Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 21223 หน่วยที่ 1-8

21223 หน่วยที่ 1-8

Published by กฤษฎา ศรีสุวรรณ์, 2021-08-31 07:23:24

Description: 21223 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาและหลักสูตรสำหรับเด็กปฐมวัย หน่วยที่ 1-8

Search

Read the Text Version

การรณรงคเ์ พื่อเดก็ ปฐมวยั 7-39 5. มีการรวมกลุ่มกันในการติดตาม ตรวจสอบการท�ำงานของสถานศึกษาและครูในการละเมิด มสธสิทธิเด็ก 6. รว่ มมอื กบั ชมุ ชนในการทำ� กจิ กรรมผลกั ดนั ใหเ้ กดิ องคก์ ร เชน่ องคก์ รสากลระดบั หมบู่ า้ น ตำ� บล อำ� เภอ จังหวดั และระดับชาติ มสธ มสธตัวอย่างการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัยส�ำหรับครอบครัว ครอบครวั ควรมกี ารรณรงคเ์ พอื่ เดก็ ปฐมวยั โดยการปกปอ้ งดแู ลใหค้ วามอบอนุ่ แกเ่ ดก็ ใหก้ ารเลยี้ งดู สั่งสอนอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของตนเองหรือเด็กอ่ืนๆ ในสังคม ไมล่ ะเลยเมอ่ื พบเดก็ ถกู ละเมดิ สทิ ธติ า่ งๆ หรอื ละเมดิ ความชอบธรรมอนั ควรไดร้ บั เชน่ เมอื่ พบเดก็ ขา้ งบา้ น ถกู ทารุณกรรม ควรแจง้ หน่วยงานท่เี ก่ยี วข้องให้ทราบ และดำ� เนินการช่วยเหลอื อยา่ งเรว็ ท่ีสดุ นอกจากน้ี ครอบครวั หรอื พอ่ แมย่ คุ ใหมค่ วรจะผา่ นการอบรมวชิ าการเลย้ี งลกู เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจปญั หาตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ กบั เดก็ มสธและมีวิธีการเลี้ยงลูกที่ถูกต้อง และยังควรต้องเปิดโอกาสให้เด็กมีโอกาสรับข่าวสารข้อมูลจากหลากหลาย แหล่ง เพื่อท�ำให้เด็กมีโอกาสได้สร้างสรรค์ส่ิงดีๆ ให้กับสังคมได้ ซึ่งในปัจจุบันมีหน่วยงานราชการและ เอกชนท่ีเกี่ยวข้องมีการจัดการอบรมส�ำหรับพ่อแม่และผู้ปกครอง เพ่ือส่งเสริมการเลี้ยงดูและพัฒนาเด็ก เชน่ การเขา้ รว่ มการจดั ประชมุ วชิ าการของสถาบนั สขุ ภาพเดก็ แหง่ ชาตมิ หาราชนิ ี กรมการแพทย์ กระทรวง มสธ มสธสาธารณสขุ ไดจ้ ดั หลกั สูตรฝึกอบรม/สมั มนา/การประชุม เพือ่ ถ่ายทอดความรูแ้ ก่บุคลากรทางการแพทย์ และบคุ คลภายนอก ซ่งึ พอ่ แม่ ผู้ปกครอง หรอื ผูเ้ ลี้ยงดเู ดก็ สามารถเขา้ รว่ มกจิ กรรมได้ เช่น 1) การประชมุ วชิ าการ เรอ่ื ง “ทกั ษะการคดิ เพอื่ ชวี ติ สำ� เรจ็ สำ� หรบั เดก็ ในศตวรรษท่ี 21 (EF)” ซง่ึ มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ผู้เข้าอบรมท�ำการปฏิรูปทักษะการคิดกับความพร้อมทางการเรียนรู้ในเด็กปฐมวัย ทราบสาเหตุของเด็กที่มีปญั หาพฒั นาการ และน�ำเทคนิคไปใชก้ ับการพฒั นาเด็กไดเ้ ตม็ ศกั ยภาพ 2) การอบรมเชงิ ปฏบิ ตั ิการ เรือ่ ง “เล้ียงลกู ใหแ้ ขง็ แกร่ง: Raising mentally strong kids” ซ่ึง มีวัตถุประสงค์เพ่ือเพ่ิมพูนความรู้ พัฒนาทักษะในการเล้ียงดูเพื่อพัฒนาเด็กปกติ และการสร้างเครือข่าย มสธในการดแู ลเด็กทม่ี คี วามต้องการพเิ ศษต่อไปในอนาคต 3) การอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร เรอ่ื ง “เลยี้ งดรู ทู้ นั เดก็ ยคุ ใหม”่ ซงึ่ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจปญั หา การเล้ยี งดูเด็กในปัจจุบนั และสามารถพัฒนาทักษะในการเล้ยี งดเู ด็กได้อยา่ งเหมาะสม 4) การอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การพัฒนาทักษะการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ Breastfeeding: มสธ มสธupdate theory to art of practice” ซ่งึ มวี ัตถุประสงคเ์ พ่อื เพ่มิ พูนความรลู้ งส่กู ารปฏิบัติเกย่ี วกบั ทักษะ การดแู ลเดก็ และการเล้ียงลกู ด้วยนมแม่อยา่ งถกู ตอ้ ง การรณรงคเ์ พอ่ื เดก็ ปฐมวยั สำ� หรบั ครอบครวั มคี วามสำ� คญั มาก เพราะครอบครวั เปน็ สถาบนั พน้ื ฐาน ซ่ึงท�ำหน้าที่ในการหล่อหลอมความเป็นมนุษย์ และถือเป็นหน่วยของสังคมพื้นฐานท่ีสามารถจุนเจือเด็ก ที่ยังต้องการพึ่งพาผู้อื่น ฉะนั้นครอบครัวจึงต้องปกป้องดูแล ให้ความอบอุ่น เล้ียงดูสั่งสอน ส่งเสริม พัฒนาการในด้านต่างๆ อย่างถูกต้องให้แก่เด็ก รวมไปถึงการร่วมมือกับสถาบันทางสังคมอื่นๆ ในการ มสธพัฒนาและปกปอ้ งสิทธิเดก็ อีกดว้ ย

7-40 การจัดการศึกษาและหลักสูตรสำ� หรับเดก็ ปฐมวัย มสธกิจกรรม 7.3.1 จงยกตวั อยา่ งการรณรงคเ์ พือ่ เดก็ ปฐมวยั สำ� หรับครอบครัว แนวตอบกิจกรรม 7.3.1 การรณรงคเ์ พ่อื เดก็ ปฐมวยั สำ� หรบั ครอบครัว ยกตวั อย่างเช่น มสธ มสธ1. ให้การเลี้ยงดูส่ังสอน ส่งเสริมพัฒนาการในด้านต่างๆ ให้ความส�ำคัญกับการเล้ียงทารกด้วย นมมารดา 2. เขา้ รว่ มอบรมวชิ าการเกยี่ วกบั การเลยี้ งลกู ปญั หาทพี่ บอยทู่ กุ วนั นอี้ าจเนอ่ื งมาจากพอ่ แมไ่ มเ่ ขา้ ใจ วิธีการเลีย้ งลกู ไม่เขา้ ใจจติ วทิ ยาเดก็ และไม่เข้าใจเด็ก 3. มีการรวมกลุ่มกันในการติดตาม ตรวจสอบการท�ำงานของสถานศึกษา และครูในการละเมิด สิทธิเด็ก มสธ มสธ มสธเรื่องท่ี7.3.2 แนวทางส�ำหรับสถานศึกษาในการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัย สถานศกึ ษาจดั ไดว้ า่ เปน็ แหลง่ เรยี นรทู้ ส่ี ำ� คญั ยงิ่ ในการพฒั นาบคุ คลใหเ้ ปน็ ผทู้ ม่ี คี วามรคู้ วามสามารถ มสธและมีศักยภาพ สถานศึกษาเป็นแหล่งท่ีมีความใกล้ชิดกับเด็กรองลงมาจากครอบครัว จึงมีส่วนส�ำคัญ ในการช่วยพัฒนาเด็กให้มีพัฒนาการที่เหมาะสมกับช่วงอายุ ได้รับการจัดการศึกษาท่ีเหมาะสม และ การปกปอ้ งสิทธเิ ดก็ โดยการเปน็ หูเปน็ ตารว่ มกับครอบครัว ชมุ ชน และสอื่ มวลชนในการปกปอ้ งสิทธเิ ด็ก สถานศึกษา หมายถงึ สถานพฒั นาเดก็ ปฐมวยั สถานศกึ ษา ศูนย์การเรยี น หนว่ ยงานการศกึ ษา หรอื หนว่ ยงานอนื่ ของรฐั หรอื ของเอกชน ทม่ี หี นา้ ทใี่ นการจดั การศกึ ษาใหแ้ กเ่ ดก็ ปฐมวยั เรม่ิ จากการพฒั นา มสธ มสธหลักสูตรสถานศึกษาให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางและความต้องการของเด็ก ชุมชน และท้องถิ่น จัดการเรียนการสอน สภาพแวดล้อม บรรยากาศการเรียนการสอนท่ีเหมาะสม และส่งเสริมกระบวนการ เรยี นรทู้ เ่ี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำ� คญั ตลอดจนการปรบั ปรงุ และพฒั นาคณุ ภาพการจดั การศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เปน็ แกนน�ำในการระดมทรัพยากรเพ่ือการศึกษา นอกจากนี้ สถานศึกษายังต้องส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับ มสธครอบครัวและชมุ ชน และสร้างความสัมพันธ์กบั สถานศกึ ษาและสถาบนั อนื่ ในชุมชน และทอ้ งถน่ิ

การรณรงค์เพ่อื เดก็ ปฐมวัย 7-41 การรณรงค์เพื่อเด็กปฐมวัยส�ำหรับสถานศึกษา มสธการรณรงคเ์ พอื่ เดก็ ปฐมวยั สำ� หรบั สถานศกึ ษา สามารถทำ� ได้ 2 แนวทาง คอื แนวทางการรณรงค์ เพอื่ เดก็ ปฐมวยั สำ� หรบั สถานศกึ ษาทผี่ ลติ ครู และแนวทางการรณรงคเ์ พอ่ื เดก็ ปฐมวยั สำ� หรบั สถานศกึ ษาที่ ดูแลเด็ก ซ่ึงจะมีความแตกต่างกันในแง่ของการน�ำไปปฏิบัติ (ศูนย์สิทธิเด็กเอเชียเน็ท และคณะ, 2542) ดังต่อไปนี้ มสธ มสธ1. การรณรงค์เพื่อเด็กปฐมวัยส�ำหรับสถานศึกษาที่ผลิตครู มแี นวทางในการรณรงค์ ดังน้ี 1.1 สร้างกระบวนการใหค้ รยู อมรบั สิทธเิ ด็ก 1.2 เผยแพรค่ วามรคู้ วามเขา้ ใจแกอ่ าจารยผ์ สู้ อนเรอ่ื งสทิ ธเิ ดก็ ทกุ คนไปพรอ้ มกบั การเผยแพร่ สิทธิเด็กใหแ้ ก่นิสิต นักศึกษา 1.3 นำ� เอาหลกั สตู รในเรอ่ื งของสทิ ธเิ ดก็ เขา้ ไปอยใู่ นเรอ่ื งของการผลติ บคุ ลากรทางการศกึ ษา จดั การอบรม เผยแพรส่ ทิ ธเิ ดก็ ใหอ้ ยใู่ นหลกั สตู รการผลติ ครู โดยทไ่ี มค่ วรใหเ้ ปน็ การอบรมเฉพาะกจิ เทา่ นนั้ มสธ1.4 ควรควบคุมการละเมิดสิทธิเด็กในรูปแบบของการสร้างโรงเรียนกวดวิชา การจัดการ การศกึ ษาท่เี นน้ การแข่งขัน เพราะจะท�ำลายพัฒนาการของเด็กและสร้างความกดดนั แก่เดก็ 1.5 การเผยแพร่เนื้อหาอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กในสถานศึกษาทุกแห่ง องค์กรเอกชน องค์กรประชาชนต่างๆ ให้กว้างขวางและทวั่ ถึงมากทสี่ ดุ 2. การรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัยส�ำหรับสถานศึกษาท่ีดูแลเด็ก มแี นวทางในการรณรงค์ ดงั น้ี มสธ มสธ2.1 ตอ้ งมีการปลกู ฝังดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมทดี่ งี ามใหแ้ กเ่ ดก็ 2.2 สร้างทางเลือกในการศึกษาให้เด็กโดยที่เด็กสามารถเลือกได้เอง และส่งเสริมให้เด็กมี กระบวนการเรยี นรใู้ นเรือ่ งของการมสี ว่ นร่วมมากยง่ิ ขึ้น 2.3 กระจายการจดั อบรมทเ่ี ดก็ มสี ว่ นรว่ ม มโี อกาสแสดงความเหน็ ควรจดั ในพนื้ ทขี่ องเดก็ เอง 2.4 ควรให้พอ่ แม่ เด็ก องค์กรชมุ ชนในพ้ืนท่ี มสี ว่ นรว่ มในการติดตามประเมนิ ผลกจิ กรรม ทจ่ี ะเก่ยี วข้องกับการพัฒนาเดก็ ในทุกระดบั ให้เกิดความเป็นธรรมตอ่ เด็ก มสธ2.5 ควรสนบั สนุนใหม้ ีการสรา้ งทางเลอื กทางการศกึ ษาให้เด็กมโี อกาสเลอื กมากขึ้น 2.6 ต้องท�ำการสอดแทรกเรื่องสิทธิเด็กให้กับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ต้ังแต่เด็ก ผู้ใหญ่ ผูป้ กครอง ครู อาจารย์ ชุมชน องคก์ ารบรหิ ารส่วนท้องถ่นิ โดยอาจต้องประชาสมั พันธ์เรื่องของสทิ ธเิ ด็ก ผา่ นสอื่ social media ตา่ งๆ และสรา้ งกระบวนการใหค้ รยู อมรบั ในเรอื่ งของสทิ ธเิ ดก็ และมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจ ในเรอ่ื งของสทิ ธิเด็ก มสธ มสธนอกจากการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัยส�ำหรับสถานศึกษาจะมีความส�ำคัญแล้ว ครูซ่ึงถือเป็นบุคคล ทอี่ ยใู่ กลช้ ดิ เดก็ ทสี่ ดุ ในขณะทเี่ ดก็ อยใู่ นสถานศกึ ษากม็ คี วามสำ� คญั ไมย่ ง่ิ หยอ่ นไปกวา่ กนั โดยประเดน็ ทค่ี รู ควรตอ้ งดำ� เนนิ การในการรณรงคเ์ พอื่ เดก็ ปฐมวยั (ศนู ยพ์ ทิ กั ษส์ ทิ ธเิ ดก็ และครอบครวั , 2545) มดี งั ตอ่ ไปนี้ 1. มคี วามรกั ความเมตตาตอ่ เดก็ ซงึ่ เปน็ พนื้ ฐานสำ� คญั ยงิ่ ทต่ี อ้ งมอี ยใู่ นจติ ใจของครทู กุ คน อนั จะ ท�ำให้เด็กยอมรับและเข้าใจถึงเจตนาที่ดีและบริสุทธ์ิของครู เกิดเป็นความรักและความเคารพด้วยความ จรงิ ใจตอบสนอง ซงึ่ จะทำ� ให้การท�ำงานของครงู ่ายขึน้ ครูทมี่ ีนิสยั ฉนุ เฉียว โกรธง่าย จะทำ� ให้เดก็ ไมช่ อบ มสธและกลัว เปน็ เหตใุ ห้ครหู ่างเหินจากเดก็ และขาดมนุษยสมั พันธท์ ี่ดี

7-42 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั 2. แสวงหาการสอนทดี่ ี ใชส้ อื่ ทน่ี า่ สนใจ ไมเ่ บอ่ื งา่ ย กระบวนการเรยี นการสอนและสอื่ ทด่ี ี รวมไปถงึ มสธการท่ีเด็กและครูได้เรียนรู้และสนุกในการเรียนร่วมกัน จะช่วยให้เด็กประสบความส�ำเร็จในการเรียน เกิด ความรักต่อครูและสถานศึกษา และตั้งใจท�ำกิจกรรมท่ีครูหรือสถานศึกษาจัดให้ ช่วยปิดโอกาสท่ีเด็กจะมี พฤติกรรมเบี่ยงเบนไปในทางทไ่ี ม่พงึ ประสงค์ 3. ครแู ละสถานศกึ ษาตอ้ งจดั กจิ กรรมสนั ทนาการและกจิ กรรมทางการศกึ ษาใหพ้ อเพยี ง กจิ กรรม มสธ มสธสนั ทนาการ เชน่ กจิ กรรมกฬี า ดนตรี การทศั นศกึ ษา หรอื กจิ กรรมบนั เทงิ ในทางสรา้ งสรรคอ์ น่ื ๆ ทสี่ ถานศกึ ษา จดั ใหเ้ ดก็ เปน็ การเปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ ไดแ้ สดงออก ไดม้ สี ว่ นรว่ มในการทำ� กจิ กรรม ในการแสดงความคดิ เหน็ รวมทงั้ การจดั นทิ รรศการหรอื กจิ กรรมเรยี นรนู้ อกหอ้ งเรยี นอน่ื ๆ จะทำ� ใหเ้ ดก็ ไมเ่ ครง่ เครยี ดในการเรยี น ไดร้ บั การพัฒนาท้ังทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาโดยองค์รวมไปพร้อมกัน กิจกรรมดังกล่าวจะมี สว่ นช่วยในการลดพฤตกิ รรมท่ีไมเ่ หมาะสมของเดก็ ลงได้มาก 4. สร้างความสำ� นกึ และความตระหนกั ในเรอ่ื งสิทธเิ ด็กใหเ้ กดิ มีขนึ้ ในตนเอง ในเบือ้ งต้นผเู้ ป็นครู มสธและบคุ ลากรทางการศกึ ษาตอ้ งศกึ ษาและทำ� ความเขา้ ใจในเรอื่ งสทิ ธขิ องเดก็ เพอื่ รบั รถู้ งึ ความมอี ยขู่ องสทิ ธิ มที ศั นคตแิ ละคา่ นยิ มทด่ี ตี อ่ เดก็ สามารถเขา้ ใจถงึ พฤตกิ รรม ความคดิ ความรสู้ กึ ของเดก็ ทอ่ี อ่ นไหว เปราะบาง และมอี ยหู่ ลากหลายอารมณ์ เพ่ือให้สามารถทำ� งานเข้ากับเด็กได้ ทง้ั ระลึกได้วา่ สทิ ธขิ องเด็กกค็ อื สทิ ธขิ อง มนุษยท์ กุ คนทค่ี รูจะต้องยอมรบั เคารพตอ่ สทิ ธินัน้ โดยไม่กระทำ� การล่วงละเมิด 5. สอดส่องดูแลพฤติกรรมและติดตามความประพฤติของเด็กโดยใกล้ชิด ครูควรได้มีเวลาและ มสธ มสธโอกาสทจี่ ะตดิ ตามสอดสอ่ งดแู ลเดก็ ในสถานศกึ ษาไดโ้ ดยใกลช้ ดิ และทว่ั ถงึ เพอ่ื ใหส้ ามารถรบั ทราบปญั หา และแกไ้ ขปัญหาทอี่ าจเกิดขน้ึ ได้ทันทว่ งที นอกจากน้ี ควรมีทะเบียนบันทกึ พฤติกรรมของเด็กเพือ่ สะดวก ในการตดิ ตามความประพฤติและการแสวงหาวธิ ีการในการแกไ้ ข 6. รว่ มมือกับพ่อแม่ ผปู้ กครอง ชมุ ชนและสงั คม ในการดแู ลเด็ก การปฏบิ ตั งิ านดูแลสวสั ดภิ าพ และคุ้มครองสิทธิเด็กให้มีประสิทธิภาพนั้นไม่อาจท�ำได้ผลดีโดยล�ำพังได้ จ�ำเป็นต้องได้รับการสนับสนุน จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เป็นพลังทางสังคม เพ่ือร่วมกันผลักดันและเป็นการประสานงานกันใช้ทรัพยากร มสธที่มีอยู่ในชุมชนและสังคมนั้นในการปฏิบัติงาน ดูแลด้านสวัสดิภาพเด็กและการปกป้องคุ้มครองเด็กให้อยู่ ในกรอบและทศิ ทางทีพ่ งึ ประสงคไ์ ด้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ 7. ครแู ละสถานศกึ ษาตอ้ งจดั ใหม้ หี นว่ ยแนะแนว สอดสอ่ งพฤตกิ รรมเดก็ และครอบครวั ใหค้ ำ� ปรกึ ษา แกเ่ ดก็ กจิ กรรมแนะแนวทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพมคี วามสำ� คญั และจำ� เปน็ อยา่ งยงิ่ ในการเฝา้ ระวงั และแกไ้ ขปญั หา เด็กทีอ่ าจเกดิ จากครอบครวั เช่น การทำ� รา้ ยรา่ งกายเด็ก ดงั นั้นสถานศึกษาจงึ ตอ้ งจดั เตรียมความพร้อม มสธ มสธในการแนะแนวและฝึกอบรมครู ใหม้ ีความพรอ้ มในการท�ำงานแนะแนวและเป็นท่ปี รกึ ษาของเด็ก ตัวอย่างการรณรงค์เพื่อเด็กปฐมวัยส�ำหรับสถานศึกษา องค์การทุนเพ่ือเด็กแห่งสหประชาชาติ (2552) ได้เสนอแนวคิด “โรงเรียนเพื่อนเด็ก” (Child- Friendly School) เขา้ มาเป็นองค์ประกอบหน่ึงในระบบการศกึ ษาแห่งชาติ นอกจากนี้ ยังไดส้ ่งเสริมใหม้ ี การใช้ภาษาแม่ของเด็กเป็นหลักในการเรียนการสอน รูปแบบของ “โรงเรียนเพ่ือนเด็ก” มีแนวคิดที่ง่าย มสธและชัดเจน ก็คอื การใหส้ ถานศกึ ษาค�ำนึงถงึ ผลประโยชนส์ งู สุดของเดก็ เป็นหลัก โดยมแี นวคดิ ดังต่อไปน้ี

การรณรงค์เพอื่ เด็กปฐมวัย 7-43 1. สภาพแวดลอ้ มทางการศกึ ษาของเดก็ จะตอ้ งปลอดภยั เปน็ คณุ และใหก้ ารคมุ้ ครองตอ่ เดก็ ตอ้ ง มสธมีครูท่ีผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี มีทรัพยากรที่เพียงพอและมีสภาวะแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ท้ังทาง ร่างกาย จติ ใจและสังคม 2. สทิ ธขิ องเดก็ จะตอ้ งไดร้ บั การคมุ้ ครอง และเดก็ จะตอ้ งมสี ทิ ธใิ นการแสดงความคดิ เหน็ รวมถงึ เดก็ ทกุ คนไมว่ า่ จะเปน็ เดก็ ทย่ี ากจน เดก็ พกิ าร เดก็ ทต่ี ดิ เอดสห์ รอื เดก็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ หรอื เดก็ ทนี่ บั ถอื ศาสนา มสธ มสธต่างกนั จะต้องไดร้ บั การปฏบิ ัติด้วยความเสมอภาค 3. ความคดิ เห็นของเด็กต้องได้รบั การรับฟัง วิธกี ารเรียนการสอนจะตอ้ งเน้นเดก็ เป็นศูนยก์ ลาง 4. สภาพแวดล้อมในการเรียนจะต้องเอ้ือต่อการเรียนรู้และการเติบโตของเด็ก บทเรียนต้อง ครอบคลมุ การสอนทกั ษะชวี ติ ทจ่ี ำ� เปน็ สำ� หรบั การใชช้ วี ติ ทปี่ ลอดภยั และมคี ณุ ภาพ และสามารถทำ� ประโยชน์ ใหก้ ับสงั คมได้อยา่ งเตม็ ที่ 5. รปู แบบโรงเรยี นเพอ่ื นเด็กจะตอ้ งสง่ เสริมการมีสว่ นรว่ มของสถานศกึ ษาและชมุ ชน เพราะการ มสธเรยี นรู้ของเดก็ จำ� เปน็ ตอ้ งเช่ือมโยงกับชุมชนอยา่ งใกล้ชิด การรณรงคเ์ พอื่ เดก็ ปฐมวยั สำ� หรบั สถานศกึ ษามคี วามสำ� คญั มาก เพราะสถานศกึ ษาเปน็ สถาบนั หลกั ทที่ ำ� หนา้ ทเี่ ปน็ ทง้ั สถานศกึ ษาทผี่ ลติ ครเู พอื่ ไปดแู ลเดก็ และสถานศกึ ษาทดี่ แู ลเดก็ โดยตรง ฉะนน้ั สถานศกึ ษา ในฐานะเปน็ สถาบนั ทผี่ ลติ ครจู งึ ตอ้ งสรา้ งกระบวนการใหค้ รยู อมรบั สทิ ธเิ ดก็ เปน็ หลกั ในการเผยแพรค่ วามรู้ ความเขา้ ใจแกผ่ เู้ กย่ี วขอ้ งในเรอื่ งสทิ ธเิ ดก็ และสถานศกึ ษาในฐานะทเ่ี ปน็ สถานทด่ี แู ลเดก็ จงึ ตอ้ งปลกู ฝงั ดา้ น มสธ มสธคณุ ธรรม จริยธรรม และวฒั นธรรมทีด่ งี ามให้แกเ่ ด็ก สง่ เสริมใหเ้ ดก็ มกี ระบวนการเรียนรู้ในเรือ่ งของการมี ส่วนรว่ มมากยงิ่ ขึน้ กิจกรรม 7.3.2 จงยกตวั อย่างการรณรงคเ์ พื่อเดก็ ปฐมวัยส�ำหรบั สถานศกึ ษาทผ่ี ลิตครู มสธแนวตอบกิจกรรม 7.3.2 การรณรงค์เพ่อื เดก็ ปฐมวยั ส�ำหรับสถานศึกษาท่ผี ลติ ครู ยกตัวอย่างเช่น 1. สร้างกระบวนการใหค้ รูยอมรบั สิทธิเดก็ 2. เผยแพรค่ วามรคู้ วามเขา้ ใจแกอ่ าจารยผ์ สู้ อนเรอื่ งสทิ ธเิ ดก็ ทกุ คนไปพรอ้ มกบั การเผยแพรส่ ทิ ธเิ ดก็ มสธ มสธให้แกน่ สิ ิต นักศกึ ษา 3. นำ� เอาหลกั สตู รในเรอ่ื งของสทิ ธเิ ดก็ เขา้ ไปอยใู่ นเรอ่ื งของการผลติ บคุ ลากรทางการศกึ ษา จดั การ มสธอบรม เผยแพรส่ ทิ ธิเดก็ ให้อยใู่ นหลกั สตู รการผลติ ครู โดยท่ีไมค่ วรใหเ้ ป็นการอบรมเฉพาะกจิ เทา่ นั้น

7-44 การจดั การศึกษาและหลักสตู รสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั มสธเร่ืองที่ 7.3.3 แนวทางส�ำหรับชุมชนและส่ือมวลชนในการรณรงค์เพื่อเด็กปฐมวัย มสธ มสธชมุ ชนและสอ่ื มวลชนถอื ไดว้ า่ เปน็ สถาบนั ทางสงั คมทม่ี คี วามสำ� คญั ตอ่ การรณรงคเ์ พอื่ เดก็ ปฐมวยั การทำ� งานรว่ มกนั ของชมุ ชนและสอ่ื มวลชนมคี วามสำ� คญั เปน็ อยา่ งมาก ในการสรา้ งใหบ้ คุ คลและชมุ ชนได้ ตระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ของเรอื่ งสทิ ธเิ ดก็ และการรณรงคเ์ พอื่ เดก็ ปฐมวยั ใหด้ ำ� เนนิ ไปในแนวทางทเี่ หมาะสม และถกู ต้อง อันจะกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนโ์ ดยตรงแกต่ วั เดก็ และสงั คม การรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัยส�ำหรับชุมชน มสธชมุ ชนเปน็ สงั คมขนาดกลางทแี่ วดลอ้ มตวั เดก็ เชน่ หมบู่ า้ น โดยเชอื่ มโยงสงั คมขนาดเลก็ คอื บา้ น สถานศึกษา กับสังคมใหญ่ คือประเทศชาติ และโลก นอกจากนี้ ชุมชนยังเป็นสังคมของการเรียนรู้และ มีส่วนร่วมในการดูแล ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้คนในสังคมได้พัฒนาตนในแนวทางที่เหมาะสม จึงสามารถ กลา่ วไดว้ า่ ชมุ ชนมคี วามสำ� คญั ทง้ั ในดา้ นการเปน็ แบบอยา่ งทดี่ แี กเ่ ดก็ สอดสอ่ งดแู ลและใหค้ วามชว่ ยเหลอื เดก็ เสมอื นบตุ รหลานของตนเอง ทงั้ ดา้ นความปลอดภยั ในชวี ติ และทรพั ยส์ นิ โดยไมแ่ สวงหาประโยชนจ์ ากเดก็ มสธ มสธใหค้ วามรว่ มมอื กบั สถานศกึ ษาจดั กจิ กรรมใหเ้ ดก็ มโี อกาสใชเ้ วลาอยา่ งสรา้ งสรรค์ นอกจากน้ี ยงั เปน็ แหลง่ เรยี นรแู้ กเ่ ดก็ ในการเพมิ่ พนู ประสบการณด์ า้ นความรู้ และสามารถตดิ ตามผลการดำ� เนนิ งาน สะทอ้ นปญั ญา และแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กแก่ผู้ปกครอง ครู ผู้บริหารสถานศึกษา โดย แนวทางการรณรงค์เพอื่ เดก็ ปฐมวยั ส�ำหรับชุมชน (ศนู ยส์ ิทธเิ ดก็ เอเชียเนท็ และคณะ, 2542) มีดังตอ่ ไปนี้ 1. ชมุ ชนตอ้ งสง่ เสรมิ ใหผ้ ใู้ หญแ่ ละเดก็ ไดเ้ ขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการพดู คยุ และแลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ ซ่งึ กันและกันในการพฒั นาเดก็ ทัง้ ในระดับภมู ภิ าคและระดบั ท้องถิน่ มสธ2. ชุมชนตอ้ งสง่ เสรมิ การมีส่วนร่วมของทอ้ งถ่ินในเรอื่ งการศกึ ษา วฒั นธรรม โดยเฉพาะการน�ำ เอาขนบธรรมเนียมวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ เข้ามาเป็นฐานในการพัฒนาเดก็ 3. ชมุ ชนต้องสง่ เสริมใหเ้ กดิ การร่วมมอื ระหว่างพ่อแม่และสถานศกึ ษา และสง่ เสรมิ ให้ครอบครัว และชุมชนมีความเขา้ ใจในเรอ่ื งของสิทธเิ ด็ก 4. ชมุ ชนตอ้ งสง่ เสรมิ ใหอ้ งคก์ ารบรหิ ารสว่ นทอ้ งถนิ่ เรยี นรใู้ นเรอ่ื งของกระบวนการการใชส้ ทิ ธเิ ดก็ มสธ มสธและกระบวนการการมสี ่วนรว่ มของเด็กอยา่ งแทจ้ รงิ 5. ชมุ ชนตอ้ งสง่ เสรมิ ใหม้ กี ารทำ� กจิ กรรมเชงิ ผลกั ดนั ในระดบั ตา่ งๆ ตงั้ แตร่ ะดบั ครอบครวั ชมุ ชน หมบู่ า้ น ตำ� บล อำ� เภอ จนกระทง่ั ถงึ ระดบั ชาติ ในเรอื่ งของการใหค้ วามรู้ และการใหโ้ อกาสในการจดั กจิ กรรม มสธท่แี ทจ้ รงิ ทางดา้ นสทิ ธเิ ดก็

การรณรงคเ์ พอ่ื เด็กปฐมวยั 7-45 ตัวอย่างการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัยส�ำหรับชุมชน มสธฝา่ ยพฒั นาเดก็ และครอบครวั  มลู นธิ ศิ นู ยพ์ ทิ กั ษส์ ทิ ธเิ ดก็ (2556) ไดจ้ ดั โครงการ “ชมุ ชนคมุ้ ครอง เดก็ ” เพอื่ สง่ เสรมิ การรณรงคเ์ พอื่ เดก็ ปฐมวยั สำ� หรบั ชมุ ชน โดยเปน็ โครงการทเ่ี นน้ ใหช้ มุ ชนมกี ารเฝา้ ระวงั ภยั อนั ตรายตอ่ เดก็ มกี ารดำ� เนนิ งานเพอ่ื สง่ เสรมิ พฒั นาเดก็ และครอบครวั รวมถงึ มกี ารดแู ลความปลอดภยั ของเด็กในชุมชน โดยผลักดันให้ชุมชนและหน่วยงานที่เก่ียวข้องในพ้ืนที่ทำ� งานร่วมกัน มีภาคีเครือข่าย มสธ มสธประกอบดว้ ย ระดบั ชุมชน คอื แกนน�ำชมุ ชน เครอื ขา่ ยพอ่ แม่ผ้ปู กครอง แกนน�ำเยาวชน ครู โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพต�ำบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน แกนน�ำระดับอ�ำเภอ และแกนน�ำระดับจังหวัด กจิ กรรมประกอบด้วย 1. กจิ กรรมสง่ เสรมิ พฒั นาเดก็ และครอบครวั เชน่ กจิ กรรมหลงั เลกิ เรยี นและชว่ งวนั หยดุ กจิ กรรม ครอบครวั สมั พันธ์ กจิ กรรมค่ายครอบครวั  กิจกรรมหอ้ งเรยี นพ่อแม่ กิจกรรมพัฒนาเด็กและเยาวชน ฯลฯ 2. กิจกรรมส่งเสริมความปลอดภัยในชุมชน เช่น กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการเร่ืองการประเมิน มสธสภาวะความปลอดภยั ของเดก็ และครอบครวั ในชมุ ชน กจิ กรรมสำ� รวจจดุ เสย่ี งในชมุ ชน กจิ กรรมแกไ้ ขปญั หา ความไม่ปลอดภยั ในชุมชน การซ้อมหนไี ฟ การอบรมการขับขี่ปลอดภยั ฯลฯ 3. กจิ กรรมสรา้ งกลไกในการทำ� งานเพอ่ื เฝา้ ระวงั ความปลอดภยั ในชมุ ชน เชน่ กจิ กรรมสรา้ งนกั วจิ ยั ชุมชน กิจกรรมพัฒนานักวิจัยชุมชน กิจกรรมสร้างอาสาสมัครในชุมชน กิจกรรมพัฒนาทักษะแกนน�ำ ในการทำ� งานคุ้มครองเดก็ ในชุมชน มสธ มสธการรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัยส�ำหรับชุมชนมีความส�ำคัญมาก เพราะชุมชนเป็นสังคมขนาดกลางท่ี แวดลอ้ มตวั เดก็ มคี วามสำ� คญั ทง้ั ในดา้ นการเปน็ แบบอยา่ งทด่ี แี กเ่ ดก็ สอดสอ่ งดแู ลและใหค้ วามชว่ ยเหลอื เดก็ ฉะนน้ั ชมุ ชนจงึ ตอ้ งสง่ เสรมิ การมสี ว่ นรว่ มของทอ้ งถนิ่ ในเรอื่ งการศกึ ษา วฒั นธรรม โดยเนน้ ใหเ้ กดิ การรว่ มมอื ระหวา่ งพ่อแมแ่ ละสถานศกึ ษา และส่งเสริมใหค้ รอบครัวและชมุ ชนมีความเข้าใจในเรอื่ งของสทิ ธิเดก็ ใหม้ ี การท�ำกจิ กรรมเชงิ ผลักดันในระดบั ตา่ งๆ ตั้งแตร่ ะดบั ครอบครวั ชมุ ชน หมูบ่ ้าน ตำ� บล อ�ำเภอ จนกระทงั่ ถึงระดบั ชาติ ในเรื่องของการใหค้ วามรู้ และการให้โอกาสในการจัดกิจกรรมทแี่ ทจ้ รงิ ทางด้านสิทธเิ ดก็ มสธการรณรงค์เพื่อเด็กปฐมวัยส�ำหรับส่ือมวลชน สอ่ื มวลชน หมายถงึ พาหนะหรอื เครอ่ื งมอื ทง้ั หลายทม่ี นษุ ยป์ ระดษิ ฐแ์ ละคดิ คน้ ขนึ้ มาเพอื่ นำ� ไปใช้ ประโยชนใ์ นการนำ� ขา่ วสารหรอื ขอ้ มลู ตา่ งๆ จากผสู้ ง่ สารไปสยู่ งั มวลชนหรอื ประชาชนโดยทวั่ ๆ ไป ซงึ่ อาจ มสธ มสธจะมองในแงข่ องกล่มุ ผชู้ ม ผู้ดู ผู้ฟงั และผูอ้ า่ นในกระบวนการส่ือสารมวลชน หรอื อาจจะเป็นกลุ่มผู้บรโิ ภค ในกระบวนการทางการตลาด ซง่ึ กล่มุ ผู้บรโิ ภคคอื ประชาชนทุกคน เพราะทุกคนมีความจำ� เป็นตอ้ งบรโิ ภค ดว้ ยกนั ทงั้ นน้ั ไมว่ า่ จะเปน็ สนิ คา้ ประเภทอปุ โภคหรอื บรโิ ภคกต็ าม หรอื อาจจะเปน็ ผมู้ สี ทิ ธอิ อกเสยี งเลือกต้ัง ในกระบวนการทางการเมอื ง ซง่ึ เปน็ ประชากรทม่ี จี ำ� นวนมากและกระจดั กระจายกนั อยู่ (ศภุ รศั ม์ิ ฐติ กิ ลุ เจรญิ , 2540, น.79) สอื่ มวลชนจงึ สง่ ผลกระทบตอ่ สงั คมและเดก็ ในหลายลกั ษณะ ทำ� ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงท้ังที่ พงึ ประสงคแ์ ละไมพ่ งึ ประสงคต์ อ่ เดก็ รวมทงั้ อำ� นวยความสะดวกและหนนุ เสรมิ ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมไดไ้ มม่ าก มสธก็น้อย นอกจากนี้ สื่อมวลชนยังเป็นสถาบันหน่ึงท่ีมีบทบาทในฐานะผู้ควบคุมการจัดการทรัพยากรต่างๆ

7-46 การจดั การศึกษาและหลกั สูตรส�ำหรบั เดก็ ปฐมวยั ซง่ึ นบั วนั จะมบี ทบาทมากขน้ึ จนเกอื บจะทดแทนการควบคมุ โดยกฎหมายในบางกรณี โดยแนวทางการรณรงค์ มสธเพ่ือเด็กปฐมวยั ส�ำหรับสือ่ มวลชน (ศนู ยส์ ิทธิเด็กเอเชียเน็ท และคณะ, 2542) มดี ังตอ่ ไปน้ี 1. สอ่ื มวลชนตอ้ งไมค่ วบคมุ จนิ ตนาการของเดก็ มากเกนิ ไป ไมค่ วรชนี้ ำ� เดก็ แตค่ วรเปน็ สว่ นหนงึ่ ทส่ี ง่ เสรมิ และเปน็ แหลง่ ความรใู้ หแ้ กเ่ ดก็ รวมทงั้ นำ� เสนอเรอ่ื งราวในทอ้ งถน่ิ เพอ่ื ใหเ้ หน็ ชอ่ งทางในการสง่ เสรมิ และคุ้มครองสทิ ธเิ ด็กในทอ้ งถนิ่ มสธ มสธ2. สอื่ มวลชนตอ้ งเพมิ่ รายการทเ่ี ปน็ ประโยชน์ และมกี ระบวนการสง่ เสรมิ ในเรอื่ งของความรทู้ างดา้ น สทิ ธเิ ดก็ ผา่ นทางสอ่ื ตา่ งๆ เชน่ การจดั รายการตา่ งๆ ทท่ี ำ� ใหเ้ ดก็ รสู้ กึ วา่ ควรจะมบี ทบาทในการเขา้ มาพฒั นา สงั คมหรอื มสี ว่ นชว่ ยเหลอื สงั คม รวมทงั้ เพอื่ ปลกู ฝงั แนวคดิ ทด่ี ใี หเ้ ดก็ ไดม้ คี วามคดิ รเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ กลา้ คดิ กลา้ แสดงออก ฯลฯ 3. สอื่ มวลชนตอ้ งผลติ สอ่ื สำ� หรบั เดก็ พกิ าร เชน่ การมรี ายการวทิ ยสุ ำ� หรบั เดก็ ตาบอด และสอ่ื ควร ท�ำหนา้ ทปี่ ระชาสมั พันธ์ เผยแพรค่ วามดี นอกเหนือจากการน�ำเสนอภาพลบหรอื ขา่ วร้ายๆ มสธ4. ส่ือมวลชนต้องจัดตั้งองค์กรที่พิจารณาส่ิงที่จะถูกน�ำเสนอในการเผยแพร่ที่เก่ียวกับเด็ก และ มกี องทนุ เพอ่ื สง่ เสรมิ หรอื เกอื้ หนนุ ผผู้ ลติ สอ่ื ทดี่ ี มคี วามระมดั ระวงั เรอ่ื งการใชเ้ ดก็ เปน็ สอ่ื กลางของงานโฆษณา และละเมดิ สทิ ธิในการเสนอภาพขา่ วเด็ก 5. สอื่ มวลชนตอ้ งไมน่ ำ� เสนอเรอ่ื งลามกอนาจาร รวมทงั้ สอ่ื ทแ่ี มไ้ มถ่ อื วา่ เปน็ สอ่ื ลามกแตม่ ลี กั ษณะ ลอ่ แหลม (สอื่ ลามกทถ่ี กู กฎหมาย) ควรใหม้ กี ารกวดขนั สอ่ื ลามกหรอื สอื่ ทใี่ ชก้ บั เดก็ รวมทง้ั มวี จิ ารณญาณ มสธ มสธมจี รยิ ธรรมและมีจติ สำ� นกึ ในการนำ� เสนอข่าว และการผลติ สือ่ ตา่ งๆ โดยไมค่ วรเนน้ เฉพาะดา้ นการตลาด ตัวอย่างการรณรงค์เพื่อเด็กปฐมวัยส�ำหรับส่ือมวลชน การรายงานข่าวประเด็นของเด็กเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่กลับเป็นส่ิงท่ีสื่อมวลชนนิยมน�ำเสนอ การใช้ความเห็นของเด็กเป็นเครื่องหย่อนอารมณ์ การน�ำเด็กน่ารักมาใช้ในส่ือเพ่ือดึงดูดความสนใจ หรือ แม้กระท่ังใช้ภาพหรือค�ำบรรยายที่แสดงให้เห็นเด็กในสถานการณ์น่าเศร้าเพื่อเรียกน้�ำตา ซ่ึงสิ่งเหล่านี้ มสธไมไ่ ดส้ รา้ งความรู้สึกเคารพตวั เองแกเ่ ด็ก หรอื ความเคารพตัวเองทผ่ี ู้ใหญ่ควรมกี บั เด็ก กรณขี องประเทศไทย ตวั อยา่ งสอื่ มวลชนนำ� เสนอขา่ วเดก็ ชายโพสตเ์ รอ่ื งของตนเองทท่ี ะเลาะกบั เพอื่ น ลงบนสอ่ื สงั คมออนไลน์ จนเปน็ ทว่ี พิ ากษว์ จิ ารณก์ นั ในสงั คม และมกี ารตง้ั คำ� ถามวา่ การทส่ี อื่ นำ� เสนอขา่ วน้ี เปน็ การน�ำเด็กขนึ้ มาหยอกลอ้ เสียดสี ประชดประชันหรอื ไม่ ให้อะไรกับสังคม และได้ค�ำนึงถงึ ผลกระทบ มสธ มสธท่จี ะเกิดขน้ึ กับเดก็ หรอื ไม่ เพราะอาจเปน็ การสอื่ สารขอ้ มลู บางอยา่ งทไี่ มไ่ ด้สะท้อนความจรงิ ท้งั หมด ทง้ั นส้ี ง่ิ ทสี่ อ่ื มวลชนควรตระหนกั เมอ่ื ตอ้ งรายงานประเดน็ เกย่ี วกบั เดก็ คอื ใหพ้ งึ ระลกึ วา่ เดก็ มมี มุ มอง ทแี่ ตกตา่ งจากผใู้ หญ่ หลายเรอื่ งมผี ลกระทบตอ่ เดก็ มากกวา่ ผใู้ หญ่ เชน่ การศกึ ษา การถกู ทารณุ กรรม ซงึ่ เดก็ มกั จะชอบฟงั ความคดิ และและรบั รคู้ วามรสู้ กึ ของเดก็ ดว้ ยกนั มากกวา่ และจำ� ตอ้ งคดิ เสมอวา่ เดก็ มสี ทิ ธ์ิ แสดงความคดิ เห็นและเข้าถึงสือ่ ด้วยเช่นกัน นอกจากการรายงานข่าวของส่ือมวลชนจะมีความส�ำคัญและมีความละเอียดอ่อนในการน�ำเสนอ มสธตอ่ สงั คมแลว้ ยงั มกี ลมุ่ บคุ คลทต่ี ระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ของการเปน็ สอื่ กลางของสอ่ื มวลชนทม่ี ตี อ่ เดก็ ไดม้ ี

การรณรงคเ์ พือ่ เดก็ ปฐมวยั 7-47 การรวมตัวกันจัดต้ังสมาคมต่างๆ ขึ้น เพื่อเป็นแบบอย่างในการเป็นส่ือท่ีน�ำเสนออย่างสร้างสรรค์ เพื่อ มสธพฒั นาเด็ก ตัวอย่างเชน่ สมาคมวิทยุและสือ่ เพื่อเด็กและเยาวชน (สสดย.) (2556) เกิดจากการรวมตวั กันของนักวชิ าการ องคก์ ารทำ� งานดา้ นเดก็ และนกั จดั รายการวทิ ยสุ ำ� หรบั เดก็ เยาวชน และครอบครวั ทเ่ี หน็ ความสำ� คญั ของ ช่องทางในการน�ำเสนอสื่อสร้างสรรค์ที่หลากหลายในรูปแบบของเครือข่าย โดยได้รับการสนับสนุนจาก มสธ มสธมลู นธิ เิ ครอื ขา่ ยครอบครวั โครงการสง่ เสรมิ และพฒั นาศกั ยภาพรายการวทิ ยเุ พอ่ื เดก็ เยาวชน และครอบครวั แผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) และส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมีเป้าหมายในการผลักดันให้เกิดพื้นท่ีสื่อวิทยุท่ีมีคุณภาพและเหมาะสมส�ำหรับเด็ก เยาวชน และ ครอบครัวเพ่ิมขึ้น รวมถึงเกิดการพัฒนาคุณภาพส่ือวิทยุส�ำหรับเด็กให้เหมาะสมกับความต้องการในการ เรียนรู้ สอดคลอ้ งกับทศิ ทางการพฒั นาสขุ ภาวะของเด็กและเยาวชนในแต่ละชว่ งวัย การรณรงคเ์ พอ่ื เดก็ ปฐมวยั สำ� หรบั สอ่ื มวลชน มคี วามสำ� คญั มาก เพราะสอ่ื มวลชนเปน็ ผนู้ ำ� ขา่ วสาร มสธหรือข้อมูลต่างๆ จากผู้ส่งสารไปสู่ยังมวลชน หรือประชาชนโดยท่ัวๆ ไป ส่ือมวลชนจึงส่งผลกระทบต่อ สงั คมและเดก็ ในหลายลกั ษณะ ทำ� ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงทงั้ ทพ่ี งึ ประสงคแ์ ละไมพ่ งึ ประสงคต์ อ่ เดก็ ฉะนนั้ สอ่ื มวลชนจงึ ตอ้ งไมค่ วบคมุ จนิ ตนาการของเดก็ มากเกนิ ไป ไมค่ วรชนี้ ำ� เดก็ แตค่ วรเปน็ สว่ นหนงึ่ ทสี่ ง่ เสรมิ และเปน็ แหลง่ ความรใู้ หแ้ กเ่ ดก็ มกี ระบวนการสง่ เสรมิ ในเรอื่ งของความรทู้ างดา้ นสทิ ธเิ ดก็ ผา่ นทางสอ่ื ตา่ งๆ มสธ มสธผลติ สอื่ สำ� หรบั เดก็ และไมน่ ำ� เสนอเรอ่ื งลามกอนาจาร รวมทง้ั มจี รยิ ธรรมและมจี ติ สำ� นกึ ในการนำ� เสนอขา่ ว และการผลิตสอื่ ตา่ งๆ โดยไมค่ วรเน้นเฉพาะดา้ นการตลาด กิจกรรม 7.3.3 จงยกตัวอย่างการรณรงค์เพื่อเด็กปฐมวยั ส�ำหรบั ชมุ ชน มสธแนวตอบกิจกรรม 7.3.3 การรณรงค์เพ่ือเด็กปฐมวัยส�ำหรับชุมชน ยกตัวอยา่ งเช่น 1. ชมุ ชนตอ้ งสง่ เสรมิ ใหผ้ ใู้ หญแ่ ละเดก็ ไดเ้ ขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการพดู คยุ และแลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ ซึง่ กนั และกนั ในการพัฒนาเดก็ ท้งั ในระดับภมู ภิ าคและระดบั ทอ้ งถน่ิ มสธ มสธ2. ชมุ ชนตอ้ งส่งเสริมการมสี ว่ นร่วมของท้องถิน่ ในเรือ่ งการศึกษา วัฒนธรรม โดยเฉพาะการนำ� เอาธรรมเนยี มวฒั นธรรมท้องถิน่ เข้ามาเปน็ ฐานในการพัฒนาเดก็ 3. ชมุ ชนตอ้ งสง่ เสรมิ ใหอ้ งคก์ ารบรหิ ารสว่ นทอ้ งถนิ่ เรยี นรใู้ นเรอ่ื งของกระบวนการการใชส้ ทิ ธเิ ดก็ มสธและกระบวนการการมีสว่ นร่วมของเดก็ อย่างแท้จรงิ

7-48 การจดั การศึกษาและหลกั สูตรสำ� หรบั เด็กปฐมวยั มสธบรรณานุกรม กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2553). พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ทีแ่ ก้ไขเพ่ิมเตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545 และทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2553. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พอ์ งคก์ ารรบั สง่ สนิ คา้ และพสั ดภุ ณั ฑ์ มสธ มสธ(ร.ส.พ.). คณะแพทยศาสตร์ ศริ ริ าชพยาบาล. (2554). เอกสารประกอบการฝึกอบรมแพทยป์ ระจำ� บา้ น เพ่ือวฒุ ิบตั รแสดง ความรู้ความช�ำนาญ ในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขากุมารเวชศาสตร์ พ.ศ. 2554. สืบค้นจาก http://www.ped.si.mahidol.ac.th/wordpress/wp-content/uploads/siriraj_ courseresident2013. pdf พรประภา สินธุนาวา. (2545). องค์ความรู้ด้านสวัสดิการสังคมและสังคมสงเคราะห์. กรมประชาสงเคราะห์, 12 (4), 37-44. มสธภราดร หอมแยม้ และภราวดี หอมแยม้ . (2558). รวมความรกู้ ฎหมายเกย่ี วกบั สทิ ธขิ น้ั พน้ื ฐานของเดก็ . กรงุ เทพฯ: ไฮเอ็ดพับลชิ ชงิ่ . มลู นธิ เิ พอ่ื การพฒั นาเดก็ . (2551). อทิ ธพิ ลสอ่ื ตอ่ แรงงานเดก็ ในประเทศไทย. สบื คน้ จาก http://www.youthme- dia.ccdkm.org/index.php?option=com_content&view=article&id=69:2008-12-16-03-09- มสธ มสธ11&catid=49:labors&Itemid=91 มลู นธิ เิ พอ่ื ยตุ กิ ารแสวงหาประโยชนท์ างเพศจากเดก็ . (2555). คมู่ อื สำ� หรบั เดก็ เกย่ี วกบั นโยบายคมุ้ ครองเดก็ . สบื คน้ จาก www.ecpat.org/wp-content/uploads/2016/.../Child%20protection%20Policy-CSO-.pdf มลู นิธิศูนย์พทิ กั ษ์สทิ ธิเด็ก. (2556). โครงการ “ชมุ ชนคุม้ ครองเดก็ ”. สืบค้นจาก http://www.thaichildrights. org/projects/734 . (2559). รจู้ กั มลู นธิ .ิ สบื คน้ จาก http://www.thaichildrights.org/sites/default/files/cpcr_2559_0. pdf มสธ . (2560). 10 ข้อควรรู้เพ่ือร่วมปกป้องสิทธิเด็ก. สืบค้นจาก http://www.thaichildrights.org/arti- cle/57951 รุจา ภู่ไพบูลย์. (2542). “ครอบครัว”. วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัย สิ่งแวดล้อม. 22(6) (ตุลาคม- ธันวาคม), 89-91. ศภุ รศั ม์ิ ฐิตกิ ุลเจริญ. (2540). ทฤษฎกี ารส่ือสาร. กรงุ เทพฯ: ส�ำนักพิมพม์ หาวิทยาลยั รามคำ� แหง. มสธ มสธศนู ยพ์ ทิ กั ษส์ ทิ ธเิ ดก็ และครอบครวั . (2545). กฎหมายและระเบยี บเกย่ี วกบั การคมุ้ ครองสทิ ธเิ ดก็ สำ� หรบั ขา้ ราชการ ครู. กรงุ เทพฯ: กระทรวงศกึ ษาธิการ. ศนู ยส์ ิทธิเดก็ เอเชียเนท็ และคณะ. (2542). เอกสารประกอบการประชุมระดับชาตเิ พอ่ื การเฉลมิ ฉลอง 10 ปี ของ การรบั รองอนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ เรอ่ื งการสง่ เสรมิ และคมุ้ ครองสทิ ธเิ ดก็ ในประเทศไทย: บทเรยี นและ ขอ้ ท้าทาย. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลยั . สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเดก็ และครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล. (2555). ความรู้เพื่อชวี ติ : เออ้ื อาทร รว่ ม มสธคมุ้ ครองเดก็ . สบื คน้ จาก http://www.factsforlifethai.cf.mahidol.ac.th/protection/ support01.php

การรณรงค์เพ่อื เดก็ ปฐมวยั 7-49 สมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเดก็ และเยาวชน. (2556). ความเป็นมา. สืบคน้ จาก http://www.kidsradioclub.or.th/ มสธabout/derivation สมบูรณ์ ยืนยงสุวรรณ. (2549). “ผู้ด้อยโอกาสในสังคมกับแนวคิดการพัฒนาองค์การ”. วารสารสยามวิชาการ. 7(8), 96-118. สมพงษ์ จิตระดับ และคณะ. (2551). โครงการศึกษาวิจัยศักยภาพท้องถ่ินในการพัฒนาและคุ้มครองเด็กและ เยาวชนชดุ : สทิ ธเิ ดก็ ไมใ่ ชเ่ รอื่ งเดก็ ๆ. กรงุ เทพฯ: องคก์ ารยนู เิ ซฟประเทศไทย กรมสง่ เสรมิ การปกครอง มสธ มสธสว่ นท้องถ่ิน คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. สุวิชัย โกศัยยะวัฒน์. (2551). “วันเด็กแห่งชาติ: พัฒนาการและความส�ำคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์”. วารสารการศกึ ษาและพัฒนาสังคม. 4(2), 1-17. สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ. (2553). กฎหมายสทิ ธเิ ดก็ . สบื คน้ จาก http://www.thaihealth. or.th/node/18151 ส�ำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ. (2538). แผนปฏิบัติการหลักของปฏิญาเพ่ือ มสธเดก็ ไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องคก์ ารสงเคราะห์ทหารผ่านศึก. ส�ำนกั เลขาธิการคณะรฐั มนตร.ี (2560). รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย. สบื คน้ จาก http://www.ratchakit- cha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/040/1.PDF องค์การทุนเพ่ือเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF). (2552). คุณภาพการศึกษา. สืบค้นจาก https://www. unicef.org/thailand/tha/education_6557.html มสธ มสธ . (2554). การคมุ้ ครองเดก็ . สืบค้นจาก https://www.unicef.org/ thailand/tha/protection.html . (2555). การดำ� เนนิ งาน. สบื คน้ จาก https://www.unicef.org/thailand/tha/overview_22119.html . (2559ก). การพัฒนาเด็กปฐมวัย. สืบค้นจาก https://www.unicef.org/thailand/tha/educa- tion_6555.html . (2559ข). ประวัติองค์การ. สืบคน้ จาก https://www.unicef.org/thailand/tha/about.html . (2559ค). อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC). สืบค้นจาก https://www.unicef.org/thailand/tha/ มสธoverview_5954.html อรรถพล อนนั ตวรสกลุ และคณะ. (2555). การวางแผนการท�ำงานดา้ นเดก็ และเยาวชนของท้องถน่ิ โดยเน้นสทิ ธิ และประโยชนต์ ่อเด็กเป็นพนื้ ฐาน. กรงุ เทพฯ: ลักษมีร่งุ . Brager, G. A. (1968). Advocacy and Political Behavior. Social Work, April, 5-15. United Nations International Children’s Emergency Fund (UNICEF). (2014). Child Protection in Educational Settings: Findings from Six Countries in East Asia and the Pacific. Bangkok: มสธ มสธ มสธEast Asia and Pacific Regional Office (EAPRO).



มสธ หน่วยที่8 การจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา อาจารย์ ดร.อภิรดี ไชยกาล มมมสสสธธธ มมสสธธ มมมสสสธธธชื่อ วุฒิ ต�ำแหน่ง มสธ หน่วยท่ีเขียน อาจารย์ ดร.อภริ ดี ไชยกาล ค.ด. (การศึกษาปฐมวัย) จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ศษ.ม. (หลักสตู รและการสอนการศกึ ษาปฐมวยั ) มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช ค.บ. (การศึกษาปฐมวัย) จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั อาจารย์ประจำ� สาขาวชิ าการศกึ ษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ หน่วยท่ี 8

8-2 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรส�ำหรบั เดก็ ปฐมวยั มสธแผนการสอนประจ�ำหน่วย ชุดวิชา การจัดการศึกษาและหลักสตู รส�ำหรับเด็กปฐมวยั มสธ มสธหน่วยท่ี 8 การจดั ประสบการณ์ในระดับปฐมวยั ศกึ ษา ตอนที่ 8.1 แนวคิดเกีย่ วกับการจดั ประสบการณใ์ นระดับปฐมวัยศกึ ษา 8.2 ความรู้เกีย่ วกับการจดั ประสบการณใ์ นระดับปฐมวัยศกึ ษา มสธ8.3 หลกั การ แนวการจัด และวธิ ีการจัดประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวยั ศึกษา แนวคิด 1. การจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา เป็นการจัดกิจกรรม การจัดสภาพแวดล้อม และ มสธ มสธการใชส้ อื่ วสั ดอุ ปุ กรณ์ เพอื่ พฒั นาเดก็ ปฐมวยั มแี นวคดิ ทเี่ ปน็ รากฐานของการจดั ประสบการณ์ ทง้ั ท่ีเป็นแนวคิดทางการศึกษา และแนวคดิ ทางจติ วิทยา 2. ค วามรู้เก่ียวกับการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษาครอบคลุม ความส�ำคัญ และ จดุ มงุ่ หมายของการจัดประสบการณ์ รวมทั้งขอบข่ายและลักษณะของการจัดประสบการณ์ ในระดับปฐมวยั ศึกษา 3. ก ารจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา ควรท�ำความเข้าใจหลักการจัดประสบการณ์อัน มสธประกอบดว้ ยหลกั การของพฒั นาการ หลกั การเรยี นรู้ หลกั การพฒั นาเดก็ แบบองคร์ วม หลกั การ บรู ณาการกบั บริบทของท้องถ่นิ แนวทางการจดั ประสบการณ์ และวธิ ีการจัดประสบการณ์ วัตถุประสงค์ เม่ือศึกษาหนว่ ยที่ 8 จบแล้ว นกั ศกึ ษาสามารถ มสธ มสธ1. อธิบายแนวคดิ เกีย่ วกับการจดั ประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศกึ ษาได้ 2. อธิบายความรเู้ กยี่ วกบั การจัดประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวยั ศกึ ษาได้ มสธ3. อธิบายหลกั การ แนวการจดั และวิธีการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศกึ ษาได้

การจดั ประสบการณ์ในระดบั ปฐมวยั ศึกษา 8-3 กิจกรรมระหว่างเรียน มสธ1. ท�ำแบบประเมินผลตนเองกอ่ นเรยี นหนว่ ยที่ 8 2. ศกึ ษาเอกสารการสอนตอนท่ี 8.1-8.3 3. ปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามที่ไดร้ บั มอบหมายในเอกสารการสอน 4. ฟังซีดีเสียงประจ�ำชุดวชิ า มสธ มสธ5. ชมดีวีดปี ระกอบชุดวิชา (ถ้ามี) 6. ทำ� แบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหนว่ ยท่ี 8 ส่ือการสอน 1. เอกสารการสอน 2. แบบฝึกปฏิบตั ิ มสธ3. ซีดเี สียงประจำ� ชดุ วชิ า 4. ดีวดี ปี ระกอบชุดวิชา (ถ้ามี) การประเมินผล มสธ มสธ1. ประเมนิ ผลจากแบบประเมนิ ผลตนเองกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น 2. ประเมนิ ผลจากกจิ กรรมและแนวตอบทา้ ยเรอ่ื ง 3. ประเมินผลจากการสอบไลป่ ระจำ� ภาคการศกึ ษา เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน มสธ มมสสธธ มสธหน่วยท่ี8ในแบบฝึกปฏิบัติแล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป

8-4 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั มสธตอนที่ 8.1 แนวคิดเก่ียวกับการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา โปรดอ่านหัวเร่ือง แนวคิด และวัตถุประสงคข์ องตอนท่ี 8.1 แล้วจึงศึกษารายละเอียดตอ่ ไป มสธ มสธหัวเรื่อง 8.1.1 แนวคดิ ทางการศึกษาทเ่ี กี่ยวกับการจัดประสบการณ์ในระดบั ปฐมวัยศกึ ษา 8.1.2 แนวคดิ ทางจิตวิทยาทเ่ี กีย่ วกบั การจดั ประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวัยศึกษา แนวคิด มสธ1. แนวคดิ ทางการศกึ ษาทเี่ ปน็ รากฐานของการจดั ประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวยั ศกึ ษา เปน็ แนวคิดของ Comenius ที่เชื่อว่าการศึกษาของเด็กปฐมวัยควรเป็นไปอย่างธรรมชาติ ไมค่ วรมีการลงโทษดว้ ยการเฆ่ียนตี แนวคิดของ Rousseau ท่ีเช่อื ว่าการจดั การศึกษา ส�ำหรับเด็กปฐมวัยควรสอดคล้องกับธรรมชาติและพัฒนาการของเด็ก และแนวคิดของ Pesstalozzi ท่ีมีความเช่ือสอดคล้องกันว่า การศึกษาควรเป็นไปตามธรามชาติ และ มสธ มสธคำ� นงึ ถงึ ความพรอ้ มของเด็ก 2. แ นวคดิ ทางจิตวิทยาที่เปน็ รากฐานของการจัดประสบการณใ์ นระดับปฐมวยั ศกึ ษา เปน็ แนวคดิ เกยี่ วกบั หลกั การของพฒั นาการ และแนวคดิ ทางจติ วทิ ยาทเี่ กยี่ วขอ้ งคอื จติ วทิ ยา พัฒนาการท่ีประกอบด้วยทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา และทฤษฎีจิตสังคม และ จติ วทิ ยาการเรยี นรทู้ ปี่ ระกอบดว้ ยทฤษฎกี ารเรยี นรกู้ ลมุ่ โครงสรา้ งนยิ ม กลมุ่ หนา้ ทข่ี องจติ กลุ่มพฤตกิ รรมนิยม และกลมุ่ การรูค้ ดิ ทางสงั คม มสธวัตถุประสงค์ เม่ือศึกษาตอนที่ 8.1 จบแล้ว นกั ศกึ ษาสามารถ 1. อธบิ ายแนวคิดทางการศึกษาที่เกยี่ วกบั การจัดประสบการณ์ในระดบั ปฐมวัยศึกษาได้ มสธ มสธ มสธ2. อธิบายแนวคดิ ทางจติ วทิ ยาท่ีเก่ยี วกบั การจดั ประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวยั ศกึ ษาได้

การจดั ประสบการณ์ในระดับปฐมวยั ศึกษา 8-5 มสธความน�ำ เดก็ ปฐมวยั เปน็ วยั ทพ่ี ฒั นาการทง้ั ดา้ นรา่ งกาย อารมณ-์ จติ ใจ สงั คม และสตปิ ญั ญา เพมิ่ ขน้ึ อยา่ ง รวดเรว็ เปน็ วยั สำ� คญั ของการเรยี นรสู้ ง่ิ ตา่ งๆ เดก็ วยั นจี้ งึ ตอ้ งไดร้ บั การสง่ เสรมิ พฒั นาการทเ่ี หมาะสม เพื่อให้ มสธ มสธเกดิ ความพร้อม ความสามารถ และมคี ุณลักษณะทพ่ี ึงประสงคต์ ามทกี่ �ำหนดไว้ การจัดการเรียนการสอน ในระดบั ปฐมวยั ศกึ ษานนั้ มลี กั ษณะเฉพาะทม่ี คี วามแตกตา่ งไปจากการสอนในระดบั ชน้ั อนื่ ๆ เพราะในระดบั ปฐมวยั จะไมส่ อนเปน็ รายวิชา แตจ่ ะเปน็ การจัดการเรียนรูใ้ นลกั ษณะของการบูรณาการผ่านการเล่น การ ลงมือปฏิบัติกิจกรรม และการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ รอบตัว จึงมีการใช้ค�ำที่เก่ียวกับการจัดการเรียน การสอนในระดบั ปฐมวัยศึกษาวา่ “การจัดประสบการณ”์ การจดั ประสบการณใ์ นระดับปฐมวัยศกึ ษาเปน็ เรอื่ งสำ� คญั ทค่ี รแู ละผเู้ กย่ี วขอ้ งตอ้ งทำ� ความเขา้ ใจอยา่ งถอ่ งแท้ เพอ่ื ทจ่ี ะไดน้ ำ� ไปใชใ้ นการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั มสธตอ่ ไป คำ� วา่ “การจัดประสบการณ์” ทใ่ี ช้ในระดับปฐมวัยศึกษาน้ัน พัชรี ผลโยธนิ (2555, น. 1-4) ได้ กล่าวถึงไว้ว่า “ประสบการณ์” หมายถึง “กระบวนการได้มาซ่ึงความรู้ หรือทักษะในช่วงระยะเวลาหน่ึง โดยผา่ นการมอง และการกระทำ� สงิ่ ต่างๆ มากกวา่ จะผา่ นทางการเรยี นแบบท่องจำ� หรือการอา่ นหนังสือ” คำ� วา่ ประสบการณ์ จงึ มคี วามหมายอยา่ งมากสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั เนอ่ื งจากลกั ษณะธรรมชาตขิ องเดก็ วยั น้ี มสธ มสธกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้อยู่แล้ว และเด็กจะเรียนรู้ได้ดี ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ส�ำรวจส่ิงแวดล้อม รอบตวั ลงมอื ทำ� กจิ กรรมตา่ งๆ ดว้ ยตวั เอง มปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั วตั ถุ สงิ่ ของ และผอู้ น่ื ประสบการณต์ รงเรม่ิ แรก สำ� หรับเดก็ ปฐมวยั จึงเป็นสงิ่ จำ� เปน็ อยา่ งย่ิง การศึกษาทีแ่ ทจ้ ริงเกดิ จากประสบการณ์ แตม่ ใิ ชท่ ุกประสบการณ์จะทำ� ให้คนเรามกี ารศึกษาหรือ เกิดความรูท้ แี่ ทจ้ รงิ การศึกษาและประสบการณม์ ีความเชอ่ื มโยงแตไ่ ม่เท่าเทียมกนั บางประสบการณ์ถือ เปน็ ประสบการณท์ างการศกึ ษาทผี่ ดิ พลาด เพราะใหเ้ ดก็ ปฏบิ ตั โิ ดยขาดจดุ ประสงค์ แต่ การจดั ประสบการณ์ มสธในมติ ทิ ่เี ป็นการใหก้ ารศึกษาแกเ่ ดก็ ปฐมวยั ต้องช่วยขยายประสบการณ์ และความรู้ใหแ้ ก่เด็ก โดยเฉพาะ อย่างย่ิง ควรเป็นสิ่งที่เด็กสนใจและมีความหมายต่อตัวเด็ก ส่งเสริมพัฒนาการท้ังด้านร่างกาย อารมณ์- จิตใจ สังคม และสติปัญญา พัฒนาทักษะต่างๆ เช่น ทักษะทางกล้ามเนื้อใหญ่ ทักษะทางกล้ามเนื้อเล็ก ทักษะทางสังคม ทักษะทางภาษา ฯลฯ ช่วยให้เด็กเข้าใจโลกท่ีแวดล้อมตนอยู่ มีโอกาสและเวลาที่จะคิด สะท้อนความคิด และการเรียนรู้ อีกท้ังเตรยี มเดก็ ใหม้ ชี ีวิตอยูใ่ นสงั คม ประสบการณท์ ่เี ด็กได้รบั จะนำ� ไปสู่ มสธ มสธประสบการณ์อื่นๆ และเช่อื มโยงต่อเนอื่ งไปสู่ครอบครวั ชุมชน และสังคมทีเ่ ด็กเก่ยี วข้องหรอื อาศัยอยู่ นัยนา อิสสระวทิ ย์ (2549, น. 34) กลา่ วว่า การจัดประสบการณ์ เปน็ การจดั การศึกษาให้กบั เด็ก ปฐมวัยหรือเด็กระดับก่อนประถมศึกษา โดยให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงจากการลงมือปฏิบัติหรือใช้ ประสาทสมั ผสั ทง้ั ห้าเพ่ือส่งเสรมิ พฒั นาการดา้ นร่างกาย อารมณ-์ จิตใจ สงั คม และสติปญั ญา ด้วยการจัด สภาพแวดล้อมทั้งในและนอกห้องเรียน ทั้งนี้กิจกรรมต่างๆ ต้องสอดคล้องกับแผนการจัดประสบการณ์ มสธต้องค�ำนึงถงึ ความเหมาะสมกบั วยั และความสามารถของเด็ก

8-6 การจัดการศกึ ษาและหลกั สตู รสำ� หรบั เด็กปฐมวยั ภรณี ครุ รุ ตั นะ (2540, น. 49) กลา่ ววา่ การจดั ประสบการณ์ หมายถงึ การจดั ระบบประสบการณ์ มสธที่เด็กปฐมวัยควรได้รับ มีการก�ำหนดจุดประสงค์ แนวทางการด�ำเนินกิจกรรมโดยเน้นให้เด็กมีส่วนร่วม ในกจิ กรรมตา่ งๆ ในการดำ� เนนิ กจิ กรรมครคู วรคำ� นงึ ถงึ การสรา้ งปฏสิ มั พนั ธท์ ด่ี รี ะหวา่ งครกู บั เดก็ เดก็ กบั เดก็ จัดหาสื่อ อุปกรณ์ให้เด็กเรียนรู้อย่างเหมาะสมกับวัยและมีการประเมินผลการเรียนรู้ของเด็ก โดยให้ ครอบคลมุ พัฒนาการทุกดา้ น มสธ มสธEpstein (2007) ไดใ้ หค้ วามหมายของการจดั ประสบการณ์ ไวว้ า่ เปน็ วธิ กี ารทค่ี รใู ชใ้ นการสง่ เสรมิ พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก รวมถึงการจัดสภาพแวดล้อมภายใต้เนื้อหาของหลักสูตรที่ส่งเสริม พฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ เรม่ิ จากการดแู ลสภาพแวดลอ้ มทสี่ ง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ มสี ขุ ภาพทด่ี ี สง่ เสรมิ ให้ เดก็ รสู้ กึ ปลอดภยั นอกจากนกี้ ารจดั ประสบการณต์ อ้ งตอบสนองความตอ้ งการขน้ั พนื้ ฐานของเดก็ ตามความ แตกตา่ งและความตอ้ งการของแตล่ ะบคุ คล โดยอาศยั ความรว่ มมอื กบั ครอบครวั เพอื่ พฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้ และกระบวนการคดิ ของเด็ก มสธค่มู ือหลักสูตรของประเทศอังกฤษ (Qualifications and Curriculum Authority, 2000, p. 8) ไดก้ ลา่ วถงึ ความหมายของการจดั ประสบการณว์ า่ เปน็ การจดั กจิ กรรมและประสบการณท์ ส่ี ง่ เสรมิ พฒั นาการ และการเรยี นรขู้ องเดก็ เดก็ จะไดร้ บั ประสบการณท์ ห่ี ลากหลาย การวางแผนและดำ� เนนิ การจดั กจิ กรรมตาม หลักสูตรทจี่ ะช่วยสร้างโอกาสให้เดก็ ไดพ้ ัฒนาทกั ษะและความสนใจในการเรียนรู้ สรุปได้ว่า การจดั ประสบการณ์ในระดบั ปฐมวยั ศกึ ษา เปน็ การจัดกิจกรรม สอ่ื วสั ดอุ ปุ กรณ์ และ มสธ มสธการจดั สภาพแวดลอ้ ม เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ไดเ้ รยี นรอู้ ยา่ งบรู ณาการผา่ นการเลน่ เกดิ การลงมอื ปฏบิ ตั ิ ผา่ นประสบการณ์ ตรงทใี่ ชป้ ระสาทสมั ผสั ทง้ั หา้ สนองความตอ้ งการและความสนใจของแตล่ ะบคุ คล โดยครอบคลมุ ทงั้ หลกั สตู ร กระบวนการ และการประเมนิ ผล อนั นำ� ไปสกู่ ารพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ทง้ั ทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ-์ จติ ใจ สงั คม มสธ มมสสธธ มสธสติปญั ญา และพฒั นาทกั ษะตา่ งๆ

การจดั ประสบการณใ์ นระดับปฐมวัยศึกษา 8-7 มสธเร่ืองที่ 8.1.1 แนวคิดทางการศึกษาท่ีเก่ียวกับการจัดประสบการณ์ ในระดับปฐมวัยศึกษา มสธ มสธการจดั ประสบการณใ์ หก้ บั เดก็ ในระดบั ปฐมวยั ศกึ ษานน้ั จำ� เปน็ ตอ้ งจดั ใหเ้ หมาะสมกบั พฒั นาการ และวิธกี ารเรยี นรู้ของเด็ก เพ่ือให้เดก็ มพี ัฒนาการท่ดี ี มีความรแู้ ละทกั ษะท่ีจำ� เป็น รวมท้งั มคี ณุ ลกั ษณะท่ี พึงประสงค์ตามท่ีต้องการ การจัดประสบการณ์จึงต้องได้รับการออกแบบอย่างดี เพ่ือให้สามารถน�ำไปใช้ ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยต่อไป จากการศึกษาแนวคิดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักการ แนวการจัด และวิธี การจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษานั้น พบว่ามีแนวคิดทางการศึกษาของนักการศึกษาหลายท่าน มสธท่ีมีอิทธิพลต่อการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา ซ่ึงในเร่ืองนี้จะขอกล่าวถึงแนวคิดดังกล่าว อนั ประกอบไปด้วยแนวคิดของ Comenius นักการศึกษาชาวเชคโกสโลวาเกีย แนวคิดของ Rousseau นกั ปราชญช์ าวฝรง่ั เศส และแนวคดิ ของ Pestalozzi นกั การศกึ ษาชาวสวิสเซอร์แลนด์ ดงั ท่ี อรุณี หรดาล สมร ทองดี และสกุ ญั ญา กาญจนกจิ (2555, น. 1-26-1-29) ได้กล่าวถึงไว้ ดังตอ่ ไปน้ี มสธ มสธแนวคิดของComenius Comenius (1592-1670) เป็นพระในนิกายโปรเตสแตนท์และเป็นนักการศึกษา เกิดที่เมือง Moravia ประเทศเชคโกสโลวาเกยี เปน็ นกั ปฏริ ปู การศกึ ษาทไ่ี ดร้ บั เชญิ ใหไ้ ปชว่ ยงานปฏริ ปู การศกึ ษาจาก หลายประเทศในยโุ รป เช่น ประเทศอังกฤษ สวีเดน ฮงั การี และเนเธอร์แลนด์ ตัวอยา่ งงานด้านการศึกษา เชน่ การปฏริ ปู หลกั สตู รของประเทศเนเธอรแ์ ลนดแ์ ละสวเี ดน และการสรา้ งโรงเรยี นตวั อยา่ งขนึ้ ในประเทศ มสธฮงั การี เปน็ ตน้ และเปน็ ผเู้ ขยี นหนงั สอื สำ� หรบั เดก็ ซง่ึ มรี ปู ภาพประกอบเพอ่ื ชว่ ยในการสอนเดก็ ชอ่ื Orbis Sensualium Pictus หรือ Orbis Pictus (โลกในรูปภาพ) หนงั สือเล่มน้มี ีลกั ษณะเป็นพจนานุกรมภาพ มากกว่าหนังสือภาพสมัยใหม่ นับว่าเป็นหนังสือส�ำหรับเด็กเล่มแรกที่มีภาพประกอบ และได้มีผู้น�ำไปใช้ กันอยา่ งแพรห่ ลายทั่วโลกด้วยการแปลเปน็ ภาษาต่างประเทศ 1. แนวคิดหลักทางการศึกษาของ Comenius มสธ มสธ1.1 เดก็ ทกุ คนควรมสี ทิ ธไิ์ ดร้ บั การศกึ ษาในโรงเรยี น ดว้ ยเหตผุ ลทวี่ า่ คนทกุ คนไมว่ า่ เดก็ หรอื ผู้ใหญ่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย รวยหรือจน คนช้ันสูงหรือคนธรรมดา มีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน จึงควร ได้รบั การศึกษาเหมอื นๆ กนั 1.2 การใหค้ วามสำ� คญั กบั การจดั การศกึ ษาตง้ั แตเ่ ดก็ ยงั เลก็ เพราะการศกึ ษาเปน็ กระบวนการ ทีเ่ รม่ิ ตง้ั แต่แรกเกิด และด�ำเนินไปจนตลอดชวี ิต ดงั นัน้ เด็กจงึ ควรเรมิ่ เรียนจากวัยทารก และควรออกแบบ ใหเ้ หมาะสมกับอายุ ความสนใจและความสามารถของผูเ้ รยี น มสธ1.3 การจัดกลุม่ เด็กตามอายุ ซ่งึ รูปแบบนใี้ นปจั จบุ ันยังคงใช้กนั อยู่อย่างแพรห่ ลาย

8-8 การจัดการศกึ ษาและหลกั สตู รส�ำหรบั เดก็ ปฐมวัย 1.4 การใช้วิธกี ารสอนแบบธรรมชาติ สอนตามล�ำดับความสำ� คัญกอ่ นหลงั เชน่ สอนภาษา มสธแมก่ อ่ นภาษาต่างประเทศ ควรสอนการอา่ นและการเขียนด้วยกนั ในการสอนควรจดั ให้มีวัสดอุ ปุ กรณ์ของ จริงมาให้ผู้เรียนศึกษาประกอบ การปฏิบัติกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ใช้วิธีการเรียนรู้โดยการสัมผัส มีการสอน ท้ังในลักษณะของกลุ่มใหญแ่ ละกลุม่ ยอ่ ย 1.5 เนอ้ื หาสาระตอ้ งจดั ใหเ้ หมาะสมกบั วยั ของผเู้ รยี น ควรจำ� แนกและเรยี งลำ� ดบั เนอื้ หาตาม มสธ มสธความยากงา่ ย และควรสอนสงิ่ ทมี่ คี ณุ คา่ ตอ่ ผเู้ รยี นทจ่ี ะนำ� ไปใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั ได้ รวมทง้ั สมั พนั ธก์ บั เนอ้ื หา วิชาให้มากท่ีสุด ควรเรียนเนื้อหาตามล�ำดับ ต�ำแหน่ง และมีความสัมพันธ์กับสิ่งอ่ืน ไม่ควรสอนเรื่องใด เร่อื งหนงึ่ เพยี งอย่างเดียว แบบเรยี นควรมีภาพประกอบ 1.6 การจดั โรงเรยี นใหม้ บี รรยากาศรา่ เรงิ มคี วามสขุ ครคู วรเปน็ ผทู้ ม่ี คี วามเขา้ ใจผเู้ รยี น เมอ่ื เดก็ ทำ� ความผิด ไมค่ วรลงโทษเดก็ ดว้ ยการเฆย่ี นตี 2. การประยุกต์ใช้ในการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา มสธ2.1 การใหค้ วามสำ� คญั กบั การจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั เพราะการศกึ ษาเปน็ กระบวน- การท่เี ร่ิมตง้ั แต่แรกเกดิ และดำ� เนนิ ไปจนตลอดชวี ติ 2.2 การจัดชั้นเรียนส�ำหรับเด็กปฐมวัย ควรเป็นชั้นเรียนที่มีการจัดกลุ่มเด็กตามอายุที่ ใกล้เคียงกัน เพราะเด็กแต่ละวยั แต่ละอายุมคี วามสนใจทแี่ ตกต่างกนั 2.3 การก�ำหนดเนื้อหาสาระท่ีเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน โดยการสอนจากเร่ืองใกล้ตัวเด็ก มสธ มสธกอ่ น เรยี งลำ� ดบั เนอ้ื หาตามความยากงา่ ย และเปน็ สง่ิ ทเ่ี ดก็ สามารถนำ� ไปใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั ได้ ควรใหเ้ ดก็ ได้เรียนรภู้ าษาแม่กอ่ นภาษาต่างประเทศ 2.4 การจัดประสบการณ์ให้เหมาะสมกับอายุ ความสนใจ และความสามารถของเด็ก โดย ใหเ้ ดก็ เรยี นรผู้ า่ นประสบการณต์ รง ผา่ นประสาทสมั ผสั ทง้ั หา้ และควรใชส้ อ่ื การสอนประกอบ เชน่ รปู ภาพ ของจรงิ ควรอธบิ ายหลกั การและแนวคดิ พรอ้ มกบั ยกตวั อยา่ งประกอบ ในการจดั ประสบการณค์ วรมลี กั ษณะ การบูรณาการท้ังเนื้อหาและกระบวนการ มสธ2.5 การจดั สภาพแวดล้อมใหเ้ อ้อื ตอ่ การเรยี นรู้ เชน่ สร้างบรรยากาศผอ่ นคลาย สนกุ สนาน เพ่ือให้เด็กเรยี นรอู้ ย่างมีความสขุ เม่ือเด็กท�ำไม่ได้ หรือท�ำอะไรผิดพลาดไมค่ วรลงโทษด้วยวิธีการรุนแรง แนวคิดของ Rousseau มสธ มสธRousseau (1712-1778) เป็นนักปราชญ์ชาวฝร่ังเศส เกิดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่ใช้ชีวิต ส่วนใหญใ่ นประเทศฝรงั่ เศส เปน็ ผู้เขียนหนงั สือช่อื เอมลิ (Emile) ทวี่ จิ ารณก์ ารจัดการศกึ ษาในสมยั นนั้ ที่มีลักษณะบังคับ ก�ำหนดทักษะพ้ืนฐานในการเรียนรู้ มีใช้แบบทดสอบมาตรฐาน และแบ่งกลุ่มเด็กตาม ความสามารถ รสุ โซคดิ วา่ สิ่งเหล่านไ้ี มใ่ ช่เปน็ ธรรมชาติแตเ่ ปน็ การควบคุมธรรมชาติ 1. แนวคดิ หลกั ในการจดั การศกึ ษา การจดั การศกึ ษาควรใหส้ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาตแิ ละพฒั นาการ ของเดก็ รวมท้ังความแตกต่างระหวา่ งบุคคล Rousseau เชือ่ ว่า เด็กไม่ใช่ผใู้ หญ่ตวั เล็กๆ และสามารถท�ำ ส่ิงตา่ งๆ ได้เหมอื นผูใ้ หญต่ ามความคดิ เดมิ ของคนในสมยั นัน้ แตเ่ ดก็ ก็คอื เด็กโดยธรรมชาติ ดงั นน้ั เด็กจงึ มสธควรเติบโตไปตามธรรมชาติ Rousseau ไดเ้ สนอแนวคิดในการจดั การศกึ ษา ไว้ดังน้ี

การจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา 8-9 1.1 การให้การศกึ ษาควรเรม่ิ ตง้ั แตเ่ ดก็ แรกเกิด และด�ำเนินต่อไปจนถึงอายุ 25 ปี มสธ1.2 เด็กปฐมวัยช่วงอายุแรกเกิดถึง 5 ปี จะเรยี นรจู้ ากกจิ กรรมทางร่างกาย ในชว่ งอายุ 5 ถึง 12 ปี เด็กจะเรียนรู้ไดด้ ีทีส่ ุดจากประสบการณต์ รง 1.3 การให้การศึกษาควรใช้วิธีการตามหลักธรรมชาติ คือ ควรบ�ำรุงตัวเด็กให้มีสุขภาพ แข็งแรง เพ่ือจะได้มีก�ำลงั หาความร้ไู ด้เองตอ่ ไป โดยเนน้ พฒั นาการทางกายของเดก็ ตามลำ� ดบั ขน้ั มสธ มสธ1.4 ครคู วรเขา้ ใจธรรมชาตขิ องเดก็ แตล่ ะวยั และสอนใหส้ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องเดก็ การ สอนเดก็ ควรเรม่ิ ดว้ ยการเรา้ ใหเ้ กดิ ความอยากรอู้ ยากเหน็ และสนบั สนนุ ใหเ้ ดก็ แสดงออกอยา่ งเสรี เพอื่ เดก็ จะได้มีความคิดท่ีดแี ละเกดิ การเรียนรู้อยา่ งถกู ต้อง 2. การประยุกต์ใช้ในการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา 2.1 ควรสง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ มสี ขุ ภาพแขง็ แรงและมพี ฒั นาการตามวยั เพอ่ื ใหเ้ ดก็ มคี วามพรอ้ มที่ จะเรยี นรู้ มสธ2.2 ครูควรมีความรู้ความเข้าใจธรรมชาติของเด็ก และจัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับ ธรรมชาตแิ ละพฒั นาการของเดก็ รวมทั้งความแตกต่างระหว่างบคุ คล 2.3 การจดั ประสบการณใ์ หเ้ ดก็ ไดเ้ รยี นรจู้ ากประสบการณต์ รง โดยผา่ นประสาทสมั ผสั ทง้ั หา้ 2.4 การเปิดโอกาสให้เดก็ ได้เรียนรู้อยา่ งอสิ ระ ตามความต้องการและความสนใจของเด็ก มสธ มสธแนวคิดของPesstalozzi Pesstalozzi (1746-1827) เปน็ นกั การศกึ ษาชาวสวสิ ทส่ี นใจการศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ เลก็ อยา่ งจรงิ จงั และได้น�ำเอาความคิดใหม่ๆ ทางการศึกษา เช่น แนวคิดของ Rousseau รวมท้ังของตัวเขามาปรับปรุง และทดลองใชใ้ นโรงเรยี นในสวติ เซอรแ์ ลนด์ ซง่ึ เปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของการจดั โรงเรยี นสำ� หรบั เดก็ เลก็ ในรปู แบบ ใหม่ Pestalozzi ไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั แนวปฏบิ ตั ทิ างการศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ 3 ประการ คอื การเรยี นรแู้ บบทอ่ งจำ� การลงโทษอยา่ งรนุ แรง เมอ่ื เดก็ จำ� บทเรยี นไมไ่ ด้ และการกดี กนั เดก็ ยากจนในการเขา้ โรงเรยี น โดยพยายาม มสธต่อส้แู ละปรับปรงุ แก้ไขแนวปฏิบตั ิเหล่านัน้ จนกระทัง่ ได้รบั ความส�ำเรจ็ ในเวลาตอ่ มา 1. แนวคิดหลักในการจัดการศึกษา 1.1 การศึกษาต้องเป็นไปตามธรรมชาติ เดก็ แตล่ ะคนมคี วามแตกต่างกันในด้านความสนใจ ความตอ้ งการ และความพรอ้ มของเด็ก 1.2 การไมบ่ งั คบั เดก็ ใหเ้ รยี นดว้ ยการทอ่ งจำ� ควรใหเ้ วลาเดก็ ไดเ้ รยี นตามความสามารถของ มสธ มสธแตล่ ะคน เรยี นจากประสบการณต์ รง และสำ� รวจสงิ่ ตา่ งๆ ทอ่ี ยรู่ อบตวั เพอ่ื ใหเ้ ดก็ เกดิ ความเขา้ ใจและเรยี นรู้ ด้วยตวั เอง 1.3 การสอนคนให้มีเมตตากรุณาตอ่ กนั มีค่ามากกวา่ การสอนให้มีความรู้ 1.4 บ้านเป็นท่ีที่สามารถสอนเด็กให้มีน�้ำใจ และเมตตา เพราะการศึกษาจากบ้านเป็น ส่ิงส�ำคัญอย่างหนึ่ง บ้านเป็นสถานที่ส�ำคัญในการให้ความรู้และวางรากฐานทางการศึกษาให้แก่เด็ก เป็น สถานทีท่ ่อี บรมศลี ธรรมจรรยาและเปน็ ทีท่ ใี่ หค้ วามสุขแก่เดก็ ได้อย่างดี มสธ1.5 การสอนในโรงเรยี นทแ่ี ทจ้ รงิ นนั้ ไมต่ า่ งกบั การสอนทบ่ี า้ นมากนกั จะตา่ งกนั ตรงทวี่ งแหง่ ความสนใจกวา้ งขวางกว่ากนั เท่านน้ั

8-10 การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รส�ำหรับเดก็ ปฐมวัย 1.6 ครคู วรใชว้ ธิ กี ารสอนโดยใหเ้ ดก็ เรยี นจากประสบการณต์ รง จากการใหท้ ำ� กจิ กรรมตา่ งๆ มสธดว้ ยตวั เอง เชน่ การทำ� งานบ้าน ลา้ งจาน รอ้ งเพลง อา่ นออกเสยี งคมั ภรี ไ์ บเบิล และอ่านออกเสียงหนงั สือ ABC เปน็ ตน้ 1.7 เดก็ จะตอ้ งฝกึ ใชก้ ารสงั เกต การพจิ ารณา และการใชป้ ระสาทสมั ผสั หลงั จากนน้ั เดก็ จะ เขา้ ใจรายละเอยี ด และสามารถจดั แยกเปน็ หมวดหมูไ่ ด้ในท่ีสุด มสธ มสธ2. การประยุกต์ใช้ในการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา 2.1 การจดั ประสบการณค์ วรคำ� นงึ ถงึ ความสนใจ ความตอ้ งการ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล และความสามารถในการเรยี นร้ขู องเดก็ 2.2 การจัดประสบการณ์ต้องค�ำนึงถึงความพร้อมของเด็ก ไม่ควรบังคับเด็กให้เรียนรู้ด้วย การทอ่ งจ�ำ 2.3 การให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเองจากประสบการณ์ตรง ด้วยการลงมือปฏิบัติ เช่น การ มสธปฏบิ ัตกิ ิจวตั รประจ�ำวนั การสำ� รวจสภาพแวดลอ้ มต่างๆ รอบตัว ฯลฯ 2.4 การให้ความสำ� คัญกับการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยที่บ้าน จากพ่อแม่ผู้ปกครอง และการ สร้างความสมั พันธท์ ่ดี รี ะหว่างสถานศกึ ษา พอ่ แม่ ผปู้ กครอง บ้าน และชมุ ชน สรุปได้ว่า แนวคิดทางการศึกษาที่เป็นรากฐานในการน�ำมาประยุกต์ใช้ในการจัดประสบการณ์ ในระดบั ปฐมวยั ศกึ ษา มาจากแนวคดิ ของนกั การศกึ ษาหลายทา่ น ทส่ี ำ� คญั คอื Comenius ทมี่ แี นวคดิ หลกั มสธ มสธวา่ การจัดการศกึ ษาควรจดั ให้กับเดก็ ต้ังแตย่ ังเลก็ และควรมีการจัดกลมุ่ เดก็ ตามอายุ สว่ น Rousseau มี แนวคดิ หลกั วา่ การจดั การศกึ ษาควรใหส้ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาตแิ ละพฒั นาการของเดก็ รวมทง้ั ความแตกตา่ ง ระหว่างบคุ คล เดก็ ปฐมวยั ช่วงอายุแรกเกิดถึง 5 ปี จะเรียนร้จู ากกิจกรรมทางร่างกาย และเดก็ จะเรียนรู้ ไดด้ ีจากประสบการณต์ รง ส่วน Pestalozzi มีแนวคดิ หลักว่าการจัดประสบการณค์ วรคำ� นึงถึงความสนใจ ความต้องการ ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความพร้อมและความสามารถในการเรียนรู้ของเด็ก ไม่ควร บังคับเด็กให้เรียนรู้ด้วยการท่องจ�ำ ควรให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเองจากประสบการณ์ตรง ด้วยการลงมือ มสธปฏิบัติ ซ่ึงแนวคิดทางการศึกษาที่ส�ำคัญเหล่านี้ได้ถูกน�ำมาประยุกต์ใช้ในการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็ก ปฐมวัย กิจกรรม 8.1.1 มสธ มสธ จงเลอื กอธบิ ายแนวคดิ หลักในการจดั การศึกษาของนักการศกึ ษามา 1 ทา่ น แนวตอบกิจกรรม 8.1.1 นกั ศกึ ษาสามารถเลอื กตอบไดอ้ ยา่ งหลากหลาย ตวั อยา่ งเชน่ แนวคดิ ของ Comenius มดี งั ตอ่ ไปนี้ 1. เดก็ ทกุ คนควรมสี ทิ ธไ์ิ ดร้ บั การศกึ ษาในโรงเรยี น ดว้ ยเหตผุ ลทว่ี า่ คนทกุ คนไมว่ า่ เดก็ หรอื ผใู้ หญ่ ผหู้ ญงิ หรือผ้ชู าย รวยหรือจน คนช้นั สงู หรือคนธรรมดา มีความเป็นมนุษย์เทา่ เทียมกัน จงึ ควรไดร้ ับการ มสธศกึ ษาเหมอื นๆ กัน

การจัดประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวัยศกึ ษา 8-11 2. การให้ความส�ำคัญกับการจัดการศึกษาตั้งแต่เด็กยังเล็ก เพราะการศึกษาเป็นกระบวนการที่ มสธเรม่ิ ตง้ั แตแ่ รกเกดิ และดำ� เนนิ ไปจนตลอดชวี ติ ดงั นน้ั เดก็ จงึ ควรเรมิ่ เรยี นจากวยั ทารก และควรออกแบบให้ เหมาะสมกบั อายุ ความสนใจ และความสามารถของเดก็ 3. การจดั กลุ่มเดก็ ตามอายุ ซ่ึงรูปแบบนใ้ี นปัจจุบันยังคงใชก้ ันอยูอ่ ย่างแพร่หลาย 4. การใชว้ ธิ กี ารสอนแบบธรรมชาติ สอนตามลำ� ดบั ความสำ� คญั กอ่ นหลงั เชน่ สอนภาษาแมก่ อ่ น มสธ มสธภาษาตา่ งประเทศ ควรสอนการอา่ นและการเขยี นด้วยกัน ในการสอนควรจดั ให้มวี สั ดอุ ปุ กรณ์ มีของจริง มาใหผ้ เู้ รยี นศกึ ษาประกอบการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ใหผ้ เู้ รยี นไดใ้ ชว้ ธิ กี ารเรยี นรโู้ ดยการสมั ผสั มกี ารสอนทงั้ ใน ลกั ษณะของกล่มุ ใหญแ่ ละกลุ่มย่อยๆ 5. เนอ้ื หาสาระต้องจัดให้เหมาะสมกับวัยของผเู้ รยี น ควรจ�ำแนกและเรียงลำ� ดับเน้อื หาตามความ ยากงา่ ย และควรสอนสงิ่ ทม่ี คี ณุ คา่ ตอ่ ผเู้ รยี นทจ่ี ะนำ� ไปใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั ได้ รวมทงั้ สมั พนั ธก์ บั เนอื้ หาวชิ า ให้มากที่สุด ควรเรียนเน้ือหาตามล�ำดับ และมีความสัมพันธ์กับสิ่งอ่ืน ไม่ควรสอนเร่ืองใดเรื่องหนึ่งเพียง มสธอยา่ งเดยี ว แบบเรยี นควรมภี าพประกอบ 6. การจัดโรงเรียนใหม้ ีบรรยากาศรา่ เริง มคี วามสขุ ครคู วรเปน็ ผทู้ ี่มคี วามเขา้ ใจผเู้ รยี น เมอื่ เด็ก ท�ำความผดิ ไม่ควรลงโทษเด็กด้วยการเฆีย่ นตี มสธ มสธเร่ืองที่8.1.2 แนวคิดทางจิตวิทยาที่เกี่ยวกับการจัดประสบการณ์ ในระดับปฐมวัยศึกษา มสธ“จิตวิทยา” เป็นศาสตร์แขนงหน่ึงที่ศึกษาปรากฏการณ์ของพฤติกรรมและกระบวนการของจิต (อบุ ลรัตน์ เพ็งสถติ , 2542, น. 3) การจดั ประสบการณ์ในระดบั ปฐมวัยตอ้ งค�ำนึงถึงแนวคดิ ทางจติ วิทยา เพอ่ื ใหก้ ารจดั ประสบการณส์ อดคลอ้ งกบั พฒั นาการและวธิ กี ารเรยี นรขู้ องเดก็ ในเรอ่ื งนจ้ี ะกลา่ วแนวคดิ ทาง มสธ มสธจิตวิทยาท่ีมีอิทธิพลส�ำคัญต่อการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา คือ แนวคิดเกี่ยวกับหลักการ ของพัฒนาการ และแนวคิดทางจิตวิทยา ซึ่งประกอบด้วยจิตวิทยาพัฒนาการ และจิตวิทยาการเรียนรู้ ดงั รายละเอียดต่อไปนี้ แนวคิดเก่ียวกับหลักการของพัฒนาการ เม่ือมนุษย์ทุกคนเกิดมาจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกส่วนอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงส่วนต่างๆ มสธของมนุษย์ดังกล่าวมีลักษณะต่อเนื่องต้ังแต่แรกเกิดจนตลอดชีวิต การเปลี่ยนแปลงน้ีจะมีความก้าวหน้า

8-12 การจดั การศึกษาและหลกั สตู รส�ำหรบั เดก็ ปฐมวัย ไปเรอื่ ยๆ เปน็ ขน้ั ๆ ไป จากระยะหนง่ึ ไปสอู่ กี ระยะหนงึ่ ซงึ่ จะทำ� ใหม้ นษุ ยม์ ลี กั ษณะและความสามารถใหมๆ่ มสธเกิดข้นึ ส่งิ น้เี รยี กว่าพฒั นาการของมนษุ ย์ ในการเปลยี่ นแปลงหรอื พัฒนาการของมนุษยด์ ังกล่าว มีหลกั ที่ ส�ำคัญเรียกว่าหลักการของพัฒนาการ ในการศึกษาหลักการดังกล่าวจะท�ำให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลง และ การพฒั นาสว่ นตา่ งๆ ของเดก็ ปฐมวยั ซง่ึ จะสามารถนำ� ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจดั ประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวยั ศึกษาได้ต่อไป หลักการของพฒั นาการจะประกอบดว้ ยหลกั การท่สี �ำคญั ดังท่ี อุบลรตั น์ เพง็ สถติ (2549, มสธ มสธน. 21-23) กล่าวไว้ ดงั น้ี 1. พฒั นาการของมนษุ ยแ์ บบเปน็ ทศิ ทาง ซง่ึ พฒั นาการแบบมที ศิ ทางจำ� แนกเปน็ 2 ลกั ษณะ คอื 1.1 ลักษณะของการพัฒนาท่ีเร่ิมจากศีรษะก่อนลงไปทางเบ้ืองล่างคือ สว่ นเทา้ ตามลำ� ดบั ได้แก่ ทารกในครรภจ์ ะมศี ีรษะใหญก่ วา่ ส่วนอืน่ ของรา่ งกาย ท้ังน้ีเพราะศีรษะมกี ารพฒั นาเรว็ กว่าสว่ นอืน่ ของร่างกาย 1.2 ลักษณะของพัฒนาการเร่ิมจากแกนกลางของร่างกายก่อน แล้วจึงพัฒนาไปสู่ส่วน มสธปลีกย่อยของร่างกาย ตัวอย่างได้แก่ เด็กสามารถหยิบจับสิ่งของด้วยอุ้งมือทั้งหมด ก่อนท่ีจะหยิบจับได้ ด้วยนว้ิ เพยี ง 2 นิ้ว 2. พฒั นาการของมนษุ ยต์ อ้ งเกดิ อยา่ งตอ่ เนอื่ งกนั ตลอดชวี ติ โดยเรม่ิ จากพฒั นาการภายในครรภ์ หลังคลอด วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และวัยชราตามล�ำดับ ได้แก่ ลักษณะผิวหนังจะมีการเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา เม่ือเข้าสวู่ ยั ชราจะมผี วิ หนงั เหีย่ วยน่ กระบวนการของพัฒนาการดงั กล่าวจะเกิดข้ึนตลอดชีวติ มสธ มสธและจะสน้ิ สุดเมื่อผู้น้ันถงึ แก่ความตาย 3. พัฒนาการของมนุษย์เป็นไปตามล�ำดับขั้นตอน ไดแ้ ก่ เดก็ ตอ้ งนง่ั ไดก้ อ่ นยนื ยนื ไดก้ อ่ นเดนิ เดนิ ไดก้ ่อนวงิ่ จะไมม่ ีการพัฒนาที่ข้ามขั้นตอนไปได้ 4. พฒั นาการของมนษุ ยจ์ ะเจรญิ เตบิ โตไมเ่ ปน็ อตั ราคงทใ่ี นบคุ คลเดยี วกนั แมว้ า่ จะมพี ฒั นาการ ต่อเนื่องกันตลอดเวลาในตัวผู้นั้นก็ตาม แต่อัตราการเจริญเติบโตในแต่ละช่วงชีวิตของผู้นั้นย่อมมีอัตราท่ี ไมเ่ ทา่ กนั ไดแ้ ก่ ทารกในครรภจ์ นกระทงั่ คลอดออกมาในระยะ 6 เดอื น แรกของชวี ติ จะมกี ารเจรญิ เตบิ โต มสธอยา่ งรวดเรว็ เมอื่ เขา้ สวู่ ยั เดก็ อตั ราการเจรญิ เตบิ โตจะเปน็ ไปแบบเรอ่ื ยๆ จนกระทงั่ วยั รนุ่ รา่ งกายจะเจรญิ เติบโตหรอื มกี ารเปลยี่ นแปลงอย่างรวดเร็วอีกครัง้ หนง่ึ 5. พัฒนาการของมนุษย์ในวัยเดียวกันมีอัตราของพัฒนาการท่ีไม่เท่ากัน แม้ว่าร่างกายของ มนุษย์จะมีแบบแผนของพัฒนาการที่เหมือนกัน แต่ลักษณะพัฒนาการของคนในวัยเดียวกันย่อมมีความ แตกต่างกนั ออกไป ไดแ้ ก่ เดก็ บางรายอายุเพียง 8 เดือนสามารถพูดไดเ้ ปน็ คำ� ๆ แตบ่ างรายจะมอี ายุถึง มสธ มสธ3 ปี จงึ สามารถพดู เป็นค�ำๆ ได้ นนั่ แสดงว่าอัตราการเจรญิ เตบิ โตของมนษุ ย์จะไม่เท่ากนั ยอ่ มขึน้ อยูก่ ับ ความแตกตา่ งและความสามารถของบุคคล 6. พัฒนาการทางด้านอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในบุคคลเดียวกันจะเกิดข้ึนไม่พร้อมกัน ได้แก่ เด็กจะต้องมีพัฒนาการทางด้านร่างกายก่อนการพัฒนาทางด้านสมอง รวมทั้งในช่วงที่เด็กมีการ พัฒนาอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ก็อาจจะมีผลท�ำให้เกิดการหยุดชะงักของพัฒนาการในอวัยวะ ส่วนอน่ื ได้ ไดแ้ ก่ ขณะทเี่ ดก็ ก�ำลงั พฒั นาทางดา้ นสตปิ ัญญาหรอื สรา้ งความเข้าใจในสงิ่ ตา่ งๆ จะปรากฏว่า มสธเดก็ ไมย่ อมพดู ออกเสยี ง แตไ่ ดแ้ สดงออกถงึ พฤตกิ รรมโดยการกระทำ� แทนการพดู ออกเสยี ง หรอื การละเลน่ ท่แี สดงวา่ เดก็ มีความคดิ เกิดขึน้

การจัดประสบการณ์ในระดบั ปฐมวัยศกึ ษา 8-13 แนวคิดทางจิตวิทยา มสธจติ วทิ ยาเปน็ ศาสตร์ท่ีอาศยั กระบวนการทางวิทยาศาสตรศ์ ึกษาเกี่ยวกับมนษุ ย์ ท้งั ทางดา้ นจิตใจ ความคดิ และพฤตกิ รรมตา่ งๆ ของมนษุ ย์ การศกึ ษาแนวคดิ จากจติ วทิ ยาจะทำ� ใหเ้ ขา้ ใจพฤตกิ รรมของเดก็ ปฐมวัย ซ่ึงจะสามารถน�ำไปสู่การประยุกต์ใช้ในการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษาต่อไป ส�ำหรับ แนวคิดทางจิตวิทยาท่ีจะกล่าวถึงในท่ีนี้ เป็นแนวคิดจิตวิทยาพัฒนาการ และแนวคิดจิตวิทยาการเรียนรู้ มสธ มสธดังตอ่ ไปนี้ 1. แนวคิดจิตวิทยาพัฒนาการ พฒั นาการ หมายถงึ การเปลยี่ นแปลงจากวยั หนง่ึ ไปสอู่ กี วยั หนง่ึ ของมนษุ ย์ ทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงอยา่ งมรี ะเบยี บแบบแผนและมลี ำ� ดบั ขน้ั ตอนทง้ั ทางดา้ นรา่ งกาย สตปิ ญั ญา อารมณ-์ จติ ใจ และสงั คม โดยจะไมม่ สี งิ่ ใดทม่ี กี ารอยคู่ งท่ี สว่ นจติ วทิ ยาพฒั นาการ หมายถงึ ศาสตรแ์ ขนงหนง่ึ ทศี่ กึ ษาเกย่ี วกบั พฤตกิ รรม การกระทำ� ของมนษุ ยท์ ม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงอยา่ งมรี ะเบยี บแบบแผนและมลี ำ� ดบั ข้ันตอนทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์-จิตใจ และสังคม โดยจะไม่มีสิ่งใดที่มีการอยู่คงที่ และ มสธเน่ืองจากวิชาจิตวิทยาเป็นวิชาที่ศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตของมนุษย์ซึ่งมีการ เปล่ียนแปลงอยู่เสมอ ท�ำให้ในบางคร้ังอาจมีการพัฒนาในทางท่ีดีข้ึน หรืออาจมีการเสื่อมถอยได้ ดังนั้น วิชาจิตวิทยาพัฒนาการจึงเป็นวิชาท่ีศึกษาถึงการเปล่ียนแปลงในลักษณะที่มีการพัฒนาท้ังในทางที่ดีข้ึน หรือมีการเสอ่ื มถอยกไ็ ด้ ซึง่ เป็นการเปลย่ี นแปลงจากวัยหน่ึงไปสวู่ ยั หนง่ึ ของมนุษย์ (อุบลรตั น์ เพ็งสถิต, 2549, น. 3) มสธ มสธการศึกษาจิตวิทยาพัฒนาการ เป็นสิ่งจ�ำเป็นที่ครูจะต้องเรียนรู้และท�ำความเข้าใจ เนื่องจากเป็น การอธิบายเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็ก ซ่ึงครูสามารถน�ำมาใช้ในการจัดประสบการณ์ให้เหมาะสมกับวัย และพฒั นาการของเดก็ เพอื่ ใหเ้ ดก็ ไดร้ บั การพฒั นาทเ่ี ปน็ ไปตามจดุ มงุ่ หมาย ในสว่ นของจติ วทิ ยาพฒั นาการ จะขอกลา่ วถงึ ทฤษฎที ีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั พฒั นาการที่สำ� คัญ 2 ทฤษฎี คอื ทฤษฎพี ฒั นาการทางสตปิ ัญญาของ Piaget และทฤษฎีจิตสังคมของ Erikson ดังนี้ 1.1 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) ในส่วนของ มสธทฤษฎพี ฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของ Piaget จะขอกลา่ วถงึ สาระสำ� คญั ของทฤษฎี และการนำ� ไปประยกุ ต์ ใช้ในการจัดประสบการณใ์ นระดับปฐมวัยศึกษา ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.1.1 สาระส�ำคัญของทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Piaget เน้นความสำ� คญั ของ การเขา้ ใจธรรมชาตแิ ละพฒั นาการของเดก็ มากกวา่ การกระตนุ้ ใหเ้ ดก็ มพี ฒั นาการทเ่ี รว็ ขนึ้ Piaget เช่ือว่า พัฒนาการทางสติปัญญาเป็นไปตามวัยและเป็นไปตามล�ำดับข้ันตอน การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตาม มสธ มสธพฒั นาการซง่ึ เปน็ เรอื่ งธรรมชาติ จงึ ไมค่ วรทจี่ ะเรง่ เดก็ ใหข้ า้ มจากพฒั นาการขนั้ หนงึ่ ไปสอู่ กี ขนั้ หนงึ่ เพราะ จะท�ำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก การจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กให้พัฒนาได้ อย่างรวดเรว็ Piaget ไดท้ ำ� การคน้ ควา้ เกย่ี วกบั พฒั นาการทางการเรยี นรขู้ องเดก็ และพฒั นาการทาง สติปัญญา โดยแบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น 4 ขั้นตอนตามระดับอายุ ในท่ีน้ีจะขอน�ำเสนอ 2 ขนั้ ตอนซงึ่ เป็นพฒั นาการทางสตปิ ัญญาของเด็กปฐมวัย ดงั น้ี (Lall and Lall, 1983, pp. 45-54 อา้ งถงึ มสธใน ทิศนา แขมมณ,ี 2553, น. 64-66; สรุ างค์ โคว์ตระกูล, 2556, น. 33-44)

8-14 การจัดการศกึ ษาและหลกั สตู รสำ� หรับเด็กปฐมวัย ขั้นที่ 1 ข้ันประสาทสัมผัสและการเคล่ือนไหว (Sensori-motor Stage) อยู่ในช่วงอายุ มสธ0-2 ปี เป็นขั้นท่ีเด็กรู้จักการใช้ประสาทสมั ผสั ตา่ งๆ เชน่ ปาก ตา หู การสัมผัส เปน็ ต้น Piaget ได้แบ่ง ขั้นประสาทสมั ผสั และการเคล่อื นไหว ออกเป็นข้นั ย่อยๆ 6 ขนั้ ดังนี้ 1) ข้ันปฏิกิริยาสะท้อน (Reflexive) ต้ังแตแ่ รกเกดิ จนถงึ 1 เดือน พฤติกรรม ท่ีแสดงออกเป็นการเคลื่อนไหวท่ีซ�้ำๆ และง่ายๆ โดยบังเอิญ เร่ิมมองและสนใจจ้องดูสิ่งต่างๆ รอบตัว มสธ มสธเดก็ เดก็ จะมพี ฤตกิ รรมการสะทอ้ นอยา่ งงา่ ย ซง่ึ เปน็ พฤตกิ รรมทเี่ กดิ ขนึ้ เพอ่ื ตอบสนองการกระตนุ้ ภายนอก โดยอตั โนมัติไม่ไดเ้ กย่ี วกับการเรยี นรู้ 2) ขั้นพัฒนาการอวัยวะเคลื่อนไหวด้วยประสบการณ์เบ้ืองต้น (Primary Circular Reaction) อายุ 1-4 เดือน พฤตกิ รรมนี้แสดงออกเปน็ พฤตกิ รรมการเคลื่อนไหวซ้ำ� ๆ และง่ายๆ โดยบังเอญิ มกี ารจ้องดสู งิ่ ต่างๆ รอบตัว เร่มิ สนใจสงิ่ แวดล้อม 3) ข้ันพัฒนาการอวัยวะเคล่ือนไหวโดยมีจุดมุ่งหมาย (Secondary Circular มสธReaction) เปน็ ขนั้ พฒั นาการอวยั วะเคลอ่ื นไหวโดยมจี ดุ มงุ่ หมาย เรมิ่ อายุ 4-6 เดอื น เปน็ ระยะทเี่ ดก็ แสดง พฤตกิ รรมโดยมีความตง้ั ใจหรือมจี ดุ มุง่ หมาย 4) ข้ันพัฒนาการประสานของอวัยวะ (Coordination of Secondary Reaction) ช่วงอายุ 7-10 เดอื น พฤติกรรมท่ีเดก็ แสดงออกเป็นพฤตกิ รรมทมี่ จี ดุ มุ่งหมาย คอื ต้ังใจทำ� ไม่ใช่บังเอิญ 5) ขั้นพัฒนาการความคิดริเร่ิมแบบลองผิดลองถูก (Tertiary Circular มสธ มสธReaction) เป็นขั้นพัฒนาการความคิดลองผิดลองถูก โดยเด็กเร่ิมท่ีจะทดลองพฤติกรรมแบบลองผิดลอง ถูก (trial and error) และเร่มิ สนใจผลของพฤติกรรมใหมๆ่ 6) การเริ่มต้นของความคิด (Being of Thought) อายุ 18 เดอื นถงึ 2 ขวบ เดก็ วัยน้ีจะสามารถคิดวิธีใหม่ๆ ซ่ึงไม่เคยเห็นหรือเคยท�ำมาก่อนได้เอง ระยะนี้เป็นขั้นพัฒนาการย่อย ขน้ั สดุ ทา้ ยในระดบั พฒั นาการเบ้ืองต้น เด็กเรม่ิ แสดงความกา้ วหน้าในระดับสตปิ ัญญาและความคดิ เริม่ แก้ ปัญหาท่ีตนประสบได้ เร่ิมรู้จกั คิดหาวธิ ีการแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องอาศัยการลองผิดลองถกู มสธขั้นท่ี 2 ขั้นความคิดก่อนเกดิ ปฏบิ ตั ิการ (Preoperational Stage) อย่ใู นชว่ งอายุ 2-7 ปี เปน็ ขนั้ ทเ่ี ดก็ เรมิ่ เรยี นรภู้ าษาและเขา้ ใจทา่ ทางทส่ี อื่ ความหมายได้ เดก็ เรยี นรสู้ งิ่ ตา่ งๆ ไดด้ ขี นึ้ แตต่ อ้ งอาศยั การรับรเู้ ป็นสว่ นใหญแ่ ละไม่สามารถหาเหตุผลมาอ้างองิ ได้ ระยะน้แี บ่งเป็น 2 ข้นั ย่อย คือ 1) ข้ันพัฒนาการก่อนเกิดความคิดรวบยอดอย่างใช้เหตุผล (Preconceptual Thought) อายุ 2-4 ปี ระยะนีเ้ ด็กเร่ิมสามารถใชภ้ าษา เข้าใจความหมายของสญั ลกั ษณ์ แตก่ ารใชภ้ าษา มสธ มสธของเดก็ ในวยั นมี้ กั จะเพมิ่ ภาษาทเี่ กย่ี วกบั ตนเอง เพราะเดก็ มลี กั ษณะยดึ ตนเองเปน็ ศนู ยก์ ลาง (Egocentric) ของความสนใจและความรู้สึกนึกคิด เด็กวัยนี้ชอบเล่นสมมติโดยใช้สัญลักษณ์ต่างๆ เด็กเข้าใจส่ิงต่างๆ เฉพาะเก่ียวกับส่ิงที่เกี่ยวกับตัวเองเท่าน้ัน ยังไม่สามารถนึกได้ว่าคนอ่ืนมีความคิดแตกต่างไปจากตัวเอง อยา่ งไร มองเหน็ แตด่ า้ นทเ่ี หมอื นเทา่ นน้ั มองไมเ่ หน็ สว่ นทแ่ี ตกตา่ งออกไป รจู้ กั การเปรยี บเทยี บ แตเ่ ปน็ การ เปรยี บเทยี บเพยี งดา้ นเดยี ว คอื ความคดิ ทเี่ รยี กวา่ ความสามารถในการสรปุ ครอบคลมุ (Generalization) มสธกล่าวคือ ถ้าวตั ถุ 2 อย่างเหมือนกันในบางอย่างแล้วส่วนอนื่ ๆ จะเหมอื นกันหมด

การจดั ประสบการณใ์ นระดับปฐมวยั ศกึ ษา 8-15 2) ขน้ั พฒั นาการใกลเ้ กดิ ความคดิ รวบยอดอยา่ งใชเ้ หตผุ ล (Intuitive Thought) มสธอายุ 4-7 ปี หลงั จากอายุ 4 ขวบ ความคดิ ของเดก็ จะมเี หตผุ ลขน้ึ แตถ่ งึ อยา่ งไรการคดิ ยงั ออกมาในลกั ษณะ ของการรับรู้มากกว่าเข้าใจ เด็กรู้จักมองเห็นเฉพาะความเหมือน ถึงระยะนี้เด็กจะรู้จักเห็นส่วนที่แตกต่าง การพัฒนาความคิดเช่นน้ีท�ำให้เด็กสามารถคิดเปรียบเทียบ (comparative thinking) คิดแยกสิ่งของ เคร่ืองใช้หรือส่ิงต่างๆ ท่ีเด็กเข้าใจออกเป็นหมวดหมู่ (classification or categorization) และรู้จักคิด มสธ มสธเชอ่ื มโยงความสมั พนั ธ์ (associative thinking) ไดม้ ากและถกู ตอ้ งยงิ่ ขน้ึ ดงั นน้ั จงึ นบั ตวั เลขได้ พฒั นาการ ข้ันนี้ต่างจากข้ันการคิดก่อนเกิดความคิดรวบยอดอย่างใช้เหตุผล ตรงท่ีเด็กจะมีปฏิกิริยาต่อสิ่งแวดล้อม มากกวา่ คอื สนใจอยากรซู้ กั ถามมากกวา่ เดก็ วยั นเ้ี รม่ิ เลยี นแบบพฤตกิ รรมของผใู้ หญท่ อี่ ยรู่ อบขา้ ง ใชภ้ าษา เป็นเครอ่ื งมอื ในการคดิ ความเขา้ ใจยงั ขึน้ อยู่กับสิ่งรบั รจู้ ากภายนอก พัฒนาการทางการคดิ และสตปิ ัญญาในความเหน็ ของ Piaget คือ บคุ คลสามารถคิด ดดั แปลงความคดิ และแสดงความคดิ ของตนเองออกมาได้ ยอ่ มเปน็ ผลมาจากขบวนการปรบั เขา้ สโู่ ครงสรา้ ง มสธและการจัดขยายโครงสรา้ งเพ่ือให้เกดิ ความสมดุล (equilibration) ระหวา่ งกระบวนการทำ� งานของสมอง ทมี่ กี ารปรบั ตวั (adaptation) ใหเ้ ขา้ กบั สง่ิ แวดลอ้ มของสง่ิ มชี วี ติ ผลการทำ� งานดงั กลา่ วจะเกดิ เปน็ โครงสรา้ ง ทางปัญญาหรอื การรู้คิด (cognitive structure) ทีเ่ รยี กว่า Scheme หรือ Schema หมายถงึ แบบแผน ของการคดิ และพฤตกิ รรมภายนอกทบ่ี คุ คลสรา้ ง เพอ่ื การจดั ระเบยี บหรอื ตีความประสบการณ์ของตน ซ่งึ Piaget ได้ให้แนวความคดิ เกีย่ วกับขบวนการปรับเข้าสโู่ ครงสร้างและการจัดปรบั ขยายโครงสร้าง ดงั นี้ มสธ มสธ1) การปรบั เขา้ สโู่ ครงสรา้ ง (Assimilation) เปน็ กระบวนการทางสมองในการ รับประสบการณ์เร่อื งราวและข้อมูลตา่ งๆ เข้ามาสะสมเกบ็ ไวเ้ พ่อื ใชป้ ระโยชนต์ อ่ ไป 2) การจัดเข้าสู่โครงสร้าง (Acconmodation) คือ กระบวนการทางสมอง ในการปรบั ประสบการณเ์ ดมิ และประสบการณใ์ หมใ่ หเ้ ขา้ กนั เปน็ ระบบหรอื เครอื ขา่ ยทางปญั ญาทต่ี นสามารถ เข้าใจได้ เกดิ เปน็ โครงสรา้ งทางปัญญาใหมข่ ้นึ 3) การเกดิ ความสมดลุ (Equilibration) เปน็ กระบวนการทเี่ กดิ ขนึ้ จากขนั้ ของ มสธการปรับประสบการณ์เดิมและประสบการณ์ใหม่ หากการปรับเป็นไปอย่างผสมผสานกลมกลืนก็จะก่อให้ เกดิ สภาพทมี่ คี วามสมดลุ ขนึ้ หากบคุ คลไมส่ ามารถปรบั ใหเ้ ขา้ กนั ไดก้ จ็ ะเกดิ ภาวะความไมส่ มดลุ ขน้ึ ซงึ่ กอ่ ให้เกดิ ความขดั แยง้ ทางปัญญาข้นึ ในตัวบคุ คล 1.1.2 การประยกุ ต์ใชใ้ นการจดั ประสบการณใ์ นระดับปฐมวยั ศึกษา 1) การจดั ประสบการณใ์ หเ้ ดก็ ไดเ้ รยี นรผู้ า่ นการลงมอื กระทำ� และการใชป้ ระสาท มสธ มสธสมั ผสั ทงั้ หา้ 2) การจัดประสบการณ์ที่ค�ำนึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาด้วยการสอนส่ิงที่ เปน็ รูปธรรม มีการใช้สือ่ ประกอบการจัดประสบการณ์ 3) การให้เดก็ ได้มีปฏิสมั พนั ธก์ ับสง่ิ แวดล้อมรอบตวั เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ 4) การจัดประสบการณ์ที่ค�ำนึงถึงพัฒนาการ ความสนใจ และความแตกต่าง มสธระหวา่ งบุคคล

8-16 การจัดการศกึ ษาและหลกั สูตรส�ำหรบั เดก็ ปฐมวยั 5) เด็กปฐมวัยมลี ักษณะทย่ี ึดตนเองเปน็ ศูนยก์ ลาง ดังนน้ั การจดั ประสบการณ์ มสธจงึ ตอ้ งจดั ใหเ้ ด็กทำ� กจิ กรรมอย่างหลากหลายทง้ั ลกั ษณะเด่ยี ว กลุ่มเล็ก และกลมุ่ ใหญ่ 1.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคม (Psychosocial Development Theory) ในส่วนของ ทฤษฎพี ฒั นาการทางจติ สงั คมของ Erikson จะขอกลา่ วถงึ สาระสำ� คญั ของทฤษฎี และการนำ� ไปประยกุ ต์ ใช้ในการจดั ประสบการณ์ในระดบั ปฐมวยั ศึกษา ดงั ต่อไปนี้ มสธ มสธ1.2.1 สาระส�ำคญั ของทฤษฎพี ฒั นาการทางจติ สังคม Erikson เป็นลกู ศษิ ย์ของ Freud ไดส้ รา้ งทฤษฎตี ามแนวความคดิ ของ Freud แตเ่ นน้ ความสำ� คญั ของสงั คม วฒั นธรรม และสง่ิ แวดลอ้ มดา้ น จิตใจ (psychological environment) ว่ามีบทบาทในการพฒั นาบคุ ลกิ ภาพมาก ความคิดของ Erikson ต่างกบั Freud หลายประการ เป็นตน้ วา่ เห็นความส�ำคัญของ Ego มากกวา่ Id และถือว่าพฒั นาการของ คนไม่ได้จบแค่วัยรุ่น แต่พัฒนาต่อไปจนกระท่ังวาระสุดท้ายของชีวิต คือ วัยชรา ขณะท่ียังมีชีวิตอยู่ บุคลิกภาพของคนจะเปล่ียนไปเรื่อยๆ และถือว่าเป็นวิวัฒนาการที่จะต้องมีอุปสรรค คนอาจจะพบ มสธประสบการณท์ ไ่ี มป่ รารถนา และทำ� ใหเ้ ปน็ แผลหรอื รอยรา้ วของพฒั นาการทางบคุ ลกิ ภาพตามแตล่ ะขน้ั ของ ชวี ติ ซง่ึ เปน็ ธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ แตก่ ส็ ามารถจะรกั ษาบาดแผลทเ่ี กดิ ขน้ึ ใหห้ ายไปโดยการบำ� บดั ของตนเอง Erikson เป็น Neo-Freudian ได้เรียกทฤษฎีของตนว่าเป็นทฤษฎีจิตสังคม (Psychosocial Theory) ซง่ึ ไดแ้ บง่ พฒั นาการทางบคุ ลกิ ภาพออกเปน็ 8 ขนั้ แตใ่ นเรอื่ งนจ้ี ะกลา่ วถงึ 4 ขนั้ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั เดก็ ปฐมวยั (สุรางค์ โคว์ตระกลู , 2556, น. 26-30) ดงั น้ี มสธ มสธขน้ั ท่ี 1 ความไวว้ างใจ-ความไมไ่ วว้ างใจ (Trust VS. Mistrust) อายแุ รกเกดิ ถงึ 1 ปี เปน็ ข้ันในวัยทารก Erikson ถือวา่ เป็นรากฐานท่ีสำ� คญั ของพัฒนาการในวยั ต่อไป เดก็ วยั ทารกจ�ำเปน็ จะตอ้ ง มผี เู้ ลยี้ งดเู พราะชว่ ยตนเองไมไ่ ด้ ผเู้ ลยี้ งดจู ะตอ้ งเอาใจใสเ่ ดก็ ถงึ เวลาใหน้ มกค็ วรจะใหแ้ ละปลดเปลอื้ งความ เดือดร้อนไม่สบายของทารกอันเนื่องมาจากการขับถ่าย เป็นต้น ผู้เล้ียงดูจะต้องสนองความต้องการของ เดก็ อยา่ งสมำ�่ เสมอ เพราะเดก็ มคี วามหวงั วา่ เวลาหวิ จะมคี นมาใหน้ ม เวลาทผ่ี า้ ออ้ มเปยี กจะมคี นมาเปลย่ี นให้ เด็กจะอย่ดู ้วยความหวังว่าจะมผี ูช้ ว่ ยเหลอื ทกุ ครัง้ ที่ตนมคี วามตอ้ งการ นอกจากนีเ้ ดก็ ยังมีความเชื่อและมี มสธความหวังว่าจะใชอ้ วยั วะต่างๆ ช่วยตวั เองได้ เปน็ ต้นวา่ สามารถจะหาหัวนมและควา้ มาดดู ได้ ขนั้ ท่ี 2 ความเปน็ ตวั ของตวั เองอยา่ งอสิ ระ-ความสงสยั ไมแ่ นใ่ จตวั เอง (Autonomouse VS. Shame and Doubt) อยใู่ นวยั อายุ 2-3 ปี วยั นเ้ี ปน็ วยั ทเี่ รม่ิ เดนิ ได้ สามารถทจี่ ะพดู ได้ และความเจรญิ เตบิ โต ของร่างกายช่วยให้เด็กมีอิสระ พ่ึงตัวเองได้และมีความอยากรู้อยากเห็น อยากจับต้องส่ิงของต่างๆ เพ่ือ ตอ้ งการสำ� รวจวา่ คอื อะไร เดก็ เรม่ิ ทอี่ ยากเปน็ อสิ ระ เปน็ ตวั ของตวั เอง ฉะนน้ั เดก็ วยั นเ้ี รมิ่ เรยี นรพู้ ฤตกิ รรม มสธ มสธหลายอย่างที่กำ� หนดโดยสงั คม ฉะนนั้ พ่อแม่ และผ้เู ล้ียงดูจำ� เปน็ จะตอ้ งรกั ษาความสมดลุ ชว่ ยเด็กใหเ้ ป็น อสิ ระ พงึ่ ตนเอง โดยตอ้ งเปน็ ผทู้ รี่ จู้ กั ใชค้ ำ� พดู อธบิ ายใหเ้ ดก็ เขา้ ใจวา่ สง่ิ ไหนทำ� ได้ สงิ่ ไหนทำ� ไมไ่ ด้ พยายาม เลี่ยงการดุเด็กเวลาท่ีท�ำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่บางคร้ังจ�ำเป็นต้องปล่อยให้เด็กมีความละอาย (shame) และ การสงสยั ตวั เองวา่ ทำ� ไมถ่ กู (doubt) เพราะเปน็ สง่ิ สำ� คญั สว่ นหนงึ่ ของการพฒั นาทท่ี กุ คนควรจะตอ้ งมคี วาม ละอายใจ ไมก่ ลา้ ทำ� สง่ิ ทส่ี งั คมไมย่ อมรบั อยา่ งไรกต็ าม พอ่ แม่ ควรจะเนน้ ทก่ี ารใหโ้ อกาสเดก็ พง่ึ ตนเอง มี มสธความเป็นอสิ ระ ท�ำอะไรดว้ ยตนเอง มากกว่าการมีความรสู้ ึกละอายและสงสัยในตนเอง

การจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวยั ศึกษา 8-17 ขนั้ ท่ี 3 การเปน็ ผคู้ ดิ รเิ รม่ิ -การรสู้ กึ ผดิ (Initiative VS. Guilt) Erikson เรียกวยั เดก็ อายุ มสธประมาณ 3-5 ปี นีว้ ่าเป็นวยั ทมี่ คี วามริเริ่มอยากจะท�ำอะไรดว้ ยตนเองจากจติ นาการของตนเอง การเล่น สำ� คญั มากสำ� หรบั วยั นี้ เพราะเดก็ จะตอ้ งทดลองทำ� ตา่ งๆ จะสนกุ กบั การสมมตขิ องตา่ งๆ เปน็ ของจรงิ เชน่ อาจจะให้ลงั กระดาษเป็นรถยนต์ ขับรถยนต์เหมอื นผใู้ หญ่ อย่างไรก็ตาม เดก็ กย็ ังพยายามที่จะเปน็ อิสระ พึ่งตนเอง อยากจะท�ำอะไรเอง ไม่พึ่งผู้ใหญ่ เป็นวัยท่ีเด็กจะเลียนแบบจากผู้ใหญ่ทั้งด้านการพูดและการ มสธ มสธกระทำ� ขัน้ ท่ี 4 ความต้องการทจ่ี ะทำ� กจิ กรรมอยเู่ สมอ-ความรู้สกึ ด้อย (Industry VS. Inferiority) อายุ 6-11 ปี Erikson ใช้ค�ำว่า Industry เน่อื งจากเดก็ วัยนี้มพี ฒั นาการด้านสติปญั ญาและทางรา่ งกาย อยู่ในขั้นที่มีความต้องการจะท�ำกิจกรรมอยู่เสมอ ไม่เคยว่างหรืออยู่เฉยๆ แม้ว่าเด็กท่ีเจริญเติบโตใน วัฒนธรรมทไี่ มม่ ีการศกึ ษาในโรงเรยี นทั่วโลกก็จะพบว่า เดก็ วยั นเ้ี ปน็ วยั ทีจ่ ะเรมิ่ ฝกึ หัดอาชพี ตัวอย่างเช่น พวกเอสกโิ ม จะไปตกปลา สำ� หรบั วฒั นธรรมทจี่ ะตอ้ งลา่ สตั วเ์ พอื่ เลยี้ งชวี ติ กจ็ ะหดั ทำ� ลกู ศรเพอื่ ไปยงิ สตั ว์ มสธสำ� หรบั สังคมทม่ี ีการศกึ ษาในโรงเรยี น เด็กก็จะอยูใ่ นโรงเรยี น เรยี นหดั อา่ น หัดเขยี นและคดิ เลข เด็กวยั นี้ มักจะภูมิใจว่าท�ำอะไรได้ จะขยันและใช้ความพยายามอย่างมาก ผู้ใหญ่จะต้องพยายามช่วยให้เด็กมี สัมฤทธิผล ให้รู้ว่าตนเองมีความสามารถ เพื่อจะให้มีความรู้สึกท่ีดีต่อตัวเอง (positive self-concept) เดก็ วยั นี้จะต้องมีประสบการณท์ ี่สง่ เสริมให้คิดว่าตนเองเก่ง มคี วามสามารถทำ� อะไรก็ทำ� ได้ เพ่ือไม่ให้เกดิ ปมดอ้ ย แตเ่ ดก็ กอ็ าจจะตเิ ตอื นกนั เอง เปรยี บเทยี บความสามารถกนั เสมอ ครแู ละพอ่ แม่ มสี ว่ นชว่ ยใหเ้ ดก็ มสธ มสธท่ีท�ำงานช้า สู้กับคนไม่ได้ โดยพยายามหาสิ่งท่ีเด็กคนน้ันท�ำได้ดีกว่าคนอื่น และชี้ให้เห็นความสามารถ พิเศษของตนเอง และประกาศให้คนอ่ืนรับรู้ด้วย เช่น เด็กบางคนอาจจะท�ำงานช้า เสร็จช้า แต่เม่ือเสร็จ แลว้ เปน็ ผลงานทถ่ี กู ตอ้ งสมบรู ณ์ เดก็ บางคนเรยี นไมเ่ กง่ แตท่ ำ� กจิ กรรมตา่ งๆ ทใี่ ชม้ อื ไดด้ หี รอื เลน่ กฬี าเกง่ การชว่ ยเหลอื ลักษณะน้กี จ็ ะท�ำใหเ้ ดก็ ไม่มีปมดอ้ ย และมีทศั นคตทิ ่ีดีต่อตนเอง 1.2.2 การประยุกตใ์ ชใ้ นการจัดประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวัยศกึ ษา 1) การตอบสนองความต้องการของเด็ก เพื่อช่วยให้สามารถพัฒนาความไว้ มสธวางใจ มคี วามม่นั ใจในการทำ� กิจกรรมด้วยตนเอง และสามารถทำ� กิจกรรมรว่ มกับเพือ่ น 2) การให้อิสระกับเด็กเป็นส่ิงส�ำคัญ เพราะจะช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาความ คิดริเร่มิ สร้างสรรค์ 3) ครเู ป็นผทู้ ่ีมีบทบาทส�ำคญั ในการพฒั นาเดก็ แตล่ ะชว่ งวยั 4) การจดั สงิ่ แวดลอ้ มใหเ้ ดก็ ไดม้ ปี ฏสิ มั พนั ธ์ ชว่ ยใหเ้ ดก็ ไดร้ เิ รมิ่ การทำ� กจิ กรรม มสธ มสธและแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง 5) การไมเ่ รง่ เดก็ ดว้ ยการจดั ประสบการณต์ ามลำ� ดบั ขน้ั ของพฒั นาการ 6) การใหเ้ ดก็ มปี ระสบการณท์ ด่ี ผี า่ นวกิ ฤตทางบวก เชน่ เดก็ วยั 3 ขวบ ชอบ เคลื่อนไหวอย่างอิสระ ว่ิง ปีนป่าย การจัดประสบการณ์ให้เด็กได้เคล่ือนไหวร่างกายท้ังภายในและนอก หอ้ งเรยี น จะช่วยให้เด็กได้พัฒนาไปในทางบวก คือรสู้ กึ เป็นอิสระและมีความมนั่ ใจในตนเอง 7) การจัดกิจกรรมท่ีสร้างโอกาสให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เพื่อให้เด็ก มสธเกดิ การเรียนรู้

8-18 การจัดการศกึ ษาและหลกั สตู รส�ำหรบั เดก็ ปฐมวยั 2. แนวคิดจิตวิทยาการเรียนรู้ การเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมเดิมไป มสธเปน็ พฤตกิ รรมใหมอ่ ยา่ งถาวรดา้ นความรู้ ความเขา้ ใจ ดา้ นความรสู้ กึ และดา้ นทกั ษะ ซง่ึ เกดิ จากการฝกึ ฝน และการไดร้ บั ประสบการณ์ แตไ่ มใ่ ชเ่ กดิ จากสญั ชาตญาณ วฒุ ภิ าวะ หรอื จากการเปลย่ี นแปลงของรา่ งกาย ซงึ่ ทำ� ใหเ้ กดิ การแกไ้ ขปญั หาตา่ งๆ ไดด้ ขี นึ้ และปรบั ตวั เขา้ กบั สถานการณใ์ หมๆ่ เปน็ อยา่ งดี สว่ นจติ วทิ ยา การเรียนรู้ (psychology of learning) หมายถงึ จติ วทิ ยาท่ีใช้ในการถ่ายทอดความรู้ โดยการเรียนร้จู ะ มสธ มสธเกิดข้ึนได้น้ันต้องเกิดจากพฤติกรรมท่ีเปล่ียนแปลงไปอย่างถาวรหรือเกิดจากการฝึกฝน ซึ่งกระบวนการ เรยี นรจู้ ะเกิดได้จากขั้นตอนหลกั  4 ขนั้ ตอนคอื ต้ังใจจะรู้ กำ� หนดวธิ ีปฏบิ ัตเิ พื่อใหร้ ู้ ลงมอื ปฏิบตั ิและได้รับ ผลประจักษ์ ส�ำหรับทฤษฎีการเรียนรู้น้ันจะพยายามศึกษาว่ากระบวนการเรียนรู้น้ันมีลักษณะอย่างไร ใน งานวิจัยส่วนใหญ่น้ันจะท�ำการศึกษาจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมแบบพุทธินิยม และแบบ self-regu- lated learning โดยมีจิตวิทยาทางสื่อเป็นแนวการศึกษาใหม่ที่เพ่ิมเข้ามา เน่ืองจากเทคโนโลยีมีบทบาท ในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ ซึ่งจิตวิทยาการเรียนรู้นั้นมีความส�ำคัญเพราะช่วยให้ครูสามารถจัด มสธประสบการณ์ให้สอดคล้องกับลักษณะและวิธีการเรียนรู้ของเด็ก (วัลภา สบายยิ่ง, 2559) ในส่วนของ จิตวิทยาการเรียนรู้ที่จะกล่าวถึงในเร่ืองน้ีเป็นแนวคิดของทฤษฎีการเรียนรู้ และทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม พฤตกิ รรมนยิ มทส่ี ำ� คญั คอื ทฤษฎกี ารวางเงอ่ื นไขแบบโอเปอรแ์ รนดข์ อง Skinner และทฤษฎกี ารเชอ่ื มโยง ของ Thorndike ดงั น้ี 2.1 กลุ่มแนวคิดของทฤษฎีการเรียนรู้ กล่มุ แนวคิดของทฤษฎกี ารเรียนรู้สามารถประมวล มสธ มสธแนวคดิ ไดเ้ ป็น 4 กลุ่ม (วลั ภา สบายย่ิง, 2559) คอื 2.1.1 กลุ่มโครงสร้างนิยม (Structuralism) สนใจมุ่งศึกษาเร่ืองจิตธาตุ ซึ่งท้ังร่างกาย และจติ ใจต่างกเ็ ป็นอสิ ระแกก่ ัน ต่างก็ท�ำงานสัมพนั ธก์ นั ดงั น้ันพฤตกิ รรมของบุคคลจงึ เกดิ จากการกระท�ำ ของรา่ งกาย ซง่ึ การกระทำ� ของรา่ งกายนน้ั ยอ่ มเกดิ จากการควบคมุ และสงั่ การของจติ ใจ กลมุ่ โครงสรา้ งของ จิตเชื่อว่า โครงสร้างของจิตประกอบด้วย จิตธาตุ (mental elements) ซ่ึงจิตธาตุประกอบด้วย ธาตุ 3 ชนิด คอื 1) การรับสมั ผสั (sensation) 2) ความรู้สกึ (feeling) และ 3) จินตนาการหรอื มโนภาพ (im- มสธage) เม่ือจิตธาตุท้ัง 3 ชนิดนี้มาสัมพันธ์กันภายใต้สถานการณ์แวดล้อมที่เหมาะสม ก็จะก่อให้เกิดรูปจิต ผสมขึ้นและจติ ผสมน้เี องทำ� ใหบ้ คุ คลเกดิ ความคิด (thinking) อารมณ์ (emotion) ความจ�ำ (memory) และการหาเหตุผลหรอื สาเหตุ (reasoning) และอนื่ ๆ 2.1.2 กลุ่มหน้าที่จิต (Functionalism) สนใจในการมองประโยชน์ของจิตส�ำนึกและ พฤตกิ รรมในการปรบั ตวั เขา้ กบั สงิ่ แวดลอ้ มโดยใหค้ วามสำ� คญั กบั หนา้ ทจ่ี ติ มนษุ ยม์ ที ง้ั แงเ่ หตผุ ลและอารมณ์ มสธ มสธจึงมีความส�ำคัญท่ีจะต้องศึกษาจิตของมนุษย์ในระดับต้นและล่างลงไป ท่ีจะท�ำหน้าที่ปรับตัวกับการ เปลยี่ นแปลง ทฤษฎกี ารเรยี นรชู้ ใ้ี หเ้ หน็ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งจติ กบั สงิ่ แวดลอ้ ม ไมใ่ ชศ่ กึ ษาทป่ี รากฏการณ์ ทางจิตอยา่ งเดยี ว 2.1.3 กลมุ่ พฤตกิ รรมนยิ ม (Behaviorism) สนใจศกึ ษาพฤตกิ รรมทแี่ สดงออก พฤตกิ รรม ที่บอกสาเหตุได้ วัดได้มากกว่าภายในจิตใจ นักจิตวิทยาที่ยึดถือทางพฤติกรรมนิยม แบ่งพฤติกรรมของ มนษุ ยอ์ อกเป็น 2 ประเภท คือ 1) พฤตกิ รรมการวางเงอ่ื นไขสงิ่ เร้า (Respondent Behavior) หมายถงึ มสธพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนโดยสิ่งเร้า เม่ือมีส่ิงเร้าพฤติกรรมตอบสนองก็จะเกิดข้ึน และ 2) พฤติกรรมการวาง

การจดั ประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา 8-19 เงอื่ นไขการกระทำ� (Operant Behavior) เปน็ พฤตกิ รรมที่บคุ คลหรือสัตวแ์ สดงพฤติกรรมตอบสนองออก มสธมา (emitted) โดยปราศจากส่ิงเร้าท่แี น่นอน และพฤติกรรมนม้ี ผี ลต่อสงิ่ แวดล้อม 2.1.4 กลุ่มการรู้คิดทางสังคม (Social Cognitive Theory) สนใจการเปล่ียนแปลง พฤติกรรมของบุคคล อันเปน็ ผลเน่อื งมาจากการมีปฏสิ ัมพนั ธซ์ ึ่งกันและกนั ระหวา่ งองคป์ ระกอบ 3 อย่าง ไดแ้ ก่ พฤติกรรมปญั ญา องค์ประกอบสว่ นบคุ คล และอทิ ธพิ ลของสภาพแวดลอ้ ม โดยองค์ประกอบท้ัง 3 มสธ มสธสว่ นนจี้ ะเปน็ ตวั กำ� หนดทม่ี อี ทิ ธพิ ลเชงิ เหตผุ ลซง่ึ กนั และกนั นกั จติ วทิ ยากลมุ่ นส้ี นใจศกึ ษาเรอ่ื งกระบวนการ ทางจติ ซ่ึงเปน็ พฤตกิ รรมภายในทไ่ี มส่ ามารถสงั เกตได้โดยตรง ไดแ้ ก่ การรับรู้ การจ�ำ การคดิ และความ เข้าใจ แนวความคิดของกลมุ่ นเี้ ชื่อวา่ มนุษยจ์ ะเป็นผกู้ ระทำ� ต่อสงิ่ แวดล้อมมากกว่าทำ� ตามสง่ิ แวดลอ้ ม 2.2 ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ เนอ่ื งจากทฤษฎกี ารเรยี นรนู้ น้ั มหี ลายกลมุ่ ในทน่ี จ้ี ะขอกลา่ วถงึ ทฤษฎี ท่นี ิยมน�ำมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจัดประสบการณร์ ะดับปฐมวยั ศกึ ษา คือจิตวิทยากล่มุ พฤตกิ รรมนิยม ได้แก่ แนวคดิ ของทฤษฎกี ารวางเงอ่ื นไขแบบโอเปอรแ์ รนดข์ อง Skinner และทฤษฎกี ารเชอ่ื มโยงของ Thorndike มสธดังนี้ 2.2.1 ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอร์แรนด์ (Operant Conditioning Theory) ของ Skinner ในสว่ นของทฤษฎกี ารวางเงอ่ื นไขแบบโอเปอรแ์ รนด์ จะขอกลา่ วถงึ สาระสำ� คญั ของทฤษฎี และการนำ� ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจดั ประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวัยศึกษา ดังต่อไปนี้ 1) สาระส�ำคัญของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอร์แรนด์ Skinner ให้ มสธ มสธความสำ� คญั กบั ผลกรรมทต่ี ามมาหลงั จากการแสดงพฤตกิ รรม รวมทง้ั เชอ่ื วา่ พฤตกิ รรมทปี่ รากฏออกมาเกดิ จากการกระท�ำของตัวบุคคลเอง (active) มากกว่าท่ีจะเกิดข้ึนจากการกระตุ้นของสิ่งเร้า (passive) ซึ่ง เปน็ ผลมาจากการทดลอง Skinner ทดลองนำ� หนทู ก่ี ำ� ลงั หวิ ใสเ่ ขา้ ไปในกลอ่ ง (Skinner’s box) ซง่ึ ภายใน ประกอบดว้ ย กลไกสำ� หรบั การใหอ้ าหาร ถา้ หนไู ปแตะโดนทค่ี าน กจ็ ะมอี าหารหลน่ ลงมา 1 ชนิ้ ซง่ึ ปรากฏ ว่า เม่ือหนูเข้าไปในกล่อง มันก็ว่ิงวนไปมาท่ัวกล่อง จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่บังเอิญว่ิงไปแตะท่ีคาน จงึ ทำ� ให้มีอาหารหลน่ ลงมา หนูจงึ ได้กินอาหาร พฤติกรรมเช่นน้ีเกดิ ขึน้ หลายครั้งจนกระทัง่ ครัง้ หลังๆ เม่อื มสธหนูหิว และต้องการอาหารมันก็ตรงไปกดคานทันทีแสดงว่าหนูได้เกิดการเรียนรู้ขึ้นแล้ว โดยมีคานเป็น สงิ่ เร้า (stimulus) และมอี าหารเปน็ ตวั เสริมแรง (reinforce) ท่ีทำ� ให้หนเู กดิ การเรียนรวู้ า่ ถ้าหากกดคาน กจ็ ะไดก้ นิ อาหารอกี ซงึ่ Skinner เรยี กพฤตกิ รรมการเรยี นรทู้ เ่ี กดิ ขน้ึ นว้ี า่ “การเรยี นรกู้ ารวางเงอื่ นไขแบบ การกระท�ำ” (operant conditioning) (วลั ภา สบายยิง่ , 2559) ทฤษฎกี ารวางเงอื่ นไขการกระทำ� มแี นวความคดิ พนื้ ฐานวา่ พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ มสธ มสธตกอยู่ภายใตก้ ารควบคมุ ของเง่ือนไขการเสริมแรงและการลงโทษ และพฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจาก การปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม พฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนของบุคคลจะแปรเปลี่ยนไป เน่ืองจากผลกรรมท่ี เกิดขน้ึ ในสภาพแวดล้อม ซ่ึง Skinner เชือ่ ว่า พฤตกิ รรมเกิดรว่ มกนั ระหว่างตัวผูแ้ สดง พฤติกรรม และ เงื่อนไขสง่ิ แวดลอ้ มในรปู ผลกรรม ทำ� ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมทเ่ี รยี กวา่ พฤตกิ รรมทเ่ี กดิ ขน้ึ เอง ผแู้ สดงพฤตกิ รรม มสธแสดงเอง พฤตกิ รรมดงั กลา่ วถกู ควบคมุ โดยผลกรรมน้นั และรปู แบบการเกดิ พฤติกรรม

8-20 การจัดการศึกษาและหลักสตู รสำ� หรบั เดก็ ปฐมวัย Skinner ใหค้ วามสนใจกบั ผลสบื เนอ่ื งทไี่ ดร้ บั วา่ มี 2 ประเภท คอื 1) ผลสบื เนอื่ ง มสธที่เป็นตัวเสริมแรง (reinforcer) ท�ำให้พฤติกรรมที่บุคคลกระท�ำอยู่น้ันมีอัตราการกระท�ำเพิ่มข้ึน และ 2) ผลสบื เนอื่ งที่เปน็ การลงโทษ (punisher) ซงึ่ ส่งผลให้พฤติกรรมทบ่ี ุคคลกระท�ำน้นั ยุตลิ ง Skinner มีแนวคิดว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขและสภาวะแวดล้อมท่ี เหมาะสม โดยมองวา่ พฤตกิ รรมของมนษุ ยเ์ ปน็ พฤตกิ รรมทกี่ ระทำ� ตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มของตนเอง พฤตกิ รรมของ มสธ มสธมนษุ ย์จะคงอย่ตู ลอดไป จำ� เปน็ ต้องมกี ารเสริมแรง ซง่ึ การเสริมแรงน้ีมีท้งั การเสริมแรงทางบวก (positive reinforcement) และการเสรมิ แรงทางลบ (negative reinforcement) ดงั น้ี (1) การเสริมแรงทางบวก คือ การให้สิ่งใดส่ิงหนึ่งท่ีบุคคลพึงพอใจแล้ว ท�ำให้พฤตกิ รรมท่ีบุคคลน้นั กระท�ำอยมู่ คี วามถ่ีเพ่มิ ขึน้ หรอื ท�ำใหพ้ ฤติกรรมทเ่ี กดิ ขึน้ น้ันมีความสม่ำ� เสมอ (2) การเสรมิ แรงทางลบ เปน็ การทำ� ใหค้ วามถข่ี องพฤตกิ รรมคงทหี่ รอื เพม่ิ มากขึ้น อันเป็นผลมาจากการท่ีบุคคลท�ำพฤติกรรมดังกล่าวแล้วสามารถหลีกหนีจากส่ิงท่ีไม่พึงพอใจ มสธ(aversive stimuli) ได้ นอกจากน้ี Skinner ยงั กลา่ วถงึ การลงโทษ (punishment) คอื การทบ่ี คุ คลได้ รบั ผลกรรมที่เปน็ ตวั ลงโทษ ทำ� ให้พฤตกิ รรมที่บคุ คลกระทำ� นนั้ มแี นวโนม้ ที่จะลดลงหรอื ยุตลิ ง คือ การให้ ผลกรรมหลงั จากที่บคุ คลแสดงพฤตกิ รรม เพอื่ ท�ำใหค้ วามถขี่ องพฤติกรรมลดลงหรือยุติลง 2) การประยุกต์ใช้ในการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา มสธ มสธ(1) การให้การเสริมแรงที่เหมาะสม จะช่วยให้เด็กสนใจที่จะเรียนรู้มาก ย่งิ ขนึ้ เช่น การที่ครใู หค้ วามสนใจเม่ือเดก็ ยกมอื ตอบคำ� ถาม เป็นการกระตุ้นให้เดก็ สนใจที่จะรว่ มกิจกรรม มากยิ่งข้ัน (2) ครคู วรใหก้ ารเสริมแรงเด็กด้วยการเสรมิ แรงทางสงั คม เชน่ โอบกอด ชมเชย ไม่ควรให้การเสริมแรงทางวตั ถุ เชน่ การใหด้ าวเด็กดี ฯลฯ (3) การเว้นระยะการเสริมแรงอย่างไม่เป็นระบบหรือเปลี่ยนรูปแบบการ มสธเสรมิ แรง จะชว่ ยใหก้ ารตอบสนองของเดก็ คงทนถาวร เชน่ ถา้ ครชู มวา่ ดที กุ ครง้ั ทเ่ี ดก็ ตอบถกู เดก็ กจ็ ะเหน็ ความส�ำคัญของแรงเสริมน้อยลง ครูควรเปลี่ยนเป็นแรงเสริมแบบอ่ืนบ้าง เช่น ยิ้มพยักหน้าหรือบางครั้ง อาจไม่ใหแ้ รงเสรมิ (4) การไมล่ งโทษเดก็ ดว้ ยวธิ ที รี่ นุ แรง เพราะเดก็ อาจไมไ่ ดเ้ รยี นรหู้ รอื จดจำ� (5) เมอ่ื เดก็ แสดงพฤตกิ รรมทไี่ มเ่ หมาะสม ควรใชว้ ธิ งี ดการเสรมิ แรง เชน่ มสธ มสธเมอ่ื เดก็ ใชถ้ อ้ ยคำ� ไมส่ ภุ าพ แมว้ า่ ไดบ้ อกและตกั เตอื นแลว้ กย็ งั ทำ� อกี ครคู วรงดการตอบสนองตอ่ พฤตกิ รรม นัน้ เมอื่ ไม่มีใครตอบสนองเด็กจะหยดุ พฤติกรรมนัน้ ไปในทส่ี ุด 2.2.2 ทฤษฎีการเช่อื มโยง (Connectionism Theory) ของ Thorndike ในสว่ นของทฤษฎี การเชอ่ื มโยงของ Thorndike จะขอกล่าวถึง สาระส�ำคญั ของทฤษฎี และการนำ� ไปประยกุ ตใ์ ช้ในการจัด ประสบการณ์ในระดบั ปฐมวยั ศึกษา ดังต่อไปนี้ 1) สาระส�ำคัญของทฤษฎีการเชื่อมโยงของ Thorndike อรนุช กันสิทธ์ิ และ มสธจิตติมา รักนาค (2554, น. 6-20 ถึง 6-21) กล่าวถึงการเช่ือมโยงระหว่างสิ่งเร้า (stimulus) กับการ

การจัดประสบการณ์ในระดบั ปฐมวัยศกึ ษา 8-21 ตอบสนอง (response) โดยมหี ลกั เบอื้ งตน้ วา่ การเรยี นรู้เกดิ จากการเชอื่ มโยงระหวา่ งสิง่ เรา้ (stimulus) มสธกบั การตอบสนอง (response) โดยการตอบสนองมกั จะออกมาเปน็ รปู แบบตา่ งๆ หลายรปู แบบ จนกวา่ จะ พบรปู แบบทด่ี หี รอื เหมาะสมทส่ี ดุ เรยี กการตอบสนองเชน่ นวี้ า่ การลองผดิ ลองถกู (trial and error) ซงึ่ เปน็ การ เลอื กตอบสนองของผเู้ รยี นรกู้ ารกระทำ� ดว้ ยตนเอง ไมม่ ผี ใู้ ดมากำ� หนดหรอื ชช้ี อ่ งทางในการปฏบิ ตั ใิ ห้ และเมอื่ เกิดการเรียนรู้ขึ้นแล้ว การตอบสนองหลายรูปแบบจะหายไปเหลือเพียงการตอบสนองรูปแบบเดียวที่ มสธ มสธเหมาะสมที่สดุ และพยายามท�ำใหก้ ารตอบสนองเชน่ น้ีเชือ่ มโยงกับสงิ่ เร้าท่ีต้องการใหเ้ รียนรตู้ ่อไปเรอื่ ยๆ Thorndike ไดส้ รา้ งสถานการณข์ น้ึ ในหอ้ งทดลองเพอ่ื ทดลองใหแ้ มวเรยี นรกู้ าร เปดิ ประตกู รงของหบี กลหรอื กรงปรศิ นาออกมากนิ อาหารดว้ ยการกดคานเปดิ ประตู ซงึ่ จากการทดลองพบวา่ (1) ในระยะแรกของการทดลองแมวจะแสดงพฤตกิ รรมเดาสมุ่ เพอื่ จะออก มาจากกรงมากนิ อาหารใหไ้ ด้ (2) ความส�ำเร็จในครั้งแรก เกิดข้ึนโดยบังเอิญโดยท่ีเท้าของแมวไปแตะ มสธเขา้ ท่คี าน ทำ� ให้ประตเู ปิดออกแมววงิ่ ออกไปทางประตูเพอื่ กินอาหาร (3) ยง่ิ ทดลองซำ�้ มากเทา่ ใดพฤตกิ รรมเดาสมุ่ ของแมวจะลดลง จนในทส่ี ดุ แมวเกดิ การเรียนรู้ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคานกบั ประตกู รงได้ (4) เมื่อท�ำการทดลองซ�้ำอีกต่อไปเรื่อยๆ แมวเร่ิมเกิดการเรียนรู้โดย การลองผิดลองถูก และรู้จักเลือกวิธีท่ีสะดวกและส้ันที่สุดในการแก้ปัญหา โดยท้ิงการกระท�ำอ่ืนๆ ที่ไม่ มสธ มสธเหมาะสม (5) หลงั จากการทดลองครบ 100 ครง้ั ทง้ิ ระยะเวลานานประมาณ 1 สปั ดาห์ แล้วทดสอบโดยจับแมวตัวนั้นมาท�ำให้หิวแล้วจับใส่กรงปริศนาใหม่ แมวจะใช้อุ้งเท้ากดคานออกมากิน อาหารทางประตทู ีเ่ ปดิ ออกไดท้ ันที จากการทดลองดงั กลา่ วจงึ สรปุ ไดว้ า่ แมวเรยี นรวู้ ธิ กี ารเปดิ ประตโู ดยการกดคาน ไดด้ ว้ ยตนเองจากการเดาสมุ่ หรอื แบบลองผดิ ลองถกู จนไดว้ ธิ ที ถี่ กู ตอ้ งทสี่ ดุ และพบวา่ ยง่ิ ใชจ้ ำ� นวนครงั้ การ มสธทดลองมากขนึ้ เทา่ ใด ระยะเวลาทใี่ ชใ้ นการแกป้ ญั หาคอื เปดิ ประตกู รงออกมาไดย้ ง่ิ นอ้ ยลงเทา่ นน้ั และจาก ผลการทดลองดังกล่าวสามารถสรุปเป็นกฎการเรียนรู้ ได้ดังน้ี (Hergemhann and Olson, 1993, pp. 56-57 อ้างถึงใน ทศิ นา แขมมณ,ี 2553, น. 51-52) (1) กฎแห่งความพร้อม การเรยี นรู้จะเกดิ ขน้ึ ได้ดีถา้ ผเู้ รียนมคี วามพร้อม ทงั้ ทางรา่ งกายและจิตใจ มสธ มสธ(2) กฎแห่งการฝึกหัด การฝึกหัดหรือกระท�ำบ่อยๆ ด้วยความเข้าใจจะ ท�ำใหก้ ารเรยี นรู้นน้ั คงทนถาวร (3) กฎแห่งการใช้ การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการ ตอบสนอง ความมั่นคงของการเรียนรู้จะเกิดขึ้น หากได้มีการน�ำไปใช้บ่อยๆ หากไม่มีการน�ำไปใช้อาจมี การลืมเกดิ ขึน้ ได้ (4) กฎแหง่ ผลทพี่ งึ พอใจ เมอ่ื บคุ คลไดร้ บั ผลทพี่ งึ พอใจยอ่ มอยากจะเรยี นรู้ มสธตอ่ ไป แตถ่ ้าไดร้ บั ผลทีไ่ ม่พอใจจะไม่อยากเรยี นรู้

8-22 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั 2) การประยุกต์ใช้ในการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวยั ศึกษา มสธ(1) การเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนแบบลองผิดลองถูกจะช่วยให้เด็กเกิด การเรียนรใู้ นการแกป้ ญั หา สามารถจดจำ� การเรยี นรูไ้ ด้ดี และเกดิ ความภาคภมู ิใจในการทำ� สง่ิ ต่างๆ ด้วย ตนเอง เชน่ ทำ� การทดลองเรือ่ ง การลอย การจม การทดลองใช้วสั ดุต่างๆ ในการสร้างสรรคง์ านศลิ ปะ (2) ครคู วรสำ� รวจความพรอ้ มหรอื การสรา้ งความพรอ้ มใหก้ บั เดก็ กอ่ นการ มสธ มสธจดั ประสบการณ์ เช่น การส�ำรวจความร้เู ดมิ เพือ่ ดูวา่ เด็กมีความพร้อมทจี่ ะเรียนในเรื่องตอ่ ไปหรือไม่ (3) ครูควรกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กด้วยการน�ำเข้าสู่บทเรียนด้วยสร้าง บรรยากาศท่ีทำ� ใหเ้ ดก็ เกิดความอยากร้อู ยากเห็น เพ่อื เชอื่ มโยงความรู้เดิมมาสคู่ วามรใู้ หม่ (4) การให้เด็กฝึกฝนด้วยการกระท�ำส่ิงนั้นบ่อยๆ ซ้�ำๆ เพื่อให้เกิดการ เรยี นรู้ (5) เมอื่ เดก็ เกดิ การเรยี นรแู้ ลว้ ควรใหเ้ ดก็ ฝกึ การนำ� ความรนู้ นั้ ไปใชบ้ อ่ ยๆ แนวคิดทางจิตวิทยาที่มีอิทธิพลส�ำคัญต่อการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัย คือ แนวคิด มสธจิตวิทยาพัฒนาการ เป็นแนวคิดที่อธิบายถึงการเปล่ียนแปลงจากวัยหนึ่งไปสู่อีกวัยหนึ่งอย่างมีระเบียบ แบบแผนและมีล�ำดับข้ันตอนท้ังทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์-จิตใจ และสังคม ดังท่ีได้กล่าวถึง ทฤษฎพี ฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของ Piaget และทฤษฎพี ฒั นาการทางจติ สงั คมของ Erikson และแนวคดิ จติ วิทยาการเรียนรู้ ท่ีเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรม ด้านความรคู้ วามเข้าใจ ดา้ นความรูส้ กึ และ มสธ มสธด้านทักษะ ซ่ึงเกิดจากการได้รับประสบการณผ์ ่านส่ิงแวดล้อม อันมแี นวคิดอยู่ 4 กลมุ่ คอื กลุ่มโครงสรา้ ง นยิ ม กลมุ่ หนา้ ทจ่ี ติ กลมุ่ พฤตกิ รรมนยิ ม และกลมุ่ การรคู้ ดิ ทางสงั คม แนวคดิ จติ วทิ ยาการเรยี นรนู้ ม้ี อี ทิ ธพิ ล อยา่ งมากทงั้ การจดั ประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวยั คอื ทฤษฎกี ลมุ่ พฤตกิ รรมนยิ ม ดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วถงึ ทฤษฎกี าร เรียนรู้ที่ส�ำคัญ 2 ทฤษฎี คือทฤษฎีการวางเง่ือนไขแบบโอเปอร์แรนด์ ของ Skinner และทฤษฎีการ เช่อื มโยงของ Thorndike มสธกิจกรรม 8.1.2 จงเลอื กอธิบายแนวคิดหลักของนักจติ วิทยาพฒั นาการมา 1 ท่าน แนวตอบกิจกรรม 8.1.2 นกั ศกึ ษาสามารถเลือกตอบไดอ้ ย่างหลากหลาย ตวั อยา่ งเชน่ กฎการเรียนรู้ ของ Thorndike มสธ มสธ1. กฎแหง่ ความพรอ้ ม การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ ถ้าผู้เรียนมคี วามพรอ้ มท้ังทางรา่ งกายและจิตใจ 2. กฎแหง่ การฝกึ หดั การฝกึ หดั หรอื กระทำ� บอ่ ยๆ ดว้ ยความเขา้ ใจ จะทำ� ใหก้ ารเรยี นรนู้ น้ั คงทนถาวร 3. กฎแห่งการใช้ การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ความมั่นคง ของการเรยี นรู้จะเกิดขนึ้ หากไดม้ กี ารนำ� ไปใชบ้ อ่ ยๆ หากไม่มีการน�ำไปใชอ้ าจมกี ารลืมเกดิ ขนึ้ ได้ 4. กฎแห่งผลท่ีพึงพอใจ เมือ่ บคุ คลไดร้ ับผลทพี่ งึ พอใจ ย่อมอยากจะเรยี นร้ตู อ่ ไป แตถ่ ้าได้รบั ผล มสธที่ไมพ่ อใจจะไมอ่ ยากเรยี นรู้

การจัดประสบการณ์ในระดบั ปฐมวัยศึกษา 8-23 มสธตอนท่ี 8.2 ความรู้เกี่ยวกับการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา โปรดอ่านหวั เรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงคข์ องตอนที่ 8.2 แลว้ จงึ ศึกษารายละเอียดตอ่ ไป มสธ มสธหัวเร่ือง 8.2.1 ความสำ� คัญและจดุ มงุ่ หมายของการจดั ประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวัยศึกษา 8.2.2 ขอบขา่ ยและลกั ษณะการจัดประสบการณใ์ นระดับปฐมวยั ศกึ ษา แนวคิด มสธ1. การจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษามีความส�ำคัญส�ำหรับเด็กปฐมวัยอย่างย่ิง เน่ืองจากเป็นการช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กให้ได้รับการพัฒนาทุกด้านอย่างเป็น องค์รวม ช่วยขยายความรู้และประสบการณ์ให้กับเด็ก และช่วยสร้างรอยเช่ือมต่อ ทางการศกึ ษาใหเ้ ปน็ ไปอยา่ งราบรนื่ การจดั ประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวยั มกี ารกำ� หนด จุดมุ่งหมาย เพ่ือให้สามารถด�ำเนินการได้ตรงตามเป้าหมายท่ีก�ำหนดไว้ โดยแบ่งเป็น มสธ มสธ2 ระดับ คือ ระดับหนว่ ยงาน และระดับประเทศ 2. ก ารจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพ ควรจัดให้ครอบคลุมขอบข่าย พฒั นาการทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ดา้ นร่างกาย ดา้ นอารมณ์-จิตใจ ดา้ นสังคม และดา้ นสต-ิ ปญั ญา และจดั ประสบการณใ์ หม้ ลี กั ษณะสมดลุ สอดคลอ้ งกบั วยั และพฒั นาการของเดก็ โดยแบง่ ได้เป็น 4 ลักษณะ คอื การจัดประสบการณโ์ ดยพจิ ารณาตามจำ� นวนเด็ก การ จดั ประสบการณโ์ ดยพจิ ารณาจากผรู้ เิ รม่ิ การจดั ประสบการณโ์ ดยพจิ ารณาตามลกั ษณะ มสธธรรมชาตขิ องกจิ กรรม และการจัดประสบการณ์โดยพจิ ารณาจากสถานที่ วัตถุประสงค์ เมือ่ ศกึ ษาตอนท่ี 8.2 จบแล้ว นกั ศึกษาสามารถ 1. อธบิ ายความสำ� คัญของการจัดประสบการณ์ในระดบั ปฐมวัยศึกษาได้ มสธ มสธ2. อธบิ ายจุดมุ่งหมายของการจัดประสบการณ์ในระดบั ปฐมวัยศกึ ษาได้ 3. อธบิ ายขอบข่ายของการจัดประสบการณ์ในระดบั ปฐมวัยศึกษาตามทก่ี �ำหนดใหไ้ ด้ มสธ4. อธบิ ายลกั ษณะการจดั ประสบการณ์ในระดบั ปฐมวัยศกึ ษาได้

8-24 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั มสธเรื่องท่ี 8.2.1 ความส�ำคัญและจุดมุ่งหมายของการจัดประสบการณ์ ในระดับปฐมวัยศึกษา มสธ มสธเดก็ ปฐมวยั เปน็ วยั แห่งการเรยี นรูแ้ ละตอ้ งได้รบั การส่งเสริมพฒั นาการท่ีเหมาะสม ดงั น้ันจงึ เป็น หน้าที่ของครูและผู้เก่ียวข้องกับเด็กปฐมวัยท่ีต้องจัดประสบการณ์เพ่ือเสริมสร้างพัฒนาการและการเรียนรู้ ให้แก่เด็ก อันจะส่งผลให้เด็กเจริญเติบโต มีพัฒนาการอย่างเหมาะสมตามวัย ในเร่ืองน้ีจะกล่าวถึงความ ส�ำคัญของการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา และจุดมุ่งหมายของการจัดประสบการณ์ในระดับ ปฐมวยั ศึกษา ดงั น้ี มสธความส�ำคัญของการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา การจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา เป็นส่ิงท่ีมีความส�ำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเด็ก ในชว่ งปฐมวยั มกี ารเจรญิ เตบิ โตอยา่ งรวดเรว็ มกี ารพฒั นาของระบบตา่ งๆ อยา่ งมคี วามสมั พนั ธซ์ ง่ึ กนั และ มสธ มสธกนั ทง้ั ทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ-์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาอย่างเป็นองค์รวม จึงมคี วามจำ� เปน็ ที่จะตอ้ ง จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับพัฒนาการและวิธีการเรียนรู้ของเด็ก เพื่อให้เด็กเกิดการพัฒนาอย่างเต็ม ตามศักยภาพที่ควรได้รับ ดังนั้นการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยจึงมีความส�ำคัญ (พัชรี ผลโยธิน, 2555; จรี พันธุ์ พูลพัฒน,์ 2556) ดังตอ่ ไปน้ี 1. ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กให้ได้รับการพัฒนาทุกด้านอย่างเป็นองค์รวม ท้ังทาง ดา้ นรา่ งกาย อารมณ-์ จติ ใจ สงั คม และสตปิ ญั ญา รวมทงั้ ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม เพอื่ ใหเ้ ดก็ มพี ฒั นาการ มสธทกุ ด้านสมวัย และสมดลุ โดยการจัดประสบการณ์ในระดบั ปฐมวยั น้ันจะเป็นการบรู ณาการการเรียนรผู้ ่าน การเล่น เพอ่ื ใหเ้ หมาะกบั พฒั นาการและวิธีการเรยี นรขู้ องเด็กแตล่ ะคน อีกท้งั ยังเป็นการตอบสนองความ ตอ้ งการตามธรรมชาติของเดก็ วัยน้ีอีกดว้ ย 2. ชว่ ยขยายความรแู้ ละประสบการณใ์ หก้ บั เดก็ เนอื่ งจากเดก็ ในชว่ งปฐมวยั ยงั มขี อ้ จำ� กดั ทางดา้ น ความรู้และประสบการณ์ ดังนั้นการจัดประสบการณ์ท่ีมีความหมายต่อตัวเด็กจึงเป็นเรื่องที่มีความจ�ำเป็น มสธ มสธอยา่ งยง่ิ การจดั ประสบการณท์ เี่ หมาะสมสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั นนั้ ตอ้ งเรม่ิ จากสง่ิ ทไี่ กลตวั เดก็ สสู่ งิ่ ทใ่ี กลต้ วั เดก็ จากการเรียนรู้ที่เปน็ รูปธรรมไปสนู่ ามธรรม เพอื่ ท�ำให้เดก็ เขา้ ใจโลกทแ่ี วดล้อม เกิดกระบวนการคดิ อันนำ� ไปสูก่ ารเรยี นรู้ที่มคี วามหมายตอ่ ตัวเดก็ และเตมิ เต็มศักยภาพของเดก็ ให้เกิดการพัฒนาสงู สุด 3. ช่วยเสริมสร้างทักษะชีวิตท่ีจ�ำเป็นในการด�ำรงชีวิตให้แก่เด็ก เน่อื งจากการจัดประสบการณ์ จะชว่ ยใหเ้ ดก็ ปฐมวัยได้ท�ำกจิ กรรมตา่ งๆ อยา่ งมจี ุดมงุ่ หมายเพ่อื เพม่ิ ทักษะในการด�ำรงชวี ติ โดยเน้นการ จัดประสบการณ์ที่สอดคล้องกับการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน เพ่อื ใหเ้ ด็กสามารถดแู ลตนเอง พึง่ พาตนเองได้ มสธและเตรยี มเด็กใหม้ ชี ีวิตอยใู่ นสงั คมได้อยา่ งมคี วามสขุ และรเู้ ทา่ ทนั สถานการณใ์ นสงั คม

การจดั ประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศกึ ษา 8-25 4. ช่วยให้การพัฒนาเด็กมีการเตรียมการ มีการวางแผน มีการก�ำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ มสธชัดเจน โดยการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยน้ันต้องครอบคลุมสาระการเรียนรู้ ซ่ึงประกอบด้วย สาระท่ีควรเรียนรู้ และประสบการณ์ส�ำคัญที่มีความจ�ำเป็นส�ำหรับเด็กในการเติบโตท้ังทางด้านร่างกาย อารมณ์-จติ ใจ สงั คม และสตปิ ญั ญาใหไ้ ดร้ บั การพฒั นาอยา่ งครบถ้วน รอบด้าน และสมดลุ 5. ช่วยสร้างรอยเชื่อมต่อทางการศึกษาได้อย่างราบร่ืน โดยการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็ก มสธ มสธปฐมวยั ทเี่ หมาะสมนน้ั ควรเปน็ การปพู นื้ ฐานการเรยี นรจู้ ากระดบั ปจั จบุ นั ไปสรู่ ะดบั ชนั้ ทสี่ งู ขนึ้ มกี ารวางแผน การเชอื่ มตอ่ ทางเนอื้ หาและทกั ษะตา่ งๆ ทมี่ คี วามจำ� เปน็ สำ� หรบั เดก็ เพอ่ื ชว่ ยเหลอื ไมใ่ หเ้ ดก็ เกดิ ความยาก ล�ำบากต่อการเรียนในระดับชน้ั ท่สี ูงขึ้น สรปุ ไดว้ ่า การจดั ประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวัยมีความสำ� คัญใน 5 ประการ คือ 1) ชว่ ยสง่ เสริม พฒั นาการของเด็กใหไ้ ด้รบั การพฒั นาทกุ ดา้ นอยา่ งเป็นองค์รวม 2) ช่วยขยายความรู้และประสบการณ์ให้ กับเด็ก 3) ช่วยเสริมสร้างทักษะชีวิตที่จ�ำเป็นในการด�ำรงชีวิตให้แก่เด็ก 4) ช่วยให้การพัฒนาเด็กมีการ มสธเตรียมการ มีการวางแผน มีการก�ำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ชัดเจน และ 5) ช่วยสร้างรอยเช่ือมต่อ ทางการศึกษาได้อย่างราบรน่ื จุดมุ่งหมายของการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา มสธ มสธการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา เป็นการเตรียมเด็กให้มีพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัย กระตุ้นเดก็ ใหเ้ กิดความสนใจ ใฝเ่ รียนรู้ ซึง่ เปน็ การวางรากฐานของการศกึ ษาในระดบั ท่สี งู ขึ้น ทง้ั นเี้ พือ่ ให้ การจดั ประสบการณเ์ ปน็ ไปอยา่ งมที ศิ ทาง จงึ ไดม้ กี ารกำ� หนดจดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ใหส้ ามารถดำ� เนนิ การไดต้ รง ตามเปา้ หมายทรี่ ะบไุ ว้ และเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจทคี่ รอบคลมุ ผเู้ ขยี นจงึ แบง่ จดุ มงุ่ หมายออกเปน็ 2 ระดบั คือ ระดับหนว่ ยงาน และระดับประเทศ ดงั นี้ มสธ1. จุดมุ่งหมายของการจัดประสบการณ์ในระดับหน่วยงาน หนว่ ยงานตา่ งๆ ไดม้ กี ารจดั ประสบการณใ์ หก้ บั เดก็ ปฐมวยั โดยมจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื พฒั นาเดก็ ดงั น้ี 1.1 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกดั องค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ กระทรวงมหาดไทย (2547, น. 49- 50) ไดจ้ ดั ประสบการณใ์ ห้กับเด็กโดยมจี ุดมงุ่ หมายทีค่ าดหวงั ให้เกิดกับเด็ก ดงั น้ี 1) มีสุขภาพกาย สขุ ภาพจติ และสขุ นสิ ัยที่ดี มสธ มสธ2) มรี ะเบียบวินัย มคี วามรบั ผดิ ชอบ มีความซอ่ื สตั ย์ รักธรรมชาติ และส่งิ แวดล้อม 3) รกั ชาติ ศาสนา กษัตรยิ ์ และความเปน็ ไทย 4) แสดงออกไดต้ ามศกั ยภาพทางดา้ นศลิ ปะ ดนตรี การเคลอื่ นไหวรา่ งกายตามจนิ ตนาการ 5) มคี วามสามารถในการใช้ภาษาในการสือ่ สารไดเ้ หมาะสมกบั วยั 6) มที กั ษะกระบวนการคดิ และสามารถแก้ปัญหาไดเ้ หมาะสมกบั วัย มสธ7) เขา้ ร่วมกิจกรรมท่หี ลากหลายเหมาะสมกบั วยั อย่างมีความสขุ

8-26 การจัดการศกึ ษาและหลกั สตู รสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั 1.2 มหาวิทยาลัยนอร์ทเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมรกิ า (Schmidt, 1998, p. 5) ได้ดำ� เนินการ มสธจดั ประสบการณต์ ามโปรแกรมความสำ� เรจ็ เพอ่ื ชวี ติ (Success for Life) โดยมจี ดุ มงุ่ หมายทม่ี งุ่ หวงั ใหเ้ กดิ กบั เดก็ ดงั นี้ 1) เพื่อสนับสนนุ ให้เด็กประสบความสำ� เรจ็ ในการเรียนและการด�ำรงชีวิต 2) เพื่อสง่ เสริมทกั ษะการรู้หนงั สือเบ้อื งตน้ และส่งเสรมิ ให้เด็กรกั การอ่าน มสธ มสธ3) เพอ่ื ใหค้ รูจัดประสบการณ์การเรียนรใู้ หก้ บั เด็กผา่ นการลงมอื ปฏิบตั กิ ิจกรรมดว้ ยตนเอง 4) เพ่ือเตรียมเด็กใหม้ คี วามพรอ้ มในการเรยี นรแู้ ละรจู้ ักการดำ� รงชวี ติ 5) เพื่อให้เดก็ มีพัฒนาการดา้ นทักษะกระบวนการคดิ 6) เพอ่ื สง่ เสริมพฒั นาการของเด็ก 7) เพื่อสรา้ งเจตคตใิ ห้เด็กเหน็ ความสำ� คญั ในการเป็นสว่ นหนึ่งของประเทศ 8) เพ่ือสง่ เสรมิ การจัดประสบการณท์ ต่ี ้องยดึ หลกั การของแนวคดิ และทฤษฎี มสธ9) เพอ่ื บรู ณาการความรดู้ า้ นพฒั นาการและงานวจิ ยั ทางสมองในการจดั ประสบการณใ์ หก้ บั เด็ก โดยอาศัยความรว่ มมอื ของครู ผ้ปู กครอง และครอบครวั 10) มงุ่ เน้นการจัดประสบการณ์ภายใตส้ ภาพแวดลอ้ มทีพ่ ร่ังพรอ้ มในการเรียนรู้ 11) เพอื่ พฒั นาความสามารถของเดก็ แตล่ ะคนใหเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ และยอมรบั ความแตกตา่ ง ระหวา่ งบคุ คล มสธ มสธ12) ส่งเสริมการจัดการศึกษาส�ำหรับครอบครัว และร่วมมือกับครอบครัวในการต่อยอดการ เรียนรูจ้ ากสถานศึกษาไปสู่บ้าน 2. จุดมุ่งหมายของการจัดประสบการณ์ในระดับประเทศ ประเทศต่างๆ ได้มีการจัดประสบการณใ์ ห้กบั เด็กปฐมวัย โดยมจี ดุ มุง่ หมายเพอ่ื พัฒนาเด็ก ดังน้ี 2.1 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2560 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560, น. 26) ได้จัด มสธประสบการณเ์ พอื่ มงุ่ ใหเ้ ดก็ มพี ฒั นาการตามวยั เตม็ ตามศกั ยภาพ และมคี วามพรอ้ มในการเรยี นรตู้ อ่ ไป โดย กำ� หนดจดุ มงุ่ หมายเพื่อใหเ้ กดิ กบั เดก็ เม่ือจบการศึกษาปฐมวยั ดังนี้ 1) รา่ งกายเจรญิ เติบโตตามวยั แขง็ แรง และมีสขุ นสิ ยั ทดี่ ี 2) มสี ุขภาพจติ ดี มสี นุ ทรยี ภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจติ ใจที่ดีงาม มสธ มสธ3) มที กั ษะชวี ติ และปฏบิ ตั ติ ามปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง มวี นิ ยั และอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ น่ื ไดอ้ ยา่ ง มคี วามสุข 4) มที ักษะการคิด การใช้ภาษาสอื่ สาร และแสวงหาความรู้ ได้เหมาะสมกบั วยั จากจุดมุ่งหมายดังกล่าว สามารถน�ำมาก�ำหนดเป็นคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ให้เกิดขึ้นกับเด็ก มสธปฐมวัยได้ ดงั นี้

การจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวยั ศึกษา 8-27 1) พัฒนาการด้านร่างกาย ประกอบด้วย 2 มาตรฐาน คือ มสธมาตรฐานท่ี 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสขุ นสิ ยั ทด่ี ี มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และเล็กแข็งแรง ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสาน สมั พันธก์ นั 2) พฒั นาการด้านอารมณ์ จติ ใจ ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน คอื มสธ มสธมาตรฐานท่ี 3 มีสุขภาพจิตดแี ละมคี วามสขุ มาตรฐานที่ 4 ชน่ื ชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลอ่ื นไหว มาตรฐานท่ี 5 มคี ณุ ธรรม จริยธรรม และมจี ิตใจทด่ี งี าม 3) พัฒนาการด้านสังคม ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ 6 มีทกั ษะชีวิตและปฏิบัตติ นตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม วัฒนธรรม และความเป็นไทย มสธมาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของ สังคมในระบอบประชาธิปไตย อันมพี ระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุข 4) พัฒนาการดา้ นสติปญั ญา ประกอบดว้ ย 4 มาตรฐาน คอื มาตรฐานท่ี 9 ใชภ้ าษาส่อื สารได้เหมาะสมกบั วัย มาตรฐานที่ 10 มคี วามสามารถในการคดิ ท่ีเปน็ พืน้ ฐานในการเรียนรู้ มสธ มสธมาตรฐานที่ 11 มจี ินตนาการและความคดิ สร้างสรรค์ มาตรฐานที่ 12 มเี จตคตทิ ด่ี ตี อ่ การเรยี นรแู้ ละมคี วามสามารถในการแสวงหาความรไู้ ด้ เหมาะสมกับวัย 2.2 หลักสูตรของประเทศอังกฤษ (Qualifications and Curriculum Authority, 2000, pp. 8-9) ไดก้ ำ� หนดจดุ มุ่งหมายของการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวยั ศกึ ษา ดงั นี้ 1) เสริมสรา้ งบุคลิกภาพ สงั คม และอารมณ์-จิตใจ โดยการสนบั สนนุ ใหเ้ ดก็ เปน็ สว่ นหนงึ่ มสธของสงั คมทตี่ นอาศยั อยู่ สรา้ งโอกาสใหเ้ ดก็ แตล่ ะคนพฒั นาตนเปน็ สมาชกิ ทด่ี ขี องกลมุ่ และสงั คม และพฒั นา ความคดิ เกยี่ วกับตนเองและการยอมรบั ตนเอง 2) สรา้ งเจตคตทิ ดี่ ใี นการเรยี นรู้ จดั ประสบการณใ์ หเ้ ดก็ เปน็ สว่ นหนงึ่ ในการแสวงหาความรู้ ด้วยตนเอง และสร้างความมน่ั ใจให้กบั เด็กในการเรยี นรู้ใหป้ ระสบความส�ำเร็จ 3) ส่งเสริมทักษะทางสังคม สร้างโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ในการท�ำงานร่วมกับผู้อื่น และ มสธ มสธสนับสนุนให้เด็กยอมรบั ฟังความคิดเหน็ ของผอู้ ่ืน 4) ฝกึ ใหเ้ ดก็ มคี วามตง้ั ใจและความมงุ่ มน่ั ในการทำ� งานใหป้ ระสบความสำ� เรจ็ ดว้ ยการสง่ เสรมิ ใหเ้ ด็กได้เปน็ ส่วนหน่ึงของการเลน่ และการท�ำงานร่วมกับเพอื่ น 5) ส่งเสริมความสามารถทางภาษาและการส่ือสาร สร้างโอกาสให้เด็กได้พูดและส่ือสาร ในสถานการณต์ า่ งๆ ใหเ้ ดก็ เรียนรคู้ �ำศัพท์ ฝกึ ฝนทักษะการสือ่ สารกบั เพื่อนและบุคคลอน่ื โดยเฉพาะดา้ น มสธการฟังอยา่ งเขา้ ใจ

8-28 การจัดการศกึ ษาและหลกั สตู รสำ� หรบั เด็กปฐมวยั 6) ส่งเสริมด้านการอ่านและการเขียน สร้างโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้การอ่านและเขียนอย่าง มสธอิสระและมีความสขุ และสร้างประสบการณใ์ นการอา่ นให้กบั เด็กอยา่ งหลากหลาย 7) ส่งเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ สร้างโอกาสให้เด็กพัฒนาความเข้าใจของตนเองด้าน ตัวเลข การวดั รูปทรง รูปรา่ ง และพ้นื ท่ี โดยใหเ้ ด็กได้เรียนรู้ผา่ นการคน้ พบดว้ ยตนเอง 8) สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองและการเข้าใจค�ำศัพท์ สร้างโอกาสให้เด็กได้ฝึกฝนการแก้ มสธ มสธปัญหา การตัดสินใจ การทดลอง การท�ำนาย การวางแผน และการตงั้ คำ� ถามอยา่ งหลากหลาย รู้จกั การ คน้ คว้าหาความรดู้ ้วยตนเองทง้ั จากสิ่งต่างๆ รอบตัว บุคคล และสถานท่ี ในบรบิ ทท่ีตนอาศยั อยู่ 9) พัฒนาการด้านร่างกาย สรา้ งโอกาสใหเ้ ด็กได้พฒั นากลา้ มเนือ้ ใหญ่ กล้ามเนื้อเลก็ การ ท�ำงานประสานกนั ของกลา้ มเน้อื ตา่ งๆ ในร่างกาย รูจ้ ักการดแู ลสุขอนามยั และความปลอดภยั ของตนเอง 10) พฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ สรา้ งโอกาสใหเ้ ดก็ ไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ แบง่ ปนั ความคดิ ความรสู้ กึ จากผลงานศิลปะ ผลงานการประดิษฐ์ ดนตรี การเคลือ่ นไหว การเต้น จินตนาการ และบทบาทสมมติ มสธสรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษาท้ังในระดับหน่วยงานและ ระดับประเทศตา่ งมุง่ หวงั ใหเ้ กดิ การพัฒนาในตัวเดก็ ท้ังทางด้านร่างกาย อารมณ-์ จิตใจ สังคม และสต-ิ ปญั ญา ไปพรอ้ มๆ กนั อยา่ งรอบดา้ น สมดลุ และเตม็ ตามศกั ยภาพ พรอ้ มทง้ั สง่ เสรมิ ทกั ษะตา่ งๆ ทมี่ คี วาม ส�ำคัญต่อการด�ำรงชีวิตอย่างมีความสุขของเด็ก เพ่ือเป็นการวางรากฐานชีวิตท่ีม่ันคง และเตรียมความ พร้อมต่อการเรยี นรใู้ นระดับชัน้ ทีส่ งู ขนึ้ ต่อไป มสธ มสธกิจกรรม8.2.1 จงบอกความสำ� คัญของการจดั ประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา แนวตอบกิจกรรม 8.2.1 มสธการจดั ประสบการณ์ในระดบั ปฐมวยั ศกึ ษามคี วามสำ� คญั ดังน้ี 1. ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กใหไ้ ด้รับการพัฒนาทุกดา้ นอยา่ งเปน็ องคร์ วม 2. ชว่ ยขยายความรแู้ ละประสบการณ์ให้กับเด็ก 3. ช่วยเสรมิ สรา้ งทักษะชีวิตทจี่ �ำเปน็ ในการดำ� รงชีวติ ใหแ้ กเ่ ดก็ 4. ช่วยให้การพัฒนาเด็กมีการเตรียมการ มีการวางแผน มีการก�ำหนดเป้าหมายการพัฒนาท่ี มสธ มสธชดั เจน มสธ5. ชว่ ยสร้างรอยเชอื่ มต่อทางการศึกษาได้อย่างราบร่ืน

การจัดประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวัยศึกษา 8-29 มสธเร่ืองที่ 8.2.2 ขอบข่ายและลักษณะการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา มสธ มสธในการจัดประสบการณเ์ พอ่ื พฒั นาเดก็ ปฐมวยั อย่างเป็นองค์รวม คอื ให้เด็กได้รบั การพัฒนาท้งั 4 ดา้ น คือ ด้านร่างกาย ดา้ นอารมณ์-จิตใจ ดา้ นสงั คม และดา้ นสตปิ ญั ญา ควบคูก่ ันไปอย่างสมดลุ ทง้ั นใ้ี น แตล่ ะดา้ นมขี อบขา่ ยการจดั ประสบการณท์ ต่ี า่ งกนั ครจู ำ� เปน็ ตอ้ งมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั ขอบขา่ ยเหลา่ นี้ เพื่อให้สามารถจัดประสบการณ์ได้ครอบคลุมและเหมาะสมกับเด็กปฐมวัย นอกจากนี้ครูควรต้องมีความรู้ เกี่ยวกับลักษณะการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัย ด้วยลักษณะการจัดประสบการณ์แต่ละลักษณะมี จดุ มงุ่ หมายทีแ่ ตกต่างกนั ทำ� ให้เดก็ เกิดการเรียนรูท้ ่ีแตกต่างกัน ครูทมี่ คี วามเขา้ ใจในเรอ่ื งลักษณะการจดั ประสบการณจ์ ะท�ำใหส้ ามารถวางแผนการจดั ประสบการณท์ ห่ี ลากหลาย สมดุล และเหมาะสมกับเดก็ ใน มสธเรอื่ งนจ้ี ะกลา่ วถงึ คอื ขอบขา่ ยการจดั ประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวยั ศกึ ษา และลกั ษณะการจดั ประสบการณ์ ในระดบั ปฐมวยั ศึกษา มรี ายละเอยี ด ดงั นี้ ขอบข่ายการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา มสธ มสธขอบข่ายการจัดประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวัยศึกษาแบ่งออกเป็น 4 ด้าน คอื ดา้ นรา่ งกาย ดา้ น อารมณ-์ จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา (อรุณี หรดาล, 2551, น. 2-26 ถึง 2-27; Department of Education, 2014, pp. 7-8) มรี ายละเอยี ดดงั น้ี 1. การจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาด้านร่างกาย เด็กในวัย 3-6 ปี ยงั คงมีการเจริญเตบิ โตและ เปลยี่ นแปลงของร่างกาย ถงึ แม้วา่ อัตราการเจรญิ เติบโตไมร่ วดเร็วเทา่ วัยทารก ร่างกายของเดก็ ในวยั นม้ี ี ความแขง็ แรงและความคลอ่ งตวั มากขน้ึ แตย่ งั ตอ้ งการการสง่ เสรมิ และพฒั นาการใชส้ ว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย มสธให้ท�ำงานได้อย่างสมบูรณ์มากข้ึน ในการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาด้านร่างกายส�ำหรับเด็กปฐมวัย จึง ควรชว่ ยใหเ้ ดก็ ไดพ้ ฒั นาทกั ษะและศกั ยภาพของรา่ งกาย รวมทงั้ สง่ เสรมิ ในเรอ่ื งการดแู ลสขุ ภาพของรา่ งกาย และการรักษาความปลอดภัย ดงั นัน้ การจัดประสบการณ์เพือ่ พฒั นาด้านรา่ งกาย ควรต้องจัดใหค้ รอบคลุม ดา้ นต่างๆ ดังนี้ 1.1 ด้านกล้ามเน้ือใหญ่ การจัดประสบการณ์ด้านนี้เป็นการพัฒนาทักษะของการใช้ มสธ มสธกล้ามเน้อื ใหญ่ เช่น แขน ขา เพ่ือใหใ้ ชแ้ ละควบคุมร่างกายของตนเองใหเ้ คลอ่ื นไหวในลกั ษณะต่างๆ ไม่ วา่ จะเปน็ การเคลอ่ื นไหวกบั ท่ี เคลอ่ื นท่ี หรอื พรอ้ มวสั ดอุ ปุ กรณ์ ไดค้ ลอ่ งแคลว่ วอ่ งไว ทรงตวั ไดม้ นั่ คง และ มีความพรอ้ มในการเคลื่อนไหว และการประสานสัมพนั ธ์ของอวัยวะส่วนตา่ งๆ ที่ดี 1.2 ด้านกล้ามเนื้อเล็ก การจัดประสบการณ์ควรจัดเพื่อพัฒนาความแข็งแรงของการใช้มือ นวิ้ มอื รวมทัง้ การทำ� งานประสานสมั พันธ์ของร่างกาย เช่น ความสัมพนั ธร์ ะหว่างมอื กบั ตา ใหส้ ามารถใช้ กล้ามเน้ือเล็กในการหยิบจับและใช้ส่ืออุปกรณ์ รวมท้ังประกอบกิจวัตรประจ�ำวัน เช่น การใช้ช้อนส้อม มสธในการรบั ประทานอาหาร การแต่งตัว ได้อยา่ งคล่องแคลว่ ตามความเหมาะสมของวยั ฯลฯ

8-30 การจดั การศึกษาและหลกั สตู รสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั 1.3 ด้านสุขภาพและสุขอนามัย สุขนิสัย เป็นการจัดประสบการณ์ท่ีส่งเสริมให้เด็กดูแล มสธสขุ ภาพรา่ งกายของตนเองและปฏบิ ตั ติ ามสขุ อนามยั ทเ่ี หมาะสม เชน่ การแปรงฟนั การลา้ งมอื กอ่ นรบั ประทาน การเลอื กรบั ประทานอาหารทถ่ี ูกสุขลักษณะ ฯลฯ 1.4 ด้านการรักษาความปลอดภัย เปน็ การจดั ประสบการณท์ ชี่ ว่ ยใหเ้ ดก็ รจู้ กั ดแู ลและรกั ษา ความปลอดภัยของตนเองและผ้อู ืน่ ในการด�ำเนินชวี ิตและการปฏบิ ัตกิ จิ วัตรประจ�ำวนั มสธ มสธ2. การจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาด้านอารมณ์-จิตใจ เด็กปฐมวัยที่ได้รับการพัฒนาทางด้าน อารมณ-์ จิตใจท่ีเหมาะสมจะมีสุขภาพจิตที่ดี ไมเ่ ครียด มคี วามสุข และเรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ เด็ก ทไ่ี ดร้ บั การพฒั นาดา้ นอารมณ-์ จติ ใจทด่ี ใี นชว่ งวยั ปฐมวยั จะเปน็ รากฐานสำ� คญั ทสี่ ง่ ผลตอ่ การเรยี นรใู้ นระดบั ตอ่ ไป การจัดประสบการณเ์ พอ่ื พฒั นาด้านอารมณ-์ จติ ใจส�ำหรบั เด็กปฐมวยั จงึ เปน็ เร่อื งสำ� คัญทตี่ ้องไม่ถูก ละเลย (Copple & Bredekamp, 2009) ในการจดั ประสบการณเ์ พอ่ื พฒั นาดา้ นอารมณ-์ จติ ใจควรสง่ เสรมิ ให้เด็กสามารถรบั รู้อารมณค์ วามร้สู กึ ของตนเองและผู้อ่ืนได้ ควบคมุ อารมณใ์ หแ้ สดงออกตามสถานการณ์ มสธตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั วยั ไดร้ ับการหลอ่ หลอมให้เกดิ คณุ ลกั ษณะของบุคคลท่ีมที ัศนคติทีด่ ตี อ่ ตนเอง มีความสขุ และเปน็ คนดี การจดั ประสบการณ์จงึ ควรใหค้ รอบคลมุ ดา้ นตา่ งๆ ดังต่อไปน้ี 2.1 ด้านการรู้จักอารมณ์ ความรู้สึก และการแสดงออกทางอารมณ์ การจัดประสบการณ์ ควรใหเ้ ดก็ ไดเ้ รยี นรเู้ กย่ี วกบั อารมณค์ วามรสู้ กึ ทงั้ อารมณท์ างบวกและทางลบ ความแตกตา่ งระหวา่ งอารมณ์ ตา่ งๆ การใชภ้ าษาในการสอ่ื สารอารมณค์ วามรสู้ กึ ของตนเองได้ รวมทง้ั การรจู้ กั และเขา้ ใจถงึ อารมณค์ วาม มสธ มสธรสู้ กึ ของผอู้ น่ื และการเหน็ อกเหน็ ใจผอู้ น่ื นอกจากนก้ี ารจดั ประสบการณค์ วรรวมถงึ การชว่ ยใหเ้ ดก็ สามารถ จัดการกับอารมณค์ วามรู้สกึ ของตนเองได้ และแสดงอารมณ์ความร้สู ึกไดอ้ ยา่ งเหมาะสมตามวยั 2.2 ด้านการพัฒนาความรู้สึกท่ีดีต่อตนเองและผู้อ่ืน การจัดประสบการณ์ควรให้เด็กมี โอกาสเลือกและแสดงออกตามสถานการณ์ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ใหเ้ ดก็ ได้ลงมอื กระท�ำ ได้รับร้คู วามสามารถ ของตนเอง เพ่ือพัฒนาความรู้สึกท่ีดีต่อตนเอง รวมทั้งการแลกเปล่ียนความคิดเห็นกับผู้อ่ืน และการรู้จัก ช่นื ชมและเหน็ คณุ คา่ ในผอู้ ่ืน ซง่ึ จะช่วยพฒั นาใหเ้ ด็กมคี วามรสู้ ึกทด่ี ีตอ่ ผ้อู ่ืน มสธ2.3 ด้านการจัดระเบียบตนเอง การจดั ประสบการณค์ วรชว่ ยใหเ้ ดก็ ไดพ้ ฒั นาความสามารถ ในการควบคุมตนเองทั้งในด้านอารมณ์ พฤติกรรม และความคิด เพ่ือให้สามารถควบคุมและปรับเปล่ียน ตนเองใหแ้ สดงออกไดเ้ หมาะสมกบั สถานการณ์ต่างๆ ได้ 2.4 ด้านคุณธรรมจริยธรรม การจดั ประสบการณค์ วรชว่ ยสง่ เสรมิ และพฒั นาจติ ใจของเดก็ ให้เป็นคนดี โดยฝึกฝนให้เด็กมีความรับผิดชอบต่อตนเองท้ังในด้านการปฏิบัติกิจวัตรประจ�ำวันและต่อ มสธ มสธภารกิจท่ีได้รับมอบหมาย มีความรักความเมตตา มีน�้ำใจต่อบุคคลรอบตัว และการรับรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ ดีงามและเลือกปฏิบัติในสงิ่ ทเ่ี หมาะสม 3. การจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาด้านสังคม เดก็ ปฐมวยั ในชว่ งอายุ 3-6 ปี เปน็ วยั ท่ีเริม่ เข้าสู่ รวั้ โรงเรยี น ซง่ึ เปน็ สถานทท่ี เ่ี ดก็ จะไดพ้ บปะกบั บคุ คลอนื่ ๆ ทน่ี อกเหนอื จากสมาชกิ ในครอบครวั การอยใู่ น สงั คมใหมน่ ที้ ำ� ใหเ้ ดก็ ตอ้ งปรบั ตวั เพอ่ื ทจ่ี ะสามารถเลน่ ทำ� งาน และอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ นื่ ในอยา่ งมคี วามสขุ ทง้ั น้ี เดก็ ตอ้ งเรยี นรทู้ จี่ ะชว่ ยเหลอื ตนเอง ปฏบิ ตั ติ ามกฎกตกิ าของสว่ นรวม รวมทงั้ เรยี นรแู้ ละพฒั นาทกั ษะตา่ งๆ มสธท่ีช่วยในการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อ่ืนและท�ำงานร่วมกับผู้อ่ืนได้ การจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนา

การจดั ประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวยั ศึกษา 8-31 ด้านสังคมจึงควรเน้นให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับบุคคลและส่ิงแวดล้อม ได้ปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ผ่านการ มสธเรยี นรูท้ างสงั คม การจัดประสบการณ์ควรให้ครอบคลุมดา้ นตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ 3.1 ด้านการช่วยเหลือตนเอง ในการจัดประสบการณ์ เด็กปฐมวัยควรได้รับการฝึกฝนให้ ช่วยเหลือตนเองให้มากท่ีสุดตามพัฒนาการและความสามารถตามวัย โดยส่งเสริมในเร่ืองการพึ่งพาและ ชว่ ยเหลอื ตนเองในการปฏบิ ตั กิ จิ วตั รประจำ� วนั ในหอ้ งเรยี น และการลงมอื ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมตา่ งๆ ไดด้ ว้ ยตนเอง มสธ มสธ3.2 ด้านการรักธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม การจดั ประสบการณ์ควรปลกู ฝงั และสง่ เสรมิ ให้ เดก็ รจู้ กั การดแู ลรกั ษาสง่ิ แวดลอ้ มรอบตวั ทง้ั ทบ่ี า้ น สถานศกึ ษาและในชมุ ชน การประหยดั ใชท้ รพั ยากรและ การอนุรกั ษธ์ รรมชาติ 3.3 ด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมและความเป็นไทย การจัดประสบการณ์ควรให้เด็กฝึกฝน มารยาทไทย และปฏบิ ตั ติ นอยา่ งเหมาะสมตามกาลเทศะ เชน่ การรจู้ กั ทกั ทายผใู้ หญ่ การกลา่ วคำ� ขอบคณุ ค�ำขอโทษ ฯลฯ รวมทั้งส่งเสริมให้เด็กรู้จักและเห็นคุณค่าขนบธรรมเนียมประเพณีไทย และปฏิบัติตนให้ มสธเหมาะสมตามประเพณไี ทย 3.4 ด้านการอยู่ร่วมกับผู้อื่นและการปฏิบัติตนเป็นสมาชิกท่ีดี การจัดประสบการณ์ควร ฝึกฝนทักษะทางสังคมต่างๆ ท่ีช่วยส่งเสริมในเร่ืองการสร้างสัมพันธภาพท่ีดีกับผู้อ่ืน การปรับตัว การมี ปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อ่ืน โดยส่งเสริมผ่านกิจกรรมที่เน้นการเล่นร่วมกับเพื่อนเป็นกลุ่ม รวมทั้งการเคารพ กฎกติกาในห้องเรยี นและโรงเรยี น มสธ มสธ4. การจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาด้านสติปัญญา สมองของเดก็ ในวยั 3–6 ปี มกี ารเตบิ โตและ พัฒนาข้ึนอย่างต่อเน่ืองและรวดเร็ว เพ่ิมพูนประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูลและความจ�ำ พัฒนาการที่ เกดิ ขน้ึ นสี้ ง่ ผลใหเ้ ดก็ คดิ ซบั ซอ้ นไดม้ ากยง่ิ ขน้ึ โดยลกั ษณะทางการคดิ ของเดก็ ปฐมวยั จะคอ่ ยๆ เปลย่ี นผา่ น จากการตอบสนองที่ใช้ประสาทสัมผัสและการเคล่ือนไหวเป็นการใช้ความคิดเชิงสัญลักษณ์ ท่ีท�ำให้เด็ก สามารถใช้วัตถสุ ิ่งหนง่ึ แทนวตั ถอุ ีกสง่ิ หนง่ึ การคิดลักษณะนีส้ ่งผลต่อความสามารถทางคดิ และการเรยี นรู้ ทางภาษาของเด็กปฐมวัย (Anthony, 2017; Copple & Bredekamp, 2009) เด็กปฐมวัยต้องการ มสธประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีมีความหมายในการพัฒนาศักยภาพทางด้านสติปัญญา ดังน้ันในการจัด ประสบการณเ์ พอ่ื พฒั นาดา้ นสตปิ ญั ญาตอ้ งจดั ใหค้ รอบคลมุ การสง่ เสรมิ ทางดา้ นภาษา ดา้ นการคดิ การใช้ จนิ ตนาการและความคดิ สร้างสรรค์ รวมทง้ั มเี จตคตทิ ดี่ ตี ่อการเรียนรู้ มรี ายละเอียด ดังน้ี 4.1 ดา้ นภาษา การจดั ประสบการณท์ างดา้ นภาษาเปน็ การใหเ้ ดก็ ไดใ้ ชภ้ าษาในชวี ติ ประจำ� วนั อย่างมีความหมาย พัฒนาทักษะทางด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน อย่างสมดุลและสมวัย มสธ มสธและสามารถใชท้ กั ษะเหลา่ นี้ เพอ่ื สอื่ สารถา่ ยทอดความคดิ ความตอ้ งการ และความรสู้ กึ แกผ่ อู้ นื่ ได้ รวมทง้ั ได้ เรยี นรภู้ าษาดว้ ยความสนใจ และมีทศั นคติท่ีดีตอ่ การเรยี นรภู้ าษา 4.2 ด้านการคิด การจัดประสบการณ์ในด้านการคิดควรจัดให้ครอบคลุมท้ังความสามารถ ในการคิดรวบยอด เช่น การสังเกต การจับคู่ การเปรียบเทียบ ฯลฯ การใช้จินตนาการและความคิด สรา้ งสรรค์ รวมทงั้ ไดฝ้ ึกฝนการคดิ ที่เปน็ การคิดระดบั สูง ไดแ้ ก่ การคดิ เชงิ เหตผุ ล การคดิ แกป้ ญั หา และ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีทัศนคติท่ีดีต่อการเรียนรู้ มีความสนใจและความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ มสธและสามารถใชท้ กั ษะทางสติปัญญาในการแสวงหาความรูไ้ ด้

8-32 การจดั การศกึ ษาและหลกั สตู รสำ� หรบั เด็กปฐมวยั สรปุ ไดว้ า่ ขอบขา่ ยของการจดั ประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวยั ศกึ ษาควรจดั ใหค้ รอบคลมุ พฒั นาการ มสธทกุ ดา้ น ทง้ั ดา้ นทางรา่ งกาย ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจ ดา้ นสงั คม และดา้ นสตปิ ญั ญา เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ไดพ้ ฒั นาทกุ ดา้ น อย่างสมดลุ โดยด้านรา่ งกายจัดใหค้ รอบคลุมการพฒั นากลา้ มเนอื้ ใหญ่ การพัฒนากล้ามเน้ือเลก็ การดูแล สุขภาพ สุขอนามัย สุขนิสัย และการดูแลรักษาความปลอดภัย ด้านอารมณ์-จิตใจจัดให้ครอบคลุมเรื่อง การรู้จักอารมณ์ ความรู้สึก และการแสดงออกทางอารมณ์ การพัฒนาความรู้สึกท่ีดีต่อตนเองและผู้อ่ืน มสธ มสธการจัดระเบียบตนเอง และการมีคุณธรรมจริยธรรม ด้านสังคมจัดให้ครอบคลุมเรื่องการช่วยเหลือตนเอง การรักธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม การอนุรักษ์วัฒนธรรมและความเป็นไทย การอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน และการ ปฏิบัตติ นเป็นสมาชกิ ทดี่ ี และในดา้ นสติปญั ญาจดั ใหค้ รอบคลมุ การพัฒนาภาษาและการพัฒนาการคดิ ลักษณะการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา ลักษณะการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยมีความแตกต่างและหลากหลาย ซึ่งแต่ละแบบมี มสธลักษณะ จุดมุ่งหมาย และให้คุณค่าที่แตกต่างกัน ครูเป็นผู้มีบทบาทส�ำคัญท่ีต้องวางแผนและใช้ลักษณะ การจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ใหเ้ หมาะสมทีจ่ ะน�ำพาเดก็ ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายการเรยี นรูท้ ต่ี ้ังไว้ (Copple & Bredekamp, 2006) รวมท้งั ค�ำนึงถงึ วัยและพฒั นาการของเด็กเปน็ สำ� คัญอกี ดว้ ย ในการจัดประสบการณ์ ในระดบั ปฐมวยั สามารถแบง่ ไดห้ ลายลกั ษณะ ขนึ้ อยกู่ บั เกณฑก์ ารแบง่ ในทนี่ จี้ ะแบง่ โดยใชเ้ กณฑก์ ารแบง่ มสธ มสธคือ 1) การจดั ประสบการณ์โดยพจิ ารณาจากจำ� นวนเดก็ 2) การจัดประสบการณ์โดยพจิ ารณาจากผรู้ เิ ร่มิ กจิ กรรม 3) การจดั ประสบการณโ์ ดยพจิ ารณาลกั ษณะธรรมชาตขิ องกจิ กรรม และ 4) การจดั ประสบการณ์ โดยพจิ ารณาจากสถานทีจ่ ัดกจิ กรรม ซึ่งมรี ายละเอียด (Department of Education, 2014, pp. 8-10; กรมวิชาการ, 2546, น. 52-53; Schwarlz and Ronbinson, 1982 อา้ งถงึ ใน นยั นา อสิ สระวทิ ย์, 2549, น. 35-37; Copple & Bredekamp, 2006; นภเนตร ธรรมบวร, 2551) ดงั ต่อไปน้ี 1. การจัดประสบการณ์โดยพิจารณาจากจ�ำนวนเด็ก แบง่ ออกเปน็ 3 ลักษณะ คอื 1.1 การจัดประสบการณ์แบบกลุ่มใหญ่ หรือทเ่ี รียกว่า กิจกรรมวงกลมหรอื กจิ กรรมเสรมิ มสธประสบการณ์ ลกั ษณะของการจดั กจิ กรรมเปน็ การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ทกุ คนในชนั้ เรยี น โดยมงุ่ ให้ เด็กได้รับข้อมูลและประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเหมือนกัน ได้เรียนรู้ และท�ำกิจกรรมร่วมกัน การจัด ประสบการณแ์ บบกลุ่มใหญเ่ นน้ การจดั ประสบการณ์ทเี่ ปดิ โอกาสให้เด็กมารวมกลมุ่ สนทนา ทำ� กจิ กรรมที่ เกย่ี วข้องกับเนือ้ หาสาระทศี่ ึกษา สนทนาพูดคยุ อภิปราย แบ่งปันความคดิ รบั ฟังความคดิ เห็นของผ้อู ื่น มสธ มสธและแสดงความคดิ เหน็ รว่ มกบั เพอ่ื นในชน้ั เรยี น การจดั ประสบการณใ์ นกจิ กรรมกลมุ่ ใหญอ่ าจเปน็ ในรปู แบบ ของการสนทนาพูดคุย การสาธิต การทดลอง การเล่านิทาน การเล่นบทบาทสมมติ การเชิญบุคคลจาก ภายนอกมาพบปะ พูดคุย สนทนากบั เด็ก รวมทัง้ การไปทัศนศึกษานอกสถานท่ี 1.2 การจัดประสบการณ์แบบกลุ่มเล็ก หรือที่เรียกว่าการจัดประสบการณ์แบบกลุ่มย่อย เปน็ การจดั ประสบการณใ์ หแ้ กเ่ ดก็ ประมาณ 3-5 คน ซง่ึ อาจจดั ขนึ้ ในมมุ ประสบการณห์ รอื อาจจดั เปน็ ชว่ ง เวลาเฉพาะในแต่ละวัน การจัดประสบการณ์ในกลุ่มเล็ก ครูสามารถสังเกตและกระตุ้นให้เด็กทุกคนได้มี ส่วนร่วมได้อย่างท่ัวถึง รวมถึงให้การช่วยเหลือและสนับสนุนเด็กเป็นรายบุคคลได้สะดวกกว่าการจัด มสธประสบการณแ์ บบกลุ่มใหญ่ การจัดประสบการณ์แบบกลุ่มเล็กเหมาะส�ำหรับใช้สอนทักษะแนวคิดใหม่ๆ

การจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศกึ ษา 8-33 หรือเปน็ การเปิดโอกาสให้เดก็ ไดฝ้ ึก ได้ประยกุ ต์ใชแ้ นวคดิ หรอื ทกั ษะใหม่ที่ได้เรียนไป หรอื ใช้เพื่อสง่ เสริม มสธใหเ้ ดก็ รว่ มกนั คดิ แกป้ ญั หา เชน่ หลงั จากทเี่ ดก็ ทำ� กจิ กรรมการจำ� แนกประเภทของสตั วใ์ นกจิ กรรมวงกลมเปน็ กลมุ่ ใหญแ่ ลว้ ครนู ำ� กจิ กรรมนมี้ าจดั เปน็ เกมทเี่ ดก็ สามารถเลน่ รว่ มกนั ไดเ้ ปน็ กลมุ่ เลก็ ในชว่ งเวลากจิ กรรมเสรี 1.3 การจัดประสบการณ์แบบรายบุคคล เป็นการจัดประสบการณ์ที่ตอบสนองต่อความ ตอ้ งการ ความสนใจ และความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล การจดั ประสบการณแ์ บบรายบคุ คลเหมาะกบั กจิ กรรม มสธ มสธท่ีเด็กเรียนรู้ได้ผ่านประสบการณ์ตรงและสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยสำ� รวจ ทดลอง ต้ัง สมมตฐิ าน โดยมคี รเู ปน็ ผคู้ อยใหก้ ารสนบั สนนุ แตท่ ง้ั นไ้ี มไ่ ดห้ มายความวา่ ครปู ลอ่ ยใหเ้ ดก็ ทำ� กจิ กรรมโดย ล�ำพัง แต่ครูต้องคอยสังเกตว่า เด็กคนไหนต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ครูจึงให้การสนับสนุนที่ เหมาะสมกับเด็ก เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ที่ตั้งไว้ การจัดประสบการณ์ในลักษณะนี้อาจเป็นการ เล่นหรอื ทำ� กิจกรรมตามความสนใจในมุมประสบการณ์ เชน่ อา่ นหนังสอื ในมมุ หนงั สอื เลน่ ไม้บล็อก ฯลฯ หรอื อาจเปน็ การทำ� กจิ กรรมทคี่ รจู ดั ขน้ึ แตเ่ ปน็ กจิ กรรมทที่ ำ� เปน็ รายบคุ คล เชน่ ทำ� งานศลิ ปะแบบเดยี่ ว ฯลฯ มสธในการจัดประสบการณ์ลักษณะน้ี สิ่งส�ำคัญท่ีต้องค�ำนึงถึงคือ วัยและลักษณะพัฒนาการของเด็ก ดว้ ย เดก็ ยงั มลี กั ษณะการคดิ ทยี่ ดึ ตนเองเปน็ ศนู ยก์ ลางสงู ทำ� ใหย้ ดึ ถอื ความตอ้ งการ ความสนใจของตนเอง เป็นหลัก ประกอบกับช่วงระยะความสนใจของเด็ก (attention span) ที่มีจ�ำกัด โดยส่วนใหญ่เด็กในวัย 3-4 ปี มีช่วงระยะความสนใจอย่ทู ่ีประมาณ 5-10 นาที เดก็ วยั 4-5 ปี มีช่วงระยะความสนใจอยู่ท่ี 8-12 นาที ในขณะที่เด็กวยั 5-6 ปี มีชว่ งระยะความสนใจอยูท่ ่ี 15-20 นาที ซงึ่ ทำ� ใหเ้ ดก็ ไมส่ ามารถอยนู่ ง่ั นง่ิ ๆ มสธ มสธมสี มาธไิ ดเ้ ปน็ ระยะเวลานานเหมอื นกบั ผใู้ หญ่ ดงั นนั้ การจดั ประสบการณแ์ บบรายบคุ คลทเี่ ดก็ ไดเ้ คลอ่ื นไหว ได้ลงมือกระท�ำ ได้มีอิสระ จึงมีความเหมาะสมกับเด็กในวัยปฐมวัยมากที่สุด แต่ท้ังน้ีครูยังต้องจัด ประสบการณแ์ บบกลมุ่ ใหญแ่ ละกลมุ่ เล็กท่คี รเู ปน็ ผู้น�ำกิจกรรมโดยส่วนใหญ่ เพอื่ ให้เด็กเกิดการเรยี นร้ตู รง ตามเปา้ หมายของหลกั สตู ร รวมทง้ั ไดม้ โี อกาสเรยี นรู้ ทำ� งานรว่ มกนั แลกเปลยี่ นความคดิ ไดพ้ ดู คยุ สนทนา รว่ มกนั ซงึ่ ประสบการณใ์ นลกั ษณะนจี้ ะชว่ ยใหเ้ ดก็ เรยี นรกู้ ารอยรู่ ว่ มกนั เปน็ กลมุ่ การแบง่ ปนั การอดทน รอ คอย และชว่ ยคลายการยึดตนเองเปน็ ศูนย์กลาง ดังนน้ั ในการออกแบบตารางกิจกรรมประจ�ำวนั ควรต้อง มสธใหค้ รอบคลมุ การจดั ประสบการณท์ ง้ั 3 ลกั ษณะดงั กลา่ ว แตจ่ ดั สดั สว่ นใหเ้ หมาะสม โดยการจดั ประสบการณ์ แบบรายบุคคลควรมีสดั ส่วนมากท่ีสดุ รองลงมา คอื การจัดประสบการณ์แบบกล่มุ เล็ก และน้อยท่สี ุด คือ การจัดประสบการณ์แบบกลุม่ ใหญ่ 2. การจัดประสบการณ์โดยพิจารณาจากผู้ริเร่ิมกิจกรรม แบ่งออกเปน็ 2 ลกั ษณะ คอื 2.1 การจัดประสบการณ์โดยครูเป็นผู้ริเริ่ม เปน็ การจดั ประสบการณท์ ค่ี รเู ปน็ ผกู้ ำ� หนดและ มสธ มสธวางแผนอย่างเป็นระบบขั้นตอน เร่ิมตั้งแต่การก�ำหนดเนื้อหา การวางแผน การเตรียมส่ือวัสดุอุปกรณ์ การเตรียมสภาพแวดล้อม การด�ำเนินการจัดกิจกรรม รวมถึงการประเมินผล เพ่ือให้เด็กได้เรียนรู้ข้อมูล แนวคดิ และทกั ษะสำ� คัญเพอื่ ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์การเรียนร้ทู ่ไี ด้ระบไุ ว้ในหลกั สูตร 2.2 การจัดประสบการณ์โดยเดก็ เป็นผรู้ ิเริม่ เปน็ การจดั ประสบการณท์ เี่ กดิ ขน้ึ มาจากความ สนใจของเด็ก โดยเด็กเป็นผู้ริเร่ิมกิจกรรม ได้คิด วางแผน ตัดสินใจท�ำ และน�ำเสนอความคิด ซ่ึงโดย ส่วนใหญ่เป็นการเล่นอิสระตามมุมประสบการณ์ในห้องเรียน แต่ในขณะที่เด็กเป็นผู้เลือกท�ำกิจกรรมตาม มสธความสนใจ ครูจะสอดแทรกทักษะและแนวคิดส�ำคัญต่างๆ ให้แก่เด็ก รวมทั้งให้การสนับสนุนและคอย

8-34 การจัดการศึกษาและหลักสตู รส�ำหรบั เดก็ ปฐมวยั ชว่ ยเหลอื เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ไดเ้ รยี นรผู้ า่ นการคน้ พบ สรา้ งองคค์ วามรผู้ า่ นการเลน่ แกป้ ญั หาดว้ ยตนเอง และเรยี นรู้ มสธร่วมกนั กบั ผอู้ ่ืน ในการจัดประสบการณ์โดยครูเป็นผู้ริเริ่ม ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมกลุ่มใหญ่ท่ีเด็กต้องปฏิบัติตาม แผนการดำ� เนนิ กจิ กรรม ซง่ึ ตอ้ งอาศยั ความตง้ั ใจในการสนทนา หรอื ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมทคี่ รจู ดั ขน้ึ ประสบการณ์ ในลักษณะนี้เด็กต้องใช้สมาธิ ความต้ังใจ และความจดจ่อสูง ในทางกลับกันการจัดประสบการณ์โดยเด็ก มสธ มสธเปน็ ผรู้ เิ รม่ิ เปน็ กจิ กรรมทม่ี คี วามยดื หยนุ่ ผอ่ นคลาย ดว้ ยเดก็ มอี สิ ระในการเลอื กและทำ� กจิ กรรมตามความ สนใจของตนเอง ซง่ึ การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ ด่ี คี วรจดั ใหม้ คี วามสมดลุ ระหวา่ งการจดั ประสบการณ์ โดยครเู ป็นผู้รเิ ร่ิมและเดก็ เป็นผูร้ ิเริ่ม (Peterson, 1996) 3. การจดั ประสบการณโ์ ดยพจิ ารณาตามลกั ษณะธรรมชาตขิ องกจิ กรรม แบง่ ออกเปน็ 2 ลกั ษณะ คอื 3.1 การจัดประสบการณ์แบบสงบ เป็นการจดั ประสบการณท์ ี่มงุ่ เน้นให้เด็กไดใ้ ช้ความคิด มสธและสมาธิในการท�ำกจิ กรรม ซงึ่ ตอ้ งอาศยั ความนง่ิ และความจดจอ่ สงู สว่ นใหญก่ จิ กรรมจะเน้นไปทางดา้ น สติปัญญา เช่น กิจกรรมเสริมประสบการณ์ ที่เป็นกิจกรรมที่เด็กต้องใช้สมาธิในการต้ังใจฟังครูและเพื่อน หรอื รว่ มปฏบิ ตั กิ จิ กรรมตามกฎกตกิ า กจิ กรรมการอา่ นนทิ าน ทเ่ี ดก็ ตอ้ งอยใู่ นอาการทนี่ ง่ิ สงบ เพอื่ ฟงั เรอ่ื ง ราวในนิทาน ฯลฯ 3.2 การจัดประสบการณ์แบบใช้ก�ำลัง เป็นการจัดประสบการณ์เพ่ือให้เด็กต้องใช้ร่างกาย มสธ มสธใช้แรงและพลังงานสูงในการท�ำกิจกรรม การท�ำกิจกรรมลักษณะน้ีเน้นให้เด็กได้เคลื่อนไหว ได้ใช้ทั้ง กล้ามเน้ือใหญ่และกล้ามเน้ือเล็ก และการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ เช่น การเล่นกลางแจ้ง การ เคลอ่ื นไหวและจงั หวะ ฯลฯ ในการจดั ประสบการณใ์ หแ้ กเ่ ดก็ ปฐมวยั ควรใหเ้ ดก็ ไดร้ บั ประสบการณท์ ง้ั สองลกั ษณะอยา่ งสมดลุ กนั โดยจดั ใหม้ กี ารสลบั ผลัดเปลยี่ นกนั จากสงบ เป็นใชก้ ำ� ลงั เป็นสงบ และเป็นการทำ� ควบคู่กนั ไปเปน็ แบบรปู ทสี่ ลบั ผลดั เปลยี่ นกนั เพอื่ เปดิ โอกาสและใหเ้ วลาเดก็ ไดท้ ำ� กจิ กรรมทใี่ ชก้ ำ� ลงั ไดข้ ยบั รา่ งกาย ดว้ ย มสธเด็กในวยั นเ้ี ปน็ วยั ไม่อยนู่ ิง่ มีพลังงานล้นเหลือ รา่ งกายต้องการที่จะเคล่ือนไหว และเรียนร้โู ดยใชป้ ระสาท สัมผัสทั้งห้า ไม่ควรท�ำกิจกรรมที่ให้นั่งนิ่งๆ เงียบ ท่ีต้องใช้สมาธิตลอดเวลา แต่ในขณะเดียวกันร่างกาย ของเดก็ กย็ งั ตอ้ งการทจี่ ะพกั และผอ่ นคลาย หลงั จากทำ� กจิ กรรมทใ่ี ชแ้ รงและกำ� ลงั ซงึ่ Peterson (1996, p. 75) ไดก้ ลา่ ววา่ การจดั ประสบการณท์ ส่ี ลบั ผลดั เปลย่ี นกนั เปน็ แบบรปู จะชว่ ยใหก้ จิ กรรมมคี วามลนื่ ไหลและ นำ� ไปสกู่ ารเรียนรูท้ ี่มปี ระสทิ ธิภาพ มสธ มสธ4. การจัดประสบการณ์โดยพิจารณาจากสถานที่จัดกิจกรรม แบ่งออกเปน็ 2 ลักษณะ คอื 4.1 การจัดประสบการณ์ในห้องเรียน เป็นการจัดประสบการณ์เพื่อให้เด็กได้ท�ำกิจกรรม ต่างๆ ในห้องเรียนภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในบรรยากาศท่ีอบอุ่น และมีความสุขในการ เรยี นรู้และท�ำกิจกรรม 4.2 การจัดประสบการณ์นอกห้องเรียน เปน็ การจดั ประสบการณ์เพื่อใหเ้ ด็กได้มีโอกาสใช้ เวลานอกหอ้ งเรยี น มปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั สภาพแวดลอ้ มทห่ี ลากหลาย ไดส้ มั ผสั ธรรมชาตริ อบตวั ไดส้ ำ� รวจเรยี นรู้ มสธเกยี่ วกบั โลกรอบตัว ไดร้ ับอากาศบรสิ ุทธ์ิ ไดเ้ คล่ือนไหวรา่ งกายอยา่ งอิสระผ่านการเลน่ และการใช้อปุ กรณ์

การจัดประสบการณใ์ นระดับปฐมวัยศกึ ษา 8-35 ในลักษณะต่างๆ เช่น การวงิ่ เลน่ การปนี ปา่ ยเครอ่ื งเล่น การเลน่ น้ำ� การเลน่ ทราย การทำ� สวน ฯลฯ โดย มสธทั่วไปการจัดประสบการณ์ในลักษณะน้ีมีความยืดหยุ่น ค่อนข้างให้อิสระกับเด็กสูง แต่ทั้งน้ีบางกิจกรรม นอกหอ้ งเรยี นกม็ โี ครงสรา้ งและมจี ดุ มงุ่ หมายเฉพาะเชน่ การนำ� เดก็ ไปทศั นศกึ ษานอกหอ้ งเรยี น การเลน่ เกม การละเลน่ ต่างๆ ฯลฯ การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยควรเปิดโอกาสให้เด็กท�ำกิจกรรมนอกห้องเรียนควบคู่ไป มสธ มสธกับกิจกรรมในห้องเรียน เด็กในวัยนี้เป็นวัยท่ีก�ำลังพัฒนาการท�ำงานและความแข็งแรงของกล้ามเน้ือส่วน ตา่ งๆ และการท�ำงานประสานสมั พันธ์ เด็กต้องการพื้นท่ีและโอกาสทจี่ ะวง่ิ เลน่ ไดเ้ คลอ่ื นไหวร่างกาย ได้ ใชพ้ ลงั กายในการทำ� กจิ กรรม ดงั นนั้ ครจู งึ จำ� เปน็ ตอ้ งจดั ตารางกจิ กรรมทสี่ ง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ มปี ระสบการณน์ อก ห้องเรียน ไมน่ ้อยกว่าประสบการณใ์ นหอ้ งเรียน สรุปได้ว่า ลักษณะของการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยมีหลายลักษณะ ข้ึนอยู่กับเกณฑ์ การแบ่ง ซึ่งในเรื่องน้ีแบ่งเป็น 4 ลักษณะ ได้แก่ 1) การจัดประสบการณ์โดยพิจารณาตามจ�ำนวนเด็ก มสธ2) การจดั ประสบการณโ์ ดยพจิ ารณาจากผรู้ เิ รมิ่ กจิ กรรม 3) การจดั ประสบการณโ์ ดยพจิ ารณาตามลกั ษณะ ธรรมชาติของกิจกรรม และ 4) การจัดประสบการณ์โดยพิจารณาจากสถานท่ีจัดกิจกรรม การจัด ประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยควรจัดให้ครอบคลุมลักษณะการจัดประสบการณ์ท้ัง 4 ลักษณะดังกล่าว ซึ่งในการวางแผนและการจัดประสบการณ์แต่ละลักษณะนั้นควรต้องค�ำนึงถึงวัยและพัฒนาการของเด็ก รวมทงั้ เป้าหมายท่ีก�ำหนดไว้ในหลักสูตรเปน็ ส�ำคญั มสธ มสธกิจกรรม8.2.2 จงอธิบายขอบข่ายการจัดประสบการณ์เพอ่ื พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ด้านสงั คม มาโดยสังเขป แนวตอบกิจกรรม 8.2.2 มสธขอบขา่ ยการจดั ประสบการณด์ า้ นสงั คม ครอบคลมุ ดา้ นการชว่ ยเหลอื ตนเอง ดา้ นการรกั ธรรมชาติ และสง่ิ แวดลอ้ ม ดา้ นการอนรุ กั ษว์ ฒั นธรรมและความเปน็ ไทย และดา้ นการอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ น่ื และการปฏบิ ตั ติ น มสธ มสธ มสธเปน็ สมาชิกทีด่ ี

8-36 การจดั การศึกษาและหลักสูตรสำ� หรบั เด็กปฐมวัย มสธตอนที่ 8.3 หลักการ แนวการจดั และวิธีการจัดประสบการณ์ในระดบั ปฐมวัยศกึ ษา โปรดอ่านหวั เร่ือง แนวคดิ และวัตถปุ ระสงค์ของตอนท่ี 8.3 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป มสธ มสธหัวเร่ือง 8.3.1 หลกั การจดั ประสบการณ์ในระดบั ปฐมวยั ศกึ ษา 8.3.2 แนวการจดั ประสบการณใ์ นระดบั ปฐมวยั ศึกษา 8.3.3 วิธีการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา มสธแนวคิด 1. การจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษาที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ ของเด็กได้อย่างสมดุลเป็นองค์รวม มีหลักการท่ีส�ำคัญ คือ หลักพัฒนาการ หลักการ เรยี นรู้ หลกั การพฒั นาเดก็ เปน็ องคร์ วม หลกั บรู ณาการบรบิ ทของทอ้ งถน่ิ และหลกั การ มสี ่วนร่วมของพ่อแม่ ผู้ปกครอง มสธ มสธ2. ก ารจัดประสบการณ์เพ่ือส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านให้กับเด็กอย่างสมดุล จ�ำเป็นต้องมี ความรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั แนวการจดั สภาพแวดลอ้ ม แนวการจดั กจิ กรรม แนวการเลอื ก และการใช้สอ่ื และแนวการประเมินในระดับปฐมวยั 3. ก ารจดั ประสบการณผ์ า่ นกจิ กรรมประจำ� วนั ใหก้ บั เดก็ ปฐมวยั เปน็ กจิ กรรมบรู ณาการทงั้ ในดา้ นความรู้ กระบวนการ และการใหเ้ ดก็ ไดล้ งมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ ประกอบดว้ ย กจิ กรรมเลน่ เสรี กจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ กจิ กรรมเคลอื่ นไหวและจงั หวะ กจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์ มสธกจิ กรรมกลางแจง้ และกจิ กรรมเกมการศกึ ษา สง่ ผลใหเ้ ดก็ เกดิ การเรยี นรมู้ ีความเข้าใจ และมีพัฒนาการสมวยั วัตถุประสงค์ เมอื่ ศึกษาตอนที่ 8.3 จบแล้ว นกั ศึกษาสามารถ มสธ มสธ1. อธิบายหลักการจดั ประสบการณ์ในระดับปฐมวยั ศกึ ษาตามท่กี ำ� หนดใหไ้ ด้ 2. อ ธิบายและยกตัวอย่างแนวการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษาตามที่ก�ำหนด ให้ได้ มสธ3. อธิบายและยกตวั อย่างวิธีการจัดประสบการณใ์ นระดับปฐมวัยศึกษาได้

การจัดประสบการณ์ในระดบั ปฐมวัยศึกษา 8-37 มสธเร่ืองที่ 8.3.1 หลักการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยศึกษา มสธ มสธการจดั ประสบการณเ์ พอื่ พฒั นาเดก็ ปฐมวยั มจี ดุ มงุ่ หมายสำ� คญั เพอื่ สง่ เสรมิ พฒั นาการดา้ นรา่ งกาย ให้มีการเจริญเติบโตอย่างสมวัย มีสุขภาพจิตที่ดี มีความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก และการประสานสมั พนั ธ์ ด้านอารมณ์-จติ ใจ ให้สามารถรบั รู้อารมณ์ความรู้สึกของตนและผู้อืน่ มีทศั นคติ เชิงบวกต่อตนเอง ได้เรียนรู้การจัดระเบียบตนเอง มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดีงาม ด้านสังคม ให้สามารถสร้างมิตร มีพฤติกรรมเชิงบวก สามารถปรับตวั และท�ำงานร่วมกบั ผู้อนื่ ได้ และดา้ นสติปัญญา ให้มีความสามารถในการใช้ภาษา การคิดในลักษณะต่างๆ รวมถึงการคิดสร้างสรรค์ ดังน้ัน ในการจัด ประสบการณ์เพ่อื ใหบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงค์ดงั กลา่ ว พ่อแม่ ผปู้ กครอง และครูควรศึกษาและทำ� ความเขา้ ใจถึง มสธหลักการจัดประสบการณเ์ พอื่ พัฒนาเดก็ ปฐมวัย ดังมรี ายละเอียดต่อไปน้ี 1. หลักพัฒนาการ พัฒนาการเป็นการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นในตัวเด็กทั้งในด้านโครงสร้างและ แบบแผนของรา่ งกาย รวมทง้ั พฤตกิ รรมทีแ่ สดงออกอย่างมีทิศทาง ทีด่ ำ� เนนิ ไปอย่างตอ่ เนื่อง ทง้ั ทางด้าน ร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญา ในการจัดประสบการณ์เพ่ือส่งเสริมพัฒนาการและการ มสธ มสธเรียนรู้ให้แก่เด็ก พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูและผู้เก่ียวข้องจ�ำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับลักษณะ พัฒนาการเด็กแต่ละช่วงวัย เพ่ือให้สามารถออกแบบการจัดกิจกรรม สภาพแวดล้อม และใช้สื่อได้อย่าง เหมาะสม สามารถสรา้ งความสนใจใหเ้ ดก็ สำ� รวจ ศกึ ษา ทดลอง คน้ ควา้ และเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการปฏบิ ตั ิ กิจกรรมท่ีครูวางแผนจัดเตรียมไว้อย่างหลากหลาย เพ่ือให้เด็กมีโอกาสตัดสินใจเลือกท�ำกิจกรรมได้ตาม ความตอ้ งการ ความสนใจ และความถนดั ของแตล่ ะคน ชว่ ยใหค้ รสู ามารถอบรมเลยี้ งดแู ละจดั ประสบการณ์ เพือ่ ให้เดก็ ได้รับการพัฒนาจนบรรลตุ ามเป้าหมายของหลักสูตรที่ได้ก�ำหนดไว้ มสธ2. หลักการเรียนรู้ การเรียนรู้เป็นการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมจากการได้รับประสบการณ์ต่างๆ อันเกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนรู้ท่ีเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสภาพแวดล้อมรอบตัว เด็กปฐมวัยมี ลักษณะการเรียนรู้ท่ีแตกต่างจากวัยอื่น ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะเด็กยังไม่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิในการเรียนรู้ ประกอบกบั ความอ่อนด้อยในด้านประสบการณ์ และยังมีข้อจำ� กดั ท้ังทางดา้ นวุฒภิ าวะและพฒั นาการดา้ น ตา่ งๆ โดยเฉพาะดา้ นสตปิ ญั ญาทจี่ ะเออื้ ตอ่ การเรยี นรไู้ ดด้ งั เชน่ วยั อน่ื ๆ ดงั ที่ อรณุ ี หรดาล (2548, น. 2-30 มสธ มสธถงึ 2-31) กลา่ วไวว้ า่ เดก็ วยั นเี้ รยี นรจู้ ากการมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั สง่ิ แวดลอ้ มและบคุ คลทอ่ี ยรู่ อบตวั เรยี นรจู้ าก สงิ่ ทเี่ ปน็ รปู ธรรมไปหานามธรรม เรยี นรจู้ ากการเลน่ ทง้ั เลน่ คนเดยี ว และเลน่ เปน็ กลมุ่ เลน่ ในหอ้ งและสนาม กลางแจง้ นอกหอ้ งเรยี น รวมตลอดถึงเรยี นรู้จากท่ไี ดร้ บั การช่วยเหลอื จากผู้ใหญ่ ดังนน้ั พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครผู เู้ กยี่ วขอ้ งจำ� เปน็ ตอ้ งศกึ ษา ทำ� ความเขา้ ใจธรรมชาตติ ามวยั และสงั เกตพฤตกิ รรมอยา่ งใกลช้ ดิ เพอ่ื ให้สามารถจัดประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมที่สามารถส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กได้อย่าง มสธเหมาะสมกบั วัย

8-38 การจัดการศึกษาและหลักสูตรส�ำหรบั เด็กปฐมวัย 3. หลักการพัฒนาเด็กเป็นองค์รวม เปน็ ทท่ี ราบกนั ดวี า่ พฒั นาการแตล่ ะดา้ นทงั้ ทางดา้ นรา่ งกาย มสธอารมณ-์ จติ ใจ สงั คม และสตปิ ญั ญามคี วามสมั พนั ธแ์ ละสง่ ผลกระทบถงึ กนั และกนั และพฒั นาการแตล่ ะดา้ น จะสง่ ผลตอ่ พฒั นาการดา้ นอนื่ ๆ การพฒั นาเดก็ ดา้ นใดดา้ นหนง่ึ จะเปน็ ตวั กระตนุ้ พฒั นาการดา้ นอนื่ ๆ ตาม กระบวนการของพัฒนาการ ดังเช่นเด็กท่มี ีสขุ ภาพรา่ งกายแข็งแรง เจริญเติบโตตามวัย จะมกี ลา้ มเนอ้ื เลก็ และกลา้ มเนอ้ื ใหญท่ แี่ ขง็ แรง ทำ� ใหส้ ามารถเลน่ รว่ มกบั เพอื่ นๆ ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ สง่ ผลตอ่ พฒั นาการทาง มสธ มสธด้านสติปัญญา เด็กได้พัฒนาการคิดสร้างสรรค์และแก้ปัญหาในการเล่น และการใช้ภาษาสื่อสารแสดง ความคดิ ความตอ้ งการของตนกบั ครแู ละเพอ่ื น การจดั ประสบการณเ์ พอ่ื พฒั นาเดก็ ทกุ ดา้ นไปพรอ้ มกนั จะ ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการรอบด้านอย่างสมดุล ซ่ึงเป็นไปตามปรัชญาการศึกษาปฐมวัยที่ว่า “...การพัฒนา เดก็ อยา่ งเปน็ องคร์ วม บนพน้ื ฐานการอบรมเลย้ี งดู และการสง่ เสรมิ กระบวนการเรยี นรทู้ ส่ี นองตอ่ ธรรมชาติ และพฒั นาการตามวยั ของเดก็ แตล่ ะคนใหเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ ภายใตบ้ รบิ ทสงั คมและวฒั นธรรมทเ่ี ดก็ อาศยั อยู่ ดว้ ยความรกั ความเอ้ืออาทร และความเข้าใจของทกุ คน เพอื่ สร้างรากฐานคุณภาพชวี ิตให้เดก็ พฒั นาไปสู่ มสธความเป็นมนุษย์ทสี่ มบูรณเ์ กิดคณุ ค่าตอ่ ตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2560, น. 2) 4. หลักบูรณาการบริบทของท้องถ่ิน ประเทศไทยประกอบไปด้วยกลุ่มคนมากมายที่อาศัยอยู่ รว่ มกนั ในแตล่ ะทอ้ งถิ่น ซง่ึ มศี าสนา วฒั นธรรม ประเพณี ความเชอ่ื และวถิ ใี นการดำ� รงชีวติ ทแ่ี ตกต่างกัน ไป สง่ิ เหลา่ นสี้ ง่ ผลใหเ้ ดก็ แตล่ ะคนมคี วามแตกตา่ งกนั การนำ� บรบิ ทของทอ้ งถนิ่ เขา้ มาบรู ณาการในการจดั มสธ มสธประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัยท่ีเป็นเร่ืองท่ีใกล้ตัวเด็กอย่างมีความหมาย ได้แก่ นิทาน เร่ืองเล่าท้องถิ่น เพลง คำ� คลอ้ งจอง อาหาร อาชพี ประจำ� ทอ้ งถนิ่ เพอื่ ใหเ้ ดก็ เรยี นรเู้ กยี่ วกบั รากเหงา้ ของตนเอง เรยี นรคู้ วาม เหมอื นและความแตกตา่ งระหวา่ งกนั ปลกู ฝงั ความภาคภมู ใิ จ การรกั ษาวฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญา และยอมรบั ในความแตกต่างระหว่างกัน ดังที่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ได้ก�ำหนดแนวทางในการจัดการศึกษาไว้ในหมวด 1 มาตรา 7 ระบุว่า “ใน กระบวนการเรยี นรตู้ อ้ งมงุ่ ปลกู ฝงั จติ สำ� นกึ ทถ่ี กู ตอ้ งเกยี่ วกบั การเมอื งการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย มสธอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รู้จักรักษาและส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ ส่วนรวมและของประเทศชาติ รวมทงั้ สง่ เสริมศาสนา ศิลปะ และวฒั นธรรมของชาติ การกฬี า ภมู ปิ ัญญา ทอ้ งถ่นิ ภูมิปัญญาไทย และความรอู้ ันเป็นสากล ตลอดจนอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม มี ความสามารถในการประกอบอาชพี รจู้ กั พงึ่ ตนเอง มคี วามรเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ ใฝร่ แู้ ละเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองอยา่ ง มสธ มสธต่อเนื่อง” และในหมวด 4 มาตรา 7 มีใจความส�ำคัญว่า“การจัดการศึกษาต้องเน้นการจัดการศึกษา ท่ีเกี่ยวข้องในเรื่องเก่ียวกับตนเอง และความสัมพันธ์กับของตนเองกับสังคม โดยมีการเน้นถึงการเรียนรู้ เก่ียวกับภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถ่ินเป็นประเด็นหนึ่งที่ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ เรียนร”ู้ (สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ, 2553, น. 5) การเรียนรใู้ นลกั ษณะดงั กลา่ ว จะช่วย ใหเ้ ด็กสามารถน�ำความรทู้ ไี่ ด้รบั ไปใชใ้ นการด�ำเนินชีวติ สง่ ผลให้เดก็ เตบิ โตเปน็ สมาชิกทีด่ ีของสังคม และ มสธสามารถอยรู่ ว่ มกับผู้อ่ืนได้อยา่ งมีความสุข


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook