Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore @การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ ครั้งที่ 5

@การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ ครั้งที่ 5

Published by ED-APHEIT, 2021-05-16 05:32:21

Description: @การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ ครั้งที่ 5

Keywords: Mon Apr 06 2020 11:37:45 GMT+0700 (Indochina Time)ED-APHEIT 2021

Search

Read the Text Version

นวัตกรรมการจดั การศกึ ษาเพ่อื การเปลี่ยนผา่ นสปู่ กติวิถีใหม่ การประชุมวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ ครั้งท่ี 5 คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.)

คำสั่ง คณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ที่ 004/2563 เรอ่ื ง แตง่ ตงั้ กองบรรณาธิการการประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ คร้ังที่ 5 หวั ข้อ “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพ่อื การเปลีย่ นผ่านสู่ปกติวถิ ใี หม่” วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 รปู แบบออนไลน์ เพื่อให้การจัดงานการประชุมวิชาการและเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ ครั้งที่ 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ปกติวิถีใหม่” วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 (รูปแบบออนไลน์) จัดโดย อนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศ ไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) เป็นไปด้วย ความเรียบร้อยและบงั เกิดผลดีมีประสทิ ธภิ าพ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทยฯ จึงพิจารณา แต่งต้งั แตง่ ตัง้ กองบรรณาธกิ ารดงั ตอ่ ไปนี้ บรรณาธกิ าร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรดุ า ชยั สวุ รรณ มหาวทิ ยาลัยศรีปทมุ ผูช้ ว่ ยบรรณาธิการ มหาวทิ ยาลยั ธุรกิจบัณฑิตย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วราภรณ์ ไทยมา มหาวทิ ยาลัยวงษช์ วลิตกลุ อาจารย์ ดร.พงษ์ภญิ โญ แมน้ โกศล มหาวทิ ยาลัยธุรกจิ บัณฑิตย์ ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. นัฐยา บุญกองแสน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วาสนา วสิ ฤตาภา

กองบรรณาธิการ นกั วชิ าการอสิ ระ 1. ศาสตราจารย์ ดร.ธรี ะ รุญเจรญิ มหาวิทยาลยั ธุรกจิ บัณฑิตย์ 2. ศาสตราจารย์ ดร.ไพฑูรย์ สนิ ลารตั น์ มหาวิทยาลยั สยาม 3. ศาสตราจารย์กติ ตคิ ณุ ดร.ชนิตา รกั ษพ์ ลเมือง มหาวทิ ยาลยั สยาม 4. รองศาสตราจารย์ ดร.จอมพงศ์ มงคลวนชิ มหาวิทยาลยั คริสเตียน 5. รองศาสตราจารย์ ดร.ชมุ ศกั ด์ิ อินทร์รกั ษ์ วิทยาลัยนครราชสมี า 6. รองศาสตราจารย์ ดร.กรองทพิ ย์ นาควิเชตร มหาวทิ ยาลยั อสั สมั ชญั 7. ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.วัฒนา วินิตวัฒนคุณ มหาวทิ ยาลยั รงั สิต 8. ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.อญั ชลี ชยานุวัชร มหาวิทยาลยั ศรปี ทุม 9. ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วราภรณ์ ไทยมา มหาวิทยาลยั วงษช์ วลิตกุล 10. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นัฐยา บญุ กองแสน มหาวิทยาลยั ธรุ กิจบณั ฑติ ย์ 11. อาจารย์ ดร.พงษภ์ ิญโญ แมน้ โกศล มหาวทิ ยาลยั ธนบุรี 12. อาจารย์ ดร.ปฐมพรณ์ อินทรางกูร ณ อยธุ ยา สถาบนั เทคโนโลยีแหง่ สุวรรณภมู ิ 13. อาจารย์ ดร.นิพฐิ พนธ์ สนิทเหลือ มหาวิทยาลยั ศรปี ทมุ 14. ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.เกรียงไกร สจั จะหฤทยั มหาวิทยาลยั วงษช์ วลติ กลุ 15. ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤตย์ษพุ ชั สารนอก สถาบนั การจดั การปัญญาภวิ ฒั น์ 16. อาจารย์ ดร.สภุ าวดี วงษ์สกุล มหาวทิ ยาลยั เจ้าพระยา 17. อาจารย์ ดร.ทินกร พลู พฒุ มหาวทิ ยาลยั นอรท์ -เชยี งใหม่ 18. อาจารย์ ดร.วารณุ ี โพธาสนิ ธุ์ มหาวทิ ยาลยั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื 19. อาจารย์ ดร.วานชิ ประเสริฐพร มหาวทิ ยาลยั ธรุ กิจบัณฑิตย์ 20. ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วาสนา วสิ ฤตาภา วทิ ยาลยั นครราชสีมา 21. อาจารย์ ดร.ภควรรณ ลนุ สำโรง นกั วิชาการอสิ ระ ผู้ทรงคณุ วุฒิพจิ ารณาผลงานทางวิชาการ มหาวทิ ยาลยั ธรุ กิจบัณฑติ ย์ 1. ศาสตราจารย์ ดร.ธรี ะ รุญเจรญิ มหาวทิ ยาลยั สยาม 2. ศาสตราจารย์ ดร.ไพฑรู ย์ สนิ ลารัตน์ มหาวิทยาลยั คริสเตียน 3. ศาสตราจารยก์ ติ ติคณุ ดร.ชนติ า รกั ษ์พลเมอื ง มหาวิทยาลยั ธรุ กจิ บัณฑติ ย์ 4. รองศาสตราจารย์ ดร.ชมุ ศกั ดิ์ อินทรร์ ักษ์ มหาวิทยาลยั อสั สัมชญั 5. รองศาสตราจารย์ ดร.ไสว ฟกั ขาว มหาวทิ ยาลยั รังสติ 6. ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วฒั นา วินิตวฒั นคุณ มหาวิทยาลยั ศรีปทุม 7. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อญั ชลี ชยานุวัชร มหาวทิ ยาลยั วงษช์ วลติ กลุ 8. ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วราภรณ์ ไทยมา มหาวทิ ยาลยั อัสสัมชญั 9. ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.นัฐยา บญุ กองแสน มหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์ 10. ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.รสสุคนธ์ เสวตเวชากลุ 11. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วาสนา วสิ ฤตาภา

12. ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.เกรียงไกร สจั จะหฤทยั มหาวิทยาลยั ศรปี ทุม 13. อาจารย์ ดร.พงษ์ภญิ โญ แมน้ โกศล มหาวิทยาลยั ธุรกจิ บัณฑิตย์ 14. อาจารย์ ดร.ปฐมพรณ์ อนิ ทรางกูร ณ อยุธยา มหาวทิ ยาลยั ธนบุรี 15. อาจารย์ ดร.นพิ ฐิ พนธ์ สนิทเหลอื สถาบนั เทคโนโลยแี หง่ สุวรรณภมู ิ 16. อาจารย์ ดร.สุภาวดี วงษส์ กลุ สถาบนั การจัดการปัญญาภวิ ฒั น์ 17. อาจารย์ ดร.ทินกร พลู พฒุ มหาวทิ ยาลยั เจ้าพระยา 18. อาจารย์ ดร.วานชิ ประเสริฐพร มหาวิทยาลยั ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื 19. อาจารย์ ดร. ภควรรณ ลุนสำโรง วทิ ยาลยั นครราชสีมา สงั่ ณ วนั ท่ี 6 ธนั วาคม 2563 (ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ศรุดา ชยั สุวรรณ) ประธานคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทยในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี

สารประธานคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ในการประชุมวิชาการและเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ คร้งั ท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศกึ ษาเพอื่ การเปล่ียนผา่ นสู่ปกตวิ ถิ ีใหม่” วันท่ี 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 รปู แบบออนไลน์ จดั โดย คณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทยในพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ศรุดา ชัยสวุ รรณ ประธานคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทยในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี การจัดการศกึ ษาในยุคปกติวิถใี หม่ (New Normal) เกิดข้ึนในช่วงท่โี ลกเกดิ สถานการณ์ไวรสั COVID- 19 ระบาด ดังนั้นครู คณาจารย์ และผู้บริหารสถานศึกษาจึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเอื้ออำนวยวิธีการ จดั การเรยี นรู้สู่การจดั การศกึ ษา อกี ทงั้ มีบทบาทในการเขา้ ถึงเทคโนโลยีที่จะเข้ามาสนบั สนุนการเรียนรู้ ดังน้ัน สถานศึกษาหรือสถาบันการศึกษาควรจะออกแบบการจัดการเรียนรู้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ในอนาคต หลักสูตรของโลกและการจัดการศึกษาจะมีรูปแบบหรือหน้าตาอย่างไร ที่จะส่งผลต่อการพัฒนาคนให้มี ศักยภาพและมีทักษะในระดับสูงเพื่อการพัฒนาประเทศ งานวิจัยในการสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมการจัด การศกึ ษาเพอื่ การเปลย่ี นผ่านส่ปู กตวิ ิถใี หม่ จึงเปน็ หนทางในการหาคำตอบ คณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทยในพระ ราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ซ่ึงมบี ทบาทและหน้าที่คือ การพัฒนา งานด้านวิชาการในสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ ของสถาบันสมาชิก สสอท. ดำเนินกิจกรรมทางด้านวิชาการ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์และพัฒนาบุคลากรและนักศึกษาสาขาศึกษาศาสตร์ ของสถาบันสมาชิก สสอท. และมี หนา้ ทอี่ นื่ ๆ ท่ีสำคญั คือ เพื่อเป็นศูนย์กลางของนักวิชาการทางศึกษาศาสตร์ทจี่ ะได้พบปะแลกเปล่ียนความคิด ใหม่ ๆ อันจะนำไปสู่ประโยชน์ในทางวิชาการและการพัฒนาวิชาชีพทางศึกษาศาสตร์ พร้อมทั้ง สนับสนุน ช่วยเหลือและเผยแพร่งานวิจัยทางศึกษาศาสตร์ของคณาจารย์ นักศึกษา บุคคลทางการศึกษาและผู้สนใจทาง ศึกษาศาสตร์และบุคลากรทั่วไปของสถาบันต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการพัฒนาการศึกษาของ ประเทศทั้งระดบั ชาติและคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ของสมาคมฯ ด้วยสถานการณโ์ รคระบาดจาก ไวรัส COVID-19 จึงเห็นสมควรจัดการประชุมทางวิชาการและเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์

ระดับชาติ คร้งั ที่ 5 และระดับนานาชาติครั้งท่ี 1 หวั ข้อ “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ปกติ วิถีใหม่” The 5th National and the 1st International Conference on Education 2021 (APHEIT- EDU 2021) \"Educational Management Innovation for Transition to the New Normal\" วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ในครั้งนี้เป็นการจัดการประชุมในรูปแบบออนไลน์ โดยเป็นเวทีให้กับนักวิจัย อาจารย์ นักศกึ ษา ได้เขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการเผยแพรผ่ ลงานวิชาการ โดยมวี ัตถุประสงค์ 1. เพ่ือจัดประชุมทางวชิ าการและเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรระดบั ชาติ 2. เพื่อแลกเปลยี่ นความคดิ เห็นทางวชิ าการเกย่ี วกับการศกึ ษายุค “Digital Disruption in Education” 3. เพอื่ เผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั ทางสาขาศึกษาศาสตร์ท่ีมีคุณภาพระดับชาติ 4. เพอ่ื แลกเปล่ยี น เรียนร้แู ละสร้างเครือข่ายของนักวิจยั ทางสาขาศึกษาศาสตรใ์ นระดับชาติ คณะผ้จู ัดต้องขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร. จอมพงศ์ มงคลวนชิ ทใ่ี หเ้ กียรติเปน็ ประธานเปดิ การประชุมระดับนานาชาติ และผู้มเี กียรติทุกท่านทีใ่ หค้ วามสำคัญกับการประชุมคร้งั นี้ ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่เป็นกรรมการวิพากษ์ประจำห้อง และคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพ รตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ไดร้ ่วมแรงรว่ มใจ ตลอดจนอทุ ิศเวลาเพื่อให้การจดั การประชุมคร้ังนี้ผ่าน ไปได้ด้วยดี ขอบพระคุณผู้มีส่วนรว่ มทกุ ท่าน ซึ่งทางผู้จัดคาดหวงั ว่าผลงานวิชาการในการประชุมคร้ังนี้จะเป็น ประโยชน์อยา่ งย่ิงแก่ท่านนกั วิจยั ผู้บริหาร คณาจารย์ นิสิต นกั ศึกษา และบุคคลท่วั ไป

สารบญั หน้า คำสง่ั ฯ ที่ 004/2563 เรอ่ื ง แต่งต้ังกองบรรณาธกิ ารการประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรร สาขาวชิ า ศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครัง้ ที่ 5 .....................................................................................................................2 สารประธานคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ในการประชุมวิชาการและเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดบั ชาติ คร้ังท่ี 5......................................................................................................5 ➢ กระบวนการเรียนรู้แบบมสี ่วนรว่ มผ่านระบบการเรียนรู้แบบเปิด เพอื่ ส่งเสรมิ ทักษะการเรยี นรู้ในศตวรรษ ท่ี 21 สำหรับนักศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี ............................................................................................................10 ➢ การรับรู้ในบริการที่ส่งผลต่อการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียน มัธยมขยายโอกาสสังกัด สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมทุ รสาคร..................................................................................19 ➢ การพัฒนายูสเซอร์อินเตอร์เฟสเชิงปฏิสัมพันธ์ต้นแบบเพื่อการรับรู้และการใช้ประโยชน์ของผู้บกพร่อง ทางการเห็น กรณีศกึ ษา โรงเรยี นการศกึ ษาคนตาบอดลำปาง.......................................................................28 ➢ ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของบุคลากรใน สงั กัด สำนกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยกลุ่มสมุทรคีรี...............................42 ➢ ความต้องการและความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อหลักสูตรและการบริหารจัดการหลักสูตรภาษาอังกฤษ เพอ่ื การส่อื สารสากล มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ตาก............................................................58 ➢ ศึกษาความคาดหวังและการรบั รู้ที่มตี ่อสวสั ดิการและสวสั ดิภาพครูในสถานศึกษาอำเภอกระทุ่มแบน สังกัด สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร..................................................................................69 ➢ ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลตอ่ การปฏิบัติตามมาตรฐาน วิชาชีพครูตามเกณฑ์คุรุ สภาของโรงเรียนในสงั กดั สำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษา ประถมศกึ ษาสมุทรสงคราม....................................86 ➢ ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงรุกของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการ ด้านกิจกรรม พัฒนาคณุ ภาพผเู้ รียนในสถานศกึ ษาสังกดั สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร ...............98 ➢ การศึกษาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครูในกลุ่มกรุงธนใต้ สังกัดสำนัก การศึกษา กรงุ เทพมหานคร.........................................................................................................................113 ➢ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผูบ้ ริหารสถานศึกษาท่ีสง่ ผลต่อประสิทธิผล ในการบริหารสถานศึกษา กลุ่มกรุงธน ใต้ สังกัดสำนักการศึกษา กรงุ เทพมหานคร.................................................................................................131

➢ ทักษะภาวะผู้นำในศตวรรษท่ี 21 ที่ส่งผลต่อการบริหารงานทั่วไปด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของสถานศกึ ษา สังกดั สำนกั งานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร.......................................................................143 ➢ ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์กับการบริหารงานประกันคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกดั สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมทุ รสาคร.......................................................................157 ➢ กลยุทธ์การสื่อสารของผู้บริหารส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตร วิชาชพี (ปวช.) ในสถานศึกษา อาชีวศึกษาเอกชน เขตกรงุ เทพมหานคร...................................................173 ➢ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ส่งผลการบริหารงานสู่ความเป็นเลิศของวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชน กลุ่มกรุงเทพมหานคร ...................................................................................................................................188 ➢ การดำเนินงานการบริหารทั่วไป ด้านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนในกลุ่ม 6 สังกัดสำนักงานเขต พน้ื ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 1 ...............................................................................................................205 ➢ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งทักษะการบรหิ ารกับกระบวนการวางแผนกลยทุ ธ์ ของผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษาอาชีวศึกษา ภาคกลาง สงั กดั สำนกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา..........................................................................220 ➢ การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัด สมุทรสาคร ...................................................................................................................................................234 ➢ การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานวชิ าการด้านหลักสูตรสถานศึกษา ในโรงเรียนเอกชนสังกัดสำนกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การศึกษาเอกชน จังหวัดสมทุ รสาคร..................244 ➢ ทางเลือก ....ทางรอด...การศกึ ษาไทยของสถาบนั อดุ มศกึ ษา.......................................................................258 ➢ แนวทางการรับมือกับผลกระทบภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของธุรกิจสายการบินในประเทศไทย ......................................................................................................................................................................270 ➢ สอนเขยี นสะกดคำอยา่ งไรใหส้ ง่ เสรมิ ทักษะสำคัญของผ้เู รียนในศตวรรษท่ี 21...........................................284 ➢ การแกป้ ญั หาอยา่ งมเี หตผุ ลทางคณติ ศาสตร.์ ...............................................................................................298 ➢ การใชง้ านระบบบรหิ ารจัดการการฝึกงานและสหกจิ ศกึ ษา เพอ่ื ตดิ ตามนกั ศกึ ษาฝกึ งานในยุคปกตวิ ถิ ใี หม่308 ➢ สามเหล่ียมอนั ทรงพลงั ของการเรยี นการสอนออนไลน์ในยุคโควดิ -19.........................................................324 ➢ รูปแบบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา สงั กดั สำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา เขต ตรวจราชการสว่ นกลาง ................................................................................................................................334 ➢ การพฒั นาส่อื การเรียนรกู้ ารเขียนอักษรไทยลา้ นนาสำหรบั ผู้เรม่ิ ต้น ...........................................................351

➢ The Study of the Problems for Educational Management Guidelines of the Child Development Centers of Bang Pla Sub-district Administration Organization, Bang Phli District: Samut Prakan............................................................................................................................................362 ➢ การดำเนินงานตามแผนพัฒนาการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2560 – 2579 ด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนด้าน การอาชีวศึกษาเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สถาบันการอาชีวศึกษา กรงุ เทพมหานคร ..........................................................................................................................................376 ➢ การสอนออนไลนด์ ว้ ยวิธสี อนแบบห้องกลับดา้ น ในชว่ งภาวะวิกฤต COVID-19 กรณศี ึกษา รายวิชา JBC226 การแปลภาษาญี่ปนุ่ ธุรกิจ.............................................................................................................................388 ➢ การปรับเปลย่ี นกระบวนทศั น์การเรยี นรู้ส่ปู กติวถิ ีใหมส่ ำหรบั นกั ศึกษา.......................................................397 ➢ การบริหารการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมตามแนวทางอะคิตะโมเดลของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขต พน้ื ท่ีการศึกษาประถมศึกษานนทบรุ ี เขต1..................................................................................................412 ➢ จรรยาบรรณความเปน็ ครู กับพนื้ ทส่ี ว่ นตวั บนเครือขา่ ยสังคมออนไลน์ .......................................................425 ➢ การจัดการเชิงกลยุทธ์ : การบรหิ ารจัดการงานฝ่ายแผน ประกนั คณุ ภาพและพัฒนาเพื่อสังคม โรงเรยี นสาธิต สังกดั มหาวิทยาลยั ของรัฐ………………………………………………………………………….........................................436 ➢ SATITPATUMWAN Model : แนวทางการบริหารจัดการโรงเรียนสาธิตสังกัดมหาวิทยาลัยของรัฐ วาระ บรหิ าร พ.ศ. 2563 – 2567 .........................................................................................................................461

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครั้งท่ี 5 “นวัตกรรมการจดั การศึกษาเพอ่ื การเปลีย่ นผา่ นสปู่ กตวิ ถิ ีใหม”่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) กระบวนการเรียนรแู้ บบมสี ว่ นร่วมผา่ นระบบการเรียนรู้แบบเปิด เพ่ือสง่ เสริมทกั ษะการเรยี นรใู้ นศตวรรษ ที่ 21 สำหรบั นักศึกษาระดบั ปรญิ ญาตรี PARTICIPATORY LEARNING VIA MOOCS TO ENHANCE THE 21ST CENTURY LEARNING SKILLS FOR UNDERGRADUATE STUDENTS ผศ.ดร.วรฤทธิ์ กอปรสริ พิ ฒั น์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครราชสีมา E-mail : [email protected] บทคดั ย่อ กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมผ่านระบบการเรียนรู้แบบเปิด เป็นการจัดกิจกรรมผ่านสื่อออนไลน์แบบเสรี ทกุ คนสามารถเขา้ ถึงไดแ้ ละเน้นใหผ้ ้เู รียนได้มีส่วนร่วมในการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ การวจิ ัยนีม้ วี ตั ถุประสงคเ์ พื่อพัฒนากระบวนการ เรียนรูแ้ บบมีส่วนรว่ มผ่านระบบการเรียนรูแ้ บบเปดิ เพอ่ื สง่ เสริมทกั ษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรบั นักศกึ ษาระดับปริญญาตรี กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จำนวน 30 คน ที่ลงทะเบียนรายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการ สื่อสารและส่ือประสม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั ประกอบดว้ ย แผนการจัดการ เรียนรู้ของรายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสารและสื่อประสม ระบบการเรียนรู้แบบเปิดของมหาวิทยาลัยราชภัฏ นครราชสีมา (NRRU-MOOCs) และแบบประเมินทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักศึกษาคอมพวิ เตอร์ศึกษา ผลการวิจยั พบว่า แผนการจดั การเรยี นร้มู คี วามเหมาะสมในการนำไปใช้ ระบบการเรยี นรู้แบบเปดิ มีคณุ ภาพอยใู่ นระดบั ดี มีขั้นตอนการจัดการ เรียนรู้ ประกอบด้วย 1) ขั้นแบ่งปันประสบการณ์ผ่านกระดานสนทนา 2) ขั้นการสะท้อนผลผ่านบล็อก 3) ขั้นสรุปความคิดผ่าน โซเซียลมีเดีย และ 4) ขั้นการทดลองและประเมินผ่านวิดีโอออนไลน์ ผลการประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 งานวิจัยนี้ เป็นแนวทางในการจัดเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะสารสนเทศ สื่อ และ เทคโนโลยี ซงึ่ เป็นพื้นฐานของทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผเู้ รียนต่อไป คำสำคัญ: กระบวนการเรียนรแู้ บบมสี ่วนร่วม, ระบบการเรียนรแู้ บบเปิด, ทกั ษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ABSTRACT Participatory learning via MOOCs as online activity and emphasizing on students to organize learning activities. The purpose of this research was to research and development participatory Learning via MOOCs to enhance the 21st-century learning skills for undergraduate students. Research instruments included the lesson plan, Information technology for multimedia communication, NRRU-MOOCs, and the 21st-century learning skills assessment form for computer education students. From the results of the study, the lesson plan was suitable for use, the quality of MOOCs was a good level and learning steps include: 1) share experiences through forums 2) reflective learning blog 3) summarized via social media 4) online video trials and assessments, the results of the หน้า 10

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ คร้ังท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพอ่ื การเปลยี่ นผา่ นสปู่ กติวถิ ใี หม่” 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) 21st-century skills assessment are higher than before study with statistical significanceat the .05 level. This research was a learning guideline for learners to practice information, media, and technology skills which were the basis for the 21st-century learning skills for Undergraduate students. KEYWORDS: Participatory learning, MOOCs, the 21st-century learning skills บทนำ จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560-2564 ในยุทธศาสตรท์ ี่ 1 การเสริมสรา้ งและ พัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ ได้กล่าวถึง แนวทางการพัฒนาตามเป้าหมายที่ 3 คนไทยมีการศึกษาที่มีคุณภาพตาม มาตรฐานสากลและมีความสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง จากแนวนโยบายดังกล่าว มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครราชสีมา ในฐานะองค์กรที่มีหน้าที่จัดการเรียนรู้ จึงต้องพัฒนาผู้เรียนทุกด้าน ให้สามารถปรับตัวเข้ากับบริบท ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โดยเฉพาะทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ที่จะต้อง ส่งเสริมให้เกิดกับผู้เรียนทุกคน กรอบความคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 มีเป้าหมายไปที่ผู้เรียน เกิดคุณลักษณะ ในศตวรรษที่ 21 โดยผู้เรยี นจะใช้ความรใู้ นสาระหลักไปบรู ณาการส่งั สมประสบการณก์ ับทักษะ 3 ทกั ษะ เพอื่ การดํารงชวี ติ ในศตวรรษที่ 21 คือ ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี และทักษะชีวิตและอาชีพ การปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่สําคัญและจําเป็นต่อตัวผู้เรียนอย่างแท้จริง มุ่งไปที่ให ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง (วิจารณ์ พานิช, 2555) ดังนัน้ สิ่งทีจ่ ำเป็นต้องสร้างให้เกิดกับผูเ้ รียนก็คือ ทักษะการ เรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21 เพือ่ เตรยี มความพรอ้ มให้กับผ้เู รียน ในสภาพบริบทสังคมทเี่ ปลีย่ นแปลงไป กระบวนการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรม การเรียน การสอน (Shen, J and other, 2004) ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอน 4 ขั้นตอน (แสงดาว ถิ่นหารวงษ์, 2558) ได้แก่ ขั้นประสบการณ์(Experience) ขั้นการสะท้อนและ อภิปราย (Reflection and Discussion) ขั้นความคิดรวบยอด (Concept) และขนั้ การทดลอง/การประยกุ ตแ์ นวคดิ (Experimentation/Application) ซ่งึ การจดั การเรียนรใู้ ห้กับผู้เรียน จะชว่ ยสง่ เสรมิ การเรียนรขู้ องผู้เรียน โดยช่วยใหผ้ ้เู รยี นมีส่วนรว่ มในการแสดงความคิดเห็น มคี วามรบั ผิดชอบตอ่ การเรียนรู้ ของตนเองและได้ฝึกปฏิบัติวางแผนการ ทำกิจกรรมกลุ่ม เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเช่ือมโยงประสบการณ์เดิมกับความรู้ใหม่ มีส่วนร่วมในการอภิปรายประเด็นปัญหาขั้นตอนเหล่านี้ ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนที่ฝึกให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการ แก้ปัญหาและทักษะวิชาชีพ ผสมผสานกับระบบการเรียนรู้แบบเปิด หรือ MOOCs (Massive Open Online Courseware) เปน็ หลกั สูตร (Course) ทเี่ รยี นออนไลน์ (Online) จากระบบทเ่ี ปดิ ให้ใช้งานฟรี (Open) และรองรับผู้เรียน จำนวนมาก (Massive) ผเู้ รยี นสามารถเช่ือมต่อเขา้ ไปดูวิดโี อการบรรยาย เข้าไปฝึกปฏบิ ตั ิ ทำแบบทดสอบแบบฝึกหดั หรือ เข้าไปร่วมสนทนากับผู้เรียนอื่นๆ ได้ ควรมีการนำมาใช้ในการฝึกอบรมและการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา มาช่วยส่งเสริมให้ ครูผูส้ อนสามารถเรยี นทบทวนเนอื้ หาได้ตลอดเวลา ดงั น้ัน ผู้วจิ ัยจงึ สนใจทจี่ ะนำกระบวนการดงั กลา่ ว มาวจิ ยั เพอ่ื พฒั นากระบวนการเรยี นรู้แบบมสี ่วนรว่ มผ่านระบบ การเรียนรู้แบบเปิด เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี เป็นการส่งเสริม คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรยี นต่อไป หนา้ 11

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ คร้ังที่ 5 “นวัตกรรมการจดั การศึกษาเพอ่ื การเปลีย่ นผา่ นสู่ปกติวถิ ใี หม่” 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั เพื่อวิจัยและพัฒนากระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมผ่านระบบการเรียนรู้แบบเปิด เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ใน ศตวรรษท่ี 21 สำหรับนกั ศกึ ษาระดับปรญิ ญาตรี ประเมนิ ทกั ษะและเปรียบเทยี บผลการประเมนิ ทักษะก่อนและหลังเรียน วธิ ีดำเนนิ การวจิ ัย ผ้วู ิจยั มีการกำหนดรายละเอียดและวธิ ีการดำเนนิ การวิจยั ไว้ ดงั น้ี 1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง ประชากร ได้แก่ นักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภฏั นครราชสีมา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จำนวน 30 คน โดยเลือกแบบเจาะจง จากคนท่ี ลงทะเบียนรายวชิ า เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสือ่ สารและสอ่ื ประสม ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2563 2. เครอื่ งมือการวิจยั 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ของรายวิชา (มคอ.3) รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสารและสื่อประสม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 เป็นแผนที่มีการนำกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมผ่านระบบการเรียนรู้แบบเปิดมา บรู ณาการกบั แผน 2.2 แบบประเมนิ ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ในดา้ นทักษะสารสนเทศ ส่อื และเทคโนโลยี เปน็ แบบประเมนิ ทักษะใน ศตวรรษที่ 21 ก่อนและหลังเรียน 3. การสรา้ งเครื่องมอื การวจิ ยั 3.1 แผนการจัดการเรยี นรู้ของรายวชิ า (มคอ.3) รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่อื การสอ่ื สารและส่ือประสม 3.1.1 ศึกษาและวิเคราะหห์ ลักสูตร คำอธิบายรายวชิ า 3.1.2 ศึกษาเอกสารวิชาการ เอกสารงานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับรายวชิ า 3.1.3 ศึกษาเอกสารวชิ าการท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การออกแบบการเรียนรู้ทีพ่ ฒั นาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษ ที่ 21 และกรอบมาตรฐานการเรียนรู้ (TQF) ของรายวิชา 3.1.4 เชอื่ มโยงทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 กับกรอบมาตรฐานการเรยี นรู้ แลว้ กำหนดพฤตกิ รรมท่ี คาดหวังเกี่ยวกบั ทักษะการเรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21 ของผู้เรยี น 3.1.5 ออกแบบการเรียนรู้และเขียนรายละเอียดรายวิชาโดยระบุกิจกรรมการเรียนการสอนตาม กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมผ่านระบบการเรียนรู้แบบเปิด ดำเนินการเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียนอย่างละเอยี ด พร้อมทัง้ วเิ คราะห์ทักษะการเรียนรูใ้ นศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียนท่ีคาดวา่ จะเกิดจากกระบวนการ จัดการเรยี นการสอน ตามกิจกรรมดังกล่าว 3.2 แบบประเมนิ ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ของผเู้ รียน รายวิชา เทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ การสอ่ื สารและสือ่ ประสม แบบประเมนิ ทักษะในศตวรรษท่ี 21 ของผูเ้ รยี นมกี ารดำเนนิ การสร้างดังน้ี 3.2.1 ศึกษาวิธกี ารสร้างแบบประเมินทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ของผเู้ รยี น 3.2.2 สร้างแบบประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียน โดยกำหนดพฤติกรรมที่ต้องการ วดั และประเมนิ จำนวน 15 ข้อ ครอบคลมุ ทักษะการเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 ด้านกลุ่มทักษะสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี หน้า 12

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดบั ชาติ ครงั้ ที่ 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอื่ การเปลีย่ นผา่ นสปู่ กตวิ ถิ ีใหม่” 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) (information, media, and technology skills) ประกอบด้วย การรู้สารสนเทศ (information literacy) การรู้ส่ือ (media literacy) และ การรู้ ICT (ICT literacy) เกณฑก์ ารให้คะแนนทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 มีเกณฑ์การแปลความหมายข้อมูล ดังน้ี มากที่สุด = 5 คา่ เฉลย่ี 4.51-5.00 หมายถึง มีทักษะในระดบั มากท่ีสดุ มาก = 4 คา่ เฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถงึ มีทกั ษะในระดบั มาก ปานกลาง = 3 ค่าเฉล่ีย 2.51-3.50 หมายถึง มที ักษะในระดบั ปานกลาง น้อย = 2 คา่ เฉล่ยี 1.51-2.50 หมายถงึ มที ักษะในระดบั น้อย นอ้ ยที่สดุ = 1 คา่ เฉลยี่ 1.00-1.50 หมายถงึ มที ักษะในระดบั นอ้ ยทีส่ ดุ มีขั้นตอนดำเนินการ มขี ั้นตอน ดงั นี้ ระยะที่ 1 ทำการวเิ คราะหร์ ูปแบบการสอน ในขั้นตอนนี้ จะเป็นการศึกษาเอกสาร ทฤษฎี งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาต้นแบบของ กระบวนการเรียนรแู้ บบมีส่วนรว่ มผา่ นระบบการเรียนรูแ้ บบเปดิ ผ่านการรบั รองจากผเู้ ชีย่ วชาญ เพ่ือนำไปทดลองใช้ใน ขั้นต่อไป ระยะท่ี 2 ทดลองรปู แบบการสอน มีการดำเนนิ การดงั น้ี 1. ก่อนดำเนินการทดลอง อธิบายถึงจุดประสงค์ และ จุดมุ่งหมายในการทดลองให้นักศึกษากลุ่ม ตัวอย่าง เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ เพอื่ ใหก้ ารเรยี นการสอนไดด้ ำเนินไปตามปกติเหมือนท่เี คยปฏิบัตมิ า 2. ผูเ้ รยี นได้รับประเมนิ ทกั ษะการเรยี นร้ใู นศตวรรษท่ี 21 ดา้ นทกั ษะสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ซึง่ เป็นการประเมนิ กอ่ นแเรยี นตามกระบวนการ 3. ดำเนินการทดลอง ผู้วิจัยดำเนินกิจกรรมตามรูปแบบการสอนที่ออกแบบไว้ ให้กับนักศึกษากลุม่ ตัวอยา่ ง ตามแผนการจัดการเรียนรู้ (มคอ.3) ท่ีผ้วู จิ ยั ได้จดั ทำ ที่ผา่ นการรบั รองแลว้ จากผู้เชย่ี วชาญ 4. เมื่อดำเนินการสอนตามแผนที่กำหนดไว้ทั้งรายวิชา จึงผู้เรียนประเมินทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 ของตนเอง ซง่ึ เปน็ การประเมนิ หลังเรียนตามกระบวนการ 5. นำแบบประเมนิ มาวิเคราะห์ทางสถติ ิ โดยใช้ค่าเฉลย่ี ขาดส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน ระยะที่ 3 นำเสนอรปู แบบการสอน ขั้นตอนนี้ เป็นการนำเสนอกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมผ่านระบบการเรียนรู้แบบเปิด ที่ได้มี การปรับปรุงหลังจากการทดลองแล้ว รวมทั้งรายงานผลการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ด้านทักษะ สารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยี ทไี่ ด้จากการทดลอง 4. สมมตุ ิฐานการวิจยั ผู้เรียนที่ไดร้ ับการจัดกจิ กรรมผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมผ่านระบบการเรยี นรูแ้ บบเปิด มีผลการ ประเมนิ ทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรยี นก่อนและหลงั เรียนแตกตา่ งกัน 5. กรอบแนวคดิ การวจิ ัย ผู้วิจยั ได้พัฒนากรอบแนวคดิ โดยไดศ้ ึกษา ค้นคว้า เอกสาร งานวจิ ัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรยี นร้แู บบมี ส่วนรว่ ม ระบบการเรยี นรู้แบบเปดิ ทักษะในศตวรรษท่ี 21 โดยสามารถสรุปเป็นภาพประกอบท่ี 1 ดงั น้ี หนา้ 13

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ คร้ังที่ 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอื่ การเปล่ยี นผา่ นส่ปู กติวถิ ใี หม”่ 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) - กระบวนการเรยี นรู้ กิจกรรมการเรยี นรู้ ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 แบบมีสว่ นรว่ ม แบบมีสว่ นรว่ มผ่านระบบการเรยี นรู้ ดา้ นทกั ษะสารสนเทศ ส่อื และ - ระบบการเรียนรูแ้ บบเปิด แบบเปิด (NRRU-MOOCs) เทคโนโลยี ภาพประกอบที่ 1 แสดงกรอบแนวคดิ การวจิ ัย ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู การวจิ ยั ครั้งน้ีนำเสนอผลการวิจยั แบง่ ออกเปน็ 3 ตอน ดงั นี้ ตอนที่ 1 ผลการพัฒนาระบบการเรียนรู้แบบเปิดและสื่อออนไลน์ รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการ สื่อสารและสื่อประสม ผ่านเวบ็ elearning.nrru.ac.th ได้สื่อดิจิทัล นำเสนอเนื้อหาผ่านเว็บ สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุก เวลา มีการนำแผนการจัดการเรียนรู้ (มคอ.3) มาออกแบบบทเรยี นตามข้ันตอนของกระบวนเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ภาพประกอบท่ี 2 แสดงระบบการเรียนรูแ้ บบเปิดและส่ือออนไลน์ รายวิชา เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการสอ่ื สารและสื่อประสม การพัฒนาระบบการเรียนรู้แบบเปิดและสื่อออนไลน์ รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสารและส่ือ ประสม ใช้กระบวนการพฒั นา ADDIE Model ประกอบดว้ ย การวเิ คราะห์ การออกแบบ การพัฒนา การนำไปใชแ้ ละ การประเมินสื่อ โดยได้นำเสนอรูปแบบให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา คอมพิวเตอร์ศึกษา ประเมินคุณภาพในด้านเนื้อหา ด้านการนำเสนอและด้านการประยุกต์ใช้งาน พบว่า ในภาพรวม ของการประเมนิ ความคุณภาพสอ่ื อยใู่ นระดบั ดี ( = 4.44, S.D. = 0.72) ดงั ในตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู คุณภาพระบบการเรียนร้แู บบเปิดและสือ่ ออนไลน์ หัวข้อประเมิน ผลการประเมนิ ระดับคณุ ภาพส่อื S.D. ด้านการเนอื้ หา 4.67 0.58 ดมี าก ดา้ นการนำเสนอ 4.00 1.00 ดี ดา้ นการประยกุ ต์ใชง้ าน 4.67 0.58 ดมี าก หน้า 14

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ คร้ังท่ี 5 “นวตั กรรมการจัดการศกึ ษาเพอื่ การเปล่ียนผา่ นสูป่ กติวิถีใหม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) หัวขอ้ ประเมิน ผลการประเมนิ ระดบั คุณภาพส่อื ภาพรวมของการประเมนิ S.D. ดี 4.44 0.72 ตอนที่ 2 ผลการพัฒนาแผนกิจกรรมการเรยี นรู้ผ่านกระบวนการแบบมสี ่วนรว่ ม มีรายละเอยี ดขั้นตอนดงั น้ี ผู้วิจัยได้มีการกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางใน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอน 4 ขั้นตอน (แสงดาว ถิ่นหารวงษ์, 2558) มาปรับ ประยุกต์ใช้สังเคราะห์เป็นรูปแบบกิจกรรมที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ประกอบด้วยขั้นตอน 1) ขั้นแบ่งปันประสบ การณ์ผ่าน กระดานสนทนา 2) ขั้นการสะท้อนผลผ่านบล็อก 3) ขั้นสรุปความคิดผ่านโซเซียลมีเดีย และ 4) ขั้นการทดลองและ ประเมินผ่านวิดีโอออนไลน์ เป็นขนั้ ตอนทใี่ ชท้ ุกหนว่ ยการเรียนรู้ มรี ายละเอียดดังน้ี 1. ขั้นแบ่งปันประสบการณ์ผ่านกระดานสนทนา มีการใช้กระดานสนทนา (Web board) เพื่อนำเข้าสู่ บทเรียน กำหนดบทบาทของผู้เรยี น ภารกจิ ทตี่ ้องทำ 2. ขั้นการสะท้อนผลผ่านบล็อก มีการให้ผู้เรียนได้สะทอ้ นผลการเรยี นรู้ผ่านบล็อกส่วนตัว (Web Blog) เพื่อ ทบทวน ประเด็นในการศกึ ษา คน้ คว้า สบื คน้ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลทไี่ ดร้ บั 3. ข้นั สรุปความคิดผา่ นโซเซยี ลมเี ดีย ใหผ้ ูเ้ รยี นไดส้ รปุ ความคิดรวบยอดผ่านโซเซียลมเี ดีย (Social Media) หลงั จาก ได้ช่วยกนั ทำภารกิจทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย โดยมผี ู้สอนคอยใหค้ ำแนะนำ มีการแข่งขนั เพอื่ กระตุน้ ให้ผเู้ รียนมสี ว่ นรว่ มกับกิจกรรม 4. ขั้นการทดลองและประเมินผ่านวิดีโอออนไลน์ มีทดลองทำกิจกรรมผ่านสื่อการเรียนรู้และการประเมิน โดยสะท้อนผลผ่านวิดีโอออนไลน์ (Online Video) ว่าผู้เรียนได้รับประโยชน์อะไรจากกิจกรรม ผู้เรียนมีความรู้ความ เข้าใจเกี่ยวกับกิจกรรมที่ผูส้ อนได้พาปฏิบัติ นักศึกษาสามารถอธิบายขั้นตอนการทำงานได้อย่างถูกต้อง นักศึกษาเกดิ กระบวนการคิดวเิ คราะหใ์ นระหว่างการทำกจิ กรรม ตอนที่ 3 ผลการประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 ด้านทักษะสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ของผู้เรียนก่อน และหลงั เรยี นท่จี ดั กจิ กรรมกระบวนการเรยี นรู้แบบมีสว่ นร่วม ผู้วิจัยได้พัฒนาแบบประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 ด้านทักษะสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ที่ผู้วิจัย ปรบั ปรงุ จากแบบประเมินของ ณฐั กานต์ ภาคพรตและณมน จีรงั สวุ รรณ (2557) มผี ลการประเมินดังน้ี ตารางท่ี 1 ผลการประเมนิ ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ดา้ นทกั ษะสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยีของผู้เรยี น ก่อน และหลังเรยี น จำแนกตามรายการประเมนิ (N=30) รายการ ก่อนเรียน การแปลผล หลังเรียน การแปลผล S.D. S.D. ด้านการรู้เท่าทันสารสนเทศ 1. นักศึกษาสามารถค้นหาข้อมูล สารสนเทศตามที่ 2.83 0.46 ปานกลาง 4.00 0.79 มาก กำหนดได้ 2. นักศกึ ษาได้ข้อมลู สารสนเทศทถี่ ูกตอ้ ง ครบถว้ น 2.37 0.67 นอ้ ย 4.13 0.73 มาก 3. นักศึกษาสามารถเลือกข้อมูล สารสนเทศ จาก 2.87 0.57 ปานกลาง 3.97 0.89 มาก แหล่งขอ้ มลู ที่น่าเช่อื ถือได้ 4. นักศึกษาสามารถเลือกใช้ข้อมูล สารสนเทศท่ี 3.00 0.26 ปานกลาง 4.10 0.88 มาก ทนั สมัยได้ หน้า 15

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ คร้ังที่ 5 “นวตั กรรมการจัดการศกึ ษาเพอื่ การเปล่ียนผา่ นสูป่ กตวิ ิถีใหม”่ 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) รายการ กอ่ นเรยี น การแปลผล หลังเรียน การแปลผล S.D. S.D. 5. นักศึกษาได้ข้อมูล สารสนเทศ ที่ตรงกับความ น้อย มาก ตอ้ งการ 2.03 0.18 3.90 0.99 น้อย มาก ด้านการรเู้ ท่าทนั สือ่ 2.33 0.66 น้อย 3.97 0.89 มาก 6. นักศึกษาสามารถเลือกใช้สอื่ ได้อยา่ งเหมาะสม 2.03 0.81 ปานกลาง 4.00 0.87 มาก 7. นักศึกษารู้วิธีเลือกใช้สื่อในการค้นหาข้อมูล ปานกลาง มาก สารสนเทศ 2.73 0.45 ปานกลาง 4.13 1.01 มาก 8. นักศึกษามีการเลือกใช้สื่อด้วยความระมัดระวัง 3.23 0.77 4.10 0.84 โดยคำนึงถึงความปลอดภัย 2.67 0.48 นอ้ ย 4.00 0.87 มาก 9. นกั ศกึ ษารู้วธิ ีการแก้ปัญหาในการใช้ส่ือ น้อย มาก 10. นักศกึ ษาดูแลรักษาส่ือได้อยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสม 2.13 0.35 ปานกลาง 3.97 0.89 มาก ปานกลาง มาก ดา้ นการรเู้ ท่าทันไอซที ี 2.13 0.51 ปานกลาง 4.00 0.87 มาก 11. นักศึกษาสามารถเลือกใช้ไอซีทีได้อย่าง ปานกลาง มาก เหมาะสม 3.07 0.37 4.13 1.01 12. นักศึกษาสามารถใช้ไอซีทีในการเข้าถึงข้อมูล สารสนเทศได้ 2.30 0.47 4.10 0.84 13. นักศึกษาสามารถใช้ไอซีทีในการจัดเก็บและ 2.77 0.50 4.00 0.87 บันทึกข้อมลู ได้ 2.57 0.50 4.04 0.90 14. นักศึกษาสามารถใช้ไอซีทีอย่างระมัดระวัง โดย คำนงึ ถงึ ความปลอดภยั ได้ 15. นักศึกษารวู้ ิธแี กป้ ญั หาในการใชไ้ อซีที คา่ เฉล่ยี รวม จากผลการประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 ด้านทกั ษะสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยีของผเู้ รียน จำแนกตาม รายการประเมนิ พบว่า โดยรวมมผี ลการประเมนิ อยูใ่ นระดบั มาก ผู้วิจัยได้เปรียบเทียบผลการประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 ด้านทักษะสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ของ ผูเ้ รยี น กอ่ นและหลังเรียน ผลการประเมนิ ดงั ตารางที่ 2 ตารางท่ี 2 การเปรยี บเทียบผลการประเมนิ ทักษะในศตวรรษท่ี 21 ด้านทักษะสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยี ของผู้เรียนกอ่ นและหลงั เรียน (N=30) การทดสอบ S.D. S.D.D t-test Sig (2 tailed) ก่อนเรียน 2.57 0.13 1.47 0.72 11.20 *0.00 หลงั เรียน 4.04 0.69 * มีระดบั นยั สำคัญทางสถติ ิ ท่ีระดบั .05 ผลการเปรียบเทียบผลการประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียนก่อนและหลังเรียน พบว่า ทักษะใน ศตวรรษที่ 21 ของผูเ้ รียนแตกต่างอย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ิ ที่ระดบั .05 หนา้ 16

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ ครัง้ ท่ี 5 “นวตั กรรมการจดั การศกึ ษาเพอ่ื การเปลี่ยนผา่ นสูป่ กติวถิ ใี หม่” 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัยนี้ พบว่า กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมผ่านระบบการเรียนรู้แบบเปิด ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึน้ ในภาพรวม ของการประเมนิ ความคณุ ภาพสือ่ อยใู่ นระดบั ดี ผลการพฒั นาแผนกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านกระบวนการเรยี นรูแ้ บบมสี ่วนร่วม ที่ มีการสงั เคราะห์ข้นั ตอนประกอบด้วยขน้ั ตอน 1) ขน้ั แบง่ ปนั ประสบการณ์ผ่านกระดานสนทนา 2) ข้นั การสะท้อนผลผ่านบล็อก 3) ขั้นสรุปความคิดผ่านโซเซียลมีเดีย และ 4) ขั้นการทดลองและประเมินผ่านวิดีโอออนไลน์ สามารถนำไปใช้จัดกิจกรรมเพ่ือ พัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ได้ ผลการประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 ด้านทักษะสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีของผู้เรียน โดยรวมมีผลการประเมนิ อยู่ในระดบั มาก จากผลการวจิ ัย แสดงให้เห็นว่าทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียน สามารถพัฒนาได้ จากกระบวนการเรยี นรู้แบบมีสว่ นรว่ มผ่านระบบการเรียนรู้แบบเปดิ ที่ผวู้ จิ ยั พฒั นาขนึ้ อภปิ รายผล 1. ผลการประเมินความคุณภาพระบบการเรียนรูแ้ บบเปิดและสื่อออนไลน์ พบว่า ในภาพรวมของการประเมนิ ความ คณุ ภาพสอ่ื อยู่ในระดบั ดี ซงึ่ สอดคลอ้ งกับผลวิจยั ของ กวินธร รัฐอาจ เหมมิญช์ ธนปัทมม์ มี ณีและฉตั รเกลา้ เจริญผล (2559) ที่ได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านด้วยคลัง รายวิชาออนไลน์แบบเปิด โดยผลการวิจัยได้มีการนำ ระบบการเรียนรู้แบบเปิดที่มีชื่อว่า คลังรายวิชาออนไลน์แบบเปิดหรือ MOOCs ก็จะทำให้กระบวนการเรียนการสอนนั้น มี ประสทิ ธภิ าพมากยง่ิ ขึน้ อย่างไรก็ตาม ควรมกี ารพัฒนาสือ่ ประกอบท่ีมคี วามหลากหลาย ตอบสนองต่อธรรมชาติของผู้เรยี น 2. ผลการพัฒนาแผนกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ที่มีการสังเคราะห์ขั้นตอน ประกอบด้วยขั้นตอน 1) ขั้นแบ่งปันประสบการณ์ผ่านกระดานสนทนา 2) ขั้นการสะท้อนผลผ่านบล็อก 3) ขั้นสรุปความคิด ผ่านโซเซียลมีเดีย และ 4) ขั้นการทดลองและประเมินผ่านวิดีโอออนไลน์ สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดเรียนรู้ให้ ผ้เู รยี นไดฝ้ ึกคิดวเิ คราะหเ์ พ่อื นำไปสู่การพฒั นาทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ดา้ นทักษะสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีได้ สอดคล้อง กับผลการวิจัยของกัญจน์ณิชา อิ่มสมบัติและอภิชาติ เลนะนันท์ (2562) ได้พัฒนาการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียนใน โรงเรียนหนองชมุ แสงวทิ ยาโดยใชก้ ระบวนการวจิ ัยแบบมีสว่ นร่วม ผลการวจิ ยั พบว่า 1) การพฒั นาการเรยี นรูใ้ นศตวรรษที่ 21 ของผเู้ รยี น มีการพฒั นาการเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 ด้านทกั ษะสารสนเทศสอื่ และเทคโนโลยที กั ษะชวี ิตและการทำงาน อย่างไร กต็ าม ควรมกี ารพัฒนารูปแบบกิจกรรมอ่นื ๆท่หี ลากหลาย ผสมผสานกับเทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสม 3. ผลการประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 ด้านทักษะสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีของผู้เรียนก่อนและหลังเรียน จำแนกตามรายการประเมิน พบว่า โดยรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับ มาก และผลการประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 จาก ก่อนและหลังเรียนมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 สอดคล้องกับผลวิจัยของนูรีดา จะปะกียา ชุติมา คำ แก้วและซูลฟีกอร์ มาโซ (2557) ได้ค้นหาแนวทางการพัฒนาทักษะการรู้สารสนเทศของนักศึกษาสถาบันอุดมศึกษา ในสาม จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผลการวจิ ัยพบว่า บรรณารักษห์ รือผู้สอนการรู้สารสนเทศ นำไปสู่การพัฒนาทักษะการรู้สารสนเทศของ นกั ศกึ ษา สถาบนั อดุ มศึกษาในสามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ อยา่ งไรกต็ าม ควรส่งเสริมใหผ้ ้เู รียนสามารถพัฒนาทกั ษะสารสนเทศ สอื่ และเทคโนโลยี ไดด้ ้วยตนเอง ด้วยสภาพแวดล้อมทีเ่ อ้ืออำนวย ขอ้ เสนอแนะ ระบบการเรียนรู้แบบเปิด สามารถนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วน ร่วม สามารถพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ได้ อย่างไรก็ตาม ควรมีการพัฒนาสื่อออนไลน์ประกอบที่หลากหลาย เช่น ส่ือ มัลติมีเดีย สื่อปฏิสัมพันธ์ เป็นต้น เพื่อให้ระบบการเรียนรู้แบบเปิดมีความน่าสนใจ ตอบสนองต่อธรรมชาติของผู้เรียนได้ดี ยิ่งข้ึน หนา้ 17

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ ครงั้ ที่ 5 “นวัตกรรมการจดั การศกึ ษาเพอื่ การเปลยี่ นผา่ นสปู่ กติวถิ ใี หม่” 27 กุมภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) กิตตกิ รรมประกาศ ผวู้ ิจัยขอขอบพระคุณ ผเู้ ชยี วชาญทีไ่ ด้อนเุ คราะห์ประเมนิ งานวจิ ยั ขอขอบพระคุณ คณะวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครราชสีมา ที่ไดส้ นบั สนุนทุนวจิ ยั ประจำปีงบประมาณ 2563 เอกสารอ้างองิ กวนิ ธร รฐั อาจ เหมมญิ ช์ ธนปัทม์มมี ณีและฉัตรเกล้า เจรญิ ผล. (2559). การพฒั นารปู แบบการเรยี นการสอนแบบ ห้องเรยี นกลับดา้ นด้วยคลงั รายวิชาออนไลนแ์ บบเปิด. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. ปที ี่ 10 ฉบับพิเศษ กนั ยายน พ.ศ. 2559. หน้า 68 – 82. กญั จน์ณชิ า อมิ่ สมบัตแิ ละอภิชาติ เลนะนันท์. (2562). การพัฒนาการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรยี นในโรงเรยี น หนองชมุ แสงวทิ ยาโดยใชก้ ระบวนการวจิ ัยแบบมีส่วนร่วม. วารสารมนุษยศาสตร์ และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธนบุรี. ปที ่ี 13 ฉบบั ที่ 3 กันยายน - ธนั วาคม 2019. หน้า 64 – 76. ณัฐกานต์ ภาคพรต และณมน จรี งั สวุ รรณ. (2557). การเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศส่อื และไอซที ี สำหรบั นักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 1 ดว้ ยการประเมินตามสภาพจริง กับความคาดหวงั . วารสารมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ยะลา. ฉบับที่ 2. หน้า 35-45. นูรีดา จะปะกียา ชตุ มิ า คำแก้วและซูลฟีกอร์ มาโซ (2557). การพฒั นาทกั ษะการรสู้ ารสนเทศของนกั ศกึ ษา สถาบันอดุ มศกึ ษาในสามจงั หวัดชายแดนภาคใต้. จงั หวัดยะลา : มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏยะลา. วจิ ารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนร้เู พ่ือศษิ ย์ ในศตวรรษสู่ 21. พมิ พ์คร้งั ที่ 3. กรงุ เทพฯ : มูลนธิ ิสดศรี-สฤษวงศ.์ แสงดาว ถ่ินหาวงษ.์ (2558). การเรียนร้แู บบมีส่วนร่วม: จากทฤษฏีสู่การปฏบิ ัตใิ นรายวิชา วรรณคดสี าหรับเด็ก. วารสารมนษุ ยสังคมปรทิ ศนั ์ ปี ที่ 17 ฉบับ ท่ี 1 มกราคม – มถิ ุนายน 2558. Shen, J., et.al. (2004). Participatory learning approach: An overview. Retrieved December 10, 2019, from https://web.njit.edu หน้า 18

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครง้ั ท่ี 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอ่ื การเปล่ียนผา่ นส่ปู กตวิ ถิ ีใหม”่ 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) การรบั รูใ้ นบริการท่สี ่งผลตอ่ การดำเนินงานโรงเรียนสง่ เสรมิ สุขภาพในโรงเรียน มัธยมขยายโอกาสสงั กัดสำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร Perceptions of Services Affecting the Operation of Health Promoting Schools in Expand Opportunities Secondary Schools the Samut Sakhon Primary Educational Service Area Office ดวงพร กลิ่นเกษร1 ดร.นษิ ฐส์ นิ ี กู้ประเสรฐิ 2 Duangporn Kinkasorn1* Nitsinee Kuprasert2 หลักสูตรศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาการบรหิ ารการศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยธนบรุ ี 1 และบณั ฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยธนบรุ ี 2 [email protected] บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการรับรู้ในบริการของโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสงั กัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร 2) ศึกษาระดับการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนมัธยมขยาย โอกาสสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร และ3) ศึกษาการรับรู้ในบริการที่ส่งผลต่อการ ดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรสาครกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักการคำนวณของ Taro Yamane จากความคลาดเคลื่อนจากการสุ่ม ตัวอย่าง 5 % ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 345 คน เป็นนักเรียนมัธยมศกึ ษาตอนต้นในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาส ปี การศึกษา 2563 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ทดสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถามมีค่าความเที่ยง ของแบบสอบถามด้านการรบั รู้ในบริการของโรงเรียนมัธยมขยายโอกาส เท่ากับ 0.944 และการดำเนินงานโรงเรียนสง่ เสรมิ สุขภาพในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาส เท่ากับ 0.967 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคณู แบบข้ันตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) การรับรู้ในบริการของโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายดา้ นพบว่า การให้ความม่ันใจ มีค่าเฉลยี่ สงู ที่สดุ รองลงมาคอื ความไว้ใจและนา่ เชื่อถอื สว่ นความเปน็ รปู ธรรม มคี ่าเฉลย่ี ตำ่ ทส่ี ุด 2) การดำเนินงานโรงเรยี นสง่ เสริม สขุ ภาพในโรงเรียนมธั ยมขยายโอกาสสังกัดสำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มากและเม่ือพจิ ารณาเปน็ รายด้านพบวา่ ดา้ นการส่งเสริมสุขภาพและสิง่ แวดลอ้ ม มคี ่าเฉลยี่ สูงท่สี ุดส่วนดา้ นกระบวนการ มี ค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด และ3) การรับรู้ในบริการในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรสาคร ได้แก่ ความเห็นอกเห็นใจ การตอบสนองต่อผู้รับบริการ การให้ความมั่นใจ และ ความเป็นรูปธรรม เป็นตัว แปรที่ได้รับเลอื กเขา้ สมการถดถอย และสามารถอภปิ รายความผนั แปรของระดับการดำเนินงานโรงเรยี นสง่ เสริมสุขภาพใน โรงเรียนมธั ยมขยายโอกาสสังกดั สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ได้ร้อยละ 53.90 อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .01 หน้า 19

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดบั ชาติ ครั้งท่ี 5 “นวตั กรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปล่ียนผา่ นสปู่ กติวถิ ใี หม่” 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) คำสำคัญ:การรบั รใู้ นบริการ / โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ / สำนกั งานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร ABSTRACT The purposes of the current study were to investigate (1) level of perception of service problems in the opportunity extension secondary schools under Samut Sakhon Primary Education Service Area Office, (2) level of performance of Health Promoting School Project among the opportunity extension secondary schools under Samut Sakhon Primary Education Service Area Office, and (3) perception of services influencing on performance of Health Promoting School Project among the opportunity extension secondary schools under Samut Sakhon Primary Education Service Area Office. The sample size of 345 secondary school students in the opportunity expansion schools in 2020 academic year was recruited based on Yamane’s determination, with a sampling error of 5%. A research instrument was a questionnaire, with its reliability values of .944 on perception of services in the school, and .967 on performance of the Health Promoting School project. Data were analyzed by means of percentage, mean, standard deviation, Pearson’s Correlation Coefficient, and Multiple Regression Analysis. The findings revealed that (1) overall perceptions of the services in the opportunity expansion secondary schools was at a high level. When inspecting at individual aspects, it was found that the highest averaged aspect was confidence assurance, followed by trust and reliability, while the lowest averaged aspect was tangibility. (2) Overall performance of the Health Promoting School project among the opportunity expansion secondary schools was at a high level. When inspecting at individual aspects, it was found that the highest averaged aspect was health and environmental promotion, while the lowest one was the process aspect. (3) Variables of the perception of services in the opportunity expansion secondary schools under Samut Sakhon Primary Education Service Area Office selected in the regression formula were consideration, response to customers, confidence assurance, and tangibility. These variables altogether could predict performance variance of the opportunity expansion secondary schools under Samut Sakhon Primary Education Service Area Office for 59.30%, significantly at .01 level. KEYWORDS: Service perception/ Health Promoting School Project/ Samut Sakhon Primary Education Service Area Office บทนำ ปัจจุบันนี้กระแสโลกาภิวัฒน์ ที่เกิดจากความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี สารสนเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบต่อเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และคุณภาพชีวิตของ ประชาคมโลก สังคมไทยจงึ ตอ้ งมีการปรบั ตัวโดยการ “พัฒนาคน” ท้ังด้านคุณภาพและสมรรถนะของบุคคลให้มีพ้ืนฐานใน การคิด เรียนรู้ และทักษะการจัดการและการดำรงชีวิต ที่สามารถเผชิญกับปัญหาสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งจำเป็นต้องปรับกระบวนการพัฒนาพร้อมกับการสร้างโอกาสและหลักประกันให้ทุกคนในสังคม โดยความร่วมมือ หนา้ 20

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ ครงั้ ที่ 5 “นวัตกรรมการจัดการศกึ ษาเพอื่ การเปลีย่ นผา่ นสปู่ กติวิถีใหม่” 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ของทุกภาคส่วนเพื่อให้คนไทยได้รับการพัฒนาทั้งด้านสติปัญญา กระบวนการเรียนรู้และทักษะความรับผิดชอบต่อตนเอง เด็กวัยเรยี นและเยาวชนเปน็ กลุ่มเป้าหมายที่สำคัญยิ่งของการพัฒนาจากสภาพสังคมและส่ิงแวดล้อมส่งผลต่อวิถีชีวิตของ เดก็ วยั เรยี นและเยาวชน โดยเฉพาะด้านพฤตกิ รรมเสี่ยงจากการไดร้ ับแบบอยา่ งท่ไี ม่เหมาะสม มคี ่านิยมและวฒั นธรรมตาม กระแสสังคมที่ไม่ถูกต้อง นำไปสู่ปัญหาที่เกิดจากตัวเด็ก ครอบครัว และสภาพแวดล้อมทางสังคม เช่น การมีเพศสัมพันธ์ ก่อนวัยอันควร การตั้งครรภไ์ ม่พึงประสงค์ โรคเอดส์ ยาเสพตดิ ความรุนแรงและอุบัติเหตุ เปน็ ตน้ จำเป็นตอ้ งให้ความสำคญั และเร่งสร้างคุณภาพทั้งการศึกษาควบคู่ไปกับสุขภาพ เพื่อพัฒนาศักยภาพให้เด็กและเยาวชนเป็นผู้ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพคือรากฐานสำคัญของชีวิต ที่ทำให้มนุษย์สามารถดำเนินชีวิตไปตามปกติสุขมีคุณภาพชีวิตที่ดี การดูแลสุขภาพจึง สำคัญ จงึ เกิดกระแสการสร้างเสรมิ สขุ ภาพทม่ี งุ่ เน้นทกี่ ารคงสภาพสภาวะสุขภาพดีและปอ้ งกันการเจ็บปว่ ยโดยการร่วมมือ กันทั้งระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และองค์การ (สกุณา บุญนรากร, 2555: 1) การส่งเสริมสุขภาพอนามัยในโรงเรียน เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาการเรียนรู้และการเจริญเติบโตของนักเรียน จะเห็นได้จากมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติ ซึ่ง กำหนดไวว้ ่าคณุ ลกั ษณะของคนไทยที่พงึ ประสงค์ท้ังในฐานะพลเมอื งไทยและพลเมืองโลก ตามมาตรฐานนี้อยู่ท่ีการพัฒนา คนไทยให้เป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุข(กระทรวงศึกษาธิการ, 2550: 1 – 3) จึงนำมาซึ่งปัจจัยหลักสำคัญแลเป็นงาน หลักของโรงเรียนที่บุคลากรทุกคนในสถานศึกษาต้องช่วยกันพัฒนาให้ผู้เรียนมีคุณภาพและมีสุขภาพที่ดี ซึ่งถือได้ว่าเป็น ปัจจัยสำคัญและเป็นงานหลักของสถานศึกษาในการพัฒนาให้ผู้เรียนมีคุณภาพ ตามเกณฑ์มาตรฐานของสถานศึกษา คือ การรับรู้ในบริการในการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพนักเรียนนั้นจำเป็นต้องใช้การบริหารในรูปแบบการพัฒนานโยบาย ระเบียบและโครงสรา้ งการส่งเสริมสุขภาพทกุ เรื่องท่ีโรงเรียนและชุมชนสามารถดำเนินการรว่ มกันการทำงานเป็นทีมโดยมี ผู้ทำที่เข้มแข็งทุกคนมีส่วนร่วมแสดงความคดิ เห็นผูว้ ิจัยมีความสนใจที่จะศึกษาการดำเนนิ งานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพใน โรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร เพราะในปัจจุบันระบุได้อย่าง ชัดเจนว่าสาเหตุแห่งปัญหาดังกล่าวก็เนื่องมาจากการจัดโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนโดยทั่วไปในการส่งเสริมสุขภาพใน โรงเรยี นเปน็ ผลรวมของการสนบั สนนุ ด้านการศกึ ษาและสิง่ แวดล้อม เพ่อื กอ่ ใหเ้ กดิ ผลในทางปฏิบตั แิ ละเง่อื นไขการดำเนิน ชีวิตทีจ่ ะก่อให้เกิดสภาวะที่สมบรู ณ์ ดังนั้นโรงเรียนจึงมีบทบาทหน้าทีใ่ นการส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนเพื่อพฒั นาสขุ ภาพ อนามัยและการเรียนรู้ของนักเรียน ครู และบุคลากรในโรงเรียนและการมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนภายใต้การบริหาร จัดการของโรงเรยี นการพฒั นาการศกึ ษาใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ ในฐานะผู้วิจัยที่ทำงานเกี่ยวข้องกับงานอนามัยในโรงเรียนอีกทั้งยังต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นในองค์กรอยู่อย่าง ต่อเนื่อง จึงมีความสนใจและต้องการพัฒนาการบริหารงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ การรับรู้ในการบริการถือได้ว่าเป็น ปัจจัยที่สำคัญปัจจัยหนึ่งเป็นแนวทางในการดำเนินงาน เนื่องจากงานบริการมีกระบวนการทำงานกระบวนการบรกิ ารจะ เกิดขึ้นพร้อมกัน ผู้ให้บริการและผู้รับบริการมบี ทบาทอย่างมากในทุกขัน้ ตอน ลักษณะของบรกิ ารไม่มีความสม่ำเสมอและ แปรเปลี่ยนได้ตามความต้องการ การบริการไม่มีตัวตน และไม่สามารถเก็บรกั ษาไว้ได้ คุณภาพการให้บริการเป็นสิ่งที่เกดิ จากการรบั รูข้ องนกั เรียนหรือผใู้ ช้บรกิ ารท่ีสามารถรบั ร้ไู ด้จากผใู้ ห้บริการซึง่ ผลลัพธข์ องบริหารท่ีมีคณุ ภาพจะสอดคล้องกับ ความคาดหวงั ที่มขี องผใู้ ช้บริการ การศกึ ษาเก่ยี วกบั คุณภาพการใหบ้ รกิ าร จากความเป็นมาเอกสารและงานวิจัยในประเด็นที่ได้กล่าวมาผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษาการดำเนินงาน โรงเรียนส่งเสรมิ สุขภาพในโรงเรียนมธั ยมขยายโอกาสสงั กัดสำนักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาสมุทรสาคร เพราะใน ปัจจุบันระบไุ ด้อยา่ งชัดเจนว่าสาเหตแุ ห่งปัญหาดังกล่าวก็เน่ืองมาจากการจดั โปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนโดยทั่วไปในการส่งเสรมิ สุขภาพในโรงเรียนเป็นผลรวมของการสนับสนุนด้านการศึกษาและสิ่งแวดล้อม เพื่อก่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติและเงื่อนไขการ ดำเนินชีวิตท่ีจะก่อให้เกิดสภาวะท่ีสมบูรณ์ ดังนั้นโรงเรียนจึงมีบทบาทหน้าทีใ่ นการส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนเพื่อพัฒนาสขุ ภาพ หน้า 21

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ ครั้งที่ 5 “นวตั กรรมการจัดการศกึ ษาเพอ่ื การเปล่ยี นผา่ นสปู่ กติวิถใี หม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) อนามัยและการเรียนรู้ของนักเรียน ครู และบุคลากรในโรงเรียนและการมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนภายใต้การบริหารจัดการ ของโรงเรยี นการพฒั นาการศกึ ษาให้มีประสิทธิภาพ ในฐานะผู้วจิ ยั ท่ีทำงานเก่ยี วข้องกับงานอนามัยในโรงเรียนอีกท้งั ยงั ตอ้ งทำงาน ร่วมกับผู้อื่นในองค์กรอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงมีความสนใจและต้องการพัฒนาการบริหารงานโรงเรยี นสง่ เสริมสขุ ภาพ ซึ่งประกอบไป ดว้ ยขอบข่ายของงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ 2 ด้าน คอื 1) ด้านกระบวนการ และ2) ด้านการส่งเสรมิ สขุ ภาพและส่งิ แวดล้อมการ รับรู้ในการบริการถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญปัจจัยหนึ่งเป็นแนวทางในการดำเนินงาน เนื่องจากงานบริการมีกระบวนการทำงาน กระบวนการบรกิ ารจะเกิดข้นึ พร้อมกนั ผใู้ ห้บรกิ ารและผู้รับบริการมีบทบาทอยา่ งมากในทกุ ขน้ั ตอน ลักษณะของบรกิ ารไมม่ คี วาม สมำ่ เสมอและแปรเปล่ียนได้ตามความต้องการ การบรกิ ารไมม่ ตี วั ตน และไม่สามารถเก็บรักษาไวไ้ ด้ คุณภาพการให้บริการเป็นสิง่ ที่ เกิดจากการรับรู้ของนักเรียนหรือผู้ใช้บริการที่สามารถรับรู้ได้จากผู้ให้บริการซึ่งผลลัพธ์ของบริหารที่มีคุณภาพจะสอดคล้องกับ ความคาดหวังที่มีของผู้ใช้บริการ การศึกษาเกี่ยวกับคุณภาพการให้บริการเริ่มต้นจากการศึกษาของ (Parasuraman, Zeithaml and Berry,1985) โดยอธิบายถงึ ความคาดหวงั ของผใู้ ชบ้ ริการวา่ เกดิ จาก 1) ความต้องการส่วนบุคคล 2) การบอกเล่าหรอื การบอก กลา่ วตอ่ กัน 3) ประสบการณจ์ ากการรับบริการทผี่ ่านมา และ4) การโฆษณาประชาสมั พนั ธจ์ ากผู้ให้บรกิ ารในรปู แบบต่าง ๆ วธิ ดี ำเนินการวิจยั การวิจยั ในคร้ังนเ้ี ป็นการวิจยั เชงิ บรรยาย (descriptive research) โดยมีวิธีการดำเนินการวิจัย ดงั น้ี 1. กลุม่ เป้าหมายในการวจิ ยั ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรสาคร ในปีการศึกษา 2563 โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักการคำนวณของ Taro Yamane จาก ความคลาดเคล่ือนจากการส่มุ ตวั อย่าง 5 % ไดก้ ลุ่มตัวอย่างจำนวน 345 คน 2. เครอื่ งมือการวจิ ัย 2.1 ศึกษาแนวคิด หลักการ ทฤษฎี เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวกับการรับรู้ในบริการที่ส่งผลต่อการดำเนินงาน โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาครเพื่อ วิเคราะหโ์ ครงสรา้ งเน้อื หาตามนยิ ามศัพทเ์ ชิงปฏบิ ัติการ ตัวแปรท่ศี กึ ษาและกำหนดดชั นีชว้ี ดั 2.2 สร้างแบบสอบถาม ตามดัชนีชี้วัดให้ครอบคลุมนิยามตัวแปรที่ศึกษา และนำมาจัดทำเป็นข้อกระทงคำถาม สำหรบั การวจิ ัย โดยผา่ นคำแนะนำของอาจารยท์ ี่ปรกึ ษา 2.3 นำข้อกระทงคำถามที่สร้างขึ้นไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบคุณภาพความตรงด้านเนื้อหา (content validity) ของข้อกระทงคำถามแล้วหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (Index of Item-objective Congruence: IOC) และแปลผลค่า IOC ที่คำนวณได้ โดยเลือกเฉพาะข้อกระทงคำถามที่มีค่าดัชนี ระหวา่ ง 0.67-1.00 2.4 แก้ไขข้อกระทงคำถามแล้วจัดแบบสอบถามตามข้อเสนอแนะของผูท้ รงคณุ วุฒแิ ละอาจารยท์ ่ปี รึกษา 2.5 นำแบบสอบถามไปทดลองใช้ (try out) กบั นักเรียนมธั ยมศกึ ษาในโรงเรยี นมัธยมขยายโอกาสสังกัดสำนักงาน เขตพ้นื ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ซึง่ ไมใ่ ช่กลุ่มตวั อยา่ งจำนวน 30 คน 2.6 นำแบบสอบถามทรี่ บั กลบั คนื มา ตรวจสอบคณุ ภาพดา้ นความเทยี่ ง (reliability)โดยใชค้ า่ สัมประสิทธิ์แอลฟา (α-coefficient) ของ Cronbach (1970: 161 อ้างถึงใน สุวิมล ติรกานนท์, 2557: 156) ทดสอบความเชื่อมั่นของ แบบสอบถามมีค่าความเทย่ี งของแบบสอบถามด้านการรบั รู้ในการบริการ เทา่ กบั 0.944 และดา้ นการดำเนนิ งานโรงเรียน ส่งเสรมิ สุขภาพ เท่ากบั 0.967 หน้า 22

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดบั ชาติ คร้งั ที่ 5 “นวตั กรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปลี่ยนผา่ นสู่ปกติวถิ ีใหม่” 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 2.7 ปรับปรุงแก้ไขข้อกระทงคำถามเกีย่ วกับการใช้ภาษาให้มีความถูกต้องและเหมาะสมโดยผา่ นการแนะนำจาก อาจารย์ที่ปรึกษา แล้วจัดทำแบบสอบถามฉบบั สมบูรณ์ เพื่อนำไปใชเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มลู กับกลุ่มตัวอย่าง 3. สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ การถดถอยพหุคูณแบบ ขน้ั ตอน (stepwise multiple regression) ผลการวิเคราะห์ข้อมลู 1. ผลการวิเคราะห์ระดับการรับรู้ในบริการของโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสมุทรสาคร ปรากฏดังตารางที่ 1 ดังนี้ ตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับ และลำดับการรับรู้ในบริการของโรงเรียนมัธยมขยายโอกาส สงั กัดสำนักงานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสมุทรสาคร การรบั รใู้ นบริการ ̅X S.D. ระดับ ลำดับ 1 ความเปน็ รปู ธรรม 4.04 0.56 มาก 5 2. ความไวใ้ จและน่าเชอ่ื ถอื 4.19 0.53 มาก 2 3. การตอบสนองต่อผรู้ ับบรกิ าร 4.05 0.59 มาก 4 4. การใหค้ วามมัน่ ใจ 4.21 0.56 มาก 1 5. ความเห็นอกเห็นใจ 4.10 0.57 มาก 3 รวม 4.12 0.45 มาก จากตารางที่ 1 พบว่าระดับการรับรูใ้ นบริการของโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกัดสำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสมทุ รสาคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅X = 4.12) และเมอ่ื พจิ ารณาเปน็ รายดา้ นพบวา่ การให้ความมัน่ ใจ มี ค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (X̅ = 4.21) รองลงมาคือ ความไว้ใจและน่าเชื่อถือ(̅X = 4.19) ส่วนความเป็นรูปธรรม มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (X̅ = 4.04) 2. การวิเคราะห์ระดับการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร ปรากฏดังตารางท่ี 2 ดังน้ี ตารางที่ 2 ค่าเฉล่ีย สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ระดบั การดำเนินงานโรงเรียนสง่ เสริมสขุ ภาพในโรงเรียนมัธยมขยาย โอกาสสงั กัดสำนักงานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร การดำเนินงานโรงเรยี นสง่ เสริมสุขภาพ ̅X S.D. ระดับ ลำดบั 1. ดา้ นกระบวนการ 4.16 0.53 มาก 2 2. ด้านการส่งเสรมิ สุขภาพและสงิ่ แวดล้อม 4.18 0.42 มาก 1 รวม 4.17 0.45 มาก จากตารางท่ี 2 พบวา่ ระดบั การดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศกึ ษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅X = 4.17) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้าน การส่งเสริมสขุ ภาพและสิง่ แวดลอ้ ม มีคา่ เฉลย่ี สูงท่สี ดุ (X̅ = 4.18) ส่วน ดา้ นกระบวนการ มีค่าเฉลย่ี ตำ่ ที่สดุ (̅X = 4.16) 3. การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนระดับการรับรู้ในบริการที่ส่งผลต่อการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพใน โรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกดั สำนกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร ปรากฏดงั ตารางที่ 4 ดังนี้ หนา้ 23

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ คร้ังท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปล่ยี นผา่ นส่ปู กติวิถใี หม่” 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ตารางท่ี 3 ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหคุ ณู แบบขั้นตอนระดบั การรับรู้ในบริการท่สี ่งผลต่อการดำเนินงานโรงเรียน สง่ เสรมิ สขุ ภาพในโรงเรียนมธั ยมขยายโอกาสสงั กัดสำนักงานเขตพืน้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสมุทรสาคร รูปแบบ ตัวแปรทำนาย R R2 R2adj R2change SE est. F P 1. X5 .641 .410 .409 .410 .347 238.765** .000 2. X5, X3 .707 .500 .497 .090 .320 171.039** .000 3. X5, X3 , X4 .726 .528 .524 .028 .311 127.013** .000 4. X5, X3 , X4, X1 .738 .544 .539 .016 .306 101.489** .001 จากตารางที่ 3 พบว่าผลการวิเคราะหก์ ารถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน พบว่า การรับรู้ในบริการในโรงเรียนมัธยม ขยายโอกาสสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ได้แก่ ความเห็นอกเห็นใจ (X5) การตอบสนองต่อ ผู้รับบรกิ าร (X3) การใหค้ วามมนั่ ใจ (X4) และ ความเปน็ รปู ธรรม (X1) เป็นตวั แปรท่ไี ด้รับเลอื กเขา้ สมการถดถอย และสามารถ อภิปรายความผันแปรของระดับการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร (Ytot) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) เท่ากับ .738 มีค่าสัมประสิทธิ์การ พยากรณ์ (R2) เท่ากับ .544 มีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ปรับปรุง (R2adj) เท่ากับ .539 ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน (SEest.) เท่ากับ .306ซึ่งแสดงว่า สามารถพยากรณ์ระดับการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาส สงั กดั สำนักงานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร ไดร้ อ้ ยละ 53.90 สรปุ ผลการวจิ ัย การวิจัยเรื่อง การรับรู้ในการบริการที่ส่งผลต่อการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนมัธยมขยาย โอกาส สงั กดั สำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาสมทุ รสาคร สามารถสรุปผลตามวตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั ได้ ดงั นี้ 1. พบว่า การรับรู้ในบริการของโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรสาคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า การให้ความมั่นใจ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคอื ความไว้ใจและน่าเชอ่ื ถือ ส่วนความเปน็ รูปธรรม มคี า่ เฉล่ียต่ำที่สุด 2. พบวา่ การดำเนินงานโรงเรียนส่งเสรมิ สุขภาพในโรงเรียนมธั ยมขยายโอกาสสงั กัดสำนกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษา ประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากและเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านการส่งเสริมสุขภาพและ ส่งิ แวดลอ้ ม มีคา่ เฉลีย่ สงู ทีส่ ุด สว่ น ด้านกระบวนการ มีคา่ เฉลี่ยตำ่ ท่ีสดุ 3. พบว่า การรับรู้ในบริการในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรสาคร ได้แก่ ความเห็นอกเห็นใจ การตอบสนองต่อผู้รับบริการ การให้ความมั่นใจ และ ความเป็นรูปธรรม เป็นตัว แปรทไี่ ด้รับเลือกเขา้ สมการถดถอย และสามารถอภิปรายความผนั แปรของระดับการดำเนินงานโรงเรยี นส่งเสริมสุขภาพใน โรงเรียนมธั ยมขยายโอกาสสังกัดสำนักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ไดร้ ้อยละ 53.90 อภิปรายผล 1. การรับรู้ในบริการของโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเม่ือพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า การให้ความมั่นใจ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือ ความไว้ใจและ นา่ เชือ่ ถอื สว่ นความเปน็ รปู ธรรม มคี า่ เฉลย่ี ต่ำท่สี ดุ ท่ีเปน็ เชน่ นี้ อาจเนื่องมาจากผบู้ ริหารสถานศึกษา มีกระบวนการ บริหารจัดการ กิจกรรมโครงการโรงเรยี นสง่ เสรมิ สขุ ภาพที่เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดแกน่ กั เรียนได้รับบรกิ ารด้านโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพจาก ครพู ยาบาลและเจา้ หน้าทจ่ี ากภายในและภายนอกสถานศึกษาดว้ ยความเอาใจใสซ่ ึง่ ผลการวิจัยนสี้ อดคล้องกบั งานวจิ ัยของวนิดา พุ่ม หนา้ 24

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ คร้ังท่ี 5 “นวตั กรรมการจัดการศกึ ษาเพอ่ื การเปล่ยี นผา่ นสู่ปกตวิ ถิ ีใหม”่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) อยู่ (2544: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง การบริหารงานอนามัยโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมวิชาสามัญศึกษา กรุงเทพมหานคร ซ่ึง พบว่า โดยภาพรวมอยูใ่ นระดบั มากซึ่งโรงเรียนมัธยมศึกษามีการดำเนนิ งานครบ 3 ด้าน โดยความร่วมมือกับศูนยบ์ ริการสาธารณสุข ได้แก่ ด้านการจัดสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมอยู่ในการดูแลของหัวหน้างานอาคารสถานที่รับผิดชอบน้ำดื่มน้ำใช้ห้องน้ำ ห้องส้วม และ ระบบกำจัดน้ำเสีย ด้านบริการสุขภาพอยู่ในการดูแลของหัวหน้างานอนามัยโรงเรียนรับผิดชอบการตรวจสุขภาพ การให้ภูมิคุ้มกนั และการปฐมพยาบาลและด้านการให้ สุขศึกษาอยู่ในการดูแลของหัวหน้าหมวดพลานามัยรับผิดชอบการให้ความรู้และการเผยแพร่ ด้านสุขอนามัยสอดคล้องกับงานวิจัยของ Burstrom (1982: 39-46) ได้ทำการศึกษาเรื่อง การส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียน : นโยบาย และการปฏบิ ตั ิในชนบทของกรงุ สตอ็ กโฮมโดยการสำรวจสถานศึกษาทอ้ งถิ่น 15 แห่ง จากจานวนท้งั หมดทม่ี ีอยู่ 213 แหง่ พบว่าการ ที่สถานศึกษามีโครงการ/แผนงานสุขภาพเช่นนี้ย่อมเป็นการบ่งชี้ถึงความสนใจ หรือการตัดสินใจที่จะทำให้นโยบายด้านสุขภาพ อนามัยบรรลผุ ลในโรงเรยี นทอ้ งถนิ่ ได้ 2. พบว่า การดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศกึ ษาสมุทรสาคร โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มากและเมอื่ พจิ ารณาเปน็ รายด้านพบว่าด้านการสง่ เสริมสุขภาพและสง่ิ แวดลอ้ ม มี คา่ เฉลี่ยสงู ทส่ี ดุ ส่วน ด้านกระบวนการ มีคา่ เฉลย่ี ตำ่ ท่สี ดุ ทเ่ี ปน็ เช่นนี้ อาจเนือ่ งมาจากโรงเรยี นส่งเสริมสขุ ภาพ มีแนวคดิ ท่กี วา้ งขวาง และครอบคลุมทุกมิติของสุขภาพ การดำเนินงานอนามัยโรงเรียนเน้นการพัฒนาทุกมิติของสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยสร้าง กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของทุกคนทั้งในโรงเรียนและชุมชน อาศัยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยมีผู้บริหาร โรงเรียน ครู นักเรียน และชุมชน เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนนิ งานให้บรรลุผลสำเร็จซึ่งสมศักดิ์ อัมพรต (2558 : 15) ได้กล่าววา่ ความจำเป็นของการดำเนนิ งานโรงเรยี นส่งเสรมิ สุขภาพ ไว้ว่าการจัดโครงการสุขภาพในโรงเรียนหรืองานอนามยั โรงเรียน นั้นมีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะต้องดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อให้นักเรียนและบุคลากรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมี สุขภาพและพลานามัยท่ีแข็งแรงสมบูรณ์รวมทั้งเพื่อให้มีสุขนิสัยที่ดีในการที่จะสร้างเสริมสุขภาพอนามัยของตนเอง ของครอบครวั และของชุมชนและเป็นประชากรที่มีคณุ ภาพในอันที่จะช่วยพฒั นาประเทศชาตใิ หเ้ จริญก้าวหน้ามากยง่ิ ขึ้นสอดคลอ้ งกบั งานวิจัยของ จงใจ จึงตระกูล (2550: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง การประเมินโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศกึ ษา นครศรีธรรมราช เขต 1 ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพการดำเนนิ งานโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพของโรงเรยี นใน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา นครศรีธรรมราช เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ ระดับมากทุกด้าน 2) กระบวนการดำเนินโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพของโรงเรียนใน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา นครศรธี รรมราช เขต 1 โดยภาพรวมอยูใ่ นระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .01 3. พบวา่ การรบั รใู้ นบริการในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสงั กดั สำนกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร ได้แก่ ความเห็นอกเห็นใจ การตอบสนองต่อผู้รับบริการ การให้ความมั่นใจ และ ความเป็นรูปธรรม เป็นตัวแปรที่ได้รับเลือกเข้าสมการ ถดถอย และสามารถอภิปรายความผันแปรของระดับการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ได้ร้อยละ 53.90 ทั้งที่เป็นเช่นนี้ อาจเนื่องมาจากบริบทของสังคมส่วนใหญ่ รับรู้และตระหนักถึงประโยชน์และความสำคัญต่อการส่งเสริมสุขภาพในกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กและเยาวชน เพราะเป็นการสร้าง รากฐานของสงั คมทีแ่ ข็งแรง โดยมวี ัตถปุ ระสงค์ทีจ่ ะใหเ้ ดก็ และเยาวชนเหล่านั้นเปน็ กลมุ่ สมาชกิ ของสังคมทีเ่ จริญเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ ที่มีความคิดในการพัฒนาสุขภาพตนเอง ชุมชน และประเทศชาติ โรงเรียนเป็นสถาบันทางสังคมพื้นฐานสถาบันหนึ่งมีหน้าที่พัฒนา คนเพื่อช่วยให้คนมีศักยภาพและสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขเนื่องจากโรงเรียนเป็นแหล่งรวมของศาสตร์สาขาต่างๆ เป็นแหล่งผลิตและเลือกสรรใหช้ ุมชนตามความตองการของชุมชน รวมทั้งเป็นทีร่ วมของเด็กในชมุ ชน โรงเรยี นจึงเป็นศนู ย์กลางการ พฒั นาคนในทุกๆ ดา้ นแนวคดิ ใหม่ในการพัฒนาสขุ ภาพเดก็ ควบคไู่ ปกบการศึกษาจงึ เกดิ ขนึ้ โดยมุ่งหวงั ทีจ่ ะใหโ้ รงเรียนเป็นจุดเริม่ ตน หนา้ 25

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ คร้งั ที่ 5 “นวตั กรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปล่ยี นผา่ นสูป่ กติวิถใี หม่” 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ของการปลกู ฝงั พฤติกรรมสขุ ภาพทถ่ี ูกต้องใหเ้ ด็กและใหโ้ รงเรียนเปน็ ศนู ยก์ ลางของการปรบั เปลีย่ นพฤตกิ รรมท่ีเหมาะสมและพัฒนา สุขภาพที่ดีให้กับผู้ปกครองและสมาชิกในชุมชนในการรับรู้การบริการของสถานศึกษา จะเห็นว่าการรับรู้การบริการภายใน สถานศึกษาจะช่วยสร้างความสามัคคี ช่วยให้ทราบถึงความต้องการของบุคคลทั้งหมด และช่วยเพิ่มพูนประสิทธิภาพการทำงานให้ สงู ข้ึนสอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ จงใจ จึงตระกลู (2550: บทคัดยอ่ ) ได้ศกึ ษาเรือ่ ง การประเมนิ โครงการโรงเรยี นส่งเสริมสขุ ภาพ ของ โรงเรยี นในสงั กัดสำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษา นครศรธี รรมราช เขต 1 ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพการดำเนินงานโครงการโรงเรียน ส่งเสริมสุขภาพของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา นครศรีธรรมราช เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเม่ือ พิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ระดับมากทุกด้าน 2) กระบวนการดำเนินโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพของโรงเรียนใน สังกัด สำนักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษา นครศรีธรรมราช เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเปน็ รายดา้ นพบวา่ อยู่ในระดบั มากทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ดังนั้นแสดงให้เห็นว่าการรับรู้ในการบริการจะเป็นการช่วยลดความขัดแย้ง และ การต่อต้าน และช่วยสร้างบรรยากาศในสถานศึกษา และทำให้สุขภาพจิตในสถานศึกษาดีขึ้น ทั้งนี้ยังเป็นการช่วยเพิ่มผลผลิตใน สถานศึกษา เป็นการสร้างหลักประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในสถานศึกษา และยังช่วยลดคา่ ใชจ้ ่ายในการบริหารงาน มีการใช้ทรัพยากร อยา่ งประหยดั และทะนุถนอม รวมทัง้ ทำให้รู้สึกว่าเขาเปน็ ส่วนหนึ่งของสถานศึกษา และช่วยเพิ่มพนู ประสิทธิภาพการทำงานให้ดขี ้ึน ขอ้ เสนอแนะ ในการวจิ ยั ครั้งน้ี ผวู้ จิ ยั ได้นำเสนอข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ ดังนี้ 1.1 ผู้บริหารและครูในสถานศึกษาควรมีมีกระบวนการที่เป็นเป็นรูปธรรมและเขา้ ถึงแนวปฏิบัติของสถานศึกษา เก่ยี วกับกจิ กรรมโครงการโรงเรียนส่งเสรมิ สขุ ภาพในโรงเรยี นได้เหมาะสมและตรงตามความต้องการของนักเรียน 1.2 ผู้บริหารและครูพยาบาลควรมีการการตอบสนองต่อผู้รับบริการให้บริการด้วยความตั้งใจและเอาใจใส่ต่อ นักเรียนมีความพรอ้ มทจ่ี ะให้บริการแก่นกั เรียนใหม้ ากยิง่ ขน้ึ 1.3 ผ้บู ริหารและครูและเจ้าหน้าที่ทกุ ฝา่ ยมคี วามความเห็นอกเหน็ ใจเข้าใจเป็นอย่างดีถึงสงิ่ ทน่ี ักเรียนต้องการรับ บรกิ ารดา้ นสขุ ภาพอนามัย 1.4 ผู้บริหารและครูในสถานศึกษาควรสร้างความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพนักเรียน สามารถตรวจสอบข้อมลู ขา่ วสารของการดำเนนิ งานในการบรหิ ารจดั การโรงเรียนสง่ เสรมิ สุขภาพของสถานศกึ ษา 1.5 ผบู้ รหิ ารและครูควรมีการถ่ายทอดมกี ารถา่ ยทอดนโยบายสูก่ ารปฏบิ ตั โิ ครงการโรงเรียนส่งเสรมิ สขุ ภาพให้กับ นักเรยี นภายในสถานศกึ ษาและสง่ เสริมให้นักเรยี นปฏิบัติตามสขุ บญั ญตั แิ ห่งชาติ ข้อเสนอแนะเพ่ือการวจิ ยั คร้งั ตอ่ ไป 2.1 ควรทำวิจัยเก่ียวกับบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการควบคมุ ดแู ลงานโรงเรียนสง่ เสริมสุขภาพในเขตพื้นที่ มัธยมศกึ ษาทว่ั ประเทศ 2.2 ควรทำวจิ ัยเกย่ี วกบั ปัจจยั ท่สี ง่ ผลต่อกลยทุ ธ์ในการบริหารงานโรงเรียนส่งเสริมสขุ ภาพในเขตพ้นื ทม่ี ัธยมศึกษา ทั่วประเทศ เอกสารอ้างองิ กรมอนามัย. (2558). คู่มือการดำเนินงานโรงเรยี นส่งเสรมิ สุขภาพ. (พมิ พ์คร้งั ที่ 3). สำนกั บริการวชิ าการ: มหาวทิ ยาลัย ศิลปากร กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2550). แนวทางปฏิรปู การศกึ ษาของกระทรวงศึกษาธกิ าร. กรงุ เทพฯ: ท.ี เอส.บี. โปรดกั ส.์ จงใจ จึงตระกูล. (2550). การประเมนิ โครงการโรงเรียนสง่ เสริมสขุ ภาพ สังกดั เขตพืน้ ที่การศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1. วทิ ยานิพนธ์ (การบริหารการศกึ ษา).นครศรีธรรมราช:บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยราชถัฏนครศรีธรรมราช. หนา้ 26

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวตั กรรมการจดั การศกึ ษาเพอื่ การเปลี่ยนผา่ นสปู่ กติวถิ ีใหม”่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) พิสณุ ฟองศร.ี (2554). วิจัยทางการศึกษา. พิมพค์ ร้ังที่ 4.กรุงเทพฯ:บริษัทพอเพอรต้จี ำกดั พิศสมัย อรทัย. (2548). ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทที่หลากหลาย สุขภาวะทางจิตและผลการปฏิบัติงานของ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยของรัฐ. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวิธีวิทยาการวิจัยทางการศึกษา บณั ฑติ วิทยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. วนิดา พมุ่ อยู่. (2544). การเปรียบเทียบสภาพท่เี ป็นจริงและสภาพทคี่ าดหวงั เกี่ยวกับการจัดบรกิ ารสขุ ภาพในโรงเรียน ตามการรับรู้ ของผบู้ รหิ ารในโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา สงั กัดกรมสามัญศกึ ษา กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ.์ ครศุ า สตรมหาบัณฑิต. บณั ฑติ วทิ ยาลัย. จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. สกุณา บุญนรากร. (2555). การสร้างเสริมสุขภาพแบบองค์รวมทุกช่วงวัย. สงขลา : เทมการพิมพ์สมศักดิ์ อัมพรต (2558 : 15) สวุ มิ ล ตริ กานันท.์ (2557). การสรา้ งเคร่ืองมอื วัดตัวแปรในการวิจยั ทางสงั คมศาสตร์ : แนวทางสู่. การปฏิบัติ (พิมพค์ รั้ง ท่2ี ). กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . Burstrom. (1982). Proposed General Guidelines for a Life Skills Curriculum Framework. Johannesburg : Centre for Education Policy Development. Parasuraman, Zeithaml & Berry. (1985). SERVQUAL: A multiple item scale for measuring customer perceptions of service quality. (Report No. 86-108). Cambridge, MA: Marketing Science Institute. หน้า 27

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ ครั้งท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพอ่ื การเปล่ียนผา่ นสู่ปกตวิ ถิ ีใหม่” 27 กุมภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) การพฒั นายสู เซอร์อินเตอรเ์ ฟสเชงิ ปฏิสมั พนั ธต์ ้นแบบเพ่ือการรับรู้และการใช้ประโยชนข์ องผบู้ กพร่อง ทางการเหน็ กรณีศึกษา โรงเรยี นการศกึ ษาคนตาบอดลำปาง The Development of Interactive Prototype User Interface of Awareness and Utilization for the Impaired visualization: A Case Study of Lampang School for the Blind คนงึ นชุ สารอนิ จักร์, สุขมุ าล ต้ัวสกลุ คณะบรหิ ารธรุ กิจและศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง E-mail [email protected], [email protected] บทคดั ย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการและปัญหาการใช้งานยูสเซอร์อินเตอร์เฟส เชิงปฏิสัมพันธ์ของ ผู้บกพร่องทางการเห็น และ 2) สร้างและประเมินความพึงพอใจในการใช้งานยูสเซอร์อินเตอร์เฟส ต้นแบบเชงิ ปฏิสมั พันธ์ของผบู้ กพรอ่ งทางการเห็น กลุ่มตวั อย่างทใี่ ช้ในการวิจยั ครัง้ นี้ ได้แก่ นักเรียนผู้บกพร่องทางการเห็น ของโรงเรยี นการศกึ ษาคนตาบอดลำปางแบบคละช้ันเรยี นและคละระดับการมองเห็น จำนวน 6 คน และครผู ู้สอนโรงเรียน การศึกษาคนตาบอดลำปาง จำนวน 2 คน โดยใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง การดำเนินการวิจัยแบ่งได้เป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาความสามารถในการรับรู้และการใช้ประโยชน์จากสื่อมัลติมีเดียเชิงปฏิสัมพันธ์ที่มีอยู่เดิม โดยสัมภาษณ์แบบเจาะลึกรายบุคคล ในประเด็นการเข้าถึงข้อมูล การออกแบบสัญลักษณ์ต่าง ๆ รูปแบบการโต้ตอบ ระหวา่ งส่ือกับผู้ใชง้ าน รวมถึงการออกแบบการใชง้ าน ขัน้ ตอนที่ 2 นำผลลัพธจ์ ากขัน้ ตอนแรกมาสรา้ งยูสเซอรอ์ ินเตอร์เฟส เชงิ ปฏสิ ัมพันธ์ต้นแบบและทดลองใชก้ บั กลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดิม แล้วประเมนิ ความพงึ พอใจในการใชง้ านยูสเซอรอ์ นิ เตอรเ์ ฟส เชงิ ปฏสิ มั พนั ธ์ต้นแบบ รวมถึงสอบถามความคิดเหน็ เพมิ่ เตมิ ภายหลังการใช้งาน ผลการวิจัยพบว่า ในประเด็นการเข้าถึงขอ้ มลู และประเด็นรปู แบบการโต้ตอบการใช้งาน ผู้บกพร่องทางการเหน็ สามารถเข้าใจทิศทางการเลือ่ นเมนู และสามารถควบคุมการทำงานด้วยปุ่มคีย์บอร์ดโดยใช้ปุม่ ลูกศร (Arrow key) ในการ เลือกทิศทาง และใช้ปุ่ม Enter ในการเลือกเมนูท่ีต้องการ ซึ่งในแต่ละเมนูจะมีเสียงอธิบายประกอบ ทำให้ผู้บกพร่อง ทางการเห็นสามารถเข้าใจและสามารถเลือกใช้งานเมนูต่าง ๆ ได้ถูกต้อง โดยระดับเสียงที่เหมาะสมที่สุด คือ ระหว่าง 51-70 เดซิเบล ในประเด็นการออกแบบหน้าจอ (สำหรับผู้ใช้ที่มีสายตาเลือนรางและสายตาปกติ) ผลการทดสอบอ่าน ตัวอักษรที่กลุ่มตัวอย่างสามารถอ่านออกได้ ในระยะห่างจากจอคอมพิวเตอร์ 50 เซนติเมตร โดยใช้แบบอักษร TH Sarabun New ในการทดสอบ พบว่าชุดตัวอักษรที่กลุ่มตัวอย่างเห็นและสามารถอ่านชุดตัวอย่างได้ดีที่สุด คือ ขนาด ตวั อักษรระหว่าง 201-300 pt และผลการทดสอบความสามารถในการมองเห็นตวั อักษรบนค่าความเข้มต่าง ๆ โดยใชแ้ บบ อักษร Cordia New ขนาดตัวอักษร 300 pt และ แบบอักษรเบรลล์ SOV_braille_only ขนาดตัวอักษร 300 pt พบว่า การมองเหน็ ตัวอกั ษรของกลุ่มตัวอย่างสามารถมองเหน็ ตวั อกั ษรสดี ำบนพ้ืนหลงั สขี าวได้ดีทสี่ ดุ คำสำคญั : ยสู เซอรอ์ ินเตอรเ์ ฟส, ยสู เซอรอ์ นิ เตอรเ์ ฟสเชิงปฏิสมั พนั ธ์, คนตาบอด, บกพรอ่ งทางการเหน็ หน้า 28

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอ่ื การเปล่ียนผา่ นสูป่ กตวิ ถิ ีใหม่” 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ABSTRACT This research aimed to 1) study the needs and problems of the user interactive user interface of the visually impaired and 2) establish and assess the satisfaction of the interactive prototype user interface of the visual impairment. The sampling, 6 students and 2 teachers of Lampang School for the Blind. The research was divided into two steps: step 1 studied the cognitive ability and utilization of existing interactive multimedia. By conducting in-depth interviews with individuals on information access issues design of various symbols, forms of interaction between media and users, and a usable design. Step 2 brings the results from the first step to create an interactive prototype user interface and experiment with the same sample group. And then assessed the satisfaction of using the interactive prototype user interface. And ask for more opinions after using it. The results of the research on data access and interaction patterns issues showed that people with visual impairments could understand the direction of menu scrolling. And can be operated with the keyboard keys, using the arrow keys to select the direction and use the Enter key to select the desired menu. In which each menu will have an accompanying sound Making the visually impaired ability to understand and select the correct buttons. The sound level is the most suitable between 51- 70 decibels. On- screen design issues ( For users with low vision and normal vision) , the results of the test read the characters that the sample group can read. At a distance of 50 centimeters from the computer screen using TH Sarabun New fonts. In the test, it was found that the font set that the sample group saw and read the sample set the best was the font size between 201- 300 pt. And the test results for the ability to see the characters on different intensity values using the font: Cordia New, 300 pt font size and Braille fonts: SOV_braille_only 300 pt font size. It was found sample group was able to see the black text on a white background the best. KEYWORDS:User Interface, Interactive User Interface, Blind, Visual Impairment บทนำ โรงเรียนการศึกษาคนตาบอดลำปาง สังกัดคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ภายใต้การกำกับดูแลของมูลนิธิ พิทักษ์ดวงตา ได้จัดการศึกษาให้กับผู้บกพร่องทางการเห็น ซึ่งมีนักเรียนที่มีความแตกต่างกันทางด้านร่างกายและ สติปัญญา การจัดศึกษาจึงต้องอาศัยการเรียนการสอน และสื่อการสอนที่เหมาะสมในการเรียนรู้ และกระตุ้น พฒั นาการทเี่ หลืออย่ขู องผู้เรียน ซ่งึ สอดคล้องกบั ข้อเสนอแนะภายหลงั สง่ มอบโครงการ “หนงั สอื เสียง เตมิ จนิ ตนาการ สร้างสรรคก์ ารเรยี นรสู้ นู่ ้อง” ในปี 2559 (ภายใตก้ ารสนบั สนุนของโครงการกระทงิ แดง U-Project ปี 2) (เก๊าซอมพอ, 2559) โครงการดังกลา่ วไดร้ บั รางวัลชนะเลิศ สาขาการศึกษา โครงการกระทงิ แดงยโู ปรเจค ปี 2 โครงการดังกลา่ วเป็น การสร้างหนังสือนิทานภาพประกอบนูนต่ำ ประกอบนิทานเสียงสำหรับนักเรียนผู้บกพร่องทางการเห็นโรงเรียน การศึกษาคนตาบอดลำปาง โดยมีการเผยแพร่ให้กับโรงเรียนสอนคนตาบอดสันติจินตนา จังหวัดแพร่ และโรงเรียน หน้า 29

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอ่ื การเปล่ยี นผา่ นสู่ปกติวถิ ใี หม่” 27 กุมภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) สอนคนตาบอดภาคเหนือในพระราชูปถัมภ์ จังหวัดเชียงใหม่ จากโครงการดังกล่าวทีมวิจัยพบปัญหาจากการดำเนิน โครงการคือ หนังสือนิทานภาพประกอบนูนต่ำและนิทานเสียงมีการแยกจากกันทำให้บางครั้งการใช้งานเสียงและ ภาพประกอบไม่สอดคล้องกัน จงึ ไดร้ บั ข้อเสนอแนะจากครูผ้สู อนในโรงเรยี นใหท้ ำสอื่ ประเภทนทิ านแอนิเมชนั ประกอบ เสียงเพือ่ กระต้นุ การมองเห็นสำหรบั ผูบ้ กพร่องทางการเห็นแบบเลือนราง ภายหลังจากการได้รบั ข้อเสนอแนะดังกล่าว ผู้วิจัยจึงได้ทำวิจัยเรื่อง “การพัฒนานิทานแอนิเมชัน 2 มิติ สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นแบบเลือนราง กรณีศึกษา โรงเรียนการศึกษาคนตาบอดลำปาง” ขึ้น (คนึงนุช สารอินจักร์ และคณะ, 2561) ซึ่งข้อเสนอแนะจาก งานวิจัยดังกล่าวกล่าวว่าควรมีการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนิทานแอนิเมชันกับผู้บกพร่องทางการเห็นในระหว่างแสดง นิทาน เพิ่มส่วนการควบคุมการเล่นเสียง หยุดเล่น การฟังซ้ำด้วยคียบ์ อร์ด เนื่องจากผู้บกพร่องทางการเห็นแบบเลือน รางมีความบกพร่องทางการได้ยินร่วมด้วย และควรมีการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เชิงปฏิสัมพันธ์ เพื่อใช้เสริมสร้าง พัฒนาการของผู้บกพร่องทางการเห็นร่วมกับการเรียนการสอน ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอแนะงานวิจัยเรื่อง “แ นว ทางการพัฒนาคอมพิวเตอรช์ ่วยสอนสำหรับผู้บกพร่องทางการเห็น กรณีศึกษา โรงเรียนการศึกษาคนตาบอดลำปาง” (คนึงนุช สารอินจักร์ และสุขุมาล ตั้วสกุล, 2559) ที่ได้กล่าวถึงแนวทางการออกแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสำหรับผู้ บกพร่องทางการเห็นว่าควรให้สามารถควบคุมการใช้งานโดยปุ่ มลูกศรร่วมกับโปรแกรมการออกเสียงบนหน้าจอ เนอื่ งจากผบู้ กพรอ่ งทางการเหน็ ไมส่ ามารถใช้เมาสใ์ นการควบคมุ ตัวช้ี (Pointer) ในการมปี ฏิสัมพนั ธ์กับคอมพวิ เตอร์ได้ จากขอ้ เสนอแนะดงั กลา่ วทมี วจิ ัยจงึ ไดท้ ำงานวิจัยเร่อื ง การพัฒนายูสเซอรอ์ นิ เตอรเ์ ฟสเชงิ ปฏิสัมพันธ์ต้นแบบ เพื่อการรับรู้และการใช้ประโยชน์ของผู้บกพร่องทางการเห็น กรณีศึกษาโรงเรียนศึกษาคนตาบอดลำปาง เพื่อศึกษา ความต้องการและปัญหาการใช้งานยูสเซอร์อินเตอร์เฟสเชิงปฏิสัมพันธ์ของผู้บกพร่องทางการเห็น สร้างและประเมนิ ความพึงพอใจในการใช้งานยูสเซอร์อินเตอร์เฟสต้นแบบเชิงปฏิสัมพันธ์ของผู้บกพร่องทางการเห็น เพื่อให้สามารถนำ ผลการศกึ ษาไปต่อยอดในการสร้างสือ่ มลั ติมีเดยี เชงิ ปฏิสมั พนั ธส์ ำหรับผู้บกพร่องทางการเหน็ ตอ่ ไป คำจำกดั ความ 1. ยสู เซอร์อนิ เตอร์เฟส (User Interface) ในการวิจัยในครัง้ นี้ หมายถงึ การออกแบบส่วนติดตอ่ ระหว่างผ้ใู ช้ กบั ระบบเพือ่ การเตรียมสารสนเทศ และการนำสารสนเทศนนั้ ไปใช้ด้วยการโต้ตอบกับคอมพวิ เตอร์ 2. ผู้บกพร่องทางการเห็น หมายถึง ผู้ที่มีสายตาพิการจนไม่สามารถรับการศึกษาโดยใช้การเห็นหรือใช้ สายตาได้ตามปกติ แต่สามารถศึกษาเล่าเรียนได้โดยใช้วิธีการพิเศษต่างไปจากคนปกติ ซึ่งแบ่งแยกบุคคลประเภทน้ี ออกเปน็ 2 ประเภท คอื 1) คนพิการทางการมองเห็น หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็นมากจนไม่สามารถจะอ่าน เขียน หนังสือธรรมดาได้ ต้องสอนให้อ่านและเขียนอักษรเบรลล์ หรือใช้วิธีการฟังเทป หรือเครื่องบันทึกเสียง ต่าง ๆ และมี การเห็นของตาขา้ งทดี่ ีหลงั จากท่รี บั การแกไ้ ขแลว้ นอ้ ยกวา่ 6/60 (หรือ 20/200 ฟตุ ) ลานสายตาจะแคบกวา่ 20 องศา 2) คนพิการทางการมองเห็นบางส่วนหรือเห็นเลือนราง หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็น แต่ยัง สามารถอ่านอักษรตัวพมิ พท์ ม่ี ขี นาดใหญไ่ ด้ หรอื ตอ้ งใชแ้ วน่ ขยาย หรอื อุปกรณพ์ ิเศษบางอยา่ งทท่ี ําใหค้ วามชัดเจนของ การมองเหน็ ในตาข้างทีด่ ี เมื่อแกไ้ ขแล้วอยรู่ ะดบั 6/18 (หรอื 20/60 ฟุต) ถึง 6/60 (หรือ 20/200 ฟตุ ) ลานสายตาจะ แคบกวา่ 30 องศา จากความหมายขา้ งต้น การศกึ ษาครัง้ นจี้ งึ ใชค้ ำวา่ ผู้บกพรอ่ งทางการเหน็ เพ่อื หมายรวมถึงคนพิการทางการ มองเหน็ และคนพิการทางการมองเหน็ บางสว่ นหรือเห็นเลือนราง หน้า 30

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ ครั้งที่ 5 “นวัตกรรมการจดั การศึกษาเพอื่ การเปล่ยี นผา่ นสปู่ กติวิถใี หม่” 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) วธิ ีดำเนนิ การวจิ ัย การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา คือ 1) ศึกษาความต้องการและปัญหาการใช้งานยูสเซอร์ อินเตอร์เฟสเชิงปฏิสัมพันธ์ของผู้บกพร่องทางการเห็น และ 2) สร้างและประเมินความพึงพอใจในการใช้งานยสู เซอร์ อนิ เตอรเ์ ฟสตน้ แบบเชงิ ปฏิสมั พันธข์ องผ้บู กพร่องทางการเห็น ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง ประชากรในการศกึ ษาในครง้ั นีแ้ บง่ เป็น 2 กล่มุ ได้แก่ 1) ครผู สู้ อนของโรงเรยี นการศกึ ษาคนตาบอดลำปาง จำนวน 5 คน 2) นกั เรียนของโรงเรียนการศกึ ษาคนตาบอดลำปาง จำนวน 24 คน กลมุ่ ตัวอย่างทใ่ี ช้ในการวิจยั ครงั้ นี้ แบง่ เปน็ 2 กลมุ่ ได้แก่ 1) นักเรียนผู้บกพร่องทางการเห็นของโรงเรียนการศึกษาคนตาบอดลำปาง แบบคละชัน้ เรยี นและคละระดับ การมองเห็น (สายตาเลือนราง และตาบอด) จากนักเรียนชั้น ป.1 – ป.6 จำนวน 6 คน ใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ เจาะจง โดยเลอื กจากผทู้ ่ไี ม่มีความพกิ ารซ้ำซ้อน และสามารถใช้เคร่อื งมือและอปุ กรณด์ ้วยตนเองได้ 2) ครูผู้สอนโรงเรียนการศึกษาคนตาบอดจำนวน 2 คน ใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยเลือกจาก ครผู ูส้ อนท่ีเปน็ ผบู้ กพรอ่ งทางการเห็น 1 คน และครูทม่ี กี ารมองเหน็ ปกติ 1 คน การดำเนนิ การวิจยั ในการศึกษาในครัง้ นี้ผู้วิจัยได้แบ่งการดำเนินการวจิ ัยเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาความสามารถใน การรบั ร้แู ละการใชป้ ระโยชน์จากสอื่ มัลติมเี ดยี เชงิ ปฏิสมั พนั ธ์ท่มี อี ย่เู ดมิ โดยสัมภาษณแ์ บบเจาะลกึ รายบคุ คล ภายหลัง การใช้งานสื่อประเภทเสียง ภาพ ในประเด็นการเข้าถึงข้อมูล การออกแบบสัญลักษณ์ต่าง ๆ รูปแบบการโต้ตอบ ระหว่างสื่อกับผู้ใช้งาน รวมถึงความต้องการในการใช้งาน ขั้นตอนที่ 2 นำผลลัพธ์จากข้ันตอนแรกมาสร้างยูสเซอร์ อินเตอรเ์ ฟสเชิงปฏสิ ัมพันธ์ตน้ แบบ และทดลองใช้กับกลมุ่ ตัวอย่างกลมุ่ เดิม โดยประเมินความพงึ พอใจในการใช้งานยูส เซอร์อนิ เตอร์เฟสเชงิ ปฏสิ มั พันธ์ รวมถงึ ความคิดเหน็ เพมิ่ เตมิ ภายหลังการใช้งาน การวิเคราะห์ขอ้ มูล การวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งนี้ ขั้นตอนที่ 1 ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยนำผลการสัมภาษณ์แบบ เจาะลึกรายบคุ คลมาสรปุ เปน็ ประเดน็ ในการใช้งานสือ่ แตล่ ะประเภท ความตอ้ งการใช้งาน หลกั เกณฑ์ในการแก้ปัญหา และแนวทางในการออกแบบ ขั้นตอนที่ 2 นำผลจากขั้นตอนที่ 1 มาเป็นแนวทางในการสรา้ งยูสเซอร์อินเตอร์เฟสเชิง ปฏิสัมพันธ์ต้นแบบร่วมกับแนวทางการออกแบบเว็บไซต์ที่เรียกว่า WCAG ย่อมาจาก Web Content Accessibility Guidelines ใน เวอร์ชัน 2.0 (สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, 2553) และประเมิน ความพงึ พอใจในการใชง้ านยูสเซอร์อนิ เตอร์เฟสเชิงปฏสิ มั พนั ธ์ต้นแบบ โดยสถิติทใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อย ละ คา่ เฉล่ยี ของประชากร ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาความสามารถในการรับรู้และการใช้ประโยชน์จากสื่อมัลติมีเดียเชิงปฏิสัมพันธ์ที่มีอยู่เดิม โดยสัมภาษณ์แบบเจาะลึกรายบุคคล ภายหลังการใช้งานสื่อประเภทเสียง และภาพ ในประเด็นการเข้าถึงข้อมูล การ ออกแบบสัญลักษณ์ต่าง ๆ รูปแบบการโต้ตอบระหวา่ งสื่อกับผู้ใชง้ าน รวมถึงความตอ้ งการในการใชง้ าน โดยวิเคราะห์ หน้า 31

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ คร้งั ที่ 5 “นวตั กรรมการจดั การศกึ ษาเพอื่ การเปลีย่ นผา่ นสปู่ กตวิ ถิ ใี หม่” 27 กุมภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ร่วมกับแนวทางการออกแบบเว็บไซต์ที่เรียกว่า WCAG (Web Content Accessibility Guidelines) ในเวอร์ชัน 2.0 ซึ่งเป็นมาตรฐานการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์เพื่อให้ทุกคนที่ออนไลน์สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้อย่างเท่าเทียมกัน โดย guideline ตา่ ง ๆ ถกู ร่างขน้ึ โดย W3C เป็นองค์กรท่กี ำหนดมาตรฐานต่าง ๆ เกย่ี วกบั เทคโนโลยขี องเวบ็ ไซต์ ได้ผล การวิเคราะห์ ดงั ตารางท่ี 1 และ ตารางท่ี 2 ตารางท่ี 1 แนวทางการออกแบบยูสเซอร์อนิ เตอรเ์ ฟสต้นแบบสำหรับส่ือประเภทเสยี ง ปัญหาในการใช้งาน ความตอ้ งการของผ้ใู ช้ หลักการออกแบบ การออกแบบ (WCAG2.0) ผู้ใช้มีความสามารถรับรู้สื่อ ต้องการให้สามารถปรับ หลักการรบั รไู้ ด้ ออกแบบสัญลักษณใ์ หผ้ ู้ใช้ ประเภทเสียงในระดับเสยี ง ระดับเสียงตามการได้ยิน (Perceivable) ผู้ใช้ สามารถปรับระดับเสยี งได้ ทต่ี ่างกนั ได้ เนื่องจากผู้ใช้บางคนมี สามารถรับรเู้ นือ้ หาได้ ตามการได้ยิน หรือมีการ ความบกพร่องทางการได้ กำหนดระดับเสียงก่อน ยนิ รว่ มดว้ ย การใชง้ าน ในสื่อบางประเภทขาดตัว ต้องการให้สามารถหยุด หลักการใช้งาน ออกแบบให้ผู้ใช้สามารถ ควบคุมการเล่นซ้ำ หรือ เล่น ฟังซ้ำ หรือเลื่อนเสียง (Operatable) ควบคุมการหยุด เล่นเสียง การควบคุมการเลอ่ื นเสยี ง ตามความต้องการ ผู้ใช้สามารถเข้าใจเนื้อหา ฟังซ้ำ หรือเลื่อนเสียงตาม แ ล ะ ส ่ ว นค ว บค ุมการ ความต้องการ ด้วยปุ่มบน ทำงานตา่ ง ๆ ได้ คยี ์บอรด์ สื่อประเภทเสียงมีเสียง ต้องการเสียงอธิบายที่ หลกั การรับรูไ้ ด้ ออกแบบสื่อประเภทเสียง และดนตรีประกอบที่มี ชัดเจน สั้น กระชับ ไม่มี (Perceivable) ผู้ใช้ โดยใช้เสียงประกอบระดับ ระดับของเสียงใกล้เคียง เสียงรบกวนมาก สามารถรับรู้เน้ือหาได้ เสียงไม่รบกวนกับเสียง กับเสียงบรรยายทำให้มี บรรยายหลัก มีความ ความยากในการแยกเสียง ชัดเจน ใช้น้ำเสียงที่สั้น กระชบั ตารางที่ 2 แนวทางการออกแบบยูสเซอร์อนิ เตอร์เฟสต้นแบบสำหรบั สอื่ ประเภทภาพ ปญั หาในการใชง้ าน ความต้องการของผู้ใช้ หลักการออกแบบ การออกแบบ (WCAG2.0) ออกแบบใน 2 แนวทาง รูปภาพที่แสดงผลส่วน ต้องการให้มีคำอธิภาพ หลักการเข้าใจได้ ได้แก่ หากใช้รูปภาพควร ฝังคำอธิบายภาพ ใหญ่ไม่มีคำอธิบายภาพ ภาพ หรือเสียงประกอบ (Understandable) ผูใ้ ช้ (Embed) หรือหา ก ใ ช้ รูปภาพเป็นเมนู/แทน (Embed) ทำให้โปรแกรม ภาพ สามารถรบั รู้เน้อื หาได้ ไอคอนควรใส่เสียงเพื่อ อธบิ าย อ่านจอภาพไม่สามารถ หน้า 32 อ่านได้

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ ครัง้ ท่ี 5 “นวัตกรรมการจดั การศึกษาเพอ่ื การเปลีย่ นผา่ นสู่ปกติวถิ ีใหม่” 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ปัญหาในการใช้งาน ความตอ้ งการของผู้ใช้ หลักการออกแบบ การออกแบบ (WCAG2.0) ออกแบบควรเลือกสีให้ รูปภาพที่แสดงบางครั้งมี ต้องการให้ภาพมีขนาด หลกั การการรองรับได้ เหมาะสมเพื่อกระตุ้นการ มองเหน็ และควรใช้ภาพท่ี สีสันที่หลากหลาย และ ใหญ่ ใช้สีทตี่ ดั กนั (Robust) รองรบั มองเหน็ ได้ชัดเจน รายละเอียดมาก/ขนาด เทคโนโลยแี ละอำนวย ภาพ/เส้นขอบภาพน้อย ความสะดวกสำหรับผู้ พกิ าร จากตารางที่ 1 และ 2 พบว่า กลุ่มตัวอย่างสามารถใช้สื่อมัลติมีเดียเชิงปฏิสัมพันธ์ได้ แต่ในการเข้าถึง ส่ือ ประเภทเสียงและภาพเพื่อให้รับรู้และใช้ประโยชนไ์ ด้ตอ้ งอาศัยเครือ่ งมือเช่น เครื่องเล่นเสียงระบบเดซี่ โปรแกรมอ่าน จอภาพร่วมด้วยจึงจะทำให้สามารถรับรู้และเข้าใจเนื้อหา และสามารถควบคุมการทำงานของสื่อได้ แนวทางในการ ออกแบบยูสเซอร์อินเตอร์เฟสเชิงปฏิสัมพันธ์สำหรับผู้บกพร่องทางการเห็น อ้างอิงจากมาตรฐาน WCAG 2.0 (Web Content Accessibility Guidelines) ซึ่งสามารถสรุปแนวทางออกแบบยูสเซอร์อินเตอร์เฟสต้นแบบตามแนวทางที่ เหมาะสมสำหรับการพัฒนาและนำเสนอเนื้อหาและข้อมูลของเว็บมี 4 หลักการ (สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร, 2553) ดงั นี้ 1) สามารถรบั รู้ได้ (Perceivable) ออกแบบส่อื ประเภทเสียง การใช้เสยี งประกอบระดับเสยี งไม่ควรรบกวนเสียง บรรยายหลัก มีความชัดเจน ใช้น้ำเสียงที่สั้น กระชับ และควรออกแบบสัญลักษณ์ให้ผู้ใช้สามารถปรับระดบั เสยี งได้ตามการได้ยิน หรอื มีการกำหนดระดบั เสยี งก่อนการใชง้ าน 2) สามารถใชง้ านได้ (Operable) ออกแบบให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการหยดุ เลน่ เสยี ง ฟังซำ้ หรือเลื่อนเสียงตาม ความตอ้ งการ ด้วยปมุ่ บนคีย์บอรด์ 3) สามารถเข้าใจได้ (Understandable) ออกแบบใน 2 แนวทาง ได้แก่ หากใช้รูปภาพควรฝังคำอธิบายภาพ (Embed) หรือหากใช้รูปภาพเป็นเมนู/แทนไอคอนควรใส่เสียงเพื่ออธิบาย รวมไปถึงลำดับการเลื่อนเมนู ในขณะใช้งาน 4) รองรับได้หลากหลาย (Robust) ออกแบบควรเลือกสีให้เหมาะสมเพื่อกระตุ้นการมองเห็น และควรใช้ภาพท่ี มองเห็นได้ชดั เจน ทง้ั 4 หลกั การที่กล่าวมาเปรียบเสมือนกบั การสร้างมาตรฐานในการพฒั นาเวบ็ ไซต์เพอ่ื ให้เกิดความเสมอภาค เท่าเทียมกันในทุก ๆ ส่วนบนหน้าจอที่แสดงผลผ่านเว็บไซต์ และสอดคล้องกับแนวทางในการเข้าถึงการมีปฏสิ ัมพันธ์ (Interaction) ในการพัฒนาเอกสารที่เปิดให้ผู้พิการเข้าถึงและมีปฏิสัมพันธ์ออนไลน์ (สำนักงานคณะกรรมการการ อดุ มศึกษา. 2558 : 28-29) มขี ้อสังเกตดังนี้ 1) ตรวจสอบใหแ้ นใ่ จว่ากจิ กรรมทุกกจิ กรรมสามารถที่จะใช้งานผา่ นแปน้ พิมพ์ได้ 2) แสดงคำอธิบายท่ผี ้บู กพร่องทางการเหน็ และผูบ้ กพรอ่ งทางการไดย้ ินสามารถเข้าถงึ ได้ 3) เปดิ โอกสาใหผ้ ู้พกิ ารสามารถทจ่ี ะปรับเปลีย่ นระยะเวลาในการมีปฏิสัมพนั ธ์ตามความจำเปน็ เฉพาะบุคคลได้ 4) เปิดช่องทางให้ผพู้ กิ ารสามารถเขา้ ถงึ เปา้ หมายทีม่ ีมากกวา่ หนง่ึ ซง่ึ แสดงในเวลาเดยี วกนั โดยแยกกระทำได้ ทีละรายการตามความตอ้ งการของตน หน้า 33

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ ครั้งท่ี 5 “นวตั กรรมการจัดการศึกษาเพอ่ื การเปล่ียนผา่ นสปู่ กตวิ ถิ ีใหม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) 5) จัดให้มีการแสดงรปู แบบการนำเสนอทีเ่ รียบง่าย หากมีการตกแตง่ พ้นื หลังท่ซี ับซ้อน ในขั้นตอนที่ 2 ผู้วิจัยได้นำผลลัพธ์จากขั้นตอนที่ 1 มาออกแบบมาสร้างยูสเซอร์อินเตอร์เฟสเชิงปฏิสัมพันธ์ ต้นแบบ ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บกพร่องทางการเห็น และสอดคล้องกับแนวทางทางการจัดทำเนื้อหา เว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้สำหรับประเทศไทยในปี 2553 TWCAG 2010 (Thai Web Content Accessibility Guidelines 2010) และทดลองใชก้ บั กลมุ่ ตัวอย่างกล่มุ เดิม ภาพท่ี 1 : ภาพปุ่มลกู ศรบนคยี บ์ อรด์ เพื่อใช้ควบคุมทิศทางในการใช้งานยสู เซอรอ์ นิ เตอร์เฟสเชงิ ปฏสิ ัมพนั ธ์ตน้ แบบ ภาพที่ 2 : ภาพการวางเมนใู นยสู เซอรอ์ ินเตอร์เฟสเชงิ ปฏสิ มั พนั ธต์ ้นแบบ ในการการออกแบบหน้าจอ (สำหรับผู้ใช้ที่มีสายตาเลือนรางและสายตาปกติ) ในการทดสอบใช้แบบอักษร TH Sarabun New ในการทดสอบ ในระยะการมองห่างจากจอคอมพิวเตอร์ 50 เซนตเิ มตร ซ่ึง ได้แบ่งขนาดตัวอักษร ออกเป็น 3 ชดุ ดังนี้ 1) ชดุ ท่ี 1 ขนาดตัวอกั ษรระหว่าง 1-100 pt หนา้ 34

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ ครั้งที่ 5 “นวตั กรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปลย่ี นผา่ นสปู่ กตวิ ิถีใหม่” 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ภาพที่ 3 : ภาพตัวอักษรในชุดที่ 1 2) ชดุ ที่ 2 ขนาดตัวอกั ษรระหวา่ ง 101-200 pt ภาพท่ี 4 : ภาพตวั อักษรในชุดที่ 2 3) ชุดที่ 3 ขนาดตวั อักษรระหวา่ ง 201-300 pt หน้า 35

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรร สาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ ครง้ั ท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพอ่ื การเปล่ียนผา่ นสปู่ กตวิ ิถใี หม่” 27 กุมภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) ภาพที่ 5 : ภาพตวั อักษรในชุดที่ 3 ชุดทดสอบความสามารถในการมองเห็นตัวอักษรบนค่าความเข้มต่าง ๆ ใช้แบบอักษร Cordia New ขนาด ตัวอักษร 300 pt และใช้แบบอักษรเบรลล์ SOV_braille_only ขนาดตัวอักษร 300 pt บนพื้นหลัง และสีตัวอักษรท่ี แตกต่างกัน แบ่งเป็น พื้นหลังสีขาวตัวอักษรสีดำ พื้นหลังสีดำตัวอักษรสีขาว พื้นหลังสีขาวตัวอักษรสีน้ำเงิน และพื้น หลังสดี ำตัวอักษรสเี หลือง ดงั ภาพที่ 6 ภาพที่ 6 : ภาพตัวอกั ษรที่มีการกำหนดสแี ละพนื้ หลังตา่ งกัน หลงั จากให้กลุ่มตวั อย่างทดลองใช้งานยูสเซอร์อินเตอรเ์ ฟสเชงิ ปฏิสัมพนั ธ์ตน้ แบบแล้วทำการประเมินความพึง พอใจในการใช้งานยูสเซอร์อินเตอร์เฟสเชิงปฏิสัมพันธ์ต้นแบบตามแบบประเมินโดยการสัมภาษณ์เนื่องจากผู้ตอบ หนา้ 36

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ คร้ังที่ 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอื่ การเปลย่ี นผา่ นสปู่ กติวถิ ใี หม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) แบบสอบถามไมส่ ามารถอ่านแบบประเมินเองได้ รวมถึงสอบถามความคดิ เห็นเพิม่ เติมภายหลังการใชง้ าน และนำแบบ ประเมนิ ที่ไดจ้ ากกลุ่มตวั อยา่ งมาวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจ โดยใชส้ ถิตคิ ่าเฉลี่ยของประชากร และค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานของประชากร ซ่ึงในการวิเคราะหจ์ ะใช้คา่ เฉลี่ยของประชากรเทียบกับเกณฑป์ ระเมนิ ดงั นี้ ค่าเฉลี่ย 4.50 - 5.00 หมายความว่า พึงพอใจมากทส่ี ดุ คา่ เฉลย่ี 3.50 - 4.49 หมายความว่า พงึ พอใจมาก ค่าเฉลย่ี 2.50 - 3.49 หมายความว่า พงึ พอใจปานกลาง คา่ เฉลยี่ 1.50 - 2.49 หมายความวา่ พึงพอใจนอ้ ย ค่าเฉลีย่ 1.00 - 1.49 หมายความว่า พึงพอใจนอ้ ยท่ีสุด โดยสามารถสรปุ ผลการวจิ ยั ได้ ดงั ตารางท่ี 3-5 ตารางท่ี 3 ผลจากการประเมินประสทิ ธภิ าพของยูสเซอร์อินเตอรเ์ ฟสเชงิ ปฏสิ มั พนั ธต์ น้ แบบดา้ นการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ดงั น้ี รายการประเมิน คา่ เฉลยี่ ของ สว่ นเบ่ยี งเบน ระดบั ประชากร () มาตรฐานของ ความพงึ พอใจ ประชากร () 1. การเขา้ ถงึ ขอ้ มูล 1.1 ผู้ใชส้ ามารถเล่อื นไปยังเมนูตา่ ง ๆ ไดง้ า่ ย 4.63 0.48 มากท่ีสุด 1.2 ผใู้ ชส้ ามารถกลับไปยังเมนหู ลกั ไดง้ ่าย 4.50 0.50 มากทส่ี ดุ 1.3 ขณะใชง้ านผูใ้ ชท้ ราบว่าอยูส่ ว่ นใดของระบบ 4.63 0.48 มากทีส่ ุด จากตารางที่ 3 ผลของการหาประสิทธิภาพของยูสเซอร์อินเตอร์เฟสเชิงปฏิสัมพันธ์ต้นแบบด้านการเข้าถึง ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความสามารถเขา้ ถึงขอ้ มูลมคี ่าระดับความพึงพอใจอยูใ่ นระดับมากท่สี ุด โดยที่ผู้ใช้สามารถเลือ่ นไปยงั เมนูต่าง ๆ ได้ง่าย (= 4.63) สามารถกลับไปยังเมนูหลักได้ง่าย (= 4.50) และในขณะ ใชง้ านผูใ้ ชท้ ราบวา่ อย่สู ว่ นใดของระบบ (= 4.63) ตารางที่ 4 ผลจากการประเมนิ ประสทิ ธิภาพของยสู เซอรอ์ ินเตอร์เฟสเชงิ ปฏสิ ัมพันธ์ตน้ แบบดา้ นรูปแบบการโตต้ อบ ในการใชง้ าน ดังนี้ รายการประเมิน คา่ เฉลย่ี ของ สว่ นเบีย่ งเบน ระดับ ประชากร () มาตรฐานของ ความพงึ พอใจ ประชากร () 2. รูปแบบการโตต้ อบในการใชง้ าน 2.1 ผู้ใช้สามารถควบคมุ การเลอื กเมนูต้องการได้งา่ ย 4.88 0.33 มากทส่ี ุด 2.2 ปุม่ ควบคมุ ต่าง ๆ ทำใหส้ ะดวกในการใช้งาน 4.50 0.50 มากทส่ี ุด 2.3 ระดบั เสยี งที่เหมาะสม 2.3.1 ระหว่าง 30 – 50 เดซเิ บล 1.75 0.43 นอ้ ย หน้า 37

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดบั ชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศกึ ษาเพอื่ การเปล่ียนผา่ นสู่ปกตวิ ิถีใหม”่ 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) รายการประเมนิ ค่าเฉลยี่ ของ ส่วนเบย่ี งเบน ระดับ ประชากร () มาตรฐานของ ความพงึ พอใจ 2.3.2 ระหวา่ ง 51 - 70 เดซเิ บล ประชากร () 2.3.3 ระหวา่ ง 71 - 90 เดซิเบล 4.63 มากท่ีสดุ 2.4 เสยี งประกอบปุม่ ทำใหส้ ะดวกในการใชง้ าน 3.75 0.48 มาก 2.5 รูปแบบการเลอื่ นลำดับทำใหส้ ะดวกในการใชง้ าน 4.63 0.83 4.50 0.48 มากทีส่ ุด 0.50 มากที่สดุ จากตารางที่ 4 ผลของการหาประสิทธิภาพของยูสเซอร์อินเตอร์เฟสเชิงปฏิสัมพันธ์ต้นแบบด้านรูปแบบการ โต้ตอบในการใช้งาน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจด้านรูปแบบการโต้ตอบในการใช้งาน ในข้อคำถามที่ว่า ผู้ใช้ สามารถควบคมุ การเลอื กเมนตู ้องการได้งา่ ย (= 4.88) และป่มุ ควบคุมต่าง ๆ ทำให้สะดวกในการใช้งาน ( = 4.50) มีความ พึงพอใจในระดับมากที่สุด ระดับเสียงที่เหมาะสมมากที่สุด คือ ระหว่าง 51 - 70 เดซิเบล ( = 4.63) รองลงมาคือ ระดับเสียงระหว่าง 71-90 เดซิเบล ( = 3.75) และระดับเสียงระหว่าง 30-50 เดซิเบล ( = 1.75) หัวข้อเสียงประกอบปุ่มทำให้สะดวกในการใช้งาน ( = 4.63) และรูปแบบการเลื่อนลำดับทำให้สะดวกในการใช้งาน (= 4.50) มรี ะดับความพึงพอใจในระดบั มากที่สดุ ตารางท่ี 5 ผลจากการประเมินประสิทธภิ าพของยสู เซอร์อนิ เตอรเ์ ฟสเชงิ ปฏิสัมพนั ธต์ น้ แบบดา้ นการออกแบบหนา้ จอ (สำหรับผูใ้ ชท้ ่มี ีสายตาเลอื นรางและสายตาปกต)ิ ดังน้ี รายการประเมนิ คา่ เฉลี่ยของ สว่ นเบ่ยี งเบน ระดับ ประชากร () มาตรฐานของ ความพึงพอใจ ประชากร () 3. การออกแบบหน้าจอ (สำหรับผูใ้ ช้ทม่ี ีสายตาเลือนรางและสายตาปกติ) 3.1 ขนาดตัวอกั ษรทเี่ หมาะสม 3.1.1 ระหว่าง 1 - 100 pt. 2.00 0.00 น้อย 3.1.2 ระหวา่ ง 101 - 200 pt. 3.67 0.47 มาก 3.1.3 ระหว่าง 201 - 300 pt. 5.00 0.00 มากที่สดุ 3.2 สีของพนื้ หลงั ทเี่ หมาะสม 3.2.1 พนื้ หลังสีขาว ตัวอกั ษรสดี ำ 4.67 0.47 มากที่สดุ 3.2.2 พื้นหลงั สดี ำ ตัวอกั ษรสขี าว 4.00 0.82 มาก 3.2.3 พน้ื หลังสขี าว ตวั อักษรสนี ำ้ เงิน 2.33 0.47 นอ้ ย 3.2.4 พืน้ หลงั สดี ำ ตัวอกั ษรสเี หลอื ง 3.00 0.82 ปานกลาง 3.3 คำอธบิ ายเมนมู คี วามชดั เจน เขา้ ใจงา่ ย 4.67 0.47 มากทีส่ ดุ หนา้ 38

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ ครง้ั ที่ 5 “นวตั กรรมการจัดการศกึ ษาเพอื่ การเปลยี่ นผา่ นสูป่ กตวิ ถิ ใี หม่” 27 กุมภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) จากตารางที่ 5 ผลของการหาประสิทธิภาพของยูสเซอร์อินเตอร์เฟสเชิงปฏิสัมพันธ์ต้นแบบด้านรูปแบบการ โตต้ อบในการใชง้ าน พบว่า กลุ่มตวั อย่างมีความพงึ พอใจด้านการออกแบบหนา้ จอ (สำหรับผ้ใู ชท้ มี่ ีสายตาเลือนรางและ สายตาปกติ) พบว่า ขนาดตัวอกั ษรท่ีเหมาะสมในระดบั มากทส่ี ุด คอื ระหวา่ ง 201 - 300 pt (= 5.00) รองลงมาคือ ระหว่าง 101-200 pt ( = 3.67) และระหวา่ ง 1-100 pt ( = 2.00) ตามลำดับ สีของพื้นหลังที่เหมาะสมมากท่สี ุด คือพื้นหลังสีขาว ตัวอักษรสีดำ ( = 4.67) รองลงมา คือ พื้นหลังสีดำ ตัวอักษรสีขาว ( = 4.00) พื้นหลังสีดำ ตัวอักษรสีเหลือง (= 3.00) และพื้นหลังสีขาว ตัวอักษรสีน้ำเงิน ( = 2.33) ตามลำดับ และคำอธิบายเมนูมีความ ชดั เจน เข้าใจง่าย (= 4.67) มีความพึงพอใจในระดบั มากที่สุด ผลจากการสอบถามความเห็นของกลมุ่ ตัวอย่างเพ่มิ เติมเก่ียวกบั ยูสเซอร์อนิ เตอรเ์ ฟสเชงิ ปฏสิ ัมพนั ธ์ตน้ แบบใน ประเดน็ ต่าง ๆ พบว่า - ด้านการเข้าถึงข้อมูล และด้านรูปแบบการโต้ตอบในการใช้งาน กลุ่มตัวอย่างได้ให้ความเห็นว่าโดยรวม การเข้าถึงข้อมูลสามารถทำได้โดยงา่ ย โดยเฉพาะการเรียงลำดับของการเลือ่ นลำดับการเข้าถึงเมนจู ากบนลงล่าง จาก ซ้ายไปขวา และมีการกำหนดให้สามารถควบคุมลำดับการเลื่อนโดยปุ่มลูกศร (Arrow Key) และมีเสียงประกอบที่ส้นั กระชับ เข้าใจง่าย นั้นทำให้ทำให้สามารถทำงานได้ง่าย ผู้ใช้สามารถทราบตำแหน่งการทำงานได้ ในการออกแบบ อนิ เตอร์เฟสในส่อื เชิงปฏิสมั พนั ธอ์ ่ืน ๆ ควรให้เป็นลักษณะน้ที ั้งหมดเพราะสามารถเรียนรแู้ ละใช้งานง่าย - ด้านการออกแบบหน้าจอ (สำหรับผใู้ ช้ที่มสี ายตาเลือนรางและสายตาปกต)ิ กลมุ่ ตัวอย่างได้ให้ความเห็น ว่าโดยรวมการออกแบบหน้าจอมีความเรียบง่าย มีองค์ประกอบต่าง ๆ มีความเหมาะสม โดยขนาดของตัวอักษรมี ขนาดทีส่ ามารถอ่านได้ แต่หากในการออกแบบเนื้อหา และอินเตอร์เฟสในเชิงปฏสิ ัมพนั ธ์อาจจะใชข้ นาดของตวั อักษร ตงั้ แต่ คอื 75 pt และกำหนดพื้นหลงั และตวั อักษรใหม้ ีสที แี่ ตกตา่ งกนั โดยสที ่ีผู้บกพร่องทางการเหน็ ประเภทเลือนลาง สามารถเห็นได้มากที่สดุ คอื สีขาว และสีดำ สรุปผลการวจิ ัย จากผลประเมินความพึงพอใจในการใช้งานยูสเซอร์อินเตอร์เฟสเชิงปฏิสัมพันธ์ต้นแบบ สามารถสรุปผลใน ประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ - ประเด็นการเข้าถึงข้อมูล และประเด็นรูปแบบการโต้ตอบการใช้งาน ผลการทดสอบพบว่า ผู้บกพร่อง ทางการเห็นสามารถเข้าใจทิศทางการเลื่อนเมนู และสามารถควบคุมการทำงานดว้ ยปุ่มคีย์บอร์ดได้ จากบนลงล่าง จากซ้าย ไปขวา โดยใช้ปุ่มลูกศร (Arrow key) ในการเลือกทิศทาง และใช้ปุ่ม Enter ในการเลือกเมนูที่ต้องการ ซึ่งในแต่ละเมนูจะ เสียงอธิบาย โดยระดับเสียงที่เหมาะสมที่สุดคือ 51-70 เดซิเบล รองลงมาคือ 71-90 เดซิเบล และน้อยที่สุดคือ 31-50 เดซิ เบล ประกอบในแตล่ ะเมนทู ำให้ผบู้ กพร่องทางการเหน็ สามารถเข้าใจและสามารถเลือกใชง้ านปุ่มได้ถูกต้อง - ประเด็นการออกแบบหน้าจอ (สำหรับผู้ใช้ที่มีสายตาเลือนรางและสายตาปกติ) ผลการทดสอบอ่าน ตัวอักษร ที่กลุ่มตัวอย่างสามารถอ่านออกได้ ในระยะห่างจากจอคอมพิวเตอร์ 50 เซนติเมตร ซึ่งในการทดสอบใช้ แบบอักษร TH Sarabun New ในการทดสอบ ได้แบ่งขนาดตัวอักษรออกเป็น 3 ชุด คือ ชุดที่ 1 ขนาดตัวอักษร ระหวา่ ง 1-100 pt ชุดท่ี 2 ขนาดตวั อักษรระหวา่ ง 101-200 pt และชดุ ที่ 3 ขนาดตวั อกั ษรระหวา่ ง 201-300 pt หนา้ 39

การประชุมวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ ครั้งท่ี 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอ่ื การเปลี่ยนผา่ นส่ปู กตวิ ถิ ีใหม่” 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) อภปิ รายผล การพัฒนายูสเซอร์อินเตอร์เฟสเชิงปฏิสัมพันธ์ต้นแบบ เพื่อการรับรู้และการใช้ประโยชน์ของผู้บกพร่อง ทางการเห็น กรณีศึกษา โรงเรียนการศึกษาคนตาบอดลำปางในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) ศึกษาความต้องการและ ปัญหาการใช้งานยูสเซอร์อินเตอรเ์ ฟสเชิงปฏิสัมพันธ์ของ ผู้บกพร่องทางการเห็น และ 2) สร้างและประเมินความพึง พอใจในการใช้งานยูสเซอร์อินเตอร์เฟสต้นแบบเชงิ ปฏิสัมพันธ์ของผู้บกพร่องทางการเห็น ซึ่งสามารถสรุปผลการวิจยั ออกเป็น 3 ประเด็น คือ ประเด็นการเข้าถึงข้อมูล และประเด็นรูปแบบการโต้ตอบการใช้งาน พบว่า กลุ่มตัวอย่าง สามารถเข้าใจทิศทางการเลื่อนเมนู และสามารถควบคมุ การทำงานด้วยปุม่ คยี ์บอร์ดได้ จากบนลงล่าง จากซ้ายไปขวา โดยใช้ปุ่มลูกศร (Arrow key) ในการเลือกทิศทาง และใช้ปุ่ม Enter ในการเลือกเมนูที่ต้องการ ซึ่งระดับเสียงที่ เหมาะสมท่ีสุดคือ 51-70 เดซิเบลเพื่อใช้ประกอบในแต่ละเมนูทำให้ผู้บกพร่องทางการเห็นสามารถเข้าใจและสามารถ เลือกใช้งานปุ่มได้ถูกต้อง และมีเสียงประกอบที่สั้น กระชับ เข้าใจง่าย นั้นทำให้ทำให้สามารถทำงานได้ง่าย ผู้ใช้ สามารถทราบตำแหน่งการทำงานได้ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของคนึงนุช สารอินจักร์ และคณะ (2561) ที่กล่าวว่า ระดับเสียงที่เหมาะสมคือ 60 เดซิเบล ส่วนประเด็นด้านการออกแบบหน้าจอ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความสามารถใน การมองเห็นตัวอักษรบนค่าความเข้มต่าง ๆ ทดสอบโดยใช้แบบอักษร Cordia New ขนาดตัวอักษร 300 pt และใช้ แบบอักษรเบรลล์ SOV_braille_only ขนาดตัวอักษร 300 pt พบว่าการมองเห็นตัวอักษรของกลุ่มตัวอย่างสามารถ มองเหน็ ตวั อักษรสีดำบนพืน้ หลังสขี าวได้มากทส่ี ุด รองลงมาคือตัวอักษรสีขาวบนพน้ื หลังสีดำ ตัวอักษรสีเหลืองบนพ้ืน หลังสีดำ และตัวอักษรสีน้ำเงินบนพ้ืนหลังขาวตามลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยขององค์อร วงษาลังการ ( 2554) ท่ี กล่าวว่า ความสามารถในการมองเห็นรูปร่างสีต่าง ๆ บนพื้นหลังสีขาวพบว่ารูปร่างสีที่มองเห็นบนพื้นหลังสีขาวได้ ชดั เจนทีส่ ุดคอื รปู ร่างสดี ํา และงานวจิ ัยของนันทยิ า ยะประดิษฐ (2554). ทีก่ ลา่ วว่า ความสามารถในการมองเหน็ ของผู้ พิการทางสายตาประเภทมองเห็นเลือนราง การมองเห็นตัวอักษรสีดำบนพื้นหลังที่มีค่าความเข้มดำ 0% เทียบเท่าสี ขาวเป็นสีทมี่ องเห็นชดั เจนท่สี ดุ ขอ้ เสนอแนะ การวิจัยในครั้งนี้มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากกลุ่มตัวอย่างในการพัฒนาคือ หากมีการสร้างสื่อมัลติมีเดียเชิง ปฏิสัมพันธส์ ำหรับผู้บกพรอ่ งทางการเหน็ ควรมีการจดั แบ่งเน้ือหาเป็นส่วนยอ่ ย ๆ สามารถให้ผู้ใชส้ ามารถควบคุมการ เข้าถึงดว้ ยตัวเองไดผ้ ่านป่มุ ลกู ศร มีเสียงอธิบายประกอบทส่ี ั้น กระชบั เข้าใจง่าย เอกสารอ้างองิ คนงึ นุช สารอนิ จักร์ และ สขุ ุมาล ตวั้ สกลุ . (2559). แนวทางการพฒั นาคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนสำหรับผบู้ กพร่อง ทางการมองเห็น กรณศี ึกษา โรงเรยี นการศกึ ษาคนตาบอดลำปาง. เอกสารสืบเน่ืองจากการประชมุ การ ประชุมวชิ าการและการนำเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ 2559 เรือ่ ง \"การวิจัยรับใชช้ มุ ชน สร้างสังคม ฐานความร\"ู้ วนั พุธที่ 31 สงิ หาคม 2559 ณ หอ้ งประชมุ เฉลมิ พระเกยี รติ อาคาร 2 ชน้ั 8 และ ช้นั 12 มหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบรุ .ี กรงุ เทพฯ : .มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบุรี คนึงนุช สารอนิ จักร์, สขุ มุ าล ต้ัวสกุล, มณีนชุ แสนขัติ, ภานุวัฒน วิรษั เกษม, เจนจรี ไชยวงศา, นิตยา ภรรยาทอง. (2561). การพัฒนานทิ านแอนิเมชน่ั 2 มติ ิสำหรบั เดก็ ท่มี ีความบกพรอ่ งทางการเห็นแบบเลือนราง กรณีศกึ ษา โรงเรยี นการศกึ ษาคนตาบอดลำปาง. วารสารสืบเน่ือง การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ วทิ ยาลยั หน้า 40

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรร สาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ คร้ังที่ 5 “นวตั กรรมการจัดการศกึ ษาเพอ่ื การเปลยี่ นผา่ นสู่ปกตวิ ิถีใหม”่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) นครราชสมี า ครั้งท่ี 5 ประจำปี พ.ศ. 2561 “วิจัยและพัฒนาสกู ารขับเคลอ่ื นสังคมอยางย่ังยนื ”. วนั เสาร์ ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561 ณ วิทยาลัยนครราชสีมา จังหวัดนครราชสมี า. นครราชสมี า : วิทยาลัย นครราชสมี า. นันทิยา ยะประดิษฐ. (2554). การออกแบบอินเตอรเ์ ฟสเพ่อื ผ้พู กิ ารทางสายตาประเภทมองเหน็ เลือนราง. (วทิ ยานพิ นธ์). นครปฐม : มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. สำนกั งานคณะกรรมการการอดุ มศึกษา. (2558). เอกสารประกอบการอบรม หลักสูตรการพัฒนาศกั ยภาพบคุ ลากร ทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการในระดับอดุ มศกึ ษา เรอ่ื ง การพฒั นาเอกสาร อิเล็กทรอนกิ ส์ที่เข้าถึงและใชป้ ระโยชนไ์ ด้ Building Accessible Web Page. กรงุ เทพฯ : สำนกั งาน คณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา. สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สาร. (2553). แนวทางการพฒั นาเวบ็ ท่ีทกุ คนเขาถึงได้ TWCAG2010 (Thai Web Content Accessibility Guidelines 2010). [Online], สืบค้นเมือ่ 20 ตุลาคม 2560. Available from https://webhelp.swu.ac.th/download.asp? file=download/TWCAG2010.pdf องคอ์ ร วงษาลังการ. (2554). V’8Nd การใช้ตวั อักษรและสัญลกั ษณใ์ นงานออกแบบนเิ ทศศลิ ปเ์ พอื่ รองรับผู้พิการทาง สายตา ประเภทเห็นเลือนราง. Veridian E-Journal,Silpakorn University (Humanities, Social Sciences and arts). 4(1) : 1 – 15. _____. (2551). พระราชบญั ญตั กิ ารจัดการศึกษาสําหรบั คนพิการ พ.ศ. 2551 และอนุบญั ญตั ติ ามพระราชบัญญตั ิ ฯ จำนวน 13 ฉบบั . กรงุ เทพมหานคร : สํานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษา ขน้ั พน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร. หน้า 41

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ ครง้ั ท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศกึ ษาเพอ่ื การเปลีย่ นผา่ นสปู่ กตวิ ิถใี หม”่ 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ความสมั พนั ธร์ ะหว่างภาวะผ้นู ำเชิงกลยทุ ธ์ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษากับการทำงานเป็นทมี ของบุคลากรใน สงั กัด สำนกั งานสง่ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกลมุ่ สมทุ รครี ี The Relationship between Administrators’ Strategic Leadership and Teamworking of Staffs in the Office of Non-formal and Informal Education, Samut Khiri Group ญาณินี พหพุ นั ธ์[1].อไุ รรัตน์ แย้มชุติ[2] หลักสูตรศึกษาศาสตร์มหาบณั ฑติ สาขาวิชาการบรหิ ารการศกึ ษา[1] บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยธนบรุ ี[2] E-mail : [email protected][1], [email protected][2] บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริม การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กลุ่มสมุทรคีรี 2) การทำงานเป็นทีมของบุคลากรสังกัดสำนักงานส่งเสริม การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย กลุ่มสมุทรครี ีและ3) ความสมั พันธ์ระหว่างภาวะผูน้ ำเชงิ กลยทุ ธข์ องผบู้ ริหาร สถานศึกษากับการทำงานเปน็ ทมี ของบุคลากรในสงั กดั สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัย กลุ่ม สมุทรครี ี กลมุ่ ตัวอย่าง คอื บคุ ลากรในสงั กดั สำนกั งานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัย กลุ่มสมุทรคีรี จำนวน 219 คน ไดจ้ ากการสุม่ แบบแบง่ ช้นั ภูมิ เครอื่ งมอื ที่ใช้รวบรวมข้อมลู คือ แบบสอบถาม สถติ ทิ ใี่ ชไ้ ด้แก่ ความถี่ รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธ์สิ หสัมพนั ธแ์ บบเพยี ร์สนั ผลการศึกษา พบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์และการทำงานเป็นทีมของบุคลากรสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษา นอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยกลุ่มสมทุ รครี ีมีค่าเฉลย่ี ภาพรวมอยูใ่ นระดบั มากทสี่ ุด เมื่อพิจารณาในรายละเอยี ดพบวา่ ด้านที่มคี า่ เฉล่ยี สงู สดุ คอื ทักษะการส่ือสาร รองลงมา คือ ด้านความสามารถในการนำปจั จัยเขา้ ตา่ งๆมากำหนดกลยุทธ์ และ ด้านวิธีการคิดเชิงปฏิวัติ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การมีความคาดหวังและการสร้างโอกาสสำหรับอนาคต 2) ผลการ ทำงานเป็นทีมของบคุ ลากรสังกดั สำนกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัย กลุม่ สมทุ รครี ี ภาพรวมอยู่ ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาในรายละเอียดด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง รองลงมา คือ การ ติดต่อส่ือสาร และดา้ นทม่ี คี า่ เฉลีย่ ตำ่ ทีส่ ดุ คอื การมีความคดิ สร้างสรรค์ 3) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผ้บู ริหารสถานศึกษา มีความสัมพันธ์ในทศิ ทางเดยี วกนั ในระดับสงู กับการทำงานเปน็ ทมี ของบคุ ลากรในสงั กัดสำนักงานสง่ เสริมการศึกษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอัธยาศัยกลมุ่ สมทุ รคีรอี ย่างมนี ัยสำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .01 คำสำคัญ : ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ / การทำงานเป็นทีมของบุคลากร / สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอธั ยาศัย / กลุม่ สมุทรครี ี หนา้ 42

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดบั ชาติ คร้ังที่ 5 “นวตั กรรมการจดั การศึกษาเพอ่ื การเปลยี่ นผา่ นสปู่ กตวิ ถิ ใี หม”่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) ABSTRACT The purposes of the current study were to investigate (1) administrators’ strategic leadership in the Office of Non- formal and Informal Education, Samut Khiri group, ( 2) teamworking of staffs in the Office of Non- formal and Informal Education, Samut Khiri group, and ( 3) relationship between strategic leadership of administrators in the Office of Non-formal and Informal Education, Samut Khiri group. A sample group was 219 staffs in the Office of Non-formal and Informal Education, Samut Khiri group recruited by stratified random sampling. Data were collected by a questionnaire, and analyzed by means of frequency, percentage, mean, standard deviation, and Pearson’s Correlation Coefficient. The findings revealed that ( 1) overall averaged administrators’ strategic leadership and teamworking of staffs in the Office of Non- formal and Informal Education, Samut Khiri group was at the highest level. When inspecting at each individual aspect, the highest averaged aspect was communicative skill, followed by gathering multiple inputs to formulate strategies, and revolutionary thought, while the lowest averaged aspect was anticipating and creating the future. ( 2) Overall performance of staffs in the Office of Non- formal and Informal Education, Samut Khiri group was at a highest level. When inspecting at each individual aspect, the highest averaged aspect was continuous development, followed by communication, while the lowest aspect was creativity. ( 3) Administrators’ strategic leadership positively related to teamworking of staffs in the Office of Non-formal and Informal Education at a high level, statistic significantly at a level of .01. KEYWORDS: Strategic leadership/ Staffs’ teamworking/ the Office of Non- formal and Informal Education/ Samut Khiri group หน้า 43

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ ครั้งท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศกึ ษาเพอื่ การเปลี่ยนผา่ นสู่ปกตวิ ถิ ีใหม”่ 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) บทนำ การศึกษามีความสำคัญเนื่องจากเป็นกระบวนการที่ทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนให้ สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขและสามารถเกื้อหนุนการพัฒนาประเทศได้อย่างเหมาะสมในทุกๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาจะต้องเปลี่ยนแปลงบทบาทขององค์กรให้สอดคล้องกั บการเปลี่ยนแปลงสามารถ ตอบสนองความตอ้ งการได้อย่างมปี ระสิทธิภาพและประสิทธิผล การบรหิ ารงานโดยยดึ หลักการทำงานร่วมกันเป็นทีม และการสรา้ งทีมงานให้แข็งแกรง่ การทำงานเปน็ ทมี ทม่ี ปี ระสิทธภิ าพประกอบด้วยการตดิ ต่อสื่อสารระหว่างสมาชิกใน ทีมงานให้มีการรับฟังและเข้าใจซึ่งกันและกันในปญั หาของงานปฏิบัตทิ ี่เกิดขึ้นและสามารถแก้ไขได้ทันทว่ งทีด้วยการ ร่วมมอื ช่วยเหลอื ซง่ึ กันและกนั ในการแก้ไขปัญหาการปฏิบตั ิงาน เพอื่ ใหบ้ รรลผุ ลสำเร็จตามเปา้ หมายของทมี โดยมีการ ประสานงานและวางแผนในการปฏิบัติงานที่เหมาะสมกันในการปฏิบัติงานที่รับผิดชอบของแต่ล ะบุคคลในทีมงาน เพอ่ื ที่จะไดร้ บั ผลสำเรจ็ ตามเปา้ หมายทม่ี ีประสทิ ธิภาพและมคี วามคิดสร้างสรรคใ์ นการสรา้ งนวตั กรรมการทำงานโดยมี สิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้นใหเ้ กิดการคิดใหม่ ๆ ต่อปัญหาที่เกิดขึ้นสู่การนำไปปฏบิ ัตไิ ด้จริง รวมทั้งการพฒั นาปรับปรุงอยา่ ง ต่อเนื่องเพื่อลดระยะเวลาในการทำงานและเป็นการปรับปรุงคุณภาพการออกแบบงานใหม่ที่สร้างสรรค์ให้มีความ เหมาะสมมากขึ้น (โรมมิ่ง (Romig, 1996,p.74) การนำความสามารถของทุกคนมารวมกันจึงทำให้เกิดผลงานมากข้ึน อีกทั้งงานบางอย่างต้องการความคิดริเริ่มสร้างสรรค์จึงต้องการคนมาทำงานด้วยการคิดร่วมกัน งานจึงออกมาสำเร็จ องคก์ รท่ีสามารถสร้างทีมงานใหท้ ำงานรว่ มกันได้องค์กรนนั้ จะเจรญิ ก้าวหนา้ ไปอยา่ งรวดเร็วทีมงานที่ดีจะส่งผลให้เกิด ประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลต่อองค์กร (สำนักงานคณะกรรมการข้าราชพลเรือน, 2551) ผู้บริหารจึงมีบทบาท สำคญั ในการปรบั เปลยี่ นวฒั นธรรมองค์กรให้ให้เกิดการทำงานเปน็ ทีม และผบู้ รหิ ารจึงต้องมีภาวะผู้นำเชงิ กลยทุ ธ์ เป็น กระบวนการกำหนดทิศทางการสร้างทางเลือกและนำไปสู่การปฏิบัติ คาดการณ์ถึงอนาคตขององค์การในระยะยาว และการพัฒนายุทธศาสตร์เพื่อมุ่งไปสู่อนาคตท่ีพึงประสงค์ ดังนั้นผู้นำในองค์การต้องมีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ สามารถ บริหารจดั การเชิงกลยุทธซ์ ง่ึ ประกอบด้วย การวางแผน การนำไปปฏิบตั ิ และการควบคมุ หรอื การประเมินสถานศึกษามี ความสามารถในการจัดการองค์การ การใช้ทรัพยากรที่หามาได้อย่างคุ้มค่า (เนตร์พัณณา ยาวิราช. 2550 ,หน้า 10) การบริหารสถานศึกษาเชิงกลยุทธ์ เป็นการบริหารจัดการที่มีการวางแผนโดยมุ่งพิจารณากำหนดทิศทาง ระยะเวลา วิธีการปฏิบัติทีม่ คี วามชดั เจนในเชิงรกุ หรือเชิงป้องกันปญั หาท่ีมุง่ เน้นสัมฤทธิผ์ ลและการดำเนินงานบรรลเุ ป้าหมายท่มี ี ทิศทางชัดเจน ซึ่งการบริหารเชิงกลยุทธ์ เป็นการมองกว้าง โดยสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ กันระหว่าง สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกเชื่อมโยงในการทำงานสู่ความสำเร็จ วิเคราะห์ทางเลือกวิธีการทำงานให้สำเร็จ อยา่ งชาญฉลาด กล้าแขง่ ขนั แสวงหาความก้าวหนา้ รู้เท่าทันสถานการณ์ (ทรรศนะ บญุ ขวัญ. 2549 ,หน้า 10) สำนักงานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั เป็นหน่วยงานทมี่ ีภารกจิ รับผิดชอบในด้าน การจดั การศึกษาตลอดชวี ิตให้แกป่ วงชนเสริมสรา้ งบรรยากาศให้แก่สังคมแหง่ การเรียนรขู้ จดั ปญั หาการไรโ้ อกาส และ ความไม่เสมอภาคทางการศึกษา สร้างความเข้มแข็งและมาตรฐานทางวิชาการโดยเสนอทางเลือกในการเรียนรู้ไว้ หลากหลายสนองความต้องการของบุคคลและชุมชน บุคลากรในสถานศึกษาจึงจำเป็นต้องทำงานเป็นทีมโดยการ ควบคุมกำกับดูแลอย่างมีกลยุทธ์ของผู้บริหารเพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้วิจัยจึงสนใจ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของบุคลากรในสังกดั สำนักงานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัย กล่มุ สมุทรคีรี เพอ่ื ใชใ้ นการวางแนวทางในการปรับ หน้า 44

การประชุมวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ ครั้งที่ 5 “นวัตกรรมการจดั การศกึ ษาเพอื่ การเปลย่ี นผา่ นสู่ปกตวิ ิถีใหม่” 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) พฤติกรรมภาวะผนู้ ำเชิงกลยทุ ธ์ของผู้บริหารที่ดี โดยการบรหิ ารงานที่ดนี น้ั จะส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครูสังกัด สำนกั งานสง่ เสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยกลมุ่ สมุทรครี ีเพือ่ ให้เกิดประสทิ ธผิ ลในองคก์ รได้ วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย 1. เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศกึ ษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยกล่มุ สมุทรคีรี 2. เพื่อศึกษาการทำงานเป็นทีมของบุคลากรในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยกลมุ่ สมุทรครี ี 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของ บคุ ลากรในสงั กดั สำนกั งานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยกล่มุ สมทุ รคีรี สมมตฐิ านของการวิจัย ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์กับการทำงานเป็นทีมของบุคลากรในสังกัด สำนกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั กล่มุ สมทุ รครี ีอย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติ ทีร่ ะดบั .01 เอกสารทีเ่ กย่ี วขอ้ ง 1. แนวคดิ ภาวะผู้นําเชงิ กลยทุ ธ์ ผู้วิจัยศึกษาแนวคิดภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์สรุปได้ว่า ภาวะผู้นาํ เชิงกลยุทธ์ หมายถึง กระบวนการใช้อิทธิพล ของผู้นําที่มีวสิ ัยทศั น์ ในการบริหารสถานศึกษาโดยยึดเปา้ หมายและภารกิจขององค์กรเปน็ หลักและจะสรรหาวธิ ีการ บริหารงาน ด้วยการกาหนดทิศทางที่ชัดเจน การกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจให้แกผ่ ู้ใต้บังคับบญั ชา ด้วยรางวลั อนั เกิดจากการบรรลุผลสําเร็จในงาน การริเริมสรา้ งสรรค์สิ่งใหม่ ๆ โดยให้อํานาจแก่ผูป้ ฏิบัติงานให้มีความคิดสร้างสรรค์ ในการทํางานด้วยเพือให้องค์กรสามารถดําเนินงานได้ตามเป้าหมายโดยจัดให้มีสภาพแวดล้อมในการทํางานที่ดีและ ยังคงไวซ้ ่งึ สัมพันธภาพระหวา่ งพนกั งาน องค์ประกอบของภาวะผ้นําเชิงกลยุทธ์ ตามแนวคิดของดูบริน(Dubrin. 2004, p. 333 - 336) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบของผู้นำที่มีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ว่าประกอบด้วย คุณลักษณะเฉพาะพฤติกรรมและแนวทางการปฏิบัติ โดยรวมคุณลักษณะทั้งของภาวะผู้นำที่มีความสามารถพิเศษและภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงเข้าด้วยกันโดยมี องค์ประกอบ 5 ประการ 1. ผนู้ ำทมี่ คี วามคดิ ความเข้าใจระดับสงู การคิดเชงิ กลยุทธน์ ้ันตอ้ งอาศัยทักษะด้านความเขา้ ใจทเ่ี กิดข้ึนในระดับสูง เช่น ความสามารถในการคิดเชิงมโนภาพในการซึมซับและการรับรู้แนวโน้มของสิ่งต่าง ๆ จำนวนมากได้อย่างมีเหตุผล และมี ความสามารถในการสรุปขอ้ มูลตา่ งๆ เพ่ือนำไปกำหนดเป็นแผนปฏบิ ตั ิการตลอดจนสามารถประมวลข้อมลู ตา่ ง ๆ และผลท่ีเข้าใจ ตามมาสำหรับองค์การที่มีปฏิกิริยากับสภาพแวดล้อมนี้เรียกว่าการคิดเชิงระบบเป็นความสามารถในการบริหารธุรกิจให้ ฝา่ ยต่างๆ ไดท้ ำงานรว่ มกนั เพ่อื ให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคอ์ ย่างเดียวกันทั้งน้ีต้องคำนงึ ถึงสิ่งตอ่ ไปน้ี 1.1 ต้องคำนึงถงึ ท้งั ความเก่ยี วขอ้ งกันและมคี วามอิสระต่อกนั 1.2 การวเิ คราะหแ์ ละการเก็บรวบรวมเก่ยี วกับสิง่ ท่จี ำเปน็ สำหรบั ดา้ นความเข้าใจ หน้า 45

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ ครัง้ ที่ 5 “นวตั กรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปลีย่ นผา่ นสูป่ กตวิ ถิ ใี หม่” 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 1.3 การแยกงานด้านบริหารออกเป็นระบบที่มีหลายระดับโดยแต่ละระดับนั้นก็ยังมีความแตกต่างใน เรอื่ งของตัวแทน และทักษะสำหรับงานซ่ึงบางคนอาจขา้ มกระโดดไปมาระหวา่ งชน้ั ทส่ี งู กว่าและตำ่ กวา่ ได้ 1.4 ผู้จัดการที่มีอายุงานมากเท่าใดก็ยิ่งจะเป็นผู้ที่มีทักษะและไหวพริบในการแก้ปัญหามากขึ้นเท่าน้ัน เช่น ผู้จัดการท่ีมอี ายงุ าน 25 ปี ย่อมมีทักษะในการแก้ปัญหาได้ดีกว่าผู้จัดการที่มีอายงุ านเพียงแค่ 1 ปี เป็นต้นและยง่ิ การไตเ่ ตา้ ตำแหนง่ ทีส่ งู ขนึ้ กย็ ่งิ จำเปน็ ตอ้ งมีทักษะดังกล่าวมากย่งิ ขน้ึ เช่นกนั 1.5 นักคิดเชิงระบบต้องมีความสามารถด้านการจินตนาการเพื่อรับมือกับปัญหาซึ่งเป็นเรื่องของ ความสามารถในการสร้างมโนภาพในแต่ละองค์การจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อองค์การนั้นมีผู้นำที่มี ความสามารถในการด้านความคิด ความเข้าใจและเรื่องของการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็มีความสำคัญอีกเช่นกัน เพราะเป็นสง่ิ ท่ีช่วยในการกำหนดทางเลือกปฏบิ ตั ิเพ่ือกำหนดทศิ ทางขององค์การท่ีจะดำเนินไปและการต้งั คำถามแบบ สรา้ งเง่ือนไขก็เป็นเรอื่ งที ต้องอาศัยดา้ นการจนิ ตนาภาพ 2. ความสามารถในการนำปัจจัยนำเข้าต่าง ๆ มากำหนดกลยุทธ์ผู้นำเชิงกลยุทธ์นั้นอาจเปรียบได้กับผู้ที่มี สมาธิสูงในการทำงานโดยอิสระและสามารถกำหนดอนาคตได้ในทางปฏิบัติแล้วผู้นำก็จะปรึกษาหารือกับบรรดาผู้ที เกี่ยวข้องหลาย ๆ ฝ่ายซึ่งเป็นลักษณะของความเป็นประชาธิปไตยในการทำงานร่วมกันเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ แต่ข้อควรระวังอย่างหนึ่งก็คือ อย่าพยายามใช้คตินิยมแบบเพิ่มขึ้นทีละน้อยซึ่งหมายถึงแนวทางการตัดสินใจที่ใช้ พนื้ ฐานของสถานการณท์ แ่ี ลว้ ๆ มาเป็นหลัก กลา่ วคือ ถา้ ปีทผ่ี า่ นมาเคยทำอยา่ งไรกม็ กั จะใช้สิ่งนน้ั เป็นจดุ เริ่มต้นในการ เพิ่มหรอื ลดในปีตอ่ ไปทำให้ขาดการพจิ ารณาข้อมูล ณ เวลาปจั จุบันซึง่ แตกตา่ งจากอดีตไปแลว้ 3. การมีความคาดหวังและการสร้างโอกาสสำหรับอนาคตซึ่งต้องอาศัยทักษะการคาดคะเนอนาคตจากคำ กลา่ วท่วี า่ การมองอนาคตอยา่ งทะลปุ รโุ ปร่งเปน็ เรอื่ งของความแตกต่างระหวา่ งความสำเร็จและความล้มเหลว ดงั นั้นจงึ ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับอนาคตเป็นการคาดคะเนอย่างแม่นยำเกี่ยวกับรสนิยมและความต้องการของลูกค้า ตลอดจนเป็นการคาดคะเนทักษะต่าง ๆ ท่จี ำเป็นสำหรบั องคก์ ารในอนาคต 4. วิธีการคิดเชิงปฏวิ ัติได้กล่าวไวว้ า่ กลยุทธ์ใดก็ตามหากไมส่ ามารถทา้ ทายสถานการณห์ รอื สภาพท่เี ป็นอยู่ ได้กไ็ มอ่ าจเรียกสงิ่ น้ีวา่ กลยทุ ธ์เป็นการใช้ความคดิ สร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบซ่ึงมีลักษณะคล้ายคลึงกบั คำ วา่ การสรา้ งสรรค์อนาคตใหม่หลายองคก์ ารท่ไี ม่ประสบการณส์ ำเรจ็ เพราะกลยุทธไ์ ม่สามารถตอบสนองความต้องการ ของลกู ค้าไดเ้ หนือกว่าคแู่ ขง่ แนวความคดิ เชิงปฏวิ ัตจิ งึ เป็นเร่ืองของการจดั แนวความคดิ ใหมเ่ กีย่ วกบั สนิ คา้ บรกิ ารตลาด และแม้แต่ภาคอุตสาหกรรมโดยรวมซึ่งสามารถให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายที่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์การ มากกวา่ การเปลีย่ นแปลงเพยี งเลก็ นอ้ ย 5. การกำหนดวิสัยทัศน์ วิสัยทัศน์ หมายถึง สภาพขององค์กรที่ต้องการจะเป็นในอนาคตหรือเป็นเป้าหมายทีมี ลักษณะกว้างๆ ซึ่งเป็นความต้องการในอนาคตโดยยังไม่ได้กาหนดวิธีการเอาไว้เป็นการสร้างความคิดโดยการใช้คําถาม เช่น คําถามถึงสิ่งที่ดีที่สุดยิ่งใหญ่ที่สุดบริการที่ดีที่สุด ฯลฯ และวิสัยทัศน์ซึ่งเป็นรูปแบบของข้อเสนอแนะแบบไม่เจาะจงและเป็น ตําแหนง่ ของทิศทางทจ่ี ะไป(David. 1998, หน้า90-91 ; อา้ งถึงใน รงั สรรค์ ประเสริฐศร.ี 2544 ,หน้า 207) 5.1 การกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision Formulation) เป็นการกำหนดสิ่งทีองค์กรต้องการในอนาคตใน ลักษณะกวา้ งขวางในระยะยาว 5.2 การปฏิบัตติ ามวิสัยทัศน์ (Implementation) เปน็ การปฏิบัติตามภารกจิ (Mission) ที่กำหนดเอาไว้ เพือ่ ให้เป็นไปตามวิสัยทศั นท์ ี่กำหนดเอาไวซ้ ึ่งต้องอาศยั ความสามารถและความเต็มใจจากผูเ้ ก่ียวขอ้ งทกุ ฝา่ ย หน้า 46

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดบั ชาติ คร้งั ที่ 5 “นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปล่ียนผา่ นส่ปู กตวิ ิถใี หม่” 27 กมุ ภาพันธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) 5.3 นวัตกรรมที่เป็นจริงได้(Innovative Realism) วิสัยทัศน์ทีกาหนดไว้นั้นจะต้องมีลักษณะใหม่และ เปน็ จรงิ ไดซ้ ่ึงต้องอาศยั ผทู้ มี่ คี วามสามารถพเิ ศษ 5.4 แบบกว้าง ๆ (General)ลักษณะวิสัยทศั น์อาจจะเป็นเป้าหมายท่ีมลี ักษณะกว้างขวางเกี่ยวกับความ ต้องการในอนาคตโดยไมเ่ จาะจงเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง 5.5 แบบเจาะลกึ ลงรายละเอียด (Detailed)ลกั ษณะวิสยั ทศั น์อาจจะเปน็ ลักษณะเจาะจงในรายละเอียด ของเรือ่ งใดเรอ่ื งหน่ึงกไ็ ด้ 5.6 การเผชิญความเสียง (Risk Taking) ลักษณะวิสัยทัศน์จะมีลักษณะที่ต้องเผชิญ ความเสียงเพราะสิ่งท่ี ตอ้ งการในอนาคตนันไมใ่ ชส่ ง่ิ ท่จี ะทาํ ไดโ้ ดยง่ายดาย ซง่ึ ใครจะทาํ กไ็ ด้ลกั ษณะนจ้ี ึงถือว่าเป็นวสิ ัยทัศนจ์ ะต้องมีความเสยี งเกดิ ขน้ึ 5.7 การมุ่งกำไร (Profit-oriented) โดยทั่วไปแล้ววิสัยทัศน์จะมุ่งที่การสร้างกำไร ตัวอย่าง บริษัทมี วิสัยทัศน์ว่า “เพื่อผดุงรักษาความสําเร็จทางด้านการคา้ ในฐานะบริษัทการตลาดชั้นนําของโลกในด้านเสื้อผ้ายี่หอ้ ดังๆ และเหนือกวา่ ส่ิงอน่ื ใด คือ ทุกคนตอ้ งการได้รบั ความพึงพอใจจากความสาํ เร็จ คณุ ภาพชีวติ ทส่ี มดลุ ทังสว่ นตวั กับหน้าที่ การงาน และสนุกกับการบากบั่น ความเพียรพยายามในการทํางาน” จะเห็นว่าวิสัยทัศน์นี้ เมื่อทําสําเร็จจะส่งผลต่อ การสรา้ งกำไรเพิม่ ข้นึ 2. การทำงานเป็นทมี ผู้วจิ ัยศกึ ษาแนวคิดการทำงานเปน็ ทมี สรปุ ไดว้ ่า การทำงานเป็นทมี หมายถงึ บุคคลตัง้ แต่ 2 คนขนึ้ ไปร่วมกนั ทำงาน ร่วมกันวางแผนร่วมคิดร่วมทำโดยต้องมีเป้าหมายเดียวกนั และการทำงานเปน็ ทีมหมายถึงการทีบ่ ุคลากรในองค์กรร่วมมือกนั ใน ด้านทักษะความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคลมีการทำงานร่วมกันมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันมีการ ติดต่อสื่อสารโดยตรงและต่อเนื่องคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายเดียวกันโดยบุคลากรในทีมต้องมี ความผูกพันกันมีการสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดเป็นพลังความสามัคคีในการทำงานของ องค์การให้งานน้ันบรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงคห์ รือเป้าหมายทต่ี ัง้ ไวอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและประสิทธิผล องค์ประกอบการทำงานเป็นทีมผู้วิจัยเลือกใช้แนวคิดของโรมมิ่ง (Romig, 1996, หน้า 74) สรุปได้ว่าการ ทำงานเปน็ ทีมทมี่ ีประสิทธภิ าพประกอบด้วย การตดิ ตอ่ สือ่ สารระหวา่ งสมาชกิ ในทีมงานให้มกี ารรับฟงั และเข้าใจซ่ึงกัน และกันในปัญหาของงานปฏิบัติที่เกิดขึ้นและสามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีด้วยการร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการ แก้ไขปัญหาการปฏิบัติงาน เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายของทีม โดยมีการประสานงานและวางแผนในการ ปฏบิ ัตงิ านทเี่ หมาะสมกนั ในการปฏิบัติงานทร่ี บั ผิดชอบของแตล่ ะบคุ คลในทมี งานเพอื่ ทจ่ี ะได้รบั ผลสำเร็จตามเป้าหมาย ที่มีประสิทธิภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างนวัตกรรมการทำงานโดยมีสิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดก ารคิด ใหม่ ๆ ต่อปัญหาที่เกิดขึ้นสู่การนำไปปฏิบัติได้จริงรวมทั้งการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อลดระยะเวลาในการ ทำงานและเปน็ การปรบั ปรงุ คณุ ภาพการออกแบบงานใหมท่ สี่ รา้ งสรรคใ์ หม้ ีความเหมาะสมมากขน้ึ ประกอบดว้ ย 1. การติดต่อสื่อสาร การติดต่อสื่อสารเป็นการติดต่อสื่อสารระหว่างสมาชิกในทีมงานให้มีการรับฟังและ เขา้ ใจซ่ึงกนั และกนั ในปัญหาของงานปฏิบตั ิทเ่ี กิดข้ึนและสามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีต้องมกี ารเปิดเผยข้อมูลข่าวสารและ สนบั สนุนใหส้ มาชกิ ทีมงานมีอสิ ระในการใหข้ อ้ มลู ข่าวสารซึง่ กันและกันทเ่ี กี่ยวกับปญั หาในการทำงานสมาชกิ ทีมจะต้อง มีความคิดที่หลากหลายในการทำงานซึ่งจะทำให้เกิดการเพิ่มผลผลิตของงานได้ดังนั้นทีมจะต้องมีการติดต่อสื่อสารท่ี เป็นสองทางเพือ่ นำไปสู่การปฏบิ ตั ิทถ่ี กู ต้อง หน้า 47

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรร สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวตั กรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปลย่ี นผา่ นสู่ปกติวิถีใหม”่ 27 กุมภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนุกรรมการสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) 2. การร่วมมอื การร่วมมอื เป็นการทำงานรว่ มกันและใหค้ วามชว่ ยเหลือซ่งึ กันและกนั ในการแก้ไขปญั หาการ ปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายของทีมความร่วมมือของทีมเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของการทำงาน เป็นทมี โดยจะมกี ารแบ่งปันข้อมลู ข่าวสารเพ่ือการตัดสนิ ใจของสมาชกิ ทมี 3. การประสานงาน การประสานงานนั้นคือการท่ีสมาชิกมีการประสานงานกันในการปฏิบัติงานโดยมีการ ประชุมทีมมีการวางแผนที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานที่รับผิดชอบของแต่ละบุคคลในทีมงานเพื่อที่จะได้รับผลสำเร็จ ตามเป้าหมายที่รวดเร็วและมีประสิทธภิ าพการประสานงานต้องมีการพึ่งพาซึ่งกันและกันโดยปราศจากการควบคุมใน องคก์ ารการประสานเปน็ กลไกทใี่ ช้ในองค์การ 4. การมีความคิดสร้างสรรค์ การมีความคิดสร้างสรรค์นัน้ เป็นสิง่ ที่สมาชิกในทมี สร้างนวัตกรรมการทำงาน เพื่อการแก้ปัญหาปฏิบัติแตกต่างไปจากงานที่ทำอยู่ซึ่งความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถในการมองเห็น ความสัมพันธ์ต่าง ๆ โดยมีสิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการคิดใหม่ ๆ ต่อปัญหาที่เกิดขึ้นและนำไปปฏิบัติ ได้จริงจึงเปน็ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์เพื่อปรับปรงุ งานและเปน็ การเพิม่ ผลผลติ อกี ด้วย 5. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเป็นการปรับปรุงกระบวนการทำงานและการ พัฒนางานเพื่อลดระยะเวลาในการทำงานและเป็นการปรับปรุงคุณภาพและออกแบบงานใหม่ที่สร้างส รรค์ให้มีความ เหมาะสมมากขนึ้ จงึ เป็นการชว่ ยใหบ้ คุ ลากรไดม้ กี ารเรียนรู้ข้อผดิ พลาดในการทำงานมากขึ้น 3. งานวิจัยที่เกีย่ วข้อง เพ็ญประภา สาริภา(2556) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับ ประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 19 ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้บริหาร สถานศึกษามีภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับ มากถึงมากที่สุด 2. โรงเรียนมีประสิทธิผลโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณารายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ใน ระดับมากถึงมากที่สุด 3. ภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์ทางบวกกับประสิทธิผลของ โรงเรยี นอย่างมีนยั สาํ คัญทางสถติ ทิ รี ะดับ .01 วันวิสาข์ ทองติง (2555) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารกับประสิทธิผลของ โรงเรียน สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์ ของผู้บรหิ ารโดยภาพรวมรายดา้ นมีคา่ เฉล่ียอย่ใู นระดบั มากถึงมากทส่ี ุด โดยดา้ นที่มีค่าเฉล่ียสูงสุด คือ ดา้ นการกําหนด วิสัยทัศน์ รองลงมาคือ ด้านความสามารถในการนําปัจจัยนําเข้าต่าง ๆ มากําหนดกลยุทธ์ ส่วนด้านท่ีมีค่าเฉลี่ยต่ําสุด คือ ด้านการมีวิธีการคิดเชิงปฏิวัติ 2) ประสิทธิผลของโรงเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านท่ีมีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีเจตคติทางบวกรองลงมาคือ ด้าน ความสามารถในการแกป้ ัญหาภายในโรงเรยี น ส่วนดา้ นท่ีค่าเฉลี่ยต่ําสุด คือ ด้านความสามารถในการผลิตนักเรียนให้มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง 3) ภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารมีความสัมพันธ์ทางบวกกับประสิทธิผลของ โรงเรียน สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาขอนแก่นเขต 5 โดยพบว่าภาวะผู้นําเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารมี ความสัมพันธ์ทางบวกกับประสิทธิผลของโรงเรียนอยู่ในระดับสูงอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติทีระดับ .01 โดยคู่ท่ีมี ความสัมพันธส์ ูงสุด คอื ประสทิ ธผิ ลของโรงเรียนมคี วามสมั พันธท์ างบวกกับภาวะผนู้ ําเชิงกลยทุ ธ์ของผู้บริหารด้านการ กําหนดวสิ ยั ทัศน์ หน้า 48

การประชมุ วชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรร สาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวตั กรรมการจัดการศึกษาเพอื่ การเปลยี่ นผา่ นสู่ปกตวิ ถิ ีใหม”่ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จดั โดยคณะอนกุ รรมการสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภ์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) อัจฉรา ชุนณะวงค์(2553) การศึกษาการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารโรงเรียนตามความคิดเห็นของครู โรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนในจังหวัดระยอง ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นของครูโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน จงั หวัดระยองท่มี ตี อ่ การทำงานเป็นทีมของผู้บรหิ ารโรงเรยี น โดยรวมและรายด้านอยใู่ นระดับมากถงึ มากท่ีสุด 2) ความ คิดเห็นของครูโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัดระยองทีม่ ีต่อการทำงานเป็นทีมของผูบ้ ริหารโรงเรียน ที่จำแนกตาม เพศ ประสบการณก์ ารปฏิบัตงิ าน ตามขนาดของโรงเรยี น มคี วามคดิ เห็นไม่แตกต่างกนั ดาวเทียม บับที (2553) สภาพและปัญหาการทำงานเป็นทีมของบุคลากรในโรงเรียนเฉพาะในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการทำงานเป็นทีมในโรงเรียนเฉพาะ ความพิการภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื โดยรวมและรายด้านอย่ใู นระดบั มากถงึ มากทสี่ ุด นงลักษณ จรียานุวัฒน.(2558). ความสัมพันธระหวางภาวะผูนําทางวิชาการของผูบริหารสถานศึกษากับ การทํางานเปนทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสตูล ผลการวิจัยพบว า (1) ระดับภาวะผูนําทางวิชาการของผูบริหารสถานศึกษา สังกัดสํานักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสตูล โดย ภาพรวมและรายดานมีคาเฉลี่ยอยูในระดับมาก ดานที่มีระดับการปฏิบัติจากมากไปหานอย ไดแก ดานการบริหาร จัดการหลักสูตรสถานศึกษา ดานการจัดการเรียนรู ดานการ สนับสนุนทรัพยากรการสอน ดานการนิเทศการสอน และดานการวัดประเมินผลและวิจัย (2) ระดับการทํางานเปนทีมของครูในสถานศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษาสตูล โดยภาพรวมและรายดานมีคาเฉลีย่ อยูในระดับมากถึงมากที่สุด ดานที่มีระดับการปฏิบัติ จากมากไปหานอย ไดแก ดานการมีมนุษยสมั พันธ ดานการมผี ลประโยชนรวมกนั ดานการมีเปาหมายรวมกัน ดานการ ตัดสินใจรวมกัน ดานการ ติดตอสื่อสารกันในกลุม และดานการมีสวนรวมในการดําเนินงาน และ (3) ความสัมพันธ ระหวางภาวะผูนํา ทางวิชาการของผูบริหารสถานศึกษากับการทํางานเปนทีมของครู มีความสัมพันธเชิงบวกอยูใน ระดับ คอนขางสูง ซงึ่ มนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิทรี่ ะดับ .01 ปณิ ชา จองเฉลมิ ชัย(2559) ภาวะผ้นู ํากับการทาํ งานเปน็ ทีมของขา้ ราชการตาํ รวจชนั้ สญั ญาบตั ร สาํ นักงาน จเรตํารวจ สาํ นักงานตํารวจแหง่ ชาติ ผลการวจิ ัยพบวา่ 1) การทาํ งานเปน็ ทีมของขา้ ราชการตํารวจชนั้ สัญญาบตั ร ควร มคี วามเข้าใจบทบาทหน้าที่ ของตนเองและผอู้ ื่น และ มีการประเมินการปฏบิ ัตงิ านและนําผลมาใชใ้ นการปรับปรุงการ ปฏิบัติงาน อย่างสม่ำเสมอ อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ภาวะผู้นําของข้าราชการตํารวจชั้นสัญญาบัตร ด้านลักษณะทาง กาย การมสี ุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง อยู่ในระดับมากทส่ี ุด ดา้ นพฤตกิ รรม การปฏบิ ตั งิ านดว้ ยความทุ่มเทในการทํางาน ด้วยใจรัก อยู่ใน ระดับมากที่สุด 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นํากับการทํางานเป็นทีมของสํานักงานจเรตํารวจ สํานกั งานตาํ รวจ แห่งชาติ สรุปได้ดังน้ี (1) ผูน้ าํ ท่ีดตี อ้ งเปน็ ผมู้ ีวสิ ยั ทศั น์ ตอ้ งเปน็ คนทม่ี องเหน็ ภาพในอนาคต มองเห็น โอกาส ก็ต้องสามารถกําหนดเป้าหมาย และแผนงานในการไปสู่เป้าหมายนั้นได้อย่างชัดเจน (2) ผู้นําที่ดี จะต้อง กระจายงานให้ทีมงานอย่างเหมาะสม เป็นการนําแผนงานที่กําหนดไปสู่ผู้ใต้บังคับบัญชา และ ทีมงาน โดยพิจารณา ความเหมาะสมของผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนให้เหมาะกับงาน เพื่อให้เขาสามารถ ทํางานที่ถนัด รวมทั้งให้โอกาสคน อ่นื ๆ ไดท้ ํางาน ผ้นู ําอาจจะต้องยอมรับความเสี่ยงในเรอ่ื งนี้ (3) ผู้นําทด่ี ี จะตอ้ งสรา้ งทีมงานได้ จะต้องเปน็ คนทที่ าํ งาน ให้สําเร็จ โดยเน้นทั้งงาน เน้นทั้งคน และในการสร้างทีมงาน ที่ดี ผู้นําก็ต้องมีทักษะในการสื่อความที่ดี มีความเป็น ธรรมกับผูใ้ ตบ้ ังคบั บญั ชาทกุ คนในทมี เวลาทํางานก็ จะเน้นให้ทุกคนร่วมกันทํางาน (4) ผนู้ าํ ท่ดี จี ะต้องสรา้ งแรงจูงใจให้ พนักงานได้ และกระตุน้ ให้ ผใู้ ตบ้ งั คับบญั ชามีความต้องการทจี่ ะประสบความสาํ เร็จได้ (5) ผู้นาํ ทีด่ ีจะตอ้ งเป็นผู้พัฒนา หนา้ 49

การประชมุ วิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรร สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ ครงั้ ท่ี 5 “นวัตกรรมการจัดการศกึ ษาเพอ่ื การเปล่ยี นผา่ นสปู่ กตวิ ิถใี หม่” 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 จัดโดยคณะอนกุ รรมการสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ สมาคมสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (สสอท.) คนอื่น อยู่เสมอ มีความเข้าใจผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีผลงานไม่ดี และพยายามที่จะพัฒนาผู้ใต้บัง คับบัญชาให้มี ความรู้ ความสามารถ และทักษะในการทํางานมากขน้ึ และเป็นตัวอย่างสาํ หรับพฤตกิ รรมที่เหมาะสมดว้ ย วิธดี ำเนินการวิจยั การศกึ ษาครง้ั นีผ้ ูว้ จิ ยั กำหนดประชากรที่ใช้ในการศกึ ษาเปน็ บคุ ลากรในสงั กดั สำนกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กลุ่มสมทุ รคีรี ทั้ง 4 จังหวัด ที่ปฏิบัตหิ น้าที่ในปีงบประมาณ 2562 จำนวน 485 คน (สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยภาคกลาง, 2562) และ กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างใช้ หลักการคำนวณของ Taro Yamane (1973 : 1088) ได้จำนวน 219 คน ที่ความเชื่อมั่น 95% และสุ่มเก็บข้อมูลโดย ใช้หลักการสุ่มตัวอย่างแบบแบง่ ช้นั ภูมิ เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการวิจยั คร้งั นี้เปน็ แบบสอบถามทผี่ วู้ ิจัยสร้างขึ้นประกอบด้วย 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับสถานภาพสว่ นบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถามมีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบ รายการ (Checklist) ตอนท่ี 2 แบบสอบถามความคิดเหน็ เกย่ี วกับภาวะผนู้ ำเชิงกลยุทธ์ของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา สังกัด สำนกั งานส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย กล่มุ สมทุ รคีรี เปน็ มาตราสว่ นประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) ตอนที่ 3 แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานเป็นทีมของบุคลากรสังกัดสำนักงานส่งเสริม การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กลุ่มสมุทรคีรี เป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) โดยแบบสอบถามมีคา่ ความเชอื่ ม่ันทั้งฉบับเท่ากบั 0.911 ถือวา่ มีความเชอ่ื มัน่ ในระดับดมี าก การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัยคร้ังน้ีผู้วิจัยขอความอนุเคราะห์จากบัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยธนบุรี เพื่อจัดทำหนังสือขอความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กลุ่มสมุทรคีรี ทั้ง 4 จังหวัด เพื่อขออนุญาตแจกแบบสอบถามให้แก่บุคลากรใน สถานศึกษาในการเก็บรวบรวมข้อมูล เดนิ ทางไปเก็บขอ้ มลู ด้วยตนเองโดยมกี ารนดั หมายล่วงหน้า 1 สปั ดาห์ปรากฏว่า ได้รบั แบบสอบถามคืนมาทงั้ หมดจำนวน 219 ชดุ คิดเป็นร้อยละ100 สถิติท่ีใชว้ เิ คราะห์ข้อมูลประกอบด้วยจำแนกตามลักษณะของแบบสอบถามดังนี้ สถานภาพส่วนบุคคลของ ผู้ตอบแบบสอบถามมีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (checklist) โดยการคำนวณหาค่าความถี่ และค่าร้อยละ ภาวะผู้นำเชงิ กลยุทธข์ องผูบ้ ริหารและการทำงานเปน็ ทีมของบุคลากรในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กลุ่มสมุทรคีรี ใช้การหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบ สมมติฐานด้วยการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson 's Product Moment Correlation Coefficient) ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล 1. บุคลากรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 143 คน คิดเป็นร้อยละ 65.30 รองลงมาคือเพศชายจำนวน 76 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 34.70 ชว่ งอายุของบุคลากรสว่ นใหญอ่ ยู่ระหว่าง 25 – 35 ปี จำนวน 74 คน คิดเปน็ ร้อยละ 33.80 รองลงมาคือ อายุมากกวา่ 45 ปี จำนวน 64 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 29.20 อายุ 36 – 45 ปี จำนวน 42 คน คิดเป็นร้อย ละ 19.20 ส่วนอายุน้อยกว่า 25 ปีมีน้อยที่สุด จำนวน 39 คน คิดเป็นร้อยละ 17.80 ระดับการศึกษาของบุคลากร ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปริญญาตรี จำนวน 155 คน คิดเป็นร้อยละ 70.80 รองลงมาคือ ระดับปริญญาโท จำนวน 64 คน คิดเป็นร้อยละ 29.90 แต่ไม่พบครูที่มีระดับการศึกษาปริญญาเอก ประสบการณ์ในการทำงานของบุคลากรส่วน หนา้ 50