๑๓๑ การร้องเนอื เพลง เพลงเรอื มที า้ นองหลกั ท้านองเดียวและมีจังหวะหยุดที่แน่นอน หาก ตีฉิ่ง จะมีเสียงจงั หวะ “ ฉิ่งฉง่ิ ฉับ” ถ้าตีกรับก็เทียบได้กับจังหวะชันเดียว การร้องเพลงเรือคล้ายกับการร้อง เพลงฉ่อย ต่างกันตรงเพลงฉ่อย วรรคหลัง มักร้องหลบเสียงต้่า แต่เพลงเรือวรรคหลังมักขึนเสียงสูง ซ่ึงเป็น เสยี งระดับเดียวกบั เสยี งกระทุง้ ของลูกคทู่ ีร่ ับว่า “ ฮา้ ไฮ้” พอดี เชน่ ( ต้นเสียงหญิง ) เอ่อ..เออ..เองิ ..เอย... ได้ยิน/ เสียงชาย/ เข้ามากร่าย/ ร้องเกริน่ ตัวน้อง/ ก็ไมเ่ นน่ิ / ( ฮ้า ) อยชู่ ้า ( ไฮ้ ) ครนั วา่ จะ/ ไม่เล่น/ จะว่าเชน่ / หญิงชวั่ จะหาว่าน้อง/ เลน่ ตวั / ( ฮา้ ) เลน่ ตา ( ไฮ้ ) งันจะเล่น/ สักหนอ่ ย/ ไม่ให้น้อย/ แก่หน้า เสียแรง/ พ่มี า/ วอนเอย ( ลูกคู่รับ ) เสียแรงพี่มาเอ๊ยวอนเอย ว่าจะเล่นสักหน่อยไม่ให้น้อยแก่หน้า เสียหน่อยเสียหน่อย ไม่ใหน้ ้อยแกห่ น้าเสยี แรงพมี่ า เสียแรงพ่มี า พม่ี าวอนเอย ฮา้ …ไฮ้….เชยี บ ๆ ( ขวญั จติ ศรปี ระจนั ต์ สมั ภาษณ์ ๑๕ สงิ หาคม ๒๕๕๗ ) การลงเพลงและการรับเพลง เม่ือร้องเพลงแต่ละลงหรือแต่ละท่อนจบแล้ว ผู้ร้องจะ ทอดเสียงหรอื หยอดเสียงในตอนทา้ ยและลงเอย เพอ่ื ให้ลกู ครู่ บั เพลง การรับเพลงเรอื มี ๒ แบบคอื แบบแรกร้อง รบั หรือกระท้งุ วา่ “ ฮา้ ...ไฮ้ เชียบ เอา้ เชยี บๆ ตอนทา้ ยของการข้ึนเพลงและร้องรับตอนระหว่างกลางวรรค และทา้ ยบท ดังตวั อย่างข้างบน หรอื รบั ว่า “ชะๆ” หรือ “ควับๆ” ก็ได้ ส่วนการรับแบบท่ีสองคือการรับตอน ลงเพลง ซ่ึงจะรอ้ งซ้าและทวนสองวรรคสุดทา้ ย ซ้าไปซ้ามา ทงั ซ้าทังวรรคและซา้ บางคา้ ดงั ตัวอยา่ ง นอ้ งอยา่ นิง่ ท้าบทเลยแม่รจนา เงาะนอ้ ยหอยสังขค์ ู่สร้างมาเสาะหา ให้เผยพกั ตรข์ ึนพาทเี อย (รบั ) ใหเ้ ผยพกั ตรข์ นึ พาเอย๊ ทเี อย เงาะน้อยหอยสังข์คู่สร้างมาเสาะหา หอยสังข์ หอยสังข์ คู่สร้าง มาเสาะหา ให้เผยพกั ตรข์ ึนพา ให้เผยพักตร์ขนึ พา ขึนพาทีเอย ฮา้ …ไฮ้… เชียบๆ ( ขวัญจติ ศรีประจันต์ ส้าเนยี ง ชาวปลายนาและบรรจง ทับวิเศษ การอบรมเชงิ ปฏิบตั ิการ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ) การร้องบทลาหรอื บทจาก มีท้านองเฉพาะ คือ ช.เหลืองเอย๊ ใบยอ หอมช่อจ้าปี (รบั ซ้า) ให้พจี่ บู แกม้ สง่ั เสียขา้ งละที เจ้าช่อฉนั เอย๊ จ้าปี หอมเมือ่ ยามเยน็ เอย หอมเมอ่ื วานนเี อย
๑๓๒ ญ. เหลอื งเอ๊ยใบยอ หอมชอ่ จา้ ปี (รับซา้ ) อย่าไปหลงวา่ แกม้ จะจบู เอาแคมฝาชี เจา้ ช่อฉนั เอย๊ จ้าปี หอมเม่อื เย็นวานเอย หอมเมื่อวานซืนเอย หอมเมอื่ คนื วานเอย ข. การรอ้ งทานองสายสิงหบ์ ุรี มีลักษณะดังนี การขนึ เพลง และการร้องเนือเพลงมีท้านองคล้ายกับเพลงเรือสายสุพรรณ เพียงแต่มี จงั หวะคอ่ นข้างเนิบกว่าเล็กนอ้ ย ส่วนการรับเพลงจะแตกต่างกนั เล็กน้อย ดงั นี ( ตน้ เสียงรอ้ งขึนเพลง ) เอ่อ..เออ..เอง..เอย.. ( ลูกคู่รับว่า “ ฮา้ ..ไฮ้.” ไมม่ ีคา้ วา่ เชยี บ ๆ หรอื ชะๆ ) น้องจะแล/ ไปทางเหนือ/ หรอื ก็/ เปลา่ ตา นอ้ งจะแล/ ไปทางขวา/ ( ลกู ครู่ บั ว่า “ฮ้าไฮ้” ผู้ ร้องรอจังหวะให้รับเสร็จก่อนจึงร้องต่อ ) หรือก็ไม่พบ โอ้พ่อแปง้ / เคยกล่ัน/ น้ามนั / เคยอบ ฉนั แลหา/ ไม่พบ/ เอย๋ เลยเอย ( ลูกค่รู บั ว่า “ฉนั แลหา/ไมพ่ บ/เอย๋ เลยเอย โอ้พ่อแป้ง/เคยกลน่ั /นา้ มันเคยอบ พ่อแป้ง/เคยกล่นั / นา้ มันเคยอบ ฉันแลหา/ไม่พบ ฉนั แลหา/ไมพ่ บ เอ๋ยเลยเอย ฮา้ ..ไฮ้..โชะ ๆ ) ญ. อกี ทงั /เรอื ขึน/กร็ อ้ ง อีกทัง/เรอื ลอ่ ง ฮ้า..ไฮ้.ก็สั่ง พ่อก้านตอง/สองแจว/ของนอ้ งมาแลว้ /หรือยงั นอ้ งมาพลัดคู่/อยู่วัง/เอย๋ เวงเอย ( ลกู คู่รบั ) ช. อกี ทงั /เรือขนึ /กร็ ้อง อีกทัง/เรือล่อง/ กส็ ่ัง พีม่ าหว่ งหนา้ /หว่ งหลงั เสียแลว้ แมว่ งั /เอย๋ เวงเอย ( ลกู ครู่ บั ) การรอ้ งบทลาหรอื บทจาก เปน็ การออกช่อ หรอื ลอยดอก เช่น ญ. หอมเอ๊ยเจ้าดอกอ้อ หอมเจ้าช่อจ้าปา น้องมาคอยคอ้ ยคอย ท้าไมไม่คอ่ ยจะมา หรือพไี่ ปเขา้ ช่องหินหนีบ หรือพ่ีไปเขา้ กลีบจ้าปา น้องมาคอยพ่ีทิดเสียจนผิดเวลา หรอื พีไ่ ปตกนา้ หอยทห่ี นองนอ้ ยปลายนา พจ่ี งึ ไม่ค่อยจะมาเอย๋ เลยเอย ( ฮ้า..ไฮ้..โชะ๊ โชะ๊ ) ช. หอมเอ๊ยเจ้าดอกออ้ หอมเจา้ ชอ่ มะเฟอื ง มนั ไมไ่ ดน้ อ้ งไปเป็นเอก เสียแลว้ พ่อเมฆหัวเหลือง หอมเอ๊ยเจ้าช่อมะเฟอื ง หอมเมื่อยามเอย๋ เยน็ เอย ญ. หอมเอ๊ยเจ้าดอกอ้อ หอมเจา้ ช่อมะเฟอื ง
๑๓๓ มนั ไม่ไดน้ อ้ งไปเปน็ คู่ เสียแล้วพ่อพูมะเฟอื ง ปากหนายังกะพรงึ ( กระดมุ ลอ้ เกวียน ) จะทาสีผึงก็เปลอื ง หอมเอ๊ยเจา้ ช่อมะเฟือง หอมแล้วเมอื่ ยามเอ๋ยเยน็ เอย” ( จา้ รัส อยสู่ ุข การอบรมเชงิ ปฏบิ ตั ิการ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ) ภาพท่ี ๕๓ การอบรมเชิงปฏบิ ัติการเพลงเรอื ของครจู ้ารสั อยสู่ ขุ เมอ่ื วันท่ี ๑๕-๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗ คา่ ยเพาะกล้าพันธุ์เก่งเพลงพืนบ้าน โครงการวิจัยเพลงพนื บ้านภาคกลาง ทมี่ า : จิราภรณ์ บุญจันทร์ ค. การร้องทานองสายอา่ งทอง มลี กั ษณะดงั นี คอต้น ( โยน โยน โย้น ตาลา..ไฮ้ ) เออ่ ..เออ..เอิง..เงย้ ..( ลูกคู่ ) ฮา้ ..ไฮ้..เชียบ เชยี บ เมื่อก่อนประเดมิ ทจ่ี ะเร่มิ เวลา ตอ้ งขออภัยนายน้า (ฮ้าไฮ้) พีน่ อ้ ง ( ชะชะ) ขอบอกออกตวั กเ็ พราะว่ากลัวติดขดั เพง่ิ จะประเดิมเร่มิ ดดั (ฮ้าไฮ้) หดั ร้อง ( ชะชะ) ถงึ เสียงไมใ่ สแต่เปน็ คนไทยรกั ศลิ ป์ ขอเทดิ ศักดิศ์ ลิ ปิน (ฮา้ ไฮ้) ปกป้อง ( ชะชะ) ศิลปะของไทยไม่ยอมให้เส่ือมโศก เราตอ้ งให้อยู่ค่โู ลก (ฮา้ ไฮ้) ยกย่อง ( ชะชะ) ถา้ ตา่ งคนต่างทงิ ก็คงต้องกลิงลงคลอง ช่วยกนั รกั ษาไวห้ นอ่ ยอย่าปลอ่ ยให้ลอยละล่อง ขอเชญิ ท่านมารอ้ งเพลงเอย (ลูกคู่ ) ขอท่านมาร้องเพลง เอ๊ย เพลง..เอย ช่วยกันรักษาไว้หน่อยอย่าปล่อยให้ลอยละล่อง ไว้ หน่อย ไว้หน่อย ขอเชิญท่าน เอย..เอ๊ย..ท่านมาร้องเพลง มาร้องเพลงเอย ( มังกร บุญเสริม สัมภาษณ์ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๗ )
๑๓๔ ภาพท่ี ๕๔ พอ่ มงั กร บญุ เสรมิ ให้สัมภาษณเ์ รอื่ งเพลงเรอื เมื่อวนั ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๗ ที่มา : บวั ผนั สพุ รรณยศ และจิราภรณ์ บญุ จนั ทร์ ง. การร้องทานองสายลาตัด เพลงเรือสายล้าตัดร้องค่อนข้างกระชัน เน้น ความสนุก มีลูกคกู่ ระทุ้งในวรรคด้วย เช่น ท้านองครูชินกร ไกรลาศ ซ่ึงสืบทอดมาจากแม่ประยูร ยมเย่ียม มี ลกั ษณะดงั นี เอ่อ..เออ เอิง๊ เอย ฮา้ ..ไฮ้..เชียบ เชียบ ช. เดอื นสิบเอด็ /นา้ นอง/เดอื นสบิ สอง/นา้ ทรง พีก่ ็เข็น/เรอื ลง ( ฮ้าไฮ้ ) มาหน้าท่า ใครหนอ /( เชยี บ) ใครแน่ /(เชียบ เชยี บ ) ท่ีเป็นแม่/เพลงเรือ เรามาว่า/กันคนละเหง่ือ ( ฮ้าไฮ้) เถิดหนา ใครมี/ ( เชียบ) วาทะ/ (เชียบ เชียบ ) พี่อยากจะประ/ คารม อยากช่ืน/ อยากชม/ ( ฮ้าไฮ้) วาจา ................................................ ..................................... พีจ่ ะจอด/ เฉยเฉย/ เอาหวั เกย/ กอหญา้ จะจอด/ คอ่ ยค่อย/ แล้วก็ถอย/ ออกมา เอาหัวเกย/ ไปหนอ่ ย / แลว้ กถ็ อย/ ออกมา น้องจะคดิ / คา่ ท่า/ เท่าไหรเ่ อย ( ลกู ครู่ บั ) น้องจะคดิ / ค่าท่า/ เท่าไหร่เอย เอาหัวเกย/ ไปหน่อย / แล้วก็ถอย/ ออกมา น้องจะ คดิ / คา่ ทา่ / เท่าไหร่เอย ฮ้า..ไฮ้..เชยี บ เชียบ ( ประยรู ยมเยยี่ มและชิน ฝา้ ยเทศ การแสดง ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ )
๑๓๕ ภาพที่ ๕๕ การแสดงลา้ ตัดและเพลงเรอื ของแมป่ ระยูร ยมเย่ียมและครูชินกร ไกรลาศ งานพระมหาธรี ราชเจ้าร้าลกึ เมอ่ื วันท่ี ๒๗ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๓ ณ พระราชวังสนามจันทร์ จังหวดั ครปฐม ที่มา : บวั ผนั สพุ รรณยศ นอกจากทา้ นองเหลา่ นีแล้ว พ่อหวงั เต๊ยังคิดสร้างสรรค์เพลงเรือด้วยการร้องท้านอง ทางเพลงไทย เช่น ขึนเพลงและร้องรับว่า “เอ่อ..เออ เอ๊ิง เอย ฮ้า..ไฮ้..เชียบ เชียบ นอละนอละนอละนอ ละ นอละนอละนอละนอย ฮ้า..ไฮ้..เชียบ เชียบ” ซ่ึงแพร่หลายไปทั่วประเทศเพราะมีการบันเสียงแถบเสียงและ แถบภาพออกจ้าหนา่ ยท่ัวไปด้วย ๒.๒.๓.๖ ขนบธรรมเนยี ม ประเพณีและความเชื่อ เนื่องจากผู้แสดงเพลงเรือทังหลายก็คือคณะเพลงฉ่อยและเพลงทรงเครื่องดังที่กล่าว มาแล้ว จงึ มขี นบธรรมเนยี ม ประเพณีและความเชื่อเช่นเดียวกัน เฉพาะท่ีเป็นของเพลงเรือ ได้แก่ ธรรมเนียม การนั่งร้องในเรือ และการวางพานไหว้ครูไว้ตรงหัวเรือ หากแสดงบนเวทีก็มีธรรมเนียมการร้องการเล่นตาม แบบแผนดังกล่าว ส่วนใหญ่มีท่าร้าเฉพาะ ที่เลียนแบบท่าทางการพายเรือ บางคณะมีการน้าพายจริงมาท้า ท่าทางให้สมจรงิ ดว้ ย นอกจากนันก็มีธรรมเนียมการร้องกลอนครูท่ีสืบต่อกันมา ( อนันต์ สุขศรี สัมภาษณ์ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๗ ) และธรรมเนียมการแต่งเพลงท่ีมีเนือหาเกี่ยวกับแม่น้าล้าคลองและวิถีชีวิตริมน้าของ ชาวบา้ น เช่น การสมมตุ ิเหตุการณก์ ว่าฝ่ายชายพายเรอื มาพบฝา่ ยหญิง กันก็เกยี วพาราสีกันเร่ืองเรือ พาย ตล่ิง ท่าน้า ฯลฯ ตวั อยา่ งเชน่ การแสดงเพลงเรือในรายการส่องศิลป์ถน่ิ สยาม ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมไอพี เอ็ม ชอ่ ง เทนทีวี เนอื ร้องสว่ นหนึง่ เป็นเพลงเรือของครชู ินกร ไกรลาศ สืบทอดมาจากแมป่ ระยรู ยมเยย่ี ม เชน่ (ช.) เดอื นสบิ เอด็ นา้ นองเดือนสบิ สองน้าทรง พ่กี ็เขน็ เรือลง มาหน้าท่า เพราะตงั ใจหมายมั่นจะประชันกับน้อง อึกทึกกกึ ก้อง ร้องท้า ใครหนอใครแน่ทเ่ี ป็นแมเ่ พลงเรือ เรามาว่ากนั คนละเหง่อื เถดิ หนา .................................................. ............................................
๑๓๖ (ญ. ) เดอื นสบิ เอด็ น้านองเดือนสิบสองนา้ ทรง แม่เนอื นิม่ อนงค์ ลงทา่ เหน็ หนุ่มรปู หล่อนัง่ รอในเรือ แม่เจา้ ประคุณบญุ เหลอื รับค้าท้า... ภาพท่ี ๕๖ การบนั ทึกเทปเพลงเรอื รายการสอ่ งศิลปถ์ นิ่ สยาม เมือ่ วนั ท่ี ๑๘ ธนั วาคม ๒๕๕๓ ณ บ้านแมส่ งวน ถถี ะแก้ว อา้ เภอผักไห่ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา เรม่ิ ตน้ รอ้ งกลอนครู แล้วแต่งใหม่เพ่มิ เตมิ ผูแ้ สดงคือคณะมหาวทิ ยาลยั หอการคา้ ไทย ท่มี า : รัตนาภรณ์ ประวตั วิ ชั รา นอกจากนันยังมีการแต่งเพลงใหม่เฉพาะโอกาสเพ่ือร้องปฏิสัมพันธ์กับ เจ้าภาพและผู้ชม เชน่ ต้นฉบับลายมอื ของพอ่ มงั กร บญุ เสรมิ ต่อไปนี ธรรมเนียมการแต่งและการร้องเพลงเรือที่พิเศษนอกเหนือจากนี การแต่งบท เทิดพระเกียรติหรือบทถวายพระพรพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ ตัวอย่างเช่น เพลงเรือถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว งานเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวามหาราช แสดงโดย ขวัญจิต ศรีประจันต์
๑๓๗ บัวผัน สุพรรณยศ และคณะ เม่ือวันอาทิตย์ท่ี ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ ณ เวทีกลางแม่น้าเจ้าพระยาหน้า โรงพยาบาลศริ ริ าช ประพันธ์โดย บัวผนั สุพรรณยศ เช่น ( ขวัญจิต ) เอ่อ..เออ..เอิง..เอย.. กราบเบืองพระยคุ ลบาท เทิดบชู า ลงแพเลยี บเทียบท่าธรรมศาสตร์ ขอเรียงร้อยถ้อยถวาย เพลงนาวา ขอนอ้ มเกล้านอ้ มกระหม่อมพระจอมดวงใจ แทนมะลิมาลัย กราบสกั การ์ เพลงนาวาชาวบ้านสง่ เสยี งหวานน้อมถวาย ทรงเปน็ ศนู ย์รวมใจ ไทยประชา ทรงเป็นแสงทพิ ย์สอ่ งทางแสงธรรมสอ่ งไทย น้าพระทยั ไหลรนิ ชโลมหลา้ พระมหากรณุ าดัง่ “พระบิดาแห่งแผน่ ดิน” เพ่ือลูกไทยพอ่ ไม่ท้อ ทรงอุตส่าห์ ทรงงานหนกั มานานโครงการสานก่อ มทิ รงยอมผ่อนพัก สกั เวลา ยามประชวรยังฝืนพระองค์ทรงงานหนัก ทรงชีทางสรา้ งสุข ทกุ แหลง่ หลา้ ยามเราทุกข์ทรงทกุ ข์ดว้ ยทรงชว่ ยดบั ทกุ ข์ เรากินอิ่มนอนสบาย ตลอดมา พระบารมีปกเกลา้ เหล่าราษฎร์ทังหลาย ทรงเป็นพลังแผน่ ดินทรงเป็นปิ่นนครา อยูใ่ ต้ร่มโพธิสมภารเหมือนอยสู่ วรรค์ชันฟา้ พระม่งิ ขวญั ปวงประชาไทยเอย ภาพท่ี ๕๗ การรอ้ งเพลงเรือถวายพระพรพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัว งานเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวามหาราช แสดงโดย แม่ขวัญจิต ศรปี ระจนั ต์ ศาสตราจารยส์ ุกญั ญา สจุ ฉายา พ่อสจุ ินต์ ชาวบางงาม แม่ส้าเนียง ชาวปลายนา วันทนา ชัยปลาทอง และบวั ผัน สพุ รรณยศ เป็นต้น เมื่อวนั อาทิตยท์ ี่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ ณ เวทกี ลางแมน่ ้าเจ้าพระยาหน้าโรงพยาบาลศริ ริ าช ทม่ี า: บวั ผัน สพุ รรณยศ
๑๓๘ การร้องเพลงเรือเทิดพระเกียรติ เฉพาะพระพักตร์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี งานวนั สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ร้องโดยแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ บัวผัน สุพรรณยศและคณะ เมื่อวันท่ี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขต องครกั ษ์ จงั หวดั นครนายก ประพันธโ์ ดยบวั ผนั สพุ รรณยศ เช่น ( บัวผนั ) เอ่อ..เออ..เองิ ..เอย.. พระทูลกระหม่อมของชน ชาวไทย ขอน้อมอภวิ าทเบอื งบาทยุคล พระพกั ตร์ผ่องผุดผาด พลิ าศพไิ ล พระเสดจ็ มศว. เอย่ี มลออองอาจ มศว. น้อมจดั ทูลถวาย งาน “วันสมเดจ็ พระเทพรตั นฯ” ประทับ“ธ ทลู กระหม่อมแกว้ ” เรือนไทย ครังที่ ๒๓ งดงามเพรศิ แพร้ว ทรงเป็นศรีสง่า แก่ข้าไท พพิ ิธภณั ฑ์ภมู ปิ ัญญา ทรงทอดพระเนตรการร้อง เพลงไทย ทรงลอยพระประทีปแสงทอง เป็นเพชรใสเสริมส่ง ชาตไิ ทย พระเสริมศกั ดิ์เสรมิ ชาตเิ สรมิ ราชวงศ์ พระแผ้วทางสร้างสรรค์ สบื สานไว้ ชาติเรามีศักด์ศิ รเี พราะบารมีพระม่ิงขวญั ทางวางรากฐานและประกาศ เกริกไกร ศิลปวัฒนธรรมประจา้ ชาติ เพลงพนื บา้ นกงั วานคา้ เพราะนา้ พระทัย ดนตรไี ทยไพเราะเสนาะคา่ ล้า นบั เปน็ เกยี รติเปน็ ศรี ยิ่งใหญ่ บุญของขา้ พระบาทไดช้ มพระบารมี หยดหยาดลงมา กลางใจ พระเปรียบดัง่ นา้ ทิพยจ์ ากฟากฟา้ พระเมตตาหอมหวาน ปานดอกไม้ สรรพชวี ติ ล้วนมจี ิตเบิกบาน เพยี งพบพอ้ งผ่องแผ้วอิม่ เอมใจ ชนื่ อะไรใดเล่าเทา่ เมตตาพระม่ิงแก้ว เกิดอยใู่ ตใ้ บบุญเป็นพระคณุ ยิ่งใหญ่ สขุ ใดไหนเล่าเท่าได้เป็นขา้ ไท พระสมเปน็ ดวงใจชาตไิ ทยเอย ส้าหรับประเพณีและความเช่ือ ตัวอย่างเช่น ประเพณีของคณะแม่บัวผัน จันทร์ศรี ได้แก่ พิธีจับมือ ลูกศิษย์ต้องมาขอให้ครูจับมือในวันมงคล ส่วนใหญ่ท้าในวันพฤหัสบดี ในพิธีไหว้ครูประจ้าปี เดอื น ๔ โดยจัดเตรยี มเครอ่ื งบชู าครูใสพ่ าน ไดแ้ ก่ ธูป ๙ ดอก หมากพลู ๙ ค้า บุหร่ี ๙ มวน ใบพลูสวยๆ ๗ ใบ เข็ม ๑ เล่ม และดอกไม้สีต่างๆ หาให้ได้มากท่ีสุด ( ๕ สี หรือ ๗ สี หรือ ๙ สี ) น้ามาไหว้ครู ครูรับแล้วกล่าว คาถา จับมอื รา้ ท้าทา่ ต่างๆ บอกเนอื เพลง สอนร้อง และอวยชยั ให้พร ดงั ภาพ
๑๓๙ ภาพท่ี ๕๘ พธิ จี ับมือ ของแมบ่ วั ผัน จันทร์ศรี เมอื่ วันที่ ๑๖ มนี าคม ๒๕๔๕ ทีม่ า: บวั ผัน สพุ รรณยศ นอกจากนียังมีพิธีไหว้ครูประจ้าปี ครูให้เตรียมเครื่องบูชา ได้แก่ ไก่ต้ม หมูนอนตอง บายศรีปากชามใส่ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ไข่ต้ม กล้วยหวีงาม มะพร้าวอ่อน พานไหว้ครู ธูป เทียน ดอกไม้ และเงนิ กา้ นลมาตังวางหน้าโต๊ะท่ีวางเศียรพ่อแก่และรูปเคารพของครูเพลงทังหลาย ครูผู้น้าจะกล่าวค้าถวาย ส้าหรบั การไหว้บูชาครตู ามปกตใิ นวนั อ่นื ๆ นันก็ใหก้ ล่าวค้าบูชาว่า “ ถวายเทียน ถวายธูป ถวายรูป ถวายทรง ดอกไมบ้ รรจง ธูปเทยี นบชู า” ( บวั ผัน จนั ทร์ศรี สมั ภาษณ์ ๑๖ มนี าคม ๒๕๔๕ ) เพลงเรอื เปน็ เพลงโตต้ อบท่เี ก่าแก่มากของไทย สบื อายไุ มน่ อ้ ยกวา่ ๒๐๐ ปี สันนิษฐาน ว่ามีมาอย่างน้อยในสมัยอยุธยา เดิมเป็นเพลงร้องเล่นในเทศกาลออกพรรษา ทอดกฐินและลอยกระทง ชาวบ้านรวมกลมุ่ กนั ไปเลน่ ในงานวัดต่าง ๆ ต่อมาพฒั นาเปน็ การแสดงหรือมหรสพทีห่ าว่าจา้ งพ่อเพลงแม่เพลง อิสระ ท่ีไม่ได้ตังเป็นคณะเพลงอาชีพมาแสดงเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะโอกาส ปัจจุบันเพลงเรือได้รับการสืบ ทอดโดยศิลปินแห่งชาติ ได้แก่ แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ศิลปินดีเด่นของจังหวัดอ่างทอง ได้แก่ พ่อมังกร บุญ เสริม และศิลปนิ ดเี ด่นจงั หวัดสงิ หบ์ รุ ี ไดแ้ ก่ ครูจา้ รสั อยู่สุข เป็นต้น ผู้สืบทอดส่วนใหญ่คือสมาชิกในคณะเพลง พืนบ้าน ที่แสดงเพลงพืนบ้านหลายชนิด และเยาวชนในสถาบันการศึกษา เช่น วิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี วิทยาลัยนาฏศิลปอ่างทองและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นต้น ลักษณะเด่นของเพลงเรือคือเป็นเพลง พนื บ้านชนิดเดียวที่ร้องเลน่ ในเรือ มีรูปแบบการร้องการเลน่ เป็นลกั ษณะเฉพาะ เช่น การรับของลูกคู่ว่า “ ฮ้า.. ไฮ้” และการตฉี งิ่ จงั หวะ “ ฉิ่ง ฉิง่ ฉับ” เพลงเรือนยิ มมากในแถบลุ่มน้าภาคกลาง แต่ละท้องถิ่นมีท้านองหลัก เหมือนกนั มีลีลาการ้องท่ีแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย เช่น การร้องรับของลูกคู่ เป็นต้น เพลงเรือจึงมีเอกลักษณ์ ของเพลงและมี อัตลกั ษณ์เฉพาะถ่นิ ท่นี า่ สนใจมาก นับเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ส้าคัญอย่างหน่ึง ของไทย
๑๔๐ ๒.๒.๔ ลาตดั ๒.๒.๔.๑ ประวัตคิ วามเป็นมาของการร้องลาตัด ล้าตัดเป็นการแสดงพืนบ้านของภาคกลางที่นิยมในสังคมไทยมาอย่างยาวนานกว่า ร้อยปี นักวิชาการทังทางด้านมานุษยวิทยาและคติชนวิทยาหลายคนได้สนใจศึกษาและน้าเสนอองค์ความรู้ เก่ยี วกับ ลา้ ตัดไว้จา้ นวนมาก ไดแ้ ก่ มนตรี ตราโมท ( ๒๔๗๙ ,๒๕๑๘ ) เอนก นาวิกมูล ( ๒๕๒๑ ) สุกัญญา สจุ ฉายา ( ๒๕๒๓ ) เดน่ ดวง พุ่มศริ ิ ( ๒๕๒๓ ) วาสนา ต้นสารี ( ๒๕๓๒ ) วฒั นะ บุญจับ ( ๒๕๓๒ ) วิชา เชาว์ ศิลป์ ( ๒๕๔๑ ) อภิลักษณ์ เกษมผลกูล ( ๒๕๕๐ ) จามร พงษ์ไพบูลย์ ( ๒๕๕๑ ) และน้าผึง มโนชัยภักดี ( ๒๕๕๔ ) ข้อมูลจากการศึกษาเหล่านีนับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวิจัยเร่ืองเพลงพืนบ้านภาคกลาง โดยเฉพาะเกี่ยวกับหัวข้อ ประวัติความเป็นมาของล้าตัด ซึ่งผู้วิจัยได้สรุปสาระส้าคัญมาเสนอไว้ในงานวิจัยนี และศกึ ษาเพม่ิ เตมิ จากเอกสารและการสมั ภาษณบ์ ุคคลตา่ ง ๆ ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปนี ความหมายของค้าว่า “ล้าตัด” มีผู้รู้ทางด้านศิลปวัฒนธรรมได้ให้ความหมายไว้อย่าง นา่ สนใจ อาทิ เด่นดวง พุม่ ศริ ิ ได้กล่าวถงึ ความหมายของล้าตัดไว้ว่า “ล้า คือ เนือร้องในใจความต่างๆ กัน เช่น ล้าไหว้ครู ล้าเกียว ล้าสาด ล้าว่า ล้าด่า ล้าลอย เป็นต้น ส่วนค้าว่า ตัด หมายถึง ว่าตัดเข้าท้านองเพลงต่างๆ ของแขกของไทย ของเพลงมโหรี ปี่พาทย์ ในตอนท่ีไพเราะเหมาะสมที่จะร้องเข้าจังหวะร้ามะนาได้ครึกครืน กระฉับกระเฉง นอกจากนีก็ไปตดั หรือเลยี นแบบการแสดงอื่นๆ อย่างโน้นนิดนีหน่อย เช่น โขน ละคร งิว สวด คฤหสั ถ์ และทา้ นองเพลงพนื บ้านอน่ื ๆ เชน่ เพลงฉอ่ ง เพลงเก่ยี วข้าว เพลงอีแซว ...” มนตรี ตราโมท ซ่ึงเป็นผู้ ท่ีมีความร้ทู างด้านการดนตรี และการแสดงในด้านต่างๆ ก็เป็นอีกผู้หน่ึงที่ได้พยายามค้นหาท่ีมาของค้าว่า ล้า ตดั วา่ ใครเปน็ ผู้ตังช่ือของการละเล่นชนิดนี และการตังช่ือเช่นนีมาจากอะไร ซึ่งก็ไม่ได้รับค้าตอบเป็นที่พอใจ หรือไดร้ ับความสวา่ งขึนอย่างไรเลย แตเ่ มือ่ มาพิจารณาดูการเล่นลิเกบนั ตน ซึง่ เป็นการเล่นของมลายู จะพบว่า มกี ารเล่นท่คี ล้ายกบั ล้าดงั นัน ค้าว่า ล้า ท่ีประกอบเป็นช่ือเรียกการละเล่นชนิดนีว่า ล้าตัด นันอาจจะหมายถึง การร้องเพลงตัดก็ได้ แต่เม่ือพิจารณาดูแล้วล้าตัดนีก็มีส่วนเป็นล้าอยู่ด้วย คือ ตอนท่ีต้นเสียงและคอสองร้อง เป็นใจความนัน ยึด ลา้ น้า (Rythum) มากกวา่ ท้านอง (Melody) ซึ่งเป็นลักษณะของล้า ส่วนตอนท้ายที่ลูกคู่ รับนันจะเป็นลักษณะของเพลงท้านองท่ีน้ามาให้ลูกคู่รับโดยมากจะตัดมาจากเพลงร้องหรือเพลงดนตรีอีก ชันหน่งึ โดยเลอื กเอาแตต่ อนท่ี ๑ เหมาะส้าหรบั การรอ้ งมาเทา่ นนั เพราะฉะนนั ถ้าจะเรียกการละเล่นชนิดนีให้ ถกู ต้องตามลักษณะที่เป็นอยู่ จะต้องใช้ช่ือเรียกอย่างยืดยาวดังที่ มนตรี ตราโมท เรียกว่า “ขับล้าน้าด้วยร้อง เพลงตัด” ซงึ่ แทนท่จี ะเปน็ ช่อื เรยี กก็จะกลายเป็นคา้ อธิบายไป จงึ เหน็ ได้วา่ ผูท้ ีเ่ ร่ิมการแสดงชนิดนีขึนพร้อมทัง ตงั ช่อื ว่า ลิเกลา้ ตัด (เพราะมาจากดเิ กร์) และต่อมาก็ถูกตัดลงไปโดยความกร่อนของภาษาเหลือเพียงค้าว่า ล้า ตดั จึงเป็นการตังชื่อที่เหมาะสม เรียกง่าย และมีความหมายตรงกับการแสดงมากที่สุด ( อภิลักษณ์ เกษมผล กูล, ๒๕๕๐)
๑๔๑ สรุปได้ว่า ล้าตัด หมายถึง เพลงพืนบ้านภาคกลางชนิดหน่ึงท่ีร้องโต้ตอบกันระหว่าง ชายและหญงิ มเี นือหาและคา้ ประพันธ์เป็นกลอนหัวเดียวเหมือนเพลงโต้ตอบอื่นๆ ของไทย ลักษณะเด่นของ ล้าตดั คือมีทา้ นองอนั หลากหลาย เชน่ แขก มอญ ลาว จนี ฯลฯ เน่อื งจากนา้ เพลงชนดิ อ่ืน ๆ มาร้อง แบบ “ตัด เพลง” มา และทีส่ า้ คญั ต้องมรี ้ามะนาเป็นเคร่ืองดนตรหี ลักของการแสดง ส้าหรับความเป็นมาของล้าตัดนันนักวิชาการทังหลายกล่าวตรงกันว่ามาจากการสวด สรรเสริญ พระเจ้าประกอบการตีกลองรา้ มะนาของชาวมสุ ลิม ทเ่ี รยี กวา่ “ลเิ กฮูลู” ดงั เนอื เพลงล้าตดั ของครูชิน กร ไกรลาศ ตอ่ ไปนี ...วา่ ล่าเอ๋ยล่าตัดมปี ระวัตนิ ่ารู้ มาจากลิเกฮูลูถนิ่ ฐานอย่ทู างใต้ จากจังหวัดปัตตานีเป็นของดที น่ี า่ ดู ได้ร่งุ เรอื งเฟ่อื งฟแู พร่ไปอยู่ทวั่ ไทย ทั้งในกรุงภาคกลางแลว้ กต็ า่ งจังหวัด เรียกชื่อนา่ วา่ ล่าตัดยงั ยนื หยัดรับใช้... ( ชนิ ฝ้ายเทศ ๒๕๔๗ : ๓ ) “ลิเกฮูลู” หรือ “ละกู” หมายถึง การร้องเป็นท้านอง ส่วนค้าว่า “ซิเกร์” หรือ “ดิ เกร์” หมายถึง การระลกึ ถงึ พระเจา้ คา้ ว่า “ดิเกร์” ซ่ึงตอ่ มาเรียกว่า “ดเิ ก” นมี ีหลกั ฐานยนื ยันจากพระนิพนธ์ ของสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดา้ รงราชานุภาพ ทีท่ รงกลา่ วไวใ้ นหนงั สอื ระเบียบตา่ นานละคร วา่ ค่าว่า ดิเก เป็นภาษามาลายู แปลว่าขับร้อง เดิมนั้นเป็นการสวดบูชาพระ ในทางศาสนาของแขกอิสลาม ส่ารับหนึ่งมีนักสวดตีระมะนา ราว ๑๐ คน สวดเพลงแขก เข้ากับจังหวะร่ามะนา ได้เข้าไปสวดถวายตัวคร้ังแรกในการบ่าเพ็ญพระราชกุศล เมื่อปี มะโรง พระพุทธศักราช ๒๔๒๓ ต่อน้ันมาพวกเช้ือแขกในกรุงเทพฯ นี้คิดสวดดิเกแผลง เปน็ ล่านา่ ต่าง ๆ เมอื่ เกิดเปน็ การประชันแข่งขันพวกดิเกก็คิดลูกหมดเข้าแกมสวดร้องเป็น ภาษาต่าง ๆ และท่าเครื่องเล่น เช่น ท่าเป็นตัวหนังเชิดเอาร่ามะนาเป็นจอ เมื่อร้องลูก หมดเป็นเพลงตะลงุ เปน็ ตน้ ดเิ กกลายเป็นการเล่นขึ้นมาอย่างหนึ่ง ต่อมาพวกจ่าอวดไทย ก็เล่นดเิ กบ้าง ขบั ร้องเพลงแขกเขา้ จงั หวะรา่ มะนาพอเป็นกิรยิ าบ้างตอนต้น พอถึงลูกหมด เป็นเพลงต่างภาษา เมือ่ ร้องเพลงภาษาไหนก็แต่งตัวจ่าอวดเป็นคนชาติน้ัน ๆ ออกมาเล่น เป็นชดุ ๆ เลน่ ดเิ กกนั มาอย่างนีอ้ ีกระยะหนงึ่ ( วิชา เชาวศ์ ิลป์ ๒๕๔๑ : ๒๒ – ๒๓ ) ดิเกท่ีเล่นออกภาษาเช่นนีต่อมาก็เรียกว่า “ลิเกลูกบท” หรือ “ลิเก” ดังทุกวันนี ใน บทความเรื่อง“ล่าตัด” คู่กับ “ลิเก” มีก่าเนิดมาด้วยกันจาก “แขก” ของสุจิตต์ วงษ์เทศ ในคอลัมน์สยาม ประเทศไทย ( มติชนออนไลน์ วันท่ี ๑๐ มกราคม ๒๕๕๖ อ้างถึงหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจ้าวัน
๑๔๒ อังคารที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕) กล่าวถึงประวัติของล้าตัดกับลิเกว่ามาจาก “ดิเกร์” ซ่ึงเป็นพิธีกรรมทาง ศาสนา เพ่ือสวดสรรเสริญพระอัลเลาะห์ของชาวมลายูมุสลิมท่ีถูกกวาดต้อนขึนไปอยู่กรุงเทพฯ ตังแต่สมัย รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลท่ี ๓ จากบ้านเมืองทางภาคใต้ของไทย เช่น เมืองปัตตานี และเมืองใกล้เคียง คน กรุงเทพฯ ยุคนันพากันเข้าใจเอาเองว่า พิธีดิเกร์เป็น สวดแขก แล้วเรียกค้ามลายู ดิเกร์ เพียนไปว่า “จิ เก” บ้าง “ยี่เก” บา้ ง ตามถนัดปาก ตอ่ มาก้าหนดใหเ้ รยี กเปน็ ทางการวา่ ลิเก แล้วเรียกพิธีอย่างนี ว่า ลิเกสวด แขก ลเิ กสวดแขกนี มหี ลายคนนั่งล้อมเปน็ วง แต่ละคนมเี คร่อื งดนตรีคนละอย่าง คือ กลอง รา้ มะนามีหลายใบ และเคร่ืองจังหวะมีโหม่ง, กรับ, ฯลฯ แล้วตีประโคมโหมโรงพร้อมกัน จากนันมีต้นบทคน หนึ่งร้องน้าเป็นค้ามลายู ร้องวรรคหน่ึง ก็หยุดให้ลูกคู่ร้องทวนซ้าพร้อมกัน แล้วตีประโคมกลองร้ามะนาและ เครอ่ื งจังหวะไปดว้ ย นานไปลเิ กสวดแขกก็เป็นลเิ กลา้ ตัด เมอื่ มีชาวมลายูมุสลิมกลุ่มหน่ึงในกรุงเทพฯปรับปรุง ลิเกสวดแขกภาษามลายูเป็นภาษาไทย แล้วเลือกขับล้าอันเป็นที่นิยมเล่นในยุคนันมาผสมใช้งาน โดยไม่เอา ท้านองทังหมด แตต่ ดั สนั ๆ เฉพาะที่สนุกสนาน เลยเรยี กลเิ กล้าตัด นานเข้าก็กร่อนเหลือแค่ล้าตัด สืบมาจนทุก วนั นี ( สจุ ติ วงษ์เทศ เรือ่ งเดิม อ้างถงึ การละเล่นของไทย โดย มนตรี ตราโมท กรมศิลปากร พิมพ์ครังแรก พ.ศ. ๒๔๗๙ ) ลิเกสวดแขกกลุ่มหน่ึงปรับเป็นล้าตัด ก็มีอีกกลุ่มหน่ึงพัฒนาแยกเป็นลิเกออก ภาษา แสดงชดุ ของชาตภิ าษาตา่ งๆ แต่ก้าหนดว่าต้องเร่ิมด้วยชุดภาษาแขก เรียกแขกรดน้ามนต์ แล้วถึงตาม ด้วยชุดภาษาอน่ื ๆที่ตอ้ งการใหต้ ลกขบขันสนุกสนาน ลิเกออกภาษา มีตัวแสดงแต่งกายตามภาษานันๆ โดยผู้ แสดงร้องเองเป็นค้าไทยแต่ดัดเป็นส้าเนียงภาษานันๆ แล้วท้าท่าทางประกอบ ส่วนคนตีกลองร้ามะนาและ เคร่อื งจงั หวะท่ีน่งั ลอ้ มวงก็รอ้ งรบั พรอ้ มกันเป็นลกู คู่ เมือ่ หมดกระบวนชุดหน่งึ ผ้แู สดงเข้าฉาก พวกตีร้ามะนาก็ พากนั ประโคมตา่ งๆ อยา่ งล้าตัดสนั ๆ สลบั รอผู้เลน่ แต่งชุดภาษาใหม่ออกมาเล่นต่อไป ด้วยส้าเนียงและเครื่อง แต่งตัวสมมติเป็นภาษานันๆ เช่น มอญ ลาว จีน เขมร, ฯลฯ ( เป็นต้นแบบเพลงสิบสองภาษาสืบมาจน ปัจจบุ ัน ) ต่อมาพวกวงป่ีพาทย์กับพวกสวดคฤหัสถ์ท่ีเล่นประโคมงานศพ เห็นว่าลิเกออกภาษา ของพวกแขกมสุ ลิมสนุกสนาน จงึ นา้ ไปดัดแปลงเล่นเข้าวงป่ีพาทย์บรรเลงรับแทนตีร้ามะนา ครันนานเข้าก็ให้ แตง่ ตวั ฉดู ฉาดมากกว่าเดิม แล้วเรยี กวา่ ลิเกลูกบท ครนั นานไปกร็ ัดเครอื่ งเลียนแบบละครนอกทังเครื่องแต่งตัว และลีลารอ้ งร้า แตต่ อ้ งท้าให้เพียนจากละครของหลวง (เพราะมีข้อห้ามทา้ เลยี นแบบเหมอื นของจริง ใครขืนท้า ก็ผิด ต้องติดคุกตะราง) แล้วเรียก ลิเกทรงเครื่อง ส่วนชุดแขกรดน้ามนต์ท่ีเป็นชุดแรกในลิเกออกภาษา ก็ ปรบั เปลีย่ นเป็น “ออกแขก” เชิงสญั ลักษณ์วา่ มีต้นเค้าจากดิเกร์ของแขกมลายูมุสลิม ลิเกก่อนแสดงทุกวันนีจึง ต้องมีออกแขกด้วยท้านองแขกซัมเซ (บางทีเรียกแขกบุรันยะวา ค้าร้องมีต่างๆออกไป ขึนอยู่กับกาลเทศะท่ี แสดง เช่น ยุคต่อต้านคอมมิวนิสต์ ลิเกบางคณะออกแขกต่อต้านคอมมิวนิสต์ตามค้าขอร้องแกมบังคับของ รฐั บาลสมยั นัน )เมื่อล้าตัดกับลิเกแยกกันเด็ดขาดแล้ว โดยล้าตัดใช้กลองร้ามะนาตีรับเหมือนเดิม ส่วนลิเกมีป่ี พาทย์ประโคมรบั (อยา่ งละคร) ลิเกไม่เอาล้าตัดเข้ามาปน แต่ล้าตัดเอาลิเกไปเล่นสลับได้ โดยเลียนแบบอย่าง ลดั ๆ ตดั ๆ สนกุ สนาน ( เร่อื งเดิม )
๑๔๓ ส่วนดิเกท่ีเป็นล้าตัดนันมาจาก “ลิเกบันตน” เด่นดวง พุ่มศิริ ได้กล่าวไว้ว่า“ล้าตัด เท่าท่ีมีหลักฐานพอเชื่อว่า เป็นการแสดงแบบหนึ่งท่ีไทยเราน้าแบบแผนการแสดง “ดิเกร์” ของมลายูมา ปรับปรุงดัดแปลงแก้ไขจนกลายเป็นล้าตัดอยู่ในปัจจุบัน ดิเกร์นันชาวมลายูน้ามาแสดงในกรุงเทพฯ ครังแรก เม่ือตน้ รัชกาลที่ ๕ แหง่ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ วธิ ีการแสดงมีคนตีรา้ มะนาหลายคนพร้อมด้วยเครอ่ื งประกอบจังหวะ อื่นๆ พอผู้เป็นต้นบทร้องน้าขึนเป็นภาษามลายูแล้ว พวกที่น่ังล้อมกันเป็นวงก็ร้องรับเป็นลูกคู่พร้อมกับตี ร้ามะนาและเครอื่ งประกอบจงั หวะไปด้วย ล้าร้องนนั เรยี กว่า “บันตน” เม่ือร้องบันตนไปจนจบกระบวนความ หรือสมควรแกเ่ วลา การแสดงจะเร่ิมพลกิ แพลงออกเป็น ๒ สาขา สาขาหนงึ่ เรียกว่า “ฮันดาเลาะ” มีการแสดง เปน็ ชดุ และเรอื่ งเบ็ดเตล็ดตา่ งๆ ซ่งึ เปน็ ที่มาของลิเก ส่วนอกี สาขาหน่ึงเรียกว่า “ละกูเยา” เป็นการว่ากลอนด้น แก้กันอนั เปน็ ต้นทางท่กี า้ วสู่ “ลเิ กล้าตดั ” หรอื เรยี กสนั ๆ ว่า “ล้าตัด” การแสดงบันตนนันปรากฏในเมืองไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการกล่าวถึงการแสดงใน ลักษณะนีไวใ้ นสาสน์ สมเดจ็ เล่มที่ ๒๗ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ และ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด้ารงราชานุภาพ หน้า ๒๖๒ - ๒๖๔ ความวา่ “ยังมีต่านานอีกเรื่องหน่ึง ซ่ึงเกิดเนื่องมาแต่คร้ังงานพระศพสมเด็จพระนาง สุนันทาเหมือนกับเม่ือมีกงเต๊กเป็นงานหลวงคร้ังน้ัน คนท้ังหลายคงจะเห็นเป็นการทรง บ่าเพ็ญพระราชกุศลอย่างกว้างขวาง ผิดกับที่เคยมีมาก่อน เป็นเหตุให้พระยามิตรภักดี (หรือสร้อยอย่างอ่ืนจ่าไม่ได้แน่) เป็นแขกอาหรับ พวกเราเรียกกันแต่ว่า “ขรัวหยา” ซ่ึง เป็นเขยสขู่ ้าหลวงเดมิ กราบทูลขอเอาพวกนักสวดแขกอิสลามเขา้ มาสวดชว่ ยพระราชกุศล และทลู รับรองวา่ ไม่ขัดกับศาสนาอิสลาม จึงโปรดใหเ้ ขา้ มาสวดในเวลาค่าตามเวลาของเขา ณ ศาลาอัฏวิจารณ์ท่ีพระญวนเคยท่ากงเต๊ก หม่อมฉันไปดูเห็นล้วนเป็นแขกเกิดใน เมืองไทย ทราบภายหลังว่าเป็นชาวนนทบุรี น่ังขัดสมาธิถือร่ามะนาแขกล้อมเป็นวง จะ เปน็ วงเดียวหรือ ๒ วงจา่ ไม่ได้แน่ แตน่ ่งั สวดโยกตวั ไปมา สวดเป็นล่าน่าอย่างแขก เข้ากัน เป็นจงั หวะรา่ มะนา ไดเ้ หน็ ครัง้ แรกกไ็ ม่สเู้ ข้าใจนกั ต่อมาในปนี ้ันเองมงี านฉลองพระชันษา สมเดจ็ พระราชนิ ีวกิ ตอเรียที่สถานทตู อังกฤษ ในงานนนั้ พวกคนต่างชาติในบังคับอังกฤษท่ี อยู่ในกรุงเทพฯ พากันหาเครื่องมหรสพต่างๆ ไป เห็นพวกนักสวดแขกชาวเมืองไทยน่ัง เปน็ วงตีร่ามะนาสวดประชนั กันอยู่ ๒ ประร่า...” เดิม “บนั ตน” จะรอ้ งเป็นภาษามลายูอย่างเดยี ว แต่วิธีแสดงบันตนแบบละกูเยานี ต้น บทจะร้องสันๆ ลูกคู่รบั แล้วต้นบทจะเปลย่ี นเพลงต่อไป แลว้ ผลัดให้ต้นบทคนอ่นื ๆ ร้องบ้าง ต่อมาก็มีการพลิก แพลงใหผ้ ้ฟู ังพอใจยิง่ ขนึ เชน่ แทรกคา้ ไทยมากๆ จนกระทั่งร้องและรบั เปน็ ภาษาไทยทงั หมด ส่วนถ้อยค้าท่ีต้น บทผลัดกันร้องนันกลายเป็นการโต้ตอบหรือว่าแก้กัน ซ่ึงแยกเป็น ๒ แนวทาง คือ ทางหนึ่งว่ากันให้เสียหาย เพื่อให้อีกส่วนหนึ่งกล่าวแก้ อีกทางหน่ึงเป็นการสอบถามความรู้ทดลองปัญญากัน การแสดงแบบนีภายหลัง เรียกว่า “ลิเกลา้ ตัด” และกรอ่ นเหลอื “ลา้ ตัด” ( วิชา เชาว์ศิลป์ เรื่องเดมิ : ๒๔ )
๑๔๔ ล้าตัดเดมิ แสดงกนั เพียงวงเดียว เม่ือมีผู้นิยมแพร่หลายจึงเกิดประชันกันขึน ต่างคณะ ตา่ งครวู า่ แก้กนั ประกวดประชนั กัน แรกๆ ผแู้ สดงเปน็ ชายลว้ น เพราะถอื วา่ มาจากบทสวดของศาสนา ลา้ ตัดเกิดในกรุงเทพฯ โดยชาวอิสลามท่ีอพยพมาจากทางใต้ แล้วแพร่หลายไปในหมู่ ประชาชนท่วั ไป เอนก นาวิกมูล ( เรื่องเดิม : ๕๘๕ ) เล่าว่า “ผู้ที่ท้าให้ล้าตัดเกิดขึนเป็นชาวอิสลามท่ีมาอยู่ใน กรุงเทพฯ เหตุเน่ืองมาจากการเกิดศึกสงคราม ท่ีส้าคัญก็เช่นครังกรมพระราชวังบวร สมัยรัชกาลที่ ๑ ลงไป ปราบปรามพมา่ ทางตอนใต้และปราบเจ้าเมืองปัตตานีท่ีแข็งเมือง เมื่อเสร็จศึกคือชนะแล้วก็ได้ทรงกวาดต้อน ผู้คนทางนันขึนมาด้วย ได้โปรดให้ชาวอิสลามแยกย้ายไปตังบ้านเรือนอยู่ตามที่ต่างๆ เช่น สี่แยกบ้านแขก เจริญพาสน์ คลองต้นสน บางกะปิ คลองตัน หนองจอก มีนบุรี เป็นต้น ชาวมุสลิมเหล่านีจึงน้าวัฒนธรรม ประเพณตี ิดมาด้วย โดยเฉพาะ การสวดดิเก และกลองร้ามะนา ภาพท่ี ๕๙ รา้ มะนา วิชา เชาว์ศิลป์ ( เร่ืองเดิม : ๒๕ - ๒๖ ) อธิบายว่า กลองร้ามะนา ซ่ึงภาษามลายู เรยี กวา่ “เรอบานา” เปน็ กลองหนา้ เดยี ว หนา้ กว้าง ๒๐ นวิ ขึนหนา้ กลองด้วยหนังแพะหรือหนังลูกวัว ในงาน บุญของชาวอิสลามจะมีการตีกลองและสวดขับเพลงที่เรียกว่า ดิเก ซ่ึงภาษาเปอร์เซียเรียกว่า ซิเกร์ และใน วัฒนธรรมมลายูเรียกว่า ลิเกฮูลู แต่แขกตานีในกรุงเทพฯ เรียกว่า “ลิเกกลอง” หรือ “ลิเกเลียบ” หรือท่ี หวงั เตะ๊ เรียกวา่ “ลเิ กเรียบ” ซง่ึ เปน็ ต้นทางของลิเกล้าตัดและลิเกลูกบท การเล่นลิเกเลียบถือเอาท้านองและ จงั หวะกลองเป็นใหญ่ เร่ิมด้วยจังหวะชา้ ๆ ดว้ ยท้านองละกู ที่ชือ่ “ อสั สะลา” ลเิ กเลียบวงหนง่ึ เลน่ กันตังแต่ ๘ – ๑๔ คน แต่ท่ีนิยมคือ ๑๒ คน แล้วจึงร้องสรรเสริญพระศาสดา เข้ากับร้ามะนา มีทังท้านองช้าและเร็ว หลังจากนนั จะออกเล่นเบด็ เตลด็ การเลน่ เบ็ดเตล็ดของลิเกเลียบนันมีการร้อง “บันตน” หรือ “ปะตง” ด้วยภาษามลายู เปน็ การร้องด้นกลอนสด เนือความอาจเกียวพาราสกี ัน หรือต่อว่ากัน ถ้าเป็นการประชันต่างวงกันก็จะโต้ตอบ กนั ไปมา แลว้ มีการรา้ กรบั รา้ มือ ล่อไล่กนั เปน็ คู่ ๆ เมือ่ ความนิยมมากขึน ต่อมาจึงเรียกกันว่า “ลิเกบนั ตน” คา้ วา่ ลิเกบนั ตน ปรากฏในราวปลายรชั สมัยรัชกาลท่ี ๕ ผู้ท่ีเล่นลิเกบันตนพวกแรกนัน เด่นดวง พุ่มศิริ กล่าวว่า มีอยู่ ๔ พวก คือ “หะยีแดง เรียกกันท่ัวไปว่า ยีแดง อยู่ต้าบลไผ่เหลือง สุเหร่าไซ กองคนิ อ้าเภอมีนบุรี ครูซัน อยู่ต้าบลถนนตก ครูพันโด่ง อยู่ต้าบลสมเด็จเจ้าพระยา และครูหมัดตุ๊ อยู่ต้าบล
๑๔๕ บ้านครัว ต่อมาลูกศิษย์ของหะยีแดงช่ือนายบุญชู วงศ์ไทย ได้เปลี่ยนชื่อจากลิเกบันตน เป็น “ลิเกล้าตัด” ภายหลังตัดค้าว่า ลเิ ก ออก เหลือแต่ “ลา้ ตดั ” หวงั ดี นิมา (หวังเต๊ะ) ได้กลา่ วถึงความเปน็ มาของลา้ ตัดไวว้ ่า “ลา่ ตดั เจรญิ ในสมยั รชั กาลที่ ๖...ดิเกเรยี บ ไม่มวี า่ กัน เล่นกันนานๆ เข้าก็เป็น ลา่ ตดั ร้องเป็นภาษาไทย พวกครโู รงเรยี นเป็นคนเล่น สมยั นนั้ คนไม่รู้หนงั สือมาก ผเู้ ขยี น กลอนดูเหมือนจะเป็นครูประชาบาลเขียนเนื้อว่าแก้กัน ในกรุงเทพฯ คณะแรกคือ คณะ ทหารเรือ สามสมอ เล่นกันก่อน ยืนร้อง เอากลองตี ร้องว่ากันวงเดียว ต่อมาก็แยกว่า ต่อมามีพวกหนองจอกเข้ามาประชันในกรุงเทพฯ พระยาไพบูลย์สมบัติเป็นคนริเริ่มการ ประชันข้ึนก่อนท่ีวิกบุษปะ ผู้ชายต่อผู้ชาย ต่อมามีการเขียนกลอนว่ากัน คนเขียนกลอน เป็นครูชอ่ื ครูกบ หรือเรยี กว่า หะยีกบ” (อภลิ ักษณ์ เกษมผลกูล ๒๕๕๐) “หะยีกบ” กบั “หะยเี ขยี ด” เปน็ ลา้ ตัดมีช่ือในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้เขียนล้าตัดเผยแพร่ ในหนังสือท่ีคนในสมัยนันรู้จักกันดี เช่น หนังสือวัดเกาะ หรือหนังสือของโรงพิมพ์ราษฎร์เจริญและโรงพิมพ์ อน่ื ๆ ในยคุ เดียวกนั ทตี่ ีพิมพ์เนอื รอ้ งล้าตัดเร่ืองตา่ งๆ จ้าหน่ายท่ัวประเทศ ตัวอย่างเช่น ล้าตัดของหะยีเขียดท่ี แต่งเพ่ือเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ในขณะนัน เช่น เรื่องอ้ายเสือย้อยใจยักษ์ เรื่องฆ่าชายชู้ เร่ืองนางทองไล้ เร่ือง หญิงใจเพชร์ เร่อื งอีทองเล่อื น เรอื่ งอ้ายเสือใบและเรือ่ งนางสาวทองล่มิ ดงั ภาพตอ่ ไปนี ภาพที่ ๖๐ ปกหนังสือล้าตดั เรอ่ื งต่าง ๆ ในสมัยรชั กาลที่ ๖ ทม่ี า : https://www.google.co.th
๑๔๖ นอกจากนียังมีล้าตัด เรื่องล๊อตเตอร่ี โดยวงเสือเตีย ในหนังสือเกราะเหล็ก พ .ศ. ๒๔๖๗ ( เรอื่ งเดมิ : ๕๙๙ – ๖๐๑ ) จากขอ้ มูลดงั กลา่ วทา้ ใหท้ ราบว่าสมัยนีมีนักล้าตัดที่มีชื่อเสียงหลายคน ล้า ตัดท่ีมีช่ือเสียงที่อยู่ร่วมสมัยกับหะยีเขียด เช่น นายชะโอด หรือสะโอด ท่าไข่ แปดริว นายบุญชู วงศ์ไทย ไผ่ เหลอื ง มนี บุรี เปน็ ตน้ ( เอนก นาวกิ มลู เรอื่ งเดมิ : ๕๘๖ ) ตงั แต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ อยหู่ ัวลงมา ลเิ กและล้าตัดซ่ึงเกิดขึน ใหม่นีก็แพรไ่ ปยังชาวบ้านตามท้องท่ีต่าง ๆ อยา่ งรวดเรว็ จากหนงั สือเสด็จประพาสต้น ของสมเด็จกรมพระยา ด้ารงราชานภุ าพ เล่าถึงครังเสด็จประภาสต้นครังแรกที่ราชบุรีว่า พบลิเกอยู่หน้าโรงบ่อนที่ตลาดปากคลองวัด ประดู่ และคราวเสด็จประพาสตน้ ครงั ท่ี ๒ ท่ีสีกุก อยธุ ยา พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จบ้าน หมืน่ ปฏิพทั ธภบู าล หรอื นายชา้ ง เพอื่ นต้น ของพระองค์ก็ปรากฏวา่ นายชา้ งจัดงานฉลองลกู ชายมลี เิ กและเพลง เล่นในงาน ส่วนหลวงทวยหาญรักษา ผู้แต่งนิราศหลวงพระบาง ได้บันทึกกล่าวถึงมหรสพชนิดใหม่ ซ่ึงก็คือ ลา้ ตดั ว่า มีล้าล้ารา้ มะนาเลน่ นา่ โตะ๊ เสียงโจง๋ โจ๊ะจ๊ะท่งั กา้ ลงั สาว ขยบั ฉง่ิ จงิ่ จบั เสยี งกรับกราว มีนางกล่าวกลอนเพราะเสนาะนวล ( สกุ ญั ญา สจุ ฉายา ๒๕๒๕ : ๘๕ ) เดิมลา้ ตดั เวลาร้องกย็ ืนครึง่ นง่ั ครงึ่ เรียกวา่ “คร่ึงทอ่ น” คอื ยนื ไม่เต็มตัว ต่อมาก็ลุกขึน ยืนร้องเต็มตวั ผลัดกันว่าโต้ตอบฝา่ ยละ “ยืน” คอื เวลาหน่งึ ราว ๓๐ นาที คล้ายคา้ ว่า “ยก” ในวงการมวย เนือ ร้องสว่ นใหญ่เปน็ การขดุ คุ้ยความไม่ดขี องกนั และกันมาประจาน บางงานก็มีการหาล้าตัดฝีปากดีมาประชันกัน ตัวตอ่ ตวั บา้ ง คตู่ ่อคบู่ า้ ง มีกรรมการ มีกติกาแน่นอน สมัยรัชกาลท่ี ๖ มีการประชันล้าตัดกันมาก และมีการ “ถือหาง” หรือพนันด้วย บางครังก็ว่ากันดุเด็ดเผ็ดร้อน บางทีล้าตัดแพ้ผู้ถือหางไม่ยอมแพ้ ก็มีเร่ืองทะเลาะวิวาทกัน เช่น หนังสือพิมพ์ กรงุ เทพเดลิเมล์ ฉบับวนั ท่ี ๑๘ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ ลงข่าวไวต้ อนหน่งึ สรปุ ไดว้ า่ เกิดเหตุวุ่นวายขึนท่ีวิกเงียว เทียน เน่ืองจากเจา้ หน้าทีเ่ ปา่ นกหวดี ใหล้ ิเกล้าตดั วงนายอารุณ (ส่ีมิตร์) กับนายกลิง วงขันทอง หยุดการแสดง เพราะใช้คา้ หยาบคาย ซ่ึงผดิ กติกา ท้าใหผ้ ูด้ ไู มพ่ อใจจึงเกิดความวุ่นวายขนึ แต่เจา้ หนา้ ทีก่ ค็ มุ สาถานการณ์ไว้ได้ เนอื่ งจากความวนุ่ วายเมอ่ื ประชนั ลา้ ตัดนีจงึ มีการหา้ มประชันในราว พ.ศ. ๒๔๖๕ แต่ล้าตัดก็ไม่ได้หายสาบสูญ ไป กลับท้าใหเ้ กิดลา้ ตดั ผูห้ ญิงขึนด้วย ล้าตดั หญิงคนแรกคอื นางเซาะ อยู่คลอง ๑๗ ล้าตัดจึงเริ่มมีการน้าหญิง ชายคู่หน่ึงมาว่าแก้กับหญิงชายอีกคู่หน่ึง ต่อมาราว พ.ศ. ๒๔๗๙ จึงเปล่ียนเป็นชายคู่หน่ึงว่าแก้กับหญิงอีกคู่ หนึง่ เหมอื นดังเชน่ ปจั จุบัน ( เร่อื งเดมิ ) ลา้ ตัดหญิงนอกจากนางเซาะแลว้ ยังมนี างยูฮนั อยู่มีนบรุ ดี ้วย ในสมยั รชั กาลท่ี ๖ ลา้ ตัดถือเป็นมหรสพท่ีนิยมอยา่ งย่ิง ปรากฏหลักฐานการประชันล้า ตัดในโรงมหรสพ หรือท่ีเรียกว่า วิก เช่น “วิกบุษปะ” ดังใบแทรกโฆษณาล้าตัด พ.ศ. ๒๓๖๓ ที่กล่าวถึงการ ประชนั กนั ระหว่างลา้ ตัดคณะนายยง้ ( หรือ ยัง ) อยู่ฝัง่ ธนบรุ ี มีนายหนุน และนายทิง ( เจริญพาศน์) รวมกับ
๑๔๗ ลูกคู่กวา่ สามสบิ คน และคณะนายอรุณ ( ที่เคยถูกสั่งห้ามประชัน ต่อมาได้ท้าทัณฑ์บนแล้วจึงมาประชันครังนี ได้ ) ซงึ่ มีนายถนอม นายเรอื ง นายเมด็ นายหลอ่ ( ท่าเกษม ) ( เร่อื งเดิม : ๕๙๗-๕๙๘ ) ความนิยมการประชันล้าตัดคงสืบเนื่องมาจนรัชกาลท่ี ๗ – ๘ จะเห็นได้จากค้าให้ สัมภาษณข์ องนายบุญเล็ก เทียนมณี หรือ โซะ๊ เขยี วแก้ว ในรายการแสดงของศนู ย์สังคีตศิลป์ ซึ่งเล่าว่าเคยเล่น ล้าตัดกับพอ่ หวังเตะ๊ แม่จรญู แม่ทองยอ้ ย แมส่ ังเวยี น แมส่ วุ รรณ เคยประชันกันด้วย ดังความในบทสัมภาษณ์ ว่า ลา่ ตดั ในกรุงเทพฯ ไมแ่ กลง้ คุยหรอกแพผ้ มเกอื บทกุ คน มหี วังเต๊ะคนเดียวที่ได้ ชนะผมบ้าง นอกกะน้ันไม่มีใครได้ชนะเลย หวังเต๊ะนี่ประชันกันราว ๆ ๑๒ ครั้ง ผมชนะ เขา ๖ ครั้ง เสมอ ๓ ครั้ง เขาชนะผม ๓ ครั้ง สมัยก่อนล่าตัดเขาเล่นกันคนละ ๓๐ นาที เขาเอา นาฬิกาต้ังเลยครับ มีกรรมการน่ัง ๔ คนหรือ ๕ คน ร้องน่ี ถ้าฮาที เขาก็จะให้ คะแนนแตฮ่ าชว่ ยหรอื เปลา่ เขาดนู ะ สมัยก่อนเขาหาพวกกันไว้นะ เขาฮาช่วยเชียว ไม่ได้ ถ้าฮาอยู่กลุม่ เดียว เขาไม่ให้ ต้องฮาหมด หรือไม่ก็ ฮา ผู้ชายแล้วผู้หญิงยิ้ม ยังงั้นก็ให้ ฮา ช่วยไม่ได้ แล้วก็ ร้องดี แก้กลอนเป็น สมัยก่อนน่ีเขาต้องด้นกลอนสด ผมว่ากลอนน้ีไป ทา่ นองอะไร ก็ตอ้ งแก้ทา่ นองนไี้ ป แลว้ คนนก้ี ต็ อ้ งวา่ ไปอีกแลว้ ให้แก้มา ...( กลอน ) ก็ต้อง แตง่ นะครับ ทเี่ ป็น ไหว้ครู กต็ ้องแตง่ แต่วา่ ท่เี ราว่ากันจริง ๆ น่ีไม่ต้องแต่งหรอกครับ เอา ของเขามาวา่ เรา เอาของเขาว่า แต่เด๋ยี วนี้ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ไมม่ ีแลว้ ... ส่วนค้าว่า “ฮา” นันคือ “ฮาตกขอบ” หมายความว่า ผู้ฟังหัวเราะทุกคน หรือหัวเราะ ทังหมดท่ีน่ังอยโู่ ดยรอบวงนัน แสดงวา่ การตดั สนิ สมยั นันใช้มติมหาชนรว่ มกบั การตดั สนิ ของผ้เู ชี่ยวชาญ บังโซ๊ะ เขียวแกว้ ยงั เลา่ ถึงความนิยมล้าตดั และความสนุกสนานของการประชนั อีกว่า “ สมัยก่อน ไม่มีไม ( ไมโครโฟน ) ผมได้เปรียบ เสียงดัง คนได้ยินท่ัว หวัง (หวังเต๊ะ) น่ี เด๋ียวก็เสียงแห้งแล้ว แต่ผมนี่ต้ังแต่เล่นมาไม่เคยเสียงแห้งเลย เคยเล่น ๑๙ แจ้ง (แจง้ คือสว่าง หมายถงึ เล่นตลอดท้ังคืนจนสว่าง) แน่ะครับ ไอแค็กมาง้ีเลือดเลย หวัง เค้าเล่น ๒๔ แจ้ง พอเลกิ แลว้ ก็บา้ เลย ( หวั เราะ ) ...แม่จรูญน่ี เคยร้องกัน ผมว่าซะพอลุก ขึ้นหางกระเบนหลุดเลย ( หัวเราะ ) ทองยอ้ ยนี่ก็เพ่ือนกัน โกรธไป ๓ ปี ก็เวลาเล่นเขาว่า แตผ่ ม ผมเจ็บใจก็ดา่ โละเลย สมัยกอ่ นรอ้ งจริง ๆ แมส่ วุ รรณก็เคยว่า วันก่อนก็ยังมาว่ากัน ... แม่จรูญจะร้อง “ คนทรามย่อมทรามนิสัย จะเกาเท่าไหร่ ก็ยัง ไม่หายก้นคัน” โบราณ เขาร้องกันกรง ๆ ( ตรงๆ ) ยังง้ีแหละ โบราณเขาร้องกัน แต่ลมปาก เขาไม่ว่าอะไรกัน เขาไม่ถึงเนื้อถึงตัว ถูกเนื้อถูกตัวกันไม่ได้ เดี๋ยวนี้ถูกเน้ือ ถูกตัวได้ กอดกันได้ แต่ว่าไม่ได้ หาว่าหยาบ ทีน้ี กบว. เล่นงานเลย โทรทัศน์นี่ล่ะเธอตัดเลย แต่โชว์ชุดว่ายน้่าได้
๑๔๘ (หวั เราะ)... (นายบญุ เลก็ เทียนมณี, แถบบันทึกเสียงและภาพการสัมภาษณ์ เผยแพร่ทาง www.youtube.com/watch?v=jn5FmBg4fhQ ) จากความเห็นของหลายๆ ท่านดังกล่าวมาแล้ว จึงพอสรุปได้ว่า ล้าตัดนันมีวิธีการ แสดงจะเรม่ิ ผแู้ สดงหลายคน นั่งล้อมวงตีร้ามะนาและเครื่องประกอบจังหวะอ่ืนๆ ต้นบทจะร้องน้าขึนมาเป็น ภาษามลายู เรียกว่า “บันตน” แล้วพวกท่ีเหลือก็จะเป็นลูกคู่ร้องรับไปด้วยตีร้ามะนาไปด้วย ต่อมาการแสดง แบบนีแยกออกเป็น ๒ สาขา คือ “ฮันดาเลาะ” ซึ่งแสดงเป็นชุดและเร่ืองเบ็ดเตล็ดต่างๆ ซ่ึงเป็นท่ีมาของลิเก ส่วนอีกสาขาหนึ่ง เรียกว่า “ละกูเยา” เปน็ การดน้ กลอนวา่ แก้กนั ซึ่งเป็นที่มาของ “ลิเกล้าตัด” หรือเรียกสันๆ วา่ “ล้าตัด” ในปัจจุบนั ดงั แผนภูมิ ลเิ กฮลู ู หรอื ซเิ กร์ หรือดเิ กร์ ( ลิเกกลอง หรือ ลเิ กเลียบ หรอื ลเิ กเรียบ ) ( การร้องเปน็ ทานองเพอื่ ระลกึ ถึงพระเจ้าของชาวมสุ ลมิ ) ลิเกบันตน ( การร้องด้นกลอนสดโตต้ อบกนั เดมิ ใช้ ภาษามลายู ) ฮันดาเลาะ ละกูเยา ลิเกลกู บท ลิเกลาตดั ลเิ ก ลาตัด แผนภูมทิ ่ี ๒ พฒั นาการของการแสดงล้าตดั
๑๔๙ จากแผนภูมินีแสดงให้เห็นพัฒนาการของล้าตัดว่ามาจากเพลงประกอบพิธีกรรม ท่ี เรียกว่า ลิเกฮูลู หรือซิเกร์ หรือดิเกร์ ของมลายู ซ่ึงเป็นบทสวดบูชาพระเจ้าของศาสนาอิสลาม ต่อมาจึง คล่ีคลายเป็นเพลงพืนบ้านประเภทการละเล่นและเป็นการแสดง คือจากลิเกบันตน เป็นลิเกล้าตัดและล้าตัด ตามลา้ ดบั ส่วนความแพร่หลายของล้าตัดนัน ล้าตัดเป็นมหรสพร่วมสมัยและแพร่กระจายไปทุก ภาค ล้าตัดแสดงได้ทุกโอกาสทังงานมงคลและอวมงคล งานร่ืนเริงทุกชนิดจนแม้กระทั่งงานศพ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ได้มีการบันทึกแผ่นเสียงล้าตัดจ้านวนมากมีทังท่ีบันทึกรวมกับเพลงพืนบ้านชนิดอ่ืนๆ เช่น เพลงฉ่อย และโนรา ดังปรากฏในหนงั สือพิมพศ์ รีกรงุ ฉบับวนั อังคารที่ ๓ ธนั วาคม หน้า ๔ ว่าได้ลงโฆษณาขายแผ่นเสียง ตราสุนกั ข์ อัดด้วยไฟฟ้า มีทังเร่ืองลกั ษณวงษต์ ามพราหมณ์ ล้าตัดเรอื่ งทกุ ขเ์ รือ่ งหนาว ลา้ ตัดเรอื่ งกา้ เนิด ล้าตัด สองงา่ มจดั เพลงแก้กนั เร่ืองหนีภาษี เพลงแก้กันเร่ืองกระทู้ยักคิว เพลงแก้กันกระทู้รับแขกกินหมาก เหล่านีมี ขายท่บี ริษัทรัตนมาลา จา้ กัด ส่ีแยกถนนพาหุรัด กับที่แผ่นเสียงสโตร์ ถนนเจริญกรุง ตอนส่ีแยกราชวงศ์ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ หนงั สอื พมิ พ์ศรีกรุง ฉบับวันพฤหัสบดีท่ี ๔ กันยายน หน้า ๒๘ ได้ลงโฆษณาขายแผ่นเสียงล้าตัด คณะคลองทา่ ไข่ เรอื่ งหญงิ ชายเกียวกนั โดยนายสะโอด นายหล่น นางเคลือบ นางเช่ือม ๓ แผ่น มีขายที่บริษัท รตั นมาลา จ้ากัด และแผ่นเสียงสโตร์เช่นเดียวกัน นอกจากนียังมีแผ่นเสียงที่บันทึกเฉพาะล้าตัดไว้หลายแผ่น ในสมัย นาย ต.เง็กชวน เช่น ลา้ ตัดวงเสือเตียวา่ เร่อื งการบา้ นการเมือง เป็นตน้ ( เร่อื งเดมิ : ๕๘๗ – ๕๘๘ ) ภาพท่ี ๖๑ แผน่ เสยี งตราสุนักข์ ล้าตัดลา้ แขกปนไทย รอ้ งโดยนายสะโอด ท่ีมา : ทม่ี า : https://www.google.co.th ภาพที่ ๖๒ แผน่ เสียงตรากระต่าย ล้าตัดงานชมุ นุมลูกเสือ รอ้ งโดยวงเฉลียงกบั คณะ ทีม่ า : https://www.google.co.th
๑๕๐ ภาพที่ ๖๓ แผ่นเสยี งลา้ ตัดตับโพระดก แมจ่ รูญ แมช่ ื่น ท่ีมา : https://www.google.co.th ต่อจากยคุ หนงั สอื และแผน่ เสยี งก็มาถึงยคุ แถบบันทึกเสียงหรือเทป ( Cassette Tape ) ซ่ึงเปน็ ทน่ี ิยมและสะดวกในการเปดิ ฟังมากกว่าแผ่นเสียงในสมัยนัน ท้าให้ล้าตัดแพร่หลายออกไปมากขึนอีก คณะทบี่ ันทกึ เทป ได้แก่ ลา้ ตัดคณะหวังเต๊ะ แม่ประยูร แม่บุญชู ณ อยุธยา เป็นต้น ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ซึ่งในช่วง นันมี ล้าตัดประมาณไม่เกิน ๑๐ ม้วน ปี ๒๕๒๕ มีล้าตัดเพ่ิมขึน เป็น ๒๐ กว่าม้วน เทปบางม้วนขายดีมาก “เช่น แมป่ ระยูรบอกวา่ ลา้ ตัดชุดจุดเทียนระเบิดถ้า ออกราว พ.ศ. ๒๕๒๔ – ๒๕๒๕ ขายได้เป็นแสน ๆ ตลับ คนจัดจ้าหนา่ ยซ่งึ เป็นเดก็ หนุ่มคนหน่ึง ร้่ารวยขึนมาอย่างมหาศาลด้วยเทปชุดนีและแม่ประยูรเองก็คาดไม่ถึง” ( เรื่องเดมิ ) ตอ่ มากก็ ารบันทกึ เสยี ง ลา้ ตัดจ้าหนา่ ยตามท้องตลาดยง่ิ มมี ากขึนตามล้าดบั ดังภาพต่อไปนี ภาพท่ี ๖๔ ปกเทปล้าตัดต่าง ๆ ที่มา : https://www.google.co.th
๑๕๑ นอกจากนันยังมีนักร้องเพลงลูกทุ่งบางคนได้หันมาสนใจร้องล้าตัด และบันทึกเสียง จา้ หนา่ ยดว้ ย เชน่ ไวพจน์ เพชรสพุ รรณ ชัยชนะ บุญญโชติ ชินกร ไกรลาศ ขวัญจิต ศรีประจันต์ รุ่งนภา กลม กล่อม เปน็ ตน้ ดังตัวอยา่ งภาพตอ่ ไปนี ภาพที่ ๖๕ ปกแถบเสยี งล้าตัดคณะรุ่งนภา กลมกลอ่ ม ที่มา : https://www.google.co.th ความแพร่หลายของล้าตัดนี นอกจากจะอัดเป็นแถบบันทึกเสียงจ้าหน่ายเป็นธุรกิจ การค้าแลว้ ในช่วงประมาณ ๒๕๒๐ – ๒๕๓๐ ล้าตัดมีความเฟื่องฟูมาก จนกระท่ังนักล้าตัดท่ีมีช่ือเสียง ได้แก่ พ่อหวังเต๊ะ แม่ประยูร ยมเยี่ยม และพ่อลออ เบญมาศได้รับเชิญให้แสดงภาพยนตร์เร่ืองไกรทอง ๒ เม่ือปี ๒๕๒๘ ดังภาพประกอบ ภาพท่ี ๖๖ การแสดงลา้ ตัดในภาพยนตร์เรอ่ื งไกรทอง ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ทม่ี า : https://www.google.co.th ครูล้าตัดและนักล้าตัดหลายคนยังได้รับเชิญให้ร่วมแสดงหรือช่วยสอนการแสดงล้า ตดั ใหแ้ กน่ กั แสดงในละครโทรทัศน์อีกหลายเร่ือง เช่น พ่อหวังเต๊ะแม่ศรีนวลแสดงเรื่องสายโลหิต ออกอากาศ ทางชอ่ ง ๗ ประมาณปี ๒๕๓๘ แม่ประยูรสอนนางเอกให้ร้องล้าตัดในเรื่องเรือนรักเรือนทาส ออกอากาศทาง ชอ่ ง ๓ ประมาณพฤศจิกายน ๒๕๔๙ แม่ศรีนวลและคณะสอนนางเอกให้แสดงล้าตัดรวมทังร่วมแสดงด้วยใน เรอ่ื งเลอื ดเจา้ พระยา ออกอากาศทางชอ่ ง ๗ ประมาณตุลาคม ๒๕๕๔ เปน็ ตน้
๑๕๒ ภาพที่ ๖๗ ละครเร่ืองสายโลหติ เรอ่ื งเรอื นรกั เรือนทาสและเรอื่ งเลือดเจา้ พระยา ท่มี า : https://www.google.co.th นอกจากส่ือโทรทัศน์แล้วล้าตัดยังแพร่หลายในสื่อส่ิงพิมพ์บ้าง เช่น ในช่วงประมาณ ๒๕๒๕ – ๒๕๓๕ มนี ักกลอนสมัครเล่นได้ส่งกลอนล้าตัดไปลงในนิตยสารโต้ตอบกันอีกด้วย ที่พบมากที่สุดคือ นติ ยสารสตรสี าร ซ่งึ จะมีคอลัมนส์ ้าหรับนักกลอนสมัครเล่น โดยเปดิ โอกาสให้ส่งกลอนเพลงพืนบ้านต่างๆ เช่น เพลงฉ่อย เพลงเรือ เพลงเก่ียวข้าว เพลงล้าตัด ฯลฯ ไปลงในคอลัมน์นีได้ และสัปดาห์ต่อมาก็อาจจะมีผู้ส่ง กลอนโต้ตอบกลับมาและระบุว่าโต้ตอบกับเพลงอะไรในฉบับท่ีเท่าไหร่ น่ันแสดงว่า วงการเพลงพืนบ้าน ขณะนันมผี นู้ ยิ มแพรห่ ลายพอสมควร ภาพที่ ๖๘ นติ ยสารสตรีสาร ฉบบั ท่ี ๕ ปีที่ ๔๔ พ.ศ. ๒๕๓๔ ทมี่ า : https://www.google.co.th กลา่ วโดยสรปุ แลว้ ลา้ ตดั เปน็ การแสดงพนื บ้านทน่ี ิยมแพร่หลายทั่วประเทศไทยและสืบ ทอดต่อกันมานับร้อยปี จากการสืบค้นและสัมภาษณ์นักล้าตัดในปัจจุบันพบว่ามีนักล้าตัดและคณะล้าตัด จา้ นวนมาก เฉพาะทมี่ ผี ลงานแพร่หลายและมีช่ือเสียงมาแต่อดีตจนปัจจุบัน หากแบ่งเป็นยุคก็สามารถแบ่งได้ ๖ ยุค ได้แก่ ยุคลิเกบันตน ยุคลิเกล้าตัด ยุคล้าตัดประชัน ยุคล้าตัดหญิงโต้ชาย ยุคล้าตัดเฟื่องฟู และยุค ปจั จบุ นั ดังนี ก. ยคุ ลเิ กบันตน ตรงกับรัชสมยั รัชกาลท่ี ๕ มีหลักฐานปรากฏว่าได้เล่นถวายครังแรก ในงานบ้าเพญ็ พระราชกศุ ล เม่ือปี ๒๔๒๓ ลา้ ตัดยคุ นมี ลี กั ษณะเปน็ การสวดบูชาพระเจ้าประกอบการตีร้ามะนา
๑๕๓ มตี ้นบทร้องและลกู ครู่ ับ สลบั กนั ไป ผูแ้ สดงเปน็ ชายล้วนนง่ั ลอ้ มวงกนั นักลา้ ตัดทมี่ ชี ่อื เสียงมี ๔ คน ได้แก่ หะยี แดง อย่บู ้านไผเ่ หลือง มีนบุรี ครูซนั อยู่ถนนตก ครูพนั โด่ง อยบู่ ้านสมเดจ็ เจ้าพระยาและครหู มัดตุ๊ อย่บู า้ นครวั ข. ยุคลิเกลาตัด สันนิษฐานว่าอยู่ระหว่างปลายรัชสมัยรัชกาลท่ี ๕ - รัชกาลที่ ๖ ผู้ รเิ ร่ิมใชช้ ่อื นคี ือนายบุญชู วงศ์ไทย ลูกศษิ ยข์ องหะยีแดง ล้าตัดในยุคนมี ีท่ีมาจากการร้องบันตนแนวทางละกูเยา คือการรอ้ งกลอนสดวา่ กัน แล้วน้าการแสดงอ่ืน ๆ หรือเพลงเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ มาประสมให้สนุกสนานยิ่งขึน ผู้ แสดงยงั คงเปน็ ชายล้วน ค. ยคุ ลาตัดประชัน ตรงกับรชั สมัยรชั กาลที่ ๖ ล้าตดั เปน็ มหรสพท่ีนิยมอยา่ งยง่ิ นักล้า ตัดท่ีมีช่ือเสียง ได้แก่ หะยีเขียดและหะยีกบ หะยีเขียดแต่งล้าตัดและตีพิมพ์เป็นหนังสือจ้าหน่ายหลายเรื่อง เช่น เร่อื งอ้ายเสือยอ้ ยใจยกั ษ์ เรอื่ งฆ่าชายชู้ เร่อื งนางทองไล้ ฯลฯ ส่วนหะยีกบ หาญผจญ แตง่ เรือ่ ง ศรีทนน ชัย พิมพท์ โ่ี รงพิมพป์ ระเสริฐอักษร เมอื่ ปี ๒๔๙๑ จา้ หนา่ ยท่ีรา้ นศลิ ปาบรรณาคาร เป็นต้น ที่ส้าคัญยุคนีมีการ จัดประชนั ลา้ ตดั ตามโรงมหรสพในกรุงเทพฯ และมกี ารโฆษณาในหนงั สอื พมิ พ์อยา่ งครึกโครม นอกจากนียงั การ บันทึกแผ่นเสียงล้าตัดไว้จ้านวนมาก ผู้แสดงยังคงเป็นชายล้วน นักล้าตัดอ่ืนๆ ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ นายชะโอด หรือสะโอด อยู่บ้านท่าไข่ แปดริว นายบุญชู วงศ์ไทย อยู่บ้านไผ่เหลือง มีนบุรี นอกจากนียังมีหลักฐานว่ามี คณะหรือวงล้าตัด คือ “วงเสือเตีย” ( ล้าตัดเร่ืองล๊อตเตอร่ี ) ในหนังสือเกราะเหล็ก พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ด้วย ง. ยุคลาตัดหญิงโต้ชาย ตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ – ๙ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๕ ทางการห้ามประชันล้าตัดไปช่วงหน่ึง แต่ล้าตัดไม่หายไป ต่อมาประมาณปี ๒๕๗๙ ก็เกิดล้าตัดหญิงคู่แรกคือ นางเซาะและนางยูฮัน ล้าตัดจึงเร่ิมมีการโต้กันระหว่างฝ่ายหญิงและฝ่ายชายดังเช่นปัจจุบัน ยุคนีปรากฏ หลักฐานว่ามีการบันทึกแผ่นเสียงล้าตัดจ้านวนมาก รวมทังมีคณะล้าตัดมากขึน เช่น คณะคลองท่าไข่ มีนาย สะโอด ( ชะโอด ) นายหลน่ นางเคลอื บ นางเช่อื ม คณะเสือเตยี คณะเฉลยี งและคณะแม่จรูญแมช่ น่ื เปน็ ต้น จ. ยุคลาตัดเฟื่องฟู ประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ – ๒๕๓๕ ยุคนีเกิดคณะล้าตัดจ้านวนมาก เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีคณะล้าตัดทังใหญ่และเล็กนับได้เป็นร้อยคณะ บางคณะเป็นต้นสาย ตระกูลล้าตัดในปัจจุบัน ได้แก่ คณะอาจารย์ไพเราะ เสียงทอง เป็นต้นสายของคณะล้าตัดตระกูลเสียงทอง ทังหมดหลายสิบคณะทังท่ีเป็นบุตรธิดาและลูกศิษย์ เช่น คณะหงส์ทอง เสียงทอง คณะดาวทอง เสียงทอง คณะพุ่มพวง เสียงทอง คณะศกั ดิ์ เสียงทอง ฯลฯ คณะแม่สังเวียน น้อยฉวี หรือสังเวียนใหญ่ เป็นต้นสายของ ลา้ ตดั ตระกูลน้อยฉวี เช่น คณะแววตา น้อยฉวีและคณะแม่ละมัย น้อยฉวี คณะหวังเต๊ะเป็นต้นสายของคณะ บุญช่วย นิมา คณะป๋าเด่น หลานหวังเต๊ะ คณะปรีชาภาณุพงศ์ ฯลฯ นอกจากนียังมีคณะแม่จรูญ บุญยทัต คณะพ่อสงคราม ตงสาลี คณะครโู ซะ เขยี วแก้ว คณะแม่บญุ ชู ณ อยธุ ยา เปน็ ต้น ชว่ งนลี ้าตัดเฟื่องฟูมาก มีงาน แสดงมากจนคืนหน่งึ ต้องออกถงึ สามส่ีงาน บางวนั ไดพ้ กั ชว่ั โมงเดยี วเท่านนั ( หงส์ทอง แสงทอง สัมภาษณ์ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๗ ) ล้าตัดบางคณะก็บันทึกแผ่นเสียงหรือแถบเสียงจ้าหน่ายหลายชุด อาทิ คณะแม่บุญชู ณ อยธุ ยา เชน่ ชุดวันนวี นั ประชนั ชุดสนกุ กนั แล้ว ชุดหมอนวด ชุดแก้เช่าท่ีนา ชุดขอเช่าที่นา ชุดจู่โจมเรือพิฆาต ชดุ ใจดสี เู้ สอื ชุดชนไก่ ชุดเชงิ กวี ชดุ นกั สู้ ชดุ ปราบเรือด้านา้ และชุดรถถงั เป็นต้น
๑๕๔ สาเหตสุ า้ คญั อยา่ งหน่ึงที่ล้าตัดมคี วามเจรญิ ก้าวหนา้ อย่างย่ิงในยุคนีคือมีครูล้าตัดท่ีมี ฝมี ือชนั สูงท่สี ามารถแตง่ ล้าตัดไดจ้ ้านวนมาก ไดแ้ ก่ อาจารย์ไพเราะ แสงทอง อาจารย์เฮม (ไม่ทราบนามสกุล) และครูเต๊ะ หรอื หวงั เตะ๊ บิดาของนายหวงั ดี นมิ าหรอื พ่อหวงั เตะ๊ เปน็ ต้น เฉพาะอาจารย์ไพเราะ แสงทองแต่ง ล้าตัดไว้นับพัน “ต้น” (“ต้น” หมายถึง เร่ืองหรือชุด เหมือนกับค้าว่า “ตับ”) (หงส์ทอง แสงทอง สัมภาษณ์ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๗ ) ปจั จุบนั เพลงเหลา่ นียังคงสบื ทอดอยู่ในหมคู่ ณะลา้ ตดั ของลูกหลานและลกู ศิษย์ ตวั อยา่ งเพลงลอยลาเลิก ของอาจารยไ์ พเราะ แสงทอง เจอื ยแจว้ แว่วเสียงสา้ เนยี งลมพาเวลาใกลร้ งุ่ นา้ ค้างกฟ็ งุ้ เม่อื รุ่งแสงทอง นกรอ้ งมาก้องสายลม ฟงั ดูระงมเสียงขรมระงมทอ้ งฟา้ หอมกลิ่นบุหงาเวลาลมโชย นกกโ็ บยโผบินจร เอย.. ( ซา้ ) ( รบั ) รุ่งสางสวา่ งแล้วไกแ่ กว้ เรมิ่ ขันกกู่ ระชนั ขนั ยาม เป็นสา้ เนยี งฟงั บอกตามอรณุ เวลา นกกากพ็ าจากรงั ส้าเนียงเสียงสังข์เสียงบังที่ดังลอยมา ไดอ้ าณตั ิสญั ญาเวลาพอดี อรณุ รัศมสี ดดุ ีสดศรีอมั พร เอย..( ซา้ ) ( รับ ) ( หงส์ทอง แสงทอง สัมภาษณ์ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๗ ) ๒.๒.๔.๒ ลกั ษณะและรูปแบบการจดั การแสดง ลกั ษณะการแสดงในสมัยแรกๆ กับปัจจุบันนีมีความแตกต่างกันในหลายด้าน เป็นต้น ว่า ผู้แสดงล้าตัดในระยะแรกๆ นันเป็นชายล้วน การประชันจะประชันกันเป็นคู่ๆ อย่างเผ็ดร้อน ซึ่งเด่นดวง พุ่มศริ ิ ได้กล่าวถึงการแสดงลา้ ตัดในสมัยแรกๆ วา่ “ลา่ ตดั ในครง้ั น้นั มีการประคารมกันอย่างเผ็ดร้อน เหมือนเป็นการโต้วาทีค่า กลอน ล่าตัดสมยั กอ่ นไมม่ ีเปน็ วงหรอื เป็นคณะอย่างในปัจจุบันน้ี เป็นการละเล่นตามงาน บ้านพวกมุสลมิ ในงานแต่งงาน ข้นึ บา้ นใหม่ เขา้ สุหนัต ตะมัดกุรอ่าน เป็นต้น เจ้าภาพจะ ไปหาล่าตดั ฝีปากดมี าประชันกนั บางทีประชนั ตัวตอ่ ตวั บางทีประชันเป็นคู่ คู่ประชันเป็น ชายล้วน ยังไม่มีผู้หญิงเข้ามาร่วมด้วย เนื้อเร่ืองท่ีว่ากันเป็นการขุดคุ้ยความไม่ดีของกัน และกันมาประจาน ใครไปท่าไม่ดีไว้ท่ีไหน เช่น ไปเป็นชู้เมียใครมาบ้าง ติดฝ่ินกินกัญชา หรือตดิ การพนนั เลน่ เบ้ียเสยี ถั่ว หรือเคยลกั ขโมยใครมา หรือไปมแี ผลไว้ที่ไหนกเ็ ก็บมาร้อง ว่ากัน แบบนี้ตามภาษาล่าตัด เรียกว่า “กล่าวประวัติ” เพราะฉะน้ันพวกล่าตัดจะต้อง ระมัดระวังตัวให้ดีไม่ท่าอะไรเสียหาย หรือถ้าจะมีก็ต้องปิดให้มิดชิด แต่อย่างไรก็ไม่พ้น เพราะเขาคอยสืบกนั อย่เู สมอ ประชนั เมอ่ื ใดก็เปน็ ได้แฉกนั หมดไส้หมดพงุ ” ล้าตัดในระยะแรกๆ ที่แตกต่างจากในปัจจุบัน คือ ในเวลาที่ร้องล้าตัดนันจะไม่ได้ยืน
๑๕๕ รอ้ งเตม็ ตวั อยา่ งในปัจจุบัน ซง่ึ เอนก นาวิกมลู ไดก้ ล่าวไวว้ ่า “เดิมลา้ ตดั เวลาร้องกย็ ืนครึ่งน่ังครึ่ง เรียกว่า “ครึ่ง ท่อน” คอื ยนื ไมเ่ ต็มตวั ตอ่ มาจึงยนื รอ้ งเต็มตัว ผลัดกนั ว่าโตต้ อบฝา่ ยละ “ยืน” คือเวลาราว ๓๐ นาที คล้ายค้า วา่ “ยก” ในวงการมวย” แตเ่ ดมิ การแสดงล้าตัดมแี ตผ่ ู้ชายลว้ นๆ ตอ่ มาจึงมกี ารตังวงล้าตัดผูห้ ญงิ ขึนมาบ้าง และ สามารถว่าแก้กันกับผู้ชายได้ ดังนันการแสดงล้าตัดจึงได้รับความนิยมมากขึนโดยเฉพาะเมื่อมีการประชันขัน แขง่ กันระหวา่ งวงฝ่ายหญงิ กับฝา่ ยชาย เพราะถอ้ ยค้าที่กล่าวแกก้ นั นนั ไดเ้ พิ่มการเกียวพาราสีกันเข้าไปด้วย ซึ่ง ไมเ่ คยมีมาก่อนในวงผูช้ ายลว้ นๆ การประชันกันในลักษณะนีในบางครังก็มีการกระทบกระท่ังกันอย่างรุนแรง จนเกิดเรื่องบาดหมางใจกัน จนกระท่ังเกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งระหว่างวง จึงได้มีผู้คิดดัดแปลงโดยให้ในวง เดียวกนั มีทงั ฝา่ ยหญงิ และฝา่ ยชาย ประชนั คารมกนั ในวง มีการฝึกซ้อมเพื่อความกลมกลืนและฟังไพเราะรื่นดู ดงั ท่ีเห็นอยใู่ นปจั จบุ ัน การแสดงล้าตัดนนั ได้รับความนยิ มมากขึนตามลา้ ดับ เน่อื งจากมีการประชันขันแข่งทัง ในดา้ นเพลงรอ้ ง ฝมี อื การตรี า้ มะนา และที่ส้าคัญคือ ปฏิภาณหรือฝีปากการว่ากลอนแก้กัน จึงท้าให้เกิดความ สนุกสนาน และสิ่งส้าคัญอีกประการหนึ่งท่ีสร้างความนิยมให้แก่การแสดงล้าตัดก็คือ การประชันกันระหว่าง ชายจรงิ หญิงแท้ ซึ่งแต่เดิมนันการแสดงล้าตัดใช้ผู้ชายล้วน การประชันกันจึงเป็นเพียงการขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัว และปมด้อยของฝ่ายตรงกันขา้ มมาว่ากนั เปน็ ส่วนมาก แตเ่ มือ่ เกดิ มกี ารประชนั กนั ระหว่างชายกับหญิงนัน จึงมี เรื่องของการเกียวพาราสี ไต่ถาม ค่อนขอด ท้าให้เกิดความไพเราะ เผ็ดร้อน ในหลายรสล้วนแต่สร้างความ ตื่นเต้นสนุกสนานแก่ผู้ดูผู้ฟังเป็นอย่างย่ิง และมีผลท้าให้ล้าตัดได้รับความนิยมมากขึนเร่ือยๆ จนสามารถยึด เปน็ อาชพี ได้ ดังท่ีเหน็ กันในปัจจุบัน ตวั อยา่ งลาตดั จงั หวดั นครนายก คณะ ส. รวมศลิ ป์ ลกู ศรจี ุฬา (สร้อย) พลบค่้าย่้าฆอ้ ง พ่ีและนอ้ งไดม้ องแลดู ผดิ ตรงไหนอภยั น้องหญิง (ซ้า) อย่าเพิง่ สลัดตดั ทิงเลยพ่อก่ิงเรณู (รับ) มือของลูกทงั สิบบรรจงจบี นมสั ไหวค้ รูลา้ ตัดทฝี่ ึกหัดเรียนรู้ จะไหวค้ รพู ักพากเพยี รท่เี คยเขียนเงอ่ื นเคา้ เคยแนะน้าค้า่ เชา้ จนขา้ พเจ้าเฟอ่ื งฟู จะไหวค้ รทู ี่ร้หู ลกั เคยเป็นนักประพันธ์ เคยรา้ สอนกลอนฉนั ในเชงิ ประชันต่อสู้ แมป้ จั จามิตรจะคิดร้ายจงแพภ้ ัยเสียทกุ งาน ตลอดศัตรหู มู่มารท่มี นั มาพาลลบหลู่ ขอให้มันแพ้ฤทธไิ์ มว่ า่ มันจะคดิ ทางไหน ขอให้มันแพภ้ ัยทางร้ายศตั รู ใจดอื ถอื ดขี ออย่าไดม้ อี ้านาจ ใครถอื ดไี มม่ ีสัตย์ใหแ้ พ้อ้านาจของคณุ ครู (รบั ) บทออกตวั หนมู าเดยี วกลม (สรอ้ ย) ยาบิ่นเตยายาบน่ิ เตยา นานนานแมจ่ ๋ากม็ าใหช้ ม (รับ) พดู ลอยน้อยตา้่ ยังขาดความอบรม โอเ้ จา้ ดอกรักษา (ซา้ ) มาฟงั หวั ข้อดฉิ นั จะขอประล้า
๑๕๖ ยังไมค่ งกาเรียนเหมือนชาวเปรียญนกั ปราชญ์ ในท้านองขอ้ งขัดยังไมฉ่ ลาดแหลมคม คนื นจี า้ เปน็ คณุ สมศกั ด์ิ คณุ สุจนิ ต์ เกณฑเ์ อามา ถึงวนั สัญญาในอุราชักระทม เหมือนนา้ น้อยย่อมแนโ่ บราณวา่ แพอ้ ัคคี พระจันทรว์ งสง่ ศรขี าววจีโพยม ฉนั ล้าตัดรนุ่ ใหมถ่ า้ ไม่พรายพลิกแพลง เหมือนห่ิงห้อยน้อยแสงไม่อาจจะแข่งดวงโคม (รับ) บทประ (สร้อย) โยนยา่ ยโยนย่ายแต่จิไร เหน็ ใจพอ่ ใบสาคู เหน็ ใจพอ่ ใบผักปอด (ซ้า) รักไมต่ ลอดนะพอ่ ยอดพธู (รบั ) ไดฟ้ ังอากรสอนศาสตร์นักลา้ ตัดตวั เต้ย พูดนอกละเมิดเปดิ เผยพูดเฉลยความรู้ มนั คยุ วา่ เป็นนักเกษตรนแ่ี หละไอ้ขีเสลดนกั กลอน แหกปากส่ังสอนวา่ เป็นนกั กลอนชนั ครู มนั คุยวา่ มีพันธ์ไุ มม้ าตงั หลายรอ้ ยอยา่ ง มีเลก็ บ้างกลางบา้ งใหญ่บา้ งหลายอยา่ งทม่ี ีอยู่ ไมอ้ ะไรบ้าบอไม่มีกอ่ เสือกมลี ้า เดี๋ยวพลัดตัดโคนโยนนา้ เอาปลายเขา้ มาต้าเข้ารูปู ไมอ้ ะไรหรือไดผ้ ปี ลูกสองสามปีมสี องลกู แหมมันปลูกไว้สนุกมลี กู แล้วเรียกไอ้หนู ไม้ของพวกเจ้ากไู มก่ ลา้ เอามาท้าพันธ์ุ มมี ีดสกั หนอ่ ยจะตดั โคนไม่ให้จ้ากลับบ้านเหลือจนุ จู๋ ถา้ ขืนปลกู ไมเ่ ลอื กทเ่ี ลือกต้นดีดีแล้วจับหัก ไม่ทันให้งอกออกรากต้องจับหักแล้วโยนลงคู (รับ) (สอิง โชตสิ วัสดิ์และสมพงษ์ จันทโชติ. สมั ภาษณ์ ๑๗ มนี าคม ๒๕๕๗) ๒.๒.๔.๓ ลาดับขัน้ ตอนการแสดง ล้าดับขนั ในการแสดงของลา้ ตดั นนั มมี าแต่โบราณและกย็ งั คงยดึ แบบแผนนันอยู่ ดงั นี ๑. การโหมโรง การตีกลองร้ามะนาเป็นท้านองตา่ ง ๆ แต่เดิมการโหมโรงร้ามะนาใช้ หลายทา้ นอง เชน่ ขึนตน้ ดว้ ยทา้ นองพมา่ แขกและมอญ ซึง่ เรียกว่า ท้านองออกภาษา ต่อมาเกรงว่าจะเป็นท่ี เบือ่ หน่ายของผู้ฟัง จงึ ตดั ทอนทา้ นองต่างๆ ให้ลดนอ้ ยลงเหลือเพยี ง ๒ – ๓ ท้านอง ๒. การร้องบันตน เม่ือจบการโหมโรงร้ามะนา จะต่อด้วยการร้องบันตน บันตน คือ การร้อง “เกร่ินหนา้ กลอง” หรือ “ขึนหน้ากลอง” ผูร้ อ้ งจะนง่ั ร้องอยู่กับวงร้ามะนา ร้องสัน ๆ แล้วให้ร้ามะนา รับ เดิมบันตนจะร้องเป็นภาษาแขก ต่อมาก็แขกปนไทย และใช้ภาษาไทยล้วนๆ เนือหาเป็นการไหว้บูชาส่ิง ศักดิส์ ทิ ธิ์ หรอื ไหวค้ รู หรือบางครงั เป็นการกล่าวเทิดทูนชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ ก็ได้ ตวั อยา่ งเชน่ “บนั ตน” หรือ “ขนึ้ หนา้ กลอง” บทไหวค้ รขู องหวังเต๊ะ สบิ นิวขนึ เหนือเศยี ร เออ..เอ่อ..เฮอ่ ..เอย่ ต่างธปู เทียนบูชา เคารพคุณครบู า ท่านอตุ สา่ ห์สัง่ สอน ทา่ นให้จ้าท่านใหจ้ ด รวบรวมเปน็ บทเปน็ กลอน
๑๕๗ ไดร้ วบรวมเอาไว้ทงั สนิ อยใู่ นกรมศิลปากรเออ่ เอ๋ิงเออเอย่ เอยไว้ สวัสดีคะ่ ทา่ นผฟู้ ัง ถา้ หากผิดพลงั ฉนั ตอ้ งขออภัย พวกเราล้าตัดถนัดกันแต่ร้อง ใหค้ ลอ้ งให้จองใหท้ ่านเขา้ ใจ ประเภทพืนเมืองเรื่องกไ็ ม่มี ขยับท่าทีกันแบบไทยไทย แตง่ เนือแต่งตัวไมย่ ัว่ ลูกตา สวมใส่เสือผ้ากล็ ้าสมัย เปน็ การแสดงชีแจงภาษา ถึงการเป็นมาอย่างละมุนละไม ลิเกเสภาโนราหมอลา้ เพลงฉ่อยเต้นกา้ ฟอ้ นร้าเชียงใหม่ เราจะฟื้นฟูใหอ้ ยนู่ านนาน เปน็ วิชาการลกู หลานตอ่ ไป ชนตา่ งชาตเิ ขายงั อาจอวดโอ้ เขายงั เคยมาโชว์ในประเทศไทย ฉะนนั พวกเราอย่าใหเ้ ขาประมาท เรากเ็ ป็นชาติที่มอี ธปิ ไตย จงชว่ ยกนั ฟนื้ ฟูน่ีเออ..เอ้อ.เอย่ .ใหม้ นั อยอู่ ยา่ งเดมิ ช่วยกนั จรรโลงสง่ เสรมิ และเพม่ิ เตมิ แก้ไข ชว่ ยกันสง่ เสริมวรรณกรรม และวัฒนธรรมของไทย เออ่ เอิ๋ง เอย ไว้ (บุญธรรม บุญโซะและระวีวรรณ ระดง่ิ หิน, สัมภาษณ์ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๗) ตวั อย่างบทสรรเสริญชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ ของนายประสตู ิ ชว่ งเวฬุวัน ไทยเรารกั ชาตไิ ทยมนี า้ ใจร่วมสามัคคี พวกศัตรูจะมาจู่โจมตี ถ้าใครอวดดีมาซิเชิญลอง ไตรรงค์คอื ธงชาตโิ บกสะบดั อยู่ในเขตไทย ใครกลา้ แขง็ จะมาแยง่ เอาไป ใครกลา้ แข็งจะมาแย่งเอาไป เรยี กว่าธงชาติไทยไมย่ อมใหใ้ ครครอบครอง ไทยเรารักสงบอาวุธครบไม่รบกับใคร อิสรเสรีไม่ราวีผู้ใด อสิ รเสรีไมร่ าวีผูใ้ ด ถา้ ใครมายือแยง่ ไปตอ้ งยงิ กนั ให้เลือดนอง ชาติไทยหวั ใจคอื พระใครจะลองดกู ็เอา พวกศตั รจู ะมาลบหลู่ดเู บา พวกศตั รูจะมาลบหลดู่ ูเบา จะเอาเลอื ดของเจา้ มาทาเสาธงทอง ( ประสูติ ช่วงเวฬวุ นั , สมั ภาษณ์ ) ๓. การรอ้ งทกั ทายหรือบทออกตวั ๔. การร้องเชิญชวนของฝ่ายชาย เม่ือจบการไหว้ครู การทักทายเจ้าภาพและผู้ชม แลว้ กจ็ ะเร่มิ เชิญชวนวา่ กลอนตอ่ ฝีปากกัน โดยฝ่ายชายจะเป็นฝา่ ยเริม่ ว่ากอ่ น ๕. การร้องโต้ตอบของฝ่ายหญิง เมื่อฝ่ายชายร้องแล้วก็จะให้ฝ่ายหญิงร้องแก้ เพื่อ โต้ตอบการเกียวพาราสขี องฝา่ ยชาย ซงึ่ จะเปน็ ทา้ นองว่ารบั หรือไม่ เพราะเหตใุ ด หรือตอ่ ว่าฝา่ ยชาย
๑๕๘ การร้องโต้ตอบนีจะร้องโต้ตอบกันไปจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงจะจนกลอนไม่สามารถคิดกลอนมาว่าต่อไปได้ บางครังมกั มกี ารแทรกเอาเพลงพนื บ้านชนิดอ่ืนๆ มาแทรกด้วย เช่น แหล่ เพลงขอทาน เพลงฉ่อยและเพลงอี แซว เป็นตน้ ๖. การร้องอาลาและใหพ้ ร เม่ือการแสดงด้าเนินไปจนถึงช่วงสุดท้ายแล้ว ก่อนจะจบ การแสดงธรรมเนียมของล้าตัดอกี อยา่ งหน่ึงกค็ ือ การรอ้ งอ้าลาให้พรแกเ่ จ้าภาพ ผูช้ มและผู้ฟงั ๒.๒.๕ เพลงอแี ซว ๒.๒.๕.๑ ประวัตคิ วามเป็นมาของเพลงอีแซว เพลงอแี ซวเป็นเพลงพืนบ้านประจ้าถิ่นของสุพรรณบุรี มีก้าเนิดและเป็นที่นิยมอย่าง แพร่หลายอยู่ในทอ้ งถ่นิ นมี าตังแต่อดีตจนกระทั่งปัจจบุ นั ก้าเนดิ ของเพลงอีแซวเท่าท่ีสืบค้นได้จากค้าสัมภาษณ์ และการคา้ นวณอายุของพอ่ เพลงแมเ่ พลงท่ีสบื ต่อกันมาอย่างน้อยไม่ต่้ากวา่ สช่ี ั่วอายคุ นจงึ สนั นิษฐานได้ว่าน่าจะ เกิดมาไมน่ ้อยกว่า ๑๒๐ ปี คอื เกดิ ช่วง “ยุคทองของเพลงพนื บา้ น”ประมาณปลายรชั สมัยรัชกาลท่ี ๕ หรือต้น รชั สมยั รชั กาลท่ี ๖ เพยี งแต่เพลงอแี ซวในระยะแรกมีลักษณะเปน็ เพลงปฏิพากยส์ ัน มีรูปแบบค้าประพันธ์และ ท้านองคล้ายกับเพลงเหย่อยของจังหวัดกาญจนบุรี ซ่ึงเป็นเพลงที่หนุ่มสาวใช้ร้องยั่วเย้าหรือเกียวพาราสีกัน อยา่ งง่าย ๆ และสนั ตอ่ มาเมือ่ ประมาณ ๖๐ - ๗๐ ปีทผ่ี า่ นมา เพลงอแี ซวจึงได้พัฒนาเป็นเพลงปฏิพากย์ยาว คือมีเนือเพลงท่ีใชร้ อ้ งในแตล่ ะครงั ยาวขนึ และดัดแปลงท้านองและลักษณะการร้องรับของลูกคู่เหมือนเช่นทุก วันนี ส่วนเนือหาและเนือเพลงมีทังเพลงใหม่ที่ครูเพลงได้น้ามาจากเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตแล้วคิดประดิษฐ์ แตง่ ขึน และเนือเพลงเกา่ ทนี่ า้ มาจากเพลงพืนบา้ นชนดิ อนื่ ๆ เป็นตน้ วา่ เพลงฉ่อยและเพลงพวงมาลัย ซ่ึงเป็น เพลงปฏิพากย์ยาวทมี่ มี ากอ่ นและมลี กั ษณะรปู แบบฉนั ทลกั ษณ์คลา้ ยกัน ทม่ี าของชอ่ื “อแี ซว” ยงั ไมส่ ามารถยนื ยนั ได้ว่ามาจากค้าหรือความหมายใด จากการ สมั ภาษณพ์ อ่ เพลงแม่เพลงหลายทา่ น ส่วนใหญ่ไมท่ ราบความเป็นมา และให้ความคดิ เห็นไว้แตกต่างกัน เป็น ต้นว่า น่าจะมาจากค้าว่า “ แซ่ว” ที่หมายถึงแกร่วอยู่ เพราะต้องเดินหรือยืนร้องเพลงแกร่วอยู่อย่างนัน ( คล้าย แสงสี และไสว สุวรรณประทีป , สัมภาษณ์) หรือน่าจะมาจากค้าว่า “ แซว” ซ่ึงเป็นศัพท์สแลง หมายถงึ การยัว่ เย้า เพราะเพลงนมี ลี ักษณะของการย่ัวเย้า และเคยมีผู้เรยี กเพลงนีว่าเพลงย่ัวมาก่อน ( พร้อม ปานลอยวงศ์ , สมั ภาษณ์ ) นอกจากนันยังว่าอาจมาจากค้าว่า “แอ่ว” เพราะเดิมมีการเป่าแคนประกอบการ ร้องด้วย แต่อยา่ งไรกต็ ามหากนับถึงปัจจุบัน ค้าว่า “ เพลงอีแซว” ก็เรียกกันมานานไม่ต่้ากว่า ๘๐ – ๙๐ ปี แล้ว ( บัวผัน สุพรรณยศ ๒๕๓๕ : ๓๙ ) เพลงอีแซวในยุคแรก มีลักษณะเป็นการละเล่นหรือเป็นเพลงปฏิพากย์สัน น่าจะมี ก้าเนิดมาประมาณ ๑๒๐ ปีขึนไป จากการสืบค้นหลักฐานบุคคลต่างยืนยันว่าเมื่อเติบโตมาปู่ย่าตายายก็เล่น เพลงนีกนั แลว้ ผู้เลน่ เพลงมหี ลายคน เชน่ นายเป้าและนางนิ่ม บ้านวังน้าซับ อ้าเภอศรีประจันต์ หากนับอายุ ถึงปัจจุบัน ๑๕๐ – ๑๖๐ ปี นายจุ่น ( ไม่ทราบนามสกุล ) และนายท้วม ( ไม่ทราบนามสกุล ) ทังสองท่าน
๑๕๙ อาศยั อยู่บา้ นคลองโมง อ้าเภอบางปลาม้า และนายบุญธรรม บุญเกิด อาศัยอยู่บ้านไร่รถ อ้าเภอเมือง หากนับ อายุถึงปัจจุบันประมาณ ๑๓๐- ๑๕๐ ปี นายจรูญ ( ไม่ทราบนามสกุล ) และนางย้อย ( ไม่ทราบนามสกุล ) หากนับอายุถงึ ปัจจบุ ัน ๑๒๐ – ๑๔๐ ปี นางผ่อง ( ไมท่ ราบนามสกลุ ) อยบู่ ้านโพธ์ิ อ้าเภอเมือง หากนับอายุถึง ปัจจุบัน ๑๑๔ ปี เป็นต้น เม่ือนับช่วงเวลาแล้ว เพลงอีแซวยุคแรกน่าจะเกิดมาเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๐๐ เปน็ อย่างน้อย เพลงอแี ซวยุคท่ีสอง ประมาณ ๘๐ – ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา ( ปี พ.ศ. ๒๔๓๗ – ๒๔๕๗ ) เพลงอีแซวไดพ้ ัฒนาเป็นเพลงปฏิพากย์ยาวดังท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบัน ส่วนผู้ที่คิดค้นดัดแปลงไม่สามารถสืบค้นได้ ทราบแตว่ ่าพ่อแพลงแม่เพลงรุ่นแรก ๆ ที่ร้องเพลงอีแซวแบบปัจจุบันนี ได้แก่ นายท้วม ( ไม่ทราบนามสกุล ) อยู่บ้านทับน้า ต้าบลจระเข้ใหญ่ อ้าเภอบางปลาม้า และนายจุ่น ( ไม่ทราบนามสกุล ) อยู่บ้านคลองโมง อ้าเภอบางปลาม้า ทังสองท่านนีเป็นครูเพลงและเป็นหัวหน้าคณะด้วย นอกจากนียังมีนายบุญธรรม บุญเกิด อยูบ่ า้ นไรร่ ถ อ้าเภอเมืองซง่ึ เคยฝึกเพลงฉ่อยจากจังหวัดอุทัยธานี ต่อมาได้แต่งเพลงอีแซวและเล่นเพลงอีแซว จนมีช่ือเสียงมากในแถบอ้าเภอเมืองและอ้าเภอดอนเจดีย์ นายบุญธรรมมีลูกศิษย์หลายคน เช่น นายสุก อยู่ บ้านหนองเพียน อ้าเภอศรีประจันต์ และนายมี อยู่บ้านดอนไม้ค้า อ้าเภอเมือง เป็นต้น นายบุญธรรมได้น้า ประวัตติ นเองมาแตง่ เปน็ เพลงไว้ด้วย ตัวอย่างเชน่ ผมจะยกข้อความของนายบญุ ธรรม บญุ เกิด เมอื่ ถึงคราวจะระเบิดจากบา้ นไมส่ บาย นายบญุ ธรรมคนนีเดิมทีผมจะเลา่ เมอื่ จะจากบา้ นเก่าไปหากนิ เลียงกาย เดิมอยบู่ า้ นไรร่ ถไมเ่ กะกะละลาน แขวงจงั หวดั สพุ รรณมใิ ช่คนอาภัย (เหยาะ แชม่ ช้อย สัมภาษณ์ อ้างถึงในบวั ผัน สุพรรณยศ เร่อื งเดิม: ๔๙๘- ๕๐๑) ส่วนพ่อเพลงแม่เพลงร่วมสมัยกับครูเพลงดังกล่าว ได้แก่ นายพลัด ( ไม่ทราบ นามสกลุ ) อยู่บา้ นบวั สวาย ต้าบลไผ่ฝร่ัง อ้าเภอบางปลาม้า และพ่อเพลงแม่เพลงรุ่นต่อมา ได้แก่ นายเชิด ( ไม่ทราบนามสกุล ) นายช้าง ( ไม่ทราบนามสกุล ) นายยอด ( ไม่ทราบนามสกุล ) นายบุญลือ ( ไม่ทราบ นามสกลุ ) อยอู่ ้าเภอบางปลามา้ นายคลา้ ย แสงสี นายแผน ( ไมท่ ราบนามสกุล ) นางปัด ( ไม่ทราบนามสกุล ) และนางโตะ๊ ( ไมท่ ราบนามสกลุ ) อยู่อ้าเภอสองพีน่ อ้ ง เป็นตน้ ( บัวผนั สพุ รรณยศ เร่ืองเดมิ : ๔๐-๔๔ ) ในช่วงประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๐ – ๒๔๘๒ ถือเป็นยุคทองของเพลงอีแซว ด้วยปรากฏ ว่ามีผนู้ ิยมเล่นกันเป็นจ้านวนมาก และเล่นกันเกือบทุกงาน เช่น งานประจ้าปีวัดป่าเลไลยก์ ซึ่งถือว่าเป็นงาน เทศกาลท่ยี ่ิงใหญ่ของชาวสุพรรณบุรี จะมีการเล่นเพลงอีแซวกันทุกคืนและคืนละหลาย ๆ วง นอกจากนียังมี การตดิ ตอ่ ว่าจา้ งไปแสดงในงานต่าง ๆ อยู่เสมอ เช่น งานพิธีบวงสรวงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๘๒ คณะนายจรญู นางยอ้ ย รับวา่ จา้ งแสดงถงึ สามวันสามคืน และมีโอกาสแสดงต่อหน้าหลวงมุฑิราชรักษา ผ้วู า่ ราชการจงั หวดั สุพรรณบุรีในขณะนนั ด้วย ( เรื่องเดมิ : ๔๕ )
๑๖๐ แม้วา่ หลงั สมัยรัชกาลที่ ๕ อทิ ธิพลของวฒั นธรรมตะวันตกจะท้าให้เกิดเพลงไทยสากล ขึนจนเพลงพืนบา้ นเร่ิมหมดความนิยมลงทีละน้อย แตใ่ นสมัยรัชกาลที่ ๖ เพลงอีแซวยงั เป็นท่ีนิยมของชาวบ้าน ทัว่ ไป (สุกัญญา ๒๕๒๕ : ๘๑ – ๘๖) ต่อมาในช่วงหลังสงครามโลกครังท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๔ - ๒๔๘๘) เพลงอี แซว กลับซบเซาลง เพราะเป็นช่วงสงครามบ้านเมืองขาดความสงบสุข ชาวบ้านไม่สามารถชุมนุมเล่นเพลงได้ เหมือนก่อน นอกจากนีในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ออกพระราชกฤษฎีกาก้าหนด วัฒนธรรมแห่งชาติ มีการควบคุมการละเล่นพืนบ้าน ท้าให้เพลงพืนบ้านจ้านวนมากต้องเสื่อมสูญไป และมี มหรสพชนิดใหมเ่ กิดขนึ แทน เช่น ภาพยนตร์และร้าวง เป็นต้น ผลกระทบดังกล่าวท้าให้เพลงอีแซวซบเซาอยู่ นาน แมย้ ังมีชาวบ้านในทอ้ งถิ่นสพุ รรณบุรีและใกลเ้ คยี งเลน่ กันอย่บู ้าง แตก่ ็ไมม่ ากนัก ( คลา้ ย แสงสี สัมภาษณ์ อ้างถงึ ใน บวั ผัน สุพรรณยศ เรื่องเดิม : ๔๕ ) อยา่ งไรกด็ ี ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นต้นมา เพลงอีแซวเร่ิมฟื้นตัวและเป็นท่ีนิยม อย่างแพร่หลายอกี ครัง เพราะนอกจากจะมีผูเ้ ล่นเพลงและคณะเพลงจา้ นวนมากแล้ว ยังมกี ารแต่งเพลงตับต่าง ๆ เปน็ จา้ นวนมาก คณะเพลงท่ีมชี ือ่ เสียง ได้แก่ คณะ จ. แสงทองรวมศิลป์ ของนายแจ้ เพชรมอญ อยู่บ้านไผ่ แขก อ้าเภอเมือง คณะนายโปรยและนางทุเรียน คณะนางบัวผัน จันทร์ศรีและนายไสว สุวรรณประทีป อยู่ อา้ เภอศรีประจันต์ คณะนายเคลิม ปักษี อยู่อ้าเภอดอนเจดีย์ คณะของนายอ้นและนางศรีนวล อยู่บ้านท่าว้า อ้าเภอเมือง คณะของนายเปร่ืองและนางปลั่ง อยู่อ้าเภอดอนเจดีย์ นอกจากนันยังมีพ่อเพลงแม่เพลงอิสระ จา้ นวนมาก เชน่ นางปาน เสอื สกุล นายเฉลียว นางไถ้ นายทรัพย์ นายหยิบ เปน็ ต้น ( เรือ่ งเดมิ : ๔๕ –๔๖ ) ในจ้านวนนีมีครูเพลงหลายท่าน ได้แก่ นายเคลิม ปักษี นายบุญธรรม บุญเกิด และ นายเฉลยี ว ศรนี าค ซง่ึ ไดแ้ ต่งเพลงต่างๆ จ้านวนมาก ทังเพลงตับทั่วไปและเพลงเรื่อง เช่น เรื่องพระเวสสันดร แตง่ โดยนายยง้ ( ไม่ทราบนามสกลุ ) อยู่บา้ นทา่ ดินเหนยี ว อ้าเภอเมือง ซ่ึงคณะ จ. แสงทองรวมศิลป์ ของนาย แจ้ เพชรมอญ ไดน้ ้ามาแสดงจนมีช่ือเสียงโด่งดัง เพราะสร้างความประทบั ใจใหแ้ ก่ผู้ชมมาก และเป็นท่ีนิยมของ ชาวบา้ นอยเู่ ป็นเวลานาน แมแ้ ตช่ าวบา้ นในท้องถ่ินอ่นื ๆ เช่น พิษณุโลก ฯลฯ ก็ยังติดต่อให้ไปแสดง นอกจากนี ยังมเี พลงเรื่องอ่ืน ๆ เช่น พราหมณ์เกสร ไกรทอง พิกุลทอง ฯลฯ ซึ่งแต่งโดยนายเคลิม ปักษี การแสดงเพลง เรอ่ื งดังกล่าวนีมลี กั ษณะเปน็ เพลงทรงเคร่ืองแบบ “ครึ่งท่อน” คือแต่งกายแบบเพลงพืนบ้าน ไม่ได้ทรงเคร่ือง เหมอื นละคร หรือลเิ ก และคงเรียกช่ือว่า เพลงอแี ซว ไมเ่ รยี กว่า เพลงอีแซวทรงเครือ่ ง ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เพลงอีแซวซบเซาลงอีกครัง เพราะยุคนันเกิดส่ิงบันเทิง รูปแบบใหม่แพร่หลายมาสู่ชาวบ้านมากขึน เช่น เพลงไทยลูกทุ่ง เพลงไทยลูกกรุง ฯลฯ ชาวบ้านจึงลดความ นยิ มเพลง อีแซวลง ต่อมาประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ นายธนิต อยู่โพธ์ิ อธิบดีกรมศิลปากรในขณะนันได้ฟ้ืนฟู เพลงพืนบ้านทุกภาค รวมทังเพลงอีแซวด้วย มีการเชิญพ่อเพลงแม่เพลงไปแสดงที่สังคีตศาลา ของกรม ศิลปากร และใหแ้ สดงถา่ ยทอดออกอากาศทางวิทยุดว้ ย ซึง่ กไ็ ด้รับความสนใจจากประชาชนพอสมควร แต่ก็ไม่ แพร่หลายมากนัก เพลงอีแซวยุคที่สาม เกิดเพชรงาม นาม ขวัญจิต ศรีประจันต์ เพลงอีแซวเร่ิมเป็นท่ี รู้จักและได้รับความนิยมจากประชาชนท่ัวไปมากขึนเมื่อขวัญจิต ศรีประจันต์ หรือ เกลียว เสร็จกิจ ซ่ึงเป็น
๑๖๑ นกั ร้องชื่อดังชาวสุพรรณบุรีได้หนั กลับมาเล่นเพลงอีแซวจนมีช่ือเสียงโด่งดังไปท่ัวประเทศ ท้าให้ศิลปินเพลงอี แซวคนอืน่ ๆ ไดร้ บั ความนิยมไปดว้ ย และเกดิ การรวมตัวเปน็ คณะเพลงตา่ ง ๆ นอกจากความมีช่ือเสียงของศิลปินจะเป็นเหตุให้เพลงอีแซวเป็นท่ีนิยมของประชาชน แล้ว ความต่ืนตัวในการอนุรักษ์และฟ้ืนฟูเพลงพืนบ้านของรัฐบาลและเอกชนก็มีส่วนให้เพลงอีแซวมีความ แพร่หลายมากขึน ดังท่ีสุกัญญา สุจฉายา ( ๒๕๒๕ : ๙๐-๙๓ ) กล่าวไว้ว่า นับตังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐- ๒๕๒๓ เปน็ ตน้ มา รฐั บาลและเอกชนได้ร่วมมอื กนั รณรงคเ์ สรมิ สรา้ งเอกลักษณข์ องชาติ ความตื่นตวั ดังกลา่ วท้าให้เพลง พืนบ้านต่างๆ ได้รับการสนับสนนุ ให้เผยแพร่สปู่ ระชาชนท่ัวไป ด้วยการจัดการแสดงและเก็บรักษาเพลงไว้ ผล ดังกล่าวทา้ ใหเ้ พลงพืนบ้านรวมทังเพลงอแี ซวเปน็ ท่สี นใจของสงั คมอย่างกว้างขวางอีกครัง จนกระท่ังมาถึงช่วง ปีพ.ศ. ๒๕๓๕ – ๒๕๔๐ ก็ถือเป็นยุคทองของแม่ขวัญจิต เพราะมีช่ือเสียงโด่งดังมาก นอกจากจะมีคณะเพลง ของตนแลว้ ยังได้บนั ทึกเสียงและภาพการรอ้ งการแสดงเพลงอีแซวอกี จา้ นวนมาก แม่ขวัญจิตยังเป็นผู้เสียสละ ในการเผยแพรค่ วามรแู้ กเ่ ยาวชนและบคุ คลทว่ั ไปอยู่เสมอ ได้ทา้ งานเพื่อสังคมอย่างต่อเน่ือง จึงได้รับการเชิดชู เกยี รติให้เป็นศิลปินแหง่ ชาติ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ตอ่ มาช่วงปพี .ศ. ๒๕๔๐ – ๒๕๔๑ ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ จน นา้ ไปสู่วิกฤตทางการเมือง ดังปรากฏในเพลงอีแซว ๔๐ และเพลงอีแซว ๔๑ ในชุดหยิกแกมหยอก ซึ่ง พยัพ ค้าพันธ์ เป็นผู้แต่ง และเสรี รุ่งสว่าง เป็นผู้ร้อง ( หนังสือพิมพ์ข่าวสด, ๓-๖ มิถุนายน ๒๕๔๑ ) ตวั อย่างเช่น วา่ ปี ๔๐ ราหูครองเมอื ง นบั วา่ เป็นเร่ืองทยี่ ิง่ ใหญ่ …วา่ ปฉี ลูราหทู า้ เหตุ เศรษฐกิจตกสะเกด็ กันทังเมอื งไทย พวกท่ีท้าการค้าอย่ดู ดี ี ตอ้ งมาวายชวี ลี ม้ ละลาย บา้ งก็ฆา่ ตวั ตายไปจากโลก มนั ซบเซาเศร้าโศกนา่ ใจหาย ประชาชนตกงานเกอื บทงั เมอื ง พระราหทู า้ เรอื่ งใหว้ นุ่ วาย บา้ งถกู ตัดเงนิ เดือนงดโบนสั เพราะทางบริษทั ลม้ ละลาย ( เพลงอีแซว พ.ศ. ๒๕๔๐ ) ผลของเศรษฐกิจตกสะเก็ดในปี ๒๕๔๐ ยังต่อเนื่องไปจน ปี ๒๕๔๑ ปรากฏอยู่ใน เพลงอีแซว ๔๑ ดงั ตวั อย่างต่อไปนี โอ้ว่าปี ๔๑ ปีเสือล้าบาก พีน่ อ้ งคนไทยทุกภาคกา้ ลังจะตาย ก็เพราะว่าปี ๔๐ โดนววั ขวดิ เสยี บเอาเศรษฐกิจจนลม้ ละลาย ต้องมานอนเลยี แผลปี ๔๑ บ้านเมอื งล้มผล่งึ น่าใจหาย... (เพลงอแี ซว พ.ศ. ๒๕๔๑)
๑๖๒ จากเนือเพลงข้างต้น การสูญเสียทางเศรษฐกิจของชาติในปี ๒๕๔๐ และ ผลกระทบสืบเน่ืองมาถงึ ปี ๒๕๔๑ เพลงอแี ซวก็ไดร้ ับผลกระทบไปด้วย แม่ขวัญจิตกล่าวว่า เพลงอีแซวเหมือน กระแสนา้ เดีย๋ วกข็ ึนเดีย๋ วกล็ ง บางทีก็เหมือนๆ จะขาดหายไป บางทีก็หลั่งไหลมาอีก เช่น ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๓๘ เกือบแทบจะไม่มงี านแสดงเลย ( เกลยี ว เสรจ็ กจิ , สมั ภาษณ์) การรอื ฟนื้ คืนชวี ิตเพลงพืนบ้านจึงเป็นงานเร่งดว่ นงานหนึ่งของรัฐบาลและประชาชน ดังปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ เรื่องเกี่ยวกับการส่งเสริมภูมิปัญญา ศิลปะและวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติไทย หนว่ ยงานหลายแห่งของภาครัฐและเอกชนมีบทบาทส้าคัญในการอนุรักษ์และฟ้ืนฟูเพลงพืนบ้านอย่างชัดเจน เช่น ส้านักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ส้านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการและส้านักงานการอุดมศึกษาเอกชน เช่น สถาบันการศึกษาในสุพรรณบุรี จัดโครงการ อนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดโครงการประกวดเพลงพืนบ้าน ตังแต่ปี ๒๕๔๗ – ๒๕๕๖ เปน็ ตน้ อย่างไรก็ตามเพลงอีแซวเป็นศิลปะการแสดงพืนบ้านซึ่งเป็นที่นิยมเร่ือยมาของ ประชาชนทังในท้องถิ่นจังหวัดสุพรรณบุรี ท้องถิ่นใกล้เคียงและท้องถิ่นอื่น ๆ ทั่วประเทศ ทังในสังคมเมือง และสังคมชนบท ทังนีเพราะผแู้ สดงมกี ารประยุกต์ลักษณะการร้องการเล่นให้มีความทันสมัย และยังรวมตัว กนั เปน็ คณะเพลง อแี ซวทยี่ ดึ เป็นอาชพี อกี หลายคณะ บางคณะยังมงี านแสดงเกอื บตลอดทังปี ๒.๒.๕.๒ ลกั ษณะและรปู แบบการจดั การแสดง เพลงอีแซวมลี กั ษณะและรปู แบบการแสดงคลา้ ยกบั การแสดงเพลงฉ่อย กระบวนการ ก่อนประกอบการแสดงมีทังสิน ๓ ขันตอน ได้แก่ การเลือกบทแสดง การก้าหนดจ้านวนผู้แสดงและบทบาท การแสดงของแตล่ ะคน และการจดั รูปแบบการแสดง การเลือกบทแสดง คือการเลือกสรรเนือเพลงท่ีจะใช้แสดงในแต่ละงาน โดยค้านึงถึง โอกาสท่แี สดงเป็นหลัก ต้องพิจารณาบุคคลที่เกี่ยวข้อง จ้านวนผู้ชม ระยะเวลาที่แสดง และสภาพของสังคม และวัฒนธรรมของท้องถ่ิน บางโอกาสผู้ว่าจ้างขอให้ร้องเพลงที่มีเนือหาเฉพาะเรื่อง ซึ่งหัวหน้าคณะหรือครู เพลงจะต้องแต่งเนือเพลงขึนใหม่ให้เหมาะสมแก่งานตามความประสงค์ของผู้ว่าจ้างด้วย นอกจากนียังต้อง ค้านึงถึงจ้านวนและคุณภาพของนักแสดงในคณะเป็นส้าคัญ เพราะเพลงบางตับบางเรื่องนักแสดงบางคนไม่ สามารถรอ้ งได้ การเลอื กบทแสดงหรือบทรอ้ งนพี บวา่ มที ังกอ่ นแสดงและขณะแสดง หากผู้แสดงสังเกตว่าผู้ชม ไม่พึงพอใจ ก็จะเปล่ียนบทร้องเร่ืองอื่นหรือตับอื่นทันที ซ่ึงถือเป็นปฏิภาณไหวพริบที่สังเกตได้ชัดเจนของผู้ แสดงเพลงพืนบ้าน ผู้แสดงทม่ี ีความเชีย่ วชาญสงู เช่น นางเกลียว เสร็จกิจ ยังสามารถด้นเพลงหรือคิดแต่งเนือ เพลงและรอ้ งได้ทนั ทีอกี ดว้ ย
๑๖๓ การกา่ หนดจ่านวนผู้แสดงและบทบาทการแสดงของแต่ละคน หัวหน้าคณะจะเป็นผู้ กา้ หนดวา่ งานหนึง่ ๆ ควรมผี แู้ สดงจ้านวนเท่าใด เพ่ือให้สอดคล้องและเหมาะสมกับระยะเวลาการแสดง และ งบประมาณหรือค่าตอบแทนที่ได้รับ สา้ หรบั การก้าหนดบทบาทการแสดงของแต่ละคนนันหัวหน้าคณะจะเป็น ผู้ก้าหนดตามความเหมาะสมของลักษณะงานและคุณภาพของผู้แสดง ปกติผู้มีความช้านาญน้อยจะเป็นลูกคู่ และผู้ร้องเพลงสนั ๆ เช่น เพลงออกตัว เพลงแต่งตัวและเพลงอวยพร ส่วนผู้แสดงท่ีมีความช้านาญแล้วมักจะ ร้องเพลงบทประซง่ึ หัวหน้าคณะมักเป็นผูเ้ ลือกวา่ จะเลอื กเรือ่ งใดหรือตบั ใด การจัดรูปแบบการแสดง เนื่องจากเพลงอีแซวเป็นการแสดงการร้องเพลงโต้ตอบกัน ระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง โดยมีต้นเสียงร้อง แล้วมีลูกคู่รับ สลับกันไปทีละ “ลง” หรือท่อนของเพลง โดยทว่ั ไป ผู้ว่าจ้างจะต้องจดั สถานทส่ี ้าหรบั แสดงไวเ้ ปน็ การเฉพาะ อาจอยู่กลางแจ้งหรือในอาคาร โดยจัดเป็น โรงปะร้าหรือเวทีการแสดง ซ่ึงจะแบ่งพืนที่เป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ส่วนเวทีส้าหรับแสดง และส่วนห้องเตรียมตัว นักแสดง ภาพท่ี ๖๙ การจดั รปู แบบการแสดงของคณะขวัญจิต ศรีประจนั ต์ ท่มี า: สุธาทพิ ย์ ธราพร ๒.๒.๕.๓ ลาดับข้ันตอนการแสดง โดยทั่วไปการแสดงเพลงอีแซวมีล้าดับขันตอนในการเล่นที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ๕ ขันตอน ได้แก่ การไหว้ครู การร้องเพลงเกร่ิน การร้องเพลงประ การร้องเพลงลาหรือเพลงจากและการ อวยพร ๑. การไหว้ครู เป็นการกราบไหว้บูชาเพ่ือระลึกถึงและบอกกล่าวขอพรส่ิงศักด์ิสิทธิ์ ทังหลายทเ่ี คารพนบั ถอื ได้แก่ พระรัตนตรัย เทวดา ภตู ผี ตลอดจนพอ่ แมแ่ ละครูบาอาจารย์
๑๖๔ ภาพที่ ๗๐ การไหว้ครูของคณะขวญั จติ ศรปี ระจันตแ์ ละคณะส้าเนยี ง เสียงสพุ รรณ ทมี่ า: สา้ เนียง ชาวปลายนา ๒. การร้องเพลงเกร่นิ เป็นการร้องของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก่อนที่จะมาพบกันตาม เหตกุ ารณท์ ่ีสมมตุ ิไว้ ประกอบด้วยการร้องเพลงออกตัว คือเพลงที่กล่าวทักทายและแนะน้าตัวซึ่ง แสดง ถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน เพลงแต่งตัว คือเพลงท่ีพรรณนาถึงการอาบน้าและการแต่งกาย และเพลง ปลอบ คือเพลงท่ีเชิญชวนให้ฝ่ายหญิงออกมาร้องเพลงโต้ตอบ ในเชิงอ้อนวอนหรือท้าทาย การร้องเพลง เกรน่ิ นี ฝ่ายชายจะร้องก่อนแล้วฝ่ายหญิงจึงจะร้องบา้ ง ตวั อยา่ งเพลงแต่งตวั ของแมข่ วญั จิต ศรีประจันต์ ว่าเธอกแ็ ตง่ ฉันหรอื กแ็ ต่ง ผดั หน้าทาแป้งเธอไปฉันก็ไป หวีผมทรงกระทมุ่ สาวหนุม่ โบราณ ผ้าโจงกระเบนพืนบ้านเสอื คอระบาย เอาผา้ แพรมาห่มดเู หมาะสมสดสวย เอาเชยี่ นหมากไปด้วยเพราะฉันอดไมไ่ ด้ หมากเจยี นพลูจีบจดั แจงบรรจง เตรียมเสรจ็ แมก่ ็ลงลงบันได ภาพท่ี ๗๑ การแสดง“บทออกตัว” ของคณะขวัญจิต ศรีประจนั ต์ ทีม่ า: สธุ าทพิ ย์ ธราพร ๓. การร้องเพลงประ หมายถึงการร้องเพลงประคารมของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เมือ่ ได้พบกันแล้ว การร้องเพลงประนเี ปน็ ชว่ งหวั เลยี วหัวต่อของการเล่นเพลง ซ่งึ ผูเ้ ลน่ จะเลือกว่าจะเล่นไปใน
๑๖๕ แนวใด บ้างก็เล่นแนวรักคือเริ่มจากการร้องเพลงตับเกียวพาราสี แล้วอาจด้าเนินเรื่องไปสู่ ตับลักหาพาหนี หรือตับสขู่ อ ตับชงิ ชูห้ รอื ตับตหี มากผวั บา้ งกเ็ ลน่ แนวประลองฝปี ากหรอื ทดสอบภูมิปัญญา เช่น เพลงตับตอ ตบั หมา ตับแมว ตับเช่านา ตบั เชา่ เรือ ตบั ซอื ควาย ตบั ฉีดยา ตับถามบาลี ตับถามประเพณี ฯลฯ บ้างก็ เลน่ แนวเพลงเร่ือง เชน่ พระเวสสนั ดร จันทโครพและลักษณวงศ์ เปน็ ต้น การรอ้ งเพลงประจึงเปน็ ช่วงที่ สนกุ สนานทีส่ ุด นับเป็นหวั ใจของการเล่นเพลงอีแซวทข่ี าดไมไ่ ด้ ภาพท่ี ๗๒ การแสดงเพลงอีแซวของแม่ขวญั จติ และคณะขวญั จติ ศรปี ระจนั ต์ ทม่ี า: สธุ าทพิ ย์ ธราพร ๔. การร้องเพลงลาหรือเพลงจาก เป็นเพลงท่ีใช้ร้องเพื่อแสดงความอาลัยคู่เล่นเพลง ผ้ชู มหรอื กล่าวคา้ อา้ ลาผู้ชมและเจ้าภาพท่ีหาวา่ จา้ งมาแสดง ๕. การอวยพร การอวยพรเป็นขนั ตอนทมี่ กั จะขาดไม่ได้ เพราะเป็นการร้องขอบคุณ เจา้ ภาพและผู้ดูทังหลายท่ีหาว่าจ้างและชมการแสดง รวมทงั ขอบคุณผู้ชมทม่ี าให้รางวัลตา่ ง ๆ ๒.๒.๕.๔ เครื่องดนตรี เคร่ืองแต่งกายและอปุ กรณป์ ระกอบการแสดง ด้านเคร่อื งดนตรปี ระกอบการเลน่ เพลงอแี ซวได้ปรบั เปลีย่ นมาตามยุคสมัย จากเดิม ที่มีการให้จังหวะด้วยการปรบมือ ต่อมาจึงมีฉ่ิงและแคนเป็นเคร่ืองประกอบจังหวะและเมื่อประมาณ ๒๐– ๓๐ ปีท่ผี ่านมากเ็ รมิ่ มกี ารน้าตะโพนและวงปพ่ี าทยม์ าประกอบการแสดงตามล้าดับ
๑๖๖ การแต่งกาย สถานที่และโอกาสในการแสดง เดิมผู้เล่นเพลงอีแซวแต่งกายด้วย เสอื ผ้าตามปกติของชาวบา้ น ปจั จุบนั ชาวเพลงทังหญิงและชายจะนุ่งโจงกระเบน ฝ่ายหญิงใส่เสือแขนสันคอ กลมหรือคอเหล่ยี มกว้าง ฝา่ ยชายมักใสเ่ สอื แขนสนั คอกลม เสือผ้าทังหญิงและชายจะมีสีสันฉูดฉาดสะดุด ตาเพ่ือดงึ ดูดใจผชู้ ม ภาพที่ ๗๓ การแต่งกายของพ่อเพลงและแม่เพลงในปจั จบุ ัน ท่ีมา : สุธาทพิ ย์ ธราพร ๒.๒.๕.๕ การร้อง ทานอง โนต้ เพลงและตัวอยา่ งบทเพลง คาประพันธ์ เพลงอแี ซวเป็นเพลงปฏพิ ากย์ยาว ท่ีมีจังหวะเร็วกระชัน ลักษณะค้า ประพันธ์เป็นกลอนหวั เดียวเหมอื นเพลงพนื บา้ นภาคกลางทัว่ ไป ดังตัวอย่างเนอื รอ้ งต่อไปนี เนื่องจากเป็นเพลงท่ีมีจ้านวนค้าในแต่ละวรรคค่อนข้างมาก และส่วนใหญ่นิยมเล่น สัมผัสอักษรอย่างแพรวพราว ดังนันเวลาร้องพ่อเพลงแม่เพลงจึงมักจะลงสัมผัสตรงกับจังหวะของเพลงท่ี กระชนั เปน็ ช่วง ๆ ไป ซึง่ ท้าใหเ้ กิดความไพเราะและสนุกสนานครึกครืน เชน่ ลีลาการร้อง ลีลาการร้องเพลงอีแซวแยกได้เป็น ๓ ช่วง ได้แก่ ลีลาการขึนเพลง การร้องเนอื เพลงและการลงเพลงกับการรับเพลง การขนึ้ เพลง ส่วนใหญ่ผ้เู ลน่ เพลงนิยมขนึ เพลงด้วยการเออื นเสียงยาว ๆ ว่า “ เอ่อ… เออ…เอิง…เอ้อ…เอิ๋ง…เอย…” หรืออาจร้องสัน ๆ ว่า “ เอย…” หรือ “ เอ้อ…เอย…” เพ่ือเป็นการทดสอบ เสยี ง หรอื ตังระดับเสียง และเพ่ือเรียกความสนใจจากผู้ชม อย่างไรก็ตามการขึนเพลงนี พ่อเพลงแม่เพลง ไมไ่ ด้เคร่งครัดอาจร้องหรอื ไมก่ ็ได้ การร้องเนื้อเพลง พ่อเพลงแม่เพลงจะร้องเนือเพลงให้เข้ากับจังหวะและจะร้อง เรอ่ื ยไปอย่างสม้่าเสมอ อาจมีการเออื นเสียงหรอื ทอดเสยี งรอจังหวะบ้างตามแต่ผู้ร้องจะตอ้ งการ โดยทั่วไปจะ นยิ มร้องเนือเพลงใหก้ ระชบั แบง่ เนือรอ้ งเปน็ ชว่ ง ๆ แลว้ ร้องกระชัน ๆ ใหล้ งกบั จงั หวะพอดี เช่น
๑๖๗ / ๐๐๐ /๐๐ / ๐๐๐ /๐๐/ / ๐๐๐ / ๐๐/๐๐๐ / ๐๐/ การลงเพลงและการรับเพลง การลงเพลงหมายถึงการทอดเสียงหรือหยอดเสียง เพ่ือให้ลกู คู่รับ ผูร้ ้องเพลงอแี ซวจะทอดเสยี งใหต้ ้า่ และทอดทา้ นองใหช้ า้ ลง แล้วลงท้ายว่า “เอย” ลูกคู่จะร้อง รบั ด้วยคา้ วา่ “ เอย…แล้ว…” และต่อด้วยสองค้าสุดท้ายของวรรค การลงเพลงนีมี ๒ กรณี กรณีแรก เมื่อ ร้องเนือเพลงจบท่อนหรือจบหนึ่งลง ผู้ร้องจะลงเพลงทังวรรคหน้าและวรรคหลัง กรณีท่ีสอง คือลงเพลง ในขณะรอ้ งเนือเพลง เพอื่ พกั เสยี งหรอื คิดหาถอ้ ยค้าหรือเพอ่ื เนน้ ขอ้ ความหรือเพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้ชม กไ็ ด้ การลงเพลงในกรณนี มี ักลงเฉพาะวรรคแรก ลีลาการรอ้ งเพลงอแี ซวนอกจากจะร้องสนกุ ๆ กระชัน ๆ แล้ว บางช่วงยังมีการปรับ ให้จังหวะช้าลงตามลักษณะอารมณ์ของเพลงด้วย เช่น การร้องเพลงลาที่มีอารมณ์โศกเศร้า ผู้ร้องมักร้อง เออื นให้ชา้ และทอดเสียงรอจงั หวะ เปน็ ตน้ ปกตผิ ู้ร้องเพลงอแี ซวมกั มที า่ รา้ หรอื ทา่ ทางประกอบดว้ ย ส่วนใหญ่ เปน็ การใช้ทา่ ทางอย่างธรรมชาติ การเคลอื่ นไหวร่างกายค่อนข้างเร็วกระฉับกระเฉง เพ่ือให้เข้ากับจังหวะที่ กระชัน ซ่งึ การทา้ ทา่ ทางดังกล่าวนเี ปน็ ส่วนประกอบหนง่ึ ที่ทา้ ให้ผู้ชมรู้สกึ สนกุ สนานมากย่ิงขนึ ภาพท่ี ๗๔ ลีลาในการแสดงเพลงอแี ซวเพือ่ ความสนกุ สนาน ปกตผิ รู้ อ้ งเพลงอีแซวมกั มที ่าร้าหรือท่าทางประกอบด้วย ส่วนใหญ่เป็นการใช้ท่าทาง อย่างธรรมชาติ การเคลือ่ นไหวร่างกายค่อนขา้ งเรว็ กระฉบั กระเฉง เพ่ือใหเ้ ข้ากบั จังหวะท่ีกระชัน ซึ่งการท้า ท่าทางดงั กลา่ วนเี ปน็ สว่ นประกอบหนึ่งทที่ ้าให้ผู้ชมร้สู กึ สนกุ สนานมากยง่ิ ขนึ
๑๖๘ ๒.๒.๕.๖ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและความเชอ่ื ขนบธรรมเนียม ประเพณีและความเชื่อในการแสดงเพลงอีแซวนันเหมือนกับการ แสดงเพลงชนดิ อื่น ๆ ทก่ี ลา่ วมาแลว้ ข้างต้น แตเ่ ฉพาะท่ีคณะเพลงอีแซวมีความเช่ือตรงกันมากท่ีสุดคือการรับ งานแสดงสามารถแสดงไดเ้ กอื บทกุ สถานทแี่ ละเกือบทุกโอกาสตามแต่ผู้ว่าจ้างและผู้แสดงจะตกลงกัน ยกเว้น งานแตง่ งาน เพราะถือว่าอาจเกิดเหตทุ ะเลาะกนั ระหวา่ งเจา้ บา่ วเจ้าสาว ท้าให้ไม่เป็นมงคลแก่เจ้าภาพและผู้ แสดงด้วย ตวั อยา่ งเพลงบทออกตัวของแมข่ วัญจิต ศรีประจันต์ บรรจงจบี สบิ นิวขึนหวา่ งควิ ทังคู่ เชญิ รับฟงั กระทู้เอย๋ แลว้ เพลงไทย เชญิ สดบั รบั รสกลอนสดเพลงอแี ซว ฝากล้าน้าตามแนวเพลงอแี ซวยุคใหม่ เพลงอแี ซวยุคใหม่ผดิ กบั สมัยโบราณ ถึงรนุ่ ลกู รุน่ หลานนับวนั จะสญู หาย ถ้าขาดผู้สง่ เสริมเพลงไทยเดิมคงสญู ถา้ พอ่ แม่เกอื กูลลูกกอ็ นุ่ หัวใจ อนั วา่ เพลงพนื เมืองเคยรุ่งเรืองมานาน สมยั ครบู ัวผันและอาจารย์ไสว ประมาณร้อยกวา่ ปีตามทีม่ ีหลกั ฐาน ท่ีครูบาอาจารย์หลายหลายท่านกล่าวไว้ ทังป่ยู า่ ตายายทา่ นก็ไดบ้ อกเล่า การละเล่นสมัยเก่าทเ่ี กรยี วกราวเกรยี งไกร ในฤดเู ทศกาลเมอ่ื มีงานวดั วา ทอดกฐนิ ผา้ ป่ากเ็ ฮฮากนั ไป หรือยามตรุษสงกรานต์ก็มีงานเอกิ เกริก งานนกั ขัตฤกษ์ก็เอิกเกรกิ กันใหญ่ ประชาชนชุมนุมทงั คนหนุ่มคนสาว ทังผูแ้ กผ่ ู้เฒ่าต่างกเ็ อาใจใส่ ชวนลกู ชวนหลานไปรว่ มงานพิธี ถือเป็นประเพณีและศกั ดิ์ศรีคนไทย ท่ีจังหวดั สพุ รรณก็มงี านวัดป่า คนทกุ ทศิ มงุ่ มาท่วี ัดปา่ เลไลยก์ ปดิ ทองหลวงพ่อโตแลว้ ก็โมทนา ใหบ้ ุญกุศลรักษามชี ีวาสดใส ได้ท้าบญุ ท้าทานก็เบกิ บานอุรา สุขสันตห์ รรษาทัว่ หน้ากันไป ได้ดลู เิ กละครเวลาก็คอ่ นคืนแล้ว เพลงฉอ่ ยเพลงอแี ซวก็เจอื่ ยแจ้วปลกุ ใจ หนมุ่ สาวชาวเพลงกค็ รนื เครงลอ้ มวง เอ่ยทา้ นองร้องสง่ ตังวงร้ารา่ ย รอ้ งเกยี วพาราสีบทกวีพนื บ้าน เปน็ ท่สี นุกสนานสา้ ราญหัวใจ เพลงพวงมาลยั บา้ งกใ็ ส่เพลงฉอ่ ย ทังลกู คู่ลูกขอ้ ยตา่ งก็พลอยกันไป ( เกลียว เสรจ็ กจิ สัมภาษณ์ ๑๒,๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ) เพลงอีแซวเป็นเพลงพืนบ้านของภาคกลางท่ีมีความเก่าแก่มากเพลงหน่ึง พัฒนาใน ดา้ นต่าง ๆ มาตามเวลา โอกาสและสภาพสังคม เพลงอีแซวจึงเป็นทังเพลงพืนบ้านและการแสดงพืนบ้านท่ี ได้รับความนยิ มและเปน็ ทรี่ ้จู ักแพรห่ ลายในหมูป่ ระชาชนทวั่ ไป
๑๖๙ เพลงพืนบ้านภาคกลางนับเป็นมรดกภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น มีลักษณะโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทัวนีเน่ืองมากจากปัจจัยต่างๆ อาทิ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สภาพสังคมและ วัฒนธรรม ที่ส่งอิทธิพลต่อท้านอง ค้าร้อง ภาษา ดนตรี ดังท่ีได้แสดงไว้แล้วข้างต้น ในบทต่อไปผู้วิจัยจะได้ กลา่ วถึงสภาวการณป์ จั จบุ นั ของเพลงพนื บา้ นภาคกลาง เพื่อใหเ้ ห็นสายธารของเพลงพืนบ้านภาคกลางท่ียังคงมี อยูต่ อ่ เน่อื งมาตราบปัจจุบัน
๑๗๐ บทท่ี ๓ สภาพการดารงอย่แู ละปจั จัยคุกคามของเพลงพน้ื บา้ นภาคกลาง การวิจยั เรือ่ งเพลงพ้นื บา้ นภาคกลางครัง้ น้ีมงุ่ รวบรวมและจัดเก็บองค์ความรู้เกี่ยวกับเพลงพ้ืนบ้าน ภาคกลางเฉพาะเพลงโต้ตอบท่ียังมีผู้สืบทอดอยู่ในปัจจุบัน จานวน ๕ ชนิด ได้แก่ เพลงฉ่อย เพลงทรงเคร่ือง เพลงเรือ เพลงอีแซวและลาตัด โดยวธิ ีการสารวจและศึกษาข้อมูลเอกสาร ข้อมูลภาคสนามท้ังการสารวจตาม พื้นท่ีเขตวัฒนธรรมภาคกลาง ๓๕ จังหวัดและการจัดค่ายแลกเปล่ียนเรียนรู้ “ค่ายเพาะกล้าพันธุ์เก่งเพลง พน้ื บ้าน” ให้แก่ผแู้ ทนกลมุ่ ประชาคม ได้แก่ ครูเพลง ศิลปินพน้ื บา้ นและเยาวชนผสู้ บื ทอดเพลงพื้นบ้าน จานวน ๑๒๐ คน ในระหวา่ งวนั ท่ี ๑๕ – ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมจานวน ๗ วัน ณ ศูนย์เรียนรู้เพลงพื้นบ้าน แม่ขวญั จิต ศรปี ระจนั ต์ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยนามาเรียบเรียงและนาเสนอใน ๒ ประเด็น สาคัญ คือ สภาพ การดารงอยแู่ ละปจั จัยคกุ คามของเพลงพ้นื บ้าน ๓.๑ สภาพการดารงอยขู่ องเพลงพน้ื บา้ นภาคกลาง ผูว้ ิจัยขอเสนอผลการศึกษาสภาพการดารงอยู่ของเพลงพ้ืนบ้านภาคกลาง แบ่งออกเป็น ๒ ประเด็น ได้แก่ คณะเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางในปัจจุบัน และการแสดงเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางในปัจจุบัน เพ่ือให้เห็น สภาพการดารงอย่ขู องเพลงพื้นบา้ นภาคกลางในแงม่ ุมตา่ งๆ อยา่ งชดั เจน ๓.๑.๑ คณะเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางในปัจจบุ นั ครูเพลงและศิลปินเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางซ่ึงเป็นกลุ่มเป้าหมายของการศึกษาคร้ังนี้มีสภาพ ความเป็นอยู่ระดับชนช้ันล่างค่อนข้างปานกลาง ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในท้องท่ีจังหวัดต่างๆ ท่ีไม่ใช่ กรงุ เทพมหานครและปริมณฑล มักมีวถิ ชี วี ติ อยู่ในสังคมเกษตรกรรม หรือเกษตรกึ่งอุตสาหกรรม แม้บางกรณี จะมีการอพยพจากชนบทเข้ามาต้ังถ่ินฐานในเมืองก็ยังคงประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น แม่ขวัญจิต ศรี ประจนั ต์แมอ้ พยพมาอาศัยอยู่ในเมืองแต่ยังยึดอาชีพเกษตรกรรม เช่น ทานา ทาสวน เป็นต้น ศิลปินพื้นบ้าน ภาคกลางที่อาศัยอยู่ในท้องถ่ินจังหวัดอ่ืนๆ จึงได้รับอิทธิพลจากบริบททางวัฒนธรรมของสังคมแบบ เกษตรกรรมเปน็ สาคัญ ส่วนศิลปินเพลงพ้ืนบ้านท่ีอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีสภาพแวดล้อมของ สังคมเมืองแต่มีสภาพความเป็นอยู่แบบชนชั้นล่าง หรือชนชั้นกลางค่อนข้างต่า เช่น ยึดอาชีพค้าขาย หรือใช้ แรงงาน เปน็ ตน้ ศลิ ปนิ สว่ นใหญ่จึงมฐี านะคอ่ นข้างยากจนยกเวน้ หัวหน้าคณะบางคณะถือว่ามีฐานะปานกลาง คอ่ นขา้ งสูง เช่น แม่ขวญั จิต ศรปี ระจันตแ์ ละกานันสาเรงิ คนฑา เป็นตน้
๑๗๑ ภาพที่ ๗๕ ศนู ย์การเรยี นรู้ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่ินเพลงอีแซว บา้ นแมข่ วัญจติ ศรปี ระจนั ต์ ท่ีมา : สธุ าทพิ ย์ ธราพร ภาพที่ ๗๖ บา้ นและร้านคา้ ของแม่ลาจวน สวนแตง ภาพท่ี ๗๗ แม่หงษท์ อง เสยี งทอง ที่มา : สมบัติ สมศรีพลอย ท่ีมา : ธวชั ชัย เกตเุ สาะ ภาพท่ี ๗๘ แมน่ กเอยี้ ง เสยี งทองและแม่นกเลก็ ดาวร่งุ ภาพที่ ๗๙ ป๋าเดน่ หลานหวังเต๊ะหรอื สธุ รรม หวังโซะ ท่มี า : สมบตั ิ สมศรพี ลอย ทีม่ า : ธวัชชัย เกตุเสาะ ศิลปินเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา ยกเว้นศิลปินเพลงลาตัดบาง คนทนี่ บั ถอื ศาสนาอิสลาม จากการสังเกตและสัมภาษณ์พบว่าเกือบทุกคนมีจิตศรัทธาและยึดม่ันในคาสั่งสอน ของหลกั ศาสนา มนี สิ ัยใจคอโอบออ้ มอารี มีนา้ ใจ ชว่ ยเหลอื ซงึ่ กันและกัน มีค่านิยมแบบไทย เช่น กตัญญูรู้คุณ
๑๗๒ ยึดมั่นในขนบธรรมเนียม มีวิถีชีวิตเสรีแบบไทยๆ มีความเป็นกันเอง ชอบชีวิตเรียบง่าย รักความสบาย ไม่ เคร่งครัดระเบียบแบบแผนบางอย่าง มองโลกในแง่ดี รักความสนุกสนาน รักพวกพ้อง รักการแสดงเพลง พื้นบา้ น และเสียสละเพ่อื สืบสานเพลงพ้นื บ้านเพราะเหน็ ว่าเป็นวิชาชพี และมรดกวฒั นธรรม ในด้านการศึกษา ศิลปินเพลงพื้นบ้านภาคกลางมีการศึกษาต้ังแต่ระดับต่าสุดจนถึงสูง กล่าวคอื ระดบั การศึกษาของครเู พลงและศลิ ปนิ พ้ืนบ้านมีความแตกตา่ งกนั ไปตามอายุ ฐานะทางเศรษฐกิจและ สงั คม ครูเพลงและศลิ ปนิ ท่มี อี ายมุ ากกว่า ๕๐ ปีข้นึ ไปบางคนไมไ่ ด้เรียนหนังสือ เช่น แม่ลาจวน สวนแตงและ แม่ นกเอ้ยี ง เสยี งทอง เพราะเกิดมาในครอบครวั ท่ฐี านะยากจน ทาให้ขาดโอกาสที่จะเล่าเรียน บางคน เช่น แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ แม่สาเนียง ชาวปลายนา ฯลฯ สาเร็จการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๔ เพราะ ระบบการศึกษาของไทยในขณะนั้นยังไม่ก้าวหน้า ในขณะท่ีหัวหน้าคณะบางคน เช่น พ่อประสูตร ช่วงเวฬุ วรรณ และกานนั สาเริง คนฑา สาเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาช้ันปีที่ ๖ สาหรับกลุ่มผู้สืบทอดท่ีมีอายุน้อย กว่า ๕๐ ปีลงมา จะมีการศึกษาสูงข้ึนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาจนถึงระดับปริญญาโท เช่น นางสาวสุธาทิพย์ ธราพร นางสาวจิราภรณ์ บุญจันทร์ นายกิตติพงษ์ อินทรัศมี และนางสาวพัชรี ศรีเพ็ญแก้ว ฯลฯ สาเร็จ การศึกษาระดับปริญญาตรี นางวรรณา แก้วกว้าง นายสุเทพ อ่อนสอาด นายอนันต์ สุขศรี นางพัชรี วิมล ศิลปนิ และนางสดุ ารตั น์ ชิณณะพงศ์ สาเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท เปน็ ตน้ ผู้สืบทอดเพลงพ้ืนบ้านกลุ่มนี้จึง จัดเป็นชาวเมือง ระดับชนชั้นกลาง มีค่านิยมและวิถีชีวิตแบบสังคมเมือง เช่น มีวิถีชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ สะดวกสบายและทนั สมัย มีความรคู้ วามชานาญในการใช้เทคโนโลยี และภาษาตา่ งประเทศ เปน็ ต้น สภาพท่ัวไปของครูเพลงและศิลปินพ้ืนบ้านดังกล่าวจึงแบ่งได้กว้างๆ ๒ กลุ่มตามระดับวัย การศกึ ษาและสภาพความเป็นอยู่ กลุ่มแรกคอื ครูเพลงและศลิ ปินพ้ืนบ้านท่ีมีอายุมากกว่า ๕๐ ปี ส่วนใหญ่เป็น ชาวชนบท มีการศกึ ษาคอ่ นข้างตา่ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และมีฐานะยากจนถึงปานกลาง กลุ่มท่ีสองคือ หวั หน้าคณะและศลิ ปินพ้นื บา้ นทีม่ อี ายตุ า่ กวา่ ๕๐ ปี มีทั้งทเี่ ป็นชาวชนบทและชาวเมือง มีการศกึ ษาระดับปาน กลางถงึ สงู ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและอนื่ ๆ เช่น ค้าขาย รบั จ้าง รับราชการครู เปน็ ต้น ๓.๑.๑.๑ คณะเพลงฉ่อย จากการรวบรวมข้อมูลภาคสนามพบว่าในเขตพื้นทว่ี ฒั นธรรมภาคกลาง ๓๕ จังหวัดใน ปัจจบุ นั มีคณะเพลงฉ่อยที่แสดงเพลงฉ่อยเป็นหลักเพียง ๗ คณะ ได้แก่ คณะพ่อหรัดแม่ประทวย จังหวัดตาก คณะเพลงพื้นบ้านวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตาบลวังแขม จังหวัดกาแพงเพชร คณะเพลงฉ่อยแม่สมปอง พลอยบุตร จังหวัดพิษณุโลก คณะเพลงฉ่อยวงคนสะเดียง จังหวัดเพชรบูรณ์ คณะแม่ทองใบ จินดา จังหวัด นครสวรรค์ คณะพอ่ สวิง บรรเด็จ จงั หวัดชัยนาท และคณะแม่ลาจวน ศรีจันทร์ จงั หวดั สิงห์บุรี สาหรับประวัติ ความเป็นมาของเพลงฉอ่ ยแตล่ ะคณะมดี งั นี้
๑๗๓ ๑) คณะพ่อหรัดแม่ประทวย คณะเพลงฉ่อยพ่อหรัดแม่ประทวย อยู่ท่ีบ้านสระตลุง หมู่ ๑ ตาบลตลุกกลางทุ่ง อาเภอเมือง จงั หวัดตาก ห่างจากอาเภอเมืองตากประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ปัจจุบันเพลงฉ่อยคณะน้ีมีนายหรัด เขน่วม (อายุ ๖๖ ปี) และนางประทวย เขน่วม (อายุ ๖๒) สองสามีภรรยาเป็นหัวหน้าคณะ มีสมาชิกท้ังส้ิน ๑๐ คน ไดแ้ ก่ ๑. นายหรัด เขน่วม ๒. นายเฉลิม เขนว่ ม (พี่ชายของพ่อหรดั ) ๓. นายชลอม เน่อื งนุช ๔. นายธีระ ขามี (ลกู ผ้ใู หญล่ ีกบั แมร่ าพนิ ) ๕. นายนิรตั น์ ขามี ๖. นางประทวย เขนว่ ม ๗. นางสมนกึ เขนว่ ม ๘. นางฉวี แตงบญุ รอด ๙. นางสมเพศ แตงบญุ รอด ๑๐. นางสายยล (ไม่ทราบนามสกุล) กาเนิดคณะเพลงฉ่อยคณะนี้เร่ิมต้นข้ึนเมื่อพ่อหรัดและแม่ประทวยเข้าเรียนรู้และ ฝึกหดั เพลงพืน้ บ้าน กบั ครูเพลงฉอ่ ย ๒ ทา่ น คอื ผู้ใหญ่ลี ขามี และแม่ราพิน ขามี สามีภรรยาซ่ึงเป็นคนพื้นถ่ิน ในหมู่บา้ น ครเู พลงทัง้ สองท่านเร่ิมก่อต้ังคณะเพลงพื้นบ้านแล้วฝึกหัดให้แก่ลูกศิษย์ซึ่งเป็นลูกหลานหรือคนใน ละแวกบ้านเดียวกัน พ่อหรัดซ่ึงอาศัยอยู่ใกล้กับบ้านผู้ใหญ่ลี จึงได้หัดเล่นเพลงมาตั้งแต่เป็นเด็ก และเริ่มออก แสดงเม่ืออายุประมาณ ๑๗ ปี ส่วนแมป่ ระทวยเรม่ิ เล่นเพลงต้ังแต่อายุประมาณ ๑๔ ปี โดยฝึกหัดเพลงจากครู พร (ไม่ทราบนามสกุล) อยู่ทบ่ี า้ นน้ารึม (เดิมเป็นตาบลเดียวกันกับตาบลตลุกกลางทุ่ง แล้วแยกออกเป็นตาบล อีกตาบลหนงึ่ ในภายหลัง) ครูพรเป็นครูเพลงสายเดียวกับผู้ใหญ่ลีและแม่ราพินเพียงแต่อยู่ต่างถิ่นกันจึงไม่ได้ สอนร่วมกัน ต่อมาครูพรเสียชีวิต แม่ประทวยจึงเข้าหัดเพลงเพ่ิมเติมจากผู้ใหญ่ลีและแม่ราพิน ทาให้ได้ร่วม แสดงในคณะเดยี วกนั กับพอ่ หรัดรวมถงึ ลูกศษิ ย์คนอื่นๆ ด้านวิธีการฝึกเพลงของครูเพลง คือให้จดเน้ือร้องเป็น ตบั ต่างๆ เพอื่ ใหท้ อ่ งจา รวมทง้ั หัดร้องหัดราให้ด้วย ตับท่ีใช้ร้อง เช่น ตับพระสงฆ์ ตับหนูหริ่ง ตับล้อ ตับควาย ตับไข้ และตับทอง เป็นตน้ นอกจากลูกศษิ ย์รุ่นของพ่อหรัดและแม่ประทวยแล้ว ผู้ใหญ่ลีและแม่ราพินยังได้หัด ลูกศิษย์รุ่นหลงั ขึน้ อีกรุ่นหนงึ่ รวมแล้วเป็น ๒ รุน่ ได้ออกแสดงเพลงฉ่อยและเพลงทรงเครื่องในแถบภาคกลาง ตอนบนทว่ั ไป เช่น จังหวัดตาก จังหวัดสุโขทยั จังหวัดพิษณโุ ลก และจงั หวัดกาแพงเพชร ซ่ึงในอดีตมีคนจ้างไป แสดงอยา่ งสม่าเสมอ บางคร้ังแสดงติดกันสามถึงส่ีวัน โอกาสที่แสดงส่วนมากเล่นในงานวัดและงานอุปสมบท ตอ่ มาเมอ่ื ความนิยมในเพลงพ้นื บา้ นลดลงประกอบกับนักแสดงต่างแต่งงานมีครอบครัว คณะแสดงเพลงจึงถูก ยุบไปเป็นระยะเวลานาน จนกระท่ังเม่ือประมาณ ๑๐ ปีก่อน หลังจากที่บุตร ของพ่อหรัดและแม่ประทวย
๑๗๔ แต่งงานและออกไปตง้ั ถน่ิ ฐานอย่ทู ่อี ื่น พอ่ หรดั และแมป่ ระทวยจงึ ไดฟ้ นื้ ฟูคณะเพลงฉอ่ ยข้นึ ทาการแสดงอีกครั้ง โดยปจั จบุ ันมสี มาชิกมาเลน่ รวมกนั ราว ๑๐ คน คณะเพลงพืน้ บา้ นท่ีพ่อหรดั และแมป่ ระทวยรว่ มกันกอ่ ต้งั ขน้ึ ใหมเ่ นน้ แสดงเพลงฉ่อย เปน็ หลกั ในอดีตเม่ือออกแสดงจะเล่นตลอดทง้ั คนื เช่น ตัง้ แตส่ องทุม่ จนถึงเท่ียงคืน เป็นต้น แต่ปัจจุบันสมาชิก สว่ นใหญ่ในคณะเปน็ ผู้สงู อายุ จึงแสดงไดป้ ระมาณ ๑ – ๒ ชัว่ โมงเท่าน้ัน อนง่ึ ดงั ท่ไี ด้กล่าวแล้วว่า ในอดีตคณะ ลูกศษิ ย์ของผู้ใหญล่ แี ละแมร่ าพนิ เคยแสดงเพลงทรงเคร่ืองน้ัน มีรายละเอียดที่น่าสนใจ คือ เพลงทรงเครื่องมี การแต่งตัวเหมือนกับลิเกและมีดนตรีประกอบ แต่เคร่ืองดนตรีที่ใช้มีเพียงระนาดเอกหนึ่งราง กลองหน่ึงใบ และฉ่ิงกับกรับซ่ึงเป็นเครื่องประกอบจังหวะ โดยอาศัยเครื่องดนตรีท่ีเป็นของคนในหมู่บ้านเดียวกัน เพลง ทรงเคร่ืองที่แสดงสว่ นมากเปน็ เรอื่ งขนุ ช้างขุนแผน เร่ืองสังข์ทอง และเร่ืองลักษณวงศ์ ปัจจุบันเพลงทรงเคร่ือง ไมไ่ ด้เล่นแล้ว และเส้ือผ้าเครื่องประดับที่เคยใช้ก็สูญหายไปหมด แต่พ่อหรัดและแม่ประทวยยังคงจาบทเพลง ทรงเครือ่ งเร่ืองขุนช้างขนุ แผนตอนพลายแกว้ ล่องทัพได้ ปัจจุบนั คณะเพลงฉ่อยของพอ่ หรดั และแมป่ ระทวยยงั รับจ้างแสดง โดยงานส่วนใหญ่ เปน็ งานที่หนว่ ยงานตา่ ง ๆ อาทิ สานักงานวัฒนธรรมจังหวัดตาก และองค์การบริหารส่วนตาบลตลุกกลางทุ่ง เป็นผู้ติดต่อมาให้ เช่น งานวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และงานถนนคนเดินใน อาเภอเมอื งตาก เปน็ ต้น (หรัด เขน่วม และประทวย เขนว่ ม, สัมภาษณ์, ๒๑ เมษายน ๒๕๕๗) ภาพที่ ๘๐ การสาธิตเพลงฉอ่ ยของพอ่ หรดั แม่ประทวย เมื่อวนั ที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ณ ศูนยเ์ รียนรู้เพลงพ้นื บ้านแมข่ วัญจติ ศรปี ระจนั ต์ จังหวัดสพุ รรณบุรี ทมี่ า : ค่ายเพาะกลา้ พนั ธุ์เกง่ เพลงพื้นบา้ น โครงการวจิ ัยเพลงพื้นบ้านภาคกลาง
๑๗๕ ผใู้ หญล่ ี ขามีและนางราพนิ ขามี นางพร ( ไมท่ ราบ ( ครแู ละผู้ก่อต้งั คณะ ) นามสกุล) ครคู นแรก นายหรดั เขนว่ ม นางประทวย เขนว่ ม แผนผังสายตระกูลครูเพลงฉ่อยของนายหรัดและนางประทวย เขนว่ ม ( หรัด เขน่วม และประทวย เขน่วม, สัมภาษณ์และประชมุ กลุ่มย่อย ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ) ๒) คณะเพลงพื้นบ้านวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตาบลวังแขม จังหวัด กาแพงเพชร คณะเพลงพื้นบ้านวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตาบลวังแขมอยู่ที่บ้านวังแขม หมู่ ๒ ตาบลวังแขม อาเภอคลองขลุง จังหวัดกาแพงเพชร มีหัวหน้าคณะคือนายสกุล ต๊ะปินตา ทาหน้าท่ีเป็น ผปู้ ระสานงานกับสมาชกิ ในวงและเปน็ ผู้แต่งเน้อื เพลงในการไปออกแสดงตามโอกาสต่าง ๆ อนึ่ง อาเภอคลองขลงุ นีม้ ีผคู้ นอพยพจากหลายพื้นที่ยา้ ยเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ จึงทาให้มี ความหลากหลายทางด้านภาษาและวัฒนธรรม เนื่องจากคนท่ีอพยพมาได้นาเอาวัฒนธรรมด้ังเดิมมาด้วย ซึ่ง เพลงฉอ่ ยและเพลงพษิ ฐาน ถอื เปน็ เพลงพ้นื บา้ นท่ีเป็นวัฒนธรรมด้ังเดมิ ของชาวบ้านในอาเภอคลองขลุง มีการ ร้องเลน่ กันมาอยา่ งยาวนาน เพลงพนื้ บ้านเหลา่ นไี้ ม่ปรากฏแนช่ ดั ว่ามีการเร่ิมเล่นต้ังแต่เมื่อใด ในอดีตนิยมเล่น กันในช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น เทศกาลปีใหม่ ตรุษสงกรานต์ รวมท้ังงานประเพณีที่เป็นงานรื่นเริง เนื้อเพลง ที่นามาร้องเป็นบทร้องท่ีศิลปินพ้ืนบ้านจดจาได้และร้องสืบต่อกันมา หรือเป็นเนื้อร้องที่แต่งขึ้นเองเพ่ือให้ เหมาะสมกบั กาลเทศะนั้นๆ ประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถิน่ ของบ้านวงั แขม มเี ร่อื งเล่าสืบต่อกันมาว่าคนบ้านวังแขมอพยพ หนีภยั สงครามมาจากสโุ ขทัยตง้ั แตใ่ นช่วงปลายสมยั อยธุ ยา มาต้ังถน่ิ ฐานอยู่ที่น่ี เมื่ออพยพมาท่ีบ้านวังแขมก็ได้ นาเพลงฉอ่ ยซง่ึ เปน็ เพลงพื้นบา้ นมาสบื ทอดต่อ ในชว่ งร้อยกว่าปีท่แี ลว้ ครูอาจารย์ทส่ี อนเพลงฉ่อยมีครูเล็ก กนก สิงห์ ครูเกด มิงเมืองมูล ครูเลิศ ทองศรี ซ่ึงครูทั้งสามท่านได้สอนให้ชาวบ้านร้องเพลงเพ่ือให้ได้ฉันทลักษณ์ที่ ถกู ตอ้ ง ในอดตี ถ้ามงี านลงแขกเกยี่ วข้าว หรอื ทานข้าวเม่า ครูท้ังสามท่านก็จะมาสอนชาวบ้านให้แต่งเนื้อร้อง เอง สอนวิธีการด้นเนื้อร้องสดด้วยตัวเอง เพ่ือใช้ร้องเล่นในโอกาสต่าง ๆ เม่ือครั้งท่ีพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) เสด็จประพาสต้นมาถึงตาบลน้ี ชาวบ้านก็ได้เล่นเพลงฉ่อยถวายให้ ทอดพระเนตร เป็นเร่ืองท่ผี ู้เฒา่ ผู้แก่ยงั เลา่ กนั สบื มา
๑๗๖ การแสดงเพลงฉ่อยบ้านวังแขมเป็นศิลปะการแสดงที่สืบทอดมาจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่น หน่ึง ครขู องพ่อเพลงแม่เพลงฉอ่ ยในยุคปัจจุบันเท่าท่ีสอบถามได้มีหลายคน แต่บางคนก็เสียชีวิตไปแล้ว ได้แก่ พอ่ ร่อน มชี ยั พอ่ เหรยี ญ นาคนาม (เสยี ชวี ิตเมื่อปี ๒๕๕๓ อายุ ๙๓ ป)ี พอ่ บญุ สง่ มชี ัย ยา่ เปลีย่ น จนั ทราภิรมย์ พ่อล้อม นาคนาม แม่ออง มีชัย แม่สะอ้ิง มีชัย และแม่เฉลียว อัมพฤกษ์ เป็นต้น ซึ่งครูเพลงฉ่อยเหล่านี้ได้ ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้คนในท้องถ่ิน ทาให้ปัจจุบันในตาบลวังแขมยังคงมีคนท่ีร้องเพลงฉ่อยได้หลายคน แตส่ ่วนมากไม่ได้รวมเล่นกันเป็นวง อย่างไรก็ตามประมาณ ๔๐ - ๕๐ ปีท่ีแล้วเพลงพ้ืนบ้านได้ซบเซาจนแทบ จะสูญหายไปจากตาบลวังแขมเนื่องจากขาดความนิยม และพ่อเพลงแม่เพลงจานวนหน่ึงก็เลิกเล่นเมื่อ มีครอบครัวหรอื ตอ้ งทามาหากินเปน็ หลกั จนกระทั่งในปี ๒๕๔๓ จึงได้มีการฟื้นฟูเพลงพื้นบ้านของตาบลวังแขมขึ้นอีกครั้ง โดย กานนั ฟุ้ง ปานสุด กานันและประธานศนู ย์วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตาบลวังแขมในขณะน้ัน ได้เป็นผู้ร้ือฟื้น และผลักดันให้เพลงพื้นบ้านอาเภอคลองขลุงกลับคืนมาสู่สังคมอีกครั้ง โดยสนับสนุนให้นายสกุล ต๊ะปินตา รวบรวมสมาชกิ ให้เปน็ วงเพลงฉ่อยเพอ่ื ออกแสดงในงานต่าง ๆ ท้ังน้ีนายสกุลได้รวบรวมสมาชิกและเป็นผู้แต่ง เน้ือเพลงใหม่ให้แก่พ่อเพลงแม่เพลงในวงใช้ร้องให้สอดคล้องกับงานที่จะไปเล่น ไม่ได้ใช้เนื้อเพลงโบราณซึ่ง ส่วนมากเป็นเพลงที่หนุ่มสาวเก้ียวพาราสีกัน ส่วนทานองนั้นเป็นของเดิมท่ีได้เรียนรู้จากครูเพลงรุ่นเก่า โดยเฉพาะได้ไปร้องใหพ้ ่อเหรยี ญ นาคนาม ฟังก่อน เพือ่ เปน็ การยืนยันทานอง นอกจากน้ีในช่วงแรกยังไดร้ ับการสนับสนุนจากอาจารย์สันติ อภัยราช จากสานักงาน วัฒนธรรมจังหวัดกาแพงเพชรซ่ึงได้มีการจัดทาโครงการให้แต่ละอาเภอค้นหาของดีหรือวัฒนธรรมพื้นบ้าน ดั้งเดมิ ของตนขึ้นมา โดยอาจารย์สันตเิ ขา้ มาถ่ายทารายการโทรทัศน์วัฒนธรรม เพ่ือให้ชาวบ้านแสดงออกด้าน เพลงพ้ืนบ้าน มีครูสมหมาย หวังทรัพย์ ครูประจาโรงเรียนบ้านบึงลาด ตาบลวังแขม เป็นผู้ประสานงาน เนื่องจากครูสมหมายมีผลงานด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นเก่ียวกับการแสดงพ้ืนบ้าน เพ่ือใช้เป็นผลงานวิชาการใน การขอปรบั เลอ่ื นวทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ จงึ คน้ พบเพลงพน้ื บ้านในเขตอาเภอคลองขลุง คือ เพลงฉ่อยและ เพลงพิษฐาน ทางรายการโทรทศั นว์ ฒั นธรรมของอาจารย์สันติ จึงไดต้ ดิ ตอ่ ประสานงานมาทางครสู มหมาย โดย การคน้ พบเพลงพ้นื บ้านในคร้ังนนั้ มผี ู้สูงอายุในเขตอาเภอคลองขลุงเป็นผู้บอกเล่าและถ่ายทอดวิธีการร้องและ เนอื้ รอ้ ง ในอาเภอคลองขลุงมพี ่อเพลงแมเ่ พลงที่ใหค้ วามสนใจอยู่หลายท่าน ตงั้ แต่ปี ๒๕๔๓ เปน็ ต้นมาจนปจั จุบนั (๒๕๕๗) วงเพลงฉ่อยของบ้านวังแขม ซ่ึงมีนาย สกุล ต๊ะปินตาเปน็ ผู้นา ไดอ้ อกแสดงเผยแพร่รวมทั้งสืบทอดเพลงพื้นบ้านอย่างสม่าเสมอ เพลงที่เล่นเป็นหลัก คือเพลงฉอ่ ย นอกจากนี้ยังมีเพลงอน่ื ๆ เปน็ ต้นว่า เพลงพิษฐาน (ในตาบลวงั แขมเรียกว่า “เพลงเก็บดอกไม้เข้า โบสถ์” โดยมากเล่นในวันสงกรานต์) ลาตัด และกลองยาว ทุกวันนี้มีพ่อเพลงและแม่เพลงซ่ึงเป็นสมาชิกใน คณะประมาณ ๑๕ – ๒๐ คน แต่ทุกคนมีงานประจา เช่น เป็นเกษตรกร เป็นนักข่าว เป็นครู ดังนั้นเวลาไป แสดงหากไม่ใช่งานใหญ่มาก ๆ ก็จะไปกันเพียง ๔ – ๗ คน เท่าน้ัน เพราะสมาชิกบางคนก็มีภารกิจ และ สมาชกิ บางคนกไ็ ม่อยากไปหากไม่มคี ่าตอบแทน ซึ่งปัจจุบนั สมาชกิ ในวงที่ยงั ออกงานกนั เปน็ ประจา ได้แก่
๑๗๗ ๑. นายสกลุ ตะ๊ ปนิ ตา (อายุ ๕๔ ปี มยี ายเป็นนางเอกลิเกเก่า เป็นผู้มีความสามารถใน การแต่งเน้ือเพลง ทั้งเพลงลูกทุ่งและเพลงพื้นบ้านประเภทต่างๆ ได้รับยกย่องในฐานะผู้มีผลงานดีเด่นทาง วฒั นธรรมหลายรางวลั ) ๒. นายสมหมาย หวังทรัพย์ (ครูโรงเรยี นบ้านบึงลาด พ้ืนเพเป็นคนเพชรบรุ ี) ๓. นายอนันต์ จนั ทราภิรมย์ ๔. นายสมาน ศรรี ัตน์ ๕. นางปัทมาพร โชตกิ คาม (อายุ ๕๓ ป)ี ๖. นางมลทิน นาคนาม (อายุ ๕๔ ปี เป็นลูกสะใภ้ของพ่อเหรียญ นาคนาม ครูเพลง ฉอ่ ย) ๗. นางทองหยดุ มีชัย ๘. นางนภาพัฒน์ คงสทิ ธ์ิ ๙. นางบวั ลอย ชพู นิ จิ (สกุล ต๊ะปินตา, มลทนิ นาคนาม และปทั มาพร โชตกิ คาม. สัมภาษณ์, ๒๒ เมษายน ๒๕๕๗.) ภาพที่ ๘๑ การแสดงเพลงฉอ่ ยของนายสกลุ ตะ๊ ปินตา ทม่ี า: ศนู ยข์ ้อมลู กลางทางวฒั นธรรม กระทรวงวฒั นธรรม http://www.m-culture.in.th
ครเู ล็ก กนกสงิ ห์ ครูเกด มิ่งเมอื งมลู ๑๗๘ ( ครเู พลง ) ( ครเู พลง ) ครูเลิศ ทองศรี ( ครเู พลง ) นายร่อน นายบญุ ส่ง นายเหรยี ญ นางสะองิ้ นางเปลย่ี น มีชยั มีชัย นาคนาม มชี ัย จนั ทราภิรมณ์ นายลอ้ ม นางออง มชี ัย นางเฉลยี ว นาคนาม อมั พฤกษ์ นายฟงุ้ ปานสดุ นายสกลุ ตะ๊ ปนิ ตา ศลิ ปนิ ในคณะ (กานนั ) สนับสนนุ ( หัวหนา้ คณะคนปัจจุบนั ) นายสมหมาย หวงั ทรพั ย์ ใหฟ้ ้นื ฟูคณะอกี นายอนันต์ จันทราภิรมย์ ครั้ง ปี ๒๕๔๓ นายสมาน ศรีรตั น์ หลงั จากท่ซี บเซา นางปทั มาพร โชตกิ คาม นางมลทนิ นาคนาม ไป ๔๐-๕๐ ปี นางทองหยดุ มีชยั นางนภาพัฒน์ คงสทิ ธิ์ นางบวั ลอย ชูพนิ ิจ แผนผงั สายตระกลู ครูเพลงของนายสกลุ ตะ๊ ปนิ ตา ๓) คณะเพลงฉอ่ ยแม่สมปอง พลอยบุตร จังหวดั พิษณโุ ลก คณะเพลงฉ่อยแม่สมปอง พลอยบุตร มีนางสมปอง พลอยบุตร ปัจจุบันอายุ ๗๐ ปี เป็นหัวหน้าคณะ อาศัยอยู่บ้านเลขที่ ๙๔ หมู่ที่ ๓ ตาบล บ้านคลอง อาเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก รหสั ไปรษณีย์ ๖๕๐๐๐ นางสมปองสบื ทอดคณะเพลงของบดิ ามารดา คือนายวันและนางเผ่ือน พลอยบุตร ซึ่ง เคยมีคณะเพลงฉ่อยพ่อวันแม่เผื่อน นางสมปองเริ่มฝึกร้องเพลงฉ่อยอย่างจริงจังกับพ่อวันแม่เผื่อน เมื่ออายุ ประมาณ ๑๕ ปี และแสดงในคณะเพลงของบิดา มาโดยตลอดจนมีช่ือเสียงโด่งดัง และได้เป็นผู้ควบคุมคณะ เพลงฉ่อยแทนบิดาและมารดา ต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๔-๒๔๒๔ ต่อมาราวปี พ.ศ. ๒๕๒๖ – ๒๕๒๗ พ่อวัน
๑๗๙ แม่เผ่ือนเสียชีวิต สมาชิกในคณะแยกย้ายไปประกอบอาชีพหลัก ช่ือคณะเพลงฉ่อยพ่อวันแม่เผ่ือนจึงเร่ิมจาง หายไป อย่าง ไรก็ตามด้วยความรักในมรดกภูมิปัญ ญาของบรรพบุรุษและ ต้องการสืบทอด รวมท้ังถ่ายทอดให้แก่ลูกหลาน นางสมปองยังคงรับงานแสดงในลักษณะของการบรรยาย การสาธิตและการ รวมกลมุ่ กนั แสดงเพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมให้แก่บุคคลทั่วไป ปัจจุบันแม่สมปองมีงานแสดงซ่ึงส่วนใหญ่จะ เปน็ ของหนว่ ยงานรฐั และสถาบนั การศึกษา เชน่ สานกั งานวัฒนธรรมจงั หวัดและมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัด พิษณโุ ลก อาทิ งานเฉลมิ พระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั เป็นตน้ (สมปอง พลอยบุตร สัมภาษณ์ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗) สมาชิกของคณะแมส่ มปอง พลอยบตุ ร ได้แก่ ๑. นางสมปอง พลอยบุตร อายุ ๗๐ ปี ๒. นายระแวง พลอยบุตร ( พชี่ าย ) อายุ ๗๙ ปี ๓. นางทองมว้ น นุ่มพษิ ณุ ( พสี่ ะใภ้ ) อายุ ๗๙ ปี ๔. นายเสมอ อนิ ดี อายุ ๗๘ ปี ๕. นางเฉลิมพร นุชพว่ ง อายุ ๗๗ ปี ๖. นายไพโรจน์ จานงค์วยั อายุ ๗๒ ปี ๗. นายวาง ทองกรณ์ อายุ ๗๑ ปี ๘. นางสมมงุ่ คงคาย อายุ ๖๕ ปี ๙. นางสมพร ปริยานนท์ อายุ ๖๔ ปี ๑๐.นางสาวสนอง ชวนยิม้ อายุ ๕๘ ปี ( สมปอง พลอยบุตร สัมภาษณ์ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ ) ภาพที่ ๘๒ นางสมปอง พลอยบตุ ร กบั คณะเพลงฉอ่ ยโรงเรยี นพิษณุโลกพิทยาคม ในงาน \"ท้องถิน่ กับประชาชนอาเซยี น\" เม่ือ วันท่ี ๓๐ - ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พิบูลสงคราม ทมี่ า : https://www.google.co.th
๑๘๐ ภาพท่ี ๘๓ การสาธิตเพลงฉอ่ ยของนางสมปอง พลอยบุตรและนายวาง ทองกรณ์ เมอื่ วนั ท่ี ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ณ ศนู ยเ์ รยี นรูเ้ พลงพนื้ บา้ นแมข่ วัญจิต ศรปี ระจนั ต์ จังหวัดสุพรรณบรุ ี ที่มา : ค่ายเพาะกล้าพนั ธุ์เก่งเพลงพ้นื บ้าน โครงการวิจยั เพลงพ้ืนบ้านภาคกลาง นายวันและนางเผอื่ น พลอยบตุ ร ( บิดามารดา ) ( ครูเพลงและหัวหนา้ คณะ) นายระแวง นางสมปอง พลอยบตุ ร นางทองม้วน นายเสมอ อินดี พลอยบุตร ( หัวหน้าคณะคนปัจจบุ นั ) นุ่มพิษณุ นางเฉลิมพร นุชพว่ ง ( พ่ีชาย ) ( พสี่ ะใภ้ ) ไพโรจน์ จานงวยั นายวาง ทองกรณ์ นางสมมงุ่ คงคาย สมพร ปรยิ านนท์ นางสาวสนอง ชวนย้มิ ( ศิลปินในคณะแม่ สมปอง ) คณะเพลงพื้นบา้ นมหาวทิ ยาลัยนเรศวร คณะโรงเรียนพษิ ณุโลกพิทยาคม จงั หวดั พษิ ณโุ ลก จังหวดั พิษณุโลก แผนผังสายตระกูลครเู พลงของนางสมปอง พลอยบตุ ร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 567
Pages: