Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

Published by เบญจลักษณ์ กองเลิศ, 2021-02-12 11:24:25

Description: รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

Search

Read the Text Version

97 ความเช่อื เรอ่ื งผีมอี ิทธิพลทงั้ ด้านบวกและดา้ นลบ ให้ทัง้ คุณและโทษ ชาวไทยเช่ือวา่ ตอ้ ง ปฏบิ ัติบารงุ ผใี ห้ดี หากสมั พันธก์ บั ผีไมด่ ี ชีวติ จะเดือดร้อน ยุคสโุ ขทัย ผปี ระจาเมืองเรียกวา่ ผีขะพุง ดัง จารึกว่า “ในเมืองนี้ มีขะพุงผ.ี ..ถ้าไหวด้ ี พลีถูก เมืองน้เี ท่ียง เมืองนด้ี ี ผิไหวบ้ ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอันบ่ คุม้ บเ่ กรง เมืองนี้หาย” ต่อมา เม่อื นบั ถือศาสนาพราหมณ์ ผี รักษาประเทศไทยปัจจบุ นั กลายมาเปน็ เทวดาอารกั ษ์ เรยี กว่า “พระสยามเทวาธิราช” ประเพณีพายัพบางเผา่ ถา้ ทาผดิ จารีต เรียกว่า ผิดผี หรือ คนในครอบครัวเจ็บปว่ ยออดๆ แอดๆ ก็ว่า ผิดผปี ่ผู ตี า ต้องเสยี ผี และขอขมาผีเปน็ ต้น ทาง ศาสนาคริสต์ เรียกผีทย่ี ่ิงใหญ่ท่ีสุดของโลกวา่ พระเจ้า(GOD) คนธรรมดามองไม่เหน็ พระเจ้า จะเหน็ ได้ ก็เฉพาะผเู้ ข้าถงึ พระองค์เทา่ นั้น ในศาสนาฮินดู มหาเทพศิวะ มีชือ่ หน่งึ วา่ ภูเตศวร หรอื ภูตบดี แปลวา่ เจ้านายผี หรอื ผปู้ กครองผี ความเชือ่ เรื่องไสยศาสตร์ เป็นความเชอ่ื โดยทว่ั ไปของชนชาติไทยแต่ก่อนมา เป็นความเชอ่ื เกี่ยวกบั อานาจเวทมนต์ คาถา อาคม หรอื พลังอานาจศักดิ์สทิ ธขิ์ องวตั ถุหรือแร่ธาตกุ ายสิทธ์ิ อนั เป็นเครื่องราง ของขลัง พบในวรรณคดเี รือ่ ง “ขนุ ช้างขนุ แผน” หลายตอน เชน่ ตอนทากุมารทอง ตอนสงคราม ตอน ทาดาบฟ้าพืน้ เป็นต้น หรือ ในวรรณคดีเรอ่ื ง “ไกรทอง” ตอนจดุ เทยี นระเบิดนา้ เพอื่ ปราบชาละวนั จระเขย้ กั ษ์ นอกจากน้ียงั มพี ธิ ีกรรมเพ่ือความขลงั ศักดสิ์ ทิ ธ์ิ เชน่ การฝังอาถรรพณ์ การเขียนยนั ตต์ ดิ ไว้ ตามบ้านเรอื นเพ่ือคุ้มครองรกั ษา ปัจจบุ ัน กลายมาเปน็ พธิ ปี ลกุ เสกตา่ งๆ การเขยี นยนั ตห์ รือปดิ ยนั ต์ เอาไว้ ที่ยานพาหนะ เชน่ รถยนต์ เรอื หรอื พาหนะอืน่ ๆ มีคนเล่าวา่ ประเทศญีป่ ุ่นแมเ้ ขาจะเจรญิ ดว้ ยวทิ ยาการสมัยใหม่ มเี ครื่องบนิ และการควบคุมระบบการบนิ ดว้ ยเครือ่ งคอมพิวเตอร์ แต่ทน่ี ง่ั นกั บินยงั ตดิ ยนั ต์“ฮู้” เป็นภาษาญ่ปี นุ่ เอาไว้ แสดงว่าความเช่ือไสยศาสตร์ยัง มีอทิ ธิพลเหนือจิตใจ ชาวโลกอยู่ไมอ่ าจทิ้งไปได้ ความเชื่อเม่ือนับถือพระพทุ ธศาสนา ชาวไทยไดร้ บั เอาพระพุทธศาสนาเปน็ ศาสนาประจาชาติมานาน กอ่ นน้ีนับถือพระพุทธศาสนานิกาย มหายาน ตอ่ มาในสมัยพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช นบั ถือนิกายเถรวาท ไดน้ มิ นต์พระสงฆ์จากเมือง นครศรีธรรมราชมาเป็นประมุขสงฆ์ การพระพุทธศาสนาเจริญมาก ชาวเมืองสุโขทยั นับถือศาสนากัน อย่างเคร่งครดั ดงั ศลิ าจารกึ ว่า “ชาวสโุ ขทยั มีศรทั ธาในพระพุทธศาสนา มักทาทาน โอยทาน ... ทรง ศีลเมื่อพรรษาทุกคน” พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาแหง่ เหตผุ ลและสติปญั ญา มีหลักปรัชญาท่ีสอนใหป้ ฏิบตั ิตามทาง สายกลาง(มชั ฌมิ าปฏปิ ทา) ใหม้ ีเมตตา มีคณุ ธรรมต่อสง่ิ ต่างๆ ท่เี ป็นธรรมชาตริ อบตัว เม่ือชาวไทยรับ

98 เอาพระพุทธศาสนา ความเช่ือและสติปญั ญาดจู ะลกึ ซง้ึ กว่าเดิม รู้จักวางจดุ หมายอดุ มคติชวี ติ ที่สงู สง่ กวา่ เดมิ มีปรัชญาชวี ติ ท่มี งุ่ ละกเิ ลสตณั หา ไม่สัง่ สมกิเลส มีแต่พอดี แสวงหาแตส่ งิ่ ของเท่าทจี่ าเปน็ แก่ ชวี ิต วถิ ชี วี ติ ของชาวไทยอาศัยหลกั ศาสนธรรมเป็นดุจประทีปส่องทางนับแต่เกิดจนกระท่ังตาย มี อัธยาศยั โอบออ้ มอารี เอือ้ เฟื้อเกื้อกลู กันในสังคม มีธรรมเนยี มถือปฏิบัตวิ า่ ชายไทยต้องบวชเรียน ศกึ ษาพระพุทธศาสนา เปน็ สามเณร หรอื พระภกิ ษุ ฝกึ หดั อบรมกล่อมเกลาอปุ นสิ ยั ให้เปน็ คนดี เม่ือสึกออกมาจึง เรียกวา่ “บัณฑติ ” หรอื ผู้รู้ แมค้ ราว หลงั คาวา่ “บณั ฑิต” จะกร่อนมาเปน็ “ฑติ ” หรอื “ทิด” ตามเสยี งไทย(คาว่า ทิด มีความเหน็ หนึ่งวา่ มาจากคาว่า “ทชิ ะ” ทีแ่ ปลวา่ เกดิ 2 หน เกิดครงั้ แรกจากครรภ์มารดา เกดิ ครั้งที่ 2 โดยการบวช มี พระอุปัชฌาย์อาจารย์เปน็ ดจุ บดิ ามารดา เม่ือผ่านการบวชเรยี น เทา่ กับได้เกดิ ใหม่ เป็นคนใหม)่ ประเพณกี ารบวชเรียน และบวชทดแทนพระคุณบุรพการยี ังคงสบื มาจนปจั จุบัน แม้จะนับถอื ศาสนา พุทธเปน็ หลกั แตช่ าวไทยกย็ งั คงผสมความเชอื่ เดิมของตน เขา้ ไปด้วย กลายเป็นพทุ ธศาสนาแบบไทย ความสัมพนั ธ์ระหว่างชาวไทยกบั พระพุทธศาสนามมี านาน ดังพระราชวรมนุ กี ล่าววา่ “ประวัตศิ าสตร์ ของชนชาติไทยคือประวตั ิศาสตร์ของพระพทุ ธศาสนา” ความเชือ่ ของคนไทยสมยั ใหม่ ปัจจบุ นั ประเทศไทยเปิดประเทศตดิ ต่อกบั นานาอารยประเทศในวงกว้าง ทาให้แนวคดิ ทรรศนคติ และค่านยิ มทเ่ี คยมีมาแตเ่ ดมิ เปล่ยี นแปลงไปมาก คนสมัยใหมป่ ฏิเสธศาสนา หาว่าเปน็ ส่งิ ท่ีเชย ครา่ ครึ ไมท่ ันสมัย ขดั ขวางความเจริญของประเทศ คณุ คา่ ความงามด้านจติ ใจเป็นสงิ่ ท่ีถกู ละเลย กลายมานับ ถอื คุณคา่ และความงามทางวัตถเุ สพบรโิ ภค มองความดีที่เปลือกนอก ผูม้ ฐี านะทางเศรษฐกิจดี มี อานาจฐานะทางสังคม ใช้ชีวติ แบบตะวันตก ตามทันกระแสโลกาภิวัตน์ คือ คนดี มไิ ดน้ ับถอื ความมี คณุ ธรรมคือความดี ดุจแต่ก่อน ความคดิ น้ีเปน็ อนั ตราย ส. ศิวรกั ษ์กลา่ ววา่ “คนรนุ่ ใหม่ยังไมค่ วร รีบดว่ นปฏเิ สธอารยธรรมดง้ั เดมิ ของตน เม่ือไม่เขา้ ใจอารยธรรมดั้งเดมิ ก็เริ่มดูถกู อารยธรรมของตน อันตรายอยู่ตรงนี้ ยิ่งมารับอารยธรรมใหม่ตามสมัยนยิ มและยังไมเ่ ขา้ ใจอารยธรรมใหม่นั้นอกี น้แี หละ คือความหายนะ” ตวั เรง่ ใหช้ าวไทยสมัยใหม่มคี า่ นิยม และความเชื่อเปลี่ยนแปลงไปจากวถิ เี ดิม ก็คือ การยอมรับ วฒั นธรรมตะวนั ตก ด้วยการติดต่อกับ กลุ่มประเทศทางตะวันตก โดย ชนช้ันนาในสังคมเปน็ ผเู้ ริ่มรบั เอาวัฒนธรรมใหมม่ าปฏิบัติ อย่างนอ้ ย ก็เป็นเวลา เกือบร้อยปี แบ่งเปน็ ระยะได้ 4 ระยะ คือ

99 ระยะแรก ในสมยั รชั กาลที่ 3 เป็นชว่ งทวี่ ัฒนธรรมตะวันตกแผเ่ ข้ามา นาเทคโนโลยีและของแปลกใหม่ เขา้ มา ชาวไทยสนใจ แต่กย็ งั สงวนทา่ ท่ี เรียกว่า ระยะตงั้ หลัก ระยะท่ี 2 เรียกว่า ระยะการ เปลย่ี นแปลงขอบนอก ในสมัยรัชการท่ี 4 เห็นวา่ วิชาการและเทคโนโลยตี ะวันตกหลายอย่าง เจรญิ กว่า ดกี วา่ ของไทย กย็ งั คงรักษาสาระวฒั นธรรมส่วนใหญ่เอาไว้ แต่เหน็ ว่า อย่างไรก็ต้านทานกระแส โลกตะวนั ตกมิได้ จาเป็นต้องปรับปรุงจารีตบางอย่างใหเ้ ป็นเชิงวิทยาศาสตร์ ระยะต่อมา เรยี กว่า ระยะการเปล่ียนแปลงสถาบันหลกั เห็นได้ชัดในสมัยรัชกาลที่ 5 มกี ารเปล่ยี นแปลงระบบการบรหิ า ราชการแผน่ ดิน จากจตุสดมภ์เป็นระบบกระทรวงทบวงกรมแบบตะวันตก และสดุ ท้าย ระยะการหา ความสมดุล ในสมยั รชั กาลท่ี 6 เป็นการปรบั ปรงุ เพ่อื รักษาสมดุลของเอกลักษณ์ไทย ผสมกบั เทคโนโลยีตะวันตก สรา้ งความคดิ ชาตินยิ มขึ้นมา นับจากนั้นมา สังคมไทย ก็ไดเ้ ริ่มเปลย่ี นแปลง คา่ นยิ มไป นบั แต่ วฒั นธรรมการแต่งกาย การเคารพผูใ้ หญ่ ศลิ ปกรรม ประเพณนี ิยม เป็นตน้ โดยอา้ ง ว่า เพื่อให้พัฒนาหรือใหท้ ันสมัย วธิ ีคิดแบบตะวนั ตกไดส้ ง่ ผลกระทบต่อ วถิ กี ารดาเนินชวี ิต ความคดิ ความเชอ่ื ของชาวไทยเป็นอย่างมากทาใหเ้ กิดการเปลยี่ นแปลงหลายประการ คือ การเปลย่ี นแปลง ทางการเมอื ง การเปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเปล่ียนแปลงทาง วัฒนธรรม การเปล่ียนแปลงทางการศึกษา และดา้ นสือ่ และเทคโนโลยี ยิ่งความเจริญกา้ วหนา้ ทาง วทิ ยาการคอมพิวเตอร์มีบทบาทมากขน้ึ เพียงใด ก็สง่ ผลให้เกดิ การเปลยี่ นแปลงมากมาย ขยายออกไป ในวงกวา้ งยิ่งขน้ึ ความจริง ทกุ อย่างย่อมต้องเปลยี่ นแปลงไปตามสง่ิ แวดล้อม หรอื ตามกฎอนจิ จัง การ เปลย่ี นแปลงไปในทางท่ีดีควรใหเ้ กดิ ใหม้ ี แตต่ ้องเปลย่ี นแปลงอยา่ งมีสติ คนสมยั ใหม่ แม้ว่าจะรัก วิทยาการสมัยใหม่ ชอบความเปน็ ประชาธิปไตย เปน็ วตั ถุนิยมมากกว่าจิตนิยม ก็ไม่ควรลมื ด้านพฒั นา คณุ ภาพจิตใจใหเ้ จรญิ ประสานกลมกลืนกับความเจริญทางวัตถุ การปรบั ใหเ้ กิดสมดุลระหว่างกายกับ จติ ควรหนั มาศกึ ษาคาสอนทางพระพุทธศาสนา ทส่ี อนใหร้ ู้จกั ความพอดี ใช้สอยแตส่ ง่ิ ท่จี าเป็นในชีวติ เข้าใจโลกและชวี ติ อย่างมเี หตุผล หลกั ปรชั ญาชาวตะวันออกม่งุ สอนให้คนเรียนรเู้ พอ่ื จะอยแู่ ละ สัมพันธ์สอดคล้องกับธรรมชาติ มิใชใ่ ห้เอาชนะธรรมชาติ อย่างทีช่ าวตะวันตกกาลงั พยายามเอาชนะ อยู่ จนกอ่ ปัญหาแก่สภาพแวดล้อม สูญเสียระบบนิเวศ จนชาวโลกช่วยกันหนั มาเรียกรอ้ งฟ้นื ฟรู ะบบ นิเวศวิทยา คืนสภาพเดิมแก่ธรรมชาติกนั อยา่ งปัจจบุ ัน ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพียง เปน็ ปรชั ญาชี้ถึงแนวการดารงอยแู่ ละปฏิบตั ิตนของประชาชนใน ทุกระดับ ตัง้ แตร่ ะดบั ครอบครวั ระดบั ชมุ ชน จนถึงระดับรัฐ ทงั้ ในการพฒั นาและบริหารประเทศให้

100 ดาเนนิ ไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพฒั นาเศรษฐกจิ เพอ่ื ให้กา้ วทันต่อโลกยคุ โลกาภิวัตน์ ความ พอเพยี ง หมายถึง ความพอประมาณ ความมเี หตผุ ล รวมถึงความจาเป็นทีจ่ ะต้องมีระบบภมู ิคุ้มกนั ใน ตัวท่ดี พี อสมควร ต่อการกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปล่ยี นแปลงทั้งภายในภายนอก ท้ังนี้ จะต้อง อาศยั ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมดั ระวังอยา่ งย่งิ ในการนาวิชาการตา่ งๆ มาใชใ้ นการ วางแผนและการดาเนินการ ทกุ ขั้นตอน และขณะเดียวกนั จะต้องเสรมิ สร้างพน้ื ฐานจิตใจของคนใน ชาติ โดยเฉพาะเจ้าหนา้ ท่ีของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกจิ ในทุกระดับ ให้มีสานกึ ในคณุ ธรรม ความ ซื่อสตั ย์สจุ ริต และให้มีความรอบรู้ท่เี หมาะสม ดาเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อใหส้ มดลุ และพร้อมต่อการรองรับการเปล่ยี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ และ กว้างขวาง ทงั้ ดา้ นวัตถุ สังคม ส่งิ แวดลอ้ ม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เปน็ อย่างดี ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ ดงั นี้ ๑. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีท่ีไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่ เบยี ดเบียนตนเองและผู้อน่ื เช่น การผลติ และการบรโิ ภคท่ีอย่ใู นระดับพอประมาณ ๒. ความมเี หตุผล หมายถงึ การตดั สินใจเก่ียวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเปน็ ไปอยา่ ง มีเหตผุ ล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจยั ท่เี ก่ยี วข้อง ตลอดจนคานึงถงึ ผลท่คี าดวา่ จะเกิดขึน้ จาก การกระทาน้นั ๆ อย่างรอบคอบ ๓. ภูมคิ ุ้มกนั หมายถึง การเตรียมตวั ให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลย่ี นแปลงด้านตา่ งๆ ที่ จะเกิดข้นึ โดยคานึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ตา่ งๆ ทค่ี าดวา่ จะเกดิ ขึน้ ในอนาคต โดยมี เงื่อนไข ของการตัดสินใจและดาเนนิ กจิ กรรมต่างๆ ใหอ้ ยู่ในระดับพอเพยี ง ๒ ประการ ดังน้ี ๑. เงอ่ื นไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกย่ี วกบั วชิ าการต่างๆ ทเ่ี กีย่ วข้องรอบด้าน ความรอบคอบทจ่ี ะนาความรู้เหล่านนั้ มาพจิ ารณาใหเ้ ช่ือมโยงกัน เพ่ือประกอบการวางแผน และความระมดั ระวังในการปฏบิ ัติ ๒. เงอ่ื นไขคุณธรรม ทจี่ ะตอ้ งเสริมสร้าง ประกอบดว้ ย มคี วามตระหนักใน คุณธรรม มีความ ซอื่ สตั ย์สจุ ริตและมีความอดทน มีความเพยี ร ใชส้ ตปิ ญั ญาในการดาเนินชีวติ แนวทางการทาการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพยี ง เน้นหาข้าวหาปลาก่อนหาเงินหาทอง คือ ทามาหากินก่อนทามาค้าขาย

101 โดยการส่งเสริม: 1.การทาไรน่ าสวนผสมและการเกษตรผสมผสานเพ่ือให้เกษตรกรพฒั นาตนเองแบบเศรษฐกจิ พอเพียง 2.การปลูกพชื ผกั สวนครวั ลดคา่ ใช้จ่าย 3.การทาปยุ๋ หมักปุ๋ยคอกและใช้วัสดเุ หลอื ใช้เป็นปัจจยั การผลิต(ปุ๋ย)เพ่ือลดค่าใช้จ่ายและ บารงุ ดิน 4.การเพาะเห็ดฟางจากวสั ดเุ หลือใช้ในไรน่ า 5.การปลกู ไม้ผลสวนหลงั บ้าน และไม้ใช้สอยในครวั เรือน 6.การปลกู พืชสมนุ ไพร ช่วยสง่ เสรมิ สุขภาพอนามัย 7.การเลีย้ งปลาในรอ่ งสวน ในนาข้าวและแหลง่ นา้ เพอ่ื เป็นอาหารโปรตีนและรายไดเ้ สริม 8.การเลี้ยงไก่พน้ื เมอื ง และไก่ไข่ ประมาณ 10-15 ตวั ต่อครัวเรอื นเพ่ือเป็นอาหารในครวั เรือน โดยใชเ้ ศษอาหาร รา และปลายขา้ วจากผลผลติ การทานา ขา้ วโพดเลี้ยงสตั วจากการปลูกพชื ไร่ เปน็ ต้น 9.การทากา๊ ซชีวภาพจากมูลสัตว์ พระราชดารสั โดยยอ่ เก่ียวกับเศรษฐกจิ พอเพยี งในวันฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว ทรงเข้าพระราชหฤทยั ในความเป็นไปของเมอื งไทยและคนไทยอย่าง ลกึ ซง้ึ และกว้างไกล ไดท้ รงวางรากฐานในการพฒั นาชนบท และชว่ ยเหลอื ประชาชน ใหส้ ามารถพ่ึงตนเองได้มคี วาม \" พออยู่พอกิน\" และมคี วามอิสระท่จี ะอยู่ไดโ้ ดยไม่ต้องติดยดึ อยูก่ บั เทคโนโลยีและความเปลย่ี นแปลงของกระแสโลกาภิวฒั น์ ทรงวเิ คราะหว์ ่าหากประชาชนพง่ึ ตนเองได้ แล้วก็จะมีส่วนช่วยเหลือเสริมสรา้ งประเทศชาติโดยส่วนรวมไดใ้ นทีส่ ดุ

102 สรปุ ปรชั ญาตะวนั ออก ปรัชญาอนิ เดีย ปรัชญาอินเดียได้เป็น 2 ช่วงได้แก่ ปรัชญาอินเดียโบราณ(ancient Indian philosophy) คือปรัชญา อินเดียในช่วงสมัยอารยันซ่ึงมีพ้ืนฐานอยู่ท่ีศาสนา และปรัชญาอินเดียร่วมสมัย (contemporary Indian philosophy) คือปรัชญาอินเดียในช่วงรอยต่อของสมัยมุสลมิ กับสมัยอาณานิคมซึ่งมีแรงจงู ใจ อย่ทู สี่ ภาพสังคมและการเมอื งของอินเดยี ปรัชญาอินเดียโบราณ(ancient Indian philosophy) คือปรัชญาอินเดียในช่วงสมัยอารยัน ซง่ึ มีพ้ืนฐานอย่ทู ี่ศาสนา แบอ่ อกเปน็ 4 ยุค 1. ยุคพระเวท (Vedic Period) เร่ิมตั้งแต่ 1,500 – 700 ปีก่อน ค.ศ.ชาวอารยันเข้ามาตั้งรกรากในชมพูทวีปแล้ว ก็ ได้รวบรวมคาสอนคาอ้อนวอนของตนข้ึนเป็นคร้ังแรกเป็นภาษาสันสกฤต เรียกว่า พระเวท (Veda) ซ่ึงแปลว่าความรู้ คัมภีร์ ที่แต่งข้ึนคร้ังแรกเรียกว่า ฤคเวค (Rigveda) ต่อมาจึงได้ เรียบเรียงคัมภีร์เพ่ิมเติมตามลาดับคือ ยชุรเวท (Yajurveda) สามเวท (Samveda) อาถรรพ เวท (Atharveda) 2. ยุคมหากาพย์ (Epic Period) อยู่ในช่วง 800 ปี ก่อน ค.ศ.- ค.ศ.200 เป็นยุคการเกิดข้ึนของมหากาพย์สาคัญ ๒ เรอื่ ง คือ มหากาพยร์ ามายณะ และมหากาพยม์ หาภารตะ 3. ยคุ ระบบปรัชญา (Period of Philosophical Systems) อยู่ในช่วง 500 ปีก่อน ค.ศ.- ค.ศ.800 แป็นการแบ่งยุคของระบบปรัชญาอย่าง ชดั เจน แบง่ ออกเปน็ 2 กล่มุ ใหญค่ ือ ปรชั ญาอนิ เดียสายนาสติก (Unorthodox systems) เป็นกลุ่มที่ไม่เชื่อว่าส่ิงต่าง ๆ ท่ีจารึกไว้ในคัมภีร์พระเวทน้ันเป็นความจริงและเป็น ที่สุดโดยไม่จาเป็นต้องพิสูจน์หรือท้าทาย จึงไม่มีสานักปรัชญาใดท่ีอ้างถึงคัมภีร์พระ เวท ไดแ้ ก่ 3 สานัก 1) ปรัชญาพุทธ ปรัชญาจารวากน้ีเรียกอีกชื่อว่า “ปรัชญาโลกายัติ” เพราะปฏิเสธ อดีด ปัจจุบัน และอนาคต เน้นการแสวงหาความสุขในโลกเป็นสาคัญ ไม่มีนรก ไมม่ สี วรรค์ การกระทาพธิ ีกรรมต่าง ๆ ไมก่ ่อให้เกิดผลใด ๆ ทงั้ ส้ิน

103 2) ปรัชญาเชน พยายามแสดงถึงหนทางในการหลุดพ้นจากพันธะแห่งกรรมโดยให้ ความสาคัญกับหลกั อหงิ สาคอื การไม่เบยี ดเบียน 3) ปรัชญาจารวาก ใช้การวิเคราะห์ธรรมชาติของจิต โดยใช้ธรรมชาติของความ ทกุ ขแ์ ละแนวทางในการหลุดพ้นจากความทุกข์ เปน็ ตัวอยา่ งในการปฏิบตั ิ ปรัชญาอินเดียสายอาสตกิ (Orthodox systems) ปรัชญาฝ่ายฮินดู 6 สานักหรือท่ีเรียกว่า สัฑทรรศนะ ปรัชญาที่ทั้ง 6 สานัก เสนอ แนวคดิ ท่ีอ้างถึงคาสอนในพระเวทมากนอ้ ยแตกตา่ งกันออกไป 1) สานักนยายะ ใหค้ วามสาคญั กบั เครื่องมอื ในการแสวงหาความรู้ (ประมาณะ) 2) สานักไวเศษกิ ะ วเิ คราะห์สิ่งตา่ ง ๆ และเสนอทฤษฎีพหุนิยม (ปทารถะ) 3) สานักสางขยะ เป็นทวินิยมที่พยายามอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวตนของ มนุษย์ (ปุรษุ ะ) กบั โลกภายนอก (ประกฤติ) 4) สานักโยคะ วิเคราะห์ธรรมชาติของมนษุ ย์และอธิบายวิถีทางในการเข้าถึงตัวตน ท่ีแท้จรงิ ของมนษุ ย์ มีโยคะสตู ร ท่านปตัญ ชลเี ปน็ ผ้รู จนา 5) สานักมีนามสา เป็นสานักท่ีอธิบายความและให้ความสนใจในพระเวท ท้ัง พยายามนาเสนอและพิสูจน์ความจริงในพระเวท มี มีมามสาสูตร ท่านไชมิมนิ เป็นผรู้ จนา 6) สานักเวทานตะ ให้ความสาคัญกับอุปนิษัทโดยการอธิบายและแสดงความ สมเหตุสมผลของคาสอนในอุปนิษัท มี พรหมสูตร หรือเวทานตะสูตร ท่านพา รายณะเป็นผูร้ จนา 4. ยุคอรรถกถา (Period of the Great Commentaries) ยคุ นี้อยชู่ ว่ งระหว่าง ค.ศ.200นักปรัชญาในยุคนี้ไม่ไดส้ ร้างระบบความคิดทางปรัชญา ขึ้นมาใหม่ หากแต่เน้นท่ีการวิเคราะห์ ตีความคัมภีร์พระเวทและอุปนิษัทเสียเป็นส่วนใหญ่ เหตุนนั้ บางครั้งทา่ นจงึ เรยี กยคุ น้ีว่าเปน็ ยุคอรรถกถา ปรชั ญาอินเดยี รว่ มสมยั (contemporary Indian philosophy) คือปรชั ญาอินเดยี ในชว่ ง รอยตอ่ ของสมยั มสุ ลิมกับสมัยอาณานิคมซึ่งมีแรงจงู ใจอยทู่ ่ีสภาพสังคมและการเมอื งของอินเดียใน ขณะน้นั ปรชั ญาอินเดยี ร่วมสมัยน้นั เกิดข้ึนช่วงหลงั จากทอ่ี ินเดียถูกอังกฤษและศาสนาอิสลามเขา้ มา ครอบงา พวกท่ยี ึดหลักความคดิ เดมิ ก็ยังยึดม่ันความคดิ เดิมของเขาเพ่ือแสดงความเปน็ ชาติตนเอง

104 กอ่ ใหเ้ กิดการฟนื้ ฟปู รชั ญาอนิ เดียโบราณข้นึ มา สรา้ งหลกั การแนวคดิ รูปแบบใหม่ เปน็ แบบสังเคราะห์ และบูรณาการ กบั ปรชั ญาตะวันตกก่อให้เกิดเปน็ “ปรชั ญาอนิ เดยี รว่ มสมยั ” ปรชั ญาจนี ถงึ แมว้ ่าอารยธรรมจนี จะมีมาตงั้ แต่ 5,000ปมี าแล้วในบรเิ วณลมุ่ แม่น้าฮวงโหและแยงซีเกยี ง แตว่ า่ ในสว่ นของปรัชญาจนี น้ันเพิง่ จะเริ่มข้ึนในช่วงประมาณ 480 ปีกอ่ นคริสตกาล ซึ่งเป็นชว่ งปลาย สมัยราชวงศ์โจว ซึง่ ลกั ษณะของปรัชญาจีนจะเนน้ ไปท่กี ารดารงชีวิตของมนุษย์ ดา้ นจริยศาสตร์และการเมือง การปกครอง และรวมถงึ การประพฤติปฏิบตั ิให้เป็นคนดี เป็นแนวทางที่จะทาใหส้ ังคม ประเทศและ โลกนั้นมคี วามสงบสุข ซ่ึงถา้ แบ่งยุคของปรชั ญาจีนเปน็ ช่วง ๆก็จะไดเ้ ปน็ 4 ยุค นั่นก็คือ ปรชั ญาจีนยคุ โบราณ ปรชั ญาจนี ยุคจกั รพรรดชิ ว่ งแรก ปรชั ญาจนี ยคุ จกั รพรรดิชว่ งกลางถึงช่วงหลงั และปรัชญาจีน ยคุ ใหม่ ในช่วงปรัชญาจนี ยคุ โบราณนั้นถือเป็นยุคที่สาคญั ยุคหน่งึ ของปรชั ญาจีนเพราะได้เกดิ แนวคิด และสานักที่สาคญั กวา่ 100 สานัก แนวคิดในยคุ นส้ี ่วนใหญ่จะมีท้งั การนาจารตี ประเพณีดัง้ เดิมมาฟื้นฟู แล้วนาไปปฏบิ ัติ หรอื จะเป็นการนับถือธรรมชาติ ยดึ หลกั แห่งธรรมชาติ ซ่งึ ในยุคน้ีมสี านักทีย่ ิง่ ใหญ่ และมีอิทธพิ ลและปัจจบุ นั กย็ งั เปน็ ที่รู้จกั เช่น สานักหยนิ หยาง ทีก่ ล่าววา่ จักรวาลแยกสรรพส่ิง ออกเป็น 2 ขั้ว โดยมคี วามสมั พนั ธ์กนั และมปี ฏิกิรยิ าต่อตา้ นกนั หรือสานักขงจอ๊ื ทีไ่ ดน้ าจารตี ขนบธรรมเนียมโบราณมาฟนื้ ฟูแลว้ นามาปฏบิ ตั แิ ละอีกทั้งสานักเต๋า ท่ีเชือ่ ในธรรมชาติ ให้ผู้คนนั้นใช้ ชวี ิตง่ายๆ อย่อู ย่างสงบกบั ธรรมชาติ ในช่วงปรัชญาจนี ยคุ จักรพรรดชิ ว่ งแรกนั้นก็ยังเป็นการนาความคิดของสานักต่าง ๆ ในยุค โบราณมาปรับใช้ อกี ทั้งยงั มีแนวคดิ ของศาสนาพุทธท่ีเข้ามาในช่วงน้ี ทาให้มบี างสานกั นาหลกั ของ ศาสนาพทุ ธเข้ามาผสมผสาน เช่น สานกั ฌาน ต่อมาในชว่ งยคุ จักรพรรดิชว่ งกลางถืงช่วงหลังนั้นลทั ธิขงจื๊อ เรมิ่ เสือ่ มลง ชาวจีนทั่วไปหนั ไป สนใจลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธมากกว่า แต่ก็ยังมผี ู้ทพ่ี ยายามฟน้ื ฟคู าสอนของขงจื๊อโดยนาหลักพทุ ธ ศาสนา ลทั ธเิ ต๋ามาเสริมแนวคิดของขงจอ๊ื เดมิ จนกลายเปน็ สานักขงจื๊อใหม่ แตต่ ่อมาในช่วงปรัชญาจนี ยคุ ใหมก่ ็ได้มีการปฏวิ ัติเน่อื งจากว่าผู้คนมคี วามยากจน ประเทศ หยุดนิ่งไม่พฒั นา ไดน้ าแนวคิดจากตะวนั ตกเข้ามาปฏิวตั ิ ซึง่ คร้งั แรกอาจจะไม่สาเรจ็ แตก่ ไ็ ด้ร่วมมือกับ

105 ชาวนาอีกครั้งและในทา้ ยทส่ี ดุ ก็สามารถตั้งสาธารณรัฐประชาชนจนี ได้สาเร็จ ซึ่ง ณ เวลานน้ั อาจจะมี กฎระเบยี บต่างๆ มากมายท่ีคอ่ นข้างเข้มงวดสาหรับประชาชนชาวจนี อยบู่ ้าง อยา่ งเช่นมกี ฎหมายลูก คนเดียว การใช้สัญญาณอินเทอร์เนต็ เพอ่ื เขา้ เวบ็ ไซต่าง ๆ แตใ่ นปจั จบุ นั กฎหมายท่ีเขม้ งวดเหล่านั้นก็มี การผ่อนคลายลงบ้าง ประชาชนเร่ิมมอี สิ ระในการใช้ชีวติ มากข้ึน ปรชั ญาญ่ีปุ่น ก่อนท่ีระบบเจ้าขนุ มลู นาย ได้รับการก่อต้ังขนึ้ อย่างมัน่ คงในญีป่ ุน่ พุทธศาสนาได้มีอิทธิพลแนวคดิ หลกั ของญป่ี ุ่น วฒั นธรรมทางพทุ ธศาสนาท่ีนาโดยเจ้าชายโชโทะขุ ไดเ้ สร็จสมบรู ณใ์ นฐานะความคดิ ท่ี \"ทาใหป้ ระเทศปลอดภัย\" ในขณะท่ีความคิดยุคโบราณและยุคกลางของญีป่ ่นุ มคี วามเช่ือมโยงกบั พุทธศาสนาอยา่ ง ใกลช้ ิดความคดิ สมัยใหมใ่ นช่วงต้นของญ่ปี นุ่ ส่วนใหญ่เปน็ ลัทธขิ งจือ่ หรอื ลทั ธขิ งจ่อื ใหม่ ซึง่ ถูก กาหนดใหเ้ ป็นการศึกษาของข้าราชการโดยรัฐบาลโทคุงาวะ นอกจากนี้ ลทั ธิขงจ่ือ แบบเนน้ เหตผุ ล ยงั กระต้นุ ให้เกิดสานกั Kokugaku, Rangaku และความคิดท่ีไมเ่ ปน็ ทางการหลงั ยุคเอโดะตอนกลาง ในสมยั เอโดะ ลทั ธขิ งจ่ือเป็นการศึกษาที่ไดร้ ับอนุญาต โรงเรยี นลทั ธิขงจือ่ ใหม่หลายแห่งได้รับ ความนยิ ม ในช่วงกลางของยคุ เอโดะ สานักโคคุงะขทุ ่ีเน้นการศึกษาความคิดและวัฒนธรรมของญ่ีปุ่นโบราณได้รบั ความนยิ มในการต่อต้านแนวคดิ ตา่ งประเทศ เช่น พุทธศาสนา หรือ ลัทธขิ งจื่อ ตามนโยบายของซาโก กุ ผู้สาเรจ็ ราชการโทคงุ าวะ ปญั ญาชนยุคเอโดะไม่สามารถตดิ ตอ่ กบั อารยธรรมตะวนั ตกในดา้ นบวก ดงั น้ัน สานักรังงะขุ ทส่ี อนภาษาดตั ชจ์ งึ เป็นหน้าต่างบานเดียวสโู่ ลกตะวนั ตก ในขณะที่ความคิดสมัยใหม่ของญ่ีป่นุ ในยุคแรก ๆ พัฒนาขึ้นในลทั ธิขงจอ่ื และพุทธศาสนา แนวคดิ การสวา่ งวาบทางปัญญาจากอังกฤษและสิทธิมนุษยชนของฝร่งั เศสนนั้ ไดร้ ับการแพร่หลายหลงั ยุคปฏริ ปู เมจิ ซง่ึ ได้รบั อิทธพิ ลอยา่ งรวดเร็วจากความคดิ ตะวันตก จากช่วงเวลาสงครามจนี - ญ่ีปุ่นคร้ัง ทห่ี นงึ่ และ สงครามรัสเซีย - ญป่ี นุ่ ระบบทนุ นิยมของญี่ปุ่นได้รบั การพัฒนาอยา่ งมาก ศาสนาครสิ ต์ และ แนวคิดสังคมนยิ ม ไดพ้ ัฒนาและกลายเปน็ การเช่ือมโยงกบั การเคล่ือนไหวทางสังคมตา่ งๆ นอกจากน้แี นวคิดและการศึกษาแบบชาตนิ ยิ มก็ก่อตัวกาเนิดขึ้นในชว่ งเวลาท่ีต่อต้านการศึกษาของ ต่างชาติ แนวคิดการสวา่ งวาบทางปัญญาและสิทธขิ องประชาชน

106 ในยุคปฏิรปู เมจิ ภาคประชาสงั คมภาษาองั กฤษและภาษาฝรั่งเศส ไดร้ ับการแนะนาโดยเฉพาะอย่างย่ิง ประโยชนน์ ิยม และ ลัทธิดารว์ นิ นิยมทางสังคมจากประเทศอังกฤษและแนวคิดอานาจอธปิ ไตยของ ปวงชนของชอ็ ง-ชาค รุสโซจากฝร่งั เศส การพฒั นาความเป็นญปี่ ่นุ ยุคการสวา่ งวาบทางปัญญา ศาสนาครสิ ต์ และ สงั คมนิยม มอี ทิ ธพิ ลต่อความคิดของญป่ี ุ่นตัง้ แตย่ ุค ปฏิรปู เมจิ ความสาคญั ของวฒั นธรรมทางการเมืองของญป่ี นุ่ และประเพณีของชาติเพ่ิมขนึ้ เน่ืองจาก ปฏกิ ริ ิยาต่อต้านความเป็นตะวนั ตก แนวโน้มน้ีมีดา้ น อุดมการณข์ องลทั ธจิ ักรวรรดินยิ ม และลัทธทิ หาร / ลทั ธฟิ าสซิสต์ ดงั นนั้ ลกั ษณะของปรัชญาญี่ปุ่นจงึ ถกู จาแนกได้ 3 ฐาน คือ 1. ฐานชินโต 2. ฐานมกิ าโต 3. ฐานปุตสุโต ปรัชญาไทย แมว้ ่าชาวไทยยงั คงอนรุ ักษค์ วามเช่อื ดง้ั เดิมบางอยา่ งเอาไว้ แตก่ อ็ าศยั คาสอนของศาสนาพุทธเป็นหลัก ดาเนนิ ชวี ิต ดูผิวเผนิ ศาสนาเป็นเรือ่ งของศรัทธาและความเช่ือ แต่ส่วนลกึ พระพุทธศาสนากส็ อน มุมมองเกย่ี วกับโลกและชีวติ อย่างมีเหตผุ ล เปน็ ระบบ คาสง่ั สอนเหล่าน้ี ได้สรา้ งโลกทรรศน์ใหผ้ ูท้ ่ีนับ ถือ โลกทรรศน์ คือ มุมมองชวี ติ ท่ีมนุษยใ์ ชต้ คี วามประสบการณ์เพ่ือเลอื กทางดาเนนิ ชีวติ ทีด่ ีและ ถกู ต้อง ทุกคนมมี ุมมองชีวิตและทางเลือกเปน็ ของตนเอง โลกทรรศน์ของใคร ก็เปน็ ปรชั ญาของคนน้นั โลกทรรศน์ของชนชาตไิ ทย ก็คอื ปรชั ญาไทย “โลกทรรศน์ คือ ปรัชญา มนุษยด์ าเนนิ ชวี ิตไปตาม ปรัชญาชีวิตและโลกทรรศนข์ องเขาเป็นเรื่องจริงแม้กบั ผทู้ ่ีไรค้ วามคิดที่สดุ เป็นไปไม่ได้ ที่มนุษย์จะมี ชวี ติ อยโู่ ดยไม่มปี รชั ญา แมศ้ าสนาจะเปน็ เรื่องของศรัทธา แตก่ ใ็ หป้ รัชญาในการแสวงหาเหตุผลและทางเลือกชีวิตทถี่ ูกต้อง ปรชั ญากบั ศาสนา หรือ ปัญญากบั ความเชื่อต้องมาคู่กนั จงึ จะทาให้มุมมองหรือโลกทรรศนส์ มบรู ณ์ ไม่ กลายเปน็ ความเชือ่ งมงาย หรือใชเ้ หตุผลจนไม่ยอมรบั อะไร ชาวไทยกค็ วรนบั ไดว้ ่ามี “ปรัชญา” แม้ จะมใิ ช่ปรชั ญาท่ีเปน็ ระบบอย่างปรชั ญาตะวนั ตก แต่กเ็ ปน็ แนวปรชั ญาแบบตะวนั ออก เรียกวา่ “ปรัชญาไทย”และในสว่ นของปรัชญาไทยท่ผี ู้คนรูจ้ ักและยอมรับก็ คือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ที่มี หลกั การ 3หว่ ง 2เง่ือนไข

107 ความแตกตา่ งระหวา่ งปรชั ญาตะวนั ออก – ตะวนั ตก ปรชั ญาตะวนั ตก ปรชั ญาตะวนั ออก ความรู้เรือ่ งหลกั คือหลกั เกี่ยวกับโลกและชวี ติ ความรอู้ ันประเสรฐิ คอื ความรู้ท่ที าใหห้ ลุดพน้ จากโลกยี ะ เป็นการประติดประต่อความคดิ ของหลาย ๆ คน อาศัยความตรสั รู้ของคนใดคนหนึ่งเป็นฐานแลว้ เข้าด้วยกนั โดยท่แี ต่ละคนก็คิดกันคนละฐาน ขยายต่อออกไปตามเหตุผล หรอื ความสามารถ ทางสตปิ ญั ญาของนักคิดหรือผอู้ ธบิ ายแตล่ ะคน เป็นการพยายามแสวงหาคาตอบเพื่อแก้ความ เป็นการอธบิ ายหรือขยายความของความตรัสรู้ สงสยั ตามหลกั เหตุผล ฐานของปรชั ญาตะวนั ออก คอื ความตรัสรู้หรอื ความรู้อนั สมบูรณแ์ ลว้ เรม่ิ ตน้ การศึกษาโดยอาศยั การสงั เกตหรอื เร่มิ ตน้ การศึกษาด้วยการเพ่งพนิ จิ ภายในจนเหน็ ประสบการณ์จากภายนอก แลว้ จึงพยายาม ความจริง แล้วจงึ อธบิ ายความจริงน้นั ตามท่ีตน ตีความตามหลกั เหตุผล เหน็

108 อ้างองิ กรี ติ บญุ เจอื . (2519). ชดุ ประวตั ปิ รชั ญาตะวนั ตกปรชั ญากรกี ระยะกอ่ ตวั ทอี่ ติ าลี. กรงุ เทพฯ: ไทย วัฒนาพาณชิ ย์ กรี ติ บุญเจอื . (2520). ชุดพน้ื ฐานปรชั ญาแกน่ ปรชั ญากรกี . กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพาณชิ กรี ติ บญุ เจือ. (2550). แก่นปรชั ญายคุ กลาง. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กีรติ บญุ เจอื , (2018, June 13). ปรชั ญาสวนสนุ นั ทา. สืบคน้ จาก https://philosophy- suansunandha.com/ 2018/06/13/indian-philosophy จินตนา แกว้ ขาว. (2543). สบื ค้นจาก https://www.baanjomyut.com จานงค์ ทองประเสริฐ. (2534). ปรชั ญาตะวนั ตกกสมยั กลาง. กรงุ เทพฯ: มหาจุฬาลงกรณร์ าชวทิ ยาลัย จานงค์ ทองประเสริฐ. (2539). สบื ค้นจาก https://www.wikiwand.com ชษิ ณพุ งษ์ พิบลู ย.์ (2014, December 20) สืบค้นจาก https://dhrammada.wordpress.com/category/western- philosophy ธีรวัส บาเพญ็ บญุ บารม.ี (2543, สงิ หาคม). ปรัชญาอนิ เดีย. บา้ นจอมยุทธ. สบื คน้ จาก https://www.baanjomyut.com/library_3/extension- 1/indian_philosophy/index.html บา้ นจอมยุทธ. จอหน์ ล๊อค. สืบค้นจาก https://www.baanjomyut.com/library_2/philosopher/08.html บ้านจอมยุทธ. โธมสั ฮอบส.์ สืบค้นจาก https://www.baanjomyut.com/library_2/philosopher/07.html บา้ นจอมยทุ ธ. บารคุ สบีโนซา. สืบค้นจาก https://www.baanjomyut.com/library_2/philosopher/03.html บา้ นจอมยุทธ. ฟรานชสี เบคอน. สบื คน้ จาก https://www.baanjomyut.com/library_2/philosopher/01.html

109 อ้างองิ (ต่อ) บา้ นจอมยทุ ธ. (ม.ป.ป.). ลกั ษณะท่วั ไปของปรชั ญาตะวันตกและปรชั ญาตะวันออก. ปรัชญา. สบื คน้ จาก https://www.baanjomyut.com/library_2/extension3/western_philosophy_philosophy_ east/02.html บา้ นจอมยทุ ธ. ยอ็ ช วิลเฮลม ฟรดิ รชิ เฮเกล. สืบค้นจาก ttps://www.baanjomyut.com/library_2/philosopher/10.html บา้ นจอมยุทธ. ปรัชญาสมัยใหม.่ สืบคน้ จาก https://www.baanjomyut.com/library_3/extension- 1/ancient_western_ philosophy/05.html บา้ นจอมยทุ ธ.ววิ ัฒนาการปรัชญาตะวันตกสมยั ปจั จุบนั . สบื ค้นจาก https://www.baanjomyut.com/library_ 3/extension-/ancient_western_philosophy/06.html บญุ มี แท่นแกว้ . (2545, ธนวคม 20). ปรัชญาสมัยใหม่. บา้ นจอมยทุ ธ. สืบคน้ จาก https://dhrammada.wordpress.com/eastern-philosophy/indian-philosophy ปกรณ์ ศิวะพรประเสรฐิ . (2557, กนั ยายน 7 ). สารานุกรมปรชั ญาออนไลน:์ ปรชั ญาอนิ เดยี . สบื ค้น จาก http://www.parst.or.th/philospedia/IndianPhilosoph ประทปี แสงเป่ยี มสุข. (2550). “เศรษฐกิจพอเพยี งกับการจัดการเรียนการสอนและการดาเนนิ ชวี ิต”. สบื คน้ จาก https://www.kroobannok.com ประยรู ธมมฺ จิตฺโต. (2540). ปรชั ญากรีกบอ่ เกิดภมู ปิ ญั ญาตะวนั ตก. กรงุ เทพฯ: สยาม ปยิ ะแสง จันทรวงศ์ไพศาล. (2009). แผนผังแปดทศิ . เครือ่ งหมายและเครื่องใชม้ งคล. สบื ค้นจาก http://www.jiewfudao.com/เครือ่ งหมายและเคร่ืองใชม้ งคล/แผนผังแปดทิศ.html พระสหัส ปติ ิสาโร. (2553, พฤษภาคม 15). ปรัชญาอินเดยี . ความเปน็ มาของปรชั ญาอนิ เดยี . สืบคน จาก http://www.philospedia.net/IndianPhilosophy.html

110 อ้างองิ (ตอ่ ) พีรพล อิศรภักด.ี (2554). คัมภรี ์พระเวท. สยามคเณศ. สืบคน้ จาก http://www.siamganesh.com/india02.html พูลสขุ เตมิยานนท์. (2546). เทพเจ้ากรกี -โรมนั . กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณ์ราชวทิ ยาลยั ภัทรษมน รัตนางกรู . แนวคิดของ ฌอง ฌาค รุสโซ [Jean Jacques Rousseau] กับบางเส้ยี วแห่ง วิกฤตการ เมอื งไทย สบื คน้ จาก http://phatrsa.blogspot.com/2010/03/jean-jacques- rousseau.html มณวี รรณ คาเรง. (2550). สืบคน้ จาก https://sites.google.com มาลี สทุ ธิโอภาส. (2560). หนงั สอื เรยี นรายวชิ าเพม่ิ เตมิ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยโี ลก ดาราศาสตร์ และ อวกาศ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที 6ี่ . กรุงเทพฯ: ไซเบอร์พริน้ ทก์ รุป๊ ราชบัณฑติ ยสถาน, พจนานุกรมศัพทป์ รัชญา องั กฤษ-ไทย ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน, พมิ พ์ครัง้ ท่ี 4, 2548,หน้า 164 เรอเน เดการต์ นักปรัชญาผู้ยงิ่ ใหญข่ องโลกผเู้ ปน็ “บิดาแห่งเรขาคณิตวิเคราะห์” สืบค้นจาก https://www.takieng. com/stories/19204 วิกิพีเดยี . (2562,เมษายน 25). ปรชั ญาอินเดยี . วกิ พิ เี ดยี สารานกุ รมเสรี. สบื คน้ จาก https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8A% E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8 %94%E0%B8%B5%E0%B8%A2?fbclid=IwAR2p5DdaDPs0qznVMA2uPPNZgGtVff5Gdbwa Q6cnHTIGij0GBNAMiZfAang วทิ ยาลยั ภาษาจนี ปักกง่ิ , มหาวิทยาลัยครูหนานจงิ ,มหาวิทยาลัยครูอันฮุย. (2550).ความรู้ทั่วไป เก่ยี วกบั ประวตั ิศาสตร์ ประเทศจีน.กรงุ เทพฯ:สุขภาพใจ สบื ค้นจากhttps://www.wikiwand.com สริ กิ ร อมฤตวาริน. (2019, สงิ หาคม 23). ปรชั ญาจีน -1. ปรชั ญาสวนสนุ ันทา. สืบคน้ จาก https://philosophy-suansunandha.com/2019/08/23/chinese-philosophy-1/

111 อา้ งองิ (ต่อ) สริ ิกร อมฤตวาริน. (2019, สงิ หาคม 27). ปรชั ญาจีน -2. ปรชั ญาสวนสนุ ันทา. สืบคน้ จาก https://philosophy-suansunandha.com/2019/08/27/chinese-philosophy-2/#more- 4855 Padveewp. (2015, กันยายน 9). ประวัติและววิ ฒั นาการแนวความคดิ ทางปรชั ญา. Philosophychichic. สบื คน้ จาก https://philosophychicchic.com/timeline-philosophy/ สมนกึ ชูวเิ ชยี ร. (2550). โสกราตีสถึงซารต์ ร์ ประวัติศาสตร์ของปรชั ญา. นนทบรุ ี: เทพประทานการ พิมพ์ Panyawat, (2008, October 17). ปรชั ญาอนิ เดีย : ประวตั แิ ละลัทธ.ิ สบื ค้นจาก http://oknation.nationtv.tv/blog/ chaiyassu/2011/03/03/entry-2 Philosophy & Religiondhrammada.ปรชั ญาตะวนั ตกสมยั ใหม่. สบื คน้ จาก https://dhrammada.wordpress.com/2014/12/19/ปรชั ญาตะวนั ตกสมัยใหม่/

113 กลมุ่ 5 อภิปรชั ญา

114 อภปิ รัชญา อภปิ รชั ญาคอื อะไร จากการศึกษาเรื่องของปรัชญา จะเห็นได้ว่าปรัชญามีบ่อเกิดมาจากความสงสัย หรือความ ประหลาดใจ เริ่มต้นตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ ซึ่งมีความสงสัยเกี่ยวกับปฐมธาตุของโลก ต่างคนต่าง พยายามหาคาตอบเกี่ยวกับคาถามที่ว่า อะไรเป็นปฐมธาตุของโลก หรืออะไรเป็นบ่อเกิดของโลก บาง คนบอกว่า น้า เป็นปฐมธาตุของโลก บางคนบอกว่า ดิน เป็นปฐมธาตุของโลก เหล่านี้เป็นต้น การ ยึดถือแนวความคิดอย่างนี้ล้วนแล้วแต่เกิดข้ึนมาจากความสงสัยเพ่ือต้องการค้นหา หรือสืบค้นความ แทจ้ ริงของโลก สานักปรัชญาตะวันออก เช่น นักปรัชญาอินเดียโบราณ ก็มีความสงสัยเกี่ยวกับปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติ เชน่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฝนตก เป็นตน้ ท่านเหลา่ นัน้ คดิ ว่าเหตุที่เป็นเช่นนนั้ อาจจะ เป็นเพราะมีเทพเจ้าสิงอยู่ อาจจะเป็นเพราะมีพระผู้เป็นเจ้าผู้สร้าง มีลักษณะการสร้าง การ ควบคุมดแู ล และการทาลาย ใช่หรือไม่ จึงพยายามคน้ หาความเปน็ จรงิ ของโลก ต่อมานักปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่ ก็มีความสงสัยเกี่ยวกับส่ิงใกล้ตัวน่ันคือสงสัยเก่ียวกับตัวตน เก่ียวกับวิญญาณ เกี่ยวกับพระเจ้า แล้วพยายามสืบค้น หาหลักฐานอ้างอิงเพื่อหาความจริงของส่ิง เหล่าน้ี เมื่อเป็นเช่นน้ี ความสงสัยจึงเป็นบ่อเกิดแห่งปรัชญา เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งความคิด และการ คิดก็กอ่ ให้เกิดการคดิ หาเหตผุ ล การวิเคราะหว์ จิ ารณ์ตอ่ มา เราจะสังเกตเห็นว่า แนวคิดเรื่องแรกท่ีนักปรัชญาค้นคิดก็คือเร่ืองเก่ียวกับโลก หรือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น อะไรเป็นปฐมธาตุของโลก ฝนตก ฟ้าร้อง เหล่าน้ีเกิดมาจากอะไร เปน็ สง่ิ ทีม่ ีอยู่อยา่ งแท้จริงหรือไม่ ลกั ษณะการคดิ เช่นน้ี เป็นการคดิ เกี่ยวกบั สาขาของปรชั ญาสาขาหนึ่ง ซ่ึงเรียกว่า “อภิปรัชญา” (Metaphysics) อภิปรัชญา จัดเป็นปรัชญาบริสุทธ์ิ คือเป็นเนื้อหาของวิชา ปรัชญาแท้ ๆ เพราะเป็นแนวความคิด หรือเป็นทฤษฎีล้วน ๆ อภิปรัชญาเป็นปรัชญาแบบเก่า หรือท่ี เรยี กวา่ “ปรชั ญาสมยั โบราณ” ความหมายของอภปิ รชั ญา (Meanings of Metaphysics) อภปิ รชั ญามี 2 ความหมาย 4 ไวพจน์ 1. อภิปรัชญา เป็นศัพท์ที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนนราธิปพงศ์ประพันธ์ (พระองค์เจ้า วรรณไวทยากร) ทรงบัญญัติข้ึนเพ่ือใช้คู่กับคาภาษาอังกฤษว่า “Metaphysics” เป็นคามาจากราก ศพั ทภ์ าษาสนั สกฤต 3 คาคือ อภิ : ยิ่ง ปรฺ : ประเสรฐิ ชฺญา : ความรู้, รู้, เข้าใจ เมื่อรวมกันแล้ว เป็น “อภิปฺรชฺญา” (อภิปรัชญา) แปลว่า ความรู้อันประเสริฐที่ยิ่งใหญ่ เป็น วิชาที่ว่าด้วยความแท้จรงิ ของสรรพส่ิง

115 2. ความรขู้ ัน้ ปรมัตถ์หรอื ปรมัตถ์ แปลว่า ความรทู้ ม่ี เี นอื้ หาลึกซ้ึงอยา่ งยิ่ง มาจากศัพท์วา่ ปรม = อย่างย่งิ อัตถะ= เนือ้ ความ, เน้อื หา ทลี่ กึ ซงึ้ ไวพจน์ท่ี 1 และ 2 มีความหมายเหมือนกัน คือ เป็นวิชาท่ีค้นหาความจรงิ ขั้นสูงสุดจนไม่มีอะไรจะจรงิ ยง่ิ ไปกว่า ซึง่ ทางภาษาปรชั ญาเรยี กวา่ การคน้ หาความจริงขนั้ อันติมะ ( Ultimate Reality) ความจรงิ ขน้ั อภิปรัชญาหรอื ขน้ั ปรมัตถ์เปน็ อย่างไร ลองแบ่งความจรงิ ออกเปน็ 3 ขนั้ ดงั นี้ 1) ข้นั สมมุติ 2) ขัน้ ตามสภาพ 3) ขนั้ ปรมัตถ์ ยกตวั อย่างเรื่อง “น้า” ทเ่ี ราเหน็ กันในชวี ิตประจาวัน เราเคยถกู สอนให้เรยี กวัตถุท่เี หลวๆ ด่ืม ได้ อาบได้ ล้างถว้ ยชามได้ ใช้ชาระส่งิ สกปรกไดท้ กุ อย่างนวี้ ่า “น้า” ดงั้ น้นั เราจงึ ไม่เรียกสงิ่ นว้ี า่ ลม ไฟ หรือดิน การที่เราเรียกอย่างนั้นเพราะเรียกตามที่ พ่อ แม่ สอนให้เรียก บรรพบุรุษของเราสมมุติสิ่งที่ เหลวๆนน้ั ว่า นา้ อยา่ งนเี้ รยี กว่า เปน็ ความจริงขนั้ สมมุติ ต่อมา วิทยาการมีความก้าวหน้าไปเร่ือย ๆ นักวิชาการโดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์กายภาพ สาขาเคมี ได้นาน้าท่ีเราใช้ด่ืม อาบ ชาระล้างอะไรๆได้สารพัดไปวิจัยอย่างละเอียด แล้วก็ได้ข้อสรุป ออกมาว่า สิ่งที่คนท้ังปวงเรียกกันว่าน้า นั้น ไม่ใช่น้าเสียแล้ว เพราะเป็นเพียงสารประกอบทางเคมีที่ เป็นไฮโดรเจน 2 ปรมาณู รวมกับปรมาณูของออกซิเจนอีก 1 เท่าน้ัน อย่างที่ต้ังเป็นสูตรมาว่า H2O น่ันเอง ข้นั นีเ้ รยี กวา่ เปน็ ข้ัน ความจรงิ ตามสภาวะ อนั เป็นข้ันที่ 2 เม่ือเราวิเคราะห์ต่อไปอีก โดยเอาปรมาณูของไฮโดรเจนและปรมาณูของอ๊อกซิเจนมาแยก ย่อยลงอีกเป็น อิเล็กตรอน โปรตอน นิวตรอน และอนุภาคท่ีเล็กกว่าปรมาณูแล้ว สภาวะที่เรียกว่ า H2O ก็หายไป กจ็ ะมแี ต่ความวา่ งเปลา่ เข้ามาแทน เมอ่ื วิเคราะห์กนั มาถงึ ขัน้ ที่สามนี้ ก็จะเป็นความจริง ข้ันอภิปรัชญา หรือข้ันปรมัตถ์ ท่ีเรียกทางปรัชญาว่า อันติมะสัจจะ (Ultimate Reality) ซึ่งเป็นความ จริงสดุ ท้าย ไม่มอี ะไรจะจรงิ ไปกว่า น่ีเป็นความจรงิ ข้นั ที่ 3 3. Metaphysics แปลว่า วชิ าทีว่ า่ ดว้ ยสง่ิ ที่อยู่เบ้ืองหลังวตั ถุ/ เบ้ืองหลังส่งิ ทร่ี ูส้ ึกทางประสาท สมั ผัสท้งั 5 มาจากภาษากรกี ดง่ั เดมิ คาวา่ Meta ta Physika มีรากศัพท์มาจากคา 2 คาคือ 1) Meta : After, Above (หลัง,เบือ้ งหลงั ,ลว่ งเลย) 2) Physika: Physics = Nature (สิ่งทีส่ มั ผสั ได้ด้วยประสาทสัมผัส) 4. อตินทรีย์วิทยา เป็นภาษาบาลี แปลว่า วิชาท่ีล่วงเลยอินทรีย์ หรือประสาทสัมผัส เป็นคา แปลมาจาก Metaphysics นน่ั เอง แตไ่ มน่ ิยมใช้กัน นิยมใชค้ าว่า อภปิ รชั ญามากกว่า มาจากศพั ทว์ ่า อติ = ลว่ ง อินทรยี ์ = ประสาทสมั ผัส ความจริงท่เี รียกวา่ Metaphysics และ อตินทรยี ว์ ิทยา

116 หมายถงึ สัจจภาวะตามแนวตะวนั ตก ซ่งึ หมายถงึ ความจริงทซ่ี ่อนอยเู่ บือ้ งหลงั สิง่ ทปี่ รากฏ นกั ปรัชญาตะวันตกแบง่ วตั ถใุ นโลกออกเปน็ 2 อย่าง 1) สิ่งที่ปรากฏ(Appearance) 2) สิ่งทีเ่ ปน็ จริง(Reality) มีหลักว่า ส่ิงท่ีปรากฏต่อประสาทสัมผัสท้ัง 5 นั้น เป็นเพียงสิ่งปรากฏเท่านั้น ยังถือว่าเป็นความจริง ไม่ได้ และคิดว่าจะตอ้ งมสี จั จะภาวะ คือ ของจริงท่ีซ่อนอยเู่ บื้องหลัง เช่นเรอื่ งตอ่ ไปน้ี 1. เห็นเชือกเป็นงู ๆ ในค่าเดือนสลัวๆ เราเดินผ่านสนามหญ้า มองไปเห็นวัตถุช้ินหน่ึง ขนาด เท่าน้ิวก้อย ยาวเพียงศอกเศษๆ เราถึงกับสดุ้งโหยงพร้อมตะโกนออกมาสุดเสียงว่า “งูๆๆ” แต่พอได้ สตหิ ายตกใจกลวั แลว้ รบี ขึ้นไปบนบา้ น นาไฟฉายมาสอ่ งดูให้เห็นชัดๆ จึงร้องออกมาด้วยความโล่งใจว่า “เชอื กเจา้ กรรม” ตาเราฝาดไปเอง เห็นเป็นงไู ปได้ จากเรื่องนี้ นักปรัชญาให้ทัศนะว่า จะต้องมีของจริงเป็นฐานรองรับ “การเห็นเชือกเป็นงู” กล่าวคือ เชือกเป็นของมีจริง แต่เพราะเห็นเชือกไม่ชัด จึงเห็นเป็นงู งูในที่น้ันไม่ใช่งูตัวจริง เป็นเพียง ภาพปรากฏของเชือก พอหายตกใจ มีสติ หยิบไฟฉายไปส่องดูจึงได้เห็นเชือกเป็นเชอื ก ตามความเปน็ จริง การเห็นเชือกเป็นงูน้ี เป็นอุทาหรณ์ที่นักปรัชญาอินเดียชอบมาก มักจะนามาเปรียบเทียบให้คนเข้าใจ ระหว่างสง่ิ ทีเ่ ป็นมายาการ (illusion) และส่งิ ท่ีเป็นจรงิ (พรหม) อย่เู สมอ 2. ราหูอมจันทร์ ซ่ึงคนโบราณมีความเชอื่ ว่า พระราหูเป็นเทพเจ้าองค์ท่ี 8 ในบรรดาพระเป็น เจ้าประจาธรรมชาติของชาวฮินดู วันดี คืนดี พระราหูดังกล่าวก็มาอมดวงจันทร์หรือกลืนดวงจันทร์ ดงั น้ันฝงู ชนจงึ ตอ้ งทากรรมวธิ ีต่าง ๆ กนั เพื่อใหร้ าหคู ายดวงจันทร์ออกมา บ้างกย็ งิ ปนื บ้างกต็ กี ลอง – ตีระฆัง หรือตีเกราะเคาะไม้ หรือตะโกนร้องด้วยเสียงอันดังท่ีสุด เพราะเช่ือว่า จะทาให้พระราหูตกใจ ปล่อยดวงจันทร์ให้เป็นอิสระ น่ันเป็นลักษณะความเชื่อที่ฝังกันมาต้ังแต่บรรพกาล ซึ่งมนุษย์มีความรู้ เร่ืองธรรมชาตนิ อ้ ยมาก จงึ อนุมาณตามความเข้าใจของตน และส่งั สอนถา่ ยทอดลูกหลานต่อ ๆ กันมา ในเร่ืองน้ี นักดาราศาสตร์ได้อธิบายให้เราฟังว่า เรื่องจันทรุปราคา หรือท่ีชาวบ้านเรียกว่า “ราหูอมจันทร์” นั้น หาได้เป็นจริงอย่างนั้นไม่ เป็นเพียงปรากฎการณ์ธรรมชาติ ไม่มีผลดี ผลร้ายต่อ มนุษย์แต่อย่างใด ท่ีมันสว่างๆ แล้วกลับมืด ถูกราหูเทพผู้หิวโหยกลืนไปน้ัน ก็เป็นเพียงแต่ว่า ดวง อาทติ ย์ โลก และดวงจันทร์ มาอยูใ่ นแนวตรงกนั พอดี โดยมีโลกอยู่กลางแลว้ กด็ วงจันทร์ไดม้ าอยู่ในเงา ของโลก และกจ็ ะเกิดข้นึ ในชว่ งวนั ข้ึน 15 คา่ หรอื แรม 14 ค่า เสมอ แต่ไม่เกิดทุกเดือน เพราะปกติดวงจันทร์จะผ่านใต้หรือเหนือเงาของโลกในอีกประมาณ 6 เดือน หลังจากนี้ (จันทรุปราคา เกิดขึ้นเม่ือคืนวันเสาร์ท่ี 4 พฤษภาคม 2528 ซ่ึงได้เกิดจันทรุปราคา เตม็ ดวง เหน็ ไดใ้ นประเทศไทย โดยเห็นตัง้ แตเ่ ริ่มเกิดจนส้ินสดุ เป็นเวลายาวนาน 1 ชัว่ โมง 8 นาท)ี คอื ในวนั ท่ี 28 ตุลาคม 2528 กจ็ ะเกดิ จนั ทรุปราคาเตม็ ดวงอกี คร้ังหนง่ึ

117 3. รุ้งกินน้า ชาวชนบทไทยเชื่อกันว่า ขณะที่ฝนหยุดไปหมาดๆ มักจะมีสัตว์ประหลาดชนิด หนงึ่ สีเหลืองปนนา้ เงิน มาดืม่ นา้ อยทู่ ี่ชายทุ่ง สัตวป์ ระหลาดชนดิ นี้ ใครเอามอื ไปช้ีไม่ได้ มือจะดว้ น ได้ แต่มองๆดว้ ยสายตา สัตวท์ ่ีว่าน้ีถูกสอนให้เรียกวา่ “รงุ้ กนิ นา้ ” นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ได้ให้ข้อเท็จจริงแก่เราว่า การท่ีเราเห็นเป็น “รุ้งกินน้า” หรือสีรุ้ง 7 สี ท่ีเป็นเส้นโค้ง ขณะท่ีฝนหยุดตกไปหมาดๆ ท่ีว่าน้ัน ไม่ใช่เป็นพฤติกรรมของสัตว์ประหลาดแต่อย่าง ใด นั่นคือ สายตาของเราได้ไปสัมผัสเข้ากับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 7 ความถี่ เข้าให้เท่าน้ัน ซ่ึงคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าดังกล่าวถูกส่งมาจากดวงอาทิตย์ และถูกทาให้หักเหแยกออกจากกันตามความถี่ โดย ละอองน้าในอากาศ การทีเ่ ราพูดถึงเร่ือง “การเหน็ เชอื กเป็นงู” ก็ดี เรื่อง “ราหอู มจันทร”์ กด็ ี เร่ือง “รงุ้ กินนา้ ” ก็ ดี ล้วนแต่เป็นการพูดถึงส่ิงสองส่ิงควบคู่กันไป คือ สิ่งท่ีปรากฏ (Appearance) กับ ส่ิงท่ีเป็นสัจจะ (Reality) ซึ่งจะวา่ ไปแลว้ ก็เปน็ การพดู ถงึ เร่ืองราวของ Metaphysics หรือ อตินทรียว์ ทิ ยา นั่นเอง ปรชั ญาท้งั ตะวนั ตก และตะวันออก จะพูดถึงสงิ่ เหล่านี้ ซง่ึ มที ง้ั คลา้ ยคลึงกัน และตา่ งกนั แตท่ ี่ ต่างกันก็คือ ปรัชญาตะวันออก เรียกว่า อภิปรัชญา หรือปรมัถธรรม ส่วนปรัชญาตะวันตก เรียกว่า Metaphysics อันเป็นการค้นหาความจริงที่อยู่เบื้องหลัง อันมีผลในการทาให้รู้แจ้งสัจจะของ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และข้อเท็จจริงท่ีอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ต่างๆ และขณะเดียวกัน เม่ือ ตะวันออกพบปรมัตถธรรมแล้ว ก็จะนามาเป็นแนวทางดาเนินชีวิตให้ก้าวสูงระดับสูงของจริยศาสตร์ เช่นการบรรลอุ รหันต์ นิพพาน เปน็ ตน้ ซง่ึ ทางตะวนั ตกดจู ะขาดจุดนี้ อภิปรัชญา (Metaphysics) เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า ภววิทยา (Ontology หรือ Theory of Being) คาว่า “ภววิทยา” มีความหมายว่า วิชาท่ีว่าด้วยความมีอยู่, ความเป็นอยู่ มาจากภาษา สันสกฤต 2 คา คือ ภว : มี, เปน็ วทิ ยา : วชิ า, ศาสตร์ คาวา่ “Ontology” มาจากรากศัพทภ์ าษากรีก 2 คา คอื Onto : Being Logos : Science คาว่า “Ontology” เป็นคาท่ีนักปรัชญาสมัยโบราณใช้มาก่อนคาว่า “Metaphysics” คาว่า Metaphysics เพง่ิ จะเริม่ ใช้กันเมือ่ ประมาณศตวรรษที่ 1 กอ่ นคริสตศ์ ักราช อภิปรัชญา เดิมทีเรียกว่า “ปฐมปรชั ญา” (First Philosophy) หรือปรชั ญาเรมิ่ แรก (Primary Philosophy) ซ่ึงเป็นชื่อเรียกผลงานของ อริสโตเติ้ล (Aristotle) อีกอย่างหนึ่ง เหตุท่ีเรียกวิชา อภิปรัชญาน้ีว่า First Philosophy เน่ืองจากว่าเป็นวิชาท่ีเกี่ยวเน่ืองด้วยหลักพ้ืนฐานท่ีแท้จริงของ จักรวาลและเป็นวิชาที่ควรศึกษาเป็นอันดับแรก ส่วนวิชาการต่าง ๆ ในสมัยแรก ๆ น้ัน ก็รวมอยู่ใน ปฐมปรัชญาท้ังน้ัน เพราะหลักการของปฐมปรัชญาสามารถใช้อธิบายวิชาอื่น ๆ ได้ทุกวิชา จึงเป็น ศาสตรต์ น้ ตอแห่งศาสตร์ทงั้ ปวง หรอื เป็นศาสตรท์ ที่ าใหเ้ กดิ ศาสตรต์ า่ ง ๆ

118 ความเป็นมาของอภิปรัชญา (History of Metaphysics) ดังที่ทราบมาแล้วว่า คาว่า “อภิปรัชญา” (ปรัชญาอันย่ิงใหญ่, ความรู้อันประเสริฐที่ย่ิงใหญ่) มาจากภาษาอังกฤษว่า “Metaphysics” ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก Meta + Physics รวมกันแล้วแปลว่า “สภาวะท่ีอยู่เหนือการสัมผัส” นั่นหมายถึงว่า อภิปรัชญา เป็นปรัชญาท่ีเก่ียวกับส่ิงที่อยู่เหนือการรู้ เห็นทวั่ ไป พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ได้อธิบายไว้ว่า การให้ความหมายหรือการ แปลศัพท์ของคาว่า Metaphysics นั้น จะแปลตามมูลศัพท์หาได้ไม่ เพราะว่าคาน้ีเกิดข้ึนมาจากความ บังเอิญ นั่นคือหลังจากท่ีเพลโต้ (Plato) และอริสโตเติ้ล (Aristotle) ได้ทาให้วิชา Philosophy เจริญ ขึ้น เพลโต้ถือว่า วิชานี้เป็นวิชาท่ีเก่ียวกับความจริงท่ีไม่เปล่ียนแปลง แต่อริสโตเติ้ล (Aristotle) มี ความคิดเป็นวิทยาศาสตร์ ในหนังสือที่อริสโตเติ้ล แปลและเรียบเรียงข้ึนเล่มหนึ่งได้นาเอาเร่ือง First Philosophy มาเรียงไว้ในตอนท้าย ๆ ซ่ึงต่อมาจากเรื่องฟิสิกส์ หรือปรัชญาธรรมชาติ (Natural Philosophy) ในหนงั สือดังกล่าว ไดจ้ ัดเรยี งลาดบั ไว้ดังนี้ 1. คณติ ศาสตร์ (Mathematics) 2. กายภาพของโลก (Physics) 3. ปฐมปรัชญา (First Philosophy) 4. ตรรกศาสตร์ (Logic) 5. จิตวทิ ยา (Psychology) 6. จริยศาสตร์ (Ethics) 7. สนุ ทรยี ศาสตร์ (Aesthetics) สเตช (W.T. Stace) ได้ช้ีแจงไว้ว่า คาว่า Metaphysics เป็นคาท่ีได้มาโดยบังเอิญ คือ ประมาณ พ.ศ. 480 เมื่อแอนโดรนิคัส (Andronicus) ได้รวบรวมผลงานของอริสโตเติ้ลเข้าเป็นรูปเล่ม สมบูรณ์ ในการจัดพิมพ์ ได้นาเอาตาราปฐมปรัชญาไปพิมพ์ไว้หลังฟิสิกส์ คือเรียง First Philosophy ไว้หลังปรัชญาธรรมชาติ (Natural Philosophy หรือ Physics) และ นีโคลาอุส (Nicolaus) แห่ง ดามัสกัส เป็นคนแรกท่ีเรียก First Philosophy โดยใช้ภาษากรีกว่า Ta meta ta Physika แล้วเรียก ส่วนน้ีว่า “หลังฟิสิกส์” (After Physics) กล่าวคือเป็นเรื่องที่เก่ียวกับสิ่งนอกเหนือฟิสิกส์ ส่ิงท่ีอยู่นอก ขอบเขตการรับรดู้ ว้ ยประสาทสัมผสั หรอื สิ่งท่นี อกเหนือไปจากสสารและพลงั งาน หรือสง่ิ ท้งั หลายท่ีไม่ อาจจะรหู้ รือเขา้ ถึงไดด้ ้วยอาศยั ประสาทสัมผัส ต่อมา นักปรัชญาชาวเยอรมันชื่อ โบธิอุส (A.M.S.Boethius) ได้เปลี่ยนมาใช้เป็นภาษาละตนิ เพียงคาเดียวว่า Metaphysica ต่อมาจึงได้กลายมาเป็น Metaphysics อย่างที่นิยมใช้กันอยู่ใน ปจั จุบันนี้ คาว่า “Metaphysics” แตเ่ ดมิ มคี วามหมายเพยี ง “หลงั ฟิสกิ ส์”

119 ดังน้ัน อภิปรัชญา จึงเป็นวิชาท่ีศึกษาถึงเบื้องหลังหรือเน้ือแท้ของสิ่งต่าง ๆ ในเอกภพ ซ่ึงไม่สามารถ พสิ จู นแ์ ละทดสอบด้วยประสาทสมั ผัสได้ คาว่า “ฟิสิกส์” เดิมหมายถึงการศึกษาเกี่ยวกับส่ิงต่าง ๆ ในธรรมชาติหรือในโลก ต่อมาใน ตอนหลัง ได้มีการ แปลความหมายกว้างขวางออกไปอีกเป็นว่า Physics หมายถึง กายภาพ, ความรู้ท่ี อยู่ในขอบเขตของประสาทสัมผัส, ส่ิงท่ีเราสามารถรับรู้ได้ด้วยอายตนะ หรือประสาทสัมผัสทั้ง 5 กลา่ วคอื สสารและพลงั งาน จะเห็นได้ว่า คาว่า อภิปรัชญา (Metaphysics) เป็นคาท่ีนามาใช้ในสาขาปรัชญาสาขาหน่ึง นามาใช้ครั้งแรกประมาณ พ.ศ. 480 หรือในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์กาล ปรัชญาเมธีอริสโตเติ้ล (Aristotle) ได้เรียกปรัชญาสาขาท่ีสาคัญท่ีสุดน้ีว่า “ปฐมปรัชญา” (The First Philosophy) ซึ่งเป็น สาขาทีว่ ่าดว้ ยความแท้จรงิ หรอื ความมีอยู่ของสรรพส่ิง ซึง่ ไมจ่ าเป็นจะตอ้ งรู้ได้ดว้ ยประสาทสัมผัส ในปรัชญาสมัยกลาง (Medieval Period) อภิปรัชญามีความสาคัญน้อยกว่าเทววิทยา (Theology) เพราะเทววิทยาได้รับการยอมรับและศึกษากันอย่างกว้างขวาง เป็นยุคมืดของวงการ ปรัชญา นักปรัชญาส่วนมากเป็นพระนักบวชในคริสตศาสนา จึงเน้นเฉพาะคาสอนเกี่ยวกับ คริสตศาสนาอย่างเดียว ต่อมาประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ซ่ึงเข้าสู่ปรัชญาสมัยใหม่ (Modern Period) อภิปรชั ญา ได้มคี วามสาคญั เท่ากันกบั เทววทิ ยา จนกระทั่งถงึ ปจั จุบนั บอ่ เกิดและแนวคดิ ของอภิปรชั ญา นักปราชญ์ท้ังสายตะวันออกและสายตะวันตกได้กล่าวถึงเหตุที่ทาให้เกิดความคิดทาง อภิปรัชญาไว้ต่าง ๆ กัน ตามทรรศนะของตน โดยสรุปแล้วบ่อเกิดแนวความคิดอภิปรัชญามี ๕ ประการดังน้ี 1. ความอยากรู้อยากเห็นในความเป็นไปของธรรมชาติ ส่ิงใดก็ตามที่เป็นส่ิงล้ีลับ เข้าใจ ยาก เป็นส่ิงเหนือธรรมชาติ มนุษย์ย่อมจะต้องการอยากรู้อยากเห็นในส่ิงน้ัน ๆ เม่ือมีปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติเกดิ ขึ้น จึงพยายามคน้ คว้าเพือ่ ให้รู้ เขา้ ใจในปรากฏการณ์เหลา่ นน้ั 2. ความบกพรอ่ งของสตั ว์โลก เม่อื สัตว์โลกมีความบกพร่องในการดาเนินชวี ิต จงึ เกิด ความไม่ พอใจ เกิดความสงสัยว่าทาไมคนเราจึงไม่เหมือนกัน เกิดมาแล้วทาอย่างไรจึงจะดารงชีวิตอยู่ ได้ แล้ว พยายามคิดหาทางแก้ไขเหตุการณต์ า่ ง ๆ ให้ดีขนึ้ กวา่ เดมิ 3. ความตอ้ งการความเปน็ ระเบยี บของสงั คม สงั คมหรอื ชมุ ชน จะต้องมีระเบยี บแบบแผน ทด่ี ี ในการจัดระเบียบคนในสังคมน้ัน ๆ ให้มีการเป็นอยู่ด้วยความเรียบร้อย แต่ถ้าหากขาดระเบียบ แบบ แผนท่ีดี ระเบียบแบบแผนท่ีมีอยู่ไม่เข้ากับสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนแล้ว สังคมก็จะสับสน วุ่นวาย จาเป็นจะต้องคิดค้นหาปทัฏฐานของสังคมส่วนรวม ท้ังน้ีเพื่อให้เกิดความสงบสุข ความ เรยี บร้อยและปลอดภัยแก่ชมุ ชน

120 4. ความต้องการกฎเกณฑ์ที่แน่นอนในการปกครอง การเมือง หรือการปกครองจะต้องมี กฎเกณฑ์ ซ่ึงกาหนดข้ึนเพ่ือความสงบเรียบร้อยทางบ้านเมือง ประชาชนจะรู้สึกผิดหวัง ถ้าบ้านเมือง ขาดหลักการปกครองที่ดี มีคุณธรรม จึงต้องมีการคิดค้นหาวิธีการใหม่ๆ ขึ้นเป็นกาหนดกฎเกณฑ์ของ สังคม 5. อานาจของพระเจ้ามมี ากเกนิ ไป ศาสนาโดยเฉพาะศาสนาเทวนยิ ม สอนให้เชอ่ื ในเรอื่ ง พระ เจ้า ซ่ึงมีอานาจมากมาย ไม่มีขอบเขตจากัด จึงท้ายทายผู้มีสติปัญญาให้มีการค้นคว้าหา ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าว่ามีจริงหรือไม่หรือมีอานาจอย่างไร มีอานาจจริงหรือไม่ เป็นต้น อภิปรัชญา (Mataphysics) จะตั้งคาถามว่า การที่กล่าวถึงสิ่งหน่ึงว่ามีอยู่น้ันหมายความว่าอย่างไร มี ลักษณะเฉพาะซ่ึงเป็นลักษณะทั่วไปสาหรับสิ่งทุกชนิดท่ีมีอยู่ ถ้าหากว่ามี อะไร คือลักษณะเหล่าน้ัน เราจะรู้สึกถึงลักษณะเหล่านั้นได้อย่างไร และมีวิธีเป็นอยู่ต่าง ๆกันหลายวิธี ซึ่งในปรัชญาแขนงน้ี ปรัชญาเมธตี า่ งก็พากนั ให้คาตอบต่าง ๆ กันเชน่ นักปรชั ญาบางคนรู้ว่าโลกแห่งข้อเท็จจริง ซ่งึ ประสาท สมั ผัสของเรารู้สึกได้นนั้ เป็นสงิ่ ไมจ่ ริงในความหมายบางประการ ท่านเหล่นยี้ นื ยันว่า โลกเปน็ ประจกั ษ์ พยานซ่ึงแสดงให้เห็นความแท้จริงซ่ึงเป็นรากฐานของโลก ถ้าเราถือว่าโลกเป็นส่ิงจริงแท้ กล่าว คือถ้า โลกเป็นอยู่โดยสิทธิของมันเอง ในไม่ช้าเราจะพบตัวเองยุ่งอยู่กับการขัดแย้งกัน นัก ปรัชญาหลายทา่ น มงุ่ จะสารวจลกั ษณะของโลกทีเ่ ราค้นุ เคยนี้ เช่น กาล อวกาศ การเปล่ยี นแปลงวัตถุ หรอื กฏแหง่ เหตุผล และนักปรชั ญาไดค้ ้นหาเพอื่ เปดิ เผยข้อขดั แย้งทเ่ี กิด จากการสารวจ นักปรัชญาเหล่านัน้ ได้ช้ีแจงว่า เม่ือจติ มนษุ ย์พยายามท่จี ะเข้าใจลักษณะตา่ ง ๆ เหลา่ น้ี ของโลก จิตมนุษย์จะบรรลุถึงภาวะท่ีเรียกว่า กฎท่ีค้านกัน ( Antinomy) และกฎที่ค้านกัน (Antinomy) น้ี คือข้อวินิจฉัย หรือการลงความเห็นคู่กัน 2 ประการ ความเห็นแต่ละอย่างดูเหมือน ความจะเปน็ ความจรงิ อยา่ งหนีไม่พน้ แตะถา้ หากความเหน็ บางประการหน่งึ จริง ความเห็นอกี ประการ หน่ึงซึ่งคู่กันจะจริงไม่ได้ การตรงกันข้ามระหว่างหลักท่ีเช่ือว่า การกระทาใด ๆ การเปล่ียนแปลงทาง สังคมอื่น ๆ เป็นผลเน่ืองจากเหตุที่กาหนดให้เป็นไปและหลักท่ีเชื่อข้อวินิจฉัยขัดแย้งซึ่งคู่กันและ ตรงกันข้ามกับหลักดังกล่าว หลักยึดเชื่อข้อแรกเรียกว่า นิยัตินิยม (Determinism) และหลักยึดเชื่อ ขอ้ หลังเรยี กว่า อนยิ ตั นิ ิยม

121 ความสมั พนั ธก์ ับศาสตรอ์ น่ื ๆ ปรชั ญาสาขานี้มคี วามสัมพนั ธ์กับศาสตรอ์ น่ื ๆ มากมาย เชน่ อภิปรัชญากบั ศาสนา อภิปรชั ญา กับวิทยาศาสตร์ อภิปรัชญากับญาณวิทยา อภิปรัชญากับ จริยศาสตร์ อภิปรัชญากับสุนทรียศาสตร์ อภิปรชั ญากบั ตรรกศาสตร์ ซง่ึ แตล่ ะศาสตรม์ คี วามสมั พนั ธ์ ดงั น้ี 1. อภปิ รชั ญากับศาสนา (Metaphysics and Religion) ระหว่างอภปิ รัชญากบั ศาสนา มีท้ังท่คี ล้ายคลึงกันและแตกต่างกัน ทคี่ ลา้ ยคลึงกันมลี ักษณะท่ี สาคัญดังนี้ 1) อภิปรัชญาและศาสนา มีวัตถุประสงค์ขั้นต้นเหมือนกัน นั่น คือเพ่ือศึกษาเบ้ืองหลังของ โลกหรืจักรวาล 2) ท้ังอภิปรัชญาและศาสนา พยายามท่ีจะก้าวไปให้พ้นปรากฏการณ์ในปัจจุบัน เพื่อให้ มองเหน็ ความแทจ้ ริง 3) ท้ังอภิปรัชญาและศาสนาเน้นการฝึกจิตว่า เป็นวิธีที่เข้าถึงความแท้จริงได้ ยกเว้น อภปิ รชั ญาฝ่ายสสารนยิ ม 4) ทงั้ อภิปรชั ญาและศาสนา เชื่อในความสามารถของจิตมนุษย์วา่ สามารถสัมผสั ความแท้จริง ไดย้ กเวน้ อภปิ รชั ญาฝ่ายสสารนยิ ม อภิปรัชญาและศาสนา (เทวนยิ ม) มลี ักษณะท่ีแตกตา่ งกันดงั นี้ 1) อภิปรัชญาใช้เครอ่ื งมือทางวิทยาศาสตร์มาพิจารณาสภาพธรรมท่ีเป็นโลกุตตระ ส่วนด้าน ศาสนาใชว้ ธิ ีมอบกายถวายชวี ิตตอ่ สภาพธรรมนั้น 2) อภปิ รัชญาใชเ้ หตผุ ลในการเข้าถึงความแทจ้ รงิ ส่วนศาสนาใช้ความภักดีและศรัทธาในพระ เจ้าในการเข้าถึงสจั ธรรม 3) อภิปรัชญา ไม่เร่ิมต้นศรัทธาในสิ่งท่ีจะศึกษาค้นคว้า แต่เริ่มต้นด้วยความสงสัย ส่วน ศาสนาเร่มิ ตน้ ดว้ ยศรทั ธา 4) อภิปรัชญามีขอบเขตท่ีจะต้องศึกษากว้างกว่าศาสนา คือว่าด้วยความแท้จริงเก่ียวกับโลก ท้ังมวล ส่วนศาสนาว่าดว้ ยเรื่องพระเจ้าในส่วนทส่ี มั พันธ์กับมนษุ ยเ์ ทา่ นัน้ 5) อภปิ รัชญาศกึ ษาเพอ่ื ความรจู้ ริงเท่านน้ั ส่วนศาสนามุ่งปฏิบัติให้เข้าถงึ ความจริง 2. อภปิ รชั ญากบั วทิ ยาศาสตร์ (Metaphysics and Science) อภิปรชั ญา คอื การคาดคะเนความจริงก่อนวิทยาศาสตร์ อภิปรัชญา คือ บทสงั เคราะห์ข้อยุติ ของศาสตร์ทัง้ หลาย ฮอฟฟ์ดิง (Hoffding) นักปรัชญาชาว เดนมาร์กกล่าวว่า ปรากฏการณ์หลักมูลกับหลักการ ของ ศาสตร์สาขาใดสาขาหน่งึ มีความสeคญั ต่อกันและ ความสมั พันธเ์ นอ่ื งถึงกัน

122 คาพ์นัป (Carnap) ผู้เป็นปฏิปักษ์กับ อภิปรัชญา แต่ก็ยังแสดงความเห็นว่า อภิปรัชญามี วตั ถปุ ระสงคท์ จ่ี ะจดั ประพจน์ความร้ทู างวชิ าการต่าง ๆ ให้เขา้ เปน็ ระบบทด่ี ี อภิปรชั ญาและวิทยาศาสตร์ตา่ งกบั ศาสนา ตรงที่ การศกึ ษาเริ่มตน้ ด้วยความสงสัยเป็นพ้ืนแต่ ศาสนาศึกษาเริ่มต้นด้วยความศรัทธาเป็นพื้น และ ศาสนาดาเนินการด้วยพิธกี รรมและการปฏิบัตติ าม หลักของศาสดาน้ัน ๆ แต่วิทยาศาสตร์ดาเนินการด้วยการ ทดลองแล้ว ๆ เล่า ๆ เพื่อเค้นหาส่ิงท่ี ต้องการและ อภิปรัชญาดาเนินการด้วยการคิดและทกเถียงสนทนา ด้วยการวิเคราะห์ (อดิศักดิ์ ทอง บุญ, ๒๕๒๖ : ๖๘) การสังเคราะห์และการ วพิ ากษ์วจิ ารณป์ ระเมินคา่ สว่ น เปา้ หมายของอภิปรัชญา ก็ คือ รู้เพ่ือรู้ ส่วนวิทยาศาสตร์ รู้เพื่อนาไปใช้ในการดารงชพี และศาสนานั้นเป้าหมาย เพื่อความสุข ทาง จิตใจ เพอ่ื จะไดไ้ ปอยกู่ ับพระผเู้ ปน็ เจ้าหรือเพอ่ื ถึงความหลดุ พ้น ความสัมพันธ์ระหว่างอภิปรัชญากับวิทยาศาสตร์ท่ีจะพึงศึกษา คืออภิปรัชญาเป็นการ คาดคะเนความจริงก่อนวิทยาศาสตร์ แนวความคิดทางอภิปรัชญา เช่น ธาเลส (Thales) บอกว่า “น้า เป็นปฐมธาตุของโลก หรือสรรพส่ิงมาจากน้า” หรือ เฮราคลิตุส (Heraclitus) บอกว่า “ไฟ เป็นปฐม ธาตขุ องโลก หรอื สรรพสง่ิ มาจากไฟ” เหล่าน้ีเป็นต้น ถือวา่ เปน็ การคาดคะเน การคาดคะเนเช่นน้ีถือว่า เป็นเร่ืองของอภิปรัชญา ต่อมาเร่ืองโครงสร้างของเอกภพกายภาพก็ดี เรื่องของส่วนประกอบของส่ิง ท้ังหลายก็ดี เป็นหน้าท่ีของวิทยาศาสตร์ เช่น ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ เป็นต้น ท่ีจะต้องให้คาตอบโดยใช้ วิธกี ารทดสอบ ทดลอง ซึ่งเป็นเร่อื งของวิทยาศาสตร์ 3. อภิปรชั ญากบั ญาณวิทยา (Metaphysics and Epistemology) อภิปรัชญากับญาณวิทยาเป็น 2 สาขาของปรัชญา โดยอภิปรัชญานั้น เป็นการค้นคว้าถึง ธรรมชาติของความแท้จริงสุดท้าย ส่วนญาณวิทยา เป็นการค้นคว้าถึงธรรมชาติของความรู้ กับปัญหา ที่ว่า ระหว่าอภิปรัชญากับญาณวิทยา อะไรสาคัญกว่ากัน ยังเป็นเรื่องท่ีถกเถียงกันอยู่ นักปรัชญาบาง กลุ่มเห็นว่าญาณวิทยามาก่อน เพราะการตรวจสอบถึงความเป็นไปได้และขอบเขตของความรู้นั้นเป็น ส่ิงสาคัญอันเป็นพ้ืนฐานในการแสวงหาและคันคว้าถึงธรรมชาติของความแท้จริงสุดท้ายซึ่งเป็น เรื่อง ของอภิปรชั ญา แตน่ กั ปรัชญาบางกลมุ่ ก็ได้เรมิ่ ต้นปรัชญาของเขาดว้ ยอภปิ รัชญา และถอื วา่ ญาณวิทยา ต้องสอดคล้องหรือคล้อยตามอภิปรัชญา โดยทัศนะดังกล่าวแล้ว ท้ังญาณวิทยาและอภิปรัชญา ต่างก็ เปน็ สาขาของตัวเองตา่ งหากไม่เก่ยี วเนอ่ื งกัน อภิปรัชญา (Metaphysics) จึงเป็นวิชาท่ีว่าด้วยความแท้จริงของสรรพสิ่ง เรียกอีกอย่างหนึ่ง ว่า ภววิทยา (Ontology) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความมีอยู่ ความเป็นอยู่ของสรรพส่ิง ความมีอยู่ ของสรรพส่ิงก็ คือความแท้จริงของสรรพสิ่ง ความแท้จริงของสรรพส่งิ ย่อมเป็นความมีอยู่ของสรรพสิง่ ดังนั้น ท้ัง 2 คาจึงเป็นอันเดียวกันต่างแต่ว่า Ontology ใช้มาก่อน Metaphysics ใช้ทีหลัง กล่าว คือ อภิปรัชญาศึกษาเรื่องธรรมชาติท่ีแท้จริงเกี่ยวกับโลก วิญญาณหรือจิต และพระผู้เป็นเจ้า การที่เราจะ

123 เข้าใจเกย่ี วกบั ธรรมชาติที่แท้จริงของโลก วญิ ญาณหรอื จิต และพระผู้เป็นเจ้าน้นั ต้องอาศยั ญาณวิทยา เป็นเครือ่ งมือในการพิสจู นค์ วามจริงเกย่ี วกับสง่ิ เหล่าน้ี ญาณวิทยา (Epistemology) คือทฤษฎีความรู้ เป็นวิชาที่ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ธรรมชาติ และเหตุแห่งความรู้ที่แท้จริง ซ่ึงเป็นการศึกษาถึงรายละเอียดของความรู้ท้ังหมด เพื่อให้เห็นความ เป็นไป และตัดสินได้ว่าอะไรเป็นความจริงแท้ ซึ่งเกิดจากความรู้ท่ีแท้จริง เป็นการศึกษาสภาพท่ัว ๆ ไปของความรู้อย่างกว้าง ๆ ดังนั้น อภิปรัชญาจะต้องใช้ญาณวิทยาเป็นเคร่ืองมือในการค้นคว้า ธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งที่มีอยู่ กล่าว คือญาณวิทยา เป็นพื้นฐานหรือมูลฐานที่ทาให้เกิดปรัชญานั้น ความจริงญาณวิทยาและอภิปรัชญามีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ซ่ึงสิ่งหนึ่งจะปราศจากอีกส่ิงหน่ึง ย่อมเปน็ ไปไมไ่ ด้ ทฤษฎีวา่ ด้วยความรนู้ าไปสคู่ วามรูส้ ่ิงต่าง ๆ จะอย่างไรกต็ าม ทงั้ อภิปรชั ญาและญาณ วิทยาต่างก็มีวิธีการอธิบายส่ิงเดียวกัน น่ัน คือธรรมชาติที่แท้จริง และทั้งสองอย่างต่างก็อาศัยซึ่งกัน และกนั เพือ่ คน้ หาความจรงิ ของส่งิ ท้งั หลายอยา่ งถูกตอ้ ง 4. อภปิ รชั ญากบั จริยศาสตร์ จรยิ ศาสตร์วา่ ด้วยการตดั สนิ ความดี ความชั่ว ถูก ผิด เกยี่ วกบั ความประพฤตติ า่ งๆ โดยเฉพาะของ มนุษย์อภิปรัชญาก็ว่าด้วยความจริงสูงสุดอภิปรัชญาจึงเป็นตัวตัดสินว่าความประพฤติใดดี-ชั่วแท้จริง ถูก ผดิ แทจ้ รงิ ตามหลกั การและเหตุผล 5. อภปิ รัชญากบั สนุ ทรียศาสตร์ สุนทรียศาสตร์ ว่าด้วยความงามและสิ่งงามทั้งปวงในงานศิลปะและในธรรมชาติ อภิปรัชญาจึง เก่ียวข้องกับสุนทรียศาสตร์ในด้านการตัดสินว่าความงามที่แท้จริงคืออะไร ความงามสูงสุดคืออะไร โดยใช้อารมณ์ เหตุผลและการสร้างสรรค์ เปน็ ตัวอธบิ าย 6. อภิปรชั ญากบั ตรรกศาสตร์ อภิปรัชญาสบื คน้ ถงึ ความแท้จรงิ ท่สี ิ้นสดุ โดยการคิดหาเหตผุ ล ตรรกวทิ ยาวา่ ดว้ ยการคิดหาเหตุผล ทถ่ี กู ตอั งอภปิ รัชญาจาเปน็ ตอ้ งอาศัยตรรกวิทยาเป็นเครื่องมือ เพื่อการสบื ค้นหาความจรงิ สูงสดุ หนา้ ทขี่ องอภปิ รชั ญา นักปรัชญาเริ่มต้นแนวความคิดของตนเก่ียวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือส่ิงที่เกิดจาก ธรรมชาติ อันเกิดจากความสงสัย หรือความประหลาดใจในส่ิงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และพยายามตอบข้อ สงสัยในส่งิ เหลา่ น้นั ด้วยเหตุผล เธลีส (Thales) มีความสงสัยเก่ียวกับปฐมธาตุของโลก หรือบ่อเกิดของโลกว่า โลกเกิดขึ้นมา จากอะไร มีอะไรเป็นบ่อเกิด เขาพยายามหาคาตอบ จนในท่ีสุดเขาก็ได้คาตอบว่า “น้า” เป็นบ่อเกิด ของโลก หรือเป็นปฐมธาตุของโลก โดยให้เหตุผลว่า ส่ิงที่มีชีวิตท่ีอยู่ในโลกล้วนต้องการน้า โดยเฉพาะ

124 อย่างยิ่ง มนุษย์หากขาดน้าแล้วไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ สรรพสิ่งเกิดมาจากน้า และจะกลับเข้าไปสู่ น้าอีก เป็นตน้ แนวความคิดของนักปรัชญาลักษณะเช่นนี้ น่ันคือแนวความคิดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติเช่นนี้ เป็นแนวความคิดทางอภิปรัชญา เพราะอภิปรัชญาเป็นวิชาที่เก่ียวกับเร่ือง ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือเอกภพ รวมไปถงึ จักรวาลดว้ ย เม่ือเป็นเช่นนี้ หน้าที่ของอภิปรัชญา จึงได้แก่การสืบค้นหาอันติมสัจ (Ultimate Truth) คือ ความจริงที่สิ้นสุด ซ่ึงอยู่เหนือความจริงที่ปรากฏแก่ประสาทสัมผัส เป็นความจริงท่ีครอบคลุมสิ่งท้ัง ปวงได้ เป็นความพยายามของนักปรัชญาที่จะตอบข้อสงสัยของตนว่า ความเปน็ จริงคืออะไร หรือสิ่งที่ อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ท้ังหลายคืออะไรกันแน่แต่การสืบค้นหรือการแสวงหาความจริงดังกล่าวนน้ั จะตอ้ งประกอบดว้ ยเหตผุ ล เพราะจุดมุง่ หมายของการศึกษาอภปิ รัชญาทีส่ าคญั กค็ ือเพอ่ื ให้มนุษย์เป็น ตัวของตวั เอง มคี วามคิดเป็นอิสระ รู้จักวิพากษว์ ิจารณ์ปัญหาปรชั ญาตามหลกั ของเหตผุ ล ลักษณะและขอบเขตของอภิปรชั ญา อภิปรัชญา เป็นสาขาปรัชญาเร่ิมแรกที่พยายามใหค้ าตอบเกี่ยวกับเร่ืองทั้งปวง จึงเป็นสาขาที่ สาคัญมาก เพราะอภิปรัชญาเป็นสาขาแรกที่นักปรัชญาได้คิด และเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดนักปรัชญาหรือ นักคิดข้ึนในโลก เป็นสาขาที่ว่าด้วยความแท้จริงของสรรพสิ่ง เป็นการศึกษาถึงสิ่งที่แท้จริงอันติมะ (Ultimate Reality) วา่ อะไรเป็นอะไร หรือศกึ ษาเกี่ยวกบั สิง่ ตา่ ง ๆ ในเอกภพ และความเปน็ ไปของส่ิง เหล่านนั้ เมอื่ เปน็ เช่นน้ี ขอบเขตหรือขอบข่ายของอภปิ รชั ญาจงึ มีอยู่ 3 ประเด็นคอื 1. ปัญหาเก่ียวกับเอกภพหรอื ธรรมชาติ (Cosmogony and Nature) เปน็ การตอบปัญหาหรือศกึ ษาเกยี่ วกับเร่อื งเอกภพหรอื ธรรมชาติ ซง่ึ รวมไปถึงเรอ่ื งของอวกาศ กาล สสาร ความเป็นเหตุและผล ชวี ิต วิวัฒนาการ ความเปน็ ไปของเอกภพ เพ่ือจะหาคาตอบวา่ สรรพ ส่ิงหรือสิ่งเหล่าน้ี มีความเป็นมาอย่างไร มีความสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น ศึกษาหาคาตอบเกี่ยวกับกาล (เวลา) ว่ามีกาเนดิ หรือบ่อเกดิ อย่างไร เปน็ ไปโดยมีเป้าหมายหรือไม่ อย่างไร หรอื ใครเปน็ ผู้กาหนดเวลา ใครเปน็ ผสู้ ร้างเวลาเหล่าน้ีเปน็ ตน้ ปัญหานี้เรียกว่า อภิปรัชญาว่าด้วยเอกภพหรือธรรมชาติ จึงปัญหาที่จะพิจารณาอยู่ 3 ทัศนะ คอื 1. ทัศนะฝ่ายจติ นิยม (Idealism) เป็นกลุ่มนักปรชั ญาที่มีความเชอ่ื ว่า ความแทจ้ ริงของปฐมธาตุมีอยู่อย่างเดียว สง่ิ นัน้ คือ “จติ ” สรรพสิ่งในจักรวาล เม่ือค้นหาความแท้จริงให้ถึงที่สุดแล้ว จะมีสภาพเป็นจิต มีลักษณะเป็นนามธรรม หรืออสสาร (Immaterial) ไม่สามารถจับต้องหรือมองเห็นได้ ไม่สามารถรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5

125 ของคนธรรมดา เช่น เรื่องพระเจ้า กฎแห่งกรรม อานาจส่ิงศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น แต่เป็นส่ิงท่ีมีอยู่จริงใน ธรรมชาติ คาว่า “จิต” แปลว่า คิด เป็นธรรมชาติท่ีซับซ้อน มีความอยากเป็นพื้นฐาน มีช่ือเรียกต่าง ๆ กนั เชน่ มนสั มโน วิญญาณ และจิต นักปรัชญากลมุ่ จิตนยิ ม เชื่อว่า มนุษย์ประกอบดว้ ยกายและจิต จติ เป็น อสสาร ไม่มตี ัวตน ไม่ มรี ูปรา่ ง เป็นตัวการสาคัญในการทาให้มนุษย์มีความคิด มีความรู้สึก และเป็นการบงการใหร้ ่างกายทา อะไรกไ็ ด้ตามความต้องการของจิต จิตมสี ภาพเปน็ จริง และเป็นอสิ ระจากกาย เม่ือเป็นเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า จิตนิยม ไม่ใช่ว่าปฏิเสธสสารเสียทีเดียว ยอมรับว่ามีอยู่ แต่ ไม่ใช่ความจริงสูงสดุ ทีบ่ อกวา่ มีวัตถหุ รอื สสาร เพราะมจี ิตเปน็ ตวั กาหนด ส่วนทเ่ี ป็นเน้อื แท้ของโลก จงึ ไดแ้ ก่ “จติ ” ซ่ึงมีอยู่อยา่ งนิรันดร ไม่มีการเปลย่ี นแปลง ทฤษฎีจิตนิยม (Idealism) สามารถแบ่งตามจานวนปฐมธาตุของอภิปรัชญาได้เป็น 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีเอกนยิ มฝา่ ยจิตนยิ ม (Idealistic Monism) พวกท่ีถือว่า ความแท้จริงของปฐมธาตุมีเพียงส่ิงเดียว มีลักษณะเป็นนามธรรม นั่นคือ “จิต” โลกน้ีไม่มีอะไร นอกจากจิตดวงเดยี ว สสารหรือวตั ถไุ มม่ ีอยจู่ รงิ จะตอ้ งขึ้นอยู่กบั จติ ปรัชญาเอกนิยมของสปิโนซ่า (Spinoza) ถือว่า ความจริงแท้มีเพียงอย่างเดียวคือ เนื้อสาร สมั บูรณ์ หรอื พระเจา้ ซ่งึ มลี ักษณะเปน็ นามธรรม ปรัชญาเอกจิตนยิ มของเฮเกล (Hegel) ถือว่า ความจริงแท้มีเพียงจิตดวงเดียว ท่ีเรียกว่า ส่ิง สัมบูรณ์ (The Absolute) เป็นต้นกาเนิดของจิตทั้งปวง ลักษณะของจิตคือหยุดน่ิงไม่ได้ จะต้องมี กจิ กรรมอยตู่ ลอดเวลา ถา้ ไมเ่ ช่นน้นั จิตจะไม่มตี วั ตนไม่เรยี กวา่ จิต ทฤษฎพี หุนิยมฝ่ายจติ นยิ ม (Idealistic Pluralism) พวกที่ถือว่า ความแท้จริงของปฐมธาตุมีมากมาย แต่มีลักษณะเป็นนามธรรม คือ “จิต” เช่น ปรัชญาเกี่ยวกับโมนาด (Monad) ของไลบ์นิซ (Leibniz) ที่ว่าจิตประกอบขึ้นด้วยปรมาณู หรือโมนาด โมนาดเป็นส่วนย่อยของจิตหรือจิตน้อยของแต่ละดวง โมนาดมีจานวนมากมาย ดงั นั้น จงึ กอ่ ใหเ้ กิดสรรพสิ่งขน้ึ มากมาย โมนาดท้งั หลายเหล่านน้ั เป็นสิ่งอมตะ สามารถสรปุ แนวคิดของไลบน์ ิซได้ ดังตอ่ ไปนี้ 1. ความแท้จรงิ กค็ อื โมนาด ซึง่ มจี านวนมากมาย ขึน้ อยกู่ ับจอมโมนาดหรือพระเจา้ 2. จอมโมนาดหรอื พระเจา้ มีลักษณะสมบูรณ์ คือประกอบด้วยอานาจ ปัญญา ฯลฯ

126 3. โมนาด ท่ีอยู่ในระดบั ต่ากว่าจอมโมนาด เปน็ โมนาดทจ่ี ากดั ในเร่ืองความสมบรู ณ์ และข้นึ อย่กู ับจอม โมนาด 4. จัดแบ่งโมนาดไดด้ ังนี้ โมนาดตืน่ (Waking monads) โมนาดท่ีมีเหตผุ ล คือมนุษย์ เพราะมนุษย์สามารถมคี วามรู้สึก นึกคิด และมีเหตุผลในการตัดสินใจเลือกพฤติกรรมของตนเอง โมนาดส่วนนี้เป็นส่วนที่ทาให้มนุษย์ สามารถรแู้ ละเขา้ ใจพระเจา้ ตลอดถงึ เอกภพได้ โมนาดสว่ นนี้จึงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคอื - สามารถใช้เหตผุ ลได้ เพราะมปี ัญญาซงึ่ มีรากฐานมาจากอิสรภาพในการเลือกเปน็ เคร่อื งตัดสิน - มลี ักษณะตกอยู่ในอารมณ์ ซึ่งเป็นลกั ษณะของความเปลีย่ นแปลงและโดดเดย่ี วจากปัญญา โมนาดฝนั (Dreaming monads) โมนาดต่าลงมาคือ สัตว์ และพืช ท่ีมีความรู้สึกสานึกแต่ไม่ มีเหตุผล โมนาดส่วนน้ีสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างความสานึกต่าง ๆ ได้ แต่ไม่มี อิสรภาพในการเลือก เพราะไม่มีเหตุผลในการเลือกพฤติกรรมของตนเองได้ พฤตกิ รรมของส่ิงเหล่านี้มี สง่ิ อืน่ เปน็ ตวั กาหนด เพราะได้รบั การววิ ัฒนาการไปโดยไมอ่ าศัยเหตุผลเป็นเคร่ืองตัดสนิ โมนาดหลบั (Sleeping monads) โมนาดต่าที่สดุ คือ อินทรีย์และอนินทรีย์ เป็นวัตถุและการ แสดงออกของโมนาดในฐานะตัวแทนของจักรวาล เป็นโมนาดท่ีไม่ใช้ความรู้สึกสานึก ไลบ์นิซไม่ได้ถึง วตั ถสุ ารโดยท่วั ไป แตห่ มายถงึ สภาวะทเี่ ปน็ สารัตถะอนั แบง่ แยกลงไปอีกได้ 2. ทศั นะฝ่ายสสารนยิ ม (Materialism) กลุ่มนักปรัชญาที่เช่ือว่า สสารเป็นสิ่งแท้จริง เชื่อในสิ่งที่เป็นรูปธรรม สสารเป็นตน้ กาเนิดของ โลกจกั รวาล ชาวสสารนิยม เช่อื วา่ สมอง เปน็ สิ่งที่สาคญั ทส่ี ุดสาหรับมนษุ ย์ เพราะเปน็ ศูนยร์ วมของส่ิงต่าง ๆ มีหน้าท่ีในการบันทึก จดจาทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทาในแต่ละวัน สมองสามารถทางานได้ทุกอย่าง ไม่ ว่าจะเป็นการคิดคานวณ การรับรู้ ตลอดถึงการรับอารมณ์หรือการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ออกมา ดังน้นั จึงมีนักปรัชญาชาวสสารนิยมท่านหนึ่งกล่าวว่า ชีวิตเปรียบเหมือนกับเครื่องจักรกล เพราะ ประกอบด้วยเครื่องจักรกลมากมาย ทางานได้ท้ังในขณะที่เรารู้สึกตัว และไม่รู้สึกตัว หรือทั้งในขณะที่ ตื่น และนอนหลบั ชาวสสารนิยมบอกว่า จิต เป็นเพียงมันสมองที่ประกอบด้วยระบบประสาท ไม่ใช่จิต อย่างท่ี ชาวจิตนิยมเข้าใจกัน การเคล่ือนไหวของร่างกายทุกส่วน เป็นการส่ังงานของสมอง เพราะหากไม่ มี ระบบประสาทซ่ึงติดอยู่กับสมองแล้ว เราจะไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ดังนั้น ชาวสสารนิยม จึงเช่ือว่า เมอื่ คนเราตายไปแล้ว จะไมม่ อี ะไรเหลืออยอู่ ีก ไม่มีอะไรไปเกิดใหม่ เพราะสมองและระบบประสาทนั้น เป่อื ยผุผงั ไป

127 ทฤษฎีสสารนิยม (Materialism) สามารถแบ่งตามจานวนปฐมธาตุของอภิปรัชญาได้เป็น 2 ทฤษฎคี อื ทฤษฎเี อกนยิ มฝ่ายสสาร (Materialistic Monism) พวกท่ีถือว่า ความแท้จริงของปฐมธาตุมีเพียงสิ่งเดียว มีลักษณะเป็นรูปธรรม นั่นคือ “สสาร” กลา่ วคือสงิ่ ท่ีเราสามารถรับรไู้ ดด้ ้วยประสาทสัมผัสเท่าน้ันจึงจะเป็นจรงิ และเปน็ สิง่ ท่ีมีอย่จู รงิ นอกนั้น ไมใ่ ช่สิ่งท่ีมอี ยูจ่ ริง เช่น ปรชั ญาสสารนิยมทั่วไป เปน็ ตน้ ว่า ธาเลส (Thales) ถือว่า ปฐมธาตุของโลกคือ “น้า” น้า เป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง สรรพส่ิงเกิด มาจากน้า และจะกลายเปน็ นา้ อกี ทฤษฎพี หุนิยมฝ่ายสสาร (Materialistic Pluralism) พวกทถ่ี ือว่า ความแทจ้ ริงของปฐมธาตมุ ีมากมาย แตม่ ลี กั ษณะเป็นรูปธรรม (สสาร) เช่น ปรัชญาเก่ียวกับปรมาณูนิยม (Atomism) ของเดโมคริตุส (Democritus) ที่ว่า ปรมาณู เชิงเดี่ยวหลาย อย่างรวมตัวกันเป็น ดิน น้า ไฟ ลม แล้วกลายเปน็ สง่ิ ต่าง ๆ ดังนั้น สรรพสิ่งจึงเกิดจาก ปรมาณู หรือมปี รมาณูเปน็ บ่อเกิด ปรัชญาของเอมพีโดเคลส (Empedocles) ท่ีว่า สรรพส่ิงไม่มีการเกิดข้ึนและการสลายตัว อยา่ งสนิ้ เชงิ แต่เป็นเพยี งพลัง 2 อย่างของดนิ น้า ลม ไฟ กล่าวคอื 1. พลงั ดงึ ทาให้สรรพส่ิงเกิดขึ้น หรือเกดิ การรวมตัวบางส่วน 2. พลังผลกั ทาใหส้ รรพสง่ิ สลายตวั บางส่วน ดังนั้น ปฐมธาตุของโลก หรือบ่อเกิดของโลกตามทัศนะของเอมพีโดเคลสก็คือ ธาตุท้ัง 4 คือ ดิน น้า ลม ไฟ เพราะส่ิงต่าง ๆ เกิดขึ้นจากการรวมตัวของธาตุท้ัง 4 และสูญสลายไปเพราะการแยกออกจาก กันของธาตุทัง้ 4 นัน่ เอง 3. ทัศนะฝา่ ยธรรมชาตินยิ ม (Naturalism) ธรรมชาตินิยม โดยเน้ือหาแล้วจะมีลักษณะท่ีใกล้เคียงกับสสารนิยมมาก ชาวธรรมชาตินิยม เช่ือว่าธรรมชาติเท่านั้นคือความจริงสูงสุด ส่ิงและเหตุการณ์ทั้งหลาย มีมูลเหตุมาจากธรรมชาติ จักรวาลก็มีมูลเหตุมาจากธรรมชาติ ธรรมชาติสามารถดารงอยู่ได้ด้วยตนเอง มีโครงสร้างของตนเอง เกิดขึ้นไดเ้ อง ไม่ไดเ้ กดิ ขึ้นเพราะอานาจเหนือธรรมชาติ ธรรมชาตินิยม เป็นธรรมชาติท่ีนิยมวิทยาศาสตร์ ปรากฎการณ์ธรรมชาติสามารถอธิบายได้ อย่างสมเหตุสมผลโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติประกอบไปด้วยพลังงาน พลังงานเป็นความ จริงสดุ ท้าย แมส้ สารกเ็ ปน็ พลังงาน ชีวติ ววิ ัฒนาการมาจากสสารทไี่ มม่ ชี ีวิต จิตววิ ัฒนาการมาจากชีวิต ธรรมชาตินิยม จึงเป็นทฤษฎีที่อยู่ระหว่างสสารนิยมและจิตนิยม เป็นลักษณะการ ประนีประนอมทฤษฎีท้ังสองเข้าด้วยกัน โดยท่ีมีความเห็นขัดแย้งกับท้ังสองทฤษฎีว่า มนุษย์เรานั้น

128 ไม่ใช่มีแตเ่ พยี งร่างกายซง่ึ เป็นสสารตามที่ชาวสสารนิยมเขา้ ใจอย่างเดยี ว และกไ็ ม่ใช่วา่ มแี ตจ่ ติ วญิ ญาณ ท่ีเป็นอสสารตามที่ชาวจิตนิยมเข้าใจอย่างเดียวเท่านั้น แต่มนุษย์จะต้องประกอบด้วยร่างกายและจิต วญิ ญาณ ทงั้ สองอยา่ งเป็นส่ิงท่ีมคี วามสาคญั เท่ากัน และเป็นจริงเหมือนกนั ปัญหาเกย่ี วกบั จติ หรือวิญญาณ (Mind, Soul or Spirit) เป็นการค้นคว้าถึงธรรมชาติของวิญญาณ ความมีอยู่ของวิญญาณ จุดหมายปลายทางของ วิญญาณ ลักษณะ โครงสร้าง กาเนิด หน้าท่ีของจิตหรือวิญญาณ ความสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณกับ ร่างกาย หรือความสัมพันธร์ ะหวา่ งจิตและสสาร และศึกษาเก่ียวกับตัวของจิตหรือวญิ ญาณวา่ คืออะไร กันแน่ จะเห็นว่าแนวความคิดดังกล่าวเป็นแนวความคิดของนักปรัชญากลุ่มจิตนิยม (Idealism) โดยเฉพาะ กล่าวคือลัทธิน้ีถือว่า จิตเป็นตัวการสาคัญ สสารหรือวัตถุเป็นรอง เป็นการให้คาตอบว่า ความเป็นจริงของสรรพส่ิงหรือแก่นแท้ของสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาลคือ “จิต” หรือสรรพส่ิงขึ้นอยู่กับจิต เทา่ นั้น ลทั ธจิ ติ นยิ ม จงึ มแี นวความคิดทสี่ มั พันธ์กับศาสนาเกอื บทกุ ศาสนา เพราะศาสนาโดยส่วนมาก ถอื ว่า “จิตสาคัญกวา่ รา่ งกาย” ปัญหาเกี่ยวกับจิตหรอื ปรัชญาจติ นี้ จงึ เป็นการศึกษาเรื่องสาคญั 4 ประเด็นคือ 1. ปัญหาเก่ยี วธรรมชาติของจิต หรอื อะไรคอื จติ (Nature of Mind) พระพุทธศาสนาถือว่า จิต มโน วิญญาณ เป็นอย่างเดียวกันในด้านสภาวะ แต่ช่ือใช้เรียกเท่าน้ันที่ ต่างกัน ดงั พระพทุ ธดารัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลธรรมชาติใดท่ีเรียกว่าจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ธรรมชาติน้ัน ขณะท่ดี วงเก่ากาลงั ดบั ดวงใหม่ก็กาลังเกดิ ขึน้ เป็นอย่างน้เี รอ่ื ยไปตลอดวันและคนื ” จากพระพทุ ธพจน์บทนี้ จะเหน็ ว่า คาว่า จิต มโน วญิ ญาณ เป็นธรรมชาตอิ ยา่ งเดียวกัน คาวา่ จิต มโน วิญญาณ เกดิ ดบั อยเู่ สมอ ตลอดเวลาทงั้ กลางวนั และกลางคนื การเกิดดับของจิต มโน วิญญาณ เป็นไปในลักษณะสืบต่อ กล่าวคือเมื่อดวงเก่ากาลังจะดับ ดวงใหม่ก็ อาศยั พลงั งานจากดวงเกา่ เกดิ ข้นึ คาว่า “จิต มโน หรือวิญญาณ” พระพุทธองค์ทรงใช้คาเหล่าน้ีในหลาย ๆ แห่ง ซ่ึงหมายถึง ธรรมชาตขิ องจิตตามทศั นะของพระพทุ ธศาสนานนั่ เอง ดงั ปรากฏเป็นหลกั ฐานดงั นี้ ในทบี่ างแหง่ พระพุทธองค์ทรงใช้คาวา่ วญิ ญาณ อันหมายถงึ ธรรมชาตทิ ีเ่ ป็นวิญญาณโดยตรง ในปฏิจจสมุปบาท โดยตรัสคาว่า “วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ ซ่ึงแปลว่า นามรูป ย่อมมีเพราะอาศัย วิญญาณเป็นปจั จยั ”

129 ในท่ีบางแห่ง พระพุทธเจ้าทรงเรียก วิญญาณ ว่า “จิต” เช่นในคาว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏเฐ ทุคฺคติ ปาฎิกงขฺ า อนั หมายถงึ เม่อื จติ เศร้าหมองแล้วมีหวงั ไปเกิดในทุคคติ ในท่ีบางแห่ง พระพุทธเจ้าทรงเรียก วิญญาณ ว่า “จิต” เช่นในคาว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏเฐ ทุคฺคติ ปาฎิกงขฺ า ในคาถาพระธรรมบท พระพทุ ธเจ้าตรสั ถึงลักษณะของจติ ไว้ว่า เอกจร = เที่ยวไปดวงเดียว อสรรี = ไม่มีร่างกาย คหู าสย = มถี ้า คือร่างกายเป็นทอี่ ยู่ วญิ ญาณเป็นพลงั งานหรอื สสาร หากพิจารณาตามคติทางพระพุทธศาสนาที่ถือว่า วิญญาณเป็นสิ่งท่ีมีอยู่จริง วิญญาณก็น่าจะ เป็นพลังงาน เพราะทางพระพุทธศาสนาเรียกวิญญาณ เป็นนาม หรือมีลักษณะเป็นนามธรรม ไม่ใช่ เป็นรูปธรรม ดังจะเห็นได้จากการอธบิ ายลักษณะของจิตหรือวญิ ญาณวา่ จิตไม่มีรูปร่าง (อสรีร) ความ เป็นไปหรือการทางานของจิตไม่ข้ึนอยู่กับเวลาและสถานที่ เช่น คนท่ีอยู่ ณ แห่งหนึ่ง อาจรู้เห็น เหตุการณท์ ก่ี าลงั เกดิ ข้นึ ณ อกี แหง่ หนง่ึ ได้ด้วยจิต เป็นตน้ หลักฐานท่แี สดงว่าวิญญาณเป็นพลังงาน ในปัจจุบันมอี ุบัตกิ ารณห์ ลายอยา่ ง ที่ส่อแสดงให้เหน็ ว่า จิต หรือวิญญาณมอี ยู่จรงิ และมอี ยใู่ น ฐานะเปน็ พลงั งาน ดงั อทุ าหรณ์ตอ่ ไปนี้ ในปี ค.ศ. 1967 นิตยสาร Life รายงานข่าวและลงภาพของบุคคลคนหนึ่งช่ือ เตด ซาริโอส (Ted Sarios) ชายคนนี้สามารถถ่ายรูปด้วยความคิดได้ โดยเอาฟิล์มใหม่ ๆ ใส่เข้าไปในกล้องถ่ายรูป เอากล้องตั้งไว้ข้างหน้า แล้วนั่งหรือยืนเพ่งให้ภาพ (ตามท่ีเขาคิด) ไปติดท่ีฟิล์มภายในกล้องถ่ายรูปนั้น ในขณะที่เพ่ง เขาจะพยายามออกกาลังใจอย่างสุดขีด จนกระท่ังเหงื่อไหลโทรมกาย เมื่อเขาเพ่งเสร็จ และบอกว่าสาเร็จแล้ว ก็ได้นาฟลิ ์มน้ันออกไปล้างดู ผลปรากฏวา่ ได้เกิดมีภาพท่เี จาคดิ และเพ่งบนฟิล์ม น้นั จรงิ ๆ ผลการกระทาของเขาได้ก่อให้เกิดความตื่นเต้นไม่น้อยในหมู่นักวิทยาศาสตร์ บางคนไม่เชื่อ เกรงว่าเขาจะเอาฟิล์มท่ีถ่ายแล้วเข้าไปไว้ในกล้อง อุตส่าห์นาฟิล์มใหม่และกล้องของตนเองไปให้เขา เพ่ง และบอกใหเ้ พ่งรูปแปลก ๆ เชน่ ภาพทหารในคราวสงครามกลางเมืองอเมริกา เป็นตน้ ผลปรากฏ ว่าได้ภาพตามท่ีเขาเพง่ ทกุ ประการ แม้ว่าจะเป็นภาพท่ไี ม่คอ่ ยชดั เจนนักก็ตาม แต่ข้อเสียก็มีอยู่ว่า เขาไม่สามารถจะทดลองได้ทุกคร้ังที่ต้องการ เพราะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม อารมณ์ และสมาธิจิตด้วย การกระทาของเขาทาให้เกิดมีศัพท์ใหม่ขึ้นในวงการถ่ายรูปคือ Thoughtography (การถา่ ยรูปดว้ ยความคิด)

130 จากตัวอย่างน้ี เราจะเห็นได้ว่า จิต หรือวิญญาณ มีลักษณะเป็นพลังงานละเอียดคล้ายรังสี เอ็กซ์ หรือรังสีแกมมา เพราะสามารถปล่อยจากจุดหนึ่ง (ในกรณีของ Ted Sarios คือสมอง) ผ่าน เลนส์ของกลอ้ งถา่ ยรปู เข้าไปทาปฏิกริ ยิ ากับเคมที ่ีฟิล์มถา่ ยรปู ได้ นอกจากเรือ่ งน้ีแลว้ ยงั มีเรือ่ งเกีย่ วกับการศึกษาค้นควา้ เร่ืองโทรจิต นักปรจิตวิทยาตอบว่า ใน ยุคปัจจุบัน มนุษย์ย่างเข้าสู่ยุคอวกาศ การเดินทางออกจากโลกไปสู่ดาวเคราะห์ต่าง ๆ เป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องความฝันเหมือนสมัยก่อน ดังนั้น ถ้าหากนักวิทยาศาสตร์สามารถส่งโทรจิตติดต่อกับมนุษย์ อวกาศที่เดินทางออกจากโลกไปสู่ดาวเคราะห์ท่ีอยู่ห่างไกลได้สาเร็จ จะเป็นประโยชน์มาก เพราะ ระบบส่ือสารด้วยวิทยุและโทรทัศน์มีรัศมีส่งคลื่นได้จากัด ย่ิงไกลออกไปเท่าไหร่เคลื่อนก็ย่ิงจางหาย การรบั ส่งสัญญาณไมช่ ัดเจน นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แลว้ ว่า คลื่นสมองสามารถเดินทางไปในอวกาศได้รวดเร็วและได้ไกล ไม่จากัดระยะทาง ไม่ข้ึนอยู่กับกฎเกณฑ์ อวกาศและกาล ที่ใช้กันอยู่ในโลก คล่ืนจิตสามารถรับส่งได้ เรว็ กว่าความเร็วของแสง นกั วิทยาศาสตรท์ างปรจิตวทิ ยาสหรฐั เชือ่ วา่ มพี ลังคลืน่ ลึกลับจากภายนอก โลกทมี่ ีความถี่สงู ส่งมาจากดาวต่าง ๆ ท่ีอยูห่ ่างไกล มายังโลกของเราตลอดเวลา เป็นคลื่นพิเศษท่ีส่งมา ติดต่อกับบุคคลผู้มีญาณวิเศษ อันได้แก่ผู้มีความสามารถทางโทรจิตทางตาทิพย์ หูทิพย์ สามารถรับสง่ ติดตอ่ กบั พลงั คล่ืนท่ีมาจากภายนอกโลกได้ จากเร่ืองโทรจิต แสดงให้เห็นว่า จิตหรือวิญญาณ มีลักษณะเป็นพลังงาน สามารถส่งจากที่ หน่ึงไปยังอีกทหี่ นงึ่ โดยไมจ่ ากดั เพราะหากเป็นสสารแล้วจะตอ้ งกนิ ที่ มีขอบเขตทจ่ี ากัด 2. ปญั หาเก่ยี วกบั ความสัมพันธ์ระหวา่ งจติ กับกาย (Relation between Mind and Body) ในทางพระพทุ ธศาสนา ไดแ้ สดงทศั นะความสมั พันธ์ระหวา่ งกายกบั จติ ไวว้ ่า กายกบั จติ มีธรรมชาติ ทแ่ี ตกต่างกันอย่างตรงกนั ขา้ ม กล่าวคอื จติ เป็นวัตถนุ ามธรรม เป็นธรรมชาติท่ีรู้อารมณท์ ่ีเกิดจากรูป เสยี ง กลน่ิ รส กายเป็นวัตถธุ รรมไม่รู้สิ่งภายนอก เช่น รูป เสยี ง กลนิ่ รส และไม่ร้ธู รรมอารมณอ์ ีกด้วย ดงั นัน้ กายกับจิตจึงไม่ใชส่ ่งิ เดียวกัน กายไม่ใช่จติ และจิตไมใ่ ช่กาย แม้ว่ากายกับจิต จะมีธรรมชาติท่ีแตกต่างกันอย่างตรงกันข้าม แต่ก็ถือว่าเป็นธรรมชาติ สมั พนั ธ์กัน เปน็ ไปอย่างองิ อาศัยกันและกนั เมอ่ื อย่างหนึ่งแตกสลายไป อีกอย่างหนง่ึ กท็ าลายลงด้วย ในวสิ ทุ ธิมรรค พระพทุ ธโฆษาจารยไ์ ด้แสดงไวว้ า่ “รูปและนามเปน็ ของคกู่ ันทั้งค่อู าศยั กันและ กันเป็นไป เมื่ออย่างหนึ่งแตกสลายไปก็แตกสลายท้ังคู่ตามปัจจัย” แสดงให้เห็นว่า ท้ังกายและจิต แม้ว่าจะไม่ใช่ส่ิงเดียวกันแต่ก็เป็นองค์ประกอบของกันและกันอย่างจาเป็น ซึ่งทาให้เกิดกระบวนการ ชีวิตข้นึ 3. ปญั หาเกย่ี วกับเจตจานงเสรี (Free Will)

131 คาว่า “เจตจานงเสรี” (Free Will) หมายถึงการกาหนดการเลือกตัดสินใจในการกระทาส่ิงใดสิ่ง หนึ่งที่เห็นว่าเป็นความดี และจงใจกระทาเพ่ือบรรลุถึงความดีของตัวเองนั้น การเลือกและเจตนาเกิด จากตนเอง ไม่มใี ครหรอื สิง่ ใดมาบังคบั หรือกาหนด ปัญหาเก่ียวกบั เจตจานง (Will) นี้ จงึ เปน็ ปัญหาท่ีศึกษาว่าจิตหรือวิญญาณของมนุษย์มเี สรีภาพใน การตดั สนิ ใจทีจ่ ะกระทาส่งิ ใดสิง่ หนึ่งหรอื ไม่ ปัญหาน้จี งึ เกีย่ วขอ้ งกบั มนษุ ยโ์ ดยเฉพาะ มีกลุ่มนักปรชั ญาทไี่ ด้แสดงความเหน็ เอาไวแ้ ตกตา่ งกนั 2 กลุ่มคอื 1. กลุ่มเหตุวสิ ัย (Determinism) นักปรัชญากลุ่มน้ีมีความเห็นว่า มนุษย์ไม่มีเจตจานงเสรีใน การตัดสินใจเลือกกระทาสิ่งต่าง ๆ เพราะว่าการตัดสินใจเลือกกระทาส่ิงต่าง ๆ ของเรานั้นเกิดขึ้นจาก การได้รับอิทธิพลจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรามาเป็นตัวกาหนดให้เราต้องตัดสินใจกระทาอย่างใดอย่าง หน่ึงลงไป ซึง่ แสดงใหเ้ หน็ ว่าเราไมม่ ีความเปน็ อสิ ระในการตัดสินใจท่ีจะกระทาส่ิงต่าง ๆ ด้วยตวั เราเอง เหตุการณ์อย่างหน่ึงเกิดข้ึนเพราะมีเหตุการณ์อีกอย่างหน่ึงมากระทาต่อมัน มิได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ โดย ปราศจากสาเหตุ เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ล้วนแต่มีสาเหตุท้ังน้ัน เช่น ฝนตก ดอกไม้เห่ียว เป็นต้น ใน กรณีของมนุษย์ก็เช่นกัน มนุษย์เป็นส่วนหน่ึงของธรรมชาติ ย่อมเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ การเลือกตัดสินใจกระทาส่ิงต่าง ๆ ของมนุษย์แต่ละคร้ังจึงต้องมีสาเหตุนาหน้ามาก่อน กล่าวคือความ ประสงค์หรอื จุดประสงคท์ ีต่ ้งั ไว้ลว่ งหนา้ นั่นเอง ดังนั้น แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ไม่มีเสรีภาพในการตัดสินใจเลือกกระทาสิ่งต่าง ๆ เพราะการกระทาทุก อย่างของมนุษยถ์ กู กาหนดโดยสภาพแวดลอ้ ม นนั่ คือมนษุ ยเ์ ราไม่มีเจตจานงเสรี 2. กลุ่มอิสรวิสัย (Indeterminism) นักปรัชญากลุ่มน้ีมีแนวความคิดว่า การเลือกตัดสินใจ กระทาส่ิงต่าง ๆ แม้ว่าจะมีบางคร้ังหรือหลายครั้งท่ีได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทุก คร้ังไป เราจะสังเกตเห็นว่าบางคร้ังหรือหลายคร้ัง ท่ีไม่มีอะไรมาบังคับหรือกาหนดการกระทาของเรา การที่เราสามารถตัดสินใจในการกระทาส่ิงต่าง ๆ เองโดยไม่มีใครบังคับ หรือไม่มีอะไรเป็นเคร่ือง กาหนดนัน้ แสดงให้เหน็ วา่ คนเรามเี จตจานงเสรี นักปรัชญากลุ่มนี้ เห็นว่า ถ้ามนุษย์ไม่มีเจตจานงเสรี การยกย่องสรรเสริญและการตาหนิติ เตียนก็จะไร้ความหมาย โดยเฉพาะอย่างย่งิ การลงโทษผกู้ ระทาความผิดจะทาไม่ไดถ้ ้าเรายอมรบั ว่าเขา ถูกบังคับให้ทาช่ัว การยอมรับเรื่องการลงโทษผู้กระทาผิด ย่อมแสดงว่าเขาต้องรับผิดชอบการกระทา ของเขาเนื่องจากเขาเป็นผู้กระทาเองทงั้ ๆ ทเ่ี ขาอาจหลีกเลี่ยงไม่กระทาเช่นนั้นก็ได้ นั่นคอื การยอมรับ ว่ามนษุ ยม์ เี จตจานงเสรี หรือมีอิสระในการตดั สนิ ใจกระทาสิง่ ต่าง ๆ ในทัศนะของศาสนา โดยทั่วไปแล้วถือวา่ มนษุ ยม์ ีเสรภี าพในการตัดสินใจเลือกกระทาความดี หรือความช่ัว ศาสนาทุกศาสนาจึงสอนให้ละเว้นความช่ัว กระทาความดี ถ้ามนุษย์ไม่มีอิสระในการ ตัดสินใจแล้ว คาสอนของศาสนาก็ไม่มีความหมาย ศาสนาและหลักศีลธรรมก็จะเป็นส่ิงที่ไร้สาระหาก มนษุ ย์ไม่มเี จตจานงเสรี

132 จะอย่างไรก็ตาม แม้ว่ามนุษย์จะมีเสรีภาพในการตัดสินใจกระทาส่ิงต่าง ๆ แต่ต้องอยู่ใน ขอบเขตทจ่ี ากัด เพราะบางสิง่ บางอย่างมนษุ ยไ์ มส่ ามารถกระทาได้ 4. ปัญหาเกีย่ วกบั ความเปน็ อมตะของจิต (Immortality) ปัญหาเกี่ยวกับอมฤตภาพของวิญญาณ เป็นเร่ืองเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย กล่าวคือเมื่อคน ๆ หนึ่งตายลง ชีวิตของเขาสน้ิ สุดลงเพยี งน้ันหรือไม่ หรอื มอี ะไรต่อไปอกี ปญั หาน้มี ีคาตอบ 2 กลุ่ม คอื 1. กลมุ่ ท่เี ช่ือวา่ จติ หรือวญิ ญาณเป็นอมตะ กล่มุ น้ถี อื ว่ามนษุ ยป์ ระกอบดว้ ย 2 สว่ นคือ ส่วนทีเ่ ปน็ ร่างกายและสว่ นท่ีคดิ ได้ หรอื จิตวญิ ญาณ เม่ือตายลงร่างกายก็แตกสลายไป แต่ส่วนท่ีคิดได้หรือจิตวิญญาณยังมีอยู่ไม่แตกสลายตามร่างกาย เพราะเป็นอมตะ ดังน้ัน เมื่อร่างกายแตกสลาย จิตหรือวิญญาณอาจไปหาร่างใหม่อยู่ท่ีเรียกว่าไปเกิด ใหม่ หรอื อยู่ในสภาพท่ไี ม่มีรา่ งกาย กลมุ่ ที่เชื่อวา่ จติ หรือวญิ ญาณเปน็ อมตะ มีจานวนมากมาย เชน่ ลทั ธิเพลโต้ (Platonism) ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม เป็นต้น 2. กล่มุ ท่เี ช่อื ว่าจติ หรือวิญญาณไม่เป็นอมตะ กลุ่มน้ีมีทัศนะว่ามนุษย์ประกอบสสารอย่างเดียว สิ่งท่ีเรียกว่าจิตหรืออสสารก็เป็นสสาร เช่นเดยี วกันกับร่างกาย จึงมีแตกมีดับ หรอื มกี ารเปลยี่ นแปลงเชน่ เดียวกับรา่ งกาย จิตหรอื วิญญาณจึง มใิ ช่สิง่ คงอยู่ชวั่ นิรนั ดร์ กลุม่ ทีเ่ ชื่อว่าจติ หรอื วญิ ญาณไมเ่ ป็นอมตะ เช่น พวกสสารนิยม ลทั ธจิ ารวากของปรชั ญาอนิ เดีย เปน็ ต้น 5. ปัญหาเกยี่ วกบั พระเจ้า หรอื สง่ิ สัมบรู ณ์ (God or Absolute) เป็นการศึกษาเก่ียวกับเร่ืองธรรมชาติของพระเจ้า คุณลักษณะของพระเจ้า ความสัมพันธ์ ระหว่างพระเจ้ากับเอกภพ และกับวิญญาณ มนุษย์มักมีความเช่ือเกี่ยวกับการมีอยู่ของส่ิงมีอานาจ มากกว่ามนุษย์ คือเชื่อในอานาจท่ีมองไม่เห็น เช่น พระเจ้า และถือว่าโลกน้ี รวมทั้งมนุษย์และ ธรรมชาตถิ ูกสรา้ งโดยพระเจ้า นักปรชั ญาจงึ พยายามตอบคาถามทีว่ า่ พระเจ้ามีจริงหรอื ไม่ พระเจา้ สรา้ งโลกได้อย่างไร สรา้ ง โลกจริงหรอื ไม่ เม่ือสร้างแล้วทาไมจะต้องทาลายโลก หรือสร้างโลกทาไมไม่สร้างให้สมบูรณ์แบบ พระ เจา้ มีอานาจจริงไหม มอี านาจมากนอ้ ยเพียงใด หรอื พระเจ้ามลี กั ษณะเป็นอยา่ งไร เราจะพิสจู นค์ วามมี อยู่ของพระเจ้าไดอ้ ย่างไร นักปรัชญาที่สนใจศึกษาส่วนมากจะเป็นนักปรัชญาฝ่ายจิตนิยม ส่วนนักปรัชญาฝ่ายสสารนิยมจะ ปฎิเสธการมีอยขู่ องพระเจ้า จึงแบ่งเป่น 2 กลมุ่ คือ เทวนยิ ม (Deism) มีความเชอ่ื วา่ พระเจ้าเป็นมหาเทพท่ีสูงสดุ เพียงพระองค์เดียวซึ่งอยภู่ ายนอกโลก นัน่ คอื เชอื่ ว่า พระเจ้าเป็นเทพอยู่เหนือโลกโดยประการท้ังปวง พระองค์เป็นผู้สร้างโลก และสร้างโลกขึ้นจากความ

133 ว่างเปล่า แล้วมอบพลังต่าง ๆ ให้แก่โลก และให้พลังเหล่านั้นควบคุมโลกให้ดาเนินไป เมื่อโลกมี แนวโน้มจะเส่ือมลงพระเจ้าก็จะช่วยแก้ไขให้โลกดาเนินไปตามปกติ พิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าโดย อาศยั ข้ออา้ งทางศาสนา และทางปรชั ญา นกั ปรชั ญาฝ่ายเทวนยิ มได้กลา่ วเกยี่ วกบั ธรรมชาติของพระเจ้า ไว้ต่าง ๆ กนั พอจะสรปุ ไดด้ งั น้ี 1. พระเจ้าเปน็ สิ่งทีไ่ มจ่ ากดั เปน็ สิ่งนิรนั ดรและเปน็ สิง่ ที่มอี ยู่ดว้ ยตวั เอง พระเจ้าเป็นสิ่งท่ีไม่จากัด หมายความวา่ มีอานาจอย่างไมส่ ิน้ สุด ไมข่ ึน้ อยู่กับอวกาศ แตแ่ สดง ออกมาเป็นสิ่งท้ังหลายที่อยู่ในอวกาศพระเจ้าเป็นสิ่งนิรันดร หมายความว่า ไม่ข้ึนอยู่กับกาล คืออยู่ เหนือกาล แต่แสดงออกมาเป็นเหตุการณ์ในกาลพระเจ้าเป็นส่ิงท่ีมีอยู่ด้วยตัวเอง หมายความว่า ไม่ ขึน้ อยกู่ บั เหตุ แต่เปน็ เหตุของโลก 2. พระเจา้ เปน็ สงิ่ ท่ีไมม่ ีเงอื่ นไข และเป็นสิง่ สมั บูรณ์ พระเจ้าเป็นส่ิงที่ไม่มีเงื่อนไข หมายความว่า ไม่มีส่ิงภายนอกมากาหนด แต่เป็นผู้กาหนด ตัวเองพระเจา้ เปน็ สิง่ สมั บูรณ์ หมายความวา่ ไม่ข้นึ อย่กู ับสิ่งอน่ื นอกจากตัวเอง 3. พระเจา้ เปน็ ผูส้ รา้ งหรือเป็นปฐมเหตุของโลก และเปน็ เหตผุ ลท่ีสนิ้ สุดของโลก พระเจ้าเป็นผู้สร้างหรือเป็นปฐมเหตุของโลก หมายความว่า พระเจ้าเป็นเหตุแรก โลกเปน็ ผล เหตุก็คือการก่อให้เกิดผล ผลก็คือการเปลี่ยนแปลงรูปของพลังงานซ่ึงเป็นเหตุ พลังงานของพระเจ้า นั่นเองที่เปลี่ยนแปลงรูปมาเป็นโลกน้ีพระเจ้าเป็นเหตุผลท่ีสิ้นสุดของโลก หมายความว่า สรรพส่ิงใน โลกย่อมมีเหตุผลสาหรับความมีอย่ขู องมัน กล่าวคือมสี มั พันธภาพระหว่างกัน และรวมกันเป็นเอกภาพ ซึง่ แสดงว่ามีเหตผุ ลท่สี ้ินสุดของโลก และพระเจ้านน่ั เองคอื เหตผุ ลท่ีสน้ิ สุด 4. พระเจ้าเป็นวิญญาณสมั บรู ณ์ หรืออัตตาสมั บรู ณ์ วิญญาณสมั บรู ณ์ หรอื อัตตาสัมบูรณ์นี้ สร้างโลกและวญิ ญาณท่จี ากัดจากตวั เอง แลว้ ถ่ายทอด ความรักและคุณสมบัติทางวิญญาณให้แก่วิญญาณท่ีจากัดเหล่าน้ัน วิญญาณท่ีจากัดจึงพยายามจะ กลบั ไปรวมกับวญิ ญาณสมั บรู ณ์นนั้ อกี พระเจ้าเป็นผ้นู าทางวญิ ญาณและจุดหมายปลายทางของมนุษย์ 5. พระเจ้าเปน็ ผ้คู วบคมุ จริยธรรม พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมจริยธรรม จึงเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยจริยธรรม มีความชอบธรรมสูงสุด อานวยความยตุ ธิ รรมใหแ้ ก่มนุษย์ มนุษย์ดาเนนิ ไปสู่จุดหมายปลายทางตามเสรภี าพท่พี ระเจา้ มอบให้ 6. พระเจา้ เป็นที่มาของอดุ มคติ พระเจา้ เป็นทม่ี าของความจริง ความดี ความงาม และความบริสุทธิ์ กล่าวคอื ความจรงิ เปน็ อดุ มคติของตรรกวทิ ยา ความดี เปน็ อดุ มคตขิ องจรยิ ศาสตร์ ความงาม เปน็ อดุ มคตขิ องสุนทรยี ศาสตร์ ความบริสุทธิ์ เปน็ อดุ มคติของศาสนา

134 นกั ปรชั ญาฝ่ายอเทวนยิ ม (Atheism) ฝ่ายท่ีไม่เช่ือในความมีอยู่ของพระเจ้า พวกเขาได้พยายามหาเหตุผลมาลบล้างข้อพิสูจน์ของฝ่ายเทวนิ ยม ดงั น้ี 1.การอ้างว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีสาเหตุ และสาเหตุนั้นคือพระเจ้า เป็นการอ้างที่มี ข้อบกพร่อง เพาะถ้าอ้างว่าทุกสิ่งมีสาเหตุ และข้ออ้างนี้เป็นจริง พระเจ้าก็ต้องมีสาเหตุการมีอยู่ของ พระเจ้าเช่นกัน และอะไรเป็นสาเหตใุ ห้พระเจ้ามีอยู่ ถ้าตอบว่าพระเจ้าไม่ตอ้ งมีสาเหตใุ ห้พระองคม์ ีอยู่ พระองคท์ รงเปน็ เองกข็ ดั กับการอ้างทีว่ ่าทุกส่งิ ตอ้ งมีสาเหตุ จึงเปน็ การขดั แย้งในตวั เอง 2.การอ้างว่าความเป็นไปในส่ิงต่าง ๆในจักรวาลเป็นไปอย่างมีระเบียบ แสดงถึงมีผู้วางแผน สร้างไว้อย่างดี ผู้น้ันคือพระเจ้า การอ้างเช่นน้ีบกพร่อง เพราะว่าเราไม่เคยเห็นการสร้างดวงดาวอ่ืน ๆ มาก่อน ถ้าเราเคยเห็นพระเจ้าสร้างดวงจันทร์ สร้างดาวอังคาร เราก็อาจสรุปได้ว่าโลกมีผู้สร้าง แต่ใน ความเปน็ จรงิ เราไม่เคยเหน็ พระเจ้าและไม่เคยเห็นการสรา้ งดวงดาวตา่ ง ๆ ในจกั รวาลเลย 3.การอ้างว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลก เป็นการอ้างที่ขัดแย้งกับความเป็นจริง คือสภาพ ของโลกยังมคี วามช่ัวรา้ ยท่ีมนษุ ย์ต้องประสบ ถา้ พระเจา้ รักมนษุ ยจ์ ริงกต็ ้องขจัดความชว่ั รา้ ยใหห้ มดไป จากโลกเพราะพระเจ้าเป็นผูท้ รงเดชานุภาพ แต่เมอ่ื ความช่วั รา้ ยยังมอี ยแู่ สดงว่าพระเจ้าไรค้ วามรักหรือ ความเมตตาตอ่ มนษุ ย์ 4.การอ้างว่าผู้ท่ีไม่ได้รับความยตุ ิธรรมในโลกน้ีจะได้รบั ความยุติธรรมในโลกหน้า เป็นการอ้าง ที่ไม่เพียงพอ เพราะอาจเป็นความจริงของโลกเองท่ีไม่มีความยุติธรรมต่อมนุษย์อยู่แล้ว หรืออาจ เป็นอยู่อย่างนั้น และการที่จะได้รับความยุติธรรมในโลกหน้านั้นก็ไม่รู้แน่ชัดว่าโลกหน้ามีจริงหรือไม่ หรือในความเป็นจริงหากมีความยุติธรรมและมีโลกหน้า มนุษย์ก็สามารถได้รับความยุติธรรมในโลก หนา้ ไดโ้ ดยไม่จาเปน็ ตอ้ งมีพระเจา้ 5.การพิสูจน์ทางภววิทยาที่ว่าพระเจ้ามีอยู่จากความเข้าใจ หรือความคิดเก่ียวกับพระเจ้า ไมใ่ ช่ขอ้ พสิ จู นท์ ี่ถูกต้อง ทฤษฎที างอภิปรชั ญา อภิปรัชญาตะวนั ตก (The Western Metaphysics) อภปิ รัชญากรีกยคุ แรก ธาเลส (Thales B.C. 624 – 546) [สานักไมเลตสุ (Milesian School)] - ปฐมธาตขุ องโลก (The first element) คอื น้า - นา้ คอื จิตแทรกอยใู่ นทกุ สิง่ - วัตถุเป็นส่งิ มชี วี ติ (All matter is alive)

135 อะแนกซิมานเดอร์ (Anaximander B.C. 610 – 546) [สานักไมเลตุส (Milesian School)] - ปฐมธาตุคือ อนันต์ (Infinite) ซ่ึงเป็นสารไร้รูป (Formless material) หรือคือ พลงั งาน - เดิมมนุษย์คอื ปลา อะแนกซิเมเนส (Anaximenes B.C. 595 – 528) [สานกั ไมเลตสุ (Milesian School)] - ปฐมธาตุคือ อากาศ (Air) มีพลังเคล่ือนไหวตลอดเวลา และเม่ือเคล่ือนที่ออกจาก กนั เกดิ การขยายตวั (Rarefaction) เมอ่ื เคลื่อนท่เี ขา้ หากันเกดิ อดั ตัว (Condensation) อะนาซากอรัส (Anaxagoras B.C. 500 – 428) - โลกประกอบด้วย 2 อยา่ งคือ สสารและนูส์ (Nous) - นสู ์เปน็ พลงั ธรรมชาติอยา่ งหนงึ่ ทาหน้าทจ่ี ดั ระเบยี บของจกั รวาล - นูสค์ ือจิต หรือปญั ญาหยงั่ รู้ (Intelligence) ส่งิ ตา่ งๆ มีนูส์ไมเ่ ทา่ กัน - ไม่มีความเปลยี่ นแปลงสมบูรณ์ มเี ฉพาะความเปลยี่ นแปลงสมั พทั ธ์ ไพธากอรัส (Pythagoras B.C. 582 – 507) - สัจธรรมสากลมลี กั ษณะเปน็ นามธรรมโดยจานวนเลขเป็นพ้นื ฐานของสง่ิ ทงั้ ปวง เซโนฟานสิ (Xenophanes B.C. 570 – 480) [สานักอเี ลียติก (Eleatic School)] - จักรวาลคือพระผู้เป็นเจ้า (God) และพระผเู้ ป็นเจา้ คอื จกั รวาล - พระเจา้ มีความเปน็ เอกภาพ เป็นนริ ันดร มีดวงวิญญาณอนั บริสุทธ์ิ - ความจรงิ แท้ไม่มีการเปลยี่ นแปลง การเปล่ยี นแปลงคือภาพมายา เฮลาไคลตสั (Heraclitus B.C. 540 – 470) - ปฐมธาตุของโลก (The first element) คือ การเปลี่ยนแปลง โดยมีสัญลักษณ์คือ ไฟ - ให้กาเนิดทฤษฎีอนิจจัง (Changing Theory) : ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปล่ียนแปลงไป (All is flux) พาร์มินเิ ดส (Parmenides มชี วี ติ อยู่ในราวศตวรรษท่ี 5 กอ่ น ค.ศ.) [Eleatic School] - สิ่งทเ่ี ปน็ จริงขัน้ สงู สุด ต้องมลี ักษณะเป็นนจิ จัง ไม่มีการเปลย่ี นแปลง เซโน แหง่ อเี ลีย (Zeno of Elea B.C. 490 – 430) [สานักอีเลียตกิ (Eleatic School)] - ศิษย์ของพาร์มินิเดส ใช้วิภาษวิธียกตัวอย่างลูกธนูกาลังเคลื่อนท่ีย่อมไม่ เปลยี่ นแปลงมาสนบั สนนุ พารม์ นิ ิเดส เอมพิโดเคลส (Empedocles B.C. 495 – 435) - มูลเหตุของส่ิงทั้งปวงมี 4 อย่างคือ ดิน น้า ลม ไฟ และมีพลังงาน 2 อย่างคือ การ ดงึ และการผลกั

136 - ไมม่ กี ารเกดิ ข้ึนและการสลายตวั อย่างสนิ้ เชงิ มเี ฉพาะการรวมและการแยก - การเปล่ียนแปลงคือการเรียงตัวของหน่วยย่อยในรูปใหม่ ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไร สูญ เดโมคลติ สั และลูซปิ ปัส (Democritus B.C. 460 – 360 and Leucippus B.C. 450) - ส่งิ ท้ังหลายสามารถทอนลงจนถงึ ทส่ี ดุ เปน็ อนภุ าคเล็กท่สี ดุ เรียกว่า อะตอม - ทกุ ส่งิ ลว้ นเปน็ ส่งิ สมมติข้นึ ส่งิ ทเี่ ปน็ จริงมเี พียง อะตอมและชอ่ งว่างเท่าน้ัน - มนุษย์ประกอบด้วยปรมาณวู ญิ ญาณ เม่ือตายปรมาณวู ญิ ญาณก็กระจัดกระจายไป - ลูซิปปัสกล่าวว่า “ไม่มีอะไรเกิดข้ึนโดยบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดข้ึนอย่างมี กฎเกณฑ”์ โปรตากอรัส และกอร์เกียส (Protagoras B.C. 481 – 411 and Gorgias ศตวรรษที่ 5 ก่อน ค.ศ.) - กลุ่มโซฟิสต์ มีทัศนะว่า “คนเป็นเครื่องวัดสรรพส่ิง (A man is the measure of all things)” - ความจริงเป็นลกั ษณะสัมพัทธ์กับแต่ละคน (Relative) เป็นเรื่องต่างจิตต่างใจ หรือ เปน็ อัตนยั (Subjective) - กอร์เกียสกล่าวว่า “สัจธรรมนั้นไม่มี ถ้าสัจธรรมมีอยู่จริง ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้ ถ้าสามารถรู้ได้ ก็เปน็ สงิ่ ที่ไมอ่ าจสือ่ ความหมายได้” โสคราติส (Socrates B.C. 470 – 399) - แย้งกบั กลมุ่ โซฟิสตโ์ ดยมีทศั นะว่า “คนมใิ ช่เครอื่ งวัดทุกสง่ิ ” - ส่ิงที่โสคราติสให้ความสาคัญคือการมีชิวิตที่ดี โดยตื่นจากความไม่รู้ (ignorance) และหันมาศึกษาความหมายของชีวิตและสัจธรรมเพ่ือท่ีจะเป็นหลกั ในการดาเนินชีวติ ท่านจึงกล่าววา่ “ชีวิตท่ไี มม่ กี ารพิจารณาตรวจสอบนั้นเปน็ ชวี ิตที่ไมม่ ีค่าควรแก่การดารงอยู่ (An unexamined life is not worth living)” - การทาช่ัวเกิดจากความไม่รู้ (ignorance) ในการแยกแยะส่ิงที่ดูเหมือนว่าจะดี (apparent good) กบั สง่ิ ทด่ี ี (real good) หรือส่ิงทปี่ รากฏ (appearance) กับสง่ิ ทเ่ี ปน็ จรงิ (reality) - โสคราตีสเชื่อว่าความรู้คือคุณธรรม (Knowledge is virtue) ในทานองเดียวกัน ทา่ นก็เช่อื วา่ อธรรมนัน้ คือความไมร่ ู้ (Vice is ignorance) - วิธีการของโสคราตีส (Socratic method) ในการท่ีจะทาให้คนเข้าถึงความรนู้ ั้นจะ เป็นวิธีการสนทนาแบบถกเถียงท่ีเรียกว่าวิภาษวิธี (dialectic) โดยบทบาทของโสคราตีสน้ันเป็น เหมอื นกับผทู้ าคลอดทางปญั ญา (intellectual midwifery) เพลโต (Plato B.C. 427 – 347)

137 - ประนอมทฤษฎีเร่ือง “All-Changes” ของเฮราไคลตัส และทฤษฎีเร่ือง “No- Changes” ของพาร์มินเิ ดส เข้าดว้ ยกนั - แบง่ โลกออกเปน็ 2 ชนดิ 1) โลกที่ปรากฏ หรือโลกทางผัสสะ เป็นเพียงข้อคิดเห็น (opinion) เปล่ียนแปลงง่าย 2) โลกทางเหตผุ ล หรอื โลกที่อยเู่ หนอื ประสาทสัมผสั ประกอบดว้ ยความคิด (Ideas) แบบ (Forms) หรือมโนภาพ (Concept) เป็นโลกที่แท้จริงทางภววิทยา (Ontological) เปล่ยี นแปลงไดย้ าก - ทฤษฎีแบบ (Theory of Forms / ideas) คณุ ลักษณะของแบบ - แบบเป็นสงิ่ ทม่ี อี ยอู่ ย่างปรนัย (objective) คอื เปน็ สง่ิ ท่ีมีอยจู่ ริงโดยอิสระ ไมข่ นึ้ กับสงิ่ ใด และไม่ต้องอาศัยสงิ่ ใด - แบบเป็นอุตรภาพ (transcendent) คือ เป็นส่ิงท่ีอยู่พ้นขอบข่ายของโลก หรอื ธรรมชาติ เปน็ สิง่ ท่ไี มไ่ ดม้ ีอยใู่ นกาลและอวกาศ (time and space) - แบบเปน็ สิ่งท่นี ิรันดร์ (eternal) คือ เป็นความจรงิ ที่ไม่เปล่ียนแปลง ไมส่ ูญ สลาย - แบบเป็นสิ่งท่ีรับรู้ได้ด้วยปัญญาเท่าน้ัน (intelligence) ประสาทสัมผัสไม่ สามารถทจี่ ะรู้แบบได้เพราะมันเป็นความจริงที่มลี ักษณะเป็นอุตรภาพ (transcendent realities) - แบบเป็นสงิ่ ที่เปน็ ทม่ี าหรือตน้ แบบ (archetypal) ของส่งิ ต่างๆ ทมี่ ีอยู่ - แบบเป็นสิ่งสมบูรณ์ (perfect) คือประกอบไปด้วยคุณลักษณะที่สมบูรณ์ ทัง้ หมดของส่งิ ที่มนั เปน็ แบบให้ - สาหรับเพลโต “แบบ” นน้ั จะมคี วามสัมพนั ธก์ บั สิง่ ๆ หนง่ึ ได้ใน 3 วถิ ีทาง 1) เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะของการเป็นสาเหตุ (cause) ของแก่นหรือ สารัตถะของส่งิ นั้น 2) เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะที่สิ่งๆ หนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีส่วนร่วม (participle) ในแบบนน้ั 3) เป็นการทส่ี ิ่งๆ หน่งึ นน้ั เลียนแบบ (imitate, copy) “แบบ” ของสิง่ น้นั - อุปมานิทัศนเ์ รอื่ งถ้า (Allegory of the Cave) ส่ิงท่ีเพลโตต้องการสะท้อนให้เห็นในอุปมานิทัศน์เร่ืองถ้านี้ก็คือความจริง ทวี่ ่ามนษุ ย์สว่ นใหญ่นัน้ เหมือนกับคนท่ีอยู่ในถา้ มืดนั้น พวกเขาคุ้นกบั โลกของเงา และเข้าใจผิดในเร่ือง ของความจริง คือ ถือเอาสิ่งท่ีไม่จริง (unreal) ว่าเป็นส่ิงที่จริง (real) เน่ืองจากว่ายังติดอยู่กับโลกของ เงา

138 สาหรับเพลโตแล้ว มันมีโลกอยู่ 2 โลก คือ โลกในถ้าที่มืดมิด กับโลกนอกถ้าที่สว่างไสว การ เขา้ ถึงความรู้ก็เหมอื นกบั การออกจากถ้ามืดมาสู่โลกภายนอกท่ีสวา่ งไสว การเขา้ ถึงความรู้ก็เหมือนกับ การออกจากถ้ามืดมาสโู่ ลกภายนอกที่สว่างไสว ในความคิดของเพลโต การศึกษา (education) นั้นจะ เป็นส่ิงท่ีนามนุษย์ออกจากความมืดมิดของถ้าไปสู่โลกที่สว่างไสวได้ โดยการศึกษาจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยน มนษุ ย์จากการเป็นผูท้ ่ตี ิดตอ่ อยู่ในโลกแหง่ ปรากฏการณ์ (world of appearance) ให้เข้ามาอย่กู ับโลก ของความเป็นจรงิ (world of reality) ได(้ Allegory of the Cave) (ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/อปุ มานิทศั นเ์ รอ่ื งถ้า : 2564) - อปุ มาเรือ่ งเส้นแบง่ (Metaphor of the Divided Line) เพลโตยกการเปรียบเทียบเส้นแบ่งนี้ขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าในการท่ีจะ เข้าถึงความรู้ที่แท้จริงน้ัน จิตของผู้รู้จะต้องดาเนินไปจนครบ 4 ขั้นตอนของการพัฒนาคือ จากการ จินตนาการ (imagining) ไปสู่ความเชื่อ (belief) การคิด (Thinking) และความรู้ (knowledge) ซ่ึงก็ เป็นการเคลื่อนจากโลกแห่งผัสสะไปสู่โลกแห่งความคิด หรือจากโลกแห่งปรากฏการณ์ไปสู่โลกแห่ง ปัญญา(Metaphor of the Divided Line)ทีม่ า: ลกั ษณวตั ปาละรัตน์, 2561: 36) เพลโตเห็นว่าในระดับล่างสุดซึ่งเป็นการจินตนาการ (imagining) นั้นก็เหมือนกับเงาในแง่ที่มี ส่วนของความเป็นจริงอยู่บ้าง แต่การรู้ในระดับน้ีเราไม่ได้ตระหนักรู้ว่าส่ิงท่ีเราเห็นน้ันเป็นเพียงเงา สาหรับระดับต่อไปคือความเชื่อ (belief) เพลโตเหน็ ว่าแม้มนั จะมีพืน้ ฐานอยู่บนความเปน็ จริงในระดับ ท่ีสูงกว่าและมีความเป็นจริง (reality) ปรากฏอยู่มากกว่าการจินตนาการ แต่มันก็ยังเป็นเพียงความ คิดเห็น (opinion) เพราะโดยตัวของมันเองแล้วก็ไม่สามารถที่จะให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับส่ิง น้ันๆ ได้โดยทั้งหมด แต่เมื่อการรู้ของเราเคล่ือนจากระดับของความเช่ือไปสู่ระดับของเหตุผลหรือการ คิด (Thinking) เราจะเคลื่อนจากโลกท่ีเราเห็น (visible world) ไปสู่โลกแห่งปัญญา (intelligible world) เป็นการเคล่ือนจากแดนของความเหน็ (opinion) ไปยังแดนของความรู้ (knowledge) ในขั้น น้ีการทางานของจิตจะเป็นไปในทานองเดียวกับนักคณิตศาสตร์ คือ เป็นการคิดในลักษณะที่เป็น นามธรรมซ่ึงทาให้ได้มาซ่ึงลักษณะร่วมของส่ิงต่างๆ (abstraction) โดยท่ีเมื่อนักคณิตศาสตร์เห็นรูป สามเหล่ียม เขาจะคิดถึงความเป็นรูปสามเหล่ียม (triangularity) โดยสามเหลี่ยมนั้นจะไม่ใช่รูป สามเหล่ียมท่ีเรามองเห็น แต่เป็นรูปสามเหลี่ยมท่ีอยู่ในความคิด เขาไม่ได้คิดถึงสามเหล่ียมท่ีเป็นสิ่ง เฉพาะ แต่คิดถึงสามเหลี่ยมที่เป็นสากล (The triangle) สาหรับเพลโต การคิด (thinking) น้ันเป็น ความสามารถของจิตในการดึงเอาคุณสมบัติท่ีเหมือนกันของส่ิงที่อยู่ภายใต้ประเภทเดียวกันจากสิ่งที่ มองเห็น (visible objects) เช่นคิดถึงแบบของ “สามเหลี่ยม” คิดถึงแบบของ “คน” โดยการคิดนี้ สามารถท่ีจะให้ความรู้เกี่ยวกับความจริงแก่เราได้ แต่มันก็ยังคงเป็นความรู้ท่ีมีข้อจากัดคือความจริง ต่างๆ ยงั อย่แู ยกจากกนั เรายงั ไมม่ คี วามรู้เกย่ี วกบั ความสัมพนั ธข์ องความจริงตา่ งๆ เหลา่ น้นั

139 แต่สาหรับการรู้ในข้ันที่เป็นความรู้ท่ีสมบูรณ์ (perfect knowledge) น้ัน จิตจะสามารถรู้ ความสัมพันธ์ของความจริงของส่ิงต่างๆ เหล่าน้ันในลักษณะของการเห็นเอกภาพของความเป็นจริง ทั้งหลาย โดยในการรู้ขั้นน้ีจิตจะเป็นอิสระจากส่ิงที่เรารับรู้ทางประสาทสัมผัส (sensible objects) โดยจิตจะเข้าถึง “แบบ” (Forms) ของส่ิงต่างๆ โดยตรง เช่น เข้าถึงแบบของ “สามเหล่ียม” เข้าถึง แบบของ “คน” การรู้ท่ีสมบูรณ์ตามทรรศนะของเพลโตจงึ เป็นการรู้ในข้ันทจ่ี ิตสามารถท่ีจะสรุปความ เป็นจริงและเข้าถงึ ความเปน็ เอกภาพของความรู้ได้ - บทบาทของการศกึ ษา ในส่วนของการศึกษาน้นั เพลโตไม่ได้มองวา่ เป็นการให้ความรู้ หรือใส่ความรทู้ ่ีเราไม่ เคยมีลงไปในตัวเรา เพราะมันจะเป็นส่ิงท่ีเป็นไปไม่ได้ในทานองเดียวกันกับท่ีเราไม่สามารถทาให้ตาท่ี มืดบอดนั้นเห็นภาพได้ เน่ืองจากในการเห็นภาพน้ันจาเป็นจะต้องมีดวงตาท่ีสามารถจะเห็นได้ อีกท้ัง ยังต้องมีการมองไปในทิศทางที่ถูกต้องด้วย เหมือนกับในอุปมานิทัศน์เร่ืองถ้าที่นักโทษท่ีถูกจองจานั้น จะเห็นส่ิงที่เป็นจริงที่เป็นที่มีของภาพบนผนังถ้าได้ก็ต่อเม่ือพวกเขาหันหน้าไปในทิศทางท่ีตรงกันข้าม คอื หันหนา้ ไปขา้ งหลังและมองขึ้นไปทางปากถ้าเท่าน้ัน สาหรับเพลโต การศึกษาเปน็ ส่ิงท่ที าให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงไปในทางตรงกันข้าม (conversion) คือเปลี่ยนจากสภาพของการตกอยู่ในความมืดหรือ โลกมืดไปสู่โลกที่สว่างไสว หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนจากการมองหรือตกอยู่ในโลกแห่ง ปรากฏการณ์ (world of appearance) ให้เป็นการมองหรืออยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง (world of reality) โดยส่ิงต่างๆ ท่ีอยู่ในโลกแห่งปรากฏการณ์ซึ่งเป็นการเลียนแบบ “แบบ” ของมันท่ีอยู่ในโลก ของแบบน้ันจะมีสว่ นชว่ ยกระตุ้นใหเ้ ราสามารถท่ีจะระลึกถึง “แบบ” ตา่ งๆ ซึ่งเปน็ ต้นแบบของมันได้ ทฤษฎีแบบของเพลโตน้ันมีพ้ืนฐานอยู่บนความคิดทางอภิปรัชญาของเขาที่ว่าความจริงสูงสุด น้ันมีลักษณะเป็นจิต (nonmaterial) และแบบ (Forms) ซ่ึงเป็นความจริงแท้ (true reality) ซ่ึงเป็น ตน้ แบบหรอื สารตั ถะของสงิ่ ต่างๆ ในโลกน้ันเปน็ สงิ่ ท่มี ีอยู่จรงิ ในโลกของความคิด ปรชั ญาของเพลโตจึง เป็นจิตนิยม (idealism) ตามแนวคิดนี้ ความรู้ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงหรือส่ิงท่ีปรากฏ แต่เป็นการเข้าถึง “แบบ” ท่ีเป็นส่ิงที่ไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นนิรันดร์ ความรู้จึงเป็นส่ิงสัมบูรณ์ และ เน่ืองจากความรู้นั้นมีพ้ืนฐานอยู่บน “แบบ” ซึ่งเป็นส่ิงที่จริงอย่างท่ีสุด ความรู้จึงเป็นสิ่งท่ีไม่อาจ ผิดพลาดได้ (infallible) อริสโตเตลิ (Aristotle B.C. 384 – 322) - สง่ิ ตา่ งๆ ในโลกเป็นการรวมกันของแบบ (Form) กบั สสาร (matter) - ทฤษฎีศักยภาพของอริสโตเติล (Theory of Potentiality) กล่าวว่า “ภาวะแห่ง อดุ มคติทุกชนิดนั้น มีรากฐานมาจากภาวะอันแท้จริงท่ีเป็นธรรมชาติของมัน ทกุ สง่ิ ในธรรมชาติ จะต้อง เผชญิ ไปสสู่ ภาวะแห่งอุดมคตขิ องมนั ท้งั ส้นิ ”

140 - ทฤษฎีเหตุปฐมภูมิ (Theory of the First Cause) สิ่งที่เป็นเหตุ (Causation) (ยกตัวอยา่ งการอธบิ ายเกา้ อ้ตี ัวหน่ึง) มี 4 ชนดิ คอื 1) สาเหตทุ างวตั ถุ (Material cause) ของเก้าอนี้ น้ั กค็ อื ไม้ 2) สาเหตุทางประสิทธิภาพ (The Efficient cause) ก็คือการเคล่ือนไหว ของแขน มือ และเคร่ืองมือช่างไม้ ในวิถีทางอันแน่นอน ซ่ึงนาไปสู่ความสาเร็จตามมโนภาพในสมอง ของตน 3) สาเหตทุ างแบบ (Formal cause) คอื มโนภาพ (concept) กค็ อื ความคิด ในสมองของช่างไม้ 4) สาเหตุสุดท้าย (Final cause) คือจุดหมาย หรือจุดประสงค์ หรือคือประโยชน์ที่ ไดร้ บั จากการใช้เก้าอี้ - อริสโตเติลเชื่อในเร่อื งของ “แบบ” (Form) และเหน็ ดว้ ยกบั เพลโตในประเด็นทว่ี ่าความรู้นั้น เป็นการรู้เกย่ี วกับ “แบบ” (Form) หรือส่ิงสากล (the Universal) แตใ่ นขณะที่เพลโตเห็นว่า “แบบ” นั้นอยู่ในโลกของแบบซึ่งเป็นโลกแห่งความคิด (transcendent Forms) อริสโตเติลกลับเห็นว่า “แบบ” เป็นส่ิงที่ปรากฏอยู่ในส่ิงเฉพาะในโลกแห่งปรากฏการณ์หรือโลกผัสสะของเรานี้เอง (immanent Forms) ในความคิดของอริสโตเติล “แบบ” จะเป็นสาเหตุของส่ิงต่างๆ ได้ต่อเม่ือ “แบบ” เป็นสิ่งท่ีปรากฏอยู่ในส่ิงน้ัน โดยเขาเห็นว่ามันไม่มี “ความเป็นโต๊ะ” (tableness) อยู่ลอยๆ ในทานองเดียวกันกับท่ีมันไม่มีสสารที่ไร้รูปแบบ (formless matter) ส่ิงต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกของเราน้ี เป็นการรวมตัวกันของ “แบบ” (Form) กับสสาร (matter) ดังน้ันตามแนวคิดเช่นน้ีก็จะไม่มีรูปโดยท่ี ไม่มีสสาร และก็ไม่มีสสารโดยไม่มีรูป (No form without matter, no matter without form) ซึ่ง เปน็ ทรรศนะแบบท่ีเรยี กว่า สสารรปู นยิ ม (hylomorphism) - สาหรับอริสโตเติล สิ่งสากล (the Universal) นั้นมีอยู่ในส่ิงเฉพาะ (the Particular) ดังนน้ั การรสู้ ิง่ เฉพาะก็คือการรู้สิ่งสากลท่ีมีอยู่ในส่ิงเฉพาะ โดยในการรู้นั้น จิตของเราจะเข้าถึง “แบบ” หรอื ความเปน็ สากลทม่ี อี ยใู่ นสิ่งเฉพาะนั้นๆ เมื่อปรัชญาของพลาโตและอริสโตเติลสูญส้ินคุณค่าที่จะดึงดูดความสนใจของประชาชน ระบบ จริยธรรมและอุดมคติที่ให้อิทธิพลและอานาจมาจากรัฐในอุดมคตินั้นมันพังทลายสิ้นไป ในเมื่อรัฐท่ีมี อยู่ในความเป็นจริงน้ันมีแต่ความเน่าเฟะ จนถึงแก่นราก ปรัชญาวัฒนธรรมผสมของกรีกน้ัน เป็น ปรัชญาท่ีแสดงถงึ การยอมรบั ความพา่ ยแพ้ ผิดหวงั มแี ตค่ วามเลื่อนลอย เพ่อื แสวงหาความสุขสงบแห่ง ใหม่ ปฏิกิริยาทางความคิด แสดงออกในรปู ลักษณะ 2 ประการ 1) เหตุผลนิยม (Rationalism) ปฏิเสธการยึดถือภาวะท่ีเหนือธรรมชาติ และเหนือ ประสบการณ์ แต่สอนเรื่องวิญญาณแห่งความสงบ จิตใจอันสงบ การควบคุมจิตใจ การอดกลั้นต่อสิ่ง

141 เลวร้ายที่สุดท่ีบังเกิดแกช่ ีวิตมนษุ ย์ คาสอนลกั ษณะนคี้ อื คาสอนแบบ วิเวกธรรมนยิ ม (Epecureanism) และแบบ สมถนยิ ม (Stoicism) 2) ปรัชญาของเพลโต ในแบบของการคาดคะเนน้ัน ได้วิวัฒนาการไปในทางที่แปลก คือ การผสมผสานกับลัทธิความเชื่อถืออันงมงาย และเทพนิยายต่างๆ อันเป็นลักษณะของปรัชญาท่ี เหมาะกับบุคคลที่มีจิตใจอ่อนแอ ดังน้ัน ปรัชญาของเพลโตเดิม จึงได้กลายมาเป็นปรัชญาที่เช่ือในส่ิง เร้นนลับ กลายเป็นปรัชญาผสมผสานท่ีปราศจากเหตุผล ปรัชญาในแนวที่เรียกว่า ปรัชญาเพลโตใหม่ (Neo-Platonism) เอปิคิวรัส และลูเครทิอัส (Epecurus B.C. 300 and Lucretius B.C. 98 - 54) [สานักเอปิ คิวเรียน] - มีความเห็นขัดแย่งกับศาสนา เพราะเขาต้องการท่ีจะปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจาก การถกู กาหนดชะตา และจากอานาจของเทพเจ้าทั้งปวง ซึ่งถอื กนั วา่ เปน็ สง่ิ ท่ีมีอานาจเหนอื ธรรมชาติที่ เขา้ มาย่งุ เกี่ยวกับมนษุ ย์ ซีโน (Zeno B.C. 340 – 265) [สานกั สโตอคิ ส์ นกั สมถนยิ ม] - เป็นประเภทสรรพเทวนิยม (Pan-Theism) ถือว่าพระเจ้าคือเหตุผลท่ีแทรกอยู่ใน สรรพส่ิงทง้ั ปวง - มนุษย์เป็นพี่น้องกันเพราะตา่ งกเ็ ปน็ บุตรของพระเจา้ โปลตินสั (Plotinus ค.ศ. 204 – 270) [กลุ่มพลาโตใหม่] - การเข้าร่วมพิธีการอันลึกลับ ซ่ึงเป็นพิธีการท่ีจะทาให้ได้รู้ความจริงอันศักด์ิสิทธ์ิว่า มนุษยก์ บั พระเจ้าเปน็ ส่ิงเดยี วกนั หลังจากท่ีปรัชญาเพลโตใหม่น้ีเสื่อมลง ต่อมาในคริสตวรรษที่ 5 โปรคลัส (Ploclus) แห่งกรุงเอเธนส์ได้มาฟ้ืนฟูใหม่อยู่ระยะหน่ึง พระเจ้าจักรพรรดิจัสติเนียน (Emperor Justinian) ทรง สง่ั ปิดสานกั ศกึ ษาปรชั ญานอกครสิ ตศาสนาเสียทง้ั หมดในปี ค.ศ. 429 อภปิ รัชญายคุ กลาง (Medieval Metaphysics) นกั บุญออกัสตนิ (St. Augustine ค.ศ. 345 – 430) - นาเอาปรัชญากลมุ่ พลาโตใหม่ท่ีขยายความโดยโพลตินัส เข้ามาผสมผสานกับคริสต์ ศาสนา - พระเจา้ เปน็ จิต ไมใ่ ชส่ สาร เปน็ สงิ่ ทีม่ อี ยใู่ นสถานท่ที กุ แห่ง ในโลก จักรวาลทงั้ มวล - พระเจ้าเป็นนิรันดร ไม่มีการเสื่อม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นภาวะสูงสุด หรือองค์ สมบูรณ์ (absolute goodness) นักบญุ อไควนัส (St. Aquinas ค.ศ. 1225 – 1274)

142 - ได้รับอิทธิพลความคิดจากอริสโตเติล ได้ย้าถึงความสาคัญเร่ืองการรับรู้โดยอาศัย ประสาทสัมผัส น้ันเป็นการเตรียมทางเพื่อเปล่ียนปรัชญาของเพลโต ไปสู่การสังเกตทางวิทยาศาสตร์ และเป็นการสนับสนุนทฤษฎีแหง่ ความรทู้ ี่ยืนยันวา่ “ไม่มีอะไร ในจิตใจ ที่จะไม่ผ่านประสาทสัมผัสมา กอ่ น” (There is nothing in the mind which was not first in the sense) - พระเจา้ มลี ักษณะเป็นสากล (Universal) เปน็ แบบ (Form) เป็นส่งิ สมบรู ณเ์ ดด็ ขาด (absolutely perfect) อภปิ รัชญายคุ ใหม่ (The Modern Metaphysics) เรอเน เดสการต์ (Rene Descartes ค.ศ. 1594 – 1650) - เปน็ บดิ าแหง่ ปรชั ญาสมยั ใหม่ (Modern Philosophy) - เป็นผ้สู รปุ “ขา้ พเจา้ คิด ขา้ พเจา้ จงึ มีอยู่” (I think, therefore I am) - ความคิด 3 ประเภท 1) ความคิดท่ีได้จากภายนอก (Adventitious Idea) เป็นความคิดที่ได้จากประสาท สัมผสั 2) ความคิดท่ีจิตสร้างขึ้นมา ( Factitious Idea) เป็นจินตนาการ บวกกับ ประสบการณ์ 3) ความคิดทตี่ ดิ ตวั มาแตก่ าเนิด (Innate Idea) เปน็ แบบทส่ี มบรู ณ์ เพราะพระผูเ้ ป็น เจา้ ปลูกฝังตัง้ แตก่ าเนิด - มนุษย์ประกอบจากสาร (substance) คือสิ่งท่ีมีอยู่โดยอิสระจากพระเจ้า แบ่ง ออกเป็น 2 ชนดิ คือ 1) กาย (material substance) มีคณุ ลกั ษณะท่สี าคัญคอื การกินที่ (extension) 2) จติ (mental substance) มีคณุ ลกั ษณะทสี่ าคญั คือเปน็ ความคดิ (thought) - พระเจา้ เปน็ ผู้สร้างโลก โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes ค.ศ. 1588 – 1679) - เป็นบิดาแห่งลัทธิจักรกลนิยม จากแนวความคิดโลกและชีวิตเป็นขบวนการ เคล่อื นไหวอยา่ งกลไกตามหลกั กลศาสตร์ - จักรวาลเป็นขบวนการฟิสิกส์ ประกอบด้วยสสาร และพลังงาน ไม่มีวัตถุประสงค์ ไมม่ ีจดุ จบ - ชีวิตและจติ เป็นผลจากพลงั ธรรมชาติ - พระเจ้าในความหมายท่ีเป็นสิ่งที่ไร้ตัวตน “ไม่อาจจะเข้าใจได้” น่ันคือไร้ ความหมาย หรอื ไร้สาระ สปโิ นซา (Spinoza ค.ศ. 1632 – 1677)

143 - เชื่อเดส์คาร์ตในเร่ือง innate idea ไม่เห็นด้วยกับเดส์คาร์ตในการพิสูจน์การมีอยู่ ของพระเจา้ โดยเริม่ จากความคดิ กับการมีอยขู่ องตวั เขา โดยสปิโนซาเช่ือว่าพระเจ้าเป็นสง่ิ ที่มอี ยู่ก่อน - พระเจา้ กบั จกั รวาลและธรรมชาตคิ อื สิ่งเดียวกนั และเป็นสิ่งที่เป็นอนันต์ (infinite) - พระเจ้าเป็นสาระ (substance) ที่ดารงอยู่ได้เองโดยอิสระโดยมีคุณลักษณะท่ี จาเปน็ (attributes) เรยี กว่า Natura naturans เปน็ ลกั ษณะของพระเจา้ ทแี่ สดงออกถึงธรรมชาติของ สารัตถะส่วนภายใน (substance) คือแปรเปลี่ยนไปจากรูปเดิม (mode) ของความคิด (thought) และการกนิ ที่ (extension) เรยี กสง่ิ ที่เกดิ ขึ้นตามมาว่า Natura naturata - มนุษย์ประกอบด้วยกาย (body) และจิต (mind) เป็นไปตามทฤษฎีลักษณะควบคู่ (Double aspect theory) คือเป็นส่ิงเดยี วกนั ต่างบทบาททแ่ี ยกจากกันไม่ได้ จอห์น ลอ๊ ค (John Locke ค.ศ. 1632 – 1704) - จิตมนุษย์ตั้งแต่แรกเกิดนั้นว่างเปล่า และเป็นเหมือนกระดาษเปล่าหรือผ้าขาว (tabula rasa) - สาร (substance) คอื สาเหตุของคุณภาพ บทบาท และอานาจมีอยู่ 2 ประการคอื 1. วตั ถสุ าร (material substance) มีคณุ สมบัติคือการกนิ ท่ี วัตถุสารเปน็ กรรมภาวะ (passive) 2. จิตสาร (spiritual substance) มีคุณสมบัติคือการคิด มีอานาจในการรับรู้ มีการ ทางาน 2 ข้ันตอนคือ กรรมภาวะ(passive) หรือจิตอยู่เฉยๆ เป็นการรับข้อมูลผ่านผัสสะ และกรรตุ ภาวะ (active) หรือจิตเร่ิมทาหน้าที่จากการรับรู้ส่ิงท่ีมีอยู่ในตนเองของสาร (a thing in itself) เช่น คณุ ภาพของสารเป็นมโนภาพ (idea) เกิดการคิดไตรต่ รอง - แหลง่ กาเนดิ ของความคิด (Origin of idea) มอี ยู่ 2 ประการคือ 1. ผัสสะ (sensation) คือการสัมผัสกับคุณสมบัตวิ ัตถุ 2 ระดบั คือ 1.1 คุณสมบัติขั้นปฐมภูมิ (primary quality) ซ่ึงมีอยู่ประจาวัตถุ ไม่ขึ้นกับ ประสาทสมั ผัส เชน่ การกนิ ท่ี การเคลือ่ นไหว เป็นตน้ 1.2 คุณสมบัติขั้นทุติยภูมิ (secondary quality) ซ่ึงขึ้นอยู่กับการรับรู้ท่ี เปล่ียนแปลงไป เช่น สี เสียง กลนิ่ รส เป็นต้น 2. การคิดไตร่ตรอง (reflection) - สิ่งทีเกิดจากการทางานของจิตคือ อัญรูป (mode) คือ รูปแบบในความคิด ทาให้ ทราบมโนภาพ (idea) ได้ อัญรปู มี 2 ชนดิ คือ 1. อัญรูปเชิงเดี่ยว (simple mode) คือการผสมมโนภาพแบบเดียวกันไว้ ดว้ ยกันเชน่ โหล (12 ชน้ิ )

144 2. อัญรูปเชิงผสม (mixed mode) คือการนาอัญรูปเชิงเดี่ยวที่ต่างกันมา รวมกนั เช่นกินนร (มโนภาพคน ผสมกบั มโนภาพของนก) - พระเจา้ เป็นจิตสาร หรอื วญิ ญาณทบ่ี รสิ ุทธิ์ (pure spirit) เปน็ กรรตภุ าวะ (active) - สิ่งท่ีอยู่ในตนเองของสารน้ันมีเพียงคุณภาพอย่างเดียวเท่านั้นหรือไม่? (qualities alone exist) หรือเป็นอไญยนยิ ม? (Metaphysical Agnosticism) ยอร์จ เบอร์คเล่ย์ (George Berkeley ค.ศ. 1685 - 1753) - สสารคือกลุ่มของคุณภาพที่รวมเข้าด้วยกัน ซึ่งคุณภาพท้ังปฐมภูมิและทุติยภูมิเป็น เพยี งความคดิ ท่ีจิตสรา้ งข้นึ - ความมีอยู่ จะต้องรับรู้ได้ (To be is to be perceived) สสารเป็นวัตถุแห่ง ประสาทสมั ผัส ไมม่ คี วามแทจ้ ริงโดยปราศจากการรบั รู้ - ทุกส่ิงคือจิตและความคิดที่เป็นอัตนัย (subjective) คือต่างคนต่างรับรู้ต่างกัน ซ่ึง เป็นจติ นิยมแบบสดุ ขั้ว (extreme idealist) ซ่งึ นาไปสกู่ ารเปน็ เอกตั ถนยิ ม (Solipism) - จติ แบง่ ออกเป็น 2 สว่ นคอื 1. จิตของพระเจ้า (Divine mind) หรือบรมจิต (Supreme mind) เป็น ความจรงิ สงู สุด ไร้ขอบเขต 2. จิตมนุษย์ เป็นจิตสาร (spiritual substance) แบบเดียวกับจิตพระเจ้า แตม่ ขี อบเขตจากดั ซึ่งพระองค์ถ่ายทอดให้ มีความสามารถ 2 ประการคอื 2.1 มีความเข้าใจ (Understanding) 2.2 มเี จตนารมณ์ (Will) มีอานาจเหนือความคดิ - มโนภาพ หรือความคิด (idea) ที่เกิดขึ้นในจิตต้องอาศัยส่วนประกอบสาคัญ 3 ประการคอื 1. จิต (mind) 2. เจตภูติ (spirit) มาจากพระเจา้ 3. วญิ ญาณ (soul) หรอื ตนเอง (myself) เดวิด ฮวิ ส์ (David Hume ค.ศ. 1771 – 1776) - ความรู้สึกจากประสบการณ์เกิดเป็นรอยประทับ (impression) ทาให้เกิดความคดิ โดยรอยประทบั แตกต่างจากความคิดในระดับของพลังความชัดเจนมีชีวติ ชีวา (vivacity) - เราไม่สามารถรู้ถึงต้นกาเนิดของรอยประทับ และไม่สามารถรู้ถึงสาเหตุท่ีอยู่ เบ้ืองหลงั รอยประทบั ไกลเกนิ กวา่ ประสบการณ์ได้ - พระเจา้ ไมม่ อี ยู่จริงหรือไมก่ เ็ ป็นสิ่งที่ไกลเกินกวา่ ความรูข้ องมนษุ ย์ ไลบน์ ิซ (Leibniz ค.ศ. 1649 – 1716)

145 - ส่ิงแท้จริงมีลักษณะเป็น โมนาด (Monads) มีลักษณะเป็นจิตคล้ายอะตอมของ วิญญาณ มีจานวนเป็นอนันต์ เป็นสิ่งท่ีเป็นอิสระต่อกัน (independent) และไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน (interaction) - โมนาด เป็นหน่วยท่ีเล็กท่ีสุด ไม่สามารถแบ่งแยกได้อีก (indivisible) เป็นสิ่งที่เป็น นิรันดร (eternal) ทาลายไม่ได้ (indestructible) ไม่กินที่ (unextended) ไม่มีขนาด (size) ไม่มี รูปรา่ ง (shape) - โมนาดมีหลายระดับซ่ึงแทบไม่มีความสามารถในการรับรู้เช่นโมนาดของวัตถุ พืช สัตว์ ไปจนถึงรบั ร้ไู ดอ้ ยา่ งชัดเจนและแจม่ แจง้ โดยระดับสูงสดุ คอื โมนาดพระเจ้า - เมื่อโมนาดทั้งหลายมารวมกันเปน็ สงิ่ ท่เี ป็นสว่ นประกอบ (composites) มี Queen monad ทาหน้าท่ีควบคุมให้แต่ละโมนาดทาหน้าท่ีของตนไปโดยไม่มีการเกี่ยวข้องก้าวก่ายกัน แต่มี ความสมั พนั ธ์กันและสอดคล้องกันตามกฎเกณฑ์ตา่ งๆ อยา่ งดที ่สี ุด ทาให้เกดิ ความกลมกลนื กนั ไว้ก่อน แลว้ ล่วงหนา้ (Preestablished Harmony) ทรรศนะของฝ่ายเหตผุ ลนยิ มคอื เดสการ์ต สปโิ นซา และไลบน์ ิซเห็นพอ้ งต้องกันอยู่ 2 สงิ่ คือ 1. พระเจ้าผูเ้ ป็นสิ่งสัมบรู ณ์ (absolute) สร้างสรรพส่ิงในจักรวาล 2. สิ่งเป็นจริง มีอยู่จริง หรือสัตตะ (being) อยู่เหนือผัสสะ วิธีการเดียวท่ีจะเข้าถึง ความเป็นจริงได้คือ การคิดท่ีอาศัยเหตุผลบริสุทธ์ิ โดยวิธีการนิรนัยทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Deduction) อิมมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant ค.ศ. 1724 – 1804) - มนษุ ยเ์ ป็นสตั ว์ 2 โลกคอื 1. โลกแห่งผัสสะ หรือโลกแห่งวิสยั ข้ึนกบั กฎเกณฑข์ องปรากฏการณ์ 2. โลกแห่งวุฒิปัญญา หรือโลกของเหตุผล อิสระจากปรากฏการณ์ แต่ ขนึ้ กบั หลักเกณฑใ์ นภาคปฏิบัติ หลักขัน้ พืน้ ฐานคือศีลธรรม - สงิ่ แท้จริงคือ นเู มนา (Noumena) หมายถงึ ความเปน็ จรงิ ทอ่ี ยู่เหนอื เหตุผลสามัญ - นูเมนา เป็นส่ิงที่เป็นจริงในตัวเอง (things in themselves) มนุษย์ไม่สามารถรู้ได้ แต่สามารถคดิ ถึงไดผ้ ่านโครงสรา้ งสมอง (from of sensibility) ผา่ นอวกาศ (space) และเวลา (time) - การรับรู้ส่ิงแท้จริงเป็นเพียงรับรู้ตามโครงสร้างสมองน่ันคือรับรู้ได้เฉพาะ ปรากฏการณ์ (phenomena) - การคิดหาเหตผุ ล 3 ระดบั 1) การคดิ หาเหตุผลเรื่องวิญญาณ (Soul) ซง่ึ ซ่อนตวั อยู่เบ้ืองหลังพฤติกรรม ต่างๆ เป็นบอ่ เกิดจองวิชาจิตวิทยา

146 2) การคิดเหตุผลเร่ืองโลก ในฐานะไม่มีขอบเขต ไม่ส้ินสุด สัมพันธ์เป็นอัน เดยี วกัน เป็นบ่อเกดิ วชิ าเอกภพวทิ ยา 3) การคิดหาเหตุผลเร่ืองปฐมเหตุ (God) ของโลกวัตถุและโลกจิต ซึ่งปฐม เหตุนัน้ ไดแ้ ก่พระเจ้า เป็นบ่อเกดิ วชิ าเทววทิ ยา เฮเกล (Hegel ค.ศ. 1770 – 1831) - สิ่งท่ีเป็นความจริงจะต้องมีลักษณะสมบูรณ์ท่ัวด้าน ที่เรียกว่า จิตสัมบูรณ์ (absolute spirit) - ส่ิงสัมบูรณ์คือส่ิงทีดารงอยู่ได้ด้วยตนเอง เป็นบ่อเกิดของสิ่งท้ังปวง และส่ิงท้ังปวง ตอ้ งข้ึนตน้ กับส่ิงสัมบูรณ์ - สิ่งสัมบูรณ์เป็นมีลักษณะเป็นจิต (spirit) ซึ่งตรงกับเนื้อสารของสปิโนซา และใน ภาคท่ีแสดงออกเปน็ ความคิด และตรงกบั อตั ตาหรอื จติ ท่ีพ้นไปจากปรากฏการณข์ องคานท์ - กระบวนการแห่งการเปลี่ยนผ่านจากการขัดกันระหว่างสภาวะพ้ืนฐาน (Thesis) และสภาวะขดั แย้ง (anti-thesis) ไปสสู่ ิง่ ใหม่เรยี กว่าสภาวะสังเคราะห์ (synthesis) ซึ่งสามารถรวมส่ิง เก่าที่ขดั กนั น้นั ไว้เปน็ สภาวะเดียวกัน (a united whole) เรยี กกระบวนการนว้ี ่าวิภาษวธิ ี (Dialectical Method) (Hegel’s Dialectical method) (ท่ีมา: http://fastfishandloosefish.blogspot.com/2010/11/dialectical-materialism.html: 2564) - ภาพประจักษ์ (Actuality) เป็นสภาวะสังเคราะห์ระหว่างพลังงานแฝง (Potentiality) กับการแสดงตวั (Manifestation) คาร์ล มารก์ (Karl Marx ค.ศ. 1818 – 1889) - ไมเ่ ห็นด้วยกับเฮเกลที่ว่าความจรงิ มแี ต่จิตสมั บูรณ์ (absolute mind) - ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากฟอยเออบัคที่ว่า วัตถุเป็นเครื่องบังคับจิต มิใช่จิตทา ใหเ้ กดิ วัตถุ - ความคิดของมาร์กจัดเป็นฝ่ายสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ ซ่ึงมีเป้าหมายสูงสุดคือ การเขา้ ส่สู ภาวะแท้จรงิ โดยหมดความขดั แยง้ ระหว่างเจา้ ของปัจจัยการผลิต และผูใ้ ชแ้ รงงาน อภิปรัชญาสมยั ปจั จบุ นั (Contemporary Metaphysics) ปรัชญาอตั ถิภาวนยิ ม (Existentialism) ลักษณะทวั่ ไปของนักปรชั ญาอตั ถภิ าวนิยม

147 1. ปรัชญาอัตถิภาวะนิยม ไม่ได้มุ่งสร้างระบบอภิปรัชญา แต่สร้างความคิดท่ีเป็น ปรัชญา และใช้วิธีการทางจิตวิทยา ลัทธิอัตถิภาวนิยมนั้น สะท้อนให้เห็นประสบการณ์ของนกั ปรัชญา แต่ละคนอย่างลึกซึ้ง ที่พยายามจะวิเคราะห์ความทุกข์ ความหมดหวังและความไม่แน่นอนเป็นต้น พร้อมทั้งอธิบายความหมายของสิ่งเหล่านั้น 2. ปรัชญาอัตถิภาวะนิยมเน้นหนักในด้านตัวบุคคล และประสบการณ์ของบุคลล ใน ชีวิต ในโลกและในสังคม นักปรัชญาพวกนี้บางคนเช่อื ถือลัทธิเทวนิยม คือยอมรับว่ามีพระเจ้า บางคน เป็นอเทวนิยม แต่ผู้ที่เชื่อในเทวนิยมดังกล่าว ก็ไม่ได้เน้นท่ีพระผู้เป็นเจ้า แต่ไปเน้นท่ีบุคคลผู้รู้พระผู้ เป็นเจ้า ปรชั ญาอัตถภิ าวนยิ มไม่ได้สืบคน้ ธรรมชาติดั้งเดมิ ของโลก (แบบอภปิ รัชญา) แตพ่ ยายามค้นหา ความหมายจากโลก วิวัฒนาการของโลก และการที่บุคคลแสดงปฏิกิริยาต่อโลกและสังคม วิธีการ เข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าของพวกเทวนิยมนั้น ก็แตกต่างจากหลักการทางเทววิทยา คือถือว่าทุกคนมี เสรีภาพทจี่ ะแสดงหาการเข้าถงึ พระผเู้ ปน็ เจ้าดว้ ยตัวเอง 3. ปรัชญาอัตถิภาวนิยมถือว่ามนุษย์นั้นเป็นความแท้จริงทางจิตวิสัย (Subjective) กล่าวคอื จิตมนษุ ย์น้ันสาคญั กว่าร่างกาย จิตอาศยั รา่ งกายเป็นเครื่องมือสะสมประสบการณต์ ่างๆ เพื่อ มุง่ ตรงไปสูจ่ ุดหมาย ปรชั ญาอัตถภิ าวนยิ มถอื ว่า จติ ตา่ งหากเป็นสง่ิ แท้จรงิ ไมใ่ ชส่ สาร 4. ปรัชญาอัตถิภาวนิยมเกิดมาจากแรงผลักดันทางศีลธรรม และอาศัยความเชื่อมั่น ในทางจริยศาสตร์ ความเชื่อม่ันว่าบุคคลมีอยู่จริง เช่ือม่ันว่าบุคคลมีคุณค่า คุณค่าท่ีสาคัญคือคุณค่า ทางจริยศาสตร์ ได้แก่ความดี ปรัชญาอัตถิภาวนิยมถือว่า ปัจจุบันน้ีเป็นยุคแห่งปัจเจกชน เป็นยุคท่ี ยอบรบั ความสาคัญของปัจเจกชน ไมใ่ ช่ยอมรับจารีตประเพณีอยา่ งเดยี ว 5. ปรัชญาอัตถิภาวนิยมเน้นเสรีภาพของบุคคล นักปรัชญาลัทธินี้ไม่ได้ถือว่าร่างกาย โลก สังคม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เป็นตัวกาหนดความมีอยู่ของบุคคล แต่ถือว่าบุคคลมี เสรีภาพท่ีจะเลือกเป้าหมาย หรืออุดมคติของตัวเอง การเลือกเป้าหมายหรอื อุดมคตินั้นใหค้ วามหมาย และคุณค่าแก่ชีวิต เขาถือว่าตัวเองเป็นสิ่งท่ีเขาเลือกที่จะเป็น ถ้าเขาถูกบังคับให้ทาในสิ่งท่ีเขาทาอยู่ แล้วก็เท่ากับเขาถูกบังคับไม่ให้เป็นมนุษย์ หากขาดเสรีภาพแล้วเขาก็ไม่สามารถที่อยู่เป็นมนุษย์ได้ เพราะว่าเสรภี าพเปน็ แก่นแท้ของมนษุ ย์ 6. ปรัชญาอัตถิภาวนิยมข้ึนอยู่กับนักปรัชญาผู้สร้างลัทธิ เป็นสาคัญ จะลึกซ้ึงหรือ ล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กบั นกั ปรชั ญา 7. ปรัชญาอัตถิภาวนิยมมีแนวโน้มในทางทุนยิ ม (Pessimism) เพราะเน้นเรื่องความ กลัว ความหมดหวงั ความทกุ ข์ แต่ถือวา่ ทุนยิ มของลัทธนิ ้ีมีแรงผลักดันทีจ่ ะต่อสู้เพื่อเอาชนะความทุกข์ ไม่ปล่อยไปตามยถากรรม เซอเรน โอบยึ เคยี รเ์ คอกอร์ด (Søren Aabye Kierkegaard ค.ศ. 1813 – 1855) - ปรัชญาของเคียรเ์ คอกอร์ดเป็นปรัชญาอัตถิภาวนิยมประเภทเทวนิยม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook