๘๑ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีท้านองหลักเหมือนกัน แต่การร้องและการรับเพลงในแต่ละ คณะมีความแตกต่างกันบา้ ง ท้าให้แตล่ ะทา้ นองมีลลี าทหี่ ลากหลายไปตามทอ้ งถ่นิ ซ่งึ สามารถแบ่งกลุ่มตามลีลา การร้องได้ ๒ กลุม่ ดังนี เพลงฉ่อยทางเหนือ ไดแ้ ก่ เพลงฉ่อยของกลมุ่ จังหวัดพิษณโุ ลก สโุ ขทยั เพชรบูรณ์และ พิจติ ร และกลมุ่ จังหวดั ตาก ก้าแพงเพชรและอทุ ัยธานี ตวั อย่างเพลงฉ่อยจงั หวดั พิษณโุ ลก บทไหวค้ รู ท้านองโบราณ เอย...นอ้ มหตั ถเ์ บืองซา้ ย ใช้ด้วยตา่ งดอกไม้บชู า ลกู นอ้ มหตั ถเ์ บืองขวา ใชด้ ว้ ยตา่ งมาลาเทียนงาม ธูปสามเทยี นหนง่ึ แลว้ น้อมระลึกถงึ พระคณุ ของครบู า เองิ เงอ เฮอ้ เออ เอย (ลกู คชู่ ายรบั โนมโนม) เอ่อ เอย ไหว้ (หญงิ ลูกค่รู บั ) ธปู สาม เออ่ เฮ้ย เทยี นหนงึ่ เอย ธปู สาม เอ่อ เอ๊ย เทียนหน่ึง แล้วน้อม ระลกึ ถึงพระคุณของครูบา เอิงเงอเออ้ เอย เอ่อ เอย๋ ไหว้ เอช่ า เอ้ช้า ช่าชา้ ฉ่าชาน้อยแม่ บทไหว้ครู ทา้ นองทั่วไป ไหว้คณุ พระบดิ รมารดาเชียวหนาเสร็จสรรพ คราวนจี ะขอค้านับครไู ทย ทังครสู อนให้เล่นเป็นนกั เลง จะไหวค้ รูเพลงตบไก่ สามสิบสองครูเพชรฉลูกรรณ ขอใหม้ าบนั ดาลดลใจ เอช่ า ชาชาช่าชา หนอ่ ยแม่ ( สมปอง พลอยบตุ ร.สัมภาษณ์ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ) ตัวอย่างเพลงฉ่อยสุโขทยั ของนายวาง ทองกรณ์ เพลงเกร่นิ ทา้ นองโบราณ ช. แตพ่ อจบสง่ รอ้ งสัง่ สัง่ เจ้าแม่ดอกรังบัวหลวง พ่ีจะขอจูบแกม้ ทรามแกว้ วันนีจะขอรักแลว้ โอ้แมน่ มเป็นพวง ช. พ่เี ปรยี บเหมือนแมลงภู่นอ้ งเอ๋ยบินวู่ว่อน พีอ่ ยากจะมาร่วมคอนคูเ่ คียง พมี่ ายืนฟงั นา้ เสียงแมค่ ณุ ชา่ งหวานเยน็ เปรียบเหมือนน้าตาลดอง เจ้าแม่ผมดัดอย่าสลัดหนา้ หนี มารักกบั พ่เี สยี เถดิ แมฟ่ นั เลยี่ มทอง เอย.. เพลงออกตัว ทา้ นองทั่วไป พอ่ จะ๊ แม่จา๋ ลูกมาขออภยั ญ. ยกแขนงองอขนึ ไปขอสมา ชอบหตู ามหาเอาเงินมาให้ ลูกมาเลน่ งานนีเหน็ ดไี ปงานหน้า
๘๒ ( วาง ทองกรณ์ สาธติ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ) ตัวอย่างเพลงฉอ่ ยจังหวดั เพชรบรู ณ์ ท้านองท่วั ไป ฉนั ถามวา่ จรงิ แล้วหรอื พ่อหรอื พ่อลมพดั กระพือใบไผ่ ถา้ พอ่ ดีจริงเหมอื นดังคา้ เขาวา่ คงไม่ตกมาถึงหญิงบา้ นไกล ฉนั กลวั จะเป็นมะเขอื ไอท้ ่ีเหลือเดนเด็ด เขาจงึ ได้เนรเทศแกมาไกล (เอ่ชา เอ เอช้ า ชาฉ่าชา) (คมคาย ชนุ ตาล. สัมภาษณ์. ๒๕ เมษายน ๒๕๕๗) ตวั อย่างเพลงฉ่อยจังหวัดตาก ท้านองโบราณ ซ่ึงชาวคณะเรียกว่า เพลงกระทู้ ช. เอ่อ..รักใครรักเขา กร็ ักแตเ่ บาเบาพอแบ่ง ถึงแม่ยายจะดา่ ถึงพ่อตาจะแช่ง แชง่ เถิดพวกพ่ีก็ท้าหน้าชืน่ รกั แม่นมเกลยี งปานกบั หน้ากลอง มาทกุ วนั รกั น้องแทบกลนื ....ได้ ช. เออ่ ..พเี่ ที่ยวโลเลนอ้ งเอ๋ยหารู พเ่ี ปรยี บเหมือนกับงขู ว้างค้อน พี่เที่ยวบุกดงนอ้ งเอ๋ยฝ่าดอน วันนีมาเจอแม่ดอกแคดา้ พีไ่ มป่ ลงใจจะเดด็ แม่จะเนรเทศมาทา้ เอย๋ ..ไม (นายหรดั เขน่วม การสาธิต ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗) ตัวอยา่ งทา้ นองท่ัวไป (ช. ) เอ็งเป็นหญิงดีช่างมกี ริ ิยา จะใหด้ หู ลังดหู น้าดนู อกดูใน ตวั เองมายืนกระดกอย่ทู ่ีกกมะดนั อยใู่ ตช้ อ่ งนอกชานน้องชา่ งไมแ่ ลเหน็ ชาย พี่ไม่ใช่คนอ่ืนเปน็ แต่พืนบา้ นเรา ถ้าเปน็ ขโมยคงจะเอาวัวควาย (เอช่ า เอช้ า้ เอช้ า ชา ฉ่า ชา) (ญ.) ถ้าเป็นขโมยนนั คงจะเอาววั ควาย พอ่ ขวญั เมืองคู่มอื จะหมอบมองกนั อยู่ทา้ ไม อ๋อพีเ่ ปน็ คนรจู้ กั ให้ถามทกั นบั ถือ มาหลงเลียรางดมรอู อ๋ น่ีพม่ี ากนั แตเ่ มอื่ ไร เธอมดุ มอดคะม้าเหน็ หัวด้าด้าฉันแลดู (เอ่ชา เอช้ า้ เอ้ชา ชา ฉ่า ชา)
๘๓ เพลงฉ่อยทางใต้ ได้แก่ เพลงฉ่อยของกลุ่มจังหวัดนครสวรรค์ สิงห์บุรีและชัยนาท และกลุ่มจงั หวดั สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยาและอ่างทอง ตวั อยา่ งเพลงฉ่อยจงั หวดั สิงหบ์ รุ ี เพลงลาย ท้านองโบราณ จะพศิ ดแู ม่คนหนา้ สวยเหมอื นอย่างเทวดาออกมาจากวัง จะพิศดูแม่คนหลัง คล้ายคลา้ ยเหมอื นนางกินนร ดคู วิ หลอ่ นตกไปถงึ หางตา สวยดงั ดาราดดั ลอน เอย….ไว้…… ตวั อยา่ งเพลงชม ทา้ นองทวั่ ไป เราจะวา่ กันไปนักมนั ชกั เนน่ิ ชา้ ผมแหงนดูเวลามันจะดึกหลาย นสิ ยั เราเปน็ เพลงเราเกง่ ชมโฉม มันตอ้ งเล้าพโิ ลมกนั เขา้ ไป ชักชวนเพื่อนชายอย่าไดอ้ ยูช่ ้า วนั นีเขาว่าสาวมาเราจะไปดสู าวใหม่ ประสบเนตรเจอหน้าทา้ กิริยาหยบิ หย่ง เหมือนชา้ งเผือกออกมาจากโรงวังใน เอ่ชา.. (ล้าจวน ศรีจนั ทรแ์ ละวรี วฒั น์ พ่งึ ลออ การสาธติ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗) ตวั อย่างเพลงฉอ่ ยจงั หวัดชยั นาท เพลงรบั ท้านองโบราณ ทกุ วนั นีน้องไม่อวดตวั ตงั ทุกวันนนี ้องไมอ่ ้างตัวดี ดูแตแ่ มก่ ณั หาพ่อชาลี ก็ยังต้องจากพระเวสสันดร เฒา่ ชราเจยี วหนอสาหสั เอาเครอื เขาเขา้ มามัดจูงกร...ไป (ลูกครู่ ับ – เฒา่ ชราสาหสั เฒ่าชรา (เออ่ เอย้ ) สาหัส เอาเครอื เขาเขา้ มามดั (เอย้ ) จูงกร (เออ่ เอย้ ) ไป ชา้ โอ้ละชา โอล้ ะชา ชา ทงิ นอ ละนอ ละนอ ละนอ ละนอ นอดนอ้ ละนอย) เพลงแต่งตวั ท้านองท่วั ไป แล้วหยิบเอาแปง้ มาหนงึ่ เมด็ มานั่งเชด็ หม่ สี หยบิ นา้ มันราตรีสง่ กล่ินหอมไกล แลว้ ว่านะจังงงั ชายเห็นให้งวยงง ถึงคดิ ร้ายก็ทา้ ไมล่ งให้ยนื น้าลายไหล พอเหน็ หนา้ แลว้ จังงังขอใหม้ าน่ังราบราบ มาน่ังไหว้สองกาบที่ตดิ อยใู่ นรา่ งกาย (เอช่ า เอ เอช้ า ชาฉ่าชา) (คมคาย ชนุ ตาล. สมั ภาษณ์. ๒๕ เมษายน ๒๕๕๗) ตวั อยา่ งเพลงฉ่อยจงั หวัดสพุ รรณบุรี และอ่างทอง เพลงเกร่ิน ทา้ นองโบราณ
๘๔ ช. เอง๋ิ ...เออ..เออ่ ..เฮอ่ ..เองิ ...เอ๊ย... พเ่ี ปรียบเหมือนควายเขาเลีย่ ม ไมอ่ าจจะเสยี มควายเขา ตวั น้องจะเอาก็เอา พไ่ี มพ่ ดู โอ้อวด ดแู ต่แมงปอ่ งไอท้ ต่ี ดู ปอด มนั ยังรูจ้ กั ตอดคนปวด เออ..เฮอ่ ..เอย๊ ..ได้ ( ลูกคู่รบั ) ดแู ตแ่ มงป่องไอท้ ่ตี ูดปอดปอด ดแู ต่แมงป่องไอท้ ่ตี ดู ปอดปอด มนั ยงั รูจ้ ักตอดคนปวด มันยังรู้จักตอดคนปวด เออ..เฮอ่ ..เอย๊ ได้ ชาชะชา้ ( สจุ นิ ต์ ชาวบางงามและคณะ การสาธิต ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ) ( ไฟล์ ๑๕ ก.ค. ๕๗ MOV๐๓C ๑๙.๓๕- ๒๐.๓๕ ) ญ. เอง๋ิ ..เออ..เอ่อ..เอ๋งิ .เอ่อ เอ่อ เอ่อ.เอย..เอย๊ .. เสียงชู้เชียวหนอรอ้ งกร่าย พอไดย้ ินเสยี งชายรอ้ งเกริ่น มันให้เผลอพลงั เชียวหนอฟังเพลนิ ฟังฟังไปด้วยนา้ ( ช้าแม่ ) เสยี งเพลง มนั ให้เสยี วทรวงจิตซาบซ่าน ได้ยินพอ่ นา้ เสยี งหวานวงั เวง..เอง๋ิ เออ..เอ๊ย..ใจ (ลูกคู่รบั ) มันใหเ้ สยี วทรวงซาบซา่ น เสยี วทรวงเอิงเอย๊ ..ซาบซา่ น ไดย้ นิ พ่อนา้ เสียงหวานเอย๊ วงั เวง เอิง๋ เออ..เอ๊ย..ใจ โอยแม่ โอล้ ะฉา่ โอล้ ะฉา่ ฉ่า ฉ่า ชา ทิงละนอ ละ นอ ละนอ ละหน่อ ละหนอ่ ละนอ ละนอ้ ละนอย หนอยแม่ หนอยแม่ ฉา่ ชา เอ่อ..เอย.. ( สา้ เนียง ชาวปลายนา และคณะ การสาธิต ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ) ( ไฟล์ ๑๕ ก.ค. ๕๗ MOV๐๓C ๒๒.๓๒- ๒๔.๑๒ ) ๒.๒.๑.๖ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและความเชื่อ การแสดงเพลงฉ่อยของศิลปินแต่ละท่านท้าให้เห็นรูปแบบของพฤติกรรม หรือการใช้ คา้ ท่ีได้รับการยอมรับว่าเป็นส่ิงท่ีดี ที่เหมาะสม และปฏิบัติสืบทอดกันต่อมาจนกลายเป็น “ขนบธรรมเนียม” ในการแสดงเพลงฉ่อย ขณะเดียวกันศิลปะทุกชนิดย่อมมีครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา จึงน้าไปสู่การ สรา้ งสรรค์และสบื ทอด “ประเพณี” รวมถงึ “พธิ ีกรรม” เพื่อแสดงความเคารพและขอพรต่อส่ิงศักด์ิสิทธ์ิที่ตน นบั ถอื ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปนี ๒.๒.๑.๖.๑ ขนบธรรมเนยี ม แนวปฏบิ ัตทิ นี่ ยิ มสืบต่อกันมาในการแสดงเพลงฉอ่ ยมีทังสนิ ๑๒ ประการ ได้แก่
๘๕ ๑) ธรรมเนียม “ออกตัว” หมายถึงการพูด การร้องและการกระท้าที่แสดง ความออ่ นนอ้ มถอ่ มตน ตามแบบธรรมเนียมนิยมของไทย เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ชม และผู้ร่วมแสดง ด้วย ๒) ธรรมเนียม “ปฏิสัมพันธ์กับเจ้าภาพและผู้ชม” ได้แก่ การทักทาย การ ขอบคุณ การสรรเสริญหรือชนื่ ชม ซ่ึงส่วนใหญใ่ ช้ในการร้อง บทท่นี ้ามาร้องอาจแตง่ ใหมใ่ ห้สอดคล้องกับงานแต่ ละโอกาส หรอื อาจใชบ้ ทเก่า “กลอนครู” ที่ท่องจ้ากันมาก็ได้ ผู้แสดงท่ีมีความเช่ียวชาญบางคน เช่น แม่ขวัญ จิต ศรปี ระจนั ต์และพอ่ สจุ ินต์ ชาวบางงาม สามารถรอ้ งด้น “กลอนสด” เพ่ือปฏสิ ัมพันธก์ บั เจ้าภาพและผู้ชมได้ อย่างน่าประทับใจ ถือเป็นเสน่ห์เฉพาะของเพลงพืนบ้านท่ีแสดงให้เห็นความฉลาดหลักแหลม มีปฏิภาณไหว พรบิ ดี ๓) ธรรมเนียม “ไปลามาไหว้” “ขออภัย” และ “ขอขมา” ได้แก่ การทักทาย และการอ้าลา ด้วยการพูดและการไหว้ ทังก่อนและหลังแสดงบนเวที รวมไปถึงการขอขมาอภัยในกรณีที่ ล่วงเกนิ หรอื พลังพลาดไปบา้ งทังทางวาจาและการแสดง โดยเฉพาะธรรมเนยี ม ขอขมา นัน หลังจากท่ีแสดงจบ แล้ว ผแู้ สดงทงั ชายและหญิงจะต้องไหวแ้ ละกล่าวค้าขอขมาอภัยซึ่งกันและกัน ผู้อาวุโสน้อยกว่ามักต้องเข้าไป กราบไหว้ผู้อาวุโสกว่าก่อนเสมอ เพราะถือว่าขณะที่แสดงอาจพูดจาพลังพลาดหรือแสดงกิริยาอาการใด ๆ ล่วงเกินผู้ใดผู้หนึ่งไป การขอขมาก็เพ่ือให้ผู้ท่ีอาจถูกล่วงเกินนันได้ให้อภัย ไม่ถือสา และไม่เจ็บแค้นทุกข์ใจ คล้ายกบั การอโหสิกรรมแก่กันนั่นเอง พิธีขอขมาจะท้าง่าย ๆ เพียงการพนมมือไหว้และอาจกล่าวค้าพูดสันๆ ว่า “ขอขมาอภัยนะครับ” บางคนแมไ้ ม่ได้ลว่ งเกินผูใ้ ดเลยแต่กไ็ หว้ และอาจกล่าวว่า “ขอบคุณนะคะ” ทังขอ ขมาและขอขอบคุณเป็นธรรมเนียมนิยมในหมู่ชาวเพลงพืนบ้านภาคกลางเกือบทุกคณะ ซึ่งการกระท้าเช่นนี แสดงให้เห็นถึงการมีวัฒนธรรมทางจิตใจในการให้อภัยผู้ที่รู้ดีรู้ชั่วรู้ถูกรู้ผิด และยังช่วยย้าว่า การโต้ตอบกัน อย่างเผ็ดร้อนของผู้แสดงเพลงฉ่อยท่ีได้ชมไปนันเป็นเพียง “การแสดง” ท่ีต้องสวมบทบาทเพื่อสร้างความ บันเทิงเทา่ นัน ๔) ธรรมเนียม “ง่ายงาม” ยึด “ความสนุกเป็นหลัก มุ่งรักสามัคคี” ได้แก่ การ นยิ มใชถ้ ้อยคา้ งา่ ย ๆ แตไ่ พเราะกินใจ ใชม้ ุกตลกต่าง ๆ ทงั คา้ ร้อง การเจรจา กิริยาอาการ การแต่งกายและใช้ อุปกรณต์ า่ ง ๆ สรา้ งความสนุกครืนเครง แม้มีการยั่วเย้ากระเซ้าแหย่กัน แต่ก็ระมัดระวังเรื่องความสุภาพและ ใหเ้ กียรติ ไม่เกินเลยสตรจี นเกนิ งามและไม่ล่วงเกนิ ผอู้ าวุโส โดยเฉพาะผู้ชมทังหลาย ๕) ธรรมเนยี ม “แสดงเปน็ คณะเดยี วกัน” ผู้แสดงแม้มาต่างถ่ินต่างที่ต่างวงต่าง คณะกันเม่ือต้องมารวมกันแสดงก็มักจะถือว่าเป็นคณะเดียวกัน คือแสดงให้เห็นว่าโต้กัน แต่ไม่ได้ประชันกัน จริงจัง ส่วนใหญ่จะฝึกซ้อมหรือซักซ้อมการแสดงล่วงหน้า การเดินทางก็นิยมน่ังรถยนต์คันเดียวกันไป การ ออกแบบการแตง่ กายหรอื อื่น ๆ ก็มวี างแผนรว่ มกันล่วงหน้า
๘๖ ๖) ธรรมเนียม “ตงั ฉายาหรือชือ่ ในการแสดง” เช่น สุธาทิพย์ ธราพร มีฉายาว่า “ สมหญงิ ศรปี ระจันต์” เปน็ ต้น ๗) ธรรมเนียม “ติดต่อว่าจ้าง ท้าสัญญาและวางค่ามัดจ้า” คณะเพลงพืนบ้าน หลายคณะ เช่น คณะขวัญจิต ศรีประจันต์ ฯลฯ มีงานหาว่าจ้างจ้านวนมาก ส่วนใหญ่เจ้าภาพมักติดต่อ ทาบทามทางโทรศพั ทห์ รอื ดว้ ยวาจา บางเจ้าภาพก็ทา้ สัญญาและวางคา่ มัดจา้ ดว้ ยเพื่อความม่นั ใจ ๘) ธรรมเนียม “นักแสดงรับเชิญ” ปัจจุบันผู้สืบทอดเพลงพืนบ้านท่ีมีความ ชา้ นาญมีจา้ นวนลดลง วงการเพลงพืนบา้ นก็นับวนั จะแคบลงอกี อยา่ งไรก็ตามผู้แสดงส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ ใกล้ชิดกนั เช่น เป็นศิษย์ครูเดียวกัน เป็นครูและศิษย์กัน เมื่อนักแสดงไม่พอ ก็จะยืมตัวนักแสดงจากคณะอ่ืน จงึ เกดิ นกั แสดงรับเชิญขนึ บางครงั บางงานเจ้าภาพก็เจาะจงนักแสดงรับเชิญด้วย ผลดีคือมีงานแสดงอยู่เสมอ และไดฝ้ ึกฝนจดจา้ องค์ความรูใ้ หม่ ๆ เพิ่มขึน เปน็ การพัฒนาฝีมอื ใหม้ ีความชา้ นาญย่ิงขนึ ๙) ธรรมเนียม “แต่งกายไทย นุ่งผ้าโจงกระเบน คาดเข็มขัดหรือผ้าเคียนพุง” คณะเพลงทุกคณะนงุ่ ผ้าโจงกระเบนตามแบบธรรมเนียมไทยสมัยเก่า บางคณะท่ีเป็นเยาวชน อาจประยุกต์ใช้ ผ้าโจงกระเบนสา้ เรจ็ รูปบ้างตามความสะดวก ส่วนเสือและการประดับตกแต่งร่างกายก็นิยมแบบไทย เช่น ผ้า ไหมคอกลม ผ้าลายดอก ผ้าลกู ไม้ คอกว้าง เป็นต้น ปกติแสดงบนเวทีสว่ นใหญ่จะนยิ มถอดรองเท้า บางคนบาง คณะอาจใสถ่ งุ เทา้ สนั บา้ ง ยาวบ้าง นอกจากนันนิยมแต่งหน้าท้าผมให้สวยงามเพ่ือดึงดูดความสนใจจากผู้ชม และสร้างความมน่ั ใจใหแ้ กต่ นเอง ๑๐) ธรรมเนียม “ภาษาเพลง” ในวงการเพลงพืนบ้านมีการใช้ค้าศัพท์เฉพาะ กลุ่ม จ้านวนมาก เช่น เพลงตบั หมายถงึ เพลงท่ีผูกขึนเป็นเรื่อง ค้าว่า “ตับ” หมายถึง บทหรือชุด เช่น เพลง ตับตอ เพลงตับชิงชู้ เพลงตับถามบาลี เพลงตับตีหมากผัว เพลงตับหมา เพลงตับรถเคร่ือง เพลงตับเช่านา เพลงตับกัดปลาตีไก่ เพลงตับจู๋ เพลงตับผูกรัก เพลงตับบวชนาค เพลงตับเผาศพ เป็นต้น กลอนหัวเดียว หมายถึง กลอนท่ีมีค้าสุดท้ายของวรรคหลังลงด้วยเสียงสระและเสียงพยัญชนะตัวสะกดเสียงเดียวกันทุกค้า กลอน เชน่ ลงด้วยเสยี งสระไอ เรยี กวา่ กลอนไล เป็นต้น กลอนแดง หมายถึง กลอนท่ีมีค้ากล่าวถึงอวัยวะเพศ และพฤติกรรมทางเพศอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการเลย่ี ง หักข้อรอ หมายถึง การหยุดและร้องข้ามค้าที่ กลา่ วถึงอวยั วะเพศและพฤติกรรมทางเพศอย่างตรงไปตรงมา เปน็ การเวน้ วรรคให้ผู้ฟังเติมค้านันเองในใจ เพื่อ หลกี เล่ียงความหยาบคายและสร้างความตลกขบขัน ขนึ้ เพลง หมายถงึ การเร่ิมร้องเพลงโดยการเอือนเสียงใน ลักษณะต่าง ๆ ลงเพลง หมายถึง การทอดเสยี งหรือหยอดเสยี งในตอนท้ายหรือเม่ือร้องเพลงแต่ละบทหรือแต่ ละท่อนจบลง รับเพลง หมายถึง การร้องต่อหรือร้องซ้าของลูกคู่ พานกานล หมายถึง พานไหว้ครู ยกครู หมายถงึ การประกอบพธิ บี ชู าครเู พ่อื มอบตวั เป็นศษิ ยอ์ ยา่ งเป็นทางการ ด้นเพลง หมายถึง การแต่งเนือเพลง แล้วร้องทันทีขณะทีเ่ ล่นหรอื แสดงเปน็ การคิดหาถ้อยคา้ อย่างฉบั พลัน ซึ่งต้องอาศัยความเชย่ี วชาญและปฏิภาณ ไหวพรบิ อย่างสูงของผู้รอ้ ง และตอ่ เพลง หมายถงึ การฝึกหัดเพลงโดยการจดจ้าเนือร้องจากครูเพลงท่ีจะบอก ให้ทีละบทหรอื ทลี ะวรรค เมื่อศิษย์จ้าได้แล้วก็จะบอกเนือร้องบทต่อไปเร่ือย ๆ มีทังแบบมุขปาฐะหรือปากต่อ ปากและบอกใหจ้ ดเป็นลายลักษณอ์ กั ษร เปน็ ต้น ( บัวผัน สุพรรณยศ ๒๕๕๔ : ๘๕-๘๖ )
๘๗ ๑๑) ธรรมเนียม “ร้อยเนือท้านองเดียว” หมายถึงการน้าเนือเพลงชนิดอื่น ๆ มาร้องท้านองใดทา้ นองหน่ึงได้ เชน่ นา้ บทร้องเพลงฉ่อย มาร้องเป็นท้านองเพลงอีแซว หรือน้าเพลงเก่ียวข้าว มาร้องเป็นทา้ นองเพลงเรือ เปน็ ต้น เพราะเพลงพนื บ้านเหล่านีมฉี นั ทลกั ษณเ์ ปน็ กลอนหัวเดียวเหมือนกัน ผู้ท่ีมี ความชา้ นาญก็สามารถยักยา้ ย “เนือ” เพลงท่มี ีอยู่เป็น “รอ้ ย”มาร้องเป็น “ทา้ นองเดยี ว” ได้ ๑๒) ธรรมเนยี ม “ร้องสุดคา้ ร้าสุดแขน” ครูเพลงเกือบทุกท่านกล่าวตรงกันว่า ต้องร้องให้สุดค้า ต้องร้าให้สุดแขน คือร้องชัดถ้อยชัดค้า ร้าหรือท้าท่าทาง แสดงสีหน้าอารมณ์ให้เหมาะสม สอดคล้องกบั เพลงท่รี อ้ งหรือบทบาทท่ีแสดง ๒.๒.๑.๖.๒ ประเพณพี ธิ ีกรรม คณะเพลงต่างๆ จะมีประเพณีพิธีกรรมท่ีส้าคัญคือการไหว้ครู การแสดงความ เคารพครูท่ีต้องท้าประจ้า คือ การไหว้ครูก่อนแสดง ดังค้ากล่าวของนาย หรัด เขน่วม และนางประทวย เขนว่ ม ( สัมภาษณ์, ๒๑ เมษายน ๒๕๕๗ ) ท่ีวา่ “ก่อนแสดงทกุ ครงั จะต้องมีการไหว้ครู โดยมีการยกพานไหว้ ครู ในพานประกอบด้วยเหล้า ๑ ขวด บุหร่ี ๑ ซอง เงิน ๑๒ บาท กรวยดอกไม้ ๑ คู่ และธูปเทียน เม่ือเริ่ม เล่นจะร้องบทไหว้ครกู ่อน” คณะเพลงฉอ่ ยบางคณะ เช่น คณะพ่อสวิง บรรเด็จ จะมีบทร้องเพลงค้านับครู ตอนจะลงจบด้วย เช่น “ เอ่อเฮอเอย...ถึงเวลา บังคมคัลวันทา เอ่อเออเอย บูชาครู” ( คมคาย ชุนตาล. สัมภาษณ.์ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๗) นอกจากนียังมีการประกอบพิธีไหว้ครูประจ้าปี เป็นพิธีใหญ่ท่ีต้องจัดเตรียม เครอื่ งไหว้เครื่องบูชาอยา่ งครบครนั แตก่ ารจดั พิธขี นึ อยู่กับความพร้อมของหัวหน้าคณะ ไม่มีการบังคับว่าต้อง กระทา้ ทกุ ปี ตัวอยา่ งคณะพ่อหรัดแม่ประทวย “ในชว่ งเวลาเดอื น ๖ ของทกุ ปจี ะมพี ิธีเลียงครู ทงั นีในกรณีท่ีมี การออกแสดงอยา่ งสม่า้ เสมอกจ็ ะต้องเลยี ง พิธีจะท้าในช่วงเช้าโดยน้าเคร่ืองเซ่นท่ีจะใช้เลียงครู ประกอบด้วย บายศรี ขนมต้มขาว ขนมตม้ แดง ข้าวเหนยี วแดง ข้าวเหนียวขาว เคร่ืองกระยาบวช และของกินต่าง ๆ เม่ือเริ่ม พิธกี ็จะร้องบทไหว้ครู หลังจากที่เลียงครูก็จะต้องมีการเล่นเพลงเล็กน้อยเพ่ือบูชาครู เป็นอันเสร็จพิธี แต่ถ้าปี นันไม่ไดอ้ อกแสดงก็ไมต่ ้องเลียง” เช่นเดยี วกบั คณะเพลงฉอ่ ยพ่อพ่อสวิง บรรเดจ็ ทีเ่ ล่าว่า “พิธีไหว้ครูประจ้าปี นนั เคยท้าเมือ่ พอ่ สวงิ บรรเดจ็ ยังมชี วี ติ อยู่ โดยทุกคนทเ่ี ป็นลูกศิษยก์ จ็ ะไปรว่ มงาน มเี คร่อื งเซ่นไหว้ เช่น ไก่ หัว หมู ไข่ตม้ ขมต้มแดงต้มขาว เป็นต้น พ่อสวิงจะบอกกล่าวแก่ครูบาอาจารย์ เพ่ือเป็นการเชิญมารับเคร่ืองเซ่น สงั เวย ไม่มีพธิ ีสงฆ์ แตห่ ลงั จากพอ่ สวิงเสียไปก็ไมไ่ ด้ท้าพธิ ีอีกเลย” นอกจากนีครูเพลงบางท่านเช่น แม่ล้าจวน ศรีจันทร์ยังท้าพิธีไหว้ครูก่อนที่จะ สอนร้องเพลงใหแ้ ก่ลกู ศิษยด์ ้วย
๘๘ ภาพที่ ๔๑ การไหวค้ รขู องแมล่ ้าจวน ศรจี ันทร์ เมื่อวันท่ี ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ณ ศนู ย์เรยี นร้เู พลงพนื บ้านแมข่ วัญจิต ศรีประจันต์ จงั หวดั สุพรรณบรุ ี ท่ีมา : ค่ายเพาะกล้าพันธุ์เกง่ เพลงพืนบา้ น โครงการวิจัยเพลงพืนบา้ นภาคกลาง ๒.๒.๑.๖.๓ ความเช่ือ ความเช่ือในการแสดงเพลงฉ่อย ประกอบด้วยความเช่ือในหลักศาสนา ความ เช่ือในสง่ิ ศักดสิ์ ทิ ธิ์ เชน่ เทพเจา้ เจ้าท่ี เจ้าป่า ฯลฯ และความเช่อื เร่ืองครูบาอาจารย์ ที่ฝังลึกในจิตวิญญาณของ ชาวเพลงพืนบ้านมาช้านาน ปัจจุบันคณะเพลงฉ่อยทุกคณะยังคงสืบทอดคติความเชื่อนีและยังปฏิบัติตนตาม ขนบธรรมเนียมทบ่ี รรดาครบู าอาจารย์และบรรพชนไดส้ ั่งสอนไว้ จากการประชมุ กลมุ่ ย่อย เยาวชนและครเู พลงที่ร่วมกิจกรรมแลกเปล่ียนเรียนรู้ เลา่ สู่เพลงฉอ่ ย ในคา่ ยเพาะกลา้ พันธเ์ุ กง่ เพลงพืนบา้ นพบวา่ ครเู พลงหลายทา่ นตา่ งจดจา้ ค้าสอนและข้อห้ามของ ครูสืบต่อกันมา ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการยึดมั่นในศีลธรรม เช่น “ห้ามด่ืมสุรา” ( คมคาย ชุ) “ห้ามศิษย์ครู เดยี วกันชอบพอกัน และให้ใช้แต่วาจาไม่ใช้อวยั วะ” ( วาง ทองกรณ์ ) นอกจากนียังมีข้อห้ามเพื่อสอนให้รู้จัก ใชว้ าจากิรยิ าที่เหมาะสมกบั บคุ คล โอกาสและกาลเทศะในการร้องหรอื แสดง เช่น “ไม่รอ้ งหยาบคาย ไม่ใช่มึง กู ใชพ้ อ่ แม”่ (สมปอง พลอยบตุ ร ...) “ไมอ่ ยากให้หยาบคาย” ( สวาท ) “ในฉ่อยวิชาการจะไม่มีค้าสัปดน” ( สกลุ ต๊ะปินตา ...) จะเหน็ ไดว้ า่ ครเู พลงมไิ ดส้ อนเฉพาะความรู้และทกั ษะการร้องเพลงฉอ่ ยเท่านัน ยังสอนเรื่อง การครองชวี ติ ให้มีความรอบคอบและตงั มนั่ ในคุณธรรมความดีงามดว้ ย
๘๙ ๒.๒.๒ เพลงทรงเครื่อง ๒.๒.๒.๑ ประวัติความเปน็ มาของเพลงทรงเครอ่ื ง เพลงทรงเคร่ืองเกิดขึนในสมัยใดไม่มีหลักฐานท่ีปรากฏแน่ชัด ผู้เช่ียวชาญด้านเพลง พนื บา้ นภาคกลาง ได้แก่ เอนก นาวกิ มลู และสกุ ัญญา สุจฉายากล่าวตรงกนั ว่าเพลงนสี ันนษิ ฐานวา่ น่าจะเกิดใน ราวรชั สมัยของพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั เอนก นาวิกมูล ( ๒๕๕๐ : ๕๗๒ –๕๗๓ ) กล่าวว่า “ตามหลักฐานตัวหนังสือและค่า บอกเล่า เข้าใจว่าเพลงชนิดน้ีคงเกิดในราวสมัยรัชกาลที่ ๕ หรือก่อนนั้นไม่นาน” ส่วนหลักฐานเร่ืองช่ือเพลง ทรงเคร่อื งนนั เท่าทพ่ี บก็เช่นในหนังสือ “เมืองในภาคอีสาน” ซ่ึงพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพของพระยา อุดรธานี (จติ ร จิตตะยโศธร) พระยาอดุ รธานไี ดเ้ ลา่ ประวตั ิของท่านให้ลูกหลานฟังว่า เม่ือเมื่อท่านอายุได้ ๑๘ ปี คือ พ.ศ. ๒๔๔๓ ท่านได้พักอยู่ท่ีกรุงเทพมหานคร “ที่ใกล้ๆ วัดโสมนัสวรวิหาร คนละฝ่ังคลองเวลาน้ันมี ตลาดอยู่แหง่ หน่ึงชื่อว่าตลาดนางเลิ้ง ตลาดแห่งนี้นอกจากขายอาหารเคร่ืองบริโภค ในเวลากลางคืนยังมีการ เล่นเพลงฉอ่ ย เรียกว่า เพลงยายแจ่ม” (เอนก นาวกิ มลู , ๒๕๕๐ : ๕๗๒) ยายแจ่มที่พระยาอุดรธานีกล่าวถึงนี เปน็ คนเล่นเพลงทรงเครอ่ื งท่ีมชี อื่ เสียงในสมยั นัน แม้แต่นางทองอยู่ รักษาพล (เกิดปี พ.ศ. ๒๔๓๖) ซึ่งเป็นแม่ เพลงทีม่ ีชอื่ เสียงเช่นเดยี วกนั และเกดิ หลงั พระยาอุดรธานไี ม่นาน กย็ ังพดู ถงึ เพลงยายแจ่ม จึงเปน็ อันยอมรับได้ วา่ เพลงทรงเครือ่ งมีมาแต่ประมาณรชั สมัยนนั เปน็ อย่างน้อย (เรื่องเดียวกัน : ๕๗๒ - ๕๗๓) ช่ือเพลงทรงเคร่ืองยังปรากฏอยู่ในหลักฐานที่น่าสนใจมากในหนังสือพิมพ์บางกอก ไตมส์ ฉบับวันจันทรท์ ่ี ๒ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๔๖ ซึ่งลงข่าวเก่ียวกับ “การสโมสรพระชนมพรรษาครบ ๕๐ ปี” ของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั รชั กาลที่ ๕ ว่า “งานนจี ะเรม่ิ ในวันอาทิตย์ท่ี ๑ พฤศจิกายน มเี ลียงเด็กแจกเสมา มมี หรสพ เช่น งิว ละคร โขน พณิ พาทย์ ห่นุ กระบอก เพลงวงและเทพทอง เพลงส่งเครื่อง ลาวแพน ละครกลันตัน มะโย่งเมืองตานี ลเิ ก มโนรา” ( เรอ่ื งเดยี วกนั : ๕๗๓ ) นอกจากนีเพลงทรงเคร่ืองยงั เปน็ มหรสพในงาน “ไหว้พระพุทธชินราชประจ้าปี ณ วัด เบญจมบพติ รดสุ ติ วนาราม ร.ศ. ๑๒๓ หรอื พ.ศ. ๒๔๔๗ ปรากฏอยใู่ นหนงั สอื รายการพระราชกุศลสถาปนาวัด เบญจมบพติ รดุสติ วนาราม ภาคท่ี ๑๑ หน้า ๘ ทก่ี ล่าวว่ามี “เพลงทรงเครอื่ ง แจม่ ” ด้วย นอกจากข้อมูลลายลักษณแ์ ลว้ ยงั มขี อ้ มูลจากการสัมภาษณ์บุคคลคือนางทองอยู่ รักษา พล ที่เลา่ ว่า “สมัยนั้นคนนยิ มเพลงทรงเครื่องกนั มาก พวกเพลงเล่นกันแทบไมไ่ ด้อยู่บ้าน ...แม่เพลงอายุรุ่นราว คราวเดียวกันอย่างยายทองหลอ่ ยายต่วน หรือยายตะเคียน ยายเหลื่อม ฯลฯ เหล่านี้เคยเล่นเพลงทรงเครื่อง กนั มาแล้วท้งั ส้ิน” ( เอนก นาวกิ มูล, เรือ่ งเดียวกัน : ๕๗๓ - ๕๗๔ ) ขอ้ สันนษิ ฐานดังกลา่ วสอดคล้องกับสุกัญญา สุจฉายา ( ๒๕๕๕: ๑๒ ) ทีก่ ล่าวว่า
๙๐ เพลงทรงเครอื่ งมีก่าเนิดข้ึนราวสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นพัฒนาการอีกข้ันหน่ึงของ เพลงฉ่อย คือเป็นเพลงฉ่อยที่เล่นเป็นเรื่อง...พบว่าเคยมีแสดงในกรุงเทพฯ ราชบุรี สพุ รรณบุรี อา่ งทอง นครนายก อยธุ ยา แตต่ ้นก่าเนดิ น่าจะมีที่มาจากกรุงเทพฯ เนื่องจาก การสัมภาษณพ์ ่อเพลงแม่เพลงทรงเครือ่ งหลายคนได้เค้าเงื่อนว่า เพลงทรงเคร่ืองเคยเป็น มหรสพทแี่ สดงหนา้ บ่อนเพือ่ เรยี กความสนใจจากคนทส่ี ัญจรไปมาเหมอื นลเิ กหน้าตลาดใน ปจั จุบัน (บ่อนดงั ในยคุ นั้นคือบอ่ นนางเล้งิ ขนุ พฒั น์เป็นเจ้าของบ่อน มีภรรยาเป็นแม่เพลง ฉ่อยมชี ื่อ คอื แม่อิน บ้านน่้าตาล เมืองนนทบุรี แม่เพลงที่มีชื่ออีกคน คือ แม่แจ่ม เป็นแม่ เพลง ที่รอ้ งเลน่ ประจ่าอยทู่ ี่บอ่ นนางเลง้ิ หมอ่ มพกุ ขุนสา่ ราญสมิตมุข หรือ นายอ๊อด ตาม ประหาส พอ่ เพลงฉอ่ ยคนดัง ชาวราชบุรี ล้วนเปน็ เพลงหนา้ บอ่ นทั้งส้ิน) “เมอื่ เปน็ ทีน่ ิยม พ่อเพลงแม่เพลงตามทอ้ งถนิ่ ต่าง ๆ จึงฝึกหัดเพลงทรงเคร่ืองมากขึ้น” (สกุ ัญญา สุจฉายา, ๒๕๕๔ : ๖๙) ในหนังสือ ๘๐ ปีในชีวิตข้าพเจ้า ของขุนวิจิตรมาตรา (อ้างถึงใน วรรณา แก้วกว้าง, ๒๕๕๕: ๒๔) ยังได้มีกลา่ วถึงเพลงทรงเครอ่ื งเช่นเดียวกนั วา่ “คณะเพลงทรงเครอื่ งทม่ี ีชื่อเสียงในสมัยนั้นมีสอง คณะ คือ คณะหม่อมพุกและคณะยายแจม่ คนทั่วไปเรยี กว่า เพลงหม่อมพุกและเพลงยายแจ่ม คณะหม่อมพุก มีโรงแสดงประจ่าที่ถนนอุณากรรณ ส่วนคณะยายแจ่มมีแสดงท่ัวไป เขาไปเช่าโรงลิเกพระยาเพชรปราณี แสดง” นางเหม อนิ ทร์สวาท แมเ่ พลงที่มชี ่อื เสยี งคนหน่ึงได้เคยกล่าวในหนังสือคนเพลงและเพลงพืนบ้านภาค กลาง ของเอนก นาวิกมลู ( เร่ืองเดียวกัน ๒๕๕๕: ๒๔ ) ถึงเพลงของหม่อมพุกว่า “ส่าหรับเพลงทรงเคร่ืองนั้น สาเหตทุ ีเ่ กิดขึ้นทางอู่เรือก็เพราะป้าของแม่เหมที่ชื่อว่าแม่ทองดี เป็นคนไปฝึกหัดเป็นคนแรก แต่ก่อนนี้แม่ครู ทองดี มาเล่นเพลงกบั หม่อมพกุ ท่ีกรงุ เทพฯ สมยั นนั้ เล่นตามโรงบอ่ นหรอื วกิ ” จากหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเพลงทรงเครือ่ งถือกา้ เนิดขนึ มาในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ หรืออาจก่อนหน้านันไม่นานในเขตกรุงเทพมหานครและเป็นท่ีนิยมอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นมหรสพท่ีมีตาม งานวัด งานเทศกาลเฉลิมฉลอง หรือแม้แต่การเป็นมหรสพหน้าโรงบ่อนท่ีใช้แสดงเพื่อดึงดูดวามสนใจ คณะ เพลงทรงเคร่ืองที่มชี อ่ื เสยี งท่สี ดุ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ คือหม่อมพุกและยายแจม่ ขุนวิจิตรมาตรา (อ้างถึงใน เอนก นาวิกมูล.๒๕๕๐:๔๓) ได้เล่าไว้ในหนังสือ ๘๐ ปี ชีวติ ข้าพเจ้า ว่าเคยชมการแสดงเพลงทรงเครื่องของคณะหม่อมพุก นอกจากนียังกล่าวถึงขันตอนการแสดง กลุ่มผู้แสดง และเรอื่ งท่ีนิยมเลน่ ในการแสดงเพลงทรงเครื่อง ดงั ความว่า เพลงหม่อมพุกตั้งโรงเล่นที่ถนนอุณากรรณ ตอนใกล้จะถึงถนนเจริญกรุง ขา้ พเจ้าได้ดู ๒-๓ ครง้ั เวลาปี่พาทย์โหมโรงแล้วจะเริ่มเล่น มีพวกเพลงฝ่ายชายฝ่ายหนึ่ง หญิงฝ่ายหนึ่ง แต่งตัวอย่างธรรมดาออกมาตั้งวงเล่นกลางเวทีก่อน ร้องไหว้ครูฝ่ายละ
๙๑ เลก็ น้อย สักครหู่ นงึ่ เข้าโรง ปพ่ี าทยท์ ่าเพลงเสมอ ตวั เพลงแตง่ เคร่อื งละครร่า ออกร่าน่ัง เตยี ง รอ้ งแบบเพลงฉอ่ ย ตวั เพลงแตง่ เคร่อื งทกุ คน และรอ้ งอยา่ งเพลงฉอ่ ย....เพลงท่ีเล่น เป็นเร่ืองในโรง เห็นจะนิยมเล่นเร่ืองขุนช้าง-ขุนแผนมาก แต่เร่ืองอื่นก็มี เช่น เคยดูเล่น เร่ืองโคบตุ ร จากหลักฐานต่างๆ แสดงให้เห็นว่าเพลงทรงเครื่องเป็นมหรสพท่ีนิยมแพร่หลาย ต่อเน่ืองมาจนรัชกาลที่ ๖ ท่ีส้าคัญอีกอย่างหนึ่งคือการพิมพ์บทเล่นเพลงทรงเคร่ืองจ้าหน่ายโดยโรงพิมพ์ ราษฎรเ์ จริญ หรือโรงพิมพ์วัดเกาะ อภิลักษณ์ เกษมผลกูล (๒๕๕๕: ๔๗ – ๔๘, ๕๒ - ๖๕) เล่าไว้ในบทความ เรอ่ื ง “เพลงพนื บ้านใน หนงั สอื วดั เกาะ: จุดเปลี่ยนของมุขปาฐะสู่ลายลักษณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๖” ว่า โรงพิมพ์ วัดเกาะเป็นของนายสิน ลมุนทรัพย์ เป็นชาวสิงห์บุรี เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ และตังโรงพิมพ์แห่งนีขึนเม่ือ พ.ศ. ๒๔๓๒ และด้าเนนิ กจิ การมายาวนานจนปิดกิจการลงใน พ.ศ. ๒๕๒๐ “หนังสือวัดเกาะ”มีลักษณะเป็น หนังสอื แบบหนังสือฝรัง่ เรือ่ งที่นา้ มาพิมพข์ ายเป็นนิทาน พงศาวดาร วรรณคดีชาวบ้าน สภุ าษติ ต้านาน กลอน ลเิ ก และกลอนเพลงพืนบ้าน โดยเฉพาะกลอนลา้ ตดั กลอนเพลงฉอ่ ยและเพลงทรงเครอ่ื ง เอนก นาวิกมูล (๒๕๕๐ : ๒๕) ยังกล่าวถึงโรงพิมพ์ราษฎร์เจริญกับการพิมพ์บทเล่น เพลงพืนบ้านออกจ้าหน่าย ว่า ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๐ โรงพิมพ์ราษฎร์เจริญเริ่มน้าเพลงพืนบ้านมาพิมพ์ จ้าหน่ายอย่างเป็นกิจจะลักษณะ อ้างอิงได้จากหนังสือ “บัญชีรายช่ือหนังสือประโลมโลก ธรรมะ สุภาษิต นิ ราส แบบเรียนต่าง ๆ สมุดเครื่องเขียน” ทีโ่ รงพิมพร์ าษฎร์เจริญพมิ พ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ ในนันมีรายช่ือ หนังสือลิเกและเพลงต่างๆ หลายรายการ เช่น ลิเกล้าตัด และเพลงฉ่อยนายเป๋ แต่น่าเสียดายท่ีหนังสือยุค ๒๔๗๐ เหล่านไี มเ่ หลอื มาถึงยุคปัจจุบันเลย ต่อมา ประมาณ ๒๔๙๐ – ๒๕๐๐ โรงพิมพ์วัดเกาะจึงได้น้าเพลง พืนบ้านมาพิมพ์จ้าหน่ายอีก ซึ่งส้านักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เก็บรักษาต้นฉบับจริงไว้ ประมาณ ๒๐ เล่ม ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อภลิ ักษณ์ เกษมผลกูล ด้าเนินการน้ามาพิมพ์รวมเล่มและเผยแพร่ อีกครงั ใน หนังสอื ประชมุ เพลงทรงเครื่อง: สืบสานตานานเพลงพื้นบ้านจากโรงพิมพ์วัดเกาะ รวม ๙ เร่ือง ไดแ้ ก่ เรือ่ งโคบตุ ร เรื่องจนั ทะโครบ เร่ืองพระรถ เรือ่ งลนิ ทอง เร่ืองนางมโนราห์ เรื่องขุนช้างขุนแผน เรื่องไกร ทอง เร่ืองลักษณวงศ์ และเร่อื งพระอภยั มณี ความนิยมเพลงทรงเคร่อื งในสมยั รัชกาลที่ ๕ – ๖ ยังปรากฏหลักฐานชัดเจนจากการ บันทึกแผ่นเสียง ดังที่เอนก นาวิกมูล กล่าวว่า ( ๒๕๕๐ : ๓๒ ) “ในปี ๒๔๗๙ ห้างแผ่นเสียงของนาย ต. เง็ก ชวน ไดพ้ ิมพ์บัญชรี ายช่ือเพลงแผ่นเสียงในร้านข้นึ มีเพลงทรงเครอ่ื งตอนพลายแกว้ ตีเชียงใหม่ แล้วพาลาวทอง กลบั เมอื งใต้ นายคล้าม เสง่ียม อินทร์ คลอ้ ย ร้อง มพี ิณพาทย์รับครึกครื้น ๗ แผ่นจบ” การน้าเพลงทรงเครื่อง มาบันทึกเสยี งเช่นนสี ่งเสริมให้เพลงทรงเครือ่ งมีความแพรห่ ลายมากยิง่ ขนึ ดงั ที่ เอนก นาวิกมลู กล่าวไวว้ า่ การท่ีพ่อเพลงแม่เพลงเอาเพลงฉ่อยมาเล่นเข้าเร่ืองน้ี นับว่าเป็น ใชค้ วามคดิ ทีแ่ ยบคายได้การมาก เพราะท่าใหเ้ กิดของใหม่ แปลกหแู ปลกตาขึ้น คนก็สนใจ
๙๒ กนั ทั่วไป มีหาไปเล่นทั้งงานราษฎร์ งานหลวง มีการอัดแผ่นเสียงขายอย่างเป็นเรื่องเป็น ราวต้ังแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ...ปัจจุบันนี้ได้พบแผ่นเสียงเพลงทรงเคร่ืองหลายแผ่น ... แผน่ เสยี งของนายพงศพ์ ัฒน์ ชน้ั ประเสริฐ ได้แก่ เพลงเร่ืองจ่าปาทอง ร้องโดย แม่อิน แม่ จนั แม่จ่าเริญ นายพนั เปน็ แผ่นเสยี งตราตกึ ฯลฯ ขนึ้ ( เอนก นาวกิ มูล ๒๕๕๐: ๕๗๐,๕๗๔ ) นอกจากนีในปกหลังของหนังสือ ประชุมเพลงทรงเคร่ือง : สืบสานตานานเพลง พน้ื บา้ นจากโรงพิมพ์วัดเกาะ ยังได้น้าภาพแผ่นเสียงเพลงเร่ืองขุนช้างขุนแผน ซ่ึงได้รับอนุเคราะห์จากเอนก นาวิกมูล มาแสดงไว้ และย้าว่าประจักษ์พยานอย่างหนึ่งท่ีท้าให้ทราบถึงความแพร่หลายของเพลงทรงเครื่อง คือแผ่นเสยี งเพลงทรงเคร่อื งที่ได้บันทึกท้านองและบรรยากาศการเล่นเพลงในครังนัน เรื่องต่างๆ ที่น้ามาร้อง เป็นเพลงทรงเคร่ืองนนั มี อาทิ เพลงเรือ่ งจ้าปาทอง เพลงฉอ่ ยเรือ่ งไกรทอง เพลงเป๋เร่ืองโคบุตร เพลงฉ่อยเร่ือง พลายแกว้ เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยกลับจากวังลงมาหา้ ม ร้องโดยแมอ่ นิ นายพนั แม่ชนื่ มลี ูกค่รู บั พูนพิศ อมาตยกุล กล่าวถึง เร่ืองแผ่นเสียงเพลงทรงเคร่ืองสมัยรัชกาลที่ ๕ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๗ -๒๔๕๐ ไว้ในบทความออนไลน์ ในเว็บไซต์ http://www.oocities.org เร่ือง “แผ่นเสียงเพลง พ้นื บา้ นสมยั แรกเริม่ ตอนท่ี ๑” และ “แผ่นเสยี งเพลงพน้ื บา้ นสมัยแรกเรมิ่ ตอนท่ี ๒” ไว้อยา่ งนา่ สนใจดังนี นอกจากเพลงเป๋แล้ว กย็ งั มีเพลงปรบไก่แก้กัน (แปลว่าร้องแก้กันชายหญิง) มี เพลงทรงเครอื่ ง ร้องเปน็ เรอื่ งใช้บทจากเรื่องพระสมุทร เปน็ ต้น เพลงทรงเคร่อื งนัน้ มดี นตรี ประกอบด้วย ส่าหรับช่ือนักร้องน้ัน ได้ความชัดเจนทีเดียวว่า เป็นดาราเพลงพื้นบ้านยุค นน้ั แนน่ อน อันไดแ้ ก่ นายพนั แม่อนิ นายป่วน นายชุ่ม ( ชุม ) แม่ละม่อม เป็นอาทิ ซ่ึง นักรอ้ งเหล่านไ้ี ด้แต่ช่อื แต่ไมส่ ามารถจะค้นประวัติชีวิต หรือนามสกลุ ได้เลยในการร้องนั้นมี ทง้ั ต้นเสยี งและลกู คู่ การรอ้ งต้องมีลกู คู่ \" ร้องกระทุง้ จังหวะ \" ใหเ้ กิดอารมณส์ นุก ท่านจึง เขียนไวว้ ่า \" มลี ูกคแู่ ลกท้งุ \" แปลวา่ \"ร้องมลี ูกคูก่ ระทุง้ ” สง่ิ ทีน่ ่าสังเกตอีกอย่างหน่ึงคือมี ช่ือบ้านศิลปินที่ขับร้องด้วย คือ \" บ้านมหาราชวงศ์กรุงเก่า \" แสดงว่าเพลงพ้ืนบ้านที่มา อัดแผน่ เสียงนี้เปน็ ฝีมือชาวบา้ นเกา่ แกต่ กทอดมาจากสมยั กรงุ ศรอี ยุธยาโน่นเลยทีเดยี ว... ส่ิงที่น่าสังเกตคือเป็นการบันทึกเพลงเป๋หรือเพลงฉ่อย คณะแม่อินผู้ลือช่ือ มี นายพัน นายชุ่มและแม่ละม่อมร่วมงานกับแม่อินด้วย ท่ีพบเป็นสองแบบ แบบหนึ่งเป็น เพลงเป๋แท้ๆ อกี แบบหนึง่ เปน็ เพลงทรงเครือ่ งซง่ึ ประเภทหลังนม้ี พี ิณพาทย์ประกอบ แถม ใชว้ งปพี่ าทยเ์ ครอ่ื งใหญเ่ สียดว้ ยและเร่อื งท่ีบันทึกกเ็ ปน็ เรอ่ื งพระสมุทรกับนางบุษมาลี ซึ่ง เปน็ เรื่องราวและงานระดับกวนี พิ นธท์ ีเดยี ว (พนู พศิ อมาตยกุล, http://www.oocities.org)
๙๓ ภาพที่ ๔๒ แผน่ เสยี งเพลงเป๋ ทมี่ า : พนู พศิ อมาตยกลุ (อ้างถงึ ใน http://www.oocities.org) หลกั ฐานแผ่นเสียงดังกล่าวท้าให้ทราบว่ามีคณะเพลงทรงเครื่องที่โด่งดังมากในยุคนัน ชอ่ื คณะแม่อนิ แมอ่ ิน หรือ แม่อิน บ้านน้าตาล ก็คือนางอิน แสนโกสิทธิ ซึ่งอาศัยอยู่ใน (หมู่)บ้านน้าตาล ริม คลองบางกอกนอ้ ย อ้าเภอบางกรวย จงั หวัดนนทบรุ ี (เดิมอยู่ในเขตธนบุรี) มีช่ือเสียงมากนอกจากจะได้รับการ บันทึกแผน่ เสียงหลายครังแล้วยังไดร้ อ้ งสง่ ทางสถานีวทิ ยดุ ว้ ย หลกั ฐานปรากฏในหนังสือศรีกรงุ ฉบับวันจันทร์ ท่ี ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๒ หน้า ๑๖ ท่กี ลา่ วถึงแมอ่ ินไวว้ า่ เพลงฉ่อยร้องส่งกระจายเสียงเครื่องวทิ ยุ คืนพรุ่งน้ี (ท่ี ๗ ) คณะเพลงฉอ่ ยวงนางอนิ แสนโกสทิ ธิ ซงึ่ เป็นเพลงวงมีช่ือเสียง มานานแล้ว จะไดพ้ ร้อมกันไปรอ้ งส่งกระจายเสียงทสี่ ถานีวิทยุโทรศพั ท์กรงุ เทพฯ ตัวเพลงส่าคญั นอกจากนยี้ ังมีนางเช่อื ม นางเฉอ่ื ย ฝ่ายชายมีนายพัน ภู่เหมห้อย กับนายคร้าม การรอ้ งสง่ ครงั้ นี้ จะไมม่ กี ารเกยี้ วกนั อย่างประเพลงธรรมดาเลยตามรายการ ทีจ่ ะส่งคือ ๑. ยอพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนาง เจ้าฯ พระบรมราชินี ๒. ฝ่ายชาย จะร้องถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฝ่ายหญิง ถวายแด่สมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ ี กบั อวยพรประเทศชาติศาสนา ๓. ร้องประกันในเรอ่ื งชมนกชมไม้ป่าเขา ๔. ในระหว่างเวลาหยุดพัก นักดนตรีคณะศรีกรุงจะได้บรรเลงเพลงหมู่เพลง เดีย่ ว เพลงตับ สลับทกุ ๆ ตอนจนตลอดเวลาปดิ สถานี...
๙๔ อย่างไรกต็ ามเม่ือยคุ สมัยเปลี่ยนแปลงไป ความนิยมเพลงทรงเคร่ืองก็เปล่ียนแปลงไป เช่นกันดังจะเห็นจากการผลิตเพลงพืนบ้านชนิดอ่ืนๆ ออกจ้าหน่ายในรูปแบบต่างๆ ซ่ึง เอนก นาวิกมูล (๒๕๕๐: ๗๕๘-๗๕๙) กลา่ วถึงปรากฏการณ์นีวา่ “เมอื่ หมดยุคแผน่ เสยี งแลว้ กม็ ีเครอื่ งบันทึกเสียงอย่างใหม่เข้า มาแทนท่ี เพลงพน้ื บา้ นอน่ื ๆ เชน่ เพลงฉอ่ ย ลา่ ตดั และเพลงอีแซวไดร้ ับการบันทึกเสียงเพ่ือจ่าหน่ายบ้าง แต่ไม่ ปรากฏว่ามเี พลงทรงเคร่อื ง” ด้วยสภาพสังคมและวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงไปและขาดผู้สืบทอด เพลงทรงเครื่องจึง เริ่มสูญหายไปจากสังคมไทย ส่วนหนง่ึ เพราะ “เน่ืองจากเพลงทรงเคร่ืองเป็นเพลงที่ร้องเล่นยาก ผู้เล่นจะต้อง ฝึกฝนทั้งร้องร่าและยังต้องท่องจ่าเนื้อเรื่องวรรณคดี จะอาศัยปฏิภาณอย่างเดียวไม่ได้ จึงปรากฏว่าหลัง สงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมาก็ประสบปัญหาขาดผู้สืบทอด ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๐ มีคณะท่ีเล่นได้เพียง ๒ คณะคอื คณะศิษยน์ พรัตน์ ของแม่เหม อินทร์สวาท ท่ี อ. สองพ่นี อ้ ง สุพรรณบุรี และคณะของแม่บัวผัน จันทร์ ศรี ท่ี อ. ศรีประจันต์ สุพรรณบุรี” (สุกัญญา สุจฉายา ๒๕๔๕ : ๑๑๖) และต่อมา “ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๒ เพลงทรงเครือ่ งหมดบทบาทจากสังคมไทยไปแล้ว” (สุกัญญา สุจฉายา, การเสวนาวิชาการ ๒๕๕๓) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วรรณา แก้วกว้าง ได้ศึกษาวิจัยเพลงทรงเครื่องในแถบท้องท่ีภาค กลาง คือ สุพรรณบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี ท่ีในอดีตเคยได้รับความนิยมจากผู้ชมและยังมีการสืบทอด พบว่ามี จ้านวน ๔ คณะ ได้แก่ คณะแม่เหม อินทร์สวาท แห่งต้าบลเนินพระปรางค์ อ้าเภอสองพ่ีน้อง จังหวัด สุพรรณบุรี คณะจ้ารสั ศลิ ป์อินทาราม แหง่ บ้านตลุก ตา้ บลตลกุ อา้ เภอสรรพยา จังหวดั ชัยนาท คณะนารีเฉลิม เนตร แห่งต้าบลคุ้งส้าเภา อ้าเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท และเพลงทรงเคร่ืองครูจ้ารัส อยู่สุข ซึ่งสืบทอดมา จากคณะแมแ่ กล อยสู่ ุข นอกจากนนั งานวิจัยยังน้าเสนอเกีย่ วกบั คณะแม่ขวัญจิต ศรปี ระจันตด์ ้วยจึงรวมเป็น ๕ คณะพบว่าคณะเพลงท่ียังมสี บื ทอดอยู่ในปัจจบุ ัน ได้แก่ เพลงทรงเคร่ืองครูจ้ารัส อยู่สุขและเพลงทรงเคร่ืองแม่ ขวัญจติ ศรปี ระจันต์ คณะอื่นๆ ได้ยตุ คิ ณะลงแล้ว (๓๗ - ๑๑๒) ช่วงประมาณสามสิบปีท่ีผ่านมา นักวิชาการและนักวัฒนธรรมศึกษาต่างตระหนักใน ความสญู เสียมรดกภูมิปัญญาของชาติ จงึ มีการศกึ ษาและรวบรวมข้อมูล จัดการแสดงและบันทึกเสียงและภาพ เพลงทรงเครอ่ื งเก่ยี วกับเพลงทรงเครือ่ งไว้จา้ นวนหนง่ึ ไดแ้ ก่ เพลงทรงเครอ่ื งของคณะแมเ่ หม อินทร์สวาท เช่น เพลงเร่ืองขุนช้างขุนแผน ตอนพลายงามอาสาไปตีเชียงใหม่ เม่ือวันท่ี ๑๒ ตุลาคม ๒๕๒๒ ณ ศูนย์สังคีตศิลป์ (เอนก นาวกิ มลู เรอื่ งเดิม: ๕๗๕) เรอ่ื งขนุ ช้างขุนแผน ตอนสร้อยฟ้าศรมี าลาทะเลาะกัน เมือ่ วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๒๑ ณ วัดไทร ธนบุรี (เรื่องเดียวกัน: ๕๗๙) เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนล่องทัพ งานเชิดชูเกียรติ ศิลปินพืนบ้าน ครงั ที่ ๒ เม่ือวันท่ี ๑๑ ธนั วาคม ๒๕๒๖ ณ ศูนยส์ งั คีตศิลป์ (เรื่องเดียวกนั : ๕๘๐) เร่ืองพระอภัย มณี ตอน ตีเมืองรมจักร ของคณะศิษย์นพรตั น์ ในงานทา้ บุญเน่ืองในงานศพสามีแม่เหม อินทร์สวาท เม่ือวันที่ ๑๕ ตลุ าคม ๒๕๒๕ (สุกญั ญา สุจฉายา ๒๕๔๐ : ๓๔๔-๓๕๑) เพลงทรงเครื่องเร่ืองขุนช้างขุนแผน ตอนพลาย แกว้ ล่องทพั เมื่อ ๑๑ ธนั วาคม ๒๕๒๖ ณ ศนู ย์สังคตี ศิลป์ เพลงทรงเครื่องเร่ืองขุนช้างขุนแผน ตอนพลายแก้ว ล่องทัพ เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๒ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพลงทรงเคร่ืองเรื่อง ขุนช้าง ขุนแผน ตอนหึงหวง ของคณะแม่บัวผัน จันทร์ศรี เม่ือวันท่ี ๒๘ เมษายน ๒๕๓๘ ณ ศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคาร กรงุ เทพ จ้ากดั เพลงทรงเครอื่ งเรือ่ งพระอภยั มณี ตอน ศรีสุวรรณรบกันสินสมทุ ร ของคณะแมเ่ หม อินทร์สวาท
๙๕ (สุกัญญา สุจฉายา๒๕๔๐ : ๕๙) ตอน พระอภัยมณีหนีนางผีเสือสมุทร และตอนพระอภัยมณีพบศรีสุวรรณ และสินสมทุ ร ของชาวบา้ นตลุก อา้ เภอสรรพยา จังหวดั ชัยนาท (นริ ตุ ติ์ เนตรร์ อด, สมั ภาษณ์,๒๕๕๓) เปน็ ตน้ จากการศกึ ษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลเอกสารของนักวิชาการผู้เช่ียวชาญด้านเพลง ทรงเครื่อง ได้แก่ เอนก นาวิกมูล (๒๕๒๑ – ๒๕๕๐) สุกัญญา สุจฉายา (๒๕๒๓ – ๒๕๕๖) น้องนุช เซ่ียงคิว และคณะ (๒๕๔๕) และวรรณา แก้วกวา้ ง (๒๕๕๕) เป็นต้น และจากการศึกษารวบรวมข้อมูลภาคสนามในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ – ๒๕๕๗ ทงั หมด ท้าใหส้ รุปได้วา่ เพลงทรงเครือ่ งเทา่ ท่ีค้นพบตังแต่อดีตจนปัจจุบัน หากนับตาม จ้านวนหัวหน้าคณะ มีทังหมด ๒๑ คณะ ได้แก่ คณะหม่อมพุก คณะยายแจ่ม นายเป๋ คณะแม่อิน แสนโก สิทธิ นายคลา้ มและนายพัน คณะแม่ต่วน บุญล้น แม่แตงไทย บุญพาสุข แม่ทองดี ศิริสุวรรณ คณะแม่เหม อินทรส์ วาท หรอื “ คณะศิษยน์ พรตั น์ คณะทองเชอื นอ้ ย คณะจ้ารัสศิลป์อินทาราม คณะนารีเฉลิมเนตร คณะ แมแ่ กล อยู่สขุ คณะแมบ่ ัวผนั จันทรศ์ รี คณะแมข่ วญั จิต ศรปี ระจนั ต์ คณะวิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี คณะ อนันต์ศิษย์ขวัญจิต คณะวิทยาลัยนาฏศิลปอ่างทอง คณะมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คณะชมรมรักษ์เพลง พนื บ้าน และคณะเพาะกลา้ พันธุ์เก่งเพลงพืนบ้าน ดังรายละเอียดต่อไปนี ๑) คณะหม่อมพุก หม่อมพุกมีอายุอยู่ในช่วงรัชกาลท่ี ๕ ในกรุงเทพฯ ผู้สืบทอดคน หนงึ่ คอื นางทองดี ศริ สิ วุ รรณ แลว้ ถ่ายทอดใหบ้ ตุ รชายนายทองด้า ศิริสุวรรณและหลานสาวคือนางเหม อินทร์ สวาท (หัวหน้าคณะศิษย์นพรตั น์) ๒) คณะยายแจ่ม มีอายุอยู่ในช่วงรชั กาลที่ ๕ ในกรงุ เทพฯ ๓) นายเป๋ มอี ายุอยู่ในช่วงรชั กาลท่ี ๕ ในกรุงเทพฯ เพลงนายเป๋ลงพิมพ์ในหนังสือวัด เกาะ และบันทึกแผน่ เสียงหลายเพลง ๔) คณะแม่อิน แสนโกสิทธิ มีอายุอยู่ในช่วงรัชกาลท่ี ๕ บ้านอยู่คลองบางกอกน้อย ธนบรุ ี (ปัจจุบันอย่ใู นเขตนนทบรุ ี) ๕) นายคล้าม หรือคร้าม และนายพัน มีอายุอยู่ในช่วงรัชกาลท่ี ๕ บันทึกแผ่นเสียง เรอ่ื งขุนชา้ งขุนแผน ๖) คณะแม่ต่วน บุญล้น มีอายุระหว่าง พ.ศ. ๒๔๔๑ – ๒๕๒๐ พืนเพอยู่จังหวัด ราชบุรี แมต่ ว่ นหัดเพลงหดั เพลงฉอ่ ยและเพลงทรงเคร่ือง เมื่ออายุ ๑๓-๑๔ ปีกับแม่ครูเทียบ แม่ครูน่ิม พ่อครู ต่วน แล้วเขา้ มาอยกู่ รงุ เทพฯ ไดเ้ คยเลน่ เพลงกับขุนสา้ ราญสมิตมขุ (ออ๊ ด ตามประหาส) คณะนีแสดงเพลงฉ่อย ด้วย และค่อนข้างมีชื่อเสียง เพราะได้เล่นที่สังคีตศาลาและงานปีที่สนามหลวงอยู่เสมอ แม่ต่วนมีฉายาว่า “ราชินีเพลงฉ่อย” ด้วย พ่อเพลงแม่เพลงที่ร่วมคณะ ได้แก่ แม่ทองหล่อ ท้าเลทอง (มีอายุระหว่าง พ.ศ. ๒๔๔๒ – ๒๕๓๖) พนื เพอยูจ่ งั หวดั พระนครศรอี ยุธยา แลว้ มาอยู่กรุงเทพฯ และเพชรบูรณ์ เป็นศิลปินแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ แม่ทองอยู่ รักษาพล (มีอายุระหวา่ ง พ.ศ. ๒๔๓๖ – ๒๕๒๘ พนื เพอยู่จังหวัดนครนายก เคยมา อาศัยอยู่ท่ีกรุงเทพฯ) และคนอ่ืนๆ เช่น นายพรหม นางมาลัย สรหงส์ (สิงห์บุรี) นายเพชร กฤษณพันธ์ุ (สงิ หบ์ รุ ี) นายพยอม ไชยสถติ ย์ เปน็ ตน้ (สกุ ญั ญา สุจฉายา ๒๕๒๕ : อเนก นาวิกมูล เรือ่ งเดมิ ๖๗๘ – ๖๘๒)
๙๖ ๗) แม่แตงไทย บุญพาสุข เกิด เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๖ พืนเพอยู่จังหวัดอุทัยธานี แม่ แตงไทยฝึกเพลงฉ่อยและเพลงทรงเครื่องอย่างจริงจังเม่ืออายุ ๒๑-๒๒ ปี จากครู เคยเล่นเป็นพราหมณ์เกสร และนางวันทอง ส่วนใหญเ่ ล่นเพลงกับพอ่ สุชนิ ทวีเขตต์ (เกดิ เมือ่ พ.ศ. ๒๔๖๔) ชาวอทุ ัยธานี (เอนก นาวิกมูล, ๒๕๕๐) ๘) แม่ทองดี ศิริสุวรรณ มีอายุอยู่ในช่วงรัชกาลท่ี ๕ – ๖ พืนเพเดิมราชบุรี เข้ามา อาศยั ที่กรงุ เทพฯ แลว้ ได้ฝกึ เพลงทรงเครอ่ื งแล้วกลับไปสอนหลานสาวคอื แม่เหม อนิ สวาท ๙) คณะแมเ่ หม อินทร์สวาท หรือ “คณะศิษย์นพรัตน์” แม่เหมมีอายุระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๒ – ๒๕๒๓ แม่เหม เกิดปี พ.ศ. ๒๔๕๒ สมัยรัชกาลท่ี ๕ พืนเพเดิมอยู่บ้านอู่เรือ ต้าบลเกาะศาลพระ อา้ เภอปากท่อ จงั หวดั ราชบุรี ได้รับการถ่ายทอดเพลงทรงเคร่ืองจาก แม่ครูทองดี ศิริสุวรรณ ซ่ึงท่านเป็นนาง ละครและเล่นเพลงอยู่ในวงของหม่อมพุก ในกรุงเทพมหานคร เม่ือกลับมาบ้านท่ีราชบุรีก็น้ามาฝึกหัดให้แก่ ลูกหลานจนเล่นเปน็ อาชพี ลกู ชายคอื นายทองดา้ ศิริสุวรรณ และหลานสาวคือนางเหม อินทร์สวาท ต่อมานาง เหมได้แต่งงานกับนายสวัสดิ์ ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดดอนกลาง ต่อมาเปล่ียนชื่อเป็นวัดใหม่นพรัตน์ และย้าย ภูมิล้าเนามาอยู่ท่ีบ้านเลขท่ี ๗๑ หมู่ที่ ๑ ข้างวัดใหม่นพรัตน์ ต้าบลเนินพระปรางค์ อ้าเภอสองพ่ีน้อง จังหวัด สุพรรณบุรี หลวงพ่อให้การสนับสนุนเพลงทรงเครื่องคณะครูทองดีและแม่เหมเสมอมา (เอนก นาวิกมูล, ๒๕๕๐ : ๗๕๒) จึงเปน็ ท่ีมาของชอื่ คณะ “ศิษยน์ พรัตน์” แมเ่ หมไดร้ ับแสดงเพลงทรงเครอ่ื งและเริ่มฝึกลูกศิษย์ ให้แสดงสบื ทอดตอ่ กนั มา หน่ึงในจ้านวนนันคือ นายมนัส โพธิ์ถนอม เพลงทรงเคร่ืองคณะแม่เหม อินทร์สวาท ได้รบั ความนิยมอย่างยง่ิ เพราะมีฝมี อื ในการแสดงและกระบวนทา่ ร้าทีม่ ีแบบแผนงดงาม ตัวอยา่ งการแสดงของคณะแม่เหม เชน่ เพลงฉอ่ ยรายการ “บทเพลงแหง่ ทอ้ งทุ่ง” เม่ือ วันท่ี ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๑ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้แสดง ได้แก่ นางเหม อินทร์สวาท นางจ้ารัส เงินดา้ รง นางทองชุบ ศิริสุวรรณ นางเอิบ นายภู่ ข้าเปล่ง นายมนัส นายชืน อินทร์สวาท และการ แสดงเพลงทรงเครื่อง เรื่องพระอภัยมณี ตอนตีด่านเมืองรมจักร งานท้าบุญเน่ืองในงานศพสามีของนางเหม เมือ่ วนั ท่ี ๑๕ ตุลาคม ๒๕๒๕ เป็นต้น (สุกญั ญา,๒๕๒๕: ๓๔๔) ลักษณะและรูปแบบการแสดง เริ่มต้นด้วยฝึกท่าร้าในการแสดง ฝึกการร้องเข้าเรื่อง พร้อมการเจรจา มลี า้ ดับขนั ตอนการแสดง คือเรมิ่ ด้วยปพี่ าทยบ์ รรเลงโหมโรง ก่อนการแสดงเพลงทรงเคร่ืองมี การเลน่ เพลงฉ่อยของพอ่ เพลงและแมเ่ พลง จากนนั จึงนา้ เขา้ สู่การแสดงเพลงทรงเครื่องใช้ผู้แสดงชายและหญิง ตามความเหมาะสมของเร่อื งราว เร่ืองทแี่ สดง ไดแ้ ก่ พระอภยั มณี ขุนช้างขุนแผน ใช้เพลงฉ่อยร้องเป็นหลักใน การด้าเนินเรอ่ื ง มเี พลงไทยท่เี ลยี นสา้ เนยี งต่างชาตเิ พ่ือใหเ้ หมาะสมกับเร่ืองราวและการเจรจาตามส้าเนียงเชือ ชาตขิ องตวั ละคร มีการรา้ ตบี ทตามคา้ รอ้ งและการรา้ เพลงหน้าพาทย์เบอื งตน้ ใชท้ า่ ร้าร่ายประกอบการร้องรับ เพลงฉ่อย การแต่งกายยืนเครื่องพระและนางส้าหรับตัวแสดงที่เป็นตัวเอก ส่วนตัวประกอบแต่งกายแบบ ธรรมดาให้เหมาะสมกับบทในเรอ่ื ง ใชว้ งปีพ่ าทย์เคร่ืองห้าบรรเลงประกอบ มีอุปกรณ์ประกอบการแสดง นิยม แสดงในงานประจา้ ปี งานหาและงานประชัน ส่วนสถานที่แสดงคือการปลูกโรงติดพืนดิน ไม่ยกพืน พร้อมขึน ฉาก
๙๗ แมเ่ หม อนิ ทรส์ วาท แสดงเพลงทรงเคร่ืองมาตลอดจนกระทั่งได้หยุดการแสดงลง ด้วย มีอายมุ ากขนึ และเสียชวี ิตในเวลาต่อมา นายมนสั โพธิถ์ นอม จึงไมไ่ ด้แสดงเพลงทรงเครื่องและหันมาประกอบ อาชีพเป็นเกษตรกร ภายหลังนายมนัส โพธิ์ถนอม ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วน ต้าบลเนินพระปรางค์ ให้ฝึกหัดการแสดงเพลงทรงเครื่องตามรูปแบบของ แม่เหม อินทร์สวาท แก่นักเรียน โรงเรียนวัดใหม่นพรัตน์ (เดิมช่ือวัดดอนกลาง) แต่การฝึกหัดเพลงทรงเครื่องค่อนข้างมีปัญหาอย่างย่ิง เพราะ เดก็ ท่ีฝึกพอเล่นไดเ้ ก่งก็ต้องออกไปศกึ ษาต่อในระดบั มัธยมทอี่ ืน่ ท้าให้ขาดการฝึกซอ้ มอยา่ งต่อเน่อื ง เด็กรุ่นใหม่ ท่ีฝึกก็ไม่สามารถแสดงได้ตามความประสงค์ของครูผถู้ า่ ยทอด เพราะการแสดงเพลงทรงเครื่องนันเป็นศาสตร์ท่ี ใช้ทักษะทังการร้อง การร้า และการเจรจารวมทังพรสวรรค์ของผู้ฝึกหัด จนในที่สุดต้องหยุดการฝึกหัดการ แสดงเพลงทรงเคร่ืองอย่างน่าเสียดายแม้นายมนัสพยายามสืบทอดให้แก่นักเรียนโรงเรียนวัดใหม่นพรัตน์ แต่ บ้างแต่ในที่สุดเม่ือแม่เหมเสียชีวิตแล้ว (ปี พ.ศ. ๒๕๒๓) คณะเพลงทรงเคร่ืองก็ยุติลงอย่างถาวร ช่วงเวลาที่ เพลงทรงเครอื่ งของคณะแม่เหม อินทร์สวาท เร่ิมตังแต่การฝึกหัดและเริ่มแสดงจนมีช่ือเสียงจนถึงการยุติการ แสดงรวมระยะเวลาประมาณ ๖๐ ปี (มนัส โพธ์ิถนอม, สัมภาษณ์ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ อ้างถึงใน วรรณา แก้วกว้าง, ๒๕๕๕: ๓๘ - ๓๙ ) ๑๐) คณะทองเช้ือน้อย ของนายฟ้ืน แก้วมีศรี นายฟ้ืนหรือผู้ใหญ่ฟ้ืน เกิดเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๗๘ หมู่ ๔ ต้าบลบางเลน อ้าเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม (เดิมอยู่ในอ้าเภอสองพ่ีน้อง จังหวัด สุพรรณบุรี) นายฟ้ืนมีสายเลือดเพลงพืนบ้าน พ่อเป็นพ่อเพลงอีแซวและเพลงฉ่อย ยายเป็นแม่เพลงเรือและ เพลงอแี ซว นายฟ้ืนหัดเพลงจากครู หลุ่ม (น้าสาว) และแม่เหม อินทร์สวาท และนางเจือ (สุกัญญา สุจฉายา, ๒๕๒๕: ๔๐๐ และเอนก นาวิกมูล, ๒๕๕๐ : ๗๒๒) ๑๑) คณะจารัสศิลป์อินทาราม คณะจ้ารัสศิลป์อินทาราม เป็นคณะเพลงทรงเครื่อง ที่ได้รับความนิยมอย่างย่ิงในอดีตของบ้านตลุก ต้าบลตลุก อ้าเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท (พ.ศ. ๒๔๙๕- ๒๕๑๐) คณะนีมีที่มาจากกรงุ เทพมหานคร โดยแม่ครูขันทอง ซ่ึงอยู่ในเขตอ้าเภอเมือง เป็นผู้ถ่ายทอดสู่แม่ครู แฉลม้ และแม่ครจู า้ รัส เสอื โฮก ซ่ึงอยู่บา้ นตลกุ อา้ เภอสรรพยา ตามล้าดบั แม่ครูจ้ารัส เสือโฮก เกิดปลายรัชกาลท่ี ๕ (พ.ศ. ๒๔๕๓) น้ามาถ่ายทอดและฝึกหัด เด็กสาวในหมู่บ้าน จ้านวน ๑๕ คน และตังช่ือคณะหรือวงเพลงว่าจ้ารัสศิลป์อินทาราม ซึ่งมีนางสนุ่น แพรด้า รว่ มฝกึ หัดและแสดงเปน็ พระเอกของคณะด้วย ลกั ษณะและรปู แบบการแสดง เริ่มจากร้าเพลงช้าเพลงไว การฝึกร้าเพลงหน้าพาทย์ที่ ใช้ในการแสดงและการรา้ ตีบท โดยครูสอนพร้อมกับการมอบบทบาทการแสดงและการขับร้องรวมทังการขับ รอ้ งบทไหว้ครูเพลงฉ่อย จากนนั สอนการเจรจา มีลา้ ดบั ขันตอนการแสดงเรมิ่ ด้วย ป่ีพาทยบ์ รรเลงโหมโรง ขับ ร้องบทไหวค้ รู และการประกาศเรอ่ื งเพอื่ เร่ิมการแสดง ใช้ผ้แู สดงเปน็ หญงิ ทังหมด เรอื่ งทแี่ สดง ได้แก่ พระอภัย มณี ขุนช้างขุนแผน ใช้เพลงฉ่อยเป็นหลักในการด้าเนินเรื่อง มีเพลงไทย ที่เลียนส้าเนียงต่างชาติ เพื่อให้ เหมาะสมกับเรื่องราวและการเจรจาตามส้าเนียงเชือชาติของตัวละคร ท่าร้าใช้การร้าตีบทตามค้าร้องทุกค้า และการร้าเพลงหน้าพาทย์เบืองต้นประกอบ มีท่าร้าร่ายประกอบการร้องรับเพลงฉ่อย เครื่องแต่งกายยุ ค เรมิ่ แรกแต่งกายยืนเครือ่ งพระและนาง ตอ่ มาภายหลังการแต่งกายมีการปรับปรุงและเปล่ียนแปลงไปตามยุค
๙๘ สมยั เครื่องดนตรีใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า หรือเคร่ืองคู่ สมัยโบราณใช้วงป่ีพาทย์พืนบ้านของจังหวัดชัยนาทที่มี ระนาดเอกเหล็กร่วมบรรเลง มีอุปกรณ์ประกอบการแสดง โอกาสที่ใช้ในการแสดง ได้แก่ งานประจ้าปี ของวัด งานหา งานประชัน สถานทแี่ สดง คอื การปลูกโรงตดิ พืนดนิ ยกพนื และไมย่ กพืนพรอ้ มขึนฉาก เพลงทรงเคร่ืองคณะจา้ รสั ศลิ ป์อินทาราม ไดร้ บั ความนิยมจากผู้ชมอย่างย่ิง จนเม่ือแม่ ครูจ้ารัสเสียชีวิตลง นางสนุ่น แพรด้าแต่งงานมีครอบครัว รวมถึงผู้แสดงคนอื่น ๆ ที่ไม่สามารถแสดงได้ เหมอื นเดมิ จึงท้าใหต้ อ้ งยตุ ิการแสดงลงในท่สี ดุ รวมระยะเวลาการแสดงเพลงทรงเครื่องคณะจ้ารัสศิลป์อินทา ราม ทังสิน ๑๕ ปี (สนุ่น แพรด้า, สัมภาษณ์. ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ อ้างถึงในวรรณา แก้วกว้าง, ๒๕๕๕ : ๗๐) ๑๒) คณะนารีเฉลิมเนตร ก่อตังโดยคุณยายถนอม พุ่มรอด ซึ่งเกิดปี พ.ศ. ๒๔๓๓ (ปัจจุบนั เสียชีวิตแล้ว) แห่งบ้านคุ้งส้าเภาอ้าเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เริ่มจากการเล่นเพลงเรือ จากนันได้ แนวการแสดงละครเร่จากกรงุ เทพมหานครทีม่ าแสดงในหมู่บา้ นกับการร้องเพลงฉ่อยและเพลงเอ้ชารวมทังน้า การแสดงลิเกมาผสมผสาน และกอ่ ตังเป็นคณะเพลงทรงเครื่อง เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๗๘ ลักษณะและรูปแบบการ แสดง เริม่ จากการร้าเพลงถวายมอื ร้าเพลงแม่บท ร้าตีบทในภาษาท่า และสอนการขับร้องเพลงฉ่อย เพลงเอ้ ชา เพลงนาศเถลิง (ราชนิเกลงิ ) สอนการเจรจา มีลา้ ดับขนั ตอนในการแสดง คอื เริ่มดว้ ยป่ีพาทย์บรรเลงโหมโรง จากนนั รา้ ถวายมือ ขบั รอ้ งเพลงวง ร้องเพลงประจา้ คณะและการประกาศเรอื่ งเร่ิมการแสดงโดยใช้ผู้แสดงหญิง ทงั หมด เร่ืองที่แสดง ได้แก่ เร่ืองท่ีมาจากนิทานพืนบ้าน และเร่ืองที่แต่งใหม่ตามรูปแบบการแสดงลิเกในยุค นัน ใช้เพลงฉอ่ ยเปน็ หลกั ในการดา้ เนินเรอ่ื ง มกี ารขบั ร้องเพลงไทยท่ีเลียนส้าเนียงต่างชาติเพื่อให้เหมาะสมกับ เรือ่ งราว เอกลักษณค์ อื การขับร้องเพลงนาศเถลงิ (ราชนิเกลิง)ที่ใช้ในการด้าเนินเรื่อง มีการเจรจาตามส้าเนียง เชอื ชาติของตัวละคร ลักษณะทา่ ร้าคือการร้าตีบทตามคา้ ร้องและการร้าเพลงหน้าพาทย์ประกอบการแสดง มี ท่าร้าร่ายประกอบการร้องรับเพลงฉ่อย แต่งกายแบบลิเกลูกบท ใช้วงป่ีพาทย์เครื่องห้า เคร่ืองคู่ บรรเลง ประกอบ มีอุปกรณ์ประกอบการแสดงท่ีเหมาะสม โอกาสและสถานที่ในการแสดง ได้แก่ ประจ้าปี งานหา และงานประชัน สถานที่แสดงคอื การปลูกโรงตดิ พืนดินยกพืนและไม่ยกพนื พรอ้ มขนึ ฉาก เดมิ ตังชอ่ื คณะว่า “เนตรนารี” จากนันมีการสืบทอดมาสู่นางสนาน พุ่มน้อย บุตรสาว นางถนอมฝึกหัดลูกศิษย์ติดต่อกันมาหลายรุ่น โดยเริ่มดัดแปลงรูปแบบการแสดงให้เหมาะสม โดยเฉพาะการ แต่งกายเร่ิมเปลีย่ นแปลงเป็นแตง่ กายแบบลิเก เพราะในแถบท้องที่อ้าเภอมโนรมย์เป็นชุมชนของกลุ่มศิลปินที่ แสดงลิเกท่ีมีช่ือเสียง จึงเพ่ิมเพลงร้องท่ีชาวบ้านคุ้งส้าเภาเรียกว่านาศเถลิงหรือราชนิเกลิง รวมทังเปล่ียนช่ือ เปน็ “นารเี ฉลิมเนตร” คณะนีได้รับความนิยมอย่างย่ิงจากชาวอ้าเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท มีชื่อเสียงด้าน การแสดงเพลงทรงเครื่องอย่างยิ่ง ได้ฝึกลกู ศิษย์ต่อมาจนถงึ รุ่นที่ ๕ ซึ่งมีนางบุญเรอื น คูสกลุ เป็นผ้สู บื ทอด อยา่ งไรกต็ ามเม่ือนางสนานและผแู้ สดงมีอายมุ ากขนึ บุตรหลานจงึ ให้เลิกเล่น ส่วนนาง บญุ เรอื นซงึ่ เปน็ ลกู ศิษยไ์ ดห้ ันมายึดอาชพี ท่ีมรี ายไดท้ ี่มั่นคง เด็กรุ่นใหม่ขาดความสนใจ ท้าให้ต้องยุติการแสดง เพลงทรงเครอ่ื งลงอย่างสินเชิง แต่ชื่อคณะนารีเฉลิมเนตร ยังคงเรียกขานกันถึงปัจจุบันนี และยังคงมีการเล่น เป็นครงั คราวในงานหา งานแก้บน ซึง่ เป็นการมาช่วยแสดงเพ่ือความสนุกสนานมากกว่าการว่าจ้าง (บุญเรือน คสู กลุ , สมั ภาษณ์ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ อ้างถึงใน วรรณา แก้วกว้าง, ๒๕๕๕: ๘๑-๙๔)
๙๙ ๑๓ คณะแม่แกล อยสู่ ุข นางแกล หรอื ครูแกล เป็นแม่เพลงพืนบ้านอ้าเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เกิดในช่วงปลายรัชกาลท่ี ๕ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๓ ในอดีตท่านเป็นแม่เพลงท่ีโด่งดังในเรื่อง ของการประชันฝปี าก หาตัวจับยากด้วยความสามารถดา้ นปฏิภาณไหวพริบ ในทางกลอนเพลงต่างๆ ทังท่ีท่าน ไมไ่ ดเ้ รยี นหนังสือแต่มีความจ้าเป็นเลิศ แม่แกล อยู่สุข ได้รับการถ่ายทอดการเล่นเพลงมาจากสายแม่ครูน้อย และแม่ครูปุ่น (ไม่ทราบนามสกลุ ) ซึ่งเป็นแม่เพลงท่เี ลน่ ลิเกด้วย อยู่ที่บ้านงิวราย ของอ้าเภออินทร์บุรี จึงท้าให้ ท่านมีความสามารถด้านการเล่นลิเก เพลงระบ้า รวมทังเพลงทรงเครื่องด้วย วงเพลงของแม่แกล อยู่สุข มีผู้ แสดงที่มีความสามารถในบทบาทต่าง ๆ หลายท่าน นอกจากจะมีแม่แกล แล้วยังมีผู้เล่นเพลงอีกสองท่านคือ พอ่ ครูแจ่มและแม่ครูรอด ท่มี ีความสามารถสงู เช่นเดียวกนั เพลงทรงเคร่ืองแมแ่ กล อยสู่ ขุ แตเ่ ดิมนันไมม่ ีการตัง ชอื่ เป็นคณะอย่างเป็นทางการ เมือ่ มีงานหาว่าจ้างก็รวมวงกนั ไปเลน่ เพลงทรงเครื่องของแม่แกลมีลักษณะเป็น เพลงทรงเครือ่ งทางละคร เพราะแต่งกายยืนเคร่อื งแบบละครทงั หมด ยกเวน้ ตัวตลก เช่น บักเป๋อ บักป่อง หรือ ตวั ประกอบท่ีไมส่ า้ คัญ ใช้การดา้ เนินเรือ่ งด้วยการร้องเพลงไทยอัตราสองชัน และเพลงฉ่อยเป็นหลัก ด้วยเหตุนี เองจึงท้าให้วงเพลงของท่านได้รับความนิยมแพร่หลายในขณะนันอย่างต่อเนื่องทังในแถบอ้าเภออินทร์บุรี อา้ เภอไชโย จงั หวดั อ่างทอง และอ้าเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ลักษณะและรปู แบบการแสดง เรม่ิ ดว้ ยการฝกึ ขับรอ้ งเพลงฉ่อยและเพลงไทยอัตราสอง ชัน จากนนั เริม่ ฝึกร้าเพลงสามไม้ รา้ หน้าพาทย์ และการรา้ ตบี ทพร้อมการเจรจา มลี ้าดับขันตอนการแสดงเร่ิม ด้วย ป่ีพาทย์บรรเลงเพลงโหมโรง ร้องเพลงไหว้ครู เพลงสามเส้า เพลงพม่าหน้าเร่ืองหรือเพลงปลอบ เพลง สามไม้ แล้วจงึ ประกาศเรื่องเร่ิมการแสดง หากใช้เวลาในการแสดงนานนิยมเล่นเพลงโต้ตอบก่อนการแสดงได้ อีกกรณี ใช้ผูแ้ สดงชายและหญิง เรื่องทแี่ สดง ได้แก่ พระอภยั มณี ขุนชา้ งขุนแผน ไกรทอง ใช้เพลงฉ่อยขับร้อง เป็นหลกั ในการดา้ เนนิ เรอ่ื ง และมีเพลงไทยที่เลียนส้าเนียงต่างชาติเพื่อให้เหมาะสมกับเรื่องราว มีการเจรจา ตามส้าเนียงเชือชาติของตัวละคร ลักษณะท่าร้าใช้การร้าตีบทตามค้าร้อง และการร้าเพลงหน้าพาทย์ ประกอบการแสดง ไมม่ ีท่าร้าร่ายประกอบการร้องรับเพลงฉ่อย เครื่องแต่งกายยุคเริ่มแรกของแม่แกล อยู่สุข แต่งกายยืนเครื่องพระและนาง ภายหลังเปลี่ยนแปลงการแต่งกายให้เหมาะสมตามเร่ืองเน้นความสวยงาม เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงคือวงป่ีพาทย์ เครื่องห้า เคร่ืองคู่ ใช้อุปกรณ์ประกอบการแสดงอย่าง เหมาะสมและนิยมแสดงในงานประจ้าปี งานหา งานประชนั สถานทีแ่ สดงแตเ่ ดิมแสดงโดยการปลูกโรงและขึน ฉาก ต่อมามกี ารสรา้ งเวทียกพืนสูงหรือแสดงในโรงละครตามแตโ่ อกาส แม่แกลมีลูกศิษย์จ้านวนมาก คนส้าคัญที่สืบทอดไว้ในปัจจุบันคือ ครูจ้ารัส อยู่สุข ซึ่ง เปน็ ลูกสะใภ้ ครจู ้ารสั ( สกลุ เดิมโพธิ์กัน) เป็นครูพิเศษสอนการขับร้องและการแสดงเพลงพืนบ้านที่วิทยาลัย นาฏศิลปอ่างทอง ท่านได้รับการถ่ายทอดการร้องเพลงพืนบ้าน ตังแต่ปี ๒๕๐๓ ได้แก่ เพลงฉ่อย เพลงเรือ เพลงเกย่ี วข้าว เพลงสงฟาง เพลงพานฟาง เพลงอีแซว และเพลงอ่ืน ๆ อีกหลายเพลง จากแม่แกล อยู่สุข ซ่ึง เป็นมารดาของสามี ภายหลงั เมือ่ ผู้แสดงทุกคนเร่ิมมอี ายมุ ากขนึ ประกอบกับเรื่องของสุขภาพ และองค์ประกอบ อื่นๆ จงึ ทา้ ให้เพลงแม่แกล อยู่สุข ซบเซาลง ครูจ้ารัส จึงเร่ิมหันเหจากการเล่นเพลงกับแม่แกลมาท้าขวัญนาค แทนรว่ มกบั สามี และดูแลแม่แกลจนกระทั่งเสยี ชีวิต
๑๐๐ ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ครูจ้ารัส อยู่สุข ได้รับเชิญให้มาสอนเพลงพืนบ้านที่วิทยาลัย นาฏศลิ ปอา่ งทอง จึงได้รอื ฟนื้ การแสดงเพลงทรงเครื่องตามรูปแบบของแม่แกล อยู่สุขกลับมาอีกครัง โดยเร่ิม ฝึกหัดและคัดเลือกนักเรียนในระดับชันประกาศนียบัตรนาฏศิลปชันกลาง ปีที่ ๒ ในขณะนัน(เทียบเท่า มัธยมศึกษาปีท่ี ๕) ให้แสดงเพลงทรงเคร่ืองเร่ืองแรก คือ ขุนช้างขุนแผน ตอนล่องทัพ และน้าออกแสดง เผยแพร่ ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ก็ไดร้ บั ความนยิ มอย่างยงิ่ จึงทา้ ใหท้ ่านมีแรงบันดาลใจท่ีจะฝึกหัดลูกศิษย์ใน รนุ่ ต่อมา โดยเปล่ยี นเร่ือง เปลย่ี นตอนให้มากขึนกว่าของเดิม โดยยึดหลักการผสมผสานระหว่างเพลงพืนบ้าน ลเิ ก และเพลงทรงเครื่อง รวมถึงเพลงระบ้าและเพลงไทยอัตราสองชันของแม่แกลเป็นหลักและถ่ายทอดการ แสดงมาจวบจนปจั จบุ ัน (จา้ รสั อยสู่ ขุ .สัมภาษณ.์ ๑๕ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๔ อ้างถึงในวรรณา แก้วกว้าง, ๒๕๕๕ : ๑๐๒) ตวั อย่างบทร้องเพลงทรงเครือ่ งทา้ นองลาว เรอ่ื ง ขุนชา้ งขุนแผน ตอนลอ่ งทพั ลาวทอง. ครานนั ลาวทองอยู่ในมา่ น เห็นผวั เดอื ดดาลจนตัวส่นั ตกใจกลวั จะไปไลฟ่ าดฟนั จึงเผยมา่ นออกมากนั ขนุ แผนไวเ้ อย (ลูกคู่รบั เอย๊ คณุ พระนายเอ๋ย) งดก่อนผ่อนคดิ ให้จงดี จงฟังคา้ เมียนีอชั ฌาสัย บ้านเมืองมีขือ่ อือองึ ไป ไปไหนก็ไมพ่ ้นฝีมือกนั เอย (ลูกครู่ ับ เอย๊ คณุ พระนายเอ๋ย) ฟงั ความข้างเดียวไมค่ วรโกรธ คณุ โทษยังบ่เห็นว่าดชี วั่ เขานนั เป็นอยา่ งไรจึงไม่กลวั ผวั เมียเคยอยู่เป็นคู่ครองเอย (ลูกครู่ บั เอ๊ยคณุ พระนายเอ๋ย) ปัจจุบัน ครูจ้ารัส อยู่สุข ได้ถ่ายทอดการแสดงเพลงทรงเครื่องให้แก่ลูกศิษย์ของ วิทยาลัยนาฏศิลปอ่างทอง ควบคกู่ ับการสอนเพลงพนื บา้ นอื่น ๆ ดว้ ย ๑๔) คณะแมบ่ วั ผนั จนั ทรศ์ รี หรือคณะพ่อไสวแม่บัวผัน หรือคณะพ่อไสว วงษ์งาม นกี อ่ ตังขึนประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ โดยนางบัวผัน จนั ทรศ์ รี หรือ \"แมบ่ วั ผนั \" นามสกุลเดมิ โพธพิ์ ักตร์ เกิดเมื่อ วันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ พอ่ ช่อื ดนิ แมช่ ่ือปาน ยา่ ช่อื เพิง ตาช่ือเทียน ยายช่ือคล้า (พิกุลขาว) มีพืนเพ อยแู่ ถบบา้ นห้วยโรง ต้าบลหว้ ยคนั แหลม อา้ เภอวเิ ศษชัยชาญ จงั หวดั อา่ งทอง เนื่องจากพ่อ อา และเครือญาติ มีอาชีพท้านาและเล่นเพลง ส่วนแม่กเ็ ปน็ แมเ่ พลงสมัครเล่น เพราะฉะนันแมบ่ วั ผันจงึ “เกิดมาท่ามกลางการว่า เพลง” มที ังเพลงเรอื เพลงฉ่อย เพลงทรงเครื่อง เพลงพวงมาลัย เพลงเต้นก้า เพลงอีแซว จนแม้เพลงขอทาน และเพลงกล่อมเด็ก ผนวกกับอุปนิสัยชอบร้องร้าท้าเพลง แม่บัวผันจึงซึมซับศิลปะการแสดงเพลงพืนบ้านไว้ จ้านวนมาก
๑๐๑ แม่บัวผนั ตดิ ตามพ่อไปฟังเพลงและเลน่ เพลงเสมอ ท้าให้ย่ิงรู้สึกรักชอบอยากเป็นเพลง มากขึน แม้ว่าจ้าไม่ได้เรียนหนังสือเพราะเป็นลูกผู้หญิงและโรงเรียนอยู่ไกลบ้าน แต่ด้วยความมีมานะและรัก เพลง แม่บัวผันจึงหัดเพลงอย่างจริงจังเมื่ออายุประมาณ ๑๓ ปี คือประมาณ พ.ศ. ๒๔๗๖ ครูเบืองต้นคือ น้องชายของพ่อชื่ออนิ พี่ชายแมบ่ วั ผันทีช่ อ่ื วา่ บวั เผื่อนก็หัดกับอาอินเช่นเดียวกัน (พ่อบัวเผ่ือนถึงแก่กรรมแล้ว เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๒๘) ในสมัยรัชกาลที่ ๕-๗ ในถิ่นชนบทภาคกลางนยิ มฟังเพลง ไม่ว่าเพลงตามเทศกาลหรือ เพลงอาชีพ ถึงหน้าน้าก็ฟังและเล่นเพลงเรือ หน้าเก่ียวข้าวนวดข้าวเล่นเพลงเต้นก้า เพลงสงฟาง เพลงชัก กระดาน ถัดไปหน้าสงกรานต์ เล่นเพลงพวงมาลัย ระบ้าบ้านไร่ กระท่ังเข้าฤดูท้านา ร้องแห่นางแมวขอฝน นอกจากนันกเ็ ป็นเพลงระดับร้องเป็นอาชพี มเี พลงฉอ่ ย เพลงทรงเคร่อื ง เปน็ ตน้ นายดินและนายอินจึงได้รับการว่าจ้างไปแสดงอยู่ไม่ขาด จนเป็นที่รู้จักกันว่า วงนาย อิน นายดินและนายอินหัดเพลงฉ่อยและเพลงทรงเคร่ืองให้แก่ลูกหลาน มีนายอินเป็น หัวหน้าคณะและเป็นครูใหญ่ ถึงวันพฤหัสบดีก็ท้าพิธีจับข้อมือศิษย์ ผู้ท่ีจะหัดเอาดอกไม้ ธูปเทียนไปถวายครู ครจู บั ขอ้ มือให้ท้าทา่ ร้าและต่อเพลงบทแรก ๆ ให้ ตอ่ จากนนั จงึ เร่ิมฝึกอย่างจริงจงั เมื่อร้องเพลงฉ่อยคล่องแล้ว จึงสอนเลน่ เป็นเร่อื ง มีขนุ ช้างขนุ แผน พระอภัยมณี ลกั ษณวงศ์ เป็นตน้ ในระหวา่ งที่ฝกึ หัดเพลงนัน เม่ือมีเพลง ออกงานครงั ใด แมบ่ วั ผัน พี่ชาย และเดก็ รุน่ ราวคราวเดยี วกันกจ็ ะตอ้ งตดิ ตามผู้ใหญ่ไปช่วยเปน็ ลูกคู่หรือเด็กรับ ใช้ช่วยแบกหามหีบหอ่ สัมภาระตา่ งๆ แม่บัวผนั ออกเล่นงานคราวแรกๆ ได้ค่าแสดงงานละ ๕ สตางค์บ้าง ๑๐ สตางค์บ้าง เขาจ้างหาบหามเครื่องก็ไม่บ่น จากท่ีเคยเป็นลูกคู่ก็ขยับฐานะขึนตามความช้านาญ พอโตก็เล่น เพลงไดค้ ลอ่ งแคล่วยง่ิ ขึน นบั กนั ว่าแมบ่ ัวผันเป็นคนเก่งท่ีสุด ในบรรดาเพื่อน วัยเดียวกัน ถึงเวลาไหว้ครู (ร้อง เพลงไหว้ครู ซง่ึ เปน็ เพลงเร่มิ แรกจะเลน่ เพลงฉ่อย มีความยาวมาก ) อาอนิ หวั หนา้ วงกต็ ้องให้แมบ่ ัวผนั ไหว้ ทังๆ ที่ครูผู้หญิงของแม่บัวผันก็มีอยู่ คือ ยายสงวน ศรีสุวรรณ ท่ีแม่บัวผันเรียก \"อาหงวน\" เป็นบุคคลท่ีแม่บัวผัน เคารพนับถือมากคนหน่ึง หลังจากท่ีตระเวนเล่นเพลงกับคณะนายอินไปตามท่ีต่าง ๆ อยู่ช่วงระยะเวลาหน่ึง ด้วยความท่ีเป็นคนเก่งจึงมีครูวงอ่ืนชวนไปเล่นด้วย เช่น ไปอยู่กับแม่เชื่อม ท่าดินแดง ๑ ปี กับแม่อ่วม ๑ ปี เป็นคนเล่นเพลงเก่งทงั คู่ แตภ่ ายหลังตอ้ งกลบั มาเลน่ เพลงกบั วงนายอินเหมือนเดมิ เพราะอาอนิ รอ้ งไหค้ ิดถึง เม่ืออายุราว ๒๒ ปี แม่บัวผันแต่งงานกับนายหอม จันทร์ศรี มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ชื่อ ประจวบ ครันอยู่กินกันมาได้เกือบ ๑๐ ปี ก็แยกทางกัน แม่บัวผันต้องหาเลียงตัวและลูกรับภาระหนัก ขึน ระหว่างที่อย่กู บั นายหอม แม่บัวผันรู้จักพ่อเพลงคนหนึ่ง คือพ่อไสว สุวรรณประทีป เป็นชาวต้าบลพังม่วง อ้าเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี พ่อไสวก็เป็นคนท่ีชอบเพลงตังแต่เด็ก พอโตขึนได้หัดเพลงอีแซวจาก หนมุ่ รุน่ ท่ีชอื่ เฉลยี ว ชา้ งเผือก กบั ได้เทย่ี วไปเลน่ เพลงและต่อเพลง จากครูเพลงเก่ง ๆ หลายคน เช่น ยายพวง ดอนประดู่ และนายหลาบ บ้านห้วยเจริญ เป็นต้น ไม่ได้หัดเพลงฉ่อย เพลงทรงเคร่ือง เพราะไม่มีชุมเพลง อย่างแมบ่ วั ผัน) ในที่สดุ พ่อไสวและแม่บัวผันก็ได้อยู่กินกับพ่อไสวและย้ายมาอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี ตังวงเพลง ฝึกลกู ศษิ ย์ลกู หา ถ่ายทอดเพลงพืนบ้านพนื เมืองมาสู่คน รุน่ หลงั มากมาย นบั เป็นเวลาหลายสิบปี
๑๐๒ ลูกศษิ ย์คนสา้ คัญ ไดแ้ ก่ นางเกลียว เสรจ็ กจิ หรอื ขวัญจติ ศรีประจันต์ นางจ้านง เสร็จ กิจ หรอื ขวัญใจ ศรีประจนั ต์ นายสจุ นิ ต์ ชาวบางงาม หรือ สุจินต์ ศรีประจันต์ และนางส้าเนียง ชาวปลายนา ทัง แม่บัวผันและพ่อไสวได้ฝึกหัดเพลงให้ลูกศิษย์อีกหลายรุ่นกว่า ๓๐ ปี และมีผลงานการบันทึกเสียง บนั ทกึ ภาพ ทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ รวมทงั การวีดิทศั น์สาธิตเพลงพืนบ้านภาคกลางให้แกใ่ ห้แก่องค์กรและ สถาบันการศึกษาต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และศูนย์สังคีตศิลป์ ไว้จ้านวนมาก คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติจึงประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้ นางบัวผัน จันทร์ศรี เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพืนบ้าน) ประจ้าปี ๒๕๓๓ (ส้านักงานส่งเสริมวัฒนธรรมจังหวัดสุพรรณบุรี ใน http://province.m-culture.go.th /suphanburi/boupan.html) ขวญั จติ ศรปี ระจนั ต์ เลา่ ถึงการฝกึ หดั เพลงทรงเคร่ืองในยุคแมบ่ วั ผัน จันทร์ศรี ว่าแม่ บัวผนั จะเป็นผู้ฝึกสอนเพยี งคนเดยี วทังร้องและรา้ พอถึงเวลาแสดงจะแต่งกายพอเป็นพิธี เช่น ห่มผ้าสไบ หรือ น้าเอามาคล้องคอ น้าผ้ามาโพกศีรษะแบบลาวบ้าง จึงท้าให้การแต่งกายไม่สมบูรณ์เหมือนดังกับคณะเพลง ทรงเครื่องอ่ืน ๆ ที่มีในขณะนัน ซึ่งแม่ขวัญจิตได้แสดงร่วมกับแม่บัวผัน จันทร์ศรี หลายเรื่อง เช่น ขุนช้าง ขนุ แผน ในบทบาทของศรีเงินยวง นางพิมพิลาไลย เรื่องมหาเวสสันดร แสดงเป็นนางอมิตดา แต่ส่วนใหญ่จะ แสดงประกอบกับการเทศนม์ หาชาตทิ รงเครอื่ ง ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เพลงทรงเครอ่ื งของแม่บัวผัน จันทรศ์ รี เร่ิมมีความ ประณีต ขนึ เมื่อไดน้ างสงา่ (ไมท่ ราบนามสกุล) ซงึ่ ฝกึ หดั เพลงทรงเคร่ืองจากจังหวัดราชบุรี มาอยู่ในคณะด้วย นางสง่า ได้น้าท่าร้า วิธีการแสดงต่างๆ มาถ่ายทอดผสมผสานกับรูปแบบการแสดงของแม่ บัวผัน จันทร์ศรี โดยมีแม่ ขวัญจติ ศรีประจันต์ เปน็ ผู้รว่ มปรับปรุงการแสดงเพลงทรงเครื่องในครังนันจากนันคณะเพลงทรงเคร่ืองของ แม่บัวผัน จันทร์ศรี จึงได้ตระเวนเล่นเพลงพร้อมกับแสดงเพลงทรงเครื่องควบคู่กัน โดยมี แม่ขวัญจิต ศรี ประจันต์ แม่ขวัญใจ ศรีประจันต์ (น้องสาว) และนางสง่า ซ่ึงแม่ขวัญจิตได้แสดงร่วมกับแม่บัวผัน จันทร์ศรี หลายเรือ่ งเชน่ ขุนช้างขนุ แผน ในบทบาทของศรีเงินยวง นางพิมพิลาไลย เร่ืองมหาเวสสันดร แสดงเป็นนาง อมิตดาโดยไดแ้ สดงคกู่ บั พอ่ ไสว วงษง์ าม ซึง่ เปน็ สามีของ แม่บัวผัน จันทร์ศรี หลายครังและมักเป็นการแสดง ประกอบกับการเทศน์มหาชาติทรงเคร่ือง (เกลียว เสร็จกิจ, สัมภาษณ์ วันท่ี ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ อ้างถึงใน วรรณา แก้วกว้าง, ๒๕๕๕ : ๑๑๖ ) ลา้ ดับขันตอนการแสดงของคณะแมบ่ ัวผัน จนั ทร์ศรี ได้แก่ ๑) ป่พี าทย์บรรเลงโหมโรง ๒) การไหวค้ รู โดยมีพานกา้ นลทใ่ี ส่ดอกไม้ ธูป เทียน และเงินก้านล ใน ๖ สลึง - ๑๒ บาท การไหวค้ รูนัน ฝ่ายชายไหว้ก่อนสมัยก่อนจะนั่งยอง ๆ หรอื นั่งคุกเข่า ฝา่ ยหญิงนงั่ พบั เพียบ รอ้ งบทไหว้ครู และบททอดลง ตวั อยา่ งบทไหวค้ รมู ดี ังนี บท ๑. สิบนวิ ประนมกม้ ขนึ เหนอื เกศ จะไหวเ้ ทวัญชันเทเวศ อกี ทังเทพไทย ในไพรสัณฑ์ ลูกจะไหวล้ ายลกั ษณ์อกั ษร ขอให้มาปกกรป้องกัน...ภัย ชา ชดั ช้า
๑๐๓ บท ๒. จะไหวพ้ ระพทุ ธท่ีลา้ ไหว้พระธรรมทเ่ี ลิศ ไหว้พระสงฆอ์ งคป์ ระเสริฐ ท่านเป็นยอดวเิ ศษ ขอให้ลว่ งทะลปุ รโุ ปรง่ ปญั ญาลกู ดังองคพ์ ระเมศ...ไตร เอชา ชัดช่า ๓) เมือ่ ไหวค้ รูจบแลว้ ฝา่ ยหญิงก็จะรอ้ งสร้อยเพลง ปพ่ี าทย์จะรับท้ายเพลง ตวั อยา่ งบทรอ้ งเพลงสรอ้ ย (หญงิ ) ไหวค้ รเู สรจ็ สรรพ แลว้ ก็จับบท (ปพี่ าทยร์ บั ) ฉา่ ชะ ฉ่า ไห้ ไห้ ใหก้ า้ หนดเร่อื ราวกล่าวนิทานเอย (ปพี่ าทยร์ บั ) ฉ่า ชะ ฉ่า ไห้ ไห้ ใหเ้ สนาะเพราะหู เจ้าของงาน สถาพรเปน็ การมงคล (ป่ีพาทยร์ ับ) ฉ่า ชะ ฉา่ ไห้ ไห้ ๔) การร้องบทปลอบ ฝ่ายชายจะรอ้ งชกั ชวนฝ่ายหญิงให้ออกมารอ้ งโตต้ อบกัน ตัวอย่างบทรอ้ ง ปลอบปลุกลุกเถิดแมว่ นั ทอง นวลละอองเจ้าจงลกุ มาโดยไว (ลกุ ขึนพรอ้ มกนั ) เรไรเร่าร้องก้องระงม มันมไิ ด้สมประดคี ืนน้องเอยกมุ ารเอย (ปีพ่ าทยร์ บั ) ๕) การรา้ สองไม้ เปน็ เพลงท่ีมีจังหวะกระชับ ใช้บรรเลงเมื่อต้องการด้าเนินเรื่องด้วย การร้องอย่างรวดเร็ว แต่โบราณค้าร้องทใี่ ช้บรรจุในเพลงจะเปน็ การด้นสดอย่างเช่นบทรอ้ งของลเิ ก จุดเด่นอยู่ที่ เออื นตอนทา้ ยเพ่อื ส่งใหป้ ่พี าทย์รบั ความหมายของเพลงแสดงถงึ ความสนุกสนาน ๖) การร้องเพลงเกร่นิ เพลงเกรน่ิ หมายถงึ เพลงท่ีใช้ร้องชักชวนกันระหว่างชายหญิง ให้ออกมาเลน่ เพลง การร้องเพลงเกริน่ นีจะเร่ิมจากฝา่ ยชายก่อนฝา่ ยหญงิ ตัวอย่างบทรอ้ งเกรน่ิ ชาย แต่พอจบส่งลงวา ปพี่ าทยร์ ับสาธกุ าร เสียงกลองระนาดกฉ็ าดฉาน ประชาชนก็มานัง่ ประชุม เสียงกลองกต็ ีเสยี งปี่กต็ รอ่ ย เพลงฉอ่ ยกพ็ ลอยกันกรุม้ ...ไป (ชา ชัด ช้า) น้องอย่าทุกข์ไปเลยหนอ นอ้ งอย่าท้อไปเลยน้อง อีแมเ่ มด็ ทับทมิ ของพใ่ี สส่ ร้อยทอง นอ้ งอยา่ ทกุ ขไ์ ปเลยหวาว่าเมยี พมี่ ี ถ้าเมยี พ่มี เี มยี พต่ี อ้ งมา นเี มียไมม่ าเพราะวา่ เมียไม่มี...ไม่ (ชา ชัด ช้า) ตัวอย่างบทรอ้ งเกร่ินหญงิ แต่พอไดย้ ินเสียงชายมาร้องเกริ่น เสียงช้เู ชียวหนอรอ้ งกรา่ ย ฟังฟงั ไปดว้ ยนา้ เสียงเพลง มันให้เผลอพลังเชยี วหนอฟงั เพลนิ ได้ยนิ พอ่ นา้ เสียงหวานวงั เวง...ใจ (โอ๊ย แม่) มนั ใหเ้ สียวทรวงหนอวา่ ทราบซ่าน
ไดย้ นิ ถ้อยค้าหนอวา่ ส้าเนียง ๑๐๔ จะออกไปทักเชียวหนอว่าไถถ่ าม โอ้วา่ พอ่ โสภณเชียวหนอว่าสมภาร เสียงผู้ใดใครมาเรียกอีแมง่ าม โอว้ า่ พอ่ สที องสองทอ่ น เสียงผใู้ ดใครมาหวานมาวอน...ไหว้ (โอย้ แม่) ๗) การร้องเพลงประ “ประ” หมายความถึงการร้องโต้ตอบชิงไหวพริบกันระหว่าง ฝ่ายหญิง และฝ่ายชาย ค้าว่า “ประ” “ปะ-หระ”เป็นค้าท่ีมีความหมายเดียวกัน การร้องประนีจะมีเป็นชุด หลายชุดแลว้ แตจ่ ะร้องในชุดใด เชน่ ชุด “ชายเตอื นหญงิ ตอบ” “ชดุ ชิงชู้” “ชุดตีหมากผัว” เป็นต้น ๘) การจบั เขา้ เรื่อง เป็นขันตอนสุดท้ายโดยกล่าวน้าว่าจะแสดงเร่ือง ตอนใด จากนัน จึงเปิดตัวตามลา้ ดับหนา้ พาทย์ (สา้ เนียง ชาวปลายนา, สมั ภาษณ์ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗) ตัวอย่างเพลงทรงเคร่ือง เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพลายแก้วล่องทัพ ของแม่บัวผัน จันทรศ์ รี ซึง่ สืบทอดโดยแมข่ วัญจติ ศรปี ระจนั ต์และรองศาสตราจารยส์ ุกัญญา สุจฉายา ฉากท่ี ๑ เมืองเชียงทอง - ปี่พาทยบ์ รรเลงเพลงวา - - เปดิ มา่ น – - พลายแก้วออก - - รอ้ งเพลงฉ่า - พลายแกว้ : กลา่ วถึงพลายแกว้ แววสวุ รรณ ได้เป็นยอดทหารเมืองไทย (เอช่ า…) นกึ ถงึ ทรงธรรม์พนั วษา ทา่ นได้มีสาสน์ ตราสามใบ ใบหนงึ่ ให้ล่องใบสองให้กลับ ให้ยกโยธาทพั กลับเมืองไทย ว่าใบทีส่ ามท่านก็พดู มา มีกนั ทังท้าทังทาย ถา้ แมน้ ไมก่ ลบั ดงั สัญญา (ซา้ ) จะสั่งตัดเกศาเสยี บไม้ (เอช่ า…) - แทรกพูด – ( ข้าพเจ้าชื่อพลายแกว้ …พระพนั วษาสง่ั ใหก้ ลบั ... เร่ืองความรักไวท้ ่ีหลัง ชาติบา้ นเมืองต้องมาก่อน จะไปปรึกษาลาวทองว่าจะไปกรุงศรีหรือไม่...) - รอ้ งเพลงฉ่า - พลายแกว้ : จะไปปรึกษานวลน้อง จะไปปรึกษาลาวทองท่หี ้องใน (ฉัดฉา่ …) จรลนิ แลว้ ลินลา เขา้ ยังเคหาห้องใน (เอ่ชา…) - ปพี่ าทยบ์ รรเลงเพลงเชดิ – - พลายแก้วเขา้ หลืบเวทดี า้ นซา้ ย - - ลาวทองนั่งอยบู่ นตงั่ -
๑๐๕ - ร้องเพลงฉ่า - ลาวทอง : กลา่ วถึงสาวเจ้าลาวทอง น่ังอยใู่ นห้องหอใน (เอช่ า…) แสนสุขเกษมเปรมปรีด์ิ โพยภยั ไมม่ ตี ิดกาย (เอช่ า…) - แทรกพูด - (เร่อื งตนเองเปน็ ใคร พ่อ แม่ สามี ช่อื อะไร เชน่ ข้าพเจา้ ชื่อลาวทอง เปน็ ลูกสาวของพอ่ แสนค้าแมนและแม่สี เงินยวง เป็นเมียของพอ่ พลายแก้ว พอ่ พลายรักใคร่และสัญญาวา่ จะอยูท่ ่เี มืองเชียงทอง...) - พลายแก้วออกมา - - ร้องเพลงฉ่า - พลายแกว้ : ลดองค์ลงเคียงเรียงลงขา้ ง หย่อนก้นลงนง่ั ใกล้ใกล้ (เอ่ชา…) จึงรอ้ งถามแมล่ าวทอง ถามว่าน้องจะลอ่ งกบั พ่หี รือไม่ (เอ่ชา…) - แทรกพูด - ( ลาวทองไหว้พลายแกว้ แล้วถามวา่ แตเ่ ชา้ ทา้ ไมหนา้ ตาเศร้าหมองเชยี ว มเี รื่องอะไร พลายแกว้ ก็เลา่ เร่ืองทีไ่ ด้รบั สาสน์ ตราให้กลบั กรงุ ศรอี ยุธยาแล้วถามลาวทองว่าจะไปด้วยหรือไม่) - ร้องเพลงฉา่ - ลาวทอง : ไดฟ้ ังคา้ ผวั บอก เหมือนดงั หนามเขา้ มายอกทรวงใน(เอ่ชา…) พี่จะล่องทพั กลบั สพุ รรณ เคยสัญญากันวา่ จะไม่กลับไป ว่าจะเอากระดูกเขา้ มากอง อยูใ่ นเมืองจอมทองเลา่ พ่อพลาย(เอ่ชา…) พดู กนั ไว้มันไมไ่ ด้ดงั ค้า กลับมาเหลวไปเหมอื นน้าใสใส(เอ่ชา…) นา้ ลายในปากทเี่ ขาถ่ม ดซู ยิ งั เอามาอมอกี ได้ โอพ้ อ่ ดนิ สอพองของนอ้ งแปง้ ผง ไมท่ นั ฝนจะลงก็ละลายเอย... - ปีพ่ าทยบ์ รรเลงเพลงโอด - - แทรกพูด - (พลายแก้วปลอบและชวนลอ่ งไปกรงุ ศรี ว่าแล้วก็พากนั ไปลาพอ่ แม่ ) - รอ้ งเพลงฉ่า - พลายแก้ว : ชักชวนนวลน้อง ชวนแม่ลาวทองรีบไป จรลินรบี ลนิ ลา บ่ายพกั ตร์ตังหนา้ รีบไป เอย.. - ปีพ่ าทยบ์ รรเลงเพลงเชดิ – - พลายแก้วและลาวทองเขา้ หลบื เวทดี ้านซ้าย - ฉากที่ ๒ บา้ นแสนคาแมน หม่บู า้ นจอมทอง (แสนค้าแมนและสเี งินยวงออกมานงั่ บนตัง่ ลาวทองเดินเขา้ มาหา) - ร้องเพลงฉ่า -
๑๐๖ ลาวทอง : ยกฝา่ เท้ากา้ วด่วน เดินมาถงึ ยังจวนหลงั ใหญ่ (เอช่ า…) คุณพอ่ กเ็ ฒ่าหนอชะแร สว่ นคุณแมก่ ็แก่ลงไป เปรียบเหมือนต้นไมใ้ กล้ฝั่ง นบั วันจะพังวนั ไรเอย... - ปพี่ าทย์บรรเลงเพลงโอด - - รอ้ งเพลงฉ่า - สเี งนิ ยวง : มเี นือความถามเจา้ ลาวทอง เหตไุ ฉนจงึ ไดร้ ้องห่มไห้ (เอช่ า…) จงึ เอาขมี ูกมาหา ดหู รือเอานา้ ตามาให้ วา่ ผัวเขาตีหรือพเี่ ขาด่า พ่อพลายแก้วเขาวา่ อะไร (เอช่ า…) ลาวทอง: ผวั ไมไ่ ด้ตีพีไ่ มไ่ ดด้ ่า พพี่ ลายไมไ่ ด้ว่าไรให้ (เอ่ชา…) โฉมอีพอ่ หนอว่าพลายแกว้ เขาจะล่องไปแลว้ เมอื งไทย ใชใ้ หล้ ูกเข้ามาลา วา่ อแี ม่จะว่ายังไง (เอช่ า…) - แทรกพดู - (วา่ ขอลาพอ่ แม่ไปกรุงศรีกบั พลายแกว้ แสนค้าแมนโกรธ ถามลาวทองว่า พ่อพลายแกว้ มาหรอื เปล่าลาวทอง ตอบวา่ ไม่มา แสนคา้ แมนโม้ว่า ถ้ามาละกเ็ จอดแี น่แลว้ ก็บอกบกั เปอ๋ -บักปอ่ งใหไ้ ปเอาหอกเอาดาบมา ) - พลายแกว้ เดนิ เข้ามา - - รอ้ งเพลงฉ่า - พลายแกว้ : พลายแกว้ เดินเฉยเลยเขา้ มา ทงั พ่อแม่เขาจะวา่ แลว้ ยังไง (เอ่ชา…) - แทรกพดู - (พลายแก้วถามว่าจะเตรียมหอกเตรยี มดาบมาทา้ ไม แสนคา้ แมนบอกว่าจะไปล่าสัตวต์ ัดชีวิต พลายแก้วบอกว่าตอ้ งไปกรุงศรี แสนค้าแมนสีเงินยวงสอนและอวยพรลูก) - รอ้ งเพลงฉา่ - สีเงินยวง : กลา่ วถงึ สเี งนิ ยวงนง่ั ตวงนา้ ตา เหน็ ลกู รักมาลาก็เสียใจ (เอ่ชา…) มเี นือความถามเจ้าลาวทอง ถามว่าเจา้ จะล่องหรือไม่ จะไปกบั ผัวหรือจะอยกู่ ับแม่ บอกมาใหแ้ น่แกใ่ จ (เอช่ า…) ลาวทอง : จะอยกู่ บั แม่ไมไ่ ปกบั ผวั ลาวทองกลวั ตวั เปน็ หมา้ ย (เอช่ า…) จะเป็นหม้ายขายนา้ หนา้ อายแก่ชาวประชาหญงิ ชายเอย… - ปพี่ าทย์บรรเลงเพลงโอด - - รอ้ งเพลงฉา่ - สเี งนิ ยวง : ลาวทองจะไปแม่กไ็ ม่ห้าม เมือ่ ลกู จะไปก็ตามแตใ่ จ ฝากเจ้าลาวทองของแมไ่ ปด้วย พ่อพลายเอ๋ยพอ่ จงช่วยเอาใจ ถา้ ผดิ ไปบา้ งพลังไปที พอ่ พลายเอ๋ยอย่าตีกนั ดว้ ยไม้ พ่ออยา่ ไปตีกนั ด้วยลวด พ่อพลายเอย๋ พอ่ อยา่ หวดกันด้วยหวาย
ถา้ แมน้ ไมร่ กั ไมเ่ ลยี ง ๑๐๗ ลาวทองจะไปแม่จะใหพ้ ร พลบค้า่ ธยนหนอว่าสนธยา ใหส้ ่งกลบั มาเวียงวงั ชยั (เอ่ชา…) กระโถนทองรองนา้ หมาก ขอให้ลูกโอนอ่อนเอาใจ พลบค่้าธยนยามสนธยา ไต้ไฟเตรียมหาจุดไว้ ตน่ื เช้าขึนมาเห็นหนา้ เมียนวล ส้าหรับผวั เขาขากนา้ ลาย จะมีเมียน้อยไปสกั รอ้ ยพนั พวง จดั แจงแตง่ หนา้ กนั เข้าไว้ ผวั กินข้าวให้นงั่ เฝ้าส้ารับ ความรักมันก็ยวนหวั ใจ ถา้ แม้นผกั หญา้ ปลายา้ ยงั อดรักเมยี หลวงไม่ได้ (เอ่ชา…) ถา้ แม้นปลาก้างใหเ้ อามาใสค่ รก ดวู ่าจะหมดกบั อะไร ผัวอมิ่ ข้าวลกุ ไปบว้ นปาก พันไว้เป็นคา้ คา้ กินง่าย อนี อ้ ยเอย๋ ไปอยู่หนอว่าเมอื งผัว หยบิ สากเอามาโขลกกา้ งหาย สมควรน้าก็นา้ สมควรตากต็ า เราเปน็ เมียหาหมากส่งให้ (เอ่ชา…) อยู่เมืองบนน่งุ ซนิ่ ล้วนแตป่ ่นิ ปกั มนั จะเหมอื นเมืองตวั กนั ทไ่ี หน จะไปเอนิ บักนนั หนอบกั น่ี สมควรยา่ ก็ย่าสมควรยายกย็ าย แสนคาแมน : กล่าวถงึ แสนค้าแมนมนั ใหแ้ ค้นจติ อยู่เมอื งผัวตอ้ งยักนงุ่ ลาย ลูกก็มอี ยู่คนเดยี ว บักไทยมันจะซเ่ี อาตาย (เอ่ชา…) เปรียวหวานมนั เคม็ มันก้าลงั คัน ไม่รหู้ นอมนั จะคิดยงั ไง (เอ่ชา…) เมอื่ ลาวทองจะไปพ่อจะสอน อียายเอย้ จะไปเหลยี วหาใคร หุงขา้ วอยา่ หนั หลังใหห้ ม้อ จะให้มนั หลดุ จากกันเสียอย่างไร(เอ่ชา…) กะปกิ ะปดู อย่าใหบ้ ดู ใหแ้ ฉะ ใหล้ กู โอนออ่ นเอาใจ ถา้ ส้ารับไมด่ ฝี าชไี มแ่ ดง ไฟดับกลบั มาก่อเขาไมใ่ ช้ เวลาจะนอนกราบหมอนสวดมนต์ หมัน่ ตบหม่ันแตะกันเขา้ ไว้ ถ้าผัวนอนสงู เราต้องนอนต่้า เขาจะเชิญชามแกงขึนยอดไผ่ (เอ่ชา…) ผวั กระเดกเราตอ้ งกระดก ไหวผ้ ัวสามหนจึงจะนอนได้ พอ่ พลายแกว้ จะไปพ่อจะใหพ้ ร ถ้าผัวนอนควา่้ เราต้องนอนหงาย ถา้ ไปทางบกอย่าใหแ้ คลว้ เสือ มนั จะได้เบาอกเบาใจ (เอช่ า…) ขอให้เป็นมะเรง็ เกง็ กัง ก็อยา่ วา่ พ่อสอนเลยเจา้ พลาย พลายแก้ว : พลายแก้วปูผ้าลงอ่อนออ่ น ถ้าไปทางเรือใหจ้ ระเข้ฟาดตาย ถา้ พอ่ จะตายอยา่ ให้ใครเขาดอย เมอื่ พ่อพลายเจ้ายงั ไม่ตาย (เอช่ า…) ฟืนสักดนุ้ ไตส้ ักกน้ แผร่ บั พรกท็ พ่ี อ่ ให้ ให้เอาศพไว้คอยพอ่ พลาย - แทรกพดู - ลูกจะกลบั มาซนเตาไฟ (เอช่ า…)
๑๐๘ (พ่อพลายจะไปพอ่ กบ็ ่วา่ ให้บักเปอ๋ บักปอ่ ง สาวเมี่ยงสาวไหมไปรบั ใช้เรยี กบา่ วไพร่ให้ขนของลงเรอื กญั ญา ทงั หมดไหวล้ าแลว้ เดินเข้าหลบื เวทีดา้ นซ้าย ) -ป่ีพาทย์บรรเลงเพลงเชดิ - อนง่ึ แมบ่ ัวผัน จันทร์ศรีไม่ได้ตังชื่อคณะอย่างเป็นทางการว่า คณะเพลงทรงเครื่อง แม่บวั ผัน จนั ทรศ์ รี แต่ใช้ชอ่ื คณะว่า “เพลงอแี ซวคณะไสว วงษ์งาม” ต่อมาใช้ว่า “คณะพ่อไสวแม่บัวผัน” รับ วา่ จา้ งแสดงเพลงอีแซวเป็นหลกั ส่วนเพลงอน่ื ๆ เชน่ เพลงฉอ่ ย เพลงเรือ เพลงเต้นก้า ฯลฯ ก็จะแสดงตามการ ร้องขอของเจ้าภาพ ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เป็นต้นมา แม่บัวผัน จันทร์ศรี มิได้แสดงเพลงทรงเคร่ืองอีก เพราะประสบปญั หาเกีย่ วกบั การฝกึ ซอ้ มไม่ทันก้าหนดงานและค่าใช้จ่ายสูง เพราะเจ้าภาพที่ติดต่อหาเพลงไป เลน่ จะก้าหนดเร่ืองทแี่ สดงตามทต่ี นอยากดู ซึ่งบางครังฝึกหัดไม่ทันและยังมีปัญหาในการเช่าเครื่องแต่งกาย ยืนเครื่องแบบละคร ซึง่ ตอ้ งไปเชา่ จากท่ีอื่น เชน่ อ้าเภอปา่ โมก จงั หวัดอ่างทอง รวมทังต้องติดต่อคณะป่ีพาทย์ มาบรรเลงประกอบการแสดง ท้าให้มีค่าใช้จ่ายเพ่ิมขึน เจ้าภาพบางคนก็สู้ราคาไม่ไหว แม่บัวผันจึงนิยมรั บ แสดงเฉพาะเพลงโตต้ อบแบบธรรมดา (มตี ับเพลงเรอื่ งบ้าง) ยังคงมีการแสดงเฉพาะโอกาสซึ่งส่วนใหญ่เป็นไป เพื่อการศึกษาและส่งเสริม เช่น การแสดงเพลงทรงเคร่ืองเร่ือง ขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วล่องทัพ เม่ือ วันท่ี ๑ กันยายน ๒๕๓๒ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้แสดงได้แก่ นายไพรแก้ว พิกุลขาว เป็น พลายแก้ว นางสา้ เนียง ชาวปลายนา เป็นพิม จา้ นง เสรจ็ กจิ ( ขวัญใจ ศรีประจันต์ ) เป็นลาวทอง นางบัวผัน จนั ทรศ์ รี เปน็ สายทอง และนางศรเี งนิ ยวง นางตะลมุ่ สทุ นต์ เป็นพระพันวษา นางทเุ รยี น สุนทรวภิ าต เปน็ นาง เมยี่ ง นางบญุ มา สดุ สุวรรณ เป็นนางไหม นายไสว สวุ รรณประทีป เปน็ บักเปอ๋ และนางชุ่ม เวชสุวรรณ เป็นบัก ป่อง (อภิลักษณ์ เกษมผลกูล, ๒๕๕๕: ๑๕ – ๒๗) (ซึ่งบทที่ใช้แสดงในงานนี ศาสตราจารย์สุกัญญา สุจฉายา และแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ เป็นผู้สืบทอดไว้ และได้น้ามาแสดงอีกครังในงานเดินตามรอยครูเชิดชูเพลงเก่า นอ้ มเกล้าฯ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั เมอ่ื ปี ๒๕๕๒ ณ ศนู ย์มานุษยวิทยาสิรินธร) ซ่ึงการแสดงครังนันถือ เปน็ แม่แบบให้ลกู ศษิ ย์ได้สบื ทอดต่อกันมาจนปจั จบุ นั เมื่อพ่อไสว สุวรรณประทีป เสียชีวิตลงเมื่อปี ๒๕๓๕ เพลงคณะพ่อไสวแม่บัวผันก็ซบ เซาลง จนกระทั่งเม่ือแม่บัวผัน จันทร์ศรี ล้มป่วยและเสียชีวิต ในปี ๒๕๔๘ คณะเพลงของท่านก็ยุติลงโดย ปรยิ าย ปัจจุบัน เพลงทรงเครื่องทัง ๑๔ คณะ ได้แก่ คณะหม่อมพุก คณะยายแจ่ม นายเป๋ คณะแม่อนิ แสนโกสทิ ธิ คณะนายคล้าม หรือคร้าม และนายพัน คณะแม่ต่วน บุญล้น แม่แตงไทย บุญพาสุข แม่ทองดี ศิริสุวรรณ คณะแม่เหม อินทร์สวาท หรือ “คณะศิษย์นพรัตน์” คณะทองเชือน้อย ของนายฟื้น แกว้ มศี รี คณะจ้ารสั ศิลป์อนิ ทาราม คณะนารเี ฉลมิ เนตร คณะแม่แกล อยู่สขุ และคณะพ่อไสวแม่บัวผัน ต่างยุติ การแสดงทงั สิน เนือ่ งจากหัวหน้าคณะเสยี ชีวิต หรอื ชราภาพและไมม่ ผี สู้ ืบทอด
๑๐๙ ภาพท่ี ๔๓ คณะเพลงทรงเครื่องของพอ่ ไสว วงษ์งาม และแม่บัวผัน จันทร์ศรี (ทม่ี า : เอนก นาวกิ มลู , ๒๕๓๙) ๒.๒.๒.๒ ลกั ษณะและรูปแบบการจัดการแสดง เนอื่ งจากปจั จุบนั คณะเพลงทรงเครื่องท่ีมีผู้สืบทอดจ้านวนมากคือคณะแม่ขวัญจิต ศรี ประจนั ต์ ศลิ ปินแหง่ ชาติ ปี ๒๕๓๙ ดังนันคณะผู้วิจัยจึงขอน้ามาเป็นต้นแบบของการแสดงเพลงทรงเคร่ืองใน ปัจจุบัน และจะขอน้าเสนอรายละเอียดโดยอ้างอิงผลการศึกษาของวรรณา แก้วกว้าง และจากการรวบรวม ขอ้ มลู ภาคสนามการสอนเพลงทรงเคร่ืองของแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ พ่อสุจินต์ ชาวบางงาม แม่ส้าเนียง ชาว ปลายนาและพอ่ บรรจง ทบั วเิ ศษ เม่ือวนั ท่ี ๑๖- ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ในค่ายเพาะกล้าพนั ธ์ุเก่งเพลงพืนบ้าน ณ ศูนย์เรียนร้เู พลงพืนบา้ นแม่ขวัญจติ ศรปี ระจันต์ เป็นข้อมูลสนบั สนนุ เพลงทรงเครอ่ื งมีองคป์ ระกอบการแสดงเหมอื นละครหรือลิเก ไดแ้ ก่ ๑) ผแู้ สดง เพลงทรงเคร่ืองของแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ใช้ผู้แสดงเป็นชายจริงหญิง แท้ ส่วนการได้รับบทบาทการแสดงในแต่ละเรื่องนันท่านจะเป็นผู้ก้าหนดโดยพิจารณาจากความสามารถ บคุ ลิกลกั ษณะ ตามความเหมาะสมของเร่อื ง ( ภาพนางผเี สอื ) ๒) เร่อื งและบทท่ีใช้แสดง เพลงทรงเครื่องของแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ท่ีสืบทอดกัน อยู่ในปัจจุบันมี ๓ เรื่อง ได้แก่ เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพลายแก้วล่องทัพ เรื่องแก้วหน้าม้า ตอนถวายลูก เรอื่ งพระอภัยมณี ตอนพระอภัยมณีหนีนางผีเสือสมุทร ส่วนบทแสดงนัน ส่วนใหญ่ครูเพลงเป็นผู้แต่งและสืบ ทอดต่อกันมา มีการจัดพิมพ์ไว้เพ่ืออ้านวยความสะดวกแก่การฝึกหัด และพิมพ์ลงสูจิบัตรเพื่อเผยแพร่ให้ กวา้ งขวางย่งิ ขนึ
๑๑๐ ภาพที่ ๔๔ สมาชกิ ชมรมรักษเ์ พลงพืนบ้าน รบั บทเปน็ ผีเสอื สมุทร เม่อื วันท่ี ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓ เยาวชนค่ายเพาะกลา้ พนั ธุ์เก่งเพลงพนื บ้าน รนุ่ ๒ รบั บทเปน็ ผเี สอื สมุทร เม่อื วันท่ี ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๔ ณ สวนศิลป์บ้านดิน จ.ราชบุรี (ที่มา : บัวผนั สุพรรณยศ) ๓) เพลงร้องและบทเจรจา เพลงท่ีใช้ขับรอ้ งประกอบการแสดงเพลงทรงเคร่ืองของแม่ ขวัญจิต ศรีประจันต์ ใช้การขับร้องเพลงพืนบ้าน คือเพลงฉ่อยเป็นหลัก ภายหลังท่านได้น้าเพลง อีแซวมา ประกอบดว้ ย เชน่ บทรอ้ งของท้าวมงคลราช และพระมเหสี ตอนเปิดเรื่องแก้วหน้าม้า ตอนถวายลูก รวมทัง การขับรอ้ งเพลงไทยอัตราสองชนั มกี ารเจรจาดว้ ยสา้ เนียงภาษาทเ่ี ลียนแบบเชือชาติ และใช้น้าเสียงท่ีแสดงถึง อารมณ์ตา่ ง ๆ อยา่ งสมบทบาทของการแสดง บทเจรจาในเพลงทรงเคร่ืองนอกจากจะช่วยด้าเนินเร่ืองแล้วยัง สรา้ งความสมจรงิ โดยเฉพาะสรา้ งความสนกุ สนานขบขันให้แก่ผูช้ ม อันเกดิ จากการแทรกมกุ ตลกตา่ ง ๆ ๔ ) ลักษณะลีลาท่าทางและท่าร้าประกอบการแสดง ลีลาท่าทางในการแสดงเพลง ทรงเคร่ืองเปน็ ท่าทางแบบธรรมดาและทา่ ประดษิ ฐต์ ามแบบนาฏศิลป์ เช่น การค้อน การทุบตี ฯลฯ และท่าร้า ท่ใี ชป้ ระกอบการแสดง ซึ่งปกติ มี ๒ คือ การร้าตีบท และการร้าเพลงหน้าพาทย์ การร้าตีบท หมายถึงการ รา่ ยรา้ ประกอบทา่ ทางโดยส่อื ความหมายของคา้ ร้องใหช้ ดั เจนยง่ิ ขนึ โดยใช้การร้าตีบทตามค้าร้องท่ีครูสอนไป พรอ้ มกบั การร้องเพลง ส่วนการร้าเพลงหน้าพาทย์ เป็นการร้าหน้าพาทย์เบืองต้น เช่น เพลงเสมอ เพลงเชิด เพลงโอด และเพลงเร็ว เปน็ ตน้ ๕) ลักษณะและรูปแบบการจัดการแสดง เพลงทรงเคร่ืองมีรูปแบบเหมือนละครหรือ ลิเก ผูแ้ สดงตอ้ งออกไปแสดงหน้าเวทีตามบทบาท ตามเนือเรื่อง เมื่อแสดงแล้วก็เข้าหลังโรงหรือหลังฉาก นัก ดนตรีและลกู ค่อู ยู่ด้านข้างของเวที บางครังอาจจัดฉาก มีแสงสีประกอบให้ดูสวยงามและสร้างความสะเทือน อารมณย์ ่งิ ขนึ อนึ่ง เพลงทรงเครอื่ งสามารถแสดงได้ทกุ โอกาส ในอดีตนิยมเล่นเป็นมหรสพประจ้าปี ในงานวดั และงานหา งานประชัน ส่วนสถานท่ีแสดงจะปลูกเป็นโรง มีการขึนฉากกันด้านหน้าหลังระหว่างผู้ แสดงกับผู้ชม คนดูสามารถชมได้รอบทังสามดา้ น ส่วนใหญเ่ จา้ ภาพทห่ี าคณะเพลงจะเป็นฝ่ายปลูกเตรียมไว้ให้ ปัจจบุ นั มกี ารสร้างเวทโี ดยยกพนื พร้อมระบบแสงสีเสยี ง หรือถ้าแสดงในโรงละครจะมีการจัดฉากตามท้องเร่ือง เชน่ เดียวกบั การแสดงละคร
๑๑๑ ๒.๒.๒.๓ ลาดบั ขัน้ ตอนการแสดง เดิมการแสดงเพลงทรงเคร่ืองมักมีเวลามาก อาจครึ่งคืนหรือทังคืน คณะเพลงก็จะมี ล้าดับการแสดงหลายขันตอน เช่น คณะแม่บัวผัน จันทร์ศรี มีขันตอนเริ่มตังแต่ ปี่พาทย์บรรเลงเพลงโหมโรง ร้องบทไหว้ครูฝ่ายชายและบททอดลง ร้องบทไหว้ครูฝ่ายหญิงแล้วร้องสร้อยเพลง คือ เป็นการร้องเพื่อจะส่ง เพลง เม่อื รอ้ งส่งเพลงแลว้ ปี่พาทยจ์ ะรบั ทา้ ยเพลง ฝา่ ยชายขับร้องเพ่ือชักชวนฝ่ายหญิงลุกขึนยืน การร้าสองไม้ การร้องเพลงเกริ่น การร้องเพลงประโต้ตอบ โดยร้องเป็นชุด หรือตับ ประกาศเรื่องเร่ิมการแสดง การแสดง และการอ้าลาและขอขมากัน แต่ปัจจุบันมีเวลาน้อยลง คณะเพลงจึงต้องปรับลดทอนให้เหมาะสมกับบริบท ของการแสดง ไดแ้ ก่ ๑) ปีพ่ าทย์บรรเลงเพลงโหมโรง ๒) ร้องบทไหวค้ รู ซึง่ อาจร้องเป็นบทสนั ๆ ทงั ฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย หรอื ร้องเพียง ฝ่ายเดยี วก็ได้ ๓) ประกาศเร่ืองเรม่ิ การแสดง ๔) การแสดง ๕) การอา้ ลาและขมากัน ๒.๒.๒.๔ เคร่อื งดนตรี เครอื่ งแต่งกายและอปุ กรณป์ ระกอบการแสดง เพลงทรงเคร่ืองทุกคณะใช้เคร่ืองดนตรีประกอบการแสดง คือวงปี่พาทย์เคร่ืองห้า หรอื เคร่ืองคู่ เปน็ สา้ คัญ สว่ นเครอื่ งแต่งกาย กม็ ีลักษณะและรปู แบบเปน็ การผสมผสานระหว่างละครแนวจักร ๆ วงศ์ ๆและการแต่งกายยนื เครือ่ ง โดยค้านงึ ถึงความเหมาะสมกับบทบาท เชือชาติของตัวละคร สอดคล้องกับ เรื่องราว และไม่เป็นอปุ สรรคต่อการแสดง ส่ิงที่เน้นมากที่สุดคือต้องรักษาไว้ซ่ึงเอกลักษณ์ของเคร่ืองแต่งกาย แบบไทย สา้ หรบั อปุ กรณท์ ตี่ อ้ งใช้ประกอบการแสดง ไดแ้ ก่ ฉาก เตียงน่ัง หมอนสามเหล่ียม ไม้ตะขาบ ไม้กรับ เป็นหลัก นอกเหนือจากท่ีกล่าวนีจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบเฉพาะตอน เช่น แสดงเร่ือง ขุนช้างขุนแผน ตอนพลายแก้วลอ่ งทพั อุปกรณ์ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับเร่ือง คือ พระราชสาส์น ดาบ เรือ ครุ คาน ส้าหรับหาบน้า ฯลฯ แสดงเรือ่ ง แกว้ หน้าม้า อุปกรณ์ท่ีเก่ียวข้องกับเรื่อง คือ ไม้ตะขาบ ห่อผ้า ตุ๊กตา พัด เป็นต้น อุปกรณ์เหล่านี ท้าให้เกิดความสมจรงิ และช่วยใหน้ กั แสดงมคี วามมนั่ ใจและใชเ้ ปน็ เครือ่ งสร้างความตลกขบขันไดด้ ว้ ย ๒.๒.๒.๕ การรอ้ ง ทานอง และตัวอย่างบทเพลง รูปแบบเพลงทรงเคร่อื งของแมข่ วัญจิต ศรีประจันต์ มุ่งเน้นการร้องเพลงพืนบ้านเป็น ส้าคัญ ผู้แสดงต้องร้องเองรา้ เองและเจรจาเอง และตอ้ งพูดและร้องให้ชัดถ้อยค้า ร้องให้ถูกจังหวะท้านองและ ตรงตามอารมณ์เหมาะสมกับบทบาท ผู้รอ้ งจะต้องเข้าใจวิธกี ารใช้นา้ เสยี ง การเอือน ที่เป็นอักขรวิธีของการฝึก
๑๑๒ เพลงพืนบ้าน รวมทังสอดแทรกอารมณ์ร่วมของน้าเสียงในบทต่างๆ เช่น รัก โกรธ โศกเศร้า ฯลฯ อย่าง เหมาะสม ทา้ นองของเพลงทรงเครอ่ื ง ของแม่ขวญั จิต ศรปี ระจนั ต์ ได้แก่ ๑) ท้านองเพลงฉ่อย มีทังท้านองโบราณ และทา้ นองธรรมดา ท้านองโบราณ เชน่ ไกแ่ จ้เชยี วหนอขนั ยาม ขันไปคนื ละสามสีห่ น น้องมานงั่ ง่วงเหงาฉงน ในหัวอกใหร้ ้องระงม ฉันมาคลา้ ผา้ ทปี่ ู พโิ ถเอ๋ยเยน็ อยยู่ ังลม..เอย๋ ..ชาย ทา้ นองธรรมดา เปน็ ทา้ นองรอ้ งของฝา่ ยหญิง แบบ “สายสุพรรณทางหวาน” คือทัง ผ้หู ญิงและผู้ชายขนึ เพลงเหมือนกนั ว่า “เอ๊ย..” เชน่ จะกล่าวถึงสาวเจา้ สายทอง นง่ั อยใู่ นหอ้ งหอใน ไกแ่ จ้ก็เร้านกกาเหวา่ ก็รอ้ ง จวนจะแจง้ แสงทองอโณทัย ทุกวันหงุ ขา้ วหนอว่าใสบ่ าตร ฉนั ก็มใิ หข้ าดทกุ วนั ไป ใสบ่ าตรหนอวา่ ไปแลว้ กรวดนา้ ให้อา้ ยแก้วท่ีตาย เอ่ชา.. นอกจากนียงั มีการร้องรับของลูกคู่ ซึ่งมี ๒ แบบ ได้แก่ รับแบบเมืองเหนือ ใช้ส้าหรับ ตัวละครท่ีเป็นชาวเชียงเหนือ เช่น ศรีเงินยวงและลาวทอง หรือฉากในท้องเร่ืองที่เป็นท้องถิ่นทางเหนือ เช่น พลายแก้วอยู่ในฉากเมืองเชียงทอง ก็รอ้ งรับแบบนี คือ “ เอ่ชา เอ เอช๊ า ละฉ่าชา โอละหนา่ ย หน่อยเอ๊ย ช้า แม”่ สว่ นแบบทสี่ องคือ รบั แบบเมอื งใต้ ใชส้ า้ หรับตัวละครท่ัวไป และตัวละครก้าลังทะเลาะโต้เถียงกัน แม้จะ เปน็ ชาวเหนือกต็ าม เช่น ลาวทองทะเลาะกับวันทอง ก็รับวา่ “เอ่ชา เอ่ฉา ชา ละฉา่ ชา หน่อยแม่” ๒) ท้านองเพลงอีแซว เชน่ เร่อื งพระเวสสันดร (เวสสนั ดร) เอย..องค์พระเวสสันดรครันไดท้ รงสดับ พระบดิ าท่านมาขบั ใหค้ ลาไคล กราบบาทพระบดิ าแล้วหนั มาลาพระมารดร พลดั พรากขอพรอยา่ ให้ลกู มีภยั พระทรงส่งั ถามซักพระมัทรี เอย.. นอ้ งจะไปกบั พี่หรอื ไม่ไป เอ่อ..เอย.. (มทั รี) มัทรีฟงั สารให้ซาบซ่านในโสต จะออกโอษฐพ์ จนาน้าตาไหล พระองคจ์ ะไปทางไหนน้องจะไปดว้ ย จะไปเป็นเพอ่ื นม้วยในกลางไพร ขอเปน็ เกือกทองแลว้ รองเท้า เอย.. ของพระองค์เสยี ทกุ กา้ วก้าวยา่ งไป เอย ๓) ท้านองเพลงฉ่อยในบททอดส่งเพลง แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ก้าหนดการขับร้อง เพ่ือประกอบการบรรเลงรับวงป่พี าทย์ ตามรปู แบบของแมบ่ ัวผัน จนั ทรศ์ รี เป็น ๓ ลักษณะ คอื บททอดส่งเพลง เชิด ในกรณีที่ตัวละครจะเดินทางไป จะมีค้าร้องรับลูกคู่ว่า “จรลิน รีบลีลา บ่ายพักตร์ตังหน้ารีบไปเอย” ป่พี าทยบ์ รรเลงรบั ดว้ ยเพลงเชิด และบททอดสง่ เพลงโอด ในกรณีตัวละครมีความเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ จะมี
๑๑๓ คา้ ร้องว่า “เออ เอง๊ิ เหอ่อ เฮอ้ เออ๊ เอิ๊งเออ เฮอ้ เอย่ ” ปพี่ าทย์บรรเลงรับด้วยเพลงโอด นอกจากนียังมีทอดส่ง เพลงอแี ซวโศกดว้ ย คอื จะร้องท้ายบทว่า “ ชอ่ ระกา่ เอ๋ยดอกล่าไย (ซ่า้ ) เวรกรรมท่าไว้จะท่าอย่างไรกันเล่าเอย เอ๋อ เออ เฮอะ เออ เองิ เออ เออ่ เออ เฮอะ เออ เฮอะ เออ เฮ่อ เอย” ๔) ท้านองเพลงไทยอตั ราสองชนั เชน่ ท้านองเพลงสองไม้ วนั ทอง ยา่ งเทา้ ก้าวลงเรอื ท่นี อน เห็นฟูกเมาะเบาะหมอนมา่ นกนั ออกแนน่ หนา ขุนแผน ขนุ แผนรวู้ า่ นอ้ งเอ๋ยวันทองมา ถึงเผยม่านเย่ียมหน้ามารับน้องเอย วนั ทอง พมิ เหน็ ผวั น้าตาตก ยกมือไหว้ผวั สะอนื อ้อน ขุนแผน เพ่อื นท่นี อนพมิ พเี่ ปน็ ไฉน ดูผอมซบู ผดิ รปู เอ๋ย…แตก่ ่อนไป หรอื ไข้ใจเจ็บตวั วา่ ผัวชา้ เอย ( ป่พี าทยร์ บั ) (สุจินต์ ชาวบางงามและส้าเนียงชาวปลายนา การแสดง ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗) ท้านองเพลงสาลกิ า เช่น บทร้องของนางผเี สือแปลง เอย ... เมือ่ จา้ แลงแปลงร่างจากนางยกั ษ์ แลว้ พิศพกั ตรโ์ สภานา่ หลงใหล ดผู วิ พรรณนวลผอ่ งเปน็ ยองใย ดตู รงไหนก็สวยสดหมดมลทิน (วรรณา แกว้ กว้าง การแสดง ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓) ท้านองเพลงเทพทอง เช่น ฝา่ ยโยคีท่อี ยูบ่ นภเู ขา กับชนเหล่าเหลอื ตายหลายภาษา ทงั จีนจามพราหมณ์แขกไทยชวา วลิ นั ดาฝรัง่ พร่ังพรอ้ มกนั พระโยคีมีฌาณชา้ นาญเวท แสนวิเศษบริหารชาญขยัน พวกเรอื แตกนัง่ ลอ้ มพระนักธรรม์ บ้างนวดฟ้นั ปรนนบิ ัตโิ บกพดั วี (มัณฑนา อยู่ยัง่ ยืน การแสดง ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓) ทา้ นองลาว เช่น ไปซอื คนั เบ็ดสกั เจด็ แปดคนั ( รับซา้ ) พรุ่งนกี ูจะไปเมืองเพชร ใหอ้ นี างคนนีมันหายคันหายคนั จะเก่ียวปากกระชาก...สี.. ( รับซ้า ) เอ๊ย.เยอ..เออ่ ..เฮอ้ ..เอิง.เอย.. ๒.๒.๒.๖ ขนบธรรมเนยี ม ประเพณีและความเชื่อ จากการส้ารวจและเก็บข้อมูล คณะผู้วิจัยเลือกยกตัวอย่างขนบธรรมเนียม ประเพณี และความเชื่อ ของแมข่ วญั จิต ศรีประจันต์ในการแสดงเพลงทรงเครื่อง โดยขนบธรรมเนียมประเพณี อันเป็น แนวทางการปฏิบัติท่ียึดถือสืบต่อมาจากครูบาอาจารย์และที่แม่ขวัญจิตมีธรรมเนียมนิยม ได้แก่ การเคารพผู้
๑๑๔ อาวุโส การออ่ นนอ้ มถอ่ มตน การยดึ คุณธรรมจริยธรรม มกี ิริยามารยาทท่สี ุภาพอ่อนโยน การไปลามาไหว้ การ ยึดความสนุกสนานเปน็ หลักและรักความสามัคคี เปน็ ต้น ด้านประเพณีและพิธกี รรมแม่ขวัญจิตยึดแบบแผนการปฏิบัติตามแบบครูบัวผัน จันทร์ ศรี ไดแ้ ก่ การประกอบพิธีไหวค้ รกู ่อนแสดง พธิ ีจับมือหรอื จบั ขอ้ มอื และพิธไี หว้ครูประจ้าปี ก. พิธีไหว้ครูก่อนแสดง ปกติคณะเพลงทรงเคร่ืองมักตังโต๊ะหมู่เพ่ือวางเศียรครูและ เครื่องบูชา มีพานก้านลหรือขันน้ามนต์ เป็นต้น ครูผู้อาวุโส หรือหัวหน้าคณะท้าหน้าที่เป็นผู้น้ากล่าวค้าบูชา และกราบไหว้ ซ่ึงอาจทา้ ด้านหลังเวที หรือด้านหนา้ ก็ได้ ภาพที่ ๔๕ การไหวค้ รูกอ่ นแสดงดา้ นหลังเวทหี รือในห้องแตง่ ตัวของแม่ขวญั จิต ศรปี ระจนั ต์ เมือ่ วนั ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๒ ณ บ้านคุณพอ่ ทองดี แสวงผล มีนบรุ ี (ที่มา : บวั ผัน สุพรรณยศ) ข. พธิ จี ับมือ หมายถึงพิธีมอบตัวเป็นศิษยอ์ ย่างเป็นทางการ และครจู ะได้สอนร้องและ จบั มอื ร้า ปกติท้าในวนั ที่ฤกษ์ดี เช่น วันพฤหัสบดี วันไหว้ครูประจ้าปี ผู้มาขอให้จับมือ ต้องน้าพานก้านลบูชา ครูมาคนละ ๑ พาน ใส่ ดอกไม้ ธูป เทียน หมาก ใบพลู มวนยา (ปัจจุบันใช้บุหรี่แทน) เข็มด้าย เงินจ้านวน ๖ บาท มาไหว้ครู ครูก็จะรับพานและจับข้อมือ พร้อมทังท่องคาถา จากนันจงึ จับใหร้ า้ ทา่ ต่าง ๆ เช่น ท่าเทพพนม ท่าปฐม ท่าพรหมส่หี น้า ทา่ สอดสร้อยมาลา เพียง ๒ – ๓ ท่า พอเป็นพิธี เสร็จแล้วจะใช้เข็มแทงใบพลูแล้วยก ใหศ้ ษิ ยด์ พู ร้อมทังถามเพ่ือทดสอบเชาว์และเป็นปริศนาธรรมให้ระลึกอยู่เสมอว่า “ เห็นไหม เห็นตลอดไหม” ลูกศษิ ยท์ ่มี ีเชาวก์ ม็ ักตอบวา่ “เหน็ ทะลปุ รโุ ปร่ง”
๑๑๕ ภาพท่ี ๔๖ พิธีจับมือ คา่ ยเพาะกลา้ พนั ธ์เุ กง่ เพลงพนื บ้าน รุ่นท่ี ๑ เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๒ ณ บ้านแมข่ วัญจติ ศรีประจนั ต์ (ท่ีมา : บวั ผนั สุพรรณยศ) ภาพท่ี ๔๗ พธิ จี ับมือ คา่ ยเพาะกล้าพันธุ์เก่งเพลงพืนบา้ น รนุ่ ท่ี ๒ (ฝึกเพลงทรงเครื่อง) เมอื่ วันท่ี ๙ มนี าคม ๒๕๕๔ ณ บา้ นแม่ขวัญจติ ศรปี ระจนั ต์ (ทม่ี า : บัวผนั สุพรรณยศ) ค. พิธีไหวค้ รูประจาปี แมบ่ วั ผนั จนั ทรศ์ รี จะจัดพิธไี หว้ครปู ระจ้าปีในช่วงเดือนสี่ วัน พฤหัสบดีแรกของเดอื น ที่บา้ นของท่าน ส้าหรับแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ท่านจะไปร่วมพิธีกับแม่บัวผัน จันทร์ ศรที กุ ปี จนกระทง่ั แม่บัวผันเร่ิมล้มป่วยลง ท่านจึงได้สืบทอดการจัดพิธีไหว้ครูในล้าดับต่อมา และก้าหนดวัน พฤหสั บดีแรกของเดือนหกเปน็ วนั ไหว้ครู รูปแบบของพิธเี ป็นการผสมผสานระหว่างพิธีพราหมณ์ตามแบบกรม ศิลปากรและพธิ แี บบครูพนื บ้าน
๑๑๖ ภาพท่ี ๔๘ พิธไี หวค้ รปู ระจา้ ปี ของแม่ขวญั จิต ศรปี ระจนั ต์ เม่อื วนั ท่ี ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ณ บา้ นแมข่ วัญจติ ศรปี ระจนั ต์ (ท่ีมา : บัวผัน สุพรรณยศ) ปัจจุบันแมข่ วญั จติ ศรปี ระจันต์ ไดจ้ ดั พิธีไหว้ครูประจ้าปีทุกปี โดยเปน็ ผูน้ า้ ในการบูชา ครู ถวายเคร่อื งสังเวยที่จัดเป็นส้ารับเพื่อให้ศิษย์น้าถวายครู ประกอบด้วย บายศรีปากชามที่ใส่ข้าวและไข่ต้ม สุก หมนู อนตอง ไก่สุกพร้อมน้าจิม ขนมต้มขาว ขนมคันหลาว ขนมหูช้าง ขนมฟักทองแกงบวด ขนมบัวลอย ขนมถ้วยฟู มะพร้าว กล้วยและเหล้า บุหร่ีพร้อมหมากพลู มีวงป่ีพาทย์บรรเลงประกอบในพิธี ส่วนเพลงท่ี บรรเลงเป็นเพลงหน้าพาทย์เบืองต้นและชันสูง เช่น สาธุการ เพลงโหมโรงต่าง ๆ ส้าหรับการแต่งกายของผู้ มารว่ มในพิธไี หว้ครูตังแต่อดีตจนถึงยุคของครูบัวผัน จันทร์ศรี และแม่ขวัญจิตศรีประจันต์นัน นิยมสวมเสือสี ขาว สว่ นผา้ นุ่งจะเป็นสใี ดก็ได้ ไม่นยิ มสดี ้าเพราะถือว่าเปน็ สอี ปั มงคล ความเช่อื นอกเหนอื จากเร่ืองสีเคร่ืองแต่งกายในการแสดง คณะเพลงทรงเคร่ืองยังมี ความเชื่อเกี่ยวกับสง่ิ ศักดิ์สิทธ์และครูบาอาจารยเ์ ปน็ หลกั นอกเหนือจากนีแล้วยังมีข้อห้ามต่าง ๆ เช่น ห้ามดื่ม เหล้าหรือของมนึ เมา เป็นต้น ๒.๒.๓ เพลงเรือ ๒.๒.๓.๑ ประวตั ิความเปน็ มาของเพลงเรอื เพลงเรือมีอายุเก่าแก่กว่า ๒๐๐ ปี สันนิษฐานว่าเกิดมานานอย่างน้อยก็สมัยกรุงศรี อยุธยา ดังหลกั ฐานต่างๆ ทงั จากเนือเพลงท่ีร้องสืบต่อกันมาหลายรุ่น จากค้าบอกเล่าของพ่อเพลงแม่เพลงใน ท้องถ่นิ ตา่ งๆ และจากเอกสารลายลักษณเ์ ท่าท่ีจะสบื คน้ ได้ ดังนี จากหลักฐานเนือเพลงทีร่ อ้ งสืบต่อกนั มา เช่น เพลงเรือของครูชินกร ไกรลาศ หรือชิน ฝ้ายเทศ ( เอกสารส้าเนาเพลงเรือ ๒๕๔๗ ) สืบต่อมาจากแม่ประยูร ยมเย่ียม ( เสียชีวิตแล้ว ) ซึ่งท่านรับ ถ่ายทอดมาจากครู ตัวอย่างเช่น
๑๑๗ เพลงเรือโบราณเพลงพนื้ บา้ นภาคกลาง คนรุน่ เกา่ เขาสรรค์สรา้ ง สบื มา หน้ากฐินลอยกระทงชาวบา้ นลงพายเรือ พอนานนักชกั จะเบ่อื ก็นึกหา... เพลงเรือเกา่ แกม่ ีมาแต่อยธุ ยา... จากหลักฐานค้าบอกเล่าของครูเพลงและศิลปินพืนบ้าน ได้แก่ นายมังกร บุญเสริม ผู้มีผลงานดเี ดน่ ของจงั หวดั อ่างทอง ประจา้ ปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ครูภมู ิปัญญาเพลงพนื บา้ นอา่ งทอง ปัจจบุ ันอายุ ๗๔ ปี เลา่ วา่ ไดส้ ืบทอดเพลงเรอื มาจากบรรพบุรุษหลายชัว่ อายุคน สบื ย้อนไปจากมารดาช่ือนางโถม บุญเสริมและ ลงุ ชอื่ นายสาคร คมคาย ทงั สองทา่ นนเี สียชวี ติ แลว้ ขณะนันท่านมอี ายุ ๙๐ กวา่ ปี และทงั สองท่านสืบทอดเพลง เรอื มาจากมารดาของลงุ สาคร ชอ่ื นางแฉล้ม ซ่ึงทา่ นกเ็ สียชีวติ ไปในขณะท่มี อี ายุ ๙๐ กว่าปีเชน่ เดียวกัน เม่ือนับ ย้อนหลงั ไปทังหมดกเ็ กิน ๒๐๐ ปีแล้ว ( สมั ภาษณ์ ๓๑ สงิ หาคม ๒๕๕๗ ) นายยุทธนา จันทร์เทศนา ผู้สืบทอด เพลงเรืออยุธยา เล่าว่าได้รับการถ่ายทอดเพลงเรือมาจากบรรพบุรุษ ได้แก่ ตา ช่ือนายโถ ผิวเสวก ( พ.ศ. ๒๔๕๕ – ๒๕๔๗ ) และยาย ชื่อนางจันทร์ ผิวเสวก ( พ.ศ. ๒๔๖๐ – ๒๕๔๕ ) ตาและยายสืบทอดมาจากพ่อ แม่ และยายเล่ียม ( ไม่ทราบนามสกุล ) โดยเฉพาะยายเลี่ยมเคยแสดงเพลงเรือเฉพาะพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ด้วย ทังหมดนีอยู่ต้าบลตานิล อ้าเภอบางปะหัน จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันเสียชีวิตกันหมดแล้ว หากนับอายุก็เกิน ๑๕๐ ปี (สัมภาษณ์ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ และ ๑ กันยายน ๒๕๕๗ ) นางบัวผัน จันทร์ศรี ( พ.ศ. ๒๔๖๓ - ๒๕๔๘ ) ครูเพลงเรือจังหวัดสุพรรณบุรีซึ่ง สบื ทอดมาจากบรรพบรุ ุษทจี่ ังหวดั อา่ งทองเคยเลา่ วา่ เพลงเรอื นีสืบตอ่ มากันมาหลายช่ัวอายุคน เม่ือจ้าความได้ ปู่ย่าตายายก็เล่นเพลงเรือแล้ว คือสืบต่อมาจากพ่อชื่อดินและอาช่ืออิน สืบทอดมาจากย่าช่ือเพิง ตาช่ือเทียน ยายช่ือคล้า ( พกิ ุลขาว) ซึ่งตังบา้ นเรือนอย่แู ถบบ้านห้วยโรง ต้าบลห้วยคันแหลม อ้าเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัด อ่างทอง นบั อายุรวมแลว้ ก็เกนิ ๒๐๐ ปี ( สา้ เนยี ง ชาวปลายนา, สัมภาษณ์ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ) หลักฐานพยานบุคคลเป็นท่ีเชื่อถือได้ชัดเจนว่าเพลงเรือมีมาไม่น้อยกว่า ๒๐๐ ปี คือ ประมาณ ๔ ช่วงอายุคน แต่หลักฐานท่ีเป็นลายลักษณ์อักษรเท่าที่นักวิชาการสืบค้นได้ยังไม่พบชัดเจนว่ามี “เพลงเรือ” ในสมยั อยุธยา หลกั ฐานเท่าทรี่ วบรวมได้มี ดังนี เพลงพนื บา้ นของชาวอยุธยามีกลา่ วถงึ เป็นครงั แรกในกฎมณเฑยี รบาลท่ีตราขึนในสมัย พระบรมไตรโลกนาถ ท่ีกลา่ วหา้ มมิให้ผ้ใู ดมารอ้ ง “เพลงร้องเรือ” (ซ่ึงอาจเป็นเพลงเรือ หรือสักวาก็ได้) ในเขต พระราชฐานท่ีกา้ หนดไว้ พรอ้ มทงั ก้าหนดบทลงโทษ ดังความว่า “...แต่ละประตูแสดงรามถงึ สระแกว้ ไอยการหมื่นโทวาริก ผิวผู้ชายผู้หญิง เจรจาด้วยกันก็ดีนง่ั ในที่สงัดกด็ ี อน่ึงทอดแหแลตกเบ็ดสุ่มส้อนช้อนขนานแลร้องเรือ เป่า ขลุ่ยเป่าป่ีตีโทนทับขับร่าโห่ร้องท่ีน่ัน ไอยการหมื่นโทวาริก ถ้าจับโทษได้สามประการ
๑๑๘ ประการหน่งึ ให้ส่งมหาดไทย ประการหนึ่งใหส้ ง่ องครักษ์ ประการหนึ่งให้สักลงหญ้าช้าง... อน่ึงในทอ่ น่้าสระแกว้ ผ้ใู ดขเ่ี รือคฤ เรอื ปทุนเรอื กูบและเรือมีศาสตราวุธแลใส่หมวกคลุม หวั นอนมา ชายหญิงนัง่ มาด้วยกัน อนึ่งชเลาะตีด่ากัน ร้องเพลงเรือ เป่าปี่ เป่าขลุ่ย สีซอ ดดี จะเข้ กะจบั ป่ี ตโี ทนทับ โห่ร้องที่นั่น อนึ่งพิริยหมู่แขกขอมลาวพม่าเมงมอญมสุมแสง จีน จาม ชวา นานาประเทศทั้งปวง แลเข้ามาเดินในท้ายสนมก็ดี ทั้งน้ีพ่ะไอยการขุน สนมหา้ ม ถ้ามิหา้ มปรามเกาะกุมเอามาถงึ ศาลาให้แกเ่ จา้ นา่้ เจ้าท่า แลให้นานาประเทศไป มาใหท้ ้ายสนมได้ โทษเจ้าพนกั งานถึงตาย...” ( สุกญั ญา ภทั ราชยั , ๒๕๔๐ : ๗๒ ) จากกฎมณเฑยี รบาลท่ีตราขนึ ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ แสดงให้เห็นว่า ประชาชน ชายหญิงในยคุ นนั นิยมร้องรา้ ทา้ เพลง มีการเล่นดนตรีและประโคมเครื่องดนตรีอย่างสนุกสนาน โดยร้องเล่น กนั บนเรือ จนเกิดเสยี งดงั ไปท่วั บรเิ วณ โดยเฉพาะในเขตใกล้พระราชฐาน ย่อมแสดงให้เห็นวถิ ีชีวิตของการเล่น เพลงทีเ่ ป็นจดุ เร่มิ ต้นของการแสดงทเ่ี กดิ จากชาวบ้านอย่างแท้จริงในอดีต จนไม่สามารถควบคุมการเล่นได้ จึง ต้องใช้กฎมณเฑียรบาลที่ตราขึนเพ่ือเป็นบทลงโทษและควบคุมให้เล่นอยู่ในบริเวณท่ีเหมาะสมโดยไม่สร้าง ความรบกวนตอ่ ผ้อู ่ืน หากเพลงร้องเรอื คือเพลงเรอื กแ็ สดงว่าเพลงเรอื มมี ากอ่ นยุคนันแล้ว สมัยรัตนโกสินทร์ต้นต้น มีหลักฐานชัดเจนว่ามีเพลงเรือปรากฏจากวรรณคดีส้าคัญ ของไทย ได้แก่ นิราศภูเขาทอง สมยั รชั กาลท่ี ๓ ซ่ึงสนุ ทรภู่แต่งเม่ือ พ.ศ. ๒๓๗๑ บรรยายการเดินทางทางเรือ ไปจนถงึ อยุธยา ไปจอดอยู่ท่ีหน้าวัดพระเมรุคืนหน่ึงก่อนไปวดั ภเู ขาทอง ขณะนันเป็นช่วงหน้าน้า ท่านกล่าวถึง การเล่นเพลงครง่ึ ทอ่ น รวมทังเพลงเรือ แตไ่ ม่ได้ระบชุ ื่อเพลงเรอื ดังนี มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรขุ า้ ม รมิ อารามเรือเรียงเคียงขนาน บ้างขึ้นล่องรอ้ งลา่ เล่นสา่ ราญ ท้ังเพลงการเก้ียวแกก้ ันแซเ่ ซง็ .............................................. ................................................ อา้ ยล่าหนงึ่ ครึง่ ท่อนกลอนมนั มาก ช่างยาวลากเลอื้ ยเจอื้ ยจนเหนอื่ ยหู ไม่จบบทลดเล้ยี วเหมือนเง้ียวงู จนลกู ค่ขู อทุเลาว่าหาวนอน ( เอนก นาวิกมูล ๒๕๕๐: ๑๗๗ ) ขอ้ ท่ีน่าสังเกตคือ ค้าว่า “เพลงครึ่งทอ่ น” นี มปี รากฏหลกั ฐานตงั แต่สมัยรัชกาลท่ี ๑ -๕ แลว้ หายไป เอนก นาวิกมูลสืบคน้ แล้วพบว่าเป็นเพลงท่ีร้องเล่นในน้าอย่างเพลงเรือ เล่นในโอกาสเดียวกัน สันนิษฐานว่ามีมาแต่สมัยอยุธยา ท่ีส้าคัญ “เพลงครึ่งท่อนจะเป็นตระกูลเดียวกับเพลงเรือ ร้องใกล้เคียงกัน หรือคล่ีคลายกันมา”ก็ได้ ( เรื่องเดียวกัน : ๑๘๐-๑๘๑ ) ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ สมัยรัชกาลที่ ๕ ท่ี หมอบรดั เลย์จัดท้าและพมิ พ์ขนึ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๖ หนา้ ๔๘๒ กล่าวถึงเพลงครงึ่ ทอ่ นวา่ “ เพลงครึง่ ทอ่ น, กลอน
๑๑๙ ครึ่งท่อน,คือค่าเพลงเขาว่าเปนท่อน, มีนายเพลงว่าคนเดียวก่อน, แล้วมีคนอ่ืนเปนลูกคู่เก้าคนสิบคนรับ ร้องพรอ้ มกนั มีกรบั พวงตีด้วย...” (เรอื่ งเดิม : ๑๗๘ - ๑๗๙) ผ้วู จิ ัยเห็นว่าเพลงครง่ึ ทอ่ นดงั กลา่ วนนี า่ จะเปน็ เพลงเรือ เนื่องจากมีฉันทลักษณ์ตรงกัน ดงั คา้ อธิบายวิธแี ตง่ เพลงคร่งึ ท่อน ในหนงั สือประชมุ ล้านา้ ของหลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรถึก) ซึ่งเกิดในสมัย รัชกาลที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๔๐๑ เขียนเสรจ็ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ในหน้า ๔๑๗ กล่าวถงึ เพลงครึ่งท่อนวา่ เพลงครงึ่ ทอ่ นกลอนจ่ากดั ทงั้ ตอนทั้งตดั กา่ หนด บัญญตั ิกลอนหยอ่ นปลงปลด ไม่เต็มตามจ่านวนถว้ นบท วรรคตอนเลื่อนลดลงเอย บญั ญตั คิ า่ คิด เพลงทอ่ นกลอนตัด แสนเสนาะสนิท ล่านา่ พริง้ เพราะ ฟงั แลว้ ตอ้ งติดใจเอย ( เรอื่ งเดียวกัน : ๑๘๐ ) จะเห็นว่าเพลงคร่ึงท่อนนีมีลักษณะค้าประพันธ์เป็นกลอนหัวเดียว สัมผัสสามวรรค เหมอื นเพลงเรอื ทกุ ประการ ค้าวา่ “กลอนตัด” “ ไม่เต็มจ้านวนวรรค” คงหมายถึง ท้ายบทที่มีการสัมผัสสาม วรรค ทบี่ าทหรือบทสุดท้ายจะเหลือเพยี งวรรคเดียวนัน่ เอง และหากเพลงครึ่งท่อนคือเพลงเรือจริง ก็แสดงว่า เพลงเรือมมี าตังแตอ่ ยุธยาจริง ๆ อนงึ่ ค้าวา่ “ทอ่ น” ท่ใี ช้กับช่อื เพลงดังกล่าวนียังมีปรากฏในชอ่ื “ เพลงสองท่อน” ซึ่ง นายสมบูรณแ์ ละนางเผอ่ื น สุพรรณยศ ได้เล่าใหฟ้ งั เมือ่ ปี ๒๕๔๔ วา่ เพลงสองท่อนเปน็ เพลงของทางเหนือแถบ จงั หวัดพจิ ติ ร พ่อเพลงชื่อรกั ซงึ่ เป็นชาวอา้ เภอบางเลน จงั หวดั นครปฐม เดนิ ทางไปแถบนันแล้วจดจ้าน้ามาเล่น ที่อ้าเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม จึงแพร่หลายอยู่ในแถบนี ส่วนใหญ่จะร้องเล่นกันขณะเลียงควาย เป็น เพลงปฏพิ ากย์สัน ร้องชา้ ๆ เหมอื นเพลงพวงมาลยั ตวั อย่างเชน่ ( ลกู คู่ ) เอ่งิ …เฮิ่ง…เอย๊ …ลอยมา เอง่ิ …เฮง่ิ …เอย๊ …ลอยไป ช. ยังไงเสียเลา่ แมเ่ จา้ ปญั ญา วา่ ได้ใหว้ ่าไวไว ( ลูกครู่ บั ซา้ ) รักจะเล่นใหเ้ ต้นเขา้ มา แม่คนสวยจะช้าร่า้ ไร ( ลกู คูร่ บั ซา้ ) ญ. เสียงใครมาเรยี กหานวล เสียงใครมาชวนอยู่ท่ไี หน จะออกไปดูให้รู้จัก จะเปน็ คนรักหรอื ไร ( ลกู คูร่ บั ซ้า ) ( สมบรู ณ์ สุพรรณยศและเผอ่ื น สพุ รรณยศ , สมั ภาษณ์ ๒๓ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๔ )
๑๒๐ จะเหน็ วา่ เพลงสองท่อนดังกล่าวมีลักษณะ “ตัดกลอน” และ “ ไม่เต็มจ้านวนวรรค” เช่นเดยี วกัน ลกั ษณะการตัดเพลงตัดกลอนเช่นนี น่าจะเป็นวิธีเดียวกัน และเป็นค้าเรียกชื่อเพลงเช่นเดียวกับ เพลงคร่งึ ท่อน หมายความว่า “ครึ่งท่อน” คือมีคร่ึงบทหรือคร่ึงบาท มีวรรคเดียว ส่วน “สองท่อน” คือมีสอง บทหรือสองบาท อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานหน่ึงซ่ึงน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดในขณะนี เท่านนั ส่วนหลักฐานอื่น ๆ ท่ีกล่าวถึง“เพลงเรือ” ได้แก่ นิราศสุพรรณ ( ๒๕๐๔: ๒๔ ) ของ นายมี หรือหม่ืนพรหมสมพัตสร ซึ่งแต่งขึนเม่ือคราวท่ีเดินทางไปเก็บอากรท่ีเมืองสุพรรณบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๗ และไดก้ ล่าวถงึ การเล่นเพลงเรอื ในงานประจา้ ปวี ัดป่าเลไลยก์ ชว่ งเทศกาลเดอื น ๑๒ ไวว้ ่า ............................................... จนพระสงฆ์ทกุ วัดออกวรรษา เขาทา่ บุญสุนทานชวนกนั มา บ้างศรัทธาทอดกฐินดว้ ยยินดี มเี รอื แหแ่ ลงามตามบา้ นนอก ผหู้ ญงิ ออกพายเรอื ใสเ่ ส้อื สี แต่ประกวดอวดงามกันตามมี ดูกด็ ตี ามเพศประเทศเมอื ง แลว้ ไหว้พระวัดปา่ น่าสนุก ที่ความทกุ ข์รนั ทดค่อยปลดเปลอ้ื ง มาประชมุ กนั ทวั่ พวกรั้วเมอื ง ดูแน่นเนอ่ื งแนวน่้าออกคล่าไป เดือนสบิ สองขึน้ เจด็ คา่ เคยส่าเหนียก มาพรอ้ มเพรยี กประทบั ท่าเคยอาศัย เป็นพวกพวกหญงิ ชายสบายใจ ไม่มภี ัยแผว้ พน้ พวกคนพาล ครน้ั พลบค่าย่าแสงพระสรุ ยิ ศ์ รี พวกนารรี อ้ งเพลงวังเวงหวาน วิเวกโหวยโหยไหอ้ าลยั ลาญ เสยี งประสานเซ็งแซ่ร้องแก้กัน บ้างรอ้ งส่งปีพ่ าทยร์ ะนาดฆอ้ ง เสียงหนอดหน่องโหน่งเหนง่ เพลงขันขัน มโหรีร่เี รอื่ ยเฉื่อยฉ่าครนั ทงั้ โอดพันไพเราะเสนาะนวล จากบทกลอนดังกล่าวท้าให้ทราบว่าวัดป่าเลไลยก์เป็นแหล่งชุมนุมของชาวเมือง สุพรรณบุรี เป็นสถานที่ส้าคัญในการละเล่นต่าง ๆ โดยเฉพาะการร้อง “เสียงเซ็งแซ่ร้องแก้กัน” น่ันก็คือการ เลน่ เพลงเรอื นนั่ เอง เอนก นาวิกมูล (๒๕๕๐ : ๖-๗) สืบค้นท่ีมาของเพลงเรือและเขียนไว้ในหนังสือเพลง นอกศตวรรษ (พิมพ์ครังแรก ปี พ.ศ. ๒๕๒๑) ว่าไม่ปรากฏหลักฐานว่าเพลงเรือมีมาแต่เมื่อใด ค้าว่า “เพลง เรอื ” มีในกฎมณเฑียรบาลสมัยอยุธยาต้อนต้น ตอนท่ี ๒๐ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพลงเรือที่เป็นเพลงพืนบ้านหรือ เปน็ เพลงสกั วา
๑๒๑ อย่างไรก็ตามในรัชสมยั รชั กาลที่ ๕ มีหลักฐานปรากฏว่ามีเพลงเรือแล้ว ดังข้อความ ต่อไปนี พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จไปประทับที่บางปะอิน ปี พ.ศ. ๒๔๒๖ พระยาม หามนตรีจัดเรอื ผ้าปา่ สองลา่ มาทอดทพี่ ระที่น่ังไอศวรรย์ทิพยอาสน์ มีแพน ๑ วง เพลง ๑ วงเล่นฉลองอยจู่ นเวลาสองยามจึงแห่ไปทอดทว่ี ดั นเิ วศน์ธรรมประวัติและวัดชุมพลนิกายา ราม...เพลงท่ีเล่นคืนน้ัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้ประทับฟังด้วย เพราะเสดจ็ ขึน้ เสียกอ่ น แต่อีก ๗ วนั ตอ่ มา เมือ่ เสด็จไปประทับยังท้องพรหมมาศ (ลพบุรี) เพลงชาวบ้านจึงได้มีโอกาสเล่นถวายตัวพระมหากษัตริย์เป็นคร้ังแรก จดหมายเหตุพระ ราชกิจรายวัน วันเสาร์เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๒ ค่า “เวลาค่า พระยาพิสุทธิธรรมธาดา จัดเรือ ผา้ ปา่ ๒ ลา่ มาทอดถวายตัว ณ ท้องพรหมมาศโปรดให้ราษฎรชายหญิงมาว่าเพลงแก้กัน เป็นการฉลองผ้าปา่ แลว้ พระราชทานรางวัลราษฎรที่มาเล่นเพลงถวายด้วย ผ้าป่าน้ันทอด วัดมณชี ลขนั ธ์...เพลงชาวบา้ นจงึ รู้สกึ เปน็ เกียรติอย่างยิ่งทไ่ี ดเ้ ลน่ ถวายและได้รับการบันทึก ลงไวเ้ ป็นหลกั ฐานชัดแจ้งเชน่ นี้ (เอนก นาวกิ มูล เรื่องเดียวกัน : ๑๔ อ้างถึง จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันใน พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ภาค ๑๖ หน้า ๙๙ ) ในหนังสือวชิรญาณวเิ ศษ พ.ศ. ๒๔๓๒ เลม่ ๔ กรมหม่ืนสถิตธ้ารงสวัสดิ์ ทรงนิพนธ์เร่ือง “ เร่ือง ลอยกระทงแข่งเรอื ราษฎร”วา่ ...อนงึ่ เปนนกั ขัตฤกษร่ืนเรงิ ทั่วไปแกห่ ญิงชายชาวพระนคร ย่อมยินดชี ักชวนบุตรภรรยา ญาตพิ วกพอ้ งเพอ่ื นฝงู แตง่ กายอย่างสภุ าพบา้ ง อย่างวิปลาสใหแ้ ปลกใหข้ นั บ้าง ลงเรอื เก๋ง เรือนาง แหละเป็ด ส้าปน้ั ใหญน่ ้อย เท่ียวดเู ทีย่ วเลน่ แอว่ ลาว เป่าแพน ( ผู้วิจัยเหน็ ว่า นา่ จะเปน็ แคน ) ตีฆอ้ งโหมง่ กลองยาว โทนร้ามะนา ฉง่ิ กรับ ขับร้องลา้ น้า ดอกสรอ้ ย สกั ระวา เพลงคร่ึงท่อน เพลงปรบไก่ เพลงเรอื เพลงตวันตก ตวนั ออก โตต้ อบกนั ตาม ความสนุกน์สิ นดั แห่งตน ... ( เอนก นาวิกมูล เร่อื งเดมิ : ๑๗๙ ) สกุ ญั ญา สุจฉายา ( ๒๕๒๕ : ๘๖ ) กล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๖ ได้เคยชมการแสดงของชาวบ้านที่นครสวรรค์ เป็นเพลงปฏิพากย์ที่เล่นในงานฉลองผ้าป่าซึ่งอาจ เป็นเพลงเรือก็เป็นได้ ดังปรากฏใน ลลิ ิตพายัพ ว่า พระยาชลบุเรศผู้ เปน็ ปลัด มณฑลนา ตอนค่าตระเตรยี มจดั เล่นพร้อม
๑๒๒ ผา้ ป่าอกี เพลงขนัด หนาแน่น เรงิ หนา้ พลับพลาป้อม นอบเกล้าบ่าเรอไผท วงชายรอ้ งย่ัวเย้า ยวนหญงิ วงอสิ ตั รีประวิง ตอบโต้ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๗๐ เมือ่ โรงพิมพ์ราษฎร์เจริญ ( โรงพิมพว์ ัดเกาะ ) น้าเพลงพืนบ้าน ตา่ ง ๆ มาจัดพิมพจ์ ้าหน่าย ปรากฏว่ามี “เพลงเรือชาวเหนือ ๒ เล่มจบ” ด้วย ( เร่ืองเดียวกัน : ๒๕ ) ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ มี “เพลงเรอื ชาวเหนือ เลม่ ๑ โดยนายบษุ ย์ ๑ เลม่ ” และพ.ศ. ๒๔๙๓ มี “ เพลงเรือชาวเหนือ เล่ม ๒ โดยนายเจริญ อปุ ถัมภานนท์ ๑ เล่ม” นอกจากนยี งั มีการพิมพ์เพลงเรืออีก ช่ือว่า “ เพลงเรือกฐิน ผ้าป่า เล่ม ๑, ๒ สองเล่มจบ” และ” เพลงเรือชาวเหนือ” โดยโรงพิมพ์ห้างสมุด ดังปรากฏในหนังสือชื่อ “ บัญชีหนังสือ พ.ศ. ๒๔๘๐” ซงึ่ มจี ้าหน่ายที่ร้าน สอ ฮวนเต็ก จงั หวัดพัทลงุ ( เรือ่ งเดยี วกัน : ๒๘ ) ค้าว่า “เพลงเรอื ชาวเหนือ” หมายถึงเพลงเรืออย่างท้านองทางชัยนาทและอุทัยธานี ( เหนือ คือ อยู่ทางทิศเหนือของสุพรรณบรุ ี อาจหมายถึง เหนือน้า หรือ อยู่ต้นน้า ของแม่น้าท่าจีน ก็ได้ ) ส่วน “ นายบุษยแ์ ละนายเจรญิ ” นัน “เป็นกวขี องโรงพิมพ์แห่งนี ได้เขียนเพลงเรือออกมาคนละเล่ม... เขาเขียนถึง การร้องในแนวลักหาพาหนี ด้วยเรื่องราวและเนือหาท่ีน่าสนใจมาก เพราะมีกลอนดีอยู่หลายตอน ” ( เรื่อง เดยี วกนั : ๑๒๗ ) ในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ มีการบันทึกแผ่นเสียงเพลงเรือ และจัดจ้าหน่ายโดยห้างแผ่นเสียง ของนาย ต. เง็กชวน บางลา้ พู คือ “ เพลงเรอื ว่าแก้กันเผ็ดร้อน นายคล้าม นางคล้อย ร้อง ๔ แผ่นจบ” ( เรื่อง เดียวกนั : ๓๒ ) ในปีพ.ศ. ๒๔๘๓ ครูเพ็ญ ปัญญาพล ได้น้าเพลงเรือชาวเหนือออกแสดงทางสถานีวิทยุ โดย เนอื รอ้ งมกี ารประยุกตใ์ ห้สอดคล้องกบั เหตกุ ารณป์ ัจจุบันในขณะนนั ด้วย ( เรอื่ งเดียวกัน : ๑๒๗ ) เพลงเรือเป็นเพลงท่ีได้รับความสนใจมากพอ ๆ กับเพลงฉ่อยและล้าตัด เพราะได้รับ การบนั ทึกเสยี งและการพิมพ์เปน็ หนงั สอื จา้ หนา่ ยดว้ ย เอนก นาวิกมูล ( เรื่องเดียวกัน: ๑๒๗ ) สรุปว่า “ เมื่อ นับอายุของเพลงแล้ว แสดงให้เราเห็นว่าเพลงเรือมีความย่ังยืนมานับร้อยปี ด้วยจังหวะและท่วงท้านองท่ีไม่ ยุ่งยากสลับซับซ้อนนกั เพลงเรอื จงึ เหลือคนท่ีร้องเพลงเรือตกทอดกันเรอ่ื ยมา” เพลงเรือเป็นเพลงปฏิพากย์หรือเพลงโต้ตอบ มีจุดเด่นอยู่ที่ปฏิภาณและการใช้โวหาร ชิงไหวชิงพริบ การประลองฝีปากและภูมิรู้กันของชาวภาคกลาง นิยมเล่นในฤดูน้าหลาก เดือน ๑๑ - ๑๒ ซ่ึง ตรงกับช่วงเทศกาลออกพรรษา ทอดผ้าป่า ทอดกฐินและลอยกระทง สมัยก่อนชาวบ้านจะลงเรือพายล่องไป ตามล้าน้าเพ่ือร่วมงานเทศกาล ท้าบุญไหว้พระและเล่นเพลงกันอย่างสนุกสนาน แหล่งประชุมเพลง เมื่อ ประมาณ ๖๐ –๗๐ มานี ได้แก่ งานไหว้พระหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรี งานไหว้พระนอนท่ี อ้าเภอป่าโมก อ่างทอง ( เอนก นาวกิ มูล เร่ืองเดียวกนั : ๑๒๓ – ๒๒๔ ) “อยุธยางานประจ้าปีวัดพนัญเชิง ทุ่ง ภเู ขาทอง ในหน้านา้ อ้าเภอบางบาล บางประหนั มหาราช ลา้ นา้ ทุกสายไม่ว่าจะเปน็ แม่นา้ เจา้ พระยา แม่น้าป่า
๑๒๓ สัก แม่น้าลพบุรี เคยมีเพลงเรือเล่นกันในอดีต ...สิงห์บุรี ล้าน้าแม่ลา งานวัดพระนอนจักรสีห์ ...ลพบุรี พิษณุโลก” ( สกุ ญั ญา สุจฉายา ๒๕๒๕ : ๕๗ ) เอนก นาวิกมลู ( ๑๒๔ - ๑๒๖ ) เล่าถึงการเลน่ เพลงเรอื ในสมยั ก่อนวา่ ฝ่ายชายน่ังเรือ ล้าหน่ึง ฝ่ายหญิงน่ังล้าหนึ่ง ส่วนมากนั่งเป็นคู่ จุดตะเกียงไว้ให้สว่าง พ่อเพลงแม่เพลงมักนั่งกลางล้าเรือ นอกนันเปน็ ลูกคู่ คอยรบั คอยกระทงุ้ ว่า ฮ้าไฮ้ ชะๆ กระเซา้ เยา้ แหยใ่ หส้ นกุ สนาน บางคนกต็ ฉี ง่ิ ตกี รับ ปรบมือ เป็นเคร่ืองประกอบจังหวะ ฝ่ายชายจะพายเรอื หาคูเ่ ล่นเพลง เม่ือพบแลว้ กจ็ ะพายเข้าไปเทยี บเกาะเรือผู้หญิง คู่ ท่ีนั่งด้านในซึ่งต้องเอาเรือไปชิดกันก็ต้องเอาพายเก็บ ยกเว้นท่ีหัวกับท้ายต้องพายไปช้าๆหรือพยุงเรือไว้ พ่อ เพลงจะเร่ิมวา่ เพลงก่อน เรียกว่า เพลงปลอบ คอื ขอเข้าไปรว่ มสนุกหรอื เชญิ ฝ่ายหญิงมาร่วมเลน่ เพลงด้วย เปน็ มารยาทอย่างหนึ่งในการเล่นเพลงเรือ เม่ือร้องปลอบไปหลายบทแล้ว หากฝ่ายหญิงน่ิงไม่ยอมตอบก็แสดงว่า เขาไม่ชอบใจจะว่าเพลงด้วย หรือเขามีคู่นัดหมายเอาไว้ก่อนแล้ว ฝ่ายชายก็ต้องลาไปหาคู่ใหม่ต่อไป ถ้าฝ่าย หญงิ พอใจว่าด้วยกจ็ ะเอือนตอบ เป็นการแสดงว่าตกลงปลงใจจะเล่นเพลงด้วย ตอ่ จากนนั ก็จะร้อง บทประ คือ ร้องโต้ตอบกันด้วยเนือหาต่างๆ บทประเป็นบทปะทะคารมประลองฝีปากของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เมื่อว่า เพลงกันพอสมควรแล้ว ตอนจะเลิกจากกัน หญิงชายบางคู่อาจจะแลกส่ิงของเป็นท่ีระลึกแก่กันด้วย เช่น ผ้า บางทีฝ่ายชายกพ็ ายเรือไปส่งฝา่ ยหญิง และระหว่างนีก็วา่ เพลงลาหรอื เพลงจาก แสดงความอาลยั อาวรณ์ หรือ อวยพรให้กนั ในท้องถิ่นสุพรรณบุรีซ่ึงถือเป็นแหล่งส้าคัญของเพลงพืนบ้านภาคกลางนัน ปราชญ์ ท้องถน่ิ เชน่ มนัส โอภากุล เลา่ ว่า เม่ือประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ – ๒๕๐๕ ที่ผ่านมา งานวัดป่าเลไลยก์ถือเป็น แหล่งชุมนมุ เพลงเรอื ของชาวสพุ รรณบุรแี ละจังวดั ใกล้เคียง “แม่น้าสพุ รรณจะคลาคล้่าไปด้วยเรือมาด เรือแจว ตงั แตห่ นา้ โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช หน้าตลาด หน้าวัดประตูสาร หน้าวัดสุวรรณภูมิ เรือมาดนับเป็นร้อย เป็นพนั จอดอยู่ริมฝั่ง ทอ้ งนา้ สวา่ งไสวดว้ ยแสงของตะเกียงเจ้าพายุ มีการเล่นเพลงเรือกันอย่างสนุกสนานของ หนุ่มสาวต่างถิน่ ...แต่พอหลงั สงครามโลกครงั ที่ ๒ สงบลง การคมนาคมสะดวกสบายขึน... ก็ไม่มีการเล่นเพลง เรอื และเพลงอแี ซวอีก จะมีแต่การหาคณะเพลงอแี ซวคณะต่างๆ มาแสดงเป็นมหรสพอย่างหนึ่งเท่านัน ” ( บัว ผนั สุพรรณยศ ๒๕๓๕: ๒๐ ) แม่บวั ผันเม่อื เป็นเดก็ ชอบตดิ ตามพ่อไปฟังเพลงในที่ต่างๆ ครังหนึ่งเล่ากันว่า เคยแอบ มดุ ลงไปอยใู่ ต้ทอ้ งเรือเมื่อพ่อออกไปเล่นเพลงเรือ กว่าท่ีพ่อจะรู้ก็ออกไปไกลเสียแล้ว จึงต้องยอมให้ไปตามใจ สมคั ร พอไปถงึ งานเกดิ การทะเลาะขว้างปากันระหว่างคนต่างถิ่น บวกกบั พอ่ เป็น นักเลงอยู่แล้ว พ่อเกรงว่าจะ เป็นอนั ตราย จงึ ต้องเอาลกู สาว ซ่อนไว้ใต้ท้องเรือ ส่วนตัวเองเข้าตะลุมบอนเป็นพัลวัน ครันถึงคราวทอดกฐิน ทอดผา้ ปา่ มีเทศกาลไหวห้ ลวงพ่อโต วดั ไชโยอา่ งทอง และวดั ป่าเลไลยกส์ พุ รรณบรุ ี แม่บัวผันก็ได้ไปร่วม ชุมนุม ฟงั ผใู้ หญ่ รอ้ งเพลงเรอื ในวงเพลงของพ่อดนิ อาอนิ ประกอบดว้ ย ฝา่ ยชาย ได้แก่ อาอิน ปู่สด อาตุ๊ พ่ีบัวเผื่อน เปน็ ตัวหลกั สว่ นฝ่ายหญิงหลักคือ อาหงวน ยายตะลุ่ม และแม่บัวผัน วงเพลงนายอินตระเวนไปตามที่ต่าง ๆ ต่อมาแม่บัวผันก็ไปเล่นเพลงอยู่กับวงแม่เช่ือมท่าดินแดง ๑ ปี แม่อ่วม ๑ ปี ( ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ ศูนย์ สพุ รรณบุรี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนดุสิต ใน http://www.suphan.dusit.ac.th )
๑๒๔ เช่นเดียวกับทจ่ี ังหวัดอา่ งทอง สมยั นนั ชาวบา้ นเล่นเพลงเรือในหน้าเทศกาลต่าง ๆ ฝ่าย ชายอยเู่ รอื ลา้ หนงึ่ ฝา่ ยหญิงอยู่อีกลา้ หนงึ่ พายไปก็ร้องโต้กัน ดังท่ี ต้าบลบางเสด็จ อ้าเภอป่าโมก พ่อเพลงแม่ เพลงไมไ่ ด้เลน่ เพลงเป็นอาชีพ เม่ือมีงานจึงรวมตัวกันไปเล่น พ่อเพลง ได้แก่ นายสาคร คมคาย ( ลุงของนาย มังกร บุญเสรมิ ) นายเรียม ( ไมท่ ราบนามสกลุ ) นายฉุน ชจู ันทร์ นายปิน่ โพธ์สิ ะอาด แม่เพลง ได้แก่ นางโถม บุญเสรมิ ( มารดาของนายมังกร บุญเสริม ) นางปลด ( ไม่ทราบนามสกุล ) นางแพ บุญฤทธ์ิและนางหริ มณี ทังหมดนีเคยร้องเพลงเรือถวายหน้าท่ีนั่งสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพ รัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ( มงั กร บญุ เสริม สมั ภาษณ์ ๓๑ สงิ หาคม ๒๕๕๗ ) เม่อื ปีพ.ศ. ๒๔๙๔ เปน็ ตน้ มาสังคีตศาลา กรมศิลปากร ได้จัดการแสดงการละเล่นของ ไทยหลายชนิด ทังละคร หุ่นกระบอก เสภา รวมทังเพลงพืนบ้าน ในสยามนิกร ฉบับวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๖ ระบุวา่ “กรมศิลปากรจดั ใหม้ ีการแสดงเพลงพนื เมอื งเบ็ดเตล็ดของคณะนางตว่ น บุญล้น ณ สังคีตศาลา ในวันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๖ นี การแสดงครังนีมีทังเพลงปรบไก่ เพลงเก่ียวข้าว เพลงเรือ เพลง พวงมาลัยและแอว่ เคล้าซอ” ( เร่อื งเดียวกัน : ๓๗ ) ตอ่ มามีการนา้ เพลงเรือมาใส่เนือรอ้ งใหม่แล้วบันทึกเสียงเป็นเพลงลกู ทุ่ง เช่น เพลงเรือ ของไวพจน์ เพชรสุพรรณ รอ้ งแกก้ ับ ผอ่ งศรี วรนชุ เพลงเรอื ของ อนุชิต เพลงเรือของ กาเหว่า เสียงทอง เป็น ตน้ เพลงเรอื เร่ิมจางหายไปเมื่อมีความเจริญดา้ นการคมนาคม ผูค้ นหันไปใช้รถใช้ถนน เรือ เรมิ่ หมดบทบาทลง เพลงเรอื กพ็ ลอยหมดบทบาทไปด้วย ดงั ท่ีสุกัญญา สุจฉายา ( ๒๕๒๕ : ๕๗ ) กล่าวไว้ว่า “ เพลงเรือเป็นเพลงเก่ามีมาแต่อยุธยา เร่ิมเส่ือมความนิยมเม่ือมีการตัดถนนและการสัญจรทางนีเร่ิมหมด ความหมาย” เพลงเรอื ที่เคยอยู่ในวถิ ีชีวติ ของชาวไทยกเ็ หลือเพยี ง “ การแสดง” ที่ต้องหาว่าจ้างมาสาธิตให้ชม และซบเซาลงไป ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เอนก นาวิกมูลและกลมุ่ ศึกษาเพลงพนื บา้ น ได้รวบรวมและ จัดเก็บข้อมูลเกย่ี วกบั เพลงเรอื ไว้ โดยการบนั ทกึ เสยี งการแสดงและเขยี นหนังสือ สุกัญญา สุจฉายา ( ๒๕๒๓ ) เสนอวิทยานพิ นธซ์ ่งึ มขี ้อมลู เกย่ี วกับเพลงเรือด้วย ผลของการศกึ ษาดังกล่าวทา้ ให้ทราบว่ามพี ่อเพลงแม่เพลงที่ สบื ทอดเพลงเรือจา้ นวนมาก เชน่ การแสดงเพลงเรือ ชดุ ตีหมากผัวหมากเมยี เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๒ ณ ศูนย์สังคตี ศลิ ป์ มพี ่อเพลงแมเ่ พลงชาวอา่ งทองและสุพรรณบุรี เช่น บัวเผ่ือน โพธิ์พักตร์ ( ๒๔๖๐ – ๒๕๒๘ ) พอ่ ไสว วงษ์งาม พ่อเผา่ สุดสุวรรณ ( ๒๔๖๑-๒๕๔๕ ) แม่บัวผนั จันทรศ์ รี ๒๔๖๓ – ๒๕๔๘ ) แม่บุญมา สุด สุวรรณ ๒๔๖๓-๒๕๔๘ ) และลูกคู่ มีการแสดงเพลงเรือบ้านโรงนอก ต้าบลเสาธง อ้าเภอบางปะหัน จังหวัด พระนครศรอี ยธุ ยา เม่ือวันท่ี ๒๔ ตุลาคม ๒๕๒๔ มีเพลงเรือบ้านวัดโบสถ์ อ้าเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ( ๗ สิงหาคม ๒๕๒๕ ) มเี พลงเรอื ชาววดั ท่า ตา้ บลห้วยชัน อ้าเภออนิ ทร์บุรี จังหวดั สิงห์บรุ ี ( ๑๓ เมษายน ๒๕๓๑ ) ส้าหรับชาวเพลงท่ีเล่นเพลงเรือและได้รับการบันทึกช่ือและประวัติไว้ เช่น นายกร่าย จันทร์แดง ( มีอายุ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๙ – ๒๕๓๙ ) ฝึกเพลงกับยายตะลุ่ม สุทนต์ ( มีอายุระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๐ - ) นางโกศล เกศแก้ว ( เกิด ปี พ.ศ. ๒๔๖๐ ) นางตะเคียน เทียนศรี ( เกิด ปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ) หลวงพ่อพร้อม อินทร์วิไล ( ๒๔๔๘-๒๕๓๗ นางลูกอิน คล้ายอ่อน ( เกิด ๒๔๕๒ ) นายสะอาด แพรด้า ( ๒๔๕๗ – ๒๕๓๘ ) นางเสนียม
๑๒๕ เทียนศรี ( ๒๔๔๙ – ๒๕๓๖ ) “เคยว่าเพลงเรือถวายทอดพระเนตรสมเด็จพระนางเจ้าร้าไพพรรณี ทรงพอ พระทัยมากถึงกับขอตัวเข้าไปอยู่ในวัง แต่แม่เสนียม ขอตัว ไม่ได้เข้าไป” ( เอนก นาวิกมูล เรื่องเดิม : ๗๔๒- ๗๔๓ ) การศึกษาดงั กล่าวยังท้าให้เห็นสายตระกูลครูเพลงเรือด้วย เช่น เพลงเรือสิงห์บุรีและ ชัยนาท นครสวรรค์เป็นเพลงสายเดียวกัน เพราะมีครูเพลงและพ่อเพลงแม่เพลงที่อยู่ในท้องถ่ินนีและอพยพ สับเปลีย่ นกนั ไปมาอยู่เสมอ เชน่ นายโมรา อยคู่ อน ( เกดิ ราว ๒๔๖๐ ) เดิมอยู่ชัยนาทแล้วย้ายมาสิงห์บุรี ปู่ย่า ตายายเปน็ เพลง พอ่ เปน็ เพลง แม่เป็นนางละคร เมียช่ือเทยี บ ร้องเพลงเรอื ได้ดว้ ย นางทองใบ นางสมหวัง บ้าน วัดทา่ อนิ ทร์บรุ ี เป็นตน้ เช่นเดยี วกับเพลงอ่างทอง สุพรรณบุรีและอยธุ ยาก็เป็นเพลงสายเดียวกันเช่น แม่สงวน ศรสี ุวรรณและแม่บัวผัน จันทร์ศรี เดิมเป็นชาวอ่างทองแล้วอพยพมาอยู่สุพรรณบุรี แม่บุญมาเป็นชาวอยุธยา แลว้ ยา้ ยมาอยูอ่ า่ งทอง เป็นตน้ จากการศึกษาขอ้ มลู เอกสารและการรวบรวมขอ้ มลู ภาคสนาม สามารถสรุปได้ว่า เพลง เรือน่าจะมีมาตังแต่สมัยอยุธยา ส้าหรับผู้เล่นเพลงและคณะหรือวงเพลงเรืออาชีพในอดีตท่ีพอจะสืบค้นไป ไดม้ ากทีส่ ดุ ในขณะนมี ไี มน่ ้อยกวา่ ๔ ชวั่ อายคุ นหรือ ๔ ยคุ ดังแผนภูมติ ่อไปนี
๑๒๖ เพลงเรือ ๔ ยุค ยาย แม่ครเู ทียบ ยายแฉล้ม กอ่ นสมยั ปยู่ ่า แม่ครู ย่าเพงิ ตาเทียน เลีย่ ม แมค่ รนู ิม่ รชั กาล ตายาย ละมอ่ ม ยายคลา้ พอ่ ดนิ พ่อครูต่วน ท่ี ๕ พอ่ แม่ พ่ออั๋น อาอนิ แม่เช่อื ม ตาโถ ครเู ชย (๒๔๕๕- แม่อว่ ม ๒๕๔๗) นางลกู อิน ยายจันทร์ นางตว่ น นาย สมยั แม่ตะลมุ่ คลา้ ยออ่ น ( ๒๔๖๐- บญุ ลน้ คลา้ ม รัชกาล สุทนต์ ( ๒๔๕๒) ๒๕๔๕) ( ๒๔๔๑ – นางคล้อย ท่ี ๕-๙ ( ๒๔๕๐) ๒๕๒๐) ( บนั ทึก เสยี ง ๒๔๗๙ ) นางตะเคยี น หลวงพ่อ นายสาคร นางเสนียม นาย นางโกศล เทียนศรี พรอ้ ม คมคาย เทียนศรี สะอาด เกศแก้ว ( ๒๔๔๖ ) อินทรว์ ิไล นางโถม ( ๒๔๔๙– แพรดา้ ( ๒๔๖๐ ( ๒๔๔๘- บญุ เสริม ๒๕๓๖ ) (๒๔๕๗ – ๒๕๓๗) ๒๕๓๘ ) ) คณะแม่แกล แมป่ ระยูร พอ่ มังกร แมบ่ ุญมา นายกรา่ ย คณะแม่ อยสู่ ขุ ยมเยยี่ ม บุญเสริม สดุ สวุ รรณ จนั ทร์แดง บวั ผัน (๒๔๗๘- ( ๒๔๘๓- ( ๒๔๖๓- (๒๔๕๙–๒๕๓๙ ) จนั ทร์ศรี (เกดิ ๒๔๕๓) ๒๕๕๔) ปจั จุบนั ) ๒๕๔๘) ( ๒๔๖๓-๒๕๔๘) ครูจ้ารัส ครชู ินกร สมัยรัชกาล พ่อสุจนิ ต์ แม่ขวัญจติ อยู่สขุ ไกรลาศ ท่ี ๙ ชาวบางงาม ศรีประจนั ต์ นายยุทธนา พ่อแหยม แม่สา้ เนยี ง แมข่ วัญใจ จันทร์เทศนา เผ่ือนสุริยา ชาวปลายนา ศรปี ระจนั ต์ พอ่ บรรจง พอ่ โชติ ทับวเิ ศษ สุวรรณประทีป แผนภูมทิ ี่ ๑ ครเู พลงเรือใน ๔ ยคุ สมยั
๑๒๗ ๒.๒.๓.๒ ลักษณะและรปู แบบการจดั การแสดง เพลงเรือเป็นเพลงพืนบ้านชนิดเดียวที่ต้องนั่งเรือและร้องกลางล้าน้า แต่เนื่องจาก ข้อจ้ากดั ในดา้ นพนื ที่และอุปกรณ์ ผู้จดั การแสดงและผู้แสดงเพลงเรือจึงปรับรปู แบบเปน็ การยืนร้องบนบกแทน ดังนัน รูปแบบการแสดงจึงมี ๓ ลักษณะ ลักษณะท่ีหน่ึงคือ นั่งร้องในเรือกลางน้า เป็นรูปแบบดังเดิมครังที่ เคยเปน็ การละเลน่ ในหนา้ น้า ปกติจะแบ่งผแู้ สดงเป็นฝา่ ยชายและฝา่ ยหญิง นง่ั เรือแยกกนั ฝา่ ยละล้า ( หรืออาจ มากกว่าหนึ่งลา้ ) ใชเ้ รอื จรงิ พายจรงิ อาจจอดน่งิ อยู่กับท่ีหรอื พายเรือคเู่ คยี งกนั ไปตามล้าน้าอย่างช้า ๆ ขณะท่ี ร้องกไ็ ด้ หากสถานที่กว้างขวางและผู้ชมมีจ้านวนมากก็ต้องมีเคร่ืองขยายเสียงและไมโครโฟนด้วย ลักษณะที่ สองคือยืนร้องและแสดงบนเวที ผู้แสดงฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย จะยืนเรียงแถวกันเป็น ๒ แถว อาจเป็นแถว ตอน เฉียง ๆ เหมือนน่ังอยู่ในเรือ หรือยืนเรียงเป็นแถวหน้ากระดานเหมือนการร้องเพลงพืนบ้านอ่ืนๆ ก็ได้ บางครงั อาจมีอุปกรณ์จา้ ลอง เชน่ เรอื ไม้ เรอื ผ้า เรือกระดาษ และพาย เป็นต้น และลักษณะที่สาม นั่งร้องใน เรอื บนเวที เป็นการผสมผสานรูปแบบท่หี น่งึ และสอง โดยยกเรือขึนมาตังบนเวทีแล้วให้ผู้แสดงลงไปนั่งในเรือ เพอ่ื ให้สะดวกแกก่ ารจัดการ ดังภาพต่อไปนี ภาพท่ี ๔๙ การจดั รูปแบบการแสดงเพลงเรือแบบน่ังร้องในเรือกลางนา้ ของคณะอนันตศ์ ษิ ย์แม่ขวญั จิต งานสวนหลวง ร. ๙ เมอื่ วนั ที่ ๑๒ ธนั วาคม ๒๕๕๕ ณ สวนหลวง ร. ๙ ทมี่ า: อนนั ต์ สุขศรี
๑๒๘ ภาพที่ ๕๐ การจดั รปู แบบการแสดงเพลงเรอื แบบยนื รอ้ งบนเวที ของคณะมหาวิทยาลัยหอการคา้ ไทยร่วมกับมหาวทิ ยาลัย ราชภฏั สุราษฎรธ์ านี เมือ่ วนั ท่ี ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ทมี่ า: วนั ทนา ชยั ปลาทอง ภาพที่ ๕๑ การจัดรปู แบบการแสดงเพลงเรอื แบบนั่งร้องในเรือบนเวที ของคณะอนนั ต์ศษิ ย์แม่ขวัญจติ ในงานนวัตศิลปไ์ ทย เทดิ ไท้องคร์ าชนิ ี ครงั ที่ ๒ ระหวา่ งวันท่ี ๘ – ๑๒ สงิ หาคม ๒๕๕๗ ณ เวทสี ระนา้ พญานาค ศูนย์ส่งเสรมิ ศลิ ปาชีพระหวา่ งประเทศ ( องคก์ ารมหาชน ) อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยธุ ยา ท่ีมา : อนันต์ สขุ ศรี การวางต้าแหนง่ การนง่ั หรือการยืน ส่วนใหญ่หัวหน้าคณะ หรือพ่อเพลงแม่เพลงที่เก่ง ทส่ี ุดมักจะนง่ั หน้าสดุ แต่บางครงั ก็นั่งกลางล้าเรือ หากเป็นการร้องบนเวทีผู้แสดงสามารถเปลี่ยนต้าแหน่งกัน ได้ ผู้ใดจะรอ้ งกม็ กั ออกมายืนดา้ นหน้าของแถว เมอ่ื รอ้ งเสร็จแล้วก็ถอยไปอยู่ด้านหลัง สลับกันไป ลูกคู่และนัก ดนตรีอาจนั่งกลางล้าเรอื ท้ายล้าเรือ หรอื นงั่ ดา้ นข้างหรือดา้ นหลงั เวที รปู แบบการแสดงเป็นการรอ้ งเพลงโต้ตอบกัน ผลัดกันร้องทีละลงหรือท่อน มีต้นเสียง ร้องจนจบแล้วลูกคู่ร้องรับเหมือนเพลงชนิดอื่น การร้องในเรือกลางน้า ผู้แสดงไม่มีพืนที่ ไม่สามารถเคลื่อนท่ี
๑๒๙ หรอื เคล่ือนไหวได้น้อย ตอ้ งระมัดระวงั ไม่ใหเ้ รอื เอียงหรอื ล่ม ส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยร้าหรือท้าท่าทางมากนัก ส่วน การรอ้ งบนเวที ผแู้ สดงสามารถทา้ ท่าทางตา่ งๆ ไดอ้ ย่างเตม็ ที่ เพลงเรอื สามารถแสดงไดท้ กุ โอกาส ระยะเวลาในการแสดงขึนอยกู่ บั ความประสงค์ของ เจา้ ภาพ โดยท่วั ไปมีตังแต่ ๑๐ - ๑๕ นาที จนถึง ๑ – ๒ ช่ัวโมง สว่ นจา้ นวนผู้แสดง หัวหน้าคณะจะเลือกสรร ไปตามความเหมาะสม ๒.๒.๓.๓ ลาดับขนั้ ตอนการแสดง โดยทั่วไปการแสดงเพลงเรือมี ๕ ขันตอน ไดแ้ ก่ การรอ้ งเพลงไหว้ครู การร้องบทเกริ่น ได้แก่ เพลงออกตัว การร้องบทปลอบ การร้องบทประ การร้องบทลาหรือบทจาก เหมือนกับการแสดงเพลง ฉ่อยหรือเพลงอแี ซว การไหว้ครู หากผู้แสดงมากันคนละคณะ หรือแบ่งฝ่ายชายฝ่ายหญิง และนั่งแยกกัน ฝ่ายละลา้ เรือ ฝา่ ยชายรอ้ งกอ่ น แล้วฝา่ ยหญิงจึงร้องบ้าง พานก้านลมักมีฝ่ายละพาน ร้องเสร็จแล้วก็วางไว้หัว เรือ หากไมแ่ บง่ ฝา่ ยคอื เป็นคณะเดียวกันก็ให้พ่อเพลงหรือแม่เพลงอาวุโสร้องไหว้ครูเพียงคนเดียว การไหว้ครู เช่นเดียวกบั เพลงชนิดอ่ืนๆ คือไหว้ส่ิงศักด์ิสิทธิ์ตามล้าดับ เฉพาะเพลงเรือจะเพิ่มไหว้แม่ย่านาง แม่พระคงคา หรือเจ้าท่าดว้ ย ตวั อย่าง บทไหวค้ รู เพลงเรอื ของแมบ่ ัวผัน จนั ทรศ์ รี ถา่ ยทอดให้นางสาวบัวผัน สุพรรณยศ ใน พิธีจับมือ เม่ือวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๔๕ ณ บ้านเลขที่ ๒๐๒ หมู่ ๓ ต้าบลวังน้าซับ อ้าเภอศรี ประจันต์ จงั หวดั สุพรรณบรุ ี เอ่อ..เอย.. ยกบายศรขี ึนสี่มมุ จะไหว้พระภูมิ เจา้ ของท่า เหล้าไหไก่ตัว จะเซน่ ให้ทั่ว นาวา ขอใหม้ านง่ั ในคอชว่ ยตอ่ ปญั ญา เม่อื ลูกจะวา่ เพลงเอย ๒.๒.๓.๔ เครื่องดนตรี เคร่อื งแตง่ กายและอุปกรณป์ ระกอบการแสดง เดมิ เคร่อื งดนตรหี ลกั ของการแสดงเพลงเรอื คือ กรับและฉงิ่ ต่อมาบางคณะ เช่น คณะ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพิ่มตะโพนด้วย ส่วนการแต่งกายนิยมแต่งแบบไทย ฝ่ายหญิงอาจนุ่งโจงกระเบน หรือผ้าถุง ใส่เสือคอกลมแขนกระบอก ห่มสไบ ฝ่ายชายอาจนุ่งโจงกระเบนหรือใส่กางเกง สวมเสือคอกลม สีพืนหรือลายดอก สีสันสดใส อาจมีผ้าคาดพุง หรือคล้องไหล่ อุปกรณ์ประกอบการแสดง หากจัดรูปแบบ ดังเดิมกต็ อ้ งมเี รอื มพี าย มพี านก้านล และอ่นื ๆ เช่น การแสดงเพลงเรือท่ีวดั มะเกลือมี ปลัดขิกอนั ใหญ่ เป็นตน้
๑๓๐ ภาพที่ ๕๒ การแสดงเพลงเรอื คณะมหาวิทยาลัยหอการคา้ ไทย ในพิธีมอบรางวัลยอดเย่ียม โครงการบรู ณปฏสิ งั ขรณ์ พระบรมธาตเุ จดยี ์ จากยูเนสโก เม่ือวันท่ี ๒๓ เมษายน ๒๕๕๗ ณ วัดประยรุ วงศาวาสวรวหิ าร ทีม่ า : จริ าภรณ์ บญุ จันทร์ ๒.๒.๓.๕ ทานอง การร้อง โนต้ และตัวอย่างบทเพลง เพลงเรอื มรี ูปแบบคา้ ประพนั ธ์เปน็ กลอนหัวเดียวแบบสมั ผัสสามวรรค เหมือนเพลงเต้น ก้าและเพลงพวงมาลัยคือ ๑ บทมี ๒ วรรค แต่ละวรรคมีตังแต่ ๖-๑๐ ค้า มีสัมผัสระหว่างวรรค ๑ ท่ี และมี สมั ผัสระหว่างบททุกบท แตก่ ารลงท้ายเพลงแตล่ ะ “ลง” หรือท่อนจะต้องสัมผัสอย่างน้อยสามวรรค ค้าสุดท้าย ตอ้ งลงวา่ “เอย” สัมผัสระหว่างวรรค กบั สมั ผสั ระหวา่ งบทต้องไม่ใชเ่ สยี งเดยี วกนั ดงั แผนผงั ตอ่ ไปนี เอย เนอื่ งจากปัจจุบันมเี พลงเรือ ๓ สาย แต่ละสายร้องท้านองหลักเหมือนกัน จะแตกต่าง กันบา้ งเฉพาะรายละเอียดเพยี งเลก็ นอ้ ย ไดแ้ ก่ การรอ้ งรับและการกระท้งุ ของลูกคู่ ดังนี ก. การร้องทานองสายสุพรรณ มลี ักษณะดังนี การขึนเพลง โดยทัว่ ไปผู้รอ้ งมักเออื นเสียงว่า “ เอ่อ..เออ..เองิ ..เอย” หรือ บางทีก็ร้อง สนั ๆ วา่ “ เอย” ลกู คูก่ จ็ ะรบั ว่า “ ฮ้า...ไฮ้” หรือ “ ฮา้ ...ไฮ้... เชียบ เชียบ” หรอื “ ฮา้ ...ไฮ้... ชะ ชะ” การขึน เพลงมีจุดประสงคเ์ พื่อสร้างความไพเราะและดงึ ดูดความสนใจ รวมทงั เพ่ือตังเสียงหรือตงั ท้านองเพลงดว้ ย หาก ขึนเพลงผิดเพยี น มกั ร้องท้านองผดิ ไปด้วย ผรู้ ้องจงึ ต้องตงั ใจมากเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามในกรณีที่ร้องโต้ตอบ กันมานานพอควรแล้ว หรือว่าก้าลังร้องชิงไหวชิงพริบติดพันกัน ผู้ร้องอาจจะร้องเนือเพลงตอบโต้ไปเลยโดย ต้องไม่ขึนเพลงอกี กไ็ ด้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 567
Pages: