มสธเมินแนวคดิ เกยี่ วกบั การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั 1-51 - คณะท�ำงาน - บนั ทกึ ประจำ� วัน ปฏิสัมพันธ์ระห - กลยทุ ธป์ ฏิสัมพนั ธ์ มสธ มสธ- วางแผนกจิ วตั รประจำ� วนั- การกระตนุ้ สง่ เสริม - การประเมินพฒั นาการ- การแก้ปญั หาข้อขดั แยง้ การประ ดล้อมการเ ีรยนรู้ ว่างผู้ใหญ่-เด็ก กิจวัตรปร มสธ- วางแผน ปฏิบัติ ทบทวนการเรียนรู้ - กจิ กรรมกล่มุ ย่อยแบบลงมือกระท�ำ - กิจกรรมกลุ่มใหญ่ประสบการณ์ส�ำคัญ การรเิ ริ่ม มสธ มสธะจำจวัน การจัดส่ิงแว- พ้นื ที่ - สอ่ื - การจัดเก็บ ภาพที่ 1.2 “วงล้อแห่งการเรียนรู้” (High/Scope Wheel of Learning) มสธที่มา: Hohmann, Mary and Weikart, David. (2002). Educating Young Children: Active Learning Practices for Preschool and Child Care Programs (2nd ed.). Michigan: High/Scope Press, p. 6. 1. การเรียนรู้แบบลงมือกระท�ำ (active learning) หลักการท่ีส�ำคัญของ High/Scope คือ การเรียนรู้แบบลงมือกระท�ำ หมายถึง การเรียนรู้ที่เด็กได้จัดกระท�ำกับวัตถุ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล มสธ มสธความคิด และเหตุการณ์ จนสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ท้ังนี้ องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบ ลงมอื กระทำ� ได้แก่ 1.1 ส่ือ (materials) ตอ้ งหลากหลาย เพยี งพอ เหมาะสมกับอายุเด็ก ใหเ้ ด็กมีโอกาสและ เวลาเพยี งพอทจี่ ะเลอื กใชว้ สั ดอุ ปุ กรณอ์ ยา่ งอสิ ระ มโี อกาสเชอื่ มโยงการกระทำ� ตา่ งๆ และเรยี นรใู้ นเรอ่ื งของ ความสัมพนั ธ์ และมีโอกาสในการแก้ปญั หา 1.2 การสัมผัส (manipulation) ให้เด็กได้ส�ำรวจและจัดกระท�ำกับวัตถุโดยตรงท�ำให้เด็ก รจู้ กั คนุ้ เคยกบั วตั ถุ และเดก็ จะนำ� วตั ถตุ า่ งๆ มาเกยี่ วขอ้ งกนั และเรยี นรเู้ รอื่ งความสมั พนั ธ์ ซง่ึ ผใู้ หญม่ หี นา้ ที่ มสธจดั ใหเ้ ดก็ คน้ พบความสมั พันธ์เหล่านี้ดว้ ยตนเอง
1-52 การจดั การศึกษาและหลักสูตรสำ� หรบั เด็กปฐมวัย 1.3 การเลือก (choice) ใหเ้ ดก็ เปน็ ผรู้ เิ รมิ่ กจิ กรรมจากความสนใจและความตงั้ ใจของตนเอง มสธมีอิสระในการเลือกวัสดุอุปกรณ์และตัดสินใจว่าจะใช้อย่างไร ซึ่งจะท�ำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง มากกวา่ ได้รบั การถา่ ยทอดความร้จู ากผู้ใหญ่ 1.4 ภาษาและการคิด (child language and thought) ให้เด็กมีโอกาสพูด อธิบาย สอ่ื สาร ด้วยภาษาและท่าทาง สิ่งที่เด็กพูดจะสะท้อนประสบการณ์และความเข้าใจของเด็ก เม่ือเด็กมีอิสระในการ มสธ มสธใชภ้ าษาเพอื่ สอื่ ความคดิ และรจู้ กั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผอู้ นื่ เดก็ จะเรยี นรวู้ ธิ กี ารพดู ทเี่ ปน็ ทย่ี อมรบั ของผอู้ นื่ ได้พฒั นาการคดิ ควบคู่ไปกับการพฒั นาความเชือ่ ม่นั ในตนเองด้วย 1.5 การสนับสนุนจากผู้ใหญ่ (adult scaffolding) ผู้ใหญต่ อ้ งสนบั สนนุ การคิดและทา้ ทาย กระตนุ้ ใหเ้ ดก็ พยายาม และชว่ ยเดก็ ขยายและสรา้ งงานของตน โดยการพดู กบั เดก็ ในสงิ่ ทเี่ ดก็ กำ� ลงั ทำ� รว่ ม กัน ในการเลน่ และชว่ ยใหเ้ ดก็ เรียนรูก้ ารแกป้ ญั หาทเี่ กดิ ขน้ึ รวมทงั้ สรา้ งความสัมพนั ธก์ บั เดก็ สงั เกตและ คน้ หาความตั้งใจและความสนใจของเดก็ รบั ฟงั เด็ก สง่ เสริมใหเ้ ด็กคดิ และท�ำสิ่งต่างๆ ดว้ ยตนเอง ขณะทเ่ี ดก็ เรยี นรจู้ ากการรเิ รมิ่ กระทำ� ตามความตงั้ ใจของตนนนั้ เดก็ ไดม้ ปี ระสบการณส์ ำ� คญั ในการ มสธสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง จากการปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ คน แนวคิด และเหตุการณ์ส�ำคัญต่างๆ อย่าง หลากหลาย ซงึ่ จะชว่ ยส่งเสริมสตปิ ญั ญา อารมณ์ สงั คมและความเจรญิ เตบิ โตทางร่างกาย ประสบการณ์ สำ� คญั จงึ เปน็ กรอบความคดิ ใหก้ บั ครใู นการเขา้ ใจการเรยี นรแู้ บบลงมอื กระทำ� ของเดก็ สามารถวางแผนการ จัดประสบการณเ์ พือ่ ส่งเสริมพัฒนาการของเดก็ และประเมนิ พัฒนาการของเดก็ ได้อยา่ งเหมาะสม มสธ มสธประสบการณ์ส�ำคัญในหลักสูตร High/Scope ระยะแรกประกอบด้วย 1) การน�ำเสนออย่าง สร้างสรรค์ 2) ภาษาและการรู้หนังสือ 3) การริเร่ิมและความสัมพันธ์ทางสังคม 4) การเคล่ือนไหว 5) ดนตรี 6) การจ�ำแนก 7) การเรียงล�ำดับ 8) จ�ำนวน 9) พ้ืนที่ และ 10) เวลา โดยมีรายละเอียด ในแตล่ ะองคป์ ระกอบ ปจั จบุ นั ไดป้ รบั เปลย่ี นโดยใชช้ อ่ื วา่ “ตวั บง่ ชพี้ ฒั นาการ” (developmental indicators) ประกอบด้วย 1) การเข้าถึงการเรียนรู้ 2) พัฒนาการด้านสังคมและอารมณ์ 3) พัฒนาการด้านร่างกาย และสุขภาพ 4) ภาษา การร้หู นังสอื และการสอ่ื สาร 5) คณติ ศาสตร์ 6) ศลิ ปะสร้างสรรค์ 7) วิทยาศาสตร์ มสธและ 8) สงั คมศกึ ษา 2. ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งผใู้ หญแ่ ละเดก็ (adult-child interaction) หลกั สตู ร High/Scope เนน้ ให้ ผู้ใหญ่สรา้ งบรรยากาศท่อี บอุน่ และปลอดภัยให้แก่เด็ก เพ่อื สรา้ งความมน่ั ใจให้เดก็ กลา้ พูด กล้าแสดงออก และกลา้ ปรกึ ษาปญั หา มคี ณุ คา่ มากกวา่ การยกยอ่ ง ชมเชย การใหร้ างวลั หรอื การลงโทษ ทงั้ นี้ ปจั จยั สำ� คญั ในการสร้างปฏิสมั พันธ์ คอื มสธ มสธ2.1 ความไว้วางใจ (trust) ประสบการณใ์ นชว่ งนี้เปน็ พ้ืนฐานส�ำคัญในการพัฒนา “ความ ไวว้ างใจ” ส่ิงนีจ้ ะเปน็ การสร้างสมั พนั ธภาพบนพน้ื ฐานแหง่ ความไวว้ างใจซ่งึ กนั และกนั ตอ่ ไป 2.2 ความเป็นตัวของตัวเอง (autonomy) ถ้าผู้ใหญ่ให้ก�ำลังใจในสิ่งท่ีเด็กท�ำได้ตามความ สามารถและวิธีการของเด็กแต่ละคน เด็กจะพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้มีความ สามารถพึ่งตนเองและนำ� ตนเองได้ 2.3 ความคิดริเร่ิม (initiative) ถา้ เดก็ ไดร้ บั อสิ ระในการคดิ วางแผน รเิ รมิ่ ทำ� กจิ กรรม และ ผใู้ หญส่ ง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ คน้ ควา้ ศกึ ษาและสำ� รวจ เดก็ จะรสู้ กึ มนั่ ใจวา่ ตนเองเปน็ บคุ คลทมี่ คี วามสามารถในการ มสธเลือก ตดั สนิ ใจและกระทำ� ส่งิ ตา่ งๆ ได้
แนวคิดเกี่ยวกบั การจดั การศึกษาและหลักสตู รสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั 1-53 2.4 การรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น (empathy) การเข้าใจความรู้สึกของผู้อ่ืน จะช่วยให้เด็ก มสธรู้จกั สร้างมติ รภาพและความร้สู ึกของการมีสว่ นร่วม 2.5 ความเชื่อมั่นในตนเอง (self-confidence) ผใู้ หญส่ ามารถพฒั นาความเชอื่ มนั่ ในตนเอง ของเด็กได้ โดยการสนับสนุนให้เด็กมีโอกาสประสบความส�ำเร็จจากการใช้ความสามารถของตนเองอย่าง เหมาะสม เปิดโอกาสใหเ้ ดก็ เรียนรู้วธิ ีการแกป้ ญั หาดว้ ยตนเอง มสธ มสธ3. ส่ิงแวดล้อมการเรียนรู้ (learning environment) การจัดส่ิงแวดล้อมในสถานศึกษาปฐมวัย ตามหลกั การของหลกั สูตร High/Scope มสี าระครอบคลมุ 3 เร่ือง ไดแ้ ก่ พน้ื ที่ สือ่ และการจดั เก็บ ดังน้ี 3.1 พ้ืนท่ี (space) การจัดแบ่งพื้นทีป่ ระกอบด้วย 5 ส่วน คอื 1) พน้ื ท่ีเก็บของใช้สว่ นตวั ของเดก็ เชน่ แก้วนำ้� แปรงสีฟัน 2) พื้นที่กจิ กรรมกลุ่มใหญ่ เชน่ กิจกรรมฟงั นิทาน ร้องเพลง เคลอื่ นไหว ฯลฯ ทท่ี �ำ ร่วมกันท้ังชน้ั เรียน 3) พื้นท่ีกิจกรรมกลุ่มย่อย เช่น กิจกรรมศิลปะร่วมมือ กิจกรรมท�ำหนังสือนิทาน มสธร่วมกันเปน็ กล่มุ ยอ่ ย ฯลฯ 4) พน้ื ท่สี ำ� หรบั มุมเลน่ ซึ่งหลักสูตร High/Scopeไดก้ ำ� หนดใหม้ มี ุมพ้นื ฐาน 5 มมุ ประกอบดว้ ย มุมหนงั สอื มุมบลอ็ ก มมุ บา้ น มมุ ศลิ ปะ และมุมของเลน่ ซง่ึ หมายถงึ เคร่ืองเล่นสมั ผสั เกม และของเลน่ บนโตะ๊ และ มสธ มสธ5) พ้ืนทเี่ ก็บของใชค้ รู เช่น หนงั สอื คู่มือครู เอกสารโปรแกรม สอ่ื การสอนส่วนรวม ของช้นั เรยี น เชน่ วสั ดศุ ลิ ปะต่างๆ เป็นตน้ ทงั้ นแี้ นวปฏิบัติเร่ืองจดั พนื้ ท่ี ควรน่าอยู่ นา่ เขา้ ไปเลน่ ทำ� ให้รูส้ ึกอบอนุ่ วสั ดทุ ใ่ี ชม้ ีความน่มุ ออ่ นโยน ไมแ่ ขง็ กระดา้ ง มสี ว่ นโคง้ สว่ นมน สสี นั สบายตา สบายใจ เนน้ วสั ดธุ รรมชาตแิ ละแสงตามธรรมชาติ มีการจัดแบง่ ทีต่ ั้งบริเวณของมุมตา่ งๆ อย่างชัดเจนสมเหตสุ มผล บรเิ วณในแตล่ ะมมุ มีพื้นทเ่ี พยี งพอ โดย ค�ำนึงถึงความปลอดภัยและการบ�ำรุงรักษาท่ีดี เช่น มุมทรายและมุมน้�ำควรอยู่ใกล้อ่างล้างมือ มุมบล็อก มสธและมุมบ้านอยใู่ กลก้ นั มมุ ศิลปะอยใู่ กลอ้ ่างลา้ งมือหรือห้องน�ำ้ มมุ ของเลน่ และมุมหนงั สืออยู่ไกลจากมุมท่ี เสียงดงั 3.2 ส่ือ (materials) หมายถงึ สือ่ วัสดอุ ุปกรณ์ทีห่ ลากหลายทั้งประเภท 2 มติ ิ 3 มิติ ส่ือ สะท้อนวัฒนธรรมท้องถ่ิน สื่อท่ีเอ้ือให้เด็กเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสท้ัง 5 โดยมีการจัดการใช้ส่ือท่ีเริ่มต้น จากสื่อท่เี ป็นรูปธรรมไปสนู่ ามธรรม กลา่ วคือ เรม่ิ ตน้ จากสือ่ ของจรงิ ของจำ� ลอง ภาพถ่าย ภาพโครงรา่ ง มสธ มสธและสญั ลกั ษณ์ การใชส้ อื่ ตอ้ งเหมาะสมกบั วยั วฒุ ภิ าวะ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล ความสนใจและความ ตอ้ งการของเด็กท่ีหลากหลาย ส่ือสำ� หรับเดก็ พิเศษตลอดจนสื่อที่สะทอ้ นชวี ิตครอบครวั ของเดก็ 3.3 การจัดเก็บ (storage) หลกั สตู ร High/Scope ใหค้ วามส�ำคญั กบั ระบบจัดเก็บสอื่ ดว้ ย วงจร “คน้ หา-ใช-้ เกบ็ คนื ” (find-use-return cycle) โดยใหส้ อ่ื ทเ่ี หมอื นกนั จดั เกบ็ หรอื จดั วางไวด้ ว้ ยกนั ภาชนะบรรจุส่อื ควรโปรง่ ใสเพอ่ื ให้เด็กมองเหน็ ส่งิ ทีอ่ ย่ภู ายในได้ง่าย และควรมีมือจับเพอ่ื ให้สะดวกในการ ขนย้าย การใช้สัญลักษณ์ (labels) ควรมีความหมายต่อการเรียนรู้ของเด็ก สัญลักษณ์ท�ำมาจาก ส่ืออปุ กรณข์ องจริง ภาพถา่ ยหรือภาพสำ� เนา ภาพวาด ภาพโครงรา่ ง หรือภาพประจดุ หรอื บัตรค�ำตดิ คู่ มสธกบั สัญลักษณ์อยา่ งใดอย่างหนึ่งข้างต้น
1-54 การจัดการศึกษาและหลักสูตรส�ำหรับเดก็ ปฐมวัย นอกจากนี้ยังกล่าวถึงสิ่งแวดล้อมภายนอกห้องเรียน หมายถึง พื้นท่ีท�ำกิจกรรมกลางแจ้ง และ มสธสนามเดก็ เลน่ โดยทวั่ ไปจะประกอบดว้ ยเครื่องเลน่ ประเภทต่างๆ ทีเ่ ปิดโอกาสให้เดก็ ได้ลอด ไต่ ปนี ลื่น ฯลฯ ทเี่ ลน่ นำ�้ ทเ่ี ลน่ ทราย รถจกั รยานขนาดเลก็ และใหญ่ บางแหง่ จะมขี าหยง่ั วาดรปู ทง้ั ชนดิ ไมแ้ ละกระจก บา้ นตกุ๊ ตาใหญๆ่ และเสอ้ื ผา้ ไวเ้ ลน่ บทบาทสมมติ แปลงเพาะปลกู พนื้ ทส่ี วนครวั เลก็ ๆ ดงั นน้ั ลกั ษณะของ กจิ กรรมจงึ ไมใ่ ชจ่ ำ� กดั เพยี งการออกไปเลน่ เครอื่ งเลน่ สนามเพอื่ พฒั นาดา้ นรา่ งกายและกลา้ มเนอื้ ใหญเ่ ทา่ นนั้ มสธ มสธ4. กิจวัตรประจ�ำวัน (daily routine) ประกอบดว้ ย 4.1 กระบวนการวางแผน-ปฏิบัติ-ทบทวน ดังน้ี 1) การวางแผน (plan) เป็นช่วงกระบวนการคิดเกี่ยวกับเป้าหมายท่ีจะกระท�ำตามท่ี เด็กคาดหวัง การวางแผนมีความส�ำคัญเนื่องจากเป็นการสนับสนุนความคิด การเลือก และการตัดสินใจ ของเด็กทีช่ ัดเจน สง่ เสริมความรู้สึกเชอื่ มนั่ ในตนเองและความรู้สกึ ในการควบคมุ ตนเอง ทำ� ใหเ้ ดก็ มคี วาม สนใจในการเลน่ ทไ่ี ดว้ างแผนไว้ ครสู ามารถสนบั สนนุ การวางแผนของเดก็ ไดโ้ ดยการสงั เกตลกั ษณะแผนงาน มสธของเด็กแต่ละคน วางแผนกับเด็กอย่างใกล้ชิด จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์และประสบการณ์ท่ีช่วยท�ำให้เด็กมี ความสนใจในการวางแผน สนทนากับเดก็ เป็นรายบุคคลเกย่ี วกับแผนงานของเด็ก 2) การปฏิบัติหรือการท�ำงาน (do/work time) เปน็ ชว่ งที่เดก็ ได้ลงมือกระท�ำ เล่น และ แกป้ ญั หาอยา่ งมจี ดุ มงุ่ หมายตามแผนงาน ซง่ึ สามารถปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลง และทำ� ใหส้ มบรู ณข์ น้ึ ได้ การ เลน่ ของเดก็ คอื ความตอ้ งการทจ่ี ะสำ� รวจ ทดลอง ประดษิ ฐ์ สรา้ งสรรค์ และเลยี นแบบ เดก็ จะไดเ้ รยี นรตู้ าม มสธ มสธประสบการณ์ส�ำคัญ ครูสามารถสนับสนุนเด็กได้โดยการสังเกตลักษณะการท�ำงานของเด็กแต่ละคน จัดเตรียมบรเิ วณการทำ� งานใหเ้ ด็ก ค้นหาสงิ่ ทเ่ี ดก็ กำ� ลงั ทำ� เพอื่ อ�ำนวยความสะดวก มีสว่ นร่วมในการเล่น กับเด็ก สนทนาและส่งเสริมการแก้ปัญหาของเด็ก พิจารณาปฏิสัมพันธ์จากส่ิงที่เกิดขึ้นแล้ว บันทึกการ สงั เกตเด็ก 3) การทบทวน (recall time) เป็นช่วงที่เด็กได้สะท้อน พูดคุย และน�ำเสนอเก่ียวกับ ส่งิ ท่ีทำ� ในช่วงการท�ำงาน โดยการใช้ภาษา การอภปิ ราย และการวเิ คราะหเ์ ช่ือมโยง ซ่งึ เป็นกระบวนการ มสธสรา้ งความเขา้ ใจและตคี วามสงิ่ ทไ่ี ดป้ ฏบิ ตั ิ ไดต้ ระหนกั ถงึ ความเกยี่ วเนอ่ื งจากการวางแผน การกระทำ� และ ผลที่ได้รับ ท�ำให้เด็กได้พิจารณาต้ังแต่อดีตซ่ึงเป็นตัวช้ีน�ำปัจจุบันและอนาคต นับเป็นทักษะที่น�ำไปใช้ได้ ในชวี ติ ครสู ามารถสง่ เสรมิ เดก็ โดยการสงั เกต การทบทวนของเดก็ แตล่ ะคน ทบทวนกบั เดก็ ในบรรยากาศ ที่สงบ อบอุ่น ครูควรช่วยกระตุ้นการระลึกประสบการณ์ของเด็ก จัดหาวัสดุอุปกรณ์หรือประสบการณ์ท่ี ทำ� ใหเ้ ดก็ สนใจ เชญิ ชวนใหเ้ ดก็ พดู คยุ เชน่ ใหเ้ ดก็ เสนอความคดิ เหน็ ถามคำ� ถามปลายเปดิ ครบู นั ทกึ ความ มสธ มสธเช่อื มโยงระหวา่ งการทบทวน และการวางแผนของเดก็ 4.2 กิจกรรมกลุ่มย่อย เปน็ กจิ กรรมทสี่ นบั สนนุ การเรยี นรแู้ บบลงมอื กระทำ� รว่ มกนั ของกลมุ่ เด็กและครูทสี่ มาชกิ ของกลมุ่ ไม่เปล่ยี นแปลง ครเู ป็นผรู้ ิเรมิ่ ประสบการณโ์ ดยอย่บู นพนื้ ฐานของพฒั นาการ และความสนใจของเด็ก ความส�ำคัญของกิจกรรมกลุ่มย่อย คือ โอกาสท่ีจะสร้างจุดเด่นของเด็กแต่ละคน โอกาสท่ีจะได้เตรียมวัสดุอุปกรณ์ส�ำหรับการเรียนรู้ส่ิงใหม่ เป็นประสบการณ์ที่เด็กจะได้มีปฏิสัมพันธ์กับ เพ่ือน โอกาสที่ครูจะได้สังเกตและมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กกลุ่มเดิม เป็นโอกาสส�ำหรับครูที่จะฝึกยุทธวิธีของ มสธการสง่ เสรมิ สนบั สนนุ การเรยี นรขู้ องเดก็ เดก็ จะไดเ้ ลน่ สำ� รวจ ทำ� งาน แกป้ ญั หา และพดู คยุ เกยี่ วกบั สงิ่ ทท่ี ำ�
แนวคดิ เกี่ยวกับการจัดการศกึ ษาและหลักสตู รสำ� หรับเด็กปฐมวัย 1-55 4.3 กิจกรรมกลุ่มใหญ่ เปน็ กจิ กรรมทร่ี วมเดก็ ทงั้ หมดและครเู พอ่ื แบง่ ปนั ขอ้ มลู ทส่ี ำ� คญั และ มสธร่วมท�ำกิจกรรมท่ีมีความเหมาะสมกับกลุ่มใหญ่ โดยปกติใช้เวลาประมาณ 10 นาที ในช่วงกิจกรรม กลมุ่ ใหญเ่ ดก็ ไดเ้ รยี นรแู้ บบลงมอื กระทำ� เชน่ กนั ตวั อยา่ งเชน่ การรอ้ งเพลงและการแตง่ เพลง การเคลอื่ นไหว และกิจกรรมเข้าจังหวะ การอ่านร่วมกัน การท�ำโครงการร่วมกัน ความส�ำคัญของกิจกรรมกลุ่มใหญ่ คือ ใหเ้ ด็กได้มีประสบการณร์ ่วมกนั ไดส้ รา้ งความร้สู ึกวา่ ตนเปน็ สว่ นหน่งึ ของชุมชน ส่งเสริมลักษณะการเป็น มสธ มสธผนู้ �ำและสมาชิกของกลมุ่ ใหโ้ อกาสเดก็ แก้ปัญหาของกลุ่มร่วมกัน 4.4 กิจกรรมกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมท่ีให้โอกาสเด็กได้เล่นอิสระ ได้ปีนป่าย ว่ิง กระโดด อยา่ งเตม็ ที่ เดก็ ไดพ้ ฒั นาทางสงั คมเนอ่ื งจากอปุ กรณบ์ างอยา่ งตอ้ งเลน่ รว่ มกนั มกี ารแลกเปลย่ี นการสนทนา ระหวา่ งการเลน่ เมอ่ื เดก็ เลน่ กลางแจง้ เดก็ จะเรยี นรแู้ ละสำ� รวจตามประสบการณส์ ำ� คญั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ความ สำ� คญั ของกจิ กรรมกลางแจง้ คอื สง่ เสรมิ สขุ ภาพทด่ี ี เหน็ ธรรมชาตแิ วดลอ้ ม ไมจ่ ำ� กดั การเลน่ เดก็ สามารถ พูดคุยได้อย่างเต็มที่ ได้สัมผัสกับธรรมชาติ เป็นโอกาสที่ครูจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเด็กมากขึ้น ครูสามารถ มสธส่งเสริมเด็กในช่วงกิจกรรมกลางแจ้งโดยการสังเกตเด็กขณะเล่นกลางแจ้งเป็นรายบุคคล จัดเตรียมวัสดุ อปุ กรณ์ ใชย้ ทุ ธวธิ ตี า่ งๆ ในการสนบั สนนุ เชน่ สงั เกตการเลน่ ของเดก็ อยา่ งเปน็ ธรรมชาติ รว่ มเลน่ หรอื ให้ ค�ำแนะน�ำขึน้ อยู่กับความเหมาะสม สนทนากบั เด็ก และสนบั สนนุ การแกไ้ ขปัญหา 4.5 ช่วงต่อระหว่างกิจกรรม เป็นช่วงที่ต้องเปล่ียนจากกิจกรรมหน่ึงไปสู่ช่วงต่อไป เช่น เมื่อพอ่ แมม่ าสง่ เดก็ ชว่ งเช้า ขณะเดินจากหอ้ งเรยี นไปสนามเด็กเลน่ เมอ่ื เสร็จจากกิจกรรมทบทวนในกลุ่ม มสธ มสธย่อยและเริ่มรับประทานอาหารว่าง ครูต้องมีแผนการที่ดีท่ีจะท�ำให้ช่วงต่อระหว่างกิจกรรมด�ำเนินไปอย่าง ราบรื่น ครูสามารถสนับสนุนเด็กในช่วงต่อระหว่างกิจกรรมโดยปรับปรุงและจัดตารางกิจวัตรประจ�ำวันให้ มคี วามเหมาะสมกบั ความตอ้ งการและพฒั นาการของเดก็ ดำ� เนนิ กจิ วตั รประจำ� วนั อยา่ งสมำ่� เสมอ วางแผน ใชเ้ ทคนคิ ทสี่ นกุ สนานสำ� หรบั ชว่ งเปลย่ี นกจิ กรรม เสนอทางเลอื กทเ่ี หมาะสมกบั เดก็ แตล่ ะคนกอ่ นจะถงึ ชว่ ง ของการเปลย่ี นกจิ กรรม เตอื นใหเ้ ดก็ ทราบกอ่ นการเปลย่ี นกจิ กรรม วางแผนสำ� หรบั การทำ� ความสะอาด มี ปา้ ยบอกเพ่ือใหเ้ ด็กช่วยเกบ็ วสั ดอุ ุปกรณไ์ ดเ้ อง มสธ5. การประเมนิ (assessment) การประเมนิ เปน็ งานโดยตรงของครทู ตี่ อ้ งตงั้ ใจปฏบิ ตั แิ ละเอาใจใส่ อยา่ งเตม็ ท่ี ครจู ะทำ� งานรว่ มกนั เปน็ คณะ ในแตล่ ะวนั ครทู กุ คนจะรวบรวมขอ้ มลู เกยี่ วกบั เดก็ จากการสงั เกต และการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กในกิจวัตรประจ�ำวัน โดยมีแบบสังเกตบันทึกพฤติกรรมเด็ก (High/Scope Child Observation Record หรอื COR) ครจู ะแลกเปลยี่ นขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการสงั เกตเดก็ ทำ� การวเิ คราะห์ ข้อมลู ในด้านประสบการณส์ �ำคญั และวางแผนส�ำหรบั วนั ตอ่ ไป มสธ มสธหลักการพื้นฐาน 5 ประการ ไดแ้ ก่ การเรยี นรจู้ ากการกระท�ำ ปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่กบั เด็ก การจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรทู้ ี่เป็นมติ รกับเดก็ กิจวัตรประจ�ำวนั ท่สี มำ่� เสมอตอ่ เนอื่ ง และการประเมนิ เดก็ ในแต่ละวันโดยคณะท�ำงาน หลักการดังกล่าวเป็นกรอบการท�ำงานของหลักสูตร High/Scope และเป็น ตัวอย่างของการจัดการศึกษาและหลักสูตรที่เหมาะส�ำหรับเด็กปฐมวัย ซ่ึงได้รับการยอมรับในแวดวงการ ศกึ ษาปฐมวัย และมกี ารน�ำกิจกรรมประจำ� วันของหลักสูตร High/Scope เช่น การวางแผน ปฏบิ ตั ิ และ มสธทบทวน ไปประยุกต์ใชใ้ นการจดั กจิ กรรมเพือ่ พัฒนาการคิดและภาษาของเด็กปฐมวัย
1-56 การจดั การศึกษาและหลักสูตรสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั หลักสูตรตามแนวคิดของ Montessori และหลักสูตร High/Scope เป็นตัวอย่างของความ มสธเคลอื่ นไหวเกยี่ วกบั หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั ทมี่ กี ารนำ� มาประยกุ ตใ์ ชอ้ ยา่ งกวา้ งขวางทงั้ ในประเทศไทย และต่างประเทศเพ่ือพัฒนาคุณภาพของการศึกษาปฐมวัย ทั้งนี้ หลักสูตรแต่ละหลักสูตรมีทั้งข้อดีและข้อ จ�ำกัด การน�ำหลักสูตรใดๆ ไปใช้ จ�ำเป็นต้องศึกษาหลักสูตรนั้นๆ อย่างจริงจัง เพ่ือให้เด็กปฐมวัยได้รับ ประโยชน์สูงสุด มสธ มสธกิจกรรม1.3.2 ใหน้ ักศกึ ษายกตัวอย่างหลกั สูตรท่มี ีการนำ� มาใช้ในสถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเดก็ ปฐมวัยมา 1 หลกั สูตร พร้อมอธิบายหลกั การของหลกั สตู รนนั้ มาพอสังเขป มสธแนวตอบกิจกรรม 1.3.2 นักศึกษาสามารถเลือกยกตัวอย่างหลักสูตรท่ีมีการน�ำมาใช้ในสถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็ก เช่น หลักสูตรตามแนวคิดของ Montessori ซ่ึงมีหลักการ 5 ประการ คือ การยอมรับนับถือเด็ก จิตที่ ซมึ ซบั ได้ ชว่ งเวลาหลกั ของชวี ติ การตระเตรยี มสง่ิ แวดลอ้ ม และการศกึ ษาดว้ ยตนเอง หรอื เลอื กยกตวั อยา่ ง หลกั สูตร High/Scope ซึง่ มีหลักการ 5 ประการ คือ การเรียนรจู้ ากการกระทำ� ปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างผู้ใหญ่ มสธ มสธกบั เดก็ สิ่งแวดลอ้ มการเรียนรู้ กิจวตั รประจ�ำวัน และการประเมนิ เร่ืองที่ 1.3.3 มสธความเคล่ือนไหวเก่ียวกับการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัย การศึกษาความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท�ำให้พบว่ามีศาสตร์ การสอนจำ� นวนมากในวงการศกึ ษาปฐมวยั การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั นนั้ มคี วามหลากหลาย มสธ มสธในรูปแบบและวิธกี ารจดั ประสบการณ์ ขนึ้ อยกู่ บั แนวคดิ ทฤษฎี และความเชอื่ ของผู้จดั ประสบการณ์นน้ั ๆ ซึ่งการจัดประสบการณ์ คือ วิธีการท่ีผู้จัดประสบการณ์หรือครูส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ปฐมวัย โดยม่ันใจว่าประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็กจะส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ในทุกด้านของ หลักสูตร (Epstein, 2007, p. 5) ท้ังน้ี แนวการจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมส�ำหรับเด็กปฐมวัยอยู่บน พ้ืนฐานความรู้ท่ีว่าเด็กพัฒนาและเรียนรู้อย่างไร โดยยึดความเหมาะสมของวัย ความเหมาะสมของเด็ก แตล่ ะคน และความเหมาะสมของบรบิ ทสงั คมและวฒั นธรรมทเ่ี ดก็ อาศยั อยู่ ใหเ้ ดก็ มปี ระสบการณก์ ารเรยี นรู้ มสธอย่างหลากหลาย และต้องตระหนักว่าธรรมชาติของเด็กวัยน้ีมีความกระตือรือร้นท่ีจะเรียนรู้โลกรอบตัว
แนวคิดเกีย่ วกับการจัดการศกึ ษาและหลกั สตู รสำ� หรบั เด็กปฐมวัย 1-57 ผจู้ ดั ประสบการณใ์ หเ้ ดก็ ปฐมวยั จงึ ตอ้ งวางแผนจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรใู้ หส้ อดคลอ้ งกบั เปา้ หมาย ความ มสธสนใจ และความสามารถของเดก็ ทำ� ใหเ้ ดก็ สนใจเขา้ รว่ มในกจิ กรรม และมคี วามสขุ ในการทำ� กจิ กรรม ชว่ ย ใหเ้ ดก็ มคี วามเขา้ ใจและมที กั ษะใหมๆ่ โดยนำ� ยทุ ธศาสตรก์ ารสอนตา่ งๆ ทม่ี มี าเลอื กและบรู ณาการใหเ้ หมาะ กับเปา้ หมาย ตวั เด็ก สถานการณ์ และเด็กมโี อกาสไดท้ �ำงานร่วมกับเดก็ อ่ืน ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยสืบเน่ืองจากหลายสาเหตุ เช่น มสธ มสธงานวจิ ยั เกยี่ วกบั สมอง สภาพปญั หาของเดก็ ปฐมวยั สถานการณข์ องโลกและสงั คมทม่ี กี ารเปลยี่ นแปลงใน ด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ท�ำให้มีการปรับเปล่ียนจุดหมายของการจัดการศึกษาและหลักสูตร ส่งผล กระทบตอ่ การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ในเรอ่ื งนจ้ี ะนำ� เสนอการจดั ประสบการณท์ เ่ี กดิ จากความ เคล่ือนไหวของผลการวิจัยทางสมองและแนวคิดที่ว่า ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงวัยที่ส�ำคัญสูงสุดต่อการพัฒนา ทักษะสำ� คญั ของชีวิตท่ีจะช่วยให้เดก็ ดำ� รงชวี ติ ตอ่ ไปในศตวรรษใหม่ ได้แก่ 1) การจัดประสบการณท์ เ่ี อ้ือ ต่อการเรียนรขู้ องสมอง และ 2) การจดั ประสบการณ์เพื่อพัฒนาเดก็ ปฐมวัยด้านการคดิ ดงั ต่อไปน้ี มสธการจัดประสบการณ์ท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ของสมอง ผลการวิจัยทางสมองพบว่า ข้อมูลท่ีผ่านเข้ามาในสมองของมนุษย์โดยผ่านทางประสาทสัมผัส ท้ังห้าน้ัน ร้อยละ 99 จะถูกทิ้งไปทันที จะมีเพียงร้อยละ 1 เท่าน้ัน ที่สมองเก็บมาใคร่ครวญและคิดต่อ เหตุผลก็เพราะว่าข้อมูลเหล่าน้ันไม่มีความหมายใดๆ กับผู้น้ันเลย ซึ่งเป็นธรรมชาติของสมองมนุษย์ท่ี มสธ มสธค้นพบ ท่ีเป็นเช่นนี้เพราะในแต่ละนาทีน้ันสมองต้องสัมผัสกับข้อมูลจ�ำนวนมากมายมหาศาล หากสมอง ตอ้ งเกบ็ ข้อมลู ทกุ เรือ่ งไว้ แล้วน�ำมาวเิ คราะหใ์ ครค่ รวญทัง้ หมด มนษุ ย์คงลำ� บากยงุ่ ยาก จงึ เปน็ ธรรมชาติ ของสมองทชี่ ว่ ยปอ้ งกนั มนษุ ยจ์ ากการสำ� ลกั ขอ้ มลู การคน้ พบดงั กลา่ ว ครสู ามารถนำ� มาใชป้ ระโยชนใ์ นการ สอนเด็ก ท�ำอย่างไรจึงจะท�ำให้ข้อมูลที่ครูสอนตกอยู่ในส่วนร้อยละ 1 ซ่ึงเป็นส่วนที่มีความหมายต่อเด็ก ท้งั น้ี การเรยี นร้ทู ่ยี ดึ สมองเปน็ ฐาน (Brain-Based Learning) ได้น�ำเอาหลกั การนมี้ าใช้ คือ การท�ำให้ บทเรียนมคี วามหมายต่อผูเ้ รยี น และความหมายทส่ี �ำคัญทีส่ ดุ กค็ ือความหมายท่ีเกี่ยวขอ้ งกับตวั ผู้เรยี นเอง มสธความหมายท่ีเกิดจากความอยากรู้อยากเห็น ความหมายของบทเรียนต่อผู้เรียนจะท�ำให้ผู้เรียนเกิดแรง ผลักดันทจ่ี ะแสวงหาความรู้ และเรยี นรู้ตอ่ ไป การคน้ พบนนี้ �ำมาสูก่ ารพฒั นากระบวนการสอนท่มี คี ุณภาพ มากขึน้ (สำ� นักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา, 2551, น. 27-28) หลายประเทศมกี ารนำ� หลกั การเรยี นรทู้ ยี่ ดึ สมองเปน็ ฐาน มาใชใ้ นการออกแบบการเรยี นรแู้ ละการ จัดประสบการณ์ เพ่อื พัฒนาศกั ยภาพสูงสุดในเดก็ ปฐมวัย เช่น Caine and Caine (1997, อ้างถงึ ใน อารี มสธ มสธสณั หฉวี, 2550, น. 77) ได้ชี้แนะการจดั ประสบการณ์ท่ีเอ้อื ต่อการเรยี นรขู้ องสมองไว้ 3 ประการ คือ 1. สรา้ งบรรยากาศใหเ้ ดก็ รสู้ กึ ตน่ื ตวั แบบผอ่ นคลาย (relaxed alertness) คอื ทำ� ใหเ้ ดก็ มอี ารมณ์ มน่ั คง ไม่หวาดกลัว แตก่ ระตนุ้ ท้าทายให้ต่นื ตัวท่จี ะเรยี นรู้ 2. ให้โอกาสเด็กได้ซึมซับส่ิงที่เรียนรู้ (orchestrated immersion) โดยมีกระบวนการจัดการ มสธเรียนรู้ทีใ่ หป้ ระสบการณห์ ลากหลาย เชน่ การท�ำโครงงาน การแสดงละคร การท�ำงานกลมุ่ ฯลฯ
1-58 การจัดการศึกษาและหลกั สตู รส�ำหรับเดก็ ปฐมวยั 3. มีกระบวนการจัดกระท�ำโดยตรงกับประสบการณ์ (active processing) โดยผู้สอนต้อง มสธออกแบบการเรยี นรใู้ หส้ อดคลอ้ งกบั ความสนใจของเดก็ และทำ� ใหก้ ารเรยี นรมู้ คี วามหมายตอ่ เดก็ ใหโ้ อกาส เด็กได้สร้างความรู้ ได้คิดร่วมกัน มีเวลาได้คิดไตร่ตรอง ทดลอง ส�ำรวจ เพื่อสรุปความหมายและความ เข้าใจ สำ� หรบั การจดั ประสบการณท์ ท่ี ำ� ใหเ้ ดก็ เกดิ ความสนใจ สนกุ สนาน และเออ้ื ตอ่ การเรยี นรขู้ องสมอง มสธ มสธนั้น Erlauer (2003) ไดแ้ นะนำ� ดังนี้ 1. ใหเ้ ด็กมโี อกาสริเริ่มหรอื เลอื กการเรียนรขู้ องตน 2. ใช้การเรียนรู้และวิธีการท่ีหลากหลายระหว่างท�ำการสอน โดยท่ัวไปในช้ันเรียนปกติ มักจะมี เดก็ รอ้ ยละ 46 ทเี่ รยี นรไู้ ดด้ จี ากการดู รอ้ ยละ 35 เรยี นรไู้ ดด้ จี ากการเคลอ่ื นไหว รอ้ ยละ 19 เรยี นรไู้ ดด้ จี าก การฟัง ดังน้ัน ในแต่ละบทเรียนผู้สอนควรเลือกใช้วิธีการดังกล่าวข้างต้นอย่างน้อย 2 วิธี เช่น เรื่อง แต่ละเรื่องท่ีเด็กได้ฟังจะต้องให้เด็กดูภาพหรือแผนภาพ การทดลองแต่ละอย่างที่เด็กได้ท�ำจะต้องมีการ มสธบนั ทกึ ผลการทดลอง 3. ให้เด็กได้เรียนรู้แบบลงมือกระท�ำ เป็นการเรียนรู้ท่ีก่อให้เกิดความกระตือรือร้น น่าสนใจ สนุกสนานมากขนึ้ 4. ใชก้ ารเรยี นรแู้ บบค้นพบ ให้เดก็ ร้จู ักสืบค้น หาข้อมลู ค�ำตอบดว้ ยตนเอง 5. สร้างความสนใจ ความประหลาดใจ หรืออารมณ์ขันให้แก่เด็กในการสอนบางโอกาส หรือใช้ มสธ มสธเพลงคั่นระหว่างสอน หรือแนะน�ำหน่วยการเรียนรู้ เช่น หน่วยอากาศ ด้วยการถือร่มและสวมเสื้อกันฝน เขา้ ไปในช้ันเรยี น โดยสรปุ องคค์ วามรใู้ หมๆ่ ในเรอื่ งสมองของมนษุ ยท์ ค่ี น้ พบจากงานวจิ ยั ทำ� ใหเ้ กดิ ความเคลอื่ นไหว สำ� คญั ในดา้ นการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั คอื การจดั ประสบการณท์ เี่ ออ้ื ตอ่ การเรยี นรขู้ องสมอง โดยผ้สู อนมกี ารสรา้ งบรรยากาศที่ทำ� ใหเ้ ดก็ ร้สู ึกผ่อนคลายแต่ต่นื ตัวท่จี ะเรียนรู้ เดก็ มโี อกาสเลือกตดั สินใจ ไดเ้ รยี นรจู้ ากประสบการณต์ รงทหี่ ลากหลาย ไดล้ งมอื กระทำ� มเี วลาคดิ ไตรต่ รอง สบื คน้ หาขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง มสธผสู้ อนมกี ารวางแผนการจัดประสบการณ์ท่ีสร้างความสนใจ ร้จู ักใชค้ ำ� พดู และมีอารมณข์ ันให้แกเ่ ดก็ การจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการคิด ความเคลอ่ื นไหวสำ� คญั เกยี่ วกบั การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั อกี ประการหนง่ึ คอื ความ พยายามของบคุ คลกลมุ่ ตา่ งๆ ทจี่ ะหาวธิ กี ารจดั ประสบการณเ์ พอ่ื พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ใหม้ คี ณุ ลกั ษณะทเี่ รยี ก มสธ มสธวา่ “ทกั ษะในศตวรรษที่ 21” เพอ่ื ใหเ้ ดก็ สามารถดำ� รงชวี ติ ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ และประสบความสำ� เรจ็ ตอ่ ไป ในโลกทม่ี กี ารเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเรว็ ซบั ซ้อน และยงั คาดการณไ์ ด้ยาก คุณลกั ษณะท่เี รยี กว่า “ทักษะ ในศตวรรษท่ี 21” เช่น การคิดรเิ ร่ิมสร้างสรรค์ การคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณ การคดิ แก้ปญั หา การสอื่ สาร การทำ� งานรว่ มกบั ผอู้ น่ื ซง่ึ คณุ ลกั ษณะดงั กลา่ วสว่ นใหญเ่ กย่ี วขอ้ งกบั การคดิ หลายดา้ น ดงั นน้ั จงึ เหน็ ความ เคล่ือนไหวอย่างต่อเน่ืองของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีมีการออกแบบการจัดประสบการณ์เพื่อ มสธพัฒนาการคดิ สำ� หรับเดก็ ต้ังแต่ในช่วงปฐมวยั
แนวคดิ เกี่ยวกบั การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รส�ำหรบั เดก็ ปฐมวยั 1-59 การจดั ประสบการณท์ เี่ นน้ พัฒนาการคดิ ของเด็กปฐมวยั นน้ั อาจกลา่ วได้วา่ มี 3 แนวทางด้วยกัน มสธคือ แนวทางที่ 1 เป็นการจัดประสบการณ์ที่พัฒนาการคิดโดยใช้ชุดฝึกส�ำเร็จรูป หรือส่ือส�ำเร็จรูป หรือ กิจกรรมสำ� เร็จรปู แนวทางท่ี 2 เปน็ การจัดประสบการณท์ ่ีพฒั นาการคิดโดยใช้รูปแบบท่มี ผี ู้พัฒนาขึน้ ซ่งึ ผสู้ อนตอ้ งดำ� เนนิ การตามขนั้ ตอนของรปู แบบทผ่ี นู้ น้ั พฒั นาขน้ึ มาทกุ ขนั้ ตอน และแนวทางท่ี 3 เปน็ การจดั ประสบการณ์ที่พัฒนาลักษณะการคิดแบบต่างๆ รวมท้ังทักษะการคิด และกระบวนการคิดในกิจกรรม มสธ มสธประจ�ำวัน แนวทางนี้ผู้สอนสามารถน�ำเน้ือหาสาระตามหลักสูตรมาใช้จัดประสบการณ์หรือกิจกรรม โดย ผสู้ อนตอ้ งเขา้ ใจลกั ษณะการคิด ทักษะการคดิ และกระบวนการคิด จึงจะสามารถน�ำความเข้าใจนัน้ มาใช้ ปรบั กิจกรรมท่ีจดั อยู่แล้วใหม้ ลี กั ษณะท่ใี หโ้ อกาสเดก็ ได้พฒั นาการคดิ ท่ีเหมาะกบั เดก็ ปฐมวยั ท้ังน้ี ทิศนา แขมมณี (2544, น.103-109) ไดอ้ ธบิ ายความหมายของลกั ษณะการคดิ ทกั ษะการคดิ และกระบวนการคดิ ดังนี้ 1. ลักษณะการคิดพ้ืนฐาน ได้แก่ การคิดคลอ่ ง คือ กล้าคดิ และคิดออกมาอย่างรวดเรว็ การคิด มสธหลากหลาย คือ คิดไดห้ ลายลักษณะ หลายประเภท หลายชนิด หลายรูปแบบ ฯลฯ การคดิ ละเอียดลออ คอื คดิ อย่างรอบคอบได้รายละเอียดในเรื่องที่คดิ และการคิดชัดเจน คอื เข้าใจในส่ิงที่คดิ สามารถอธบิ าย ขยายความด้วยคำ� พูดของตนเอง 2. ทักษะการคิดพ้ืนฐาน แบ่งเปน็ 2 กลุ่ม กลุม่ แรก คอื ทกั ษะการสอื่ สาร ไดแ้ ก่ การรับและ ถ่ายทอดความคิดด้วยภาษา ค�ำพูด ข้อความ เช่น ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน ทักษะ มสธ มสธการเขียน ฯลฯ ส่วนกลุ่มท่ี 2 คือ ทักษะท่ีเป็นแกนส�ำคัญ ได้แก่ การคิดท่ีจ�ำเป็นต้องใช้อยู่เสมอในชีวิต ประจ�ำวัน เช่น ทักษะการสังเกต ทักษะการส�ำรวจ ทักษะการตงั้ คำ� ถาม ทกั ษะการรวบรวมข้อมลู ทกั ษะ การจำ� แนก ทกั ษะการจดั หมวดหมู่ ทกั ษะการเปรยี บเทยี บ ทกั ษะการจดั ลำ� ดบั ทกั ษะการสรปุ อา้ งองิ ฯลฯ ซึง่ เปน็ พื้นฐานของการคดิ ข้ันสงู 3. กระบวนการคิด หมายถงึ การคดิ ทต่ี อ้ งดำ� เนนิ ไปตามลำ� ดบั ขนั้ ตอนทจ่ี ะชว่ ยใหก้ ารคดิ ประสบ ผลส�ำเร็จตามจุดมุ่งหมายของการคิดนั้นๆ ซ่ึงในแต่ละล�ำดับข้ันตอนอาจต้องอาศัยทักษะการคิด หรือ มสธลกั ษณะการคดิ จำ� นวนมาก ทงั้ นกี้ ระบวนการคดิ ทสี่ ำ� คญั มหี ลายกระบวนการ เชน่ กระบวนการคดิ แกป้ ญั หา จะประกอบไปดว้ ยขน้ั ตอนทส่ี ำ� คญั ๆ ทชี่ ว่ ยใหค้ ดิ แกป้ ญั หาไดส้ ำ� เรจ็ อาจเรม่ิ ตน้ ดว้ ย การระบปุ ระเดน็ ปญั หา การหาสาเหตุของปัญหา การคดิ ทางเลือกในการแกป้ ัญหา การเลือกทางเลอื ก การลงมอื แกไ้ ขปัญหาตาม ทางเลือกท่ีเลือกไว้ และการประเมินผลการปฏิบัติ ซ่ึงข้ันตอนต่างๆ ดังกล่าวจ�ำเป็นต้องด�ำเนินการตาม ลำ� ดับอยา่ งครบถว้ นจงึ จะส�ำเรจ็ ตามจุดมุ่งหมายของกระบวนการนั้น มสธ มสธนอกจากน้ี ยังมกี ระบวนการอีกหลายกระบวนการท่ีเกีย่ วขอ้ งกับการคิด แม้ไม่มีค�ำวา่ “คิด” อยู่ ดว้ ย เชน่ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยทว่ั ไปประกอบดว้ ยขน้ั ตอนหลกั ๆ คอื การระบปุ ญั หา การตง้ั สมมติฐาน การท�ำการทดลอง การรวบรวมขอ้ มูล การวเิ คราะหข์ ้อมูล และการสรปุ ผล หรือกระบวนการ สบื เสาะหาความรู้ (inquiry process) ประกอบดว้ ยขนั้ ตอนหลกั ๆ คอื การตง้ั คำ� ถาม การสำ� รวจตรวจสอบ การตอบคำ� ถาม การสร้างคำ� อธิบายอยา่ งมีเหตุผล (อรพรรณ บตุ รกตญั ญู, 2560) ความเคลอ่ื นไหวในการจดั ประสบการณเ์ พอื่ พฒั นาการคดิ ทงั้ 3 แนวทางขา้ งตน้ ในแตล่ ะแนวทาง มสธมีหลากหลายวิธีการ ส�ำหรับแนวทางท่ี 3 น่าจะเป็นแนวทางท่ีสะดวกและง่ายส�ำหรับครูปฐมวัย ในการ
1-60 การจดั การศกึ ษาและหลักสตู รสำ� หรับเด็กปฐมวัย บรู ณาการเน้อื หาสาระ ทักษะ กระบวนการ เขา้ กบั หน่วยการเรียนรู้ และออกแบบการจัดประสบการณท์ ่ี มสธพัฒนาการคิดตามจุดมุ่งหมายที่ต้องการด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น หน่วยการเรียนรู้ “ส้ม” ครูสามารถ ออกแบบกิจกรรมได้หลายกิจกรรมที่พัฒนาการคิด อาจพาเด็กไปร้านผลไม้ ให้เด็กสังเกตส้มชนิดต่างๆ ซื้อส้มชนิดต่างๆ จัดกิจกรรมจ�ำแนกจัดประเภทของส้ม ทดลองประกอบอาหารจากส้ม สังเกตการ เปลย่ี นแปลง ฯลฯ ตวั อยา่ งการออกแบบการจดั ประสบการณด์ งั กลา่ ว เดก็ จะมโี อกาสพฒั นาทกั ษะการคดิ มสธ มสธหลากหลาย เชน่ ทกั ษะการสงั เกต ทกั ษะการสำ� รวจ ทกั ษะการตง้ั คำ� ถาม ทกั ษะการรวบรวมขอ้ มลู ทกั ษะ การจำ� แนก ทกั ษะการจดั หมวดหมู่ ทักษะการเปรยี บเทยี บ ทักษะการสื่อสาร ฯลฯ สรุปได้ว่า ความเคลื่อนไหวในการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาการคิดของเด็กปฐมวัยมีการจัด หลายแนวทาง เช่น ใช้ชุดฝึกส�ำเร็จรปู หรือกิจกรรมส�ำเรจ็ รปู ใช้รปู แบบทม่ี ผี ู้พฒั นาข้นึ จัดประสบการณท์ ่ี พฒั นาลกั ษณะการคดิ ทกั ษะการคดิ และกระบวนการคดิ ในกจิ กรรมประจำ� วนั แตล่ ะแนวทางมหี ลากหลาย วิธี ส�ำหรับแนวทางท่ีสะดวกส�ำหรับครูปฐมวัยคือ ออกแบบประสบการณ์ที่พัฒนาการคิดด้วยตนเองใน มสธหนว่ ยการเรยี นรู้ แตต่ อ้ งเขา้ ใจลกั ษณะการคดิ ทกั ษะการคดิ และกระบวนการคดิ จงึ จะสามารถจดั กจิ กรรม ท่ีให้โอกาสเด็กไดพ้ ฒั นาการคิดท่ีเหมาะกบั วัยได้ กิจกรรม 1.3.3 มสธ มสธให้นักศึกษายกตัวอย่างความเคลื่อนไหวเก่ียวกับการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยมา 1 ตวั อย่าง พรอ้ มทง้ั อธบิ ายพอสังเขป แนวตอบกิจกรรม 1.3.3 นกั ศกึ ษาสามารถยกตวั อยา่ งความเคลอื่ นไหวเกย่ี วกบั การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั เชน่ การจดั ประสบการณท์ เ่ี ออ้ื ตอ่ การทำ� งานของสมอง หรอื การจดั ประสบการณท์ พี่ ฒั นาการคดิ ของเดก็ ปฐมวยั มสธแล้วอธบิ ายมาพอสังเขป เช่น การจัดประสบการณท์ เ่ี อ้อื ต่อการทำ� งานของสมอง ต้องให้เดก็ มโี อกาสริเร่ิม หรือเลือกการเรยี นรูข้ องตน ใชว้ ธิ ีการท่หี ลากหลายระหว่างท�ำการสอน ให้เดก็ ได้เรียนร้แู บบลงมอื กระทำ� มสธ มสธ มสธฯลฯ
แนวคดิ เก่ียวกับการจัดการศกึ ษาและหลกั สตู รสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั 1-61 บรรณานุกรม มสธกระทรวงศกึ ษาธิการ. (2533). หลักการจัดอนุบาลศึกษา. กรุงเทพฯ: ศรเี มอื งการพมิ พ์. . (2546). หลกั สูตรการศึกษาปฐมวัย พทุ ธศักราช 2546. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพรา้ ว. มสธ มสธกุลยา ตันติผลาชีวะ. (2550). อัจฉริยาจารย์การศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพฯ: ศูนย์การพิมพ์ มหาวิทยาลัย ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ. เกษม วฒั นชยั . (2548). การพฒั นาสตปิ ญั ญาเดก็ ไทย. ใน เอกสารประกอบการประชมุ ปฏบิ ตั กิ าร การจดั ทำ� แนว ด�ำเนนิ การศูนยเ์ ดก็ ปฐมวัยตน้ แบบ. (น. 5-24). วันที่ 21-25 มนี าคม 2548. สำ� นักงานคณะกรรมการ การศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ. (2548). พ่อแม่ ครู อาจารย์ โปรดช่วยเด็กๆ ท่ีเป็นมันสมองแห่งอนาคตเรา. ใน เอกสารประกอบการประชุมปฏบิ ตั ิการ การจัดท�ำแนวด�ำเนนิ การศูนย์เด็กปฐมวัยตน้ แบบ. (น. 25-37). มสธวันท่ี 21-25 มีนาคม 2548. ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. จิตตินันท์ เดชะคุปต์. (2555). พัฒนาการและการเตรียมความพร้อมของเด็กปฐมวัย. ใน ประมวลสาระชุดวิชา หลักการและแนวคิดทางการปฐมวยั ศึกษา (ฉบับปรบั ปรุง, หนว่ ยที่ 5, น. 1 – 80). นนทบรุ :ี สาขาวิชา ศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. จรี ะพนั ธ์ุ พลู พฒั น.์ (2542). แนวคดิ และแนวทางปฏบิ ตั ใิ นการสอนแบบมอนเตสซอร.ี่ ใน ภรณี ครุ รุ ตั นะ และคณะ. มสธ มสธการเรยี นรขู้ องเดก็ ปฐมวยั (3-5 ป)ี : แนวคดิ ของกลมุ่ นกั การศกึ ษา. น. 40-54. กรงุ เทพฯ: เซเวน่ พรนิ้ ตงิ้ กรปุ๊ . . (2555). แนวคดิ การสอนแบบมอนเตสซอร่ี (Montessori). ใน อญั ญมณี บญุ ซอื่ (บรรณาธกิ าร). รวม นวัตกรรมทฤษฎกี ารศึกษาปฐมวยั สูก่ ารประยกุ ตใ์ ช้ในห้องเรียน (พมิ พค์ รงั้ ที่ 3, น. 34-41). กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พมิ พส์ าราเดก็ . ทศิ นา แขมมณี. (2544). วทิ ยาการด้านการคิด. กรงุ เทพฯ: เดอะมาสเตอร์กรปุ๊ . มสธทวีศกั ดิ์ จินดานรุ กั ษ,์ ธวัชชัย ชยั จริ ะฉายากุล และปราณี สงั ขะตะวรรธน.์ (2550). ทฤษฎหี ลกั สตู รและแนวทาง การพฒั นาหลกั สตู ร. ใน ประมวลสาระชดุ วชิ าการพฒั นาหลกั สตู รและสอื่ การเรยี นการสอน. (หนว่ ยที่ 1, น. 1-44). นนทบรุ ี: สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช. นภเนตร ธรรมบวร. (2546). หลักสตู รการศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพฯ: ส�ำนกั พมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. นวลจันทร์ จฑุ าภักดกี ลุ . (2559). Executive Functions (การคิดเชงิ บริหาร). ใน เอกสารประกอบการประชมุ ทางวชิ าการ ครงั้ ท่ี 57 การสรา้ งเสรมิ ทกั ษะสมองเพอื่ ความสำ� เรจ็ ในชวี ติ . (น. 19-27). วนั ที่ 1-3 เมษายน มสธ มสธ2559. สมาคมการศึกษาส�ำหรับเด็กนานาชาติ สาขาประเทศไทย. บงั อร เทพเทยี น และปยิ ฉตั ร ตระกลู วงษ.์ (2550). การดแู ลเดก็ ปฐมวยั ของประเทศไทย. วารสารสาธารณสขุ และ การพฒั นา, 5 (3), 117-128. ประภาพรรณ สุวรรณศุข. (2543). พัฒนาการการปฐมวัยศึกษาในต่างประเทศ. ใน เอกสารการสอนชุดวิชา พฤตกิ รรมการสอนปฐมวยั ศกึ ษา (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 9, หนว่ ยที่ 2, น. 57-117). นนทบรุ :ี สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช. ประภาพรรณ เอี่ยมสุภาษติ . (2550). ทฤษฎีการเรียนรู้กบั การเรียนการสอน. ใน ประมวลสาระชุดวชิ าวทิ ยาการ มสธการจดั การเรยี นรู้ (หนว่ ยท่ี 1, น. 1-62). นนทบรุ :ี สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช.
1-62 การจดั การศึกษาและหลักสูตรสำ� หรับเด็กปฐมวัย ประเสรฐิ บญุ เกดิ และคณะ. (2556). เล่นตามรอยพระยุคลบาท (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2). กรุงเทพฯ: พลสั เพรส. มสธปรัชญา เวสารัชช์. (2545). บทที่ 1 หลักการจัดการศึกษา. ใน ชุดฝึกอบรมผู้บริหาร โครงการพัฒนาผู้บริหาร การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผู้น�ำชุมชน และผู้น�ำองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน. กรุงเทพฯ: ส�ำนกั งานปฏริ ูปการศกึ ษา. พรพิไล เลศิ วชิ า และอัครภูมิ จารุภากร. (2550). ออกแบบกระบวนการเรียนร้โู ดยเข้าใจสมอง. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท ดา่ นสทุ ธาการพมิ พ์ จำ� กัด. มสธ มสธโรงเรียนอนบุ าลละอออุทศิ , วิทยาลัยครสู วนดุสติ . (2517). ประมวลการสอนนกั เรยี นอนบุ าล. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์ ครุ สุ ภาลาดพร้าว. วนิ ยั เกษมเศรษฐ. (2550). คณุ หญงิ อนบุ าลศกึ ษา. ใน เอกสารประกอบการประชมุ ทางวชิ าการ ครง้ั ที่ 42 ปฐมวยั : รากแกว้ ของการพฒั นาคน. (น.12-28). วนั ที่ 2-4 เมษายน 2550. สมาคมการศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ นานาชาติ สาขาประเทศไทย. วิจิตร ศรีสอ้าน. (2545). ปรัชญาการศึกษาร่วมสมัย. ใน เอกสารการสอนชุดวิชาพื้นฐานการศึกษา (พิมพ์คร้ัง มสธท่ี 25, หนว่ ยที่ 7, น. 237-266). นนทบรุ ี: สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. ศศิลักษณ์ ขยันกิจ และบุษบง ตันติวงศ์. (2559). การประเมินอย่างใคร่ครวญต่อเด็กปฐมวัย: แนวคิดและการ ปฏบิ ัตเิ พอ่ื สนับสนุนการเรยี นรู้. กรงุ เทพฯ: ส�ำนักพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ศนั สนยี ์ ฉตั รคปุ ต.์ (2542). สงิ่ แวดลอ้ มและการเรยี นรสู้ รา้ งสมองเดก็ ใหฉ้ ลาดไดอ้ ยา่ งไร. (พมิ พค์ รงั้ ที่ 3) สำ� นกั งาน คณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ สำ� นักนายกรัฐมนตร.ี นนทบุรี: หา้ งหุ้นส่วนจ�ำกดั พิมพ์ลายสอื . มสธ มสธสำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาต,ิ สำ� นกั นายกรฐั มนตร.ี (2522). เดก็ กอ่ นวยั เรยี นกบั การเรยี นร:ู้ ทฤษฎี และหลักการสำ� คญั บางประการ. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์และท�ำปกเจรญิ ผล. . (2554) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2554 ฉบับปรับปรุงแก้ไข กรุงเทพฯ: ส�ำนักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ สำ� นกั นายกรฐั มนตร.ี ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ส�ำนักนายกรัฐมนตรี. (2559). แผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ีสิบสอง พ.ศ. 2560-2564. สืบค้นเม่ือ 31 ธันวาคม 2559, จาก มสธhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th. ส�ำนักงานราชบณั ฑิตยสภา. (2559). พจนานกุ รมศพั ทศ์ ึกษาศาสตร์ร่วมสมยั ชดุ การประเมนิ และวิจัย ฉบับราช บัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์. สำ� นักงานเลขาธิการสภาการศกึ ษา, กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2550). การเรยี นรขู้ องเดก็ ปฐมวยั ไทย: ตามแนวคดิ ไฮสโคป (พิมพค์ ร้งั ที่ 2). กรงุ เทพฯ: ว.ี ท.ี ซ.ี คอมมวิ นเิ คชนั่ . . (2551). การคน้ พบทางประสาทวทิ ยาศาสตร:์ นวตั กรรมทางการศึกษา. กรงุ เทพฯ: พมิ พ์ดกี ารพมิ พ์. มสธ มสธอรพรรณ บตุ รกตญั ญ.ู (2560). สะเตม็ ศกึ ษาสสู่ ตมี ศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั . ใน เอกสารประกอบการประชมุ ทาง วชิ าการ ครงั้ ท่ี 58 สะเตม็ ศกึ ษาสสู่ ตมี ศกึ ษาและสอ่ื เทคโนโลยกี บั เดก็ ปฐมวยั ในยคุ ดจิ ติ อล. (น. 13-25). วันที่ 25-26 มนี าคม 2560. สมาคมการศกึ ษาส�ำหรับเดก็ นานาชาติ สาขาประเทศไทย. อรณุ ี หรดาล. (2548). แนวการจดั ประสบการณเ์ พอื่ พฒั นาเดก็ ปฐมวยั . ใน ประมวลสาระชดุ วชิ า การจดั ประสบการณ์ สำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั (หนว่ ยที่ 2, น. 1-68). นนทบรุ :ี สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมา- มสธธริ าช.
แนวคิดเกย่ี วกบั การจัดการศึกษาและหลกั สตู รส�ำหรับเดก็ ปฐมวัย 1-63 อรุณี หรดาล. (2557). ความรู้พน้ื ฐานเกย่ี วกับพฒั นาการและการเรยี นรู้ของเด็กปฐมวัย. ใน เอกสารการสอนชุด มสธวชิ าพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย (หนว่ ยที่ 1, ตอนที่ 1.2, น. 18-33). นนทบรุ ี: สาขาวชิ า ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. อารี สัณหฉวี. (2550). ทฤษฎีการเรยี นรู้ของสมองสำ� หรับพอ่ แม่ ครูและผ้บู ริหาร. กรงุ เทพฯ: เบรน-เบส บุ๊ค. Copple, Carol and Bredekamp, Sue. Editors. (2009). Developmentally Appropriate Practice in Early Childhood Programs Serving Children from Birth through Age 8 (3rd ed.). Wash- มสธ มสธington, DC: National Association for the Education of Young Children. Curtis, Stanley James. (2017). Friedrich Froebel. Retrieved from www.global.britannica.com January 20, 2017. Epstein, Ann S. (2007). The Intentional Teacher: Choosing the Best Strategies for Young Children’s Learning. Washington, DC: National Association for the Education of Young Children. Erlauer, Laura. (2003). The Brain–Compatible Classroom: Using What We Know About Learning มสธto Improve Teaching. VA: Association for Supervision and Curriculum Development. Gordon, Ann Miles. (1995). Beginning & Beyond: Foundations in Early Childhood Education (4th ed.). New York, NY: Delmar Publishers. Hohmann, Mary and Weikart, David. (2002). Educating Young Children: Active Learning Practices for Preschool and Child Care Programs (2nd ed.). Michigan: High/Scope Press. มสธ มสธKrashen, S.D. and Terrell, T.D. (1983). The Natural Approach Language Acquisition in the Classroom. United Kingdom: Pergamon Press. Mooney, Carol Garhart. (2000). Theories of Childhood: An Introduction to Dewey, Montessori, Erikson, Piaget, and Vygotsky. MN: Redleaf Press. National Association for the Education of Young Children, (NAEYC). (2016). The What, Why, and How of High-Quality Programs for Preschoolers: The Guide for Families. Washington, มสธDC: National Association for the Education of Young Children. Nell, Marcia L. and Drew, Walter F. with Bush, Deborah E. (2013). From Play to Practice: Connecting Teachers’ Play to Children‘s Learning. Washington, DC: National Association for the Education of Young Children. Pound, Linda. (2005). How Children Learn: From Montessori to Vygotsky-Educational Theories and Approach Made Easy. London: Step Forward Publishing Limited. มสธ มสธPound, Linda. (2014). The Historical Background of Early Childhood Care and Education: Influ- encing Factors. In Penny Mukherji and Louise Dryden. (Editorial arrangement). Foundations of Early Childhood Principles and Practice. (pp. 143-160). London: SAGE Publication Ltd. Teaching English as a Foreign Language to Children. (2010). Projects Produced in Association มสธwith Teacher. The United States of America: Columbia University.
มสธ หน่วยท่ี2 แนวคิดเก่ียวกับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัชรา พุ่มพชาติ มมมสสสธธธ มมสสธธ มมมสสสธธธช่ือ วุฒิ ต�ำแหน่ง มสธ หน่วยท่ีเขียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พชั รา พุ่มพชาติ ค.บ. (การศึกษาปฐมวยั ) จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย กศ.ม. (การศกึ ษาปฐมวยั ) มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ ประสานมิตร ปร.ด. (หลกั สตู รและการสอน) มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้ชว่ ยศาสตราจารยป์ ระจำ� คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั จนั ทรเกษม หนว่ ยที่ 2
2-2 การจัดการศึกษาและหลักสูตรส�ำ หรับเด็กปฐมวยั มสธแผนการสอนประจ�ำหน่วย ชุดวิชา การจดั การศึกษาและหลกั สูตรส�ำหรับเดก็ ปฐมวัย มสธ มสธหน่วยที่ 2 แนวคดิ เกี่ยวกบั หลกั สตู รการศึกษาปฐมวัย ตอนที่ 2.1 แนวคดิ พ้นื ฐานเกยี่ วกับหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัย 2.2 ปัจจยั ท่ีเก่ยี วขอ้ งกับหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัย 2.3 หลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั มสธ2.4 หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวยั แนวคิด 1. แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ประกอบด้วย ความหมาย ความส�ำคัญ มสธ มสธและจดุ มงุ่ หมายของหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั แนวคดิ พนื้ ฐานดา้ นปรชั ญา ปรชั ญาการศกึ ษา และประเภทของหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั ซงึ่ ผทู้ เี่ กย่ี วขอ้ งกบั หลกั สตู รจำ� เปน็ ตอ้ งศกึ ษาและ ทำ� ความเข้าใจเพอ่ื ให้สามารถนำ� หลกั สูตรไปใชไ้ ด้อยา่ งมีประสิทธิภาพ 2. ปจั จยั ทีเ่ กย่ี วข้องกับหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย ประกอบดว้ ย ปจั จัยด้านเศรษฐกจิ การเมือง และสงั คม ปัจจยั ด้านวิทยาการและเทคโนโลยี และปจั จัยด้านนโยบายการพฒั นาเดก็ ปฐมวัย ซ่ึงผทู้ เี่ กีย่ วขอ้ งกบั หลักสูตรจำ� เป็นต้องศกึ ษาและทำ� ความเข้าใจเพื่อนำ� ไปใชเ้ ปน็ แนวทางการ มสธพฒั นาหลกั สตู รการศึกษา 3. หลกั สตู รการศึกษาปฐมวัยมอี งคป์ ระกอบทสี่ ำ� คัญ ไดแ้ ก่ จดุ มุง่ หมาย เนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้ กระบวนการจดั ประสบการณแ์ ละการประเมนิ พฒั นาการ ลกั ษณะของหลกั สตู รทดี่ คี วรมคี วาม เหมาะสมกบั เดก็ ใน 4 ประการ คอื เหมาะสมกบั พฒั นาการและการเรยี นรู้ เหมาะสมกบั ความ ตอ้ งการ เหมาะสมกบั ความสามารถทางสมอง และเหมาะสมกบั บรบิ ททางสงั คมและวฒั นธรรม มสธ มสธของเดก็ ปฐมวยั 4. หลกั สตู รสถานศกึ ษาเปน็ หลกั สตู รทส่ี ถานศกึ ษาจดั ทำ� ขน้ึ เพอ่ื นำ� ไปใชใ้ นการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ให้สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา ชุมชนและสังคม เป็นหลักสูตรท่ีจัดท�ำข้ึนโดยความ ร่วมมือจากผทู้ เ่ี ก่ยี วข้อง ซงึ่ มีการดำ� เนนิ งานทป่ี ระกอบดว้ ย การพฒั นาหลกั สตู รสถานศกึ ษา มสธปฐมวยั การนำ� หลกั สตู รสถานศกึ ษาปฐมวยั ไปใช้ และการประเมนิ หลกั สตู รสถานศกึ ษาปฐมวยั
แนวคดิ เกี่ยวกบั หลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย2-3 วัตถุประสงค์ มสธเมือ่ ศกึ ษาหน่วยท่ี 2 จบแล้ว นกั ศกึ ษาสามารถ 1. อธิบายแนวคิดพื้นฐานเกย่ี วกบั หลักสูตรการศกึ ษาปฐมวยั ได้ 2. อธิบายปัจจัยทเ่ี กย่ี วข้องกบั หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวัยได้ 3. อธิบายองคป์ ระกอบและลักษณะทีด่ ีของหลักสูตรการศึกษาปฐมวยั ได้ มสธ มสธ4. อธบิ ายการจัดทำ� หลกั สูตรสถานศกึ ษาปฐมวยั ได้ กิจกรรมระหว่างเรียน 1. ทำ� แบบประเมนิ ผลตนเองก่อนเรยี นหนว่ ยท่ี 2 2. ศึกษาเอกสารตอนท่ี 2.1-2.4 3. ปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามที่ได้รบั มอบหมายในเอกสารการสอน มสธ4. ฟงั ซดี เี สียงประจ�ำชดุ วิชา 5. ชมดวี ดี ปี ระกอบชุดวชิ า (ถ้ามี) 6. ทำ� แบบประเมินผลตนเองหลงั เรียนหนว่ ยที่ 2 มสธ มสธส่ือการสอน 1. เอกสารการสอน 2. แบบฝึกปฏิบตั ิ 3. ซีดเี สียงประจำ� ชุดวิชา 4. ดวี ีดปี ระกอบชดุ วิชา (ถา้ มี) มสธการประเมินผล 1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรยี นและหลงั เรียน 2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบทา้ ยเรอื่ ง 3. ประเมินผลจากการสอบไลป่ ระจ�ำภาคการศึกษา มสธ มสธเม่ืออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน มสธหน่วยที่ 2 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
2-4 การจัดการศึกษาและหลกั สตู รส�ำ หรบั เดก็ ปฐมวัย มสธตอนที่ 2.1 แนวคิดพื้นฐานเก่ียวกับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย โปรดอา่ นหัวเรอ่ื ง แนวคดิ และวัตถปุ ระสงคข์ องตอนท่ี 2.1 แลว้ จึงศกึ ษารายละเอยี ดต่อไป มสธ มสธหัวเรื่อง 2.1.1 ความหมาย ความสำ� คัญ และจุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2.1.2 แนวคดิ พืน้ ฐานด้านปรัชญาและปรัชญาการศึกษา 2.1.3 ประเภทของหลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั แนวคิด มสธ1. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย หมายถึง ความรู้และประสบการณ์ที่ใช้เป็นกรอบในการ พัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีความพร้อมทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และ สตปิ ญั ญา อยา่ งสมดลุ รอบดา้ น ตามศกั ยภาพและความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล หลกั สตู ร การศึกษาปฐมวัยมีความส�ำคัญต่อผู้สอนที่จะน�ำไปใช้เพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการ มสธ มสธเรยี นรขู้ องเดก็ โดยมจี ดุ มงุ่ หมายหลกั คอื การอบรมเลยี้ งดแู ละการจดั การศกึ ษาใหเ้ ดก็ ปฐมวยั ได้รับการเตรยี มความพรอ้ ม เพ่อื วางรากฐานของการเปน็ ผู้ท่สี ามารถด�ำรงชีวิต อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และเป็นผู้น�ำที่สร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้แก่ สังคมและประเทศชาติ 2. แนวคิดพื้นฐานดา้ นปรัชญาและปรัชญาการศกึ ษา เปน็ ความคดิ ความเชือ่ และมมุ มอง ในการพัฒนาคนที่น�ำมาใช้เป็นแนวทางในการจัดการศึกษา ปรัชญาการศึกษาท่ีน�ำมา มสธใชใ้ นการกำ� หนดแนวทางของหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั ประกอบดว้ ย ปรชั ญาการศกึ ษา บูรณนิยม มุ่งวางรากฐานผู้เรียนให้มีความพร้อมและศักยภาพในการสร้างสรรค์และ ปฏิรปู สังคม ปรชั ญาการศกึ ษาพิพัฒนนยิ ม มุง่ เตรยี มความพร้อมในทุกด้านตามความ ตอ้ งการของเดก็ เพอ่ื การดำ� รงชวี ติ อยา่ งมคี วามสขุ และปรชั ญาการศกึ ษาอตั ถภิ าวนยิ ม มุ่งให้เด็กมีเสรีภาพ อิสรภาพและมีความรับผิดชอบในผลการกระท�ำของตนเอง มสธ มสธการเรยี นรู้เกิดขนึ้ จากเดก็ เป็นผเู้ ลอื กโดยไม่มีการวางแผนล่วงหน้า 3. หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั มหี ลายประเภท ขน้ึ อยกู่ บั แนวคดิ ในการพฒั นาเดก็ ประเภท ของหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั ทมี่ กี ารใชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวาง ไดแ้ ก่ หลกั สตู รเนอื้ หาวชิ า เน้นการถ่ายทอดความรู้ท่ีก�ำหนดขึ้นให้เด็กได้จดจ�ำ หลักสูตรประสบการณ์ เน้นการ แสวงหาความรแู้ ละประสบการณต์ ามความตอ้ งการ ความสนใจและความถนดั ของเดก็ แตล่ ะคน และหลกั สตู รบรู ณาการ เนน้ การนำ� ความรแู้ ละประสบการณม์ าหลอมรวมเพอ่ื ใชใ้ นการจดั ประสบการณท์ ตี่ อบสนองธรรมชาตขิ องการเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการของ มสธเด็กแตล่ ะคน
แนวคิดเก่ียวกบั หลักสตู รการศึกษาปฐมวัย 2-5 มสธวัตถุประสงค์ เม่อื ศกึ ษาตอนที่ 2.1 จบแลว้ นกั ศกึ ษาสามารถ 1. อธิบายความหมาย ความสำ� คัญ และจุดมุ่งหมายของหลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวยั ได้ 2. อธบิ ายแนวคดิ พน้ื ฐานดา้ นปรชั ญาและปรชั ญาการศกึ ษาทนี่ ำ� มาใชใ้ นการพฒั นาหลกั สตู ร มสธ มสธการศกึ ษาปฐมวยั ได้ 3. อธิบายประเภทของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยที่น�ำมาใช้ในการจัดการศึกษาปฐมวัยใน มมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธปจัจบุันได้
2-6 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรสำ�หรบั เดก็ ปฐมวัย มสธเรื่องที่ 2.1.1 ความหมาย ความสำ� คญั และจดุ มงุ่ หมายของหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั มสธ มสธสถานการณท์ างสงั คมทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงและมคี วามกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาการและเทคโนโลยที เ่ี กดิ ขน้ึ อย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็นสภาวะที่ไร้พรหมแดน คนในสังคมสามารถเรียนรู้และส่ือสารกันอย่างใกล้ชิด สถานการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นนี้จึงเป็นแรงผลักดันให้เกิดหลักการสำ� คัญของการพัฒนาประเทศไทยตาม แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564) คอื หลักการยดึ คนเปน็ ศูนยก์ ลาง การพฒั นา โดยมงุ่ สรา้ งคณุ ภาพชวี ติ และสขุ ภาวะทดี่ สี ำ� หรบั คนไทย พฒั นาคนใหม้ คี วามเปน็ คนทสี่ มบรู ณ์ มีวินัย ใฝ่รู้ มีความรู้ มีทักษะ มีความคิดสร้างสรรค์ มีทัศนคติท่ีดี รับผิดชอบต่อสังคม มีจริยธรรมและ คณุ ธรรม พฒั นาคนทกุ ชว่ งวยั และเตรยี มความพรอ้ มเขา้ สสู่ งั คมผสู้ งู อายอุ ยา่ งมคี ณุ ภาพ รวมถงึ การสรา้ งคน มสธให้ใช้ประโยชน์และอยู่กับส่ิงแวดล้อมอย่างเกื้อกูล อนุรักษ์ ฟื้นฟู ใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมอย่างเหมาะสม (ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส�ำนักนายก รฐั มนตร,ี 2559, น. 4) หลกั การดงั กลา่ ว จะบงั เกดิ ผลอยา่ งยงั่ ยนื จำ� เปน็ ตอ้ งวางรากฐานของคน โดยเรม่ิ ตน้ จากช่วงวัยแรกของชีวิตหรือที่เรียกกันว่า “ปฐมวัย” และการจัดการศึกษาเพ่ือให้ประสบผลสำ� เร็จ หัวใจ มสธ มสธสำ� คญั อยู่ทห่ี ลักสูตร เพ่อื ใหเ้ กดิ ความรูค้ วามเขา้ ใจเกีย่ วกับหลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวยั ในเร่อื งนี้ขออธิบาย ความหมาย ความสำ� คญั และจุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ดงั นี้ ความหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย หลักสูตรเป็นค�ำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า “currere” ซ่ึงหมายถึง เส้นทางที่ใช้ว่ิงแข่ง (to run) และถกู แปลเป็นภาษาองั กฤษวา่ หมายถงึ “running course” หรือลู่วง่ิ ค�ำวา่ หลักสูตรได้ถกู นำ� มสธมาใชใ้ นการจดั การศึกษาเม่ือศตวรรษที่ 17 โดยมหาวทิ ยาลัยกลาสโกว์ (the University of Glassgow) (Ellis, 2004, p. 3) คำ� วา่ หลกั สูตรจึงเปน็ คำ� ศพั ทท์ ใี่ ช้เป็นหลักสำ� หรับการจดั การศกึ ษาทกุ ระดบั และมี การให้ความหมายที่แตกต่างกันไป เพ่ือให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของหลักสูตรการศึกษา ปฐมวัยที่ชัดเจน ในท่ีน้ีขอน�ำเสนอความหมายของหลักสูตรโดยท่ัวไปและความหมายของหลักสูตรการ ศึกษาปฐมวัย ดังตอ่ ไปนี้ มสธ มสธความหมายของหลักสูตรโดยท่ัวไป ความหมายของหลักสูตรโดยทั่วไปมีการอธิบายไว้ในหลาย แนวคิด เพ่ือให้ผใู้ ช้ได้วิเคราะห์และน�ำไปใช้ให้สอดคลอ้ งกับวัตถปุ ระสงค์ของการจัดการศกึ ษา มดี งั นี้ Oliva (2001, p. 3) ได้รวบรวมความหมายของหลักสูตรไว้ ดังน้ี 1. หลักสตู ร หมายถึง สิ่งทสี่ อนในโรงเรียน 2. หลกั สูตร หมายถึง ชดุ วชิ า 3. หลกั สตู ร หมายถงึ เนื้อหา มสธ4. หลกั สตู ร หมายถึง โปรแกรมของสิง่ ที่ต้องศกึ ษา
แนวคดิ เก่ียวกับหลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั 2-7 5. หลักสตู ร หมายถงึ ทุกสิง่ ท่เี กิดขึน้ ในโรงเรียน ตลอดรวมถงึ กิจกรรมนอกชนั้ เรียน ค�ำแนะนำ� มสธและความสัมพันธร์ ะหวา่ งบคุ คล 6. หลักสูตร หมายถึง สิง่ ซึ่งผเู้ รียนแตล่ ะคนได้รบั ประสบการณจ์ ากการเรียนการสอน 7. หลกั สตู ร หมายถงึ ทุกส่ิงทไ่ี ดร้ บั การวางแผนจากบุคลากรในโรงเรยี น จากความหมายดงั กลา่ ว Oliva (2001, p. 17) นำ� มาสรปุ วา่ หลกั สตู ร หมายถงึ แผนหรอื โปรแกรม มสธ มสธสำ� หรับประสบการณก์ ารเรียน ซง่ึ ผเู้ รยี นจะไดร้ ับภายใต้การควบคมุ ของโรงเรียน Brady and Kennedy (2003, p. 1) ได้อธิบายวา่ หลักสูตร คือ ความรู้ ทักษะ และทศั นคติที่ จำ� เป็นท่ตี ้องการให้เกดิ ข้นึ กบั ผู้เรยี น Kelly (2004, p. 2) ได้อธิบายว่า หลักสูตร คือ การสอนและการจัดการเรียนรู้เพื่อให้บรรลุ เปา้ หมายหรือวัตถุประสงคท์ ว่ี างไว้ ความหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ส�ำหรับความหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย มสธได้มีการให้ความหมายไว้ดงั น้ี หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย หมายถึง เอกสารส�ำหรับใช้ในการจัดประสบการณ์ กิจกรรม และ เหตุการณ์ทั้งท่ีมีการวางแผนและไม่มีการวางแผน ซ่ึงเกิดข้ึนในสภาพแวดล้อมท่ีมีการออกแบบ ส�ำหรับ การอบรมเล้ยี งดู การเรียนรแู้ ละการพัฒนาเดก็ (Ministry of Education, 1996, p. 10) หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย หมายถึง ส่ิงท่ีจัดเตรียมไว้ส�ำหรับให้ครูใช้เป็นกรอบแนวคิดในการ มสธ มสธปฏิสัมพันธ์กับเด็ก การวางแผน การประเมิน และการสะท้อนผลการจัดประสบการณ์ให้เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ (The State of Queensland, 2006) จากความหมายของหลักสูตรโดยท่ัวไป และหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สามารถสรุปเป็น ความหมายของหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั หมายถงึ ความรู้ และประสบการณท์ ใ่ี ชเ้ ปน็ กรอบในการพฒั นา เด็กปฐมวัยให้มคี วามพร้อมท้งั ทางด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สงั คม และสตปิ ัญญาอยา่ งสมดุลรอบดา้ น ตามศกั ยภาพและความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล มสธความส�ำคัญของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย หลักสูตรเป็นส่ิงที่ก�ำหนดข้ึนเพ่ือใช้ในการจัดการศึกษาที่ต้องด�ำเนินการให้มีความเหมาะสมกับ ความต้องการและความสนใจของเด็กปฐมวัย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลให้เด็ก มสธ มสธไดร้ ับการพัฒนาตามวัตถปุ ระสงค์ของการจัดการศึกษา หลักสูตรจึงมคี วามส�ำคญั ตอ่ การจัดการศึกษา ดัง ท่ีมีการอธิบายไว้ดงั น้ี มาเรยี ม นลิ พันธ์ุ (2542) กลา่ วว่า หลกั สตู รถือเป็นหวั ใจสำ� คัญของการศกึ ษา การจดั การเรียน การสอนจ�ำเป็นต้องมีหลักสูตรเป็นข้อก�ำหนด หรือเป็นแผนในการศึกษาว่าผู้เรียนจะต้องเรียนรู้อะไร ซ่ึง อาจกล่าวไดว้ า่ หลกั สูตรเป็นแมบ่ ทที่ส�ำคัญในการศกึ ษา บญุ เล้ียง ทุมทอง (2553) ไดอ้ ธบิ ายความส�ำคัญของหลักสูตรไวด้ ังน้ี 1. เปน็ เสมอื นเบ้าหลอมพลเมืองใหม้ คี ณุ ภาพ มสธ2. เปน็ มาตรฐานของการจัดการศกึ ษา
2-8 การจดั การศกึ ษาและหลักสตู รสำ�หรับเด็กปฐมวัย 3. เปน็ โครงการและแนวทางในการใหก้ ารศกึ ษา มสธ4. เปน็ แนวปฏบิ ตั สิ �ำหรับครู 5. เปน็ แนวทางในการสง่ เสรมิ ความเจรญิ งอกงามและพฒั นาการของเดก็ ตามจดุ มงุ่ หมายของการ ศึกษา 6. เป็นเครื่องก�ำหนดแนวทางในการจัดประสบการณ์ว่าผู้เรียนและสังคมควรจะได้รับส่ิงใดบ้างที่ มสธ มสธจะเป็นประโยชนแ์ กเ่ ดก็ โดยตรง 7. เป็นเคร่ืองก�ำหนดว่าเน้ือหาวิชาอะไรบ้างท่ีจะช่วยให้เด็กมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างราบรื่น เป็น พลเมอื งที่ดีของประเทศชาติ และบ�ำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่สงั คม 8. เป็นเคร่ืองก�ำหนดว่าวิธีการด�ำเนินชีวิตของเด็กให้เป็นไปด้วยความราบร่ืน และผาสุกเป็น อยา่ งไร 9. ทำ� นายลักษณะของสงั คมในอนาคตว่าจะเปน็ อย่างไร 10. กำ� หนดแนวทางความรู้ ความสามารถ ความประพฤติ ทกั ษะและเจตคตขิ องผเู้ รยี นในอนั ทจ่ี ะ มสธอยู่รว่ มในสงั คม และบำ� เพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อชมุ ชนและชาตบิ า้ นเมือง ส�ำหรับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยมีความส�ำคัญต่อเด็กปฐมวัยที่ทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้องในการจัดการ ศึกษาจ�ำเป็นต้องศึกษาและจดั เตรียม เพ่ือน�ำไปใชใ้ นการส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเดก็ ดังทมี่ ี การอธบิ ายความส�ำคญั ของหลักสูตรปฐมวัยวา่ หลักสูตรเปน็ สิ่งทีจ่ ัดเตรยี มสงิ่ ตา่ งๆ ทั้งหมดสำ� หรับให้ครู มสธ มสธได้น�ำไปใช้ในการเรียนรู้ของเด็กผ่านการจัดประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมท่ีมีความเหมาะสมกับพัฒนาการ ของเด็ก หลักสูตรเป็นส่ิงท่ีสร้างโอกาสในการเรียนรู้ของเด็ก เพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาความสามารถท่ี เหมาะสมกับตัวเด็ก และเป็นการเชื่อมโยงประสบการณ์ในการเรียนรู้ของเด็กระหว่างบ้านและชุมชน (California Department of Education, 2010, p. 2) ความส�ำคัญของหลักสตู รสามารถสรุปไดด้ งั้ นี้ 1. เปน็ กรอบแนวคดิ สำ� หรบั นำ� ไปใชใ้ นการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ใหไ้ ดร้ บั การสง่ เสรมิ พฒั นาการและการเรยี นรทู้ างร่างกาย อารมณ์-จติ ใจ สงั คมและสติปญั ญา มสธ2. เป็นแนวทางส�ำหรับน�ำไปใช้ในการส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับวัยและ ความตอ้ งการ ตามความถนัดและความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลของเดก็ 3. ชว่ ยทำ� ใหก้ ารพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ระหวา่ งครอบครวั โรงเรยี น ชมุ ชนและสงั คม เปน็ ไปในทศิ ทาง เดยี วกัน จากความส�ำคัญของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า หลักสูตรการศึกษา มสธ มสธปฐมวัยมีความส�ำคัญและจ�ำเป็น ต้องมีการจัดเตรียมอย่างมีคุณภาพให้เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย เพื่อให้ หลักสูตรสามารถน�ำไปใชใ้ นการจดั ประสบการณ์ใหบ้ รรลจุ ุดมงุ่ หมายของการพัฒนาเดก็ ปฐมวัยต่อไป จุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย จุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยเป็นความเกี่ยวข้องกับสิ่งท่ีต้องการให้เกิดข้ึนกับเด็ก ปฐมวยั ทง้ั ทางรา่ งกาย อารมณ-์ จติ ใจ สงั คม และสตปิ ญั ญา อนั เปน็ ผลจากการจดั การศกึ ษาตามหลกั สตู ร การก�ำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยอาจมีความแตกต่างกันตามบริบทของการจัดการ มสธศกึ ษา ดังขอ้ มลู ตอ่ ไปน้ี
แนวคดิ เกี่ยวกับหลักสตู รการศึกษาปฐมวัย 2-9 คู่มือหลักสูตรแห่งชาติในการจัดการศึกษาและการดูแลเด็กปฐมวัยของประเทศฟินแลนด์ มสธ(National Curriculum Guidelines on Early Childhood Education and Care in Finland) ได้ ก�ำหนดแนวทางการจัดการศึกษาและการดูแลเด็กปฐมวัยเพ่ือสร้างความเสมอภาคให้แก่เด็กทั่วประเทศ โดยใหค้ วามส�ำคัญในคุณคา่ ท่แี ท้จรงิ ของเดก็ ปฐมวยั การอบรมเลยี้ งดเู ดก็ และชว่ ยให้เดก็ ได้พฒั นาความ เปน็ มนษุ ย์ มชี วี ติ ทปี่ ระสบผลสำ� เรจ็ การดำ� รงชวี ติ ทส่ี มดลุ และมคี ณุ ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงคภ์ ายใตจ้ ดุ มงุ่ หมาย มสธ มสธของหลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวยั 3 ประการ (STAKES, 2003, p. 14) คอื 1. สง่ เสรมิ สุขภาวะทีด่ ี โดยให้ความเคารพในบคุ ลิกลกั ษณะของเดก็ แต่ละคน ด้วยการให้เดก็ ได้ ปฏิบตั ิและพัฒนาตามศกั ยภาพของตนเอง 2. สนบั สนนุ พฤตกิ รรมความเหน็ อกเหน็ ใจผอู้ น่ื โดยใหเ้ ดก็ เรยี นรทู้ จ่ี ะคดิ ถงึ และดแู ลผอู้ นื่ เดก็ คดิ ในทางท่ดี ีกับตนเอง ผู้อ่นื ตลอดจนวฒั นธรรมและสิง่ แวดลอ้ ม เพ่ือเป็นการสรา้ งสรรค์สงั คมท่ีดีและโลกท่ี สงบสขุ มสธ3. พฒั นาการรจู้ กั ควบคมุ ตนเองอยา่ งคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป ชว่ ยใหเ้ ดก็ เจรญิ เตบิ โตเปน็ ผใู้ หญท่ สี่ ามารถ ดูแลตนเองและผู้ใกล้ชิดอ่ืนๆ ตลอดจนช่วยให้เด็กได้รู้จักพิจารณาและเลือกในส่ิงเกี่ยวข้องกับชีวิตของ ตนเองได้ จุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยดังกล่าว ให้ความสำ� คัญกับการพัฒนาเด็กปฐมวัยได้ อย่างเข้าใจถงึ ธรรมชาติของการเจริญเติบโต พฒั นาการ และความตอ้ งการของเด็กโดยแท้จรงิ มสธ มสธประเทศญป่ี นุ่ ไดก้ ำ� หนดใหก้ ารศกึ ษาปฐมวยั เปน็ นโยบายพน้ื ฐานทส่ี ำ� คญั ดว้ ยการใหเ้ ดก็ ทกุ คนได้ รับการศึกษาระดับปฐมวัยที่มีคุณภาพสูง และให้เด็กเจริญเติบโตโดยมีสุขภาพที่ดี เนื่องจากเห็นว่าการ ศึกษาระดับปฐมวัยเป็นการเสริมสร้างพ้ืนฐานการเรียนรู้และการใช้ชีวิตท้ังในระดับโรงเรียนประถมศึกษา และระดับท่ีสูงขึ้น โดยมีจุดหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยไว้ 5 ด้าน (MEXT, 2009 อ้างถึงใน วรนิ ทร ววู งศ์, ม.ป.ป., น. 90) ดงั น้ี 1. การมจี ติ ใจและรา่ งกายทแ่ี ขง็ แรง ดว้ ยการเสรมิ สรา้ งใหร้ า่ งกายมพี ละกำ� ลงั เชน่ ใหว้ ง่ิ เลน่ อยา่ ง มสธเต็มทใ่ี นสนามของโรงเรียน ฯลฯ และสร้างนิสัยการใชช้ วี ิตประจำ� วนั ท่ดี ี เช่น การล้างมือกอ่ นรบั ประทาน อาหาร ฯลฯ 2. การเป็นตัวของตัวเองและความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การฝึกให้เป็นตัวของตัวเอง เช่น ฝกึ ใหเ้ กดิ ความตอ้ งการทำ� สงิ่ ต่างๆ รอบตัวดว้ ยตวั เอง ฝึกให้คิดด้วยตัวเองก่อนลงมอื ทำ� ฯลฯ 3. การมีพืน้ ฐานความสามารถในการคิดด้วยการสรา้ งพน้ื ฐานความสามารถในการคิด มสธ มสธ4. การเขา้ ใจภาษา เน้นการพูดและฟงั 5. ความสามารถในการแสดงออก ความรู้สึก และความสามารถในการรับรู้ ส�ำหรับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2547) ได้มีการ กำ� หนดจดุ หมายของหลกั สตู รสำ� หรบั เดก็ อายุ 3-6 ปี ทม่ี จี ดุ หมายใหเ้ ดก็ มพี ฒั นาการดา้ นรา่ งกาย อารมณ-์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาท่ีเหมาะสมกับวัย ความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยด้าน ร่างกายมุ่งพัฒนาการเจริญเติบโตตามวัย สุขนิสัย และพัฒนาการของกล้ามเนื้อเล็กและกล้ามเน้ือใหญ่ มสธด้านอารมณ์-จิตใจ ให้เด็กมีสุขภาพจิตดี มีความสุข และมีคุณธรรมจริยธรรม ด้านสังคม ให้เด็กได้รู้จัก
2-10 การจดั การศกึ ษาและหลักสูตรสำ�หรับเด็กปฐมวัย ช่วยเหลือตนเอง รักธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม วัฒนธรรมและความเป็นไทย สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมี มสธความสุข และด้านสติปัญญา ให้เด็กมีพฒั นาการดา้ นภาษา การคิดและการแกป้ ัญหา จนิ ตนาการ ความ คดิ สรา้ งสรรค์ เจตคติทด่ี ีตอ่ การเรยี นรู้และทกั ษะการแสวงหาความรู้ สรุปไดว้ า่ จดุ ม่งุ หมายของหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย คอื การอบรมเล้ียงดแู ละการจดั การศกึ ษา เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ปฐมวยั ไดร้ บั การเตรยี มความพรอ้ มดา้ นรา่ งกาย อารมณ-์ จติ ใจ สงั คม และสตปิ ญั ญาอยา่ งสมดลุ มสธ มสธตามศกั ยภาพของเดก็ แตล่ ะคน เพื่อเปน็ การวางรากฐานของการเป็นผู้ที่สามารถดำ� รงชีวติ อยู่รว่ มกบั ผอู้ ่นื ได้อย่างมีความสขุ และเป็นผู้นำ� ทสี่ ร้างสรรคค์ วามเจริญก้าวหน้าให้แกส่ งั คมและประเทศชาติ กิจกรรม 2.1.1 จงอธบิ ายความหมาย ความสำ� คญั และจุดมงุ่ หมายของหลกั สูตรการศึกษาปฐมวัย มสธแนวตอบกิจกรรม 2.1.1 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย หมายถึง ความรู้และประสบการณ์ที่ใช้เป็นกรอบในการพัฒนาเด็ก ปฐมวยั ใหม้ คี วามพรอ้ มทง้ั ทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ-์ จติ ใจ สงั คม และสตปิ ญั ญา อยา่ งสมดลุ รอบดา้ น ตาม ศกั ยภาพและความแตกต่างระหวา่ งบุคคล มสธ มสธหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย มีความส�ำคัญในการน�ำไปใช้เป็นแนวทางการจัดประสบการณ์ที่ เหมาะสมกับพัฒนาการและการเรียนร้ทู ีเ่ ป็นไปตามวัยและความต้องการของเด็ก จดุ มงุ่ หมายของหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั คอื การอบรมเลย้ี งดแู ละการจดั การศกึ ษาใหเ้ ดก็ ปฐมวยั ได้รับการเตรียมความพร้อมในทุกด้าน เพ่ือวางรากฐานในการด�ำรงชีวิต และอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมได้ มสธ มมสสธธ มสธอย่างมคี วามสุข
แนวคดิ เกยี่ วกบั หลกั สูตรการศึกษาปฐมวัย 2-11 มสธเร่ืองท่ี 2.1.2 แนวคิดพื้นฐานด้านปรัชญาและปรัชญาการศึกษา มสธ มสธการดำ� รงชวี ติ ของคนในสงั คมจำ� เปน็ ตอ้ งแสวงหาความรแู้ ละความจรงิ อยา่ งรอบดา้ น เพอื่ นำ� มาใช้ ในการดำ� รงชวี ติ อยา่ งมเี หตผุ ล และนำ� มาสคู่ วามสขุ ความสงบและสรา้ งสรรคค์ วามเจรญิ กา้ วหนา้ แกส่ งั คม การจัดการศึกษาเปน็ ศาสตร์ดา้ นหนงึ่ ทีส่ �ำคัญยง่ิ ของการวางรากฐานให้แกค่ นใหม้ ีคุณภาพ และนำ� สงั คมสู่ ความก้าวหน้าอยา่ งยั่งยนื การจัดการศกึ ษาในแตล่ ะสงั คมอาจมีความแตกตา่ งกัน ข้ึนอยู่กบั ความเชื่อและ มุมมองของการพัฒนาคน และจุดเริ่มต้นของการจัดการศึกษาที่ทุกฝ่ายต้องพิจารณาและให้แนวทาง คือ เรื่องของปรัชญา ซ่ึงประกอบด้วย แนวคิดพื้นฐานด้านปรัชญาและปรัชญาการศึกษาท่ีจะน�ำมาใช้เป็น รากฐานของการจัดการศกึ ษา ดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี มสธแนวคิดพื้นฐานด้านปรัชญา ปรัชญา เป็นค�ำที่มาจากภาษาสันสกฤต หมายถึง ความรู้อันประเสริฐ โดยมีรากศัพท์มาจาก คำ� วา่ ปรฺ ทแ่ี ปลวา่ ประเสรฐิ กบั คำ� วา่ ชญฺ า ทแ่ี ปลวา่ รู้ ซงึ่ เปน็ ศพั ทบ์ ญั ญตั โิ ดยพระเจา้ วรวงศเ์ ธอพระองค์ มสธ มสธเจ้าวรรณไวทยากร กรมหม่นื นราธปิ พงศ์ประพนั ธ์ ทรงแปลค�ำวา่ “ปรชั ญา” จากคำ� ในภาษาอังกฤษท่มี ี ความหมายว่า “การรักในความรู้” หรือ “ปรารถนาจะเข้าถึงความรู้หรือปัญญา” ในพจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ไดใ้ ห้ความหมายของปรชั ญาว่าหมายถงึ วชิ าว่าด้วยหลกั แหง่ ความรแู้ ละ ความจริง ปรัชญาจึงเป็นศาสตร์ในการค้นหา การค้นพบ และคำ� ตอบ ในความรู้และความจริงท่ีมนุษย์ ต้องการศึกษาให้เกิดความชัดแจ้ง วิธีการค้นพบความจริงตามปรัชญา แบ่งออกได้เป็น 4 สาขา (วิทย์ วิศทเวทย,์ 2555, น. 8-9) ดงั นี้ มสธ1. อภปิ รชั ญา (Metaphysics) ปรชั ญาสาขานถี้ กเถยี งกนั เกย่ี วกบั เรอ่ื งสภาวะแหง่ ความเปน็ จรงิ อันท่ีสุด (Ultimate Reality) อะไรเป็นสิง่ ที่จรงิ แท้ อะไรเปน็ ผลพลอยได้จากส่ิงจรงิ แท้ 2. ตรรกวทิ ยา (Logic) ตรรกวิทยาศึกษากฎเกณฑข์ องการใชเ้ หตผุ ลและการอา้ งเหตผุ ล 3. ทฤษฎคี วามรู้ (Epistemology) ปรชั ญาสาขานวี้ เิ คราะหป์ ญั หาเรอื่ งความจรงิ เรารคู้ วามจรงิ ไดอ้ ย่างไร มีหลกั อะไรทีจ่ ะช่วยในการตดั สนิ วา่ นจี้ ริง น้ีเท็จ มสธ มสธ4. จรยิ ศาสตร์ (Ethics) สาขานเี้ รยี กได้ว่าเปน็ ปรชั ญาชีวติ คอื พดู ถงึ ความหมายของชีวติ ชวี ติ ทีด่ ีมีลกั ษณะอย่างไร อะไรคือสงิ่ ทนี่ า่ พึงปรารถนาท่ีสดุ ของชวี ติ ความดคี อื อะไร นอกจากน้ียังได้มีนักปรัชญาได้แบ่งสาขาของปรัชญาออกเป็น 3 สาขา (สุนทร โคตรบรรเทา, 2553, น. 30-31) ดังนี้ 1. อภปิ รชั ญา (Metaphysics) หรอื ภววทิ ยา (Ontology) นกั ปรชั ญาอยากทราบวา่ ความจรงิ มสธแทส้ งู สดุ (Ultimate Reality) คอื อะไร โลกและจกั รวาลมคี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งไร มนษุ ยม์ คี วามสมั พนั ธ์
2-12 การจัดการศึกษาและหลักสตู รส�ำ หรบั เดก็ ปฐมวยั กับโลกและจักรวาลหรือไม่ และอยา่ งไร และอยากทราบวา่ มนษุ ยม์ เี สรีภาพในชวี ิตหรอื อยู่ภายใตอ้ ทิ ธิพล มสธของสิ่งตา่ งๆ ในจกั รวาล เช่น ดวงอาทติ ยแ์ ละดวงดาวหรอื ไม่ อยา่ งไร 2. ญาณวิทยา (Epistemology) หรือทฤษฎีแหง่ ความรู้ (Theory of Knowledge) ปรชั ญา สาขานต้ี อ้ งการทราบคำ� ตอบของขอ้ สงสยั วา่ มนษุ ยร์ คู้ วามจรงิ แทส้ งู สดุ ไดอ้ ยา่ งไร ความจรงิ แทส้ งู สดุ มหี รอื ไม่ สิ่งทีร่ ู้มาถูกต้องหรอื ไม่ และถูกตอ้ งในระดับใด และปัจจยั ทที่ �ำให้เกิดความรูม้ อี ะไรบ้าง มสธ มสธ3. คุณวิทยา (Axiology) ปรัชญาสาขานี้ต้องการค�ำตอบข้อสงสัยว่าส่ิงประเสริฐสุดที่มนุษย์ ต้องการคืออะไร ได้มาอยา่ งไร คุณค่าและความงามในชวี ิตและในโลกคืออะไร ไดม้ าอย่างไรและมพี นื้ ฐาน มาจากอะไร ความงามและความดีเป็นอยา่ งไร และเก่ยี วขอ้ งกับชวี ติ มนษุ ย์อย่างไรบ้าง ขอ้ มูลดงั กล่าวแสดงให้เหน็ วา่ การคน้ พบและการแสวงหาความจริงทางปรชั ญาเพือ่ ให้ไดค้ ำ� ตอบ มหี ลายแนวทาง ทงั้ นข้ี น้ึ อยกู่ บั ความเชอ่ื เกยี่ วกบั มนษุ ย์ เปา้ หมายของการดำ� รงชวี ติ และสภาวะแวดลอ้ มที่ แตกต่างกันตามบริบททางสังคม ดังนั้น ความแตกต่างของวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในสังคม แต่ละแหง่ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป จงึ เปน็ ผลทเี่ กดิ ขนึ้ จากความคิดและความเชอ่ื ทางปรชั ญาของคนในสงั คม มสธเป็นส�ำคญั คุณค่าของปรัชญา การศึกษาปรัชญามีเหตุผลส�ำคัญ คือ การมุ่งแสวงหาความรู้ท่ีเป็นความจริง สูงสุด ปรัชญาเป็นสิ่งท่ีมีคุณค่าต่อการด�ำรงชีวิตที่อยู่บนพื้นฐานของความดีงาม ดังที่มีการอธิบายคุณค่า ของปรัชญา (ทองหลอ่ วงษธ์ รรมา, 2555, น. 11-14) ไวด้ งั นี้ มสธ มสธ1. ช่วยวิเคราะห์ภาษาและความคิดรวบยอด คุณค่าของปรัชญาในการวิเคราะห์ภาษาที่เกิดข้ึน มากหลากหลายความหมายในชีวิตประจ�ำวันที่สัมพันธ์กับผู้อื่น และการให้ความคิดรวบยอด (concept) เพราะการศกึ ษาและค้นควา้ ทางปรชั ญาพยายามใหไ้ ด้มาซ่งึ ความร้แู ละความจริงของสรรพส่งิ ทง้ั ปวง 2. ชว่ ยตรวจสอบความรู้และความเชื่อ ความเชือ่ (ศรัทธา) เป็นสิ่งคกู่ บั ชีวิตมนษุ ย์ เพราะคนเรา ทกุ คนยอ่ มมคี วามเชอ่ื อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ตดิ ตวั อยู่ และความเชอื่ ถกู สงั่ สมมาแตเ่ ดก็ จนโตและยงั อยใู่ นจติ ใจ ตลอดมา หากความเชอื่ เหลา่ นนั้ ไมถ่ กู ตรวจสอบ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ สดุ ทา้ ยจะกลายเปน็ ความเชอื่ ทหี่ ลงงมงาย มสธ3. ชว่ ยใหร้ จู้ กั คณุ คา่ และจดุ หมายของชวี ติ วา่ อะไรดี อะไรชวั่ อะไรคอื คณุ คา่ แทข้ องชวี ติ และคณุ คา่ เทยี ม 4. ช่วยให้เป็นอิสระในการแสดงพฤติกรรม โดยให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการพิจารณา สบื สวนหาความจรงิ ของโลกและชวี ติ ตลอดถงึ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคนในสงั คมวา่ ควรปฏบิ ตั ติ อ่ กนั อยา่ งไร ช่วยให้คนเราใช้เหตุผลและรจู้ ักร่วมมอื กันต่อสู้เพือ่ ใหไ้ ดผ้ ลประโยชนใ์ นทางทีช่ อบธรรม มสธ มสธ5. ช่วยสร้างโลกทัศน์ท่ีสมบูรณ์ให้แก่มนุษย์ จุดมุ่งหมายของปรัชญาคือความรู้และความเข้าใจ ปรชั ญาจงึ เปน็ บอ่ เกดิ และทมี่ าของสรรพวชิ า ความรขู้ องปรชั ญาเปน็ ความรทู้ ป่ี ระสานวชิ าตา่ งๆ ใหส้ มั พนั ธ์ กัน แม้ปรัชญาจะไม่สามารถใหค้ วามจริงที่แน่นอนแกเ่ รา แตป่ รัชญากเ็ สนอแนวคดิ ท่ีเปน็ ไปได้หลายทาง ซง่ึ ท�ำให้สติปญั ญาของเรากว้างออกไป จากคุณค่าของปรัชญาดังกล่าว นับเป็นคุณค่าต่อการสร้างตัวตนของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ด้วยการด�ำรงชีวิตในสังคมด้วยปัญญา ใช้ปัญญาอย่างมีเหตุผล เป็นผู้ท่ีเน้นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น ปรัชญาจึงเป็นคุณค่าต่อการเชื่อมโยงสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับสังคมให้คงคุณค่าท่ีเอ้ือประโยชน์ต่อ มสธการด�ำรงชวี ติ และสรา้ งสรรคส์ งั คมใหม้ ีความผาสุข
แนวคดิ เกี่ยวกบั หลกั สูตรการศึกษาปฐมวยั 2-13 แนวคิดพื้นฐานปรัชญาการศึกษา มสธปรัชญาการศึกษาเป็นสิ่งที่น�ำมาใช้ก�ำหนดเป้าหมายการจัดการศึกษา มีส่วนช่วยนักการศึกษา ในด้านการก�ำหนดเป้าหมายหรือการก�ำหนดสิ่งอันมีค่าสูงสุดในการด�ำเนินกิจการการศึกษา การศึกษามี ไว้เพ่ือชีวิต และก็ควรต้องมีไว้เพ่ือชีวิตท่ีดี (วิทย์ วิศทเวทย์, 2555, น. 27) ส�ำหรับหลักสูตรการศึกษา ปฐมวยั ไดม้ กี ารนำ� ปรชั ญาการศกึ ษามาใชก้ ำ� หนดเปน็ แนวทางในการจดั การศกึ ษา ประกอบดว้ ย 3 ปรชั ญา มสธ มสธหลักคือ 1. ปรัชญาการศึกษาบูรณนิยม (Reconstructionism) ปรัชญาการศึกษาบูรณนิยม หรือ บูรณาการนิยม หรือปฏิรูปนิย มมีความหมายใกล้เคียงกับค�ำภาษาอังกฤษว่า “Reconstructionism” หมายถึง การรวมเขา้ ดว้ ยกัน แนวคิดของปรชั ญาการศกึ ษากลุม่ นี้ คอื ต้องการสร้างสรรค์สงั คมใหม่ โดย มีแนวคิดว่าการศึกษามิใช่เร่ืองของปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของส่วนรวมที่ต้องมีจุดมุ่งหมายเพื่อ แก้ไขปัญหาของโลกปัจจบุ นั และเป็นการสรา้ งสรรคส์ งั คมใหม่ดว้ ยหลักวทิ ยาศาสตร์ (วิชยั ตนั ศริ ิ, 2550, มสธน. 35-36) ปรัชญาการศึกษาบูรณนิยมเช่ือว่า การศึกษากับสังคมมีความสัมพันธ์กัน การศึกษาต้องน�ำ สงั คมไปสภู่ าพลกั ษณท์ ดี่ ที สี่ ดุ ตอ้ งชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมคี วามพรอ้ มทจ่ี ะเผชญิ กบั ความเปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกจิ และสงั คมทเี่ กดิ ขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ และมคี วามเชอื่ มน่ั ในอดุ มการณป์ ระชาธปิ ไตย การศกึ ษาควรเปน็ กระบวน การทน่ี ำ� ไปสกู่ ารเปลย่ี นแปลงทศั นคตใิ นทางทด่ี ี เพอ่ื นำ� เอาพลงั ทางเทคโนโลยชี นั้ สงู มาใชอ้ ยา่ งสรา้ งสรรค์ และใหก้ ารศกึ ษาเปน็ เครอื่ งมอื ในการปฏริ ปู สงั คมดว้ ยหลกั ประชาธปิ ไตยอยา่ งแทจ้ รงิ สงั คม อดุ มคตจิ ะเกดิ มสธ มสธขนึ้ ไดจ้ ากการคดิ การวางแผน และการตดั สนิ ใจรว่ มกนั ของคนสว่ นใหญ่ (ทองหลอ่ วงษธ์ รรมา, 2555, น. 135-136) แนวคิดของปรัชญาบูรณนิยมสามารถสรุปได้ว่า การศึกษากับสังคมมีความเก่ียวข้องสัมพันธ์กัน การศึกษาต้องเป็นผู้น�ำในการสร้างสรรค์สังคมใหม่ให้สอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงตามสภาวะของสังคม และวฒั นธรรม ดงั นน้ั บุคคลในสงั คมจะเป็นผู้สร้างสรรค์สงั คมให้เปน็ ไปตามทคี่ าดหวงั จำ� เปน็ ตอ้ งใหค้ น ในสังคมตระหนกั ถงึ ความร่วมมอื ด้วยวถิ แี หง่ ความเป็นประชาธิปไตย มสธ2. ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม (Progressivism) ผู้น�ำแนวคิดของปรัชญาท่ีส�ำคัญคือ Dewey ไดพ้ ฒั นาหลกั การสำ� คญั ไว้ 2 ประการ คอื 1) หลกั ความตอ่ เนอื่ งของประสบการณ์ เปน็ เรอ่ื งเกย่ี ว กบั ความหมาย เป้าหมาย และลักษณะของการศึกษาในฐานะประสบการณช์ ีวิต และ 2) หลักปฏสิ มั พันธ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการจัดสถานการณ์ เพื่อให้เกิดประสบการณ์ในทางสร้างสรรค์หรือการ ศกึ ษาขึน้ (อัครพงษ์ สัจจวาทิต, 2546, น. 25) ปรชั ญาพพิ ฒั นาการนิยมเหน็ ว่า ถา้ ทุกคนอยู่รว่ มกันใน มสธ มสธสงั คมอยา่ งมคี วามสขุ มเี หตผุ ลและมคี วามรว่ มมอื กนั แลว้ สงั คมจะเจรญิ ขนึ้ ทง้ั ทางวตั ถแุ ละจติ ใจ การศกึ ษา ตามปรัชญาน้ีเกิดข้ึนเพื่อเป็นหลักให้กับการศึกษาในรูปแบบใหม่ โดยถือว่ามนุษย์ทุกคนเป็นผู้มีเกียรติ มศี กั ดศ์ิ รี มสี ทิ ธใิ์ นการแสวงหาความสขุ เสรภี าพ และสทิ ธใิ นการดแู ลชวี ติ และทรพั ยส์ นิ ของตน การศกึ ษา ท่ีธ�ำรงเกียรต์ิและศักด์ิศรีของมนุษย์ ปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อม และความยากจนจะลดลง และการศึกษา เป็นเคร่ืองมือน�ำความยุติธรรมมาสู่สังคมด้วยการพัฒนาความคิดทางสังคม และการกระท�ำที่ถูกต้องให้ มสธเกิดขนึ้ (สนุ ทร โคตรบรรเทา, 2553, น. 50-51)
2-14 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรสำ�หรับเด็กปฐมวยั แนวคดิ ของปรชั ญาพพิ ฒั นาการนยิ ม สรปุ ไดว้ า่ สงั คมมกี ารเปลยี่ นแปลงและพฒั นาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง มสธคนเปน็ ศนู ยก์ ลางของความดคี วามงามทต่ี อ้ งไมต่ ดิ ยดึ กบั ความรแู้ ละคณุ คา่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ แตต่ อ้ งเปน็ ผทู้ แ่ี สวงหา และพัฒนาเพ่ือสร้างสรรค์และปรับปรุงส่ิงใหม่ให้แก่สังคม โดยยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก เพ่ือการ กำ� หนดทิศทางอนาคตโดยคนในสังคม 3. ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ปรัชญาอัตถิภาวนิยมมาจากค�ำภาษา มสธ มสธอังกฤษว่า Existentialism หมายถงึ ปรชั ญาทย่ี ดึ เอาสภาพความเป็นอย่หู รือเป็นอยู่ (existence) เปน็ หลกั Soren Kierkguard ผใู้ หก้ ำ� เนดิ ปรชั ญาอตั ถภิ าวนยิ มดว้ ยแนวคดิ วา่ ปรชั ญาเปน็ เรอื่ งสว่ นบคุ คลแตล่ ะ คน แตล่ ะคนควรสร้างปรัชญาของตนเองจากประสบการณ์ ไม่ต้องแสวงหาความจริงสูงสุด (unlimited reality) เพราะความจรงิ สงู สดุ ไมม่ คี วามจรงิ ทแี่ ท้ คอื สภาพของมนษุ ย์ (human condition) ในแตล่ ะขณะ ปรชั ญาอตั ถภิ าวนยิ มเนน้ ความสำ� คญั ของมนษุ ยใ์ นโลกในความเปน็ ปจั เจกบคุ คล ดว้ ยหลกั 3 ประการ คอื เสรภี าพ การเลือกการกระท�ำและความรับผิดชอบตอ่ ผลของการกระท�ำ (ทองหลอ่ วงษ์ธรรมา, 2555, น. มสธ142 และ สนุ ทร โคตรบรรเทา, 2553, น. 69) นน่ั หมายถงึ มนษุ ยม์ เี สรภี าพและอสิ ระทจ่ี ะเลอื กกระทำ� และ รบั ผดิ ชอบในผลของการกระทำ� ของตนเอง ดังนนั้ สงั คมทดี่ ีงามจงึ บังเกดิ ข้นึ ได้หากคนดีท�ำในส่งิ ท่ีดี การ ศกึ ษาในปรชั ญานใี้ หค้ วามสำ� คญั กบั การพฒั นาผเู้ รยี นใหม้ คี วามเปน็ มนษุ ยท์ สี่ มบรู ณ์ รจู้ กั เลอื กทจ่ี ะกระทำ� ในส่ิงที่ดีงามและมีความรับผิดชอบต่อผลการกระท�ำของตนเอง การศึกษาต้องช่วยให้มนุษย์เข้าใจตนเอง เข้าใจโลก และตระหนักถึงความส�ำคัญของความมีอยู่ และสามารถเผชิญกับปัญหาทั้งหลายได้อย่างชาญ มสธ มสธฉลาด และสามารถแสวงหาความหมายจากสง่ิ ทไี่ มม่ คี วามหมายดว้ ยมนษุ ยแ์ ตล่ ะคนกจ็ ะเปน็ ตวั ของตวั เอง และสังคม กจ็ ะเปน็ สังคมทมี่ คี วามเป็นเสรีประชาธปิ ไตยอย่างสมบรู ณ์ (ทองหล่อ วงษ์ธรรมา, 2555, น. 149) แนวคดิ ของปรชั ญาการศกึ ษาอตั ถภิ าวนยิ ม สามารถสรปุ ไดว้ า่ มนษุ ยเ์ ปน็ ปจั เจกบคุ คลทม่ี เี สรภี าพ อสิ รภาพ และมคี วามรบั ผดิ ชอบในผลการกระทำ� ของตนเอง การศกึ ษาแนวคดิ นจี้ ะใหอ้ สิ ระแกผ่ เู้ รยี นแตล่ ะคน ไดพ้ ฒั นาความเขา้ ใจในตน รจู้ ักตระหนกั และมีความรบั ผดิ ชอบในตนเอง ดว้ ยแนวทางการจัดการศกึ ษาท่ี มสธไม่มีเป้าหมายหรือโปรแกรมการเรียนการสอนท่ีกำ� หนดไว้ล่วงหน้า แต่จะให้ผู้เรียนเป็นผู้ก�ำหนดในส่ิงที่ ต้องการเรียนรู้ด้วยตนเอง ดังแนวคิดของโรงเรียนซัมเมอร์ฮิลของประเทศอังกฤษท่ีจัดการศึกษาแบบให้ อสิ ระแกผ่ เู้ รยี น โดยไมม่ รี ะเบยี บวนิ ยั การสง่ั ใหท้ ำ� หรอื การอบรมศลี ธรรม ดว้ ยเชอ่ื วา่ ผเู้ รยี นเกดิ มาพรอ้ มกบั ความดงี ามและความฉลาด การใหผ้ เู้ รยี นไดอ้ ยใู่ นสภาวะแหง่ เสรภี าพและอสิ รภาพ จะชว่ ยใหเ้ ดก็ ไดพ้ ฒั นา ตนเองไดอ้ ยา่ งสงู สดุ มสธ มสธจากขอ้ มลู ของปรชั ญาการศกึ ษาดงั กลา่ ว สามารถวเิ คราะหแ์ ละสรปุ เปน็ แนวทางของหลกั สตู รการ มสธศึกษาปฐมวัยตามแนวคิดของปรัชญาการศึกษา ดังตารางท่ี 2.1
มสธตารางท่ี 2.1 แนวทางของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ตามแนวคิดของปรัชญาการศึกษาแนวคิดเกย่ี วกับหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวยั 2-15 ปรัชญาการศึกษาหลักการ แนวทางของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย บูรณนยิ มเน้นการปฏิบตั ิ• ว างรากฐานผู้เรยี นใหม้ ีความพร้อม และมีศักยภาพ สามารถ มสธ มสธพิพัฒนาการนยิ มเนน้ การปฏบิ ัติสรา้ งสรรคแ์ ละปฏิรปู สงั คม มสธ มสธ มสธอตั ถภิ าวนิยม• เน้นการพฒั นาผเู้ รยี นใหม้ คี วามรแู้ ละทักษะ สามารถนำ� ไป เน้นการปฏบิ ัติ ประยกุ ตใ์ ช้ในชีวิตประจำ� วนั และเพอื่ ประโยชน์ตอ่ สงั คมโดยรวม • พฒั นาผู้เรียนทงั้ ทางร่างกาย อารมณ์-จติ ใจ สงั คม และ สตปิ ัญญาอยา่ งสมดุลและรอบดา้ น • ยึดผเู้ รียนเป็นสำ� คญั • เรยี นรู้จากประสบการณท์ เี่ กีย่ วขอ้ งกับชวี ติ ประจ�ำวนั และสังคม • ใหอ้ ิสรภาพแก่ผู้เรยี นในการเลอื กตดั สนิ ใจและรับผิดชอบดว้ ย ตนเอง • เรียนรจู้ ากประสบการณ์ท่ีผูเ้ รยี นเปน็ ผเู้ ลือก โดยไมม่ ีการ วางแผนลว่ งหนา้ กิจกรรม 2.1.2 จงอธิบายแนวคิดพ้ืนฐานด้านปรัชญา และปรัชญาการศึกษาท่ีน�ำมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตร การศึกษาปฐมวัย มสธแนวตอบกิจกรรม 2.1.2 ปรชั ญาเปน็ คณุ คา่ ตอ่ การเชอ่ื มโยงสมั พนั ธภาพระหวา่ งมนษุ ยก์ บั สงั คมทเ่ี ออื้ ประโยชนต์ อ่ การดำ� รง ชีวิต และสร้างสรรค์สังคมให้มีความผาสุข ปรัชญาเป็นสิ่งที่น�ำมาใช้ก�ำหนดเป้าหมาย การจัดการศึกษา การพฒั นาหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั ไดม้ กี ารนำ� ปรชั ญาการศกึ ษามาใชก้ ำ� หนดเปน็ แนวทางในการจดั การ มสธ มสธศกึ ษา ประกอบด้วย 3 ปรัชญาหลกั คอื 1. ปรัชญาการศึกษาบูรณนิยม มุ่งวางรากฐานผู้เรียนให้มีความพร้อมและศักยภาพในการ สร้างสรรค์และปฏริ ูปสงั คม 2. ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม มุ่งเตรียมความพร้อมในทุกด้านตามความต้องการของ เดก็ เพ่ือการด�ำรงชีวติ อย่างมคี วามสุข มสธ3. ปรชั ญาการศกึ ษาอตั ถภิ าวนยิ ม มงุ่ ให้เด็กมเี สรภี าพ อิสรภาพ และมคี วามรบั ผดิ ชอบ
2-16 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรส�ำ หรับเด็กปฐมวัย มสธเร่ืองที่ 2.1.3 ประเภทของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย มสธ มสธการแบ่งประเภทของหลักสูตรการศึกษามีได้หลายประเภทท่ีอาจแตกต่างกันไปตามแนวคิดท่ี เกี่ยวข้อง เช่น ปรัชญา ทฤษฎี และเป้าหมายการศึกษา หลักสูตรในแต่ละประเภทจะแสดงให้เห็นถึง แนวทางของการพัฒนาผู้เรียน ส�ำหรับแนวความคิดที่น�ำมาใช้เป็นฐานในการแบ่งประเภทของหลักสูตรที่ ใช้กันอย่างกว้างขวาง (Saylor and Alexander, 1974 อ้างถงึ ใน ธ�ำรง บัวศร,ี 2542, น. 174-175) มี ดงั นี้ 1. แนวความคิดที่ยึดวิชาหรือสาขาวิชาเป็นหลัก เป็นแนวความคิดท่ีต้องท�ำใหผ้ ู้เรียนได้เรยี นรู้ ในวิชาท่ีมีการจัดอย่างเป็นระเบียบ โดยเรียงล�ำดับตามเกณฑ์ท่ีก�ำหนดไว้ วิธีการตามแนวคิดนี้ท�ำให้เกิด มสธหลกั สตู รทเี่ รยี กว่า หลกั สูตรรายวชิ า (subject curriculum) 2. แนวความคิดที่ยึดกิจกรรมและปัญหาของสังคมเป็นหลัก เป็นแนวความคิดที่ต้องการให้ ผเู้ รยี นไดท้ ำ� หนา้ ทข่ี องบคุ คลในสงั คม ปญั หาของสงั คมและการเสรมิ สรา้ งสงั คม วธิ กี ารตามแนวคดิ นที้ ำ� ให้ เกิดหลกั สตู รทเี่ รียกว่า หลักสูตรแกน (core curriculum) มสธ มสธ3. แนวความคิดท่ียึดตามความต้องการและความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก เป็นแนวความคิด ท่ตี ้องการใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รยี นรใู้ นสงิ่ ทเ่ี ก่ยี วข้องกบั ผ้เู รียนและปญั หาทีผ่ เู้ รียนสนใจและตอ้ งการแกไ้ ข วธิ ีการ ตามแนวคดิ นที้ ำ� ใหเ้ กดิ หลกั สตู รทเ่ี รยี กวา่ หลกั สตู รประสบการณ์ (experience curriculum) หรอื หลกั สตู ร ทยี่ ึดผู้เรยี นเปน็ ศูนยก์ ลาง (child-centered curriculum) 4. แนวความคิดท่ียึดความสามารถเฉพาะของผู้เรียนเป็นหลัก เปน็ แนวความคดิ ทมี่ กี ารกำ� หนด เกณฑค์ วามสามารถทผ่ี เู้ รยี นพงึ กระทำ� ขน้ึ ทเ่ี กย่ี วกบั ทกั ษะในดา้ นตา่ งๆ จดั เรยี งลำ� ดบั กนั ไป โดยแบง่ ตาม มสธกลุ่มวิชาหรือหมวดวิชา วิธีการตามแนวคิดนี้ท�ำให้เกิดหลักสูตรท่ีเรียกว่า หลักสูตรเกณฑ์ความสามารถ (competency-based curriculum) 5. แนวความคิดที่ยึดทักษะในกระบวนการเรียนรู้เป็นหลัก เปน็ แนวความคดิ ทม่ี งุ่ ในเรอ่ื งวธิ กี าร มากกว่าเน้ือหาวิชา โดยถือว่าความรู้เป็นเพียงเส้นทางท่ีน�ำไปสู่จุดประสงค์ของการเรียนการสอน ไม่ใช่ จดุ หมายปลายทางของหลกั สตู ร วธิ กี ารตามแนวคดิ นท้ี ำ� ใหเ้ กดิ หลกั สตู รทเี่ รยี กวา่ หลกั สตู รทมี่ งุ่ กระบวนการ มสธ มสธ(process approach curriculum) จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การแบ่งประเภทของหลักสูตรมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับ แนวความคิดของการพัฒนาผู้เรียน ส�ำหรับประเภทของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยท่ีมีการใช้กันอย่าง กวา้ งขวาง มีดงั ตอ่ ไปน้ี 1. หลักสูตรเน้ือหาวิชา (subject curriculum or subject centered curriculum) เปน็ หลกั สตู ร แบบดงั้ เดมิ หรอื หลกั สตู รเกา่ ทใ่ี ชก้ นั มายาวนาน เกดิ จากแนวคดิ ทต่ี อ้ งการถา่ ยทอดความรู้ การจดั หลกั สตู ร และการสอนตามรปู แบบนจ้ี งึ ยดึ เอาการถา่ ยทอดเนอ้ื หาสาระความรขู้ องวชิ าตา่ งๆ และความรใู้ นแตล่ ะวชิ า มสธถกู จัดไวเ้ พือ่ การถา่ ยทอดอย่างมรี ะบบระเบยี บ (บุญเลีย้ ง ทมุ ทอง, 2553, น. 133) ในสาระของหลกั สูตร
แนวคดิ เก่ยี วกบั หลักสูตรการศึกษาปฐมวยั 2-17 จะให้ความส�ำคัญกับเนื้อหาสาระซึ่งเป็นความรู้ที่ถูกถ่ายทอดกันมา ซึ่งเด็กทุกคนจะต้องเรียนรู้เหมือนกัน มสธโดยไมค่ ำ� นงึ ถงึ ความตอ้ งการและความสนใจของเดก็ หลกั สตู รเนอื้ หาวชิ าไดม้ กี ารนำ� มาในการจดั การศกึ ษา ปฐมวยั ที่สามารถอธิบายได้ดงั น้ี 1.1 ลักษณะของหลักสูตร หลักสูตรเนื้อหาวิชาเป็นหลักสูตรที่มีการเรียบเรียงและวางแผน ในเนอื้ หาทม่ี คี วามถกู ตอ้ ง ซงึ่ มกี ารถา่ ยทอดกนั มาชา้ นาน โดยนำ� เนอื้ หามาแบง่ เปน็ รายวชิ า เชน่ ภาษาไทย มสธ มสธคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ สขุ ศกึ ษา และพลศกึ ษา ฯลฯ เนอื้ หาของแต่ละรายวิชาจะถูกก�ำหนดและเรียบ เรยี งอยา่ งเปน็ ระบบตามความยากงา่ ย เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และจดจำ� เนอื้ หา ผา่ นการเรยี น การสอนโดยเนน้ การบรรยายและการทอ่ งจำ� ผเู้ รยี นทกุ คนตอ้ งเรยี นรเู้ นอ้ื หาทกี่ ำ� หนดไวต้ ามหลกั สตู ร และ จะทำ� การประเมนิ ความรจู้ ากการสอนท่วี ัดความรู้ความเข้าใจจากเนอ้ื หาท่ีอยใู่ นกรอบของหลกั สตู ร ลักษณะของหลกั สูตรรายวชิ าดังกลา่ ว ไดม้ กี ารนำ� มาใช้ในการจัดการศกึ ษาปฐมวยั ซึ่งเป็น รายวิชาที่เด็กจะต้องเรียนรู้เน้ือหาที่จ�ำเป็นต่อการด�ำรงชีวิตและเพ่ือเตรียมความพร้อมทางวิชาการในการ ศึกษาตอ่ ระดบั ประถมศกึ ษา เช่น วชิ าภาษาไทย คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ สุขศึกษา และสังคมศึกษา มสธฯลฯ การประสบผลส�ำเร็จในการเรียนรู้เกี่ยวกับเน้ือหาของหลักสูตรรายวิชาจะมีการพิจารณาเนื้อหา เรียงล�ำดบั ตามความยากงา่ ย เหมาะสมกบั พัฒนาการและการเรียนรู้ ผ่านกจิ กรรมการเรยี นรู้ เชน่ การจดั ให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับจ�ำนวนผ่านกิจกรรมเกมการศึกษา เรียนรู้เก่ียวกับการเจริญเติบโตของต้นไม้ผ่าน กิจกรรมการทดลอง ฯลฯ มสธ มสธหลักสตู รรายวิชาในระดับปฐมวยั มใี ชใ้ นสมยั แรกเร่ิมท่มี กี ารจดั การศึกษาปฐมวยั ในประเทศ ตอ่ มาได้มกี ารศกึ ษาวจิ ยั ของนกั วชิ าการทงั้ ต่างประเทศและในประเทศพบวา่ การม่งุ ใหค้ วามรกู้ บั เดก็ โดย ไมค่ ำ� นงึ ถงึ ความเหมาะสมกบั วยั และวฒุ ภิ าวะ รวมถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลของเดก็ สง่ ผลตอ่ เจตคติ ตอ่ การเรยี นร้แู ละความสามารถในการเรียนร้ขู องเด็กในระยะยาว ปจั จุบนั จงึ ไมน่ ิยมใช้หลกั สตู รรายวิชาใน ระดบั ปฐมวัย 1.2 วิธีการจัดการเรียนการสอน หลักสูตรรายวิชาเป็นหลักสูตรที่ให้ความส�ำคัญกับผู้สอน มสธในการก�ำหนดเน้ือหาให้ผู้เรียนตามกรอบของธรรมชาติของรายวิชาที่จะถูกก�ำหนดไว้อย่างชัดเจน ผู้สอน จะตอ้ งดำ� เนนิ กจิ กรรมการสอนตามทก่ี ำ� หนดผา่ นกจิ กรรมทเ่ี นน้ การบรรยาย การสาธติ หรอื การฝกึ ปฏบิ ตั ิ เพ่ิมเติม เพ่ือใหเ้ ดก็ สามารถจดจ�ำเน้ือหาอยา่ งแม่นย�ำ เด็กจะเปน็ ผทู้ ่ปี ฏบิ ตั ิตามค�ำสั่งของผ้สู อนอย่างเปน็ ขัน้ ตอน และต้องเรียนรเู้ นอื้ หาให้ครบและครอบคลุมได้สำ� เรจ็ ตามที่กำ� หนด 2. หลักสูตรประสบการณ์ (experience curriculum) เปน็ หลกั สตู รทนี่ ำ� มาใชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวาง มสธ มสธในระดับปฐมวัย เนื่องจากเป็นหลักสูตรที่สนองตอบต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยได้อย่าง เหมาะสม ซึง่ สามารถอธิบายได้ดังนี้ 2.1 ลักษณะของหลักสูตร หลักสูตรประสบการณ์ มีจดุ มุง่ หมายทีส่ �ำคญั คือ เปน็ หลักสตู ร ท่ีเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ แสวงหาความรู้และประสบการณ์ตามความต้องการ ความสนใจ และความ ถนัดของเด็กแต่ละคน โดยการเรียนรู้ผ่านการสังเกต การค้นพบ การลงมือปฏิบัติ และการแก้ปัญหาท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั ชวี ติ ประจำ� วนั หลกั สตู รจะใหค้ วามสำ� คญั กบั การเปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ แตล่ ะคนไดเ้ รยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ด้วยความตระหนักว่าเด็กแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะตัวท่ีแตกต่างกันไป ดังน้ัน ผู้สอนจะไม่มีการวางแผน มสธหรือก�ำหนดเนื้อหาไว้ล่วงหน้า แต่เน้ือหาและประสบการณ์จะเกิดขึ้นจากความต้องการหรือความสนใจ
2-18 การจัดการศกึ ษาและหลกั สูตรสำ�หรับเดก็ ปฐมวัย ของเด็กท่ีต้องการค้นหาค�ำตอบ ผู้สอนจะท�ำหน้าท่ีสนับสนุน ช่วยเหลือและแนะน�ำให้เด็กแต่ละคนได้ มสธประสบผลส�ำเร็จตามศกั ยภาพ 2.2 วิธีการจัดการเรียนการสอน วิธีการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรประสบการณ์ ให้ ความส�ำคัญกับความต้องการและความสนใจของเด็กด้วยวิธีการให้เด็กมีส่วนร่วมในการวางแผนและการ ลงมอื ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเอง โดยสง่ เสรมิ ใหม้ กี ารเรยี นการสอนดว้ ยวธิ แี กป้ ญั หาผา่ นการวางแผนและการปฏบิ ตั ิ มสธ มสธเพอื่ แสวงหาประสบการณ์ในลกั ษณะการเรยี นรูแ้ บบการลงมอื ปฏิบัติ (learning by doings) โดยครูเปน็ ผู้ก�ำหนดปัญหาหรือสถานการณ์ เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้แสวงหาวิธีแก้ปัญหา ด้วยการลงมือปฏิบัติและ สรา้ งสรรคง์ านของตนเอง โดยเนน้ ปญั หาทเี่ กยี่ วขอ้ งและสามารถนำ� ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั ในการ จัดการเรียนการสอน ครูและเด็กร่วมกันท�ำกิจกรรมอย่างใกล้ชิด สนับสนุนและกระตุ้นให้เด็กได้ปฏิบัติ กิจกรรมด้วยวิธีการของตนเองในหลายๆ วิธี ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้เป็นวิธีที่เหมาะสมกับธรรมชาติ และ วิธีการเรียนร้ขู องเด็กท่สี นบั สนุนใหเ้ ดก็ ได้เรยี นรู้ผ่านการใชป้ ระสาทสมั ผัสทั้ง 5 ด้วยการลงมือปฏบิ ัตแิ ละ แกป้ ญั หาด้วยตนเอง ซ่ึงจะช่วยใหเ้ ดก็ ได้รบั การสง่ เสริมพฒั นาการและการเรียนรู้ไดเ้ หมาะสมกับวัย มสธ3. หลักสูตรบูรณาการ (integrated curriculum) เปน็ หลกั สตู รทนี่ ำ� ความรแู้ ละประสบการณม์ า หลอมรวมเข้าด้วยกนั เพือ่ น�ำมาใช้ในการจดั ประสบการณท์ ตี่ อบสนองธรรมชาติของการเจรญิ เตบิ โต และ พฒั นาการของเดก็ แตล่ ะคน หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั นบั เปน็ หลกั สตู รแสดงถงึ แนวคดิ ของหลกั สตู รบรู ณาการ ที่ชัดเจน โดยยึดหลักการบูรณาการท่ีว่าหนึ่งแนวคิดเด็กสามารถเรียนรู้ได้หลายกิจกรรม หนึ่งกิจกรรม มสธ มสธเดก็ สามารถเรยี นรไู้ ดห้ ลายทกั ษะและหลายประสบการณ์ ผสู้ อนตามหลกั สตู รบรู ณาการจงึ ตอ้ งวางแผนการ จดั ประสบการณใ์ นแตล่ ะวนั ใหเ้ ดก็ เรยี นรผู้ า่ นการเลน่ ทห่ี ลากหลายกจิ กรรม หลากหลายทกั ษะ หลากหลาย ประสบการณส์ ำ� คญั อยา่ งเหมาะสมวยั และพฒั นาการ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2547, น. 6) หลกั สตู รบรู ณาการ สามารถอธบิ ายไดด้ งั นี้ 3.1 ลักษณะของหลักสูตร หลักสูตรบูรณาการในระดับปฐมวัยมีลักษณะส�ำคัญ คือ เป็น หลกั สตู รทีส่ อดคลอ้ งกับพฒั นาการและความต้องการของผู้เรยี นจากธรรมชาติการเรยี นรู้ของเด็กท่ีมคี วาม มสธอยากรอู้ ยากเหน็ และตอ้ งการแสวงหาความรู้ ดงั นนั้ การเรยี นรขู้ องเดก็ ในแตล่ ะครงั้ แตล่ ะกจิ กรรม สามารถ ทำ� ให้เดก็ เกิดการเรียนรูแ้ ละได้รับการพฒั นาทกั ษะที่หลากหลาย โดยเปดิ โอกาสให้เดก็ ไดเ้ ลอื กเรยี นร้แู ละ มีประสบการณ์ด้วยตนเองตามความเหมาะสมของพัฒนาการและการเจริญเติบโต ประสบการณ์ที่เด็กได้ รับจ�ำนวนมากจะช่วยให้เด็กได้เพ่ิมพูนทั้งความรู้และกระบวนการไปในขณะเดียวกัน จากการจัด ประสบการณ์ในรูปแบบของหน่วยการเรียนรู้หรือโครงการท่ีเน้นการแก้ปัญหาในชีวิตประจ�ำวันที่เด็ก มสธ มสธจะตอ้ งบรู ณาการความรแู้ ละประสบการณท์ ห่ี ลากหลายเขา้ ไปใชใ้ นการเรยี นรู้ ลกั ษณะของการจดั การศกึ ษา ตามหลกั สตู รบรู ณาการจะทำ� ใหส้ ามารถทราบถงึ พฒั นาการและความกา้ วหนา้ ของผเู้ รยี น โดยสามารถนำ� กระบวนการวิจัยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดประสบการณ์ที่เหมาะสม เนื่องจากกระบวนการจัด ประสบการณ์ตามหลักสูตรมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ ผลการวิจัยจะเป็นส่วนส�ำคัญส�ำหรับการน�ำมา พฒั นาการจัดประสบการณไ์ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม 3.2 วิธีการจัดการเรียนการสอน วิธีการจดั การเรยี นการสอนตามหลักสูตรบูรณาการระดบั ปฐมวยั เปน็ วธิ กี ารสอนทเ่ี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำ� คญั ดว้ ยการเชอ่ื มโยงสาระการเรยี นรู้ ความคดิ รวบยอด ทกั ษะ มสธหรอื ประสบการณส์ ำ� คญั มาหลอมรวมกนั เพอื่ นำ� มาใชใ้ นการจดั การเรยี นการสอน ภายใตห้ วั เรอื่ ง โครงการ
แนวคิดเกีย่ วกบั หลกั สูตรการศึกษาปฐมวยั 2-19 หรือกิจกรรมที่เน้นประสบการณ์ตรง ซ่ึงเด็กสามารถน�ำความรู้ ทักษะ และเจตคติที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ มสธในการด�ำรงชีวิตหรือแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนท่ีเปิดโอกาสให้เด็กได้มีส่วน ร่วมในการคิด การวางแผน และการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อสนองตอบต่อความ ต้องการและความสนใจของเด็กแต่ละคน โดยผู้สอนจะเป็นผู้ช่วยเหลือ สนับสนุน และวางแผนการจัด ประสบการณร์ ว่ มกบั เดก็ ผา่ นกจิ กรรมทหี่ ลอมรวม เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ไดร้ บั การพฒั นาอยา่ งรอบดา้ นทงั้ ทางรา่ งกาย มสธ มสธอารมณ-์ จติ ใจ สงั คม และสตปิ ญั ญา ดงั แนวคดิ ของการจดั การเรยี นการสอนแบบบรู ณาการในระดบั ปฐมวยั ท่ีระบุว่า หน่ึงแนวคิดเด็กสามารถเรียนรู้ได้จากหลายกิจกรรม หน่ึงกิจกรรมเด็กสามารถเรียนรู้ได้หลาย ทักษะและประสบการณส์ ำ� คัญ จากข้อมูลประเภทของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยข้างต้น ซ่ึงประกอบด้วยหลักสูตรเน้ือหาวิชา หลักสูตรประสบการณ์ และหลักสูตรบูรณาการ ซึ่งมีจุดเน้นในแนวคิดของการพัฒนาผู้เรียนแตกต่างกัน ดังเชน่ หลักสูตรเน้อื หาวิชามแี นวคดิ ทต่ี อ้ งการถา่ ยทอดความรทู้ ่ีจำ� เป็นใหแ้ กเ่ ด็ก เพอ่ื ใหเ้ ดก็ น�ำความรไู้ ป ใชป้ ระโยชนใ์ นการดำ� รงชวี ติ หรอื การเรยี นรู้ วธิ กี ารจดั การเรยี นการสอน เพอ่ื ใหเ้ ดก็ เกดิ ความรู้ ความเขา้ ใจ มสธในเนื้อหา สามารถปฏบิ ัติได้ด้วยวิธีการทีส่ อดคลอ้ งกบั การเรียนรทู้ เ่ี ป็นไปตามวยั ของเด็ก กจ็ ะช่วยให้เดก็ ประสบผลส�ำเร็จได้ แต่หากหลักสูตรมีการวางแผนท่ีไม่เหมาะสม เช่น เน้ือหายาก ไม่เหมาะสมกับเด็ก มจี ำ� นวนมากหรอื มจี ำ� นวนชวั่ โมงมากกจ็ ะทำ� ใหเ้ ดก็ เบอื่ และไมป่ ระสบผลสำ� เรจ็ ในการเรยี นรไู้ ดเ้ ชน่ กนั และ สำ� หรับหลกั สตู รประสบการณ์และหลกั สตู รแบบบรู ณาการ ถือวา่ เป็นหลักสตู รทเี่ หมาะสมกับเด็กปฐมวัยที่ มสธ มสธมแี นวคดิ หลกั คอื การยดึ ผเู้ รยี นเปน็ สำ� คญั โดยสนบั สนนุ ใหเ้ ดก็ ไดร้ บั การสง่ เสรมิ พฒั นาการและการเรยี นรู้ ด้วยวิธีการที่หลากหลายและเน้นการฝึกปฏิบัติ เพ่ือให้เด็กได้รับประสบการณ์ท่ีมีคุณค่าต่อตัวเด็ก และ สังคม แต่หลักสูตรแต่ละลักษณะท่ีจะเกิดประสิทธิภาพแก่เด็กจ�ำเป็นอย่างย่ิงที่ผู้เก่ียวข้องกับหลักสูตรจะ ตอ้ งมคี วามรู้ ความเขา้ ใจทง้ั ในดา้ นการออกแบบหลกั สตู รและการจดั ประสบการณอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ จงึ จะสง่ ผล ท�ำให้การพัฒนาเด็กปฐมวัยบรรลุตามเป้าหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยแต่ละประเภทได้อย่างมี ประสิทธิภาพ มสธกิจกรรม 2.1.3 จงอธบิ ายประเภทของหลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวัยที่มกี ารน�ำมาใชก้ นั อย่างกวา้ งขวางในปัจจบุ นั มสธ มสธแนวตอบกิจกรรม2.1.3 ประเภทของหลกั สตู รการศึกษาปฐมวัยท่ีมกี ารน�ำมาใช้กันอยา่ งกว้างขวาง มี 2 ประเภท คอื 1. หลกั สูตรประสบการณ์ มีแนวคิดให้เดก็ ได้เรียนรู้ แสวงหาความรแู้ ละประสบการณต์ ามความ ต้องการ ความสนใจ และความถนดั ของเดก็ แตล่ ะคน 3. หลกั สตู รบรู ณาการ มแี นวคดิ ในการนำ� ความรแู้ ละประสบการณม์ าหลอมรวม เพอื่ ใชใ้ นการจดั มสธประสบการณท์ ต่ี อบสนองธรรมชาตขิ องการเจรญิ เติบโตและพัฒนาการของเดก็ แต่ละคน
2-20 การจดั การศกึ ษาและหลกั สตู รส�ำ หรับเดก็ ปฐมวยั มสธตอนท่ี 2.2 ปัจจัยที่เก่ียวข้องกับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย โปรดอา่ นหวั เร่ือง แนวคิด และวตั ถุประสงคข์ องตอนท่ี 2.2 แลว้ จึงศกึ ษารายละเอยี ดตอ่ ไป มสธ มสธหัวเรื่อง 2.2.1 ปัจจยั ดา้ นเศรษฐกิจ การเมืองและสงั คม 2.2.2 ปจั จัยดา้ นวทิ ยาการและเทคโนโลยี 2.2.3 ปจั จัยดา้ นนโยบายการพฒั นาเด็กปฐมวัย มสธแนวคิด 1. ปจั จยั ดา้ นเศรษฐกจิ การเมอื งและสงั คม เปน็ ขอ้ มลู สำ� คญั ทนี่ ำ� ไปประกอบการพจิ ารณา พฒั นาหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การเปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกจิ และสงั คม ที่ส่งผลต่อการเล้ียงดูเด็ก การเปล่ียนแปลงวิถีชีวิตของคนในครอบครัวและรายได้ของ ครอบครวั ปจั จยั ทางการเมอื งทตี่ อ้ งการพฒั นาคนในสงั คมใหอ้ ยรู่ ว่ มกนั อยา่ งมคี วามสขุ มสธ มสธและสงั คมโลกยคุ โลกาภวิ ตั น์ ทส่ี ง่ ผลกระทบตอ่ คณุ ภาพชวี ติ หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั จงึ ตอ้ งกำ� หนดแนวทางของหลักสตู รใหส้ อดคล้องกบั สภาพทางเศรษฐกิจ การเมืองและ สังคม 2. ปจั จยั ดา้ นวทิ ยาการและเทคโนโลยี เปน็ ขอ้ มลู สำ� คญั ทนี่ ำ� ไปประกอบการพจิ ารณาพฒั นา หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความเจรญิ กา้ วหนา้ ทางวทิ ยาการและเทคโนโลยี ทเี่ ขา้ มามีอทิ ธิพลตอ่ การดำ� รงชวี ติ และการเรียนรขู้ องเด็กทง้ั ในระดบั ครอบครวั สถาน- มสธศกึ ษา ชมุ ชนและสงั คม หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั จงึ ตอ้ งกำ� หนดแนวทางของหลกั สตู ร ใหส้ อดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางวทิ ยาการและเทคโนโลยี 3. ปจั จยั ดา้ นนโยบายการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั เปน็ ขอ้ มลู สำ� คญั ทน่ี ำ� ไปประกอบการพจิ ารณา พัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ท่ีเกี่ยวข้องกับนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยตาม แนวทางของรัฐธรรมนญู สิทธเิ ดก็ พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ แผนการศึกษา มสธ มสธแหง่ ชาติ และแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั จงึ ตอ้ ง มสธก�ำหนดแนวทางของหลกั สูตรให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวยั
แนวคิดเกีย่ วกบั หลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวัย 2-21 มสธวัตถุประสงค์ เมอื่ ศึกษาตอนที่ 2.2 จบแลว้ นักศกึ ษาสามารถ 1. อธบิ ายปจั จยั ดา้ นเศรษฐกจิ การเมอื งและสงั คมทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั ได้ มสธ มสธ2. อธบิ ายปัจจัยดา้ นวิทยาการและเทคโนโลยีทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั หลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัยได้ 3. อธิบายปัจจัยด้านนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่เก่ียวข้องกับหลักสูตรการศึกษา มมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธปฐมวยัได้
2-22 การจดั การศึกษาและหลักสูตรส�ำ หรับเดก็ ปฐมวัย มสธเรื่องท่ี 2.2.1 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม มสธ มสธปัจจัยด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เป็นปัจจัยท่ีมีความเก่ียวข้องและสัมพันธ์กับการน�ำไป กำ� หนดแนวทางการพฒั นาหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั ในเรอ่ื งนจี้ งึ ขออธบิ ายรายละเอยี ดในแตล่ ะปจั จยั ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันอยู่ในช่วงการพัฒนาประเทศไทย 4.0 ท่ีมีการ มสธปรบั โครงสรา้ งทางเศรษฐกจิ ทเี่ นน้ การใชน้ วตั กรรมและเทคโนโลยเี ขา้ มาใชใ้ นการพฒั นา โดยมกี ลไกทสี่ ำ� คญั คอื การยกระดบั นวตั กรรม การสรา้ งสงั คมใหผ้ คู้ นมจี ติ วญิ ญาณของความเปน็ ผปู้ ระกอบการ และการสรา้ ง ความเข้มแข็งของชุมชนและเครือข่าย (ส�ำนักวิชาการ, ส�ำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2559, น. 5; สำ� นกั งานปลดั กระทรวงการคลงั , 2559) กลไกทส่ี ำ� คญั ดงั กลา่ วจะเกดิ ผลสำ� เรจ็ ตอ่ การพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศในระยะยาว จ�ำเป็นอย่างยิ่งต้องให้ความส�ำคัญสูงสุดกับการพัฒนาคน ดังท่ีแผนพัฒนา มสธ มสธเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 12 (2560-2564) สำ� นกั งานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คม แห่งชาติ (2560, น. 4-5) ได้ใหน้ โยบายท่ชี ัดเจนของการพัฒนาทมี่ ุ่งเน้นให้คนเป็นศนู ยก์ ลางการพัฒนา โดยมุ่งสร้างคุณภาพชีวิตและสขุ ภาวะที่ดีสำ� หรับคนไทยใหม้ ีความเป็นคนท่สี มบูรณ์ มวี ินยั ใฝ่รู้ มคี วามรู้ มีทักษะ มีความคิดสร้างสรรค์ มีทัศนคติท่ีดี รับผิดชอบต่อสังคม มีจริยธรรมและคุณธรรม เพ่ือพัฒนา ประเทศไทยใหม้ ี “ความมั่นคง ม่งั คงั่ ยงั่ ยนื ” ประเทศไทยจงึ จำ� เปน็ ตอ้ งมจี ดุ เปลยี่ นทส่ี ำ� คญั เพอื่ รองรบั การเปลยี่ นแปลงของสถานการณโ์ ลกท่ี มสธเกดิ ขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ ดงั หลกั การสำ� คญั ของแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 12 (2550-2564) (สำ� นกั งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ, 2560, น. 4-5) สรุปได้ดังน้ี 1) ยึด “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อให้เกิดบูรณาการการพัฒนาในทุกมิติอย่าง สมเหตสุ มผล มีความพอประมาณ และมรี ะบบภมู คิ ุม้ กนั และการบริหารจดั การความเสย่ี งท่ีดี โดยมุ่งเนน้ การพัฒนาคนให้มีความเป็นคนที่สมบูรณ์ สังคมไทยเป็นสังคมคุณภาพ สร้างโอกาสและมีที่ยืนให้กับ มสธ มสธทุกคนในสงั คมไดด้ ำ� เนนิ ชีวติ ทดี่ ี มีความสขุ และอยู่รว่ มกันอยา่ งสมานฉนั ท์ 2) ยดึ “คนเปน็ ศนู ยก์ ลางการพฒั นา” มงุ่ สรา้ งคณุ ภาพชวี ติ และสขุ ภาวะทด่ี สี ำ� หรบั คนไทย พฒั นา คนให้มีความเป็นคนที่สมบูรณ์ มีวินัย ใฝ่รู้ มีความรู้ มีทักษะ มีความคิดสร้างสรรค์ มีทัศนคติท่ีดี รับผดิ ชอบต่อสงั คม มีจรยิ ธรรมและคุณธรรม 3) ยดึ วสิ ยั ทศั น์ “ประเทศไทยมคี วามมนั่ คง มงั่ คงั่ ยงั่ ยนื เปน็ ประเทศพฒั นาแลว้ ดว้ ยการพฒั นา มสธตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง” หรอื เป็นคตพิ จน์ประจ�ำชาติว่า “มนั่ คง มง่ั คง่ั ย่งั ยืน”
แนวคดิ เกย่ี วกับหลักสตู รการศึกษาปฐมวยั 2-23 4) ยดึ “เป้าหมายอนาคตประเทศไทยปี 2579” ท่ีเปน็ เปา้ หมายในยุทธศาสตรช์ าติ 20 ปี ไวว้ ่า มสธ“เศรษฐกจิ และสงั คมไทยมกี ารพฒั นาอยา่ งมน่ั คงและยงั่ ยนื บนฐานการพฒั นาทยี่ ง่ั ยนื สงั คมไทยเปน็ สงั คม ที่เป็นธรรม มคี วามเหล่ือมลํ้านอ้ ย คนไทยเป็นมนษุ ย์ทสี่ มบูรณ์ เปน็ พลเมืองที่มีวินยั ตืน่ รู้ และเรยี นร้ไู ด้ ดว้ ยตนเองตลอดชวี ติ มคี วามรู้ มที กั ษะและทศั นคตทิ เี่ ปน็ คา่ นยิ มทด่ี ี มสี ขุ ภาพรา่ งกายและจติ ใจทสี่ มบรู ณ์ มีความเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณ มีจติ สาธารณะและทำ� ประโยชนต์ อ่ ส่วนรวม มคี วามเปน็ พลเมอื งไทย มสธ มสธพลเมืองอาเซยี น และพลเมอื งโลก 5) ยึด “หลักการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดความเหล่ือมลํ้าและขับเคลื่อนการเจริญเติบโต จากการเพม่ิ ผลติ ภาพ การผลติ บนฐานของการใช้ภมู ปิ ญั ญาและนวัตกรรม” จากหลักการส�ำคัญของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 การพัฒนาคน เป็นนโยบายที่ส�ำคัญย่ิงท่ีต้องด�ำเนินการควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ เพ่ือสร้างคนท่ีมีคุณภาพให้เป็น ก�ำลังส�ำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและสากล มีความจ�ำเป็นท่ีต้องวิเคราะห์ปัจจัยทาง มสธเศรษฐกิจและส่ิงท่ีเกิดข้ึน ซ่ึงส่งผลกระทบต่อการด�ำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังข้อมูลต่อ ไปนี้ 1.1 การเจรญิ เตบิ โตของเศรษฐกจิ ในชมุ ชนเมอื ง ทม่ี สี งู กวา่ การเจรญิ เตบิ โตของเศรษฐกจิ ในภาค เกษตร ได้ส่งผลท�ำให้เกิดการอพยพครอบครัวไปท�ำงานในเขตเมืองที่มีการลงทุนทางเศรษฐกิจมากขึ้น ก่อใหเ้ กิดปญั หาครอบครัว เช่น การหย่ารา้ ง การส่งลูกไปใหป้ ยู่ า่ ตายายเลยี้ ง ครอบครวั ไมไ่ ดอ้ ยูร่ ่วมกัน มสธ มสธการขาดความรักและความอบอุ่น เน่ืองจากพ่อแม่ต้องไปท�ำงานในเมือง ดังรายงานสภาพครอบครัวของ เดก็ 0-5 ปี ทพี่ อ่ แมย่ งั อยดู่ ว้ ยกนั มรี อ้ ยละ 85.5 แยกกนั อยู่ หยา่ รา้ ง หรอื เปน็ หมา้ ย รอ้ ยละ 14.00 ปญั หา ด้านเศรษฐกิจ นับเป็นปัญหาด้านหนึ่งท่ีก่อให้เกิดภาวะวิกฤตในครอบครัว (สุริยเดว ทริปาติ, 2559, น. 36) 1.2 การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของครอบครัวและการอบรมเลี้ยงดู จากภาวะท่ีพอ่ แม่ ผู้ปกครอง จ�ำเป็นต้องโยกย้ายการท�ำงาน หรือการเกิดของเด็กที่มาจากครอบครัวที่ยากจนยังคงสูงขึ้น กลุ่มคน มสธเหล่าน้ีอยู่ในกลุ่มท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจต่ํา การพึ่งพาสิทธิประโยชน์ท่ีพึงได้รับจากรัฐบาลยังไม่เพียงพอ ได้ส่งผลท�ำให้เด็กได้รับการอบรมเล้ียงดูอย่างไม่เหมาะสม ดังรายงานการส�ำรวจสุขภาพองค์รวมของเด็ก ในปี พ.ศ. 2546 กล่าววา่ ถ้าผู้เลยี้ งเป็นย่ายาย มักไม่เขม้ งวดกบั เด็ก นอกจากนี้พอ่ แมม่ กั มเี วลาใหก้ บั ลูก ไม่เพียงพอ เพราะต้องท�ำงานนอกบ้านหรือให้คนอ่ืนเล้ียงดู จากรายงานพบว่า วิธีการเลี้ยงดูเด็กของ ครอบครัวไทย พ่อแมแ่ ละผู้เลยี้ งดูเดก็ เนน้ การเลย้ี งดูทางกายเปน็ หลกั และสว่ นใหญเ่ ปดิ ทีวีให้เดก็ ดู เด็ก มสธ มสธอายตุ ํา่ กวา่ 6 ปี เกือบทัง้ หมด ร้อยละ 96.7 ได้ดทู วี ี โดยเฉลีย่ เด็กดูทีวีวันละ 1.9 ช่ัวโมง เดก็ ในเมอื งดทู ีวี มากกวา่ เดก็ ชนบท และเดก็ ในกรงุ เทพมหานคร ใชเ้ วลาดทู ีวีมากท่ีสุดเฉลี่ยถงึ วันละ 2.1 ช่ัวโมง (สรุ ิยเดว ทริปาติ, 2559, น. 36-37) 1.3 ปัญหาด้านรายได้ของครอบครัว จากภาวะด้านเศรษฐกิจของแต่ละครอบครัวที่แตกต่างกัน ได้ส่งผลต่อคุณภาพของการเล้ียงดูและการให้การศึกษาแก่เด็ก เด็กที่อยู่ในครอบครัวท่ีมีรายได้สูง และ พอ่ แมม่ กี ารศกึ ษาสงู กจ็ ะไดร้ บั การดแู ลและใหก้ ารศกึ ษาทมี่ คี ณุ ภาพกวา่ เดก็ ทอี่ ยใู่ นครอบครวั ทมี่ รี ายไดต้ า่ํ มสธและพอ่ แมม่ กี ารศกึ ษาตาํ่ ภาวะทางเศรษฐกจิ ของครอบครวั ทมี่ รี ายไดน้ อ้ ย ทำ� ใหก้ ลมุ่ คนเหลา่ นขี้ าดโอกาส
2-24 การจัดการศกึ ษาและหลกั สตู รสำ�หรับเด็กปฐมวยั ทจี่ ะนำ� เดก็ ใหไ้ ดร้ บั การอบรมเลย้ี งดอู ยา่ งถกู วธิ ตี งั้ แตแ่ รกเรม่ิ และการใหเ้ ดก็ ไดเ้ ขา้ รบั การศกึ ษาทม่ี คี ณุ ภาพ มสธด้วยเชน่ กัน ปจั จยั ทางเศรษฐกจิ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ เปน็ ปจั จยั สว่ นหนง่ึ ทสี่ ง่ ผลกระทบตอ่ การดำ� เนนิ นโยบายทาง เศรษฐกจิ ของประเทศ เนอ่ื งจากสภาพปญั หาทเี่ กดิ ขน้ึ จากภาวะทางเศรษฐกจิ ทเ่ี ปลยี่ นแปลงไดส้ ง่ ผลกระทบ ต่อวิถีชีวิตของครอบครัว และสิ่งส�ำคัญคือ การเกิดอุปสรรคในการพัฒนาเด็ก ท�ำให้เด็กต้องอยู่ในภาวะ มสธ มสธทขี่ าดการอบรมเลยี้ งดแู ละการใหก้ ารศกึ ษาทเ่ี หมาะสมตง้ั แตแ่ รกเรมิ่ ยอ่ มทำ� ใหป้ ระเทศชาตสิ ญู เสยี ทรพั ยากร อันมีค่าย่งิ ทีจ่ ะเปน็ กำ� ลงั สำ� คัญตอ่ การพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต ดังนน้ั หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวัย ซงึ่ ถือ เป็นหวั ใจสำ� คญั ของการพฒั นาเดก็ ปฐมวัยให้เปน็ ไปในทศิ ทางทพ่ี งึ ประสงค์ ควรต้องมกี ารวางแผนในการ กำ� หนดทศิ ทางของหลักสูตร หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัยจงึ ต้องให้ความสำ� คัญกับการอบรมเลี้ยงดแู ละการ ใหก้ ารศกึ ษาแกเ่ ดก็ ปฐมวยั อยา่ งทวั่ ถงึ และเสมอภาคทงั้ ในเขตเมอื งและชนบท เปน็ หลกั สตู รทยี่ ดึ หลกั การ มสี ่วนร่วมในการจัดการศกึ ษา โดยเฉพาะการสร้างความเขม้ แข็งใหก้ บั ครอบครวั และใหค้ รอบครัวเข้ามามี มสธบทบาทในการจดั การศกึ ษา เพอ่ื ใหก้ ารพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดำ� เนนิ การอยา่ งมเี สถยี รภาพและเปน็ ไปในทศิ ทาง เดียวกัน ต้องมีจุดเน้นของการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีคุณภาพสูงสุด ทั้งด้านความรู้ ทักษะ ความคิด สรา้ งสรรค์ มีความรับผดิ ชอบและคุณธรรมและจริยธรรม ต้องใหค้ วามส�ำคญั กบั “นวตั กรรม” ทเ่ี น้นการ พฒั นาเด็กให้มีจนิ ตนาการและความคดิ สร้างสรรค์ เพือ่ น�ำไปสรา้ งสรรคน์ วัตกรรม ใชก้ ารจดั ประสบการณ์ โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และต้องสร้างความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ด้วยการตระหนักรู้ในตนเอง มสธ มสธสามารถดูแลตนเอง ช่วยเหลือตนเองและผู้อื่น ตลอดจนสามารถใช้สมรรถนะของตนเองในการสร้าง ประโยชน์ให้แก่สงั คมโดยส่วนร่วม 2. ปัจจัยด้านการเมือง การเมืองมีบทบาทส�ำคัญต่อการก�ำหนดนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีการด�ำเนินการอย่าง ตอ่ เนอ่ื งในทกุ รฐั บาล นโยบายของรฐั บาลในการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั จะใชเ้ ปน็ ตวั กำ� หนดทศิ ทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ มสธใหแ้ กส่ ถานศกึ ษา ดงั นโยบายรฐั บาลดา้ นเดก็ ปฐมวยั พ.ศ. 2555-2557 ทรี่ ะบไุ วอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ เรง่ รดั เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ปฐมวยั แรกเกดิ ถงึ กอ่ นเขา้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 1 ทกุ คนไดร้ บั การพฒั นารอบดา้ นตามวยั อยา่ งมคี ณุ ภาพ และตอ่ เนอื่ ง (สำ� นกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา, 2556, คำ� นำ� ) จากสถานการณก์ ารเมอื งของประเทศไทย ในชว่ งปี พ.ศ. 2556 เปน็ ตน้ มา ทม่ี คี วามขดั แยง้ และความแตกแยกทางความคดิ เปน็ วกิ ฤตการณท์ สี่ ะทอ้ น มสธ มสธให้เห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถน�ำมาซึ่งความสุขของคนในชาติ (ส�ำนักวิชาการ, ส�ำนักงาน เลขาธกิ ารสภาผแู้ ทนราษฎร, 2558, น. 15-19) ทำ� ใหร้ ฐั บาลโดยการนำ� ของนายกรฐั มนตรี (พลเอกประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา) ไดใ้ หค้ วามสำ� คญั กบั การศกึ ษา และมมี มุ มองเกยี่ วกบั นโยบายการปฏริ ปู การศกึ ษาเพอื่ อนาคต ประเทศไทย มัน่ คง มงั่ คงั่ ย่งั ยนื โดยมีประเด็นหลักที่สามารถนำ� ไปใช้ในการวางแผนและกำ� หนดทศิ ทาง การจดั ทำ� หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั ดว้ ยการพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รยี นและสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ ผา่ นการจดั การ ศึกษาในหลายรูปแบบและหลายแนวทาง บ่มเพาะให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและเรียนรู้ ตลอดชวี ติ หลกั สตู รการศกึ ษาตง้ั แตร่ ะดบั ปฐมวยั จนถงึ มหาวทิ ยาลยั ควรมคี วามตอ่ เนอื่ ง หลกั สตู รการศกึ ษา มสธควรก�ำหนดวิชาเรียนให้น้อยลงและเหมาะกับวัยของเด็ก เน้นการเรียนรู้ท่ีมีคุณภาพไม่ใช่ปริมาณ รวมถึง
แนวคิดเกยี่ วกับหลกั สูตรการศึกษาปฐมวัย 2-25 หลักสูตรท่ีเปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกเรียนรู้ตามความชอบและความถนัด และประการส�ำคัญควรเน้น มสธหลกั สตู รทนี่ อ้ มนำ� หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เขา้ มาเปน็ แนวปฏบิ ตั ิ มกี ารปลกู ฝงั คา่ นยิ ม 12 ประการ ใหก้ บั เดก็ และเยาวชน เพอ่ื สรา้ งคนไทยใหเ้ ปน็ ทง้ั คนดแี ละคนเกง่ มคี วาม เข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ ค�ำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติเป็นหลัก ด้วยกระบวน การเรียนการสอนที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา (ส�ำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2559, มสธ มสธน.9) จากนโยบายดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงท่ีผ่านมาได้มีผลกระทบต่อ การคดิ และการปฏบิ ตั ทิ อ่ี าจแตกตา่ งกนั ไป การปกครองแบบประชาธปิ ไตยทสี่ มบรู ณเ์ กดิ ขน้ึ ได้ หากคนใน สงั คมไดต้ ระหนกั ถงึ บทบาทและหนา้ ทขี่ องตนเองในการอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งมคี วามสขุ การพฒั นาคนดว้ ยการ ศกึ ษาทม่ี คี ณุ ภาพ จงึ เปน็ นโยบายหลกั ทร่ี ฐั บาลใหค้ วามสำ� คญั ดงั นนั้ จะเหน็ ไดว้ า่ การศกึ ษาปฐมวยั เปน็ การ ศึกษาแรกเริ่มที่รัฐบาลได้ก�ำหนดนโยบายไว้ชัดเจนว่า เด็กปฐมวัยจ�ำเป็นต้องได้รับการพัฒนาอย่างมี มสธคณุ ภาพและทว่ั ถงึ หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั จงึ ตอ้ งมกี ารปรบั เปลยี่ นเปา้ หมายของการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ท่ีอยู่บนพื้นฐานของพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก การจัดการเรียนการสอนต้องเป็นวิธีการปฏิบัติท่ี เหมาะสมกับความต้องการ เพ่ือให้เด็กได้พัฒนาตนเองตามศักยภาพและเติบโตเป็นคนดี คนเก่ง และ สรา้ งสรรคส์ งั คมให้ก้าวหน้าและร่มเย็นเปน็ สขุ มสธ มสธ3. ปัจจัยด้านสังคม จากสถานการณ์ของสังคมโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของคน ในสังคมอย่างชัดเจน จากสังคมดั้งเดิมที่มีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายมาสู่สังคมท่ีต้องพ่ึงพาปัจจัย เพื่ออ�ำนวย ความสะดวกในการดำ� รงชวี ติ เชน่ การเดนิ ทางโดยเครอื่ งบนิ ทม่ี จี ำ� นวนมากขน้ึ การบรโิ ภคอาหารจากรา้ น สะดวกซอ้ื หรอื อาหารสำ� เรจ็ รปู การเขา้ ถงึ แหลง่ บนั เทงิ จากโรงภาพยนตร์ อนิ เทอรเ์ นต็ หรอื สอื่ อนื่ ๆ การซอื้ สนิ คา้ อปุ โภคบรโิ ภคผา่ นสอ่ื ออนไลน์ ฯลฯ ความกา้ วหนา้ ดงั กลา่ วทมี่ กี ารเตบิ โตขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งและรวดเรว็ มสธได้มีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมพฤติกรรมของคนในสังคม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ต้องมีการดูแล อยา่ งใกลช้ ดิ และจำ� เปน็ ตอ้ งสรา้ งความเขม้ แขง็ ในการดำ� รงชวี ติ ใหแ้ กเ่ ดก็ และเยาวชน ทต่ี อ้ งอยใู่ นสงั คมท่ี มคี วามซับซอ้ น มคี วามเส่ยี งและเปน็ อนั ตรายมากข้นึ จากการเข้าสู่ประเทศไทย 4.0 ซ่งึ เปน็ สงั คมความรู้ การดำ� รงชวี ติ ของคนจำ� เปน็ ตอ้ งใชค้ วามรู้ นวตั กรรมและเทคโนโลยขี น้ั สงู คนในสงั คมตอ้ งเปน็ ผมู้ สี มรรถนะ มสธ มสธทั้งในด้านการด�ำรงชีวิต การท�ำงาน และความร่วมมือในการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ประเทศ จากการวิเคราะห์สถานการณ์ทางสังคมเพ่ือการน�ำไปสู่ประเทศไทย 4.0 ได้อย่างมีคุณภาพว่า ศักยภาพ และระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยหลายด้านยังตํ่ากว่าเป้าหมาย และไม่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมบนฐานความรู้ ปัญหาส�ำคัญ เช่น การศึกษาและการเรียนรู้ของคนไทยยังมีปัญหา เชงิ คณุ ภาพ เดก็ ปฐมวยั ยงั มพี ฒั นาการทลี่ า่ ชา้ กวา่ วยั เพราะครอบครวั ไมม่ คี วามรแู้ ละขาดเวลาในการเลยี้ ง ดูอย่างเหมาะสม และเด็กวัยเรียนยังมีปัญหาด้านสติปัญญาเพราะคุณภาพการศึกษาไทยอยู่ในระดับต่ํา ประกอบกับคุณภาพคนที่ยังตํ่าในทุกช่วงวัยท่ีจะส่งผลกระทบต่อเน่ืองกัน ก็จะยิ่งเป็นอุปสรรคส�ำหรับ มสธการพัฒนาประเทศ ต้ังแต่พัฒนาการไม่สมวัยในเด็กปฐมวัย ผลลัพธ์ทางการศึกษาของเด็กวัยเรียน
2-26 การจัดการศกึ ษาและหลักสูตรส�ำ หรับเด็กปฐมวยั คอ่ นขา้ งตาํ่ รวมทงั้ การเลอื่ นไหลของวฒั นธรรมตา่ งชาตทิ เ่ี ขา้ มาในประเทศไทยผา่ นสงั คมยคุ ดจิ ทิ ลั โดยท่ี มสธคนไทยจ�ำนวนไม่น้อยยังไม่สามารถคัดกรองและเลือกรับวัฒนธรรมได้อย่างเหมาะสม ส่งผลต่อวิกฤต ค่านิยม ทัศนคติและพฤติกรรมในการด�ำเนินชีวิต (ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แหง่ ชาติ, 2560, น. 10-11) ข้อมูลดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า สมรรถนะของบุคคลในสังคมท่ีเร่ิมจากเด็กปฐมวัย ยังอยู่ มสธ มสธในสถานการณ์ท่ีต้องได้รับการพัฒนาและแก้ไข เด็กปฐมวัยควรได้รับการหล่อหลอมเพื่อวางรากฐาน ทั้งความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะของการมีชีวิตอย่างมีคุณภาพท่ามกลางสังคมที่เปล่ียนแปลงได้อย่าง เขม้ แขง็ เชน่ เดก็ ตอ้ งไดร้ บั การดแู ลสขุ ภาพทแี่ ขง็ แรงทงั้ ทางรา่ งกายและจติ ใจ ความฉลาดทางอารมณ์ รจู้ กั การปรับตวั และแสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมกบั สถานการณ์ เพ่อื การมีชีวติ อยา่ งมคี วามสุข มีความ สามารถรับและเลือกเรียนรู้จากสภาพสังคมท่ีมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้อย่างเหมาะสม การมี ความรับผิดชอบและมีวินัยในตนเอง สามารถควบคุมตนเองและแสดงออกทางพฤติกรรมในทางบวก มสธตลอดจนการสร้างจิตส�ำนึกของการเป็นผู้มีจิตอาสาท่ีจะช่วยเหลือสังคมโดยส่วนร่วม การมีคุณธรรม จริยธรรม รู้จกั เสยี สละและบำ� เพ็ญตนใหเ้ ปน็ ประโยชน์ต่อสังคม ดงั นัน้ หลกั สูตรการศึกษาปฐมวัยจ�ำเป็น ต้องตระหนกั ถึงขอ้ มลู ของปัจจยั ทางสังคมท้งั ในส่วนท่สี ร้างโอกาสในการเรียนร้เู พ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มี สมรรถนะสำ� หรบั การก้าวสูส่ ังคมประเทศไทย 4.0 ทตี่ อ้ งให้ความส�ำคญั กับหลกั สตู รที่ยดึ ผเู้ รียนเป็นส�ำคญั เปน็ เดก็ ปฐมวยั ทมี่ ที กั ษะการคดิ และทกั ษะชวี ติ เปน็ ผทู้ สี่ ามารถปฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ ดว้ ยตนเอง หลกั สตู รตอ้ งเปดิ มสธ มสธโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้และแสวงหาความรู้ท่ีก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่มีความแปลกใหม่ และเกิดประโยชน์ อย่างสร้างสรรค์ โดยบูรณาการการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนแก่เด็กท้ังที่บ้าน สถานศึกษา ชุมชนและสังคมอย่าง เป็นปกึ แผ่น เด็กปฐมวัยตอ้ งได้รบั โอกาสและมีอสิ ระในการเรียนรู้ เพ่อื ค้นพบความถนัดและศักยภาพของ ตนเอง ขณะเดียวกันสภาวะของเด็กปฐมวัยท่ีพบว่า มีความอ่อนแอทั้งด้านการเรียนรู้และการด�ำรงชีวิต ส่งผลท�ำให้เด็กมีคุณลักษณะท่ีไม่พึงประสงค์ในหลายประการ อันเนื่องมาจากการถูกครอบง�ำทางสังคม ทีเ่ ด็กยงั ขาดวุฒิภาวะและการอบรมเลยี้ งดูทีเ่ หมาะสม ในสว่ นนี้หลกั สูตรปฐมวัยควรต้องสรา้ งเป้าหมายที่ มสธสำ� คญั คอื การสรา้ งความสขุ ใหเ้ ดก็ ในการเรยี นรู้ และการเรยี นรทู้ เ่ี กดิ จากความรว่ มมอื และความตระหนกั ของทุกภาคส่วนของสังคมท่ีต้องเข้าใจตรงกันว่าเด็กปฐมวัยเป็นช่วงวัยส�ำคัญของการวางรากฐานชีวิต ทีด่ งี าม เดก็ วยั นี้มีความพร้อมส�ำหรับการเรยี นรู้ที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเรว็ หากทุกฝา่ ยของสงั คมมี ความเข้าใจและร่วมมือกันในการสร้างสรรค์ และคัดกรองสิ่งท่ีดีและมีคุณค่าให้แก่เด็ก ย่อมส่งผลต่อการ เจริญเติบโตและการเรยี นรขู้ องเดก็ ในระยะยาว มสธ มสธกิจกรรม2.2.1 จงอธิบายปัจจัยดา้ นเศรษฐกิจ การเมอื งและสงั คม ทน่ี ำ� มาใช้เปน็ แนวทางในการพัฒนาหลกั สูตร มสธการศึกษาปฐมวยั
แนวคิดเกยี่ วกบั หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั 2-27 มสธแนวตอบกิจกรรม 2.2.1 ปจั จยั ดา้ นเศรษฐกจิ การเมอื ง และสงั คม เปน็ ปจั จยั ทมี่ คี วามสำ� คญั สำ� หรบั การนำ� ไปประกอบการ พัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย มดี งั น้ี 1. ปจั จยั ดา้ นเศรษฐกจิ ทอี่ ยใู่ นภาวะการเปลย่ี นแปลงทสี่ ง่ ผลกระทบตอ่ วถิ ชี วี ติ ของครอบครวั และ เกดิ อปุ สรรคในการพฒั นาเดก็ เชน่ ภาวะเศรษฐกจิ ในชมุ ชนเมอื งทสี่ งู ขนึ้ ครอบครวั ทย่ี ากจนตอ้ งมาทำ� งาน มสธ มสธในเมอื ง ท�ำใหเ้ ด็กไมไ่ ดอ้ ย่กู ับพ่อแม่ และปัญหารายไดข้ องครอบครัวท่ีแตกตา่ งกันได้สง่ ผลตอ่ การเล้ยี งดู เด็ก ฯลฯ 2. ปัจจัยด้านการเมือง นโยบายของรัฐบาลท่ีต้องการปฏิรูปการศึกษาเพ่ืออนาคตประเทศไทย ม่นั คง มงั่ คัง่ ยัง่ ยืน ดว้ ยการพฒั นาคุณภาพผู้เรยี น และส่งเสริมการเรยี นรู้ทเ่ี ร่ิมต้นจากเด็กปฐมวัย ใหไ้ ด้ รับการพัฒนาที่เหมาะสมเพื่อให้เด็กเติบโตเป็นคนดี คนเก่ง และสร้างสรรค์สังคมให้ก้าวหน้าและร่มเย็น เป็นสุข มสธ3. ปจั จยั ดา้ นสงั คม สภาพการณท์ างสงั คมในยคุ โลกาภวิ ตั น์ สถานการณท์ างสงั คม ประเทศไทย 4.0 ที่พบปัญหาเด็กปฐมวัยมีพัฒนาการล่าช้าไม่สมวัย โดยเฉพาะปัญหาด้านสติปัญญาที่เป็นอุปสรรค ตอ่ การพัฒนาประเทศ มสธ มสธเร่ืองที่2.2.2 ปัจจัยด้านวิทยาการและเทคโนโลยี มสธ“การพยายามศึกษาวิทยาการและเทคโนโลยีอันก้าวหน้าทุกสาขาจากท่ัวโลก แล้วเลือกสรรส่วน ท่ีส�ำคัญเป็นประโยชน์น�ำมาปรับปรุงใช้ให้พอดี พอเหมาะกับสภาพและฐานะของประเทศเรา เพื่อช่วยให้ ประเทศของเราสามารถน�ำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาใช้พัฒนางานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่สิ้น เปลือง” มสธ มสธพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในโอกาสเสด็จพระราชด�ำเนิน เปดิ งานพระจอมเกลา้ ลาดกระบงั นทิ รรศน์ 26 ณ สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ วทิ ยาเขตเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง เมื่อวันที่ 16 มถิ ุนายน 2526 จากพระบรมราชาโชวาทดังกลา่ ว นับว่ามีความสอดคลอ้ งกับการเปลี่ยนแปลงด้านวิทยาการและ เทคโนโลยใี นสงั คมทเ่ี กดิ ขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ดงั สถานการณข์ องสงั คมโลกในปจั จบุ นั ทมี่ กี ารเปลยี่ นแปลงทาง มสธวทิ ยาการและเทคโนโลยอี ยา่ งรวดเรว็ และเชอ่ื มโยงใกลช้ ดิ กนั สง่ ผลทำ� ใหม้ กี ารพฒั นาเทคโนโลยสี ารสนเทศ
2-28 การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รสำ�หรบั เด็กปฐมวยั อินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ให้เข้ามาเป็นส่วนหน่ึงของการดำ� รงชีวิตของคนทุกวัยท่ีสามารถ มสธใช้ได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว และสะดวกสบายในโลกไร้พรมแดน ความก้าวหน้าทางวิทยาการและ เทคโนโลยี จึงเป็นเครื่องมือส�ำคัญในการพัฒนาประเทศในทุกด้าน ส�ำหรับด้านการศึกษา วิทยาการและ เทคโนโลยจี ะเปน็ การเพมิ่ โอกาสในการพฒั นาและแกป้ ญั หาความเหลอื่ มลา้ํ ของสงั คม การศกึ ษากอ่ ใหเ้ กดิ การกระจายทรพั ยากรและโอกาสทท่ี วั่ ถงึ เทา่ เทยี มและเปน็ ธรรมยง่ิ ขนึ้ (กระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและ มสธ มสธการส่ือสาร, 2559, น. 1) วทิ ยาการและเทคโนโลยจี งึ เป็นส่วนสำ� คัญกับการด�ำรงชีวติ และการพฒั นาสังคม ในทุกดา้ น ดงั ท่แี ผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 12 มุ่งเน้นให้มกี ารพฒั นานวัตกรรม และ นำ� มาใชเ้ ปน็ ปจั จยั ขบั เคลอ่ื นการพฒั นาในทกุ มติ ิ เพอ่ื ยกระดบั ศกั ยภาพของประเทศในทกุ ดา้ น (สำ� นกั งาน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ส�ำนักงานนายกรัฐมนตรี, 2560, น. 13-14, 24) วิทยาการและเทคโนโลยีท่ีเกิดข้ึนและหากมีการน�ำมาเลือกสรรและปรับปรุงให้เหมาะสมตามแนวทางของ พระบรมราโชวาทดงั กลา่ ว ย่อมก่อใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงในทุกภาคส่วนของสงั คมในทางกา้ วหนา้ มสธส�ำหรับเด็กปฐมวัย วิทยาการและเทคโนโลยีได้เข้ามีบทบาทต่อการด�ำรงชีวิตของเด็กเป็นอย่าง มาก เดก็ ปฐมวัยที่เกดิ ตั้งแตป่ ี ค.ศ. 2000 จนถึงปจั จบุ นั ซึ่งอยู่ในสังคมทีเ่ รียกวา่ ยคุ ดิจทิ ัล ที่มกี ารพ่งึ พา วิทยาการและเทคโนโลยีในการด�ำรงชีวิตและกิจกรรมต่างๆ ท�ำให้เด็กมีความคุ้นเคยกับวิทยาการและ เทคโนโลยที ่หี ลากหลาย เช่น โทรทศั น์ คอมพวิ เตอร์ สมารท์ โฟนและแทบ็ เล็ต และการติดต่อสือ่ สารผ่าน สงั คมออนไลน์ ฯลฯ สงิ่ เหลา่ นจี้ งึ มคี วามเกยี่ วขอ้ งกบั เดก็ ปฐมวยั ทงั้ ในระดบั ครอบครวั สถานศกึ ษา ชมุ ชน มสธ มสธและสงั คม ซ่ึงสามารถอธิบายได้ดงั นี้ 1. วิทยาการและเทคโนโลยีท่ีเกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยในระดับครอบครัว เปน็ ความเชอื่ มโยงของ การใชว้ ทิ ยาการและเทคโนโลยสี ำ� หรบั การดำ� รงชวี ติ ประจำ� วนั ในครอบครวั ดงั ทพี่ บเหน็ โดยทวั่ ไปวา่ ความ ก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยีส่งผลให้ครอบครัวมีการน�ำอุปกรณ์ อันทันสมัยมาใช้ในครอบครัว ทง้ั ในดา้ นการอำ� นวยความสะดวกและการสอ่ื สาร ในดา้ นการอำ� นวยความสะดวกทเ่ี ดก็ มคี วามคนุ้ เคย เชน่ การอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เคร่ืองซักผ้า และอาหารส�ำเร็จรูปในลักษณะต่างๆ ท่ี มสธสามารถนำ� มาปรงุ หรอื รบั ประทานไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ โดยไมต่ อ้ งผา่ นกระบวนการประกอบอาหาร และในดา้ น การส่ือสารจะพบว่า วทิ ยาการและเทคโนโลยดี ้านการสอ่ื สารในระดบั ครอบครวั มีความกา้ วหน้าและเข้าถงึ ท้ังในเมอื งและชนบท ดังจะเห็นได้จากเด็กปฐมวัยสามารถตดิ ตอ่ สอ่ื สารดว้ ยการใชค้ อมพิวเตอร์ โทรศพั ท์ มือถอื สมารท์ โฟน และแทบ็ เล็ต อกี ทงั้ มกี ารใชส้ ือ่ อ่ืนๆ ที่ทนั สมัยในครอบครวั เช่น โทรทัศน์ วิดีโอ และ คอมพวิ เตอร์ ฯลฯ มสธ มสธ2. วิทยาการและเทคโนโลยีท่ีเกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยในระดับสถานศึกษา จากความก้าวหน้า ของวิทยาการและเทคโนโลยีการศึกษาที่เกิดข้ึน ได้ส่งผลให้มีการพัฒนาระบบการศึกษาด้วยการน�ำ วิทยาการและเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเคร่ืองมือส�ำหรับการจัดการศึกษาท่ีช่วยให้เด็กประสบผลส�ำเร็จในการ เรยี นรอู้ ยา่ งกวา้ งขวาง ดงั ตวั อยา่ งเชน่ คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนทมี่ ที ง้ั ภาพเคลอื่ นไหวและเสยี ง ทเ่ี ดก็ สามารถ เรยี นรู้ไดด้ ้วยตนเอง รายการโทรทัศนเ์ พอ่ื การศึกษา ระบบอนิ เทอรเ์ นต็ ทใ่ี ห้ผู้สอนและเด็กสามารถเขา้ ถึง มสธความรู้หรือกิจกรรมได้ตามความสนใจอย่างรวดเร็ว วิธีการจัดการเรียนรู้แนวใหม่ที่เข้าถึงธรรมชาติและ
แนวคิดเกีย่ วกบั หลักสูตรการศึกษาปฐมวยั 2-29 ความตอ้ งการของเดก็ ส่ือ การจัดสภาพแวดล้อม และแหล่งการเรียนรู้ที่มกี ารนำ� วทิ ยาการและเทคโนโลยี มสธมาผสมผสาน เพื่อกระตุ้นให้เด็กสนใจและเกิดความอยากรอู้ ยากเหน็ เป็นต้น 3. วิทยาการและเทคโนโลยีท่ีเกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยในระดับชุมชนและสังคม จากความ ก้าวหน้าของวิทยาการและเทคโนโลยี ท�ำให้ชุมชนและสังคมท่ีแวดล้อมตัวเด็กมีการเปลี่ยนแปลงท่ีส่งผล ต่อคุณภาพชีวิตของเด็กในชุมชนและสังคมท่ีดีขึ้น ดังตัวอย่างเช่น การจัดศูนย์การเรียนรู้ในชุมชนให้เด็ก มสธ มสธไดเ้ ขา้ มาใชบ้ รกิ ารเรยี นรผู้ า่ นสอื่ และเทคโนโลยไี ดอ้ ยา่ งรวดเรว็ การจดั ทำ� สนามเดก็ เลน่ สวนสาธารณะดว้ ย ส่อื และอปุ กรณ์ทีท่ นั สมยั และเหมาะสมกบั พฒั นาการเด็ก การจัดท�ำรายการโทรทศั น์ส�ำหรับเด็ก และการ สรา้ งความรว่ มมอื ระหวา่ งหนว่ ยงานในการจดั กจิ กรรมใหแ้ กเ่ ดก็ ทง้ั ในดา้ นวชิ าการและบนั เทงิ ในทสี่ าธารณะ ฯลฯ จากข้อมูลดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นว่า เด็กปฐมวัยในยุคดิจิทัลท่ีด�ำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความเจริญ ก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยีท่ใี หค้ วามสะดวกและรวดเร็วในการดำ� รงชีวิต เดก็ จำ� เป็นตอ้ งเรียนรู้ มสธและปรับตัวให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึน ผู้ที่เกี่ยวข้องในการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่ เดก็ ปฐมวัย จำ� เปน็ ตอ้ งตระหนกั ว่าปจั จัยดา้ นวิทยาการและเทคโนโลยไี ด้เข้ามามีอิทธพิ ลต่อการด�ำรงชวี ติ และการเรียนรู้ของเด็ก การพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีความพร้อมเพื่อการมีชีวิตอยู่ในสังคมท่ามกลางการ เปลยี่ นแปลงไดอ้ ยา่ งรเู้ ทา่ ทนั และปรบั ตวั ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั จำ� เปน็ ตอ้ งพจิ ารณา ขอ้ มลู เกย่ี วกบั ปจั จยั ทางวทิ ยาการและเทคโนโลยที เ่ี กดิ ขน้ึ จำ� นวนมาก โดยการเลอื กสรรในสงิ่ ทมี่ คี ณุ คา่ มา มสธ มสธประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสม หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั จงึ ควรตอ้ งมกี ารวางแผนกำ� หนดแนวทางของหลกั สตู ร ในลกั ษณะตอ่ ไปนี้ 1. หลักสูตรท่ีพัฒนาการคิด การฝึกให้เด็กคิดในมิติต่างๆ เช่น การคิดแก้ปัญหา การคิด สร้างสรรค์ การคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีเหตุผล การคิดจินตนาการ และการคิดอย่างเป็นระบบ ฯลฯ การคดิ เหลา่ นนี้ บั เปน็ สงิ่ จำ� เปน็ ตอ่ การพฒั นาเดก็ ใหม้ คี วามสามารถในการคดิ ทห่ี ลากหลาย เพอื่ ใชป้ ระโยชน์ ตอ่ การเรยี นรู้ และการดำ� รงชวี ติ ในภาวะทอ่ี ยทู่ า่ มวทิ ยาการและเทคโนโลยไี ดอ้ ยา่ งมภี มู คิ มุ้ กนั และสามารถ มสธคดิ ทจี่ ะเลอื กใชว้ ทิ ยาการและเทคโนโลยไี ดอ้ ยา่ งชาญฉลาด หลกั สตู รตอ้ งสนบั สนนุ ใหเ้ ดก็ ไดฝ้ กึ การคดิ ผา่ น การลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และการเรียนรู้ด้วยวิธีการแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาที่เก่ียวข้องกับตนเอง ในชวี ติ ประจ�ำวัน เพือ่ เปน็ การสร้างเสรมิ ทกั ษะชวี ติ ทีเ่ ข้มแข็งให้แกเ่ ด็ก 2. หลักสูตรท่ีมีการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี การพัฒนาเด็กปฐมวัยแนวใหม่ควรให้ความ สำ� คญั กบั การจัดการศกึ ษา โดยใชห้ ลกั สูตรท่ีมคี วามเป็นนวัตกรรม หมายถงึ หลกั สตู รที่จัดเตรยี มความรู้ มสธ มสธและประสบการณ์ที่สอดคล้องกับการด�ำรงชีวิตในสังคมท่ีมีความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยี เด็กจ�ำเป็นต้องได้รับการสร้างความเข้มแข็งท้ังทางร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญา โดย หลกั สตู รตอ้ งมกี ารนำ� นวตั กรรมและเทคโนโลยมี าใชจ้ ดั ประสบการณใ์ นหลายมติ ิ เชน่ นทิ านอบี คุ๊ (e-book) ซีดีรอม และคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ฯลฯ นวัตกรรมและเทคโนโลยีจึงเป็นความจ�ำเป็นส�ำหรับการศึกษา แนวใหมท่ ีช่ ว่ ยให้เด็กไดเ้ รยี นร้แู ละมปี ระสบการณท์ ี่กา้ วไกลและรวดเรว็ ตลอดจนเป็นการสรา้ งโอกาสและ ความเสมอภาคใหแ้ กเ่ ดก็ อยา่ งทวั่ ถงึ แตใ่ นขณะเดยี วกนั การใชน้ วตั กรรมและเทคโนโลยใี นหลกั สตู รจำ� เปน็ มสธตอ้ งมกี ารคดั กรองและนำ� มาใชอ้ ยา่ งเหมาะสม ยอ่ มทำ� ใหก้ ารพฒั นาเดก็ ปฐมวยั เปน็ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
2-30 การจดั การศกึ ษาและหลกั สตู รส�ำ หรบั เด็กปฐมวยั 3. หลกั สตู รทถี่ กู ใชโ้ ดยผทู้ ม่ี คี วามเชย่ี วชาญ ผทู้ ที่ ำ� หนา้ ทใ่ี นการจดั การศกึ ษาตามหลกั สตู รจำ� เปน็ มสธต้องมีความเช่ียวชาญทั้งความรู้ และทักษะในสถานการณ์ใหม่ โดยต้องตระหนักว่าเด็กปฐมวัยเติบโต ทา่ มกลางวทิ ยาการและเทคโนโลยที หี่ ลากหลาย เดก็ สว่ นใหญม่ โี อกาสเรยี นรแู้ ละมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั วทิ ยาการ และเทคโนโลยี เช่น เดก็ วยั 4 ขวบ สามารถใชโ้ ทรศัพท์ในการสอ่ื สารกบั ผอู้ น่ื ไดด้ ้วยตนเอง สามารถกด และเล่นเกมคอมพิวเตอรด์ ้วยตนเอง ประกอบกบั การทเ่ี ดก็ สามารถเข้าถึงส่อื ตา่ งๆ เพอ่ื การเรียนรู้ได้ดว้ ย มสธ มสธตนเอง ทำ� ใหก้ ารดำ� รงชวี ติ และการเรยี นรขู้ องเดก็ เกดิ ขน้ึ อยา่ งทา้ ทายทง้ั ทบี่ า้ น โรงเรยี น และสงั คมรอบดา้ น ดังน้ัน ผู้ที่ท�ำหน้าที่ในการจัดการศึกษาตามหลักสูตร จึงจ�ำเป็นต้องวิเคราะห์สถานการณ์ในบริบทของ สงิ่ แวดลอ้ มทเี่ กดิ ขน้ึ กบั เดก็ การจดั การศกึ ษาแบบเดมิ ทก่ี ำ� หนดขนึ้ โดยผสู้ อนฝา่ ยเดยี วอาจไมท่ ำ� ใหเ้ ดก็ ได้ รบั การพฒั นาทเ่ี หมาะสม ผสู้ อนจำ� เปน็ ตอ้ งพฒั นาตนเองใหม้ คี วามเชย่ี วชาญ และสามารถทำ� หนา้ ทใี่ หเ้ ดก็ ไดร้ บั การพฒั นาและส่งเสริมการเรยี นรทู้ สี่ อดคล้องกบั ความตอ้ งการ และเหมาะสมกบั ภาวะทางวิทยาการ และเทคโนโลยที ่กี า้ วหนา้ อยา่ งรวดเรว็ มสธ4. หลักสูตรสร้างเสริมปฏิสัมพันธ์ทางสังคม จากปัจจัยทางวิทยาการและเทคโนโลยีท่ีเกิดขึ้น อยา่ งมากมาย ส่งิ เหล่านอี้ าจมที ้ังขอ้ ดแี ละข้อจำ� กัด ดงั ตัวอย่างเช่น การเปดิ โอกาสใหเ้ ด็กไดเ้ รียนรแู้ ละท�ำ กิจกรรมโดยใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนรู้ ซ่ึงช่วยให้เด็กเกิดความสนุกสนานและเรียนรู้ส่ิงต่างๆ ได้ อย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันอาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม หากเด็กต้องมีกิจกรรมกับสื่อเหล่านี้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งเปน็ ระยะเวลานานทงั้ ทบี่ า้ นและโรงเรยี น จนทำ� ใหเ้ ดก็ ขาดปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คมกบั ผอู้ นื่ หรอื มสธ มสธมีการเลียนแบบพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสม หลักสูตรปฐมวัยควรเปิดโอกาสให้เด็กได้ท�ำกิจกรรมกับผู้อ่ืน ท้ังกลุ่มเล็กและกลุม่ ใหญ่ เพอ่ื ให้เด็กไดเ้ รยี นรพู้ ฤติกรรมที่เหมาะสม เชน่ การชว่ ยเหลือ การแบง่ ปนั การ แสดงมารยาทที่เหมาะสม ความรบั ผดิ ชอบ ความเอ้ือเฟอ้ื และความสามคั คี ฯลฯ ดังนั้น หลักสูตรทีเ่ นน้ การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของเด็กปฐมวัยจึงมีความส�ำคัญ จากผลกระทบของการพ่ึงพาวิทยาการและ เทคโนโลยี ทำ� ใหเ้ ดก็ ขาดโอกาสในการปลกู ฝงั การอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ น่ื และการปฏบิ ตั ติ นในฐานะสมาชกิ ทด่ี ขี อง สังคม การสร้างเสริมปฏิสัมพันธ์ทางสังคมผ่านกิจกรรมในหลักสูตร นับเป็นแนวทางที่เหมาะสมกับ มสธพัฒนาการทางสังคมของเด็กในทางที่ดีงาม และเป็นการสนับสนุนให้เด็กได้เรียนรู้และปรับตัวอยู่ในสังคม ท่ีมีความกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาการและเทคโนโลยีไดอ้ ย่างมคี วามสขุ จากทศิ ทางของหลกั สตู รในลกั ษณะดงั กลา่ ว สรปุ ไดว้ า่ วทิ ยาการและเทคโนโลยที เ่ี ปลยี่ นแปลงและ กา้ วหน้าอย่างรวดเร็วและตอ่ เนื่อง หลกั สูตรปฐมวยั จำ� เปน็ ต้องให้ความสำ� คญั กับการพฒั นาเด็กปฐมวยั ให้ เปน็ ผทู้ ส่ี ามารถดำ� รงชวี ติ อยใู่ นสงั คมทม่ี คี วามกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาการและเทคโนโลยไี ดอ้ ยา่ งชาญฉลาด และ มสธ มสธรู้เทา่ ทนั การเปลยี่ นแปลง ตลอดจนสามารถใช้และสรา้ งสรรค์วทิ ยาการและเทคโนโลยใี หเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ ตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม กิจกรรม 2.2.2 จงอธิบายปัจจัยด้านวิทยาการและเทคโนโลยีท่ีน�ำมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรการ มสธศึกษาปฐมวัย
แนวคิดเกีย่ วกับหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั 2-31 มสธแนวตอบกิจกรรม 2.2.2 ปัจจัยด้านวิทยาการและเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทต่อการด�ำรงชีวิตของเด็กปฐมวัยท่ีประกอบ ดว้ ย วทิ ยาการและเทคโนโลยที เี่ กยี่ วขอ้ งกบั เดก็ ปฐมวยั ทงั้ ในระดบั ครอบครวั ระดบั สถานศกึ ษา และระดบั ชมุ ชนและสงั คม ทศิ ทางของหลกั สตู รจงึ จำ� เปน็ ตอ้ งศกึ ษาขอ้ มลู เกย่ี วกบั วทิ ยาการและเทคโนโลยที เี่ กยี่ วขอ้ ง กับเดก็ เพ่อื ใหเ้ ด็กสามารถด�ำรงชีวิตในสังคมที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยีไดอ้ ยา่ งชาญ มสธ มสธฉลาด และรเู้ ท่าทันการเปลย่ี นแปลง และนำ� มาซ่ึงประโยชนต์ ่อตนเองและสังคมไดอ้ ย่างเหมาะสม เร่ืองท่ี 2.2.3 มสธปัจจัยด้านนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยท่ีมีความเหมาะสม จ�ำเป็นต้องให้ความส�ำคัญกับปัจจัยด้านนโยบาย มสธ มสธการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ทอ่ี ยภู่ ายใตก้ ารดำ� เนนิ งานการจดั การศกึ ษาของสถานศกึ ษานนั้ ๆ ปจั จยั ดา้ นนโยบาย การพฒั นาเด็กปฐมวัยทีเ่ กี่ยวข้องกบั หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั มดี งั น้ี 1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซ่ึงมีการประกาศใช้เมื่อวันท่ี 6 เมษายน 2560 ได้ก�ำหนดมาตราในส่วนท่ีสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพ่ือน�ำมาใช้เป็น แนวทางในการจดั ทำ� หลักสตู รการศึกษาปฐมวัย ดงั นี้ มาตรา 4 ศักดศ์ิ รคี วามเปน็ มนษุ ย์ สทิ ธิ เสรภี าพ และความเสมอภาคของบคุ คล ยอ่ มไดร้ บั ความ มสธคุม้ ครอง มาตรา 54 รฐั ต้องดำ� เนินการใหเ้ ดก็ ทุกคนได้รบั การศึกษาเปน็ เวลาสิบสองปี ตั้งแต่กอ่ นวัยเรยี น จนจบการศกึ ษาภาคบงั คับอย่างมีคณุ ภาพ โดยไม่เกบ็ คา่ ใชจ้ า่ ย รัฐต้องด�ำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาตามวรรคหนึ่ง เพ่ือ พฒั นาร่างกาย จติ ใจ วนิ ัย อารมณ์ สงั คม และสติปญั ญาใหส้ มกับวัย โดยส่งเสริมและสนบั สนุนให้องค์กร มสธ มสธปกครองส่วนท้องถนิ่ และภาคเอกชนเขา้ มีส่วนร่วมในการดำ� เนินการดว้ ย รฐั ตอ้ งดำ� เนนิ การใหป้ ระชาชนไดร้ บั การศกึ ษาตามความตอ้ งการในระบบตา่ งๆ รวมทง้ั สง่ เสรมิ ให้ มีการเรียนรู้ตลอดชวี ิต และจัดให้มีการร่วมมือกันระหวา่ งรัฐ องคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ิน และภาคเอกชน ในการจัดการศกึ ษาทกุ ระดับ โดยรัฐมีหน้าท่ีดำ� เนนิ การ ก�ำกับ สง่ เสริม และสนบั สนุนให้การจดั การศกึ ษา ดงั กลา่ วมีคณุ ภาพและไดม้ าตรฐานสากล การศกึ ษาทั้งปวงต้องมงุ่ พฒั นาผเู้ รียนใหเ้ ปน็ คนดี มวี ินยั ภมู ิใจในชาติ มีความเชย่ี วชาญได้ตาม มสธความถนดั ของตน และมคี วามรับผิดชอบตอ่ ครอบครัว ชมุ ชน สงั คมและประเทศชาติ
2-32 การจัดการศึกษาและหลกั สตู รสำ�หรบั เดก็ ปฐมวัย 2. สิทธิเด็ก สิทธิเด็กเป็นสิทธิมนุษยชนพ้ืนฐานที่เด็กทุกคนท่ัวโลกพึงได้รับการคุ้มครองตาม มสธกฎหมายทเี่ รยี กวา่ อนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ (Convention on the Rights of the Child) คอื ขอ้ ตกลง ระหว่างประเทศท่ีจัดท�ำขึ้นโดยสหประชาชาติ โดยได้รับการรับรองจากที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (United Nations General Assembly) เม่อื ปี พ.ศ. 2532 อนุสญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ นี้ไดก้ ำ� หนดให้ผทู้ ี่ ทำ� หนา้ ทใ่ี นการอบรมเลย้ี งดแู ละดแู ลเดก็ ทมี่ อี ายตุ า่ํ กวา่ 18 ปี ตอ้ งมบี ทบาททำ� หนา้ ทหี่ ลกั ในทางทเี่ หมาะสม มสธ มสธและรับประกนั สทิ ธิตอ่ ไปนีแ้ กเ่ ดก็ (โจน อ.ี เดอรแ์ รนท,์ 2007, ค�ำน�ำ) คือ 1) สิทธิท่ีจะมีชีวิตรอดอยู่ได้และมีโอกาสที่จะได้พัฒนาศักยภาพของตนอย่างถึงท่ีสุด ด้วย การใหม้ อี าหาร ทพ่ี กั อาศยั นาํ้ สะอาด การศกึ ษา บรกิ ารดา้ นสขุ ภาพ การพกั ผอ่ นและนนั ทนาการ กจิ กรรม ทางวัฒนธรรม ข้อมลู ข่าวสารเกย่ี วกบั สทิ ธิ และศกั ดิ์ศรขี องตนเองอยา่ งเพยี งพอ 2) สิทธทิ ี่จะได้รับการปกป้องคมุ้ ครองให้ปลอดจากความรุนแรง ในสิ่งต่อนี้ คอื การละเลย ทอดท้ิง การแสวงประโยชน์ และการทารุณกรรม มสธ3) สิทธิท่ีจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ โดยแสดงความคิดเห็นของตนเองและความคิดเห็น นั้นได้รับความเคารพ มีสิทธิที่จะออกความเห็นในเรื่องที่มีผลกระทบต่อตัวเด็กเอง มีโอกาสเข้าถึงข้อมูล ขา่ วสาร และสามารถท่จี ะพบปะสงั สรรคก์ ับคนอ่ืนๆ ไดอ้ ยา่ งเป็นอสิ ระ 3. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และท่ีได้แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ไดก้ ำ� หนดหมวด 4 แนวการจดั การศกึ ษาทจี่ ำ� เปน็ ตอ่ การนำ� มากำ� หนดเปน็ แนวทางของหลกั สตู ร มสธ มสธการศกึ ษาปฐมวัย (ส�ำนกั งานคณะกรรมการกฤษฎกี า, 2556, น. 6-8) ดังน้ี มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผเู้ รียนทุกคนมคี วามสามารถเรียนร้แู ละพฒั นาตนเอง ได้ และถอื วา่ ผเู้ รยี นมคี วามสำ� คญั ทส่ี ดุ กระบวนการจดั การศกึ ษาตอ้ งสง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นสามารถพฒั นาตาม ธรรมชาตแิ ละเต็มตามศักยภาพ มาตรา 23 การจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตาม อธั ยาศยั ตอ้ งเนน้ ความสำ� คัญทงั้ ความรู้ คณุ ธรรม กระบวนการเรยี นรูแ้ ละบรู ณาการตามความเหมาะสม มสธของแตล่ ะระดบั การศึกษา มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ใหส้ ถานศึกษาและหน่วยงานท่เี กีย่ วข้องด�ำเนนิ การ ดังตอ่ ไปนี้ 1) จัดเน้ือหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดย ค�ำนงึ ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล มสธ มสธ2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้ มาใชเ้ พือ่ ป้องกนั และแก้ไขปญั หา 3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ท�ำได้ คิดเป็น ท�ำเป็น รกั การอ่าน และเกดิ การใฝ่รอู้ ย่างต่อเนอื่ ง 4) จัดการเรียนการสอน โดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วน สมดุลกัน มสธรวมทง้ั ปลกู ฝงั คณุ ธรรม ค่านยิ มทด่ี ีงาม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
แนวคิดเก่ียวกบั หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวัย 2-33 5) สง่ เสรมิ สนบั สนนุ ใหผ้ สู้ อนสามารถจดั บรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม สอ่ื การเรยี น และอำ� นวย มสธความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของ กระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากส่ือการเรียนการสอนและแหล่ง วิทยาการประเภทตา่ งๆ 6) จดั การเรยี นรใู้ หเ้ กดิ ขนึ้ ไดท้ กุ เวลาทกุ สถานท่ี มกี ารประสานความรว่ มมอื กบั บดิ า มารดา มสธ มสธผู้ปกครอง และบุคคลในชมุ ชนทุกฝา่ ย เพอื่ ร่วมกันพฒั นาผู้เรียนตามศักยภาพ มาตรา 26 ใหส้ ถานศึกษาจัดการประเมนิ ผูเ้ รยี น โดยพจิ ารณาจากพัฒนาการของผูเ้ รยี น ความ ประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียน การสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดบั และรูปแบบการศกึ ษา มาตรา 28 หลักสูตรการศึกษา ต้องมีลักษณะหลากหลายตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ โดยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลให้เหมาะสมแก่วัยและศักยภาพ ต้องมุ่งพัฒนาคนให้มีความสมดุล ทง้ั ด้านความรู้ ความคดิ ความสามารถ ความดีงาม และความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม มสธมาตรา 30 ให้สถานศึกษาพฒั นากระบวนการเรียนการสอนทมี่ ีประสิทธิภาพ รวมทง้ั การส่งเสรมิ ใหผ้ สู้ อนสามารถวจิ ยั เพือ่ พฒั นาการเรียนรู้ท่เี หมาะสมกบั ผเู้ รยี นในแตล่ ะระดับ 4. แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 ที่มกี ารน�ำยุทธศาสตรช์ าติ (National Strategy) มาเปน็ กรอบความคดิ ในการกำ� หนดวสิ ยั ทศั นใ์ หค้ นไทยทกุ คนไดร้ บั การศกึ ษาและเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ อยา่ งมี มสธ มสธคุณภาพ ด�ำรงชีวิตอย่างเป็นสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลง ของโลกศตวรรษที่ 21 โดยมีเป้าหมายด้านผู้เรียน (learner aspirations) ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้มี คุณลักษณะและทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (3Rs8Cs) ประกอบด้วย ทักษะและคุณลักษณะ (สำ� นักงานเลขาธิการสภาการศกึ ษา, 2560) ต่อไปนี้ 1) 3Rs ได้แก่ การอ่านออก (Reading) การเขียนได้ (Writing) และการคิดเลขเป็น (Arithmetics) มสธ2) 8Cs ไดแ้ ก่ ทักษะด้านการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณและทักษะในการแกป้ ญั หา (Critical Thinking and Problem Solving) ทักษะดา้ นการสร้างสรรค์และนวตั กรรม (Creativity and Innova- tion) ทกั ษะดา้ นความเขา้ ใจตา่ งวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทศั น์ (Cross-cultural Understanding) ทกั ษะ ด้านความร่วมมือ การท�ำงานเป็นทีมและภาวะผู้น�ำ (Collaboration, Teamwork and Leadership) ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ (Communications, Information and Media มสธ มสธLiteracy) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing and ICT Literacy) ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning Skills) และความมีเมตตา กรุณา มีวินยั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม (Compassion) เปา้ หมายดา้ นผเู้ รยี นดงั กลา่ ว สามารถนำ� มากำ� หนดใชเ้ ปน็ แนวทางของหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั ไดด้ ังต่อไปนี้ 1) เด็กปฐมวัยแรก – 6 ปี ต้องไดร้ บั การสง่ เสริมพฒั นาการอย่างรอบดา้ นและสมวัย 2) สถานศึกษาปฐมวัยต้องจัดกิจกรรมและกระบวนการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับหลักสูตร มสธการศึกษาปฐมวัย และสมรรถนะของเด็กที่เช่ือมโยงกบั มาตรฐานคณุ ภาพเดก็ ปฐมวยั ของอาเซียน
2-34 การจัดการศกึ ษาและหลกั สูตรส�ำ หรับเดก็ ปฐมวยั 3) การด�ำเนินการตามยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาเพ่ือสร้างเสริมคุณภาพชีวิตท่ีเป็นมิตร มสธกับสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายของหลักสูตรที่ส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีพฤติกรรมท่ีแสดงออกถึงความ ตระหนักในความส�ำคัญของการด�ำรงชีวิตท่ีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การมีคุณธรรม จริยธรรม และการ ประยุกตใ์ ช้หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งในการด�ำเนินชวี ิต 5. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564) ได้กำ� หนดแนวทาง มสธ มสธการพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีการพัฒนาทักษะทางสมองและทักษะทางสังคมที่ เหมาะสม (สำ� นักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ, 2560, น. 68) ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) ให้ความรแู้ กพ่ อ่ แมห่ รอื ผูด้ ูแลเด็กในเรื่องการมโี ภชนาการที่เหมาะสม วธิ กี ารเล้ียงดูเด็ก ทจ่ี ะกระตุ้นพัฒนาการเด็กในช่วง 0-3 ปีแรก รวมทัง้ สนบั สนุนใหแ้ มเ่ ลี้ยงลกู ดว้ ยนมแมอ่ ย่างนอ้ ย 6 เดือน 2) ก�ำหนดมาตรการสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตและการท�ำงานให้พ่อแม่สามารถเลี้ยงดู บตุ รไดด้ ว้ ยตนเองทง้ั การจงู ใจใหส้ ถานประกอบการจดั ใหม้ กี ารจา้ งงานทยี่ ดื หยนุ่ รณรงคใ์ หผ้ ชู้ ายตระหนกั มสธและมีส่วนร่วมในการทำ� หน้าทใ่ี นบา้ นและดูแลบตุ รมากข้นึ 3) พฒั นาหลกั สตู รการสอนและปรบั ปรงุ สถานพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ใหม้ คี ณุ ภาพตามมาตรฐาน ที่ก�ำหนด โดยเน้นการพัฒนาทกั ษะส�ำคัญด้านต่างๆ อาทิ ทกั ษะทางสมอง ทักษะดา้ นความคดิ ความจ�ำ ทกั ษะการควบคมุ อารมณ์ ทกั ษะการวางแผนและการจดั ระบบ ทกั ษะการรจู้ กั ประเมนิ ตนเองควบคกู่ บั การ ยกระดับบุคลากรในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีความพร้อมทั้งทักษะ ความรู้ จริยธรรม และความเป็น มสธ มสธมืออาชพี 4) สนบั สนนุ การผลติ สอ่ื สรา้ งสรรคท์ มี่ รี ปู แบบหลากหลายทใี่ หค้ วามรใู้ นการเลยี้ งดแู ละพฒั นา เด็กปฐมวยั อาทิ ครอบครวั ศกึ ษา อนามัยแมแ่ ละเด็ก วิธีการพฒั นาทกั ษะทางสมองและทักษะทางสงั คม 5) ผลกั ดนั ใหม้ กี ฎหมายการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ใหค้ รอบคลมุ ทง้ั การพฒั นาทกั ษะ การเรยี นรู้ เน้นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ระบบการศึกษา การพัฒนาสุขภาพอนามัยให้มีพัฒนาการที่สมวัย และ การเตรยี มทกั ษะการอยู่ในสงั คมให้มพี ฒั นาการอย่างรอบดา้ น มสธจากปัจจัยด้านนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยดังกล่าว สามารถอธิบายได้ว่าการจัดท�ำหลักสูตร การศกึ ษาปฐมวยั จำ� เปน็ ตอ้ งใหค้ วามสำ� คญั กบั เปา้ หมายของการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ใหเ้ ปน็ ผทู้ มี่ คี วามพรอ้ ม และมีทักษะส�ำคัญส�ำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ดังน้ัน นโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยในหลักสูตร การศกึ ษาปฐมวยั จำ� เปน็ ตอ้ งเขา้ ใจถงึ ธรรมชาตแิ ละความตอ้ งการของเดก็ ทแี่ ทจ้ รงิ เพอ่ื นำ� มาใชเ้ ปน็ แนวทาง ในการจดั การเรยี นรู้ เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ปฐมวยั เปน็ ผทู้ มี่ คี ณุ ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงคต์ ามแนวทางการพฒั นากำ� ลงั คน มสธ มสธของประเทศ เปน็ การจดั การศกึ ษาทต่ี อ้ งสรา้ งความเขม้ แขง็ ใหแ้ กเ่ ดก็ ปฐมวยั ทงั้ ทางรา่ งกาย อารมณ-์ จติ ใจ สังคม และสติปัญญา เพ่ือให้เด็กเติบโตอย่างสมวัยและเป็นก�ำลังคนที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาประเทศไทย มสธให้ก้าวหน้าตอ่ ไป
แนวคิดเกย่ี วกบั หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวัย 2-35 มสธกิจกรรม 2.2.3 จงระบปุ จั จยั ดา้ นนโยบายการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ทน่ี ำ� มาใชเ้ ปน็ แนวทางในการพฒั นาหลกั สตู รการ ศกึ ษาปฐมวยั แนวตอบกิจกรรม 2.2.3 มสธ มสธปัจจยั ด้านนโยบายการพัฒนาเดก็ ปฐมวยั ทนี่ ำ� มาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสตู รการศกึ ษา ปฐมวัย ประกอบดว้ ย 1. มาตรา 4 และมาตรา 54 ในรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2560 2. สทิ ธิเดก็ ท่กี ำ� หนดไว้ในอนสุ ญั ญาว่าด้วยสิทธเิ ดก็ 3. หมวด 4 มาตรา 22-24 มาตรา 26 และมาตรา 28 ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พทุ ธศักราช 2542 มสธ4. เปา้ หมายด้านผเู้ รียนท่กี �ำหนดไว้ในแผนการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 5. แนวทางการพัฒนาเด็กปฐมวัยในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. มมสสธธ มมสสธธ มมสสธธ2560-2564)
2-36 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรสำ�หรับเดก็ ปฐมวยั มสธตอนท่ี 2.3 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย โปรดอ่านหวั เรื่อง แนวคิด และวตั ถุประสงคข์ องตอนที่ 2.3 แลว้ จงึ ศกึ ษารายละเอยี ดต่อไป มสธ มสธหัวเร่ือง 2.3.1 องคป์ ระกอบของหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย 2.3.2 ลกั ษณะท่ีดีของหลกั สูตรการศึกษาปฐมวยั แนวคิด มสธ1. หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั เปน็ หลักสูตรที่เน้นผ้เู รยี นเปน็ สำ� คญั มีองคป์ ระกอบทีส่ ำ� คญั ไดแ้ ก่ จดุ ม่งุ หมาย เนื้อหาหรือสาระการเรียนรู้ กระบวนการจดั ประสบการณ์ และการ ประเมนิ พฒั นาการ 2. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยเป็นหัวใจส�ำคัญส�ำหรับการจัดการศึกษาเพื่อให้เด็กปฐมวัย ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนอย่างสมดุล และรอบด้านตาม มสธ มสธศักยภาพของเด็กแต่ละคน ลักษณะท่ีดีของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพิจารณาได้จาก ความเหมาะสมกบั เดก็ ปฐมวยั ใน 4 ประการ คอื เหมาะสมกบั พฒั นาการและการเรยี นรู้ เหมาะสมกับความต้องการ เหมาะสมกับการท�ำงานของสมอง และเหมาะสมกับบรบิ ท ทางสังคมและวฒั นธรรมของเดก็ ปฐมวยั วัตถุประสงค์ มสธเม่อื ศกึ ษาตอนท่ี 2.3 จบแล้ว นกั ศึกษาสามารถ 1. อธบิ ายองค์ประกอบของหลกั สตู รการศึกษาปฐมวัยได้ มสธ มสธ มสธ2. อธบิ ายลักษณะทีด่ ขี องหลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวัยได้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 468
Pages: