๓๑ ๒.๑.๑.๔ ชยั นาท จังหวดั ชัยนาทตังอยู่บริเวณท่ีราบลุ่มภาคกลางตอนบน บริเวณริมฝ่ังซ้ายของแม่น้า เจ้าพระยา ลักษณะภูมิประเทศเป็นพืนท่ีราบ มีเนินเขาเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วไป จังหวัดชัยนาทมีเนือท่ี ประมาณ ๒,๔๖๙.๗๕ ตารางกิโลเมตร มีแม่น้าหลายสายไหลผ่าน ได้แก่ แม่น้าเจ้าพระยา แม่น้าท่าจีน และ แม่น้าน้อย ท้าให้มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเกษตรกรรม พืนท่ีการเกษตรส่วนใหญ่เป็นพืนท่ีใช้ ประโยชนใ์ นการทา้ นา ปลกู พชื ไร่ นอกนันเป็นพืนที่ท้าสวน ปลูกผัก ไม้ดอกไม้ประดับ จังหวัดชัยนาทมีอาณา เขตติดตอ่ กับจงั หวัดต่าง ๆ ดังนี ทศิ เหนือ ติดตอ่ กับจงั หวัดอุทยั ธานี และจงั หวดั นครสวรรค์ ทศิ ใต้ ติดต่อกับจังหวัดสงิ หบ์ ุรี และจงั หวัดสพุ รรณบรุ ี ทิศตะวันออก ตดิ ตอ่ กบั จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดสงิ หบ์ ุรี ทศิ ตะวันตก ตดิ ตอ่ กบั จังหวดั อทุ ัยธานี และจงั หวดั สุพรรณบรุ ี จงั หวัดชยั นาทแบง่ การปกครองออกเปน็ ๘ อ้าเภอ ๕๓ ตา้ บล ๔๖๐ หมบู่ ้าน ประกอบด้วย อา้ เภอเมอื งชยั นาท อา้ เภอมโนรมย์ อา้ เภอวัดสิงห์ อ้าเภอสรรพยา อา้ เภอสรรคบุรี อา้ เภอหนั คา อา้ เภอหนองมะโมง และอ้าเภอเนนิ ขาม ภาพที่ ๖ แผนท่ีแสดงอาณาเขตจงั หวัดชยั นาท (ท่มี า: http://www.chainat.go.th)
๓๒ ๒.๑.๑.๕ ตราด จังหวัดตราดเป็นจังหวดั ชายแดนทางทะเล ด้านทศิ ตะวนั ออกของประเทศไทย มีเนือที่ ประมาณ ๒,๘๖๒.๖ ตารางกิโลเมตร และพืนที่ตามเขตการปกครองทางทะเลประมาณ ๗,๒๕๗.๖ ตาราง กิโลเมตร ฝั่งทะเลยาวประมาณ ๑๖๕ กิโลเมตร มอี าณาเขตตดิ ตอ่ กับจังหวัดใกล้เคียงและประเทศเพ่ือนบ้าน ดังนี ทิศเหนือ ตดิ ตอ่ กับอา้ เภอขลงุ จังหวดั จันทบรุ ีและประเทศกมั พูชา ทิศใต้ ตดิ ตอ่ กับอา่ วไทยและนา่ นน้าทะเลประเทศกัมพูชา ทิศตะวันออก ตดิ ตอ่ กับประเทศกมั พชู ามที ิวเขาบรรทดั เปน็ แนวกันเขตแดน ทิศตะวันตก ตดิ ตอ่ กบั อ้าเภอขลงุ จังหวดั จนั ทบุรี ภมู ิประเทศของจังหวัดตราด มีอาณาบรเิ วณทงั ท่ีเป็นแผ่นดินและพืนน้าประกอบด้วย เทือกเขาสงู อดุ มด้วยป่าเบญจพรรณและป่าดบิ ทางด้านตะวันออก สว่ นบริเวณหมู่เกาะต่าง ๆ ทางด้านใต้มีภูมิ ประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงเช่นเดียวกัน ตอนเหนือเป็นท่ีราบบริเวณภูเขา ตอนกลางจะเป็นท่ีราบลุ่มน้าท่ี อุดมสมบูรณ์แล้วลาดลงเป็นที่ราบต่้าชายฝั่งทะเล กล่าวได้ว่าลักษณะของภูมิประเทศท่ีปรากฏเด่นชัด คือ ท่ี ราบบริเวณลุม่ นา้ ที่ราบต้่าชายฝ่ังทะเล ท่ีราบบริเวณภเู ขาและทส่ี งู บรเิ วณภเู ขา ส้าหรับหมูเ่ กาะช้างมภี เู ขาครอบคลุมอยู่เกือบตลอดพืนท่ี ได้แก่เกาะต่าง ๆ เช่น เกาะ กดู เกาะชา้ ง เกาะเหล่านีมีที่ราบเฉพาะชายฝัง่ ทะเลเท่านัน ภูมปิ ระเทศของเกาะเป็นสถานท่ีท่องเท่ียวที่ส้าคัญ ของจงั หวัด หมู่เกาะทะเลในจงั หวัดตราดตังอยหู่ า่ งจากฝัง่ จงึ ไดร้ บั ผลกระทบจากตะกอนปากแม่น้าบนแผ่นดิน นอ้ ย ส่งผลใหน้ า้ ทะเลใส เปน็ แหลง่ ป่าตน้ น้า มีนา้ ตก พืชพันธุ์ธรรมชาติ และสัตว์ปา่ ซง่ึ ยงั คงความสมบูรณ์ของ ระบบนิเวศอยู่มาก จังหวัดตราดแบ่งการปกครองออกเป็น ๗ อ้าเภอ ๓๘ ต้าบล ๒๖๑ หมู่บ้าน ประกอบด้วย อ้าเภอเมอื งตราด อ้าเภอคลองใหญ่ อ้าเภอเขาสมิง อ้าเภอบ่อไร่ อ้าเภอแหลมงอบ อ้าเภอเกาะ กดู และอ้าเภอเกาะช้าง ภาพท่ี ๗ แผนที่แสดงอาณาเขตจังหวัดตราด (ทีม่ า: http://www.th.wikipedia.org)
๓๓ ๒.๑.๑.๖ ตาก จงั หวดั ตากตังอย่คู ่อนไปทางตะวนั ตกของประเทศไทย มีเนอื ที่ประมาณ ๑๖,๔๐๖.๖๕ ตารางกิโลเมตร มีพืนท่ีมากเป็นอนั ดบั ๔ ของประเทศ นับเป็นจังหวัดชายแดนที่ส้าคัญอีกจังหวัดหน่ึงของไทย มปี ระวตั ศิ าสตรเ์ ก่าแกน่ บั แต่สมัยกรงุ สุโขทยั ทังยังมแี หลง่ ท่องเที่ยวทางธรรมชาตแิ ละวัฒนธรรมท่ีงดงามหลาย แหง่ ด้วย สภาพภูมิประเทศโดยทว่ั ไป เปน็ ปา่ ไม้และภูเขาสูง มีพืนท่ีส้าหรับการเกษตรน้อย มีทิวเขาถนนธงชัย เป็นตัวแบ่งพืนท่ีออกเป็น ๒ ฝั่ง ตากฝ่ังตะวันออก คือ อ้าเภอเมืองตาก อ้าเภอบ้านตาก อ้าเภอสามเงา ก่ิง อ้าเภอวังเจ้า และตากฝ่ังตะวันตก คือ อ้าเภอแม่สอด อ้าเภอแม่ระมาด อ้าเภอพบพระ อ้าเภอท่าสองยาง อ้าเภออ้มุ ผาง มีอาณาเขตติดตอ่ กบั พนื ท่อี น่ื ดงั นี ทศิ เหนือ ติดต่อกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดล้าพูน และ จังหวัดลา้ ปาง ทิศใต้ ติดตอ่ กับจังหวัดอุทัยธานี และจงั หวดั กาญจนบรุ ี ทศิ ตะวนั ออก ติดต่อกับจังหวัดสุโขทัย จังหวัดก้าแพงเพชร จังหวัดนครสวรรค์ และ จงั หวัดอทุ ยั ธานี ทศิ ตะวันตก ติดต่อกับสาธารณรฐั แห่งสหภาพเมียนมาร์ จังหวัดตากแบ่งการปกครองออกเป็น ๘ อ้าเภอ ๑ ก่ิงอ้าเภอ คือ อ้าเภอเมืองตาก อ้าเภอบ้านตาก อ้าเภอสามเงา อ้าเภอแม่สอด อ้าเภอแม่ระมาด อ้าเภอพบพระ อ้าเภอท่าสองยาง อ้าเภออุ้ง ผาง และกงิ่ อา้ เภอวังเจ้า ภาพท่ี ๘ แผนท่ีแสดงอาณาเขตจงั หวัดตาก (ท่ีมา: http://www.tak.go.th/general.htm)
๓๔ ๒.๑.๑.๗ นครนายก จังหวัดนครนายกมีเนือท่ีประมาณ ๒,๑๒๒ ตารางกิโลเมตร ลักษณธภูมิประเทศ โดยทว่ั ไปเปน็ ทร่ี าบ ทางตอนเหนอื และตะวันออกเป็นภูเขาสูงชันในเขตอ้าเภอบ้านนา อ้าเภอเมืองนครนายก และอ้าเภอปากพลี ส่วนหน่ึงอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ซ่ึงเป็นเขตรอยต่อกับอีก ๓ จังหวัด ได้แก่ สระบุรี นครราชสมี า และปราจนี บุรี ซงึ่ มีเทอื กเขาตดิ ตอ่ กับเทือกเขาดงพญาเย็น มียอดเขาสูงท่ีสุดของจังหวัด คือ ยอดเขาเขียว มคี วามสูงจากระดบั น้าทะเล ๑,๓๕๑ เมตร ส่วนทางตอนกลางและตอนใต้เป็นท่ีราบอันกว้าง ใหญ่เป็นส่วนหน่ึงของที่ราบลุ่มแม่น้าเจ้าพระยา ลักษณะดินเป็นดินปนทรายและดินเหนียวเหมาะแก่การ ท้า นา ทา้ สวนผลไม้ และการอยอู่ าศัย มอี าณาเขตติดต่อกับพนื ทีอ่ ืน่ ดังนี ทิศเหนือ ติดตอ่ กบั จงั หวดั สระบรุ ี และจังหวัดนครราชสมี า ทศิ ใต้ ติดต่อกบั จงั หวัดฉะเชิงเทรา และจงั หวดั ปราจนี บุรี ทศิ ตะวันออก ติดตอ่ กบั จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดปราจีนบุรี ทิศตะวนั ตก ติดตอ่ กับจังหวัดปทมุ ธานี จงั หวดั นครนายกแบ่งการปกครองออกเป็น ๔ อ้าเภอ ๔๑ ต้าบล ๔๐๓ หมู่บ้าน ได้แก่ อ้าเภอเมืองนครนายก อา้ เภอปากพลี อ้าเภอบา้ นนา และอา้ เภอองครกั ษ์ ภาพที่ ๙ แผนที่แสดงอาณาเขตจงั หวัดนครนายก (ทมี่ า: http://nakhonnayok.go.th/index.php) ๒.๑.๑.๘ นครปฐม จงั หวดั นครปฐมตังอยู่บริเวณลุ่มแม่น้าท่าจีน ซึ่งเป็นพืนท่ีบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลาง เป็นพืนที่เขตปริมณฑลของกรุงเทพมหานคร มีเนือที่ประมาณ ๒,๑๖๘.๓๒๗ ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิ ประเทศโดยท่ัวไปเป็นที่ราบถึงค่อนข้างราบเรียบ ไม่มีภูเขาและป่าไม้ ระดับความแตกต่างของความสูงของ พืนท่ีอยู่ระหว่าง ๒ – ๑๐ เมตรเหนือระดับน้าทะเลปานกลาง สภาพพืนที่โดยท่ัวไปลาดจากทิศเหนือสู่ทิศใต้ และตะวันตกสู่ตะวันออก มีแม่น้าท่าจีนไหลผ่านจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้ พืนที่ทางตอนเหนือและทาง ตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็นท่ีดอน ส่วนพืนท่ีทางตอนกลางของจังหวัดเป็นท่ีราบลุ่ม มีที่ดอนกระจาย
๓๕ เป็นแห่ง ๆ และมีแหล่งน้ากระจาย ส้าหรับพืนที่ด้านตะวันออกและด้านใต้เป็นท่ีราบลุ่มริมฝั่งแม่น้าท่าจีน มี คลองธรรมชาติและคลองซอยที่ขุดขึนเพ่ือการเกษตรและคมนาคมอยู่มาก พืนท่ีสูงจากระดับน้าทะเล ๒ – ๔ เมตร มอี าณาเขตติดตอ่ กบั พืนท่อี ื่นดงั นี ทศิ เหนอื ตดิ ตอ่ กับอา้ เภอสองพนี่ อ้ ง จงั หวัดสพุ รรณบุรี ทศิ ใต้ ติดต่อกบั อ้าเภอกระทุ่มแบน อา้ เภอบ้านแพ้ว จังหวดั สมุทรสาคร และ อ้าเภอบางแพ จงั หวดั ราชบุรี ทิศตะวนั ออก ตดิ ต่อกบั อ้าเภอไทรน้อย อ้าเภอบางใหญ่ อา้ เภอบางกรวย จังหวัด นนทบรุ ี เขตทวีวฒั นา เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร และอา้ เภอ บางไทร จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา ทิศตะวนั ตก ตดิ ต่อกบั อา้ เภอบา้ นโป่ง อา้ เภอโพธาราม จงั หวดั ราชบรุ ี และอ้าเภอ ท่ามะกา อ้าเภอพนมทวน จงั หวัดกาญจนบรุ ี จงั หวัดนครปฐมแบง่ การปกครองออกเป็น ๗ อ้าเภอ ประกอบดว้ ย ๑๐๖ ตา้ บล ๙๓๐ หมบู่ า้ น ไดแ้ ก่ อา้ เภอเมืองนครปฐม อ้าเภอกา้ แพงแสน อ้าเภอนครชัยศรี อ้าเภอดอนตูม อา้ เภอบางเลน อา้ เภอสามพราน อา้ เภอพุทธมณฑล ภาพท่ี ๑๐ แผนท่ีแสดงอาณาเขตจงั หวดั นครปฐม (ที่มา: http://www.nakhonpathom.go.th/npt/index.php/)
๓๖ ๒.๑.๑.๙ นครสวรรค์ จงั หวัดนครสวรรคต์ ังอยบู่ ริเวณภาคกลางตอนบน มีเนือที่ประมาณ ๙,๕๙๗ ตาราง กิโลเมตร ลักษณะทางภมู ิศาสตรโ์ ดยท่ัวไป ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การเกษตร เป็นท่ีราบประมาณ ๓ ใน ๔ ของพืนท่ีจังหวัด มีแม่น้าสายส้าคัญคือ แม่น้าปิง แม่น้ายม และแม่น้าน่าน ไหลมารวมกันเป็นแม่น้า เจ้าพระยา ไหลผ่านช่วงกลางของจังหวัด แม่น้าที่กล่าวได้แบ่งพืนท่ีของจังหวัดออกเป็นด้านตะวันออกและ ตะวันตก และมีเพียง ๖ อา้ เภอที่ตังอยบู่ นแมน่ ้าสายหลัก สภาพภูมิประเทศทางด้านทิศตะวันตกของจังหวัดมี ภเู ขาสลับซับซอ้ นและเปน็ ป่าทึบในเขตอ้าเภอลาดยาว อ้าเภอแม่วงก์ อา้ เภอแม่เปิน และอ้าเภอชุมตาบง พืนท่ี ป่าของจังหวัดเปน็ สภาพปา่ ทเ่ี ช่ือมโยงตดิ ตอ่ กับปา่ ห้วยขาแข้งของจังหวัดอุทัยธานีในส่วนทางใต้ของอ้าเภอแม่ วงก์ ส่วนบนของอ้าเภอแม่วงกแ์ ละอา้ เภอลาดยาวเปน็ สว่ นตดิ ตอ่ กบั ป่าทึบของจังหวัดตาก ท่ีเช่ือมโยงไปถึงป่า ทุง่ ใหญ่นเรศวรของจงั หวัดกาญจนบุรี สภาพพนื ทีส่ ่วนใหญ่โดยเฉพาะตอนกลางของจังหวัดเป็นที่ราบลุ่มแม่น้า ค่อนขา้ งเรียบ ซึง่ อยู่ในเขตอ้าเภอเมืองนครสวรรค์ อ้าเภอบรรพตพิสัย อ้าเภอชุมแสง อ้าเภอท่าตะโก อ้าเภอ โกรกพระ และอ้าเภอพยหุ ะคีรี สภาพพนื ทท่ี างทิศตะวันตก (เขตอ้าเภอลาดยาว อ้าเภอแม่วงก์ อ้าเภอแม่เปิน และอ้าเภอชุมตาบง) และทิศตะวนั ออก (เขตอ้าเภอหนองบัว อ้าเภอไพศาลี อ้าเภอตากฟ้า และอ้าเภอตาคลี) มีลักษณะเป็นแบบลอนลูกคลื่น ยกตัวขึนจากตอนกลางของจังหวัด สูงจากระดับน้าทะเลปานกลาง ๕๐ – ๑๕๐ เมตร มีอาณาเขตติดต่อกับพืนทอ่ี ่ืนดังนี ทศิ เหนือ ตดิ ตอ่ กับจังหวดั พจิ ิตร และกา้ แพงเพชร ทิศใต้ ติดต่อกบั จังหวดั ลพบุรี อุทยั ธานี ชยั นาท และสิงหบ์ รุ ี ทศิ ตะวันออก ตดิ ต่อกบั จังหวัดเพชรบรู ณ์ ทิศตะวันตก ตดิ ต่อกับจังหวดั ตาก จังหวัดนครสวรรค์แบ่งการปกครองออกเป็น ๑๕ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๑๒๘ ต้าบล ๑,๔๓๑ หม่บู า้ น ไดแ้ ก่ อ้าเภอเมอื งนครสวรรค์ อา้ เภอโกรกพระ อา้ เภอชุมแสง อ้าเภอลาดยาว อ้าเภอบรรพต พิสยั อา้ เภอหนองบัว อา้ เภอตาคลี อ้าเภอเกา้ เลยี ว อา้ เภอทา่ ตะโก อ้าเภอตากฟ้า อ้าเภอไพศาลี อ้าเภอพยุหะ คีรี อ้าเภอแม่วงก์ อ้าเภอแม่เปนิ และอ้าเภอชุมตาบง ภาพท่ี ๑๑ แผนทีแ่ สดงอาณาเขตจงั หวัดนครสวรรค์ (ท่ีมา: http://www.nakhonsawan.go.th)
๓๗ ๒.๑.๑.๑๐ นนทบุรี จังหวัดนนทบุรีจัดเป็นพืนที่ในเขตปริมณฑลของกรุงเทพมหานคร ตังอยู่ริมแม่น้า เจ้าพระยาในเขตภาคกลาง เปน็ หนง่ึ ในหา้ จังหวดั ปรมิ ณฑลทม่ี ีความเจริญเทียบเท่ากรุงเทพมหานครในแทบทุก ด้าน และเป็นจังหวัดที่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นอีกจังหวัดหนึ่งในประเทศไทย มีเนือที่ประมาณ ๖๒๒.๓๘ ตารางกิโลเมตร มีแม่น้าไหลผ่านแบ่งพืนท่ีออกเป็น ๒ ฝ่ัง คือ ฝั่งตะวันตก มีขนาดพืนท่ี ๓ ใน ๔ ของจังหวัด พืนที่สว่ นใหญเ่ ปน็ ที่ราบลุม่ นา้ ท่วมถึง มคี ูคลองขนาดต่าง ๆ เชื่อมโยงกันหลายสายเหมือนใยแมงมุม มีการท้า เรือกสวนไร่นา และฝั่งตะวันออกมีพืนที่ ๑ ใน ๓ ของจังหวัด ได้แก่พืนท่ีในเขตเทศบาลนครนนทบุรีและ เทศบาลนครปากเกร็ด เป็นเขตเมืองมีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น อาจถือได้ว่าส่วนนีเป็นส่วนหน่ึงของเมือง หลวง เพราะเขตแดนระหว่างนนทบุรีกับกรงุ เทพมหานครนันแทบจะกลายเปน็ สว่ นเดยี วกนั จนไม่เป็นที่รู้จัก มี อาณาเขตติดต่อกับพืนที่อ่ืนดังนี ทิศเหนือ ติดต่อกับอ้าเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ้าเภอลาด หลมุ แก้ว และอา้ เภอเมืองปทุมธานี จงั หวัดปทมุ ธานี ทิศใต้ ตดิ ต่อกบั เขตบางพลดั เขตตล่งิ ชนั และเขตทววี ัฒนา กรงุ เทพมหานคร ทศิ ตะวนั ออก ติดตอ่ กับเขตดอนเมือง เขตหลักสี่ เขตบางซ่ือ กรงุ เทพมหานคร ทศิ ตะวันตก ติดตอ่ กบั อ้าเภอพทุ ธมณฑล และอ้าเภอบางเลน จงั หวดั นครปฐม จังหวัดนนทบุรีแบ่งการปกครองออกเป็น ๖ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๕๒ ต้าบล ๔๓๓ หมู่บ้าน ได้แก่ อา้ เภอเมอื งนนทบุรี อา้ เภอบางกรวย อ้าเภอบางใหญ่ อ้าเภอบางบัวทอง อ้าเภอไทรน้อย และ อ้าเภอปากเกรด็ ภาพท่ี ๑๒ แผนท่แี สดงอาณาเขตจังหวัดนนทบุรี (ที่มา: http://nonthaburi.go.th/)
๓๘ ๒.๑.๑.๑๑ ปทุมธานี จังหวัดปทุมธานตี ังอยู่บริเวณที่ราบลุ่ม โดยมีแม่น้าเจ้าพระยาไหลผ่านใจกลางจังหวัด ในเขตอา้ เภอเมืองปทมุ ธานีและอ้าเภอสามโคก มเี นอื ท่ปี ระมาณ ๑,๕๒๕.๘๕๖ ตารางกิโลเมตร จากข้อมูลเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ จังหวัดปทุมธานมี ีพืนทก่ี ารเกษตรรอ้ ยละ ๕๓.๐๓ ของจงั หวดั และมนี คิ มอุตสาหกรรมกระจาย อยู่ทังจังหวดั จงึ นบั เปน็ จังหวัดที่มีความส้าคัญต่อการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมของประเทศ มีอาณาเขต ติดต่อกับพืนที่อื่นดังนี ทิศเหนือ ติดต่อกับอ้าเภอบางไทร อ้าเภอบางปะอิน อ้าเภอวังน้อย จังหวัด พระนครศรีอยุธยา อ้าเภอหนองแค และอ้าเภอวิหารแดง จังหวัด สระบุรี ทศิ ใต้ ติดต่อกับเขตหนองจอก เขตคลองสามวา เขตสายไหม เขตบางเขน และเขตดอนเมอื ง กรุงเทพมหานคร อ้าเภอปากเกร็ด และอ้าเภอบาง บวั ทอง จังหวดั นนทบุรี ทศิ ตะวนั ออก ติดต่อกับอ้าเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก และอ้าเภอบางน้าเปรียว จังหวดั ฉะเชงิ เทรา ทิศตะวันตก ติดต่อกับอ้าเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ้าเภอบาง เลน จงั หวดั นครปฐม และอ้าเภอไทรนอ้ ย จงั หวัดนนทบรุ ี จังหวัดปทุมธานีแบ่งการปกครองออกเป็น ๗ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๖๐ ต้าบล ๕๒๙ หมู่บ้าน ได้แก่ อ้าเภอเมืองปทุมธานี อ้าเภอคลองหลวง อ้าเภอธัญบุรี อ้าเภอหนองเสือ อ้าเภอลาดหลุมแก้ว อา้ เภอล้าลกู กา และอา้ เภอสามโคก ภาพที่ ๑๓ แผนท่แี สดงอาณาเขตจังหวัดปทุมธานี (ท่ีมา: http://www2.pathumthani.go.th/index.php)
๓๙ ๒.๑.๑.๑๒ ปราจีนบรุ ี จงั หวัดปราจีนบุรีมีเนือที่ประมาณ ๔,๗๖๒.๓๖๒ ตารางกิโลเมตร จัดเป็นจังหวัดแห่ง มรดกโลก เนื่องจากมีอุทยานแห่งชาติที่เป็นมรดกโลกถึง ๓ แห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยาน แหง่ ชาตทิ ับลาน และอทุ ยานแหง่ ชาติปางสีดา เปน็ เมอื งทมี่ ีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีการพบซากโบราณสถาน ในหลายพนื ที่ของจงั หวดั นอกจากนยี งั มแี หล่งทอ่ งเท่ยี วทางธรรมชาตหิ ลายแหง่ แตเ่ ดิมจังหวัดปราจนี บุรมี พี ืนที่กวา้ งใหญ่มาก เน่ืองจากในอดตี เคยมกี ารยบุ รวมจังหวัด นครนายกเข้ากับจังหวัดปราจีนบุรีในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เพ่ือเป็นการประหยัดงบประมาณในสภาวะท่ีเศรษฐกิจ ของประเทศตกตา้่ ระหว่างสงคราม ตอ่ มาในปีพ.ศ. ๒๔๘๙ จึงมีพระราชบัญญัติจัดตังจังหวัดนครนายกขึนอีก ครัง อย่างไรก็ตามพืนที่ของจังหวัดปราจีนบุรีก็ยังคงมีความกว้างใหญ่ ท้าให้เกิดปัญหาในการปกครองและ ให้บริการประชาชนเนือ่ งจากบางอ้าเภออย่หู ่างไกลจากตัวจังหวัดมาก จงึ ได้มกี ารตราพระราชบัญญัติฯ ให้แยก บางอ้าเภอทางด้านทิศตะวันออกของจังหวัดปราจีนบุรีแล้วรวมกันจัดตังเป็นจังหวัดสระแก้ว ในปีพ.ศ. ๒๕๓๖ จนถงึ ปัจจุบนั ปัจจุบัน จังหวัดปราจีนบุรีถูกพัฒนาจนกลายเป็นจังหวัดที่มีความส้าคัญทางด้าน เศรษฐกจิ มีการลงทนุ จากต่างประเทศ ทา้ ให้มนี ิคมอุตสาหกรรมเกิดขึนใหม่มากมาย ท้าให้ภาพรวมเศรษฐกิจ ของจังหวดั ดีขนึ ลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดปราจีนบุรีแบ่งออกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ ตอนบน บริเวณเขตอา้ เภอที่อย่ลู ึกเขา้ ไปจากพนื ทจ่ี ังหวดั ตอนลา่ ง มีลักษณะเป็นภูเขาสูงที่ราบสูง และป่าทึบซับซ้อน มี เขตติดตอ่ กบั เทือกเขาดงพญาเยน็ บริเวณยอดเขาสูงถึง ๑,๓๒๖ เมตร บริเวณเชิงเขาสูง ๔๗๔ เมตร ลักษณะ เป็นท่รี าบสงู คล้ายภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และเป็นแหล่งก้าเนิดแม่น้าหลายสาย ได้แก่พืนที่อ้าเภอประจันต คาม อา้ เภอนาดี และบางส่วนของอ้าเภอกบินทร์บุรี ตอนล่าง พืนที่ส่วนใหญ่เป็นท่ีราบลุ่มแม่น้าเหมาะแก่การ เพาะปลูก ไดแ้ ก่ ท่รี าบลมุ่ แมน่ ้าปราจีนบุรี สูงกวา่ ระดับนา้ ทะเล ๕ เมตร ซ่ึงเกิดจากแควหนุมานและแควพระ ปรงไหลมาบรรจบกันที่อ้าเภอกบินทร์บุรี ไหลผ่านอ้าเภอประจันตคาม อ้าเภอศรีมหาโพธิ อ้าเภอเมือง ปราจนี บุรี และอ้าเภอบ้านสร้าง ไหลเข้าส่จู งั หวัดฉะเชงิ เทรา เรยี กว่าแมน่ ้าบางปะกง ไหลลงสู่อ่าวไทยที่อ้าเภอ บางปะกง จังหวัดปราจนี บุรีมีอาณาเขตตดิ ตอ่ กบั พนื ทอ่ี ื่นดังนี ทิศเหนือ ตดิ ตอ่ กบั จงั หวดั นครนายก และจงั หวัดนครราชสีมา ทศิ ใต้ ติดตอ่ กบั จังหวดั ฉะเชงิ เทรา ทศิ ตะวันออก ติดตอ่ กับจงั หวดั สระแก้ว ทิศตะวนั ตก ตดิ ตอ่ กบั จงั หวัดนครนายก และจังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวดั ปราจีนบุรแี บง่ การปกครองออกเป็น ๗ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๖๕ ต้าบล ๖๕๘ หมู่บ้าน ได้แก่ อ้าเภอเมืองปราจีนบุรี อ้าเภอกบินทร์บุรี อ้าเภอนาดี อ้าเภอบ้านสร้าง อ้าเภอประจันตคาม อ้าเภอศรมี หาโพธิ และอา้ เภอศรีมโหสถ
๔๐ ภาพท่ี ๑๔ แผนทแี่ สดงอาณาเขตจงั หวดั ปราจนี บุรี (ทมี่ า: http://www.sea-cr.com) ๒.๑.๑.๑๓ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นอดีตราชธานีของไทยมีหลักฐานของการเป็นเมืองใน ลุ่มแม่น้าเจ้าพระยา ตังแต่ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ – ๑๘ โดยมีร่องรอยของท่ีตังเมือง โบราณสถาน โบราณวตั ถุ และเรอื่ งราวเหตุการณใ์ นลักษณะต้านานพงศาวดาร ไปจนถงึ หลกั ศิลาจารกึ ซึ่งถือวา่ เป็นหลักฐาน ร่วมสมัยทใี่ กลเ้ คยี งเหตกุ ารณ์มากทสี่ ุด ซึ่งเมอื งอโยธยาหรืออโยธยาศรีรามเทพนคร หรือเมืองพระราม มีท่ีตัง อยู่บริเวณด้านตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยา มีบ้านเมืองที่มีความเจริญทางการเมือง การปกครอง และมี วัฒนธรรมท่ีรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง มีการใช้กฎหมายในการปกครองบ้านเมือง ๓ ฉบับ คือ พระอัยการลักษณะ เบด็ เสรจ็ พระอยั การลกั ษณะทาส พระอัยการลกั ษณะก้หู นี จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตังอยู่บริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางตอนล่าง มีเนือท่ี ประมาณ ๒,๕๕๖.๖๔ ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศ เป็นท่ีราบลุ่มน้าท่วมถึง พืนที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งนา ไมม่ ภี ูเขา ไมม่ ปี ่าไม้ มีแมน่ ้าไหลผ่าน ๔ สาย ไดแ้ ก่ แมน่ ้าเจา้ พระยา แม่น้าป่าสัก แม่น้าลพบุรี และแม่น้าน้อย มีล้าคลองใหญ่น้อย ประมาณ ๑,๒๕๔ คลอง เชื่อมต่อกับแม่น้าเกือบท่ัวบริเวณพืนที่จังหวัด จังหวัด พระนครศรีอยุธยาเป็นจังหวดั ท่ีมีศักยภาพทางด้านการเกษตร อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว ซ่ึงมีการเติบโต ทางเศรษฐกิจอย่างต่อเน่ือง พืนที่การเกษตรคิดเป็นร้อยละ ๗๑.๗๕ ของพืนท่ีจังหวัด มีนิคมอุตสาหกรรม ๓ แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) และนิคมอุตสาหกรรมสห รตั นนคร มีเขตประกอบการอตุ สาหกรรม ๒ แห่ง ได้แก่ เขตประกอบการอุตสาหกรรมแฟคเตอร่ีแลนด์วังน้อย และเขตประกอบการอุตสาหกรรมบริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ้ากัด พืนท่ีจังหวัดพระนครศรีอยุธยามี อาณาเขตตดิ ตอ่ กับจงั หวดั ใกล้เคยี งดงั นี ทิศเหนอื ติดตอ่ กบั จงั หวดั อ่างทอง และจังหวัดลพบุรี ทศิ ใต้ ติดตอ่ กับจังหวดั นครปฐม จงั หวัดนนทบรุ ี และจังหวัดปทุมธานี ทศิ ตะวนั ออก ตดิ ต่อกับจังหวัดสระบรุ ี
๔๑ ทิศตะวนั ตก ติดตอ่ กบั จังหวดั สุพรรณบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยาแบ่งการปกครองออกเป็น ๑๖ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๒๐๙ ตา้ บล ๑๔๕๙ หมู่บ้าน ได้แก่ อ้าเภอเมืองพระนครศรีอยุธยา อ้าเภอท่าเรือ อ้าเภอนครหลวง อ้าเภอบางไทร อ้าเภอบางบาล อ้าเภอบางปะอิน อ้าเภอบางปะหัน อ้าเภอผักไห่ อ้าเภอภาชี อ้าเภอลาดบัวหลวง อ้าเภอวัง นอ้ ย อา้ เภอเสนา อา้ เภอบางซ้าย อา้ เภออุทัย อา้ เภอมหาราช และอ้าเภอบ้านแพรก ภาพที่ ๑๕ แผนทแ่ี สดงอาณาเขตจงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา (ที่มา: http://www.ayutthaya.go.th/Ayu/Landscape.html) ๒.๑.๑.๑๔ พิจติ ร จังหวัดพิจิตรมีเนือท่ีประมาณ ๔,๕๓๑.๐๑๓ ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศ โดยทว่ั ไปเป็นทรี่ าบลุม่ มแี ม่น้ายมและแมน่ ้าน่านไหลผา่ น แมน่ า้ ทงั สองสายนีไหลผา่ นจงั หวดั เกอื บเป็นลักษณะ เส้นขนานจากทิศเหนอื สทู่ ิศใต้ โดยมีแมน่ ้าพิจติ ร (แม่น้าเดิม) อยู่ระหว่างกลาง ความยาวของแม่น้าน่านที่ไหล ผ่านจังหวัดมีระยะทาง ๙๗ กิโลเมตร และความยาวของแม่น้ายมที่ไหลผ่านจังหวัดมีระยะประมาณ ๑๒๘ กิโลเมตร ประชากรสว่ นใหญ่ประกอบอาชีพดา้ นการเกษตรเปน็ หลัก มีอาณาเขตติดต่อกบั จงั หวัดใกลเ้ คยี งดงั นี ทิศเหนือ ตดิ ต่อกับจังหวดั พษิ ณโุ ลก ทศิ ใต้ ติดต่อกับจงั หวัดนครสวรรค์ ทศิ ตะวนั ออก ตดิ ตอ่ กับจังหวดั เพชรบูรณ์
๔๒ ทศิ ตะวนั ตก ติดต่อกับจงั หวัดก้าแพงเพชร จังหวัดพิจิตรแบ่งการปกครองออกเป็น ๑๒ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๘๙ ต้าบล ๘๘๘ หมู่บา้ น ไดแ้ ก่ อ้าเภอเมอื งพจิ ติ ร อ้าเภอวังทรายพูน อ้าเภอโพธิ์ประทับช้าง อ้าเภอตะพานหิน อ้าเภอบางมูล นาก อ้าเภอโพทะเล อ้าเภอสามง่าม อ้าเภอทับคล้อ อ้าเภอสากเหล็ก อ้าเภอบึงนาราง อ้าเภอดงเจริญ และ อ้าเภอวชริ บารมี ภาพที่ ๑๖ แผนทแี่ สดงอาณาเขตจังหวดั นครสวรรค์ (ทม่ี า: http://www.phichit.go.th/) ๒.๑.๑.๑๕ พิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลกเป็นเมืองที่มีความส้าคัญทางประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เดิม เรียกว่า เมืองสองแคว เนื่องจากตังอยู่ระหว่างแม่น้าสองสาย คือ แม่น้าน่านกับแม่น้าแควน้อย มีเนือที่ ประมาณ ๑๐,๘๑๕ ตารางกิโลเมตร ทางตอนเหนือและตอนกลางเป็นเขตเทือกเขาสูงและที่ราบสูง โดยมีเขต ภูเขาสูงด้านตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งอยู่ในเขตอ้าเภอวังทอง อ้าเภอวัดโบสถ์ อ้าเภอเนินมะปราง อ้าเภอนคร ไทย และอา้ เภอชาติตระการ พืนที่ตอนกลางมาทางใต้เป็นที่ราบ และตอนใต้เป็นที่ราบลุ่ม โดยเฉพาะบริเวณ ลุ่มแม่น้าน่านและแม่น้ายม ซ่ึงเป็นแหล่งการเกษตรที่ส้าคัญที่สุดของจังหวัดพิษณุโลก อยู่ในเขตอ้าเภอบาง ระกา้ อ้าเภอเมืองพิษณุโลก อ้าเภอพรหมพิราม อ้าเภอเนินมะปราง และบางส่วนของอ้าเภอวังทอง มีอาณา เขตตดิ ต่อกบั พืนท่ีอื่นดังนี ทิศเหนอื ติดต่อกับอ้าเภอพิชัย อ้าเภอทองแสนขัน และอ้าเภอน้าปาด จังหวัด อุตรดติ ถ์ และแขวงไชยบรุ ี ประเทศลาว ทิศใต้ ติดต่อกับอ้าเภอเมืองพิจิตร อ้าเภอวชิรบารมี อ้าเภอสามง่าม และ อา้ เภอสากเหล็ก จงั หวัดพิจติ ร
๔๓ ทิศตะวันออก ติดต่อกับอ้าเภอหล่มสัก อ้าเภอเขาค้อ และอ้าเภอวังโป่ง จังหวัด เพชรบรู ณ์ อา้ เภอด่านซ้าย และอ้าเภอนาแห้ว จังหวดั เลย ทิศตะวันตก ตดิ ตอ่ กับอา้ เภอกงไกรลาศ และอ้าเภอศรีส้าโรง จังหวัดสโุ ขทยั อ้าเภอ ลานกระบือ จังหวดั ก้าแพงเพชร ที่ตังของจังหวัดพิษณุโลกมีความส้าคัญในเชิงยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของภูมิภาคอินโด จีนเป็นอยา่ งย่ิง เนอ่ื งจากเป็นจดุ ศูนยก์ ลางดา้ นการคมนาคมของภูมิภาคอินโดจีน เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างภาค กลางกับภาคเหนือ และภาคเหนือกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทังเช่ือมต่อไปยังประเทศต่ าง ๆ ของ ภูมภิ าคอนิ โดจนี ทา้ ใหไ้ ดร้ ับการขนานนามวา่ เป็น “เมืองบริการสแี่ ยกอินโดจนี ” จังหวัดพิษณุโลกแบ่งการปกครองออกเป็น ๙ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๙๓ ต้าบล ๑,๐๓๒ หมู่บา้ น ได้แก่ อา้ เภอเมอื งพษิ ณุโลก อา้ เภอนครไทย อา้ เภอชาตติ ระการ อ้าเภอบางระก้า อ้าเภอบาง กระทุ่ม อ้าเภอพรหมพิราม อา้ เภอวดั โบสถ์ อา้ เภอวงั ทอง และอ้าเภอเนินมะปราง ภาพที่ ๑๗ แผนท่ีแสดงอาณาเขตจังหวัดพษิ ณโุ ลก (ท่ีมา: http://ipc2.dip.go.th/) ๒.๑.๑.๑๖ เพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรีตังอยู่บริเวณภาคกลางตอนล่าง มีเนือท่ีประมาณ ๖,๒๒๕.๑๓๘ ตารางกโิ ลเมตร มีภูมิประเทศทังเป็นที่สูงติดเทือกเขาและที่ราบชายฝั่งทะเล มักเรียกช่ือสัน ๆ ว่า เมืองเพชร เดิมเรียก พรบิ พรี และจากหลกั ฐานในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ปรากฏช่ือวา่ ศรชี ัยวัชรปรุ ะ ปัจจบุ นั เป็นเมือง
๔๔ ด่านส้าคัญที่เชื่อมต่อระหว่างภาคกลางกับภาคใต้ ลักษณะภูมิประเทศทางด้านทิศตะวันตกในเขตอ้าเภอแก่ง กระจานและอ้าเภอหนองหญ้าปล้อง มีลักษณะเป็นท่ีราบสูงและ ภูเขาสูงชัน แล้วค่อย ๆ ลาดต้่ามาทางทิศ ตะวนั ออกเกดิ เป็นสันปนั น้า แบ่งน้าส่วนหนึ่งใหไ้ หลลงสู่ประเทศพม่าและอีกสว่ นหน่ึงไหลมาทางทิศตะวันออก เป็นต้นน้าของแม่น้าเพชรบุรีและแม่น้าปราณบุรี สภาพเช่นนีท้าให้ทางทิศตะวันตกของจังหวัดเพชรบุรีอุดม สมบรู ณ์ไปดว้ ยทรพั ยากรธรรมชาติป่าไม้และแร่ธาตุ แต่มีประชากรอาศัยอยู่น้อยเนื่องจากเป็นดินแดนกันดาร จะมีเพียงชาวกะเหร่ียงและชาวกะหร่างที่อพยพข้ามแดนมาจากพม่าเข้ามาอาศัยเท่านัน มีอาณาเขตติดต่อ จังหวัดใกลเ้ คยี งและประเทศเพ่อื นบ้านดังนี ทิศเหนอื ติดต่อกับอ้าเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี และอ้าเภออัมพวาจังหวัด สมุทรสงคราม ทิศใต้ ติดต่อกับอ้าเภอหัวหนิ จังหวัดประจวบคีรีขนั ธ์ ทิศตะวันออก ติดต่อกบั อ่าวไทย ทิศตะวันตก ติดตอ่ กับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมยี นมาร์ จังหวัดเพชรบุรีแบ่งการปกครองออกเป็น ๘ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๙๓ ต้าบล ๖๙๘ หมูบ่ ้าน ไดแ้ ก่ อ้าเภอเมอื งเพชรบรุ ี อา้ เภอเขายอ้ ย อ้าเภอหนองหญา้ ปล้อง อา้ เภอชะอา้ อ้าเภอท่ายาง อ้าเภอ บา้ นลาด อา้ เภอบ้านแหลม และอา้ เภอแกง่ กระจาน ภาพที่ ๑๘ แผนทแี่ สดงอาณาเขตจังหวัดเพชรบุรี (ท่ีมา: http://phetchaburi.go.th/)
๔๕ ๒.๑.๑.๑๗ เพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นจังหวัดที่มีแนวเขตติดต่อระหว่างภาคเหนือ ภาค ตะวันออกเฉียงเหนอื และภาคกลาง มเี นือทปี่ ระมาณ ๑๒,๖๖๘.๔๑๖ ตารางกิโลเมตร สภาพภูมิประเทศทั่วไป ของจังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบด้วยภูเขาเพชรบูรณ์ เป็นรูปเกือกม้า รอบพืนที่ด้านเหนือของจังหวัด เป็น แนวขนานกนั ไปทงั สองขา้ ง ทิศตะวันออกและทิศตะวนั ตก คิดเป็นเนอื ที่ประมาณรอ้ ยละ ๔๐ ของพืนท่ีทังหมด มีพืนทร่ี าบอย่ตู อนกลางและทางดา้ นใตข้ องจงั หวัด เปน็ พืนทลี่ าดชันจากเหนือลงใต้ มีพืนทีป่ ่าไม้คิดเป็นร้อยละ ๔๕.๗๘ มแี มน่ า้ ปา่ สกั เปน็ แมน่ า้ สายส้าคัญท่ีสดุ ของจังหวัด ไหลผ่านตอนกลางของจังหวัดจากทิศเหนือไปทิศ ใต้ ยาวประมาณ ๓๕๐ กโิ ลเมตร ต้นน้าเกิดจากภูเขาผาลาในจังหวัดเลย มีห้วยล้าธารหลายสายเกิดจากภูเขา เพชรบูรณ์ แม่นา้ ป่าสักไหลผา่ นอ้าเภอหล่มเก่า หล่มสกั เมืองเพชรบูรณ์ หนองไผ่ บึงสามพนั วิเชียรบุรี และศรี เทพ มอี าณาเขตตดิ ต่อกบั พนื ทอี่ น่ื ดงั นี ทิศเหนอื ตดิ ตอ่ กบั จงั หวัดเลย ทิศใต้ ติดต่อกับจงั หวดั ลพบุรี ทิศตะวันออก ติดต่อกับจงั หวัดขอนแกน่ และจังหวดั ชัยภูมิ ทิศตะวนั ตก ติดต่อกับจังหวดั พิษณโุ ลก จังหวัดนครสวรรค์ และจงั หวัดพิจิตร จังหวัดเพชรบูรณ์แบ่งการปกครองออกเป็น ๑๑ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๑๑๗ ต้าบล ๑,๒๖๑ หมู่บา้ น ได้แก่ อา้ เภอเมอื งเพชรบูรณ์ อา้ เภอชนแดน อ้าเภอหล่มสัก อ้าเภอหล่มเก่า อ้าเภอวิเชียรบุรี อ้าเภอศรเี ทพ อ้าเภอหนองไผ่ อา้ เภอบงึ สามพนั อ้าเภอน้าหนาว อ้าเภอวงั โปง่ และอ้าเภอเขาค้อ ภาพท่ี ๑๙ แผนทีแ่ สดงอาณาเขตจังหวัดเพชรบรู ณ์ (ท่มี า: http://www.phetchabun.go.th/)
๔๖ ๒.๑.๑.๑๘ ระยอง จังหวัดระยองเป็นจังหวัดชายฝั่งทะเลทางด้านทิศตะวันออกของอ่าวไทย มีเนือที่ ประมาณ ๓,๕๕๒ ตารางกิโลเมตร ลักษณะทางภูมิศาสตร์โดยทั่วไปของพืนที่ด้านริมชายฝ่ังทะเล เป็นลูกคลื่น ดินปนทราย มีท่ีราบสูง บางตอนเป็นป่าและเขา ตามพืนที่แนวชายฝั่งทะเลกับพืนที่ทางฝ่ังถนนสุขุมวิท ตลอดจนเขตพืนท่ีของอ้าเภอเมืองระยอง เหมาะส้าหรับท้าการเพาะปลูกพืชไร่ ท้าสวนผลไม้และยางพาร า แมน่ ้ามแี มน่ า้ ส้าคัญสายเดียวคือ แมน่ า้ ระยอง ต้นน้าเกิดจากล้าธารและภเู ขาใหญ่ในท้องทอี่ ้าเภอบ้านค่าย ไหล ลงสู่ทะเลท่ีต้าบลปากน้า มีความยาวท่ีผ่านท้องท่ีอ้าเภอเมืองระยองประมาณ ๘ กิโลเมตร ปัจจุบัน จังหวัด ระยองไดร้ ับการพฒั นาให้เปน็ แหล่งอตุ สาหกรรม ท้าให้มกี ารอพยพโยกย้ายถน่ิ ฐานเขา้ มาท้างานกนั เปน็ จ้านวน มาก จงั หวดั ระยองมีอาณาเขตติดต่อกับพนื ทีอ่ ื่นดงั นี ทิศเหนือ ติดต่อกบั อ้าเภอหนองใหญ่ อา้ เภอบ่อทอง และอ้าเภอศรีราชา จังหวัด ชลบุรี ทศิ ใต้ ติดตอ่ กบั อา่ วไทย ทศิ ตะวนั ออก ติดต่อกับอ้าเภอนายายอาม และอ้าเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี ทิศตะวันตก ตดิ ตอ่ กบั อ้าเภอสัตหีบ และอ้าเภอบางละมุง จังหวดั ชลบุรี จังหวัดระยองแบ่งการปกครองออกเป็น ๘ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๕๔ ต้าบล ๔๓๙ หมู่บา้ น ได้แก่ อา้ เภอเมอื งระยอง อา้ เภอบ้านฉาง อา้ เภอแกลง อ้าเภอวังจันทร์ อ้าเภอบ้านค่าย อ้าเภอปลวก แดง อา้ เภอเขาชะเมา และอ้าเภอนิคมพัฒนา ภาพที่ ๒๐ แผนทแี่ สดงอาณาเขตจงั หวดั ระยอง (ทม่ี า: http://www.reo13.go.th/)
๔๗ ๒.๑.๑.๑๙ สงิ หบ์ ุรี จังหวัดสิงห์บุรีตังอยู่บริเวณที่ราบภาคกลาง มีเนือที่ทังหมดประมาณ ๘๒๒.๔๗๘ ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไป เป็นที่ราบลุ่มและพืนที่ลูกคลื่นลอนตืน ซ่ึงเกิดจากการทับถม ของตะกอนริมแม่น้าเป็นเวลานาน จึงมีความอุดมสมบูรณของทรัพยากรดินและน้าเปนอยางมาก ส่งผลให สามารถท้าการเกษตรในลักษณะกาวหนาได้ มีแม่น้าส้าคัญไหลผ่าน ๓ สาย คือแม่น้าเจ้าพระยา แม่น้า นอ้ ย และแม่น้าลพบุรี นอกจากนียงั มีลา้ น้าสายอ่ืน ๆ คือ ล้าแม่ลา ล้าการ้อง ล้าเชียงราก และล้าโพธิ์ชัย ไม่มี พนื ทเ่ี ปน็ ภูเขาและป่าไม้และไมม่ ีแรธ่ าตทุ ีส่ า้ คัญ มีอาณาเขตติดตอ่ กบั จงั หวดั ใกล้เคยี งดังนี ทิศเหนอื ติดต่อกับอ้าเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท และอ้าเภอตาคลี จังหวัด นครสวรรค์ ทิศใต้ ติดต่อกับอ้าเภอไชโย อ้าเภอโพธิ์ทอง และอ้าเภอแสวงหา จังหวัด อ่างทอง ทิศตะวนั ออก ตดิ ตอ่ กบั อ้าเภอบา้ นหมี่ และอา้ เภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ทศิ ตะวันตก ติดต่อกับอ้าเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท และอ้าเภอเดิมบางนาง บวช จังหวดั สพุ รรณบรุ ี จังหวัดสิงห์บุรีแบ่งการปกครองออกเป็น ๖ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๔๓ ต้าบล ๓๖๔ หม่บู ้าน ไดแ้ ก่ อ้าเภอเมอื งสิงห์บรุ ี อา้ เภอบางระจนั อา้ เภอค่ายบางระจัน อ้าเภอพรหมบุรี อ้าเภอท่าช้าง และ อา้ เภออนิ ทรบ์ ุรี ภาพท่ี ๒๑ แผนทแี่ สดงอาณาเขตจังหวัดสิงหบ์ ุรี (ทีม่ า: http://www.singburi.go.th/)
๔๘ ๒.๑.๑.๒๐ สพุ รรณบรุ ี จังหวัดสุพรรณบุรีตังอยู่บนพืนที่ราบลุ่มแม่น้าท่าจีน มีเนือที่ประมาณ ๕,๓๕๘.๐๑ ตารางกิโลเมตร เป็นเมืองโบราณ พบหลกั ฐานทางโบราณคดมี อี ายุไม่ต่้ากว่า ๓,๕๐๐ – ๓,๘๐๐ ปี โบราณวัตถุ ท่ีขุดพบมีทงั ยุคหินใหม่ ยุคสา้ รดิ ยุคเหลก็ และสืบทอดวัฒนธรรมต่อเนื่องมาตังแต่สมัยสุวรรณภูมิ ลักษณะภูมิ ประเทศโดยส่วนใหญ่เป็นท่ีราบลุ่ม มีพืนที่บางส่วนเป็นที่ราบสูง ซ่ึงอยู่ทางด้านตะวันตกของจังหวัด ตลอด แนวตังแต่เหนือจรดใต้ บริเวณพืนที่ต่้าสุดอยู่ทางด้านตะวันออก สูงจากระดับน้าทะเลปานกลางประมาณ ๓ เมตร พืนทส่ี ว่ นใหญใ่ ช้ท้านาข้าว มแี มน่ า้ ล้าคลองหนองบึงอยูท่ ว่ั ไป แม่น้าสายส้าคัญคือ แม่น้าท่าจีน หรือเรียก กนั ในชว่ งท่ีไหลผา่ นจังหวดั นีวา่ แม่นา้ สุพรรณบรุ ี มีอาณาเขตติดตอ่ กบั จงั หวดั ใกล้เคียงดังนี ทศิ เหนอื ตดิ ต่อกับจงั หวดั อุทัยธานี และจังหวดั ชยั นาท ทิศใต้ ติดตอ่ กบั จังหวดั นครปฐม และจังหวัดกาญจนบรุ ี ทิศตะวันออก ติ ด ต่ อ กั บ จั ง ห วั ด สิ ง ห์ บุ รี จั ง ห วั ด อ่ า ง ท อ ง แ ล ะ จั ง ห วั ด พระนครศรีอยุธยา ทิศตะวันตก ติดต่อกบั จังหวดั กาญจนบรุ ี และจังหวัดอทุ ัยธานี จังหวัดสุพรรณบุรีแบ่งการปกครองออกเป็น ๑๐ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๑๑๐ ต้าบล ๙๗๗ หมู่บ้าน ไดแ้ ก่ อา้ เภอเมอื งสพุ รรณบรุ ี อา้ เภอเดมิ บางนางบวช อ้าเภอด่านชา้ ง อา้ เภอบางปลาม้า อ้าเภอ ศรปี ระจันต์ อา้ เภอดอนเจดีย์ อ้าเภอสองพ่นี อ้ ง อ้าเภอสามชกุ อ้าเภออูท่ อง และอา้ เภอหนองหญา้ ไซ ภาพที่ ๒๒ แผนทแี่ สดงอาณาเขตจังหวัดสพุ รรณบรุ ี (ท่มี า: http://www.suphanburi.go.th/)
๔๙ ๒.๑.๑.๒๑ อา่ งทอง จังหวัดอ่างทองตังอยู่บนพืนท่ีราบลุ่มแม่น้าเจ้าพระยา มีเนือที่ประมาณ ๙๖๘.๓๗๒ ตารางกิโลเมตร ลกั ษณะภูมิประเทศโดยทัว่ ไปเปน็ ท่ีราบลมุ่ ลกั ษณะคล้ายอ่าง ไม่มีภูเขา ดินเป็นดินเหนียวปน ทราย พืนท่ีส่วนใหญ่เหมาะแก่การปลูกข้าว ท้าไร่ ท้านา และท้าสวน และมีแม่น้าสายส้าคัญไหลผ่าน 2 สาย คอื แมน่ ้าเจ้าพระยาและแม่น้านอ้ ย แมน่ ้าเจ้าพระยาเป็นแม่น้าสายแขนงที่ไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ จังหวัด ชยั นาท จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง ซ่ึงไหลผ่านอ้าเภอไชโย อ้าเภอเมืองอ่างทอง อ้าเภอป่าโมก รวม ระยะทางทไ่ี หลผา่ นจังหวัดอ่างทองประมาณ ๔๐ กิโลเมตร มีอาณาเขตตดิ ตอ่ กบั พนื ที่ใกล้เคยี งดังนี ทศิ เหนือ ตดิ ตอ่ กับอ้าเภอคา่ ยบางระจัน อ้าเภอพรหมบุรี อ้าเภอท่าช้าง จังหวัด สงิ หบ์ รุ ี และ อา้ เภอทา่ วงุ้ จงั หวดั ลพบุรี ทิศใต้ ตดิ ต่อกับอา้ เภอผกั ไหแ่ ละอา้ เภอบางบาล จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ทิศตะวนั ออก ติดต่อกับอ้าเภอบางปะหัน อ้าเภอมหาราช และ อ้าเภอบ้าน แพรก จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา ทศิ ตะวนั ตก ติดต่อกับอ้าเภอเมืองสุพรรณบุรี อ้าเภอศรีประจันต์ อ้าเภอ สามชุก และอ้าเภอเดิมบางนางบวช จงั หวัดสพุ รรณบุรี จังหวัดอ่างทองแบ่งการปกครองออกเป็น ๗ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๗๓ ต้าบล ๕๑๓ หมบู่ ้าน ไดแ้ ก่ อา้ เภอเมอื งอ่างทอง อ้าเภอไชโย อ้าเภอป่าโมก อา้ เภอโพธ์ิทอง อ้าเภอแสวงหา อ้าเภอวิเศษชัย ชาญ และอ้าเภอสามโก้ ภาพที่ ๒๓ แผนที่แสดงอาณาเขตจังหวัดอา่ งทอง (ที่มา: http://www.angthong.go.th/)
๕๐ ๒.๑.๑.๒๒ อุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานีตงั อยูบ่ ริเวณลุ่มแมน่ ้าสะแกกรัง ซง่ึ ไหลสูแมนา้ เจาพระยาที่อ้าเภอมโน รมย จังหวัดชัยนาท มีเนือท่ีประมาณ ๖,๗๓๐ ตารางกิโลเมตร พืนท่ีส่วนใหญ่เปนพืนท่ีทางการเกษตรและ พนื ท่ีปาท่มี สี ภาพเปนพืนท่คี ุมครอง ไดแก ปาสงวนแหงชาติ ๙ แหง วนอุทยาน ๒ แหง เขตรักษาพันธุสัตวปา ๑ แหง และเขตหามลาสัตวปา ๑ แหง มอี าณาเขตตดิ ต่อกบั พนื ทีใ่ กลเ้ คยี งดงั นี ทิศเหนือ ติดต่อกับอ้าเภอชุมตาบง อ้าเภอลาดยาว อ้าเภอโกรกพระ อ้าเภอ พยหุ ะคีรี จงั หวดั นครสวรรค์ ทิศใต้ ติดต่อกับอ้าเภอวัดสิงห อ้าเภอหนองมะโมง อ้าเภอเนินขาม จังหวัด ชัยนาท อ้าเภอดานชาง จังหวัดสุพรรณบุรี และอ้าเภอศรีสวัสด์ิ จงั หวดั กาญจนบรุ ี ทศิ ตะวนั ออก ติดต่อกับอ้าเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค และอ้าเภอมโนรมย จงั หวัดชยั นาท ทศิ ตะวันตก ติดต่อกับอ้าเภอศรีสวัสด์ิ อ้าเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี และ อ้าเภออุมผาง จงั หวัดตาก จังหวัดอุทัยธานีแบ่งการปกครองออกเป็น ๘ อ้าเภอ ประกอบด้วย ๖๘ ต้าบล ๖๓๒ หมู่บา้ น ได้แก่ อา้ เภอเมอื งอุทยั ธานี อา้ เภอทพั ทัน อา้ เภอสว่างอารมณ์ อา้ เภอหนองฉาง อ้าเภอหนองขาหย่าง อ้าเภอบ้านไร่ อา้ เภอลานสัก และอา้ เภอหว้ ยคต ภาพที่ ๒๔ แผนทีแ่ สดงอาณาเขตจังหวัดอุทัยธานี (ทีม่ า: http://www.uthaithani.go.th/)
๕๑ ๒.๑.๒ พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมภาคกลาง ภาคกลางเป็นดินแดนที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ตังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ดังท่ีมีการขุดค้นพบ หลักฐานทางโบราณคดีเป็นเครื่องมือหินที่เป็นเคร่ืองมือขุด เคร่ืองมือสับตัด และขวานขนาดใหญ่ ท่ีถ้าพระ อ้าเภอไทรโยค ถ้าเขาทะลุ และถ้าเม่น อ้าเภอบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งสืบย้อนไปได้ถึงยุคหินเก่า (ดู ณรงค์ พ่วงพศิ และคณะ ๒๕๔๙, ๕๐ – ๕๒) ดินแดนแถบภาคกลางนไี ดม้ พี ัฒนาการมาจนกลายเป็นชุมชนท่ีมี ความเจริญทางการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นพืนฐานของอารยธรรมไทย หลักฐาน เก่ยี วกับการเริ่มสมัยประวตั ิศาสตรใ์ นดนิ แดนภาคกลางประเทศไทยท่ีเก่าแก่ที่สุดคือ ศิลาจารึก ซ่ึงพบในหลาย แหง่ ทม่ี อี ายใุ นชว่ งเวลาเดียวกัน เช่น ท่ีศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ซับจ้าปา จังหวัดลพบุรี แต่จารึกท่ีปรากฏ ศักราชชัดเจนท่สี ุดพบที่ปราสาทเขาน้อย จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งระบุมหาศักราช ๕๕๙ ไว้ (ตรงกับพุทธศักราช ๑๑๘๐) จารึกด้วยอกั ษรปลั ลวะ เปน็ ภาษาสนั สกฤตและขอม จากหลกั ฐานทางโบราณคดสี นั นิษฐานไดว้ ่า พัฒนาการของชุมชนทีข่ ยายตวั เป็นบ้านเมืองเร่ิม ชดั เจนขึนตังแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๗ – ๘ โดยสว่ นใหญ่พบบรเิ วณทีอ่ ยใู่ กลท้ ะเลและท่ีราบลุ่มแม่น้ามากกว่าท่ี สูง เช่น ที่ราบลุ่มแม่นา้ ท่าจีน แมก่ ลอง บางปะกง ป่าสกั เจ้าพระยา มีเมอื งอูท่ อง จงั หวัดสุพรรณบุรี เมืองนคร ชยั ศรี จงั หวัดนครปฐม เมืองละโว้ จงั หวดั ลพบุรี เมอื งศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี เมืองพระรถ จังหวัดชลบุรี ปจั จยั สา้ คัญประการหนึ่งท่ีท้าให้เกิดพัฒนาการจากชุมชนเป็นบ้านเมืองคือ การติดต่อและรับอารยธรรมจาก ต่างชาติ หลักฐานทางโบราณคดีและบันทึกของต่างชาติแสดงให้เห็นว่า ชุมชนหลายแห่งได้ติดต่อกับต่างชาติ ทงั จนี อนิ เดีย โรมนั เปอรเ์ ซีย และรบั อารยธรรมจากต่างชาตโิ ดยเฉพาะอินเดียมาใช้ ท้าให้เกิดชนชันปกครอง ที่มีฐานะทางสังคมสูงขึน เช่น เป็นผู้น้าท่ีมีความศักด์ิสิทธิ์ดุจเทพเจ้า ท้าให้ชุมชนท่ีรับนับถือศาสนาเดียวกันมี วัฒนธรรมร่วมกัน มีความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน สามารถรวมกันได้โดยมีผู้ปกครองคนเดียวกัน (เร่ืองเดิม, ๕๗–๕๘) แวน่ แควน้ โบราณท่ีมศี นู ย์กลางตังอยู่บริเวณภาคกลางท่ีมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชัดเจน คือ อาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษท่ี ๑๑ – ๑๖) ซึ่งในบันทึกของจีนเรียกว่า โถโลโปตี สันนิษฐานว่า อาณาจกั รนีตงั อยบู่ รเิ วณล่มุ แมน่ ้าเจา้ พระยาและอาจมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดนครปฐม เพราะพบเหรียญเงินท่ี จังหวดั นครปฐม มีอักษรสันสกฤตจารกึ ขอ้ ความวา่ “ศรที วาราวดศี วรปณุ ย” แปลว่า “บญุ ของผู้เป็นเจ้าแห่งศรี ทวารวดี” หรือ “บุญกุศลแห่งพระเจา้ ศรที วาราวด”ี หรือ “พระเจา้ ศรที วารวดีผู้มีบุญอันประเสริฐ” ในการขุด ค้นทางโบราณคดีที่เมอื งนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ยังได้พบหลักฐานสมัยทวารวดีจ้านวนมากเช่น ธรรมจักร ศลิ า พระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ประทับน่ังห้อยพระบาทปางแสดงธรรม รวมถึงโบราณสถานขนาดใหญ่ เช่น เจดีย์จุลประโทน และฐานอาคารทีว่ ัดพระเมรุ หลักฐานเหลา่ นแี สดงถงึ การเปน็ เมอื งส้าคัญของนครปฐมในสมัย นัน และท่ีจังหวดั สพุ รรณบรุ ี สงิ หบ์ รุ ี และชัยนาท ยงั ได้พบเหรียญเงนิ ทจ่ี ารกึ ช่ือ “ทวารวดี” ไวอ้ กี ด้วย อาณาจักรทวารวดีได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดีย ทังในด้านพระพุทธศาสนานิกายเถร วาท ศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนแบบแผนการปกครอง นา้ มาผสมผสานกบั วัฒนธรรมดังเดิมแล้วแพร่หลายไปยัง ภมู ภิ าคตา่ ง ๆ ของไทย ดงั จะพบไดจ้ ากโบราณสถานโบราณวัตถทุ ี่แพร่กระจายอยู่ท่ัวไป
๕๒ สภาพสังคมทวารวดีน่าจะมีลักษณะเป็นเมืองขนาดต่าง ๆ ซึ่งพัฒนาขยายตัวจากสังคม ครอบครัว และสงั คมหมู่บ้านมาเป็นสังคมเมืองที่มีชุมชนเล็ก ๆ ล้อมรอบ มีหัวหน้าปกครอง มีการแบ่งชนชัน ทางสงั คม นอกจากนี ยงั มกี ารใชศ้ าสนาเป็นเครือ่ งมือในการปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองต่อเมืองหรือ รฐั ต่อรฐั ไม่ใชค่ วามสมั พนั ธ์โดยการเมอื ง แตโ่ ดยการค้า ศาสนา และความเหมอื นกนั ทางวฒั นธรรม เศรษฐกิจของชุมชนทวารวดีคงจะมีพืนฐานทางการเกษตรกรรม มีการค้าขายแลกเปลี่ยน ระหว่างเมือง หรือการค้าขายแลกเปล่ียนกับชุนชนภายนอก ชุมชนทวารวดีเริ่มต้นแนวความเชื่อแบบพุทธ ศาสนานิกายเถรวาท ควบคู่ไปกับการนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ทังลัทธิไศวนิกาย และลัทธิไวษณพ นิกาย โดยศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจะแพร่หลายในหมู่ชมชนชันปกครอง ในระยะหลังเมื่อขอมเข้าสู่สมัยเมือง นคร เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมทวารวดีก็ถูกครอบง้าโดยขอม และในตอนท้ายคติความเชื่อได้ เปลย่ี นแปลงไป ชาวทวารวดีได้มีการพัฒนาการทางเทคโนโลยีอันก้าวหน้า ดังจะเห็นได้จากการจัดระบบ ชลประทานทังภายในและภายนอกเมือง มีการขุดคลอง สระน้า การท้าคันบังคับน้าหรือท้านบ ซ่ึงส่ิงต่าง ๆ เหลา่ นไี ด้ถ่ายทอดสู่ชนรนุ่ หลังในสมัยลพบรุ ี และสมัยอาณาจกั รสโุ ขทัย ทางด้านการคมนาคม คนในสมัยทวาร วดีมีการสญั จรทางน้าและทางบก นอกเหนอื จากการติดต่อกับชาวเรือท่ีเดินทางค้าขายแล้วยังปรากฏร่องรอย ของคันดินซง่ึ สนั นษิ ฐานว่าอาจเป็นถนนเชือ่ มระหว่างเมอื ง นอกจากนหี ลักฐานทางโบราณคดีที่พบไม่ว่าจะเป็น สถาปัตยกรรมหรือประติมากรรมล้วนแล้วแต่แสดงความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และศิลปกรรม เช่น เทคนิคตัดศลิ าแลง การสกัดหนิ การท้าประตมิ ากรรม การหล่อส้ารดิ การหลอมแกว้ ฯลฯ อาณาจักรละโว้ (พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๘) เป็นแว่นแคว้นโบราณอีกแห่งหน่ึงท่ีมี ความสา้ คัญในดินแดนภาคกลาง ตังอยู่บรเิ วณลุ่มแม่น้าเจ้าพระยาฝงั่ ตะวันออก มีศนู ยก์ ลางอย่ทู เี่ มืองละโว้หรือ ลพบุรใี นปัจจบุ ัน ละโวเ้ ป็นเมืองสา้ คญั หนง่ึ ในสมยั ทวารวดี ตังอยู่ในบริเวณที่มีแม่น้าส้าคัญ ๓ สายไหลผ่านคือ แม่น้าเจ้าพระยา แม่น้าป่าสัก และแม่น้าลพบุรี ท้าให้มีความอุดมสมบูรณ์ และมีเส้นทางติดต่อกับเมืองในลุ่ม แมน่ ้าป่าสกั ทีร่ าบสงู โคราช และเขตตดิ ต่อกับทะเลสาบเขมร เป็นศูนย์กลางการติดต่อระหว่างชุมชนโดยรอบ สง่ ผลใหล้ ะโว้กลายเปน็ ชุมชนขนาดใหญ่ท่ีมีเศรษฐกิจดี เมื่อพวกขอมหรือเขมรขยายอิทธิพลเข้ามาในลุ่มแม่น้า เจา้ พระยา ละโว้ไดก้ ลายเปน็ เมอื งประเทศราชของขอมและไดร้ บั อารยธรรมของขอมดว้ ย อาชีพส้าคัญของชาวละโว้คือการเกษตร เพราะมีพืนที่อุดมสมบูรณ์ และมีการติดต่อค้าขาย กบั ชมุ ชนต่างถน่ิ เชน่ จีน อนิ เดีย หลกั ฐานท่ีแสดงถงึ การตดิ ต่อค้าขาย เชน่ เครอ่ื งถว้ ยจนี และละโว้ยังได้ส่งทูต ไปยังเมืองจีน โดยจดหมายเหตุจีนในพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ – ๑๙ เรียกละโว้ว่า “หลอหู” หลังจากที่ละโวต้ กอยู่ภายใตอ้ ทิ ธิพลขอม พระพุทธศาสนานิกายมหายานและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้เข้ามามี บทบาทแทนพระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาท โดยเฉพาะในสมยั พระเจ้าชัยวรมันท่ี ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ – ๑๘๖๑) มี การสร้างสถาปัตยกรรม และประติมากรรมตามความเชื่อในศาสนาเหล่านี เช่น พระปรางค์สามยอด ปรางค์ แขก เทวรูปพระโพธิสตั ว์อวโลกเิ ตศวร เทวรูปพระนารายณ์ หลงั จากสมัยพระเจา้ ชัยวรมันที่ ๗ แล้ว อาณาจักร ขอมเร่ิมเสื่อมอ้านาจลง ทา้ ให้อิทธิพลขอมในละโว้คอ่ ย ๆ หมดตามไปด้วย
๕๓ หลังจากท่ีอาณาจักรขอมเริ่มเสื่อมอ้านาจลงในดินแดนภาคกลาง รัฐต่าง ๆ เริ่มตังตนเป็น อิสระ รัฐหรืออาณาจักรท่ีมีความส้าคัญและแผ่อิทธิพลการปกครองลงมายังบริเวณดินแดนภาคกลางคือ อาณาจักรสุโขทัย (พ.ศ. ๑๗๙๒ – ๒๐๐๖) ซ่งึ เป็นรัฐโบราณทมี่ ศี ูนยก์ ลางอยู่ที่เมอื งสุโขทัย บริเวณลุ่มแม่น้ายม เป็นชุมชนโบราณมาตังแต่ยุคเหล็กตอนปลาย จนกระท่ังสถาปนาขึนราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ ในฐานะสถานี การค้าของอาณาจักรละโว้ หลงั จากนันราวปี พ.ศ. ๑๘๐๐ พอ่ ขนุ บางกลางหาวและพ่อขุนผาเมืองได้ร่วมกันยึด อ้านาจจากขอมสบาดโขลญล้าพงเป็นผลส้าเร็จ และได้สถาปนาเอกราชให้สุโขทัยเป็นรัฐอิสระ มีความ เจรญิ รุ่งเรอื งตามล้าดับและเพิ่มถึงขดี สุดในสมยั พ่อขนุ รามค้าแหงมหาราช ก่อนจะคอ่ ย ๆ ตกต้่า ประสบปัญหา ทงั จากปัญหาภายนอกและภายใน จนต่อมาถูกรวมเปน็ ส่วนหน่ึงของอาณาจักรอยธุ ยาไปในท่ีสุด ส่วนในแถบลุ่มแม่น้าเจ้าพระยา มีอาณาจักรส้าคัญอีกอาณาจักรหน่ึงคือ อาณาจักรอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๓๑๐) มีกรุงศรีอยุธยา (พระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน) เป็นศูนย์กลางอ้านาจหรือราชธานี อาณาจักรอยุธยานับวา่ เจรญิ รงุ่ เรืองจนอาจถือได้วา่ เปน็ อาณาจักรที่รุ่งเรืองม่ังค่ังที่สุดในภูมิภาคสุวรรณภูมิ ทัง ยังมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับหลายชาติ จนถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการค้าในระดับนานาชาติ เช่น จีน เวียดนาม อินเดีย ญ่ีปุ่น เปอร์เซีย รวมทังชาติตะวันตกเช่น โปรตุเกส สเปน ดัตช์ (ฮอลันดา) และ ฝรั่งเศส ซ่ึงในช่วงเวลาหนึ่งเคยสามารถขยายอาณาเขตประเทศราชถึง รัฐฉานของพม่า อาณาจักร ล้านนา มณฑลยนู นาน อาณาจักรลา้ นชา้ ง อาณาจักรขอม และคาบสมุทรมลายูในปจั จบุ ัน ในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี ๑ หรือพระเจา้ อู่ทองทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึน ทหี่ นองโสน หรอื บึงพระราม เพราะเห็นว่าอยใู่ นท้าเลที่เหมาะสมเปน็ ราชธานี ทังในด้านเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์ และการเมือง มีล้าน้าล้อมอยู่เป็นคูเมือง ได้แก่ ล้าน้าป่าสัก ล้าน้าลพบุรี ล้าน้าเจ้าพระยา ลักษณะชัยภูมิ ดงั กลา่ วนมี ีความส้าคัญยิ่งทางยุทธวิธีท้าให้ปลอดภัยจากศัตรูผู้รุกราน สะดวกในการป้องกันเมืองและเหมาะ สา้ หรับเปน็ ทีต่ ังมน่ั รับข้าศึก เมือ่ ถึงฤดูน้าหลากบรเิ วณนอกพระนครจะเจิ่งไปด้วยน้า ข้าศกึ ไม่สามารถจะตังทัพ ได้สะดวกต้องล่าถอยกลับไป ทรงรวมแคว้นสุพรรณบุรีกับแคว้นละโว้เข้าด้วยกัน โดยทรงเลือกตังศูนย์กลาง ทางการเมืองการปกครองท่กี รุงศรอี ยุธยา ซง่ึ อยู่ระหว่างทังสองแคว้นนัน การมีพืนฐานท่ีดีทางด้านวัฒนธรรม และการสนับสนุนทางการทหารจากละโว้และสพุ รรณบรุ ี ประกอบกบั ท้าเลทต่ี ังของเมอื งหลวงตังอยู่บริเวณท่ีมี ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ท่ีเอือประโยชน์ต่อความม่ันคง การท้ามาหากินและทางการค้า ท้าให้อยุธยาเติบโตเป็น เมืองใหญ่ ผู้คนอาศัยอย่างมากมาย และการมีความม่ังค่ังทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้อยุธยาเป็นอาณาจักรที่ เขม้ แข็ง สามารถขยายอาณาเขตออกไปอยา่ งกว้างขวาง เศรษฐกิจของอยุธยาเติบโตจากการท้าเกษตรกรรมและการค้าภายใน ต่อมาจึงพัฒนาเป็น การค้ากับนานาชาติ อยุธยาเป็นแหล่งเพาะปลูก โดยเฉพาะการปลูกข้าวถือเป็นภูมิปัญญาส้าคัญของผู้คนใน สมัยอยุธยาทร่ี จู้ ักคัดเลอื กพันธ์ุขา้ วใหเ้ หมาะสมกับสภาพภมู ิประเทศทนี่ า้ ทว่ มถงึ คือ ข้าวพันธุ์ขึนน้า (Floating Rice) ซ่ึงพ่อค้าจีนท่ีเดินทางมาค้าขายยังอยุธยาเรียกว่าเป็น “ข้าวพันธุ์วิเศษ” (พลับพลึง คงชนะ ๒๕๔๗, ๑๙๒) นอกจากนี ยงั รจู้ ักปลกู ต้นไม้ผลไม้ตามบริเวณคันดินธรรมชาติท่ีขนานไปกับแม่น้าล้าคลอง ท้าให้ได้รับ ปุ๋ยธรรมชาติจนมีรสชาติอร่อย ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์และภูมิปัญญาของผู้คน อยุธยาจึงมีปริมาณอาหาร
๕๔ พอเพียงกับความต้องการของพลเมือง สามารถพึ่งตนเองได้ เพราะอาหารหลักคือ ข้าว สามารถปลูกได้เอง ส้าหรบั พชื ผกั และอาหารจา้ พวกกุง้ หอย ปู ปลา ก็หาไดจ้ ากแหลง่ น้าธรรมชาติทวั่ ไป สภาพภูมิประเทศของอยุธยาประกอบด้วยคูคลองเป็นจ้านวนมาก ชาวอยุธยาใช้ประโยชน์ จากคูคลองเหล่านีเป็นเส้นทางสัญจรคมนาคม ยิ่งกว่านัน ยังมีการขุดคูคลองลัดย่นระยะทางจากปากแม่น้า เจา้ พระยาเพื่อความสะดวกในการคมนาคมขนส่ง ความเหมาะสมด้านทา้ เลที่ตงั ของอยุธยา รวมทังการมีสินค้า หลากหลายชนิด ท้าให้มีพ่อค้าต่างชาติเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายกับอยุธยา จนอยุธยากลายเป็นเมืองท่า นานาชาติ มีผคู้ นต่างชาติต่างวัฒนธรรมเข้ามาติดต่อปะทะสังสรรค์ เกิดการรับวัฒนธรรมอ่ืนเข้ามาปรับใช้ใน สังคมของตน ด้านวัฒนธรรมและความเชื่อของผ้คู นสมัยอยุธยา พระพุทธศาสนาได้หย่ังรากลึกอยู่ในสังคม ความเช่ือและค้าสอนต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนา เป็นต้นว่า กฎแห่งกรรม นรกสวรรค์ ไตรลักษณ์ ได้หล่อ หลอมใหผ้ คุ้ นอยธุ ยาสามารถเผชญิ ความทุกขย์ ากจากปญั หาตา่ ง ๆ ได้ด้วยความอดทน นอกจากนี การท่ีสังคม อยธุ ยาเปน็ สังคมนานาชาติ มีผู้คนต่างชาติต่างศาสนาเข้ามาตังถิ่นฐาน โดยพระมหากษัตริย์ทรงมีพระบรมรา ชานุญาตให้ประกอบพิธีกรรมและเผยแผ่ศาสนาได้โดยเสรี ท้าให้ผู้คนอยุธยาได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่มี ความแตกตา่ งจากตนเพือ่ ความสงบสขุ ของสังคม ในสงครามระหวา่ งกรงุ ศรอี ยธุ ยากับพมา่ เมือ่ พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาได้ถูกพม่าท้าลายลง จนเกือบหมดสิน อาณาจกั รอยธุ ยาแตกออกเป็นกลุ่มตา่ ง ๆ ต่อมาพระยาตากไดร้ วบรวมกา้ ลังผู้คนจากหัวเมือง ต่าง ๆ ขับไล่พม่า กอบกู้เอกราช แล้วสถาปนากรุงธนบุรีขึนเป็นราชธานีแทนกรุงศรีอยุธยาท่ีย่อยยับไปใน สงคราม พระยาตากไดป้ ราบดาภิเษกขนึ เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองอาณาจักร และปราบปรามกลุ่มชุมนุม อืน่ ๆ ใหเ้ ขา้ มาอย่ใู นอาณัตขิ องตนเป็นผลส้าเร็จ อย่างไรก็ตาม สภาพสังคมในสมัยนียังอยู่ในภาวะสงคราม มี การศึกกับพม่าอยู่ตลอดรัชสมัย ในตอนปลายรัชสมัย เกิดเหตุการณ์จลาจลขึน สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ ศึกได้เข้ามาระงับเหตุ สอบสวนเร่ืองราวความไม่สงบท่ีเกิดขึน และท่ีประชุมขุนนางได้ลงความเห็นให้ ปราบดาภเิ ษกขนึ เปน็ ผ้ปู กครองแทน เป็นอนั สินสุดสมัยธนบรุ ี เมื่อพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกทรงขนึ ครองราชย์ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ได้ทรงย้าย ราชธานีจากกรุงธนบุรีมายังฝั่งตรงข้ามหรือทางฝั่งตะวันออกของแม่น้าเจ้าพระยา เพื่อชัยภูมิอันเป็นจุด ยุทธศาสตร์ท่ีดีกว่า และสามารถขยายพืนที่เพ่ือการต่าง ๆ ของพระนครได้มากกว่าด้วย ทรงสถาปนา กรุงเทพมหานครขึนเป็นศนู ย์กลางการปกครองของราชวงศจ์ ักรี และทรงสร้างสง่ิ ต่าง ๆ คล้ายกับการสร้างกรุง ศรีอยุธยาขึนมาใหม่ เพ่ือเป็นการเรียกขวัญประชาราษฎร์ชาวสยามให้กลับคืนมา ทังนีนับว่าประสบ ความสา้ เรจ็ ไมน่ ้อย เพราะกรุงเทพมหานครเปน็ ทงั เมืองหลวงและเมอื งท่าที่มีการค้าขายทางทะเลเช่นเดียวกับ กรงุ ศรีอยธุ ยา ทว่าดกี วา่ กรงุ ศรอี ยุธยา เนือ่ งจากอยู่ใกล้ทะเลกว่า (ศรีศักร วัลลิโภดม ๒๕๔๔, ๑๑๗) ส่วนการ ศึกกับพม่า ทรงต่อต้านพม่าได้ส้าเร็จ อีกทังยังทรงสามารถขยายพระราชอาณาจักรให้มีอาณาเขตและ ประชากรเพิม่ ขึน และประชากรเหลา่ นกี ม็ หี ลากหลายชาตพิ ันธุ์ พระราโชบายสา้ คัญประการหน่งึ ของพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกคือ การรือฟื้น แบบแผนโบราณราชประเพณีขึนมาใหม่ โดยเฉพาะแบบแผนประเพณีท่ีเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์
๕๕ ราชอาณาจกั ร และศาสนา จนกลายเป็นแบบแผนท่ีสืบต่อกันมาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เช่น พระราชพิธี บรมราชาภิเษก พระราชพธิ โี สกนั ต์ พระราชพธิ ีถอื นา้ พระพพิ ฒั น์สตั ยา ฯลฯ ภายหลังเม่ือราชอาณาจักรสยาม ถูกภัยคุกคามจากลัทธิล่าอาณานิคมของตะวันตก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔ ทรง ปรับปรุงแกไ้ ขแบบแผนประเพณีใหท้ นั สมัยขึน เป็นต้นว่า ในเวลาเข้าเฝ้า ข้าราชการต้องสวมเสือให้เรียบร้อย ส้าหรับชาวตะวันตกก็ได้รับอนุญาตให้แสดงความเคารพโดยการถวายค้านับและนั่งเก้าอีได้ ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรมและ ขนบธรรมเนยี มประเพณเี หน็ ไดช้ ัดเจนย่ิงขึน ภายหลังการเสดจ็ ประพาสต่างประเทศทังในเอเชียและยุโรป ทรง ปรับประเพณีการไว้ทรงผมและการแต่งกายของคนไทยให้เป็นแบบสากล ทรงยกเลิกประเพณีหมอบคลานใน การเข้าเฝ้า และที่ส้าคญั คอื ทรงยกเลิกระบบไพรแ่ ละทาส สภาพสงั คมไทยสมัยรัตนโกสนิ ทรต์ อนตน้ มลี กั ษณะโครงสรา้ งไม่แตกต่างจากสมัยอยุธยาและ ธนบรุ ี กล่าวคือ มีการแบ่งเป็นชนชันต่าง ๆ ได้แก่ ชนชันเจ้านาย (พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์) ชนชันขุนนาง ชนชนั ไพรซ่ ง่ึ มักประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และชนชันทาส ตังแต่สมัยรัชกาลท่ี ๕ เป็น ต้นมา โครงสร้างสังคมไทยเกิดชนชันใหม่ที่เด่นชัดขึน คือ ชนชันกลาง ได้แก่ พวกข้าราชการ นักเรียนนอก พ่อค้า ชนชันกลางได้พฒั นาแยกตัวเองออกจากชนชันปกครองมาเป็นชนชันอิสระที่มีโอกาสหลาย ๆ อย่างใน สังคม ขณะท่ีชนชันไพร่ทาสเดิมที่เป็นคนธรรมดาสามัญนันยังด้อยโอกาสเหมือนเดิม จนกระท่ังการศึกษา แพรห่ ลายมากขึน ท้าใหค้ นธรรมดาสามัญสามารถเขยิบฐานะทางชนชันได้ ภายหลังเม่ือเกิดการเปลี่ยนแปลง การปกครองเปน็ ระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยคณะราษฎร พระมหากษัตริย์จึงทรงด้ารงอยู่ใน ฐานะประมุขของประเทศภายใตร้ ัฐธรรมนญู อ้านาจอธปิ ไตยอันไดแ้ ก่ นิตบิ ญั ญัติ บริหาร และตุลาการ มาจาก ปวงชนชาวไทย พระมหากษตั รยิ ท์ รงใชอ้ า้ นาจนิตบิ ญั ญัติผา่ นคา้ แนะน้าและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ทรง ใช้อ้านาจบริหารผ่านคณะรัฐมนตรี และทรงใช้อ้านาจตุลาการทางการศาล ซ่ึงจัดตังตามกฎหมาย ราษฎรมี ความเสมอภาคกันตามรฐั ธรรมนญู หลังการเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ มีความพยายามที่จะปรับปรุงโครงสร้าง เศรษฐกิจด้วยการสง่ เสรมิ พาณชิ ยกรรมและการพฒั นาด้านอตุ สาหกรรมของประเทศโดยตังอยู่บนพืนฐานของ ระบบทุนนิยมเสรี จนกระท่ังเกิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตังแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ จนปัจจุบัน รฐั บาลสง่ เสรมิ การลงทุนจากตา่ งประเทศ ท้าให้สภาพสังคมและเศรษฐกิจไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงทังในด้าน เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม เกิดโรงงานและนิคมอุตสาหกรรมขึนเป็นจ้านวนมากในหลาย พืนที่ของภาคกลาง ประชากรวัยหนุ่มสาวบางส่วนเลิกประกอบอาชีพเกษตรกรรมหันมาท้างานใน ภาคอุตสาหกรรมแทน มีการอพยพย้ายถ่ินฐาน ท้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการด้าเนินชีวิตของผู้คน ครอบครัวใหญใ่ นชนบททีเ่ คยมคี นหลายรนุ่ อาศัยอยู่ด้วยกนั ก็เหลือเพียงคนเฒ่าคนแก่กับเด็กอาศัยอยู่ ส่วนคน หน่มุ สาวเข้ามาท้างานในเมอื ง ในสังคมเมอื ง ครอบครัวขยายก็กลายเปน็ ครอบครวั เด่ยี ว ผคู้ นตา่ งคนต่างอยู่ จึง ไมค่ อ่ ยมีการพึ่งพาอาศัยกนั เหมอื นในอดีต ประเพณที ีเ่ ก่ยี วข้องกบั วถิ ชี ีวติ การเกษตรก็กา้ ลังจะสูญหายไป
๕๖ ๒.๑.๓ กลุม่ ชาตพิ ันธุ์ในภาคกลาง นอกจากคนไทยแล้ว บริเวณภาคกลางยังเป็นดินแดนที่มีผู้คนหลากหลายชาติพันธ์ุอาศัยอยู่ เปน็ ต้นว่า มอญ กะเหรี่ยง จีน ลาวพวน ลาวโซ่ง (ไทยทรงด้า) ลาวครั่ง ลาวเวียง (ลาวตี) ลาวแง้ว ญ้อ ญวน เขมร ลวั ะ ไทยมุสลมิ (มลายู / จาม / ชวา) ไทยวน ไทยเบิง ชอง ฯลฯ ซึ่งสามารถแบ่งเป็นกลุ่มชาติพันธ์ุที่พูด ภาษาตระกลู ไท และภาษาตระกูลอืน่ (ดรู ายละเอียดใน ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ, ๒๕๔๙) แม้ว่าแต่ละกลุ่มจะ มีลักษณะเฉพาะตัว แต่มักมีคุณลักษณะบางอย่างท่ีเหมือนกัน เช่น ความเชื่อ ค่านิยม ประเพณีต่าง ๆ โดย เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับศาสนา กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านีส่วนใหญ่อพยพหรือถูกกวาดต้อนมาเน่ืองจากสงคราม รวมทังการตดิ ตอ่ คา้ ขาย และต่างกน็ า้ ภาษาพูด วิถชี วี ติ ความเปน็ อยู่ วัฒนธรรม และประเพณีบางประการที่ตก ทอดมาจากบรรพบุรุษติดตัวเข้ามาด้วย ในที่นี จะกล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์อ่ืนนอกเหนือจากคนไทยที่อาศัยอยู่ บรเิ วณภาคกลางชมุ ชุนผสู้ บื ทอดเพลงพนื บา้ นภาคกลาง ซึง่ ได้เกบ็ รวบรวมข้อมลู ไวใ้ นงานชนิ นีดังนี ๒.๑.๓.๑ กล่มุ ชาตพิ นั ธอุ์ ่ืนทีใ่ ชภ้ าษาตระกูลไท ๑) ลาวพวนหรือไทพวน เปน็ กลมุ่ ชาติพันธุ์ไท ใช้ภาษาพวน ซึ่งเป็นภาษาตระกูลไท- กะได มสี ้าเนียงคล้ายภาษาไทถ่ินเหนือ เดิมเป็นประชากรของเมืองพวน ซึ่งอยู่ทางเหนือของแขวงเชียงขวาง ของประเทศลาว กอ่ นจะอพยพเขา้ มาสปู่ ระเทศสยามหลายช่วงในประวัติศาสตร์ ซ่ึงอพยพเข้ามามากที่สุดครัง สงครามปราบฮอ่ ในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว มาพา้ นักอยู่ในหลายจังหวัดของประเทศ ไทย ซึ่งในบริเวณภาคกลางมีถิ่นฐานอยู่ที่จังหวัดสุโขทัย สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ลพบุรี เพชรบุรี ราชบุรี สิงห์บุรี พิจิตร และสุพรรณบุรี ชาวไทพวนมีความเชื่อเร่ืองผี มีศาลประจ้าหมู่บ้านเรียกว่า ศาลตาปู่ หรือศาลเจ้าปู่บ้าน รวมทังการละเล่นก็มีผีนางด้ง ผีนางกวัก มีประเพณีใส่กระจาด(เส่อกระจาด) ประเพณีกา้ ฟ้า(กา้ ฟ้าพาแลง) เป็นประเพณีเอกลกั ษณ์ ซง่ึ เปน็ การสักการะตอ่ ธรรมชาติและผี ๒) ลาวโซง่ หรือไททรงดา เป็นกลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุหนง่ึ ทพ่ี ดู ภาษาตระกลู ไท คือ ภาษาไทด้า มีถิ่นฐานเดมิ อยูใ่ นเขตสบิ สองจไุ ทเดิม ซึ่งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้าด้า และแม่น้าแดงในเวียดนามเหนือ เป็นชนชาติ ไทสาขาหน่ึง เรียกวา่ พวกผู้ไท ซึ่งแบ่งออกตามลกั ษณะสีของเครื่องแต่งกาย เช่น ผู้ไทขาว, ผู้ไทแดง และผู้ไท ดา้ เปน็ ตน้ ผ้ไู ทด้านยิ มแต่งกายด้วยสีดา้ จึงเรยี กว่า ไททรงด้า หรือเรยี กไดห้ ลายช่ือเชน่ โซ่ง, ซง่ , ไทโซ่ง, ไทซ่ง , ลาวโซง่ , ลาวซง่ , ลาวทรงด้า และ ลาวพุงด้า เหตุท่ีเรยี กไททรงดา้ วา่ ลาวโซง่ เพราะอพยพผ่านลาว แต่ชาวไท ทรงด้าถือตนเองวา่ เป็นชนชาติไทย จงึ นิยมเรียกตนเองวา่ ไทโซง่ หรือ ไททรงดา้ ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงไปตีกรุงเวียงจันทน์ ในปี พ.ศ. ๒๓๒๒ พระองค์ทรงไดก้ วาดตอ้ นชาวไททรงดา้ ท่ีอพยพมาจากสบิ สองจุไท สง่ ไปตังถ่นิ ฐานท่ีเมืองเพชรบุรี และ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๓๕ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และในปี พ.ศ. ๒๓๘๑ รัช สมัยพระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว ไดม้ ีการยกทัพไปตีลา้ นช้าง และกวาดตอ้ นมาอีก ในปัจจุบัน ชาวไท ทรงด้าตังถิ่นฐานกระจายกันอยู่ในพืนที่หลายจังหวัดทังในเขตภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ รวมทังภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี พิจิตร พิษณุโลก กาญจนบุรี ลพบุรี และสระบุรี ชาวไททรงด้ามี
๕๗ ความเชอ่ื เรือ่ งผี มีพิธีกรรมทเี่ กี่ยวขอ้ งกับความเชอื่ ดังกลา่ ว เช่น พิธีเสนมด (พิธกี ารเลยี งผีมดผีมนต์) พิธีเสนฆ่า เกือด (พธิ ีตดั ขาดระหว่างผีกับคน หรอื เดก็ ที่เกิดใหม่กบั พอ่ แมใ่ นอดีตชาติ) หรือพธิ เี สนเตง (พิธไี ถ่ถอนขวัญจาก แถน) เปน็ ต้น ๓) ลาวคร่งั หรอื ลาวภูครัง เปน็ กลุ่มชาตพิ ันธใ์ุ นตระกูลภาษาไท-กะได ชาวลาวครั่งมี ถิ่นฐานเดมิ อยู่ในเมอื งภคู รัง ซึ่งปรากฏหลักฐานแตเ่ พยี งว่าเมืองดังกล่าวตังอยู่ทางฝ่ังซ้ายของลุ่มแม่น้าโขง เม่ือ ครังทกี่ องทพั ไทยเคยยกทพั ไปตังมั่นช่ัวคราวเพ่ือท้าสงครามกบั เวยี ดนามในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้กวาดต้อนชาวลาวเมืองภูครังเข้ามา แล้วส่งไปยังเมืองสุพรรณบุรี และเมืองนครชัยศรี โดยใน เอกสารสมยั นันเรยี กว่า ลาวภคู รงั และลาวครัง ๔) ลาวเวียง เป็นช่ือเรียกกลุ่มคนเชือสายลาวจากเมืองเวียงจันทน์ สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว แต่บางคนเรียกว่า “ลาวตี” เนื่องจากคนกลุ่มนีจะมีค้าลงท้ายประโยคว่า “ตี” เสมอ ลาวเวียงถกู กวาดต้อนครัวมาตงั แต่สมยั กรงุ ธนบรุ ี และกรุงรตั นโกสนิ ทร์ตอนต้นในการศึกสงคราม มาตัง ถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดราชบุรี ปัจจบุ นั นชี าวลาวที่ถกู กวาดตอ้ นหรืออพยพมาจากนครเวียงจันทน์ได้ตังรกรากถ่ิน ฐานอยูใ่ นแผน่ ดินไทย มลี กู หลานสืบสายเลอื ดกันมาหลายช่วงอายคุ น จึงเรียกชนเผ่านวี า่ “ไทยเวียง” ชาวลาว เวียงมีความเชือ่ เกี่ยวกับผีที่สัมพันธ์กับการท้ามาหากิน โดยเชื่อว่าพืนท่ีท้ากินทุกแห่งในหมู่บ้าน เป็นท่ีสิงสถิต ของผีบรรพบรุ ษุ ดังนนั จงึ มพี ธิ ขี อพนื ทีท่ า้ กินจากผบี รรพบรุ ุษ นอกจากนียังมปี ระเพณีทเี่ ก่ยี วข้องกับการท้ามา หากินอีกหลายอย่าง เช่น พิธีท้าขวัญแม่โพสพ พิธีท้าบุญคูนลานข้าว พิธีเอาฝุ่นเข้านา พิธีแฮกนา พิธีแฮกด้า พิธีสขู่ วญั ควาย เปน็ ตน้ ๕) ลาวแง้ว เป็นกลุ่มคนเชือสายลาว มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในชนบทนอกเมืองหรือชาน เมืองเวียงจันทน์ อพยพมาเพราะถูกกวาดต้อนในสงครามเช่นเดียวกับกลุ่มชนลาวกลุ่มอื่น โดยเฉพาะครัง สงครามกับเจ้าอนวุ งศ์ของลาวในปี พ.ศ. ๒๓๖๙ – ๒๓๗๑ ซง่ึ ได้กวาดตอ้ นชาวลาวจากหัวเมอื งพวน เมืองเชียง ขวาง เมืองเวียงจันทน์ และเมืองหลวงพระบาง มาตังถ่นิ ฐานที่ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี และ จงั หวัดอ่ืน ๆ มากมาย ปจั จบุ ัน ถิน่ ฐานสา้ คัญของลาวแงว้ อยทู่ จ่ี ังหวัดลพบุรี สิงห์บุรี และสระบรุ ี ๖) ไทยวน เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุตระกูลภาษาไท-กะไดกลุ่มหนึ่งท่ีตังถ่ินฐานทางตอน เหนอื ของประเทศไทยท่เี คยเป็นทตี่ งั ของอาณาจกั รล้านนา ในอดตี คนล้านนามีหลายกลุ่มชาติพันธุ์ แต่กลุ่มใหญ่ ท่ีสุดคือ “ไทยวน” ค้าว่า “ยวน” น่าจะมาจากค้าว่า “โยนก” อันเป็นชื่อเมือง ซ่ึงอยู่บริเวณเชียงแสน และ ถึงแม้ในปัจจุบัน ชาวล้านนาจะกลายเป็นพลเมืองของประเทศไทยแล้วก็ตาม แต่ก็มักเรียกตนเองว่า “คน เมอื ง” ซง่ึ เปน็ คา้ เรยี กทเ่ี กิดขึนในภายหลงั ในยคุ เกบ็ ผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง เพื่อฟ้ืนฟูประชากรในล้านนาหลัง สงคราม โดยการกวาดต้อนกลุ่มคนจากท่ีต่าง ๆ เข้ามายังเมืองของตน ในปีพ.ศ. ๒๓๔๗ พระบาทสมเด็จพระ พทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดฯ ใหท้ พั หลวงไปตีพม่าออกจากเชียงแสน หลังชนะศึกได้ทรงรวบรวมผู้คนชาวเมือง เชยี งแสนได้ ๒๓,๐๐๐ คน แบ่งคนเหลา่ นีออกเปน็ ๕ สว่ นใหไ้ ปอยู่เชียงใหม่ ลา้ ปาง นา่ น เวียงจันทน์ และส่วน หนงึ่ น้ามาใตโ้ ดยแบง่ ใหค้ นยวนกลมุ่ หน่ึงอยทู่ ี่สระบรุ ี อีกกล่มุ หน่ึงให้ไปตังบ้านเรือนอยทู่ รี่ าชบุรี ชาวไทยวนใชภ้ าษาไทยถน่ิ เหนือ หรือภาษาค้าเมือง ซึ่งเป็นภาษาในอาณาจักรล้านนา หรอื โยนกในอดตี เนอื่ งจากคนไทยวน ไดเ้ ดินทางมาด้วยกนั และตังบ้านเรือนอยู่รวมกัน จึงต้องพ่ึงพากันตลอด
๕๘ คนไทยวนจึงเคารพนบั ถอื เครือญาตเิ ป็นสา้ คญั ดังเช่นค้ากลา่ วท่ีว่า “หนีจากเมืองพ่ีน้องจักไปเปิ้ง (พ่ึง) ไผ หนี จากไปเปิง้ (พึ่ง) หึ่งหอ้ ย” คนไท ยวนจึงเคารพเครือญาติและอาวุโสเป็นส้าคัญ นอกจากชาวไทยวนจะนับถือ พระพุทธศาสนาแล้ว ยังนับถือผีอีกด้วย ชาวไทยวนมีความเช่ือในเรื่องผีซึ่งอาจให้คุณหรือโทษได้ ผีท่ีชาวไทย วนให้ความส้าคัญได้แก่ ผีเรือน หรือ ผีประจ้าตระกูล หรือ ผีบรรพบุรุษ คนยวนเรียก ผีปู่ย่า คนยวนแต่ละ ตระกูลจะมีศาลผีหรือหิงผอี ยทู่ บ่ี า้ นของคนใดคนหนง่ึ เมือ่ ลกู หลานในตระกูลคนใดแต่งงานก็จะพากันมาไหว้ผี ปู่ยา่ ทบี่ า้ นนี หรอื ในชว่ ง เทศกาลสงกรานตก์ จ็ ะพากันมาไหว้ผีปู่ย่าเชน่ กัน มีผปี ระจา้ หมบู่ า้ นซ่ึงทุกหมู่บ้านจะมี ศาลผีประจ้าอยู่ บางหมู่บ้านอาจมีศาลผีมากกว่าหนึ่งศาล มีผีประจ้าวัด เรียกว่า เสือวัด มีผีประจ้าทุ่งนา เรยี กว่า เสอื นา ฯลฯ คนยวนจงึ มกี ิจกรรมเกย่ี วกับผีในชวี ิตของตนเอง ๗) ไทยเบิ้ง หรือไทยเด้ิง หรือไทยโคราช เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุที่อพยพมาจากเมือง เวียงจันทน์ตงั แต่สมยั อยุธยาราวพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ – ๒๓ มเี อกลักษณ์เฉพาะของชุมชนไทยเบิง ซึ่งมีลักษณะ ผสมผสานระหวา่ งวฒั นธรรมไทยลมุ่ แม่นา้ เจา้ พระยาและวัฒนธรรมไทยโคราช คือ มีประเพณีชีวิตท่ีสอดแทรก วัฒนธรรมอันดีงาม เช่น ความกตัญญู ความสามัคคี ความมีน้าใจเสียสละ ความเอือเฟ้ือเผื่อแผ่ ความเห็นอก เห็นใจ มีประเพณีท้องถ่ินเน่ืองในพุทธศาสนา ตรุษสารท และประเพณีเก่ียวเน่ืองกับการประกอบอาชีพและ ประเพณี เกี่ยวข้องกับความความเช่ือ ส้าหรับความเช่ือนันมีความเช่ือโชคลาง โหราศาสตร์ ภูตผีปีศาจ และ ไสยศาสตร์ ชาวไทยเบิงไม่นยิ มตังศาลบชู าผบี ้านผเี รือน ผปี ู่ยา่ ตายาย หรอื ศาลเจา้ ท่ี แต่เช่ือว่ามีผีประจ้าอยู่ ใน บา้ นเรือน ๒.๑.๓.๒ กลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ ใี่ ช้ภาษาตระกลู อน่ื ๑) จีน ชาวจีนเดินทางมาค้าขายกับไทยตังแต่ก่อนสมัยสุโขทัย ในสมัยอยุธยามี หลักฐานการตงั ถ่ินฐานของชาวจนี ในกรุงศรีอยธุ ยา ชมุ ชนจีนในสังคมอาจจา้ แนกได้ตามกลุ่มภาษาถิ่นที่พูดเป็น ๕ กลุ่ม คือ กลุ่มที่พูดส้าเนียงภาษาจีนแต้จิ๋ว ฮกเกียน แคะ กวางตุ้ง และไหหล้า ใน ๕ กลุ่มนี กลุ่มท่ีเดิน ทางเข้ามาระยะแรกในสมัยอยุธยาคือ ชาวจีนฮกเกียนและกวางตุ้ง แต่หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมั ย รตั นโกสินทร์ตอนต้นชาวจนี แตจ้ ิ๋วได้อพยพเข้ามาเป็นจ้านวนมาก จนเปน็ กล่มุ ทีใ่ หญ่ทส่ี ดุ ในกรุงเทพฯ ตามด้วย ชาวจีนไหหล้าและแคะ (ประพิณ มโนมยั พบิ ูลย์ ๒๕๕๔, ๕๓๙ – ๕๕๒) ๒) มอญ หรือ รามัญ ใช้ภาษามอญ ซ่ึงเป็นภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติก ชาว มอญเป็นกลุ่มชาติพันธุ์แรก ๆ ที่มาตังถ่ินฐานในบริเวณดินแดนประเทศพม่าและภาคกลางของประเทศไทย ปัจจุบนั เชอ่ื ไดว้ ่าชาวมอญเป็นผู้ก่อตังอาณาจักรทวารวดีขึนในภาคกลางของดินแดนสุวรรณภูมิ ทุกวันนี ชน ชาติมอญ ไมม่ ปี ระเทศของตนเอง เนื่องจากอยู่ในภาวะสงคราม การแย่งชิงราชสมบัติกันเอง และการรุกราน ของพม่า ชาวมอญอยู่อย่างแสนสาหัส ถูกกดข่ีรีดไถ การเกณฑ์แรงงานก่อสร้าง ท้าไร่นาหาเสบียงเพ่ือการ สงคราม และเกณฑเ์ ข้ากองทัพ โดยเฉพาะสงครามในปี พ.ศ. ๒๓๐๐ เป็นสงครามครังสุดท้าย ท่ีคนมอญพ่าย แพแ้ กพ่ มา่ อยา่ งราบคาบ ชาวมอญส่วนหน่ึงจึงอพยพโยกย้ายเข้ามาตังถิ่นฐานบ้านเรือนในเมืองไทยหลายต่อ หลายครงั ตังแตส่ มยั อยุธยา ปัจจุบัน มีชมุ ชนชาวมอญและกลุ่มวัฒนธรรมมอญกระจายอยู่ท่ัวไปบริเวณดินแดน
๕๙ ที่ราบลุ่มภาคกลางหลายจังหวัด ได้แก่ จังหวัดลพบุรี สระบุรี อยุธยา สระบุรี อยุธยา นครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี สพุ รรณบุรี อา่ งทอง นครนายก ปทมุ ธานี กรงุ เทพฯ ฉะเชงิ เทรา เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ รวมถึง ภาคอื่น ๆ ของประเทศอกี ด้วย ๓) กะเหรีย่ ง ชาวกะเหร่ยี งเปน็ กลุม่ ชาติพนั ธทุ์ จี่ ดั ได้วา่ มหี ลายกลุ่ม ภาษากะเหรี่ยงจัด อยู่ในตระกูลภาษาจีน–ธิเบต (ตระกูลภาษาย่อยธิเบต-พม่า) ชาวกะเหร่ียงตังถ่ินฐานอยู่ในประเทศพม่า แต่ ภายหลงั ถูกรกุ รานจากสงคราม จึงอพยพโยกย้ายเข้ามาในประเทศไทย กะเหร่ียงท่ีอาศัยในประเทศไทยแบ่ง ออกได้เปน็ ๔ กลุม่ ได้แก่ กะเหรยี่ งสะกอ หรือปกาเกอะญอ เป็นกลมุ่ ทม่ี ีประชากรมากที่สุด กะเหรี่ยงโป หรือ โพลง่ อาศัยอยู่ทางภาคเหนอื และจงั หวัดภาคกลาง เชน่ กาญจนบรุ ี ราชบุรี สุพรรณบุรี และเพชรบุรี กะเหร่ียง ปะโอ หรอื ตองสู อยูใ่ นเขตจงั หวัดภาคเหนือ และกะเหรี่ยงแดง หรือบเว อาศัยอยู่ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน มี เพียง ๑ – ๒ หมู่บ้าน (http://karenthai.wordpress.com) เดิมชาวกะเหร่ียงนับถือผี มีการบวงสรวงและ เซ่นสงั เวยอยา่ งเคร่งครดั ภายหลังหันมานับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์มากขึน แต่ก็ยังคงความเช่ือเดิม อยู่ไม่น้อย เช่น ความเช่ือเร่ืองขวัญหรือการท้ากิจกรรมต่างๆ จะต้องมีการเซ่นเจ้าท่ีเจ้าทาง และบอกกล่าว บรรพชนให้อุดหนนุ คา้ จุน ช่วยใหก้ ิจการงานนนั ๆ เจริญกา้ วหนา้ ทา้ เกษตรกรรมได้ผลผลิตดี ให้อยู่เย็นเป็นสุข ปกป้องคุ้มครองดแู ล และยังเป็นการขอขมาอกี ด้วย ๔) ญวน ชาวญวน คือคนเชอื สายเวียดนามที่ถูกกวาดต้อนมายังกรุงเทพฯ ตังแต่สมัย รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวในคราวศึกระหว่างไทยกับเวียดนาม ชาวญวนในประเทศไทย สามารถแบง่ ได้เปน็ ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มญวนเก่า ซึ่งโยกย้ายถิ่นฐานมาแต่ครังอดีต กับกลุ่มญวนใหม่ ซ่ึงอพยพลี ภยั การเมืองในเวียดนามมาตังแต่ปลายทศวรรษ ๒๔๘๐ ถ่ินพ้านักของชาวญวนเก่าคือ กรุงเทพฯ และจันทบุรี ปจั จบุ นั ไดถ้ ูกกลนื กลายเป็นคนไทยไปแล้ว ๕) เขมร ชาวเขมร เปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธกุ์ ลมุ่ หนึง่ ในประเทศไทย ท่ีมีความสัมพันธ์กับชน ชาตไิ ทยมาชา้ นาน โดยแบง่ ชาวไทยเชือสายเขมรออกเป็นสองกลุ่มใหญ่คือ ชาวเขมรบน หรือเขมรสูง ซึ่งส่วน ใหญ่อาศยั อยทู่ างภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ตอนล่าง หรอื ที่เรียกว่า อีสานใต้ โดยเช่ือว่าอพยพเข้ามาในดินแดน ไทยในช่วง พ.ศ. ๒๓๒๔ – ๒๓๒๕ และกลุ่มชาวไทยเชือสายเขมรอีกกลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มท่ีถูกกวาดต้อนจาก ประเทศกัมพูชาในสมัยอดตี ซึ่งปัจจุบันกลุ่มหลังนีจะกลมกลืนไปกับชาวไทยในปัจจุบันไปเสียแล้ว นอกจากนี ยังมีชาวกัมพูชาอพยพซึ่งเข้ามาในช่วงสงครามภายในกัมพูชา โดยบางส่วนได้อพยพกลับภูมิล้าเนาเดิมแล้ว ขณะท่บี างส่วนยงั คงปกั หลกั อยูใ่ นดนิ แดนไทยตอ่ ไป ถน่ิ ฐานในภาคกลางท่ีพบกลุม่ ชาตพิ นั ธ์เุ ขมร ได้แก่ จังหวัด สระแก้ว จนั ทบุรี และตราด ๖) ชอง เปน็ ชนเผา่ โบราณอกี เผา่ หนง่ึ ในกล่มุ ชาตพิ ันธ์อุ อสโตรเอเชียติก ตระกูล มอญ - เขมร มีภาษาพูดของตนเองแต่ไม่มีภาษาเขียน คือภาษาชอง นับถือศาสนาพุทธควบคู่กับการนับถือผี มี วฒั นธรรมประเพณีเปน็ เอกลักษณ์ของชนเผ่า ซึ่งอาจมมี าแต่กอ่ นสมัยสุโขทยั สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ชาวชอง มภี ูมลิ า้ เนาอยู่ตามชายแดนและเชิงเขาของจังหวดั จนั ทบุรแี ละตราด
๖๐ ๒.๑.๔ ขนบธรรมเนียมประเพณีภาคกลาง ชาวไทยภาคกลางส่วนใหญ่นบั ถอื ศาสนาพุทธ และมีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักมาแต่ดังเดิม ดังนัน ขนบธรรมเนียมประเพณีจึงมักเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนาและการท้ามาหากิน ประเพณีเก่ียวกับ พระพุทธศาสนา อย่างเช่น ประเพณีแห่เทียนพรรษา ประเพณีบวชนาค ประเพณีตักบาตรเทโว ประเพณี ทอดกฐนิ ประเพณีเทศน์มหาชาติ เปน็ ต้น สว่ นประเพณีที่เกี่ยวกับการท้ามาหากิน เช่น ประเพณีลงแขกเกี่ยว ขา้ ว ประเพณีท้าขวัญขา้ ว เปน็ ต้น ในทน่ี ี จะกลา่ วถงึ ประเพณีส้าคญั ของภาคกลางดงั นี ๑) ประเพณสี งกรานต์ เป็นเทศกาลวันสินปีเก่าขึนปีใหม่ของคนไทย ซ่ึงยึดถือสืบเนื่องมาแต่ โบราณ เป็นระยะเวลาเข้าฤดูร้อนที่เสร็จจากการเก็บเกี่ยวข้าว จึงว่างจากการงานประจ้า มีการละเล่น สนุกสนานร่ืนเริงร่วมกันในแต่ละหมู่บ้าน ต้าบลหรือเมืองหนึ่ง ๆ แม้ปัจจุบันทางราชการประกาศวันที่ ๓๑ ธันวาคม เป็นวันสินปี และวันที่ ๑ มกราคม ของทุกปี เป็นวันขึนปีใหม่ แต่ประเพณีการทา้ บุญและการร่ืนเริง ในวันตรุษและสงกรานต์ก็ยังคงมีอยู่ท่ัวไปทุกภาคของประเทศไทย มีการท้าบุญในตรุษสงกรานต์ทังพิธีหลวง และพิธีราษฎร์ เช่น การก่อพระเจดีย์ทราย การปล่อยนกปล่อยปลา การสรงน้าพระ การรดน้าด้าหัวผู้ใหญ่ การท้าบุญอัฐิ การสาดนา้ การแห่นางแมว ๒) ประเพณีทอดกฐนิ การทอดกฐนิ เป็นประเพณีท้าบุญอย่างหน่ึงของไทยที่ทา้ ในระยะเวลา ท่ีก้าหนดให้ในปีหนึ่ง ๆ เรียกว่ากฐินกาล โดยมีก้าหนดระหว่างวันแรม ๑ ค้่า เดือน ๑๑ ถึงวันขึน ๑๕ ค้่า เดือน ๑๒ จะทา้ ก่อนหรือหลังจากนีไม่ได้ เป็นประเพณีที่พุทธศาสนิกชนจะได้ถวายเครื่องนุ่งห่ม และไทย ธรรมเป็นเคร่ืองบูชาแด่พระสงฆ์ คา้ ว่า กฐิน ตามภาษาบาลีแปลว่า ไม้สะดึง คือ กรอบไม้สา้ หรับขึงผ้าเพื่อเย็บของพระภิกษุ ให้สะดวกขึน เน่ืองจากสมัยก่อนเคร่ืองมือที่จะใช้เย็บได้สะดวกไม่มีเหมือนในปัจจุบัน การเย็บจีวรต้องเย็บ หลาย ๆ ชินต่อกัน และประสานกันให้มีรูปเหมือนคันนาจึงต้องอาศัยไม้สะดึงช่วยในการขึงผ้า ฉะนัน ผ้าที่ทา้ ด้วยไม้สะดึงเพื่อการนีโดยเฉพาะจึงเรียกว่า ผ้าเพื่อกฐิน และยังเรียกผ้ากฐินตามความหมายเดิมเรื่อยมาจน ปัจจุบัน แม้ว่ามีผ้าส้าเร็จรูปท้าเพื่อทอดกฐินโดยไม่ได้อาศัยไม้สะดึงก็ตาม แต่เดิมกฐินเป็นเรื่องของสงฆ์ โดยเฉพาะ ภิกษุสงฆ์ต้องไปหาผ้ามาเองจากท่ีต่าง ๆ ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของด้วยวิธีบังสุกุลและนา้ ผ้านนั มาเย็บ ย้อมเอง ต่อมาราษฎรมีจิตศรัทธาน้าผ้ามาถวาย ในที่สุดพระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตให้รับผ้าจากราษฎรได้ และเมื่อทรงอนุญาตให้กรานกฐิน จึงเป็นสาเหตุให้ราษฎรบ้าเพ็ญกุศลด้วยการทอดกฐิน ค้าว่า ทอด คือ เอา ไปวางไว้ การทอดกฐิน จึงหมายถึงการน้าเอาผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์ซึ่งมีจ้านวนอย่างน้อย ๕ รูป โดยมิได้ตังใจว่าจะถวายแก่พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งโดยเฉพาะ ประเพณีการทอดกฐินของไทยมีหลักฐาน ปรากฏว่ามีมาตังแต่สมัยสุโขทัย ดังปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามค้าแหงหลักท่ี ๑ และได้ถือเป็นประเพณีสืบ ต่อมาจนถึงปัจจุบันซ่ึงมีทังกฐินที่พระมหากษัตริย์ทรงบ้าเพ็ญพระราชกุศลลงไปจนถึงกฐินของราษฎร ๓) ประเพณีสู่ขวัญข้าว เป็นประเพณีท่ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการบ้ารุงขวัญและความเชื่อ ของชาวนา รวมถึงการแสดงความกตัญญูต่อพระแม่โพสพ เพ่ือบันดาลให้ข้าวในปีหน้าได้ผลผลิตดียิ่งขึน โดยทั่วไปชาวนาต่างกท็ า้ พิธีโดยใหเ้ จา้ ของนาฝา่ ยหญงิ นุ่งขาว ห่มขาวเป็นผทู้ ้าพธิ ีตอนเช้าตรู่โดยเตรียมอุปกรณ์
๖๑ ได้แก่ ข้าวต้ม เผือก มัน ไข่ ขันธ์ ๕ ขวดน้า แก้วแหวนเงินทอง แป้ง หวี กระจก ผ้าสไบ (อาจมีเพิ่มเติมหรือ แตกต่างตามทอ้ งถิน่ ) น้าสงิ่ ของเหลา่ นีหอ่ ดว้ ยผา้ ขาว ใส่กระบุงหรอื บางทอ้ งท่ีปิดกระบุงด้วยผ้าขาว น้าขอฉาย คอนกระบงุ (บางหม่บู ้านใชผ้ า้ สีผูกให้สวยงาม) เดินไปตามท้องนา เจตนาของตน ร้องเรียกแม่โพสพ ใจความ คือเชิญแม่โพสพทตี่ กหลน่ อยู่ให้มาอยใู่ นยุง้ ฉาง บางหมู่บ้าน เพ่ือนบา้ นขานรบั จนถึงบ้าน น้ากระบุงไปไว้ในยุ้ง ข้าว บางหมู่บ้านมีพราหมณ์ท้าพิธีเรียกขวัญเข้ายุ้ง โดยมีการตังบายศรี และเคร่ืองไหว้ในยุ้ง การสู่ขวัญด้วย สา้ นวนหรอื ภาษาถนิ่ ทแี่ ตกตา่ งกันออกไป ๔) ประเพณตี ักบาตรน้าผึ้ง จัดขึนกลางเดือน ๙ ของทุกปี เป็นการถวายน้าผึงแก่ภิกษุและ สามเณรของชาวรามญั ที่วดั พิมพาวาส อา้ เภอบางปะกง จงั หวดั ฉะเชิงเทรา สืบเนื่องมาจากความเชื่อว่าในสมัย พุทธกาล พระพุทธเจ้าเสด็จประทับท่ีป่าเลไลย์ มีช้างและลิงคอยอุปัฏฐากโดยการน้าเอาอ้อยและน้าผึงคอย ถวาย ต่อมาจงึ ทรงมีพทุ ธานุญาตใหภ้ ิกษสุ ามเณรรับนา้ ผงึ และน้าอ้อยมาบรโิ ภคเปน็ ยาได้ ๕) ประเพณีกวนข้าวทิพย์ เปน็ พระราชพิธกี ระทา้ ในเดอื น ๑๐ ซึ่งมมี าตงั แตส่ มยั สุโขทัยและ กรุงศรีอยธุ ยา เปน็ ราชธานี ในปจั จบุ นั นีส่วนใหญจ่ ะจัดในเดือน ๑๒ บางแหง่ จะจัดในเดือน ๑ ซึ่งเป็นช่วงท่ีข้าว กล้าในทอ้ งนามรี วงข้าว และเคร่ืองกวนข้าวทิพย์ประกอบด้วยถั่ว นม น้าตาล น้าผึง น้าอ้อย งา เนย น้ากะทิ และนมที่คันจากรวงข้าว ประเพณีกวนขา้ วทิพยเ์ ป็นพธิ ีกรรมของศาสนาพราหมณ์ ทสี่ อดแทรกในพิธีกรรมทาง พุทธศาสนา เพ่อื ถวายแดพ่ ระภิกษุสงฆ์ บูชาพระรัตนตรัย และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย จังหวัดสิงห์บุรียังคง รักษาประเพณีกวนข้าวทพิ ย์ โดยมีเหลืออยู่เพยี ง ๓ หมบู่ ้าน คอื หมู่บา้ นพัฒนาโภคาภิวัฒน์ หมู่บ้านวัดกุฎีทอง และหมูบ่ ้านในอ้าเภอพรหมบุรี ซ่งึ ยังคงรักษาประเพณี และมีความเชื่อถืออย่างม่ันคง เป็นแบบอย่างที่ดี แฝง ด้วยจรยิ ธรรมและคตธิ รรมอยู่มาก และมคี วามพร้อมเพรียงของชาวบ้านที่ท้านา โดยเม่ือถึงเวลาจะมาร่วมกัน กวนขา้ วทิพย์ ๖) ประเพณีตักบาตรเทโว จัดขึนในวันออกพรรษาของหลายจังหวัดในภาคกลาง เช่น อทุ ัยธานี สระบุรี เป็นต้น เปน็ ประเพณีท่ีสืบเนอื่ งจากพุทธประวัติ ระลึกถึงการเสด็จลงจากสวรรค์ชันดาวดึงส์ ของพระพุทธเจ้าหลงั จากท่เี สดจ็ โปรดพระมารดาในช่วงเข้าพรรษาเปน็ เวลา ๓ เดอื น ครนั ครบกา้ หนด ๓ เดือน ตรงกับวันปวารณาออกพรรษา วันแรม ๑ ค้่า เดือน ๑๑ พระพุทธเจ้าจึงเสด็จลงจากสวรรค์ชันดาวดึงส์ทาง บนั ไดสวรรค์ทเ่ี ทวดาได้นิรมิตบันไดขึนมาคือ บันไดทองอยู่ทางด้านขวาส้าหรับพวกเทพยดาลง บันไดแก้วอยู่ ตรงกลางส้าหรบั พระพุทธเจา้ เสด็จลง และบันไดเงินอยู่ทางด้านซา้ ยส้าหรบั พวกพรหมลง แต่ก่อนที่พระองค์จะ เสด็จลงนัน พระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์บันดาลให้โลกทัง ๓ โลก คือ เทวโลก มนุษย์โลก และสัตว์นรก มองเหน็ กนั หมด เรยี กว่า “วนั พระเจา้ เปิดโลก” แลว้ ทรงแสดงโปรดสัตว์ทัง ๓ โลก จึงท้าให้มีผู้บรรลุมรรคผล นบั ไมถ่ ว้ น ฝา่ ยชาวเมืองในโลกมนษุ ย์ตา่ งดีใจและเฝา้ รอพระพทุ ธองค์ ต่างตระเตรียมอาหารมารอใส่บาตร แต่ ด้วยมีคนเปน็ จา้ นวนมากท้าให้หลาย ๆ คนใส่บาตรกับพระพุทธองค์ไมถ่ งึ จึงตอ้ งใช้วธิ โี ยนอาหารใส่บาตร ซ่ึงใน ปจั จุบันคือการทา้ ขา้ วตม้ ลกู โยนใสบ่ าตรนน่ั เอง ๗) ประเพณีวิง่ ควาย เป็นประเพณเี กี่ยวกับอาชีพเกษตรกรรม ซ่ึงตกทอดมาจากบรรพบุรุษ จนถึงปัจจบุ ัน จัดขนึ ในวันขึน ๑๔ ค่้า เดอื น ๑๑ กอ่ นออกพรรษา จุดมุ่งหมายเพื่อให้ชาวบ้านได้เตรียมของไป ถวายวัด ปัจจัยไทยธรรมได้พักผ่อนและได้สังสรรค์กันระหว่างชาวบ้านซ่ึงเหนื่อยจากงานและให้ควายได้พัก
๖๒ เน่ืองจากตอ้ งตรากตรา้ ในการทา้ นา ปจั จบุ ันประเพณีว่ิงควายเป็นประเพณีของจังหวัดชลบุรี โด่งดังเป็นท่ีรู้จัก ของชาวไทยและตา่ งประเทศ แสดงถงึ ความสามคั คีของชาวไร่ชาวนาได้มีโอกาสพบปะกัน และแสดงเมตตาต่อ ผ้มู บี ุญคณุ คอื ควาย เพ่ือให้ควายได้พกั ผ่อน ๒.๒ ภมู หิ ลงั เพลงพ้นื บา้ นภาคกลาง ในส่วนนีผู้วิจัยจะได้กล่าวถึงองค์ความรู้ของเพลงพืนบ้านภาคกลางในฐานมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรม ทังในด้านประวัติความเป็นมาของเพลง ลักษณะการเล่นเพลง พิธีกรรม ความเชื่อ เครื่องดนตรี ตลอดจนการแต่งกายของเพลงพนื บา้ นภาคกลาง ดังนี ๒.๒.๑ เพลงฉ่อย เพลงฉ่อยเปน็ เพลงพืนบ้านภาคกลางเก่าแก่ของไทย แต่เดิมเพลงฉ่อยถือเป็นการละเล่นของ หนุ่มสาว ผู้เลน่ ยนื ล้อมวงและผลดั กันร้องโต้ตอบ ตามจังหวะทา้ นอง ไม่มเี ครอ่ื งดนตรมี ีแตก่ ารปรบมอื ประกอบ จังหวะ ลักษณะและรูปแบบการเล่นจึงมีความเรียบง่าย ต่อมาเพลงฉ่อยพัฒนาเป็นการแสดงพืนบ้านหรือ มหรสพพืนบา้ น มีคณะเพลงและศลิ ปนิ พืนบา้ น ทย่ี ังคงน้าเอาเพลงฉอ่ ยมาใช้ในการแสดงอันเป็นปัจจัยส้าคัญที่ ทา้ ให้เพลงฉ่อยเป็นทร่ี ู้จักแพรห่ ลายไปทั่วประเทศ ๒.๒.๑.๑ ประวตั คิ วามเป็นมาของเพลงฉอ่ ย เอนก นาวิกมูล (๒๕๕๐, ๕๒๗) กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของเพลงฉ่อยไว้ว่า “เพลงฉ่อยเกิดข้ึนได้อย่างไรไม่มีใครทราบแน่นอน ท้ังๆ ที่เป็นเพลงพ้ืนเมืองชนิดท่ีแพร่หลายมากท่ีสุดเพลง หน่ึง มีคนรู้จักร้องเล่นกันกว้างขวาง” เน่ืองจากไม่มีผู้ใดทราบก้าเนิดท่ีแน่นอนของเพลงฉ่อย (เร่ืองเดียวกัน, ๕๒๘) อย่างไรก็ตาม เอนก กล่าวถึงช่วงสมัยท่ีค้นพบหลักฐานท่ีเก่าท่ีสุดเก่ียวกับเพลงฉ่อยและอายุของเพลง ฉ่อย วา่ “หลกั ฐานเก่าสุดเกี่ยวกับเพลงฉ่อยท่ีค้นพบได้ถึงปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๒๗ น้ีค้นไปได้แค่สมัยรัชกาลท่ี ๕ พ.ศ. ๒๔๓๒ ซงึ่ เพลงฉอ่ ยตอ้ งเกดิ ก่อนนัน้ แลว้ ...เพลงฉ่อยมีอายุไมต่ า่ กว่า ๑๐๐ ปี” (เรื่องเดยี วกนั , ๕๒๙) ส้าหรบั หลกั ฐานลายลกั ษณ์ท่สี ืบคน้ ไดค้ อื เร่ืองขับร้อง ในหนังสือวชิรญาณวิเศษ ปีท่ี ๔ หน้า ๒๖๕ พระนพิ นธ์กรมหมนื่ สถติ ยธ้ารงสวัสด์ิ ท่ีทรงพระนิพนธ์เม่ือ พ.ศ. ๒๔๓๒ สมัยรัชกาลที่ ๕ กล่าวว่า “ยังมีเพลงร้องตามหัวเมอื ง แลเขา้ มาร้องในกรุงกม็ ีบา้ ง คอื เพลงฝ่ายเหนือ เรียกว่า เพลงฉ่อย ฤาเพลงตะขาบ อย่าง ๑...” ท้าให้ทราบได้ว่าในสมัยรัชกาลท่ี ๕ เพลงฉ่อยนันมีอีกช่ือหน่ึงว่าเพลงตะขาบ นอกจากนีพบว่ามี การเรียก “เพลงฉ่อย” แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลาและท้องถ่ิน โดยผู้เล่นเพลงสมัยก่อนบางคนเรียกเพลง ฉอ่ ยวา่ “เพลงวง” เพราะเดิมยืนรอ้ งเล่นกนั เปน็ วง บนลานดนิ แตบ่ างคนกเ็ รยี กว่า “เพลงฉ่า” เพราะลูกคู่จะ
๖๓ รับเพลงว่า เอ่ชา ฉ่า ฉ่า ฉ่า ชาวโพหัก อา้ เภอบางแพ จงั หวัดราชบรุ เี รยี กวา่ “เพลงทอดมัน” เพราะเสียงรับเอ่ ชานนั ดงั ราวกบั เสียงฉ่าๆ ตอนทอดทอดมัน ส่วนชาวกรงุ เทพฯ หรือบางถิ่นของระยอง เรียกว่า เพลงเป๋ (เร่ือง เดียวกัน, ๕๒๙) อน่ึง ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ เพลงฉ่อยยังเป็นที่นิยมและร้องเล่นกันอย่างกว้างขวาง แพร่หลายมากที่สุด เห็นได้จากหลักฐานต่างๆ ได้แก่ แผ่นเสียงเพลงฉ่อยของนายเป๋ เช่น “เพลงเป๋เร่ืองโค บุตร์ นายพัน แม่อิน แม่ผิว” และ “เพลงฉ่อยตับเช่านาวา ๕ นายพัน แม่อิน” และจากคาเล่าของนาย ต. เงก๊ ชวน (ในหนังสืองานศพ) ว่าเม่ือตนเด็กๆ เพลงฉ่อยโด่งดังมากจนชาวบ้านเรียกเพลงฉ่อยว่าเพลงเป๋ หรือ เพลงไอเ้ ป๋ ส่วนในหนังสือ จดหมายระยะทางไปพษิ ณโุ ลก ของสมเดจ็ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวัดติวงศ์ ทรงจดบันทึกการเดินทางปี พ.ศ. ๒๔๔๔ ไว้ว่าได้ทอดพระเนตรเพลงเป๋ท่ีสุโขทัยและสวรรคโลก รวมถึง กาญจนาคพันธุ์ หรือขุนวิจติ รมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ยังเคยกล่าวว่าเมื่อเป็นเด็กก็ติดตามฟังเพลงเป๋ เช่นเดยี วกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่านายเปจ๋ ะมชี อื่ เสียงโด่งดังแต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบประวัติและผลงาน คงมีแต่เพลง ที่กลา่ วถงึ วา่ นายเปเ๋ ลน่ เพลงคกู่ บั นางมา ที่วา่ “เปอ๋ ยากกญั ชา ขออัฐอมี าสองไพ” ภาพที่ ๒๕ แผ่นเสยี งเพลงเป๋ หรอื เพลงฉ่อย สมัยรัชกาลที่ ๕ – ๖ ทมี่ า: https://www.google.co.th ครูเพลงที่กล่าวถึงในข้างต้นนันพบเพียงชื่อและเรื่องเล่า ส่วนประวัติไม่มีผู้ใดค้นพบ พ่อเพลงแม่เพลงฉอ่ ยรุ่นเกา่ คนอื่น ๆ ก็ปรากฏชื่อเฉพาะในบทไหว้ครูท่ีร้องสืบต่อกันมาเท่านันและปัจจุบันได้ เสียชีวิตทังหมดแล้ว เช่น ครูเปลี่ยน ครูเป๋ ครูบุญมี ครูบุญมา ครูฉิมและครูศรี เป็นต้น นอกจากนียังมี “ตาอ๊อด (อ๊อด ตามประหาส) หรือขุนส้าราญสมิตรมุข” ซ่ึงเป็นพ่อเพลงมาจากบ้านคลองตาคต อ้าเภอ โพธาราม จงั หวัดราชบรุ ี ตอ่ มาไดแ้ สดงลเิ กเฉพาะพระพักตร์รชั กาลที่ ๖ ได้ตามเสด็จเข้าไปเล่นโขนเป็นจ้าอวด จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนส้าราญสมิตรมุข รวมถึงแม่เพลงรุ่นขุนส้าราญฯ ได้แก่ แม่อิน ทัง
๖๔ อินเลก็ อนิ ใหญ่ ส่วนศลิ ปนิ เพลงฉอ่ ยรนุ่ ถัดมา ได้แก่ แม่ต่วน แม่ทองอยู่ แม่ทองหล่อ ตาพรหม จากนันจึงเป็น ยคุ ของ พอ่ กร่าย พอ่ บัวเผอื่ น พอ่ ไสว แม่บวั ผนั แม่บุญมา เปน็ ต้น ศิลปินเพลงพนื บ้านในปัจจบุ นั ซ่ึงแสดงเป็นอาชีพและมีคณะเพลงพืนบ้านของตน ทัง คณะ ล้าตดั เช่น คณะพ่อหวังเต๊ะแม่ศรีนวล หรือคณะเพลงอีแซว เช่น คณะแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ เป็นต้น ต่างยงั คงร้องและแสดงเพลงฉอ่ ยอยเู่ สมอตลอดมา รวมถึงคณะอื่นๆ ทังสิน ๗ คณะ เช่น คณะพ่อหรัดแม่ประ ทวย คณะเพลงฉ่อยวงคนสะเดียง จังหวัดเพชรบูรณ์ คณะพ่อสวิง บรรเด็จ จังหวัดชัยนาท เป็นต้น ดัง รายละเอียดในหัวขอ้ ทีว่ ่าดว้ ยภมู หิ ลงั ของคณะเพลงฉอ่ ยในปจั จุบนั นอกจากนียังมกี ารบนั ทกึ แถบเสยี งและแถบบันทึกภาพการแสดง และน้าเพลงฉ่อยมา ดดั แปลงเปน็ เพลงลูกทุ่งจ้านวนมาก เช่น หนมุ่ สพุ รรณสาวนครปฐม ของ เมืองมนต์ สมบัติเจริญ เพลงกับข้าว เพชฌฆาต ของขวญั จิต ศรปี ระจนั ต์ เพลงลูกทงุ่ ชุดหมากัด ของเอกชยั ศรวี ิชยั เป็นตน้ ภาพท่ี ๒๖ ปกแถบบันทกึ เสยี งเพลงฉ่อยลกู ท่งุ “หน่มุ สพุ รรณ” และ “สาวนครปฐม” ของเมืองมนต์ สมบัติเจริญ (ที่มา : https://www.google.co.th)
๖๕ ภาพท่ี ๒๗ ปกแถบบันทกึ เสียงเพลงฉ่อยลูกทงุ่ “กับข้าวเพชฌฆาต” ของขวญั จิต ศรปี ระจนั ต์ (ที่มา : https://www.google.co.th) ภาพที่ ๒๘ ปกแถบบันทึกเสยี งเพลงฉ่อย ชดุ แขง่ บุญวาสนา ของขวัญจติ ศรีประจันต์ (ทมี่ า : https://www.google.co.th) เม่ือสภาพสังคมไทยเปล่ียนแปลงไปตามกระแสโลกาภิวัติท้าให้เกิดทุนนิยมและวัฒนธรรม ตา่ งชาตินิยม ท้าใหเ้ พลงฉอ่ ยได้รับผลกระทบและถูกลดบทบาทลงเช่นเดียวกบั วฒั นธรรมไทยชนิดอ่นื ๆ อย่างไร ก็ตาม ราว ๔-๕ ปีท่ีผ่านมา เพลงพืนบ้านรวมทังเพลงฉ่อยเร่ิมได้รับการฟื้นฟูจากองค์กรและสื่อมวลชน
๖๖ เช่น โครงการประกวดเพลงพืนบ้าน โครงการเดินตามรอยครูเชิดชูเพลงเก่า น้อมเกล้าฯ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว และโครงการเพาะกลา้ พนั ธุ์เก่งเพลงพนื บ้าน ของมหาวิทยาลยั หอการค้าไทย (ด้าเนินงานติดต่อ ตังปี พ.ศ. ๒๕๔๗ – ปัจจุบัน) รายการไทยมุง รายการไทยโชว์ รายการศิลป์สโมสร ของสถานีโทรทัศน์ไทย พีบเี อส (ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๐- ๒๕๕๕) เปน็ ต้น การสนับสนุนส่งเสริมเพลงฉ่อยอย่างต่อเน่ืองดังกล่าวนัน ท้าให้เพลงฉ่อยกลับมาสู่ความนิยมของ สังคมอีกครัง โดยเฉพาะการน้าเพลงฉ่อยมาแสดงเป็นจ้าอวดหน้าม่าน โดยนักแสดงตลก ได้แก่ นายพิเชษฐ์ เอีย่ มชาวนา (น้าโยง่ ) นายพวง แก้วประเสริฐ (น้าพวง) และ นายนงค์ ปิยะโชติ (น้านงค์) ในรายการคุณพระ ช่วย ของบริษทั เวิรค์ พอยท์เอ็นเตอรเ์ ทนเมนท์ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๙ โดยน้าเอาวิถีชีวิตประจ้าวันในแง่มุม ต่างๆ มาผกู ร้อยเร่ืองราว แล้วน้าเสนอในรูปแบบเพลงฉ่อย เช่น เพลงฉ่อย เรื่องหวย เรื่องเพศสมัยใหม่ เรื่อง หนุ่มสาวจีบกัน เรื่องน้าใจ เรื่องประหยัด เรื่องโรงพักต้ารวจ เรื่องร้านตัดผม เรื่องภรรยา เรื่องภาษาพาสนุก และเรื่องหญิงชายใครสบายกว่ากัน เป็นต้น นอกจากจะท้าให้ผู้ชมได้รับควมเพลิดเพลิน และสาระจากการ แสดงแล้ว ยังเป็นปัจจัยส้าคัญท่ีท้าให้เพลงฉ่อยมีความแพร่หลายในกลุ่มผู้ชมผู้ฟังทุกเพศทุกวัยมากย่ิงขึน แต่ กระแสนิยมเพลงฉ่อยที่มีเพ่ิมมากขึนในกลุ่มผู้ฟังหรือผู้ชม กลับไม่ส่งผลให้คณะเพลงหรือผู้แสดงมีจ้านวน เพ่ิมขนึ ตามกระแสนิยม ซึ่งยอ่ มส่งผลกระทบต่อการดา้ รงอยู่ การถ่ายทอด และการสบื ทอดเพลงฉ่อยในอนาคต ดว้ ย ภาพที่ ๒๙ การแสดงเพลงฉ่อย เร่อื งพัดลม ของนกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั หอการคา้ ไทย ในรายการโรงรับจ้านรรจ์ สถานีโทรทัศน์ NBT เมื่อวนั อาทิตย์ที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ทีม่ า : บัวผัน สพุ รรณยศ
๖๗ ภาพที่ ๓๐ ปกแถบบันทึกภาพการแสดงเพลงฉอ่ ย จ้าอวดหน้าม่าน รายการคุณพระช่วย ท่ีมา : https://www.google.co.th ๒.๒.๑.๒ ลักษณะและรปู แบบการจัดการแสดง เพลงฉอ่ ยมีลักษณะและรปู แบบการแสดงคลา้ ยกบั มหรสพพนื บ้านของไทย อาทิ ละคร ชาตรี หรอื ลเิ ก กระบวนการกอ่ นประกอบการแสดงมที ังสิน ๓ ขนั ตอน ได้แก่ การเลือกบทแสดง การก้าหนด จ้านวนผู้แสดงและบทบาทการแสดงของแต่ละคน และการจดั รูปแบบการแสดง การเลือกบทแสดง คือการเลือกสรรเนือเพลงที่จะใช้แสดงในแต่ละงาน โดยค้านึงถึง โอกาสท่ีแสดงเป็นหลัก ต้องพิจารณาบุคคลที่เกี่ยวข้อง จ้านวนผู้ชม ระยะเวลาท่ีแสดง และสภาพของสังคม และวัฒนธรรมของท้องถิ่น บางโอกาสผู้ว่าจ้างขอให้ร้องเพลงท่ีมีเนือหาเฉพาะเร่ือง ซึ่งหัวหน้าคณะหรือครู เพลงจะต้องแต่งเนือเพลงขึนใหม่ให้เหมาะสมแก่งานตามความประสงค์ของผู้ว่าจ้างด้วย นอกจากนียังต้อง ค้านึงถึงจ้านวนและคุณภาพของนักแสดงในคณะเป็นส้าคัญ เพราะเพลงบางตับบางเร่ืองนักแสดงบางคนไม่ สามารถร้องได้ การเลอื กบทแสดงหรอื บทรอ้ งนพี บวา่ มีทงั ก่อนแสดงและขณะแสดง หากผู้แสดงสังเกตว่าผู้ชม ไม่พึงพอใจ ก็จะเปลี่ยนบทร้องเรื่องอ่ืนหรือตับอ่ืนทันที ซึ่งถือเป็นปฏิภาณไหวพริบที่สังเกตได้ชัดเจนของผู้ แสดงเพลงพืนบ้าน ผแู้ สดงทม่ี คี วามเช่ยี วชาญสูง เชน่ นางเกลียว เสร็จกิจ ยังสามารถด้นเพลงหรือคิดแต่งเนือ เพลงและร้องได้ทันทอี ีกด้วย การกา่ หนดจ่านวนผู้แสดงและบทบาทการแสดงของแต่ละคน หัวหน้าคณะจะเป็นผู้ กา้ หนดว่างานหนึง่ ๆ ควรมีผู้แสดงจ้านวนเท่าใด เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับระยะเวลาการแสดง และ งบประมาณหรือค่าตอบแทนท่ีได้รับ โดยท่ัวไปคณะเพลงฉ่อยจะมีผู้แสดงประมาณ ๖ – ๑๕ คน ส้าหรับการ ก้าหนดบทบาทการแสดงของแต่ละคนนันหัวหน้าคณะจะเป็นผู้ก้าหนดตามความเหมาะสมของลักษณะงาน และคุณภาพของผู้แสดง ปกติผู้มีความช้านาญน้อยจะเป็นลูกคู่และผู้ร้องเพลงสัน ๆ เช่น เพลงออกตัว เพลง แต่งตัวและเพลงอวยพร สว่ นผ้แู สดงที่มีความชา้ นาญแล้วมักจะรอ้ งเพลงบทประซ่ึงหัวหน้าคณะมักเป็นผู้เลือก ว่าจะเลือกเรอื่ งใดหรือตบั ใด
๖๘ การจัดรูปแบบการแสดง เน่ืองจากเพลงฉ่อยเป็นการแสดงการร้องเพลงโต้ตอบกัน ระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง โดยมีต้นเสียงร้อง แล้วมีลูกคู่รับ สลับกันไปทีละ “ลง” หรือท่อนของเพลง โดยท่ัวไป ผู้ว่าจ้างจะตอ้ งจัดสถานท่ีสา้ หรบั แสดงไว้เป็นการเฉพาะ อาจอยู่กลางแจ้งหรือในอาคาร โดยจัดเป็น โรงปะร้าหรือเวทีการแสดง ซ่ึงจะแบ่งพืนท่ีเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ส่วนเวทีส้าหรับแสดง และส่วนห้องเตรียมตัว นักแสดง หากเป็นโรงมหรสพ ส่วนใหญ่เป็นโรงยกพืน บางแห่งมีหลังคาและฝากัน บริเวณด้านหลังผู้แสดงมี มา่ นหรอื ฉากกนั มกั จัดท้าขนึ โดยเฉพาะ สว่ นใหญ่เปน็ ผา้ หรือไวนิล มีสีสันสดใส ข้อความต่างๆ ประกอบด้วย ช่ือวงหรือชื่อคณะ มกั มที ่อี ย่หู รือหมายเลขโทรศพั ทเ์ พอื่ ประชาสมั พันธด์ ว้ ย ส่วนพืนทีด่ า้ นหน้าซ่ึงเป็นเวทีแสดง จะแบ่งพืนทอ่ี อกเป็น ๓ ส่วน ได้แก่ ส่วนของฝ่ายชาย ส่วนของฝ่ายหญิง และส่วนนักดนตรี ฝ่ายชายและฝ่าย หญิงอยูท่ างด้านซ้ายและดา้ นขวา นักดนตรแี ละลูกคู่อาจอยู่ด้านข้างหรือด้านหลังก็ได้ ในการแสดงนันผู้แสดง จะยนื เรยี งแถวหน้ากระดาน ผรู้ ้องของทงั สองฝ่ายจะออกมายืนตรงกลาง ด้านหน้า ส่วนนักแสดงคนอ่ืนๆ ซ่ึง ทา้ หนา้ ทเ่ี ปน็ ลูกคู่ด้วยจะยนื หรอื นง่ั ดา้ นขา้ งหรือดา้ นหลงั ก็ได้ ดังแผนผงั และภาพประกอบ ด้านหลงั เวที พนื ้ ที่เตรียมตวั แสดง เช่น แตง่ ตวั เก็บสมั ภาระและวางอปุ กรณ์ เป็นต้น มา่ น หรือ ฉาก ฝ่ ายชาย ผ้รู ้อง ผ้รู ้อง ฝ่ ายหญิง นกั ฝ่ ายชาย ฝ่ ายหญงิ คนอื่น ๆ ดนตรี คนอ่ืน ๆ ผูช้ ม เวที ภาพท่ี ๓๑ รปู แบบการจดั การแสดงเพลงฉอ่ ย
๖๙ ภาพท่ี ๓๒ การจดั รูปแบบการแสดงของคณะขวญั จติ ศรีประจันต์ ท่มี า : คณะขวัญจิต ศรีประจนั ต์ ภาพท่ี ๓๓ การจัดรปู แบบสถานทีส่ ้าหรับแสดงเพลงฉอ่ ยในปจั จบุ นั เวทียกพืน มหี ลังคาและฉากหลงั ค่อนขา้ งแข็งแรงสวยงาม เขียนชือ่ งาน กา้ หนดงานและช่อื เจา้ ภาพ วางเก้าอสี า้ หรบั ให้ผูช้ มนัง่ ไดอ้ ยา่ งสะดวกสบาย ทมี่ า : คณะส้าเนยี ง เสียงสพุ รรณ อย่างไรก็ตามการจัดรูปแบบการแสดงเพลงฉ่อยดังกล่าวนีไม่มีความเคร่งครัดและก้าหนดแน่นอน ตายตัว บางครังผู้แสดงก็ปรับเปล่ียนไปตามสภาพพืนท่ีและความพร้อมของเจ้าภาพ เช่น เวทีแสดงก็ใช้การ ปเู สือ่ บนลานวัดหรือลานบ้าน ไม่ต้องมีเวทียกพืน หรอื บางคณะก็ไมม่ ีฉากเขยี นช่ือคณะ เปน็ ต้น
๗๐ ภาพที่ ๓๔ การจดั รปู แบบสถานที่แสดงในลกั ษณะเวทไี ม่ยกพนื มีฉากกัน หลงั คาผ้าใบช่วั คราว ท่ีมา : คณะส้าเนียง เสยี งสุพรรณ ภาพท่ี ๓๕ ลักษณะและรปู แบบการแสดงเพลงฉอ่ ยคณะพอ่ หรัดแมป่ ระทวย ที่มา : นายหรัด นางประทวย เขน่วม ๒.๒.๑.๓ ลาดบั ขัน้ ตอนการแสดง โดยทั่วไปเพลงฉ่อยมลี ้าดบั ขนั ตอนการแสดง ๕ ขันตอน ได้แก่ การไหว้ครู การร้องบท เกรน่ิ การรอ้ งบทประ การร้องบทลา และการรอ้ งอวยพรหรอื ขอบคุณเจา้ ภาพ ดังนี ก. การไหว้ครู เป็นการกราบไหว้บูชาส่ิงศักดิ์สิทธ์ิและผู้มีพระคุณ เร่ิมจากไหว้พระ รัตนตรัย เทวดาในศาสนาพุทธ เทพในศาสนาพราหมณ์ ภูตผีต่างๆ จากนันจะไหว้พ่อแม่และครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะครูเพลงทงั ทม่ี ีชวี ิตและเสยี ชวี ติ แล้ว การไหว้ครูจะต้องมีพานก้านล คือพานใส่ส่ิงของเครื่องบูชาครู เชน่ ธปู เทียน ดอกไม้ และเงินก้านล ซ่ึงสิ่งของต่างๆ ในพานก้านลอาจแตกต่างกันตามที่ครูเพลงแต่ละคณะ ก้าหนด อาทิ นางล้าจวน ศรจี นั ทร์ ( สมั ภาษณ์ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ) ต้องมีหมาก พลู บุหร่ี และเหล้า เป็น ต้น
๗๑ การไหว้ครใู นการแสดงเพลงฉอ่ ยมี ๒ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ การท้าพิธีไหว้ครูก่อนแสดง และ การร้องเพลงไหวค้ รูในล้าดับแรกของการแสดง ๑) การทาพิธีไหว้ครูก่อนแสดง ส่วนใหญ่หัวหน้าคณะเป็นผู้ประกอบพิธี โดยจุดธูป เทยี น ยกพานกา้ นลหรือพานไหวค้ รู (ซึ่งอาจใชจ้ านหรอื ขันแทนพานก็ได้) ขึนจบที่หน้าผาก กล่าวค้าบูชาครู ซ่ึง อาจท้าด้านหลังของฉาก หรือด้านหน้าก่อนร้องเพลงไหว้ครูก็ได้ บางคณะ เช่น คณะขวัญจิต ศรีประจันต์ มกั จะจัดตังโตะ๊ หมบู่ ชู า (บางครงั ใช้โตะ๊ หรอื เก้าอีแทน) วางเศียรครู “พอ่ แก่” ผูแ้ สดงทกุ คนกจ็ ะทา้ พธิ ไี หว้ครูท่ี โต๊ะหมนู่ ีพรอ้ มกัน ถ้ามเี วลาในการแสดงมากพอก็จะน้าพานก้านลออกไปประกอบการร้องไหว้ครูหน้าเวทีอีก ครงั ถ้าไม่มีเวลาและไมร่ ้องไหวค้ รู หวั หนา้ คณะจะวางพานก้านลนนั ไว้ทีโ่ ต๊ะหมบู่ ูชาหน้าเศียรครูตลอดเวลาจน แสดงจบ จงึ จะมากลา่ วลาครแู ละไหว้ครูอกี ครัง การท้าพิธีไหว้ครูก่อนการแสดงหลังเวทีนีบางครังก็ท้ารวมกัน กบั การร้องบทไหวค้ รูดา้ นหน้าเวที ๒) การร้องเพลงไหว้ครูในลาดับแรกของการแสดง ผู้แสดงทุกคนนั่งเรียงกัน ด้านหนา้ เวที แบง่ ฝ่ังแบ่งฝ่าย ผรู้ ้องจะน่ังตรงกลางและต้องมีพานก้านลวางไว้ด้านหน้า และมักจะยกขึนถือไว้ ในขณะท่ีร้อง พ่อเพลงซ่ึงเป็นหัวหน้าฝ่ายชายจะร้องก่อน แล้วแม่เพลงที่เป็นหัวหน้าฝ่ายหญิงจะร้องใน ภายหลงั เมอื่ ร้องจบแลว้ กน็ า้ พานกา้ นลไปวางไวใ้ นที่สงู อาจวางมมุ ใดมุมหนึง่ ของเวที เช่น คณะสา้ เนียง เสียง สุพรรณ คณะพอ่ หรัดแมป่ ระทวยวางไวด้ ้านหน้าเวที เปน็ ตน้ ภาพท่ี ๓๖ การทา้ พธิ ีไหวค้ รูด้านหน้าเวที และการรอ้ งเพลงไหว้ครูของคณะสา้ เนียง เสียงสุพรรณ
๗๒ ภาพท่ี ๓๗ การวางพานกา้ นล ไวด้ า้ นหนา้ เวที ของคณะพอ่ หรัดแม่ประทวย ท่มี า : นายหรัด นางประทวย เข่น่วม ตวั อย่างเพลงไหว้ครู ลกู จะไหว้คณุ ครูผูเ้ ฒา่ ไปทังสองชมพูทา่ เพ กข็ อให้เสียงลูกเรง่ ปานเร...เอ๋ย..ไร สาธุสะสบิ นวิ พนมกรก้มขนึ เหนือเกล้า (ประทวย เขนว่ ม, สัมภาษณ์ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๗) เมอื่ ลูกจะเอย่ อ้าวา่ เพลง ข. การร้องบทเกร่ิน เป็นบทร้องของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก่อนท่ีจะมาพบกันตาม เหตกุ ารณท์ สี่ มมุตไิ ว้ ประกอบดว้ ยการร้องเพลงออกตัว เพลงแตง่ ตวั และเพลงปลอบ เมื่อไหว้ครูจบแล้ว ฝ่าย ชายจะลุกขนึ ยนื ร้องเพลงออกตัว มีเนือหาเกี่ยวกับการทักทาย แนะน้าตัวและฝากตัวกับผู้ชม จากนันจึงจะ สมมตุ ิเหตกุ ารณ์ว่าจะตอ้ งแต่งกายเพอ่ื ไปชักชวนเพือ่ นฝูงไปเทย่ี วงานหรือเทย่ี วบ้านหญงิ สาว แลว้ จะร้องเพลง แต่งตัว เมอื่ แตง่ ตัวเสร็จก็จะช่วยกันร้องเพลงซ่ึงมกั มีเนอื เรื่องกล่าวถึงการเดินทางไปหาหญิงสาว และสมมุติ ว่ามาถึงบ้านสาวหรอื มาพบสาวแลว้ กร็ ้องเรียกอยทู่ ่ีหนา้ บ้าน จากนันจึงรอ้ งเพลงปลอบ เพ่ือเชิญชวนให้สาว ๆ ออกมาหาหรือมาเล่นเพลงด้วยกัน ลีลาการร้องจะมีทังอ้อนวอนและท้าทาย เม่ือร้องจบแล้วฝ่ายชายก็จะ หลบไปอยู่มุมใดมุมหนึ่งของเวที เปิดโอกาสให้ฝ่ายหญิงได้ลุกขึนร้องบ้าง ฝ่ายหญิงจะร้องเพลงบทเกริ่น เชน่ เดยี วกับฝา่ ยชาย โดยจะสมมตุ ิเหตกุ ารณว์ า่ ไดย้ นิ เสียงคนมาเรียกหา จะต้องแต่งกายให้สวยงามออกไปดู เม่ือแต่งตัวเสร็จก็ชักชวนเพ่ือนๆ ออกมานอกบ้าน ต่อจากนันก็จะเร่ิมเข้าสู่ขันตอนการร้องเพลงประต่อไป การรอ้ งบทเกร่ินดงั กล่าวนหี ากมเี วลาในการแสดงจา้ กัดผูแ้ สดงกจ็ ะตัดทอนจ้านวนผู้ร้องและลดเนือหาลง อาจ เหลือเพียงการร้องเพลงออกตัวเพยี งฝ่ายละหนึ่งหรอื สองคนเท่านัน ตัวอย่างบทเกร่ิน เพลงฉ่อยจังหวัดชัยนาท ของพอ่ สวิง บรรเด็จ
เสียงผใู้ ดไหนเล่ามาเรยี กสาวเซง็ แซ่ ๗๓ ครันจะออกไปหาหนมุ่ แต่งตวั ไมส่ วย จงึ หันหนา้ เข้าห้องตามองกระจก เสยี งผู้ใดใครแน่อยู่ทไ่ี หน ผมซอยรากไทรเราตอ้ งหวเี สยเสย ถ้าเช่นนนั หนอเราก็ป่วยการไป แลว้ เขยี นควิ ทาปากหยบิ หวีสักขนึ มาเหน็บ ผมยาวหวียกผมยงุ่ ตอ้ งสยาย ยุคพัฒนาของไทยต้องแต่งกายแขง่ กัน ผมยาวกห็ วีเลยใหต้ ลอดหัวไหล่ ถงึ จะนุ่งสนั เขนิ กไ็ ม่ใหเ้ กนิ หัวเข่า แลว้ ก็รบี ทาเลบ็ มไิ ด้ร่้าพไิ ร แลว้ หยิบเอาแป้งมาหนง่ึ เม็ดมาน่ังเช็ดหม่ สี ตามรฐั บาลที่ท่านวางนโยบาย แลว้ วา่ นะจังงังชายเหน็ ใหง้ วยงง หญิงไทยของเรามนั ตอ้ งแต่งลวดลาย พอเหน็ หนา้ แลว้ จงั งงั ขอให้มาน่ังราบราบ หยบิ นา้ มันราตรสี ่งกลนิ่ หอมไกล ถึงคิดร้ายกท็ า้ ไม่ลงใหย้ นื น้าลายไหล มานง่ั ไหวส้ องกาบที่ตดิ อยใู่ นร่างกาย ( ลูกครู่ บั ) (คมคาย ชนุ ตาล. สมั ภาษณ์. ๒๕ เมษายน ๒๕๕๗) ค. การร้องบทประ บทประคือบทปะทะคารมประลองฝีปากของฝ่ายชายและฝ่าย หญงิ เมือ่ เพง่ิ จะพบกนั หรือพบกันแล้ว บทประมีความส้าคัญเพราะถือเป็นหัวใจของการเล่นเพลงโต้ตอบ ใน การรอ้ งบทประจะประกอบด้วยเพลงตับต่างๆ จ้านวนมากตามแต่ผู้ร้องจะเลือกมาร้องเล่น เดิมนิยมเริ่มร้อง เมอ่ื ฝา่ ยหญงิ สมมตุ วิ า่ ออกมาจากบา้ น อาจจะลงบนั ไดแล้วหยุดรออยู่เพ่ือให้ฝ่ายชายร้องทักขึน เมื่อฝ่ายชาย รอ้ งทักแลว้ ฝ่ายหญงิ กจ็ ะร้องแก้กันในเร่ืองของบันได ต่อจากนันก็อาจจะสมมุติว่าฝ่ายหญิงยังไม่ทันเห็นฝ่าย ชายก็นึกว่าเป็นสัตว์หรือสิ่งของต่างๆ เช่น หมา แมว ตอไม้ ฯลฯ แล้วก็จะร้องเปรียบเปรยว่าเป็นสัตว์หรือ ส่ิงของนนั ๆ เมื่อฝ่ายชายมาพบหน้ากับฝ่ายหญิงแล้วจะเป็นช่วงหัวเลียวหัวต่อของการเล่นเพลง ซง่ึ ผเู้ ล่นจะเลือกวา่ จะเลน่ ไปในแนวใด ได้แก่ แนวรัก ซ่ึงจะเริ่มต้นด้วยการเกียวพาราสี เช่น ตับผูกรัก ตับ สขู่ อหรอื ตับลักหาพาหนี ตับชิงชู้หรือตับตหี มากผวั แนวลองภูมิ ซ่ึงอาจจะโต้เถียง เสียดสี หรือถามปัญหา ทดสอบเชาว์ไวไหวพริบ เป็นการประลองฝีปากและภูมิปัญญา เช่น เพลงตับถามบาลี ตับถามบวชนาค ตับ ถามพระคุณพ่อแม่ และแนวเรื่อง ซ่งึ ไดแ้ ก่ นทิ าน นิยาย หรอื วรรณกรรมทอ้ งถ่ิน เชน่ สงั ข์ทอง กากี ไกรทอง จนั ทโครพ ลกั ษณวงศ์ พระเวสสันดร เปน็ ตน้ ตัวอย่างบทประ เพลงตบั พระสงฆ์ ( พ่อหรดั ) พเ่ี ปน็ พระสงฆ์ถอื ศลี กเ็ ท่ียวไดว้ ่งิ อมุ้ บาตร กเ็ ท่ียวไลโ่ ปรดหม่ญู าตินอ้ งหนอโยมยาย ใหเ้ อ็งขัดกงขันไว้เปน็ มันเขา้ แล้วชักชวนซิกนั เอาข้าวมาคอยใส่ พีม่ ายนื โปรดสัตวจ์ นองคชาตแิ ข็งชี ให้มาคอยรับสารพีทีเ่ อง็ ใส่ ( แมป่ ระทวย ) แกไมใ่ ช่พระสงฆ์แกเป็นแตพ่ วกพสก ชาตกิ ายาจกคนเข็ญใจ
๗๔ ชาตกิ ายาจกหน้าลงิ จอ๋ มึงเดินเท่ยี วไม่ท้อในจงั หวดั เมืองไทย ชาตไิ อ้พระหวั ดา้ ถงึ มีชือ่ ก็ไมด่ งั แม่ไมใ่ หแ้ ทะข้าวตงั กน้ ไห (หรัด เขนว่ ม และประทวย เขน่วม, สมั ภาษณ์, ๒๑ เมษายน ๒๕๕๗) แบบแผนการร้องเพลงฉ่อยแต่เดิมมามีลักษณะเป็น “เพลงโต้” คือมีการโต้ตอบกัน ระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง มีบ้างที่ผู้โต้เป็นเพศเดียวกัน ได้แก่ ฝ่ายชายโต้กับฝ่ายชาย เช่น เพลงตับชิงชู้ ฝ่ายหญงิ โต้กบั ฝ่ายหญงิ เช่นเพลงตบั ตหี มากผวั หมากเมีย ( เมียนอ้ ยโต้กบั เมยี หลวง ) หรือเพลงท่ีเล่นเป็นเรื่อง เชน่ ขนุ ช้างขุนแผน ( พอ่ หรัด ) จะกล่าวถึงพลายแก้วแววสุวรรณ พระเปน็ ยอดทหารอยู่เมืองใต้ (เอช่ า เอ้ชา้ เอ้ชา ชา ฉ่า ชา) แต่เดีย๋ วนที รงธรรม์องคพ์ ระพนั วษา ได้มีท้องตราขึนมาตดิ ตามว่าขา้ งหลังเกดิ ความร้อนใจ ( เอช่ า เอ้ช้า เอ้ชา ชา ฉ่า ชา ) จ้าจะเรยี กลาวทองออกมาถามดทู ี เจ้าจะไปกับพ่หี รอื ไม่ไป ( เอ่ชา เอ้ช้า เอ้ชา ชา ฉา่ ชา ) (แม่ประทวย) เจา้ ลาวทองหันหลงั กลบั มานงั่ กรอง กรองกรองนะก็สองสามใจ ครันจะอยกู่ ็ใชค่ รันจะไปกช็ ั่ว ลาวทองกลวั ตัวจะเปน็ หมา้ ย ถ้าเราเป็นหมา้ ยอย่ทู ใี่ นเวียง ใครเขาจะชบุ จะเลียงเราได้ ( เอช่ า เอช้ ้า เอช้ า ชา ฉา่ ชา ) (หรดั เขน่วม และประทวย เขน่วม, สมั ภาษณ์, ๒๑ เมษายน ๒๕๕๗) ปัจจุบันคณะเพลงฉ่อยบางคณะสามารถแต่งเพลงท่ีมีเนือหาสอดคล้องกับบริบทของ งานทีแ่ สดงหรอื สภาพสงั คม ตัวอยา่ งเช่น เพลงแนะน้าการท่องเท่ยี วเมอื งก้าแพงเพชร จะขอกล่าวคา้ กลอนเปน็ สุนทรคา้ ถ้อย ในท้านองเพลงฉอ่ ย ของไทย จากพวกเราชมุ ชนต้าบลวังยางวังแขม จะไมข่ ออ้อมแอ้ม มันนา่ อาย ตา้ บลวังยางวงั แขมอยู่อา้ เภอคลองขลุง เปน็ ดนิ แดนเรืองรงุ่ มานานหลาย ก็อา้ เภอคลองขลงุ อยจู่ ังหวัดก้าแพงเพชร เมอื งกลว้ ยไขร่ สเดด็ น่ยี ังไง อยู่ภาคเหนือตอนลา่ งอยภู่ าคกลางตอนบน เปน็ เมอื งท่มี ีแตค่ น มีนา้ ใจ
๗๕ เปน็ เมืองแหง่ การเกษตรเปน็ เขตแหง่ การพัฒนา เปน็ เมอื งท่ีมีคุณค่าอย่างมากมาย เป็นเมืองแห่งการทอ่ งเทีย่ วที่เกีย่ วกับทุกเรือ่ ง แม้แต่เรื่องการเมือง นัน่ กใ็ ช่ แต่วันนขี อเร่อื งเดียวเอาเร่อื งทอ่ งเทีย่ วเทา่ นนั เมืองก้าแพงเพชรกส็ า้ คญั ไมแ่ พ้เมืองใดใด (เอ่ชา...) ( สกุล ตะ๊ ปนิ ตา สมั ภาษณ์ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๗ ) ตวั อย่างเพลงต้านานแมน่ างผมหอม ของนางสวาท ภาสประหาส จังหวดั เพชรบูรณ์ เออ่ เองิ เองิ เอย เออ่ เองิ เอย สายวารศี รีปา่ สัก เป็นแม่นา้ สายหลกั ตังแต่เหนอื จดใต้ จดใต้วารี ไหลริน ผูค้ นทา้ กนิ สขุ สบาย มปี ระเพณีท่ีงามล้า คืออ้มุ พระดา้ น้าขจรไกล ยงั มีเร่อื งเล่าอกี มากหลาย สดุ ท่ีจะบรรยายให้หมดได้ จะหยบิ ยกมาซกั หนงึ่ เรื่อง พอใหท้ า่ นประเทืองจติ ใจ มีพระนครที่เรืองรงุ่ ใครใครกม็ ุ่งอยากจะไป เพราะมีธดิ าท่งี ามสม พระนางมีผมหอมยวนใจ หนุ่มหนมุ่ ทงั หลายต่างหมายปอง อยากไดน้ างเปน็ ผู้คคู่ รองใจ จึงเกดิ เปน็ โศฏนาฏกรรม ที่แม่น้าปา่ สกั นย่ี ังไง เอ ชา เอ ชา ชา ชา ช่า ชานอ้ ยแน่ (สวาท ภาสประหาส สมั ภาษณ์ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗) ส่วนการร้องเพลงฉ่อยที่ปรากฏในรายการต่างๆ ทางสถานีโทรทัศน์ เช่น รายการโรง รับจา้ นรรจ์ ช่อง ๑๑ และรายการคุณพระช่วยช่อง ๙ นนั สว่ นใหญจ่ ะมลี ักษณะเป็น “เพลงต่อ” คอื ร้องต่อกัน หรือรอ้ งเพื่อส่ง หรอื เสริมมกุ ตลกให้แก่กัน เป็นการร้องไปในทางเดียวกันไม่ใช่โต้แย้งหรือหักล้างกันเช่นเพลง โต้ตอบทว่ั ไป และมักรอ้ งสันๆ ประมาณ ๑๐ – ๒๐ นาทเี ท่านัน ซงึ่ ลกั ษณะเชน่ นถี ือเป็นการสร้างสรรค์รูปแบบ ใหม่ใหเ้ หมาะแกส่ ่ือและแก่สังคมยคุ ใหม่ ทา้ ให้เพลงฉ่อยเป็นที่ถูกใจคนไทยมากขนึ
๗๖ ภาพท่ี ๓๘ การแสดงเพลงฉ่อย เร่ืองแฟชัน่ ในชว่ งจ้าอวดหนา้ ม่าน รายการคุณพระชว่ ย ท่มี า : ซีดีบันทึกการแสดงรายการคุณพระชว่ ย ง. การร้องบทลา เดิมการเล่นเพลงฉ่อยเม่ือพ่อเพลงแม่เพลงเล่นเพลงใกล้จบและ จากกันไปก็จะร้องเพลงลาซึ่งมีเนือหาสั่งเสียคู่เล่นเพลงของตน เป็นการอ้าลาอย่างอาลัยอาวรณ์รวมทังขอให้ จดจา้ ซึง่ กันและกนั รวมทงั แสดงความคาดหวังวา่ จะไดพ้ บและเล่นเพลงร่วมกนั อีก ปจั จบุ ันเพลงฉ่อยเป็นการ แสดงผแู้ สดงจะร้องเพลงลาผู้ชมและเจา้ ภาพ ซึ่งมีเนือหาแสดงความอาลัยและหวังว่าจะได้รับการว่าจ้างให้มา แสดงอกี ครงั ตัวอยา่ งบทลา วนั นจี ะว่าเพลงฉอ่ ยกันให้อร่อยเหาะ มาชว่ ยกันหวั เราะกอ็ ย่าเพิง่ รอ้ งไห้ มงี านวนั หนา้ ไปหาผมมาอกี ที ตัวของผมนจี ะร้องใหฟ้ ังใหม่ เสียดายแต่นาฬกิ านใี่ ห้เวลาไม่มาก ผมต้องจบลาจากนกึ เสยี ใจ (หรดั เขนว่ ม สัมภาษณ์, ๒๑ เมษายน ๒๕๕๗) จ. การร้องขอบคุณและอวยพร การร้องบทขอบคุณและบทอวยพรโดยปกติผู้แสดง จะร้องบทขอบคณุ และอวยพรแก่เจ้าภาพและผู้ชมในตอนท้ายก่อนจะร้องบทลา แต่หากผู้แสดงได้รับเงินหรือ ของรางวัลก็มักร้องบทนีทันทีเพื่อแสดงความขอบคุณแก่ผู้ให้ของรางวัลและอวยพรประการต่างๆ แก่ผู้นัน ดังตวั อยา่ ง เม่อื ทา่ นตบรางวลั มาใหฉ้ นั ก่อน น่ฉี นั จะขออวยพรทา่ นไป ขอใหท้ ่านสุขโขสโมสร ดงั ท่ีฉนั อวยพรขอให้ทกุ คนปลอดภยั ขอใหย้ งุ้ ข้าวเหนยี วสูงแคย่ อดมะพร้าว ขอให้ยงุ้ ขา้ วเจา้ สูงแค่ยอดไผ่ ถา้ เปน็ ขา้ ราชการขอให้ทา่ นไดเ้ ล่อื นยศ ใหม้ ีเกยี รตปิ รากฏให้ช่ือเสยี งเดน่ ไกล ขอใหม้ คี นใช้อยทู่ งั ซ้ายทังขวา ลอ้ มหลงั ล้อมหน้าไมว่ ่าจะไปทางไหน
ถ้านึกเงนิ ให้เงนิ กองนึกทองให้ทองกอบ ๗๗ ขอให้ท่านรา้่ รวยถกู หวยเป็นนายหา้ ง ของที่ดที ช่ี อบขอใหม้ ไี วใ้ ช้ ขอแบง่ แบงก์ใบบางบางใหแ้ ม่คมคายสกั คนละใบ (คมคาย ชุนตาล.สัมภาษณ์ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๗) การดา้ เนนิ เร่อื งทังห้าขนั ตอนดังกลา่ วนี เป็นขันตอนหลกั ที่คณะเพลงพืนบ้านส่วนใหญ่ ยึดถือปฏบิ ตั ิกันตามปกติ แต่บางครังผู้เล่นก็ปรับเปล่ียนไปตามสถานการณ์ เช่น ถ้ามีเวลาน้อยก็ไม่ร้องบท ไหวค้ รู หรือบทลา เปน็ ต้น ๒.๒.๑.๔ เครื่องดนตรี เครอ่ื งแต่งกายและอุปกรณป์ ระกอบการแสดง เดิมการแสดงเพลงฉ่อยของคณะต่างๆ มีรูปแบบเรียบง่ายที่คล้ายคลึงกัน เช่น ใช้การ ตบมอื ให้จงั หวะเพียงอย่างเดียว หรือใช้เครื่องดนตรีประกอบจังหวะเพียงหนึ่งหรือสองชนิด เช่น ฉิ่งและกรับ ส้าหรบั เคร่ืองแตง่ กายกเ็ รยี บง่ายตามแบบชาวบ้าน และส่วนใหญ่ไม่มอี ุปกรณป์ ระกอบการแสดงใดๆ ปัจ จุ บั น รู ป แ บ บ กา ร เ ล่ น เ พ ล ง ฉ่ อย มี ก า ร ป รั บ เ ปล่ี ย น เ พ่ื อ ป ร ะ โ ยช น์ ใ น ก า ร ส ร้ า ง เอกลักษณ์ของคณะ หรือดึงดูดความสนใจจากผู้ชม เช่น มีฉากกัน มีเคร่ืองขยายเสียง บางคณะเพิ่มดนตรี ประกอบ ตลอดจนการแต่งกายท่ีสวยงามมีสีสันฉูดฉาดสะดุดตา แต่ส่วนใหญ่ยังคงรักษารูปแบบเดิม เช่น นุ่ง โจงกระเบน เป็นตน้ ดังความจากการสมั ภาษณ์คณะเพลงฉอ่ ยของแมท่ องใบ จินดา วา่ “เส้ือผ้าส่าหรับการแสดงเพลงฉ่อยนั้นพ่อเพลงแม่เพลงแต่ละคนจะหากันเอง แต่จะ เน้นให้เหมือนสมัยโบราณ คือ ผู้ชายนุ่งโจงกระเบนเสื้อลายดอกมีผ้าคาดเอว แม่เพลงก็จะใส่ โจงกระเบนและเส้อื สสี ันสดใส อาจใชผ้ ้าท่ีมีความแวววาวเพ่ือให้เกิดความสวยงาม ส่วนเครื่อง ดนตรที ่ใี ชป้ ระกอบการแสดงโบราณใชแ้ ตก่ รบั รว่ มกับการตบมือให้จังหวะเท่าน้ัน แต่ถ้ามีเพลง อื่น ๆ เชน่ อีแซว ก็จะใช้ตะโพนดว้ ย และอาจมปี ีพ่ าทย์ไปดว้ ยเพื่อใชร้ ่าหน้าวง และใช้เวลาเล่น เข้าเรอื่ ง” (ทองใบ จนิ ดา. สมั ภาษณ์ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๗)
๗๘ ภาพที่ ๓๙ ลักษณะและรปู แบบการแสดงเพลงฉอ่ ยของคณะแมท่ องใบ จนิ ดา จงั หวัดนครสวรรค์ คณะเพลงฉ่อยคนบ้านสะเดียง จังหวัดเพชรบูรณ์ ของนางสวาท ภาสประหาส นิยม แต่งกายประยุกต์ คือการสวมโจงกระเบนและเสือแบบไทย สีสันสดใส ผูกผา้ คาดเอว เป็นตน้ ภาพท่ี ๔๐ การแสดงเพลงฉ่อยคณะคนบ้านสะเดยี ง จงั หวัดเพชรบูรณ์ ๒.๒.๑.๕ การร้อง ทานอง โนต้ เพลงและตัวอยา่ งบทเพลง จากการส้ารวจและรวบรวมข้อมูลภาคสนามในพืนที่วัฒนธรรมภาคกลาง ๓๕ จังหวัด และการจัดค่ายเพาะกลา้ พนั ธุเ์ กง่ เพลงพนื บา้ น ระหวา่ งวนั ท่ี ๑๕ – ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ พบว่าการร้องเพลง ฉอ่ ยมีลกั ษณะเป็นการร้องโต้ตอบระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง สลับกันฝ่ายละ ๑ ลง แต่ละฝ่ายมีผู้น้าหรือ ต้นเสียงร้อง แล้วผู้เลน่ อืน่ ๆ เป็นลูกคู่ร้องรับและร้องกระทุ้ง เพ่ือสร้างความสนุกสนาน ปกติฝ่ายชายร้องก่อน ฝ่ายหญิงจงึ ร้อง เข้าท้านองว่า “ชายเกียว หญงิ แก้”
๗๙ เพลงฉอ่ ยมีทา้ นองหลกั ๒ ท้านอง ได้แก่ ท้านองเพลงเกริน่ หรือเพลงกระทู้ หรือเพลง ด้าเนิน ซ่ึงในที่นีจะเรียกว่า “ท้านองโบราณ” และท้านองเพลงฉ่อยท่ีร้องธรรมดากันอยู่ท่ัวไป ซึ่งในท่ีนีจะ เรยี กว่า “ท้านองทว่ั ไป” บทเพลงที่รอ้ งในแต่ละทา้ นองจะมรี ูปแบบค้าประพนั ธ์ตา่ งกัน รายละเอียดดงั ต่อไปนี ก. ทานองโบราณ คอื ทา้ นองการร้องเพลงฉ่อยแบบโบราณ มรี ูปแบบคา้ ประพันธ์เป็น กลอนหัวเดยี วท่ีค้าสัมผสั ระหวา่ งวรรคแบบเฉพาะ กลอน ๑ บทมี ๖ วรรค แตล่ ะวรรคมจี ้านวนคา้ ประมาณ ๖ – ๘ ค้า สว่ นใหญไ่ มเ่ กนิ ๑๐ ค้า มีสมั ผสั ระหว่างวรรคและระหวา่ งบท ดังแผนผังตอ่ ไปนี ตัวอยา่ ง บทเพลงตบั มัทรี ทา้ นองโบราณ ของแมข่ วญั จติ ศรีประจันต์ น้องไม่อวดหนอยิงช้าง สวยนอ้ งไม่อา้ งยิงโค ดูแตอ่ งค์สัมมาสัมพทุ โธ ยังยกเอาลูกท้าทาน พระชลนัยนพ์ ่อไหลนอง ตาชูชกจูงสองกุมาร เอย๋ ..ไป พระชลนยั น์ของพอ่ ไหลนอง ตาชูชกจงู สองกุมาร ทา่ นมาตัดบว่ งหว่ งสงสาร เพอื่ จะให้ส่องโลกให้สว่าง เรยี กลูกกณั หาหนอวา่ ลกู ชาลี โปรดบดิ าซกั ทนี กึ วา่ น้าหนทาง เอ๋ย..ไป (ส้าเนยี ง ชาวปลายนา. สมั ภาษณ์ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗) อน่ึง การรอ้ งเพลงฉอ่ ยท้านองโบราณ ชายและหญิงจะร้องต่างกัน โดยเฉพาะการขึน เพลงและการรับของลูกคู่ การขึนเพลงนันโดยท่ัวไปผู้ร้องฝ่ายชายมักเอือนเสียงยาวๆ ว่า “เอิง เออ เห่อ เอิง เอย๊ ..” หรือร้องสนั ๆ ว่า “เอ๊ย...” สว่ นการขึนเพลงของฝา่ ยหญิง มีทังการเอือนเสียงยาว เช่น “เอ๊อ เอ่อ เอ๋อ เออ เออ่ .....เอย่ ...เออ่ ..เอย๊ ..” และขนึ สนั ๆ ว่า “เอย๊ ...”
๘๐ การร้องเนือเพลง เพลงฉ่อยมที ้านองหลักท้านองเดยี วและมจี ังหวะหยุดท่ีแน่นอน การ รอ้ งเนือเพลงนมี ที ้านองท่เี หมือนกนั ทงั ชายและหญงิ หากตีฉ่งิ ตกี รับก็เทียบได้กบั จังหวะสองชัน เดมิ มักร้องช้าๆ และมเี ฉพาะการตบมือเป็นจังหวะ ปัจจุบันบางคณะ เช่น คณะขวัญจิต ศรีประจันต์ ใช้เครื่องดนตรีประกอบ เช่น ฉงิ่ และกรบั ด้วย สว่ นการลงเพลงและการรับเพลง เม่อื รอ้ งเพลงแต่ละลงหรือแต่ละท่อนจบแล้ว ผู้ร้องจะ ทอดเสียงหรือหยอดเสยี งในตอนทา้ ย เพอ่ื ใหล้ ูกครู่ บั เพลง การรับเพลงฉ่อยมี ๒ ช่วง ๒ แบบ คือแบบแรกร้อง รับขณะก้าลังรอ้ งเนอื เพลง มีลักษณะเป็นการร้องแทรกหรือกระทุ้งตรงวรรคท่ีสองว่า “ช้าแม่หรือหนอยแม่” และการรับแบบท่สี องคือการรบั ตอนท้ายสดุ ของเพลงแต่ละลง หรือแต่ละท่อน ซึ่งลูกคู่จะเป็นผู้ร้อง แต่การรับ เพลงฝ่ายชายและฝา่ ยหญงิ จะรบั ต่างกัน ข. ทานองทั่วไป มีรูปแบบค้าประพันธ์ เป็นกลอนหัวเดียว กลอน ๑ บท มี ๒ วรรค แต่ละวรรคมีจา้ นวนคา้ ประมาณ ๖ – ๑๐ คา้ มสี มั ผสั ระหว่างวรรคและระหวา่ งบท ดังแผนผงั ตอ่ ไปนี การร้องเพลงฉ่อยท้านองท่ัวไปมี การขึ้นเพลงของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงที่ต่างกัน โดยท่ัวไปผู้ร้องฝ่ายชายมักเอือนเสียงว่า “เอิง เออ เห่อ เอิง เอ๊ย..” หรือ “เฮิง เฮิง เออ เอ่อ เอิง เอ๊ย” หรือ “โฮง โฮง โงว โห่ โฮง โฮ้ย” ซึ่งเป็นการออกเสียง ฮ ง และ อ สับเสียงกันได้ บางทีก็ร้องสันๆ ว่า “ เอ๊ย...” ส่วนการขนึ เพลงของฝ่ายหญิง มีทงั การเออื นเสยี งยาว เช่น “ เออ๊ เออ่ เอ๋อ เออ เอ่อ เอิง๋ เอย... “ และขึนสันๆ ว่า “เอ๊ย...” การร้องเนอื้ เพลง มีทา้ นองหลกั ทา้ นองเดยี วและมีลกั ษณะเหมือนกับท้านองโบราณ ต่างกันตรง จังหวะอาจเรว็ กว่าเล็กน้อย หากตฉี ่ิงตกี รับกเ็ ทียบได้กับจงั หวะหน่ึงชนั คร่ึง การร้องเพลงฉ่อยคล้ายกับการร้อง เพลงเรือ ต่างกันท่ีวรรคหลงั ของเพลงฉ่อย มกั รอ้ งหลบเสียงต้า่ ซ่งึ เปน็ เสียงระดบั เดียวกับเสียงกระทุ้งของลูกคู่ ท่รี บั ว่า “ชา้ แม่” หรือ “หนอยแม่” และ “ฉ่า ฉ่า ฉ่า” ส่วนการลงเพลงและการรับเพลง ลูกคู่จะรับเพลง ๒ แบบเช่นเดียวกับการร้องท้านองโบราณ คือแบบแรกร้องรับหรือกระทุ้งตรงวรรคที่สองว่า “ช้าแม่” หรือ “หนอยแม่” และ “ฉ่า ฉ่า ฉ่า” และการรับแบบท่ีสองคือการรับตอนลงเพลงในแต่ละลงหรือแต่ละท่อน ว่า “เอช่ า เอชา ชาชาฉา่ ชา หนอยแม่”
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 567
Pages: