต่อ ลักษณะการเรียนรู้ของเด็ก และรู้จักเลือกใช้กลยุทธ์ท่ีเหมาะที่สุดในแต่ละสถานการณ์ โดยค�ำนึงถึง มสธเปา้ หมายการเรยี นรู้ บรบิ ท ความตอ้ งการของเดก็ เปน็ รายบคุ คล รวมทง้ั กระตนุ้ และชกั ชวนใหเ้ ดก็ ทต่ี อ้ งการ ความช่วยเหลอื เปน็ พเิ ศษเข้ามามีส่วนรว่ มในการเลน่ และการท�ำกิจกรรม 10. การเล่นเป็นเคร่ืองมือส�ำคัญในการพัฒนาการจัดระเบียบตนเอง ภาษา สติปัญญา รวมทั้ง ทักษะทางสังคม การเลน่ กบั เดก็ เปน็ สงิ่ ทอี่ ยคู่ กู่ นั เดก็ ทกุ คนรกั การเลน่ การเลน่ เปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ ไดพ้ ฒั นา ความสามารถทางด้านรา่ งกาย เข้าใจเกย่ี วกบั โลกรอบตัว มปี ฏิสัมพันธก์ ับผู้อื่น เรยี นร้ทู ี่จะแสดงออกและ มสธ มสธควบคมุ อารมณ์ พฒั นาความคดิ เชงิ สญั ลกั ษณ์ แกป้ ญั หา และฝกึ ฝนทกั ษะตา่ งๆ มผี ลงานวจิ ยั จำ� นวนมากทชี่ วี้ า่ การเลน่ ชว่ ยพฒั นาความสามารถพน้ื ฐานทสี่ ำ� คญั เชน่ ความจำ� การจดั ระเบยี บตนเอง การใชภ้ าษาพดู ทักษะ ทางสงั คม ฯลฯ ดังน้ัน การจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ของเด็กปฐมวยั ควรอยูบ่ นพื้นฐานของการเล่น การ จดั สภาพแวดลอ้ มในหอ้ งเรยี นตอ้ งมสี อ่ื วสั ดุ อปุ กรณท์ หี่ ลากหลายทสี่ ง่ เสรมิ การเลน่ ของเดก็ รวมทง้ั ครใู ช้ มสธวิธีการที่หลากหลายในการส่งเสรมิ การเลน่ ของเด็ก เพ่ือใหเ้ ด็กมีพฒั นาการและการเรยี นรทู้ ดี่ ี
5-20 การจัดการศกึ ษาและหลกั สตู รสำ�หรับเด็กปฐมวัย 11. พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กจะพัฒนาขึ้นเม่ือเด็กได้เผชิญกับความท้าทายที่เหมาะสม มสธกับวัย มนษุ ยท์ กุ คนมแี รงจงู ใจภายในทจ่ี ะพฒั นาและเพมิ่ พนู ความสามารถและความเขา้ ใจของตนเอง เมอื่ เด็กได้รับความท้าทายท่ีเหมาะสมกับวัย และเป็นส่ิงท่ีสามารถท�ำได้ เด็กจะพัฒนาในระดับท่ีสูงข้ึน ครู สามารถสร้างแรงจงู ใจและส่งเสริมให้เด็กพัฒนาทักษะและความสามารถใหมๆ่ โดยจัดสภาพแวดล้อมการ เรยี นรู้ที่พร่ังพร้อม และใชก้ ลยุทธต์ า่ งๆ มาสนบั สนุนการเรยี นรู้ มสธ มสธวิธีการหนง่ึ ทสี่ ามารถใช้เพอื่ สง่ เสรมิ การเรยี นรู้ของเด็กได้ คอื การใชก้ ารเสริมต่อการเรยี นรู้ หรอื ทเี่ รียกวา่ scaffolding เปน็ การท่คี รหู รอื เพอื่ นให้การช้แี นะหรือช่วยเหลือในสิ่งท่ีเด็กไม่สามารถท�ำได้ด้วย ตนเอง จนสามารถทำ� ได้ด้วยตนเอง การชว่ ยเหลือในลักษณะน้ที �ำให้เดก็ ได้เรียนรู้ และมคี วามสามารถใน การทำ� สง่ิ นน้ั ๆ ไดด้ ว้ ยตนเอง การเสรมิ ตอ่ การเรยี นรทู้ เี่ หมาะสม ตอ้ งอาศยั องคค์ วามรเู้ กยี่ วกบั พฒั นาการ และการเรยี นรขู้ องเดก็ รวมทงั้ ตอ้ งรแู้ ละคนุ้ เคยกบั แบบการเรยี นรู้ ทกั ษะ และความสามารถของเดก็ ดว้ ย สง่ิ สำ� คญั อกี ประการหนง่ึ ในการใหเ้ ดก็ เผชญิ กบั ความทา้ ทาย คอื ครตู อ้ งตระหนกั วา่ แรงจูงใจและ มสธการเพยี รพยายามในการเรยี นรสู้ งิ่ ใหมม่ ขี อ้ จำ� กดั ในเรอื่ งระยะเวลาดว้ ย หากเดก็ ตอ้ งเผชญิ กบั ความผดิ หวงั ซำ้� แลว้ ซำ้� อกี ตดิ ตอ่ กนั หรอื ทำ� แลว้ ทำ� อกี แตก่ ไ็ มป่ ระสบความสำ� เรจ็ เดก็ จะหยดุ ความพยายาม ดงั นน้ั เปา้ หมาย ท่ตี ้งั ขึน้ นนั้ ตอ้ งไม่ยากหรอื ไม่งา่ ยจนเกินไป และต้องเป็นส่ิงทีเ่ ด็กมศี ักยภาพทจี่ ะท�ำได้ ครทู เี่ ปดิ โอกาสให้ เดก็ ไดฝ้ กึ ฝนทกั ษะใหมๆ่ โดยใชก้ ลยทุ ธแ์ ละการเสรมิ ตอ่ การเรยี นรทู้ เ่ี หมาะสม จะสง่ ผลใหเ้ ดก็ ไดพ้ ฒั นาและ เรียนร้ทู ักษะใหม่ๆ มสธ มสธ12. ประสบการณ์ของเด็กมีอิทธิพลต่อแนวทางที่ใช้ในการเรียนรู้และแรงจูงใจในการเรียนรู้ ปจั จยั ภายในตวั เดก็ (เชน่ พนื้ อารมณ)์ และปจั จยั ภายนอกตวั เดก็ (เชน่ ประสบการณท์ ไ่ี ดร้ บั จากครอบครวั โปรแกรมการศกึ ษา) มอี ทิ ธพิ ลตอ่ แนวทางทใี่ ชใ้ นการเรยี นรขู้ องเดก็ คำ� วา่ “แนวทางทใ่ี ชใ้ นการเรยี นรขู้ อง เด็ก” เกี่ยวขอ้ งกบั ความร้สู ึกทเี่ ด็กมีต่อการเรยี นรู้ และพฤติกรรมทใี่ ช้ในการเรียนรู้ ความรูส้ ึกของเดก็ ทมี่ ี ต่อการเรียนรู้ ครอบคลุมเรื่องความสนใจ ความสนุกสนาน แรงจูงใจในการเรียนรู้ ส่วนพฤติกรรมที่ใช้ใน การเรยี นรเู้ กย่ี วขอ้ งกบั เรอ่ื งความจดจอ่ ความพยายาม ความยดื หยนุ่ และการจดั ระเบยี บตนเอง เดก็ แตล่ ะคน มสธมแี นวทางทใี่ ชใ้ นการเรยี นรแู้ ตกตา่ งกนั ซงึ่ ความแตกตา่ งนมี้ อี ทิ ธพิ ลตอ่ ความพรอ้ มและความสำ� เรจ็ ในการ เรียนรู้ของเด็ก ดังผลการศึกษาและวิจัยที่ช้ีว่า เด็กท่ีมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ มีผลการเรียนทาง ด้านคณิตศาสตร์และการอ่านท่ีดีกว่าเด็กที่ไม่มีแรงจูงใจ หรือเด็กท่ีมีพฤติกรรมการเรียนรู้ท่ีดี เช่น ชอบ รเิ ร่ิมสร้างสรรค์ มีความจดจอ่ มีความเพยี ร จะมีทกั ษะทางภาษาที่ดี ดังนั้นในการจดั การศกึ ษาทดี่ คี วรใช้ กลยทุ ธต์ า่ งๆ เพอ่ื ชว่ ยสง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ มแี นวทางทใ่ี ชใ้ นการเรยี นรทู้ ด่ี ี และมแี รงจงู ใจในการเรยี น เชน่ สรา้ ง มสธ มสธความสมั พนั ธท์ ด่ี รี ะหวา่ งเดก็ และครู ทำ� งานรว่ มมอื กบั ทางครอบครวั รวมทง้ั คดั เลอื กหลกั สตู ร วธิ กี ารสอน และการประเมินท่ีมีคณุ ภาพ สรปุ ไดว้ า่ ในการจดั การศกึ ษาใหส้ อดคลอ้ งกบั แนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการ ควรยดึ หลกั การ สำ� คญั เชน่ พฒั นาการทงั้ สดี่ า้ นมคี วามสำ� คญั เทา่ เทยี มกนั และมคี วามสมั พนั ธเ์ ชอื่ มโยงกนั พฒั นาการและ การเรียนรู้เป็นผลที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ของวุฒิภาวะทางชีววิทยาและสิ่งแวดล้อม ประสบการณ์แรกเร่ิม มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กจะพัฒนาข้ึนเม่ือ มสธเดก็ ได้เผชญิ กับความท้าทายที่เหมาะสมกบั วยั เปน็ ต้น
แนวปฏบิ ตั ทิ ีเ่ หมาะสมกบั พฒั นาการในการจดั การศึกษาปฐมวยั 5-21 มสธกิจกรรม 5.2.1 จงยกตัวอย่างและอธิบายหลักการที่เก่ียวข้องกับพัฒนาการและการเรียนรู้ที่น�ำไปสู่แนวปฏิบัติที่ เหมาะสมกบั พัฒนาการในการจัดการศกึ ษา 3 หลักการ แนวตอบกิจกรรม 5.2.1 มสธ มสธหลกั การทเี่ กยี่ วขอ้ งพฒั นาการและการเรยี นรทู้ นี่ ำ� ไปสแู่ นวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการในการ จัดการศึกษามหี ลายหลกั การ ตวั อยา่ งเช่น 1. พฒั นาการทงั้ สด่ี า้ นมคี วามสำ� คญั เทา่ เทยี มกนั และมคี วามสมั พนั ธเ์ ชอ่ื มโยงกนั พฒั นาการแตล่ ะดา้ น มีความสัมพันธเ์ ชอ่ื มโยงกันและมีอิทธพิ ลต่อกนั และกนั ซ่ึงแสดงว่า หากพฒั นาการดา้ นใดด้านหนึ่งมีการ เปลีย่ นแปลง การเปลีย่ นแปลงนกี้ อ็ าจไปกระตุ้นหรือจ�ำกดั พฒั นาการในด้านอื่นๆ ดว้ ย 2. เดก็ มคี วามสนใจและตอ้ งการทจี่ ะเรยี นรแู้ ละทำ� ความเขา้ ใจกบั โลกรอบตวั ดว้ ยเดก็ ปฐมวยั เรยี นรู้ มสธผา่ นประสบการณ์ตรงและประสบการณ์ที่ได้รบั จากบุคคลต่างๆ รอบข้าง ประสบการณ์เหล่านชี้ ่วยให้เด็ก เขา้ ใจสง่ิ ตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ รอบตวั นอกจากน้ี เดก็ ยงั เรยี นรผู้ า่ นการเลน่ การสมั ผสั จบั ตอ้ งสอ่ื การจนิ ตนาการ ความเปน็ ไปได้ การต้ังค�ำถาม การคดิ หาคำ� ตอบ การเรยี นรู้ของเดก็ นำ� ไปสูก่ ารสร้างองคค์ วามรู้ และช่วย ใหเ้ ด็กสามารถน�ำความรูค้ วามเขา้ ใจไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหมๆ่ ได้ มสธ มสธ3. ความสมั พนั ธท์ อ่ี บอนุ่ มน่ั คงกบั ผใู้ หญร่ อบขา้ งและการมสี มั พนั ธภาพทด่ี กี บั เพอื่ น ชว่ ยสง่ เสรมิ พฒั นาการ ความสมั พนั ธท์ ดี่ ี อบอนุ่ ใกลช้ ดิ เปน็ กญุ แจสำ� คญั ในการพฒั นาทกั ษะและความสามารถของเดก็ ในด้านต่างๆ เช่น ความเห็นอกเห็นใจผู้อ่ืน ความร่วมมือ การจัดระเบียบตนเอง ภาษาและการส่ือสาร การเรยี นรทู้ างสงั คมดา้ นวฒั นธรรม เปน็ ตน้ โดยความสมั พนั ธท์ ส่ี ำ� คญั ทสี่ ดุ คอื ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเดก็ กับพอ่ แม่ ผูป้ กครอง มสธเรื่องที่ 5.2.2 ข้อพิจารณาในการใช้แนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ มสธ มสธแนวปฏิบัตทิ ่เี หมาะสมกับพัฒนาการ เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาปฐมวัยท่ีไดร้ บั การยอมรับ ในแวดวงการศกึ ษา วา่ เปน็ มาตรฐานในการจดั การเรยี นการสอนสำ� หรบั เดก็ แรกเกดิ จนถงึ 8 ปี โดยแนวทางน้ี มรี ากฐานมาจากการเรยี นรู้ท่ยี ึดผู้เรยี นเปน็ ศูนย์กลาง ตามแนวคดิ ของ John Dewey นกั การศกึ ษาชาว อเมรกิ นั และสอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของนกั ทฤษฎกี ลมุ่ Constructivism รวมถงึ ไดร้ บั การพฒั นาโดยอา้ งองิ มสธจากผลการวจิ ยั และผลการศกึ ษาจำ� นวนมาก เพอ่ื พฒั นาใหแ้ นวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการสอดคลอ้ ง กบั ทิศทางการเปลี่ยนแปลงทางการศกึ ษา (ยศวีร์ สายฟ้า, 2555, น. 123)
5-22 การจดั การศึกษาและหลักสูตรสำ�หรบั เด็กปฐมวยั Copple & Bredekamp (2009, pp. 9-10) กล่าวว่า แนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ มสธใหค้ วามสำ� คญั กบั ครใู นฐานะของผทู้ มี่ บี ทบาทสำ� คญั ในการตดั สนิ ใจเกย่ี วกบั การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ สำ� หรบั เดก็ โดยการตดั สนิ ใจนนั้ ตอ้ งนำ� ไปสกู่ ารเรยี นรทู้ ด่ี ที สี่ ดุ การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรตู้ ามแนวปฏบิ ตั ิ ท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ ครูจ�ำเป็นต้องเข้าใจและรู้จักเด็กในห้องเรียนเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม รู้ถึง ลกั ษณะเดน่ ความถนดั และความสนใจ รวมทงั้ มอี งคค์ วามรทู้ จ่ี ำ� เปน็ และมจี ดุ มงุ่ หมายและเจตนาทช่ี ดั เจน มสธ มสธ(intentionality) เพ่ือใช้เป็นข้อมูลประกอบการออกแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ นอกจากนี้ต้อง ค�ำนึงถึงข้อพิจารณา (core consideration) ในการใช้แนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ ซ่ึงประกอบ ด้วย 1) พ้ืนฐานความรู้ท่ีต้องใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจ และ 2) การตั้งเปา้ หมายการเรยี นรู้ ซง่ึ มี รายละเอยี ด (อรณุ ี หรดาล, 2553; Copple & Bredekamp, 2009, pp 9-10) ดงั น้ี 1. พ้ืนฐานความรู้ท่ีต้องใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจ ประกอบดว้ ยความรู้ 3 ด้าน คอื 1.1 ความรู้เก่ียวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก เปน็ ความรเู้ กย่ี วกบั คณุ ลกั ษณะของ มสธมนษุ ยท์ ม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั อายุ อายขุ องเดก็ เปน็ ตวั บง่ ชห้ี นงึ่ ทแี่ สดงถงึ ลกั ษณะบคุ ลกิ ภาพ พฤตกิ รรม ความ สามารถ และความรคู้ วามเขา้ ใจตอ่ สง่ิ ตา่ งๆ ของเดก็ ทำ� ใหส้ ามารถคาดการณไ์ ดว้ า่ ประสบการณส์ ำ� คญั ใด ที่เด็กควรได้รับในช่วงวัยน้ันๆ การรู้ลักษณะของเด็กและความสามารถของเด็กในแต่ละช่วงวัย ท�ำให้ครู ร้วู า่ กิจกรรม สือ่ อุปกรณ์ ปฏิสมั พนั ธ์ หรือประสบการณ์ใดท่ีปลอดภัย นา่ สนใจ มีความทา้ ทายสำ� หรับเดก็ สามารถใชก้ ลยุทธ์การสอนทเ่ี หมาะสมกับเดก็ ปฐมวยั และวางแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรูท้ ีช่ ว่ ยใหเ้ ดก็ มสธ มสธประสบความสำ� เรจ็ ในการเรียนรไู้ ด้ 1.2 ความรู้เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อน�ำมาประยุกต์ใช้และตอบสนองต่อ ความแตกต่างระหว่างบุคคล ครูต้องศึกษาและท�ำความเข้าใจเด็กเป็นรายบุคคล ผ่านวิธีการต่างๆ เช่น การสังเกตเดก็ อย่างใกลช้ ิด การศึกษาผลงานเดก็ การประเมนิ เดก็ เป็นรายบุคคล การพูดคยุ กบั ครอบครัว ฯลฯ วิธีการเหล่าน้ีช่วยให้ครูเข้าใจความแตกต่างทางพัฒนาการของเด็กแต่ละคน รู้รายละเอียดเก่ียวกับ เดก็ เป็นรายบุคคล รู้ว่าเดก็ ชอบอะไร ไมช่ อบอะไร มีลักษณะพิเศษทีแ่ ตกต่างจากคนอ่ืนอยา่ งไร มีรูปแบบ มสธการเรยี นรเู้ ปน็ อยา่ งไร รวมถงึ มคี วามรแู้ ละประสบการณเ์ ดมิ อะไร ซง่ึ สง่ิ เหลา่ นเี้ ปน็ ปจั จยั สำ� คญั ทที่ ำ� ใหเ้ ดก็ แต่ละคนมีความสนใจ ความต้องการ ความถนัด และความสามารถท่ีแตกต่างกัน นอกจากนี้ ครูควร ตระหนักถงึ ขอ้ มูลอ่ืนๆ ท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั ตัวเด็กทีม่ อี ิทธพิ ลต่อการเรียนรู้ เชน่ สภาพครอบครวั ชมุ ชนท่เี ด็ก อาศยั อยู่ ฯลฯ ขอ้ มลู เหลา่ นจ้ี ะชว่ ยใหค้ รสู ามารถกำ� หนดเปา้ หมายการเรยี นรใู้ หเ้ ดก็ แตล่ ะคนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม รวมทั้งสามารถส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อเด็กเป็นรายบุคคลได้เป็นอย่างดี การจัด มสธ มสธประสบการณท์ เี่ ออ้ื และตอบสนองตอ่ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลน้ี ถอื เปน็ พน้ื ฐานสำ� คญั ของแนวการปฏบิ ตั ิ ท่เี หมาะสมกบั พฒั นาการ 1.3 ความรู้เก่ียวกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ เพื่อท�ำให้ม่ันใจได้ว่า ประสบการณ์การเรียนรูม้ ีความหมายและเก่ยี วขอ้ งสัมพนั ธ์กบั เดก็ และครอบครัวของเดก็ ขณะท่ีเดก็ เจรญิ เตบิ โต เดก็ เรยี นรถู้ งึ บทบาทหนา้ ทแี่ ละการปฏบิ ตั ติ นในฐานะทเ่ี ปน็ สมาชกิ คนหนงึ่ ของครอบครวั และชมุ ชน ท่ีเด็กอาศัยอยู่ รวมทั้งกฎกติกา มารยาททางสังคมต่างๆ เช่น การแสดงความเคารพ การปฏิบัติตนต่อ มสธบคุ คลตา่ งๆ การแตง่ กายทถี่ กู ตอ้ งตามกาลเทศะ คา่ นยิ มของสงั คม ความเชอื่ กฎ กตกิ า ระเบยี บแบบแผน
แนวปฏบิ ตั ทิ ีเ่ หมาะสมกบั พัฒนาการในการจัดการศกึ ษาปฐมวัย 5-23 ของสังคม รวมถึงคุณธรรมจริยธรรมต่างๆ โดยการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เหล่าน้ีเกิดผ่านกระบวนการขัดเกลา มสธทางสงั คม (socialization) ทม่ี พี อ่ แม่ ญาตพิ นี่ อ้ ง เพอ่ื นบา้ น รวมถงึ คนในชมุ ชนชว่ ยกนั อบรมสงั่ สอนและ เปน็ ตวั แบบใหเ้ ดก็ สง่ิ เหลา่ นจ้ี ะคอ่ ยๆ ซบึ ซบั ลงไปในความคดิ ความรสู้ กึ ของเดก็ ทลี ะนอ้ ยๆ จนฝงั รากลกึ และสง่ ผลตอ่ ความสามารถในการเรยี นรู้ การปรบั ตวั และพฤตกิ รรมการตอบสนองตอ่ สงิ่ ตา่ งๆ ของเดก็ ใน ห้องเรียน ครูทด่ี ตี ้องนำ� บริบทต่างๆ เหลา่ น้ีมาใชใ้ นการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ และจัดสภาพแวดล้อม มสธ มสธใหเ้ หมาะสมกบั ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลของเดก็ ทจี่ ะชว่ ยใหส้ ามารถเรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ และ สามารถปรบั ตวั ในสถานการณ์ตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 2. การต้ังเป้าหมายการเรียนรู้ ครูที่จัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับ พัฒนาการต้องค�ำนึงว่า การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ควรตอบสนองต่อตัวเด็ก โดยค�ำนึงถึงตัวตนของ เด็กแต่ละคน ส่ิงท่ีเด็กท�ำได้และท�ำไม่ได้ ในขณะเดียวกันต้องส่งเสริมให้เด็กบรรลุถึงเป้าหมายการเรียนรู้ สำ� คญั ดว้ ย ครตู อ้ งวางแผนและจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรใู้ หมๆ่ ทที่ า้ ทายและนำ� ไปสคู่ วามกา้ วหนา้ ซง่ึ การจดั มสธประสบการณก์ ารเรยี นรใู้ หมค่ วรคำ� นงึ ถงึ สงิ่ ทเ่ี ดก็ รแู้ ลว้ และสง่ิ ทเี่ ดก็ ทำ� ได้ เพอื่ ใชเ้ ปน็ ฐานในการสง่ เสรมิ และ ตอ่ ยอดไปสกู่ ารพฒั นาความรู้ ทกั ษะ และความสามารถใหม่ การสอนทน่ี ำ� ไปสปู่ ระสทิ ธผิ ลกบั เดก็ ไมส่ ามารถ เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากครูท่ีสอนด้วยความมุ่งมั่น มีจุดมุ่งหมายและเจตนาท่ีชัดเจน ค�ำนึงถึงผล การกระทำ� ของตนเอง และมีความตงั้ ใจในทุกสง่ิ ทีท่ ำ� ไมว่ ่าจะเป็นการจดั ห้องเรยี น การวางแผนหลกั สตู ร การจดั การสอนที่หลากหลาย การประเมนิ ผลเด็ก การมีปฏสิ มั พนั ธก์ บั เดก็ หรอื แม้กระท่งั การทำ� งานร่วม มสธ มสธกบั ครอบครวั การสอนดว้ ยความมุง่ ม่นั จะชว่ ยให้ครนู �ำพาเด็กไปสเู่ ป้าหมายท่ตี ั้งไวไ้ ด้ สรุปได้ว่า ข้อพิจารณาในการใช้แนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ ประกอบด้วย 1) พื้นฐาน ความรู้ท่ีต้องใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจ ซึ่งประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ ของเดก็ ความรเู้ กย่ี วกบั จดุ แขง็ ความสนใจ และความตอ้ งการของเดก็ เปน็ รายบคุ คล และความรเู้ กยี่ วกบั บริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ และ 2) การต้ังเป้าหมายการเรียนรู้ โดยครูตอ้ งสอนดว้ ย ความมงุ่ มนั่ มจี ดุ มงุ่ หมายและเจตนาทช่ี ดั เจน สามารถวางแผนและจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ ี่ช่วยให้เด็ก มสธบรรลถุ งึ เป้าหมายการเรยี นรู้สำ� คัญได้ กิจกรรม 5.2.2 ให้นักศึกษาอธบิ ายขอ้ พจิ ารณาในการใชแ้ นวปฏิบัตทิ ่ีเหมาะสมกบั พฒั นาการ มสธ มสธแนวตอบกิจกรรม5.2.2 การใชแ้ นวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการ ครตู อ้ งพจิ ารณา 2 เรอื่ งสำ� คญั คอื 1) พน้ื ฐานความรู้ 3 ประการ ซ่ึงประกอบด้วย ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ความรู้เกี่ยวกับจุดแข็ง ความสนใจ และความต้องการของเด็กเป็นรายบุคคล และความรู้เก่ียวกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรม มสธท่ีเดก็ อาศยั อยู่ และ 2) การตง้ั เปา้ หมายการเรียนรู้
5-24 การจัดการศึกษาและหลกั สตู รสำ�หรับเดก็ ปฐมวยั มสธตอนท่ี 5.3 การจัดการศึกษาส�ำหรับเด็กปฐมวัยตามแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสม กับพัฒนาการ มสธ มสธโปรดอา่ นหวั เรอ่ื ง แนวคิด และวัตถปุ ระสงคข์ องตอนท่ี 5.3 แลว้ จงึ ศึกษารายละเอียดต่อไป หัวเรื่อง 5.3.1 การวางแผนหลกั สูตรเพ่ือนำ� ไปสเู่ ปา้ หมายการเรยี นรู้ท่ีคาดหวงั 5.3.2 ก ารจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ และการประเมิน พฒั นาการและการเรียนรู้ มสธ5.3.3 การสร้างชมุ ชนท่เี ออื้ ตอ่ การเรียนรู้ 5.3.4 การสร้างความสัมพันธ์ทีเ่ กื้อกลู กันกบั ครอบครวั แนวคิด มสธ มสธ1. แ นวทางในการวางแผนหลักสูตรเพ่ือน�ำไปสู่เป้าหมายการเรียนรู้ที่คาดหวังตามแนว ปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ คือ หลักสูตรควรระบุเป้าหมายการเรียนรู้ส�ำคัญที่ ต้องการให้เกิดขึ้นกับเด็ก โดยเน้นการพัฒนาเด็กให้บรรลุเป้าหมายการศึกษาส�ำคัญท่ี เป็นทักษะและคุณลักษณะส�ำคัญท่ีจะส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กในภายหลัง การ วางแผนหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพควรค�ำนึงถึงอายุของเด็ก บริบทวัฒนธรรมของเด็ก และมีการบูรณาการการเรียนรู้สาระการเรยี นรตู้ า่ งๆ เขา้ ด้วยกัน 2. แนวทางในการจัดประสบการณ์ท่ีส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ตามแนวปฏิบัติท่ี มสธเหมาะสมกับพัฒนาการ คือ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ การจัดสภาพแวดล้อม ตารางกจิ วตั รประจำ� วนั และกจิ กรรมในหอ้ งเรยี น ทสี่ ง่ เสรมิ และตอบสนองตอ่ พฒั นาการ และการเรียนรูข้ องเดก็ เปน็ รายบคุ คล โดยใชว้ ธิ กี ารที่หลากหลาย และตั้งอยบู่ นพื้นฐาน ความเข้าใจเก่ียวกับตัวเด็ก ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเรียนรู้ส�ำคัญท่ีก�ำหนดไว้ใน มสธ มสธหลกั สูตร แนวทางการประเมนิ พฒั นาการและการเรียนรตู้ ามแนวปฏิบัตทิ ่เี หมาะสมกับ พัฒนาการ คือ การประเมินเพ่ือดูความก้าวหน้าของเด็กในการพัฒนาไปสู่เป้าหมายท่ี พงึ ประสงค์ มรี ะบบดำ� เนนิ การทชี่ ดั เจน และใชว้ ธิ กี ารทเี่ หมาะสมกบั พฒั นาการของเดก็ 3. แ นวทางในการสร้างชุมชนที่เออ้ื ตอ่ การเรียนรตู้ ามแนวปฏิบตั ทิ ่ีเหมาะสมกบั พัฒนาการ คือ การจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศในห้องเรียนที่สร้างความปลอดภัยให้แก่เด็ก ทง้ั ทางกายและใจ สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ความสมั พนั ธท์ ดี่ รี ะหวา่ งกนั และกนั และชว่ ยใหส้ มาชกิ มสธในห้องเรียนยอมรับและเคารพซ่งึ กนั และกัน
แนวปฏบิ ตั ิทเ่ี หมาะสมกับพัฒนาการในการจดั การศึกษาปฐมวัย 5-25 มสธ4. แ นวทางในการสร้างความสัมพันธ์ท่ีเกื้อกูลกันกับครอบครัวตามแนวปฏิบัติที่เหมาะสม กบั พฒั นาการ คอื การสรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งครู และพอ่ แม่ ผปู้ กครอง ตอ้ งอยบู่ นฐาน ของความเคารพซงึ่ กันและกัน โดยครู และพอ่ แม่ ผปู้ กครอง เป็นหนุ้ ส่วนในการเรยี นรู้ ที่ท�ำงานร่วมกนั เพื่อพฒั นาเดก็ มสธ มสธวัตถุประสงค์ เม่อื ศึกษาตอนท่ี 5.3 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ 1. อ ธิบายแนวทางในการวางแผนหลักสูตรเพื่อน�ำไปสู่เป้าหมายการเรียนรู้ที่คาดหวังตาม แนวปฏิบตั ทิ เ่ี หมาะสมกับพฒั นาการได้ 2. อธิบายแนวทางในการจัดประสบการณ์ท่ีส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ และการ ประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรู้ตามแนวปฏิบัตทิ ่ีเหมาะสมกับพฒั นาการได้ มสธ3. อธิบายแนวทางในการสร้างชุมชนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตามแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับ พฒั นาการได้ 4. อ ธิบายแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ท่ีเก้ือกูลกันกับครอบครัวตามแนวปฏิบัติที่ มมสสธธ มมสสธธ มมสสธธเหมาะสมกบั พัฒนาการได้
5-26 การจัดการศึกษาและหลักสตู รสำ�หรบั เด็กปฐมวยั มสธความน�ำ แนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ ให้แนวทางที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจของครูในการจัด การศกึ ษา ครตู อ้ งมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั เดก็ ทอ่ี ยใู่ นความดแู ล ครอบครวั เดก็ และบรบิ ทสงั คมวฒั นธรรม มสธ มสธของเดก็ รวมทงั้ ตอ้ งอาศยั และประยกุ ตอ์ งคค์ วามรเู้ กยี่ วกบั พฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ ปฐมวยั ในการ ตัดสินใจในเร่ืองต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการจัดการศึกษาส�ำหรับเด็กปฐมวัย เช่น การวางแผนหลักสูตรให้ ตอบสนองต่อเด็กเป็นรายบุคคล การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก การประเมิน พฒั นาการเด็ก ฯลฯ การจดั การศกึ ษาใหม้ คี ณุ ภาพตามแนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการ ทจี่ ะนำ� เดก็ ไปสเู่ ปา้ หมาย การเรยี นรสู้ ำ� คญั ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ 5 เรอื่ ง คอื 1) การวางแผนหลกั สตู รเพอื่ นำ� ไปสเู่ ปา้ หมายการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั มสธ2) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ 3) การประเมินพัฒนาการและ การเรยี นรู้ 4) การสรา้ งชมุ ชนทเี่ ออื้ ตอ่ การเรยี นรู้ และ 5) การสรา้ งความสมั พนั ธท์ เี่ กอ้ื กลู กนั กบั ครอบครวั ซงึ่ หา้ เรอื่ งดงั กลา่ วมคี วามสมั พนั ธเ์ ชอื่ มโยงกนั ไมใ่ ชเ่ ปน็ การเรยี งลำ� ดบั จงึ เปรยี บเสมอื นรปู ดาวหา้ แฉก ท่ี ตอ้ งมคี รบถว้ นทกุ แฉก ไมส่ ามารถขาดแฉกใดแฉกหนงึ่ ได้ ดงั แสดงในภาพท่ี 5.2 (Copple & Bredekamp, มสธ มสธ2006,p.25) การวางแผนหลกั สูตรเพื่อนำ� ไปสู่ เปา้ หมายการเรียนรูท้ ีค่ าดหวงั การสร้างความสัมพนั ธท์ ่ี การจดั ประสบการณ์ การเรยี นรู้ท่สี ่งเสริมพัฒนาการ มสธเกื้อกลู กันกบั ครอบครัว และการเรยี นรู้ การสร้างชุมชนที่ การประเมนิ พฒั นาการ มสธ มสธเอื้อต่อการเรยี นรู้และการเรียนรู้ ภาพที่ 5.2 สิ่งท่ีควรค�ำนึงถึงในการจัดการศึกษาตามแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ ที่มา: Copple, C., & Bredekamp, S. (2006). Basics of Developmentally Appropriate Practice: An Introduction for Teachers of Children 3 to 6. The United States of America: The National Association for the Education of มสธYoung Children, p. 25.
แนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกับพัฒนาการในการจดั การศกึ ษาปฐมวัย 5-27 สิ่งท่ีควรค�ำนึงถึงทั้งห้าเร่ืองดังกล่าวจะอธิบายรายละเอียดในตอนที่ 5.3 โดยผู้เขียนจะน�ำเสนอ มสธเรอ่ื งทเ่ี ชอ่ื มโยงสัมพนั ธ์ไว้ดว้ ยกนั และจดั เรียงล�ำดบั การนำ� เสนอ ดงั นี้ เรอื่ งที่ 5.3.1 การวางแผนหลกั สตู ร เพอื่ นำ� ไปสเู่ ปา้ หมายการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั เรอ่ื งที่ 5.3.2 การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ สี่ ง่ เสรมิ พฒั นาการและ การเรยี นรู้ และการประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรู้ เรอ่ื งที่ 5.3.3 การสรา้ งชมุ ชนทเี่ ออื้ ตอ่ การเรยี นรู้ และ เรื่องที่ 5.3.4 การสร้างความสัมพันธท์ ี่เก้ือกลู กันกับครอบครวั มสธ มสธเร่ืองท่ี5.3.1 การวางแผนหลักสูตรเพื่อน�ำไปสู่เป้าหมายการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง มสธการจดั การศกึ ษาส�ำหรับเดก็ ปฐมวัยมีจุดมงุ่ หมายสำ� คญั คอื เดก็ ไดร้ ับการพัฒนาและเตบิ โตเต็ม ตามศักยภาพ การน�ำพาเด็กไปสู่จุดมุ่งหมายท่ีต้ังไว้นั้น สถานศึกษาจ�ำเป็นต้องมีหลักสูตรซ่ึงเป็นกรอบ โครงสร้างในการก�ำหนดสาระการเรียนรู้หรือเนื้อหาที่เด็กควรเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ แผนการจัด มสธ มสธประสบการณ์การเรียนรู้ และสิ่งต่างๆ ท่ีครูควรปฏิบัติเพ่ือช่วยให้เด็กบรรลุวัตถุประสงค์ รวมถึงแนวทาง การพฒั นาความรู้ ทกั ษะ ความสามารถ และความเขา้ ใจของเดก็ (Copple & Bredekamp, 2009) เปรยี บ ไดว้ า่ หลกั สตู รเปน็ แผนทนี่ ำ� ทางในการจดั มวลประสบการณต์ า่ งๆ ในสถานศกึ ษา เพอื่ พฒั นาใหเ้ ดก็ บรรลุ เปา้ หมายทห่ี ลักสูตรก�ำหนดไว้ การจัดการศึกษาตามแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการเชื่อว่า หลักสูตรที่เหมาะสมเป็นกรอบ สำ� คญั ในการวางแผนและจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ เี่ หมาะสมสำ� หรบั เดก็ ทส่ี ง่ ผลใหเ้ ดก็ เกดิ การเรยี นรทู้ ดี่ ี มสธดังน้ัน จึงมีการก�ำหนดแนวทางในการวางแผนหลักสูตรส�ำหรับเด็กปฐมวัย (Bredekamp & Copple, 1997; Copple & Bredekamp, 2009) ดังนี้ 1. หลักสูตรควรระบุและอธิบายเป้าหมายการเรียนรู้ส�ำคัญท่ีต้องการให้เกิดขึ้นกับเด็ก การ พฒั นาหลกั สตู รตอ้ งครอบคลมุ พฒั นาการทง้ั 4 ดา้ น ไดแ้ ก่ พฒั นาการดา้ นรา่ งกาย พฒั นาการดา้ นอารมณ-์ จิตใจ พัฒนาการด้านสังคม และพัฒนาการด้านสติปัญญา รวมท้ังสาระการเรียนรู้ทางด้านภาษา ด้าน มสธ มสธคณิตศาสตร์ ด้านสังคมศึกษา ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านศิลปศึกษา ด้านดนตรี ด้านพลศึกษา และด้าน สขุ ศกึ ษา ทงั้ นเี้ ปา้ หมายการเรยี นรทู้ กี่ ำ� หนดขน้ึ ควรมกี ารสอื่ สารใหผ้ มู้ สี ว่ นเกยี่ วขอ้ ง รวมทง้ั ครอบครวั เดก็ รบั ทราบและเข้าใจ จะเห็นได้ว่า หลักสูตรต้องครอบคลุมเป้าหมายท่ีเป็นพัฒนาการท้ัง 4 ด้าน และสาระการเรียนรู้ แต่ทั้งนี้ในการน�ำหลักสูตรลงสู่การจัดประสบการณ์การเรียนรู้จะไม่สอนแยกเป็นรายวิชา แต่ใช้การจัด มสธกิจกรรมทบี่ รู ณาการสาระการเรยี นรตู้ ่างๆ ไว้ดว้ ยกนั และตอ้ งครอบคลุมพฒั นาการทั้ง 4 ด้าน
5-28 การจัดการศึกษาและหลักสตู รส�ำ หรบั เด็กปฐมวัย 2. จดุ มงุ่ หมายของหลกั สตู รควรพฒั นาเดก็ ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายการศกึ ษาทเี่ ปน็ ทกั ษะและคณุ ลกั ษณะ มสธส�ำคัญที่จะส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กในอนาคต ดังนั้นครูทุกคนในสถานศึกษาต้องรู้และเข้าใจเก่ียวกับ หลักสตู ร ไมว่ ่าจะมสี ว่ นเก่ยี วข้องในการวางแผนและพฒั นาหลกั สตู รหรอื ไมก่ ็ตาม 3. การวางแผนหลักสูตรท่ีมีประสิทธิภาพควรบูรณาการสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน รวมทงั้ มกี ารบรู ณาการพฒั นาการแตล่ ะในดา้ นและบรู ณาการขา้ มพฒั นาการ นอกจากนกี้ ารจดั ประสบการณ์ มสธ มสธการเรยี นรคู้ วรตงั้ อยบู่ นพนื้ ฐานของสงิ่ ทเ่ี ดก็ รแู้ ลว้ สอดคลอ้ งกบั ความสนใจของเดก็ ประสบการณต์ า่ งๆ ท่ี จดั ขนึ้ ควรมคี วามเชอ่ื มโยงสมั พนั ธก์ นั เพอ่ื นำ� ไปสกู่ ารเรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามหมาย โดยไมส่ อนแยกเปน็ รายวชิ า แต่ใชก้ ารบรู ณาการ 4. การวางแผนหลักสูตรที่ดีต้องค�ำนึงถึงความสัมพันธ์และความสอดคล้องระหว่างการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้กับช่วงอายุของเด็ก โดยการสอนตอ้ งจดั ใหเ้ หมาะสมกบั วยั ของเดก็ และใหค้ วาม ส�ำคัญกับเร่ืองรอยเชื่อมต่อระหว่างช้ัน โดยมีระบบการสื่อสารข้อมูลเด็กที่ต่อเน่ืองและเชื่อมต่อกันระหว่าง มสธแตล่ ะชว่ งชัน้ 5. หลักสูตรควรส่งเสริมความเช่ือ ทัศนคติ และวัฒนธรรมทางบ้านของเด็ก รวมถงึ การกระตนุ้ ใหเ้ ดก็ ไดแ้ ลกเปล่ียนความร้แู ละความคดิ เห็นกบั เพ่อื นรว่ มช้ัน 6. จดุ มงุ่ หมายหรอื เปา้ หมายของหลกั สตู รควรสะทอ้ นความเปน็ จรงิ และสมั พนั ธก์ บั อายขุ องเดก็ การกำ� หนดจดุ มงุ่ หมายของหลกั สตู รตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ความสามารถตามอายขุ องเดก็ เปน็ สงิ่ ทเี่ ดก็ สามารถ มสธ มสธท�ำได้ตามพัฒนาการ ไม่ควรต้ังเป้าหมายทตี่ ำ�่ เกนิ ไป หรอื สงู เกนิ ความสามารถทเ่ี ดก็ จะทำ� ได้ 7. การวางแผนและจัดประสบการณ์การเรียนรู้ควรยึดหลักสูตรเป็นกรอบแนวทาง โดยค�ำนึง ถึงเป้าหมายการเรียนรู้ท่ีระบุในหลักสูตร ครูต้องมีความรู้เกี่ยวกับคุณลักษณะและทักษะส�ำคัญของ พฒั นาการทง้ั สดี่ า้ นของเดก็ ในแตล่ ะชว่ งวยั รวมทง้ั เขา้ ใจถงึ ความสมั พนั ธเ์ ชอื่ มโยงของพฒั นาการแตล่ ะดา้ น นอกจากนี้ ครูควรใช้ข้อมูลเก่ียวกับตัวเด็ก ความสนใจและความต้องการของเด็ก และความสามารถทาง ภาษามาใชป้ ระกอบในการวางแผนและจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ เพอื่ สง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ บรรลเุ ปา้ หมายทพ่ี งึ มสธประสงค์ ทงั้ น้ใี นการจัดล�ำดบั และก�ำหนดระยะเวลาในการจัดประสบการณ์การเรียนร้ตู ่างๆ ตอ้ งพิจารณา ถึงแบบแผนพฒั นาการแตล่ ะด้าน และลำ� ดบั ขัน้ ของการพฒั นาทกั ษะแตล่ ะด้านดว้ ย ดังนน้ั เพ่ือให้เห็นแนวทางในการวางแผนหลกั สูตรส�ำหรบั เด็กปฐมวัยตามแนวปฏิบัตทิ ีเ่ หมาะสม กับพัฒนาการท่ีเป็นรูปธรรมและชัดเจน ผู้เขียนขอยกตัวอย่างการปฏิบัติท่ีเหมาะสมและการปฏิบัติท่ี มสธ มสธ มสธตรงกนั ขา้ มในด้านการวางแผนหลักสูตรส�ำหรบั เดก็ ปฐมวัย ดังแสดงในตารางท่ี 5.1
แนวปฏิบัตทิ ีเ่ หมาะสมกับพฒั นาการในการจัดการศกึ ษาปฐมวยั 5-29มสธการปฏิบัติท่ีเหมาะสม ตารางที่ 5.1 ตัวอย่างการวางแผนหลักสูตรส�ำหรับเด็กปฐมวัยตามแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ • ก �ำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ในหลักสูตรให้ครอบ- คลุมพัฒนาการทงั้ 4 ด้าน ได้แก่ พัฒนาการด้าน การปฏิบัติที่ตรงกันข้าม • ก�ำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ในหลักสูตรเน้นไปที่ มสธ มสธร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านสังคม และด้าน สตปิ ัญญา และสาระการเรียนร้ตู ่างๆ ไดแ้ ก่ ภาษา พัฒนาการด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ด้านภาษา ด้าน คณติ ศาสตร์ สงั คมศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ ศลิ ปศกึ ษา คณติ ศาสตร์ หรือด้านอารมณ์-จิตใจ ดนตรี พลศกึ ษา และสขุ ศกึ ษา • จดั หลกั สตู รทสี่ ง่ เสรมิ การจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ • ต้ังเป้าหมายการเรียนรู้ในหลักสูตรท่ีไม่เหมาะสม กับวัย และตั้งความคาดหวังเกี่ยวกับการเรียนรู้ที่ ทชี่ ว่ ยใหเ้ ดก็ ไดเ้ รยี นรแู้ นวคดิ สำ� คญั รวมทงั้ พฒั นา ต่�ำกว่าหรือสูงกวา่ ส่ิงทเี่ ดก็ ในวัยนนั้ สามารถท�ำได้ มสธกระบวนการเรียนรู้ที่สัมพันธ์กับสาระการเรียนรู้ • ว างแผนการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรโู้ ดยไมค่ ำ� นงึ ถึงกรอบแนวทางของหลักสูตร และต้ังเป้าหมาย น้ันๆ เช่น ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้าน การเรยี นรู้ไมช่ ดั เจน วิทยาศาสตร์ ครูเปิดโอกาสให้เด็กได้สังเกตและ ส�ำรวจส่ิงตา่ งๆ รอบตัว • ขาดความเขา้ ใจในเรอ่ื งลำ� ดบั ขนั้ พฒั นาการและการ เรียนรู้ของเด็กในแต่ละสาระการเรียนรู้ รวมทั้งไม่ มสธ มสธ• ใช้หลักสูตรเป็นกรอบในการออกแบบการจัด สามารถประยุกต์ใช้ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก ประสบการณ์การเรยี นรูแ้ ละวางแผนกจิ กรรม เพ่ือ มาใชใ้ นการจัดประสบการณ์การเรยี นรไู้ ด้ เช่น ครู ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการสมวัยและบรรลุเป้าหมาย คาดหวงั ใหเ้ ดก็ รเู้ รอ่ื งการเพม่ิ ของจำ� นวน ในขณะที่ การเรยี นรูท้ ่ีคาดหวัง เดก็ ยงั ไมเ่ ขา้ ใจเกยี่ วกบั การนบั หนง่ึ ตอ่ หนง่ึ เปน็ ตน้ • ท �ำความเข้าใจเก่ียวกับล�ำดับขั้นพัฒนาการและ • ละเลยในเร่ืองการให้ความช่วยเหลือเด็กเช่ือมโยง การเรียนรู้ของเด็กในแต่ละสาระการเรียนรู้ ท�ำให้ ประสบการณ์เดิมและประสบการณใ์ หม่ รวมทัง้ ไม่ ใหค้ วามใสใ่ จกบั วฒั นธรรมและพนื้ ฐานการใชภ้ าษา มสธครสู ามารถออกแบบเนอ้ื หาและประสบการณส์ ำ� คญั ของเด็ก รวมท้ังส่งเสริมให้เด็กพัฒนาแนวคิดส�ำคัญและ ทกั ษะอยา่ งเปน็ ล�ำดับขั้นได้ เช่น ครรู ู้วา่ เดก็ ตอ้ งมี ความเข้าใจในเร่ืองค่าของจ�ำนวนและการนับหนึ่ง ต่อหนึ่ง ก่อนที่จะสอนเร่ืองการเพิ่มและลดของ จำ� นวน เปน็ ต้น มสธ มสธ• วางแผนหลกั สตู ร โดยครคู ำ� นงึ ถงึ ประสบการณเ์ ดมิ และความสนใจของเดก็ ความสามารถของเดก็ และ น�ำมาใช้เชื่อมโยงกับหน่วยการเรียนรู้ เพ่ือช่วย เช่ือมโยงประสบการณ์เดิมและประสบการณใ์ หม่ มสธทำ� ใหเ้ ดก็ เรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามหมาย
5-30 การจดั การศึกษาและหลกั สตู รส�ำ หรบั เด็กปฐมวัย สรปุ ไดว้ า่ แนวทางในการวางแผนหลกั สตู รสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ตามแนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการ มสธคือ หลักสูตรควรระบุและอธิบายเป้าหมายการเรียนรู้ส�ำคัญท่ีต้องการให้เกิดขึ้นกับเด็ก และสื่อสารให้ผู้มี ส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าใจ จุดมุ่งหมายของหลักสูตรควรพัฒนาเด็กให้บรรลุเป้าหมายการศึกษาสำ� คัญท่ี เปน็ ทกั ษะและคณุ ลกั ษณะสำ� คญั ทจี่ ะสง่ ผลตอ่ การเรยี นรขู้ องเดก็ ในภายหลงั การวางแผนและจดั ประสบการณ์ การเรียนรู้ควรยึดหลักสูตรเป็นกรอบแนวทาง การวางแผนหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพควรบูรณาการสาระ มสธ มสธการเรยี นรตู้ า่ งๆ รวมทงั้ มกี ารบรู ณาการพฒั นาการในแตล่ ะดา้ นและบรู ณาการขา้ มพฒั นาการ การวางแผน หลักสูตรท่ีดีต้องค�ำนึงถึงความสัมพันธ์และความสอดคล้องของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้กับช่วงอายุ ของเด็ก หลักสูตรควรส่งเสริมความเช่ือ ทัศนคติ และวัฒนธรรมทางบ้านของเด็ก และเป้าหมายของ หลกั สตู รควรสะท้อนความเป็นจริงและสัมพันธก์ บั อายุของเด็ก มสธกิจกรรม 5.3.1 ใหน้ กั ศกึ ษาอธบิ ายแนวทางในการวางแผนหลกั สตู รสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ตามแนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสม กบั พฒั นาการ โดยเลอื กแนวทางใดแนวทางหนงึ่ แนวตอบกิจกรรม 5.3.1 มสธ มสธนกั ศกึ ษาสามารถเลอื กตอบขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ จากแนวทางการวางแผนหลกั สตู รสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ตาม แนวปฏิบัติทีเ่ หมาะสมกับพัฒนาการ ตัวอยา่ งเช่น แนวทางหนึง่ ในการวางแผนหลกั สูตรสำ� หรับเด็กปฐมวยั คือ การวางแผนหลกั สตู ร ควรก�ำหนดการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้สัมพันธ์และสอดคล้องกับวัยของเด็ก รวมท้ังให้มีระบบการ มสธ มมสสธธ มสธสอื่ สารข้อมลู เด็กทีต่ อ่ เนอ่ื งและเช่ือมต่อกนั ระหวา่ งแต่ละชว่ งชั้น
แนวปฏบิ ตั ทิ ี่เหมาะสมกับพัฒนาการในการจดั การศกึ ษาปฐมวยั 5-31 มสธเร่ืองที่ 5.3.2 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ และการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ มสธ มสธการจัดการศึกษาตามแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการไม่เพียงต้องค�ำนึงถึงการวางแผน หลักสูตรให้เหมาะสมกับอายุ ธรรมชาติ และบริบททางวัฒนธรรมของเด็ก แต่ครูต้องใช้ความรู้เก่ียวกับ พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก รวมท้ังข้อมูลต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับตัวเด็กมาใช้ประกอบกัน เพื่อจัด ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ มี่ คี วามหมาย สามารถตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการของเดก็ เปน็ รายบคุ คลและกลมุ่ และสง่ เสรมิ พฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ ทกุ คน ทงั้ นกี้ ารจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรจู้ ะทำ� ควบคกู่ นั ไป มสธกบั การประเมินพัฒนาการและการเรยี นรู้ ซึง่ เปน็ กระบวนการทีใ่ ช้เพ่ือติดตามความกา้ วหน้าของเด็ก รวม ทั้งช่วยให้ครูมีข้อมูลเก่ียวกับตัวเด็ก รู้จักเด็กที่อยู่ในความดูแลมากข้ึน ส่งผลให้สามารถวางแผนการจัด ประสบการณก์ ารเรียนรทู้ ตี่ อบสนองตอ่ ความต้องการของเดก็ ได้เหมาะสมมากย่งิ ขึน้ ในเรื่องนี้จึงน�ำเสนอเน้ือหาสาระเป็น 2 ส่วน คือ 1) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีส่งเสริม มสธ มสธพฒั นาการและการเรียนรู้ และ 2) การประเมินพฒั นาการและการเรียนรู้ มีรายละเอยี ด ดังน้ี 1. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ ครมู บี ทบาทและหนา้ ทสี่ ำ� คญั ในการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ สี่ ง่ เสรมิ พฒั นาการและการเรยี นรู้ ของเด็กทุกคน สามารถเลือกใช้ส่ือ วัสดุ อุปกรณ์อย่างเหมาะสม มีวิธีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ และการสรา้ งปฏิสัมพนั ธ์กบั เด็กในขณะที่ทำ� กจิ กรรมตา่ งๆ (Copple & Bredekamp, 2006) นอกจากนี้ มสธครูต้องเข้าใจแนวทางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ (Copple & Bredekamp, 2006, 2009; อรุณี หรดาล, 2553) ซง่ึ มรี ายละเอยี ดดังน้ี 1.1 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ควรส่งเสริมให้เกิดชุมชนท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ ในการจดั การ ศกึ ษาตามแนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการ ครตู อ้ งสรา้ งและสนบั สนนุ ใหเ้ กดิ ชมุ ชนทเี่ ออื้ ตอ่ การเรยี นรู้ ซึ่งเป็นชุมชนท่ีทุกคนมีหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกันในการช่วยท�ำให้ทุกคนเกิดการเรียนรู้และมีสุข มสธ มสธภาวะทดี่ ี นอกจากน้ี ครูควรจัดบรรยากาศการเรยี นรูท้ างกายภาพ ทางจติ ใจ และทางสติปญั ญาท่ีน�ำไปสู่ การพัฒนา และให้ความส�ำคญั ตอ่ การสรา้ งความสัมพันธ์ทีอ่ บอนุ่ ม่นั คง และคงเสน้ คงวา ระหว่างเด็กและ ผู้ใหญ่ ระหว่างเดก็ และเดก็ และระหว่างครแู ละครอบครวั ซง่ึ ความสมั พันธ์เหลา่ นเี้ ปน็ รากฐานสำ� คญั ของ การสรา้ งชมุ ชนท่เี อ้อื ตอ่ การเรียนรู้ 1.2 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ส่งเสริมและตอบสนองต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของ เด็กเป็นรายบุคคลบนพื้นฐานความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับตัวเด็ก การสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กและ มสธครอบครวั ของเดก็ นำ� ไปสกู่ ารแบง่ ปนั แลกเปลยี่ นขอ้ มลู เกยี่ วกบั ตวั เดก็ ทำ� ใหค้ รมู คี วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั ความตอ้ งการ
5-32 การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รสำ�หรับเด็กปฐมวยั ความสนใจ จดุ แขง็ จดุ ออ่ นของเดก็ ชวี ติ ทางบา้ นของเดก็ รวมทงั้ รบั ทราบถงึ ความคาดหวงั ของครอบครวั มสธท่ีมีต่อการเรียนรู้ของเด็ก ส่ิงเหล่านี้ส่งผลต่อการออกแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีตอบสนองต่อ เด็กเปน็ รายบคุ คล 1.3 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับเป้าหมายการเรียนรู้ส�ำคัญที่ก�ำหนดไว้ใน หลักสูตร โดยครอบคลุมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ พัฒนาการด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้าน มสธ มสธสงั คม และดา้ นสตปิ ญั ญา รวมทง้ั สาระการเรยี นรตู้ า่ งๆ ไดแ้ ก่ ภาษา คณติ ศาสตร์ สงั คมศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ ศิลปศึกษา ดนตรี พลศกึ ษา และสขุ ศึกษา 1.4 การจัดสภาพแวดล้อม ตารางกิจวัตรประจ�ำวัน และกิจกรรมในห้องเรียน ควรตอบสนอง ต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก โดยมีแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้ 1) จดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ใ่ี หเ้ ดก็ มสี ว่ นรว่ มในการเรยี นรู้ โดยจดั กจิ กรรมทมี่ คี วามหมายตอ่ ตัวเด็ก ทา้ ทาย และเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมอื กระทำ� ไดค้ ิด ไดส้ ืบค้นส�ำรวจ มสธ2) จดั หาสื่อ วสั ดุ อปุ กรณ์ที่หลากหลาย และตอบสนองตอ่ ความสนใจของเด็ก 3) เปดิ โอกาสให้เดก็ ไดเ้ ลือกทำ� กิจกรรม และเลอื กเลน่ ตามความสนใจ 4) จัดช่วงเวลาในแต่ละวันให้เด็กมีเวลาเล่นอย่างเต็มที่ โดยในระหว่างการเล่น ครูกระตุ้น ใหเ้ ดก็ มปี ฏสิ ัมพนั ธก์ ับผูอ้ ่ืน ใชจ้ นิ ตนาการและภาษา รวมท้งั ให้การส่งเสริมในเรื่องการจดั ระเบียบตนเอง 1.5 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย โดยครูสามารถเลือกใช้วิธีการจัด มสธ มสธประสบการณ์ทเ่ี หมาะสมและสอดคลอ้ งกับเปา้ หมายการเรยี นรู้ หรือสถานการณก์ ารสอนในแตล่ ะครั้ง ซ่ึง ครสู ามารถใชว้ ธิ กี ารใดวธิ กี ารหนงึ่ หรอื ใชห้ ลายวธิ กี ารผสมผสานกนั ได้ เชน่ การยอมรบั สงิ่ ทเี่ ดก็ ทำ� และพดู การสนบั สนนุ การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั ทม่ี ลี กั ษณะเฉพาะเจาะจงและชดั เจน การเปน็ แบบอยา่ ง การสาธติ วธิ กี าร การมอบหมายงานทที่ า้ ทายความสามารถทไ่ี มง่ า่ ยหรอื ยากเกนิ ความสามารถ การใหแ้ นวทางหรอื คำ� แนะนำ� เพมิ่ เตมิ ทเ่ี หมาะสม การใหข้ อ้ มลู และแนวทางในการปฏบิ ตั งิ าน ฯลฯ ตวั อยา่ งเชน่ เมอ่ื เดก็ นบั จำ� นวนสงิ่ ของ 1–10 ไดค้ ลอ่ งแคลว่ ครปู รบั กจิ กรรมใหม้ คี วามทา้ ทายมากขนึ้ โดยเพมิ่ จำ� นวนสงิ่ ของจาก 10 เปน็ 12 หรอื มสธเมื่อเด็กบอกว่า วาดรูปรถยนต์ไม่ได้ ครูใช้ค�ำถามหรือค�ำแนะน�ำเพิ่มเติมเพื่อช่วยเด็ก โดยอาจถามว่า “รถยนตม์ ลี ้อไหมคะ ล้อรถมีรปู รา่ งอย่างไรคะ” 1.6 การเสริมต่อการเรียนรู้ (scaffolding) ท่ีเหมาะสมกับโอกาสและสถานการณ์ เพื่อช่วยให้ เด็กเกิดการเรียนรู้ เมื่อเด็กต้องเรียนรู้ส่ิงใหม่หรือประสบการณ์ใหม่ เด็กอาจต้องการความช่วยเหลือหรือ ค�ำแนะน�ำ ซึ่งครูต้องพิจารณาให้การช่วยเหลือเด็กเฉพาะเท่าที่จ�ำเป็นและในเร่ืองท่ีเด็กไม่สามารถท�ำได้ มสธ มสธด้วยตนเองในระยะแรก หรืออาจเป็นอันตรายหากไม่เข้าไปช่วย ซึ่งการให้ความช่วยเหลือในลักษณะของ การชแี้ นะจนเดก็ ประสบความสำ� เรจ็ ในการทำ� สง่ิ นน้ั ๆ ไดด้ ว้ ยตนเอง จากเดมิ ทเ่ี ดก็ ทำ� ไมไ่ ด้ เรยี กวา่ การเสรมิ ต่อการเรยี นรู้ ซง่ึ สามารถท�ำไดห้ ลายวิธี เช่น การพูดเปน็ นัยเชิงช้แี นะ การสาธติ การใหค้ ำ� ชี้แนะ การใช้ คำ� ถาม ฯลฯ 1.7 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย โดยลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบ่งเป็น 4 ลักษณะ คือ กลุ่มใหญ่ที่เป็นการรวมกลุ่มของเด็กทั้งช้ัน กลุ่มเล็กที่เป็นการท�ำกิจกรรมร่วมกันของเด็ก มสธประมาณ 3-5 คน การเลน่ และท�ำกิจกรรมในมุมประสบการณห์ รือมุมเล่น และกจิ วตั รประจำ� วนั ครคู วร
แนวปฏิบตั ทิ เี่ หมาะสมกับพัฒนาการในการจดั การศกึ ษาปฐมวยั 5-33ท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะและประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้แต่ละลักษณะ รวมท้ังวางแผนและใช้ มสธลกั ษณะการจดั ทเ่ี หมาะสมเพอ่ื ชว่ ยใหเ้ ดก็ บรรลเุ ปา้ หมายการเรยี นรทู้ คี่ าดหวงั เชน่ ครตู อ้ งการใหเ้ ดก็ เรยี นรู้ ทีจ่ ะแบ่งปันกนั กค็ วรจัดใหเ้ ด็กเล่นรว่ มกันในมุมประสบการณ์ ฯลฯ 1.8 การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ ต่ี อบสนองตอ่ เดก็ ทกุ คน ครคู วรจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ ่ี ตอบสนองและช่วยให้เด็กทุกคนเกิดการเรียนรู้ ไม่ว่าเด็กนั้นจะเป็นเด็กปกติ เด็กท่ีมีความต้องการพิเศษ มสธ มสธเดก็ สองภาษา หรอื เปน็ เดก็ ที่มฐี านะเศรษฐกจิ ทางสงั คมไมม่ ี ดังนั้น เพื่อให้เห็นแนวทางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ ตามแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างการปฏิบัติที่เหมาะสมและการปฏิบัติที่ ตรงกันข้ามในดา้ นการจัดประสบการณ์การเรียนรทู้ ส่ี ง่ เสรมิ พฒั นาการและการเรียนรู้ ดงั ตารางที่ 5.2 ตารางที่ 5.2 ตัวอย่างการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ตาม แนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ มสธการปฏิบัติท่ีเหมาะสม การปฏิบัติที่ตรงกันข้าม • จัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียนเป็นระบบที่ช่วย • จ ัดสภาพบรรยากาศในห้องเรียนท่ีไม่เอ้ือต่อการ ส่งเสริมการเรียนรู้ในด้านต่างๆ จัดหาสื่อ วัสดุ เรยี นรู้ ไมม่ ีสื่อ วสั ดุ อุปกรณ์ หรือมคี อ่ นขา้ งน้อย มสธ มสธอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับวัยและความสนใจของเด็ก สอื่ ไมส่ ะทอ้ นถงึ บรบิ ททางวฒั นธรรมของเดก็ การจดั สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพไมม่ รี ะเบยี บ ไมก่ ระตนุ้ และสะท้อนถึงบริบททางวัฒนธรรมของเด็ก รวม ให้เกิดการเรียนรู้ เช่น เด็กไม่สามารถหยิบจับส่ือ ทงั้ สง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ สามารถเลอื กใช้ หยบิ จบั และเกบ็ อุปกรณ์ได้ด้วยตนเอง ต้องขอครูทุกครั้ง การจัด ส่อื ได้ดว้ ยตนเอง โตะ๊ เกา้ อไ้ี มส่ ง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ มปี ฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั และกนั เป็นต้น มสธ• จ ัดเวลาให้เด็กได้เล่นตามมุมประสบการณ์อย่าง • จ ดั เวลาในการเลน่ ตามมมุ ประสบการณห์ รอื มมุ เลน่ นอ้ ย 60 นาที เพอ่ื เดก็ จะมโี อกาสไดเ้ รยี นรผู้ า่ นการ น้อยเกินไป และจัดช่วงเวลาการเล่นไม่เหมาะสม เล่นอยา่ งเตม็ ที่ เชน่ ใหเ้ ลน่ กอ่ นเรมิ่ เขา้ เรยี น หรอื เลน่ กอ่ นชว่ งเวลา • จดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ มี่ ลี กั ษณะหลากหลาย โดย เตรยี มกลับบ้าน • จัดกิจกรรมการเรียนรู้ไม่หลากหลาย ส่วนใหญ่ มสธ มสธค�ำนึงถึงเป้าหมายการเรียนรู้ และจัดกิจกรรมใน จะใช้เพียง 1-2 ลักษณะ เช่น จัดกิจกรรมเป็น กลมุ่ ใหญ่ ไมเ่ ปดิ ใหเ้ ดก็ ไดเ้ ลน่ ตามมมุ ประสบการณ์ ลักษณะต่างๆ เพ่ือน�ำไปสู่เป้าหมายการเรียนรู้ที่ ตอ้ งการ มีท้ังกิจกรรมกล่มุ ใหญ่ กจิ กรรมกลมุ่ ย่อย การเล่นและท�ำกิจกรรมในมุมประสบการณ์ และ มสธกจิ วัตรประจำ� วนั
5-34 การจดั การศึกษาและหลกั สูตรส�ำ หรับเด็กปฐมวยั สรปุ ไดว้ า่ แนวทางในการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ สี่ ง่ เสรมิ พฒั นาการและการเรยี นรตู้ ามแนวปฏบิ ตั ิ มสธท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ คือ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ส่งเสริมให้เกิดชุมชนท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ สี่ ง่ เสรมิ และตอบสนองตอ่ พฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ เปน็ รายบคุ คล บนพื้นฐานความเข้าใจเกยี่ วกับตวั เด็ก การจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ทีส่ อดคล้องกับเปา้ หมายการเรยี นรู้ สำ� คญั ทก่ี ำ� หนดไวใ้ นหลกั สตู ร การจดั สภาพแวดลอ้ ม ตารางกจิ วตั รประจำ� วนั และกจิ กรรมในหอ้ งเรยี นควร มสธ มสธตอบสนองต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ใช้วิธีการท่ีหลากหลาย การเสรมิ ตอ่ การเรยี นรไู้ ดเ้ หมาะสมกบั โอกาสและสถานการณ์ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลาย และ การจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ทต่ี อบสนองต่อเดก็ ทกุ คน 2. การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ การประเมินพฒั นาการและการเรียนรู้ เปน็ องค์ประกอบในการจดั การศกึ ษาทมี่ ีความสมั พันธก์ ับ มสธการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ตามแนวทางการปฏิบัติท่ีเหมาะสม กบั พฒั นาการไมเ่ พยี งเพอื่ ตดิ ตามความเปน็ ไปและความกา้ วหนา้ ของเดก็ แตเ่ พอ่ื ใหร้ จู้ กั เดก็ ในแงม่ มุ ตา่ งๆ มากยงิ่ ขน้ึ ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรสู้ ามารถนำ� มาใชใ้ นการวางแผนและตดั สนิ ใจ การจดั การเรยี นการสอนในหอ้ งเรยี น ปรบั การสอนและการปฏบิ ตั ใิ หเ้ หมาะสมและสอดคลอ้ งกบั ความเขา้ ใจ มสธ มสธของเด็ก วางแผนกลยุทธ์การสอนเพื่อเพ่ิมพูนความเข้าใจของเด็กให้มากข้ึน รวมท้ังเพ่ือระบุเด็กท่ีอาจ ต้องการความชว่ ยเหลือพิเศษหรือการสนับสนนุ เพม่ิ เติม (McAfee & Leong, 2007) การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยมีความท้าทาย เน่ืองจากเด็กอยู่ในช่วงวัย ของการพัฒนาทักษะต่างๆ เชน่ ด้านภาษา ด้านการคดิ รวมท้ังเด็กวยั นม้ี พี ัฒนาการที่เปลยี่ นแปลงอย่าง รวดเร็วและมีอัตราการเปลี่ยนแปลงท่ีไม่สม�่ำเสมอ ท�ำให้การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ปฐมวัยต้องอาศัยความละเอียดอ่อนและใช้วิธีการที่เหมาะสมกับวัยและธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็ก การ ประเมนิ พฒั นาการและการเรียนร้เู ด็กปฐมวัยตามแนวทางการปฏบิ ตั ิทีเ่ หมาะสมกับพัฒนาการ มแี นวทาง มสธ(Copple & Bredekamp, 2006, 2009; อรณุ ี หรดาล, 2553) ดังตอ่ ไปน ี้ 2.1 การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้เป็นกระบวนการต่อเนื่อง และมีวัตถุประสงค์เฉพาะ คือ ใช้เพื่อติดตามความก้าวหน้าของเด็ก วางแผนและจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็ก ส่ือสารกับครอบครัว ของเด็ก ประเมินและปรับปรุงการสอนและการจัดการศึกษา รวมทั้งเพ่ือระบุเด็กที่อาจต้องการความ มสธ มสธชว่ ยเหลือพิเศษ 2.2 การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้มุ่งเน้นท่ีความก้าวหน้าของเด็กในการพัฒนาไปสู่ เป้าหมายที่พึงประสงค์ ไม่ควรใชเ้ พ่ือตดั สินวา่ เดก็ เก่ง หรอื เด็กออ่ น 2.3 การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้จัดท�ำอย่างเป็นระบบ มีการวางแผน การเก็บข้อมูล การประมวล สรปุ ผล และการนำ� ผลการประเมนิ ไปใชใ้ นการดำ� เนนิ การสอน ครใู ชข้ อ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ พัฒนาการและการเรียนรู้ เพ่ือวางแผนหลักสูตรและพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้มีคุณภาพ มสธมากขึน้
แนวปฏบิ ตั ทิ ี่เหมาะสมกบั พัฒนาการในการจัดการศกึ ษาปฐมวัย 5-352.4 วิธีการที่ใช้ในการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก โดย มสธวธิ กี ารทนี่ ำ� มาใชต้ อ้ งหลากหลายและชว่ ยสะทอ้ นใหเ้ หน็ ความสามารถทแี่ ทจ้ รงิ ของเดก็ วธิ กี ารทเ่ี หมาะสม ไดแ้ ก่ การสังเกตเดก็ การสัมภาษณ์ การสะสมผลงานของเด็ก และการประเมนิ เชงิ ปฏิบัติ 2.5 การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ควรครอบคลุมทั้งข้อมูลที่ได้มาจากท้ังตัวเด็กและ ครอบครัวของเด็ก การประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรคู้ วรเปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ ไดม้ สี ว่ นรว่ มในการประเมนิ มสธ มสธโดยอาจใหเ้ ดก็ ประเมนิ ชนิ้ งานของตนเอง รวมทง้ั เปดิ โอกาสใหพ้ อ่ แม่ ผปู้ กครองมสี ว่ นรว่ มในการใหข้ อ้ มลู เดก็ และในการประเมินพฒั นาการเด็ก 2.6 การน�ำผลการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ไปใช้เพ่ือตัดสินใจในประเด็นส�ำคัญที่มี อิทธิพลต่อเด็กต้องใช้เคร่ืองมือและวิธีการที่หลากหลาย หากต้องท�ำการตัดสนิ ใจในเรื่องส�ำคัญ เช่น การ รบั เขา้ เรยี น การโยกยา้ ย ควรใชแ้ หลง่ ขอ้ มลู ทห่ี ลากหลายและนา่ เชอื่ ถอื ได้ เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทถี่ กู ตอ้ ง ชดั เจน และเชื่อถอื ได้ และน�ำขอ้ มูลเหล่านม้ี าพิจารณาอย่างถถี่ ้วนกอ่ นท่จี ะตดั สินใจ มสธผู้เขียนขอยกตัวอย่างการปฏิบัติท่ีเหมาะสมและการปฏิบัติที่ตรงกันข้ามในด้านการประเมิน พฒั นาการและการเรียนรู้ ดังในตารางท่ี 5.3 ตารางที่ 5.3 ตัวอย่างการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ตามแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ มสธ มสธการปฏิบัติที่เหมาะสม การปฏิบัติที่ตรงกันข้าม • ประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรเู้ นน้ ทด่ี า้ นใดดา้ น • ประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กให้ ครอบคลมุ เปา้ หมายการเรยี นรสู้ ำ� คญั ในพฒั นาการ หนงึ่ เชน่ ดา้ นสติปญั ญา หรอื การใช้ภาษา ทั้งส่ีด้าน รวมถึงทักษะและความสามารถในด้าน • ป ระเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ โดยไม่ได้ให้ ตา่ งๆ เชน่ สขุ นสิ ยั ภาษา คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะทางสังคม และศลิ ปสรา้ งสรรค์ ความส�ำคัญกับเป้าหมายการเรียนรู้ส�ำคัญใน พฒั นาการทง้ั สด่ี า้ น รวมทง้ั ใชก้ ารประเมนิ ทเ่ี ปน็ การ มสธ• วางแผนประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ อย่าง ทดสอบความรู้ เปน็ ระบบ ชดั เจน เขา้ ใจงา่ ย เปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร • ไม่มกี ารวางแผนประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรู้ ผบู้ รหิ าร ครู พอ่ แม่ ผปู้ กครอง รบั ทราบรายละเอยี ด • ไมส่ อ่ื สารระบบการประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรู้ มสธ มสธเกยี่ วกบั ระบบการประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรู้ ทสี่ ถานศกึ ษาใช้ใหผ้ ู้ทีเ่ ก่ยี วข้องรบั รู้ • เก็บข้อมูลและประเมินผลอย่างสม่�ำเสมอ ต่อเนื่อง • มีการเกบ็ ข้อมลู เด็กบ้าง แตไ่ ม่สม่ำ� เสมอ ตลอดท้งั ปีการศึกษา • ม กี ารประเมนิ ผลเดก็ ตอนสนิ้ ภาคการศกึ ษาเทา่ นน้ั • ป ระเมินพัฒนาการและการเรียนรู้สอดคล้องกับ • ประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ในประเด็นอ่ืนๆ มสธเป้าหมายการเรียนรทู้ รี่ ะบุไว้ในหลกั สูตร ซึง่ ไมเ่ ก่ียวขอ้ งกบั เป้าหมายการเรยี นรู้ในหลกั สตู ร
5-36 การจัดการศึกษาและหลกั สตู รสำ�หรบั เด็กปฐมวัยมสธการปฏิบัติท่ีเหมาะสม ตารางท่ี 5.3 (ต่อ)• ป ระเมินเด็กอย่างสม�่ำเสมอท้ังระหว่างท่ีเด็กท�ำ กิจกรรมและเลน่ โดยจดบนั ทึกพัฒนาการและการ มสธ มสธเรียนรู้อย่างเป็นระบบ และใช้เครื่องมือในการช่วย บันทึกข้อมูล รวมท้ังน�ำข้อมูลท่ีได้ไปใช้ในการ วางแผนการจดั ประสบการณ์ การปฏิบัติที่ตรงกันข้าม • นำ� ผลการประเมนิ จดั เกบ็ ในแฟม้ ไมไ่ ดน้ ำ� มาใชเ้ ปน็ แนวทางในการสนบั สนนุ หรอื ใหค้ วามชว่ ยเหลอื เดก็ • ไ ม่มีการประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของ เดก็ ดงั น้ันจึงจดั ประสบการณ์การเรยี นรใู้ หแ้ กเ่ ดก็ ทุกคนเหมือนกนั สรปุ ไดว้ า่ แนวทางในการประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรตู้ ามแนวทางการปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พัฒนาการ เป็นการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้เพื่อใช้ติดตามความก้าวหน้าของเด็ก วางแผนและ มสธจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็ก สื่อสารกับครอบครัวของเด็ก ประเมินและปรับปรุงการสอนและการจัดการ ศกึ ษา และระบุเดก็ ทีอ่ าจต้องการความชว่ ยเหลือพิเศษ การประเมนิ พฒั นาการและการเรียนรู้ตอ้ งมรี ะบบ ด�ำเนินการที่ชัดเจน วิธีการที่ใช้ในการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และใช้แหล่งข้อมูลท่ีมาจากทั้งครู พ่อแม่ ผู้ปกครอง และตัวเด็ก การประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ ส�ำหรับเด็กปฐมวัยมุ่งเน้นไปท่ีความก้าวหน้าของเด็กในการพัฒนาไปสู่เป้าหมายท่ีพึงประสงค์ ไม่ใช่เพื่อ มสธ มสธการตัดสินเด็ก และเม่ือต้องใช้ผลการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ในการตัดสินใจในเรื่องส�ำคัญ ต้อง ใช้เครือ่ งมอื และวธิ ีการที่หลากหลาย และน่าเชอ่ื ถือ กิจกรรม 5.3.2 ให้นักศึกษาอธิบายแนวทางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ มสธและในการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ตามแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมกับพัฒนาการ อย่างละ 1 แนวทาง แนวตอบกิจกรรม 5.3.2 นักศึกษาสามารถเลือกค�ำตอบข้อใดข้อหนึ่งในแนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีส่งเสริม มสธ มสธพัฒนาการและการเรียนรู้ และในการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ตามแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับ พฒั นาการ ตัวอย่างเชน่ 1. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ ครูควรจัดประสบการณ์ การเรยี นรู้ โดยใชว้ ธิ กี ารทหี่ ลากหลาย ทง้ั นกี้ ารเลอื กใชว้ ธิ กี ารจดั ประสบการณต์ อ้ งเหมาะสมและสอดคลอ้ ง กบั เปา้ หมายการเรยี นรู้ หรอื สถานการณก์ ารสอนในแตล่ ะครง้ั วธิ กี ารทนี่ ำ� มาใชม้ หี ลายวธิ ี เชน่ การสนบั สนนุ มสธการให้ขอ้ มลู ย้อนกลับที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงและชดั เจน การเปน็ แบบอย่าง การสาธิตวิธกี าร เปน็ ตน้
แนวปฏบิ ตั ทิ ่เี หมาะสมกับพัฒนาการในการจัดการศึกษาปฐมวัย 5-37 2. การประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรู้ ควรจดั ระบบการประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรู้ โดย มสธมกี ารวางแผน การเก็บขอ้ มูล การประมวล สรุปผล และการน�ำผลการประเมินไปใช้ในการดำ� เนนิ การสอน ซ่ึงครูควรใช้ข้อมูลที่ได้จากการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ไปใช้ในการวางแผนหลักสูตรและพัฒนา การจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ มสธ มสธเรื่องที่5.3.3 การสร้างชุมชนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ มสธโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งแรกท่ีเด็กจะได้ฝึกฝนทักษะทางสังคมต่างๆ เช่น การรับฟัง การแสดง ความคิดเหน็ การอยูร่ ว่ มกับผู้อน่ื การเคารพและไดร้ บั การเคารพจากบคุ คลรอบข้าง และการเปน็ สมาชิก ท่ีดีของชุมชน ประสบการณ์ท่ีเด็กได้รับในโรงเรียนจึงเป็นการปูพื้นฐานส�ำคัญที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้บทบาท และหนา้ ทขี่ องการเปน็ สมาชกิ ทดี่ ขี องสงั คม เรยี นรทู้ จ่ี ะอยรู่ ว่ มกบั บคุ คลอน่ื ในสงั คมไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ เมอื่ มสธ มสธโตขน้ึ การจดั การศกึ ษาตามแนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการเชอ่ื วา่ เดก็ เรยี นรแู้ ละพฒั นาไดด้ ที ส่ี ดุ เมอ่ื รสู้ กึ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของชมุ ชน ดงั นนั้ หอ้ งเรยี นควรเปน็ ชมุ ชนทเ่ี ดก็ ทกุ คนมสี มั พนั ธภาพทด่ี ตี อ่ กนั รจู้ กั อาศยั พงึ่ พาเกอื้ กลู กนั ทกุ คนไดร้ บั การยอมรบั อยา่ งเสมอภาคและไดร้ บั การสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ เรยี นรู้ รวมทงั้ ตอ้ งชว่ ย สนับสนนุ ใหเ้ ด็กรู้บทบาทหน้าท่ขี องตนเองในฐานะสมาชกิ ของสังคม (Copple & Bredekamp, 2006) แนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการได้เสนอแนวทางในการสร้างชุมชนท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ไว้ (Bredekamp & Copple, 1997; Copple & Bredekamp, 2006, 2009) ดังตอ่ ไปน้ี มสธ1. สมาชิกทุกคนในห้องเรียนได้รับการยอมรับและเคารพ การสร้างความสัมพันธ์เป็นพ้ืนฐาน สำ� คญั ในการพฒั นามนษุ ย์ หอ้ งเรยี นเปน็ บรบิ ททางสงั คมแรกๆ ทชี่ ว่ ยใหเ้ ดก็ เรยี นรเู้ กย่ี วกบั ตนเองและผอู้ น่ื การทเ่ี ดก็ มปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั บคุ คลในหอ้ งเรยี น ไมว่ า่ จะเปน็ เพอื่ นหรอื ครู ทำ� ใหร้ บั รแู้ ละเขา้ ใจถงึ ความแตกตา่ ง มมุ มอง ความสามารถ และเอกลกั ษณข์ องตนเองและผอู้ น่ื เรยี นรทู้ จ่ี ะใหเ้ กยี รตแิ ละยอมรบั ผอู้ น่ื และปฏบิ ตั ติ น ทางสงั คมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ในชมุ ชนทเี่ ออื้ ตอ่ การเรยี นรู้ ครตู อ้ งทำ� ใหเ้ ดก็ ทกุ คนเกดิ ความรสู้ กึ ของการเปน็ ที่ มสธ มสธยอมรบั การรับรู้วา่ ตนเองและทกุ คนในหอ้ งเรยี นส�ำคญั และการเปน็ ส่วนหนง่ึ ของห้องเรยี น 2. บรรยากาศในห้องเรียนส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างกันและกัน ความสัมพันธ์ ระหวา่ งเดก็ และผอู้ นื่ เปน็ สง่ิ สำ� คญั ทเี่ กอื้ หนนุ ใหเ้ ดก็ เกดิ การพฒั นาและการเรยี นรู้ เดก็ ปฐมวยั สรา้ งความเขา้ ใจ เกี่ยวกับส่ิงรอบตัวผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบตัว ครูต้องกระตุ้นและส่งเสริมให้เด็กได้เล่นร่วมกัน ทำ� งานรว่ มกนั ไดพ้ ดู คยุ กนั เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ไดค้ ดิ ไดแ้ ลกเปลยี่ นความคดิ ซงึ่ กนั และกนั และเรยี นรทู้ จี่ ะชว่ ยกนั มสธแก้ปัญหา
5-38 การจัดการศกึ ษาและหลกั สตู รส�ำ หรบั เดก็ ปฐมวยั 3. สมาชิกให้เกียรติต่อกันและรับผิดชอบในการประพฤติตนให้เหมาะสมเพื่อเอื้อต่อการเรียนรู้ มสธและสุขภาวะของทุกคนในห้องเรียน ครูมีบทบาทส�ำคัญในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการสร้าง ปฏสิ มั พนั ธท์ ่ีดีกบั เดก็ เพ่อื ใหเ้ ดก็ พัฒนาความสามารถและทักษะส�ำคัญทช่ี ่วยให้สามารถอยู่ร่วมกบั คนอ่นื ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ เชน่ การจดั ระเบยี บตนเอง ความรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเองและตอ่ สว่ นรว่ ม พฤตกิ รรมสงั คม เชิงบวก ฯลฯ นอกจากน้ีครูไม่เพียงมีหน้าท่ีและความรับผิดชอบในการดูแลเด็กทุกคน แต่ต้องท�ำหน้าท่ี มสธ มสธในการกำ� กบั ตดิ ตาม การตงั้ ความคาดหวงั ทเ่ี หมาะสม การปอ้ งกนั และการปรบั พฤตกิ รรมทอี่ าจเปน็ อปุ สรรค ตอ่ การเรยี นรู้ หรอื พฤตกิ รรมทไ่ี มใ่ หเ้ กยี รตผิ อู้ น่ื ผา่ นวธิ กี ารตา่ งๆ เชน่ การตง้ั กฎกตกิ าในหอ้ งเรยี นรว่ มกนั ระหวา่ งครแู ละเดก็ เพอื่ ใหเ้ ดก็ รบั รถู้ งึ ความคาดหวงั การเรยี นรทู้ จี่ ะรบั ผดิ ชอบตอ่ พฤตกิ รรมหรอื การกระทำ� ของตนเองทอ่ี าจสง่ ผลกระทบตอ่ ผอู้ นื่ ฯลฯ ครคู วรเปน็ ตน้ แบบทด่ี ใี นการใหเ้ กยี รตแิ ละเคารพผอู้ น่ื โดยรบั ฟงั ความคดิ และความร้สู กึ ของเดก็ ท้ังในทางบวกและลบ ตอบสนองเดก็ ด้วยความใสใ่ จและให้เกียรติเด็ก และ สอนให้เด็กรู้จักแก้ปัญหาทางด้านสังคมด้วยตนเอง เช่น เม่ือเด็กมีปัญหากับเพื่อน ช่วยช้ีแนะวิธีการแก้ มสธปัญหา หรือแสดงแบบอยา่ งที่ดใี นการแกป้ ัญหา 4. การจัดบรรยากาศในห้องเรียนท่ีให้ความส�ำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของเด็ก ครู จัดบรรยากาศในห้องเรียนท่ีตอบสนองต่อความต้องการของเด็กทางด้านสรีรวิทยา ให้เด็กได้รับอากาศ ที่บริสุทธ์ิ ได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ได้วิ่งเล่น ได้อยู่กับธรรมชาติ มีส่วนร่วมในการท�ำกิจกรรม ไดใ้ ชป้ ระสาทสมั ผสั ทงั้ หา้ ในการเรยี นรู้ โดยจดั ใหก้ จิ วตั รประจำ� วนั และกจิ กรรมในหอ้ งเรยี นมคี วามสมดลุ กนั มสธ มสธมที งั้ กจิ กรรมทต่ี ้องใชพ้ ลงั งานและกิจกรรมทใ่ี ห้เด็กไดพ้ กั ผ่อน 5. การจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศในห้องเรียนสร้างความอบอุ่น มั่นคง ปลอดภัยท้ังกาย และใจ สภาพแวดลอ้ มในหอ้ งเรยี นมรี ะเบยี บและเปน็ ระบบ มกี ารปรบั เปลย่ี นใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการ และความสนใจของเดก็ แตท่ ง้ั นก้ี ารปรบั เปลยี่ นตอ้ งไมม่ ากจนเดก็ ไมส่ ามารถคาดการณไ์ ดว้ า่ จะเกดิ อะไรขน้ึ ในแต่ละวัน ห้องเรียนมีกิจวัตรประจ�ำวันและกิจกรรมที่สม่�ำเสมอสอดรับกับประสบการณ์ของเด็ก มีส่ือ อปุ กรณห์ ลากหลายทเ่ี ปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ เรยี นรผู้ า่ นการลงมอื ปฏบิ ตั ิ บรรยากาศการเรยี นรใู้ นหอ้ งเรยี นตน่ื ตวั มสธแต่ผ่อนคลาย สร้างความสบายใจและความมั่นคงทางจิตใจ ปฏิสัมพันธ์ในห้องเรียนและประสบการณ์ การเรียนรู้เป็นเชิงบวก ครูส่งเสริมให้เด็กสนุกสนานและสนใจกับการเรียนรู้ และเรียนรู้อย่างมีความสุข เด็กไม่ถูกคาดค้ันกดดัน บีบบังคับ สร้างความเครียด หรือถูกปล่อยปละละเลย นอกจากนี้ยังสอดแทรก วฒั นธรรมและบริบททางสงั คมของเด็กผ่านการทำ� กจิ กรรมตา่ งๆ ในห้องเรยี น ผู้เขียนขอยกตัวอย่างการปฏิบัติท่ีเหมาะสมและการปฏิบัติท่ีตรงกันข้ามตามแนวทางในการสร้าง มสธ มสธ มสธชมุ ชนท่ีเออ้ื ตอ่ การเรยี นรู้ ดังในตารางท่ี 5.4
แนวปฏิบตั ิท่เี หมาะสมกบั พฒั นาการในการจัดการศึกษาปฐมวยั 5-39มสธการปฏิบัติท่ีเหมาะสม ตารางที่ 5.4 ตัวอย่างการสร้างชุมชนท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ตามแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ • ให้การดแู ลและความสนใจตอ่ เด็กทกุ คน ใส่ใจท่ีจะ ท�ำความรู้จักเด็กและครอบครัว รวมท้ังพยายาม การปฏิบัติท่ีตรงกันข้าม • มโี อกาสนอ้ ยทจ่ี ะเรยี นรเู้ กย่ี วกบั เดก็ และครอบครวั มสธ มสธสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีต่อเด็กและครอบครัวของ เด็ก เนื่องจากห้องเรยี นมเี ดก็ เป็นจำ� นวนมาก • คร�่ำเคร่งเฉพาะอยู่กับงานสอนและการควบคุม • เปิดโอกาสให้เด็กได้เล่น และท�ำงานร่วมกันเป็น จัดการชั้นเรียนเพียงอย่างเดียว แต่ละเลยที่จะ มสธกลุ่มย่อย ซึ่งเป็นทั้งกลุ่มที่ครูจัดให้และกลุ่มท่ีเด็ก ท�ำความรจู้ กั และเรียนรู้เกยี่ วกบั เดก็ • ให้ความสนใจเฉพาะเด็กท่ีมีลักษณะเด่นหรือเด็ก เลอื กเอง ที่มปี ัญหาเทา่ นน้ั • ส่งเสริมให้เด็กช่วยเหลือและเรียนรู้จากกันและกัน • เนน้ ใหเ้ ดก็ ทำ� กจิ กรรมกลมุ่ ใหญ่ หรอื ทำ� แบบฝกึ หดั หรอื นง่ั เปน็ กลมุ่ แตต่ า่ งคนตา่ งทำ� เงยี บๆ ตามลำ� พงั เช่น บางครั้งเมื่อมีเด็กต้องการความช่วยเหลือ เด็กไมไ่ ด้เลน่ หรอื ทำ� กจิ กรรมร่วมกันในกลุ่มยอ่ ย • แ กป้ ญั หาใหเ้ ดก็ ทุกคร้งั ไม่สง่ เสรมิ ให้เด็กเรยี นรู้ท่ี มสธ มสธแนะให้เด็กไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในห้อง จะชว่ ยเหลือกนั แก้ปัญหา ที่สามารถชว่ ยได้ • ไม่สนใจเก่ียวกับวัฒนธรรมและบริบททางสังคม • ยอมรับและให้เกียรติต่อวัฒนธรรมและบริบททาง ของเด็ก ไม่มีความพยายามที่จะเรียนรู้ค�ำศัพท์ท่ี เป็นภาษาแม่ของเด็ก ไม่มีการจัดหาสื่อ อุปกรณ์ สงั คมของเดก็ และครอบครวั ของเดก็ และจดั สภาพ ที่สะท้อนวัฒนธรรมของเด็กมาไว้ในห้องเรียน ส่ง แวดล้อมในห้องเรียนท่ีสะท้อนถึงวัฒนธรรมของ ผลใหเ้ ดก็ รสู้ กึ แปลกแยกจากกลมุ่ เด็ก โดยส่งเสริมให้เด็กยอมรับและเคารพความ • ช ้ีแต่ความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมและภาษา มสธแตกตา่ งของแต่ละบุคคล อีกทง้ั จดั หาสอ่ื อปุ กรณ์ ของเด็กมากจนเกินไป ท�ำให้เด็กรู้สึกว่าไม่เป็น ส่วนหนึ่งของหอ้ งเรยี น เชน่ หนงั สอื เพลง รปู ภาพทส่ี ะทอ้ นวฒั นธรรมและ บริบทของเด็ก มาไว้ในห้องเรียน มสธ มสธสรุปได้ว่า แนวทางการสร้างชุมชนที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ตามแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ คือ สมาชิกทุกคนในห้องเรียนได้รับการยอมรับและเคารพ บรรยากาศในห้องเรียนส่งเสริมให้เกิดความ สมั พนั ธ์ท่ีดีระหว่างกนั และกัน สมาชกิ ใหเ้ กียรตติ อ่ กันและรบั ผิดชอบในการประพฤติตนให้เหมาะสม เพ่อื เอ้ือต่อการเรียนรู้และสุขภาวะของทุกคนในห้องเรียน การจัดบรรยากาศในห้องเรียนที่ให้ความส�ำคัญกับ สขุ ภาพและความปลอดภยั ของเดก็ และการจดั สภาพแวดลอ้ มและบรรยากาศในหอ้ งเรยี นสรา้ งความอบอนุ่ มสธม่ันคง ปลอดภัยท้ังกายและใจ
5-40 การจดั การศึกษาและหลกั สตู รส�ำ หรบั เดก็ ปฐมวยั มสธกิจกรรม 5.3.3 ในเรื่องน้ีได้เสนอแนวทางการสร้างชุมชนท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ตามแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับ พัฒนาการทดี่ ีไว้ 5 แนวทาง ให้นักศึกษาเลือกอธิบาย 1 แนวทางทน่ี ักศกึ ษาคดิ วา่ เป็นเร่ืองสำ� คัญท่สี ดุ ที่ ครูทกุ คนควรตระหนกั มสธ มสธแนวตอบกิจกรรม5.3.3 ในการเลอื กอธบิ ายคำ� ตอบ นกั ศกึ ษาสามารถเลอื กแนวทางการสรา้ งชมุ ชนทเ่ี ออ้ื ตอ่ การเรยี นรตู้ าม แนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการทเ่ี หน็ วา่ เปน็ เรอื่ งสำ� คญั ในความคดิ เหน็ ของนกั ศกึ ษา แตท่ งั้ นใี้ นความ คดิ เหน็ ของผเู้ ขยี น เหน็ วา่ แนวทางทสี่ ำ� คญั ทสี่ ดุ คอื การสรา้ งชมุ ชนทที่ ำ� ใหส้ มาชกิ ทกุ คนในหอ้ งเรยี นไดร้ บั การยอมรับและเคารพ ครูต้องสร้างชุมชนท่ีท�ำให้เด็กทุกคนเกิดความรู้สึกของการเป็นท่ียอมรับ การรับรู้ ว่าตนเองและทุกคนในห้องเรียนส�ำคัญ และการเป็นส่วนหน่ึงของห้องเรียน โดยเปิดโอกาสได้เด็กได้มี มสธปฏิสมั พันธ์กับบคุ คลในหอ้ งเรียนทัง้ เพื่อนในวัยเดียวกนั และผใู้ หญ่ เพราะการที่เดก็ ไดเ้ ลน่ ได้ทำ� งาน ได้ พดู คยุ กบั ผอู้ นื่ ชว่ ยใหเ้ ดก็ รบั รแู้ ละเขา้ ใจถงึ ความแตกตา่ ง มมุ มอง ความสามารถ และเอกลกั ษณข์ องตนเอง และผอู้ นื่ นำ� ไปสกู่ ารเรยี นรทู้ จี่ ะใหเ้ กยี รตแิ ละยอมรบั ผอู้ น่ื และปฏบิ ตั ติ นทางสงั คมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม มสธ มสธเรื่องที่5.3.4 การสร้างความสัมพันธ์ที่เก้ือกูลกันกับครอบครัว มสธพอ่ แมแ่ ละผปู้ กครองเปน็ บคุ คลแรกทใี่ หก้ ารศกึ ษาแกเ่ ดก็ เปน็ ผทู้ มี่ คี วามสำ� คญั และมอี ทิ ธพิ ลมาก ท่ีสุดตอ่ ทศั นคติ มมุ มอง การเรยี นรู้ อารมณ์ และความคิดของเด็ก (Eliason & Jenkins, 2008, p. 49) ดังน้ันพ่อแม่และผู้ปกครองจึงไม่เพียงมีหน้าที่อบรมเล้ียงดูเท่านั้น แต่ต้องมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของเด็ก ด้วย การมสี ่วนร่วมของพอ่ แมแ่ ละผปู้ กครองในการเรียนรขู้ องเดก็ ส่งผลตอ่ ความสำ� เร็จในการเรียน การมี มสธ มสธพฤติกรรมเชิงบวก และช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกให้ดีขึ้นด้วย (Pena, 2000) โดย เฉพาะอยา่ งยงิ่ ในการจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ เลก็ พบวา่ การมสี ว่ นรว่ มของพอ่ แมแ่ ละผปู้ กครองในหอ้ งเรยี น ส่งผลทางบวกต่อการอ่าน การมีทัศนคติที่ดีต่อโรงเรียน และการมาโรงเรียนของเด็ก (Epstein, 2000) แนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการใหค้ วามสำ� คญั กบั การมสี ว่ นรว่ มและการสรา้ งความสมั พนั ธท์ ด่ี รี ะหวา่ ง ครู และพ่อแม่ ผู้ปกครอง โดยเช่ือว่าความสัมพันธ์ที่ดีของท้ังสองฝ่ายจะช่วยให้ครูรู้จักเด็กได้ดีขึ้น ซึ่ง น�ำไปสู่การตัดสินใจในเร่ืองต่างๆ ได้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของเด็กได้ดีมากย่ิงขึ้น มสธ(Copple & Bredekamp, 2006, p. 52)
แนวปฏบิ ตั ทิ ่เี หมาะสมกบั พฒั นาการในการจัดการศึกษาปฐมวัย 5-41 แนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการได้เสนอแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ท่ีเกื้อกูลกันกับ มสธครอบครัว ไว้ (Bredekamp & Copple, 2009; Gestwicki, 2007) ดังต่อไปนี้ 1. การสร้างความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันกับครอบครัวต้องอยู่บนฐานของการให้ความเคารพซึ่ง กันและกัน ครอบครัวเป็นบุคคลส�ำคัญท่ีสุดในชีวิตเด็กและเป็นผู้ท่ีใกล้ชิดเด็กมากท่ีสุด จึงเป็นบุคคลที่รู้ ข้อมลู เกยี่ วกบั ตัวเด็กเปน็ อยา่ งดี การเปิดโอกาสให้พอ่ แม่และผ้ปู กครองได้แบง่ ปนั ขอ้ มูลเก่ียวกบั เด็กชว่ ย มสธ มสธใหค้ รรู จู้ กั ตวั เดก็ รวมทงั้ เขา้ ใจวถิ ชี วี ติ สภาพแวดลอ้ ม และบรบิ ททางวฒั นธรรมของเดก็ อกี ดว้ ย สง่ิ เหลา่ น้ี มีความส�ำคัญต่อการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีตอบสนองต่อความต้องการและความแตกต่างระหว่าง บุคคลของเด็ก ดังน้ันครูควรเปิดโอกาสให้พ่อแม่และผู้ปกครองได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้ รวมทั้ง ทำ� งานรว่ มกบั พอ่ แมแ่ ละผปู้ กครอง โดยทง้ั สองฝา่ ยใหค้ วามชว่ ยเหลอื พงึ่ พากนั และรว่ มกนั รบั ผดิ ชอบตอ่ เดก็ เม่ือเกิดความขัดแย้งข้ึน ทั้งสองฝ่ายพูดคุยส่ือสารและหาทางออกร่วมกัน โดยผลลัพธ์ควรเป็นที่ยอมรับ ของท้ังสองฝ่าย เพื่อน�ำพาเด็กไปสเู่ ป้าหมายทพี่ งึ ประสงค์ การสร้างความสัมพันธใ์ นลักษณะนี้ สะทอ้ นให้ มสธเหน็ ถงึ การยอมรบั ความเคารพ และการให้เกยี รติครอบครัวในฐานะบุคคลทม่ี ีความส�ำคัญต่อชวี ติ เดก็ 2. การท�ำงานร่วมมือกันและเป็นหุ้นส่วนในการเรียนรู้ โดยครู และพ่อแม่ ผู้ปกครองสร้าง การส่ือสารสองทางท่ีต่อเน่ืองและสม�่ำเสมอ การสื่อสารเป็นจุดเร่ิมต้นของการสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีกับ ครอบครวั การสรา้ งการสอื่ สารสองทางสามารถทำ� ไดห้ ลายวธิ ี เชน่ เชญิ ชวนใหพ้ อ่ แมแ่ ละผปู้ กครองเขา้ มา มสี ว่ นรว่ มในชน้ั เรยี นและรว่ มตดั สนิ ใจในการเรยี นรขู้ องเดก็ จดั ใหม้ ชี อ่ งทางการสอ่ื สารทง้ั อยา่ งเปน็ ทางการ มสธ มสธและไม่เป็นทางการ ส่งจดหมายจากโรงเรียนถึงบ้านทุกสัปดาห์ ฯลฯ นอกจากน้ีควรเปิดโอกาสให้พ่อแม่ และผูป้ กครอง ได้แสดงความคิดเห็น แบ่งปนั ขอ้ มลู เก่ยี วกับเดก็ และในขณะเดียวกนั ครูควรเปดิ ใจและรับ ฟังความคิดเห็น ไม่ใช้ภาษาหรือแสดงกิริยาท่าทีแสดงว่าตนเป็นผู้รู้ในทุกเรื่อง รวมถึงสร้างความรู้สึกที่ดี ใหแ้ กพ่ อ่ แม่และผูป้ กครองในการเขา้ มามีสว่ นร่วมในห้องเรยี นและเปน็ ห้นุ ส่วนส�ำคญั ในการเรยี นรูข้ องเด็ก 3. การเปิดรับพ่อแม่และผู้ปกครองให้เข้ามามีส่วนร่วมในห้องเรียน โดยเปดิ โอกาสและชอ่ งทาง ทหี่ ลากหลายใหพ้ อ่ แม่ ผปู้ กครองไดเ้ ขา้ มามบี ทบาทในหอ้ งเรยี น รวมทงั้ กระตนุ้ ใหเ้ ขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการ มสธวางแผนและชว่ ยตดั สินใจในเรอื่ งการดูแลและจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้สำ� หรบั เด็ก 4. การยอมรบั ตอ่ ความตอ้ งการหรอื เปา้ หมายการเรยี นรขู้ องเดก็ ทพ่ี อ่ แมแ่ ละผปู้ กครองคาดหวงั แต่ต้องไม่ท�ำให้ละเลยต่อหน้าท่ีความรับผิดชอบท่ีมีต่อเด็ก ครคู วรเปิดใจรับฟงั สิ่งทพ่ี อ่ แม่และผูป้ กครอง คาดหวงั และตอ้ งการสำ� หรบั เดก็ ดว้ ยทา่ ทที อ่ี อ่ นโยน จรงิ ใจ และใหค้ วามเคารพตอ่ มมุ มองหรอื ความคดิ เหน็ อยา่ งไรกด็ ี การกระท�ำเชน่ น้ีไม่ไดห้ มายความว่า ใหต้ ามใจพ่อแม่และผูป้ กครองทุกเรอื่ ง หรอื ใหพ้ อ่ แมแ่ ละ มสธ มสธผู้ปกครองเข้ามาควบคุมหลักสูตรหรือการจัดกิจกรรมในห้องเรียน แต่หมายถึงครู และพ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรมีการสื่อสาร พูดคุย เจรจากันอย่างสม�่ำเสมอ เพื่อหาวิธีการสนับสนุนเด็กท่ีเหมาะสมท่ีท้ังสองฝ่าย ยอมรบั ได้ และไมข่ ัดแยง้ ตอ่ หลักการจัดการศึกษาสำ� หรบั เดก็ ปฐมวัย 5. การสอ่ื สารเพอ่ื แลกเปลยี่ นเรยี นรเู้ กย่ี วกบั ตวั เดก็ พฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ กบั พอ่ แม่ และผู้ปกครอง บทบาทหน้าท่ีสำ� คญั อย่างหนงึ่ ของครู คือ สนับสนุนและให้ความรแู้ กพ่ ่อแม่และผ้ปู กครอง เพ่ือให้สามารถอบรมเล้ียงดูเด็กได้อย่างมีคุณภาพ การส่ือสารข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กไม่ว่าจะในเรื่องของ มสธพฒั นาการ ความสามารถ ความตอ้ งการของเดก็ ไมเ่ พยี งทำ� ใหพ้ อ่ แมแ่ ละผปู้ กครองรบั ทราบขอ้ มลู เกยี่ วกบั เดก็
5-42 การจัดการศึกษาและหลักสตู รส�ำ หรับเดก็ ปฐมวัยแต่ยังช่วยท�ำให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กโดยรวมด้วย ดังน้ันครูควรมีการสื่อสารข้อมูล มสธเกี่ยวกับเด็กอย่างสม่�ำเสมอ ทั้งแบบท่ีเป็นทางการ ซึ่งอาจท�ำในรูปแบบของการประชุมนัดพบกับทุก ครอบครัวในแตล่ ะภาคการศกึ ษา หรอื แบบท่ีเป็นไมท่ างการท่เี ป็นการพดู คุยกนั ในแตล่ ะวนั ผู้เขียนขอยกตัวอย่างการปฏิบัติท่ีเหมาะสมและการปฏิบัติท่ีตรงกันข้ามตามแนวทางการสร้าง ความสัมพันธท์ ่ีเก้ือกลู กนั กับครอบครวั ดงั ตารางท่ี 5.5 มสธ มสธตารางท่ี5.5ตัวอย่างการสร้างความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันกับครอบครัวตามแนวปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ การปฏิบัติท่ีเหมาะสม การปฏิบัติที่ตรงกันข้าม • มีการท�ำงานร่วมมือกันระหว่างบ้านและโรงเรียน • โ ท ษ แ ล ะ โ ย น ค ว า ม รั บ ผิ ด ช อ บ ไ ป ที่ พ ่ อ แ ม ่ แ ล ะ เพอ่ื สง่ เสรมิ การเรยี นรขู้ องเดก็ แกป้ ญั หาพฤตกิ รรม ผู้ปกครอง เมือ่ เดก็ มีปัญหา • ยอมรับต่อข้อเรียกร้องของพอ่ แมแ่ ละผปู้ กครอง ถงึ มสธเด็ก หรือแก้ไขข้อขัดแย้ง โดยรับฟังความคิดเห็น แมว้ า่ ขอ้ เรยี กรอ้ งดงั กลา่ วสง่ ผลเสยี ตอ่ เดก็ หรอื เพอื่ น ของพ่อแม่และผู้ปกครอง พยายามที่จะท�ำความ ของเดก็ ในหอ้ งเรยี น เข้าใจกับความคาดหวังและเป้าหมายท่ีพ่อแม่และ ผู้ปกครองต้องการให้เกิดขึ้นกับลูก รวมท้ังให้ • ไ ม่ให้พ่อแม่และผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมใน เคารพต่อวัฒนธรรมของครอบครัว ห้องเรยี น มสธ มสธ• ช วนเชญิ ใหพ้ อ่ แม่และผปู้ กครอง เขา้ มามสี ่วนรว่ ม • จ ัดตารางท่ีไม่ยืดหยุ่น ท�ำให้เป็นอุปสรรคส�ำหรับ ในหอ้ งเรยี น โดยทกุ ครอบครัวสามารถเขา้ มาสนบั พ่อแม่และผู้ปกครอง ในการเข้าร่วมท�ำกิจกรรม สนนุ และมีสว่ นร่วมได้ตามความถนดั เชน่ มาอา่ น ทที่ างโรงเรยี นจดั ขน้ึ หรอื การเขา้ ประชมุ เพอ่ื พบปะ หนังสือกับเด็กๆ มาช่วยท�ำกิจกรรมประกอบ กับครู อาหาร มาจัดกจิ กรรมศลิ ปะ เป็นตน้ • สอ่ื สารกบั พอ่ แม่และผปู้ กครอง เมอื่ มีปญั หา หรือ มสธ• คำ� นึงถึงความสะดวกของครอบครัวเป็นส�ำคัญเม่ือ ความขัดแยง้ เกดิ ขึ้นเทา่ นนั้ จดั กจิ กรรมทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั พอ่ แมแ่ ละผปู้ กครอง เชน่ เมื่อจัดการประชุมพบปะผู้ปกครอง หรือกิจกรรม • ขาดการสื่อสารระหว่างครู และพ่อแม่ ผู้ปกครอง พิเศษ โรงเรียนจัดสรรเวลาที่เอื้อต่อพ่อแม่และ ทำ� ให้ความสัมพันธ์หา่ งเหนิ ผูป้ กครอง มสธ มสธ• สรา้ งความสมั พนั ธท์ ด่ี กี บั ครอบครวั โดยสอ่ื สารกบั ครอบครัวอย่างสม่ำ� เสมอ เพือ่ สร้างความไว้วางใจ • ครูขอข้อมูลเด็กและรับฟังความคิดเห็นจากพ่อแม่ และผู้ปกครอง รวมท้ังใช้ข้อมูลเหล่าน้ีประกอบ มสธในการประเมินพัฒนาการและการเรยี นรู้
แนวปฏบิ ัตทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการในการจัดการศกึ ษาปฐมวัย 5-43 สรปุ ไดว้ า่ แนวทางในการสรา้ งความสมั พนั ธท์ เี่ กอ้ื กลู กนั กบั ครอบครวั ตามแนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสม มสธกับพฒั นาการ คอื การสร้างความสมั พันธ์ที่เก้อื กลู กันกับครอบครัวตอ้ งอยูบ่ นฐานของการให้ความเคารพ ซึ่งกันและกัน การท�ำงานร่วมมือกันและเป็นหุ้นส่วนในการเรียนรู้ การเปิดรับพ่อแม่และผู้ปกครองให้เข้า มามสี ว่ นรว่ มในหอ้ งเรยี น ครใู หก้ ารยอมรบั ตอ่ ความตอ้ งการ เปา้ หมายการเรยี นรขู้ องพอ่ แมแ่ ละผปู้ กครอง ครูส่ือสารเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเด็ก และเร่ืองพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กกับพ่อแม่และ มสธ มสธผู้ปกครอง กิจกรรม 5.3.4 ใหน้ กั ศกึ ษาอธบิ ายวา่ การสรา้ งความสมั พนั ธท์ เี่ กอื้ กลู กนั กบั ครอบครวั ตามแนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสม กับพฒั นาการทีด่ ีควรมแี นวทางอย่างไร มสธแนวตอบกิจกรรม 5.3.4 การสร้างความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันกับครอบครัวควรต้ังอยู่บนฐานของการให้ความเคารพซ่ึงกัน และกัน การท�ำงานรว่ มมือกนั และเปน็ ห้นุ สว่ นในการเรยี นรู้ ครู และครอบครวั มีการแลกเปลย่ี น สอ่ื สาร ขอ้ มลู เกยี่ วกบั เดก็ อยา่ งสมำ่� เสมอ ครรู บั ฟงั และยอมรบั ความคดิ เหน็ ของพอ่ แม่ และเปดิ โอกาสใหพ้ อ่ แมใ่ ห้ มมสสธธ มมสสธธ มมสสธธเข้ามามีส่วนรว่ มในหอ้ งเรยี น
5-44 การจัดการศกึ ษาและหลกั สูตรสำ�หรบั เดก็ ปฐมวัย มสธบรรณานุกรม จรี ะพนั ธ์ุ พลู พฒั น.์ (2559). ความรแู้ ละการปฏบิ ตั ขิ องผดู้ แู ลเดก็ เกย่ี วกบั การปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั พฒั นาการของ เดก็ ปฐมวยั . กรงุ เทพฯ: สถาบันพฒั นาคุณภาพวชิ าการ. มสธ มสธพชั รี ผลโยธิน และ อรณุ ี หรดาล. (2557). ความรูพ้ น้ื ฐานเก่ียวกบั พฒั นาการและการเรยี นรู้ของเดก็ ปฐมวยั . ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ าพฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ ปฐมวยั (หนว่ ยท่ี 1, น. 1-1 ถงึ 1-46). นนทบรุ :ี ส�ำนกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. ยศวีร์ สายฟา้ . (2555). แนวการปฏบิ ตั ทิ ี่เหมาะสมตามพัฒนาการ (Developmentally Appropriate Practice) ในช้ันเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น: จากกรอบแนวคิดทฤษฎีสู่หลักการปฏิบัติที่เหมาะสม. วารสาร ครศุ าสตร์, 39(2) (พฤศจิกายน 2554-กมุ ภาพนั ธ์ 2555), น. 120-129. วรี ะชาติ กเิ ลนทอง. (2010). การพฒั นาเดก็ ปฐมวยั เพอื่ สงั คมทเ่ี สมอภาคและเศรษฐกจิ ทยี่ งั่ ยนื . สบื คน้ จาก www. มสธriece.org อรุณี หรดาล. (2553). แนวคดิ ในการจดั ประสบการณ์เพ่ือพฒั นาเดก็ ปฐมวัย. ใน ประมวลสาระฉบับเพ่มิ เตมิ ชดุ วิชาการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัย. (หน่วยท่ี 1, น. 1-9). นนทบุรี: ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย สโุ ขทัยธรรมาธิราช. มสธ มสธAldridge, J., & Goldman, R. (2007). Current Issues and Trends in Education. United States of America: Pearson Education, Inc. Bredekamp, S., & Copple, C. (1997). Developmentally Appropriate Practice in Early Childhood Programs. Revised edition. The United States of America: The National Association for the Education of Young Children. Center on the Developing Child Harvard University. (2017). Executive Function and Self- regulation. Retrieved from http://developingchild.harvard.edu/science/key-concepts/exec- มสธutive-function/ Center for the Economics of Human Development. (n.d.). Key Findings. Retrieved from https:// cehd.uchicago.edu/ Child Care Aware. (2016). Developmentally Appropriate Practice. Retrieved from http://child- careaware.org/providers/making-a-difference/developmentally-appropriate-practices/ มสธ มสธCook, J. L., & Cook, G. (2010). Child Development Priniciples and Perspective (2nd ed.). The United States of America Pearson Education. Copple, C., & Bredekamp, S. (2006). Basics of Developmentally Appropriate Practice: An Intro- duction for Teachers for Children 3 to 6. The United States of America: National Association for the Education of Young Children. Copple, C., & Bredekamp, S. (2009). Developmentally Appropriate Practice in Early Childhood Programs Serving Children from Birth Through Age 8. Washington, DC: National มสธAssociation for the Education of Young Children.
แนวปฏบิ ัตทิ ี่เหมาะสมกบั พฒั นาการในการจดั การศึกษาปฐมวยั 5-45 Eliason, C., & Jenkins, L. (2008). A Practical Guide to Early Childhood Curriculum (8th ed.). The มสธUnited States of America: Pearson Education. Epstein, J. L. (2000). School and Family Partnerships: Preparing Educators and Improving Schools. The United States of America: Westview. Gestwicki, C. (2007). Developmentally Appropriate Practice: Curriculum and Development in Early Education. Canada: Thomson Delmar Learning. มสธ มสธGillespie, L. G., & Seibel, N. L. (2006). Self-regulation a Cornerstone of Early Childhood Development. Young Children. 61(4), 34-39. Gordon, A. M., & Browne, K. W. (2014). Beginning and Beyond: Foundations in Early Childhood Education (9th ed.). The United States of America: Wadsworth. Heckman, J. J. (2011). The Economics of Inequality the Value of Early Childhood Education. American Educator, 35(1), 31-35. มสธKostelnik, M. J., Soderman, A. K., & Whiren, A. P. (2011). Developmentally Appropriate Curriculum. New Jersey: Pearson Education. McAfee, O., & Leong, D. J. (2007). Assessing and Guiding Young Children’s Development and Learning. the United States of America: Pearson Education, Inc. National Association for the Education of Young Children. (n.d.-a). Developmentally Appropriate มสธ มสธPractice (DAP). Retrieved from http://www.naeyc.org/DAP National Association for the Education of Young Children. (n.d.-b). DAP Position Statement Chronology. Retrieved from https://www.naeyc.org/dap/faq/chronology Pena, D. C. (2000). Parent involvement: Influencing factors and implications. The Journal of มสธ มมสสธธ มสธEducational Research, 94(1), 42-54.
มสธ หน่วยท่ี6 การประกันคุณภาพการศึกษาปฐมวัย อาจารย์ ดร.บัญชา แสนทวี มมมสสสธธธ มมสสธธ มมมสสสธธธชื่อ วุฒิ ต�ำแหน่ง มสธหน่วยที่เขียน อาจารย์ ดร.บญั ชา แสนทวี กศ.บ. (ฟสิ ิกส์-คณิตศาสตร์), ค.ม. (การวัดและประเมินผลการศึกษา) กศ.ด. (การวิจยั และพัฒนาหลกั สตู ร) ผู้จดั การ งานวทิ ยาศาสตร์ในโรงเรยี นชนบท ดา้ นพัฒนากำ� ลงั คนดา้ นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำ� นกั งานพัฒนาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี หง่ ชาติ หนว่ ยที่ 6
6-2 การจัดการศกึ ษาและหลกั สูตรส�ำหรับเด็กปฐมวยั มสธแผนการสอนประจ�ำหน่วย ชุดวิชา การจดั การศึกษาและหลกั สตู รส�ำหรับเด็กปฐมวัย มสธ มสธหน่วยท่ี 6 การประกนั คณุ ภาพการศึกษาปฐมวยั ตอนที่ 6.1 ความรู้พ้นื ฐานเกีย่ วกบั การประกันคณุ ภาพการศึกษาปฐมวัย 6.2 หลกั การและกระบวนการของการประกนั คุณภาพการศึกษาปฐมวยั 6.3 การนำ� ผลของการประกันคุณภาพการศึกษาปฐมวัยไปใช้ มสธแนวคิด 1. ก ารประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาเปน็ วธิ กี ารหรอื กลยทุ ธท์ ก่ี ำ� หนดแนวปฏบิ ตั หิ รอื แนวทางในการ ด�ำเนินงานในการจัดการศึกษาเพื่อให้ทราบความก้าวหน้าของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา มสธ มสธของสถานศกึ ษาและเปน็ ทยี่ อมรบั ของสงั คม การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาแบง่ เปน็ 2 ประเภท ได้แก่ การประกนั คณุ ภาพภายใน และการประกนั คุณภาพภายนอก 2. ก ารประกันคุณภาพการศึกษาใช้หลักการมีส่วนร่วม การกระจายอ�ำนาจ ความรับผิดชอบ การบริหารงานแบบบูรณาการ การตรวจสอบ ทบทวน และปรับปรุง ที่มีความต่อเนื่องและ ยง่ั ยืน โดยใชก้ ระบวนการควบคมุ คุณภาพ การตรวจสอบคุณภาพ และการประเมนิ คณุ ภาพ 3. การนำ� ผลของการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาปฐมวยั ไปใช้ เปน็ การนำ� ขอ้ คน้ พบหรอื ผลทไ่ี ดจ้ าก มสธการประเมินไปใชป้ ระกอบการกำ� หนดแนวคดิ และการปฏบิ ัตงิ าน ปัจจบุ ันสถานศกึ ษาทกุ แหง่ มกี ารดำ� เนนิ การประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษาและรบั การประเมนิ ภายนอกจากสำ� นกั งาน รับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา แต่สถานศึกษาส่วนใหญ่ยังประสบปัญหา ดา้ นกฎหมายและนโยบาย ปญั หาดา้ นการปฏบิ ตั ิ การขาดความตอ่ เนอ่ื งเชงิ นโยบาย การขาด การก�ำกบั เชงิ ปริมาณ และการขาดการควบคุมคณุ ภาพ มสธ มสธวัตถุประสงค์ เมอื่ ศกึ ษาหนว่ ยท่ี 6 จบแลว้ นกั ศกึ ษาสามารถ 1. อธบิ ายความรู้พืน้ ฐานเกีย่ วกับการประกันคุณภาพการศกึ ษาปฐมวัยได้ 2. อธิบายหลักการและกระบวนการของการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาปฐมวัยได้ มสธ3. อธิบายและยกตวั อยา่ งการน�ำผลของการประกันคุณภาพการศึกษาปฐมวัยไปใชไ้ ด้
การประกันคุณภาพการศึกษาปฐมวยั6-3 กิจกรรมระหว่างเรียน มสธ1. ทำ� แบบประเมนิ ผลตนเองก่อนเรยี นหนว่ ยที่ 6 2. ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 6.1-6.3 3. ปฏิบตั กิ ิจกรรมตามทีไ่ ดร้ บั มอบหมายในเอกสารการสอน 4. ฟังซดี ีเสียงประจำ� ชดุ วชิ า มสธ มสธ5. ชมดวี ดี ีประกอบชดุ วิชา (ถ้ามี) 6. ทำ� แบบประเมนิ ผลตนเองหลงั เรียนหน่วยที่ 6 ส่ือการสอน 1. เอกสารการสอน 2. แบบฝกึ ปฏบิ ตั ิ มสธ3. ซีดีเสียงประจ�ำชุดวชิ า 4. ดีวีดีประกอบชุดวิชา (ถา้ มี) การประเมินผล มสธ มสธ1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน 2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรอื่ ง 3. ประเมินผลจากการสอบไล่ประจำ� ภาคการศึกษา เม่ืออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน มสธ มมสสธธ มสธหน่วยท่ี6ในแบบฝึกปฏิบัติแล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
6-4 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรส�ำหรับเดก็ ปฐมวยั มสธตอนท่ี 6.1 ความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับการประกันคุณภาพการศึกษาปฐมวัย โปรดอ่านหวั เรอื่ ง แนวคดิ และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 6.1 แล้วจึงศึกษารายละเอยี ดต่อไป มสธ มสธหัวเรื่อง 6.1.1 ความหมาย ความสำ� คญั และจดุ มงุ่ หมายของการประกันคุณภาพการศึกษาปฐมวยั 6.1.2 ประเภทของการประกนั คณุ ภาพการศึกษาปฐมวยั แนวคิด 1. การประกันคุณภาพการศึกษาปฐมวัย เป็นการด�ำเนินงานจัดการศึกษาปฐมวัยของ มสธสถานศึกษาตามปกติท่ีมีมาตรฐานสถานศึกษาเป็นเป้าหมาย เพื่อให้เด็กปฐมวัยมี คุณภาพตามมาตรฐานท่ีก�ำหนด โดยมีการวางแผนกลยุทธ์ท่ีแสดงถึงความรับผิดชอบ ต่อการด�ำเนินงาน จึงท�ำให้การประกันคุณภาพการศึกษาปฐมวัยมีความส�ำคัญต่อเด็ก ปฐมวยั พอ่ แม่ ผปู้ กครอง สถานศกึ ษา และชุมชน ผลของการประกนั คณุ ภาพจะท�ำให้ มสธ มสธสถานศึกษามีการพัฒนาและทราบความก้าวหน้าของคุณภาพการศึกษาปฐมวัยของ ตนเอง ทั้งนี้เพื่อรายงานให้ภาครัฐและเอกชนได้รับทราบ และเพื่อสร้างความม่ันใจ ให้แกเ่ ด็กปฐมวยั พอ่ แม่ ผูป้ กครอง รวมท้งั เป็นที่ยอมรบั ของชุมชนและสังคม 2. การประกันคณุ ภาพการศึกษาปฐมวยั แบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ 1) การประกนั คุณภาพ ภายในเป็นการประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา ของสถานศึกษาจากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษาน้ันเอง หรือโดยหน่วยงาน มสธต้นสังกัดท่ีมีหน้าที่ก�ำกับดูแลสถานศึกษาน้ัน และ 2) การประกันคุณภาพภายนอก เป็นการประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของ สถานศกึ ษาจากภายนอก โดยสำ� นกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษา หรือบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกที่ส�ำนักงานดังกล่าวรับรอง เพื่อเป็นการประกัน คุณภาพและใหม้ กี ารพฒั นาคณุ ภาพและมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศกึ ษา มสธ มสธวัตถุประสงค์ เม่ือศกึ ษาตอนที่ 6.1 จบแล้ว นกั ศึกษาสามารถ 1. อ ธิบายความหมาย ความส�ำคัญ และจุดมุ่งหมายของการประกันคุณภาพการศึกษา ปฐมวัยได้ มสธ2. อธิบายประเภทของการประกนั คุณภาพการศกึ ษาปฐมวยั ได้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 468
Pages: