346 ซึ่งพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมาย หลังจากน้ันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราช สมบตั ิ และทรงไปประทบั อยทู่ ่ปี ระเทศอังกฤษจนถึงสิน้ พระชนม์ทีป่ ระเทศองั กฤษ 1.2.5.4 กฎหมายปัจจุบนั ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง สละราชสมบัติแล้ว พระมหากษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาคือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 (รัชกาลปจั จุบนั ) ทรงปกครองประเทศในระบอบประชาธปิ ไตยโดยมพี ระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมุข มสี ภานิติบญั ญัติเป็น ผู้ออกกฎหมาย รัฐสภาของไทยเป็นสภาคู่ซ่ึงประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา กฎหมายท่ีใช้ เป็นรูปแบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ทั้งท่ีเป็นประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชกําหนด พระราชกฤษีกา กฎกระทรวง และกฎหมายส่วนท้องถ่ิน โดยนํากฎหมายที่ใช้บังคับต้ังแต่สมัย รัชกาลที่ 5 จนถึงรัชกาลท่ี 7 มาใช้บังคับสืบต่อมาพร้อมกับมีการปรับปรุงแก้ไขให้เข้ากับสภาพสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่เปล่ียนไป และออกกฎหมายใหม่เพ่ิมเติมอีกหลายฉบับตามความจําเป็นของ สภาพสังคม เช่น พระราชบัญญัติยาเสพติด พระราชบัญญัติประกันสังคม พระราชบัญญัติว่าด้วยการ กระทําความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ เป็นต้น และการบริหารปกครองประเทศจะยึดกฎหมายเป็นหลัก เพ่ือให้เกิดความสงบสุขและเกิดประโยชน์สาธารณะแก่สังคมส่วนรวม ตามแบบประเทศท่ีเป็นประเทศ นติ ิรฐั 2. วิวัฒนาการการศึกษาของไทย ในอดีตกฎหมายไทยไม่ได้เขียนขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร เน่ืองจากยังไม่มีผู้รู้หนังสือ จึงใช้ จารีตประเพณีซ่ึงมาจากขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยแต่โบราณเป็นข้อบังคับความประพฤติของคน ชาวไทยกฎหมายของไทยมวี ิวัฒนาการเป็นเวลายาวนานสามารถลําดบั ยคุ สมยั ได้ดังนี้ 2.1 การศึกษาของไทยสมยั โบราณ (พ.ศ. 1780 - พ.ศ. 2411) 2.2 การศึกษาของไทยสมยั ปฏิรูปการศึกษา (พ.ศ. 2412 - พ.ศ. 2474) 2.3 การศกึ ษาของไทยหลงั การเปลย่ี นแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2475 - ปัจจุบนั )
347 2.1 การศกึ ษาของไทยสมัยโบราณ (พ.ศ. 1780 - พ.ศ. 2411) สมยั สโุ ขทัย ( พอ่ ขุนรามคําแหง พ.ศ.1800-1981 ) สภาวะประเทศ – สงบสขุ มคี วามเจรญิ รงุ่ เรือง สภาวะผู้นํา – ให้การสนบั สนุน ด้านการศาสนาและ ดา้ นการรู้หนงั สอื การศกึ ษา สถานที่สอน – วดั สาํ นกั ราชบัณฑิต ผู้สอน – พระ พราหมณ์ กษัตริย์ ผู้เรียน – ประชาชนท่ัวไป บตุ รหลานขนุ นาง ข้าราชการ การจัดการเรยี นการสอน – ไม่มกี ารจัดหอ้ งเรียน ใครใคร่เรยี นเรยี น ใครใคร่ สอนสอน ไมม่ ีส่อื การสอน ไมม่ ีแบบเรียน สอนแบบสะกดคํา อา่ น ท่องจํา เลา่ ปากต่อปาก วชิ าที่สอน – ธรรมะ ศาสตร์ดา้ นอาวุธ เวชกรรม วชิ าช่าง การเรือน หลกั ฐานทางการศกึ ษา – ศิลาจารกึ ไตรภมู พิ ระรว่ ง สมัยกรุงศรีอยุธยา (ยุคทองของวรรณคดี พระบรมไตรโลกนาถ-พระนารายณ์ พ.ศ. 1893 – 2310) สภาวะประเทศ – มคี วามเจริญรุ่งเรือง สลบั กบั สงคราม สภาวะผู้นาํ – ให้การสนับสนุน ดา้ นการศาสนาและดา้ นวรรณคดี การศกึ ษา สถานท่ีสอน – วัด ราชวงั สํานกั ราชบณั ฑติ โรงเรยี นสอนศาสนามชิ นั นารี ผสู้ อน – พระ พวกมชิ ชันนารี ผู้เรียน – ประชาชนทั่วไป บตุ รหลานขุนนาง ขา้ ราชการ การจดั การเรียนการสอน – ตามแตส่ มคั รใจเรียน สือ่ การสอนหนงั สือจนิ ดามณี สอนแบบอ่านเขียน ท่องจํา การสอนเชิงปฏิบัติ เช่น การหล่อปืนใหญ่ การใช้ปืนไฟ การสร้างป้อมค่าย การทาํ ขนมฝรั่ง วชิ าที่สอน – ธรรมะ การแต่งโคลงกลอน ครสิ ต์ศาสนา การเรอื น ภาษาไทย บาลี เขมร ฝรั่งเศส หลกั ฐานทางการศกึ ษา – พระไตรปิฎก มหาชาติคาํ หลวง กําสรวลศรี ปราชญ์ อนริ ทุ ธ์คําฉันท์ เปน็ ต้น สมยั กรงุ ธนบรุ ี (พระเจา้ ตากสนิ พ.ศ. 2310-2325) สภาวะประเทศ – ทรดุ โทรมมากหลังจากเสยี กรงุ อยู่ในช่วงเตรยี มพร้อมสาํ หรบั การทําสงคราม
348 สภาวะผู้นาํ – บูรณะศาสนสถาน ฟืน้ ฟดู ้านการศาสนาและศลิ ปการแสดง การศึกษา สถานท่ีสอน – วัด ราชสาํ นกั ผ้สู อน – พระ ศิลปินสาขาต่างๆ เทา่ ทห่ี ลงเหลือ ผู้เรยี น – ประชาชนทวั่ ไป บุตรหลานขุนนาง ข้าราชการ การจดั การเรยี นการสอน – ไมเ่ นน้ ด้านการรูห้ นังสือ แต่เน้นดา้ น ศลิ ปะการแสดง วิชาทีส่ อน – ธรรมะ การแตง่ โคลงกลอน นาฏศิลป์ การพลศึกษา การฝกึ อาวธุ หลักฐานทางการศกึ ษา – ตาํ ราเท่าที่เหลือ รามเกียรตบิ์ างตอน อเิ หนาคาํ ฉันท์ สมัยรัตนโกสนิ ทรต์ อนต้น ( รชั กาลท่ี 1-4 พ.ศ. 2325-2411) สภาวะประเทศ – ยุคเริ่มฟ้ืนฟู สภาวะผู้นาํ – ฟน้ื ฟดู า้ นการศาสนา วรรณคดี ศลิ ปวฒั นธรรม และการศึกษา การศึกษา สถานทีส่ อน – วดั ราชสาํ นัก สาํ นักราชบณั ฑิต โรงเรียนชาย ผ้สู อน – พระ ครตู า่ งประเทศ ผเู้ รยี น – ศษิ ยว์ ัด ประชาชนทวั่ ไป บุตรหลานขนุ นาง ข้าราชการ การจดั การเรยี นการสอน – เรยี นตามความสมัครใจ ยงั ไมม่ ีการแบง่ ชั้นเรียน แน่นอนนอกจากแบ่งเป็นช้ัน 1 เรียน ก ข นโม ประถม ก กา ชั้น 2 เรียน อ่าน แบบเรียนจินดามณี ช้ัน 3 เรยี นเลขเบือ้ งต้น เรมิ่ ใช้ กระดานชนวน ดินสอหิน ดนิ สอพอง ไมบ้ รรทดั ท่ีรองหนงั สือ วิชาท่ีสอน – การอ่านหนงั สือ เลข การกวี หลักฐานทางการศึกษา – ศลิ าจารกึ สรรพวทิ ยาการตา่ งทว่ี ัดพระเชตพุ น ให้ บคุ คลทวั่ ไปได้เรยี นด้วยตนเอง วรรณคดีทส่ี าํ คญั - สามกก๊ ราชาธิราช สังข์ทอง พระอภยั มณี อิเหนา พระ มะเหลเถไถ ฯลฯ สรปุ การศึกษาของไทยสมยั โบราณ 1. ยึดหลักปรัชญาจิตนิยม ท่ี เน้นพัฒนาการด้านจิตใจ เน้นการเข้าใจชีวิตส่งเสริมคุณธรรมศีลธรรม ศิลปะ ผลติ คนให้เปน็ นักอักษรศาสตร์ และศลิ ปศาสตร์ เปน็ ผู้รอบรู้ 2. สภาวะประเทศ เจริญรงุ่ เรืองสลบั กับชว่ งขยายอาณานิคมมีการทาํ ศึกสงคราม 3. วดั และรฐั เปน็ ศูนย์กลางประชาคม เปน็ สถานที่สอน และประกอบพธิ ีทางศาสนา 4. ผนู้ าํ ของประเทศเน้นการทํานบุ าํ รงุ ด้านการศาสนา และวรรณคดี มากกว่าดา้ นการศกึ ษา
349 5. การจัดการเรียนการสอน เป็นไปด้วยความสมัครใจไม่มีการบังคับ ไม่มีค่าจ้างสําหรับผู้สอน ไม่มีการ แบ่งช้ันเรยี นที่ชัดเจน สอนแบบอ่าน ท่องจํา เล่าปากต่อปาก มเี ขียนบาง ส่ือการสอนมี แบบเรียนจินดา มณีเป็นหลัก วิชาท่ีสอน เน้นธรรมะ ศาสตร์ด้านอาวุธ การแต่งโคลงกลอน และการอ่านหนังสือ วิชาการ ปฏบิ ัติ เชน่ วิชาช่างต่าง ๆ การฝึกอาวุธ การหลอ่ ปนื ใหญ่ การสร้างปอ้ มปราการ เปน็ ตน้ 6. การศกึ ษาของสตรไี มไ่ ดร้ ับการสนบั สนนุ นอกจากเรยี นการเรือนท่บี ้าน หรือในราชสาํ นัก 2.2 การศกึ ษาของไทยสมยั พัฒนาการศกึ ษา (พ.ศ. 2412 - พ.ศ. 2474) สมัยรัชกาลท่ี 5 (พระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู วั ) สภาวะประเทศ – ยุคการคุกคามของจกั รวรรดินิยมตะวันตก สภาวะผู้นํา – ปฏริ ปู ประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะด้านการศึกษาซึ่งได้รบั อทิ ธิพลจากทางตะวันตก การศึกษา สถานท่ีสอน – จัดต้ังโรงเรียนชาย โรงเรียนสตรี โรงเรียนราษฎร์ โรงเรียนสอนภาษา โรงเรยี นแพทย์ โรงเรียนปริยตั ธิ รรม แผนการศกึ ษา – ประกาศใชโ้ ครงการศกึ ษาตามแนวคิดตะวันตก แบง่ ระดับการศึกษา เป็นประถม มัธยม สายสามัญ สายวิสามัญ มีหลักสูตรการสอนตามระดับ มีการตรวจ นเิ ทศโรงเรียน หน่วยงานด้านการศึกษา – จัดตัง้ กรมศึกษาธิการ กรมฝกึ หดั ครู ผู้สอน – ครูไทย ครูชาวตา่ งประเทศ การจัดการเรียนการสอน – มกี ารแบง่ ระดับชั้นเรยี น ใชส้ ื่อแบบเรยี น ภาษาไทย 6 เลม่ สอนการอา่ นเขยี นมกี ารสอบไล่ วิชาท่ีสอน – ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ การคัดลายมอื การแต่ง จดหมาย เลขบัญชี และวชิ าชา่ งต่าง ๆ สมัยรัชกาลที่ 6 (พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่หัว) สภาวะประเทศ – ยุคปฏริ ปู สภาวะผนู้ ํา – เนน้ พฒั นาด้านการศึกษา การศึกษา ปรับปรุงพัฒนาแผนการศกึ ษา – ประกาศใช้โครงการศึกษาเนน้ สาย วชิ าชีพ พ.ร.บ.ประถมศึกษา ภาคบังคบั 1 ก.ย.2464 พ.ร.บ. โรงเรยี นราษฎร์ 2461 หน่วยงานด้านการศกึ ษาระดับสูง–จัดการศกึ ษาระดับอุดมศกึ ษา โดย
350 จัดต้ังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การจัดการเรียนการสอนและวิชาที่สอน – เช่นเดียวกับสมัยรัชกาลท่ี 5 แต่เพม่ิ วชิ าการช่างมากข้ึน สมยั รัชกาลที่ 7 ( พระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั ) สภาวะประเทศ – รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ําทั่วโลกหลัง สงครามโลกคร้ังที่ 1 สภาวะผู้นํา – แก้วิกฤตภาวะเศรษฐกิจตกตํ่า ลดงบประมาณในการพัฒนาทุก ด้าน การศกึ ษา ปรบั ปรุงพัฒนาแผนการศึกษา – แบ่งหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย ออกเป็น แผนกกลาง แผนกภาษา และแผนกวิทยาศาสตร์ การจัดการเรียนการสอน – ไม่มีการพัฒนาเท่าที่ควร ต้องยุบโรงเรียน จาํ นวนมากเพอ่ื ตัดปัญหาด้านงบประมาณ สรุปการศึกษาของไทยสมยั ปฏริ ูปการศกึ ษา 1. เป็นการวางรากฐานของการจัดการศึกษาท่ีครบถ้วน เริ่มตั้งแต่การสร้างโรงเรียน การประกาศใช้ โครงการศึกษาแบ่งเป็นระดับประถม มัธยม และอาชีวศึกษา การสร้างหลักสูตรและแบบเรียน การ ประเมนิ ผล การนเิ ทศโรงเรียน 2. มีการบังคับการรู้หนังสือ โดยประกาศใช้ พ.ร.บ.ประถมศึกษาภาคบังคับ ปี 2464 เพ่ือให้เด็กอายุถึง เกณฑ์ 7 ปบี ริบรู ณ์ตอ้ งเขา้ โรงเรยี น ถือเป็นการพฒั นาบคุ คลและสร้างโอกาสให้คนไดเ้ รียนรู้ 3. สรา้ งความเทา่ เทียมกันในการศึกษาของหญงิ และชาย โดยการจดั ตงั้ โรงเรียนสตรีข้นึ 4. เป็นจดุ เรมิ่ ตน้ ของการขยายการศึกษาสมู่ วลชนเพื่อความเทา่ เทยี มกนั ในด้านการศกึ ษา 5. ด้านการจัดการเรียนการสอนมีหลากหลายวิชามากขึ้น แบ่งเป็นระดับชั้นต่าง เพ่ือพัฒนาผู้เรียนตาม ศักยภาพของตนเอง แม้ว่าบรรยากาศการจัดการเรียนรู้ยังเป็นแบบครูเป็นศูนย์ ใช้วิธีการบรรยายให้จด ตามคาํ บอก เนน้ เนือ้ หาวชิ ามากกวา่ การปฏิบัติ 6. ขยายโอกาสในระดับอุดมศึกษา โดยการจัดตั้งมหาวิทยาลัย ซ่ึงถือว่าเป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็น บุคลากรดา้ นการศึกษา 7. มีการปลูกฝังค่านิยมในการประกอบอาชีพอิสระโดยการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาซ่ึงถือเป็นก้าว แห่งการพฒั นาในการเปลย่ี นแปลงคา่ นยิ มของอาชีพการรับราชการ แมว้ ่าจะไมไ่ ด้ผลเท่าท่คี วรกต็ าม
351 8. การประกาศใช้ พ.ร.บ.โรงเรียนราษฎร์ซึ่งส่วนมากเป็นโรงเรียนคริสต์เพ่ือควบคุมโรงเรียนเอกชน เหล่าน้ีมิให้อบรมแนวคิดท่ีรัฐไม่ต้องการให้เกิดแก่เยาวชน แต่ควบคุมให้สอนการอ่าน เขียน พูด ภาษาไทยอย่างถูกตอ้ ง ทั้งปลูกฝงั ค่านิยมความรักในความเปน็ ไทย ซง่ึ เป็นผลดีอย่างมหาศาล ตอ่ ประเทศไทย เพราะไม่เกดิ ปัญหาดา้ นการถูกกลนื ชาติ 2.3 การศกึ ษาของไทยหลงั การเปลีย่ นแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2475 - ปัจจบุ นั ) สภาวะประเทศ – เปลี่ยนแปลงจากระบบสมบูรณ าญาสิทธิราชเป็นระบอบ ประชาธิปไตย และผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกตาํ่ สมยั สงครามโลกคร้ังที่ 2 สภาวะผู้นาํ – คณะราษฎร์พฒั นาระบบการศกึ ษาเร่งด่วน การจัดระบบการศกึ ษา ประกาศแผนการศึกษาชาติ ประถมเป็น 6 ช้ัน มัธยมศกึ ษาตอนต้นและปลาย สาย อาชีวศึกษาประกาศใช้พ.ร.บ. ประถมศึกษา พ.ศ. 2478 เพ่ือขยายโอกาส จัดตั้งมหาวิทยาลัยข้ึนหลาย แห่ง จัดต้ังศูนย์อบรมการศึกษาผู้ใหญ่ กระทรวงศึกษาธิการร่วมมือกับองค์การยูเนสโกเพ่ือปรับปรุง การศึกษาไทย มโี ครงการฝกึ หดั ครชู นบทและจดั ตงั้ กรมสามัญศึกษา ปัญหา 1.การขาดแคลนครูทง้ั ดา้ นปรมิ าณและคณุ ภาพทําให้อตั ราสว่ นระหวา่ งครูและ นักเรยี นไมไ่ ดม้ าตรฐาน มผี ลทําให้คณุ ภาพผู้เรยี นและดา้ นการเรียนการสอนลดลงอย่างมาก 2.การสอนเป็นแบบลองผดิ ลองถูกเน่อื งจากครผู สู้ อนไม่มปี ระสบการณ์เพราะ ครูผู้สอนจบแค่ระดับมัธยมต้นและต้องออกไปสอนโรงเรียนประชาบาลทันทีโดยมิได้ผ่านการฝึกหัดครู ดงั น้นั รัฐจงึ ได้ตัง้ กรมฝึกหดั ครขู ึน้ เพื่อยกระดบั คุณภาพของครูใหส้ งู ขน้ึ 3.กฎหมายที่เก่ยี วข้องกับครู นกั เรยี น ผปู้ กครอง กฎหมายท่เี กย่ี วข้องกบั ครู ตวั อยา่ งความผดิ ทางวนิ ยั ของข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา ความผิดเก่ยี วกบั นักเรียน 1. พูดนอกเรอื่ ง พดู สปั ดน พูดสองแงส่ องมุม พูดเรื่องส่วนตวั ในขณะสอนเป็นประจํา (ตัดเงินเดือน 5 % เปน็ เวลา 1 เดือน)
352 2. พดู มงึ กูกบั นักเรยี น เรียกชอ่ื พ่อแม่เป็นชอ่ื นกั เรยี น (ภาคทณั ฑ์) 3. ด่านกั เรยี นว่า “พ่อแม่ไมส่ ั่งสอน หรือวา่ พ่อแม่สอนให้ทําอย่างนี้” (ตดั เงินเดือน 5 %เป็นเวลา 1 เดือน 4. วางอาํ นาจ เกรี้ยวกราด ดูถูกเหยยี ดหยามนักเรยี น (ตัดเงนิ เดือน 5 %เปน็ เวลา 1 เดือน) 5. บอกข้อสอบนักเรียน (ลดขั้นเงินเดอื น 1 ขน้ั ) 6. ใหน้ ักเรยี นชว่ ยตรวจข้อสอบ และให้คะแนนนักเรยี นโดยไมต่ รวจกระดาษคาํ ตอบ (ตัดเงินเดอื น 5 % เป็นเวลา 1 เดือน) 7. ออกข้อสอบท่ีมขี ้อความเสียดสีผู้บริหารโรงเรยี น และถอ้ ยคําบางคําไม่สุภาพ (ตดั เงนิ เดอื น 5 %เป็น เวลา 1 เดือน) 8. เป็นกรรมการคุมสอบ ไมค่ ุมสอบใหร้ ดั กุม เปน็ เหตุใหน้ ักเรียนลอกคําตอบกนั (ตดั เงินเดอื น 5 %เป็น เวลา 1 เดือน) 9. สง่ั นักเรียนทต่ี ้องสอบแก้ “ร” แก้ “0” ให้ซอื้ อปุ กรณ์การแต่งรถมาให้แล้วจะสอบได้ (ปลดออก) 10. เก็บเงินจากนักเรียน อา้ งวา่ จะนําไปซื้อหนงั สอื มาใหน้ ักเรยี น แตไ่ ม่ได้ซ้ือและไม่คืนเงินจนกระทั่งถูก รอ้ งเรยี นจงึ คนื ให้ (ตดั เงินเดือน 5 %เปน็ เวลา 2 เดือน) 11. ขอยืมเงนิ นักเรียนแลว้ ไม่ยอมใช้ ให้นักเรยี นชว่ ยตรวจข้อสอบ (ตดั เงินเดือน 5 %เป็นเวลา 2 เดอื น) 12. ขโมยเงนิ นักเรียน (ปลดออก) 13. รบิ สร้อยและแหวนจากนักเรยี นแลว้ ไมย่ อมคืน ผ้ปู กครองนักเรยี นและผบู้ รหิ ารโรงเรียนต้องทวงถาม หลายครง้ั จึงไดส้ ง่ คืน (ลดขน้ั เงนิ เดือน 1 ข้นั ) 14. ชวนนกั เรยี นหญงิ ด่ืมเบียร์ (ตดั เงนิ เดือน 5 %เป็นเวลา 1 เดอื น) 15. พานักเรยี นไปเทีย่ วต่างจงั หวัดโดยไมไ่ ด้ขออนญุ าตจากผูบ้ งั คบั บญั ชาและผปู้ กครองนกั เรียนให้ ถกู ต้องตามระเบยี บของทางราชการ (ตัดเงนิ เดือน 5 %เป็นเวลา 2 เดอื น) 16. ยยุ งนกั เรยี นให้ขโมยเงนิ ครู (ตดั เงินเดือน 5 %เปน็ เวลา 2 เดือน) 17. ยุยงนักเรียนให้กระด้างกระเด่อื งต่อผ้บู ริหารโรงเรยี น (ตัดเงินเดอื น 5 %เป็นเวลา 2 เดอื น) 18. ครชู ายจับมือ จับหน้าอก และจบู นกั เรยี นหญิง (ปลดออก) 19. ครูชายให้นักเรยี นหญงิ นวดขาแล้วดึงลงมากอด (ปลดออก) 20. ครูชายส่ังนกั เรยี นหญงิ ให้มาสอบแกต้ วั ท่ีโรงเรียนในวนั หยุดราชการเพยี งคนเดียว แลว้ ถือโอกาส ปลุกปลาํ้ (ปลดออก) 21. ครูชายให้นักเรียนหญงิ นอนหนนุ ตัก แล้วเอามือลบู หัวลูบแก้มในสวนสาธารณะ (ปลดออก) 22. ครชู ายพานกั เรยี นหญิงไปทานอาหาร แล้วคะยน้ั คะยอให้นกั เรยี นดื่มเบยี ร์ เม่ือนักเรยี นดื่มเข้าไปแลว้ มอี าการมนึ ก็พาเข้าโรงแรม แม้จะไมม่ ีความสัมพนั ธ์ทางเพศต่อกนั ถงึ ข้ันได้เสยี ก็เป็นการประพฤติช่ัว
353 อย่างร้ายแรง (ไล่ออก) 23. ครชู ายได้เสยี กับนักเรียนหญิง ไมว่ า่ นักเรียนจะสมคั รใจหรอื ไม่ก็ตาม (ไลอ่ อก) 24. ครูชายทําตวั สนิทสนมกับนักเรยี นหญงิ จนเกนิ ขอบเขต ผู้บรหิ ารโรงเรียนตกั เตือนแล้วไมย่ อมเชื่อฟงั (ลดขน้ั เงินเดือน 1 ขั้น) 25. ครูชายพานักเรียนหญิงไปฟังเพลงและดูภาพยนตร์รอบค่าํ กนั สองตอ่ สอง (ลดขน้ั เงินเดือน 1 ขัน้ ) 26. ลงโทษนักเรียนโดยวิธตี บหน้า ดงึ หู กระชากผม (ตดั เงินเดือน 5 %เป็นเวลา 1 เดือน) 27. ลงโทษนักเรียนโดยวธิ หี ยกิ ตบหลัง (ตดั เงนิ เดือน 5 %เป็นเวลา 1 เดอื น) 28. ลงโทษนักเรยี นโดยวธิ ีหักนวิ้ ไปดา้ นหลังมอื จนนักเรียนเกิดความเจ็บปวด (ตัดเงินเดือน 5 % เป็น เวลา 1 เดือน) 29. เฆ่ยี นนักเรยี นจนเน้ือแตก เลือดออก (ตดั เงนิ เดือน 5 %เป็นเวลา 1 เดอื น) 30. ลงโทษนกั เรยี นโดยวิธที ุบหนา้ อก เขกหัว (ตัดเงินเดือน 5 %เปน็ เวลา 1 เดอื น) 31. ลงโทษนกั เรยี นโดยใช้ปา้ ยแขวนคอแลว้ ให้ยนื หน้าหอ้ ง และให้คลานรอบสนาม (ตดั เงินเดอื น 5 % เปน็ เวลา 1 เดอื น) 32. ลงโทษนักเรียนโดยการเฆี่ยนจนมีบาดแผล และใช้พวงกุญแจตีท่ศี ีรษะนักเรียนจนศรี ษะแตก(ตัด เงนิ เดอื น 5 % เปน็ เวลา 1 เดือน) 33. ลงโทษนกั เรยี นโดยการชกและเตะ (ตัดเงนิ เดือน 5 %เปน็ เวลา 1 เดือน) 34. ลงโทษนกั เรยี นทที่ ะเลาะกันโดยวิธใี ห้ต่อยกันทีห่ น้าเสาธง จนนักเรยี นไดร้ ับบาดเจบ็ ทีด่ ง้ั จมกู (ตัด เงนิ เดอื น 5 %เป็นเวลา 1 เดือน) 35. ลงโทษนกั เรียนโดยการเดินเหยยี บและกดขยลี้ งบนมือจนนกั เรียนได้รบั บาดเจบ็ (ตัดเงินเดอื น 5 % เปน็ เวลา 1 เดอื น) 36. ลงโทษนกั เรยี นท่ีทําเลขผิดดว้ ยการสัง่ ให้นักเรยี นในห้องจํานวน 28 คน เขกหัวนกั เรียนที่ทาํ เลขผิด คนละ 50 ครงั้ (ตดั เงนิ เดือน 5 % เป็นเวลา 1 เดอื น) 37. ลงโทษนกั เรียนโดยการตีด้วยไม้ไผ่ปลายแตก ยาว 1 ศอกเศษ เส้นผ่าศูนยก์ ลางประมาณ 1 น้ิว ที่ ศีรษะจนนักเรยี นชักและสลบ จนต้องรักษาตวั ทโ่ี รงพยาบาล 2 วนั (ตดั เงินเดอื น 5 %เป็นเวลา 2 เดือน) 38. ลงโทษนักเรียนโดยการเฆ่ียนดว้ ยเข็มขัดถึง 24 ที และให้แบกโตะ๊ ซ่ึงมนี ้าํ หนักเกือบเท่าตัวนักเรยี น เดนิ ขนึ้ เดนิ ลงระหว่างช้ันท่ี 2 ถงึ ชั้นที่ 3 (ตัดเงนิ เดือน 5 % เปน็ เวลา 2 เดือน) 39. ลงโทษนกั เรียนโดยใชเ้ หลก็ ยาวประมาณ 1 ศอก วัดโดยรอบได้ 2.5 ซม. ตีที่หวั ไหลจ่ นได้รับบาดเจ็บ (ตัดเงนิ เดือน 5 %เปน็ เวลา 2 เดือน)
354 ความผดิ เกีย่ วกับการปฏิบตั ิตนเสื่อมเสีย 1. เมาสรุ าแล้วอาละวาด ทาํ ลายทรัพย์สินของโรงเรยี น (ลดขั้นเงินเดือน 1 ขน้ั ) 2. เมาสรุ าแล้วดา่ ทา้ ทายผู้บังคบั บัญชา (ตัดเงนิ เดือน 5 % เปน็ เวลา 2 เดอื น) 3. เมาสรุ าแลว้ ทาํ ร้ายรา่ งกายเพอื่ นครูดว้ ยกัน (ตัดเงนิ เดอื น 5 % เป็นเวลา 1 เดือน) 4. เมาสรุ าแลว้ นอนฟุบอยหู่ น้าที่วา่ การอําเภอ ไมส่ ามารถกลบั ไปสอนหนังสือได้ (ปลดออก) 5. ลงเวลามาทาํ งานแล้วแอบไปด่ืมสรุ าท่รี า้ นข้างโรงเรียน ยงั นําสรุ ามาดม่ื ทโ่ี ต๊ะทาํ งานและทห่ี อ้ งพยาบาล ของโรงเรียนในเวลาราชการ (ปลดออก) 6. สบู เฮโรอนี (ปลดออก) 7. เล่นไฮโล (การพนันบัญชี ก. ลาํ ดบั ท่ี 23) ทบ่ี า้ นพกั ครู (ปลดออก) 8. เลน่ ไพร่ มั ม่ี (การพนันบญั ชี ข. ลําดับที่ 21 ฎ) ขณะอยู่เวร (ตดั เงินเดอื น 5 % เปน็ เวลา 2 เดอื น) 9. เล่นหวยใต้ดิน (ปลดออก) 10. ครสู ตรมี ีสามแี ลว้ ยังไปพบปะใหค้ วามสนิทสนมกบั คนรักเก่าถึงขนาดเข้าไปในห้องนอน แตไ่ ม่มี ความสัมพันธ์ทางเพศกัน สามีตามไปพบจงึ เกิดการทะเลาะกนั ขนึ้ (ตัดเงินเดือน 5 % เป็นเวลา 1 เดอื น) 11. ครชู ายมีบตุ รภรรยาแล้ว ไปหลอกผหู้ ญิงวา่ ยังเปน็ โสดอยู่ อยากแต่งงานดว้ ย ผู้หญิงหลงเชือ่ และยอม มีความสมั พันธ์ทางเพศด้วย พอคลอดลกู ก็ถูกครูชายทอดท้ิง (ปลดออก) 12. ครชู ายกับครูหญงิ มคี วามสมั พันธ์ฉันช้สู าวต่อกัน ท้ัง ๆ ทแ่ี ตล่ ะฝ่ายมีคู่สมรสอยู่แลว้ (ไล่ออก) 13. ครูชายกับครหู ญงิ มีความสมั พันธ์ฉนั ชูส้ าวถงึ ขนั้ อย่กู ินเยยี่ งสามีภรรยาอย่างเปิดเผยต่อกนั ทง้ั ๆ ทีท่ ง้ั สองฝา่ ยต่างมีคสู่ มรสอยู่แล้ว เพยี งแต่แยกกันอยเู่ ทา่ นั้น (ไล่ออก) 14. ครูชายมีความสมั พันธท์ างเพศกบั หญิงที่เป็นภรรยาของผอู้ ื่น แมห้ ญงิ น้ันจะเป็นฝา่ ยยวั่ ยวนและมี ความประพฤติไม่ดี ชอบมีความสมั พันธ์ทางเพศกบั ชายอื่นเสมอ ๆ ก็ถือว่าเปน็ การประพฤติช่ัวอยา่ ง ร้ายแรง (ปลดออก) 15. ครูสตรีมีคูส่ มรสแล้วไปมีความสัมพันธใ์ นทางชสู้ าวกับสามคี นอน่ื ถงึ ข้ันได้เสียกัน (ไล่ออก) 16. ครชู ายมคี สู่ มรสแลว้ ไปมีความสัมพันธใ์ นทางชสู้ าวกับภรรยาของคนอืน่ จนถึงข้นั ไดเ้ สียกนั (ไลอ่ อก) 17. ครูสตรีมคี ู่สมรสแล้วไปมีความสัมพนั ธ์ในทางชู้สาวกบั ชายอ่นื จนถึงข้นั ได้เสยี กนั แม้ชายผ้นู น้ั จะยงั ไม่ มีคสู่ มรสก็เปน็ การประพฤติชัว่ อย่างร้ายแรง (ปลดออก) 18. ครูชายมภี รรยาแล้วแอบไปมีความสัมพนั ธใ์ นทางชูส้ าวกบั หญิงอ่ืนจนถึงข้นั ไดเ้ สียกนั ทาํ ใหค้ รอบครัว เดือดร้อน แม้หญงิ นน้ั จะยงั ไม่มีคูส่ มรสก็เปน็ การประพฤติชว่ั อยา่ งรา้ ยแรง (ปลดออก) 19. ครชู ายจดทะเบยี นสมรสซอ้ นและไมร่ บั ผิดชอบครอบครวั (ปลดออก) 20. ครสู ตรีจดทะเบยี นสมรสกับชายอ่นื ทั้ง ๆ ที่รู้วา่ ชายนน้ั มภี รรยาและจดทะเบียนสมรสแลว้ (ปลดออก)
355 21. ครูชายเขยี นจดหมายถึงภรรยาผู้อื่นในลกั ษณะชูส้ าว (ตัดเงินเดอื น 5 % เปน็ เวลา 1 เดือน) 22. ครูชายปลกุ ปลํา้ ครสู ตรโี รงเรยี นเดยี วกัน (ปลดออก) 23. ออกเช็คเด้งจนถูกศาลพิพากษาลงโทษจําคกุ 3 เดือน (ปลดออก) 24. เป็นหน้แี ลว้ ไมย่ อมชดใช้ตามกาํ หนด พอเจ้าหนี้มาทวงกลับท้าให้ไปฟ้องศาล (ตดั เงนิ เดือน 5 % เป็น เวลา 1 เดอื น) 25. เอาทรัพยส์ ินของโรงเรยี นไปเปน็ ของตนเอง (ปลดออก) 26. เรียกร้องเงินจากผู้ปกครองนกั เรียนที่พาบตุ รมาสอบเข้าเรียนตอ่ โดยอ้างวา่ จะชว่ ยให้เดก็ สอบเข้าได้ (ปลดออก) 27. แตง่ กายไม่สภุ าพไปทํางาน ผบู้ รหิ ารโรงเรียนเตอื นแล้วไม่ยอมฟัง (ตดั เงินเดือน 5 % เปน็ เวลา 1 เดือน) 28. ทจุ ริตในการเบิกค่ารักษาพยาบาล (ไล่ออก) 29. ทจุ รติ ในการเบิกคา่ เช่าบ้าน (ไลอ่ อก) 30. ทจุ รติ ในการเบิกค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าทพ่ี ัก ค่าพาหนะ ในการเดนิ ทางไปราชการ (ไล่ออก) กฎหมายทเี่ กยี่ วข้องกบั นักเรยี น การลงโทษมจี ดุ ประสงคห์ ลักเพื่อใหห้ ลาบจํา และไมท่ าํ พฤติกรรมเช่นนน้ั อกี โดยต้องการให้มี การปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมไปในทางท่ีถูกต้องดงี ามตามที่สังคม กาํ หนด แนวคิดของจดุ ประสงค์ของการ ลงโทษยงั คงเปน็ อยถู่ ึงแม้วา่ จะมวี ธิ ีการท่ี เปลย่ี นไป แต่จดุ ประสงคห์ ลกั ยังไม่เปลย่ี นแปลงไม่วา่ จะเป็นการ ลงโทษกบั ประชาชนทว่ั ไป หรอื การลงโทษนักเรยี นและนักศึกษา วทิ ยาการด้านการพิจารณาลงโทษได้ พฒั นาไปมาก มีการศึกษาวิจัยถงึ ระดบั ปริญญาเอก โดยสาระสําคญั ตอ้ งการใหก้ ารลงโทษเกิดประโยชน์กบั สังคม และปัจเจกบุคคลมากทีส่ ดุ จะเหน็ ได้ว่ามกี ารปรับเปล่ยี น วิธกี ารลงโทษจากวิธที ใ่ี ชก้ ารทําร้ายรา่ งกายและ จิตใจ มาสกู่ ารแก้ไขพฤติกรรม และการจํากัด หรอื กักขัง ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนให้กับสงั คมหรอื ผู้อน่ื การลงโทษนักเรียนนักศึกษา แนวคดิ ว่าการลงโทษเป็นความจาํ เปน็ ในการสร้างคนให้มีคณุ ภาพ ถึงกับมีคาํ กล่าวว่า “รกั วัวให้ ผกู รักลกู ให้ตี” และเมื่อเอย่ ถึงคาํ วา่ “ไม้เรียว” เช่ือว่าใครหลาย ๆ คนที่มตี ําแหนง่ หน้าที่การงานระดับสูง หรือ เปน็ เพียงพนักงานธรรมดา ๆ ที่เคยผา่ นการอบรมบ่มเพาะจากโรงเรยี น หรอื สถาบันการศึกษามา อยา่ งเข้มข้นคงได้เคยสมั ผสั และรจู้ ักรสชาตขิ องไมเ้ รียว เป็นอย่างดี
356 ถ้ามองยอ้ นกลับไปถึงนยั ของการทําโทษนักเรยี น นักศึกษาในอดีตดเู หมือนจะถูกทาํ โทษด้วยไม้ เรยี วกันเป็นประจําจนเป็นเร่ืองปกติ และเมือ่ มงี านเลย้ี งร่นุ ของบรรดาศิษยเ์ กา่ ของโรงเรียนตา่ ง ๆ ท่ีมา รวมตัวกันตา่ งนําเร่ืองการโดนไมเ้ รียว หรอื การทําโทษตา่ ง ๆ เช่น เดินเป็ด ขนมจบี สองเกลียวบิดพุง คาบไม้บรรทดั ขวา้ งด้วยแปลงลบกระดาน วิง่ รอบสนาม ล้างสว้ ม ทํางานหนกั อื่น ๆ และทีห่ นกั มากทสี่ ุด คือ การเฆยี่ นตหี นา้ เสาธง หรือหนา้ ช้ันเรยี น เรอ่ื งการลงโทษและถูกทาํ โทษดว้ ยวิธแี ปลก ๆ นี้เม่อื เวลา ผา่ นไป ไดถ้ ูกนํามาพูดกันอยา่ งสนกุ สนาน ย่ิงถา้ ครูคนไหนดุ หรอื ทําโทษบ่อยมาก ๆ ก็จะเป็นทจี่ ดจาํ ของ บรรดาลกู ศิษย์ ซ่ึงอาจเปน็ ท้ังทร่ี ักและทเี่ กลียดชงั ด้วยก็มี การทาํ โทษดว้ ยการใช้ไม้เรียว เฆี่ยน ตี หรือ การทําโทษด้วยวธิ กี ารตา่ ง ๆ ท่เี กดิ เปน็ ความบอบช้ําไมเ่ ฉพาะดา้ นร่างกายเทา่ น้นั ยังส่งผลต่อจิตใจของผู้ เรยี น และผปู้ กครองอกี ด้านหนง่ึ ด้วย จึงมคี ําถามตามมาว่าครคู วรจะ ลงโทษแบบไหน ถึงจะเรยี กวา่ อยู่ใน ระดบั ท่ีเหมาะสม คําตอบที่น่าจะเป็นไปไดม้ ากทีส่ ุดก็คือ ครูควรมจี ิตสาํ นึกของความเปน็ ครอู นั เปน็ พ้นื ฐานทแ่ี ข็งแรง เพราะหากมีการทําโทษดว้ ยจติ สาํ นกึ ดังกล่าวถงึ แมว้ า่ จะออกมาในรูปแบบของการ เฆย่ี นตี แตก่ ็ด้วยความมุ่งหมายทีต่ ้องการใหผ้ เู้ รยี นหลาบจํา ไม่ตอ้ งการให้มีพฤติกรรมท่ไี ม่พึงประสงค์ของ สงั คมอีก ปจั จบุ นั ดว้ ยจติ สํานึกของครู (บางคน) ขาดหายไปจึงเกดิ กรณีเป็นข่าวในเร่ือง การทําโทษ นักเรยี นหรือ นกั ศึกษาเกินกวา่ เหตุ และเม่ือพจิ ารณาแล้วการทาํ โทษในบางครง้ั แทบจะไม่มเี ยอื่ ใยความ ผกู พันระหวา่ ง ความเปน็ ครูกับศษิ ย์ ใหเ้ หน็ เลย ระเบยี บการลงโทษนกั เรยี นและนกั ศึกษา ระเบียบ กระทรวงศึกษาธกิ ารวา่ ดว้ ยการลงโทษนักเรียนและนกั ศึกษา พ.ศ. 2548 ไดก้ าํ หนด วิธีการลงโทษไว้ซ่ึงจะนํามากล่าวถงึ ในประเด็นท่เี ป็นสาระสําคญั ดงั น้ี ข้อ 4. ...“การลงโทษ” หมายความวา่ การลงโทษนักเรยี นหรอื นกั ศึกษาท่กี ระทาํ ความผิด โดยมคี วามมุ่ง หมายเพื่อการอบรมสงั่ สอน ข้อ 5 โทษทจ่ี ะลงโทษแกน่ กั เรียนหรือนักศึกษาท่กี ระทําความผิด มี4 สถาน ดังน้ี 1.วา่ กล่าวตกั เตือน 2.ทาํ ทัณฑบ์ น 3.ตัดคะแนนความประพฤติ 4.ทํากิจกรรมเพื่อใหป้ รับเปลี่ยนพฤติกรรม
357 ขอ้ 6 หา้ มลงโทษนักเรยี นและนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง หรอื แบบกลนั่ แกล้ง หรือลงโทษด้วยความโกรธ หรือดว้ ยความพยาบาท โดยใหค้ ํานึงถงึ อายขุ องนักเรียนหรือนกั ศึกษา และความรา้ ยแรงของพฤติการณ์ ประกอบการลงโทษดว้ ย การลงโทษนักเรยี นหรือนักศึกษาให้เปน็ ไปเพ่ือเจตนาที่จะแกน้ ิสัยและความ ประพฤตไิ ม่ดขี องนกั เรยี นหรอื นกั ศึกษาให้รู้สาํ นึกในความผดิ และกลับมาประพฤตติ นในทางท่ดี ีต่อไปให้ ผูบ้ ริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษา หรือผูท้ ผ่ี บู้ ริหารโรงเรยี นหรอื สถานศึกษามอบหมายเป็นผูม้ ีอํานาจใน การลงโทษ นักเรยี น นกั ศึกษา ข้อ 7. การว่ากลา่ วตักเตือน ในกรณนี กั เรยี นหรือนักศึกษากระทาํ ความผดิ ไมร่ า้ ยแรง ขอ้ 8. การทําทัณฑบ์ นใช้ในกรณีนกั เรยี นหรอื นักศึกษาทป่ี ระพฤตติ นไม่เหมาะสมกับสภาพ นกั เรยี นหรอื นกั ศึกษา ตามกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤตินักเรียนและนกั ศึกษา หรือกรณีทาํ ให้เสื่อมเสียช่ือเสยี ง และเกียรติศกั ดิ์ของสถานศึกษา หรือฝ่าฝนื ระเบียบของสถานศึกษา หรือไดร้ ับโทษว่ากล่าวตกั เตือนแลว้ แต่ยงั ไม่เข็ดหลาบ การทําทัณฑ์บนให้ทาํ เปน็ หนังสอื และเชิญบดิ ามารดาหรือผ้ปู กครองมาบนั ทกึ รบั ทราบความผดิ และรบั รองการทําทัณฑบ์ น ไว้ดว้ ยข้อ 9. การตดั คะแนนความประพฤติ ให้เปน็ ไปตามระเบียบปฏิบัติวา่ ดว้ ยการตดั คะแนนความประพฤติ นักเรยี นและ นกั ศึกษาของแต่ละสถานศึกษากาํ หนด และใหท้ าํ บันทกึ ขอ้ มูลไวเ้ ป็นหลกั ฐานข้อ 10 ทาํ กิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลีย่ นพฤตกิ รรม ใชใ้ นกรณีท่นี ักเรียนและนักศึกษากระทําความผิดที่สมควร ต้องปรับเปลีย่ น พฤติกรรม การจดั กจิ กรรมให้เป็นไปตามแนวทางทก่ี ระทรวงศึกษาธกิ ารกาํ หนด ซึง่ กอ่ นหน้าปี 2542 กระทรวงศกึ ษาธิการมรี ะเบยี บลงโทษนกั เรยี น ที่อนุญาตให้ครูใช้ไมเ้ รยี วตีนกั เรยี น ได้ หลงั จากปี 2542 มรี ะเบียบลงโทษนกั เรยี น หา้ มลงโทษนักเรยี นโดยการตี และลา่ สดุ จากระเบยี บ ขา้ งตน้ โดยปรบั ปรุงระเบยี บกระทรวงศึกษาธกิ ารว่าดว้ ย เรื่องการลงโทษนกั เรยี นและนักศกึ ษา ประกาศ ณ วันท่ี 18 มกราคม พ.ศ. 2548 กาํ หนดบทลงโทษไว้อย่างชดั เจน คอื ว่ากล่าวตกั เตือน ทาํ ทณั ฑ์บน ตัด คะแนนความประพฤติ และทํากิจกรรมเพ่อื ปรับพฤตกิ รรมเท่านัน้ น่นั หมายความวา่ ครูไม่ควรลงโทษ นักเรียนและนักศึกษา ดว้ ยวิธกี ารอน่ื ๆ นอกเหนือจาก 4 มาตรการน้ี การลงโทษนักเรียนและนักศกึ ษาในอุดมคติ การลงโทษควรเป็นวธิ กี ารสดุ ทา้ ยสําหรบั คร/ู อาจารย์ที่จะพึงกระทาํ ตอ่ ผูเ้ รียน และการทําโทษ ตอ้ งอย่บู นเจตนาของความตอ้ งการแก้ไขพฤตกิ รรมทีไ่ ม่เหมาะสม เทา่ น้นั การทําการบ้านผดิ ตอบคําถาม
358 ผดิ หรอื มกี ารเรยี นท่ีล่าชา้ ไม่สมควรได้รบั การลงโทษด้วยความรนุ แรง ในอดตี การทําการบา้ นผดิ ตอบ คําถามผิด หรือการเรียนทล่ี า่ ชา้ จะถูกทําโทษจากครู/อาจารย์ อยา่ งรนุ แรงดว้ ยการเฆ่ียน ตี หรอื ทําร้าย รา่ งกายด้วยวธิ กี ารต่าง ๆ การลงโทษท่เี หมาะสมในยุคปจั จุบันจึงควรละเว้นการทาํ ร้ายร่างการและจิตใจ ด้วย วิธกี ารต่าง ๆ อย่างสนิ้ เชิง ความผิดต่าง ๆ ทีเ่ กดิ ขนึ้ อนั เปน็ ผลจากกระบวนการเรียนการสอนน้นั ตอ้ งได้รับการแก้ไขดว้ ย กระบวนการเรยี นการสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ทเี่ หมาะสม ถ้านักเรยี นหรอื นักศึกษาทํา ความผิดทไ่ี ม่เก่ียวข้องกับการเรียนการสอนและ สมควรต้องได้รับการลงโทษ ครู/อาจารยค์ วรหลกี เล่ยี ง ความรับผดิ ชอบในการแก้ไขพฤติกรรมด้วยการทาํ ร้าย ร่างกายหรอื จติ ใจ ด้วยประการทงั้ ปวง เช่น การ ลงโทษดว้ ยการเฆ่ยี น ตี หรือด่าวา่ ดว้ ยถ้อยคําท่กี ระทบความรสู้ กึ อยา่ งรนุ แรงคร/ู อาจารย์ควรใหผ้ ูท้ ่ี มี หนา้ ทร่ี บั ผดิ ชอบโดยตรงดาํ เนินการจะดีกวา่ เช่น พอ่ แม่ ผปู้ กครอง หรือเจ้าหน้าท่ีบ้านเมืองจาก หนว่ ยงานที่รับผิดชอบในการแก้ไขความประพฤติของ เยาวชน หรอื คนในสังคม ซ่ึงเจ้าหนา้ ที่เหล่านั้นเป็น ผู้มคี วามรู้ความเข้าใจ และมีความชาํ นาญในกระบวนการและวธิ ีการลงโทษตามลักษณะของพฤติกรรมท่ี ควรได้รบั การลงโทษ เพราะครู/อาจารย์ไม่ไดร้ บั การฝึกอบรมหรอื ไดร้ ับการส่ังสอน มาใหเ้ ปน็ ผพู้ จิ ารณา โทษและลงโทษผู้เรียนอยา่ งเป็นระบบ การตัดสนิ ลงโทษของครูจึงมคี วามผดิ พลาดได้ง่าย เพราะครูมกั จะ ใชอ้ ารมณ์ และความรสู้ ึกของตนเองตดั สนิ เปน็ สาํ คญั ยงิ่ ถา้ ครเู ปน็ ผู้เก่ยี วข้องและมีส่วนกับการการทําผดิ ของผู้เรยี นด้วยแลว้ ย่งิ ทําให้ความเป็นธรรมและความชอบธรรมลดลงมาก ครูควรหมดหน้าทลี่ งโทษ ผูเ้ รียนดว้ ยการทาํ รา้ ยร่างกายและจติ ใจอกี ต่อไป กฎหมายทเี่ กย่ี วขอ้ งกับผ้ปู กครอง พระราชบัญญตั ิการศึกษาภาคบังคบั พ.ศ. ๒๕๔๕ พระราชบัญญัตินี้มีทั้งหมด ๒๐ มาตรา ซ่ึงได้บัญญัติให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและผู้ปกครอง ดําเนินการรับและส่งเด็กซ่ึงมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดเข้าเรียนในสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานตามหลักเกณฑ์และ วิธีการที่กําหนด ซึ่งการนับอายุเด็กเพื่อเข้ารับการศึกษาภาคบังคับในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้นับตามปี ปฏิทิน หากเด็กอายุครบ ๗ ปีบริบูรณ์ในปีใดให้นับว่าเด็กมีอายุย่างเข้าปีท่ี ๗ ในปีน้ัน ทั้งน้ีได้กําหนด บทลงโทษด้วยหากผู้ปกครองไมป่ ฏบิ ตั ติ ามซ่ึงในทีน่ ีข้ อสรปุ สาระสาํ คัญดังน้ี “การศึกษาภาคบังคับ” หมายความว่า การศึกษาช้ันปีที่หนึ่งถึง ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาข้ันพ้ืนฐานตาม กฎหมายวา่ ด้วยการศกึ ษาแห่งชาติ “สถานศกึ ษา” หมายความวา่ สถานศกึ ษาทจ่ี ัดการศึกษา
359 “ผู้ปกครอง” หมายความว่า บิดามารดา หรอื บิดา หรือมารดา ซึ่งเป็นผู้ใช้อํานาจปกครองหรือผู้ปกครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และหมายความรวมถึงบุคคลที่เด็กอยู่ด้วยเป็นประจาหรือที่เด็ก อยรู่ ับใช้การงาน “เด็ก” หมายความว่า เด็กซ่ึงมีอายุย่างเข้าปีท่ีเจ็ดจนถึงอายุย่างเข้าปีที่สิบหก เว้นแต่เด็กท่ีสอบได้ช้ันปีที่ เก้า ของการศกึ ษาภาคบังคับแล้ว “คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน” หมายความว่า คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานตามกฎหมาย ว่าดว้ ยการศกึ ษาแหง่ ชาติ “คณะกรรมการเขตพ้ืนท่ีการศึกษา” หมายความว่า คณะกรรมการเขตพื้นท่ีการศึกษาตามกฎหมายว่า ด้วยการศึกษา แห่งชาติ “องคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่นิ ” หมายความวา่ องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินทม่ี สี ถานศึกษาอยู่ในสังกัด “พนักงานเจา้ หนา้ ท่ี” หมายความวา่ ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแตง่ ต้ังใหป้ ฏบิ ตั ิการตามพระราชบัญญัติน้ี “รัฐมนตรี” หมายความวา่ รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี มาตรา ๕ ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน แล้วแต่กรณี ประกาศ รายละเอียดเก่ียวกับการส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา และการจัดสรรโอกาสเข้าศึกษาต่อระหว่าง สถานศกึ ษาท่อี ยูใ่ นเกณฑ์การศึกษาภาคบงั คับโดยใหป้ ิดประกาศ ไว้ ณ สํานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศึกษา สํานักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษา รวมท้ังต้องแจ้ง เป็นหนังสือให้ผู้ปกครองของเด็ก ทราบกอ่ นเดก็ เข้าเรยี นในสถานศกึ ษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี มาตรา ๖ ให้ผู้ปกครองส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา เมื่อผู้ปกครองร้องขอให้สถานศึกษามีอํานาจผ่อน ผนั ให้เด็กเข้าเรียนก่อนหรือหลังอายุตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับได้ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ คณะ กรรมการการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐานกําหนด มาตรา ๗ ให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีมีอํานาจเข้าไปในสถานที่ใด ๆ ในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระ อาทิตย์ตก หรือในเวลาทําการของสถานที่นั้น เพื่อตรวจสอบการเข้าเรียนของเด็ก หากพบว่ามีเด็กไม่ได้ เขา้ เรียนในสถานศึกษา ตามมาตรา ๕ ให้ดาํ เนนิ การให้เด็กนั้น ได้เขา้ เรยี นในสถานศกึ ษานั้น แล้วรายงาน ให้คณะกรรมการเขตพ้ืนที่การศึกษา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี ทราบในกรณีที่ไม่ สามารถดาํ เนนิ การให้เด็กได้เข้าเรยี นตามวรรคหน่ึงได้ ให้พนกั งานเจ้าหน้าที่รายงานให้คณะกรรมการเขต พ้นื ที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท้องท่ีท่ีพบ เด็ก แลว้ แตก่ รณี เพื่อดําเนนิ การให้เด็กไดเ้ ข้า เรยี นในสถานศึกษา มาตรา ๘ ในการปฏิบัติหน้าท่ี พนักงานเจ้าหน้าท่ีต้องแสดงบัตรประจําตัวแก่บุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง บัตร ประจาํ ตวั พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีให้เปน็ ไปตามแบบที่รฐั มนตรปี ระกาศกาํ หนด มาตรา ๙ ในการปฏิบตั หิ นา้ ที่ของพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี ให้ ผู้ซึง่ เก่ยี วขอ้ งอํานวยความสะดวกตามสมควร
360 มาตรา ๑๐ ในการปฏบิ ัตหิ น้าทต่ี ามพระราชบัญญตั นิ ้ี ให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีเป็นเจา้ พนักงานตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา ๑๑ ผู้ใดซ่ึงมิใช่ผู้ปกครอง มีเด็กซึ่งไม่ได้เข้าเรียนในสถานศึกษาอาศัยอยู่ด้วย ต้องแจ้งสํานักงาน เขตพ้ืนที่การศึกษา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี ภายในหน่ึงเดือนนับแต่วันท่ีเด็กมา อาศัย อยู่ เว้นแต่ผู้ปกครองได้อาศัยอยู่ด้วยกับผู้นั้น การแจ้งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ รัฐมนตรี ประกาศกาํ หนด มาตรา ๑๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการเขตพื้นท่ีการศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และ สถานศึกษา จัดการศึกษาเป็นพิเศษสําหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การส่ือสารและการเรียนรู้ หรอื มีรา่ งกายพกิ าร หรือทุพพลภาพหรือเด็กซ่ึงไมส่ ามารถ พึง่ ตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแล หรือ ด้อยโอกาส หรือเด็กท่ีมีความสามารถพิเศษให้ได้รับการศึกษา ภาคบังคับด้วย รูปแบบและวิธีการที่เหมาะสม รวมท้ังการได้รับสิ่งอํานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลือ อ่ืนใดตามความจําเป็น เพือ่ ประกันโอกาสและความเสมอภาคในการไดร้ ับการ ศกึ ษาภาค บังคบั มาตรา ๑๓ ผู้ปกครองท่ีไม่ปฏบิ ัติตามมาตรา ๖ ต้องระวางโทษปรับไมเ่ กนิ หนงึ่ พนั บาท มาตรา ๑๔ ผู้ใดไม่อํานวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๙ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน หน่ึงพนั บาท มาตรา ๑๕ ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร กระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เด็กมิได้เรียนใน สถานศึกษาตามพระ ราชบัญญัตนิ ้ี ตอ้ งระวางโทษปรับไม่เกินหนึง่ หม่นื บาท มาตรา ๑๖ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑ หรือแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหม่ืน บาท มาตรา ๑๗ ในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ให้คณะกรรมการการประถมศึกษา แห่งชาติ ทําหนา้ ทแ่ี ทนคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน มาตรา ๑๘ ในระหว่างท่ียังไม่มีคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา ให้คณะกรรมการการประถมศึกษา กรุงเทพ มหานคร คณะกรรมการการประถมศกึ ษาอําเภอ หรือคณะกรรมการการประถมศึกษาก่ิงอําเภอ แล้วแต่กรณี ทําหน้าที่แทนคณะกรรมการเขตพ้ืนที่การศึกษา และให้สํานักงานการประถมศึกษา กรุงเทพมหานคร สํานักงาน การประถมศึกษาอําเภอ หรือสํานักงานการประถมศึกษากิ่งอําเภอแล้วแต่ กรณี ทาํ หนา้ ทแ่ี ทนสํานักงานเขตพืน้ ท่ี การศึกษา มาตรา ๑๙ ให้บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับ และคําสั่งท่ีออกตามพระราชบัญญัติ ประถมศึกษา พ.ศ.๒๕๒๓ ซ่ึงใช้บังคับอยู่ในวันท่ีพระราชบัญญัติน้ีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ยังคงใช้ บังคบั ไดต้ ่อไป เท่าท่ีไม่ขัดหรือแย้งกบั บทบัญญตั ใิ นพระราชบัญญัตนิ ี้
361 มาตรา ๒๐ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามพระราชบัญญัติน้ี และให้มีอํานาจ แต่งต้ังพนกั งานเจา้ หน้าที่ กับมอี าํ นาจออกประกาศเพ่ือปฏิบัตกิ ารตามพระราชบัญญัตนิ ี้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ตราข้ึนเมื่อเพ่ือมุ่งคุ้มครองสิทธิให้แก่เด็กหรือเยาวชนในด้านการศึกษา โดยเด็กทุก คนจะต้องได้รับการศึกษาตามหลักสูตรที่กระทรวงกําหนดไว้เป็นมาตรฐาน โดยผู้ปกครองต้องเป็น ผู้รับผิดชอบดูแลหรือในกรณีท่ีเด็กไม่มีผู้ปกครองเจ้าหน้าท่ีจะต้องดูแล หากปล่อยปะละเลยจะมี บทลงโทษแก่ผู้น้ัน นับว่าเป็นพระราชบัญญัติฉบับหน่ึงของไทยที่คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิในด้าน การศึกษาอย่างเตม็ ที่ เน่ืองด้วยเด็กเปรียบเสมือนเป็นกาลังสําคัญของชาติที่จะตอ้ งเติมโตไปเป็นผู้ใหญ่ท่ีดี หากไม่ไดร้ บั การศกึ ษาอย่างถูกต้อง เดก็ กจ็ ะไมม่ คี วามรูเ้ พือ่ นาํ ไปพัฒนาประเทศชาติและเลีย้ งตนเอง 4. ระบบการศึกษา 4.1 รปู แบบการจัดการศึกษา ในประเทศไทยมรี ปู แบบการจดั การศกึ ษาอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ดงั รายละเอยี ดทจี่ ะกลา่ วต่อไปน้ี 4.1.1 การศึกษาในระบบ พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 ได้นิยามไว้ว่า การศึกษาในระบบเป็นการศึกษาท่ีกําหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเง่ือนไขของการสําเร็จการศึกษาที่แน่นอน การศึกษาในระบบมี 2 ระดับได้แก่ การศึกษาข้ันพ้ืนฐานและการศึกษาระดับอุดมศึกษา ซ่ึงมีท้ังสาย สามัญและสายอาชีพหรืออาชวี ศกึ ษาการจดั การศึกษาในระบบของประเทศไทยมหี ลากหลายรปู แบบตาม ความเหมาะสมของกลมุ่ เป้าหมายตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ (1) การศึกษาในชนั้ เรยี นปกติ (Mainstream Education) ประกอบด้วย การศึกษาสายสามัญและการศึกษาสายอาชีพหรืออาชีวศึกษาสําหรับนักเรียนท่ัวไปโดย จดั การเรียนการสอนในระบบโรงเรียนปกติทั่วไป และผู้เรียนตอ้ งเข้าเรยี นเต็มเวลาตามที่หลกั สูตรกําหนด (2) การศึกษาขั้นพ้ืนฐานสําหรับนักเรียนท่ีมีความต้องการพิเศษ ได้แก่ นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ นกั เรียนทบ่ี กพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์ ทศ่ี ึกษาในโรงเรียนหรอื ศูนย์การศึกษาพเิ ศษ และ โรงเรียนที่จัดการเรียนร่วม และนักเรียนด้อยโอกาสที่ศึกษาในโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์และโรงเรียน ตํารวจตระเวนชายแดน (3) การศึกษาสําหรับสงฆ์และการศึกษาท่ีจัดโดยสถาบันศาสนา(4) การศึกษา เฉพาะทางท่ีจัดโดยหน่วยงานอ่ืนนอกเหนือจากกระทรวงศึกษาธิการ และ (5) การศึกษานานาชาติท่ีใช้ ภาษาอน่ื เปน็ ส่อื การเรยี นการสอน (สว่ นใหญจ่ ะเป็นภาษาองั กฤษ) การศึกษาในชน้ั เรียนปกติ เป็นการศึกษาในระบบทจี่ ดั ขน้ึ ในสถานศึกษา และผู้เรยี นต้องเข้าเรียน เต็มเวลา แบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทสามัญ และประเภทอาชีวศึกษา หรือเรียกกันท่ัวไปว่า
362 สายสามัญ และสายอาชีพหรือสายอาชีวศึกษา ประเภทสามัญจะเริ่มต้ังแต่ระดับปฐมวัยจนถึงระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย ประเภทอาชีวศึกษาจะเริ่มตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจนถึง ระดับอุดมศึกษา ในปัจจุบันระบบการศึกษาภาคบังคับของประเทศไทยกําหนดให้เป็น 9 ปี ตั้งแต่ระดับ ประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 มาตรา 54 ได้บัญญัติไว้ว่า “รัฐต้องดําเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลา 12 ปี ต้ังแต่ก่อนวัย เรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย” ทําให้กระทรวงศึกษาธิการต้อง ดําเนินการจัดการเรียนการสอนระดับอนุบาลในสถานศึกษาของรัฐที่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพ่ือ รองรับตามรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ส่วนการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานเริ่มตั้งแต่ระดับกอ่ นประถมศกึ ษา หรืออนบุ าล จนถงึ ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลายเป็นระยะเวลา 15 ปี ในปัจจุบนั การจดั การศึกษาในระดับปฐมวัยได้ใช้หลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั พุทธศักราช 2560 ท่ี มีเปา้ หมายในการพัฒนาเดก็ ปฐมวยั ทุกคนใหม้ ีพฒั นาการด้านร่างกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และ สติปัญญาท่ีเหมาะสมกับวัย ความสามารถ และความแตกต่างระหว่างบุคคลอย่างมีคุณภาพและต่อเน่ือง หลักสูตรปฐมวัยดังกล่าวนี้ เป็นหลักสูตรท่ีใช้สําหรับพัฒนาเด็กอายุต้ังแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี มี วสิ ยั ทศั นใ์ นการมุง่ พัฒนาเดก็ ทกุ คนให้รับการพฒั นาด้านรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม และ สติปัญญา อย่างมีคุณภาพและต่อเนื่อง ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมีความสุขและ เหมาะสมตามวัย มีทกั ษะชวี ติ และปฏบิ ัตติ นตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง เป็นคนดี มีวินัย และ สํานึกความเปน็ ไทยโดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา พอ่ แม่ ครอบครัว ชุมชน และทกุ ฝ่าย ทีเ่ กีย่ วข้องกับการพัฒนาเด็ก โครงสร้างหลกั สูตรแบ่งออกเป็น 2 ช่วงอายุ คือ 1) หลักสูตรสาํ หรับเดก็ อายุต่าํ กวา่ 3 ปี โดยแบ่ง การอบรมเลย้ี งดแู ละพัฒนาเด็กเปน็ 2 ชว่ งอายุ คือ ช่วงอายุแรกเกิด-2 ปี เป็นแนวปฏิบตั ิการอบรมเลี้ยงดู ตามวิถีชีวิตประจําวัน และช่วงอายุ 2-3 ปี เป็นแนวปฏิบัติการอบรมเล้ียงดูและส่งเสริมพัฒนาการและ การเรียนรู้ ให้เด็กมีร่างกายเจริญเติบโตตามวัย แข็งแรงและมีสุขภาพดี สุขภาพจิตดี มีความสุขมีทักษะ การใช้ภาษาสื่อสาร สนใจเรียนรู้ส่ิงต่างๆ และ 2) หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสําหรับเด็กอายุ 3-6 ปี เป็น การจัดการศึกษาในลักษณะของการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษา เด็กจะได้รับการพัฒนาทางด้าน ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม และสติปัญญา ตามวยั และความสามารถของเดก็ แต่ละคน สว่ นการจัดการศึกษาขั้นพ้ืนฐานในวิชาสายสามัญได้ใช้หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 สาํ หรบั ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 จนถึงชนั้ มัธยมศึกษาตอนปลาย ที่มุง่ เนน้ ผ้เู รียนเป็น สําคัญบนพื้นฐานความเชื่อท่ีว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ และในสาย อาชีวศึกษาได้ใช้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2556 (รวมท้ังฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2557) และหลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชพี ชั้นสูง พุทธศักราช 2557
363 หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซงึ่ เป็นกําลัง ของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมือง ไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมุข มีความร้แู ละทักษะพนื้ ฐาน รวมท้งั เจตคติทจ่ี าํ เป็นต่อการศึกษา ต่อการประกอบอาชพี และการศึกษา ตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญบนพื้นฐานความเช่อื วา่ ทุกคนสามารถเรียนรู้และพฒั นาตนเองได้ เตม็ ตามศักยภาพ ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานน้ีได้แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับประถมศึกษา มุ่งเน้นทกั ษะพนื้ ฐานด้านการอ่านการเขียน การคดิ คํานวณ ทกั ษะการคิดพืน้ ฐาน การตดิ ตอ่ ส่อื สาร กระบวนการเรียนรู้ทางสังคม และพ้ืนฐานความเปน็ มนุษย์ โดยเน้นจัดการเรียนร้แู บบบูรณาการ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้สํารวจความถนัดและความสนใจของตนเอง มี ทักษะในการคิด การดําเนินชีวิตและการใช้เทคโนโลยี และเป็นพ้ืนฐานในการประกอบอาชีพหรือ การศกึ ษาต่อ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เน้นการเพิ่มพูนความรู้และทักษะเฉพาะด้าน สนองตอบ ความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียน มีทักษะในการใช้วิทยาการและเทคโนโลยีและ กระบวนการคดิ ขนั้ สูง สามารถนําความรู้ไปประยกุ ต์ใช้ในการศกึ ษาต่อและการประกอบอาชพี โครงสร้างเวลาเรียนตามหลักสูตรแกนกลางขั้นพ้ืนฐานในระดับประถมศึกษากําหนดให้มีเวลา เรยี นท้ังหมดไมน่ อ้ ยกวา่ 1,000 ช่ัวโมงต่อปี ในระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น 1,200 ตอ่ ปี สว่ นระดบั มัธยมศึกษาตอนปลายต้องมีเวลาเรียนรวม 3 ปี ไม่น้อยกว่า 3,600 ช่ัวโมงอย่างไรก็ตาม ได้มีการปรับ หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ในบางสาระเพ่ือให้สอดรับกับการพัฒนาเทคโนโลยี ในการเข้าสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 และส่งเสริมให้ผเู้ รียนมีทักษะท่ีจําเปน็ สําหรับการเรียนรใู้ นศตวรรษ ท่ี 21 โดยปรับหลกั สูตรในกลมุ่ สาระการเรยี นร้คู ณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภูมิศาสตร์ ในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานสายสามัญ ยังได้มีการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทําสําหรับ นักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเพื่อให้มีประสบการณ์การทํางานและความรู้ขั้นพ้ืนฐาน สําหรับการทํางานในอนาคตและการใช้เทคโนโลยี และในโรงเรียนบางแห่งยังได้จัดการศึกษาเรียนร่วม หลักสูตรอาชีวศกึ ษาและมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือทวิศึกษา ซง่ึ ผู้ท่ีสําเร็จการศึกษาในหลักสูตรดังกล่าว จะไดร้ ับวุฒิการศกึ ษามัธยมศกึ ษาตอนปลายและวุฒิประกาศนียบัตรวชิ าชีพ (ปวช.) พร้อมกันเป็นการเพิ่ม โอกาสทางการศกึ ษาให้ผู้เรียนในระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลายในการศึกษาทางด้านวิชาชพี เพือ่ เพิ่มทักษะ และความรูค้ วามสามารถตา่ ง ๆ รวมทงั้ เพ่ิมโอกาสในการมงี านทํามากกว่าการมวี ฒุ ิการศึกษาระดับ มัธยมศกึ ษาตอนปลายเพยี งอยา่ งเดยี ว
364 การจัดการเรียนการสอนในสายอาชีวศึกษาเริ่มต้นข้ึนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยใช้ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพพุทธศักราช 2556 (รวมทั้งฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2557) และ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช 2557 หลักสูตรต่าง ๆของอาชีวศึกษาถูกออกแบบ เพ่ือให้สอดคล้องกับความต้องการกําลังคนที่มีทักษะของตลาดแรงงานและตอบสนองกับความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ในสายอาชีวศึกษาน้ีผู้เรียนสามารถเลือกระบบและแนวทางการเรียนท่ี เหมาะสมสอดคล้องกบั ศกั ยภาพ ความสนใจ และโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสม หลักสูตรอาชีวศึกษาได้ ส่งเสริมความร่วมมือในการจัดการศึกษาและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรของสถาบันสถาน ประกอบการ และหน่วยงานอืน่ ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ งทงั้ ในระดับชุมชนระดบั ท้องถิ่น และระดบั ชาติ ซ่งึ จะเน้นไป ทส่ี มรรถนะและกาํ หนดมาตรฐานด้านความรู้ ทักษะ ทศั นคติ และคณุ สมบัติของผู้เรยี น พระราชบัญญตั ิ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 ได้กําหนดให้ มีการจัดการ อาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพในสถานศึกษาของรัฐ สถานศึกษาเอกชน สถานประกอบการ หรือ โดยความร่วมมอื ระหว่างสถานศึกษากบั สถานประกอบการ การเรียนการสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เป็นการจัดการศึกษาให้แก่ผู้จบ การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ โดยมีระยะเวลาเรียน 3 ปี เนอื้ หาหลักสตู รประกอบดว้ ยประเภทวชิ า หลัก 9 ประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรม อตุ สาหกรรมส่ิงทอ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร พาณิชยกรรม ศิลปกรรม คหกรรม เกษตรกรรม ประมงและอุตสาหกรรมท่องเทย่ี ว ในแตล่ ะประเภทวิชา จะมีสาขาวิชาให้ผู้เรียนได้เลือกเรียน และหมวดวิชาทักษะชีวิตที่ประกอบด้วยกลุ่มวิชาเพ่ือพัฒนาผู้เรียน ให้มีทักษะในการปรับตัวและดําเนินชีวิตในสังคม มีความสามารถในการใช้เหตุผล การคิดวิเคราะห์ การ แก้ปญั หาและการจัดการ ส่วนการเรียนการสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูง (ปวส.) น้ัน เป็นการจัดการศึกษา ให้แกผ่ ้ทู ี่จบการศึกษาระดับประกาศนยี บัตรวิชาชีพและผู้จบการศกึ ษามัธยมศึกษาตอนปลายท่เี ลือก ศึกษาต่อในสายอาชีวศึกษา โดยมีระยะเวลาเรียนประมาณ 2 ปี เนื้อหาหลักสูตรประกอบด้วยประเภท วิชาหลัก 9 ประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรมบริหารธุรกิจ ศิลปกรรม คหกรรม เกษตรกรรม ประมง อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมสิ่งทอ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหมวดวิชา ทกั ษะชีวติ ซ่ึงมีจุดมุ่งหมายให้ผเู้ รียนได้มีความรู้และทักษะพ้นื ฐานในการดํารงชีวติ มีทักษะและสมรรถนะ ในงานอาชีพ สามารถบรู ณาการความรูม้ าประยกุ ต์ใช้ในงาน สถานศึกษาบางแห่งมีอาชีวศึกษาทวิภาคี ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาวิชาชีพท่ีเกิดจากข้อตกลง ระหวา่ งสถานศกึ ษากบั สถานประกอบการ รฐั วิสาหกิจ หรอื หน่วยงานของรฐั ในเรื่องการจดั หลักสูตรการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลโดยผู้เรียนใช้เวลาส่วนหน่ึงในสถานศึกษาอาชีวศึกษา และเรียนภาคปฏิบตั ิในสถานประกอบการทําให้ผเู้ รียนในสาขาวชิ าต่าง ๆ จะมโี อกาสในการฝกึ ปฏบิ ตั งิ าน
365 จากประสบการณจ์ ริง ในปี พ.ศ. 2551 ได้มีการตราพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551 และมีผลบังคับใช้ท่ัว ประเทศ กฎหมายวา่ ด้วยการอาชวี ศกึ ษาฉบับนไ้ี ด้ส่งเสรมิ ให้การจัดการอาชีวศึกษาของประเทศไทย มีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน ส่งผลให้ประเทศสามารถพัฒนากําลังคนที่มีทักษะทางวิชาชีพสอดคล้องกับความ ต้องการของตลาดแรงงาน และเพ่ือเพ่ิมผลผลิตและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของ ประเทศ นอกจากน้ี พระราชบัญญัติดังกล่าวยังได้กําหนดให้มี“สถาบันการอาชีวศึกษา” ซึ่งเกิดจากการ รวมตวั ของวิทยาลยั ตา่ งๆในแต่ละทอ้ งทที่ ่ีอยู่ในสังกัดสาํ นักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา (สอศ.) ตามกฎกระทรวงการรวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาเพื่อจัดต้ังสถาบันการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2555 และ กฎกระทรวงการรวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาเพื่อจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร พ.ศ. 2556 รวม ท้ังสิ้น 23 สถาบันการอาชีวศึกษา ซ่ึงมีสถานศึกษาในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาจํานวน 202 แห่ง สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษากําหนดให้หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัตกิ าร สอดคล้องกบั ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรอ่ื ง กรอบคุณวุฒิการศึกษาวชิ าชีพระดับ ปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ พ.ศ. 2555 – 2556 และผ่านการรับรองจากสํานักงาน คณะกรรมการการอดุ มศึกษา (สกอ.) สํานกั งานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และสํานกั งาน คณะกรรมการขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา (ก.ค.ศ.) พระราชบัญญัติการอาชีวศึกษาฉบบั น้ไี ด้กาํ หนดให้จัดการอาชีวศกึ ษาและการฝกึ อบรมวิชาชพี ได้ ใน 3 รปู แบบ ไดแ้ ก่ การศกึ ษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาระบบทวภิ าคี การจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพในระบบน้ันเน้นการศึกษาในสถานศึกษาเป็น หลัก โดยมกี ารกําหนดจดุ มุ่งหมาย วิธีการศกึ ษา หลกั สตู ร ระยะเวลา การวัดและการประเมนิ ผล ที่เป็นเง่ือนไขของการสําเร็จการศึกษาที่แน่นอน โดยจัดตามหลักสูตรที่คณะกรรมการการอาชีวศึกษา กาํ หนด ได้แก่ ประกาศนยี บัตรวิชาชีพประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สว่ นสถาบันการอาชีวศึกษาสามารถ จัดการศกึ ษาไดถ้ งึ หลกั สูตรปรญิ ญาตรสี ายเทคโนโลยีหรอื สายปฏิบตั ิการ ส่วนการจดั การอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวชิ าชีพนอกระบบ จะเป็นการจดั การศกึ ษาวชิ าชพี ท่ี มคี วามยืดหยุ่นในการกําหนดจดุ หมาย รูปแบบ วธิ ีการศึกษา ระยะเวลา การวัดและการประเมินผลที่เป็น เง่ือนไขของการสําเร็จการศึกษา โดยมีเน้ือหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ สภาพปญั หาและความต้องการของบุคคลแตล่ ะกลุ่ม สําหรับการศึกษาระบบทวิภาคี (Dual Vocational Training Programme) เกิดจากข้อตกลง ระหวา่ งสถานศกึ ษาอาชีวศกึ ษาหรอื สถาบันกับสถานประกอบการ รฐั วสิ าหกจิ หรอื หนว่ ยงานของรฐั
366 ในเรื่องการจัดหลักสูตรการเรียนการสอน การวัดและการประเมินผลโดยผู้เรียนใช้เวลาส่วนหน่ึงใน สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบัน และเรียนภาคปฏิบัติในสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐซึ่งผู้เรียนจะได้รับรายได้ตอบแทนในฐานะพนักงานหรือเจ้าหน้าท่ีชั่วคราวของสถาน ประกอบการท่ไี ปฝึกปฏบิ ัตงิ านอกี ดว้ ย 4.1.2 การศกึ ษานอกระบบ การศกึ ษานอกระบบตามพระราชบัญญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่ แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 เป็นการศึกษาท่ีมีความยืดหยุ่นในการกําหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจดั การศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวดั และประเมินผล โดยมเี นื้อหาทเ่ี หมาะสม สอดคล้อง กับสภาพปัญหาและความต้องการของแต่ละกลุ่มบุคคล หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนสามารถ ให้บริการจัดการศึกษานอกระบบได้ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม กระทรวง แรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม หน่วยงานเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชน ในปีการศึกษา 2559 มีผู้เรียน การศึกษานอกระบบสังกัดสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจํานวน 4,789,846 คน สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 1,032,003 คน สังกัด สํานักงาน คณะกรรมการสง่ เสริมการศึกษาเอกชน 1,257,911 คน และสงั กัดกรงุ เทพมหานคร 18,610 คน สถานท่ีจดั การศึกษานอกระบบมีหลากหลาย อาทิ สถานศกึ ษาท่ัวไป ศนู ย์ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยประจําเขตและอําเภอ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนใน ตา่ งประเทศ การจดั การเรียนการสอนของการศึกษานอกระบบในปัจจบุ ันได้กําหนดใช้ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 ซ่ึงเป็นหลักสูตรท่ีมโี ครงสร้าง ยืดหยุ่นทั้งในด้านเนื้อหาสาระการเรียนรู้ เวลา และการจัดการเรียนรู้ท่ีมีความหลากหลาย โดยเน้นการ บูรณาการเนื้อหาให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต ความแตกต่างของบุคคลชุมชน และสังคม ส่งเสริมให้มีการ เทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย และยัง ส่งเสริมให้มีโอกาสเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยตระหนักว่าผู้เรียนมีความสําคัญสามารถพัฒนา ตนเองได้ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพโดยแบ่งระดับการศึกษาออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับ ประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยสํานักงานคณะกรรมการ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยได้ปรับปรุงและเพ่ิมเติมหลักเกณฑ์การดําเนินงานตาม หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบดงั กล่าวในการศึกษาท้งั 3 ระดบั 4.1.3 การศกึ ษาตามอัธยาศยั การศกึ ษาตามอธั ยาศยั เปน็ การเรยี นร้จู ากประสบการณจ์ ากการทํางาน จาก
367 บคุ คล จากครอบครัว จากชมุ ชน จากส่ือ และจากแหลง่ ความรตู้ า่ ง ๆ เพ่อื เพ่มิ พนู ความรู้ ทักษะ และการ พฒั นาคุณภาพชวี ิตไมม่ ีหลักสตู รและเวลาเรยี นท่ีแน่นอน สามารถเรียนไดต้ ลอดเวลาและเกดิ ขึ้นในทุกช่วง วัยตลอดชีวิต นอกจากน้ีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 ยงั ได้ระบุไวว้ า่ การศึกษาตามอธั ยาศยั เป็นการศกึ ษาทใ่ี หผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรูด้ ้วยตนเองตามความ สนใจ ศักยภาพ ความพร้อมและโอกาส โดยศึกษาจากบุคคลประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม ส่ือ หรอื แหลง่ ความร้อู ่ืน ๆ ประกอบดว้ ย - การเรยี นรตู้ ามอัธยาศัยจากแหล่งเรยี นร้ตู ่าง ๆ เชน่ หอ้ งสมุด พพิ ิธภณั ฑ์ ศนู ยว์ ทิ ยาศาสตร์ รวมท้งั ส่ือตา่ ง ๆ เชน่ วทิ ยุ โทรทัศน์ หนังสอื พมิ พ์ นติ ยสาร เป็นต้น - การเรยี นรตู้ ามอัธยาศยั จากเครอื ข่ายการเรียนรู้ในชมุ ชน เชน่ ศูนย์ การเรยี นรูช้ ุมชน หอ้ งสมุดประชาชนประจาํ อาํ เภอศนู ย์สุขภาพชมุ ชน และแหล่งเรยี นรู้อ่ืน ๆ ในชุมชน - การศกึ ษาจากแหลง่ เรยี นรอู้ น่ื ๆ ได้แก่ 1) แหล่งภมู ปิ ัญญาท้องถิน่ ที่ แสดงถึงวัฒนธรรมและองค์ความรู้ในแต่ละชุมชน 2) สื่อท้องถิ่นท่ีมีบทบาทสําคัญในการถ่ายทอดความรู้ และค่านิยมของสังคมโดยผ่านศิลปะการแสดงในรปู แบบตา่ ง ๆ 3) ครอบครวั ซึ่งถือได้ว่าเป็นแหล่งความรู้ ของผเู้ รียนตงั้ แต่แรกเกดิ และ 4) เครอื ขา่ ยกจิ กรรมพเิ ศษตา่ ง ๆ 4.2 มาตรฐานและการประกนั คณุ ภาพการศึกษา พระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และทแี่ กไ้ ขเพิ่มเตมิ (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2545 ได้กําหนดให้การจัดระบบ โครงสร้าง กระบวนการจัดการศึกษาต้องยึดหลักที่สําคัญประการ หน่ึงคือ มีการกาํ หนดมาตรฐานการศกึ ษา และจดั ระบบประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาทุกระดบั และประเภท การศกึ ษา และกําหนดใหก้ ระทรวงมอี ํานาจหน้าท่กี ํากับดูแลการศกึ ษาทกุ ระดับ และทุกประเภท กาํ หนด นโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษาดังนั้น มาตรฐานการศึกษาได้ถูกจัดทําข้ึนมาเพ่อื สร้างคุณภาพการ จดั การศึกษาในด้านต่าง ๆ เช่น คณุ ลักษณะของผู้เรียน หลักสูตร กระบวนการจัดการเรียนการสอน เมื่อ มกี ารกระจายอํานาจในการบริหารและจัดการศึกษาทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสถานศึกษา จึงมีความ จําเป็นทตี่ อ้ งกําหนดมาตรฐานและคณุ ภาพการศึกษาเพื่อให้เกดิ การพฒั นาในภาพรวม สําหรับการประกันคุณภาพการศึกษาน้ัน ถือเป็นหลักการสําคัญประการหน่ึงของการกระจาย อํานาจทางการศกึ ษา พระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่แี ก้ไขเพิม่ เติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545มาตราท่ี 47 ได้กําหนดให้มีระบบประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน การศึกษาทุกระดับ ประกอบดว้ ย ระบบประกันคุณภาพภายใน และระบบประกันคุณภาพภายนอก ตาม กฏกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2561 ได้ให้ความหมายของการประกันคุณภาพ การศึกษาว่า เป็นการประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาของ
368 สถานศึกษาแต่ละระดับและประเภทการศึกษา โดยมีกลไกในการควบคุมตรวจสอบระบบการบริหาร คณุ ภาพการศึกษาท่ีสถานศกึ ษาจดั ขึน้ เพ่ือให้เกิดการพฒั นาและสรา้ งความเชือ่ มั่นให้แก่ผู้มสี ่วนเก่ียวข้อง และสาธารณชนว่า สถานศึกษานั้นสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา และ บรรลุเปา้ ประสงค์ของหนว่ ยงานตน้ สงั กัดหรือหนว่ ยงานที่กํากับดูแล การประกันคุณภาพการศึกษาช่วยสร้างความม่ันใจในเร่ืองประสิทธิภาพและคุณภาพการ ดําเนินงานของสถานศึกษา และทําให้ผู้เรียนมีคุณภาพหรือคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามมาตรฐาน การศกึ ษาท่ไี ด้กําหนดไว้ ดังนนั้ เม่อื มีระบบประกันคุณภาพแล้ว สถานศึกษาต่างต้องเรง่ พฒั นาการบริหาร จดั การ การเรยี นการสอน เพื่อให้เกิดคุณภาพการศึกษาผู้รับบริการทางการศึกษา ท้ังผู้รับบริการโดยตรง ได้แก่ ผู้เรียน และผู้ปกครอง และผู้รับบริการทางอ้อม ได้แก่ สถานประกอบการ ประชาชนทั่วไป และ สังคมโดยรวมจะไดร้ บั ผลประโยชน์สูงสดุ จากการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษา ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงมาตรฐานการศึกษาของชาติ มาตรฐานสําหรับการประเมินคุณภาพ การศกึ ษาภายใน การประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอก และมาตรฐานคุณวุฒทิ างการศกึ ษา ดงั นี้ 4.2.1 มาตรฐานการศึกษาของชาติ กระทรวงศึกษาธิการโดยสํานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษาไดจ้ ดั ทาํ มาตรฐาน การศึกษาของชาติ พ.ศ. 2561 แทนฉบับเดิมปี พ.ศ. 2547 มีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้สถานศึกษาทุกแห่งยึด เป็นแนวทางสําหรับการพัฒนาผู้เรียนไปสู่ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษา และให้หน่วยงานต้นสังกัด ใช้เป็นเป้าหมายในการจัดการศึกษา โดยการกําหนดผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของผู้เรียนที่เหมาะสมตามช่วง วัยในแต่ละระดับและประเภทการศกึ ษา และใชเ้ ป็นเปา้ หมายในการสนบั สนุนสถานศกึ ษาใหส้ ามารถ ดําเนนิ กิจการตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างสะดวกเพ่ือให้เกดิ ผลลพั ธด์ งั กล่าว และยังมีจดุ ม่งุ หมายเพือ่ ใหท้ ุกหน่วยงานท่ี เกีย่ วขอ้ งในการจัดการศกึ ษาใชเ้ ปน็ แนวทางในการสง่ เสริมกาํ กับดูแล การตรวจสอบ การประเมนิ ผล และ การประกันคณุ ภาพการศกึ ษา มาตรฐานดังกล่าวนี้จะอยู่ในรูปของผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษา (Desired Outcomes of Education: DOE Thailand) หมายถึง คุณลักษณะของคนไทย 4.0 ที่ตอบสนอง วิสัยทัศน์การพัฒนาสู่ความม่ันคง ม่ังค่ัง ย่ังยืน โดยคนไทย 4.0 จะต้องธํารงความเป็นไทยและแข่งขันได้ ในเวทโี ลก และเป็นบุคคลทม่ี คี ณุ ลักษณะ 3 ดา้ น ดงั น้ี 1) ผู้เรียนรู้ คือ เป็นผู้มีความเพียร ใฝ่เรียนรู้ และมีทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพ่ือก้าว ทันโลกยุคดิจิทัลและโลกในอนาคตและมีสมรรถนะ (Competency) ที่เกิดจากความรู้ ความรอบรู้ด้าน ตา่ ง ๆมีสนุ ทรยี ะ รักษ์และประยุกตใ์ ช้ภูมปิ ัญญาไทย มีทกั ษะชีวิต เพื่อสรา้ งงานหรือสัมมาชพี บนพ้นื ฐาน ของความพอเพียง ความมัน่ คงในชีวติ และคุณภาพชวี ิตทีด่ ี ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม 2) ผู้ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรม เป็นผูม้ ีทกั ษะทางปัญญาทักษะศตวรรษที่ 21 ความ
369 ฉลาดดิจิทัล (Digital Intelligence) ทักษะการคิดสร้างสรรค์ ทักษะข้ามวัฒนธรรม สมรรถนะการบูรณา การข้ามศาสตร์ และมีคุณลักษณะของความเป็นผู้ประกอบการ เพ่ือร่วมสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรม ทางเทคโนโลยหี รอื สังคม เพิ่มโอกาสและมลู ค่าใหก้ ับตนเองและสงั คม 3) พลเมืองทเี่ ข้มแข็ง เป็นผ้มู คี วามรักชาติ รักทอ้ งถิน่ ร้ถู ูกผิด มีจิตสํานึก เปน็ พลเมือง ไทยและพลโลก มีจิตอาสา มอี ุดมการณ์และมีสว่ นร่วมในการพัฒนาชาติบนหลกั การประชาธิปไตย ความ ยุติธรรมความเท่าเทียม เสมอภาค เพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ย่ังยืน และการ อยรู่ ่วมกนั ในสังคมไทยและประชาคมโลกอย่างสนั ติ สถานศึกษาและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องในการจัดการศึกษาสามารถใช้ผลลัพธ์ท่ีพึง ประสงค์ของการศึกษา เป็นแนวทางในการจัดการศกึ ษาและมาตรฐานการศึกษาขั้นตํ่าท่ีจําเปน็ ของแต่ละ ระดับและประเภทการศกึ ษา เพ่ือให้เกิดคณุ ลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ขนึ้ กบั ผเู้ รียนทั้งในระหว่างทก่ี ําลังศกึ ษา และเพ่ือวางรากฐานให้ผู้เรียนระหว่างที่กําลังศึกษาให้เกิดคุณลักษณะที่พึงประสงค์หลังจากสําเร็จ การศกึ ษา เป้าหมายสําคัญประการหน่ึงของมาตรฐานการศึกษาของชาตคิ ือ การให้อิสระสถานศกึ ษา ในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษาและตามความถนัดของผู้เรียนที่สอดรับกับ กฎกระทรวงการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา พ.ศ. 2561 4.2.2 การประกันคณุ ภาพการศึกษาภายใน ตามมาตราที่ 48 แหง่ พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และท่แี กไ้ ข เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 กําหนดให้หน่วยงานต้นสังกัดและสถานศึกษาจัดให้มีระบบการประกัน คุณภาพภายในสถานศึกษาและให้ถือว่าการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหาร การศึกษาท่ีต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดทํารายงานประจําปีเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานทีเ่ ก่ียวข้องและเปดิ เผยต่อสาธารณชน เพอื่ นาํ ไปสกู่ ารพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน การศึกษา และเพอื่ รองรับการประกนั คณุ ภาพภายนอกหลักการสาํ คัญของการประกนั คุณภาพภายใน ของสถานศึกษามี 3 ประการ คือ - มีจดุ มุ่งหมายในการให้สถานศึกษาร่วมกันพฒั นาปรบั ปรงุ คุณภาพให้เป็นไปตาม มาตรฐานการศกึ ษา โดยเป้าหมายสําคญั อยู่ท่กี ารพฒั นาคุณภาพให้เกดิ ขึ้นกับผ้เู รยี น - การทจี่ ะดาํ เนินการใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายตามจดุ มุ่งหมายการประกันคุณภาพภายใน ตอ้ ง ทําให้การประกันคุณภาพการศึกษาเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการบริหารจัดการและการทํางานของ บุคลากรทุกคนในสถานศึกษา ไม่ใช่เป็นกระบวนการที่แยกส่วนมาจากการดําเนินงานตามปกติของ สถานศึกษา โดยสถานศึกษาจะต้องวางแผนพัฒนาและแผนปฏิบัติการท่ีมีเป้าหมายชัดเจน ทําตามแผน ตรวจสอบประเมนิ ผลและพัฒนาปรับปรุงอย่างตอ่ เนื่อง เป็นระบบทมี่ คี วามโปร่งใสและมจี ติ สาํ นึก ในการพฒั นาคุณภาพการทํางาน
370 - การประกันคุณภาพเป็นหนา้ ที่ของบุคลากรทุกคนในสถานศึกษา ไมว่ า่ จะเปน็ ผ้บู ริหาร ครู อาจารย์ และบุคลากรอืน่ ๆในสถานศึกษา โดยในการดําเนินงานจะตอ้ งใหผ้ ูเ้ กีย่ วขอ้ ง เชน่ ผเู้ รียน ชุมชน เขตพ้ืนที่การศึกษา หรอื หน่วยงานท่ีกํากบั ดูแล เขา้ มามีส่วนร่วมในการกําหนดเป้าหมาย วางแผน ตดิ ตามประเมินผลพัฒนาปรับปรงุ ช่วยกันคดิ ชว่ ยกันทํา ช่วยกนั ผลักดันใหส้ ถานศึกษามคี ณุ ภาพ เพ่ือให้ ผูเ้ รียนได้รับการศกึ ษาทดี่ ีมีคณุ ภาพ เปน็ ไปตามความตอ้ งการของผู้ปกครองสังคม และประเทศชาติ ในปี พ.ศ. 2561 กระทรวงศกึ ษาธิการไดอ้ อกกฎกระทรวงการประกันคุณภาพ การศึกษา พ.ศ. 2561 ได้กําหนดให้สถานศึกษาแต่ละแห่งจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ภายในสถานศกึ ษาโดยการกาํ หนดมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศึกษาให้เป็นไปตามมาตรฐาน การศึกษาแต่ละระดับและประเภทการศึกษาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการประกาศกําหนด พร้อมท้ังจัดทําแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาและ ดําเนินการตามแผนท่ีกําหนดไว้ จัดให้มีการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายใน สถานศึกษา ติดตามผลการดําเนินการเพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา และ จัดส่งรายงานผลการประเมินตนเองให้แก่หน่วยงานต้นสังกัดหรือหน่วยงานท่ีกํากับดูแลสถานศึกษาเป็น ประจําทุกปี นอกจากนี้ เมื่อวันท่ี 6 สิงหาคม พ.ศ. 2561 กระทรวงศึกษาธิการยังได้ออกประกาศ กระทรวงศึกษาธกิ าร เร่ือง ใหใ้ ช้มาตรฐานการศึกษา ระดับปฐมวัย ระดับการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน และระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐานศูนย์การพิเศษ เพื่อให้ใช้กับสถานศึกษาระดับปฐมวัย ระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน และระดับการศึกษาขัน้ พ้ืนฐานศูนยก์ ารศึกษาพิเศษประกาศดังกลา่ วจะเป็นหลักในการเทียบเคียงสําหรับ สถานศกึ ษา หน่วยงานตน้ สงั กดั และสาํ นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาและมัธยมศึกษา เพ่ือพัฒนา ส่งเสรมิ สนับสนุน กํากับดูแล และติดตามตรวจสอบคุณภาพการศกึ ษาตามระบบการประกัน คุณภาพภายใน โดยจําแนกได้ดังน้ี 1) มาตรฐานการศึกษา ระดบั ปฐมวยั พ.ศ. 2561 มี 3 มาตรฐาน ไดแ้ ก่ มาตรฐานที่ 1 คณุ ภาพของเด็ก มาตรฐานที่ 2 กระบวนการบรหิ ารและการจดั การ มาตรฐานที่ 3 การจดั ประสบการณท์ ่เี น้นเดก็ เป็นสาํ คญั 2) มาตรฐานการศกึ ษา ระดับการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พ.ศ. 2561 มี 3 มาตรฐาน ไดแ้ ก่ มาตรฐานที่ 1 คณุ ภาพผูเ้ รียน ประกอบดว้ ย ผลสมั ฤทธิ์ ทางวชิ าการของผ้เู รียน และคุณลักษณะทีพ่ ึงประสงคข์ องผู้เรยี น มาตรฐานที่ 2 กระบวนการบรหิ ารและการจัดการ มาตรฐานที่ 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนทีเ่ นน้
371 ผ้เู รยี นเปน็ สาํ คญั 3) มาตรฐานการศึกษา ระดับการศึกษาขน้ั พืน้ ฐานศูนยก์ ารศกึ ษาพิเศษ พ.ศ. 2561 มี 3 มาตรฐาน ไดแ้ ก่ มาตรฐานท่ี 1 คุณภาพของผู้เรียน ประกอบด้วยผลการพัฒนาผู้เรียน และ คณุ ลักษณะทพี่ งึ ประสงคข์ องผเู้ รยี น มาตรฐานที่ 2 กระบวนการบรหิ ารและการจดั การ มาตรฐานที่ 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอน ท่เี น้นผู้เรียนเป็นสาํ คญั สว่ นในระดับอดุ มศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ ารได้ออกประกาศกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เรอ่ื ง มาตรฐานอุดมศึกษา พ.ศ. 2561เพ่ือใช้เป็นกลไกในการส่งเสริมการประกันคุณภาพการศึกษา ซึ่ง ครอบคลุมมาตรฐานการอุดมศึกษา 5 ด้าน คอื ผลลัพธ์ผู้เรยี น การวิจยั และนวัตกรรมการบริการวิชาการ แก่สังคม ศิลปวัฒนธรรมและความเป็นไทย และการบริหารจัดการ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้สําเร็จการศึกษา ระดับอุดมศึกษามีคุณลักษณะของคนไทยท่ีสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และเป็นกําลังสําคัญในการ พัฒนาประเทศไทยสู่ความมั่นคง มง่ั ค่ัง และยั่งยืน 4.2.3 การประกันคณุ ภาพการศึกษาภายนอก พระราชบัญญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพิม่ เติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2545 มาตราที่ 49 กําหนดให้มีสํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา มีฐานะเป็น องค์การมหาชนทําหน้าที่พัฒนาเกณฑ์ วิธีการประเมินคุณภาพภายนอก และทําการประเมินผลการจัด การศึกษาเพ่ือให้มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยคํานึงถึงความมุ่งหมายและหลักการและ แนวการจัดการศึกษาในแต่ละระดับตามท่ีกําหนดไว้ในพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้มีการประเมินคุณภาพ ภายนอกของสถานศกึ ษาทุกแหง่ อย่างน้อย 1 คร้ังในทกุ 5 ปี นับตัง้ แต่การประเมินคร้ังสุดท้าย และเสนอ ผลการประเมนิ ต่อหนว่ ยงานทเ่ี กีย่ วขอ้ งและสาธารณชน ดังนั้น สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. จึงได้ถูกจัดตง้ั ขึ้นเพอื่ เป็นหน่วยงานที่รบั ผดิ ชอบหลกั ดา้ นการประเมนิ คุณภาพการจดั การศึกษา การติดตาม การตรวจสอบคณุ ภาพและ มาตรฐานการศกึ ษาของสถานศกึ ษา แนวคิดสําคัญของการประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอกนั้น ได้แก่ การประเมินคุณภาพ การศึกษาภายนอกตอ้ งมีความเชอ่ื มโยงกับระบบประกันคณุ ภาพภายในของสถานศึกษาและหน่วยงานต้น สงั กัดในการปฏิบตั ิหน้าที่ท่ีรับผิดชอบให้บรรลุถึงเป้าหมายและมาตรฐานที่กําหนดและร่วมรับผิดชอบต่อ การจัดการศึกษาที่เกิดขึ้น และต้องช่วยกระตุ้นหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องให้เกิดการส่งเสริมการยกระดับ คุณภาพของสถานศึกษาสสู่ ากลตามนโยบายการปฏิรูปการศกึ ษาของรัฐบาลเพ่ือการบรรลเุ ป้าหมาย
372 ทงั้ ในระดบั ชาติและระดบั นานาชาติ ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2544 จนถึงปี พ.ศ. 2558 สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ การศึกษา ได้ทําการประเมินคุณภาพภายนอกไปแล้ว 3 รอบ โดยการประเมินรอบท่ี 3 พบว่า สถานศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาที่ผ่านเกณฑ์การประเมินมีจํานวนร้อยละ 96.81 สถานศึกษา ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาร้อยละ 77.47 สถานศึกษาอาชีวศึกษาร้อยละ 79.49 สถานศึกษา ระดับอุดมศกึ ษา 95.27 และการศึกษานอกโรงเรยี นระดบั อาํ เภอรอ้ ยละ 98.81 สําหรับการประเมินคุณภาพภายนอกรอบท่ี 4 ในการประเมินสถานศึกษาทุกระดับ สํานักงาน รับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาจะพิจารณาจากผลการดําเนินงานตามมาตรฐานของแต่ ละสถานศกึ ษา ทีก่ ําหนดและออกแบบเองตามบรบิ ทของสถานศึกษาน้ัน ๆใหส้ อดคล้องกับแผนการศึกษา แห่งชาติ นโยบายหรือจุดเน้นของต้นสังกัดมีระดับคุณภาพ 5 ระดับ คือ ดีเยี่ยม ดีมาก ดี พอใช้ และ ปรับปรุง 5. การปฏิรูปการศกึ ษา การปฏิรูปการศกึ ษา หลังการเปล่ยี นแปลง การปกครอง พ.ศ.2475 คร้ังท่ี 1 พ.ศ.2517: รัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้แต่งต้ังคณะกรรมการ วางพ้ืนฐาน การศึกษา มีนักวิชาการและนักบริหารการศึกษา รวม 22 คน ทางการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และรับฟัง ความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง เพ่ือ ตอบโจทย์เชิงหลักการสี่ประการ ได้แก่ การศึกษาที่พึงประสงค์มี ลักษณะ อย่างไรจัดเพ่ืออะไร จัดเพื่อใคร และจัดอย่างไรเสนอรายงานปฏิรูป “การศึกษาเพ่ือชีวิตและ สังคม” คร้ังท่ี 2 พ.ศ.2537: เป็นการปฏิรูปการศึกษาโดยภาคเอกชน นําโดย นายบัณฑูร ลํ่าซํา กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทยได้ สนับสนุนให้มี การปฏิรูปการศึกษาเป็นกิจกรรมหน่ึงเน่ืองใน โอกาสครบ 50 ปี ของธนาคารฯ โดยเชิญคณะนักวิชาการ นักการศึกษาและผู้บริหารท้ังภาครัฐและ เอกชนกว่า 30 คน เป็น คณะศึกษา “การศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัฒน์” แล้วสรุปเป็น รายงาน “การศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัฒน์และสู่ ความก้าวหน้าและความม่ันคง ของชาติในทศวรรษหน้า” นําเสนอต่อองค์กรและบุคคลทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อ อกระตุ้นให้เห็นความสําคัญของการปฏิรูป การศกึ ษา ในลกั ษณะ “ยทุ ธศาสตร์การศึกษาไทยในยุคโลกาภวิ ฒั น์ รฐั บาลนายชวน หลีกภัย ได้แตง่ ตง้ั คณะกรรมการปฏิรปู การศึกษา ประกอบด้วยนักการเมอื ง นัก การศึกษา นักวิชาการ และนักบริหาร การศึกษา ร่วมกันศึกษาวิจัยและประมวลข้อคิดเห็นอย่าง
373 กว้างขวาง จัดให้มี การปฏิรูปทางการศึกษาไทยท้ังระบบและครบกระบวนการรวมท้ังจัดยกร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติเสนอต่อรัฐสภา เป็น พ.ร.บ.แม่บทของการปฏิรูป และการจัดการศึกษาไทย ต้ังแต่ พ.ศ.2542 ต่อเน่ืองถึง พ.ศ.2560 คร้ังท่ี 4 พ.ศ.2560 – ปัจจุบัน รัฐบาล คสช. ได้จัดให้ มีสภาปฏิรปู ประเทศไทย ศึกษาและเสนอ ยทุ ธศาสตร์ปฏิรูปประเทศไทยดา้ นต่างๆรวมท้งั ด้านการศึกษา ข้อเสนอของสภาปฏิรูปและรฐั บาลได้นําไป เป็นบทบัญญัติส่วนหน่ึงของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและ พ.ร.บ.สําคัญด้านต่างๆ รวมทั้งร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแหง่ ชาตฉิ บับใหม่ เป็นการปฏิรูปการศึกษาเพ่ือ พฒั นาประเทศไทย 4.0 ตามยุทธศาสตร์ ชาต2ิ 0 ปี (พ.ศ.2560-2579) สรปุ กล่าวโดยเฉพาะกฎหมายการศึกษา ก็จะหมายถึงกฎเกณฑ์ที่รัฐหรือผมู้ ีอํานาจกําหนดข้ึนเป็นกฎ ข้อบังคับ การปฏิบัติเก่ียวกับการบริหารและจัดการศึกษา โดยมีรูปแบบท้ังท่เี ป็นพระราชบัญญัติพระราช กฤษฎีกา กฎกระทรวง รวมท้ังข้อบังคับระเบียบ คําส่ัง ท่ีใช้บังคับในการดําเนินงานทางการศึกษา และมี ลักษณะเป็นกฎหมายมหาชนในสาชากฎหมายปกครอง เนื่องจากกฎหมายการศึกษาส่วนใหญ่มีลักษณะ เป็นความสัมพันธ์ระหวา่ งรัฐกับเอกชน และระหว่างองค์กรของรัฐด้วยกัน เช่น พระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ.2552 พระราชบัญ ญัติระเบียบบริหารราชการ กระทรวงศึกษาธิการ ศ.2546 พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 พระราชกฤษฎีกาจัดต้ังโรงเรียนมหิดล วิทยานุสรณ์พ.ศ.2543 กฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการนับอายุเด็ก เพ่ือเข้ารับการศึกษาภาค บงั คับ พ.ศ. 2545 และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการประเมินเทียบระดับการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน และการศกึ ษาระดับอดุ มศึกษาต่ํากว่าปริญญา พ.ศ. 2546 เปน็ ต้น
374 อ้างองิ กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์. (2563). การทาํ โทษนกั เรยี นท่ีมพี ฤตกิ รรมไม่เหมาะสม. สืบค้นจาก https://sites.google.com/site/mcupsychology ครูสมาร์ทดอทคอม. (2563). [เตือนครู] ระวังผิดวินัย ตัวอย่างความผิดทางวินัยของครูและบุคลากร ทางการศึกษา ตัวอย่างความผิดวินัยครู. สืบค้นจาก:http://www.krusmart.com/teacher- discipline/ ชมช่นื มัณยารมย์. (2563). ววิ ัฒนาการกฎหมายไทย. สบื คน้ จาก http://law.dpu.ac.th เซนเตอร์. (2554). สรปุ ย่อพ.ร.บ.ค้มุ ครองเดก็ พ.ศ. 2546โดยครูเซนเตอร(์ 4ธ.ค.54). สืบค้น จาก http://satun.nfe.go.th/satun/111 บลั ลงั ก์ โรหติ เสถียร. (2561). มาตรฐานการศึกษา. หมวดข่าววงการศึกษา. สืบคน้ จาก http://www.moe.go.th พระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542. (2542, 19 สิงหาคม). ราชกิจจานเุ บกษา. เล่ม 116 (ตอนท่ี 74 ก), หน้า 1-23. พระราชบัญญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2545. (2545, 19 ธนั วาคม). ราชกิจจานเุ บกษา. เลม่ 119 (ตอนท่ี 123 ก), หนา้ 16-21. พระราชบญั ญัติการศกึ ษาภาคบงั คบั พ.ศ.2545. (2545, 31 ธันวาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เลม่ 119 (ตอนท่ี 128 ก), หนา้ 11-14. พระราชบัญญัตริ ะเบยี บข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547. (2547, 24 ธันวาคม). ราช กิจจานเุ บกษา. เลม่ 121 (ตอนพเิ ศษ 79 ก), หน้า 22-74. พระราชบญั ญตั ิระเบียบขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ.2551. (2551, 21 กมุ ภาพนั ธ์). ราชกิจจานเุ บกษา. เล่ม 125 (ตอนที่ 36 ก), หน้า 28-36. พระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ.2553. (2553, 22 กรกฎาคม). ราชกจิ จานเุ บกษา. เล่ม 127 (ตอนที่ 45 ก), หน้า 1-3. พระราชบญั ญตั ิระเบียบข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา (ฉบับท่ี 3) พ.ศ.2553. (2553, 23 กรกฎาคม). ราชกจิ จานเุ บกษา. เล่ม 127 (ตอนท่ี 45 ก), หน้า 7-11. พระราชบัญญตั ิระเบยี บขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา (ฉบับท่ี 4) พ.ศ.2562. (2562, 1 พฤษภาคม). ราชกจิ จานุเบกษา. เลม่ 136 (ตอนที่ 43 ก), หน้า 9-12. พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ (ฉบบั ท่ี 4) พ.ศ.2562. (2562, 1 พฤษภาคม). ราชกจิ จานเุ บกษา. เลม่ 136 (ตอนที่ 57 ก), หน้า 49-52. ตามมาจะพาเป็นครู. (2561). พระราชบญั ญัติการศึกษาภาคบงั คบั พ.ศ. 2545 จะสอบเมือ่ ไหร่ ก็ตอ้ ง
375 เขียนผงั สรุปองค์ความร้นู ะจ๊ะ. สืบคน้ จาก https://web.facebook.com วรวตั ิ กติ ิวงค์. เตรยี มสอบครูผูช้ ว่ ยสงั กัด สพฐ. ฉบบั ครบเครือ่ ง อปั เดตครั้งที่ 5. นนทบรุ ี : ธงิ ค์ บี ยอนด์ บุค๊ ส์,2563 วิจิตร ศรีสอ้าน, (2550). การปฏริ ปู การศกึ ษา. เหลยี วหลงั แลหนา้ การปฏริ ปู การศกึ ษาไทย. สืบคน้ จาก http:/ea.grad.ssru.ac.th/attachment สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2561). รายงานการศกึ ษาไทย พ.ศ.2561. กรงุ เทพฯ: พรกิ หวาน กราฟฟคิ . หนุ่ม. (2563). สรุปยอ่ พรบ.ระเบียบขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา 2547. สบื ค้นจาก http://www.krunoomtutor.com
376 กล่มุ 5 การเปน็ แบบอยา่ งทด่ี ี มีคุณธรรม จรยิ ธรรม เปน็ พลเมอื งทเ่ี ขม้ แขง็ ดารงตนใหเ้ ปน็ ทเี่ คารพศรทั ธา ชองผ้เู รยี นและสมาชกิ ในชุมชน
377 การเปน็ แบบอยา่ งทด่ี ี มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม เปน็ พลเมอื งทเ่ี ขม้ แขง็ ดารงตนให้ เปน็ ทเี่ คารพศรทั ธาชองผเู้ รยี นและสมาชกิ ในชมุ ชน การเปน็ แบบอย่างทดี่ ขี องครู ตามพระราชบัญญัตสิ ภาครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. 2546 ได้ให้ความหมายของคา ว่า ครู ไว้ว่า เป็นบคุ คลซ่ึงประกอบวชิ าชพี หลกั ทางด้านการเรียนการสอนและการสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ ของผเู้ รยี นด้วยวิธกี ารต่างๆ ในสถานศกึ ษาปฐมวยั ขัน้ พ้ืนฐาน และอดุ มศึกษาที่ต่ ากวา่ ปรญิ ญา ท้ัง ของรฐั และเอกชน คณุ ลักษณะครูทด่ี ี ตามเจตนารมณของพระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติพ.ศ. 2542 และที่แกไขเพิ่มเติม (ฉบับ ที่ 2)พ.ศ. 2545 หมวดที่ 7 ที่ตองการจะพัฒนาอาชพี ครใู ห้เป็นอาชีพชน้ั สูง ผู้ทป่ี ระกอบอาชพี นจ้ี ะตอง ได้รบั เกยี รติและมีศักดิ์ศรีในวิชาชพี ในฐานะเป็นผู้สร้างหรือผู้มบี ทบาทในการพฒั นาใหเยาวชนของชาติ เป็นคนที่มคี ุณภาพอันเป็นผลใหประชาชนโดยรวมของชาติในอนาคตมีคุณภาพพรอมที่จะพฒั นาชาติต อไป โดยกไหนดใหองคกรวชิ าชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษามฐานะเป็นองค์กรอิสระ ภายใตการบริหารของสภาวิชาชีพในการกากับของกระทรวงศึกษาธิการ มีอานาจหนาที่กาหนด มาตรฐานวิชาชีพออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กากับดแลู การปฏิบัติตามมาตรฐาน และจรรยาบรรณของวชิ าชพี รวมท้ังการพัฒนาวิชาชพี ครู ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษา (สานักงานเลขาธิการคุรุสภา. 2542 : 67) แสดงวาอาชีพครูเปน็ ปัจจัยที่สาคัญท่ีสดุ ในการจัดการเรียน การสอนในปจจุบัน (Duke. 1992 : 257) และยงั มีบทบาทในการจงู ใจ การจัดสงิ่ แวดลอมใหเหมาะสม แกการเรียนรวมถึงการใชอิทธิพลอ่ืน ๆ เพื่อให้ผูเรียนมีความสนใจและประสบผลสูงสุดตามศักยภาพ (Jacobsen, Eggen & Kauchak. 1999 : 3-14) ในการพฒั นาครูใหเป็นมืออาชีพจงึ เป็นเร่ืองที่สาคัญ เพือ่ ใหเกดิ การเตรยี มตัวการคดั สรรใหมีครทู ่ีคุณลักษณะท่ีเหมาะสม การเปล่ียนแปลงทางสงั คม สิ่งแวดลอม วิทยาการและเทคโนโลยีในโลกยุคปจจุบัน ทาใหเกดิ การเปลี่ยนแปลงในด้านวิชาชพี ต่าง ๆ โดยเฉพาะวิชาชีพครทู ่ีมีผใู หความสาคัญมากขน้ึ เป็น อาชพี ที่สงั คมใหการยอมรับมากข้ึน เพราะเห็นว่าครจู ะเปน็ ผู้สร้างความมน่ั คงให้กับเยาวชน ซงึ่ จะเป็น ประชาชนของชาตทิ ท่ี าใหประเทศชาตมิ นั่ คงตอไปเชนเดียวกัน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ใหความหมายคาวา ครู หมายถึง ผู้ส่ัง สอนให้แก่ศิษย์และคาวา อาชีพ หมายถึง การเล้ียงชีวิต การทามาหากินงานท่ีทาเป็นประจาเพ่ือเลี้ยง ชีพ และพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ได้ให้คาจากัดความคาวา ครู หมายถึง บุคคลที่ประกอบวิชาชีพหลักด้านการเรียนการสอนและการสงเสริมการเรียนรูของผู้เรียน
378 ด้วยวิธีการต่าง ๆ ในสถานศึกษาปฐมวัย ข้ันพื้นฐาน และอุดมศึกษาท่ีต่ากว่าปริญญาตรีท้ังของรัฐและ เอกชน (กรมสามญั ศกึ ษา. 2546 : 2) พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กล่าววา ครูวิชาชีพ คือ ครูท่ีมีความพรอมในทุก ๆ ด้านท่ีจะเป็น ครู คือ มีความรูความสามารถมีทักษะในการใหการศึกษาอบรมศิษย์ในทุก ๆ ดานมีความประพฤติดี วางตวั ดีเอาใจใสด่ ูแลศิษย์มีวญิ ญาณความเปน็ ครูและปฏิบัติหนาที่ครดู ้วยจติ วิญญาณของความเป็นครู สวนอาชีพครู คือ คนท่ีมายึดอาชีพเพื่อใหได้คาตอบแทนมาใชในการดารงชีวิต ขาดจิตวิญญาณของ ความเป็นครู จึงปฏิบัติหน้าท่ีครู เพราะมีหนาที่ที่จะตองทาไม่ใช่เพราะมีใจรักท่ีจะทา (กรมวิชาการ. 2544 : 7) ลักษณะของครูท่ีดีนั้นเป็นส่วนที่จะส่งผลถึงคุณคาทางการศึกษาซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐาน เพราะการเป็ นครูน้ัน ไม่ใช่ว่ ามีคว ามรู หรื อท าทางน าเชื่อถือก็จ ะมาเป็น ครู ได้ อาชีพครูเป็ น อา ชี พ เฉพาะตัวต้องมกี ารเพาะบม อบรม ฝกฝน มาเป็นอย่างดดี งั เชน นักวิชาการหลายทา่ นรวมถึงหน่วยงาน ทเี่ กี่ยวของได้กล่าวถงึ คณุ ลักษณะความเป็นครทู ่ีดไี ว้ดังน้ี คลารค (Clark. 1995 : 4-6) ไดเ้ สนอคุณลักษณะครูท่ดี ใี นดา้ นต่าง ๆ ดงั น้ี 1. ด้านการสอน โดยพิจารณาจากกระบวนการสอนและผลการสอน โดยกล่าววานักเรียนจะ ได้ผลการเรียนท่ีดีถ้าครูใชเวลาในการทางานกับเพื่อนครูมากกว่าทาคนเดียว จะทาใหเกิดการ แลกเปลย่ี นความคิดในการจัดการเรียนการสอน ท้งั สามสวนท่ีสาคัญ คอื การใหความรู การตั้งคาถาม และการตอบสนองตอนักเรยี นเม่ือนกั เรียนตอบคาถาม 2. ด้านการคิดของครู มีความสาคัญมากในการสอนและเป็นนพื้นฐานท่ีสาคัญมากของครู เพราะเกย่ี วของกับการวางแผน การตัดสินใจ และจะมีผลตอพฤตกิ รรมอนื่ ๆ เพราะครูตองเป็น นกั สงั เกต นักวิเคราะหส์ ามารถจดั ลาดับการปฏิบตั ิงานท่ีมีผลต่อเนอื่ งสัมพนั ธกันได 3. ดานความรูของครคู วามรูท่จี าเป็นของครคู อื 3.1 มีความรูในเนื้อหาวิชา 3.2 มคี วามรูในความเปน็ ครูทวั่ ไป 3.3 มีความรูเรื่องหลักสตู ร 3.4 มีความรูในวธิ ีสอนตามเนื้อหา 3.5 มีความรูในเรอื่ งนกั เรียนและคณุ ลักษณะของนกั เรยี น 3.6 มคี วามรูในบริบททางการศกึ ษา 3.7 มีความรูในเป้าหมายการศึกษา และคานิยมต่าง ๆ ฮอยและมสิ เกล (Hoy & Miskel. 1996 : 328-329) กลา่ ววา การสอนเป็นงานระดับมอื อาชีพ ซ่งึ คณุ ลกั ษณะในความเปน็ ครนู ้นั สามารถแบงออกไดเ้ ป็น 4 ประการ คือ
379 1. ดานความรู้ (Knowledge) เป็นพ้ืนฐานที่จาเป็นมาก ความรูได้มาจากการศึกษาและการฝ กฝน ซึ่งความรูนั้นตองจัดอย่างเป็นระบบในตัวเอง และมีความเขาใจในระบบจะมีความจาเพาะ เจาะจง สามารถแกปญหาท่ีซบั ซอ้ นและลึกซ้งึ ได้ 2. ดานความเป็นระเบียบและการควบคุม (Regulations and Control) โดยเฉพาะอย่างย่ิง ความสามารถในการควบคุมตนเองเพราะจะเป็นผู้ที่สามารถทาสิ่งต่าง ๆ ได้เอง ตามกรอบความรูท่ีตน มคี วามชานาญการและรบั การตรวจสอบจากมอื อาชีพดว้ ยกันได้ 3. มีระบบการนกคิดที่ดี (Ideology) ซ่ึงเป็นพื้นฐานท่ีสาคัญในการเกิดคานิยมครูอาชีพ เชน การคานึงถงึ การพฒั นานกั เรยี น การคดิ อยา่ งมีวจิ ารญาณ เป็นตน 4. ความสัมพันธ์ร่วมกัน (Association) กลุมมืออาชีพมักมีความสัมพันธ์อย่างเพื่อนในการที่ ครูอาชพี เตม็ ใจปฏิสัมพนั ธก์ นั จะทาใหผลการตดั สินใจและการปฏบิ ัตงิ านของกลุ่มมีประสทิ ธภิ าพมาก คณะอนุกรรมการส่งเสริมวิชาชีพครูของครุ ุสภา (2534 : 9-51) ได้ศกึ ษาเกี่ยวกับลักษณะท่ีดี ของครแู ละได้สรุปว่า ครคู วรมีคณุ ลกั ษณะ 4 ประการดังนี้ 1. รอบรู คือ ครูจะตองมีความรอบรูในวิชาชีพของตน เชน ปรัชญาการศึกษาประวัติ การศึกษาหลักการศึกษา นโยบายการศึกษา แผนและโครงการพัฒนาการศึกษาและจะต้องมีความรู เช่ียวชาญในเร่ืองหลักสูตร วิธีสอนและวิธีประเมินผลการศึกษาในวิชาหรือกิจการท่ีตนรับผิดชอบ นอกจากน้ีครูควรมีความรูเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมท้ังการเปล่ียนแปลงและพัฒนาการ ตา่ งๆ ทีเ่ กิดขน้ึ ในสงั คมของตนและของโลก 2. สอนดี คือ ครูจะตองทาการสอนอยา่ งมีประสิทธภิ าพมีการพัฒนาการสอนใหสอดคลองกับ ความสามารถและความสนใจของนักเรียน อีกท้ังสามารถใหบริการและแนะแนวในด้านการเรียน การ ครองตน และการรักษาสุขภาพอนามัยจัดทาและใชสื่อการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมท้ัง สามารถปรบั การเรียนการสอนใหเหมาะสมกบั สถานการณบานเมืองในปจั จุบัน 3. มคี ุณธรรมและจรรยาบรรณ คือ ครตู องมีศรัทธาในวิชาชพี ครู ตงั้ ใจใชความรูความสามารถ ทางวิชาชีพเพื่ อให้บริการแก่นักเรียนและสั งคมมีความซื่อสัตย ต อหลักการของอาชีพครูมี ความ รับผิดชอบในด้านการศกึ ษาตอสังคม ชมุ ชน และนักเรียน มคี วามรัก ความเมตตา และความปรารถนา ดีตอนักเรียน อุทิศตนและเวลาเพ่ือสงเสริมใหนักเรียนทุกคนไรับความเจริญเติบโตและพัฒนาการใน ทุกด้าน 4. มุง่ ม่นั พัฒนาคอื ครตู องรูจกั สารวจและปรับปรุงตนเอง สนใจใฝรแู ละศกึ ษาหาความรูต่าง ๆ รูจักเพิ่มพูนวิทยฐานะของตนเองพยายามคิดคนทดลองใชวิธีการใหม่ๆ ท่ีเป็นประโยชนตอการเรียน การสอน และรว่ มพัฒนาชมุ ชนด้วย คุณลักษณะครูที่ดีเนสิ่งที่สาคัญในคุณภาพของการศกึ ษา ทาใหหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรอ่ื ง คณุ ภาพของครู มาตรฐานวิชาชีพครไู ดก้ าหนดเกณฑมาตรฐาน เพ่อื ดูแลครไู ว 12 มาตรฐาน คือ
380 (วไิ ล ต้ังจิตสมคดิ 2544 : 93-103) มาตรฐานที่ 1 ปฏิบตั กิ ิจกรรมทางวชิ าการเกยี่ วกบั การพัฒนาวชิ าชีพครอู ยเู่ สมอ หมายถงึ การศึกษาค้นควา้ เพือ่ พฒั นาตนเอง การเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และการเข้ารว่ ม กิจกรรมทางวิชาการท่ีองค์การหรือหน่วยงาน หรือสมาคมจัดขึ้น เช่น การประชุม การอบรม การ สมั มนา และการประชมุ ปฏิบัติการ เป็นตน้ ทง้ั นีต้ อ้ งมีผลงานหรือรายงานท่ีปรากฏชัดเจน มาตรฐานท่ี 2 ตดั สินใจปฏบิ ตั ิกิจกรรมตา่ ง ๆ โดยคานึงถงึ ผลท่ีจะเกดิ แก่ผเู้ รียน หมายถึง การเลือกอย่างชาญฉลาด ด้วยความรัก และหวังดีต่อผู้เรียน ดังน้ัน ในการเลือก กจิ กรรมการเรียนการสอนและกิจกรรมอ่นื ๆ ครูต้องคานงึ ถึงประโยชน์ท่ีจะเกิดแกผ่ ู้เรยี นเปน็ หลกั มาตรฐานท่ี 3 ม่งุ ม่ันพฒั นาผเู้ รียนได้เต็มตามศักยภาพ หมายถึง การใช้ความพยายามอย่างเต็มความสามารถของครูท่ีจะให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ ให้ มากที่สดุ ตามความถนดั ความสนใจ ความต้องการ โดยวเิ คราะหว์ นิ จิ ฉัยปัญหาความตอ้ งการที่แท้จริง ของผู้เรียน ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนท่ีจะให้ได้ผลดีกว่าเดิม รวมท้ังการส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ตามศักยภาพของผู้เรยี นแต่ละคนอย่างเปน็ ระบบ มาตรฐานที่ 4 พฒั นาแผนการสอนใหส้ ามารถปฏิบัติไดเ้ กดิ ผลจรงิ หมายถึง การเลือกใช้ ปรับปรุง หรือสร้างแผนการสอน บันทึกการสอน หรือเตรียมการสอน ในลกั ษณะอื่น ๆ ทส่ี ามารถนาไปใชจ้ ดั กจิ กรรมการเรียนการสอน ให้ผเู้ รยี นบรรลวุ ตั ถุประสงค์ของการ เรยี นรู้ มาตรฐานที่ 5 พฒั นาส่อื การเรยี นการสอนให้มีประสทิ ธภิ าพอยเู่ สมอ หมายถึง การประดิษฐ์ คิดค้น ผลิต เลือกใช้ ปรับปรุงเคร่ืองมืออุปกรณ์ เอกสารส่ิงพิมพ์ เทคนคิ วิธีการตา่ ง ๆ เพ่อื ใหผ้ ูเ้ รยี นบรรลุจดุ ประสงคข์ องการเรยี นรู้ มาตรฐานที่ 6 จัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยเน้นผลถาวรที่เกิดแกผ่ ูเ้ รยี น หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนประสบผลสาเร็จในการแสวงหาความรู้ ตามสภาพความแตกตา่ งของบุคคลดว้ ยการปฏิบัตจิ ริง และสรุปความรู้ทัง้ หลายไดด้ ว้ ยตนเองก่อให้เกิด คา่ นยิ มและนสิ ยั ในการปฏิบัตจิ นเป็นบุคลกิ ภาพถาวรติดตวั ผู้เรียนตลอดไป มาตรฐานที่ 7 รายงานผลการพฒั นาคุณภาพของผ้เู รยี นไดอ้ ยา่ งมีระบบ หมายถงึ การรายงานผลการพฒั นาผู้เรียนที่เกิดจากการปฏิบตั กิ ารเรียนการสอนให้ครอบคลุม สาเหตุ ปจั จัย และการดาเนินงานที่เกี่ยวขอ้ ง โดยครูนาเสนอรายงานการปฏบิ ัตใิ นรายละเอยี ด ดงั นี้ 1) ปญั หาความตอ้ งการของผู้เรยี นทต่ี อ้ งได้รับการพฒั นา และเปา้ หมายของการพฒั นาผู้เรยี น 2) เทคนิค วิธีการ หรือนวัตกรรมการเรียนการสอนท่ีนามาใช้เพ่ือการพัฒนาคุณภาพของ ผู้เรยี น และข้นั ตอนวิธีการใช้เทคนิควิธีการหรอื นวตั กรรมน้นั ๆ 3) ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนตามวิธกี ารทีก่ าหนด ทเ่ี กิดกบั ผู้เรียน
381 4) ข้อเสนอแนะแนวทางใหม่ ๆ ในการปรับปรุงและพัฒนาผเู้ รยี นให้ได้ผลดียงิ่ ขน้ึ มาตรฐานท่ี 8 ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียน หมายถึง การแสดงออกการประพฤติและปฏิบัติในด้านบุคลิกภาพท่ัวไป การแต่งกาย กิริยา วาจา และจริยธรรมท่ีเหมาะสมกับความเป็นครูอย่างสม่าเสมอ ท่ีทาให้ผู้เรียนเล่ือมใสศรัทธา และถือ เปน็ แบบอย่าง มาตรฐานที่ 9 ร่วมมือกับผูอ้ ่นื ในสถานศกึ ษาอยา่ งสร้างสรรค์ หมายถึง การตระหนักถึงความสาคัญ รับฟังความคิดเห็น ยอมรับในความรู้ความสามารถ ให้ ความร่วมมือในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ของเพื่อนร่วมงานด้วยความเต็มใจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ของสถานศึกษา และรว่ มรบั ผลท่เี กิดขึน้ จากการกระทานน้ั มาตรฐานที่ 10 รว่ มมือกบั ผ้อู ่ืนในชุมชนอยา่ งสรา้ งสรรค์ หมายถึง การตระหนักถงึ ความสาคัญ รบั ฟังความคดิ เห็น ยอมรับในความรู้ความสามารถ ของ บุคคลอ่ืนในชุมชน และร่วมมือปฏิบัติงานเพ่ือพัฒนางานของสถานศึกษา ให้ชุมชนและสถานศึกษามี การยอมรบั ซ่ึงกนั และกัน และปฏบิ ัติงานร่วมกนั ด้วยความเตม็ ใจ มาตรฐานท่ี 11 แสวงหาและใชข้ อ้ มูลขา่ วสารในการพัฒนา หมายถึง การค้นหา สังเกต จดจา และรวบรวมข้อมูลข่าวสารตามสถานการณ์ของสังคมทุก ด้าน โดยเฉพาะสารสนเทศเกี่ยวกับวิชาชีพครู สามารถวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างมีเหตุผล และใช้ข้อมูล ประกอบการแก้ปญั หา พัฒนาตนเอง พฒั นางาน และพฒั นาสังคมได้อย่างเหมาะสม มาตรฐานท่ี 12 สรา้ งโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนร้ใู นทุกสถานการณ์ หมายถงึ การสรา้ งกจิ กรรมการเรยี นรู้โดยการนาเอาปัญหาหรือความจาเป็นในการพฒั นาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการเรียนและการจัดกิจกรรมอื่น ๆ ในโรงเรียนมากาหนดเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือ นาไปส่กู ารพฒั นาของผู้เรียนที่ถาวร เป็นแนวทางในการแก้ปญั หาของครูอีกแบบหน่ึงท่ีจะนาเอาวิกฤติ ตา่ ง ๆ มาเปน็ โอกาส ในการพัฒนา ครจู าเปน็ ตอ้ งมองมุมต่าง ๆ ของปญั หาแล้วผันมุมของปัญหาไปใน ทางการพัฒนา กาหนดเป็นกิจกรรมในการพัฒนาของผู้เรียน ครูจึงต้องเป็นผู้มองมุม บวกใน สถานการณ์ต่าง ๆ ได้ กล้าที่จะเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ มีสติในการแก้ปัญหา มิได้ตอบสนองปัญหาตา่ ง ๆ ดว้ ยอารมณ์หรือแง่มมุ แบบตรงตัว ครูสามารถมองหักมุมในทกุ ๆ โอกาส มองเหน็ แนวทางที่นาสู่ผล กา้ วหนา้ ของผูเ้ รยี น คณุ ลกั ษณะของครูทด่ี ี 10 ประการ 1. ความมีระเบียบวินยั หมายถึง ความประพฤติ ทง้ั ทางกายและวาจาและใจ ท่ีแสดงถึงความ เคารพในกฎหมาย ระเบียบประเพณีของสังคม และความประพฤติที่สอดคล้องกับอุดมคติหรือ ความหวังของตนเอง โดยใหย้ ึดสว่ นรวมสาคัญกว่าส่วนตัว
382 2. ความซ่ือสัตย์สุจริตและความยุติธรรม หมายถึง การประพฤติท่ีไม่ทาให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่ เอาเปรียบหรือคดโกงผู้อื่นหรือส่วนรวม ให้ยึดถือหลักเหตุผล ระเบียบแบบแผนและกฎหมายของ สังคมเปน็ เกณฑ์ 3. ความขยนั ประหยดั และยดึ ม่ันในสมั มาอาชีพ หมายถึง ความประพฤติท่ีไม่ทาให้เสียเวลา ชวี ิตและปฏิบัติกิจอันควรกระทาใหเ้ กิดประโยชน์แก่ตนและสังคม 4. ความสานึกในหน้าท่ีและการงานต่าง ๆ รวมไปถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและ ประเทศชาติหมายถึง ความประพฤติท่ีไม่เอารัดเอาเปรียบสังคมและไม่ก่อความเสียหายให้เกิดขึ้นแก่ สงั คม 5. ความเป็นผู้มีความคิดริเร่ิม วิจารณ์และตัดสินอย่างมีเหตุผล หมายถึง ความประพฤติใน ลักษณะสรา้ งสรรคแ์ ละปรับปรุงมเี หตมุ ผี ลในการทาหนา้ ที่การงาน 6. ความกระตือรือร้นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มคี วามรักและเทิดทูน ชาติ ศาสนาพระมหากษัตรยิ ์หมายถึง ความประพฤติทีส่ นับสนุนและใหค้ วามรว่ มมือ ในการอยู่ร่วมกนั โดย ยดึ ผลประโยชน์ของสังคมใหม้ ากทสี่ ดุ 7. ความเป็นผมู้ พี ลานามัยท่ีสมบูรณ์ท้ังทางร่างกายและจติ ใจ หมายถงึ ความม่นั คงและจิตใจ ร้จู ักบารงุ รักษากายและจติ ใจใหส้ มบูรณ์ มีอารมณ์แจ่มใสมีธรรมะอย่ใู นจิตใจอยา่ งมั่นคง 8. ความสามารถในการพึ่งพาตนเองและมีอดุ มคตเิ ปน็ ท่ีพง่ึ ไมไ่ หวว้ านหรอื ขอความช่วยเหลือ จากผอู้ ่ืนโดยไม่จาเป็น 9. ความภาคภูมิและการร้จู กั ทานุบารงุ ศลิ ปะ วฒั นธรรม และทรัพยากรของชาติหมายถงึ ความประพฤติทีแ่ สดงออกซ่ึงศลิ ปะและวัฒนธรรมแบบไทยๆ มคี วามรกั และหวงแหนวัฒนธรรมของ ตนเองและทรัพยากรของชาติ 10. ความเสียสละ และเมตตาอารี กตัญญูกตเวที กล้าหาญ และความสามัคคีกัน หมายถึง ความประพฤติที่แสดงออกถึงความแบง่ ปนั เก้ือกลู ผ้อู ่ืน ในเร่อื งของเวลากาลงั กายและกาลังทรัพย์
383 รางวลั สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหาจกั รี PRINCESS MAHA CHAKRI AWARD เกยี่ วกบั มลู นธิ ริ างวลั สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหาจักรี ในวโรกาสทีส่ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี จะทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา ในปี 2558 สานักงานเลขาธิการครุ สุ ภา กระทรวงศึกษาธกิ าร รว่ มกับผูป้ ฏบิ ตั ิงานดา้ น การศกึ ษา ได้ขอพระราชทานพระราชานญุ าตจัดตั้งรางวลั ระดับนานาชาตเิ พอ่ื เฉลิมพระเกยี รติ พระ ปรชี าดา้ นการศกึ ษา ท่ีทรงอุทิศพระองคเ์ พื่อส่งเสรมิ การศึกษาใหแ้ ก่เดก็ และเยาวชนในระดบั ตา่ งๆ มา โดยตลอด โดยเฉพาะเด็กเยาวชนผู้ด้อยโอกาสในท้องถนิ่ ห่างไกลท่ัวประเทศ โดยทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ พระราชทานพระราชานญุ าตต้ังพระนามรางวัลวา่ “รางวัลสมเด็จเจา้ ฟา้ มหาจักรี” หรือ Princess Maha Chakri Award และพระราชทานพระราชานญุ าตใหจ้ ัดตั้ง “มูลนิธริ างวลั สมเด็จเจา้ ฟา้ มหาจักร”ี เพ่ือเปน็ องค์กรหลกั ในการวางแผนการดาเนินงานและพจิ ารณารางวัล สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชกรณียกิจดา้ นการศึกษา สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเป็นนักการศึกษา โปรดทีจ่ ะศึกษาหา ความร้ตู า่ ง ๆ และทรงม่งุ มั่นอุตสาหะในการศกึ ษาสิง่ ท่ีสนพระทยั อย่างจริงจัง ความใฝ่พระทยั ใน การศกึ ษามีมาต้ังแตค่ รงั้ ยงั ทรงพระเยาว์ ดงั จะเหน็ ได้จากพระราชนพิ นธข์ ้อสอบวชิ าเรยี งความ ช้ัน มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 เรื่อง “ประเทศท้งั หลายย่อมเจริญไดด้ ้วยการศึกษา” ความตอนหน่ึงวา่ “… กลา่ วกันว่า “การศึกษาทาคนให้เปน็ คน” เนอ่ื งจากการศึกษานี้ไม่ได้หมายความเพียงแค่ ทอ่ งจาสิ่งตา่ ง ๆ ท่ีทางโรงเรยี นและกระทรวงศึกษาธิการกาหนดให้เรยี น แต่มีความหมายกวา้ งออกไป ถึงการค้นคว้าด้วยตนเอง ใช้สมองคดิ วเิ คราะห์แยกแยะถึงเหตุผลของสิ่งตา่ ง ๆ ในโลกด้วย ยงิ่ บุคคล เรียนรู้เขา้ ใจสงิ่ ตา่ ง ๆ มากขึน้ เทา่ ไร บุคคลนน้ั ยิง่ เป็นคนท่ีเชย่ี วชาญเฉลียวฉลาดท้ังในทางโลกและทาง
384 ธรรม เป็นกาลงั ของบ้านเมือง ทาให้บ้านเมืองเป็นปรกตสิ ขุ ประเทศอนื่ ๆ ไมอ่ าจจะเอารัดเอาเปรียบ ได้ …” ทรงเหน็ ความสาคัญของครอบครัวทเ่ี ปน็ จดุ เรมิ่ แรกของการเรียนรู้ และหลอ่ หลอมจิตสานึก ของคนต้ังแตว่ ัยเยาว์ พระราชดาริดังกลา่ วอยูใ่ นปาฐกถาเรื่อง “การศึกษาของผดู้ ้อยโอกาส” ทที่ รง บรรยายเมอื่ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 ความตอนหนึ่งวา่ “… การศึกษาเบ้ืองต้นท่ีเราพูดถงึ คือ การศึกษาในครอบครัว ซ่งึ เป็นชว่ งสรา้ งบุคลกิ สรา้ งชวี ติ โดยหลัก ๆ แลว้ เปน็ การเรียนร้กู ารปฏิบัตติ นในชวี ิตประจาวนั และพัฒนาการตา่ ง ๆ เช่น การพูด การ กิน การเดิน การแตง่ ตวั กิจกรรมในครวั เรอื น เช่น การถูพื้นในบ้านต้องทาเป็น การเย็บผ้า การแก้ เครอื่ งใช้อะไรนิด ๆ หนอ่ ย ๆ และมีการเรียนความรทู้ ่ีจะประกอบอาชีพตามอาชีพพ่อแม่ เช่น ชาวนา กเ็ อาลูกไปทานา ชาวประมง ชา่ งฝีมือตา่ ง ๆ หรือวา่ เห็นวา่ พอ่ แม่ทาอย่างนน้ั อยูใ่ นบรรยากาศอยา่ งนั้น กท็ าตามไป … … นอกจากนั้นครอบครวั ยังให้การศึกษาดา้ นจริยศาสตร์และคา่ นยิ มทางสงั คมดว้ ย หรอื ว่า ความเคยชนิ เช่น ข้าพเจา้ เกดิ ในครอบครวั ทพ่ี ่อแมช่ อบอ่านหนังสอื ชอบศึกษาเลา่ เรียน ก็จะได้ความ เคยชนิ เรอ่ื งการอ่านหนังสือและการเลา่ เรียนมาดว้ ย …” จากพนื้ ฐานความเปน็ นักอา่ น ความใฝ่เรยี นร้อู ยา่ งตอ่ เนื่อง เม่ือเจริญพระชนั ษาขึน้ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีจงึ ทรงเปน็ นักการศกึ ษาทสี่ นพระทัยศาสตร์ตา่ ง ๆ หลาย แขนง โปรดการศึกษาค้นควา้ ท่ีกว้างขวางรอบด้าน มิใช่เฉพาะส่ิงท่ีกาหนดไว้ในหลกั สูตรเท่านัน้ ทรง สาเร็จการศกึ ษาทางด้านอักษรศาสตร์ในระดบั ปริญญาตรแี ละปรญิ ญาโท (สาขาวิชาประวัติศาสตร์ สาขาวชิ าจารกึ ภาษาตะวนั ออกและสาขาวิชาภาษาบาลี – สันสกฤต ตามลาดบั ) จากนน้ั ทรงศกึ ษาต่อ ระดบั ปริญญาเอกในสาขาวชิ าพัฒนศึกษาศาสตร์ อนั เป็นวิชาการทว่ี า่ ดว้ ยการพฒั นาโดยใชก้ ารศกึ ษา การเรยี นรูเ้ ป็นแกน และยงั ทรงเข้ารบั การฝึกอบรมและศึกษาหาความรเู้ กีย่ วกับวิทยาการแขนงอื่น ๆ ที่สนพระทัยและทรงเหน็ ว่าเป็นประโยชน์ต่อการทรงงานอย่างตอ่ เนื่อง นอกจากจะสนพระทัยในศาสตรท์ ่เี ป็นพนื้ ฐาน ยงั ทรงมที ักษะทางดา้ นภาษาต่างประเทศ หลายภาษา อาทิ บาลี-สันสกฤต จีน เขมร องั กฤษ ฝรง่ั เศส เยอรมัน ละตนิ ทาให้ทรงสามารถศึกษา ค้นควา้ จากแหลง่ ข้อมูลต่างประเทศได้อย่างกวา้ งขวาง ทรงเน้น ความสาคัญของความร้ภู าษาและการ ใช้ภาษา ทง้ั เพื่อการศึกษาค้นควา้ และการติดต่อสื่อสาร ที่สาคญั คือภาษาไทย ทรงเนน้ ว่าตอ้ งอา่ นจับ ความให้ได้ พูดและเขยี นใหช้ ัดเจน ถูกกาลเทศะ การมีความรู้ภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิง่ ภาษาอังกฤษมคี วามสาคัญมากเช่นกนั ในด้านการคน้ ควา้ หาความรู้ เน่ืองจากข้อเขยี นต่าง ๆ ในด้าน วชิ าการ มที เ่ี ป็นภาษาองั กฤษมากที่สดุ ถ้าใชไ้ ด้แตข่ ้อมลู ท่ีเป็นภาษาไทย ความรู้จะแคบ เพราะว่าอา่ น ได้แต่สง่ิ ที่คนไทยเขยี น การแปลข้อความมาจากต่างประเทศอาจจะคลาดเคล่อื นได้ การมคี วามรู้ภาษา สาคัญท่ใี ช้ติดต่อส่อื สารกันเป็นส่ิงจาเปน็ ท้ังดา้ นเอกสาร และการสือ่ สารผา่ นคอมพวิ เตอร์ระบบ
385 อนิ เตอร์เน็ต เพ่ือติดต่อกับนักวชิ าการหรือนักธุรกิจไดท้ ว่ั โลก สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลต่าง ๆ มากมาย เสนองานวิจัยใหผ้ ู้อื่นวจิ ารณ์ ขอความรหู้ รือพดู คุยกับผสู้ นใจเรื่องเดยี วกนั ได้ทวั่ โลก รวมทัง้ การรับ-ส่ง ข้อมลู ในลักษณะมัลติมีเดีย (Multimedia) นอกจากภาษาอังกฤษซ่งึ จะเปน็ ภาษาสากลแล้ว ทรงเห็น วา่ ภาษาต่างประเทศภาษาทสี่ องนนั้ ถ้ามีความรู้ได้กม็ ีประโยชน์ พระราชกรณียกจิ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ในด้านการศึกษา อาจจาแนกได้ เปน็ 2 ลกั ษณะ ได้แก่ 1. พระราชกรณยี กิจการทรงรับราชการ 2. พระราชปู ถัมภเ์ พอื่ การศึกษาและวิจยั รางวลั สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหาจกั รี คณะกรรมการมูลนิธิรางวลั สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหาจักรี พจิ ารณาเกณฑก์ ารคัดเลือกครูรางวัล สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครง้ั ท่ี 3 เนน้ คุณสมบตั ิครูผสู้ รา้ งการเปลย่ี นแปลงในชวี ิตลูกศษิ ย์และมีคุณูปการ ตอ่ วงการศกึ ษาไทย สาหรับรางวลั สมเดจ็ เจ้าฟา้ มหาจักรี เป็นรางวลั ระดับนานาชาตเิ พอ่ื เชิดชูเกยี รตคิ รดู เี ดน่ ใน อาเซยี นและตมิ อร์-เลสเต 11 ประเทศ ซึ่งจะมีการคัดเลือกในทุก 2 ปคี ร้ัง โดยคุณสมบตั ิที่สาคัญของ ครูรางวัลสมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหาจักรปี ระเทศไทย คือ เป็นครผู ูส้ ร้างการเปลย่ี นแปลงในชวี ติ ลูกศิษย์ เพื่อให้ ลูกศษิ ย์เจรญิ ก้าวหนา้ สูค่ วามสาเร็จในชีวิต จนมีลกู ศิษยท์ ่ีประสบความสาเรจ็ ในหลากหลายแวดวง อาชีพกล่าวยกยอ่ งถึงคุณงามความดี และเปน็ ผูม้ ีคณุ ูปการต่อการศึกษา โดยเป็นแบบอย่างทัง้ ทาง จรยิ ธรรมและการทางานทท่ี ุ่มเทกับการสอนหรอื การจดั การเรียนรู้ จนมคี วามแตกฉานทง้ั ในเนือ้ หา และการจัดกระบวนการเรียนรูใ้ นส่วนทีร่ ับผดิ ชอบ โดยเปน็ ครผู ู้สอนระดบั การศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน ท้งั ใน สถานศกึ ษาหรอื ครูนอกสถานศกึ ษา และมีประสบการณก์ ารสอนอยา่ งต่อเน่ืองไม่นอ้ ยกว่า 15 ปี
386 หลกั เกณฑว์ ธิ กี ารสรรหาและคดั เลือกครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟา้ มหาจกั รี ครั้งท่ี 4 ปี 2564 ประกาศมลู นธิ ริ างวลั สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหาจกั รี เรอ่ื ง หลกั เกณฑว์ ธิ กี ารสรรหาและคดั เลือกครรู างวลั สมเดจ็ เจ้าฟ้ามหาจกั รี ครง้ั ที่ 2564 ปี 4(ประเทศไทย) เพ่ือใหก้ ารสรรหาและคัดเลือกครูรางวลั สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรคี รงั้ ท่ี 4 ปี2564 (ประเทศไทย) ดาเนนิ ไปด้วยความเรยี บร้อย มูลนิธริ างวลั สมเดจ็ เจ้าฟา้ มหาจกั รี จงึ กาหนดหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการไว้ ดงั ตอ่ ไปนี้ ข้อ 1 ในประกาศนี้ “คณะกรรมการวชิ าการ” หมายถงึ คณะกรรมการทีแ่ ตง่ ต้ังโดยประธานกรรมการมูลนธิ ิ รางวลั สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหาจักรมี บี ทบาทหน้าท่ใี ห้ความเหน็ ชอบรายชื่อครผู ู้สมควรไดร้ บั พระราชทาน รางวัลสมเดจ็ เจ้าฟ้ามหา จักรีทีเ่ สนอโดยคณะกรรมการคัดเลือกส่วนกลาง คณะกรรมการคดั เลือก ระดับจงั หวดั และองค์กรภาครฐั และ ภาคเอกชน “คณะกรรมการคัดเลอื กสว่ นกลาง” หมายถึง คณะกรรมการคดั เลอื กครผู ูส้ มควรไดร้ บั พระราชทาน รางวัลสมเดจ็ เจ้าฟา้ มหาจักรใี นสว่ นกลาง ซงึ่ แตง่ ต้งั โดยประธานกรรมการมูลนธิ ิรางวลั สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจกั รี “คณะกรรมการคัดเลือกระดับจังหวัด” หมายถงึ คณะกรรมการคัดเลือกครูผู้สมควรไดร้ ับ พระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟา้ มหาจักรใี นระดับจังหวัด ซ่งึ แตง่ ตั้งโดยผู้ว่าราชการจังหวัด ผูว้ ่า ราชการ กรุงเทพมหานคร หรือปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร “การศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน” หมายถงึ การศึกษาระดับกอ่ นประถมศึกษา ระดบั ประถมศึกษา ระดับ มธั ยมศึกษา หรือระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชพี (ปวช.) “ผเู้ รยี นในวัยการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน” หมายถงึ ผ้เู รียนทีม่ ีอายุระหวา่ ง 3 – 18 ปี “จังหวดั ” หมายถงึ จงั หวดั ทั้ง 76 จงั หวดั และกรุงเทพมหานคร
387 ขอ้ 2 ครผู สู้ มควรไดร้ บั พระราชทานรางวลั สมเดจ็ เจ้าฟา้ มหาจักรี ตอ้ งมคี ุณสมบัตทิ วั่ ไปและ คณุ สมบตั เิ ฉพาะ ดงั นี้ 2.1 คุณสมบัติท่ัวไป (1) มสี ญั ชาติไทย และมถี นิ่ ที่อยใู่ นประเทศไทย (2) ปฏิบัติหน้าท่ีอย่างใดอยา่ งหนง่ึ ดังตอ่ ไปน้ี 1) เปน็ หรอื เคยเปน็ ครผู ูส้ อนระดับการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน ในสถานศึกษาของ รัฐ เอกชน หรือองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น 2) เปน็ หรอื เคยเป็นครนู อกสถานศึกษาที่สอนผเู้ รยี นในวัยการศึกษาขั้น พนื้ ฐาน (3) มปี ระสบการณ์ปฏบิ ตั ิงานสอนอยา่ งต่อเนื่องมาแล้วเป็นเวลาไม่นอ้ ยกว่า 15 ปี นบั ถึงวนั ท่ีออกประกาศนี้ (4) ปฏบิ ตั ิงานสอนอยู่จนถึงวนั ประกาศผลการพิจารณาตัดสินตามข้อ 8.3 ในกรณีท่ี เปน็ ผบู้ รหิ ารสถานศึกษาตอ้ งมีช่วั โมงสอนในรายวชิ าอย่างต่อเน่ือง (5) ไมเ่ ปน็ ครูสอนพิเศษเปน็ อาชีพหลกั 2.2 คณุ สมบัตเิ ฉพาะ คุณสมบตั ิเฉพาะและแนวทางการพิจารณา มีดงั นี้ (1) เปน็ ผสู้ ร้างการเปลย่ี นแปลงในชวี ติ ลกู ศษิ ย์ คณุ สมบตั ิเฉพาะ แนวทางการพจิ ารณา 1. เปน็ ผู้สรา้ งการเปลย่ี นแปลงในชวี ติ ลกู ศิษย์ 1. เปน็ ผ้สู ร้างการเปลยี่ นแปลงในชวี ติ ลกู ศิษย์ สรา้ งแรงบันดาลใจและจดั การเรยี นรูใ้ ห้ พิจารณาจากข้อมูลเชิงประจักษ์ในประเดน็ ลูก ศิษย์มีความเจรญิ ก้าวหนา้ และความสาเร็จ ตอ่ ไปน้ี ในชวี ิต มี ความอุตสาหะในการทาภารกิจความ (1) ลักษณะการสอนและการจัดการเรียนรู้ เป็นครมู าโดย ตลอดด้วยจิตวิญญาณความเป็น ของครู สามารถนาไปสู่การเปลีย่ นแปลง ครู และเป็น แบบอย่างทางคุณธรรมจรยิ ธรรม พฤติกรรมการเรียนรู้ และคุณภาพชวี ิต มีลูกศิษย์ท่ีประสบ ความสาเร็จในหลากหลาย ของลูกศษิ ย์ใหด้ ีขึ้นอย่างชัดเจน โดย แวดวงอาชีพกลา่ วยกย่อง ถึงคณุ งามความดี ปฏิบัตติ ่อลูกศิษยท์ ุกคนอยา่ งสม่าเสมอ ตลอดชวี ติ ความเป็นครู (2) ผลการสอนและการจดั การเรียนรูท้ าให้ ลกู ศิษย์ ประสบความสาเรจ็ ท้งั ในดา้ น การเรยี นการอาชพี และ การดาเนนิ ชีวิต
388 (3) มจี ิตวิญญาณความเป็นครู รักและ ศรทั ธาในวชิ าชพี ครู มคี วามรัก เมตตา เอาใจใสช่ ่วยเหลอื ส่งเสริมให้ กาลงั ใจ แก่ลกู ศิษยโ์ ดยเสมอหน้า อบรม ฝกึ ฝน เสริม ความรู้ ทักษะ และนสิ ยั ที่ดีงามแก่ ลกู ศิษย์อยา่ งเต็ม ความสามารถ เนน้ ผลสัมฤทธิท์ ่ีเกดิ ขึ้นกับลกู ศษิ ย์ทกุ ดา้ น (4) มีพฤติกรรมทด่ี ีงาม ทงั้ กาย วาจา ใจ ประพฤติ ปฏิบัตติ นเปน็ แบบอย่างทดี่ ี แกล่ กู ศิษยแ์ ละเพ่ือนครู (5) ไดร้ ับการยกย่องจากลกู ศิษยแ์ ละผทู้ ่ี เกี่ยวขอ้ ง เช่น ผูบ้ งั คับบัญชาในอดีต และปจั จบุ ัน เพ่ือนครู ผู้ปกครอง และ ผ้นู าชมุ ชน เปน็ ต้น (2) เป็นผูม้ ีคุณูปการต่อการศึกษา แนวทางการพิจารณา 2. เปน็ ผู้มีคณุ ูปการต่อการศึกษา คณุ สมบัตเิ ฉพาะ พจิ ารณาจากข้อมูลเชงิ ประจักษใ์ นประเด็น 2. เป็นผมู้ ีคุณูปการต่อการศึกษา ต่อไปน้ี ปฏบิ ตั งิ านสอนหรือการจดั การเรียนรู้ (1) ปฏบิ ัตงิ านสอนหรือจดั การเรียนรดู้ ้วย ค้นคว้า พัฒนาการสอนหรือการเรียนรูด้ ว้ ย ความทุม่ เท เสยี สละ ไม่ย่อท้อต่อ ความ ทมุ่ เทเสียสละ มีความแตกฉานท้ังใน ข้อจากัดและความยากลาบาก เนือ้ หาและ วิธกี ารจัดการเรยี นรใู้ นส่วนท่ี รบั ผดิ ชอบ เปน็ แบบอยา่ งของความสาเรจ็ ได้ (2) ค้นคว้า พฒั นาการสอนหรอื จัดการ อยา่ งกว้างขวาง เรยี นรู้ ในสว่ นทีร่ บั ผิดชอบ และนาไป ปฏิบัติได้จรงิ (3) มีความแตกฉาน ท้ังในเนื้อหา ความรมู้ ี องค์ความรู้ นวตั กรรม หรือผลงานทม่ี ี คณุ ภาพ สามารถนาไป เผยแพร่ใน ระดับประเทศหรือระดบั นานาชาติ
389 (4) เป็นแบบอย่าง ได้รบั การยอมรับ และ นาไปขยายผล อย่างกวา้ งขวาง มีผลที่ เกดิ จาก การทางานที่สามารถ เป็น แบบอยา่ งแกเ่ พื่อนครแู ละนาไปปฏิบตั ิ ได้จริง การสรรหา ขอ้ 3 ให้องค์กรและบุคคลดังต่อไปน้ี เปน็ ผ้สู รรหาและเสนอชอ่ื ครผู สู้ มควรไดร้ บั พระราชทาน รางวลั สมเด็จเจา้ ฟา้ มหาจักรี 3.1 องค์กรภาครัฐและภาคเอกชน ตามท่กี าหนดไว้ทา้ ยประกาศนี้เป็นผสู้ รรหาครซู ึ่ง มี คุณสมบตั ติ ามข้อ 2 และเป็นผู้เคยไดร้ ับรางวัลจากองค์กรนัน้ ให้เสนอต่อคณะกรรมการ คดั เลือกส่วนกลาง 3.2 สถานศึกษาข้นั พ้นื ฐานโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน เปน็ ผสู้ รรหาและเสนอชอื่ ครใู นสงั กัด หรอื ครทู ่ปี ฏิบตั ิงานรว่ มกับสถานศึกษาของตน อย่ใู นปจั จุบัน ซึ่งมี คุณสมบัติ ตามขอ้ 2 การเสนอชื่อ ใหส้ ถานศึกษาแตล่ ะแห่งเสนอได้1 คน โดยเสนอตอ่ คณะกรรมการ คัดเลือก ระดบั จงั หวดั ณ จังหวดั ที่ครผู ู้รบั การเสนอชอื่ ปฏบิ ัติงานอยูใ่ นปัจจบุ ัน 3.3 สมาคม มูลนิธิ และองค์กรซงึ่ มีฐานะเป็นนติ ิบุคคลและมภี ารกิจส่งเสรมิ การ เรียนรูเ้ ปน็ ผู้ สรรหาและเสนอช่อื ครูในสังกัด หรือครูที่ปฏบิ ัตงิ านรว่ มกบั องค์กรของตนซึ่งมี คณุ สมบตั ิตามข้อ 2 การเสนอชื่อ ใหเ้ สนอได้องค์กรละ 1 คน โดยเสนอตอ่ คณะกรรมการคัดเลอื กระดับ จงั หวดั ณ จังหวัดทีค่ รูผู้รับการเสนอชื่อปฏิบตั งิ านอยใู่ นปัจจบุ ัน สิทธกิ ารเสนอชอ่ื ครเู ขา้ รบั การคัดเลอื กในข้อนี้ ไม่รวมถึง องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่น สมาคม และมูลนธิ ิ ทจ่ี ัดตัง้ ขึ้นโดยมวี ตั ถุประสงคเ์ พื่อส่งเสรมิ สนบั สนุนครหู รอื กจิ การของสถานศกึ ษาใดเปน็ การ เฉพาะ 3.4 ลูกศษิ ย์ทเี่ ป็นศิษยเ์ ก่า อายไุ ม่นอ้ ยกว่า 25 ปี เสนอชื่อครซู ่งึ มคี ณุ สมบตั ติ ามข้อ 2 และ เปน็ ผูท้ เ่ี คยสอนตนมาก่อน การเสนอชื่อ ลูกศษิ ย์ 1 คนมีสิทธิเสนอชื่อครูไดเ้ พยี ง 1 คน โดยเสนอตอ่ คณะกรรมการ คัดเลอื กระดับ จงั หวดั ณ จังหวัดท่คี รูผู้รับการเสนอช่อื ปฏบิ ัติงานอยูใ่ นปัจจบุ นั 3.5 คณาจารยใ์ นระดับอุดมศึกษาซ่ึงเคยเป็นผ้สู อน เสนอชือ่ ครซู ่งึ มคี ณุ สมบตั ิตามข้อ 2 และ เปน็ ผทู้ ่ีตนเคยสอนมาก่อน
390 การเสนอชอื่ ให้อาจารย์ไมน่ ้อยกว่า 3 คน มสี ิทธิเสนอช่ือลูกศษิ ย์ทเ่ี คยสอนซ่ึงมี คุณสมบัติ ตามข้อ 2 ได้ 1 คน โดยเสนอตอ่ คณะกรรมการคดั เลือกระดบั จงั หวดั ณ จงั หวดั ที่ครูผู้รบั การเสนอ ชื่อ ปฏบิ ตั งิ านอย่ใู นปัจจบุ นั การสรรหาตามข้อ 3.1, ขอ้ 3.2, ขอ้ 3.3, ข้อ 3.4 และ ข้อ 3.5 สาหรับใน กรุงเทพมหานคร ใหถ้ ือปฏิบัติดังนี้ 1) ครใู นสังกัดกรงุ เทพมหานคร หรอื ครูทีเ่ คยสงั กัดกรุงเทพมหานคร ใหเ้ สนอช่ือไปยัง คณะกรรมการคดั เลือกในสว่ นของกรุงเทพมหานครท่ีแต่งต้งั โดยผู้ว่าราชการกรงุ เทพมหานคร 2) ครใู นสังกัดกระทรวงศึกษาธกิ าร ครนู อกสถานศึกษา และครูอนื่ ๆ ใหเ้ สนอช่ือไปยัง คณะกรรมการคัดเลือกในสว่ นของกรงุ เทพมหานครท่ีแต่งต้ังโดยปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ข้อ 4 ครูผู้ได้รับรางวลั คุณากร ครูยงิ่ คณุ และครูขวัญศิษย์ มีสิทธ์ไิ ดร้ ับการเสนอช่อื ได้อีก 1 คร้งั หลังจากไดร้ ับรางวลั คณุ ากร ครยู ิง่ คุณ และครูขวญั ศิษย์มาแล้วเปน็ ไมน่ ้อยกว่า 5 ปี ข้อ 5 กรณคี รรู างวลั คุณากร ครยู ่ิงคุณ และครูขวญั ศษิ ย์ ท่ีได้รบั การเสนอช่ือ ให้ คณะกรรมการ คดั เลือกระดับจงั หวัดดาเนินการพจิ ารณาคุณสมบัติตามขอ้ 2 ข้อ 6 การเสนอชอ่ื ครเู ขา้ รับการคดั เลอื กใหใ้ ชแ้ บบเสนอชื่อทา้ ยประกาศนี้ ขอ้ 7 การเสนอชอื่ เกนิ จานวนทก่ี าหนด ให้ถอื ว่าการเสนอชอื่ ทั้งหมดเปน็ โมฆะ การคัดเลอื ก ขอ้ 8 การคัดเลอื กมี 3 ขน้ั ตอน ดงั น้ี 8.1 ข้ันตอนที่ 1 : การคัดเลือกระดับจงั หวัด และการคัดเลือกโดยองค์กรภาครัฐและ ภาคเอกชนตามข้อ 3.1 แบง่ เป็น 2 กลมุ่ ได้แก่ 8.1.1 การคัดเลอื กระดับจังหวดั (1) คณะกรรมการคดั เลอื กระดับจังหวดั พิจารณาและคัดเลือกครูทีไ่ ด้รบั การ เสนอ ชอ่ื ตามข้อ 3.2 ข้อ 3.3 และ ขอ้ 3.4 และ 3.5 โดยพจิ ารณาจากข้อมูลท่ีปรากฏในแบบเสนอ ชอ่ื และ เอกสารหลกั ฐานท่จี ัดสง่ มาพร้อมกบั แบบเสนอชื่อ รวมทงั้ ข้อมลู อนื่ ๆ ท่ี คณะกรรมการคดั เลือกระดับจังหวดั รวบรวมไดด้ ้วยวิธีต่างๆ การคัดเลือก ใหค้ ัดเลอื กไว้ไม่เกนิ จานวนทก่ี าหนดไวท้ า้ ยประกาศน้ี เม่อื คัดเลอื กเสรจ็ แล้ว ให้ คณะกรรมการ คดั เลอื กระดับจงั หวัด ประกาศรายช่ือครูผไู้ ด้รบั การคดั เลือกให้ทราบเปน็ การทวั่ ไป (2) เมื่อประกาศรายช่ือครผู ู้ได้รบั การคดั เลือกตามขั้นตอนท่ี 1 แล้ว ให้ คณะกรรมการคัดเลือกระดบั จงั หวดั จดั ใหม้ กี ารรับฟงั ข้อทักท้วงผลการคัดเลือก (3) ผ้ใู ดเห็นวา่ ครผู ู้ได้รบั การคัดเลือกรายใดขาดคณุ สมบัติตามข้อ 2 สามารถ ทักท้วง เป็นหนงั สอื ไปยังคณะกรรมการคัดเลอื กระดบั จังหวัด ภายใน 10 วันทาการนบั แตว่ นั ประกาศ รายช่อื
391 หนงั สือทกั ทว้ งตอ้ งระบชุ ื่อ นามสกุล ทอี่ ยู่ ของผ้ทู ักท้วง และลงลายมือช่ือ ของผูท้ กั ท้วง พรอ้ มกับแสดงข้อเท็จจริงให้เห็นชดั ว่าประสงคจ์ ะทักท้วงครผู ไู้ ด้รับการคัดเลือกขั้นตอนท่ี 1 ราย ใด ดว้ ยเหตผุ ลใด หากมเี อกสารหลกั ฐานที่เกย่ี วกับข้อทกั ทว้ งใหส้ ง่ ไปประกอบการพิจารณาดว้ ย หนงั สอื รอ้ งเรียนที่มลี ักษณะเปน็ บตั รสนเทห่ ์ หนังสือทักท้วงทไ่ี ม่ไดล้ ง ลายมือชอื่ หนงั สอื ทกั ทว้ งท่ี แอบอ้างใชช้ อื่ ผู้อ่นื หรือหนงั สือทักทว้ งที่ไม่ได้แสดงข้อเท็จจรงิ ให้เหน็ ชัดเจนวา่ ประสงค์จะทักทว้ ง ครู ผไู้ ดร้ ับการคัดเลือกรายใด ด้วยเหตุผลใด คณะกรรมการคัดเลือกระดบั จงั หวัดไม่ควรรับ ไวพ้ ิจารณา คณะกรรมการคดั เลือกระดับจงั หวดั เปน็ ผูพ้ จิ ารณาวนิ ิจฉัยขอ้ ทักท้วง และ การวินจิ ฉยั ของ คณะกรรมการคัดเลือกระดบั จังหวัดถอื เปน็ ท่สี ดุ (4) เม่ือดาเนินการตาม (1) (2) และ (3) แลว้ ใหส้ ง่ รายชื่อครูผไู้ ด้รับการคัดเลือก ตามขนั้ ตอนที่ 1 พรอ้ มด้วยประวตั ิและผลงาน เอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณา และ บันทกึ สรุปความ โดดเดน่ ของครูผู้ไดร้ ับการคัดเลอื กแต่ละบุคคลตามแบบทก่ี าหนด ไปให้ คณะกรรมการคัดเลือกส่วนกลาง รายชอื่ ท่จี ดั สง่ ให้คณะกรรมการคดั เลอื กสว่ นกลาง ให้เรยี งลาดับตามผล การคดั เลือก (5) กรณีครูรางวัลคณุ ากร ครูยงิ่ คุณ และครูขวัญศิษย์ ที่ได้รับการเสนอช่อื และ คณะกรรมการคดั เลือกระดับจังหวัดดาเนินการพิจารณาคุณสมบัตติ ามขอ้ 2 มาแล้ว ให้ ประกาศรายชอื่ โดย แยกจากประกาศ ข้อ (1) แลว้ ใหส้ ่งบัญชรี ายช่ือพรอ้ มด้วยประวัตแิ ละ ผลงาน เอกสารประกอบการพจิ ารณา และบันทึกความโดดเด่นของครู โดยเฉพาะในสว่ นที่ เพ่ิมข้ึนจากผลงานรางวัลเดิม ตามแบบท่ีกาหนดต่อ คณะกรรมการคดั เลือกสว่ นกลาง 8.1.2 การคัดเลอื กโดยองคก์ รภาครัฐและภาคเอกชนตามข้อ 3.1 (1) ใหแ้ ต่ละองคก์ รพิจารณาและคดั เลือกครูทไี่ ดร้ ับรางวัลตามรายชอื่ องค์กร ภาครฐั และภาคเอกชน ท่กี าหนดไว้ท้ายประกาศน้ี การคัดเลือก ใหค้ ัดเลอื กองค์กรละ 1 คน (2) เม่ือคดั เลือกเสร็จแลว้ ให้แต่ละองคก์ รประกาศรายช่อื ครผู ู้ได้รับการคดั เลือก ให้ ทราบเปน็ การท่วั ไป แล้วจดั ให้มกี ารรับฟังข้อทกั ทว้ งผลการคัดเลือก ผใู้ ดเหน็ ว่าครูผ้ไู ดร้ บั การคดั เลือกรายใดขาดคณุ สมบตั ิตามข้อ 2 สามารถ ทักทว้ งเปน็ หนงั สือไปยัง องค์กรท่เี สนอชื่อ ภายใน 10 วันทาการ นบั แตว่ ันประกาศรายชอื่ (3) เมื่อดาเนนิ การตาม (1) และ (2) แล้ว ให้ส่งรายชอื่ ครูผู้ได้รบั การคัดเลือก พร้อม ด้วยประวตั แิ ละผลงาน เอกสารหลกั ฐานประกอบการพิจารณา และบนั ทึกสรปุ ความโดดเดน่ ของครผู ู้ ได้รับการคดั เลอื กแต่ละบุคคลตามแบบท่ีกาหนดไว้ทา้ ยประกาศน้ีไปให้ คณะกรรมการคัดเลือกส่วนกลาง
392 8.2 ขัน้ ตอนท่ี 2 : การคดั เลอื กในส่วนกลาง 8.2.1 คณะกรรมการคัดเลอื กสว่ นกลาง พิจารณารายช่ือทคี่ ณะกรรมการคดั เลอื ก ระดับ จังหวัด และองค์กรภาครฐั และภาคเอกชน ตามขอ้ 3.1 เสนอมา แลว้ คัดเลือกให้ได้ จานวน 20 คน โดย พจิ ารณาจากเอกสาร หลักฐานทีไ่ ด้รบั จากคณะกรรมการคัดเลอื กระดับ จงั หวดั และองคก์ รภาครฐั และ ภาคเอกชน ตามข้อ 3.1 และอาจใชว้ ิธีการอ่ืนท่ีเหมาะสมดว้ ย กไ็ ด้ เช่น การดสู ภาพจรงิ ในพื้นที่ การสมั ภาษณ์ เชิงลึก การสงั เกตการสอน หรือร่วมทา กิจกรรม เป็นตน้ 8.2.2 เมือ่ ดาเนินการตาม ข้อ 8.2.1 แล้ว ให้ส่งรายชอ่ื ครูทีผ่ า่ นการพจิ ารณาคดั เลือก จานวน 20 คน รวมทัง้ รายช่ือท่ีคณะกรรมการคัดเลอื กระดับจงั หวดั และองคก์ รภาครฐั และ ภาคเอกชน ตาม ขอ้ 3.1 ทเ่ี สนอมาท้ังหมด ไปใหค้ ณะกรรมการวิชาการ พิจารณาให้ความ เห็นชอบ การเสนอรายชื่อครูท่ผี า่ นการพจิ ารณาคัดเลอื ก จานวน 20 คน ให้เสนอพร้อม ด้วยประวัติ และผลงาน เอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณา และบันทึกสรปุ ความโดดเด่นของครูผู้ผ่านการ พจิ ารณาคดั เลือกแตล่ ะบคุ คล 8.2.3 เมอื่ ดาเนนิ การตาม ขอ้ 8.2.2 แลว้ ใหค้ ณะกรรมการวิชาการเสนอรายชื่อครูที่ ผา่ นการพิจารณาคดั เลือก ลาดับที่ 1 - 20 พรอ้ มด้วยประวัตแิ ละผลงาน เอกสารหลักฐาน ประกอบการ พจิ ารณาและบันทกึ สรปุ ความโดดเดน่ ของครูผู้ได้รับการคัดเลอื กแตล่ ะบุคคล ไปใหค้ ณะกรรมการมูลนิธริ างวัล สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจกั รีพิจารณา การเสนอรายชอื่ ให้คณะกรรมการวิชาการ เสนอรายชื่อครูท่ีผา่ นการคัดเลือก ท้ังหมด โดย เรียงลาดบั ตามผลการคัดเลือก 8.3 ขน้ั ตอนท่ี 3 : การพจิ ารณาตดั สนิ 8.3.1 คณะกรรมการมลู นธิ ริ างวลั สมเด็จเจา้ ฟา้ มหาจักรี พจิ ารณาตดั สินครูรางวลั สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี จานวน 1 คน รางวลั คุณากร จานวน 2 คน รางวลั ครยู ่ิงคุณ จานวน 17 คน และ รางวลั ครูขวัญศิษย์ จากรายช่ือท่เี สนอโดยคณะกรรมการวิชาการ และประกาศ ผลการตดั สินใหท้ ราบเปน็ การ ท่วั ไป 8.3.2 การพิจารณาตัดสนิ ของคณะกรรมการมูลนิธริ างวลั สมเด็จเจา้ ฟ้ามหาจกั รี ถือ เป็น ท่สี ดุ รางวัล ขอ้ 9 ครูผู้ไดร้ บั การคัดเลือกจากคณะกรรมการคดั เลือกระดับจังหวัด คณะกรรมการคัดเลือก ส่วนกลาง และคณะกรรมการมลู นธิ ริ างวัลสมเด็จเจ้าฟา้ มหาจักรี จะได้รับรางวัล ดงั นี้ 9.1 ครผู ้มู ีคะแนนสูงสุดจากการตดั สินของคณะกรรมการมูลนธิ ริ างวัลสมเด็จเจา้ ฟา้ มหา จกั รจี ะไดร้ บั “รางวัลสมเดจ็ เจา้ ฟ้ามหาจักรี” รางวัลท่ีได้รบั ประกอบด้วย
393 1) เหรยี ญทองรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี 2) เข็มเชดิ ชเู กยี รติทองคาพระราชทาน 3) โล่ประกาศเกียรตคิ ุณ 4) เงนิ รางวลั จานวน 10,000 เหรียญสหรฐั 9.2 ครผู ู้มคี ะแนนลาดับที่ 2 และลาดบั ที่ 3 จากการตัดสนิ ของคณะกรรมการมูลนธิ ริ างวัล สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหาจกั รีจะได้รับ“รางวลั คุณากร”รางวัลทไี่ ด้รับประกอบด้วย 1) เหรียญเงินมูลนิธิรางวลั สมเด็จเจ้าฟา้ มหาจักรี 2) เขม็ เชดิ ชเู กยี รติพระราชทาน 3) เกยี รตบิ ตั ร 9.3 ครูผู้มคี ะแนนลาดบั ที่ 4 ถงึ ลาดับท่ี 20 จากการตัดสินของคณะกรรมการมูลนิธริ างวัล สมเด็จเจา้ ฟา้ มหาจักรจี ะได้รับ “รางวลั ครยู ่ิงคณุ ” รางวัลประกอบดว้ ย 1) เหรยี ญทองแดงมูลนิธริ างวลั สมเด็จเจา้ ฟา้ มหาจักรี 2) เขม็ เชิดชเู กยี รติพระราชทาน 3) เกียรตบิ ัตร 9.4 ครูผไู้ ด้รบั การคัดเลือกจากคณะกรรมการคัดเลอื กระดับจงั หวดั คณะกรรมการคดั เลือก สว่ นกลาง และการตัดสินจากคณะกรรมการมลู นิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟา้ มหาจักรี จะไดร้ ับ “รางวลั ครู ขวญั ศิษย์” รางวัลประกอบด้วย 1) เข็มเชดิ ชเู กยี รติพระราชทาน 2) เกียรตบิ ตั ร ขอ้ 10 กาหนดเวลาในการสรรหาและคดั เลือกให้เปน็ ไปตามปฏิทินการคดั เลอื กตามท้าย ประกาศ น้ี ข้อ 11 เพ่อื ให้การดาเนินงานเป็นไปดว้ ยความเรียบร้อย คณะกรรมการคดั เลือกระดับจงั หวดั คณะกรรมการคดั เลือกส่วนกลาง และคณะกรรมการวชิ าการ อาจกาหนดแนวทางการดาเนินงานใน ส่วนท่ี เกี่ยวข้องเพ่มิ เติม โดยไม่ขดั หรอื แยง้ กับหลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการในประกาศน้ี ข้อ 12 คณะกรรมการคดั เลือกระดับจงั หวัด คณะกรรมการคดั เลือกสว่ นกลาง และ คณะกรรมการ วชิ าการ อาจตง้ั คณะอนุกรรมการและหรือคณะทางาน เพื่อปฏบิ ัติการอย่างใดอยา่ ง หนึง่ ตามท่คี ณะกรรมการ มอบหมายได้ ขอ้ 13 ผู้ท่ีไดร้ บั รางวลั ตามประกาศนี้ หากในภายหลังปรากฏในกรณดี ังต่อไปนี้ คณะกรรมการ มลู นิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจกั รี มีสิทธิถอดถอนรางวัลนัน้ ได้ (1) ผู้ไดร้ บั รางวลั ไดร้ ับการเสนอชอ่ื ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวธิ ีการในประกาศ นี้
394 (2) ผ้ไู ด้รบั รางวลั ขาดคณุ สมบัติตามประกาศนี้อยกู่ ่อนวนั ที่ได้รับรางวลั (3) ผ้ไู ดร้ บั รางวัลมีพฤติกรรมเสอ่ื มเสยี หลงั จากไดร้ ับรางวัลแลว้ ข้อ 14 ในกรณีมปี ญั หาใดๆ เกย่ี วกบั การดาเนินงานตามประกาศน้ี ให้คณะกรรมการมูลนิธิ รางวลั สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหาจักรี เป็นผู้วนิ ิจฉัยช้ขี าด คาวินจิ ฉัยของคณะกรรมการมูลนธิ ิรางวัลสมเดจ็ เจา้ ฟ้ามหาจักรถี ือเป็นท่สี ุด ขอ้ 15 การดาเนินการอ่นื ใดนอกเหนือจากท่กี าหนดไว้ในประกาศน้ี ตอ้ งได้รบั ความเห็นชอบ จาก คณะกรรมการมูลนิธิรางวลั สมเด็จเจ้าฟา้ มหาจกั รี ประกาศ ณ วันที่ 21 เมษายน 2563 (นายกฤษณพงศ์ กีรตกิ ร) ประธานกรรมการมูลนิธิรางวลั สมเด็จเจา้ ฟา้ มหาจักรี สรปุ คณุ สมบตั ิของครผู ูม้ สี ทิ ธิไ์ ดร้ บั การเสนอช่อื (ประเทศไทย) คณุ สมบตั ทิ ่ัวไป 1. มสี ญั ชาติไทย และมีถ่นิ ท่ีอยู่ในประเทศไทย 2. ปฏบิ ัตหิ นา้ ท่อี ย่างใดอย่างหน่ึง ดังตอ่ ไปน้ี 1) เป็นหรอื เคยเป็นครูผู้สอนระดบั การศึกษาขนั้ พ้ืนฐานในสถานศกึ ษาของรฐั เอกชน หรือองคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ 2) เป็นหรอื เคยเปน็ ครนู อกสถานศกึ ษาทสี่ อนผเู้ รียนในวยั การศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน 3. มีประสบการณ์ปฏิบตั ิงานสอนอยา่ งต่อเนื่องมาแลว้ เปน็ เวลาไมน่ ้อยกว่า 15 ปี 4. ปฏิบัติงานสอนอยจู่ นถึงประกาศผลการพิจารณาตัดสนิ ในกรณที เี่ ป็นผ้บู ริหารสถานศกึ ษา ตอ้ งมชี ่วั โมงสอนในรายวชิ าอย่างต่อเน่ือง 5. ไมเ่ ป็นครูสอนพิเศษเปน็ อาชพี หลัก คุณสมบตั เิ ฉพาะ 1. เป็นผสู้ ร้างการเปลย่ี นแปลงในชีวิตลกู ศิษย์ 2. เปน็ ผมู้ คี ณุ ปู การตอ่ การศึกษา
395 องคก์ รภาครฐั และเอกชนทมี่ กี ารคดั เลอื กครรู ะดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานในระดบั ประเทศ ลาดบั ที่ หนว่ ยงาน ชือ่ รางวัล รางวลั ครุ สุ ภา รางวัลครภู าษาไทยดีเดน่ รางวัลครภู าษาฝรั่งเศสดีเดน่ 3 สานักงานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและ รางวลั ครูผู้สอนดเี ด่น การศึกษาตามอธั ยาศัย รางวลั ทรงคุณค่า สพฐ. (OBEC Awards) รางวลั ยอดครูผมู้ ีอดุ มการณ์ 4 มลู นธิ ิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรนี ครินทรา รางวลั ครูดีในดวงใจ รางวลั ครู กศน. ดีเดน่ รางวัลครูเจ้าฟา้ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ บรมราชชนนี (พอ.สว.) (ภายใตโ้ ครงการพระเมตตาสมเด็จย่า) มูลนธิ สิ มาน - คุณหญิงเบญจา แสงมลิ 5 มลู นธิ ิสมาน - คณุ หญงิ เบญจา แสงมลิ ครวู ทิ ยาศาสตรด์ เี ด่น 6 สมาคมวิทยาศาสตร์แหง่ ประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รางวัลครูดีเด่น STEM Education 7 สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี (สสวท.)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 516
Pages: