การประกันคณุ ภาพการศกึ ษาปฐมวยั 6-55 มสธเรื่องท่ี 6.3.3 สภาพและปัญหาของการประกันคุณภาพการศึกษาปฐมวัย มสธ มสธนบั ต้งั แตป่ ระเทศไทยมีพระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เป็นตน้ มา ขอ้ มลู เกย่ี วกับ สภาพและปญั หาของการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาสว่ นใหญไ่ ดร้ ะบผุ ลของการจดั การศกึ ษาปฐมวยั รวมไว้ เป็นภาพรวมของสถานศึกษาท่ีจัดการศึกษาหลายระดับในแห่งเดียวกัน เช่น จัดการศึกษาระดับปฐมวัย และประถมศึกษา หรอื จัดการศึกษาระดบั ปฐมวยั ประถมศกึ ษา และมัธยมศึกษาตอนต้น ในเรือ่ งนี้จะได้ น�ำเสนอสภาพปัจจุบันของการประกันคุณภาพการศึกษาปฐมวัยและปัญหาของการประกันคุณภาพการ จัดการศึกษาปฐมวยั ซึ่งมสี าระทีส่ ำ� คัญ ดงั น้ี มสธสภาพปัจจุบันของการประกันคุณภาพการศึกษาปฐมวัย การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาปฐมวยั เรม่ิ มปี รากฏขน้ึ ครง้ั แรก เมอ่ื ประเทศไทยประกาศพระราช- บัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เนื่องจากการศึกษาปฐมวัยเป็นการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ดังน้ันการ ด�ำเนินงานเกี่ยวกับการประกันคุณภาพการศึกษาปฐมวัยจึงด�ำเนินการเช่นเดียวกับการศึกษาข้ันพื้นฐาน มสธ มสธในสถานศึกษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประกันคุณภาพภายในหรือการประกันคุณภาพภายนอก กล่าวคือ การจดั การศกึ ษาปฐมวยั เปน็ การศกึ ษาทจี่ ะตอ้ งดำ� เนนิ การประกนั คณุ ภาพภายในตามกฎกระทรวงวา่ ดว้ ย ระบบ หลกั เกณฑ์ และวธิ กี ารประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา พ.ศ. 2553 โดยทไ่ี ดม้ ปี ระกาศกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เรอ่ื ง ใหใ้ ชม้ าตรฐานการศกึ ษาปฐมวยั เพอ่ื การประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา เมอ่ื วนั ท่ี 27 กรกฎาคม 2554 จงึ ทำ� ใหส้ ถานศกึ ษาปฐมวยั ทกุ สงั กดั ตอ้ งดำ� เนนิ การประกนั คณุ ภาพภายในและเตรยี มรบั การประกนั คุณภาพภายนอก มสธสำ� นกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ ารไดจ้ ดั ทำ� รายงานการตดิ ตามการดำ� เนนิ งาน ของแผนยทุ ธศาสตรช์ าตดิ า้ นเดก็ ปฐมวยั (แรกเกดิ ถงึ กอ่ นเขา้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 1) ตามนโยบายรฐั บาลดา้ น เด็กปฐมวัย พ.ศ. 2555-2559 ได้ก�ำหนดยุทธศาสตร์ไว้ 4 ยุทธศาสตร์ โดยยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ การจดั การศกึ ษาปฐมวยั คอื ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 1 เดก็ ทกุ คนไดร้ บั บรกิ ารในการพฒั นาเตม็ ศกั ยภาพ จากขอ้ มลู การสำ� รวจเรง่ ดว่ นของกรมอนามยั ปี พ.ศ. 2556 พบวา่ เดก็ แรกเกดิ -3 ปี รอ้ ยละ 90.01 ไดร้ บั การประเมนิ มสธ มสธพฒั นาการ นอกจากนี้ ผลการประเมินคุณภาพภายนอกจากรายงานการติดตามและประเมินผลการจัด การศกึ ษาตามนโยบายดา้ นการศกึ ษาของรฐั บาล ปี พ.ศ. 2556 ทพ่ี มิ พเ์ ผยแพรโ่ ดยสำ� นกั ประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษา สำ� นกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (สำ� นกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา, 2557: บทสรุปผู้บริหาร (ง-จ)) ระบไุ ว้วา่ จากผลประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม (พ.ศ. 2554-2558) โดย สมศ. จากขอ้ มลู ณ วนั ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556 พบวา่ สถานศกึ ษาทกุ ระดบั การศึกษามคี ุณภาพ มสธและมาตรฐานไมค่ รบทกุ แหง่ โดยทสี่ ถานศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน (การศกึ ษาปฐมวยั ) ทเ่ี ขา้ รบั การประเมนิ จำ� นวน
6-56 การจดั การศกึ ษาและหลักสตู รส�ำหรบั เด็กปฐมวัย 19,168 แห่ง ได้รับรองคุณภาพและมาตรฐาน จ�ำนวน 19,134 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 97.53 ไม่รับรอง มสธ484 แห่ง คิดเป็นรอ้ ยละ 2.47 จะเหน็ ไดว้ า่ ตง้ั แตม่ กี ารประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ ตง้ั แต่ ปี พ.ศ. 2542 เปน็ ตน้ มา ส�ำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) ประเมินคุณภาพ ภายนอกสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน สถานศึกษาต่างๆ มีการต่ืนตัวเพ่ือรองรับการประเมินภายนอก แม้ว่า มสธ มสธจะมีสถานศึกษาท้ังท่ีผ่านเกณฑ์และไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน แต่ก็ท�ำให้สถานศึกษาต่างๆ จัดเตรียม ความพร้อมเพ่ือรองรับการประเมินอย่างต่อเนื่อง นอกจากน้ี มีการท�ำวิจัยในรูปแบบของวิทยานิพนธ์ เกี่ยวกับการประกันคุณภาพการศึกษาในหัวข้อและประเด็นต่างๆ ได้แก่ การด�ำเนินการประกันคุณภาพ ภายในสถานศึกษา สภาพปัญหาการประกันคุณภาพภายใน ปัจจัยท่ีส่งผลต่อคุณภาพของระบบประกัน คุณภาพภายใน บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา การมีส่วนร่วมของบุคลากร การพัฒนาบุคลากร และ การนำ� ผลการประเมนิ คณุ ภาพไปใช้ ในเรอื่ งนจ้ี ะน�ำเสนอสาระของแต่ละหวั ขอ้ พอสังเขป ดังน้ี มสธ1. การดำ� เนนิ การประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา ครผู สู้ อนทอี่ ายุ วฒุ กิ ารศกึ ษา และประสบ- การณ์การทํางานต่างกัน มีทัศนะต่อการดําเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาไม่ แตกตา่ งกนั (สถาพร หาภา, 2552) บุคลากรในสถานศึกษาและการจัดระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาส่งผลทางตรงต่อ ประสทิ ธผิ ลการประกนั คณุ ภาพภายใน สภาพแวดลอ้ มสง่ ผลทางออ้ มผา่ นบคุ ลากรในสถานศกึ ษา วฒั นธรรม มสธ มสธสถานศกึ ษา และการจดั ระบบประกนั คุณภาพภายในของสถานศกึ ษา ตอ่ ประสิทธผิ ลการประกนั คณุ ภาพ ภายในสถานศกึ ษา (อดุลย์ สุขริ มั ย์และสวัสดิ์ โพธวิ ัฒน์, 2555) โรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ มีการด�ำเนินงานการประกันคุณภาพภายใน แตกตา่ งกัน (เกศรนิ ทร์ แทบสี และคณะ, 2557) สภาพการด�ำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็ก สถานศึกษาจะ นำ� มาตรฐานการศกึ ษาของสถานศกึ ษาไปใชเ้ ปน็ แนวทางจดั ทำ� แผนของสถานศกึ ษา และมกี ารจดั โครงสรา้ ง มสธการบริหารงานในสถานศึกษาที่ครอบคลุมภารกิจของสถานศึกษาโดยทุกฝ่ายมีส่วนร่วม นอกจากน้ี ยังมี การประเมินคุณภาพภายในสถานศึกษาอย่างน้อยปีละ 1 คร้ัง เพ่ือเป็นข้อมูลในการปรับปรุงแผนพัฒนา สถานศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง และนำ� ผลการตดิ ตามตรวจสอบคณุ ภาพการศกึ ษาเปน็ ขอ้ มลู ในการจดั ทำ� รายงาน ประจำ� ปี การพัฒนาการด�ำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กนั้น สถาน มสธ มสธศึกษาควรจัดอบรม ประชุมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้ครู บุคลากรทางการศึกษาและคณะกรรมการผู้ที่ เกย่ี วขอ้ งทกุ ฝา่ ยไดต้ ระหนกั ในบทบาทหนา้ ทข่ี องตนเอง และระดมความคดิ โดยเนน้ การมสี ว่ นรว่ มทกุ ฝา่ ย มีการน�ำบุคลากรศึกษาดูงานสถานศึกษาที่ประสบความส�ำเร็จหรือผ่านการประเมินแล้ว สถานศึกษาจะ จัดหางบประมาณสนับสนุนจัดการเรียนการสอนจากแหล่งต่างๆ ท่ีหลากหลายทั้งภายในและภายนอก องค์กร สถานศึกษาควรน�ำผลการประเมินคุณภาพภายในและภายนอกมาปรับปรุง แก้ไข และพัฒนา คุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้นรวมทั้งควรจัดให้มีนิเทศ ก�ำกับ ติดตาม รายงานประเมินคุณภาพภายในเพ่ือ มสธกระตุ้นการพฒั นางานใหเ้ ป็นระบบมากขึ้น (รตั นา แกว้ จันทร์เพชรและชยตุ วิจิตรสุนทร, 2558)
การประกันคุณภาพการศกึ ษาปฐมวัย 6-57 การประกันคุณภาพการศึกษาภายในโดยภาพรวมส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา ซึ่ง มสธประกอบด้วย ความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ความสามารถในการ พัฒนานักเรียนท่ีมีทัศนคติทางบวก ความสามารถในการแก้ปัญหาในสถานศึกษา และความสามารถ ในการปรับเปล่ียนและพัฒนาสถานศึกษา ท้ังนี้การประกันคุณภาพการศึกษาภายในท่ีมีการจัดท�ำ แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา และการรายงานคุณภาพการศึกษาประจ�ำปีส่งผลต่อประสิทธิผลของ มสธ มสธสถานศึกษาโดยภาพรวมอยา่ งมีนัยส�ำคญั (พเิ ชษฐ์ วายวุ รรธนะ, 2550) 2. สภาพปัญหาการประกันคุณภาพภายใน สิ่งที่เป็นปัญหามากท่ีสุดของการประกันคุณภาพ ภายในของสถานศึกษาได้แก่ การน�ำผลการประกันคุณภาพการศึกษามาปรับปรุงการด�ำเนินงานของ สถานศกึ ษา (สมุ ติ า ชยั ศิลป์และธนิษฐา รัศมเี จริญ, 2555) 3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพของระบบประกันคุณภาพภายใน ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลโดยรวมต่อ คณุ ภาพของระบบประกนั คุณภาพภายในสถานศกึ ษาขั้นพื้นฐานมากที่สดุ ได้แก่ ปจั จัยดา้ นกระบวนการ มสธซึ่งประกอบด้วย การวางแผนและก�ำกับดูแล การนิเทศติดตามผล การจัดระบบสารสนเทศ ปัจจัยด้าน บคุ ลากร ประกอบด้วย ภาวะผูน้ ำ� การสร้างความตระหนัก แรงจงู ใจในการปฏบิ ตั ิงานการประกนั คุณภาพ ภายใน และทศั นคตทิ มี่ ตี อ่ การประกนั คณุ ภาพภายใน และปจั จยั ดา้ นทรพั ยากร ประกอบดว้ ย ความพรอ้ ม ทางทรัพยากรด้านบคุ ลากร งบประมาณ วัสดุ อาคารสถานท่ี (ณฐมนวรรณ ศิรสิ ุขชัยวฒุ ิ, 2551) ปจั จยั ดา้ นผู้บริหาร ครผู ูส้ อน งบประมาณ ส่ิงแวดลอ้ ม การมีส่วนรว่ ม การทำ� งานเปน็ ทีม การ มสธ มสธวางแผน ชุมชน และการเรียนการสอน มีความสัมพันธ์กับความส�ำเร็จในการประกันคุณภาพการศึกษา อยา่ งมนี ยั สำ� คญั โดยปจั จยั ดา้ นการเรยี นการสอน ผบู้ รหิ าร ครผู สู้ อนและสงิ่ แวดลอ้ ม สง่ ผลในทางบวกตอ่ ความส�ำเร็จในการประกันคุณภาพการศึกษา อย่างมีนัยส�ำคัญ ส�ำหรับตัวแปรที่ส่งต่อความส�ำเร็จในการ ประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาสงู ทสี่ ดุ คอื การเรยี นการสอน รองลงมา คอื ผบู้ รหิ าร ครผู สู้ อน และสง่ิ แวดลอ้ ม ตามลำ� ดบั (สถติ ย์ จนี ประสพ, 2553) 4. บทบาทของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษามบี ทบาทตอ่ การประกนั คณุ ภาพภายใน มสธสถานศกึ ษา ท้ังในดา้ นคุณภาพผ้เู รียน ดา้ นอัตลกั ษณข์ องสถานศึกษา ด้านมาตรการสง่ เสรมิ ดา้ นการจดั การศกึ ษา และด้านการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ โดยครผู ้สู อนท่มี เี พศ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ การทำ� งานตา่ งกนั มคี วามคดิ เหน็ วา่ บทบาทของผบู้ รหิ ารทมี่ ตี อ่ การประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษาโดย ภาพรวมไม่แตกต่างกัน ยกเว้น ด้านการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ที่มีความเห็นแตกต่างกัน (ศศิวิมล ภมู แิ ดง, 2557) มสธ มสธ5. การมสี ว่ นรว่ มของบคุ ลากร การมสี ว่ นรว่ มของบคุ ลากรในการพฒั นาการดำ� เนนิ งานการประกนั คุณภาพการศึกษาน้ัน ครูท่ีมีวุฒิการศึกษาต่างกัน สอนในสถานศึกษาท่ีมีขนาดต่างกัน มีส่วนร่วม ในการพฒั นาการดำ� เนนิ งานการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาไมแ่ ตกตา่ งกนั ครทู เ่ี ปน็ กลมุ่ ตวั อยา่ งมคี วามคดิ เหน็ วา่ การพฒั นาการดำ� เนนิ งานการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษามปี ญั หาดา้ นขอ้ มลู สารสนเทศ ขาดการจดั เอกสารท่ีเปน็ ระบบ เกณฑ์มาตรฐานการศกึ ษายังไมค่ �ำนงึ ถึงสภาพของนกั เรียน ครอบครวั เศรษฐกิจและ สงั คม ไมน่ ำ� ผลการประเมนิ มาปรบั ปรงุ พฒั นาในการดำ� เนนิ งานอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ขาดการสนบั สนนุ การปฏบิ ตั งิ าน มสธตามแผน โครงการ กจิ กรรม ไมม่ กี ารตดิ ตามประเมนิ ผลอยา่ งตอ่ เนอื่ ง นอกจากนี้ บคุ ลากรยงั ขาดความรู้
6-58 การจัดการศึกษาและหลกั สูตรส�ำหรับเด็กปฐมวยั ความเข้าใจ มีความเคยชนิ กบั การท�ำงานรูปแบบเดมิ ๆ ครบู างส่วนไม่ค่อยมสี ่วนรว่ มในการจดั ท�ำรายงาน มสธคณุ ภาพการศกึ ษา และกระบวนการดำ� เนนิ การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาไมเ่ ปน็ ไปอยา่ งตอ่ เนอื่ ง แนวทาง การพัฒนาควรมีการติดตามและน�ำข้อมูลมาปรับใช้อย่างต่อเน่ือง ควรพัฒนาครูให้มีความรู้ความสามารถ ตรงตามเปา้ หมาย ใหม้ กี ารประชมุ วางแผนรว่ มกนั เพอื่ รบั ทราบ และสรปุ การทำ� งานทไี่ ดป้ ฏบิ ตั ผิ า่ นมา ให้ มกี ารตรวจสอบประเมนิ ผลจากการทำ� กิจกรรม โครงการทุกครงั้ เพ่อื น�ำผลมาใชใ้ นการพฒั นาและปรับปรงุ มสธ มสธนำ� ผลการตรวจสอบมาปรบั ปรงุ แกไ้ ขในขอ้ บกพรอ่ ง ผบู้ รหิ ารจะตอ้ งกระตนุ้ ใหผ้ รู้ บั ผดิ ชอบรว่ มกนั ดำ� เนนิ งาน อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ควรมกี ารตรวจสอบขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพทป่ี รากฏตอ่ ผเู้ รยี น ควรรายงานตามสภาพความเปน็ จรงิ และสรา้ งความตระหนกั ใหค้ รแู ละผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งรหู้ นา้ ทแี่ ละเหน็ ความสำ� คญั ของการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา (จรี ภา เพชรสงคราม, 2554) 6. การพฒั นาบคุ ลากร การพฒั นาบคุ ลากรเพอื่ การดำ� เนนิ งานประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา นั้น มีการสร้างรูปแบบ การพัฒนาบุคลากรด้วยการเรียนรู้จากการปฏิบัติเพ่ือการประกันคุณภาพภายใน มสธสถานศึกษาขน้ึ มีองค์ประกอบสำ� คัญคือ หลักการ ประกอบด้วย การมีส่วนร่วม การสร้างเครือข่ายการท�ำงาน การพัฒนาต่อเนื่อง การ บูรณาการ หลักการบรหิ ารกจิ การบา้ นเมืองและสังคมทด่ี ี และการเปน็ องค์กรแห่งการเรียนรู้ กระบวนการประกอบด้วย การวางแผน การปฏบิ ตั จิ ริง การตรวจสอบและประเมนิ ความกา้ วหนา้ การปรบั ปรงุ และต่อยอดสวู่ ธิ ที ด่ี ที ีส่ ุด มสธ มสธเมอ่ื นำ� รปู แบบการพฒั นาบคุ ลากรทสี่ รา้ งขน้ึ ไปใชก้ บั สถานศกึ ษา ผลการใชร้ ปู แบบ พบวา่ สถาน- ศึกษาที่เป็นกลุ่มตัวอย่างมีผลการประเมินคุณภาพภายในสถานศึกษา หลังการใช้รูปแบบดีกว่าก่อนการ ใช้ และผู้บริหารสถานศึกษามีความพึงพอใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรท่ีท�ำหน้าท่ีนิเทศ ติดตาม ตรวจสอบ และประเมนิ (ประสทิ ธ์ิ ชมุ ศร,ี 2555) 7. การน�ำผลการประเมินคุณภาพไปใช้ ปัจจัยท่ีส่งผลต่อการใช้ผลการประเมินคุณภาพภายใน สถานศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษา กรณีศึกษาโรงเรียนคันนายาว กรุงเทพมหานคร ได้ผลการวิจัยที่ มสธนา่ สนใจ กล่าวคอื ปัจจัยด้านผู้บริหารที่สง่ ผลต่อการใช้ผลการประเมินภายในสถานศกึ ษา ได้แก่ ความรู้ ความสามารถของผู้บริหาร ความสามารถในการบริหารจัดการ การมีจิตวิทยาในการท�ำงานร่วมกับผู้อ่ืน และการพัฒนาตนเองอย่างสม�่ำเสมอของผู้บริหาร ปัจจัยด้านผู้ประเมิน ได้แก่ การพัฒนาตนเองของ ผปู้ ระเมนิ และการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนทเ่ี หมาะสม ทศั นคตติ อ่ การทำ� งานประเมนิ ภายในสถานศกึ ษา การเห็นความส�ำคัญและคุณค่าของการประเมินภายในสถานศึกษา และการเห็นความส�ำคัญของผลการ มสธ มสธประเมนิ ปัจจัยด้านกระบวนการ ได้แก่ กระบวนการทำ� งาน ตามวงจรคณุ ภาพ PDCA ซง่ึ มีการปรบั ใช้ ผลการประเมนิ ตลอดทั้งกระบวนการ และปัจจัยอ่ืนท่ีเก่ียวข้อง ไดแ้ ก่ ความรว่ มมือของผปู้ กครองในการ รว่ มกจิ กรรมตา่ งๆ ของโรงเรยี น และการพฒั นาตนเองของนกั เรยี นในดา้ นการทำ� งานและการรว่ มกจิ กรรม มสธกบั ทางสถานศกึ ษา (แคทลียา ศรแี ปลก, 2544)
การประกันคณุ ภาพการศึกษาปฐมวยั 6-59 ในส่วนของการน�ำผลการประเมินคุณภาพภายนอกไปใช้กับสถานศึกษา พบว่า การนําผลการ มสธประเมินภายนอกไปใชใ้ นการพัฒนาสถานศึกษาในแตล่ ะมาตรฐาน (ปรชี า รอดมณ,ี 2550) มดี ังนี้ มาตรฐานดา้ นผเู้ รียน พัฒนาโดยการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนและกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียนใหม้ ี คุณลักษณะตามท่ีกําหนดในมาตรฐานการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมาตรฐานที่ 4 (ผู้เรียนคิดเป็น ทำ� เปน็ ) และมาตรฐานที่ 5 (ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของผเู้ รยี น) ทเี่ นน้ กจิ กรรมการคดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ มสธ มสธและกําหนดนโยบายปรบั ปรงุ ผลการเรียนของนักเรยี น มาตรฐานดา้ นครู พฒั นาโดยสนบั สนนุ ใหค้ รไู ดร้ บั การศกึ ษา อบรมเพม่ิ เตมิ เนน้ ใหค้ รจู ดั กจิ กรรม การเรยี นการสอนทเี่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาํ คญั จดั ครเู ขา้ สอนตามความรคู้ วามสามารถ ความถนดั และสาขาวชิ า ที่สาํ เร็จการศกึ ษา มาตรฐานดา้ นผบู้ รหิ าร พฒั นาโดยจดั โครงสรา้ งองคก์ รการบรหิ ารงานอยา่ งเปน็ ระบบ สง่ เสรมิ ให้ ครูใช้วิจัยมาพัฒนาการเรียนการสอน ใช้ศักยภาพด้านวิชาการที่เป็นจุดเด่นของสถานศึกษามาให้บริการ มสธด้านการศกึ ษาแก่ชุมชน โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า สภาพปัจจุบันของการประกันคุณภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น สถานศกึ ษาทกุ แหง่ ไดม้ กี ารสรา้ งระบบการประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา และดำ� เนนิ การจดั การศกึ ษา โดยมีการประกันคุณภาพกันอย่างต่อเน่ืองตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เป็นตน้ มา มสธ มสธปัญหาของการประกันคุณภาพการจัดการศึกษาปฐมวัย ขอ้ มลู จากเอกสารรายงานการประเมนิ ผลและงานวจิ ัยเก่ยี วกบั การประกนั คุณภาพการศกึ ษาของ ไทย เรม่ิ ตั้งแตม่ ีการประกาศใช้พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา ข้อมูลส่วนใหญ่ ชี้ให้เห็นว่าการประกันคุณภาพการศึกษาของไทยประสบปัญหา ในเร่ืองนี้จะได้น�ำเสนอข้อมูลจาก สถาบนั วจิ ยั เพอื่ การพฒั นาประเทศไทย สำ� นกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษา (องคก์ าร มสธมหาชน) (สมศ.) และคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา สภาขับเคลื่อน การปฏริ ปู ประเทศ ซึ่งมสี าระท่สี ำ� คญั ดงั น้ี 1. สถาบันวิจัยเพ่ือการพัฒนาประเทศไทย (2557, น. 19-20) ระบวุ า่ ในปจั จุบันการประเมนิ คุณภาพสถานศึกษากระท�ำผ่านระบบการประเมินคุณภาพภายนอกภายใต้การดูแลของส�ำนักงานรับรอง มสธ มสธมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เป็นหลัก ระบบการประเมินคุณภาพภายนอกดังกล่าว มีปัญหาหลายประการในปฏิบัติการจริง ตัวอย่างเช่น ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียนมีนํ้าหนักเพียง รอ้ ยละ 20 ของคะแนนทงั้ หมด และวดั จากสดั สว่ นของนกั เรยี นทผี่ า่ นขดี จำ� กดั ลา่ ง ซงึ่ อยใู่ นระดบั คอ่ นขา้ งตา่ํ ผปู้ ระเมนิ มปี ญั หาดา้ นคณุ ภาพและความเปน็ มอื อาชพี และทรพั ยากรในการประเมนิ มจี ำ� กดั ในขณะทต่ี อ้ ง ประเมินสถานศึกษาจ�ำนวน 35,000 แห่งภายในเวลา 5 ปี นอกจากนยี้ งั มปี ญั หาดา้ นตวั ชว้ี ดั อน่ื ๆ ไดแ้ ก่ ตวั ชวี้ ดั มมี ากเกนิ ไป จนเปน็ ภาระดา้ นเอกสารของสถานศกึ ษา และเกิดกรณีการตกแต่งเอกสารอยู่ท่ัวไป ตวั ชีว้ ดั มีความเป็นนามธรรมสงู ท�ำใหว้ ดั ผลลัพธแ์ ละตรวจสอบความถกู ต้องได้ยาก จงึ ต้องหันมาวดั ดา้ น มสธกระบวนการแทนทีผ่ ลลัพธ์ และตัวชี้วดั ไมส่ อดคล้องกับบรบิ ทของสถานศึกษา
6-60 การจดั การศึกษาและหลกั สูตรสำ� หรับเด็กปฐมวยั ในส่วนของการประเมินคุณภาพภายในโดยสถานศึกษาเองก็ยังมีปัญหาในเชิงคุณภาพ โดย มสธมุ่งกระท�ำเพื่อสนับสนุนระบบประเมินคุณภาพภายนอกมากกว่าจะเป็นไปเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียน การสอนในสถานศึกษา กระนั้นก็ตาม การประเมินคุณภาพภายนอกยังเชื่อมโยงการใช้ประโยชน์จาก การประเมนิ คณุ ภาพภายในไดไ้ มด่ พี อ เชน่ ผปู้ ระเมนิ ภายนอกไมไ่ ดร้ บั รายงานการประเมนิ คณุ ภาพภายใน ก่อนออกตรวจประเมนิ สถานศกึ ษา มสธ มสธสถาบนั วจิ ยั เพอื่ การพฒั นาประเทศไทยไดน้ ำ� เสนอขอ้ เสนอเชงิ นโยบายเพอื่ การปฏริ ปู ระบบประเมนิ คณุ ภาพสถานศกึ ษา โดยชวี้ า่ ระบบการประเมนิ คณุ ภาพสถานศกึ ษาควรใชก้ ารประเมนิ คณุ ภาพภายในของ โรงเรียนเป็นหน่วยหลักในการประเมินเพื่อพัฒนาคุณภาพ โดยสะท้อนให้เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของ สถานศึกษาตามที่เป็นจริงแบบไม่มุ่งตัดสิน แต่มีบทบาทในการชี้ปัญหาเพ่ือแก้ไขปรับปรุง ในการน้ี สถานศกึ ษาแตล่ ะแหง่ ควรใหค้ วามสำ� คญั กบั การประเมนิ คณุ ภาพภายใน และการจดั ทำ� รายงานการประเมนิ ตนเองของสถานศึกษาพร้อมท้ังมุ่งพัฒนาระบบการประเมินคุณภาพภายใน และเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ มสธสว่ นเสยี ของสถานศกึ ษามสี ว่ นรว่ มในกระบวนการประเมนิ คณุ ภาพภายใน นอกจากนี้ การประเมนิ คณุ ภาพ ภายในควรเน้นการประเมินกระบวนการเรียนการสอน คุณลักษณะของผู้เรียน เช่น ความเป็นพลเมือง ความมจี รยิ ธรรม รวมถงึ การประเมนิ หนา้ ทดี่ า้ นการสนบั สนนุ การศกึ ษาของโรงเรยี น เชน่ การพฒั นาชมุ ชน การสร้างระบบให้ผ้ปู กครองมสี ว่ นรว่ มในการบรหิ ารจัดการสถานศกึ ษา ส่วนระบบการประเมินคุณภาพสถานศึกษาภายนอกของ สมศ. ควรถูกปรับให้เป็นเพียงหน่วย มสธ มสธเสริม ในแง่ของการประเมนิ เพือ่ พฒั นาคุณภาพการเรียนการสอน โดย สมศ. ควรปรับบทบาทเป็นหนว่ ย สนับสนุนด้านการจัดการและเผยแพร่ความรู้เก่ียวกับการประเมินให้แก่สถานศึกษา ก�ำหนดกฎกติกา ข้นั ตาํ่ เท่าท่จี ำ� เปน็ เพ่อื กำ� กับคณุ ภาพของการประเมินคุณภาพภายในของสถานศึกษา นอกจากน้ี สมศ. ควรมงุ่ เนน้ บทบาทในการประเมนิ เพอ่ื สรา้ งความรบั ผดิ ชอบ โดยใชก้ ารประเมนิ ตามระดบั ปญั หา เพอ่ื แยกสถานศกึ ษาทม่ี ปี ญั หามาใหค้ วามชว่ ยเหลอื ดา้ นการพฒั นาคณุ ภาพ โดยคดั แยก จากคะแนนการทดสอบมาตรฐานระดบั ประเทศแบบใหมข่ องนกั เรยี น รวมถงึ มบี ทบาทในการประเมนิ เฉพาะ มสธเรอ่ื งโดยเลอื กบางประเดน็ เชน่ การใชเ้ ทคโนโลยปี ระกอบการเรยี นการสอน หรอื สมุ่ ประเมนิ ในระดบั พน้ื ท่ี หรอื ประเทศ เชน่ สถานศึกษาทอ่ี ยู่ในเขตพน้ื ท่ีหา่ งไกลและขาดแคลนทรัพยากรทางการศึกษา 2. สำ� นกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษา (องคก์ ารมหาชน) (สมศ.) (2558) ได้จดั ประชุมวิชาการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ ประจำ� ปี พ.ศ. 2558 เพ่ือรายงานผลการด�ำเนนิ งานในรอบ 15 ปี ของ สมศ. ภายใตห้ ัวขอ้ “ก้าวข้ามขดี จำ� กดั สู่สหัสวรรษแหง่ คุณภาพ” ซง่ึ มีสาระท่ีสำ� คญั ดงั น้ี มสธ มสธจากการประเมิน 15 ปีที่ผ่านมาพบว่า ในสถานศึกษาทุกระดับ ทุกประเภทกว่า 60,000 แห่ง ทว่ั ประเทศ พบวา่ ระดับการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐานมสี ถานศึกษาท่ีไดร้ ับการรับรองมาตรฐาน จำ� นวน 20,376 แหง่ คดิ เปน็ ร้อยละ 62.04 ไมผ่ า่ นการรบั รองมาตรฐาน จำ� นวน 12,468 หรอื คดิ เปน็ รอ้ ยละ 37.96 โดย สมศ. สรปุ ผลการประเมนิ ทง้ั หมดสง่ ใหส้ ถานศกึ ษา หนว่ ยงานตน้ สงั กดั รฐั มนตรที ไี่ ดร้ บั มอบหมายใหก้ ำ� กบั ดูแล และสาธารณชนให้รับทราบอย่างต่อเน่ืองเป็นประจ�ำทุกปี โดยสรุปปัญหาการศึกษาไทยท่ีเกี่ยวข้อง มสธกบั การจัดการศกึ ษาปฐมวัยทัง้ ทางตรงและทางออ้ มมีดังน้ี
การประกนั คณุ ภาพการศึกษาปฐมวัย 6-61 1) ความไม่ต่อเนื่องเชิงนโยบาย ประเทศไทยมีระบบการบริหารท่ียึดหลักตามผู้บริหาร มสธรปู แบบการศกึ ษาของไทยถกู ปรบั เปลยี่ นตามแนวคดิ ของผบู้ รหิ ารในแตล่ ะชว่ ง ทำ� ใหน้ โยบายดา้ นการศกึ ษา ตา่ งๆ ไมไ่ ดร้ บั การดำ� เนนิ การอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ซงึ่ สง่ ผลกระทบตอ่ ระบบการศกึ ษาไทย โดยปญั หาทเี่ หน็ เปน็ รูปธรรม เช่น นโยบายการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กเปลี่ยนแปลงบ่อย ขาดความชัดเจน ขณะท่ี สถานศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐานทเี่ ป็นโรงเรียนขนาดเลก็ มีมากถึงประมาณ 20,000 แหง่ ส่งผลให้เกิดปญั หาครูไม่ มสธ มสธครบช้นั 2) การขาดการควบคุมคุณภาพ ประเทศไทยกำ� หนดอตั ราครู 1 คนตอ่ นกั เรยี น 16 คน ใน ระดบั ประถมศึกษา ส่วนระดบั มธั ยมศึกษาเพม่ิ ข้นึ เป็นครู 1 ต่อนกั เรยี น 20 คน แตใ่ นขณะทตี่ ่างประเทศ กำ� หนดสดั สว่ นจำ� นวนครู ตอ่ นักเรียน ระดับมธั ยมศึกษาน้อยกว่าระดบั ประถมศึกษา 3. คณะกรรมาธิการขับเคล่ือนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา สภาขับเคล่ือนการปฏิรูป ประเทศ (2559, น. 1) ได้น�ำเสนอแผนปฏิรูปเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการประกันคุณภาพ มสธการศึกษาภายในและการประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอก โดยได้น�ำเสนอรายงาน เร่ือง แผนปฏิรูป เรง่ ดว่ นในการแกไ้ ขปญั หาเกยี่ วกบั การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาภายในและการประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษา ภายนอก ประกอบด้วยหวั ข้อท่สี ำ� คญั ดังนี้ จากการติดตามการด�ำเนินเก่ียวกับการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาและการประเมิน คุณภาพภายนอกโดย สมศ. ของการศึกษาระดับต่างๆ ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2542 จนถึงปัจจุบัน ทั้งใน มสธ มสธสถานศึกษาของการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สถานศึกษาอาชีวศึกษา สถาบันอุดมศึกษาของภาครัฐและเอกชน ตลอดจนสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ส�ำหรับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย โดยการ ประเมินคณุ ภาพภายนอกได้ด�ำเนนิ การมาแลว้ 3 รอบ แต่กลบั พบวา่ การประเมินดังกลา่ วทง้ั ในส่วนของ ระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประเมินไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายท่ีก�ำหนดไว้ กล่าวคือ ไมส่ อดคลอ้ งกับความม่งุ หมาย หลักการ แนวการจดั การศกึ ษา ตลอดจนบรบิ ทในการจัดการศกึ ษาแต่ละ ระดบั ทมี่ คี วามแตกตา่ งกนั และทยี่ งิ่ ไปกวา่ นนั้ ผลของการประเมนิ ยงั ไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ การพฒั นาคณุ ภาพและ มสธมาตรฐานของสถานศึกษาเหลา่ นน้ั ซ่งึ เปน็ เจตนารมณห์ ลกั ของเรอ่ื งน้แี ต่อย่างใด ในทางตรงกนั ข้าม กลับ ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมายที่เก่ียวเน่ืองจากการประกันคุณภาพภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการ ประเมนิ คณุ ภาพภายนอกโดย สมศ. ทีท่ �ำให้สถานศึกษาทกุ ระดบั ต่างประสบปัญหาจากการดำ� เนินการใน การประกนั คณุ ภาพภายในและการประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษาภายนอก โดยไมท่ ำ� ใหเ้ กดิ การพฒั นาคณุ ภาพ การศึกษา ซึ่งสะท้อนให้เห็นในการจัดอันดับทางการศึกษาจากสถาบันต่างๆ ของโลก เช่น อันดับของ มสธ มสธมหาวทิ ยาลยั ไทย อนั ดบั ทกั ษะความสามารถทางคณติ ศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตร์ (PISA) อนั ดบั ทกั ษะความ สามารถทางภาษาอังกฤษ (EF EPI) และอันดบั คุณธรรม จรยิ ธรรมของประเทศไทย ดงั แสดงให้เห็นใน มสธดชั นีช้ีวัดภาพลกั ษณค์ อรร์ ัปชัน่ โลก
6-62 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรส�ำหรบั เด็กปฐมวัย ปญั หาทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาภายในและประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษาภายนอก มสธของรายงานฉบับน้ี ไดส้ รุปสาระสำ� คัญของปัญหา ตามหัวขอ้ ส�ำคัญ ตอ่ ไปนี้ 1) ความไม่สอดคล้องกันของระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในและระบบประเมิน คุณภาพการศกึ ษาภายนอก 2) ความพรอ้ มของสถานศกึ ษา มสธ มสธ3) ภาระงานและความพรอ้ มของบุคลากร 4) ภาระดา้ นงบประมาณ 5) ภาระงานด้านเอกสาร 6) คุณภาพของผปู้ ระเมนิ 7) เกณฑ์มาตรฐานและตัวบง่ ชี้ 8) วธิ ีการประกนั คุณภาพการศึกษาภายในและการประเมนิ คณุ ภาพการศึกษาภายนอก มสธ9) ความลา่ ช้าในกระบวนการประกนั คณุ ภาพการศึกษา 10) ความน่าเช่ือถือของผลการประกันคุณภาพการศึกษาภายในและประเมินคุณภาพการศึกษา ภายนอก โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่าจากการส�ำรวจปัญหาการด�ำเนินงานด้านการประกันคุณภาพการศึกษา ของประเทศไทย ท่ีด�ำเนินการมาตั้งแต่ได้ประกาศพระราชบัญญัติการศึกษาแห่ง พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา มสธ มสธไดม้ ปี ญั หาในหลายดา้ น เชน่ ปญั หาดา้ นกฎหมายและนโยบาย ปญั หาดา้ นการปฏบิ ตั ิ การขาดความตอ่ เนอ่ื ง เชิงนโยบาย การขาดการก�ำกับเชิงปริมาณ การขาดการควบคุมคุณภาพ จนกระท่ัง ปี พ.ศ. 2559 คณะกรรมาธกิ ารขบั เคลอื่ นการปฏริ ปู ประเทศดา้ นการศกึ ษา สภาขบั เคลอ่ื นการปฏริ ปู ประเทศ ไดน้ ำ� เสนอ รายงาน เรอ่ื ง แผนปฏริ ปู เรง่ ดว่ นในการแกไ้ ขปญั หาเกยี่ วกบั การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาภายในและการ ประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษาภายนอก เพอื่ ชะลอการดำ� เนนิ งานดา้ นการประเมนิ คณุ ภาพภายนอกไวจ้ นกวา่ จะด�ำเนินการหาแนวทางและวิธีการท่ีมีความเหมาะสมกับการด�ำเนินการประกันคุณภาพการศึกษาของ มสธประเทศไทยไดต้ ่อไป กิจกรรม 6.3.3 ให้อธิบายสภาพและปญั หาของการประกันคณุ ภาพการจดั การศกึ ษาปฐมวยั พอสังเขป มสธ มสธแนวตอบกิจกรรม6.3.3 สภาพปัจจุบันของการประกันคุณภาพการจัดการศึกษาปฐมวัย นับต้ังแต่ประเทศไทยได้มีการ ประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา สถานศึกษาปฐมวัยโดยส่วนใหญ่ เรียนรู้แนวทางการสร้างระบบการประกันคุณภาพภายในและการประกันคุณภาพภายนอก หน่วยงาน ตน้ สงั กดั ไดม้ สี ว่ นชว่ ยสนบั สนนุ สง่ เสรมิ ใหส้ ถานศกึ ษาสรา้ งระบบประกนั คณุ ภาพภายในทเ่ี ขม้ แขง็ มากขนึ้ มสธจะเห็นได้จากหน่วยงานต้นสังกัด โดยเฉพาะส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานได้มีการจัดท�ำ
การประกันคณุ ภาพการศึกษาปฐมวัย 6-63 แนวทางการประเมินคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาปฐมวัย เพ่ือการประกันคุณภาพภายในของสถาน มสธศกึ ษา รวมทง้ั แนวทางการเขยี นรายงานการประเมนิ ตนเองของสถานศกึ ษา (Self-Assessment Report: SAR) เผยแพรใ่ หแ้ กส่ ถานศกึ ษาไวใ้ ชเ้ ปน็ แนวทางในการสรา้ งระบบประกนั คณุ ภาพภายในของสถานศกึ ษา นอกจากน้ี ขอ้ มลู ณ วนั ที่ 17 กนั ยายน พ.ศ. 2556 พบวา่ สถานศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน ระดบั การศกึ ษาปฐมวยั ที่เข้ารับการประเมินจำ� นวน 19,168 แห่ง ได้รับรองคุณภาพและมาตรฐาน จ�ำนวน 19,134 แห่ง คิดเป็น มสธ มสธร้อยละ 97.53 ไม่รับรอง 484 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 2.47 ซ่ึงถือได้ว่าสถานศึกษาปฐมวัยส่วนใหญ่ มีคุณภาพและมาตรฐาน ตามเกณฑข์ อง สมศ. อยา่ งไรกต็ าม ในสว่ นของปญั หาของการประกนั คณุ ภาพการจดั การศกึ ษาปฐมวยั นนั้ สถาบนั วจิ ยั เพ่ือการพัฒนาประเทศไทยได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของการประกันคุณภาพท้ังภายในและภายนอกของ สถานศึกษาว่ามีปัญหาในหลายด้าน โดยชี้ว่าระบบการประเมินคุณภาพสถานศึกษาควรใช้การประเมิน คุณภาพภายในของสถานศึกษาเป็นหลัก โดยสะท้อนให้เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของสถานศึกษาตามท่ี มสธเป็นจรงิ แบบไมม่ ุ่งตดั สนิ เน้นเพือ่ แกไ้ ขปรับปรุง รวมทงั้ เปดิ โอกาสใหผ้ มู้ ีส่วนได้ส่วนเสยี ของสถานศึกษา มสี ่วนร่วมในกระบวนการประเมินคุณภาพภายใน โดยเน้นว่า การประเมินคุณภาพภายในควรเน้นการ ประเมนิ กระบวนการเรยี นการสอนคณุ ลกั ษณะของผเู้ รยี น เชน่ ความเปน็ พลเมอื ง ความมจี รยิ ธรรม รวมถงึ การประเมินหน้าทีด่ า้ นการสนับสนุนการศกึ ษาของสถานศึกษา เชน่ การพฒั นาชุมชน การสร้างระบบให้ ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในและการบริหารจัดการสถานศึกษา ส่วนระบบการประเมินคุณภาพสถานศึกษา มสธ มสธภายนอกของ สมศ. ควรดำ� เนนิ การในลกั ษณะเสรมิ ในแงข่ องการประเมนิ เพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพการเรยี นการ สอน โดย สมศ. ควรปรับบทบาทเป็นหน่วยสนับสนุนด้านการจัดการ และเผยแพร่ความรู้เก่ียวกับการ ประเมนิ ใหแ้ กส่ ถานศกึ ษา กำ� หนดกฎกตกิ าขน้ั ตาํ่ เทา่ ทจ่ี ำ� เปน็ เพอื่ กำ� กบั คณุ ภาพของการประเมนิ คณุ ภาพ ภายในของสถานศกึ ษา นอกจากน้ี สมศ. ควรมงุ่ เนน้ บทบาทการประเมนิ เพอ่ื สรา้ งความรบั ผดิ ชอบ โดยใช้ การประเมนิ ตามระดบั ปญั หา เพอ่ื แยกสถานศกึ ษาทม่ี ปี ญั หามาใหค้ วามชว่ ยเหลอื ดา้ นการพฒั นาคณุ ภาพ โดยสุ่มประเมินในระดับพื้นที่หรือประเทศ เช่น สถานศึกษาที่อยู่ในเขตพ้ืนที่ห่างไกลและขาดแคลน มสธทรัพยากรทางการศึกษา การประกันคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยมีปัญหาในหลายด้าน เช่น ปัญหาด้านกฎหมาย และนโยบาย ปัญหาด้านการปฏิบัติ การขาดความต่อเน่ืองเชิงนโยบาย การขาดการก�ำกับเชิงปริมาณ การขาดการควบคุมคณุ ภาพ จนกระทงั่ ปี พ.ศ. 2559 คณะกรรมาธกิ ารขับเคลือ่ นการปฏริ ูปประเทศดา้ น การศึกษา สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ได้น�ำเสนอรายงาน เรื่อง แผนปฏิรูปเร่งด่วนในการแก้ไข มสธ มสธปญั หาเกยี่ วกบั การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาภายในและการประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษาภายนอก เพอ่ื ชะลอ การดำ� เนนิ งานดา้ นการประเมินคุณภาพภายนอกไวจ้ นกวา่ จะด�ำเนนิ การหาแนวทาง และวิธีการทม่ี ีความ มสธเหมาะสมกับการดำ� เนนิ การประกันคุณภาพการศกึ ษาของประเทศไทยได้ในโอกาสตอ่ ไป
6-64 การจดั การศกึ ษาและหลักสตู รสำ� หรบั เดก็ ปฐมวัย มสธบรรณานุกรม กฎกระทรวง ว่าด้วยระบบ หลกั เกณฑ์ และวิธกี ารประกนั คุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2553. (2553, 2 เมษายน) ราชกิจจานุเบกษา. เลม่ 127 ตอนที่ 23 ก หน้า 22. มสธ มสธกรมวชิ าการ. (2539). แนวทางการประเมินตนเองของโรงเรยี น. กรุงเทพฯ: โรงพิมพค์ ุรุสภา ลาดพรา้ ว. กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2545). การประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ระดับการศึกษา ข้ันพืน้ ฐาน. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว. . (2542). ธรรมนญู สถานศึกษา. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ครุ สุ ภา ลาดพร้าว. . (2539). แนวทางการประเมนิ ตนเองของโรงเรียน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพรา้ ว. เกศรนิ ทร์ แทบสี และคณะ. (2557). การดำ� เนนิ งานการประกนั คณุ ภาพภายในโรงเรยี น สงั กดั สำ� นกั งานเขตพน้ื ที่ การศกึ ษาประถมศึกษากาฬสนิ ธ์ุ เขต 3. วารสารวชิ าการแพรวากาฬสนิ ธ์ุ 1 (1). มหาวทิ ยาลัยราชภฏั มสธกาฬสินธ์ุ มกราคม-เมษายน. แคทลยี า ศรแี ปลก. (2544). ปจั จยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ การใชผ้ ลการประเมนิ ภายในสถานศกึ ษาของโรงเรยี นประถมศกึ ษา: กรณีศึกษาโรงเรียนคันนายาว กรุงเทพมหานคร. (วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิจัย การศกึ ษา ไมไ่ ด้ตพี มิ พ์). จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, กรุงเทพฯ. มสธ มสธจำ� รสั นองมาก. (2546). ปฏิบตั ิการประกันคณุ ภาพการศึกษา. กรุงเทพฯ: สถาบันพัฒนาคุณภาพวชิ าการ(พว.). จีรภา เพชรสงคราม. (2554). การศึกษาการมีส่วนร่วมของครูในการพัฒนาการด�ำเนินงานการประกันคุณภาพ การศึกษา โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร เขตบางขุนเทียน. (วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษา มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศกึ ษา ไม่ไดต้ พี มิ พ)์ . มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ, กรงุ เทพฯ. ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์. (2558). เปิดปัญหาการศึกษาไทย 3 ข้อใหญ่ สมศ.พบสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานไม่ผ่าน รับรองร้อยละ 37. ค้นคืนเม่ือ 21 มกราคม 2560 จาก http://www.matichon.co.th/news_detail. php?newsid=1444806336 มสธณฐมนวรรณ ศิริสุขชัยวุฒิ. (2551). ปัจจัยท่ีส่งผลต่อคุณภาพของระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ขั้นพน้ื ฐานที่ไดร้ บั การรับรองมาตรฐานการศกึ ษา ในเขตภาคเหนือตอนลา่ ง ผ้ปู ระเมนิ ภายนอก (สมศ.) สงั กัดบรษิ ทั เคมบรดิ จ์เอ็ดยูเคชัน่ หน่วยประเมนิ www.onesqa.or.th. นันทิยา หุตานุวัตร และณรงค์ หุตานุวัตร. (2551). คิดกลยุทธ์ด้วย SWOT (พิมพ์คร้ังที่ 7). อุบลราชธานี: โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั อุบลราชธาน.ี มสธ มสธนาฏลัดดา จุลมา. (2557). การประเมินระบบประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนในสังกัด ส�ำนักงานเขตพื้นท่ี การศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 32. รมยสาร. 12(2) (กรกฎาคม-ธนั วาคม), 101-104. นติ ธิ ร ปลิ วาสน์. (2560). การประกันคุณภาพการศกึ ษา (Quality Assurance in Education). คน้ คืนเม่อื 21 มกราคม 2560 จาก www.taamkru.com/th/ การประกันคณุ ภาพการศึกษา/ เนตรนภา ครองยศ. (2558). รูปแบบการด�ำเนนิ งานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สังกดั ส�ำนกั งาน เขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาขอนแกน่ เขต 5. วารสารศกึ ษาศาสตร.์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม 9 มสธ(ฉบับพิเศษ). เมษายน, 289-305.
การประกนั คณุ ภาพการศึกษาปฐมวยั 6-65 ประสทิ ธ์ิ ชมุ ศร.ี (2555). รปู แบบการพฒั นาบคุ ลากรดว้ ยการเรยี นรจู้ ากการปฏบิ ตั เิ พอื่ การประกนั คณุ ภาพภายใน มสธสถานศึกษาของส�ำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 2. (ม.ป.ท.). เอกสาร อัดสำ� เนา ปรีชา รอดมณี. (2550). การน�ำผลการประเมินภายนอกไปใช้ในการพัฒนาโรงเรียนของเครือข่ายโรงเรียนท่ี 40 ส�ำนกั งานเขตหนองจอก กรงุ เทพมหานคร. (วิทยานิพนธ์ ปริญญาการศึกษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาการ บริหารการศึกษา ไมไ่ ดต้ พี ิมพ์) มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, กรุงเทพฯ. มสธ มสธพระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542. (2542). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 116 ตอนที่ 74 ก หนา้ 1-23. พิเชษฐ์ วายุวรรธนะ. (2550). การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาภายในสถานศกึ ษาที่ส่งผลตอ่ ประสิทธิผลของสถาน ศึกษาข้ันพ้ืนฐาน สังกัดส�ำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษากาญจนบุรี เขต 1. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษา ศาสตรม์ หาบณั ฑิต สาขาบรหิ ารการศึกษา ไม่ได้ตพี ิมพ์). มหาวิทยาลัยศลิ ปากร, กรงุ เทพฯ. ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2539). เอกสารสรุปการบรรยายเร่ืองการประกันคุณภาพการศึกษา. โรงแรมแกรนด์วิว อ�ำ เภอเบตง จงั หวดั ยะลา 23-25 ธนั วาคม 2539. มสธรัตนา แก้วจันทรเพชร และชยุต วิจิตรสุนทร. (2558). แนวทางพัฒนาการด�ำเนินงานประกันคุณภาพภายใน สถานศกึ ษาของโรงเรยี นขนาดเลก็ สงั กดั สำ� นกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาตาก เขต 1 (ปรญิ ญา ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา ไมไ่ ด้ตพี ิมพ)์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏกำ� แพงเพชร, ก�ำแพงเพชร. วิทยากร เชียงกลู . (2559). สภาวะการศึกษาไทย ปี 2557/2558 “จะปฏิรูปการศกึ ษาไทยใหท้ นั โลกศตวรรษที่ มสธ มสธ21 ไดอ้ ยา่ งไร”. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั พมิ พด์ กี ารพมิ พ์ จ�ำกดั . วาสนา แสงงาม. (2542). รปู แบบการประกนั คณุ ภาพภายในของสถานศกึ ษาระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานในจงั หวดั ปตั ตาน.ี (ปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา ไมไ่ ดต้ พี มิ พ)์ . มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร.์ ศศวิ มิ ล ภูมแิ ดง. (2557). ความคิดเห็นของครูผู้สอนเกยี่ วกับบทบาทของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาทม่ี ตี ่อการประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดส�ำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 7 จังหวัดปราจีนบุรี มสธสทุ ธปิ รทิ ัศน์. 28 (88) ตลุ าคม-ธันวาคม, 271-285. ศริ ชิ ยั กาญจนวาส.ี (2552). ทฤษฎกี ารประเมนิ (พมิ พค์ รงั้ ที่ 7). กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั เทก็ ซแ์ อนดเ์ จอรน์ ลั พบั บเิ คชนั่ . สงบ ลักษณะ. (2541). แนวทางการประกันคุณภาพการศึกษา. วารสารข้าราชครู. 18(6), 2-5. สถาบนั วจิ ยั เพอ่ื การพฒั นาประเทศไทย. (2557). การจดั ทำ� ยทุ ธศาสตรก์ ารปฏริ ปู การศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานใหเ้ กดิ ความ รบั ผดิ ชอบ. รายงานทดี ีอาร์ไอ. ฉบบั ท่ี 103 พฤษภาคม, 18-19. สถาพร หาภา. (2552). การดำ� เนนิ งานการประกันคณุ ภาพการศึกษาภายในโรงเรยี นตามทรรศนะของครูผู้สอน มสธ มสธอ�ำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สังกัดส�ำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 SDU Res J Special Edition (2): Oct-Dec, 164-169. สถติ ย์ จนี ประสพ. (2553). ปจั จยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ ความสำ� เรจ็ ในการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาของโรงเรยี นประถมศกึ ษา สงั กดั สำ� นกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาเพชรบรู ณ์ เขต 2. (ปรญิ ญาครศุ าสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าวจิ ยั และ มสธประเมินผลการศึกษา ไม่ไดต้ พี มิ พ์). มหาวิทยาลยั ราชภฎั เพชรบูรณ์, เพชรบูรณ์.
6-66 การจัดการศกึ ษาและหลกั สตู รสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั สภาขับเคล่ือนการปฏิรูปประเทศ. (2559). รายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการ มสธศึกษา สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เรื่อง แผนปฏิรูปเร่งด่วนในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการประกัน คณุ ภาพการศึกษาภายในและการประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษาภายนอก. วันท่ี 10 มีนาคม 2559 ส�ำนัก กรรมาธกิ าร 3 ส�ำนกั งานเลขาธกิ ารสภาผู้แทนราษฎร ปฏบิ ัตหิ น้าทสี่ �ำนักงานเลขาธกิ ารสภาขับเคลือ่ น การปฏริ ปู ประเทศ. สมศักดิ์ สินธรุ ะเวชญ.์ (2541). การประกนั คุณภาพการศกึ ษา. วารสารวิชาการ. 1 (4), 32-35. มสธ มสธส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2544). คู่มือการประเมินผลภายในของสถานศึกษาตามมาตรฐาน การศึกษา: การออกแบบระบบการประเมินผลภายใน (พิมพ์คร้ังที่ 2). กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด วี ที ซี คอมมิวนเิ คชนั . . (2543). แนวทางการประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา: เพอื่ พรอ้ มรบั การประเมนิ ภายนอก. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั พิมพด์ ี จ�ำกัด. . (2543). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545. มสธกรุงเทพฯ: บรษิ ัท พรกิ หวานกราฟฟิค จำ� กัด. ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน. (2554). แนวทางการประเมินคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา ปฐมวยั เพอ่ื การประกนั คณุ ภาพภายในของสถานศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พส์ ำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนา แห่งชาต.ิ . (2554). แนวทางการประเมนิ คณุ ภาพตามมาตรฐานการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน เพอื่ การประกนั คณุ ภาพภายใน มสธ มสธของสถานศึกษา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพส์ �ำนักงานพระพทุ ธศาสนาแหง่ ชาติ. . (2559) แนวทางการเขียนรายงานการประเมินตนเองของสถานศึกษา (Self-Assessment Report: SAR). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พส์ �ำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. ส�ำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน). (2546). คู่มือการน�ำผลประเมิน คุณภาพภายนอกไปใช้. กรงุ เทพฯ: บริษทั พมิ พด์ ี จ�ำกดั . . (2557). คู่มอื การประเมนิ คณุ ภาพภายนอกรอบสาม (พ.ศ. 2554-2558) ระดับการศกึ ษาปฐมวัย (2-5 มสธปี) ฉบบั สถานศึกษา (แกไ้ ขเพิม่ เติม พฤศจกิ ายน 2554). กรงุ เทพฯ: บริษทั พมิ พ์ดี จ�ำกัด. ส�ำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2548). รายงานการสัมมนาเร่ือง 6 ปีกับการปฏิรูปการศึกษา. กรุงเทพฯ: บริษทั พรกิ หวานกราฟฟกิ จำ� กัด. สรุ ัฐ ศลิ ปะอนันต์. (2539). การศกึ ษาท�ำไมคุณภาพ. วารสารขา้ ราชการครู. 16 (12), 13-15. อดุลย์ สุขิรัมย์และสวัสด์ิ โพธิวัฒน์. (2555). การพัฒนาโมเดลประสิทธิผลการประกันคุณภาพภายใน ของ สถานศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน. วารสารการวัดผลการศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. 18 (2): 225-236. มสธ มสธอทุ มุ พร จามรมาน. (2544). วธิ ที ำ� การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาของโรงเรยี น (รวมเกณฑป์ ระเมนิ ผลและตวั อยา่ ง มสธรายงาน). กรงุ เทพฯ: ฟันน.่ี
มสธ มสธ หน่วยท่ี7 มสธ การรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัย อาจารย์ ดร.สุชนินธ์ บัณฑุนันทกุล มสธชื่อ วุฒิ มมสสธธ มมมสสสธธธอาจารย์ดร.สุชนินธ์บัณฑุนันทกุล ค.บ. (การศึกษาปฐมวยั ) ต�ำแหน่ง ค.ม. (การศึกษาปฐมวยั ) ค.ด. (การศึกษาปฐมวัย) หน่วยท่ีเขียน อาจารย์ประจำ� สาขาวชิ าการศกึ ษาปฐมวัย มสธภาควชิ าหลกั สตู รและการสอน มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ หนว่ ยที่ 7
7-2 การจดั การศึกษาและหลกั สูตรส�ำหรบั เด็กปฐมวัย มสธแผนการสอนประจ�ำหน่วย ชุดวิชา การจัดการศึกษาและหลกั สตู รสำ� หรบั เด็กปฐมวัย มสธ มสธหน่วยที่ 7 การรณรงค์เพอ่ื เด็กปฐมวัย ตอนที่ 7.1 แนวคดิ เกี่ยวกับการรณรงคเ์ พอื่ เดก็ ปฐมวยั 7.2 สิทธิเด็ก มสธ7.3 แนวทางการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัย แนวคิด 1. แนวคิดเกี่ยวกับการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัย ประกอบด้วย ความหมาย ความส�ำคัญ และ จดุ มงุ่ หมายเกยี่ วกบั การรณรงคเ์ พอื่ เดก็ ปฐมวยั สภาพการณท์ นี่ ำ� มาสกู่ ารรณรงคเ์ พอื่ เดก็ ปฐมวยั มสธ มสธและการรณรงค์เพือ่ เดก็ ปฐมวยั ในประเทศไทย 2. ประเทศไทยมกี ฎหมายและขอ้ บงั คบั ตา่ งๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั สทิ ธเิ ดก็ ออกมาใช้ โดยยดึ หลกั สทิ ธิ พน้ื ฐานของเดก็ ตามอนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ 4 ประการ คอื สทิ ธทิ จี่ ะมชี วี ติ และอยรู่ อด สทิ ธิ ท่จี ะได้รับการปกป้องคุม้ ครอง สิทธทิ ี่จะได้รับการพัฒนา และสทิ ธทิ จ่ี ะได้รบั การมสี ่วนร่วม 3. ครอบครวั สถานศกึ ษา ชมุ ชนและสอื่ มวลชน มบี ทบาทสำ� คญั ในการพฒั นาและปกปอ้ งคมุ้ ครอง เด็กทุกคนในสังคมให้มีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยและมีความสุข ซ่ึงแต่ละสถาบันทางสังคมมี มสธบทบาทที่แตกต่างกัน จึงมีแนวทางในการปกป้องคุ้มครองเด็กที่มีท้ังเหมือนกันและแตกต่าง กนั ออกไป วัตถุประสงค์ เมอ่ื ศกึ ษาหน่วยที่ 7 จบแลว้ นักศึกษาสามารถ มสธ มสธ1. อธบิ ายแนวคิดเกย่ี วกบั การรณรงคเ์ พือ่ เดก็ ปฐมวัยได้ 2. อธบิ ายเก่ียวกบั สิทธิเด็กได้ มสธ3. อธิบายแนวทางการรณรงคเ์ พือ่ เด็กปฐมวัยได้
การรณรงค์เพื่อเด็กปฐมวยั 7-3 กิจกรรมระหว่างเรียน มสธ1. ท�ำแบบประเมนิ ผลตนเองก่อนเรียนหน่วยท่ี 7 2. ศึกษาเอกสารการสอนตอนท่ี 7.1–7.3 3. ปฏิบัตกิ ิจกรรมตามที่ได้รบั มอบหมายในเอกสารการสอน 4. ฟงั ซดี ีเสยี งประจ�ำชดุ วชิ า มสธ มสธ5. ชมดีวดี ปี ระกอบชุดวชิ า (ถา้ มี) 6. ทำ� แบบประเมนิ ผลตนเองหลงั เรียนหน่วยที่ 7 ส่ือการสอน 1. เอกสารการสอน 2. แบบฝึกปฏบิ ตั ิ มสธ3. ซีดเี สียงประจ�ำชุดวิชา 4. ดีวีดีประกอบชุดวชิ า (ถ้าม)ี การประเมินผล มสธ มสธ1. ประเมนิ ผลจากแบบประเมนิ ผลตนเองก่อนเรยี นและหลงั เรียน 2. ประเมนิ ผลจากกิจกรรมและแนวตอบทา้ ยเร่อื ง 3. ประเมินผลจากการสอบไล่ประจำ� ภาคการศกึ ษา เม่ืออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน มสธ มมสสธธ มสธหน่วยท่ี7ในแบบฝึกปฏิบัติแล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
7-4 การจดั การศึกษาและหลกั สูตรส�ำหรบั เดก็ ปฐมวยั มสธตอนที่ 7.1 แนวคิดเกี่ยวกับการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัย โปรดอ่านหัวเร่อื ง แนวคดิ และวัตถปุ ระสงคข์ องตอนท่ี 7.1 แล้วจึงศกึ ษารายละเอยี ดตอ่ ไป มสธ มสธหัวเรื่อง 7.1.1 ความหมาย ความสำ� คญั และจุดมงุ่ หมายของการรณรงคเ์ พ่อื เด็กปฐมวัย 7.1.2 สภาพการณ์ทีน่ ำ� มาสกู่ ารรณรงคเ์ พ่อื เด็กปฐมวัย 7.1.3 การรณรงคเ์ พื่อเดก็ ปฐมวยั ในประเทศไทย มสธแนวคิด 1. เดก็ ทกุ คนเกดิ มาตอ้ งการความรกั และความเอาใจใสเ่ ลยี้ งดจู ากพอ่ แมแ่ ละผใู้ หญใ่ นสงั คม ได้รับการปฏิบัติในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหน่ึง ได้รับการพัฒนาและการปกป้องคุ้มครอง จากการใชค้ วามรนุ แรง ไม่ว่าจะเปน็ รูปแบบใดๆ เพอ่ื ใหเ้ ด็กอยใู่ นสงั คมอย่างมคี วามสุข และเตบิ โตเปน็ คนดขี องสงั คม การรณรงคเ์ พอื่ เดก็ ปฐมวยั จงึ เปน็ เรอ่ื งทมี่ คี วามสำ� คญั เปน็ มสธ มสธอย่างมาก ในปัจจุบันได้มีนักวิชาการ หน่วยงาน และองค์กรต่างๆ ตระหนักในความ ส�ำคัญของการรณรงค์เพ่อื เดก็ จงึ ก่อให้เกดิ การรว่ มมือกนั ในการรณรงคเ์ พ่อื เดก็ ปฐมวยั 2. เดก็ ตอ้ งได้รับการพัฒนาในด้านตา่ งๆ และปกป้องคมุ้ ครอง ซ่งึ โดยส่วนใหญ่แลว้ พอ่ แม่ ผปู้ กครอง หรอื บคุ คลตา่ งๆ รอบตวั เดก็ รบั รแู้ ละเหน็ ความสำ� คญั มคี วามหว่ งใยเกย่ี วกบั เดก็ ในปจั จบุ นั และอนาคต หว่ งใยเรอ่ื งความรนุ แรงในสงั คม ชมุ ชน บา้ น แตก่ ย็ งั มอี กี ไมน่ อ้ ย ทลี่ ะเลย ไมส่ นใจ และไมใ่ หค้ วามใสใ่ จ หรอื ยงั มคี วามเขา้ ใจทไี่ มถ่ กู ตอ้ งในการดำ� เนนิ การ มสธจนน�ำไปสู่สภาพการณ์ของการละเลยในการส่งเสริมสิทธิเด็ก การกระท�ำความรุนแรง และละเมดิ สิทธเิ ด็ก 3. การรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัยในประเทศไทย ได้มีหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนเขา้ มามบี ทบาทเป็นอย่างมาก โดยใหค้ วามส�ำคญั กบั การรณรงคเ์ พอื่ พฒั นา เด็ก เพ่ือพัฒนาครอบครัวและการเลี้ยงดูเด็ก การส่งเสริมโภชนาการ การส่งเสริมและ มสธ มสธขยายบริการพ้ืนฐานเพื่อสุขภาพอนามัย การพัฒนาท่ีอยู่อาศัย และการรณรงค์เพ่ือ ปกป้องเด็ก เพื่อการปกป้องคุ้มครองสิทธิของเด็กผู้ล้ีภัย เด็กที่อยู่ในภาวะยากล�ำบาก การบงั คบั ใชก้ ฎหมายในการปกปอ้ งสวสั ดภิ าพ และความปลอดภยั ทง้ั รา่ งกายและจติ ใจ มสธของเด็กควบคกู่ ันไป
การรณรงคเ์ พอ่ื เดก็ ปฐมวยั 7-5 มสธวัตถุประสงค์ เมื่อศึกษาตอนท่ี 7.1 จบแลว้ นกั ศึกษาสามารถ 1. อธบิ ายความหมาย ความสำ� คัญ และจุดมงุ่ หมายของการรณรงคเ์ พอื่ เด็กปฐมวยั ได้ 2. อธบิ ายสภาพการณ์ท่นี ำ� มาสู่การรณรงค์เพอ่ื เดก็ ปฐมวยั ได้ มมมสสสธธธ มมมสสสธธธ มมมสสสธธธ3. อธิบายและยกตวั อย่างการรณรงคเ์พ่ือเดก็ ปฐมวัยในประเทศไทยได้
7-6 การจัดการศึกษาและหลกั สูตรสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั มสธเรื่องที่ 7.1.1 ความหมาย ความส�ำคัญ และจุดมุ่งหมายของการรณรงค์ เพ่ือเด็กปฐมวัย มสธ มสธเด็กทุกคนเกิดมาต้องการความรักและความเอาใจใส่เลี้ยงดูจากพ่อแม่และผู้ใหญ่ในสังคม ได้รับ การปฏิบัติในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ได้รับการพัฒนาและการปกป้องคุ้มครองจากการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดๆ เพ่ือใหเ้ ดก็ อยู่ในสังคมอย่างมีความสุขและเติบโตเปน็ คนดีของสังคม ดงั นั้น เด็ก ทกุ คนมสี ิทธิทจ่ี ะมีชวี ิต ไดร้ บั การปกป้องคุ้มครอง รวมทงั้ มสี ิทธิไดร้ บั การพฒั นาในดา้ นต่างๆ จากภาครัฐ หน่วยงานและองคก์ ร รวมไปถงึ บุคคลตา่ งๆ รอบตัว มสธจากการศึกษาค�ำว่า “Child Advocacy” ในภาษาไทยได้มีผู้น�ำมาใช้หลายค�ำ ไม่ว่าจะเป็น การรณรงคเ์ พอ่ื เดก็ ปฐมวยั การพทิ กั ษป์ ระโยชนเ์ พอ่ื เดก็ การพทิ กั ษส์ ทิ ธปิ ระโยชนเ์ พอื่ เดก็ การคมุ้ ครองเดก็ และการช่วยเหลือเด็ก ในเรื่องน้ีผู้เขียนใช้ค�ำว่า “การรณรงค์เพ่ือเด็ก” โดยจะกล่าวถึงความหมาย ความสำ� คญั และจุดมุง่ หมายเก่ยี วกับการรณรงคเ์ พื่อเดก็ ปฐมวัย ดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี มสธ มสธความหมายของการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัย การรณรงค์เพื่อเด็กปฐมวัยเป็นเรื่องท่ีมีความส�ำคัญเป็นอย่างมาก ในปัจจุบันได้มีนักวิชาการ หน่วยงาน และองคก์ รต่างๆ ให้ความสำ� คญั กอ่ ใหเ้ กดิ การรว่ มมือกนั ในการรณรงค์เพอื่ เด็กปฐมวัย ทั้งน้ี หน่วยงานตา่ งๆ ได้ให้ความหมายของการรณรงค์เพื่อเด็กปฐมวัยไว้ ใน 2 ความหมาย คือ 1. การรณรงค์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัย องค์การทุนเพ่ือเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) มสธ(2559ก) ได้ให้ความหมายของการรณรงค์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยว่า หมายถึง การพัฒนาชีวิตของเด็ก ในช่วงห้าปีแรกของชีวิต ซ่ึงสมองของเด็กจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว เป็นช่วงเวลาท่ีเด็กมีการพัฒนาทาง การรบั รู้ ภาษา สงั คม และอารมณ์ โดยขึน้ อยกู่ ับคณุ ภาพของการเลยี้ งดู และระดบั การปฏสิ ัมพนั ธ์ทเ่ี ดก็ ได้รบั จงึ มีความจำ� เป็นอยา่ งยิง่ ท่เี ดก็ จะต้องไดม้ ีโอกาสรับบรกิ ารพัฒนาในรปู แบบใดรูปแบบหนึง่ 2. การรณรงค์เพื่อปกป้องเด็กปฐมวัย ได้มีบุคคลและหนว่ ยงานต่างๆ ให้ความหมายไว้ ดงั น้ี มสธ มสธBrager (1968, p. 5) ไดใ้ หค้ วามหมายของการรณรงคเ์ พอ่ื ปกปอ้ งเดก็ ปฐมวยั วา่ หมายถงึ การกระทำ� ตอ่ กระบวนการปกปอ้ ง หรอื สนับสนนุ ในดา้ นความคดิ เห็น และการโตแ้ ยง้ เหตุแหง่ ปัญหา สถาบันแหง่ ชาตเิ พื่อการพฒั นาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลยั มหิดล (2555) ไดใ้ ห้ความหมาย ของการรณรงคเ์ พอ่ื ปกปอ้ งเดก็ ไวว้ า่ หมายถงึ การปอ้ งกนั และปกปอ้ งเดก็ จากความรนุ แรง การถกู แสวงหา ประโยชน์ การละเลยทอดท้ิง หรือรูปแบบการกระท�ำต่างๆ ท่ีอาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อร่างกาย และจติ ใจ การพฒั นา และศกั ดิ์ศรขี องเด็ก มสธองคก์ ารทนุ เพอื่ เดก็ แหง่ สหประชาชาติ (UNICEF) (2554) ไดใ้ หค้ วามหมายของการรณรงคเ์ พอ่ื ปกป้องเด็กไว้ว่า หมายถึง การปอ้ งกนั และการจัดการกับความรนุ แรง การแสวงประโยชน์และการกระท�ำ
การรณรงคเ์ พอ่ื เด็กปฐมวัย 7-7 มชิ อบตอ่ เดก็ ซง่ึ รวมถงึ การแสวงประโยชนท์ างเพศเพอ่ื การพาณชิ ย์ การคา้ มนษุ ย์ การใชแ้ รงงานเดก็ และ มสธจารีตประเพณีต่างๆ ที่เปน็ ภยั ต่อเดก็ มูลนิธิเพ่ือยุติการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก (2555) ได้ให้ความหมายของการรณรงค์ เพอ่ื ปกปอ้ งเดก็ วา่ หมายถงึ การดแู ลใหเ้ ดก็ ทกุ คนปลอดภยั จากการถกู ใชค้ วามรนุ แรง การลว่ งละเมดิ การถกู ละเลยหรอื ทอดทงิ้ การถกู แสวงหาประโยชน์ ซงึ่ หมายความวา่ เดก็ ไดร้ บั สทิ ธแิ ละปกปอ้ งจากการลว่ งละเมดิ มสธ มสธในทกุ รูปแบบ จากความหมายของการรณรงค์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย และการรณรงค์เพ่ือปกป้องเด็กปฐมวัย สามารถสรุปไดว้ า่ การรณรงคเ์ พ่อื เด็กปฐมวัย หมายถงึ การพัฒนาชวี ติ ของเด็กในช่วงหกปแี รกของชวี ิต ทางการรบั รู้ ภาษา สงั คม และอารมณ์ ดว้ ยการพฒั นาคณุ ภาพการเลยี้ งดู และระดบั การปฏสิ มั พนั ธท์ เี่ ดก็ ได้รับ ในรูปแบบของการรับบริการในรูปแบบใดรูปแบบหน่ึง รวมไปถึงการป้องกันและปกป้องดูแลเด็ก ทุกคนจากความรุนแรง ให้เด็กปลอดภัยจากการถูกแสวงหาประโยชน์ การละเลยทอดทิ้ง หรือรูปแบบ มสธการกระทำ� ต่างๆ ทีอ่ าจกอ่ ใหเ้ กิดผลกระทบด้านลบตอ่ รา่ งกายและจติ ใจ การพฒั นา และศักด์ศิ รขี องเดก็ ความส�ำคัญของการรณรงค์เพื่อเด็กปฐมวัย “เดก็ ” ทกุ คนไมว่ า่ จะเปน็ ลกู หลาน หรอื เดก็ ทใ่ี ดๆ กต็ าม กล็ ว้ นเปน็ “มนษุ ย”์ เชน่ เดยี วกนั แตล่ ะคน มสธ มสธจึงย่อมมีสิทธิเฉกเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จึงต้องส่งเสริมเพื่อพัฒนาเด็กและคุ้มครองเพื่อปกป้องสิทธิ ท่ีเด็กมอี ย่อู ย่างเคารพ การรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวยั มีความสำ� คัญใน 2 ประเด็นหลัก (สวุ ชิ ัย โกศยั ยะวัฒน์, 2551) คอื 1. ความส�ำคัญของการรณรงค์เพ่ือพัฒนาเด็ก ในกลมุ่ สทิ ธทิ วั่ ไปทเ่ี ดก็ ควรไดร้ บั คอื เดก็ ทกุ คน ตอ้ งไดร้ บั การสง่ เสรมิ และพฒั นาใหม้ พี ฒั นาการเปน็ ไปตามชว่ งวยั และจะตอ้ งไมถ่ กู เลอื กปฏบิ ตั ิ เดก็ ทกุ คน ต้องได้รับการรณรงค์ส่งเสรมิ ในเรื่องต่างๆ ดังต่อไปน้ี 1.1 เปน็ การชว่ ยใหบ้ คุ คลและหนว่ ยงานตา่ งๆ ใหก้ ารศกึ ษาอบรมเลย้ี งดู และวางแผนพฒั นา มสธเพอื่ วางรากฐานใหเ้ ดก็ มคี ณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ เพอื่ เตบิ โตเปน็ ผใู้ หญท่ ดี่ แี ละเปน็ คนดขี องประเทศชาติ โดยสมบรู ณ์ 1.2 เป็นแนวทางให้หน่วยงานต่างๆ เกิดการประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็กทั้ง ร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญา ให้เจริญเติบโตรอบด้านเต็มศักยภาพ และไม่เลือกปฏิบัติ มสธ มสธดว้ ยการผนกึ ก�ำลงั ร่วมกันในทกุ สถาบันทวั่ โลก 1.3 เป็นการช่วยให้เด็กสามารถเข้าถึงบริการข้ันพื้นฐานแก่เด็กท่ีขาดโอกาสที่สุด ได้แก่ เดก็ กลุ่มชาตพิ ันธุ์ เดก็ ผลู้ ี้ภยั เด็กเรร่ อ่ น เดก็ อพยพ เด็กยากจน เดก็ ทกี่ ระท�ำผดิ และเดก็ ทถี่ กู ค้ามนุษย์ เดก็ พิการ เด็กที่ได้รบั ผลกระทบจากความรนุ แรงในจงั หวดั ชายแดนใต้ 2. ความส�ำคัญของการรณรงค์เพื่อปกป้องเด็ก ในกลุ่มสิทธิเด็กที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เชน่ เด็กท่ถี กู ทารณุ ไดร้ ับความรนุ แรง หรอื เด็กท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการกระท�ำความผดิ ซ่ึงกลไกของกฎหมาย มสธไดใ้ หส้ ทิ ธโิ อกาสในการพจิ ารณา และชว่ ยฟน้ื ฟพู ฤตกิ รรมเดก็ เพอื่ ใหเ้ ดก็ ไดม้ โี อกาสเปลยี่ นทศั นคตคิ วามคดิ
7-8 การจดั การศกึ ษาและหลักสูตรสำ� หรับเด็กปฐมวยั จนกลับมาอยู่ในสังคมได้โดยไม่กลับเข้าไปกระท�ำความผิดอีก เด็กทุกคนต้องได้รับการรณรงค์ส่งเสริม มสธในเร่ืองตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1 เปน็ การใหค้ วามสำ� คญั กบั เดก็ ในฐานะทเี่ ปน็ ทรพั ยากรบคุ คลทม่ี คี ณุ คา่ อนั สำ� คญั ยง่ิ ของ ประเทศ โดยมกี ารพทิ ักษค์ ุ้มครองสิทธขิ องเดก็ ทางดา้ นกฎหมาย 2.2 เป็นการช่วยเหลือดูแลเด็กเนื่องจากเด็กยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ต้องมีผู้ดูแลหรือ มสธ มสธมีผู้ปกครองตามกฎหมายให้การดูแลเลี้ยงดูอบรมส่ังสอนจนกว่าจะถึงวัยที่ดูแลตนเองได้ และไม่ต้องมี ผู้ปกครอง และระหว่างท่ีผู้ใหญ่ท�ำหน้าที่ดูแลเด็กน้ัน จ�ำเป็นต้องทราบเกี่ยวกับสิทธิของเด็กและต้อง ไม่ละเมดิ สิทธขิ องเด็ก อีกทง้ั ตอ้ งเอาใจใสใ่ นการพทิ ักษ์รกั ษาสิทธขิ องเด็กในความดูแลอยา่ งเต็มท่ี 2.3 เป็นแนวทางให้หน่วยงานต่างๆ มีการพัฒนากลไกการคุ้มครอง และช่วยเหลือเด็กท่ี ตกเปน็ เหยอ่ื ของการถูกท�ำรา้ ยและถกู แสวงประโยชน์ทางเพศ ท้งั ทีเ่ กิดในครอบครวั และนอกครอบครัว สรปุ ไดว้ า่ การรณรงคเ์ พอ่ื เดก็ ปฐมวยั มคี วามสำ� คญั คอื ทำ� ใหม้ กี ารวางแผนพฒั นาเพอ่ื วางรากฐาน มสธใหเ้ ดก็ มคี ณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ เจรญิ เตบิ โตรอบดา้ นเตม็ ศกั ยภาพ ทำ� ใหเ้ ดก็ ทขี่ าดโอกาสในการเขา้ ถงึ บริการข้ันพื้นฐาน ได้รับการพิทักษ์คุ้มครองสิทธิของเด็กทางด้านกฎหมาย ช่วยเหลือดูแล เนื่องจากเด็ก ยงั ไมส่ ามารถดแู ลตัวเองได้ และทำ� ให้มีการพัฒนากลไกการคุม้ ครองและช่วยเหลอื เดก็ ท่ตี กเปน็ เหยอื่ ของ การถูกทำ� รา้ ยและถูกแสวงประโยชน์ในด้านต่างๆ มสธ มสธจุดมุ่งหมายของการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัย การทำ� ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั การรณรงคเ์ พอ่ื เดก็ ปฐมวยั จะชว่ ยใหพ้ อ่ แม่ ผปู้ กครอง และครู รวมถงึ คนในชมุ ชนสามารถชว่ ยพฒั นา ดแู ลลกู หลานและเดก็ ในชมุ ชนใหไ้ ดร้ บั ความปลอดภยั มากขนึ้ ทกุ คนมหี นา้ ท่ี ในการส่งเสริมพัฒนาการและความเป็นอยู่ คอยสอดส่องเฝ้าระวัง ปกป้องเด็กจากการถูกกระท�ำทารุณ การถกู ทอดทงิ้ การคา้ มนษุ ย์ การใชแ้ รงงานเดก็ และการถกู แสวงประโยชนใ์ นรปู แบบตา่ งๆ ดว้ ยการชว่ ย ฟ้ืนฟสู ภาพรา่ งกายและจิตใจของเด็กใหก้ ลบั มาเหมือนเดมิ มสธการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัยมีจุดมุ่งหมายที่สำ� คัญ คือ เพ่ือส่งเสริมและพัฒนาเด็กให้มีพัฒนาการ เปน็ ไปตามชว่ งวยั ไดร้ บั ความรกั ความอบอนุ่ ไดร้ บั การศกึ ษาอยา่ งเหมาะสมกบั วยั และใหค้ วามชว่ ยเหลอื เด็กที่ตกเป็นเหยื่อ หรือท่ีเส่ียงต่อการตกเป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรง การกระท�ำมิชอบ การแสวง ประโยชน์และการละเลยทอดท้ิงเด็ก โดยรวมถงึ เด็กก�ำพร้า เดก็ เรร่ อน เดก็ ที่ไม่มีสตู ิบัตร เดก็ ไร้สญั ชาติ มสธ มสธเดก็ ทก่ี ระทำ� ผดิ กฎหมาย และเดก็ ทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบจากสถานการณค์ วามขดั แยง้ ถา้ หากไมไ่ ดร้ บั การคมุ้ ครอง ทเี่ หมาะสม เดก็ เหลา่ นจี้ ะตกอยใู่ นสภาพเสย่ี งตอ่ ภยั อนั ตรายหลายประการ ทงั้ นจ้ี ดุ มงุ่ หมายเกยี่ วกบั การรณรงค์ เพอ่ื เดก็ ปฐมวยั จงึ ไดถ้ กู กำ� หนดขนึ้ อยา่ งชดั เจนจากหนว่ ยงานทเี่ กย่ี วขอ้ งทไี่ ดท้ ำ� การศกึ ษาปญั หาสขุ ภาวะ ของเด็กไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน ควบคู่กับกฎหมายหรือพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เพ่ือน�ำไป เป็นแนวทางในการด�ำเนินงานรณรงค์เพื่อเด็ก (คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล, 2554; องค์การทุน เพือ่ เด็กแห่งสหประชาชาติ, 2554) ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. เพ่ือให้ค�ำแนะน�ำการเล้ียงดูและพัฒนาเด็กอย่างเหมาะสมแก่ชุมชน โดยเน้นการสร้างเสริม มสธปจั จัยส�ำคญั ในการปกปอ้ งเด็ก
การรณรงคเ์ พ่ือเดก็ ปฐมวัย 7-9 2. เพ่ือดูแลเด็กที่อยู่ในภาวะยากล�ำบาก ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่มีภาวะป่วยเร้ือรังและการไร้ความ มสธสามารถ เด็กท่ีมีความเส่ียงสูงในระดับการศึกษาปฐมวัยและช่วงวัยเรียน เด็กที่เป็นบุตรบุญธรรม เด็ก ก�ำพรา้ ในสถาบันต่างๆ เด็กในชุมชนแออัดหรอื เดก็ ข้างถนน เดก็ ในภาวะภยั พิบตั ิ และเดก็ ที่ประสบภาวะ ความรุนแรงในครอบครวั 3. เพื่อดูแลและให้ค�ำปรึกษาแก่สถานเลี้ยงเด็กกลางวัน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน และ มสธ มสธสถานศกึ ษา 4. เพ่ือให้เข้าใจหลักการของการพัฒนาสุขภาพเด็กระดับชาติและนานาชาติ โดยสามารถบอก หลักการของขอ้ ตกลงตา่ งๆ กฎหมายและสทิ ธเิ ด็กเพ่อื พัฒนาเด็กท้ังในระดับชาติ และระดับนานาชาติ 5. เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ทกุ คนทเ่ี กดิ ในประเทศไทยไดร้ บั การจดทะเบยี นเกดิ ซงึ่ รวมถงึ เดก็ ทเ่ี กดิ จากพอ่ แม่ ที่ไม่มสี ถานะทางกฎหมาย 6. เพอื่ ใหป้ ระเทศไทยมรี ะบบคมุ้ ครองเดก็ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพในการตดิ ตาม รายงาน และชว่ ยเหลอื มสธเด็กที่อยู่ในสภาพเสี่ยง หรือท่ีตกเป็นเหย่ือของการใช้ความรุนแรง การกระท�ำมิชอบ การแสวงประโยชน์ และการละเลยทอดทิ้ง 7. เพ่ือให้ระบบกระบวนการยุติธรรมเด็กได้รับการพัฒนาโดยเน้นไปท่ีการป้องกัน แก้ไข ฟื้นฟู และเยยี วยามากกวา่ การลงโทษ ในขณะเดยี วกนั กส็ ง่ เสรมิ กระบวนการยตุ ธิ รรมเชงิ สมานฉนั ท์ ซง่ึ เปน็ การ หันเหคดีเด็กที่กระท�ำผิดเล็กน้อยออกจากกระบวนการยุติธรรมตามปกติ โดยมุ่งเน้นการสร้างความ มสธ มสธสมานฉันทร์ ะหวา่ งเด็กผู้กระท�ำผดิ ผ้เู สยี หายและชมุ ชน และการกลบั คืนสู่สังคมของเด็กท่ีกระท�ำผิดอย่าง มีคณุ ภาพ สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายเก่ียวกับการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัย เป็นการด�ำเนินการเพื่อให้ค�ำแนะน�ำ การเลย้ี งดแู ละพัฒนาเด็กอยา่ งเหมาะสมแกห่ น่วยงานตา่ งๆ เน้นการสร้างเสรมิ ปัจจยั สำ� คญั ในการปกป้อง เดก็ ทสี่ ำ� คญั โดยเขา้ ใจหลกั การของการพฒั นาสขุ ภาพเดก็ ระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ รวมถงึ มรี ะบบคมุ้ ครอง เดก็ ทมี่ ีประสทิ ธภิ าพ มสธกิจกรรม 7.1.1 จงอธบิ ายความหมายของการรณรงคเ์ พ่ือเด็กปฐมวยั มสธ มสธแนวตอบกิจกรรม7.1.1 การรณรงคเ์ พอ่ื เดก็ ปฐมวยั หมายถงึ การพฒั นาชวี ติ ของเดก็ ในชว่ งหกปแี รกของชวี ติ ทางการรบั รู้ ภาษา สังคม และอารมณ์ โดยการพัฒนาคุณภาพการเล้ียงดู และระดับการปฏิสัมพันธ์ที่เด็กได้รับ ในรปู แบบของการรบั บรกิ ารในรปู แบบใดรปู แบบหนงึ่ รวมไปถงึ การปอ้ งกนั และปกปอ้ งดแู ลเดก็ ทกุ คนจาก ความรนุ แรง ให้เดก็ ปลอดภัยจากการถูกแสวงประโยชน์ การละเลยทอดท้งิ หรอื รปู แบบการกระทำ� ตา่ งๆ มสธท่ีอาจกอ่ ให้เกดิ ผลกระทบด้านลบต่อร่างกายและจติ ใจ การพัฒนา และศกั ดิศ์ รขี องเดก็
7-10 การจัดการศึกษาและหลกั สูตรสำ� หรับเด็กปฐมวัย มสธเร่ืองท่ี 7.1.2 สภาพการณ์ท่ีน�ำมาสู่การรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัย มสธ มสธสภาพการณ์และปัญหาของเด็กไทยก�ำลังเผชิญกับความเส่ียงหลายอย่างอันเกิดจากสังคม สงิ่ แวดลอ้ ม และวฒั นธรรมอนั ตรายทลี่ อ้ มรอบตวั เดก็ เดก็ จำ� นวนมากขาดโอกาสอนั พงึ ไดร้ บั ในสงั คม ซมึ ซบั พฤติกรรมความรุนแรง สื่อลามกอนาจาร อยู่ในแหล่งมั่วสุม และอ่ืนๆ จนพฤติกรรมเหล่าน้ีกลายเป็น สว่ นหนง่ึ ของชวี ติ เดก็ ทเ่ี ตบิ โตขนึ้ ทกุ วนั ถงึ แมจ้ ะเปน็ ทที่ ราบกนั ดวี า่ เดก็ ทกุ คนทเ่ี กดิ มาตอ้ งไดร้ บั การพฒั นา ในดา้ นตา่ งๆ และปกปอ้ งคมุ้ ครอง ซง่ึ โดยสว่ นใหญแ่ ลว้ พอ่ แม่ ผปู้ กครอง หรอื บคุ คลตา่ งๆ รอบตวั เดก็ รบั รู้ และเห็นความส�ำคัญ แต่ก็ยังมีอีกไม่น้อยท่ีละเลย ไม่สนใจ และไม่ให้ความใส่ใจ หรือยังมีความเข้าใจที่ ไมถ่ กู ตอ้ งในการดำ� เนนิ การ จงึ นำ� มาซงึ่ สภาพการณป์ จั จบุ นั ทน่ี ำ� ไปสกู่ ารรณรงคเ์ พอ่ื เดก็ ปฐมวยั ดงั ตอ่ ไปน้ี มสธ1. สภาพการณ์ของการละเลยในการส่งเสริมสิทธิเด็ก สภาพการณข์ องการละเลยในการสง่ เสรมิ สิทธิเด็กในปัจจุบันเกิดจากหลายประเด็นเก่ียวเน่ืองกับบุคคลหลายภาคส่วนท่ีเข้ามามีบทบาทร่วมกัน ดังตอ่ ไปน้ี 1.1 สภาพปัญหาเกี่ยวกับการอุปโภค/บริโภคอย่างถูกสุขลักษณะของเด็ก สวัสดิการท่ี มสธ มสธหนว่ ยงานภาครฐั ควรจดั ในการดแู ลเดก็ ปฐมวยั เพอ่ื ชว่ ยแบง่ เบาภาระของผปู้ กครอง และการจดั สถานทเี่ ลน่ สำ� หรบั เด็กอยา่ งเพยี งพอ รวมไปถึงความปลอดภยั ของอปุ กรณ์และเคร่ืองเลน่ 1.2 สภาพปัญหาเกี่ยวกับการจัดการศึกษาส�ำหรับเด็ก ในยุคปัจจุบันจะต้องแก้ปัญหาเด็ก ขาดความใฝ่รู้ ใฝ่เรียน สนใจเรอื่ งส่ือเทคโนโลยีมากกว่าเรยี น 1.3 สภาพปัญหาเกี่ยวกับเทคโนโลยี สื่อ ICT และ Social Network ที่ทันสมัย ท�ำให้ เดก็ ตดิ เกม ไม่อยากมาโรงเรยี น ขาดการใสใ่ จเรอ่ื งสขุ ภาพ มสธทั้งนี้การละเลยในการส่งเสริมสิทธิเด็กในสังคมไทยมีปรากฏการณ์ในหลายรูปแบบ ปัญหา ดงั กลา่ วเปน็ ปัญหาทเี่ กดิ ขึ้นมานานและยังคงด�ำรงสบื เนื่องในสังคมไทย และมีแนวโน้มขยายความรุนแรง กว้างขวางข้ึนกับเด็กกลุ่มต่างๆ (พรประภา สินธุนาวา, 2545) ซ่ึงสะท้อนสภาพปัญหาท่ีเด็กเผชิญและ ประสบอยู่ รวมทง้ั การละเมิดสทิ ธิมนษุ ยชนของเดก็ ตามหลกั กฎหมายสากลของอนุสญั ญาวา่ ดว้ ยสิทธิเดก็ ดังตอ่ ไปน้ี มสธ มสธ1) เด็กถูกทอดท้ิง โดยเฉพาะเด็กท่ีติดเช้ือมีแนวโน้มเพ่ิมขึ้นอย่างรวดเร็ว เด็กท่ีถูก ทอดทงิ้ สว่ นใหญจ่ ะถกู ทอดทง้ิ หลงั คลอด สว่ นหนงึ่ เนอ่ื งมาจากแมต่ งั้ ครรภน์ อกสมรส และตอ้ งเลย้ี งลกู ตาม ล�ำพัง แม่ของเด็กถูกทอดทิ้งส่วนใหญ่จะแยกทางกับสามี ถูกข่มขืน หรือตั้งครรภ์กับคนในครอบครัว เด็กท่ถี ูกทอดทง้ิ มักจะมีพัฒนาการช้ากว่าวยั 2) เดก็ เรร่ ่อน มีทัง้ ทเี่ รร่ ่อนตามครอบครวั มาหางานท�ำในเมอื ง หรอื เรร่ อ่ นตามล�ำพัง โดยเฉพาะในเมอื งใหญ่ เปน็ เดก็ ชายมากกวา่ เดก็ หญงิ เดก็ เรร่ อ่ นถาวรเปน็ ขอทานหรอื ขายของตามสแี่ ยก มสธทั้งท่ีท�ำงานด้วยตัวเองหรือเป็นเครื่องมือให้พ่อแม่ กินอยู่หลับนอนใต้สะพาน ตลาด วัด ส่วนใหญ่ไม่ได้ เรยี นหนังสือ สาเหตุท่ีเรร่ อ่ นเพราะหนีออกจากบา้ น เพอ่ื นชวนมาเที่ยวแล้วพลดั หลงกัน
การรณรงค์เพอื่ เดก็ ปฐมวยั 7-11 3) เด็กลูกกรรมกร ส่วนใหญ่ขาดโอกาสทางการศึกษาเมื่อจบช้ันประถมศึกษาไม่มี มสธโอกาสได้เรียนต่อ เด็กที่อยู่กับพ่อแม่ในบริเวณก่อสร้าง เมื่อโตพอช่วยตัวเองได้ มักถูกส่งไปอยู่กับปู่ย่า ตายาย เดก็ ลกู กรรมกรกอ่ สรา้ งมกั ไดร้ บั บาดเจบ็ เนอ่ื งจากตะปตู ำ� ไมต้ กใส่ ถกู เหลก็ กบั ฆอ้ นทบุ มอื แกว้ บาด และมกั เรยี นรู้เร่อื งเพศตั้งแต่อายยุ งั นอ้ ย 4) เดก็ ในชมุ ชนแออดั ในกรงุ เทพ มกั มปี ญั หาสขุ ภาพ ขาดสารอาหาร เปน็ โรคผวิ หนงั มสธ มสธสกปรก มอมแมม เด็กทารกไมไ่ ดร้ ับวคั ซีนครบตามกำ� หนด 5) เดก็ ถกู ปลอ่ ยปละละเลย ไดแ้ ก่ เดก็ เรร่ อ่ น ถกู ทอดทงิ้ กำ� พรา้ เดก็ ในชมุ ชนแออดั / ชุมชนถูกปล่อยปละละเลย จากการส�ำรวจสวัสดิการสังคมระดับครัวเรือนท่ัวประเทศ พบว่ามีเด็กที่ไม่อยู่ กับพ่อแม่ โดยแบง่ เป็นกลุ่มย่อย ได้แก่ เด็กก�ำพร้า เดก็ ถูกทอดท้งิ ไมไ่ ดอ้ ยู่กับพอ่ แม่ 6) เดก็ ถกู ละเลยอนั เนอ่ื งมาจากเดก็ ทตี่ อ้ งการความชว่ ยเหลอื เปน็ พเิ ศษ ไมไ่ ดร้ บั การ คุ้มครอง ที่จะได้รับการดูแล การรักษา ฟื้นฟูท่ีพึงได้อย่างเหมาะสม หมายถึงเด็กท่ีมีความแตกต่างจาก มสธเด็กปกติ ซ่ึงยังไม่ได้รับการบริการและแก้ไขถึงบริการข้ันพื้นฐานจากรัฐ เช่น การศึกษา สาธารณูปโภค รวมท้ังไม่มีนโยบายที่ส่งผลในทางปฏิบัติจริง เช่น เด็กพิการด้านต่างๆ เด็กท่ีมีปัญหาเรื่องการเรียนรู้ เด็กปญั ญาเลิศ เด็กกำ� พร้า เด็กท่พี ่อแม่ ผ้ปู กครองตอ้ งโทษจ�ำคุก เด็กยากจน ครอบครวั มีรายได้ต�ำ่ กว่า เส้นความยากจน ฯลฯ เกณฑ์ท่ีใช้ในการพิจารณาดูจากการท่ีครอบครัวหรือผู้ดูแลโดยล�ำพัง ไม่สามารถ ดแู ลเดก็ เหลา่ นใี้ หส้ อดคลอ้ งกบั สภาพของเดก็ ได้ จำ� เปน็ ตอ้ งไดร้ บั การสนบั สนนุ ความชว่ ยเหลอื จากหนว่ ยงาน มสธ มสธของรัฐ หรอื องคก์ รเอกชน 7) เด็กขาดสิทธิอันพึงเข้าถึงและได้รับการบริการต่างๆ ฟื้นฟู และบ�ำบัด เด็กที่มี ปญั หาพฤติกรรม คอื เด็กทมี่ ีพฤติกรรมผดิ แผกแตกตา่ งไปจากเดก็ ปกติในวยั เดียวกัน และมพี ฤติกรรมท่ี ฝา่ ฝนื ตอ่ ตา้ น กฎเกณฑข์ องสงั คม ตอ่ ตา้ นระเบยี บธรรมเนยี มปฏบิ ตั ขิ องสถาบนั ทางสงั คมทเี่ ดก็ สงั กดั อยู่ เชน่ ครอบครัว สถานศกึ ษา หรอื แมแ้ ต่ชมุ ชน เป็นเด็กท่อี ยูใ่ นภาวะเส่ียงมาต้ังแต่แรก 2. สภาพการณ์ของการกระท�ำความรุนแรงและละเมิดสิทธิเด็ก สภาพการณ์ของการกระท�ำ มสธความรุนแรงและละเมดิ สทิ ธิเดก็ เปน็ เรือ่ งท่อี อ่ นไหว และมผี ลอยา่ งมากตอ่ เด็ก เพราะเด็กจะฝงั ความรู้สึก เหลา่ นัน้ ตดิ ตัวไปจนเติบโตเป็นผใู้ หญ่ ซ่งึ เกิดจากหลายประเดน็ ดงั ต่อไปนี้ 2.1 เดก็ รบั รคู้ วามรนุ แรงในครอบครวั ไมว่ า่ จะเปน็ ทางกาย วาจา การใชค้ ำ� พดู การแสดงออก ของพ่อแม่ล้วนมีผลต่อเด็ก เด็กจะเกิดความก้าวร้าว ฉะน้ันผู้ใหญ่ต้องระมัดระวังค�ำพูด ไม่แสดงออก ถึงความรุนแรงทางวาจาให้เด็กเห็นและได้ยิน เพราะเด็กจะเกิดการเลียนแบบพฤติกรรม จนกลายเป็น มสธ มสธความกา้ วรา้ ว ส่งผลตอ่ สขุ ภาพจติ ทด่ี ีในเดก็ 2.2 เดก็ รบั รคู้ วามรนุ แรงทางสงั คม ซง่ึ อาจจะเหน็ ทางโทรทศั นห์ รอื ฟงั วทิ ยุ เพราะถา้ เดก็ รู้ เด็กจะสนใจและมักมีค�ำถามให้ต้องอธิบายในเร่ืองน้ันๆ นอกจากนี้ การที่ผู้ใหญ่ใช้เด็กเป็นเคร่ืองมือทาง การเมือง เช่น การชุมนุมทางการเมืองโดยน�ำเด็กเข้าไปร่วมกิจกรรมด้วย ท�ำให้เด็กซึมซับพฤติกรรม ความรุนแรงต้ังแต่ปฐมวัยซ่ึงมีผลต่อพฤติกรรมของเด็ก ท�ำให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่อาจจะใช้ความรุนแรง ทางกาย วาจาในการด�ำเนนิ ชวี ิตหรือแก้ไขปัญหา ส่งผลให้สงั คมเกิดความแตกแยกและขาดความสามัคคี มสธไมอ่ ยากมาโรงเรียน
7-12 การจดั การศึกษาและหลักสูตรส�ำหรบั เดก็ ปฐมวยั จากผลการศกึ ษาของสำ� นกั พฒั นาสงั คมและคณุ ภาพชวี ติ สำ� นกั งานคณะกรรมการเศรษฐกจิ มสธและสงั คมแหง่ ชาติ (สศช) สำ� นกั งานสง่ เสรมิ สวสั ดภิ าพและพทิ กั ษเ์ ดก็ เยาวชนผดู้ อ้ ยโอกาส คนพกิ าร และ ผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ (สมบูรณ์ ยืนยงสุวรรณ, 2549) พบว่า สถานการณ์การกระท�ำความรุนแรงท้ังร่างกายและจิตใจ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนกับเด็กเกิดขึ้นกับ กลุ่มเดก็ ประเภทต่างๆ แตกตา่ งกนั และมคี วามรุนแรงแตกต่างกนั ออกไป ได้แก่ มสธ มสธ1) เดก็ ถกู ทารณุ เปน็ เหยอ่ื ของความขดั แยง้ ของครอบครวั และสงั คม เดก็ ถกู ทบุ ตจี าก คนในบา้ น จากบคุ คลใกลช้ ดิ คอื พอ่ แม่ ผปู้ กครอง นายจา้ ง หรอื ครู และมกั จะเปน็ เดก็ เลก็ อายตุ ำ�่ กวา่ 6 ปี ผู้กระท�ำในครอบครัวจะเคยพบเห็นและยอมรับการกระท�ำทารุณว่า ตนเองจะตบตีภรรยาหากกระท�ำตัว ไม่ดี ส่วนเดก็ ท่ถี ูกกระทำ� ทางเพศมแี นวโนม้ อายนุ ้อยลง และผกู้ ระท�ำกม็ อี ายุน้อยลงดว้ ย ยงั มีการละเลย ไม่ช่วยเหลอื เดก็ จากสังคมเม่ือพบเห็นเด็กทถ่ี ูกกระทำ� ทารุณ 2) เด็กถูกละเมิดทางเพศ โดยเด็กจะได้รับการสงเคราะห์จากกรมประชาสงเคราะห์ มสธองค์กรเครือข่ายและโรงพยาบาลต�ำรวจ โดยเด็กที่ถูกละเมิดทางเพศจะมีอายุน้อยลง และการละเมิด จะบอ่ ยคร้ังและรุนแรงมากขึ้น 3) เดก็ ถกู ละเมดิ ทง้ั ทางรา่ งกาย จติ ใจ จากการถกู ปลอ่ ยปละละเลย ไมไ่ ดร้ บั การเอาใจใส่ เทา่ ทีค่ วร เด็กอยใู่ นภาวะเสีย่ ง คอื เดก็ ท่ีมีสภาพแวดล้อมทางสงั คมไมว่ า่ ทคี่ รอบครัว สถานศึกษา ชมุ ชน ที่มีความเสี่ยงจะถูกกระท�ำทารุณกรรม ถูกปล่อยละเลยหรือถูกทอดทิ้งในรูปแบบต่างๆ ซ่ึงอาจจะได้รับ มสธ มสธอนั ตรายตอ่ สขุ ภาพกาย สขุ ภาพจติ พฒั นาการทางรา่ งกาย พฒั นาการทางดา้ นสตปิ ญั ญา พฒั นาการดา้ น อารมณ-์ จติ ใจ พัฒนาการด้านสงั คม พฒั นาการดา้ นครอบครวั และอาจมีปัญหาพฤติกรรม 4) เด็กไมไ่ ดร้ บั การคมุ้ ครองและให้ความเปน็ ธรรมต่อการกระทำ� ความผิด คือ เดก็ ที่ กระทำ� ความผดิ ทางอาญาและเปน็ เดก็ ทอ่ี าจมปี ญั หาพฤตกิ รรม ถกู ปลอ่ ยปละละเลยและอาจถกู ทารณุ กรรม มากอ่ น ท้ังนเ้ี ด็กกลุ่มนีเ้ ป็นเด็กท่อี ยูใ่ นภาวะเสย่ี งมาตั้งแต่แรกเชน่ เดยี วกนั จะเห็นได้ว่าสถานการณ์และปัญหาของเด็กเกิดได้จากหลายสาเหตุ การถูกละเลยในการส่งเสริม มสธสิทธิเด็ก และการกระท�ำความรุนแรงและละเมิดสิทธิเด็กก็มีหลายด้าน ซึ่งเป็นส่ิงที่ท�ำให้เด็กๆ ขาดอิสระ และสทิ ธติ า่ งๆ ทค่ี วรจะไดร้ บั ฉะนนั้ ทกุ หนว่ ยงานควรใหค้ วามสนใจกบั ปญั หาเหลา่ นี้ เพราะเดก็ คอื อนาคต ของชาติ สถาบนั ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นครอบครวั สถานศกึ ษา ชมุ ชนและสอื่ มวลชน คือสถาบันที่ส�ำคญั ทส่ี ดุ ที่จะมสี ่วนร่วมในการแกไ้ ขปัญหาพืน้ ฐานในการด�ำรงชวี ติ ให้แกเ่ ด็ก มสธ มสธกิจกรรม7.1.2 มสธจงอธบิ ายสภาพการณ์ของการกระทำ� ความรนุ แรงและละเมิดสิทธิเดก็
การรณรงคเ์ พ่อื เดก็ ปฐมวยั 7-13 มสธแนวตอบกิจกรรม 7.1.2 สภาพการณ์ของการกระท�ำความรนุ แรงและละเมดิ สิทธิเด็ก เช่น 1. เดก็ รบั ร้คู วามรุนแรงในครอบครัว ไมว่ ่าจะเป็นทางกาย วาจา และการใช้ค�ำพูด 2. เดก็ รบั รคู้ วามรนุ แรงทางสงั คม ซงึ่ อาจจะเหน็ ทางโทรทศั นห์ รอื ฟงั วทิ ยุ และการทผี่ ใู้ หญใ่ ชเ้ ดก็ เป็นเครือ่ งมอื ทางการเมอื ง มสธ มสธเรื่องที่7.1.3 การรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัยในประเทศไทย มสธตัง้ แตป่ ระเทศไทยได้ให้สตั ยาบนั ในอนุสญั ญาวา่ ด้วยสิทธเิ ด็ก (Convention on the Rights of the Child) ซ่ึงเปน็ สัญญาด้านสิทธิมนษุ ยชนระหว่างประเทศทร่ี ะบุรายละเอยี ดของสิทธขิ ัน้ พืน้ ฐานตา่ งๆ มสธ มสธไว้ว่าทุกประเทศต้องรับประกันเด็กในประเทศของตน จึงต้องมีการจัดท�ำรายงานความก้าวหน้าเสนอ ต่อคณะกรรมการสิทธิเด็ก ซ่ึงมีหน้าท่ีก�ำกับดูแลและตรวจสอบการด�ำเนินงานของแต่ละประเทศในการ รบั ประกนั สทิ ธิตา่ งๆ ของเด็กท่รี ะบุไวใ้ นอนสุ ัญญา การรณรงคเ์ พอ่ื เดก็ ปฐมวยั ในประเทศไทย ไดม้ หี นว่ ยงานและองคก์ รตา่ งๆ ทงั้ ภาครฐั และเอกชน เขา้ มามบี ทบาทเปน็ อยา่ งมาก โดยใหค้ วามสำ� คญั กบั การรณรงคเ์ พอ่ื พฒั นาเดก็ และการรณรงคเ์ พอื่ ปกปอ้ ง เดก็ ควบคู่กันไป ดังตอ่ ไปน้ี มสธการรณรงค์เพื่อพัฒนาเด็ก ส�ำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่ง สหประชาชาติ (UNICEF) ได้ก�ำหนดเป้าหมายในการพัฒนาเด็กตามหลักของปฏิญญาเพ่ือเด็กไทยที่ เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย เพอื่ ใหส้ อดคลอ้ งกับทิศทางในการพฒั นาเดก็ ของปฏิญญาเพ่ือเดก็ ไว้ (สำ� นักงาน มสธ มสธคณะกรรมการสง่ เสรมิ และประสานงานเยาวชนแห่งชาติ, 2538) ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การพัฒนาครอบครัวและการเลี้ยงดูเด็ก มีเป้าหมายในการพัฒนาเด็กว่าควรได้รับการอบรม เล้ียงดูจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง บุคคลหรือครอบครัวท่ีให้ความรักและความเข้าใจ เพื่อเป็นฐานในการสร้าง เสริมพัฒนาการทุกดา้ น ได้แก่ การพฒั นาทางกาย อารมณ์-จติ ใจ สงั คม สตปิ ัญญา ค่านยิ ม และเจตคติ โดยเฉพาะในระยะตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึงอายุ 6 ปีแรกของชีวติ 2. การส่งเสริมโภชนาการ มีเป้าหมายให้เด็กได้รับสารอาหารอย่างน้อยท่ีสุดตามความต้องการ มสธของรา่ งกายทไี่ ดก้ ำ� หนดไวต้ ามวยั เรม่ิ ตงั้ แตป่ ฏสิ นธจิ นถงึ ในชว่ งอายตุ า่ งๆ เพอื่ ใหร้ า่ งกายเจรญิ เตบิ โตเตม็ ที่ และแขง็ แรงสมบรู ณ์ตามปกติ โดยเน้นการลดปญั หาการขาดสารอาหารในเด็กท่มี อี ายุต่ำ� กวา่ 5 ปี
7-14 การจัดการศกึ ษาและหลกั สูตรสำ� หรบั เดก็ ปฐมวัย 3. การสง่ เสรมิ และขยายบรกิ ารพนื้ ฐานเพอื่ สขุ ภาพอนามยั มเี ปา้ หมายวา่ เดก็ ตอ้ งไดร้ บั การสง่ เสรมิ มสธสขุ ภาพและพฒั นาการ และได้รบั การปอ้ งกนั จากโรคและภัยทีส่ ามารถหลีกเล่ยี งได้ 4. การพัฒนาที่อยู่อาศัย มุ่งให้เด็กมีท่ีอยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะ ไม่คับแคบจนเกินไปและอยู่ใน สง่ิ แวดลอ้ มทไี่ มเ่ ปน็ พษิ เปน็ ภยั ตอ่ สขุ ภาพทงั้ ทางกายและจติ รวมถงึ มโี อกาสและมสี ถานทวี่ ง่ิ เลน่ ออกกำ� ลงั กาย และเล่นกีฬา มสธ มสธ5. การส่งเสริมการศึกษา มุ่งเร่งขยายบริการจัดการศึกษา การเตรียมความพร้อม และการจัด กิจกรรมทก่ี ่อใหเ้ กดิ การพัฒนาเดก็ ในทุกด้าน รวมทั้งเรง่ รดั การลดอตั ราเดก็ ทไ่ี ม่รู้หนังสือใหน้ อ้ ยลง 6. การสง่ เสรมิ วฒั นธรรมและสงิ่ แวดลอ้ ม มงุ่ เสรมิ สรา้ งใหเ้ ดก็ มสี นุ ทรยี ภาพ ซาบซงึ้ ในความงาม รู้จักเข้าใจและอนุรักษ์มรดกและเอกลักษณ์ของชาติ โดยการมีส่วนร่วมในกิจกรรมท่ีสร้างสรรค์ท้ังในด้าน ศิลปะ วฒั นธรรมประเพณี ธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม 7. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในสังคม มุ่งให้เด็กมีโอกาสและสามารถแสดงความคิดเห็นของตน มสธไดด้ ว้ ยจติ สำ� นกึ ตอ่ สงั คมสว่ นรวมและสาธารณสมบตั ิ มสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมทเี่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ สงั คม รวมทงั้ การยดึ ถอื เร่อื งความมวี ินัยในตนเองและความยตุ ิธรรมในสงั คม 8. การส่งเสริมการเข้าถึงบริการข้ันพ้ืนฐาน มุ่งเปิดโอกาสให้เด็กและครอบครัวเข้าถึงบริการ ข้ันพ้ืนฐานในด้านต่างๆ โดยการมีสถาบันให้บริการให้ค�ำปรึกษาแก่ครอบครัว และขยายรูปแบบการจัด การศึกษา การเตรียมความพร้อม การสาธารณสุข กิจกรรมเพื่อการพัฒนาสงเคราะห์ และคุ้มครอง มสธ มสธสวสั ดิภาพเดก็ และขยายบริการทกุ ประเภทสำ� หรับกล่มุ เด็กในสภาวะยากลำ� บาก 9. การพัฒนาเด็กที่อยู่ในภาวะยากล�ำบาก มุ่งให้เด็กได้รับรู้สิทธิข้ันพ้ืนฐานที่พึงจะได้รับจากรัฐ ตลอดจนได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิต สงเคราะห์ ฟื้นฟู คุ้มครองสวัสดิภาพ และพิทักษ์สิทธิและ ผลประโยชนจ์ ากบุคคล สถาบนั ทางสังคม และองคก์ รทเี่ ก่ียวข้อง 10. การส่งเสริมการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเด็ก มุ่งให้หน่วยงานของรัฐ สถาบันสังคม องค์กรธุรกิจ และส่ือมวลชน ต้องส่งเสริมและร่วมท�ำการศึกษาวิจัยถึงสภาพของเด็กและสภาวะการพัฒนาเด็ก และ มสธจะต้องท�ำการเผยแพรค่ วามร้ดู ังกลา่ วดว้ ย สรุปได้ว่า การรณรงค์เพื่อพัฒนาเด็กเป็นการพัฒนาครอบครัวและการเล้ียงดูเด็ก มีเป้าหมาย ในการพฒั นาเดก็ วา่ ควรไดร้ บั การอบรมเลย้ี งดจู ากพอ่ แม่ ผปู้ กครอง บคุ คลหรอื ครอบครวั ทใี่ หค้ วามรกั และ ความเข้าใจเพ่ือเป็นฐานในการสร้างเสริมพัฒนาการทุกด้าน ให้การส่งเสริมโภชนาการ การส่งเสริมและ ขยายบรกิ ารพน้ื ฐานเพอ่ื สขุ ภาพอนามยั การพฒั นาทอ่ี ยอู่ าศยั การสง่ เสรมิ การศกึ ษา การสง่ เสรมิ วฒั นธรรม มสธ มสธและส่ิงแวดล้อม การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในสังคม การส่งเสริมการเข้าถึงบริการข้ันพื้นฐาน รวมท้ัง การพฒั นาเด็กท่อี ยูใ่ นภาวะยากลำ� บาก และการส่งเสริมการศกึ ษาวจิ ยั เพอื่ พฒั นาเดก็ การรณรงค์เพ่ือปกป้องเด็กปฐมวัย คณะกรรมการสทิ ธเิ ดก็ ไดก้ ำ� หนดเปา้ หมายในการดำ� เนนิ งานของประเทศไทย ในสว่ นของการรา่ งกฎหมาย และจดั โครงสรา้ งของรฐั เพอื่ ใหค้ วามคมุ้ ครองแกเ่ ดก็ และปกปอ้ งสทิ ธขิ องเดก็ ในหลายดา้ น (องคก์ ารทนุ เพอื่ เดก็ มสธแห่งสหประชาชาติ, 2559ค) ดังต่อไปน้ี
การรณรงค์เพอ่ื เด็กปฐมวัย 7-15 1. การปกป้องคุ้มครองสทิ ธิของเดก็ ผูล้ ้ีภัย เด็กทอ่ี ยู่ในภาวะยากล�ำบาก มสธ2. การบงั คบั ใชก้ ฎหมายในการปกปอ้ งสวสั ดภิ าพ และความปลอดภยั ทง้ั รา่ งกายและจติ ใจของเดก็ 3. การกำ� กบั ดแู ล และการเก็บข้อมลู เพอ่ื หาแนวทางในการวางแผนเพ่ือปกปอ้ งเดก็ 4. การจดั สรรงบประมาณของประเทศไทยในการท�ำงานดา้ นเดก็ 5. การพัฒนากลไกคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กที่ตกเป็นเหย่ือของการถูกท�ำร้าย และถูกแสวง มสธ มสธประโยชนท์ างเพศ ทง้ั ทเ่ี กดิ ในครอบครัวและนอกครอบครวั 6. การเข้าถึงบริการข้ันพื้นฐานแก่เด็กท่ีขาดโอกาสท่ีสุด ได้แก่ เด็กกลุ่มชาติพันธุ์ เด็กผู้ล้ีภัย เดก็ เรร่ อ่ น เดก็ อพยพ เดก็ ยากจน เดก็ ทก่ี ระทำ� ผดิ และเดก็ ทถ่ี กู คา้ มนษุ ย์ เดก็ พกิ าร เดก็ ทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบ จากความรุนแรง 7. การขจัดความเหลือ่ มล้�ำตา่ งๆ ในสังคม ได้แก่ ความเหล่ือมล้�ำด้านการศกึ ษา และการเข้าถึง บรกิ ารสาธารณะหลกั มสธทงั้ นก้ี ารรณรงคเ์ พอื่ พฒั นาเดก็ และการรณรงคเ์ พอื่ ปกปอ้ งเดก็ ในประเทศไทยนนั้ ไดม้ อี งคก์ รตา่ งๆ เขา้ มามีบทบาทและร่วมด�ำเนินการ ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี 1. องคก์ ารทนุ เพอ่ื เดก็ แหง่ สหประชาชาติ หรอื UNICEF องคก์ ารทนุ เพอ่ื เดก็ แหง่ สหประชาชาติ หรอื UNICEF (2559ข) ถอื กำ� เนดิ ขนึ้ หลงั สงครามโลกครงั้ ท่ี 2 โดยมวี ตั ถปุ ระสงคห์ ลกั เพอ่ื ใหค้ วามชว่ ยเหลอื แกเ่ ดก็ ๆ ในทวปี ยโุ รปและเอเชยี ทต่ี อ้ งเผชญิ กบั ภาวะอดอยากและโรคระบาดอนั เปน็ ผลมาจากสงคราม โดย มสธ มสธยนู เิ ซฟไดก้ อ่ ตงั้ ขน้ึ อยา่ งเปน็ ทางการใน พ.ศ. 2489 และเพยี ง 2 ปหี ลงั จากนนั้ ยนู เิ ซฟกไ็ ดเ้ ปดิ สำ� นกั งานขน้ึ ในประเทศไทยใน พ.ศ. 2491 งานของยนู เิ ซฟในประเทศไทยในชว่ งแรกเนน้ เรอื่ งสขุ อนามยั และโภชนาการ ของเด็ก จนกระทั่งปัจจุบัน ความเป็นอยู่ของเด็กในประเทศไทยได้เปล่ียนไปอย่างมาก และภารกิจของ ยนู เิ ซฟกไ็ ดเ้ พมิ่ มากขนึ้ และครอบคลมุ ประเดน็ อนื่ มากขนึ้ ตามสถานการณท์ เ่ี ปลยี่ นไป โดยปจั จบุ นั ภารกจิ หลกั ของยูนิเซฟ คือ 1) ปกป้องคุ้มครองเด็กจากการถกู ท�ำร้าย การถูกลว่ งละเมดิ การถูกแสวงประโยชน์ และ มสธการถกู ทอดท้ิง 2) ท�ำให้เดก็ ทกุ คนไดเ้ ขา้ ถงึ การศกึ ษาและพฒั นาคุณภาพการศึกษา 3) ป้องกันเด็กจากการติดเช้ือเอชไอวี และให้ความช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจาก เอชไอวีและเอดส์ 4) งานด้านสุขภาพเด็กและพฒั นาการของเด็กเลก็ มสธ มสธ5) สนับสนุนการศึกษาตา่ งๆ เพ่ือติดตามตรวจสอบนโยบายสังคม 6) รณรงค์ใหเ้ กิดกฎหมายและนโยบายท่ีปกป้องคมุ้ ครองสิทธิเดก็ 7) รณรงค์เรอื่ งสิทธเิ ด็กในหมู่สอื่ มวลชน 8) ให้ความช่วยเหลือเม่อื เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉนิ มสธ9) สร้างความตระหนักเรือ่ งไขห้ วดั นก และไข้หวัดใหญส่ ายพนั ธ์ตุ ่างๆ
7-16 การจดั การศึกษาและหลกั สูตรสำ� หรบั เด็กปฐมวยั ยูนิเซฟเป็นองค์กรหนึ่งของสหประชาชาติ ท�ำงานโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือสนับสนุนและ มสธปกปอ้ งสทิ ธขิ องเดก็ โดยยดึ แนวทางปฏญิ ญาสากลวา่ ดว้ ยสทิ ธมิ นษุ ยชนและสนธสิ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธมิ นษุ ยชน ตา่ งๆ โดยเฉพาะอนุสัญญาวา่ ดว้ ยสทิ ธิเดก็ ซง่ึ มกี ารด�ำเนนิ งาน (องค์การทนุ เพ่ือเดก็ แหง่ สหประชาชาต,ิ 2555) ดังต่อไปน้ี 1) การมสี ว่ นรว่ มในการพฒั นาชาติ รัฐบาลไทยคือภาคีท่ีสำ� คญั ของยนู ิเซฟ ยนู ิเซฟท�ำงาน มสธ มสธรว่ มกบั หนว่ ยงานภาครฐั ทกุ ระดบั และกลมุ่ ภาคตี า่ งๆ เชน่ องคก์ รไมแ่ สวงหากำ� ไร กลมุ่ ศาสนา หนว่ ยงาน ภายใต้สหประชาชาติอ่ืนๆ และเด็ก การร่วมมือกับภาคส่วนอ่ืนเป็นสิ่งส�ำคัญในการช่วยเหลือเด็กๆ ใน ประเทศไทยใหร้ อดพน้ จากภยั คกุ คามท่ีเดก็ กำ� ลังเผชิญ 2) การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพของกลไกภาครฐั เพอ่ื เดก็ (strengthening national system and capacity) มีเป้าหมายเพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพการให้บริการ และการให้ความช่วยเหลือผ่านการผลักดัน นโยบายและความรว่ มมอื กบั ภาคตี า่ งๆ ตลอดจนการพฒั นาระบบตา่ งๆ เพอ่ื คมุ้ ครองสทิ ธเิ ดก็ และสง่ เสรมิ มสธความร่วมมือของคนในชาติ และความรบั ผดิ ชอบรว่ มกันของทกุ ฝ่าย 3) ความเทา่ เทยี มกนั (equality) ความไมเ่ ทา่ เทยี มและความเหลอื่ มลำ้� ระหวา่ งชาวชนบท และชาวเมอื ง ไม่ว่าจะเป็นความเหลอ่ื มลำ้� ดา้ นการศกึ ษาและการเข้าถงึ บริการสาธารณะหลัก ทัง้ น้โี อกาส ในการเข้าถึงบริการด้านการศึกษาและสาธารณะหลัก มีความแตกต่างกันมากระหว่างกลุ่มประชากรท่ีมี ฐานะความเปน็ อยแู่ ตกตา่ งกัน ระหว่างเขตเมืองและชนบท และระหวา่ งภูมภิ าค ซงึ่ เป็นปญั หาส�ำคัญของ มสธ มสธประเทศไทย 4) เพศ (gender) ยนู เิ ซฟยดึ แนวทางสทิ ธมิ นษุ ยชนดา้ นความเทา่ เทยี มและการไมเ่ ลอื กปฏบิ ตั ิ เป็นหัวใจในการทำ� งานเก่ยี วกับความเท่าเทียมทางเพศ ใหค้ วามส�ำคัญกับธรรมชาตทิ ี่แตกต่างกนั ระหว่าง สองเพศ โดยใช้ระบบโครงการ การวิจัย การวิเคราะห์ และการรายงานผลในการศึกษาประสบการณ์ที่ แตกต่างกันของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง สิ่งเหล่าน้ีช่วยให้เข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของความคาดหวัง ทางเพศที่สังคมสร้างขน้ึ อกี ท้ังยังชว่ ยใหก้ ารทำ� งานเกยี่ วกับประเด็นทีอ่ ่อนไหวทางเพศและการสนับสนุน มสธนโยบายเป็นไปอยา่ งสะดวกยิง่ ข้ึน 5) การสอ่ื สารเพื่อการพัฒนา (communication for development) ยนู เิ ซฟประเทศไทย มขี น้ั ตอนกลยทุ ธท์ เ่ี ปน็ ระบบ ผา่ นการวางแผนบนพนื้ ฐานของการใชข้ อ้ มลู หลกั ฐานประกอบ เพอ่ื สนบั สนนุ การเปล่ียนแปลงทางสังคมและพฤติกรรมเชิงบวก ซึ่งเป็นส่วนส�ำคัญในการพัฒนาสุขภาพ โภชนาการ การศึกษา และการปกป้องคุม้ ครองเดก็ มสธ มสธ6) แผนฉกุ เฉิน (emergencies) ภายใต้แผนงานด้านมนุษยธรรมของยูนิเซฟเก่ยี วกับเด็ก ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ยูนิเซฟมุ่งมั่นสนับสนุนรัฐบาลและภาคีต่างๆ ในการให้ความช่วยเหลือและ การเยียวยาแก่เด็กผู้ประสบภัยทั้งระหว่างและภายหลังสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากน้ี ยูนิเซฟยังเป็น ก�ำลังหลกั ในการใหค้ วามชว่ ยเหลือดา้ นมนุษยธรรมในเหตกุ ารณ์ภัยพิบตั ิสำ� คญั ๆ ของไทย 7) การระดมทุน (funding) เงินทุนในการด�ำเนินงานของยูนิเซฟเพ่ือเด็กในประเทศไทย ล้วนมีท่ีมาจากเงินบริจาคที่ได้ระดมทุนในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะจากผู้บริจาครายบุคคล เงินทุนที่ มสธได้รับเปน็ ส่วนหนงึ่ ในการสรา้ งความเปลยี่ นแปลงในชีวิตเดก็ ๆ ที่ตอ้ งการความชว่ ยเหลือ
การรณรงคเ์ พือ่ เด็กปฐมวัย 7-17 การด�ำเนินงานต่างๆ ของยูนิเซฟเน้นกับกลุ่มเด็กท่ีขาดโอกาสและมีความเสี่ยงต่อความรุนแรง มสธการถูกกระท�ำ ถูกทอดท้ิง และถกู แสวงประโยชน์ ยูนิเซฟทำ� งานแบบเนน้ การสรา้ งทักษะและมอบโอกาส ให้แก่เด็กและครอบครัว เพ่ือให้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างยั่งยืนในอนาคต และยังรณรงค์ให้เกิด กฎหมาย นโยบาย และสภาพแวดลอ้ มทเ่ี ออ้ื ใหเ้ ดก็ ทกุ คนมโี อกาสพฒั นา และเตบิ โตขน้ึ อยา่ งเตม็ ศกั ยภาพ 2. มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก (The Center for the Protection of Children’s Rights มสธ มสธFoundation) ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เป็นโครงการหน่ึงของมูลนิธิเด็ก เร่ิมด�ำเนินการในปี พ.ศ. 2524 ตอ่ มา ปี พ.ศ. 2539 ไดจ้ ดทะเบยี นเปน็ มลู นธิ ศิ นู ยพ์ ทิ กั ษส์ ทิ ธเิ ดก็ ซง่ึ เปน็ องคก์ รพฒั นาเอกชนหนงึ่ ทที่ ำ� ให้ สังคมไทยได้ตระหนัก และรับรู้สภาพความเปน็ จรงิ ของปัญหาการละเมิดสทิ ธเิ ดก็ ทมี่ ีอยู่มากมาย พนั ธกจิ ส�ำคัญ คือการสร้างให้เกิดสังคมท่ีเอื้ออาทรส�ำหรับเด็ก โดยผลักดันให้เกิดกลไกความร่วมมือของทุกฝ่าย ท่ีเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสังคมไทย ในการคุ้มครองและป้องกันปัญหา การละเมดิ สทิ ธเิ ดก็ โดยภารกจิ หลกั ของมลู นธิ ศิ นู ยพ์ ทิ กั ษส์ ทิ ธเิ ดก็ (มลู นธิ ศิ นู ยพ์ ทิ กั ษส์ ทิ ธเิ ดก็ , 2559) คอื มสธ1) สนับสนุนสง่ เสริมสิทธิเดก็ ตามอนุสัญญาวา่ ดว้ ยสทิ ธิเดก็ แหง่ สหประชาชาติ 2) ให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองเด็กผู้ถูกละเมิดสิทธิตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่ง สหประชาชาติ 3) ศึกษาและเสนอแนวทางในการปกป้องและคุ้มครองสิทธิเด็กในประเทศไทย ให้เป็นไป ตามอนุสัญญาว่าดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ แห่งสหประชาชาติ มสธ มสธ4) ร่วมมอื กับหนว่ ยงานท่ีท�ำงานด้านเด็กและสิทธมิ นุษยชนและเอกชนในการปกปอ้ ง และ คุ้มครองเดก็ ทุกกรณี มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กด�ำเนินการให้ความช่วยเหลือคุ้มครองเด็กถูกทารุณกรรม และเด็กท่ี ได้รับการเล้ียงดูโดยมิชอบ นอกจากน้ี มีการด�ำเนินงานด้านการป้องกันโดยการส่งเสริมพัฒนาให้เด็ก มีทักษะในการปอ้ งกันตนเอง ส่งเสริมสนับสนนุ ใหส้ ถาบนั ทีอ่ ยแู่ วดล้อมเดก็ ไดแ้ ก่ ครอบครัว สถานศกึ ษา ชุมชน ทำ� หนา้ ทีใ่ นการเลี้ยงดู ส่งเสรมิ พัฒนาและปกปอ้ งเดก็ ให้ปลอดภยั รวมทงั้ การจัดการอบรมพฒั นา มสธศกั ยภาพผปู้ ฏบิ ตั งิ านทเ่ี กยี่ วขอ้ งทง้ั ภาครฐั และเอกชน ใหส้ ามารถคมุ้ ครองเดก็ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพมากขน้ึ ซง่ึ มกี ารดำ� เนนิ งานในลกั ษณะของการจดั ตง้ั โครงการตา่ งๆ เพอื่ ชว่ ยเหลอื เดก็ (มลู นธิ ศิ นู ยพ์ ทิ กั ษส์ ทิ ธเิ ดก็ , 2559) ดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี 2.1 โครงการช่วยเหลือคุ้มครองเด็กที่ถูกทารุณกรรมและได้รับการเลี้ยงดูโดยมิชอบ ฝ่าย คมุ้ ครองสทิ ธเิ ดก็ มภี ารกจิ ในการใหค้ วามชว่ ยเหลอื และคมุ้ ครองเดก็ ทถี่ กู ทารณุ กรรม และไดร้ บั การเลย้ี งดู มสธ มสธโดยมชิ อบ การชว่ ยเหลอื คมุ้ ครองดำ� เนนิ การตามกระบวนการคมุ้ ครองเดก็ เรมิ่ ตงั้ แตข่ นั้ ตอนการตรวจสอบ ตดิ ตาม การสบื คน้ ขอ้ เทจ็ จรงิ การคมุ้ ครองสวสั ดภิ าพ การฟน้ื ฟเู ยยี วยา การสง่ เสรมิ พฒั นา การชว่ ยเหลอื ทางกฎหมาย การคืนสู่สังคม โดยด�ำเนินการตามกฎหมายท่ีเก่ียวข้องหลายฉบับ และท�ำงานร่วมกับ สหวิชาชีพ ซ่ึงเปน็ ผูป้ ระกอบวชิ าชีพทางการแพทย์ นกั สงั คมสงเคราะห์ บุคลากรในกระบวนการยุตธิ รรม มสธและหน่วยงานทเี่ กย่ี วข้อง
7-18 การจัดการศกึ ษาและหลักสูตรส�ำหรบั เด็กปฐมวยั 2.2 โครงการสนับสนุนและคุ้มครองเด็กท่ีถูกทารุณกรรม เป็นโครงการที่มุ่งเน้นส่งเสริม มสธและสนับสนุนให้เด็กและครอบครัวได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพ การบ�ำบัดฟื้นฟูผลกระทบจากการถูก ทารณุ กรรมอยา่ งต่อเน่อื ง และการส่งเสรมิ การเลยี้ งดูเด็กตามมาตรฐานขัน้ ตำ่� ประกอบด้วยกจิ กรรม ดงั นี้ 1) กิจกรรมการเยย่ี มบา้ น 2) กจิ กรรมพาเดก็ และครอบครัวพบจติ แพทย์ตอ่ เนื่อง มสธ มสธ3) กิจกรรมพาเด็กเขา้ ร่วมกิจกรรมทีส่ ร้างสรรค์ 4) กิจกรรมส่งเสริมความรใู้ นการเล้ยี งดูเดก็ ใหก้ บั ผู้ปกครองและผดู้ ูแลเด็ก 5) ในกรณที เี่ ดก็ อยใู่ นแหลง่ รองรบั ทไี่ มใ่ ชค่ รอบครวั ตน้ กำ� เนดิ จดั ใหเ้ ดก็ และครอบครวั ตน้ กำ� เนดิ ไดท้ �ำกิจกรรมร่วมกนั เพ่อื รักษาสัมพนั ธภาพ 2.3 โครงการครอบครวั ทดแทน เปน็ โครงการหาครอบครวั ชวั่ คราวใหก้ บั เดก็ ทผ่ี า่ นการบำ� บดั ฟื้นฟแู ลว้ แต่ครอบครัวตน้ กำ� เนิดยังไม่สามารถรบั เด็กไปดแู ลได้ เพ่อื ใหเ้ ดก็ ได้เรยี นร้บู ทบาท หนา้ ท่ขี อง มสธครอบครัว กิจกรรมในโครงการประกอบด้วย 1) การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในชวี ิตประจำ� วันของเดก็ 2) การให้ความร้คู รอบครวั ทดแทนในการดูแลเด็ก 3) การจดั ใหเ้ ด็กและครอบครวั ทดแทนได้พบจิตแพทย์อย่างสม่�ำเสมอ 2.4 โครงการโรงเรียนคุ้มครองเด็ก เป็นโครงการที่ส่งเสริมพัฒนาผู้บริหารและคณะครู มสธ มสธในสถานศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และมีการด�ำเนินงานในสถานศึกษาภายใต้กรอบเนื้อหาโรงเรียน คุ้มครองเด็ก ได้แก่ การจัดระบบของสถานศึกษาเพ่ือให้นักเรียนมีความปลอดภัยทั้งจากอุบัติเหตุ และ ภัยบุคคล การดูแลช่วยเหลือนักเรียนท่ีมีปัญหาหรือมีความเส่ียง และการส่งเสริมพัฒนานักเรียนและ ผูป้ กครองเพอื่ ให้นกั เรียนมพี ัฒนาการที่เหมาะสม กิจกรรมในโครงการประกอบด้วย การอบรมครู การจัด เวทเี รียนรใู้ นสถานศกึ ษาในเร่อื งท่เี กย่ี วข้อง การชว่ ยเหลือสถานศกึ ษาในการจัดระบบภายในสถานศกึ ษา การสร้างเคร่ืองมือการสำ� รวจข้อมูลนกั เรยี นในเร่ืองต่างๆ มสธ2.5 โครงการชุมชนคุ้มครองเดก็ เปน็ โครงการทพี่ ฒั นาใหเ้ กดิ เครอื ขา่ ยในชมุ ชนในการดแู ล เด็กและครอบครัว อาทิ เครือข่ายครอบครัว เครือข่ายเด็กและเยาวชน เครือข่ายแกนน�ำชุมชน ภายใต้ กรอบเนอื้ หาชมุ ชนคมุ้ ครองเดก็ ไดแ้ ก่ การดำ� เนนิ งานในชมุ ชนเพอ่ื ใหเ้ ดก็ มคี วามปลอดภยั ทง้ั จากอบุ ตั เิ หตุ และภัยบุคคล การดูแลช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาหรือมีความเส่ียง การส่งเสริมพัฒนาเด็กและครอบครัว กจิ กรรมในโครงการประกอบด้วย การอบรมเครือขา่ ยต่างๆ การจดั เวทีเรียนรใู้ นชุมชนในเร่ืองทเ่ี ก่ียวข้อง มสธ มสธการช่วยเหลือชุมชนในการด�ำเนินงานเร่ืองความปลอดภัยในชุมชน การจัดกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ ในครอบครวั อาทิ กจิ กรรมครอบครวั สมั พันธ์ กจิ กรรมค่ายครอบครวั 2.6 โครงการผู้พิทักษ์เด็ก เป็นโครงการรณรงค์ที่เชิญชวนให้ประชาชน ได้มีส่วนร่วมกัน ดแู ลคมุ้ ครองใหเ้ ดก็ ไดร้ บั ความปลอดภยั ไดร้ บั การเลยี้ งดอู ยา่ งเหมาะสมตามวยั ตามพฒั นาการ และสทิ ธิ ขั้นพ้ืนฐานที่เด็กควรจะได้รับตามที่อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กสหประชาชาติระบุไว้ โดยประชาชนทั่วไป มสธสามารถรว่ มเป็นส่วนหน่ึงของโครงการผ้พู ทิ กั ษเด็กได้หลายรปู แบบ เช่น
การรณรงคเ์ พือ่ เด็กปฐมวัย 7-19 1) แจง้ เหตุ เมอ่ื พบเหน็ เรอื่ งราวเดก็ ถกู ทำ� รา้ ยดว้ ยความรนุ แรง ไมน่ ง่ิ เฉยใหร้ บี สง่ ตอ่ มสธขอ้ มูลหรอื โทรแจง้ หนว่ ยงานที่เก่ียวขอ้ งทนั ที อย่างถกู วธิ แี ละไม่ละเมดิ สทิ ธิเด็ก 2) กระจายข่าวสาร ช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์เก่ียวกับการพิทักษเด็กสู่ สาธารณะ 3) อาสาสัญจรพัฒนาเด็ก เพียงเดือนละหน่ึงครั้งกับการสัญจรไปยังมูลนิธิ สถาน- มสธ มสธสงเคราะห์หรือชุมชนท่ีมีเด็กๆ ด้อยโอกาส เพื่อท�ำกิจกรรมเสริมสร้างทักษะชีวิต ทักษะสังคม และทักษะ ความปลอดภัยให้เด็กๆ ได้รับการพัฒนาและมีคุณภาพชีวิตท่ีดีข้ึน 4) ระดมทนุ เพอ่ื ชว่ ยเหลอื เดก็ ทถี่ กู ทารณุ กรรมกบั โครงการชว่ ยหนดู ว้ ย แนะนำ� บคุ คล หรือหน่วยงานที่มีแนวโน้มจะให้ทุนสนับสนุนงบประมาณกิจกรรมของมูลนิธิฯ หรือจัดกิจกรรมระดมทุน ตามความสามารถ เพ่ือน�ำมาสนับสนุนให้มูลนิธิฯ ด�ำเนินงานเข้าช่วยเหลือเด็กท่ีถูกทารุณกรรมได้อย่าง ทันท่วงทีและครบวงจร มสธสรุปได้ว่า การรณรงค์เพื่อปกป้องเด็กปฐมวัยเป็นการปกป้องคุ้มครองสิทธิของเด็ก การปกป้อง สวัสดิภาพ และความปลอดภัยท้ังร่างกายและจิตใจของเด็ก รวมถึงการหาแนวทางในการวางแผน เพอ่ื ปกปอ้ งเดก็ โดยจดั สรรงบประมาณในการทำ� งานดา้ นเดก็ เพอื่ พฒั นากลไกคมุ้ ครองและชว่ ยเหลอื เดก็ ให้สามารถเข้าถึงบรกิ ารขั้นพืน้ ฐานแกเ่ ด็กที่ขาดโอกาสท่สี ดุ และขจัดความเหลอ่ื มลำ�้ ตา่ งๆ ในสงั คมทเี่ ด็ก ได้รบั มสธ มสธกิจกรรม7.1.3 จงอธบิ ายและยกตวั อยา่ งเปา้ หมายในการรณรงคเ์ พอ่ื พฒั นาเดก็ ตามหลกั ของปฏญิ ญาเพอื่ เดก็ ไทย แนวตอบกิจกรรม 7.1.3 มสธเป้าหมายในการรณรงคเ์ พื่อพัฒนาเดก็ ตามหลักของปฏญิ ญาเพอ่ื เดก็ ไทย ยกตัวอย่างเช่น 1. การพัฒนาครอบครัวและการเล้ียงดูเด็ก มีเป้าหมายในการพัฒนาเด็กว่าควรได้รับการอบรม เลี้ยงดูจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง บุคคลหรือครอบครัวที่ให้ความรักและความเข้าใจ เพ่ือเป็นฐานในการสร้าง เสรมิ พัฒนาการทกุ ด้าน ไดแ้ ก่ การพฒั นาทางกาย อารมณ-์ จิตใจ สังคม สติปญั ญา คา่ นยิ ม และเจตคติ โดยเฉพาะในระยะตงั้ แต่อยู่ในครรภจ์ นถึงอายุ 6 ปแี รกของชีวิต มสธ มสธ2. การส่งเสริมโภชนาการ มีเป้าหมายให้เด็กได้รับสารอาหารอย่างน้อยท่ีสุดตามความต้องการ ของรา่ งกายทไ่ี ดก้ ำ� หนดไวต้ ามวยั เรม่ิ ตง้ั แตป่ ฏสิ นธจิ นถงึ ในชว่ งอายตุ า่ งๆ เพอ่ื ใหร้ า่ งกายเจรญิ เตบิ โตเตม็ ที่ มสธและแขง็ แรงสมบูรณ์ตามปกติ โดยเน้นการลดปัญหาการขาดสารอาหารในเด็กทมี่ ีอายุตำ่� กว่า 5 ปี
7-20 การจดั การศึกษาและหลกั สูตรสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั มสธตอนท่ี 7.2 สิทธิเด็ก โปรดอ่านหวั เรื่อง แนวคิด และวัตถปุ ระสงคข์ องตอนท่ี 7.2 แลว้ จงึ ศกึ ษารายละเอยี ดต่อไป มสธ มสธหัวเร่ือง 7.2.1 กฎหมายและข้อบังคับที่เก่ียวข้อง 7.2.2 สิทธพิ น้ื ฐาน 7.2.3 บทบาทของบคุ คลกบั การพฒั นาและปกป้องสิทธเิ ด็ก มสธแนวคิด 1. เด็กทุกคนได้รับการคุ้มครองสิทธินับแต่ถือก�ำเนิดภายใต้ข้อตกลงสากลของอนุสัญญา ว่าด้วยสิทธิเด็ก เพ่ือให้เด็กได้รับการดูแล ปกป้อง และคุ้มครองตามขอบข่ายและ หลักการของสิทธิเด็ก ประเทศไทยจึงได้มีกฎหมายและข้อบังคับท่ีเกี่ยวข้องออกมาใช้ อย่างเป็นรูปธรรม ท้ังพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีปรับปรุง มสธ มสธแก้ไข พ.ศ. 2545 พระราชบัญญัติค้มุ ครองเดก็ พ.ศ. 2546 และพระราชบัญญตั สิ ง่ เสรมิ การพัฒนาเดก็ และเยาวชนแหง่ ชาติ พ.ศ. 2550 2. เดก็ ทกุ คนมสี ทิ ธติ า่ งๆ ตดิ ตวั มาตงั้ แตเ่ กดิ และประเทศสมาชกิ ของอนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธิ เดก็ ตอ้ งดำ� เนนิ มาตรการตา่ งๆ เพอื่ ใหก้ ารปกปอ้ งคมุ้ ครอง และสง่ เสรมิ การใชส้ ทิ ธเิ ดก็ อย่างเต็มที่ และได้มีการบัญญัติสิทธิพ้ืนฐานของเด็กข้ึนตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก 4 ประการ คอื สิทธิทจ่ี ะมีชีวติ และอยู่รอด สิทธทิ ่ีจะได้รับการปกป้องคมุ้ ครอง สิทธิทจี่ ะ มสธไดร้ บั การพฒั นา และสทิ ธทิ ่จี ะไดร้ ับการมีสว่ นร่วม 3. ทุกคนในสังคมมีบทบาทส�ำคัญและควรร่วมกันดูแลเอาใจใส่ และปกป้องคุ้มครองเด็กๆ ทกุ คนในสงั คมใหม้ ชี วี ติ อยอู่ ยา่ งปลอดภยั และมคี วามสขุ ประการสำ� คญั คอื ไมก่ ระทำ� การ ใดๆ ทเ่ี ปน็ การละเมดิ ตอ่ สทิ ธเิ ดก็ ทงั้ นบ้ี คุ คลและสถาบนั ทม่ี บี ทบาทสำ� คญั ในการปกปอ้ ง มสธ มสธ มสธสิทธเิ ดก็ ได้แก่ ครอบครัว สถานศึกษา ชุมชนและส่ือมวลชน
การรณรงค์เพื่อเด็กปฐมวัย 7-21 มสธวัตถุประสงค์ เม่ือศึกษาตอนท่ี 7.2 จบแลว้ นักศึกษาสามารถ 1. อธิบายและยกตัวอย่างกฎหมายและข้อบังคับที่เก่ียวข้องกับสิทธิเด็กของประเทศไทย ตามทก่ี ำ� หนดให้ได้ มสธ มสธ2. วเิ คราะหค์ วามส�ำคัญของสทิ ธพิ ้ืนฐานของเดก็ ตามอนุสญั ญาวา่ ด้วยสิทธเิ ด็กได้ 3. อธิบายและยกตัวอย่างบทบาทของครอบครัว สถานศึกษา ชุมชนและส่ือมวลชนกับ มมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธการปกปอ้ งสิทธเิดก็ ได้
7-22 การจัดการศึกษาและหลักสูตรส�ำหรับเด็กปฐมวยั มสธเร่ืองที่ 7.2.1 กฎหมายและข้อบังคับที่เก่ียวข้อง มสธ มสธเด็กทุกคนได้รับการคุ้มครองสิทธินับแต่ถือก�ำเนิดภายใต้ข้อตกลงสากลที่รู้จักเป็นการทั่วไปว่า อนสุ ัญญาว่าดว้ ยสิทธเิ ดก็ (convention on the rights of the child) ซงึ่ มผี ลบังคับใช้และเร่ิมถอื ปฏิบัติ ใน 195 ประเทศทั่วโลก สิทธิเด็กนับเป็นสิทธิติดตัวท่ีมีความเป็นสากล และยังเป็นสิทธิโดยสมบูรณ์ท่ี ไม่อาจถกู ละเมดิ ได้ ฉะนั้นในการดำ� เนนิ การตา่ งๆ ท่ีเกย่ี วกับเดก็ ตอ้ งยดึ ถอื หลกั ประโยชน์สงู สุดของเดก็ เป็นข้อพจิ ารณาในการดำ� เนนิ การ (สมพงษ์ จิตระดับ และคณะ, 2551, น. 8-11) จากนน้ั เปน็ ต้นมา จึง ไดม้ ีกฎหมายและข้อบงั คับท่เี กยี่ วขอ้ งกับการคุ้มครองสทิ ธเิ ดก็ ออกมาใช้อยา่ งเปน็ รปู ธรรม มสธอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เป็นอนุสัญญาที่จัดท�ำข้ึนโดยคณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนของ องคก์ ารสหประชาชาติ ทไี่ ดร้ า่ งขน้ึ ตง้ั แตป่ เี ดก็ สากล 2522 และสมชั ชาใหญแ่ หง่ องคก์ ารสหประชาชาตไิ ดใ้ ห้ การรบั รอง เมอ่ื วนั ท่ี 20 พฤศจกิ ายน 2532 โดยลกั ษณะของอนสุ ญั ญาดงั กลา่ ว เปน็ ขอ้ ตกลงความรว่ มมอื มสธ มสธระหว่างประเทศ เพื่อการคุ้มครองคุณภาพชีวิตของเด็กให้ได้มาตราฐานตามสิทธิพื้นฐาน และเพ่ือให้เด็ก สามารถพัฒนาตนเองต่อไปได้อย่างเต็มศักยภาพของตน โดยค�ำนึงถึงศักดิ์ศรีและคุณค่าของมนุษย์ที่ เท่าเทียมกัน การไม่เลือกปฏิบตั แิ ละพึงระลึกว่าเด็กมีสทิ ธพิ เิ ศษทจ่ี ะได้รบั การดแู ลชว่ ยเหลอื และค้มุ ครอง ทั้งจากครอบครวั และสภาพแวดลอ้ มอ่นื ๆ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ได้ให้ค�ำนิยามว่า เด็ก หมายถึง มนุษย์ทุกคนที่อายุต�่ำกว่าสิบแปดปี เวน้ แตจ่ ะบรรลนุ ติ ภิ าวะกอ่ นหนา้ นน้ั ตามกฎหมายทบี่ งั คบั ใชแ้ กเ่ ดก็ นนั้ ทง้ั นอ้ี นสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ น้ี มี มสธทัง้ ส้นิ 54 ขอ้ โดย 40 ข้อแรกมสี าระสำ� คญั เก่ยี วกับสิทธิพื้นฐานของเดก็ 4 ประการ สว่ นอกี 14 ข้อ เปน็ สว่ นทเ่ี กย่ี วกบั กระบวนการทจ่ี ะทำ� ใหเ้ กดิ การดำ� เนนิ การตามพนั ธกรณที รี่ ะบไุ วใ้ นอนสุ ญั ญาฯ ตลอดจนสทิ ธิ หน้าที่ของรัฐภาคีท่ีร่วมลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้ โดยประกอบด้วย 3 ส่วน (ภราดร หอมแย้ม และ ภราวดี หอมแยม้ , 2558, น. 2) ดงั นี้ สว่ นท่ี 1 สทิ ธขิ น้ั พ้ืนฐานของเด็กทจ่ี ะตอ้ งได้รับจากรัฐและครอบครัว (ขอ้ 1 ถงึ ขอ้ 41) มสธ มสธส่วนที่ 2 ส่วนของรฐั ท่ีจะต้องด�ำเนินการตามอนุสัญญาวา่ ดว้ ยสิทธเิ ดก็ (ข้อ 42 ถงึ ข้อ 45) สว่ นที่ 3 ส่วนของการลงนามระหวา่ งประเทศ (ขอ้ 46 ถงึ ขอ้ 54) โดยเนน้ หลกั การคมุ้ ครองจากการเลอื กปฏบิ ตั เิ พอื่ ประโยชนส์ งู สดุ ของเดก็ การเคารพในสทิ ธิ หนา้ ท่ขี องพ่อแม่ ผู้ปกครอง และการปกป้องสิทธิเดก็ ด้วยมาตรการทางนิตบิ ัญญตั ิ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ได้ให้ค�ำนิยามว่า เด็ก หมายถึง มนุษย์ทุกคนที่อายุต�่ำกว่า มสธสบิ แปดปี เวน้ แต่จะบรรลุนติ ภิ าวะก่อนหน้านน้ั ตามกฎหมายท่บี งั คับใชแ้ กเ่ ดก็ นน้ั
การรณรงคเ์ พ่ือเด็กปฐมวยั 7-23 อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กฉบับนี้ได้มีการบัญญัติสิทธิพ้ืนฐาน และระบุรายละเอียดต่างๆ ไว้ว่า มสธทกุ ประเทศทเ่ี ปน็ ภาคสี มาชกิ ตอ้ งรบั ประกนั เดก็ ในประเทศของตน (ภราดร หอมแยม้ และภราวดี หอมแยม้ , 2558, น. 2; สมพงษ์ จิตระดับ และคณะ, 2551, น. 16-25) ไดแ้ ก่ 1. สทิ ธทิ จ่ี ะมชี วี ติ และอยรู่ อด (right to survival) ไดร้ บั การดแู ลสขุ ภาพขน้ั พน้ื ฐาน มสี นั ตภิ าพ และความปลอดภัย มสธ มสธ2. สิทธทิ จ่ี ะไดร้ บั การปกปอ้ งคุ้มครอง (right to protection) ได้รับการดแู ลให้รอดพ้นจากการ ท�ำรา้ ย การถกู ล่วงละเมิด การถูกทอดทงิ้ และการแสวงประโยชนใ์ นทกุ รูปแบบ 3. สิทธิท่ีจะได้รับการพัฒนา (right to development) ได้รับการดูแลให้มีครอบครัวที่อบอุ่น ไดร้ บั การศึกษาทีม่ ีคุณภาพ และมีภาวะโภชนาการท่เี หมาะสม 4. สทิ ธทิ จี่ ะไดร้ บั การมสี ว่ นรว่ ม (right to participation) ไดร้ บั การดแู ลในการแสดงความคดิ เหน็ แสดงออก การมีผรู้ บั ฟัง และมีสว่ นร่วมในการตัดสินใจในเร่อื งท่มี ีผลกระทบกับตนเอง มสธสำ� หรบั ประเทศไทยซงึ่ ไดร้ ว่ มลงนามรบั รองอนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ ไดม้ กี ารผลกั ดนั และขบั เคลอื่ น เชงิ นโยบายและพฒั นากลไกตา่ งๆ ในการทำ� งานเพอื่ ตอบสนองตอ่ สาระสำ� คญั ของอนสุ ญั ญาฉบบั ดงั กลา่ ว โดยไดอ้ อกกฎหมายและขอ้ บงั คบั ทสี่ ำ� คญั ในการขบั เคลอื่ นการทำ� งานดา้ นสทิ ธเิ ดก็ การรณรงคเ์ พอื่ พฒั นา และปกปอ้ งเด็กปฐมวยั ดังตอ่ ไปนี้ 1. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีปรับปรุงแก้ไข พ.ศ. 2545 พระราช- มสธ มสธบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2553) ไดก้ ำ� หนดใหร้ ฐั ตอ้ งจดั การศกึ ษาขนั้ พื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ทั้งน้ีได้จัดระบบการศึกษาให้มี การศึกษา 3 รปู แบบ คอื การศกึ ษาในระบบ การศกึ ษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอธั ยาศัย เพอ่ื เปิด โอกาสใหผ้ เู้ รยี นสามารถเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองตามความสนใจ ศกั ยภาพ ความพรอ้ มและโอกาส โดยกฎหมายนี้ ได้คุม้ ครองสทิ ธทิ จี่ ะไดร้ บั การพฒั นาตามอนุสัญญาวา่ ดว้ ยสิทธเิ ด็กแห่งสหประชาชาติ กลา่ วคอื กฎหมาย ไดก้ ำ� หนดวา่ รฐั ตอ้ งจดั ใหม้ กี ารศกึ ษาภาคบงั คบั จำ� นวน 9 ปี โดยใหเ้ ดก็ ทม่ี อี ายยุ า่ งเขา้ ปที ่ี 7 ตอ้ งเขา้ เรยี น มสธในสถานศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐานจนอายยุ า่ งเขา้ ปที ี่ 16 สว่ นการศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ เลก็ ไดก้ ำ� หนดใหม้ กี ารศกึ ษาปฐมวยั และการศึกษาขั้นพื้นฐานในสถานศึกษา ได้แก่ สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ก็ให้มีศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์พัฒนา เดก็ เล็ก ศนู ยพ์ ฒั นาเด็กก่อนเกณฑ์ของสถาบันศาสนา รวมท้ังศนู ยบ์ ริการชว่ ยเหลือระยะแรกเร่มิ ของเด็ก พกิ าร และเด็กทมี่ คี วามตอ้ งการพิเศษ โดยมเี ปา้ หมายว่าการศึกษาจะต้องยึดหลักวา่ ผู้เรียนทกุ คนมคี วาม สามารถที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และกระบวนการจัดการศึกษาจะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถ มสธ มสธพฒั นาตามธรรมชาติและเต็มศกั ยภาพ ในภาพรวมของกฎหมายฉบบั นจ้ี ะพบว่า กฎหมายได้ก�ำหนดกลไกการบริหารการศึกษาไวต้ ัง้ แต่ ระดับกระทรวง และมีรูปแบบการบริหารการศึกษาท้ังในรูปแบบสภาและคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาให้ ความเห็นหรือค�ำแนะน�ำแก่รัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอนโยบายและแผนการบริหารการศึกษา นอกจากนนั้ ในระดบั ทอ้ งถน่ิ ยงั กำ� หนดใหอ้ งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ มสี ทิ ธจิ ดั การศกึ ษาตามความพรอ้ ม ความเหมาะสมและความตอ้ งการภายในทอ้ งถนิ่ แตต่ อ้ งดำ� เนนิ การเปน็ ไปอยา่ งสอดคลอ้ งกบั นโยบายและ มสธได้มาตรฐานการศึกษา
7-24 การจดั การศึกษาและหลกั สตู รส�ำหรบั เด็กปฐมวยั กล่าวโดยสรุป กฎหมายฉบับนี้ได้ส่งเสริมให้เด็กมีสิทธิท่ีจะได้รับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ซึ่งนับ มสธเปน็ การรับรองว่าเดก็ จะตอ้ งไดร้ บั การศึกษาขนั้ พนื้ ฐานอย่างน้อย 12 ปี และจะต้องใหม้ ีการเรียนการสอน เป็นไปตามพัฒนาการ และเต็มความสามารถของเด็กที่จะเรียนได้ ทั้งนี้จะด�ำเนินการในลักษณะเดียวกัน กบั เดก็ พกิ ารดว้ ย จงึ นบั เปน็ กฎหมายทกี่ ำ� หนดแนวทางการศกึ ษาของเดก็ และเปน็ ไปตามสทิ ธทิ เ่ี ดก็ จะไดร้ บั การพัฒนา ท้ังนเี้ พอื่ ให้เดก็ ไดเ้ ตบิ โตและพง่ึ พาตนเองไดใ้ นท่ีสุด มสธ มสธ2. ระเบยี บกระทรวงศกึ ษาธกิ าร วา่ ดว้ ยการสง่ เสรมิ และคมุ้ ครองสทิ ธเิ ดก็ และเยาวชนโดยสถาน ศึกษา พ.ศ 2543 ระเบยี บกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เป็นระเบียบทว่ี ่าดว้ ยการด�ำเนินการเพื่อปกปอ้ งค้มุ ครอง สิทธิของนักเรียนในสถานศึกษา โดยยึดหลักประโยชน์สูงสุดของเด็กและเยาวชน การไม่เลือกปฏิบัติและ การมสี ว่ นรว่ มในการตัดสินใจ สาระส�ำคญั ท่ีสถานศกึ ษาต้องปฏบิ ัติ ได้แก่ 1) ไมใ่ ช้ความรนุ แรง ไมข่ ัดต่อกฎหมายหรอื ศลี ธรรมอันดี 2) การจดั กจิ กรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งตอ้ งไมเ่ ปน็ การละเมดิ สทิ ธเิ สรภี าพของเดก็ และเยาวชนทงั้ ทาง มสธรา่ งกาย ทางเพศและวาจา 3) สง่ เสรมิ ใหบ้ คุ ลากรในสถานศกึ ษามคี วามรู้ ความเขา้ ใจและจติ สำ� นกึ ในเรอ่ื งสทิ ธเิ ดก็ และ เยาวชน 4) ส่งเสริมใหเ้ ดก็ และเยาวชนไดเ้ รยี นรู้สิทธแิ ละเสรภี าพของคนไทยท่วั ถึง 5) สง่ เสริมให้เด็กและเยาวชนมีสว่ นรว่ มในการตัดสนิ ใจ มสธ มสธ3. พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ไดก้ ำ� หนดหลกั ปฏบิ ตั ติ อ่ เดก็ ไว้ โดยการดำ� เนนิ การ ต่างๆ จะต้องเป็นไปเพ่ือประโยชน์สูงสุดของเด็ก ซึ่งในมาตรา 23 ได้ก�ำหนดให้ผู้ปกครองต้องให้การ อุปการะเล้ียงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็กท่ีอยู่ในความปกครองดูแลของตนตามความเหมาะสมแก่ วฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ แตต่ อ้ งไมต่ ำ่� กวา่ มาตรฐานขน้ั ตำ�่ ตามทกี่ ฎหมายกำ� หนด และจะตอ้ งคมุ้ ครองสวสั ดภิ าพ เด็กท่ีอยู่ในความปกครองไม่ให้ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยอันตราย นอกจากนั้น กฎหมายฉบับนี้ยังก�ำหนด ขอ้ หา้ มมใิ หผ้ ปู้ กครองกระทำ� การใดๆ ทเี่ ปน็ การละเมดิ สทิ ธเิ ดก็ ไมว่ า่ จะเปน็ การทอดทง้ิ เดก็ ไวใ้ นสถานเลยี้ งเดก็ มสธการบงั คบั ขเู่ ขญ็ ชกั จงู สง่ เสรมิ หรอื ยนิ ยอมใหเ้ ดก็ ประพฤตติ นไมส่ มควร หรอื นา่ จะใหเ้ ดก็ มคี วามประพฤติ เสยี่ งต่อการกระท�ำผดิ กฎหมายฉบบั นย้ี งั กำ� หนดหลกั ปฏบิ ตั ใิ นการสงเคราะหเ์ ดก็ และคมุ้ ครองสวสั ดภิ าพของเดก็ ไวอ้ ยา่ ง ชดั เจน โดยจะตอ้ งดำ� เนนิ การตามวธิ กี ารทเ่ี หมาะสม และเปน็ ไปตามหลกั ประโยชนส์ งู สดุ ของเดก็ หรอื อาจ กล่าวได้ว่า กฎหมายฉบับนี้ได้ก�ำหนดหลักปฏิบัติและข้อห้ามเพ่ือเป็นหลักประกันว่าเด็กจะต้องมีชีวิตอยู่ มสธ มสธรอดอย่างปลอดภัย ไม่ถูกทารุณกรรมด้วยความรุนแรงในรูปแบบใดๆ ก็ตาม รวมถึงข้อก�ำหนดเกี่ยวกับ การดแู ลเด็กโดยสถานรบั เลย้ี งเดก็ สถานสงเคราะห์ สถานคมุ้ ครองสวัสดิภาพ และสถานพัฒนาและฟื้นฟู อาจกล่าวได้ว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นหลักปฏิบัติเพ่ือให้เป็นไปในลักษณะที่คุ้มครองและปกป้องเด็ก โดย มิไดม้ ุ่งเนน้ ท่จี ะเอาผดิ หรือมาตรการในการลงโทษพอ่ แม่ ผู้ปกครองท่ขี าดทักษะความรหู้ รอื ไมม่ ศี กั ยภาพ เพียงพอ เนื่องด้วยข้อจ�ำกัดของครอบครัวหรือการเข้าถึงบริการของรัฐ หากแต่กฎหมายได้ก�ำหนดให้ พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้มีหน้าท่ีคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มีหน้าที่ มสธตอ้ งเขา้ มาชว่ ยเหลอื ใหค้ ำ� แนะนำ� ปรกึ ษา และสง่ เสรมิ ศกั ยภาพของครอบครวั หรอื บคุ คลทอี่ ปุ การะเลยี้ งดู เพอ่ื ใหด้ ูแลเด็กได้ตามมาตรฐาน
การรณรงค์เพ่อื เดก็ ปฐมวยั 7-25 4. กฎกระทรวงกำ� หนดแนวทางการพจิ ารณาวา่ การกระทำ� ใดเปน็ ไปเพอื่ ประโยชนส์ งู สดุ ของเดก็ มสธหรือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเด็ก พ.ศ. 2549 มุ่งก�ำหนดแนวทางในการปฏิบัติต่อเด็กให้ เป็นไปเพ่ือประโยชน์สูงสุดของเด็ก และไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ กล่าวคือ การกระท�ำเพื่อประโยชน์สูงสุด ของเดก็ จะตอ้ งพจิ ารณาถงึ ลกั ษณะเฉพาะตวั ของเดก็ แตล่ ะคน ความเหมาะสม ความตอ้ งการ ความจำ� เปน็ และประโยชน์ที่เด็กจะได้รับรายละเอียดในด้านต่างๆ ทั้งด้านร่างกาย สุขภาพอนามัย การพัฒนาทาง มสธ มสธสตปิ ญั ญา การพฒั นาจติ ใจและอารมณ์ ดา้ นสงั คม สภาพแวดลอ้ มทไี่ มเ่ ปน็ พษิ ตอ่ สขุ ภาพกายและสขุ ภาพจติ นอกจากนนั้ เดก็ มสี ทิ ธทิ จี่ ะไดร้ บั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานอยา่ งตอ่ เนอ่ื งตามความสามารถของเด็ก ส่งเสริม วฒั นธรรม ศลี ธรรม ศาสนา และเตรยี มความพรอ้ มเพอื่ การประกอบอาชพี ทเี่ หมาะสมกบั ความถนดั ความ สามารถ เพศ และวยั รวมทงั้ เดก็ จะตอ้ งไดร้ บั ความคมุ้ ครอง สงเคราะหช์ ว่ ยเหลอื เดก็ อยา่ งเหมาะสม โดยเฉพาะ สทิ ธแิ ละผลประโยชนพ์ นื้ ฐาน อกี ทงั้ เพอื่ ใหส้ อดคลอ้ งกบั อนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ รฐั จะตอ้ งเปดิ โอกาสให้ เดก็ มสี ว่ นรว่ มในการใชอ้ ำ� นาจหนา้ ท่ี และการปฏบิ ตั ทิ ม่ี ผี ลกระทบตอ่ เดก็ โดยเทา่ เทยี มกนั และไมเ่ ลอื กปฏบิ ตั ิ มสธยกเว้นในเรื่องท่ีจ�ำเป็นต้องมีเหตุผลทางหลักวิชาการ วิทยาศาสตร์ ความเชื่อทางศาสนา จารีตประเพณี วัฒนธรรม ลักษณะเฉพาะตวั ของเด็ก หรอื เหตผุ ลอันสมควรประการอ่ืน 5. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีเจตนารมณค์ ุ้มครองและรบั รองสิทธเิ ดก็ ใน หลายมาตรา และในรฐั ธรรมนญู ฉบบั นไี้ ดเ้ พมิ่ สาระสำ� คญั ใหค้ รอบคลมุ สทิ ธเิ ดก็ มากขน้ึ และมแี นวทางชดั เจน ในการปฏิบัติ ได้แก่ มสธ มสธ5.1 ความเสมอภาค รฐั ธรรมนญู ฉบบั พ.ศ. 2560 ไดก้ ำ� หนดใหบ้ คุ คลยอ่ มเสมอกนั ในกฎหมาย และไดร้ บั ความคมุ้ ครองตามกฎหมายอยา่ งเทา่ เทยี มกนั ซง่ึ มสี าระสำ� คญั เชน่ เดยี วกนั กบั หลกั ความเสมอภาค ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 กล่าวคือ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของ บคุ คล ยอ่ มไดร้ บั ความคมุ้ ครอง ฉะนนั้ การเลอื กปฏบิ ตั โิ ดยไมเ่ ปน็ ธรรมตอ่ บคุ คล ไมว่ า่ ดว้ ยเหตคุ วามแตกตา่ ง ในเร่ืองถนิ่ ก�ำเนดิ เช้ือชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบคุ คล ฐานะทางเศรษฐกจิ หรอื สงั คม ความเชอื่ ทางศาสนา การศกึ ษาอบรม หรอื ความคดิ เหน็ ทางการเมอื ง ลว้ นตอ้ ง มสธได้รับการปฏิบตั ิอย่างเทา่ เทยี มกนั ดังนั้นในบทบญั ญตั ินีจ้ งึ รวมถงึ บุคคลทเี่ ป็น “เด็ก” ตามกฎหมายดว้ ย 5.2 สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล กลา่ วคือ การรับรอง ปกป้อง และคุ้มครองสทิ ธิเสรีภาพของ ปวงชนชาวไทยให้ชัดเจนและครอบคลุมอย่างกว้างขวางยิ่งข้ึน โดยถือว่าการมีสิทธิเสรีภาพเป็นหลักการ จ�ำกัดตัดสิทธิเสรีภาพเป็นข้อยกเว้น แต่การใช้สิทธิเสรีภาพดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เพ่ือคุ้มครอง ส่วนรวม ฉะนั้นบคุ คลย่อมมสี ิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย โดยห้ามกระท�ำการทรมาน ทารณุ กรรม มสธ มสธหรือการลงโทษด้วยวิธีการที่ไร้มนุษยธรรม ยกเว้นการลงโทษตามค�ำพิพากษาของศาลจะไม่ถือว่าเป็น การลงโทษดว้ ยวธิ กี ารโหดรา้ ยหรอื ไรม้ นษุ ยธรรม นอกจากนี้ ยงั ไดก้ ลา่ วถงึ สทิ ธเิ สรภี าพในดา้ นอนื่ ๆ อาทิ สิทธิของบุคคลในครอบครัว ชื่อเสียง ตลอดจนความเป็นอยู่ส่วนตัวและการนับถือศาสนา ซ่ึงบุคคลตาม กฎหมายรฐั ธรรมนญู นีไ้ ดร้ วมถึงเด็กด้วยเชน่ กัน 5.3 สทิ ธเิ สรภี าพในการศกึ ษา กลา่ วคอื รฐั ธรรมนญู ฉบบั พ.ศ. 2560 ไดก้ ำ� หนดไวว้ า่ บคุ คล มหี นา้ ทเ่ี ขา้ รบั การศกึ ษาอบรมในการศกึ ษาภาคบงั คบั โดยรฐั ตอ้ งดำ� เนนิ การใหเ้ ดก็ ทกุ คนไดร้ บั การศกึ ษา มสธเปน็ เวลาสิบสองปี ตง้ั แต่ก่อนวัยเรยี นจนจบการศึกษาภาคบังคบั อยา่ งมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จา่ ย และ
7-26 การจดั การศึกษาและหลักสูตรสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั ต้องด�ำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษา เพื่อให้เด็กเล็กได้รับการพัฒนา มสธร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัยโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย โดยส่งเสริมและ สนบั สนนุ ใหอ้ งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ และภาคเอกชนเขา้ มสี ว่ นรว่ มในการดำ� เนนิ การดว้ ย ในการจดั การศกึ ษา ทุกระดับ โดยรฐั มหี นา้ ทด่ี ำ� เนนิ การ ก�ำกบั สง่ เสริม และสนับสนนุ ให้การจัดการศึกษาดังกล่าวมคี ุณภาพ และไดม้ าตรฐานสากล รฐั ตอ้ งดำ� เนนิ การใหผ้ ขู้ าดแคลนทนุ ทรพั ยไ์ ดร้ บั การสนบั สนนุ คา่ ใชจ้ า่ ยในการศกึ ษา มสธ มสธตามความถนดั ของตน และจดั ตง้ั กองทนุ เพอื่ ใชใ้ นการชว่ ยเหลอื ผขู้ าดแคลนทนุ ทรพั ย์ เพอ่ื ลดความเหลอื่ มลำ�้ ในการศึกษา อันเป็นเจตนารมณท์ ่สี อดคล้องกับสาระส�ำคญั ในอนุสญั ญาวา่ ดว้ ยสิทธเิ ด็ก 5.4 สิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ กลา่ วคอื บคุ คลยอ่ มมสี ทิ ธิ ไดร้ บั บรกิ ารสาธารณสขุ ของรฐั โดยรฐั ตอ้ งดำ� เนนิ การใหป้ ระชาชนไดร้ บั บรกิ ารสาธารณสขุ ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ อย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเก่ียวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค และ รฐั ตอ้ งพฒั นาการบรกิ ารสาธารณสขุ ใหม้ คี ณุ ภาพและมมี าตรฐานสงู ขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง นอกจากนนั้ ยงั กำ� หนด มสธใหเ้ ดก็ และเยาวชนมสี ทิ ธใิ นการอยรู่ อด และไดร้ บั การพฒั นาดา้ นรา่ งกาย จติ ใจและสตปิ ญั ญาตามศกั ยภาพ ในสภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสม ทง้ั นจ้ี ะตอ้ งสนบั สนนุ และสง่ เสรมิ การมสี ว่ นรว่ มของเดก็ และเยาวชนเปน็ สำ� คญั อีกทั้งยังมีข้อห้ามการแทรกแซงและจ�ำกัดสิทธิของเด็กและเยาวชน และในกรณีที่เด็กคนใดไม่มีผู้ดูแล เดก็ คนนั้นมสี ิทธทิ ี่จะได้รบั การเลี้ยงดูและการศกึ ษาทเ่ี หมาะสมจากรัฐ 5.5 สิทธิในด้านสังคมและวัฒนธรรม กล่าวคือ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ได้มี มสธ มสธบทบัญญัติให้รัฐต้องคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยรัฐพึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว อันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานท่ีส�ำคัญของสังคม จัดให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสม ส่งเสริมและ พัฒนาการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพเพอ่ื ให้ประชาชนมีสขุ ภาพทแี่ ข็งแรงและมจี ติ ใจเข้มแข็ง รวมตลอดทัง้ ส่งเสริม และพัฒนาการกีฬาให้ไปสู่ความเป็นเลิศ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ปลูกฝังให้เด็กมีจิตส�ำนึก ของความเป็นไทย มีระเบียบวินัย ค�ำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม ตลอดจนเสริมสร้างและพัฒนาสถาบัน ครอบครวั และชุมชน มสธ6. พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ การพฒั นาเดก็ และเยาวชนแหง่ ชาติ พ.ศ. 2550 ในปลายปี พ.ศ. 2550 ได้มีการตราพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นการแก้ไข กฎหมายวา่ ดว้ ยการสง่ เสรมิ การพฒั นาเดก็ และเยาวชนแหง่ ชาตเิ พอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั การประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู ฉบับปัจจุบัน โดยกฎหมายฉบับใหม่มีสาระส�ำคัญครอบคลุมหลักการตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก แห่งสหประชาชาติ ซึ่งกฎหมายฉบับดังกล่าวมีสาระส�ำคัญ กล่าวคือ ในมาตรา 6 ก�ำหนดให้กระทรวง มสธ มสธการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์มีหน้าที่ในการพัฒนาเด็กและเยาวชน ตลอดจนแก้ไขปัญหา ที่อาจมีผลกระทบในทางลบต่อเด็กและเยาวชน ภายใต้หลักการประโยชน์สูงสุดของเด็กและเยาวชน นอกจากน้ี ยงั ไดก้ ำ� หนดให้เด็กและเยาวชนทุกคนมีสิทธิไดร้ ับการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐานท่มี คี ุณภาพสงู สดุ ตาม ทกี่ ำ� หนดไวใ้ นรฐั ธรรมนญู พรอ้ มกนั นย้ี งั ไดก้ ำ� หนดแนวทางสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ ใหเ้ ดก็ และเยาวชนมคี วาม ผกู พนั ตอ่ ครอบครวั มวี ถิ ชี วี ติ แบบประชาธปิ ไตย สามารถดำ� เนนิ ชวี ติ ไดอ้ ยา่ งปลอดภยั และใหร้ จู้ กั คดิ อยา่ ง มีเหตุผลและมุ่งม่ันพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนให้รู้จักช่วยเหลือผู้อื่นด้วยจิตส�ำนึกในการให้และ มสธอาสาสมคั ร รวมทั้งมีสว่ นรว่ มในการพฒั นาชุมชน
การรณรงคเ์ พือ่ เด็กปฐมวยั 7-27 ส�ำหรบั เดก็ พิการ เด็กทมี่ ีข้อจำ� กดั ทางการเรยี นร้แู ละเด็กทมี่ ีความสามารถพเิ ศษ กม็ ีสทิ ธิทจี่ ะได้ มสธรบั การศกึ ษาทร่ี ฐั จดั ใหเ้ ปน็ พเิ ศษ ซงึ่ เหมาะสมกบั ลกั ษณะของเดก็ แตล่ ะประเภท และนอกเหนอื ไปจากสทิ ธิ ทางการศกึ ษาแลว้ ยังรบั รองสิทธิเด็กในการรับบริการทางสาธารณสุขที่ไดม้ าตรฐานจากรัฐดว้ ย กฎหมายฉบบั นยี้ งั ไดร้ บั รองสทิ ธกิ ารมชี วี ติ อยรู่ อดและปลอดภยั ไวด้ ว้ ย กลา่ วคอื เดก็ และเยาวชน ทกุ คนมีสทิ ธไิ ดร้ บั การจดทะเบียนรับรองการเกิด การพฒั นา การยอมรบั การคุม้ ครองและโอกาสในการมี มสธ มสธส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม อันเนื่องมาจากความแตกต่างใน ถ่ินก�ำเนิด เช้ือชาติ ภาษา เพศ อายุ และสภาพร่างกาย รวมถึงความแตกต่างของฐานะทางเศรษฐกิจ หรือสังคม ความเชือ่ ทางศาสนา และความคิดเห็นทางการเมือง อาจกล่าวไดว้ า่ พระราชบัญญัติส่งเสรมิ การพัฒนาเดก็ และเยาวชนแหง่ ชาติ พ.ศ. 2550 ไดส้ ร้าง กลไกสง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ ไดร้ จู้ กั สทิ ธแิ ละบทบาทของตนเองทม่ี ตี อ่ สงั คม และทำ� งานรว่ มกบั เครอื ขา่ ยสงั คมอยา่ ง เป็นระบบ เพื่อเป็นการเปิดพ้ืนที่ให้เด็กได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนตนเอง รวมท้ัง มสธสามารถแสดงความคิดเห็นในการกำ� หนดนโยบาย แผนงานและงบประมาณของหนว่ ยงานรฐั เพ่อื ปฏิบตั ิ ภารกิจร่วมกันในการแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนในระดับท้องถ่ิน นับเป็นการสร้าง ศกั ยภาพใหเ้ ด็กมคี วามรคู้ วามสามารถในการพฒั นาตนเองและเป็นประโยชน์ตอ่ สงั คม จากกฎหมายและข้อบังคับที่เก่ียวข้องกับงานด้านเด็ก พบว่า ประเทศไทยมีการด�ำเนินนโยบาย ดา้ นเดก็ โดยมคี ณะกรรมการเปน็ กลไกขบั เคลอ่ื นการทำ� งานในเชงิ นโยบายอยา่ งเปน็ ระบบ ตงั้ แตร่ ะดบั สากล มสธ มสธระดบั ประเทศ สทิ ธเิ ดก็ ตามทรี่ ะบไุ วใ้ นอนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ ถอื เปน็ ขอ้ ตกลงระหวา่ งประเทศทม่ี คี วาม สำ� คญั และมบี ทบาทสำ� คญั ยงิ่ ในการดำ� เนนิ การใดๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เดก็ เพอ่ื เปน็ หลกั ประกนั วา่ เดก็ จะไดร้ บั การดแู ล ไดร้ ับการปกปอ้ งคุ้มครอง ไดร้ บั การพัฒนา การเข้าถึงสิทธิต่างๆ ท่ีพึงได้รบั อย่างครบถว้ น โดย สทิ ธทิ รี่ ะบุไว้ในอนุสัญญานไ้ี มม่ ีผลท�ำใหเ้ ดก็ ได้รบั ความคมุ้ ครองนอ้ ยไปกวา่ ที่มอี ยู่ตามกฎหมายอ่ืนๆ มสธกิจกรรม 7.2.1 จงยกตวั อยา่ งกฎหมายและขอ้ บงั คบั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การปกปอ้ งสทิ ธเิ ดก็ พรอ้ มทง้ั อธบิ ายแนวทาง การปกปอ้ งเดก็ ใหช้ ดั เจน แนวตอบกิจกรรม 7.2.1 มสธ มสธกฎหมายและขอ้ บงั คบั ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การปกปอ้ งสทิ ธเิ ดก็ ยกตวั อยา่ งเชน่ พระราชบญั ญตั คิ มุ้ ครอง เด็ก พ.ศ. 2546 ได้ก�ำหนดหลักปฏิบัติเพ่ือปกป้องเด็กไว้ โดยการด�ำเนินการต่างๆ จะต้องเป็นไปเพ่ือ ประโยชน์สงู สดุ ของเด็ก ดังตอ่ ไปนี้ 1. ก�ำหนดให้ผู้ปกครองต้องให้การอุปการะเล้ียงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็กที่อยู่ในความ ปกครองดูแลของตนตามความเหมาะสมแก่วัฒนธรรมท้องถ่ิน แต่ต้องไม่ต่�ำกว่ามาตรฐานข้ันต�่ำตามท่ี กฎหมายก�ำหนดและจะต้องคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่อยู่ในความปกครองไม่ให้ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงภัย มสธอันตราย
7-28 การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รส�ำหรับเดก็ ปฐมวัย 2. กำ� หนดขอ้ หา้ มมใิ หผ้ ปู้ กครองกระทำ� การใดๆ ทเ่ี ปน็ การละเมดิ สทิ ธเิ ดก็ ไมว่ า่ จะเปน็ การทอดทงิ้ เดก็ มสธไวใ้ นสถานเลีย้ งเดก็ การบงั คับ ขู่เข็ญ ชกั จูง ส่งเสรมิ หรอื ยินยอมให้เดก็ ประพฤตติ นไม่สมควรหรอื นา่ จะ ให้เดก็ มีความประพฤตเิ สีย่ งต่อการกระท�ำผดิ 3. ก�ำหนดหลักปฏิบัติในการสงเคราะห์เด็กและคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กไว้อย่างชัดเจน โดย จะตอ้ งดำ� เนนิ การตามวธิ กี ารทเ่ี หมาะสมและเปน็ ไปตามหลกั ประโยชน์สงู สดุ ของเดก็ เพอื่ เป็นหลกั ประกนั มสธ มสธว่าเดก็ จะต้องมชี ีวติ อยรู่ อดอย่างปลอดภยั ไมถ่ ูกทารณุ กรรมดว้ ยความรุนแรงในรูปแบบใดๆ กต็ าม เร่ืองท่ี 7.2.2 มสธสิทธิพื้นฐาน สทิ ธพิ น้ื ฐานเปน็ สทิ ธทิ เ่ี ดก็ ทกุ คนพงึ ไดร้ บั โดยสทิ ธเิ ดก็ มหี ลกั การสำ� คญั วา่ เดก็ ทกุ คนมสี ทิ ธติ า่ งๆ ติดตัวมาต้ังแต่เกิด และประเทศสมาชิกของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ต้องด�ำเนินมาตรการต่างๆ เพ่ือ มสธ มสธให้การปกป้องคุม้ ครองและส่งเสรมิ การใช้สทิ ธิเดก็ อย่างเต็มท่ี โดยมีแนวคดิ หลักของสทิ ธเิ ด็ก คอื 1) การ ไมเ่ ลอื กปฏบิ ัติ 2) การมชี วี ิตรอด การได้รบั การคุม้ ครอง และการพัฒนา 3) การยึดประโยชน์สงู สดุ ของ เด็กเปน็ สำ� คัญ และ 4) การมสี ว่ นรว่ ม (อรรถพล อนันตวรสกุล และคณะ, 2555, น. 3) จากแนวคิดหลกั ของสทิ ธิเด็กข้างตน้ จงึ ไดม้ ีการบญั ญัติสิทธพิ ืน้ ฐานของเด็กข้นึ ตามอนสุ ัญญาวา่ ด้วยสทิ ธิเด็ก 4 ประการ (ภราดร หอมแยม้ และภราวดี หอมแยม้ , 2558, น. 2; สมพงษ์ จติ ระดับ และ คณะ, 2551, น. 16-25) ดังตอ่ ไปน้ี มสธ1. สิทธิที่จะมีชีวิตและอยู่รอด (right to survival) เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่เด็กจะได้รับการดูแล สุขภาพอนามัยข้ันพื้นฐานท่ีมีประสิทธิภาพและความปลอดภัย เพื่อให้เด็กมีชีวิตรอดอยู่เพ่ือเติบโตเป็น ผใู้ หญ่ทมี่ ีคณุ ค่าต่อไป โดยได้รับอาหารทมี่ คี ุณค่าและเพียงพอโดยทเี่ ด็กตอ้ งมสี ทิ ธดิ ังตอ่ ไปน้ี 1) ได้รับการดแู ลท้ังกอ่ นคลอดและหลงั คลอด 2) มีบ้านอยอู่ าศยั มสธ มสธ3) มชี ่อื และสัญชาติ 4) ได้รบั โภชนาการทดี่ ี 5) ได้รับความรกั ความเอาใจใส่จากครอบครวั และสงั คม 6) เดินทางขา้ มพรมแดนเพอ่ื ไปอยู่กับพ่อแม่ของตน 7) อาศัยอยกู่ บั พ่อแมห่ รือสามารถติดต่อกับพ่อแมไ่ ด้หากจ�ำเป็นต้องแยกกันอยู่ 8) ไดร้ บั การพจิ ารณาหาทอ่ี ยใู่ หม่ การดแู ลจากผอู้ นื่ หากสถานการณใ์ นครอบครวั ไมอ่ ำ� นวย มสธ9) ไดร้ ับประโยชนจ์ ากระบบการรบั เลย้ี งดูทปี่ ลอดภัย
การรณรงคเ์ พอื่ เด็กปฐมวัย 7-29 10) ได้รบั การคุ้มครองจากการถูกลกั พาตัว มสธ11) ไดร้ บั จากคุ้มครองจากการถูกพอ่ แมห่ รอื ผู้เลยี้ งดูทำ� รา้ ย หรอื ถกู ละท้ิง 12) ได้รับการบริการด้านสุขภาพและสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ และมีมาตรฐานสูงสุด เทา่ ที่พึงจะได้รบั 13) ไดร้ บั การดแู ลเปน็ พเิ ศษหากเดก็ นน้ั ทพุ พลภาพ เพอ่ื ใหเ้ ดก็ มคี วามเชอ่ื มน่ั พง่ึ ตนเองได้ มสธ มสธและสามารถมสี ว่ นร่วมในสังคมไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 2. สทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ บั การปกป้องคมุ้ ครอง (right to protection) เปน็ สทิ ธขิ นั้ พนื้ ฐานทเ่ี ดก็ จะไดร้ บั การปกป้องคุ้มครองจากการถูกท�ำร้าย ถูกเอาเปรียบ ล่วงละเมิดทางเพศ การใช้แรงงานท่ีอาจจะเป็น อนั ตรายตอ่ สขุ ภาพหรอื พฒั นาการของรา่ งกาย สมอง และจติ ใจของเดก็ การแสวงหาผลประโยชนโ์ ดยมชิ อบ ในรปู แบบอ่นื ๆ โดยที่เดก็ ต้องมสี ิทธดิ ังตอ่ ไปนี้ 1) ได้รับการคมุ้ ครองจากการเลือกปฏิบัติ มสธ2) ไดร้ ับการคุ้มครองจากการลว่ งละเมิด การท�ำรา้ ย การกลั่นแกล้งรังแก 3) ได้รบั การคมุ้ ครองจากการถกู ทอดทิ้ง ละเลย 4) ได้รับการคุ้มครองจากการลักพาตัว 5) ได้รับการคุม้ ครองจากการใช้แรงงานเด็ก 6) ไดร้ ับความยตุ ิธรรมตอ่ ผ้เู ยาว์ มสธ มสธ7) ไดร้ บั การคมุ้ ครองจากการคุกคาม การกระทำ� ผิด หรือการเอารดั เอาเปรียบทางเพศ 3. สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา (right to development) เป็นสิทธิข้ันพื้นฐานที่เด็กจะได้รับ การพัฒนาเพ่ือเตรียมตนให้พร้อมท่ีจะด�ำเนินชีวิตเป็นผู้ใหญ่ในสังคมท่ีมีอิสระ ที่จะสร้างความเคารพ ในครอบครัวของตน ในวัฒนธรรม และภาษาของประเทศทีเ่ ด็กอาศัย ตลอดจนสิง่ แวดล้อมตามธรรมชาติ โดยท่ีเดก็ ตอ้ งมสี ิทธดิ งั ตอ่ ไปนี้ 1) ไดร้ บั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานทง้ั ในและนอกระบบ และการฝกึ อาชพี บนฐานของการยดึ เดก็ มสธเปน็ ศูนยก์ ลาง 2) เขา้ ถงึ ขอ้ มลู ขา่ วสารทเ่ี หมาะสม 3) มีเสรีภาพในความคดิ มโนธรรม จริยธรรม และศาสนา 4) ได้รับการพฒั นาบุคลิกภาพ ทง้ั ทางสงั คมและจิตใจทส่ี อดรบั กบั พฒั นาการตามวัย 5) ไดร้ บั การศกึ ษาทส่ี ง่ เสรมิ ความเขา้ ใจ สนั ตภิ าพ ความอดทนอดกลนั้ และความเสมอภาค มสธ มสธ6) ไดร้ บั การศกึ ษาเพอื่ พฒั นาบคุ ลกิ ภาพ ความสามารถพเิ ศษ ตลอดจนความสามารถทาง อารมณ์ และทางกายภาพ จนเตม็ ความสามารถตามศักยภาพของแตล่ ะบุคคล 7) มโี อกาสพักผ่อน เลน่ และเขา้ ร่วมกิจกรรมด้านศิลปวฒั นธรรม 8) มโี อกาสชน่ื ชมในคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และการปฏบิ ตั กิ จิ ทางศาสนา และการใชภ้ าษาของ มสธตนเอง
7-30 การจดั การศกึ ษาและหลกั สตู รส�ำหรบั เดก็ ปฐมวัย 4. สิทธิท่ีจะได้รับการมีส่วนร่วม (right to participation) เป็นสิทธิข้ันพ้ืนฐานท่ีเด็กจะแสดง มสธความคดิ เหน็ หรอื แสดงออกโดยมผี รู้ บั ฟงั และมสี ว่ นรว่ มในการตดั สนิ ใจในเรอ่ื งทม่ี ผี ลกระทบตอ่ ตนเองและ กล่าวถึงชีวิตของตนเอง รวมทั้งโอกาสที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของสังคม และมีส่วนร่วมตัดสินใจ ในครอบครวั สถานศกึ ษา ชุมชน โดยทเี่ ดก็ ตอ้ งมสี ทิ ธิ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) การแสดงทัศนะของเด็ก มสธ มสธ2) มบี ทบาทในชมุ ชน 3) การแสดงความคดิ เห็นในเรอ่ื งทม่ี ีผลกระทบตอ่ เด็ก 4) ไดร้ ับการคุ้มครองจากการถกู กีดกนั ไมใ่ ห้มคี วามเป็นตัวของตัวเอง 5) มเี สรีภาพในการแสดงออก 6) มเี สรภี าพทางความคดิ และศาสนา 7) มเี สรีภาพในการสมาคมและชมุ นุมอยา่ งสงบ มสธ8) มคี วามเปน็ สว่ นตัว 9) มีเสรภี าพในการตดิ ตามขา่ วสารข้อมูล สรุปได้ว่า สิทธิพ้ืนฐานเป็นสิทธิมาตรฐานสากลข้ันต่�ำสุดท่ีเด็กท่ัวโลกจะต้องพึงได้รับ เพื่อเป็น หลักประกันและให้ความคุ้มครองแก่เด็กอย่างเต็มที่ในทุกๆ ด้าน ทั้งน้ีเพราะเด็กยังเป็นบุคคลที่อ่อนแอ ไม่สามารถคุ้มครองตนเองได้ ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กได้กล่าวถึงสิทธิพื้นฐานของเด็ก 4 ประการ มสธ มสธคอื สทิ ธทิ จ่ี ะมชี วี ติ และอยรู่ อด สทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ บั การปกปอ้ งคมุ้ ครอง สทิ ธทิ จี่ ะไดร้ บั การพฒั นา และสทิ ธทิ จ่ี ะ ได้รบั การมสี ่วนรว่ ม กิจกรรม 7.2.2 จงวเิ คราะหว์ า่ สทิ ธพิ น้ื ฐานของเดก็ ตามอนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ ทงั้ 4 ขอ้ ขอ้ ใดมคี วามสำ� คญั ทส่ี ดุ มสธเพราะเหตุใด แนวตอบกิจกรรม 7.2.2 ความสำ� คญั ของสทิ ธพิ น้ื ฐานของเดก็ ตามอนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ ทง้ั 4 ขอ้ นน้ั มคี วามสำ� คญั มากนอ้ ย ขึน้ อยูก่ บั บริบท มุมมอง ความเชอื่ ของแต่ละบุคคล มสธ มสธในทนี่ ผี้ เู้ ขยี นขอใหค้ วามสำ� คญั กบั สทิ ธทิ จี่ ะมชี วี ติ และอยรู่ อด (right to survival) วา่ เปน็ สทิ ธพิ นื้ ฐาน ทมี่ คี วามสำ� คญั ทสี่ ดุ เพราะเปน็ สทิ ธขิ น้ั พนื้ ฐานทสี่ ดุ ในการทเี่ ดก็ จะไดร้ บั การดแู ลสขุ ภาพอนามยั ขนั้ พนื้ ฐาน ทม่ี ปี ระสิทธิภาพ และความปลอดภัยจากครอบครวั สงั คม หน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ เพือ่ ให้เด็ก มีชีวิตรอดอยู่เพ่ือเติบโตเป็นผู้ใหญ่ท่ีมีคุณค่าต่อไป ทั้งน้ีเด็กควรได้รับสิทธิท่ีจะมีชีวิตและอยู่รอดในด้าน ต่างๆ ที่เป็นพื้นฐานของชวี ติ ยกตวั อยา่ งเช่น 1. การได้รบั การดแู ลทั้งกอ่ นคลอดและหลงั คลอด มสธ2. การมีบ้านอยอู่ าศัย
การรณรงคเ์ พื่อเดก็ ปฐมวยั 7-31 3. การมีช่ือและสัญชาติ มสธ4. การได้รบั โภชนาการทดี่ ี 5. การไดร้ ับความรักความเอาใจใสจ่ ากครอบครัวและสังคม 6. การได้รับความคมุ้ ครองจากการถูกพอ่ แม่หรือผู้เลีย้ งดทู �ำรา้ ย หรอื ถูกละทิง้ 7. การไดร้ บั การบรกิ ารดา้ นสขุ ภาพและสาธารณสขุ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ และมมี าตรฐานสงู สดุ เทา่ ที่ มสธ มสธพึงจะไดร้ ับ เร่ืองท่ี 7.2.3 มสธบทบาทของบุคคลกับการพัฒนาและปกป้องสิทธิเด็ก การพฒั นาและปกปอ้ งสทิ ธเิ ดก็ เปน็ หนา้ ทสี่ ำ� คญั ของครอบครวั สถานศกึ ษา และชมุ ชน ซง่ึ ไมเ่ พยี งแต่ เดก็ ในความดแู ลรบั ผดิ ชอบของตนเทา่ นนั้ แตท่ กุ คนในสงั คมควรมบี ทบาทสำ� คญั และรว่ มกนั ชว่ ยดแู ล เอาใจใส่ มสธ มสธและปกป้องคุ้มครองเด็กๆ ทุกคนในสังคม ให้มีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยและมีความสุข ประการส�ำคัญคือ ไม่กระท�ำการใดๆ ท่ีเป็นการละเมิดต่อสิทธิเด็ก ท้ังนี้บุคคลและสถาบันท่ีมีบทบาทส�ำคัญในการปกป้อง สิทธิเดก็ ได้แก่ ครอบครัว สถานศกึ ษา ชุมชนและสอ่ื มวลชน โดยแต่ละฝา่ ยมบี ทบาททีส่ �ำคญั ดงั ต่อไปนี้ 1. บทบาทของครอบครัวกับการพัฒนาและปกป้องสิทธิเด็ก พอ่ แมแ่ ละผปู้ กครอง มหี นา้ ทตี่ อ้ ง ให้การอุปการะเล้ียงดู อบรมส่ังสอน และพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแลของตนตามสมควรแก่ ขนบธรรมเนยี มประเพณแี ละวฒั นธรรมแหง่ ทอ้ งถนิ่ และตอ้ งคมุ้ ครองสวสั ดภิ าพเดก็ ทอี่ ยใู่ นความปกครอง มสธดแู ลของตนมใิ หต้ กอยใู่ นภาวะอนั นา่ จะเกดิ อนั ตรายแกร่ า่ งกายหรอื จติ ใจ ผปู้ กครองจงึ เปน็ ผมู้ บี ทบาทสำ� คญั (มลู นิธศิ นู ย์พิทกั ษส์ ิทธเิ ดก็ , 2560; ส�ำนักงานกองทุนสนบั สนนุ การสรา้ งเสริมสขุ ภาพ, 2553) ดงั ต่อไปนี้ 1.1 ควรชว่ ยกนั พฒั นาเดก็ ทอ่ี ยใู่ นความดแู ลของตนใหส้ อดคลอ้ งกบั พฒั นาการ และศกั ยภาพ ของเด็กตามแต่ละช่วงวยั 1.2 ควรช่วยกันส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ในบริบทท่ีเด็ก มสธ มสธสามารถทำ� ได้ 1.3 ไมค่ วรทำ� ใหเ้ ดก็ รสู้ กึ วา่ ตนเองถกู เลอื กปฏบิ ตั ิ หรอื ไมค่ วรเลอื กปฏบิ ตั ติ อ่ เดก็ หรอื คาดหวงั กบั เด็กเกินศักยภาพของเด็ก 1.4 ไมจ่ งใจหรอื ละเลยไม่ให้สิง่ จำ� เปน็ แกก่ ารด�ำรงชวี ติ หรอื การรกั ษาพยาบาลแก่เด็กทีอ่ ยู่ ในความดูแลของตน จนน่าจะเกดิ อนั ตรายแก่รา่ งกายหรอื จติ ใจของเดก็ 1.5 ควรช่วยกันดูแล ปกป้อง คุ้มครองเด็กท่ีอยู่ในความดูแลของตน ไม่ให้ตกอยู่ในภาวะ มสธเส่ียงทีอ่ าจเกิดอนั ตรายต่างๆ
7-32 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรสำ� หรับเด็กปฐมวยั 1.6 ควรร้องขอความช่วยเหลือและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ หากพบว่าตนไม่สามารถ มสธดแู ล ปกป้องเดก็ ให้ได้รับการดแู ลท่ีควรหรืออาจเสี่ยงจะไม่ปลอดภยั 1.7 ควรช่วยกันสอดส่อง ดูแลให้เด็กได้รับความปลอดภัย หากพบเห็นเด็กที่ตกอยู่ใน อันตราย ควรแจ้งต่อหนว่ ยงานทเ่ี กีย่ วขอ้ ง 1.8 ไมค่ วรทำ� รา้ ยรา่ งกาย จติ ใจเดก็ ทง้ั ทางตรงและทางออ้ ม ควรปรบั รปู แบบการสอื่ สารใน มสธ มสธเชงิ บวกอย่างมเี หตุมผี ล 1.9 ไม่ปล่อยใหเ้ ด็กไม่ว่าเดก็ คนใดกต็ ามตกอยูใ่ นสภาวะอนั ตรายทัง้ จากบคุ คล สงั คม และ สง่ิ แวดล้อม 1.10 ไมม่ สี ่วนรว่ มหรือสนับสนนุ การกระท�ำใดๆ อนั อาจเป็นการละเมดิ ตอ่ เด็ก เชน่ การแชร์ ภาพเดก็ การสง่ ต่อคลปิ ทีเ่ ก่ยี วข้องกับเด็ก ฯลฯ 1.11 ไม่อาศัยสถานะหรือสถาบันหรืออาชีพของตนในการแสวงประโยชน์จากเด็ก หรือ มสธท�ำการใดๆ จนทำ� ให้เป็นการละเมิดสทิ ธแิ ละศักดิศ์ รคี วามเป็นมนุษยข์ องเด็กและครอบครวั สรปุ ได้ว่า บทบาทของครอบครวั กบั การพัฒนาและปกปอ้ งสทิ ธเิ ด็ก คอื ครอบครวั ควรพัฒนาเดก็ ทอ่ี ยใู่ นความดแู ลของตนใหส้ อดคลอ้ งกบั พฒั นาการและศกั ยภาพของเดก็ ตามแตล่ ะชว่ งวยั ชว่ ยกนั สง่ เสรมิ และสนบั สนนุ ให้เดก็ ไดม้ ีสว่ นร่วมในกิจกรรมตา่ งๆ ในบริบททีเ่ ดก็ สามารถทำ� ได้ ไมจ่ งใจหรือละเลยไมใ่ ห้ ส่ิงจ�ำเป็นแก่การด�ำรงชีวิต ไม่ท�ำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองถูกเลือกปฏิบัติ รวมท้ังควรช่วยกันดูแล ปกป้อง มสธ มสธคมุ้ ครองเดก็ ทอี่ ยใู่ นความดแู ลของตน ไมท่ ำ� รา้ ยรา่ งกาย จติ ใจเดก็ ทง้ั ทางตรงและทางออ้ ม ไมป่ ลอ่ ยใหเ้ ดก็ ไม่ว่าเด็กคนใดก็ตามตกอยู่ในสภาวะอันตรายหรือมีส่วนร่วม หรือสนับสนุนการกระท�ำใดๆ อันอาจเป็น การละเมดิ ตอ่ เดก็ 2. บทบาทของสถานศึกษากับการปกป้องสิทธิเด็ก อนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ ระบวุ า่ เดก็ ทกุ คน ตอ้ งมสี ิทธใิ นการได้รับการศกึ ษา ซ่ึงครทู ุกคนมสี ว่ นส�ำคญั ท่ีจะช่วยให้เดก็ ไดเ้ รียนรู้ ได้พฒั นาตัวเองอยา่ ง สมวยั และเตบิ โตเตม็ ศกั ยภาพ นอกจากนยี้ งั ระบวุ า่ เดก็ ทกุ คนตอ้ งไดร้ บั การปกปอ้ งคมุ้ ครองจากความรนุ แรง มสธการถูกล่วงละเมดิ การทอดท้งิ และแสวงประโยชน์ ซึ่งการคุ้มครองน้ีจะตอ้ งเกิดขนึ้ ทัง้ ท่ีบา้ น สถานศึกษา และในชมุ ชนทเี่ ดก็ อยอู่ าศยั ครจู งึ มหี นา้ ทสี่ ำ� คญั ในการทำ� ใหส้ ถานศกึ ษาเปน็ สถานทที่ ปี่ ลอดภยั และเหมาะสม ตอ่ การเจรญิ เตบิ โตและการเรยี นรขู้ องเดก็ และมหี นา้ ทร่ี บั ผดิ ชอบตอ่ การปกปอ้ งคมุ้ ครองเดก็ ในสถานศกึ ษา ด้วย สถานศกึ ษาจงึ มีบทบาทส�ำคัญในการปกป้องสิทธเิ ดก็ (UNICEF, 2014) ดังต่อไปน้ี 2.1 สถานศึกษาควรใช้กระบวนการพัฒนาเด็กอย่างเป็นระบบ เร่ิมตั้งแต่การวิเคราะห์ มสธ มสธพฒั นาการทง้ั 4 ดา้ นของเดก็ เปน็ รายบคุ คล และจดั ประสบการณใ์ หแ้ กเ่ ดก็ เพอ่ื พฒั นาเดก็ ตามความสามารถ อย่างเต็มศักยภาพ 2.2 สถานศึกษาควรจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กอย่างเต็มก�ำลัง เต็มเวลา และเป็นไป ตามหลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั 2.3 สถานศกึ ษาควรจดั กจิ กรรมทคี่ ำ� นงึ ถงึ การมสี ว่ นรว่ มของเดก็ ในการทจี่ ะแสดงความคดิ เหน็ การแสดงออกโดยเฉพาะในเรื่องท่ีส่งผลกระทบต่อตัวเด็กโดยตรง การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การเล่น มสธโภชนาการ และการพกั ผ่อนทีเ่ พียงพอเหมาะสมกับวยั
การรณรงคเ์ พือ่ เดก็ ปฐมวยั 7-33 2.4 ครแู ละบุคลากรของสถานศกึ ษา ควรมบี ทบาทในการรบั ฟังเด็กโดยไมต่ ัดสนิ เด็ก มสธ2.5 สถานศกึ ษาควรถอื วา่ การดแู ล และปกปอ้ งสทิ ธเิ ดก็ เปน็ สง่ิ ทส่ี ำ� คญั มากกวา่ การปกปอ้ ง ชื่อเสยี งของสถาบนั 2.6 สถานศึกษาควรมีการก�ำหนดแนวทางต้ังแต่การคัดเลือกบุคลากรของสถานศึกษา การจดั อบรมอยา่ งต่อเนื่อง เพอื่ ใหค้ วามรสู้ �ำหรับครูและบคุ ลากรทงั้ หมดเกยี่ วกับการปกปอ้ งสิทธิเด็ก มสธ มสธ2.7 สถานศึกษาควรให้ความรู้แก่เด็กให้เข้าถึงการบริการต่างๆ รวมถึงการดูแลปกป้อง ตนเอง โดยมผี ู้รบั ผิดชอบหลักคอยประสานงานกบั ฝ่ายบริหารงานของสถานศึกษา 2.8 สถานศกึ ษาควรมรี ะบบรองรบั การรายงานแจง้ เหตแุ ละกลไกการชว่ ยเหลอื เดก็ ทป่ี ระสบ ปัญหา และมีการส่งต่อกรณีท่ีรุนแรงไปยังหน่วยงานคุ้มครองเด็ก เพ่ือให้เด็กได้รับความช่วยเหลืออย่าง เหมาะสม และอาจรวมถงึ แนวปฏิบตั ิในการเสนอขอ้ มลู เด็กแก่สอื่ และบคุ คลภายนอกดว้ ย 2.9 สถานศกึ ษาตอ้ งมแี นวทางชดั เจนทจี่ ะนำ� นโยบายไปสกู่ ารปฏบิ ตั ขิ องสถานศกึ ษา รวมถงึ มสธตอ้ งมรี ะบบการตดิ ตามและประเมนิ ผลการนำ� ไปใช้ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความมน่ั ใจวา่ ไดม้ กี ารนำ� นโยบายการปกปอ้ ง สิทธิเดก็ ในสถานศึกษามาใชอ้ ย่างจรงิ จงั สรุปได้ว่า บทบาทของสถานศึกษากับการปกป้องสิทธิเด็ก คือสถานศึกษาควรใช้กระบวนการ พฒั นาเดก็ อยา่ งเปน็ ระบบ จดั ประสบการณเ์ พอื่ พฒั นาเดก็ อยา่ งเตม็ กำ� ลงั โดยคำ� นงึ ถงึ การมสี ว่ นรว่ มของเดก็ ครูและบุคลากรของสถานศึกษาควรมีบทบาทในการดูแลและปกป้องสิทธิเด็ก และควรให้ความรู้แก่เด็ก มสธ มสธใหเ้ ข้าถงึ การบรกิ ารต่างๆ รวมถึงการดูแลปกปอ้ งตนเอง 3. บทบาทของชุมชนและส่ือมวลชนกับการพัฒนาและปกป้องสิทธิเด็ก ชุมชนและสื่อมวลชน มบี ทบาทส�ำคัญในการเรยี นรแู้ ละมีส่วนร่วมในการดแู ล ชว่ ยเหลือ ส่งเสรมิ ให้เด็กไดพ้ ฒั นาตนในแนวทาง ทเ่ี หมาะสม ในเรอื่ งนผ้ี เู้ ขยี นจะพดู ถงึ บทบาทของชมุ ชนและสอื่ มวลชนในการพฒั นาและปกปอ้ งเดก็ ปฐมวยั ดังตอ่ ไปน้ี 3.1 ชุมชน ภารกิจสำ� คัญซ่ึงถือเปน็ แนวทางในการดำ� เนนิ บทบาทของชมุ ชนในการปกป้อง มสธสทิ ธเิ ด็กมีหลายประการ (อรรถพล อนนั ตวรสกลุ และคณะ, 2555, น. 8) ดงั น้ี 1) รณรงคส์ ร้างความตระหนกั เรือ่ งสทิ ธิเดก็ ในกระบวนการพฒั นาทอ้ งถิ่น 2) ติดตามสถานการณ์ด้านเด็กในทอ้ งถนิ่ 3) จัดทำ� ฐานข้อมลู ด้านเด็กในทอ้ งถนิ่ 4) จัดตั้งทมี สหวิชาชพี เพ่ือท�ำงานด้านเด็กในท้องถิ่น มสธ มสธ5) จัดท�ำแผนท้องถน่ิ เพ่อื การพฒั นาและปกปอ้ งสิทธเิ ดก็ 6) จัดสรรงบประมาณทอ้ งถ่ินใหก้ ับโครงการ และกจิ กรรมในการพฒั นาและปกปอ้ ง สิทธิเดก็ 7) พฒั นาศกั ยภาพของผบู้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ และทมี สหวชิ าชพี ในการพฒั นาและปกปอ้ ง สทิ ธิเด็ก 8) ให้การสนับสนุนต่อการท�ำงานของทีมสหวิชาชีพเพื่อท�ำงานด้านเด็กในท้องถิ่น มสธเช่น การจัดประชมุ เพื่อวเิ คราะหป์ ญั หาของเด็กและเยาวชน
7-34 การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รส�ำหรบั เด็กปฐมวยั 9) สร้างเครอื ขา่ ยทอ้ งถ่ินเพ่ือเดก็ และเยาวชน มสธ10) พัฒนาศักยภาพท้องถ่ินด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านสังคม และการมี สว่ นร่วมของชุมชน รวมท้ังความรู้ดา้ นอ่ืนๆ ท่ีจำ� เปน็ ในการพัฒนาและปกปอ้ งสิทธิเด็ก 11) สนบั สนนุ ให้องคก์ รพัฒนาเอกชนและประชาชนมีสว่ นรว่ ม หรือมีบทบาทโดยตรง ในการพฒั นาและปกปอ้ งสทิ ธเิ ด็ก มสธ มสธ12) จดั ใหม้ โี ครงการหรอื กจิ กรรมตา่ งๆ ในการพฒั นาและปกปอ้ งสทิ ธเิ ดก็ เชน่ จดั ให้ มีสนามกฬี าสำ� หรบั เด็กและเยาวชน 13) จดั ใหม้ ศี นู ยก์ ารเรยี นรชู้ มุ ชน และการสรา้ งสภาพแวดลอ้ มชมุ ชนทส่ี ง่ เสรมิ การพฒั นา ทด่ี ขี องเดก็ ไดแ้ ก่ ใหเ้ ดก็ อยหู่ า่ งจากแหลง่ อบายมขุ สง่ เสรมิ การศกึ ษาหาความรขู้ องเดก็ และเยาวชนอยา่ ง ต่อเนอ่ื ง ใหเ้ ดก็ และเยาวชนมคี วามปลอดภยั ในชีวิตและทรพั ย์สนิ เปน็ ต้น 3.2 ส่ือมวลชน บทบาทของสอื่ มวลชนกบั การปกปอ้ งสทิ ธเิ ดก็ นนั้ มลู นธิ เิ พอ่ื การพฒั นาเดก็ มสธ(2551) ไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะเกยี่ วกบั การใชส้ อื่ เพอื่ การพฒั นาเดก็ ซงึ่ ครอบคลมุ ถงึ บทบาทของสอ่ื มวลชนกบั การปกปอ้ งสทิ ธิเดก็ ดงั มีรายละเอียดดงั น้ี 1) ควรส่งเสริมให้พ่อแม่ ผู้ปกครองได้ตระหนักถึงความส�ำคัญของการศึกษา และ ใหก้ ารศกึ ษาทท่ี ัดเทียมกันไม่วา่ จะลูกผู้หญงิ หรือลกู ผ้ชู าย 2) ควรส่งเสริมให้สังคมตระหนักถึงสวัสดิการและการให้โอกาสทางการศึกษา เพ่ือ มสธ มสธการพฒั นาตนเองของเดก็ ในด้านตา่ งๆ 3) ควรส่งเสริมการสร้างสุขภาวะที่ดีให้แก่ครอบครัว ลดการเผยแพร่สื่อที่อาจก่อให้ เกิดค่านิยมการบริโภค และความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงส่งเสริมให้มีส่ือที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับ ครอบครัวมากขนึ้ 4) ควรส่งเสริมการเผยแพร่ความรู้และทักษะต่างๆ ท่ีมีประโยชน์ต่อเด็ก ผ่านสื่อ สาธารณะให้มากข้ึน รวมถึงการเปิดโอกาสให้สื่อที่ผลิตโดยหน่วยงานและกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน มสธ(NGOs) ทีม่ ีการผลิตสอ่ื เพอ่ื กล่มุ เด็กอยแู่ ล้ว ไดม้ โี อกาสเผยแพร่ ผ่านสื่อสาธารณะมากข้นึ 5) ควรสง่ เสรมิ การเผยแพรค่ วามรแู้ กป่ ระชาชน โดยเฉพาะพอ่ แม่ ผปู้ กครองใหร้ บั ทราบ เก่ียวกบั สภาพบางอย่างที่ไมเ่ หมาะสมส�ำหรบั เด็ก 6) ควรส่งเสรมิ ให้พ่อแม่ ผ้ปู กครองได้ตระหนักในเรอ่ื งของสทิ ธเิ ด็ก ไม่ควรบังคับให้ เด็กต้องทำ� งานเพอื่ ช่วยเหลือครอบครวั จนมีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของเดก็ มสธ มสธ7) ควรเพม่ิ ชอ่ งทางการเผยแพรข่ อ้ มลู ขา่ วสารในเรอ่ื งของการพฒั นาและปกปอ้ งสทิ ธเิ ดก็ ให้กับส่ือ หรือบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเด็ก รวมทั้งตัวเด็กเองให้มากขึ้น เช่น วิทยุชุมชน หนงั สือพิมพ์ทอ้ งถิ่น หอกระจายข่าว เปน็ ตน้ 8) ควรสง่ เสรมิ ให้ประชาชนทุกคน เคารพในศักดิศ์ รีความเปน็ มนษุ ย์ ไม่แสดงกริยา ค�ำพูด ดูถูกเหยียดหยามเด็ก ส่ือมวลชนไม่ควรน�ำเสนอเน้ือหาในลักษณะท่ีสร้างเจตคติท่ีไม่ดีต่อกลุ่มเด็ก มสธดอ้ ยโอกาส
การรณรงคเ์ พอื่ เดก็ ปฐมวยั 7-35 9) สอื่ มวลชนไมค่ วรนำ� เสนอเนอื้ หาของขา่ วในลกั ษณะทอ่ี าจเปน็ การตอกยำ้� ความรสู้ กึ มสธหรอื เหตุการณ์ทไ่ี ม่ดีกับเด็กทต่ี กเป็นเหยือ่ เช่น การสัมภาษณ์ในรายละเอยี ดของเหตกุ ารณม์ ากเกนิ ไป 10) สอื่ หนงั สือพิมพ์ โทรทัศน์ และวทิ ยุ ตลอดจนบทความต่างๆ ควรเป็นปากเสยี ง แทนเด็กเพื่อกระตุ้นภาครัฐ และสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการต่อต้านการแสดงพฤติกรรม ทีไ่ ม่ดตี อ่ เด็ก มสธ มสธสรปุ ไดว้ า่ บทบาทของชมุ ชนและสอ่ื มวลชนกบั การพฒั นาและปกปอ้ งสทิ ธเิ ดก็ คอื ชมุ ชนควรรณรงค์ สรา้ งความตระหนกั เรอื่ งสทิ ธเิ ดก็ ในกระบวนการพฒั นาทอ้ งถน่ิ มกี ารตดิ ตามสถานการณด์ า้ นเดก็ ในทอ้ งถนิ่ และจัดท�ำฐานข้อมูลด้านเด็กในท้องถ่ิน รวมทั้งจัดต้ังทีมสหวิชาชีพเพ่ือการพัฒนาและปกป้องสิทธิเด็ก พฒั นาศกั ยภาพทอ้ งถนิ่ ดา้ นการศกึ ษา ดา้ นสาธารณสขุ ดา้ นสงั คม และการมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชน และจดั ใหม้ ี โครงการหรือกิจกรรมต่างๆ ท่ีจำ� เปน็ ในการพัฒนาและปกป้องสิทธิเด็ก นอกจากน้ี สื่อมวลชนควรสง่ เสรมิ ใหพ้ อ่ แม่ ผปู้ กครองและสงั คมตระหนกั ถงึ สวสั ดกิ ารและการใหโ้ อกาสทางการศกึ ษา เพอ่ื การพฒั นาตนเอง มสธของเด็กในด้านต่างๆ ลดการเผยแพร่ส่ือที่อาจก่อให้เกิดค่านิยมการบริโภคและความรุนแรงในครอบครัว รวมถงึ สง่ เสริมใหม้ สี อ่ื ทชี่ ว่ ยสร้างความอบอุน่ ให้กับครอบครัวมากขนึ้ ควรสง่ เสริมการเผยแพรค่ วามรแู้ ละ ทกั ษะตา่ งๆ ทมี่ ปี ระโยชนต์ อ่ เดก็ แกป่ ระชาชนโดยเฉพาะพอ่ แม่ ผปู้ กครองใหร้ บั ทราบเกย่ี วกบั สภาพบางอยา่ ง ทไี่ มเ่ หมาะสมสำ� หรบั เดก็ ตระหนกั ในเรอ่ื งของสทิ ธเิ ดก็ และไมค่ วรนำ� เสนอเนอื้ หาของขา่ วในลกั ษณะทอ่ี าจ เป็นการตอกยำ้� ความรู้สึก หรอื เหตกุ ารณท์ ไ่ี มด่ ีกบั เดก็ ท่ีตกเป็นเหยือ่ ในสถานการณต์ า่ งๆ มสธ มสธกิจกรรม7.2.3 จงยกตวั อย่างบทบาทของครอบครัวกบั การพัฒนาและปกป้องสทิ ธิเดก็ แนวตอบกิจกรรม 7.2.3 มสธบทบาทของครอบครวั กับการพัฒนาและปกป้องสทิ ธเิ ดก็ ยกตัวอย่างเช่น 1. พฒั นาเดก็ ทอี่ ยใู่ นความดแู ลของตนใหส้ อดคลอ้ งกบั พฒั นาการ และศกั ยภาพของเดก็ ตามแตล่ ะ ช่วงวัย 2. ดแู ล ปกปอ้ ง คมุ้ ครองเดก็ ทอี่ ยใู่ นความดแู ลของตน ไมใ่ หต้ กอยใู่ นภาวะเสย่ี งทอ่ี าจเกดิ อนั ตรายตา่ งๆ มสธ มสธ มสธ3. ไมป่ ลอ่ ยใหเ้ ดก็ ไมว่ า่ เดก็ คนใดกต็ ามตกอยใู่ นสภาวะอนั ตรายทงั้ จากบคุ คล สงั คม และสง่ิ แวดลอ้ ม
7-36 การจดั การศึกษาและหลกั สูตรสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั มสธตอนที่ 7.3 แนวทางการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัย โปรดอา่ นหวั เร่อื ง แนวคิด และวตั ถุประสงคข์ องตอนที่ 7.3 แล้วจึงศกึ ษารายละเอยี ดตอ่ ไป มสธ มสธหัวเร่ือง 7.3.1 แนวทางสำ� หรบั ครอบครวั ในการรณรงค์เพอ่ื เดก็ ปฐมวัย 7.3.2 แนวทางส�ำหรับสถานศึกษาในการรณรงค์เพอ่ื เด็กปฐมวยั 7.3.3 แนวทางสำ� หรับชมุ ชนและสือ่ มวลชนในการรณรงคเ์ พื่อเดก็ ปฐมวัย มสธแนวคิด 1. ครอบครัวต้องปกป้องดูแลให้ความอบอุ่นแก่เด็ก ให้การเล้ียงดูส่ังสอนอย่างถูกวิธี โดย ผา่ นการอบรมวชิ าการเลย้ี งลกู เปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ มโี อกาสรบั ขา่ วสารขอ้ มลู ทหี่ ลากหลาย มีการร่วมมือกันในการติดตามเด็กในสถานศึกษา และร่วมกับชุมชนในการท�ำกิจกรรม ผลกั ดนั ใหเ้ กิดองคก์ รท่เี ป็นประโยชน์กบั เด็ก มสธ มสธ2. สถานศึกษามีส่วนส�ำคัญในการช่วยพัฒนาเด็ก ให้มีพัฒนาการท่ีเหมาะสมกับช่วงอายุ ไดร้ บั การจดั การศกึ ษาทเ่ี หมาะสมและการปกปอ้ งสทิ ธเิ ดก็ แบง่ เปน็ สถานศกึ ษาทผ่ี ลติ ครู จะตอ้ งสรา้ งกระบวนการใหค้ รยู อมรบั สทิ ธเิ ดก็ เผยแพรค่ วามรคู้ วามเขา้ ใจแกค่ รใู นทกุ ระดบั เร่ืองสิทธิเดก็ และสถานศกึ ษาท่ดี ูแลเด็กทจี่ ะตอ้ งปลูกฝงั ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม และ วัฒนธรรมที่ดีงาม สร้างทางเลือกในการศึกษาให้เด็กได้โดยท่ีเด็กสามารถเลือกได้เอง และสง่ เสรมิ ให้เด็กมกี ระบวนการเรียนรใู้ นเร่อื งของการมสี ว่ นรว่ มมากย่งิ ขึ้น มสธ3. ชมุ ชนและสอื่ มวลชนชว่ ยสรา้ งความตระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ของสทิ ธเิ ดก็ และการรณรงค์ เพอ่ื เดก็ ปฐมวยั ชมุ ชนจะตอ้ งสง่ เสรมิ ใหผ้ ใู้ หญแ่ ละเดก็ ไดเ้ ขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการพดู คยุ และแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ซง่ึ กนั และกนั ในการพฒั นาเดก็ ทง้ั ในระดบั ภมู ภิ าคและระดบั ทอ้ งถน่ิ โดยมสี อ่ื มวลชนสง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ ไดใ้ ชเ้ ครอื่ งมอื ในการสอื่ สารรวมทงั้ เครอื่ งมอื ทาง ดา้ นเทคโนโลยเี พอื่ ใหเ้ ดก็ เกดิ การพฒั นากระบวนการในความคดิ และมกี ระบวนการสง่ เสรมิ มสธ มสธ มสธในเรอ่ื งของความร้ทู างด้านสิทธิเด็กผา่ นทางส่อื ต่างๆ
การรณรงค์เพอื่ เด็กปฐมวัย 7-37 มสธวัตถุประสงค์ เมื่อศึกษาตอนที่ 7.3 จบแลว้ นักศึกษาสามารถ 1. อธิบายและยกตวั อยา่ งแนวทางส�ำหรับครอบครัวในการรณรงคเ์ พือ่ เด็กปฐมวยั ได้ 2. อธบิ ายและยกตวั อยา่ งแนวทางส�ำหรบั สถานศกึ ษาในการรณรงค์เพอ่ื เด็กปฐมวัยได้ มมมสสสธธธ มมมสสสธธธ มมมสสสธธธ3. อธบิ ายและยกตวั อยา่ งแนวทางสำ� หรบั ชมุ ชนและสอื่ มวลชนในการรณรงคเ์พอื่ เดก็ ปฐมวยั ได้
7-38 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรส�ำหรับเด็กปฐมวัย มสธเร่ืองท่ี 7.3.1 แนวทางส�ำหรับครอบครัวในการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัย มสธ มสธครอบครัวเปน็ สถาบัน (institution) เป็นองค์กร (organization) หรือ เป็นหนว่ ย (unit) ทาง สงั คมทเ่ี ลก็ ที่สดุ ครอบครวั กอ่ ตัง้ ขึน้ ด้วยสมาชิกชายและหญิงเพยี งสองคน ทำ� หน้าท่เี ป็นพ่อ-แม่ เป็นพ่อ แบบ-แม่แบบ ท่ีถา่ ยทอดและให้การศึกษาในขน้ั แรกแก่สมาชกิ ใหม่ เป็นเบ้าหลอมทางบุคคลิกภาพ เป็น แหล่งท่จี ะเสรมิ สร้างพลงั กายและพลงั ใจใหแ้ กส่ มาชกิ ของครอบครัว ครอบครัว หมายถึง กลมุ่ คนต้ังแต่สองคนทีม่ าแต่งงานกัน หรือมีความสัมพันธฉ์ นั ท์สาม-ี ภรรยา อาศยั อยรู่ ว่ มกนั ในสถานทเ่ี ดยี วกนั อาจจะมหี รอื ไมม่ กี ารสบื สายโลหติ หรอื อาจจะเลยี้ งดผู อู้ น่ื โดยการรบั มาอปุ การะ อีกทง้ั ยงั อาจมีญาตพิ น่ี ้องหรือผู้อ่ืนมาอาศัยอย่ดู ้วยในสถานทเี่ ดียวกนั ซึง่ เปน็ สมาชกิ ท่ีมีความสมั พนั ธก์ ัน มสธมบี ทบาทและหนา้ ทตี่ อ่ กนั แตกตา่ งกนั และมคี วามสมั พนั ธท์ เี่ กอื้ กลู กนั โดยคณะอนกุ รรมการดา้ นครอบครวั ระบุความส�ำคัญของครอบครัวไว้ว่า ครอบครัวเป็นสถาบันพื้นฐานแรกที่สุดของมนุษย์ และเป็นสถาบัน ที่เก่าแกท่ ่สี ุดในโลก ท่ที ำ� หน้าที่ในการหล่อหลอมความเปน็ มนษุ ยข์ องสมาชิกใหมใ่ นครอบครัว การอบรม เล้ียงดูจากครอบครัว และการให้การศึกษาในครอบครัวมีอิทธิพลต่อระดับคุณภาพของคนและบุคลิกภาพ มสธ มสธซ่ึงรวมท้ังค่านิยม เจตคติ และพฤติกรรมของเด็ก ครอบครัวจึงเป็นเบ้าหลอมความคิด ค่านิยมต่างๆ ท่ี สำ� คญั นอกจากครอบครวั จะเปน็ หนว่ ยของสงั คมพนื้ ฐาน ทปี่ ระกอบดว้ ยวถิ ชี วี ติ ของสมาชกิ ทกุ คน รวมทง้ั ด้านเศรษฐกิจและการเมือง การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม และจริยธรรม ซึ่งมีผลต่อคุณภาพของสังคมแล้ว ครอบครวั ยงั เปน็ หนว่ ยเศรษฐกจิ พน้ื ฐานของสงั คม ทสี่ ามารถจนุ เจอื เดก็ ทย่ี งั ตอ้ งการพงึ่ พาผอู้ น่ื ในวยั เยาว์ ซงึ่ ปญั หาสงั คมหลายประการจะสามารถปอ้ งกนั ไดโ้ ดยสถาบนั ครอบครวั สถาบนั ครอบครวั ทร่ี วมตวั กนั ได้ จะเปน็ กลมุ่ พลัง/ชุมชน ทีส่ ามารถพฒั นา ปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาของตนเอง (รจุ า ภู่ไพบูลย,์ 2542) มสธการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัยส�ำหรับครอบครัว ครอบครวั เปน็ สถาบนั พน้ื ฐานแรกทสี่ ดุ ของมนษุ ย์ ทำ� หนา้ ทใี่ นการหลอ่ หลอมความเปน็ มนษุ ย์ และ ถอื เปน็ หนว่ ยของสงั คมพนื้ ฐานทส่ี ามารถจนุ เจอื เดก็ ทย่ี งั ตอ้ งการพงึ่ พาผอู้ นื่ ในวยั เยาว์ ศนู ยส์ ทิ ธเิ ดก็ เอเชยี เนท็ และคณะ (2542) ได้เสนอแนวทางสำ� หรับครอบครัวในการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวยั ไว้ ดังต่อไปน้ี มสธ มสธ1. ตอ้ งปกปอ้ งดแู ล ใหค้ วามอบอนุ่ แก่เดก็ 2. ให้การเล้ียงดูส่ังสอน ส่งเสริมพัฒนาการในด้านต่างๆ ให้ความส�ำคัญกับการเล้ียงทารกด้วย นมมารดา 3. เขา้ รว่ มอบรมวชิ าการเกย่ี วกบั การเลยี้ งลกู ปญั หาทพ่ี บอยทู่ กุ วนั นอ้ี าจเนอ่ื งมาจากพอ่ แมไ่ มเ่ ขา้ ใจ วธิ กี ารเล้ยี งลูก ไม่เข้าใจจิตวิทยาเด็ก และไมเ่ ข้าใจเด็ก 4. เปิดโอกาสให้เด็กมีโอกาสรับข่าวสารข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง เพ่ือท�ำให้เด็กมีโอกาสได้ มสธสรา้ งสรรค์ อะไรดีๆ ได้มากขนึ้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 468
Pages: