Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

Published by เบญจลักษณ์ กองเลิศ, 2021-02-12 11:24:25

Description: รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

Search

Read the Text Version

47 Uranus นน้ั เกรงว่าลูกๆจะล้มบลั ลังคจ์ งึ ได้สง่ ใหล้ ูกท้ังหมดลงไปถูกขงั ในจดุ ทีล่ กึ และมืดท่ีสุด นั้นสรา้ งความไมพ่ อใจใหแ้ มอ่ ยา่ ง Gaia เปน็ อย่างมาก นางจงึ วางแผนกับลกู Titans องค์สดุ ทอ้ งนาม วา่ Chronus ให้เขา้ มาลอบสังหารพอ่ Uranus ในชว่ งกลางคืนด้วยเคยี วศักด์สิ ิทธิ์ของนาง ซึ่ง Chronus ก็สามารถสังหารได้สาเร็จ แตก่ อ่ นที่ Chronus จะตดั ลูกอณั ฑะของผ้เู ป็นพ่อ ผเู้ ป็นพอ่ จงึ ได้ สาปแชง่ ว่า ในกาลถดั ไป Chronus ก็จะตอ้ งถูกลูกโค่นลม้ อานาจเชน่ เดยี วกนั Chronus สังหาร Urenus ผเู้ ปน็ พ่อสาเรจ็ และสถาปนาตัวเองเปน็ ราชาแลว้ จงึ ได้ ปลดปลอ่ ยพน่ี ้อง Titans ข้ึนมาจากนรกทัง้ หมด เรียกกล่มุ Titans กล่มุ นวี้ ่า Titans รุ่นเก่า แต่ในการ ปลดปล่อยครงั้ น้ีกไ็ ม่ไดป้ ล่อยพวก Hechatonchires กบั พวก Cyclops มาด้วย เพราะมันจะอนั ตราย จนเกนิ ไป Chronus ได้แต่งงานกับพสี่ าวตัวเองนามว่า Rhea ใหก้ าเนิดเทพ 6 ตน ตั้งแต่ใหก้ าเนดิ บุตรคนท่หี นึง่ ถึงคนที่หา้ คาสาปของUranus ยงั ตามหลอกหลอนกลวั วา่ ลูกตนจะโค่นบลั ลงั ก์ ทกุ ครั้ง ท่ี Rhea เอาลกู มาใหด้ ูตอนคลอดแลว้ Chronus จะลกู ตวั เองกลืนลงท้องทั้ง 5 ตนแรก จนคลอดตนที่ 6 นามวา่ เทพ Zeus แม่ Rhea ไดแ้ อบเอาลูกไปฝากนางไม้นามว่าเมทสิ เลี้ยงดูจน Zeus เติบใหญ่ เมอ่ื Zeus เตบิ ใหญ่ขน้ึ จงึ วางแผนโคน่ บลั ลงั ก์ Chronus ด้วยการให้นางไมผ้ สมยาพิษท่ีกิน แล้วสารอกให้กนิ จนสารอกพ่ีน้องท้งั 5 ตนในท้องออกมาหมด จังหวะที่ Chronus อ่อนแอ Zeus ได้ ฟาดสายฟ้าอยา่ งแรงทาให้ล้ม Chronus ลงได้ ด่งั คาสาปแชง่ ของ Uranus ปู่ของZeus Zeus ครองบัลลังก์ไดแ้ ต่งงานกับพสี่ าวตัวเองนามว่า Hera ได้มคี วามสัมพนั ธช์ สู้ าวกบั เทพ และมนษุ ย์จนเกดิ ลูกอีกมากมาย Zeus ไดป้ ลด Titans ร่นุ เกา่ ออกจากตาแหน่ง แต่งตง้ั 6 พนี่ อ้ งของ ตน และลกู ๆข้นึ ครองตาแหน่งเทพดูแลในส่วนต่างๆ แทน ทาให้ Titans รุ่นเกา่ ไม่พอใจอย่างมาก และเกิดสงคราม Titans อกี หลายคร้งั ตอ่ มา แต่ Zeus ก็เอาชนะมาได้ Zeus ต้องการใหเ้ ทพเจา้ ถูกบูชาจงึ ไดส้ งั่ ให้เทพแฝด Prometheus และ Epimetheus สร้าง สิง่ มีชวี ติ ข้นึ มาบนโลก ในภาษากรกี Prometheus แปลวา่ ความคิดก่อนทา ในขณะท่ี Epimetheus แปลวา่ ทาก่อนแล้วคอ่ ยคิด เมอ่ื ได้รับคาส่งั จาก Zeus แลว้ Epimetheus ไดเ้ ร่งสร้างสัตว์มากมาย โดยประทานพร ความแข็งแรง ความเร็ว พษิ รา้ ย ความสวยงามใหแ้ ก่สัตว์จนลืมพรทจ่ี ะใช้สรา้ งมนุษย์ เมอ่ื หมดทางจึงกลับมาปรึกษา Prometheus หลงั จากคดิ ไตรต่ รองแล้ว Prometheus ไดใ้ ชด้ ินและ น้าปั้นมนษุ ยข์ ึน้ มาเปน็ รูปร่างคลา้ ย Titans แตต่ ัวเล็กกว่า แลว้ ประทานพรให้มีสมองอันชาญฉลาด ให้กบั มนุษย์ แลว้ หยิบคบเพลิงข้นึ ไปสวรรค์เพื่อเอาไฟลงมาใหม้ นษุ ยไ์ ด้ใชด้ ารงชพี สืบไป

48 บนเทือกเขาโอลิมปัสน้นั มเี ทพเจา้ เออลมิ เพียนส์ อาศยั อยู่ 13 เทพ (พูลสุข เตมิยานนท์, 2546: 14-15) ดงั น้ี 1. ซุส (Zeus) เทพผเู้ ป็นราชาแหง่ เทพท้ังมวล ไม่เวน้ แมแ้ ต่เหล่ามนุษย์ ซึ่งมี สายฟ้า (Thunderbolt ) หรือ อัศนบี าต เป็นอาวุธ และมีพีน่ ้อง 5 องค์ คือ โพไซดอน ดีมิเทอร์ เฮร่า ฮา เดส และเฮสเทีย 2. โพไซดอน (Poseidon) เทพเจ้าแห่งทอ้ งทะเล มตี รีศลู หรอื สามงา่ ม เป็นอาวุธ 1 ใน 6 พ่ี นอ้ งของ Zeus 3. ดีมิเทอร์ (Demeter) เทพแี หง่ ความสมบรู ณ์ ผู้ควบคมุ ด้านเกษตรกรรม 1 ใน 6 พี่น้อง ของ Zeus 4. เฮร่า (Hera) ราชนิ แี หง่ สวรรค์ ผู้ซงึ่ เป็นทง้ั พีส่ าวและภรรยาของซสุ เธอเปน็ เทพแี หง่ การ ใหก้ าเนิด และสตรี ผมู้ ีนกยงู เปน็ สตั วป์ ระจาตัว 1 ใน 6 พนี่ ้องของ Zeus 5. เฮสเทีย (Hestia) เทพีแห่งครอบครัว พรหมจรรย์ และการครองเรือน อีกทงั้ ยงั เป็นเทพี ทีค่ อย ค้มุ ครองบา้ นเรอื น ผซู้ ึ่งมีไฟนริ นั ดร เป็นสัญลักษณ์ 1 ใน 6 พี่นอ้ งของ Zeus 6. แอเรส (Ares) บตุ รของ ซุส กบั เฮร่า เปน็ เทพแห่งสงคราม มีสัตว์ประจาตัวคือ เหยยี่ ว และสุนขั มังกร ไฟ มีน้องสาวชอื่ อรี สิ เทพีแห่งการววิ าท ซึ่งเปน็ ภรรยาของเขาดว้ ยหรอื มารส์ (Mars) 7. อพอลโล่ (Apollo) บุตรของซุส กับ เทพเี ลโต และมีน้องสาวฝาแฝดคอื อารเ์ ทมิส (Artemis) เทพเจา้ แหง่ การทานาย กีฬา และการรักษาโรค ทั้งยังเป็นเทพแห่งพระอาทติ ย์ มี พณิ เป็นเครอ่ื งดนตรปี ระจาตัว 8. อาร์เทมิส (Artemis) เทพีแห่งดวงจันทรแ์ ละการล่าสัตว์ ฝาแฝดของ อพอลโล่ และเป็น 1 ใน 3 เทพี พรหมจรรย์ ที่มีอาวธุ เป็นคันธนู โดยมีสนุ ขั เปน็ ผตู้ ดิ ตาม 9. เฮอร์มีส (Hermes) บุตรของซุส กบั นางไม้มอี า เป็นเทพแหง่ การคา้ การโจรกรรม ท้ังยงั เปน็ ผู้สง่ สารของเหลา่ ทวยเทพ มี คฑาคะดูเซียส (สัญลักษณ์แห่งการแพทย์) ประจากาย ชอบสวม หมวกปกี กว้าง

49 10. อารเ์ ธน่า (Arthena) บตุ รของ Zeus กับนางไมเ้ มทสิ เทพแี หง่ ความเฉลยี วฉลาด ผู้ซึ่ง เชียวชาญศลิ ป ศาสตรก์ รีกทุกแขนง และเปน็ ที่มาของช่ือเมืองเอเธนส์ (Athens) / มเิ นอร์ว่า (Minerva) มีสตั วป์ ระจาตวั เป็น นกฮูก 11. อโฟรไ์ ดร์(Aphrodite) เทพแี ห่งความรักและความงดงาม บตุ รีของซุส และเทพี ไดโอนี่ ซ่งึ นางมสี ัมพันธ์ ชู้สาวกับ แอเรส (Ares) / วนี สั (Venus) จนเกดิ เปน็ ทายาทคอื ควิ ปดิ (Cupid) นนั่ เอง 12. ฮีเฟสตสุ (Hephaestus) เทพแห่งไฟ และการช่าง บตุ รของซุส กับ เฮร่า เป็นเทพท่ี พิการและรปู ร่าง อัปลกั ษณ์ 13. ฮาเดส (Hedes) เทพแห่งยมโลกใต้ดนิ ผซู้ ่งึ เปน็ ความหวงั ของชาวเหมอื งแรห่ รอื เฮดีส (Hedes) เปน็ 1 ใน 6 พีน่ ้องของ Zeus และยังมเี ทพทส่ี าคญั และมบี ทบาทดังน้ี 1. ไดโอเนซัส (Dionysus) เทพแห่งไวน์ และเทพแห่งละคร ผซู้ ึง่ เป็นความหวงั ในการ เก็บเก่ียวผลไม้ บุตร ของ Zeus กับเซมมลิ ่ี 2. เพอรซ์ โิ ฟเน บตุ รีของ ดีมเิ ทอร์ ทถี่ ูก Hedes จบั ไปเปน็ ภรรยา และสามารถกลบั ข้นึ มา บนโลกไดเ้ พียง ช่วงเปลี่ยนฤดกู าลเทา่ นนั้ 3. อรี อส (Eros) กามเทพผเู้ ปน็ ตัวแทนของความรัก บตุ รของ อโฟร์ไดร์ และ แอเรสหรือ (Cupid) วรี กรรม ของ Cupid นนั้ มีมากมาย เช่น ตอ้ งการกล่นั แกลง้ Hedes (เทพยมโลก) ที่ ยังขาดคู่ครองเนื่องจากไม่มใี คร ปรารถนาที่จะใช้ทง้ั ชีวิตในนรก ยามท่ี Hedes ขึ้นจากยมโลกมา Cupid นั้นเห็นนานที Hedes จะขนึ้ มา จงึ นกึ สนกุ หยิบศรข้ึนมาแลว้ ยิงไปที่ Hedes โดย สาวใดท่ี Hedes เห็นเป็นคนแรกจะตกหลมุ รักในทันที ซ่ึงเปน็ เพอร์ซโิ ฟเนทีก่ าลังเดินเล่นอยู่ แถวทงุ่ หญา้ พอดี Hedes เหน็ นางแล้วหลงรกั อย่างมาก ได้พานางหนลี ยมโลก จนได้ครองคู่กนั ปรัชญากรกี ปรัชญากรกี เร่ิมตน้ ในราว 585 ปีกอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช ซึง่ เป็นเวลาทีธ่ าเลสผทู้ ่เี ปน็ บิดาแหง่ นกั ปรัชญาตะวนั ตกเริม่ เผยแพร่ปรัชญาของเขา ปรชั ญากรีกนั้นไปส้ินสดุ ลงในปี ค.ศ.529 อันเปน็ ปีท่ี จกั รพรรดิยุสตเิ นยี น ออกพระราชกฤษฎีกาปิดสานักปรัชญาทุกแห่งที่ไมน่ ับถือศาสนาครสิ ต์ ปรชั ญา กรกี นนั้ แบง่ ออกเปน็ 3 สมยั ด้วยกัน คือ

50 1) สมยั เรม่ิ ต้น นบั ตง้ั แตธ่ าเลสจนถงึ โสคราตีส (ก.ค.ศ.585-450) 2) สมยั ร่งุ เรือง นบั ตงั้ แตโ่ สคราตสี จนถึงการตายของอาริสโตเตลิ (ก.ค.ศ.450-322) 3) สมัยเสือ่ ม นบั ตั้งแต่การตายของอารสิ โตเตลิ จนถงึ การปิดสานักปรชั ญาท่ีไม่ถือศาสนา ครสิ ต์ (ก.ค.ศ. 322-529) สมัยเรม่ิ ตน้ ปรัชญาสมัยนีเ้ ปน็ ธรรมชาตนิ ยิ ม เพราะนักปราชญ์จะตั้งคาถามเกย่ี วกบั ปฐมธาตุแกน่ แท้ของ โลกและเปน็ เอกนิยม เพราะลดแกน่ แท้เหลอื เพียงหนงึ่ เดยี ว ธาเลส (ก.ค.ศ.626-454) ได้รับยกยอ่ งให้เปน็ บดิ าของปรชั ญาตะวนั ตกและเป็นผู้ก่อตง้ั สานกั ปรัชญาไมเลตุส ซ่ึงมีนักปราชญ์อกี 2 คนที่อยูส่ านักน้ี คืออานกั ซมิ านเดอร์และอานักซิเมเนส นอก จากธาเลสจะเป็นนกั ปรัชญาแล้ว ทา่ นยงั เป็นรฐั บรุ ษุ นกั คณิตศาสตร์ นกั ดาราศาสตร์ และวศิ วกร ปรัชญาของธาเลส เกดิ จากคาถามทีว่ ่าอะไรคือปฐมธาตขุ องโลก ธาเลสเชอ่ื วา่ นา้ คือละอองธุลี หรอื ธาตุเดิมแทข้ องโลก เพราะวา่ โลกและสรรพสง่ิ เกิดมาจากน้า และเม่ือแตก สลายกจ็ ะกลบั คนื สู่ สภาพของน้า น้าเป็นปฐมธาตุของโลกนั้นเอง พิธากอรสั (ก.ค.ศ.570-495) เมอื่ ท่านได้อายุ 40 ปี ทา่ นได้ตั้งสมาคมทางศาสนาข้นึ ที่นครรัฐ โครโตนา สมาคมนีม้ นี กั การเมืองและนักปกครองจานวนมาสมัครเปน็ สมาชิก ในสมยั น้ันพิธากอรัสจึง มีอิทธิพลมากที่สุดในโครโตนาตดิ ต่อกันนานถงึ 20 ปี สมาชิกของสมาคมถือข้อปฏบิ ตั อิ ย่างเคร่งครัด เหมือนนกั บวช จดุ ประสงคใ์ นการปฏิบัติตนเชน่ น้เี พ่ือใหห้ ลุดพ้นจากการเวยี นวา่ ยตายเกิด ตัวอย่างข้อ ปฏิบัตอิ าทิเชน่ หา้ มกินถั่ว หา้ มกนิ เนอ้ื สัตว์ สมาชกิ ของสมาคมต้องแตง่ เคร่ืองแบบเดยี วกัน ทาน อาหารร่วมกนั และต้องสละเวลาใหก้ บั การเรยี นรูศ้ ิลปะหตั ถกรรม ดนตรี การแพทย์ และคณิตศาสตร์ จากนัน้ ก็เริ่มบังคบั ประชาชนให้ปฏบิ ตั เิ ช่นนอ้ี ยา่ งเครง่ ครดั จนทาใหป้ ระชาชนไมพ่ อใจจึงก่อการ ปฏิวตั ิโดยมีคลี อนเปน็ หัวหน้า มีการเผาสมาคม สังหารสมาชิก เนรเทศสมาชกิ นีท่ าใหพ้ ธิ ากอรัสต้องล้ี ภัยการเมอื งไปอยู่เมตาปอนตุม ปรชั ญาของพธิ ากอรสั เกดิ จากคาถามที่ว่าอะไรคือปฐมธาตุของโลกเชน่ เดยี วกับธาเลส ท่าน ให้คาตอบว่าปฐมธาตขุ องโลกคอื หนว่ ย (Unit) สง่ิ ทัง้ หลายอันรวมถึงจานวนเลขเกดิ มาจากหนว่ ย หน่วยนนั้ หรอื จุดรวมกนั ทาให้เกิดเส้น เสน้ รวมกันทาให้เกิดเน้อื ที่ เนื้อทีร่ วมกันทาให้เกิดปริมาตร

51 ใจความปรัชญาของพธิ ากอรัสจงึ มีอยวู่ ่า ปรมาณเู ป็นปฐมธาตุของโลก เมื่อปรมาณูรวมตวั กนั ใน ลักษณะท่เี ลยี นแบบจานวนเลข สรรพสิ่งในโลกจงึ เกิดขึน้ สมยั รงุ่ เรอื ง ปรชั ญาในสมยั นี้ จะพูดถงึ ประเด็นถงึ ญาณวิทยาและจรยิ ศาสตร์มากขนึ้ ในสมัยนี้นั้นปรัชญา จะครอบคลมุ ไปในทุกศาสตร์ ดงั นี้ ตรรกศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสกิ ส์ คณิตศาสตร์ ชีววทิ ยา สตั ววิทยา อภปิ รัชยา ญาณวทิ ยา จิตวิทยา วาทศิลป์ จริยศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสุนทรศี าสตร์ โสเครตสี (ก.ค.ศ.470-399) ท่านเปน็ นกั ปรัชญาตัวอย่างท่สี รา้ งแรงบนั ดาลใจให้กับลูกศิษย์ และนกั ปรัชญารนุ่ หลงั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ทา่ นใช้ตรรกะวทิ ยาในการสนทนาเพื่อค้นหาแกน่ แท้ของความ จริงในเรือ่ งที่ท่านอยากรู้ ไม่ว่าจะเปน็ การเมอื ง ศาสนา การแต่งงาน ความรัก และศลี ธรรม โสเครตีส ให้ความเห็นในความรเู้ ร่ืองปฐมธาตขุ องโลกหรือการกาเนิดจกั รวาลน้นั มปี ระโยชนน์ ้อยมาก เพราะ ความรเู้ รือ่ งนี้ไมช่ ่วยใหม้ นษุ ย์ดาเนนิ ชวี ิตไดถ้ ูกต้องมากขึ้นแตอ่ ยา่ งใด ท่านเห็นว่าความรทู้ ี่นกั ปรชั ญา แสวงหาควรเปน็ ความรเู้ กย่ี วกบั มนษุ ย์และหนา้ ท่ีของมนษุ ย์เพราะมนษุ ยน์ าความรเู้ หลา่ นไี้ ปปรบั ปรุง ชีวิตให้ดขี น้ึ การค้นคว้าทางปรัชญาของท่านนัน้ จงึ มจี ุดหมายอยู่ทีก่ ารปฏบิ ตั มิ ากกวา่ จะสรา้ งทฤษฎี ทางอภิปรัชญา วิภาษวธิ ี คือ วธิ กี ารของโสเครตสี ในการสนทนาเพอ่ื นาไปสู่คาตอบของปญั หาท่ีกาลงั อภิปราย มลี กั ษณะสาคัญ 5 ประการคือ 1.สงสยั 2.สนทนา 3.หาคาจากดั ความ 4.อุปนัย 5.นริ นัย พลาโต (ก.ค.ศ.427-347) พลาโตสงั กดั อย่ใู นวงสมาคมของช้นั ชนปกครอง ท่านอุทิศตวั ใหก้ ับ การสร้างคนใหเ้ ป็นนักปรชั ญาและเปน็ นกั ปกครองท่ดี ี ท่านได้ต้งั สานกั ศึกษาขึน้ เพ่ือให้การศึกษาแก่ เยาวชนกรกี โดยใชช้ อ่ื วา่ อะคาเดมี เปิดสอนครัง้ แรกเมื่อพลาโตมีอายไุ ด้ 40ปี อะเคดิมีน้ีจงึ นับเป็น มหาวิทลัยแหง่ แรกของกรีกซ่ึง บรกิ ารใหก้ ารศกึ ษาชน้ั สูงโดยไมเ่ รียกเกบ็ คา่ เล่าเรยี น อะเคดิมีแ่ ห่งนี้ได้ ใหค้ วามรู้เรือ่ งวทิ ยาศาสตร์และปรชั ญาการเมอื ง พลาโตเหน็ ว่านกั ปกครองท่ดี ีตอ้ งมคี วามรทู้ ีเ่ ป็น วทิ ยาศาสตรแ์ ละปรชั ญาการเมอื ง

52 ปรชั ญาของพลาโต เพลโตถ้ ือว่าโลกมีอยู่ 2 โลก คือ 1.โลกแหง่ วตั ถแุ ละโลกแห่งแบบโลกแหง่ วตั ถุ ซ่งึ เปน็ โลกที่ร้ไู ดท้ างประสาทสมั ผัส คือทางตา หู จมกู ล้นิ และกาย มีแล้วก็เปล่ียนแปลงไปไม่คงที่ 2.โลกแห่งแบบ (World Of Form Or Pattern) คอื โลกแหง่ สจั จะแท้ที่ไม่แปรปรวน อารสิ โตเตลิ (ก.ค.ศ.384-322) เปน็ นกั ปรชั ญาคนสดุ ท้ายของปรชั ญากรีกสมยั รงุ่ เรือง อาริส โตเติลเกิดในตระกลู แพทย์ทา่ นจงึ มีอุปนิสยั รักการคน้ คว้าทางวิทยาศาสตร์ และเมือ่ มีอายุได้ 17ปี ทา่ นถกู สง่ ตัวไปยงั เอเธนส์เพือ่ เขา้ รับการศกึ ษาในสานักอะคาดมิ ีของพลาโต ท่านอย่ใู นสานกั นานถงึ 20 ปี นอกจากศึกษาเร่ืองวิทยาศาสตรแ์ ล้วท่านยังศึกษาชีววิทยาโดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ชวี ิตสัตวท์ ะเลอา ริสโตเตลิ ได้ตงั้ สานักของตนข้ึนเรยี กวา่ ลเี ซอมุ ซงึ่ เลยี นแบบอะคาดิมีของพลาโต อารสิ โตเติ้ลแบ่งการ บรรยายเป็น 2 ภาค ภาคเชา้ เป็นการบรรยายวชิ าปรัชญาท่ีลกึ ซึง้ ให้กับนักศึกษาท่มี ีพน้ื ฐานความรู้ดี อยู่แลว้ ส่วนภาคคา่ เปน็ การบรรยายวิชาการทว่ั ไปเชน่ วาทะศลิ ป์ ในสานกั แหง่ น้ีทา่ นไดส้ รา้ งหอ้ งสมดุ ทใี่ หญม่ ากซ่ึงสะสมต้นฉบับแผนทแ่ี ละอปุ กรณ์การสอนจานวนมาก ปรชั ญาธรรมชาติของอารสิ โตเติล ทา่ นใหค้ วามสนใจความจริงของธรรมชาตเิ ปน็ อย่างมาก ทา่ นใชอ้ งค์ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์มาพัฒนาแนวคิดเร่อื งความจรงิ ของธรรมชาตินี้ ผลงานด้าน วิทยาศาสตรข์ องท่านมีชอ่ื ว่า “ฟิสกิ ส์ (Physics) แนวคดิ ดา้ นฟสิ ิกสข์ องท่านจึงจดั เปน็ “ปรัชญา ธรรมชาติ” คาวา่ “ธรรมชาติ” ของอารสิ โตเตลิ หมายถึง “ผลรวมของวัสดทุ กุ อยา่ งท่ีเป็นสสารและมี การเคล่ือนไหว” (Copleston, 1985: 320) แนวคิดพื้นฐานในปรัชญาธรรมชาติของอารสิ โตเตลิ ก็คือการเคลอ่ื นไหว (Motion) กาละ (Time) และอวกาศ (Space) ทา่ นเหน็ วา่ การเคล่ือนไหวหรือการเปลี่ยนแปลงของสรรพส่ิงมี 4 อยา่ ง คือ 1. การเคล่อื นไหวทางสสาร เช่น การเกดิ และการตายของคน 2. การเคลอื่ นไหวทางปริมาณ เชน่ คนอ้วนข้ึนหรอื ผอมลง 3. การเคลอ่ื นไหวทางคุณภาพ เชน่ คนโง่กลายเปน็ คนฉลาด 4. การเคลอ่ื นไหวทางสถานท่ี เชน่ คนเดินออกจากห้องประชุม

53 สมยั เสอื่ ม ปรชั ญาสมัยนมี้ ลี ักษณะเปน็ จริยศาสตร์และศาสนาปรชั ญา สานักพลาโตใหม่ทเ่ี กิดขนึ้ ในสมัย นี้ทาหน้าท่ีเหมือนสานกั ศาสนาให้กบั ชาวกรกี และชาวโรมนั แต่ไม่ประสบความสาเร็จเท่าท่คี วรและยัง ได้มสี ่วนชว่ ยใหเ้ รง่ ปิดฉากให้ปรชั ญากรีกอีกด้วย ในสมัยน้ีศาสนาครสิ ต์ค่อนขา้ งรุ่งเรอื ง แต่คาสอน ของสานักพลาโตใหม่น้ีมีหลักปรชั ญาทึ่ลึกซ้งึ น้ันเปน็ เร่ืองยากสาหรับประชาชนท่ัวไป สานักพลาโตใหม่ จึงสูศ้ าสนาครสิ ตไ์ ม่ได้ ในที่สุดศาสนาคริสต์ก็สามารถกาจดั สานักปรัชญาคูแ่ ขง่ ไปได้หมด เม่อื จกั รพรรดิยุสติเนียนแหง่ กรุงโรมทรงออกคาส่ังปิดสานักปรัชญาทีไ่ มน่ ับถือศาสนาครสิ ตใ์ นค.ศ.529 อนั เปน็ ปีท่ยี ุคปรชั ญากรีกส้ินสดุ ลงอยา่ งเป็นทางการ เอปิควิ รสุ (ก.ค.ศ.341-270) เป็นผูก้ ่อต้ังสานัก เอปิคิวเรียน ปรชั ญาของท่านมงุ่ เน้นไปในเรือ่ ง การช่วยใหม้ นุษย์ดารงชีวติ ดว้ ยความสขุ ถา้ กลา่ วในดา้ นจริยศาสตรเ์ ราจดั กลุ่มวชิ านใี้ นประเภทสุข นยิ ม ท่านถือว่าความสขุ เปน็ จุดหมายสงู สดุ ของชีวิต ทุกชีวติ ต้องการความสขุ ท่านใช้คาว่า ความสุข ในความหมายเดยี วกับ ความสาราญ ท่านกลา่ วว่า “เรายืนยันว่า ความสาราญเปน็ จุดเร่ิมตน้ และ จดุ หมายปลายทางของการดารงชีวติ ทีม่ ีความสขุ เพราะเราตระหนักวา่ ความสาราญน้เี ป็นความดี อันดบั หน่งึ ที่ติดตวั เรามา และเราจะเลอื กทาหรือไม่ทาอะไรก็เพราะอาศยั ความสาราญเป็นเกณฑ์ใน การตัดสินใจ” (Runes, 178) อกี นยั หนึง่ คือ คนเรามักเลือกสิง่ ท่ีสรา้ งความสุขและหลีกเลย่ี งสง่ิ ที่สรา้ ง ความทุกข์นั้นเอง

54 ปรชั ญาตะวนั ตกสมยั กลาง ความหมายของปรชั ญายุคกลาง ปรัชญายุคกลางในท่ีน้ี เราหมายถึงปรัชญายุคกลางของยุโรปเท่านั้นและโดยเฉพาะอย่างย่ิง ปรัชญาของชาวคริสต์ ระหว่าง คริสต์ศตวรรษ ที่ 1 ถึง คริสต์ศตวรรษ ท่ี 15 ช่วงเวลาของปรัชญายุค กลางคาบเกี่ยวกับช่วงเวลาของปรัชญายุคโบราณอยู่ประมาณ 5 ศตวรรษ เพราะปรัชญายุคกลาง โบราณของยโุ รปส้นิ สดุ ลงเปน็ ทางการในปี ค.ศ. 529 แต่ทวา่ ปรัชญาครสิ ต์เร่มิ ถอื กาเนิดมาจากคาสอน ของพระเยซูคริสตผ์ ้ทู รงเร่มิ ประกาศศาสนาครสิ ต์ในปี ค.ศ. 28 จงึ นับได้วา่ ปรัชญายคุ กลางเรมิ่ อุบัติขึ้น ต้ังแต่ปีนั้น ระหว่างปี ค.ศ. 28 – 529 นักปรัชญาคนใดนับถือศาสนาคริสต์ก็จัดอยู่ในปรัชญายุคกลาง นกั ปรชั ญาคนใดไม่นับถือศาสนาครสิ ตก์ ็จัดอยูใ่ นปรชั ญายุคโบราณ ศาสนาอิสลามถือกาเนิดข้ึนในปี ค.ศ. 622 ซ่ึงเป็นปีท่ี 1 แห่งศักราชเฮยีร์ (ฮ.ศ. 1) ต่อมาชาว มุสลิมได้เผยแผ่ขยายอิทธิพลเข้าไปต้ังม่ันอยู่ในประเทศเสปนเป็นเวลาช้านาน ได้ตังมหาลัยขึ้นหลาย แห่ง มีการศึกษาปรัชญากรีกกันเป็นล่าเป็นสันเพ่ือใช้อธิบายคาสอนของศาสนาอิสลาม นักประวัติ ปรชั ญาใหจ้ ัดอยใู่ นยุคกลางดว้ ย ปรัชญาอิสลาม นกั ปรัชญาอิสลามก็คงมีปัญหาแกนเก่ียวกับการประนีประนอมปรชั ญากรีกกับศาสนาของตน เหมือนกัน ในตอนแรกใช้ปรัชญาของศาสนาของเพลโทว์อธิบายศาสนาตามความนิยมของสมัย ภายหลังจงึ มผี กู้ ล้าเสี่ยงให้ปรัชญาของเอเรสิ ทาเทิลอธิบยศาสนา นับเปน็ ความคิดริเร่ิมของนักปรัชญา อิสลามโดยแท้ ปรากฏวา่ ได้คาอธบิ ายลึกซ้ึงน่าพอใจเกินคาด แมจ้ ะถกู ตอ่ ตา้ นแต่กป็ ระสบความสาเร็จ ในทสี่ ดุ

55 ทาไมคริสตศาสนา จึงครอบครองยุโรปกลาง ถ้ามองในแง่ศรัทธาก็อาจจะกลา่ วไดว้ ่าเปน็ ปาฏหิ ารยิ ์ เพราแมท่ ัพคานสเทินทนี ใช้กางเขนเป็น ธงประจากองทัพแล้วก็สามารถชนะศึกแยง่ านาจ สถาปนาตัวเองข้ึนเป็นจักรพรรดิของมหาอาณาจักร โรมันได้สาเร็จ ถ้ามองในแงเ่ หตุผล การท่แี ม่ทพั คานสเทนิ ทีนใชธ้ งกางเขนเป็นธงประจากองทัพนน้ั มีผลปลกุ ใจให้ชาวคริสต์ในสมัยน้ัน ซ่ึงไม่ได้รับความเสมอภาคตามกฎหมายขอมหาอาณาจักรพากันสนับสนุน อย่างเต็มกาลัง ส่วนคนอ่ืน ๆ ไม่สนใจใครจแพ้ชนะขอให้สงบศึกกันเร็ว ๆ ได้เป็นดี คานสเทินทีนได้ เป็นจักรพรรดิแล้วทรงปรากาศให้เสรีภาพแก่คริสตศาสนา และทรงทะนุบารุงศาสนาอื่น ๆ ในมหา อาณาจักรโรมัน ต่อมาจักรพรรดิธีเออดาเชิสทรงประกาศให้คริสตศาสนาเป็นศาสนาประจามหา อาณาจักรโรมันแตเ่ พียงศาสนาเดยี ว ปรัชญาตะวนั ตกยคุ กลางตอนตน้ เซนต์ ออกัสตนี ค.ศ.354-430 ในประวัติศาสตร์ปรัชญาที่แสดงถึงความสัมพันธ์ภายในระยะหวา่ งความคิดเห็นทางฝ่ายบรู พ ทิศ กับอัสดงคตประเทศน้ัน เซนต์ออกัสตีนอยู่ในฐานะเป็นเอกหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ท่านเป็น จุดเริ่มต้นของปรัชญาสมัยกลางและความคิดเห็นของท่านได้มีอิทธิพลไปจนถึงอวสานของสมัยกลาง ด้วย ในตอนเร่ิมต้น ท่านเป็นดุจสะพานเชื่อมมโนคติทางคริสต์ศาสนา กับมโนคติเก่า ๆ ที่ถือเป็นแบบ ฉบับเข้าด้วยกัน ท่านเกิดที่เมืองตากัสเต (Tagaste) เป็นเมืองเล็ก ๆ ในแอฟฟริกาเหนือไม่ห่างจาก เมืองคาเธจ ด้านตะวันตกมากนัก อยู่ทางใต้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปราวๆ 80 กม. ในนูมิเดีย (Numidia) เวลานี้คือเมืองซูกอาห์รัส (Souk – Ahras ) ในแอลจีเรีย ตรงพรมแดนด้านตูนีเซีย ใน แอฟริกาท่ีเป็นส่วนของโรมัน เมื่อ ค.ศ.354 บิดาของท่านเป็นข้าราชการโรมันชื่อ ปาตริซิอุส (Patricius) มิได้ถือศาสนาใด ๆ และมารดาช่ือมอนนิกา (Monnica ) ถือลัมธิคาทอลิค ท่านเป็นเด็กท่ี มีสติปัญญาปราดเปร่ืองมาก เมื่อสมัยท่ีท่านยังเป็นเด็กอยู่ ท่านได้ศึกษาภาษาปูนิก (Punic) ซึ่งงเป็น ภาษาพื้นเมอื งและภาษาละติน ทา่ นไม่ชอบภาษากรีกเลย เมอื่ อายไุ ด้ 12 ปี ทา่ นไดไ้ ปศกึ ษาอยู่ที่เมือง มะดอรา (Madaura) เป็นเวลาถึง 4 ปี สมัยเมืองมะดอราเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม ของพวกนอก ศาสนา หลังจากนั้นท่านก็กลับมาอยู่ที่เมืองตากัสเต บิดามารดาคิดจะให้ท่านเป็นทนายความ แต่ ขาดทุนทรัพย์ จึงไมไ่ ดเ้ รยี นอะไรเลยเปน็ เวลาหน่งึ ปี เมอ่ื อายไุ ด้ 17 ปี จึงได้เรม่ิ ศกึ ษาวชิ าวาทศาสตร์ท่ี

56 เมืองคาเธจตอนน้ีเองที่ท่านเกิดมีความรัก และได้แต่งงานกับสตรีผู้หน่ึง และอยู่กันมาเป็นเวลาถึง 13 ปี นางได้ให้กาเนิดบุตรคนหน่ึง ช่ือ อะโดดาตุส (Adeodatus) และในระยะนี้แหละที่ท่านได้หันมาสนใจ ลัทธิคาสอนของท่านมณี เม่ืออายุได้ 19 ปี ท่านได้เป็นครูอยู่ที่เมืองตากัสเต เมืองคาเธจ แล้วก็ที่กรุง โรมทา่ นได้ประสบผลสาเร็จเปน็ อยา่ งดยี งิ่ ท่านได้เล่าไว้ในหนังสือ Confessions ว่า เมื่อตอนเป็นเด็ก ท่านชอบเล่นสนุก ได้เคยร่วมกับ เพ่ือนขโมยลูกแพร์ พวกท่านมิได้กินลูกแพร์เหลา่ นน้ั เลย แต่ทว่าแอบขึ้นไปขโมยลูกแพร์ในเวลาค่าคืน เพราะเหน็ ว่าการฝา่ ฝนื สงิ่ ท่เี ขาห้ามหวงน้นั เป็นเกมกีฬาทส่ี นกุ อย่างยิง่ คราวท่ีบิดามารดาส่งท่านไปศึกษาทเ่ี มืองมะดอรา และต่อมาท่ีเมืองคาเธจนั้น ท่านได้มีความ รัก ท่านเขียนไว้ว่า “มันเป็นชีวติ ท่ีคนคนหนึง่ รักในสัตว์ทั้งหลาย รักและถูกรัก และการรักเขากับการ ทม่ี ผี ู้มารกั ก็ยังคงมอี ยู่ในตวั ขา้ พเจ้า ในคราวที่ขา้ พเจ้าช่นื ชมยนิ ดีอย่กู บั ร่างกายของคนรัก” ตอนทที่ ่านจะออกจากเมืองคาเธจน้ัน ท่านเริม่ เบือ่ ศาสนาของท่านมณีเต็มทีแล้ว ดงั นน้ั พอมา อยู่กรุงโรม ท่านก็ทิ้งศาสนาของท่านมณี หันไปสนใจท่าทีแบบลัทธิวิมัตินิยม ของอะนิวอะแคเดมี แต่ การสอนท่ีกรุงโรมนน้ั ไม่เป็นท่ีพออกพอใจทา่ นมากนัก พอทา่ นได้ทราบว่าทางเมืองมลิ าน ประกาศรับ ศาสตราจารย์ทางวชิ าวาทศาสตร์ ทา่ นจึงสมัครไปสอน โดยมภี รรยา บตุ ร มารดา และเพื่อน ๆ อกี สอง สามคนติดตามไปด้วย มารดาซึ่งเป็นผู้เคร่งครัดในลัทธคิ าทอลิก ได้สวดอ้อนวอนทุกวัน ขอให้ท่านหัน ไปถือลัทธิดาทอลิก และนางต้องการให้ลูกชายได้แต่งงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย และการที่ออกัสตีน ไปยงั เมืองมลิ านน้ัน กโ็ ดยหวังว่า จะไดม้ ชี ือ่ เสยี งในอาชีพที่น่นั ทเี่ มืองมลิ านน้ี ทา่ นสนใจในเซนต์อมั โบ รสมาก มารดาไดไ้ ปหาหญิงคนใหม่ ให้เป็นภรรยาของออกัสตีน ความจริงนางยังมีอายุน้อย ไมเ่ หมาะ แก่การแต่งงานจนกว่าจะถึงอีกสองปีข้างหน้า แต่ออกัสตีนก็ไม่ขัดข้อง ในท่ีสุดท่านก็ได้เลิกร้างกับ ภรรยาคนน้ี ซ่ึงท่านมิได้บอกไว้ว่าช่ืออะไร เม่ือออกัสตีนได้ภรรยาใหม่ ภรรยาเก่าก็หนีกลับไปแอฟริกา และ ปฏิญาณว่าจะไม่ขอรู้จักชายคนใดอีก ต่อมา ออกัสตีนกับเพ่ือน ๆ ก็กลับมาอยู่ท่ีกรุงโรมอีกสองปี จึง กลบั มายงั เมอื งตา

57 กัสเต และได้สร้างวัดข้ึนวัดหน่ึง ท่านถึงมรณภาพท่ีเมืองฮิปโป (Hippo) ปี ค.ศ.330 หลังจากที่ได้เปน็ บิชอปของเมืองน้ัน นับตั้งแต่ ค.ศ. ๕๓๘ จนถึง พ.ศ. ๙๗๓ ดังนั้น ท่านจึงเป็นชาวแอฟริกัน ท่ีข้ึนอยู่ กับอาณาจักรโรมันซ่ึงอยู่ห่างไกล และได้เจริญเติบโตท่ีบริเวณแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้าน ตรงข้ามกับทวีปยุโรป วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีชาติต่าง ๆ เผ่าต่าง ๆ จากส่วนต่าง ๆ ของโลก ได้หลอมบคุ ลกิ ลักษณะของท่าน และหลอ่ หลอมความคดิ ของท่าน อทิ ธิพลของพวกเซมิตกิ ท่ี ได้มชี ีวติ ของท่านน้ัน อาจมาจากสังคมฟนี ิเชีย และบางทอี าจมาทางสายเลือดของพวกฟีนเิ ซยี ซึ่งท่าน ได้มีความคุ้นเคยกับภาษา และอุดมคติ ของพวกน้ีมาก เปปร์เซียได้มีอิทธิพลต่อท่านอย่างลึกซ้ึง โดย คาสอนในลัทธิของท่านมณี (Manichaeism) ซ่ึงท่านได้สนใจติดตามศึกษาอยู่จนถึง 9 ปี วรรณกรรม เกา่ ๆ ภาษาละตินและกรกี ไดม้ บี ทบาทสาคัญมากในด้านพฒั นาการทางพุทธปิ ัญญาของท่าน ท่านได้ ศึกษาภาษาละตินตั้งแต่เยาว์วัย และการศึกษาท้ังสิ้นของท่านมักจะเกี่ยวข้องกับภาษาละตินนั้นเป็น ส่วนใหญ่ เมื่อยังเป็นเด็ก ท่านได้ศึกษาเรื่องราวบางตอนท่ีคัดเลือกแล้ว จากวรรณกรรมภาษาละติน เชน่ Terence, Horrace, Catullus, Ovid, Juvenal, Persius และ Martial เปน็ ต้น ทา่ นยังได้ศึกษา ในเร่ือง Virgin อย่างกว้างขวาง และได้รับความสุขมากมายจากวรรณกรรมที่ท่านได้เขียนขึ้นมาด้วย ข้อเขียนต่าง ๆ ของท่านมีเค้าว่าท่านคุ้นเคยกับวรรณกรรม ภาษาละดิน ซึ่งท่านได้ศึกษามาตั้งแตส่ มยั เป็นเด็กเปน็ อยา่ งดี ท่านไดศ้ ึกษาเรอื่ ง Hertensis ของ ซิเซโร ซึ่งเป็นเหตุเร้าใจให้ท่านมีความรักในวิชาปรัชญาอย่างแรงกล้า เมื่อท่านเป็นเด็ก ท่านได้ศึกษา ภาษากรีกด้วย เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยได้ผลมากนัก ท้ังน้ีเพราะว่า ท่านมิได้มีความใฝ่ฝันท่ีจะศึกษาให้ ซาบซึ้ง ถึงความละเอียดลออ ลุ่มลึกของภาษานั้น นี้เป็นเหตุแห่งความเศร้า ที่บังเกิดมีแก่ท่านใน ภายหลัง และท่านก็พยายามอย่างดีทส่ี ุด ท่ีจะได้ใช้ภาษากรีกที่ท่านได้ศึกษาเลา่ เรียนมาบ้าง เพ่ือท่ีจะ ได้เข้าใจพระคัมภีร์ใหม่ (New Tesiament) โดยเฉพาะอย่างย่ิง ท่านเป็นหน้ีปรัชญานีโอพลาโตนิสม์ ของกรีก ซึ่งก่อให้เกิดเป็นส่วนท่ีแบ่งแยกมิได้ เกี่ยวกับการคิดถึงที่สุดแห่งชีวิตของท่าน แม้ว่าจะได้รับ การแก้ไขเป็นส่วนใหญ่ โดยการศึกษาประสบการณ์ต่าง ๆ ก็ตาม คริสต์ศาสนาท่ีมารดาได้กระตุ้นใจ ท่านอยู่ตลอดเวลา นับต้ังแต่ยังเป็นทารก แต่ท่านได้คัดค้านและเพิกเฉยมาเป็นเวลาหลายปีแล้วน้ัน ก็ ไดเ้ ข้ามามบี ทบาทในชีวิตของท่านอยา่ งรุนแรงในระหวา่ งวกิ ฤติกาลทางอารมณ์เมื่อคราวท่ีท่านเปล่ียน ศาสนาตอนท่ที า่ นมีอายุได้ 32 ปี และตอ่ จากนนั้ ครสิ ต์ศาสนาก็ได้กลายมาเป็นสว่ นสาคัญ ที่สูงเด่นใน ชีวิต และความคิดของท่านจนกระทั่งอวสานแห่งชีวิต ดังน้ัน เซนต์ ออกัสตีน จึงได้แสดงให้เห็นความ บรรจบกันของตะวันออกและตะวันตกในชวี ติ และปรัชญาของท่านในวถิ ีทางท่ีท่านคุ้นเคยเป็นอย่างดี พวกนักเทววิทยาฝ่านคริสต์ศาสนาต่อจาก เซนต์ พอล (St.Paul ) อิทธิพลของท่านท่ีมีต่อชีวิตของ

58 คริสต์ศาสนิกชนอย่างลึกซ้ึงนั้น ได้มีติดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัยจนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบันน้ี นับว่า เปน็ ความจรงิ ทเี่ หน็ ได้อย่างแจม่ แจง้ แลว้ ว่านักคิดท่ีเปน็ คริสตศาสนิกชนสมัยแรก ๆ ท่ไี ด้รับการเคารพ นับถือเป็นอย่างสูงมาหลายยุคหลายสมัย ได้ถูกหล่อหลอม โดยอิทธิพลท่ีมาจากสถานที่ต่างๆซ่ึง กระจัดกระจาย อยู่ทั่วโลก เช่น จากแอฟริกา เปอร์เซีย กรีซ โรม และปาเลสไตน์ ดังนั้นเราจึงได้ยก ยอ่ งท่านไว้ในตาแหนง่ ท่สี าคญั มากในประวตั ิศาสตร์ปรัชญา ท้ังฝา่ ยบุรพทศิ และอัสดงคตประเทศ เซนต์ ออกัสตนี กับลัทธคิ าสอนของทา่ นมณี ออกัสตีนเป็นเด็กท่ีเฉลียวฉลาดมาก บิดามารดาจึงส่งไปเรียนหนังสือที่เมืองมะดอรา (Madaura) แลว้ ตอ่ มากส็ ่งไปเรยี นท่ีคาร์เธจ (เมอื งโบราณในแอฟฟริกาเหนือ อยู่ใกล้ตูนสิ ในปัจจุบันน้ี ถูกพวกโรมันทาลายเมอื่ ก่อน ค.ศ.146) ทา่ นได้พบรักท่คี าร์เธจ ทา่ นได้เขยี นไวว้ า่ “ชวี ติ ก็คอื การที่ใคร คนหนึ่งรักในสัตว์ทั้งหลาย รักและมีผู้รัก การรักและการท่ีมีผู้มารัก ย่ิงมีความหมายมากขึ้น เมื่อ ข้าพเจ้าได้ชื่นชมยินดีกับร่างกายของคนท่ีข้าพเจ้ารัก” ณ เมืองงคาร์เธจน้ีเอง ท่านได้พบปรัชญา คือ หนังสือเรื่อง Hertrnsius ของซิเซโรซึง่ ทาให้ทา่ นได้พบรกั ใหม่อกี รักหน่ึง คอื รกั ปัญญา ในตอนที่ท่านมี อายุ 19 ปี ความรกั ท้งั สองอยา่ งนีไ้ ด้ต่อสกู้ นั อย่ใู นจติ ใจของทา่ น เมื่อสมัยเป็นเด็กหนุ่ม ออกัสตีนชอบใจปรัชญาของลัทธิมณีมากผู้ก่อตั้งลัทธิน้ีข้ึนเป็นชาว เปอร์เซีย ชื่อ มะเนส (Manes) หรือ มณี (Mani) ซ่ึงมีชีวิตอยู่ในระหว่าง ค.ศ.216-267 ดูเหมือนว่า ลัทธิของทา่ นมณีน้ี จะแพรห่ ลายไปท่วั จกั รวรรดิโรมัน คาสอนที่เปน็ หลักสาคัญ ๆ ของศาสนาเท่าท่ีพบ มีอธิบายอยู่ในจดหมายฉบับหนึ่งช่ือว่า Foundation ซึ่งเชื่อกันว่าท่านมณีได้เขียนไว้เอง และยังมีอยู่ ในหนังสือต่าง ๆ ของเฟาส์ตุส (faustus) ซ่ึงมีอายุในปูนดียวกันกับออกัสตีน และถือกันว่าเป็นผู้ อธบิ ายขยายความคนสาคัญของศาสนามณนี ้ี เราได้พบการวิจารณ์ และอธิบายเกี่ยวกบั ศานามณีนี้อยู่ มากมายในขอ้ เขียนตา่ ง ๆ ของ เซนต์ ออกสั ตนี จากที่มาต่าง ๆ เหลา่ นี้ กพ็ อทเ่ี ราจะสร้างลัทธิคาสอน ที่เป็นหลัก ๆ ของศาสนาท่านมณใี หม่ได้อยู่ ตามหลกั คาสอนนี้ มี เนื้อสาร (Substance) ทีต่ รงกันข้าม เป็นนิรันดรอยู่ 2 อย่าง คือ อาณาจักรแห่งแสงสว่าง ซึ่งมมีบิดาผู้เป็นเจ้าทรงเป็นประธาน กับ อาณาจักรแห่งความมืด ซึ่งมีเจ้าชายที่น่าสะพรึงกลัวเป็นหัวหน้า เจ้าชายกูน่าสะพรึงกลัวนี้ มิได้เป็น เทพ (Deity) แต่ก็เป็นผู้เป็นนิรันดร เช่นเดียวกับหวั หน้าท่ีปกครองอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เป็นภาวะ ทางจิตใจ (Spritual entity) และในระหว่างอาณาจักรท้ังสองนี้ ก็มีการต่อสู้แลละการกะทบกระทั่ง กันเป็นประจาอยู่ตลอดเวลา ดังน้ัน ลัทธิชองทา่ นมณี จึงแสวงหาวธิ ีทีจ่ ะอธิบายความมีอย่ขู องความชั่ว ร้าย และบาปในโลก ลัทธิเทวนิยมน้ี ได้เป็นลักษณะที่เด่นชัด ของศาสนาในเปอร์เซียเสมอมา นับว่า เป็นสิ่งที่น่าสนใจในอันท่ีจะค้นคว้าหาคาตอบถึงวิธีที่เปอร์เซียโดยเฉพาะนี้ได้บังเอิญให้คุณลักษณะนี้

59 ต่อปัญหาที่เกี่ยวกับความชั่ว ที่ได้คอยขัดขวางจิตใจของปรัญญาเมธีท้ังหลายมาหลายช่ัวอายุและใน ทกุ ส่วนของโลก เมื่อเพ่งถงึ จุดหมายปลายทาง อนั เป็นันตมิ ะของมนุษย์แลว้ พวกลูกศิษย์ท่านมณีก็มีความเห็น ว่า ผู้ทีได้รับเลือก (elect) แล้ว ควรจะได้รับการปลดเปล้ืองจากร่างกาย แต่ว่าดวงวิญญาณที่ด้อย ซึ่ง ไม่อาจบรรลุ ถึงความหลุดพ้นน้ัน คงจะถูกลดช้ันลงมาเป็นวัวป่า และกลายมาเป็นสายนโซ่ของโลก โดยอาศัยกระบวนการการเคล่ือนย้ายวิญญาณ ลัทธิลึกลับที่ได้จัดแจงไว้อย่างอย่างประณีต ย่อม กอ่ ใหเ้ กดิ ส่วนท่มี ีชวี ิตจติ ใจ แห่งลทั ทธิของทีร่ ะลกึ ทา่ นมณี พวกถือลัทธิของท่านมณี ได้เคารพในการวิพากษ์วิจารณ์คัมภีร์คริสต์ศาสนามาก พวกเขาได้ แสดงความคารวะอย่างสูง แต่เขาก็ได้ปฏิเสธอย่างเต็มท่ีเช่นกันต่อคัมภีร์ซ่ึงมิได้เห็นพ้องกับพวกเขา โดยมีความเห็นว่าผู้เขียนตาราเหล่าน้ัน ยังเป็นปุถุชนที่เต็มไปด้วยความสงสัย และว่าในคัมภีร์ใหม่ (New Testament ) ก็ยงั มีผดิ พลาดอยา่ งนา่ เสียใจอยหู่ ลายแหง่ ดว้ ยกัน พวกเขาคดิ ว่าสาระแห่งคริสต์ ศาสนา และว่าท่านได้มีการติดต่อกันโดยตรงกับพระเยซูคริสต์เจ้า และได้รับการมอบอานาจมาจาก พระเยซูโดยตรง ท่านเรียกตัวท่านเองว่า “Manichaeus ผู้เผยแพร่ศาสนาของพระเยซูคริสต์เจ้า โดย ได้รับการแต่งต้ังจากพระบิดาสวรรค์” การอ้างอย่างประหลาดที่ว่า ลัทธิของท่านมณีเป็นแบบฉบับ ด้ังเดิมและบริสุทธิ์ของคริสศาสนานี้ นับว่าเป็นคุณลักษณะท่ีสสาคัญของลัทธิมณีอย่างหนึ่ง ในสมัย ออกัสตีน ในครอบครัวที่ถือคริสต์ศาสนา แต่กลับมีความสนใจอย่างลึกซ้ึงในความผสมกันอย่าง ประหลาดแห่งความเชื่อถือในลัทธิของท่านมณี คาสอนในคริสต์สาสนาที่ได้รับเมื่อสมัยยังเป็นเด็กอยู่ นั้น หาเพียงพอแก่การที่จะเผชิญกับปัญหาและวามต้องการต่าง ๆ ของจิตใจที่แจ่มใสไม่หยุดยั้ง และ ชอบซักถามอยู่ตลอดเวลาไม่ ท่านยังไม่เข้าใจซาบซ้ึงในแก่นแท้ของ ศาสนาคริสต์ ท่านไม่เข้าใจว่า คริสต์ศาสนาไม่ได้สร้างพระผู้เป็นเจ้าให้เป็นแหล่งของความช่ัว ความมีอยู่จองความช่ัวร้ายในโลก ทา ให้ท่านรู้สึกยุ่งใจมาก และท่านคิดว่าลัทธิของท่านมณี คงจะให้การแก้ปัญหานี้ได้ผลซึ่งคริสต์ศาสนา ช่วยไมไ่ ด้ ปรชั ญาตะวนั ตกยคุ กลาง เซนต์ โบนาเวนตูรา ค.ศ. 1221 – 1274 การที่พวกคริสต์ศาสนิกชน มูสลิม และพวกยิวรับเอาคาสอนของอะริสโตเติลเข้าไปผสมกับ ลัทธิคาสอนของตนในสมัยพุทธศตรรษท่ี 15-18 นั้น พอจะเทียบได้กับการที่ปรัชญาเมธีท่ีเป็น คริสต์ศาสนิกชนและที่มิใช่คริสต์ศาสนิกชนได้ยอมรับเอาระบบวิทยาศาสตร์ เช่น ของคาร์ลมาร์กซ์

60 (Karl Mark: ค.ศ.1818-1883) ซกิ มันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud : ค.ศ. 1856-1939) และ อลั เบิรต์ ไอน์สไตน์ (Albert Einstein : ค.ศ.1879-1955) เข้าไว้ในคาสอนของตน ซ่ึงในการยอมรับระบบ ทาง วิทยาศาสตร์น้ัน มิได้เอามโนคติเดียวเท่านั้นมารวมไว้ แต่ทว่าได้เอาระบบท้ังปวง คือ ทัศนะเกี่ยวกับ พระผเู้ ป็นเจา้ และจกั ราวาลท้งั ปวงเข้ามารวมกันไว้ด้วย การที่พวกคริสต์ศาสนิกชนยอมรับเอาความคิดเห็นของอะริสโตเติลเข้ามาไว้ในลัทธิคาสอน ชนิดค่อยเป็นค่อยไป ค่อย ๆเพ่ิมพูนมากข้ึน ในสมัยกลางทุกคนมีส่วนร่วมอยู่ด้วย โดยเจตนาหรือไม่ก็ ตาม สัทธิของอะริสโตเติลแบบอังกฤษ ซึ่งจะเห็นประจักษ์ชัดใน โรเบิร์ตกรอสส์เดสต์ (Robr (Girscteste : ประมาณ ค.ศ.1169-1253 ซงึ่ เปน็ อธิการบดขี องมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอรด์ และศิษยข์ องท่านท่มี ีสมอง ปราดเปร่อื งยงิ่ กวา่ ท่านคือ โรเจอร์ เบคอน (Roger lacon : ค.ศ.1214-1294) ซ่ึงเปน็ พระฟรานซิลกัน แห่ง ดอร์เซดไชร์ (Dorsetshire) กับ ลทั ธิอะริสโตเตลิ ของเบลเย่ียม เช่น เดวดิ แหง่ ดแิ นนต์ (David of Dinant : รุง่ โรจนอ์ ยปู่ ระมาณ ค.ศ. 1200) เช่นเดียวกับความแตกต่าง ระหว่าง นักเทวนิยมชาวเยอรมันสมัยน้ี เช่น คาร์ล จาสปาร์ (Karl Jaspars) กับชาวฝร่งั เศส เช่น จงั -ปอล ซารด์ (Jean Paul Sartre) โรเบิรต์ กรอสส์เตสต์ ไดย้ ืนยนั ว่าโดยการสวดอ้อนวอนวา่ ส่ิง ท้ังปวงอาจเปน็ หนึ่งในพระองค์ พระเยซูคริสต์เจ้า ได้รวมสัตว์ท้ังวงไว้ด้วย ไม่เพียงเฉพาะมนุษย์เท่าน้ัน และว่าส่ิงท้ังปวงเกิดมาจาก เอกภาพที่เป็นหนึ่งของพระองค์ และจะหันกลับไปหาพระองค์อีกท้ังน้ัน ในหนังสือ (On Ligh or the Ikeginning of Forms ท่านได้พูดถึงแสงสว่างว่า เป็นรูปฟอร์มของสสารเองทีเดียว หน้าท่ีของแสง สว่าง ก็คือการทาให้ตวั เองเพม่ิ พนู ขน้ึ เผยแผต่ ัวเอง และทาตัวเองใหแ้ พร่หลาย \"รูปฟอร์มที่มีตัวตนอย่างแรก ซึ่งบางคนก็เรียกว่าภาวะท่ีมีตัวตน (Corporeity) นั้น ข้าพเจ้า เหน็ ว่าได้แก่แสงสว่างน่ันเอง เพราะตามธรรมชาติของแสงสว่างแลว้ ย่อมทาตัวเองให้แพร่หลายไปทุก ทศิ ทกุ ทาง ในวิถีทางทีจ่ ดุ แห่งแสงสวา่ งจะสร้างมณฑลแห่งแสงสวา่ งขนาดไหนก็ไดใ้ นทันทีทนั ใด ผู้นับถือนิกายฟรานซิสกันท่ีสุด คือ เซนต์ โบนาเวนตูรา ท่ีได้ให้ความรุ่งเรือง แก่ปรัชญาสมัย กลางคู่กับ เซนต์ โธมัส อะไควนัส ที่นับถือนิกายโดมินิกัน ปารถนาให้สานุศิษย์ของท่าน หลีกเล่ียง จากพวกหนังสือ และการแสวงหาทางด้านพุทธิปัญญาเสีย เพื่อจะได้หนีพ้นจากการโต้แย้งต่าง ๆ เกี่ยวกับการเรียน ลารให้เหตุผลของท่าน เป็นเรื่องของปัจเจกชน เก่ียวกับการเรียนให้เหตุผล และ

61 ท่านได้เกินทางไปยังท่ีต่าง ๆ ด้วยความยากลาบาก ภายในระยะเวลา 20 ปีที่ท่านได้ก่อตังนิกายของ ท่านข้ึนมา โบนาเวนตูราถอื วา่ การเกง็ ที่ถกู ตอ้ งทั้งปวง เปน็ การแสวงหาพระผู้เปน๋ เจา้ เรื่องนอ้ าจเร่ิมต้น ดว้ ยการวจิ ยั โลกทางกายภาพ ซ่งึ มตี ราของพระผเู้ ปน็ เจา้ ทรงสร้างสรรค์ เซนต์ โธมสั อะไควนัส ค.ศ.1225-1274 เซนต์ โธมัส อะไควนัส เกิดในตระกูลท่ีมั่งค่ัง แต่ก็ได้สละความสมบูรณ์พูนสุข ออกแสวงหา ความเป็นนริ นั ดร บดิ าของท่านชอ่ื เคานต์ แลนดลั ฟ์ แหง่ อะไควโน (Count Landulf of Aquino) ซึ่ง เปน็ พวกผดู้ เี ยอรมนั ซ่งึ เปน็ หลานของบารบ์ าโรสซา (Barbarossa) และเป็นบคุ คลช้นั สูงสุด ผ้หู น่ึง ใน ราชสานักอะปูเลียน (Apulian) ของพระเจ้าเฟรเดริกลท่ี 2 ผู้ไม่เคร่งครัดในศาสนา มารดาของท่าน สบื สายมาจาก เจา้ ชายนอรแ์ มนแห่งซิซิลี แมว้ ่าจะเกิดในอติ าลี เซนต์ โธมสั อะไควนสั ก็มเี ชื้อสายจาก ทางเหนือ ทั้งทางฝ่ายบิดา ปรงปารี ท้ังบิดาและมารดาโดยเนื้อแท้ก็เป็นพวกติวตัน ท่านไม่มีความ งดงาม หรือความห้าวแบบอิตาลอี ยู่ในตวั เลย หนักไปทางเยอรมัน มีหน้าใหญ่ และมีผมสีเหลือง ชอบ แสวงหา พุทธิปัญญา ด้วยความขยันขันเแข็งและอดทน พวกเพื่อน ๆ มักเรียกท่านว่า \"วัวใบ้ตัวใหญ่ ของซซิ ิล\"ี เซนต์ โธมัส อะไควนสั เกิดทปี่ ราสาทของบิดา สรุป ปรชั ญาของเซนต์ โธมัส อะไควนัส งานดา้ นตรรกศาสตร์ ความรู้เป็นทิพยอาภาที่พระผู้เป็นเจ้า ทรงหลั่งให้แก่มนุษย์ นับตั้งแต่ต้นทีเดียวที่เซนต์ โธมัส อะไควนัส ได้แยกพวกออกมาจากเซนต์ ออกัสตีน ความรู้เป็นผลิตผลทางธรรมชาติ ที่เกิดจากอินทรีย์ ท่ีเป็นร่างกายภายนอกกับอินทรีย์ภายในที่เรียกว่าความรู้สึกเก่ียวกับตัวตน สมัยของเราก็ยังไม่มี นักวิทยาศาสตร์คนใดรสู้ ารตั ถะสาคัญของแมลงวัน การที่ความรู้มีขอบเขตจากัดมากจริง ๆ นี้ย่อมบ่งถึงความมีอยู่ของโลก ที่อยู่เหนือธรรมชาติ พระผู้เป็นเจ้าย่อมทรงเปิดเผยโลกนั้นแก่เราในพระคัมภีร์ ปรัชญาเมธีผิด เพราะเขาไม่สามารถเข้า ทฤษฎเี หล่านน้ั ฉันใดมันก็คงเป็นความโง่เง่าที่มนุษย์จะปฏิเสธเร่ืองการดลใจของพระเป็นเจ้าโดยอาศัย เหตุผลว่าในบางแง่มันขดั แยง้ กบั ความรตู้ ามธรรมชาติของมนษุ ย์ฉันน้นั ปรชั ญาตะวนั ตกยคุ กลางตอนปลาย วลิ เลยี่ มแห่งออคคมั ค.ศ.1300-1349

62 นับเป็นสมัยท่ีศักราชแห่งระบบปรัชญาสมัยกลาง ท่ียิ่งใหญ่ได้สิ้นสุดยุติลงยุคแห่งการ สังเคราะหืทางด้านปรัชญานี้ นับว่าเป็นยุคแห่งการวิพากษ์วิจารย์ท่ีน่าพิศวงด้วย เป็นยุคแห่งการ แตกแยก ยุคแหง่ การลบล้าง ยคุ แห่งการไมป่ ระติดประต่อกนั ตอนแรก ๆ วงลอ้ ปรชั ญากห็ มุนไปช้า ๆ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ๆ มุมก็ยิ่งชันขึ้น ๆ จนกระทั่งการปฏิรูปและปุนภพได้ปรากฏโฉมข้ึนท่ีสภา แห่งเมอื งคอนสแตน เมอ่ื ค.ศ.1415 ณ ที่น่ันเอง วิลเลี่ยมแห่งออคคัม เป็นครูโรงเรียนชาวอังกฤษ ได้รับสมญาว่าเป็น Venerabilis Inceptor เกิดทหี่ มบู่ ้านออคคมั ในจังหวัดเซอรร์ ี เมือ่ ประมาณ ค.ศ.1300 ท่านไดบ้ วชในนิกายฟรานซสิ กนั และได้ ศึกษาศิลปะต่าง ๆ อยู่ที่มหาวิทยาลัย นับว่าเป็นความจริงที่ว่าทฤษฎีน้ี ได้ขัดแย้งกับ เซนต์ โธมันอ ไคนสั ผูย้ ืนยนั วา่ มนุษยเ์ ราอาจพิสูจน์เกย่ี วกบั ความมอี ยู่ของพระผู้เปน็ เจ้ากไ็ ด้โดยอาศยั เหตุผลเท่าน้ัน ออคคัมมีความระมัดระวังในการท่ีจะป้องกันทฤษฎี ท่ีห้าวหาญของท่านด้วยการกลับไปพูด วลตี ่าง ๆ เช่นวลลี า่ “ขา้ พเจา้ เช่ือทุกสง่ิ ทุกอย่างที่ศาสนจักรเชื่ออย่างชดั แจง้ และก็ไมม่ ีอะไรต่อไปอีก แล้ว” ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเสนอเหตุผลต่อเจ้าหน้าท่ีฝ่ายศาสนจักร และข้าพเจ้ามีความเช่ือถือจริง ๆ และสอนในส่ิงทั้งปวงที่ศาสนจักรสอน เสมอ บางทีทา่ นอาจรอดพ้นจากการถูกประณาม อย่างเป็นพิธี การจนตลอดชวี ิตของท่าน ออคคัมเปน็ บุคคลที่น่าสนใจท่ีสุด ในการขัดแย้งระหว่างโปปกับจักรพรรดิหลุยส์ ซึง่ ทาให้เกิด เป็นพื้นฐานแห่งทฤษฎีการปกครองต่าง ๆ ในด้านปรัชญา คาสอนที่นับว่าสาคัญของท่าน ก็อยู่ในเรื่อง จิตวทิ ยาอภปิ รชั ญา ตรรกศาสตร์ และปรชั ญาสาขาวา่ ดว้ ยการพิจารณาตัดสินเรื่องข้าพเจา้ ในด้านอภิปรัชญา ออคคัมสอนว่า สสารมีสารัตถะสาคัยของตนเองแยกออกไปจากรูปฟอร์ม สหสมบัติเป็นเพียงโฉมหน้าต่าง ๆ ของเน้ือสารเท่านั้นเอง ปัญหาเกี่ยวกับการทาให้เป็นปัจเจก ก็ไม่มี ความหมายอะไร เพราะแตล่ ะสง่ิ ย่อมเปน็ เอกฐานอยู่ในตวั ข้าพเจ้าขอสรุปว่า มิได้มีส่ิงทานองนั้น ที่เป็นสากอยู่ในส่ิงทั้งหลายท่ีเหมือนกันอย่างแท้จริง ไมม่ ีสิ่งทเ่ี ป็นสากลใด ๆ นอกจากสงิ ท่ีเป็นเช่นน้ัน โดยตกลงกันโดยเจตนาที่มีอยู่ภายนอกดวงวิญญาณ เลย แต่ทุกส่ิงทุกอย่างท่ีเราอาจกล่าวยืนยันถึงสิ่งต่าง ๆ มากหลายได้น้ัน ตามธรรมดาแล้วมีอยู่ในจิต จะในแงจ่ ติ วทิ ยา หรือในแง่ตรรกศาสตรก์ ็ได้

63 ปรชั ญาตะวนั ตกสมยั ใหม่ เริ่มต้นด้วยการปฏิวัติแนวความคิดทางปรัชญายคุ กลาง ท่ีมงุ่ ไปทางศาสนา ให้หันกลับไปทาง สร้างสติปญั ญา นกั ปรชั ญาสมยั ใหม่ได้พัฒนาแนวความคิดใหส้ งู ข้ึน พวกเขาเปน็ อิสระจากอทิ ธิพลต่าง ๆ ของศาสนา รัฐและสังคม มีอิสระที่จะคิด ทาและพิสูจน์ข้อเท็จจริงเป็นเหตุให้เกิดวิชาความรู้ แนวคิด หลักการและวิทยาศาสตร์อันเป็นผลต่อความเจริญ ในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ชาติ ลักษณะ ทวั่ ไป ดงั น้ี มีการคิดคน้ แสวงหาความจริงและพสิ จู น์ข้อเท็จจริงอย่างอิสระ (Independent) มนษุ ยย์ ึดถอื เหตผุ ลเปน็ หลักในการแสวงหาความรู้ (Rationalistic) มนุษย์พยายามศึกษาและอธิบายธรรมชาติทั้งในและนอกโลก โดยยึดหลักแห่ง ธรรมชาติ ไมย่ อมเอาความเชอื่ ลกึ ลบั หรือสง่ิ ทอี่ ยนู่ อกเหนอื เหตุผลมาเปน็ ข้ออา้ ง มนษุ ย์ไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ โดยวิธวี ิทยาศาสตร์ (Scientific)

64 ฟรานชสี เบคอน (ค.ศ.1561- 1626) ฟรานซิส เบคอน เกิดวันที่ 22 มกราคม ค.ศ.1561 ที่ยอร์ค เฮาร์ กรุงลอนดอน ประเทศ องั กฤษ เบคอนเห็นว่าความจริงมีสองระดับ คือ ความจริงจากเหตุผลกับความจริงจากการเปิดเผย ของพระเจ้า เร่ืองราวในศาสนาและเทววิทยาจะรู้ได้ก็โดยอาศัยการเปิดเผยของพระเจ้า ส่วนปรัชญา ต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของเหตุผล ปรัชญาแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนทฤษฎี ซ่ึงศึกษาเร่ืองของสสารท่ี ปรากฏในธรรมชาติ และอภิปรัชญา ส่วนท่ีเป็นปฏิบัติคือการนาความรู้จากทฤษฎีมาใช้ให้เป็น ประโยชน์ เบคอน ถือว่า ความรู้คืออานาจ คอื เราสามารถนาความรู้มาปรับปรุงภาวะความเป็นอยู่ของ มนษุ ยใ์ ห้ดขี นึ้ โดยอาศัยวิทยาศาสตร์ มนุษยส์ ามารถควบคุมธรรมชาติมีอานาจเหนือธรรมชาติ เชื่อว่า การจะทาเชน่ นใี้ ห้เป็นผลสาเร็จไดต้ ้องอาศัยความร่วมมือกนั มีการก่อต้ังสถาบัน และแถลงผลงานให้ งา่ ยและชัดเจน ศึกษาเกีย่ วกับธรรมชาติ เน้นเรอื่ งการสังเกตและการทดลอง วิธกี ารศกึ ษามอี ยู่ 3 แบบ คือ การศกึ ษาแบบเพ้อฝัน เป็นการผกู มัดตวั เองกบั ถ้อยคาสานวน ยดึ ตาราเนน้ เรอื่ งภาษาและลลี า เปน็ การตดิ ตามคาพูดและเลือกสานวนมากกว่านา้ หนกั ของเนื้อหา การศึกษาแบบโต้เถยี ง คือการเรมิ่ ต้น จากทศั นะทต่ี ายตวั ทไี่ ด้มาจากนักคดิ ร่นุ ก่อนๆ ทา้ ยสุดการศกึ ษาแบบละเอียด เป็นการติดตามความรู้ ของนักเขยี นรุ่นก่อนๆ ซ่ึงประกาศความรู้ไว้ โธมัส ฮอบส์ (ค.ศ.1588 - 1679)

65 โธมสั ฮอบส์ เกดิ เมอ่ื วันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1588 ที่เวสต์ปอรต์ ใกล้เมอื งมาลส์เบอรี ประเทศ อังกฤษ ฮอบส์มีความคิดว่า ปรัชญามีจุดมุ่งหมายอยู่ท่ีการนาความรู้มาใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติ คือ มุ่งประโยชน์ในทางปฏิบัติแก่มนุษย์น่ันเอง ความรู้ทางปรัชญาและวิชาการต่างๆ คือ อานาจ คือ สามารถทาให้มนุษย์มีอานาจเหนือธรรมชาติ ควบคุมปรากฏการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติได้ คุณค่าของ ความรจู้ ึงอยทู่ ่ที าให้มนุษย์มีอานาจ ความรู้ทางปรัชญาคือความรู้เกี่ยวกับสาเหตุและผล ของปรากฏการณ์ทั้งหลาย เป็น การศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผล เนื้อหาของปรัชญาจากัดอยู่ที่การศึกษาเก่ียวกับ สสารและการเคลอ่ื นทีข่ องสสาร ปรชั ญาของฮอบส์จึงเป็นปรัชญาสสารนยิ ม ความคิดของฮอบสน์ ัน้ เป็นแบบสสารนิยมหรือวัตถนุ ิยมหรอื วัตถุนยิ ม เชื่อว่า ส่งิ ท่ีเปน็ จรงิ ตอ้ ง มีตัวตนซึ่งได้แก่สสาร ยังถือว่าสสารต้องมีการเคล่ือนที่หรือการเคล่ือนไหว การเคล่ือนไหวของสสาร ทาให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เราสามารถศึกษาได้หลายแง่มุมจนเกิดเป็นวิชาการต่างๆ เกิดขึ้น ภายใต้กฎของความเป็นเหตุเป็นผล มีกฎเกณฑ์แนน่ อนตายตัว เรียกวา่ กฎกลศาสตร์หรอื กฎธรรมชาติ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือโดยไม่มีสาเหตุ ฮอบส์ไม่ได้คิดว่าพระเจ้าเป็นสาเหตุแรกของสิ่งต่างๆ เพราะพระเจ้าในความหมายท่ีเป็นส่ิงท่ีไร้ตัวตน “ไม่อาจจะเข้าใจได้” น่ันคือไร้ความหมาย หรือไร้ สาระ เรอเน เดการด์ (ค.ศ.1596- 1650) เรอเน เดการ์ด (René Descartes) เป็นนักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ผู้คิดวิธีหาสัจจะใน วิชาวิทยาศาสตร์และในชีวิตโดยเช่ือม่ันว่าตรรกะและวิธีพิสูจน์ของคณิตศาสตร์สามารถเช่ือมโยงและ เป็นกุญแจไขความลึกลับต่างๆได้ เขาเป็นผู้บุกเบิกหลักปรัชญาท่ีว่าการคิดหาเหตุผลเท่าน้ันเป็นท่ีมา ของความรู้ที่แท้จริงและเป็นเจ้าของความคดิ และวาทะอันโด่งดงั “เพราะฉันคิด ฉนั จึงมีอยู่” (I think, therefore I am) ผลงานสุดยอดของเดการ์ดในทางคณิตศาสตรค์ ือการคิดค้นวิชาเรขาคณิตวเิ คราะห์ ซ่ึงได้จากการรวมพีชคณิตกับเรขาคณิตเข้าด้วยกันท้ังๆ ที่ในอดีตนักคณิตศาสตร์ท้ังหลายเคยคิดว่า

66 วิชาท้ังสองนี้ไม่เกี่ยวข้องกันเลย เดการ์ตได้รับการยกย่องเป็นท้ัง “บิดาแห่งเรขาคณิตวิเคราะห์” และ “บดิ าแหง่ ปรชั ญาสมยั ใหม่” เดการด์ ใชก้ ารสงสยั เปน็ จุดเริ่มตน้ ในการหาความรทู้ ี่แน่นอนทุกส่ิงทุกอย่างสงสัยได้ท้งั สน้ิ สิ่ง ที่เราเห็น ส่ิงท่ีเราคิด ส่ิงที่เราจินตนาการ ความสงสัย (doubt) นั่นเองเป็นส่ิงที่มีอยู่อย่างแน่นอน เรา สงสัยตอ่ สง่ิ ใดๆ เทา่ กับเปน็ การยืนยนั วา่ ความสงสัยของเรามอี ยู่ เรอเน เดการด์ แบง่ ความคดิ ออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. ความคิดท่ีได้จากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส เป็นความคิดท่ีไม่ชัดเจน น่า สงสัย 2. ความคดิ ทเ่ี กดิ จากจนิ ตนาการ ไมช่ ดั เจนและน่าสงสยั เชน่ กนั 3. ความคิดท่ีติดอยู่ในจิตต้ังแต่เกิด เป็นส่ิงท่ีจิตรู้ได้เองมีความชัดเจนในตัวและมี ความแน่นอน บารุค สบีโนซา (ค.ศ.1632 – 1677) เบเนดิคตัส เดอ สปิโนซา (24 พ.ย. ค.ศ. 1632 (พ.ศ. 2175) - 21 ก.พ. ค.ศ. 1677 (พ.ศ. 2220) ได้ช่ือว่า บารุค สปิโนซา (หรือช่ือในภาษาลาตินของเขาคือ เบเนดิก) จากผู้อาวุโสชาวยิว และ เป็นท่ีรู้จักในชื่อ เบนโต เดอ สปิโนซา หรือ เบนโต เอสปิโนซา ในชุมชนท่ีเขาได้เติบโตขึ้น เรอเน เด การ์ด กอทท์ฟรีด ไลบ์นิซ และสปิโนซา เป็นนักเหตุผลนิยมที่ยิ่งใหญ่ท่สี ุดของปรัชญาคริสต์ศตวรรษที่ 17 เขาไดร้ ับการพจิ ารณาวา่ เป็นผู้ริเร่ิมการวิพากษ์เก่ยี วกับไบเบลิ ผลงานชิ้นสาคัญของเขาคือหนังสือ จริยศาสตร์ วิธีการคิดของสปิโนซาได้รับอิทธิพลมาจากปรัชญาเหตุผลนิยมของเดการ์ด โดยเฉพาะ เกี่ยวกับวิธีการ และปัญหาสาคัญบางประการในปรัชญาและได้เสนอแนวคิดใหม่ๆ หลายอย่างแก่ ปรชั ญาเหตุผลนยิ ม

67 สปิโนซาคิดว่าเราสามารถรู้ความเป็นจริงได้อย่างแน่นอนชัดเจน โดยวิธีการเดียวกับวิธีการ ทางเรขาคณิต เดส์การ์ตส์ได้สร้างแบบแผนการคิดในปรัชญา โดยเร่ิมจากหลักการที่ชัดเจ้งแน่นอน แล้วทาการนิรนัยจากหลักการไปสู่ความรู้อ่ืนๆ สปิโนซาจัดระบบให้สมบูรณ์โดยอาศัยหลักการและ สจั พจน์จานวนหน่งึ มีลกั ษณะเหมือนเรขาคณติ เขาสรา้ งระบบเรขาคณิตให้แก่ปรัชญา คอื มกี ลุ่มของ สัจพจน์และทฤษฎีบท สามารถอธิบายความเป็นจรงิ ท้ังหมดได้อย่างเป็นระบบ เหมือนกับที่เรขาคณติ อธบิ ายความสมั พันธ์ของมโนภาพ ในเรขาคณิตนั้นข้อสรปุ สามารถพสิ ูจน์ได้ด้วยเหตุผล สปโิ นซาคิดว่า ทฤษฎเี กี่ยวกบั ธรรมชาตขิ องความจริงกส็ ามารถพสิ ูจนไ์ ด้ จอหน์ ลอ๊ ค (ค.ศ.1632 – 1704) จอห์น ล็อก (John Locke) (29 สงิ หาคม พ.ศ. 2175-28 ตลุ าคม พ.ศ. 2247) เปน็ นกั ปรัชญา ชาวอังกฤษ ในยุคคริสตศ์ ตวรรษที่ 17 ความสนใจหลักของเขาคอื สงั คมและทฤษฎขี องความรู้ แนวคิดของล็อกท่ีเกี่ยวกับ \"ผู้ปกครองท่ีได้รับการยอมรับจากผู้ใต้ปกครอง\" และสิทธิ ธรรมชาติของมนุษย์ ที่เขาอธิบายว่าประกอบไปด้วย ชีวิต, เสรีภาพ, และทรัพย์สิน น้ันมีอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการ ทางปรชั ญาการเมืองแนวคิดของเขาเป็นพ้นื ฐานของกฎหมายและรฐั บาลอเมริกนั ซึ่งผบู้ ุกเบกิ ได้ใช้มัน เป็นเหตผุ ลของการปฏิวตั ิ แนวคิดดา้ นญาณวิทยาของล็อกน้ันมีอิทธิพลสาคญั ไปจนถึงช่วงของยุคแสงสว่าง. เขามีทัศนะ เก่ียวกับทฤษฎีความรู้ว่า ความรู้จะต้องเกิดหลังประสบการณ์ และความรู้จะเกิดขึ้นโดยอาศัยการ สัมผัส เม่ือมนุษย์ได้สัมผัสก็จะมีความรู้สึก และความรู้สึกจะทาให้มนุษย์นั้นคิด และความคิดน้ีคือ แหล่งกาเนิดแห่งความรู้ หากปราศจากการสัมผัสมนุษย์ก็จะไม่คิด เพราะจิตโดยธรรมชาติจะมีสภาพ อยู่เฉย. เขาถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับนักประสบการณ์นิยมชาวบริติช ซึ่งประกอบไปด้วยเดวิด ฮูม และจอร์จ บารก์ ลีย์ ล็อกมกั ถูกนาไปเปรยี บเทียบกบั โทมัส ฮอบส์

68 จอห์น ล็อค เป็นนักปรัชญาที่มีความคิดเห็นเป็นกลางๆ หลักการหาความรู้ไม่ได้เคร่งครัดอยู่ กับประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสหรือเหตุผลอย่างใดอย่างหน่ึง เขาเป็นนักประจักษ์นิยมหรือ ประสบการณ์นิยม เขาคิดว่าเน้ือหาของความรู้ได้มาโดยอาศัยประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส และ การไตร่ตรองด้วยเหตุผล เขาไม่ใช่นักประจักษ์นิยมแบบเคร่งครัด ส่วนหน่ึงเขาคล้อยตามพวกเหตุผล นยิ ม คือ ความเหน็ หรือความเชื่อตา่ งๆ ตอ้ งนามาวเิ คราะห์ไตร่ตรองด้วยเหตุผลเสียก่อน และคิดว่าไม่ ควรใช้อารมณ์และความรู้สึกมาเปน็ พื้นฐานในการตดั สินดว้ ยเหตุผล ล็อคไมไ่ ด้ปฏิเสธความจริงทางจิต หรือวญิ ญาณ กฏเกณฑต์ า่ งๆ ท่เี ปน็ เรื่องเหนือธรรมชาติตลอดจนการเปดิ เผยของพระเจา้ จัง จาค รซุ โซ (ค.ศ.1712 – 1778) จัง จาค รุซโซ [Jean Jacques Rousseau] นักเขียน นักทฤษฎีการเมือง นักประพันธ์เพลง ท่ีฝึกฝนด้วยตัวเอง แห่งยุคแสงสวา่ งและเป็นนักปรัชญาสังคมชาวสวิส เชื้อสายฝรง่ั เศส ผู้มีอิทธิพลต่อ การปฏิวัติ ฝรั่งเศส [French Revolution] ใน คศ.1789 รุสโซ เกิดท่ีกรุงเจนีวา ประเทศ สวิสเซอรแ์ ลนด์ เมื่อวนั ที่ 28 มถิ นุ ายน 2255 รุสโซ เช่ือว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นคนดี แต่สังคมทาให้มนุษย์เป็นคนเลว แปดเป้ือน และ มนุษย์ มีเสรีภาพตามธรรมชาติโดยไม่จากัด แต่เม่ือมนุษย์มารวมกันเป็นสังคมจึงต้องมีการจากัดสิทธิ เสรีภาพบางส่วนโดยการทา “ สัญญาประชาคม “ [The social Contract] เพ่ือไม่ให้เกิดการลิดรอน สิทธิ เสรีภาพของกันและกัน รุสโซ กล่าวว่า “ มนุษย์เกิดมาพร้อมเสรีภาพ แต่ทุกหนทุกแห่ง เขาต้อง ตกอย่ใู นเครื่องพันธนาการ “ ความคดิ ของรสุ โซ มอี ทิ ธพิ ลต่อการปฏวิ ัติฝรั่งเศส ในปี 2332 อย่างมาก และได้พัฒนาเป็นทฤษฎีสังคมนิยม [Socialist theory] และมีส่วนสาคัญ ของการพัฒนาการทาง แนวคดิ โรแมนติก [Romanticism] รสุ โซ สอนใหค้ นกลับไปหาธรรมชาติ [ Back to Nature ] เป็นการยกยอ่ งคณุ คา่ ของคนว่า

69 “ ธรรมชาติ ของคนดีอยู่แล้ว แต่สังคมทาให้เป็นคนเลว “ เขาบอก ว่า “ เหตุผลมีประโยชน์ แต่มิใช่ คาตอบของชีวิต ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งความรู้สึก สัญชาตญาณและอารมณ์ของเราเอง ให้มากกว่า เหตุผล” อมิ านเู อล คานท์ (ค.ศ.1724 – 1804) อิมมานูเอิล คานท์ (Immanuel Kant) เป็นนักปรัชญาชาวเยอรมัน จากแคว้นปรัสเซีย ผู้ ริเริม่ จรยิ ธรรมแบบหน้าทีน่ ิยม (deontologism) ไดร้ บั การยกย่องโดยทัว่ ไปวา่ เปน็ นักคิดท่ีมีอิทธิพล มากท่ีสุดของยุโรป และเป็นนักปรัชญาคนสาคัญคนสุดท้ายของยุคแสงสว่าง เขาสร้างผลกระทบที่ สาคัญไปถึงนักปรัชญาสายโรแมนติกและสายจิตนิยม ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 งานของเขาเป็นจุด เรม่ิ ของ เฮเกลิ คานท์เป็นท่ีรู้จักเนื่องจากแนวคิดของเขา ที่เรียกว่าจิตนิยมอุตรวิสัย (transcendental idealism) ท่ีกล่าวว่ามนุษย์ใช้แนวคิดบางอย่างที่ติดตัวมาแต่กาเนิด (innate idea) ในการรับรู้ ประสบการณท์ ่เี กดิ ขึน้ รอบตวั ในโลก เรารบั รโู้ ลกโดยผ่านทางประสาทสัมผสั ประกอบกับมโนภาพที่ติด ตัวมาน้ี ดังนั้นเราจึงไม่สามารถล่วงรู้หรือเข้าใจใน \"สรรพส่ิงท่ีแท้\" ได้ ความรู้ต่อสรรพสิ่งที่เรามีนั้นจึง เปน็ ไดแ้ คเ่ พียงภาพปรากฏ ท่เี รารบั ร้ไู ดผ้ า่ นทางประสาทสมั ผัสเทา่ น้ัน ญาณวิทยา (epistemology) หรือทฤษฎีความรู้ของคานท์น้ัน เกิดข้ึนเพื่อแก้ความขัดแย้ง ระหว่างปรัชญาสายเหตุผลนิยมท่ีกล่าวว่า ความรู้สามารถสร้างขึ้นได้ไม่จาเป็นต้องใช้ประสบการณ์ กับปรัชญาสายประสบการณ์นิยมที่กล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารู้มีที่มาจากประสบการณ์ คานท์ได้ เช่ือมแนวคิดท่ีขัดแย้งกันท้ังสอง ดังคากล่าวท่ีเขาเองเปรียบเปรยว่าเป็นการปฏิวัติแบบโคเปอร์นิคัส (Copernical Revolution) โดยสรุปคร่าวๆ ได้เป็นประโยคข้ึนต้นของหนังสือ บทวิพากษ์ของการใช้ เหตุผล (Critique of Pure Reason) ว่า \"แม้ว่าความรู้ทั้งหมดท่ีเรามีจะมีจุดเร่มิ ต้นจากประสบการณ์ แตน่ น่ั มิได้หมายความว่าความรทู้ ้ังหมดนนั้ เกิดขน้ึ มาจากประสบการณ\"์

70 ยอช วิลเฮลม์ เฟครคิ เฮเกล (ค.ศ.1777 – 1831) เฮเกล เป็นนักปรชั ญาจติ นิยมเยอรมนั ทีม่ ีชอื่ เสียงมากท่สี ดุ เกดิ ทเ่ี มือง สตุทการด์ และได้ ศึกษาวิชาปรัชญา ศาสนาวทิ ยา เทววิทยา ทมี่ หาวิทยาลยั ทูบิงเกน ณ ที่นี้ เขาได้ก่อต้งั วารสารทางปรชั ญาขึ้น ปรชั ญาของเฮเกล คือ ลัทธิจิตนิยม (idealist) เฮเกลเชื่อว่า สง่ิ ท่ีเปน็ ความจริงจะต้องมี ลักษณะสมบรู ณ์ท่ัว ด้าน ที่เรียกว่า จิตสัมบูรณ์ เป็นตัวตนสมบูรณ์ ครอบงาสรรพสิ่ง และเป็นส่ิงตรงข้ามกับโลกความเปน็ จริงทม่ี นุษย์ เหน็ อยู่โดยทว่ั ไป หรอื สมั ผัสได้ เฮเกลเหน็ ว่า โลกเชงิ ประจักษ์น้ัน เปน็ เพยี งการสะท้อนออกบางส่วนของความจริง แต่ไมใ่ ช่ ความจริงที่ สมบูรณ์ เขาอธบิ ายความจริงสงู สุดของโลกว่า คือ หลักเหตุผล (rational) มนษุ ยจ์ ะเขา้ ถงึ ความจริงได้ ก็ด้วยความเข้าใจในหลักเหตุผล หรือ ใช้กระบวนการทางตรรกวิทยา อย่างไรก็ตามจุดเด่นในปรัชญา เฮเกล คอื ทศั นะแบบวิภาษวธิ ี (dialectic) ท่ีอธิบายวา่ จติ หรอื ตวั ตนสมบรู ณ์ นีแ้ สดงออกในรูปของ ความขัดแย้ง 2 ด้าน คือ ด้าน สนับสนุน และ ด้านปฏิเสธ ด้านหน่ึง เป็นบทเสนอ (thesis) ส่วนอีก ด้านหนึ่ง เป็นบทแย้ง (antithesis) และวิวัฒนาการการต่อสู้ระหว่าง 2 ด้านที่ขัดแย้งน้ีเอง จะนามาสู่ การพัฒนาของส่ิงใหม่ ท่ีจะเรียกว่า บทสรุป (synthesis) และบทสรุปนี้ก็จะกลายเป็นบทเสนอ (thesis) ใหม่ ก่อให้เกิดบทแย้ง (antithesis) ใหม่ และนามาสู่บทสรุป (synthesis) ใหม่ไปจนส้ินสุด กระบวนการพฒั นาทีจ่ ะนาไปสคู่ วามเปน็ จติ สมบูรณอ์ นั แทจ้ ริง หลักปรัชญาของเฮเกล คือ ปรัชญาจิตนิยม ท่ีให้ความสาคัญแก่ความคิดในเชิงเหตุผล ความ นา่ สนใจของปรัชญาเฮเกล คอื การวเิ คราะหส์ รรพส่ิงว่ามีกระบวนการขัดแย้งภายใน และทาให้ สรรพ

71 ส่ิงพัฒนา ข้อเสนอใหม่เหล่านี้เองที่ทาให้ปรัชญาเฮเกล เป็นท่ีสนใจอย่างมาก และทาให้มีผู้ศึกษา ตามมาอีกมากมาย ปรัชญาตะวนั ตกสมัยปจั จุบนั ปรัชญาตะวันตกสมัยปัจจุบันเริ่มต้นหลังจากปีท่ี ค้านท์ส้ินชีวิต เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ปรากฏว่าแนวความคิดของค้านท์มีอิทธิพลต่อนักปรัชญาสมัยนี้มาก แทบทุกคนจะเช่ือทฤษฎีของ ค้านท์ที่ว่าสมรรถภาพในการคิดของทุกคนมีกลไกคล้ายคลึงกัน จึงได้รับความรู้คล้ายๆกัน แต่นัก ปรัชญาส่วนใหญ่ไม่ยอมรับโครงสร้างของกลไกการรับรู้ของค้านท์ พวกเขาเห็นพ้องกันว่ากลไกการ รับรู้ซับซ้อนย่ิงกว่านันจงึ ได้พยายามอธิบายเร่อื งนี้ต่างๆ นานา เรียกลัทธิเหล่าน้ีว่า ลัทธิค้านท์ใหม่ ซึ่ง ต่างก็ขบคิดปัญหาสาคัญประการหน่ึงว่า สมองของคนเราทากิริยาอย่างไรในขณะท่ีเรากาลังคิด ผล แห่งความพยายามดังกล่าวทาให้เกิดลัทธิปรัชญาข้ึนมาอีกมากมาย มีลักษณะแตกต่างกันเป็นกลุ่มๆ เช่น 1. อัชฌัตติกญาณนิยม เชื่อว่าความรู้ที่ได้รับประสาทสัมผัสและจากการคิดหาเหตุผลน้ันไม่ถูกต้อง เท่ียงตรงเสมอไป ความรู้ท่ีเกิดจากการหย่ังรู้เป็นความรู้ท่ี แน่นอน อัชฌัตติกญาณ เป้นส่ิงเดียวกับ เหตุผลเชิงปฏิบัติของค้านท์ ซึ่งจะต้องได้รับการฝึกฝนจนถึงข้ันสมบูรณ์แบบจึงจะใช้การได้ คือ สามารถมองเหน็ ความเปน็ จรงิ ได้ ลทั ธนิ ้ยี งั มกี ลมุ่ ย่อย คอื 1.1 จิตนิยมแบบเยอรมัน เอเกล ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักปรัชญาในด้านน้ีดีท่ีสุด เขาเห็น ว่าถ้าคนเราได้ฝึกฝนอัชฌัตติกญาณจนถึงขั้นสูงสุดแล้ว ก็จะเข้าใจแจ่มแจ้งว่าสิ่งที่แท้จริงเดิมคือจิต ภายหลังลัทธิได้รับการพัฒนาเปน็ ลทั ธเิ ฮเกลใหม่อกี หลายสาขา เช่น จิตนิยมแบบองั กฤษ แบบฝรง่ั เศส แบบอิลาลี และแบบอเมรกิ นั เปน็ ตน้ 1.2 ชีวิตนิยม ถือว่าอัชฌัตติกญาณข้ันสูงสุดทาให้คนเราเข้าใจส่ิงท่ีแท้จริงได้ซ่ึงเป็นพลัง ผลักดันใหม้ ชี วี ติ นักปรัชญาคนสาคัญ ไดแ้ ก่ แบร์กซอง 1.3 สสารนิยมและปฏิพัฒนา ถือว่าถ้าฝึกฝนอัชฌัตติกญาณให้ถึงข้ันสูงสุดก็จะเข้าใจความ แท้จริงวา่ สสารเป็นสง่ิ ท่ีเปล่ียนแปลงกา้ วหนา้ อย่างไมห่ ยดุ ยงั้ นักปรัชญาคนสาคญั ได้แก่ มารก์ ซ 2. ปฏิบตั นิ ยิ ม ลัทธนิ ีย้ ึดถือว่าปัจจุบันสาคัญกว่าอนาคต สง่ิ ที่ปฏิบตั ิแล้วไดผ้ ลดถี ือว่าถูกต้อง ถ้าปฏบิ ัติ แล้วไมด่ กี ็ต้องปรบั ปรงุ ให้ดขี ึน้ นักปรัชญาคนสาคญั เช่น วลิ เลยี ม เจมส์ จอหน์ ดวิ อ้ี 3. ปฏิฐานนิยม ลัทธินี้ยึดสิ่งท่ีเป็นความจริงคือ สิ่งท่ีเรารู้ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ความรู้ทาง ศาสนาและปรัชญาเปน็ สิ่งไมจ่ ริง นกั ปรชั ญาคนสาคัญไดแ้ ก่ กองต์

72 4. ปฏิฐานนิยมใหม่ ลัทธินี้ยึดถือส่ิงที่สามารถทดสอถือว่าเป็นจริงสามารถทดสอบได้ด้วยวิธีการทาง ฟิสิกสถ์ อื วา่ เป็นจรงิ นกั ปรัชญาคนสาคญั คอื ชลิก 5. อัตถิภาวนิยม ลัทธิน้ียึดถือมนุษย์ว่ามีเสรีภาพท่ีจะคิดอะไรได้โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลอะไรเลย นกั ปรชั ญาคนสาคญั ไดแ้ ก่ ชารต์ ร์ ไฮเด็กเกอร์ 6. สัจนิยมใหม่ ลัทธิน้ียึดถือว่าปัจจุบันมนุษย์ไม่ประจักษ์ชัดว่ากลไกของสมองทางานอย่างไร จึงยังไม่ แน่ใจว่าความรู้จากประสาทสัมผัสกับการคิดหาเหตุผลอันไหนถูกต้อง ฉะน้ันควรยึดหลักผสมผสาน ระหว่างประสาทสัมผัสกับการคิดหาเหตุผลไปก่อน นั้นก็คือหลักของทฤษฎีอนุมานนิยมของ ค้านท์ นัน่ เอง นักปรชั ญาคนสาคัญ คือ มวั ร์ รัสเซล เป็นต้น 7. อัสมาจารย์นิยมใหม่ ลัทธิน้ียึดถือปรัชญาอัสมาจารย์สมัยกลางหลอมแนวคิดปรัชญาทั้งทาง ตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน เป็นปรัชญาใหม่ท่ีสมบูรณ์ท่ีสุด เรียกว่า ปรัชญาสากล นักปรัชญา คนสาคัญไดแ้ ก่ มารแี ตง 8. ปรัชญาวิเคราะห์ ลัทธิน้ียึดถือว่าความขัดแย้งในเร่ืองทัศนะทางปรัชญาโบราณ ซ่ึงเกิดจากความ บกพร่องในด้านภาษาที่ใช้ กับความบกพร่องในด้านกระบวนการดาเนินเหตุผล ถ้าขจัดปัญหา / 2 ประการนี้ ความยุ่งยากในแวดวงปรชั ญาก็จะหมดไป นกั ปรัชญาคนสาคญั ไดแ้ ก่ วิตเกน สไตน์ ดังน้ัน ความเชื่อของมนุษย์เม่ือประมาณ สองพันกว่าปีมาน้ี เร่ิมหันเหความคิดออกจากเร่ือง พระเจา้ สรา้ งสิง่ ตา่ งๆ โดยต้งั สมมติฐานใหม่ว่า สรรพส่งิ ในโลกเกดิ จาก ดนิ น้า ลม ไฟ อากาศ ปรมาณู เป็นต้น ลักษณะแนวความคิดทานองน้ีคือจุดเริ่มต้นของปรัชญาแนวคิดสมัยแรก และได้มีการพัฒนา แนวคิดทางปรัชญาน้ีจนกระทั่งถึงปัจจุบัน และก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ จากการพัฒนาแนวคิดของ ปรัชญานี้ทาให้แนวความคิดแยกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ จิตนิยม กับ วัตถุนิยม และเห็นว่าความ แท้จริงมีนามธรรมกับรูปธรรม นามธรรมสัมผัสได้ด้วยจิตหรือความคิด เท่าน้ัน ส่วนรูปธรรมจะสัมผัส ได้ด้วยประสาทสัมผสั ท้ัง 5 เปน็ สสารทมี่ ตี ัวตน สรปุ ปรชั ญาตะวนั ตก ปรัชญากรกี ปรัชญากรกี เริม่ ตน้ ในราว 585 ปีกอ่ นคริสต์ศักราช ซึง่ เปน็ เวลาทธ่ี าเลสผูท้ เ่ี ปน็ บดิ าแหง่ นกั ปรัชญาตะวันตกเร่มิ เผยแพร่ปรัชญาของเขา ปรัชญากรีกนั้นไปสิ้นสดุ ลงในปี ค.ศ.529 อันเป็นปที ่ี จกั รพรรดิยุสตเิ นียน ออกพระราชกฤษฎกี าปดิ สานักปรัชญาทกุ แหง่ ที่ไมน่ บั ถือศาสนาครสิ ต์ ปรชั ญา กรกี นน้ั แบง่ ออกเป็น 3 สมยั ด้วยกนั คอื 1) สมยั เรมิ่ ตน้ นับต้งั แตธ่ าเลสจนถงึ โสคราตสี (ก.ค.ศ.585-450) 2) สมยั รงุ่ เรอื ง นบั ตง้ั แตโ่ สคราตีสจนถงึ การตายของอาริสโตเตลิ (ก.ค.ศ.450-322)

73 3) สมยั เส่ือม นบั ต้ังแตก่ ารตายของอารสิ โตเตลิ จนถึงการปิดสานักปรัชญาทไี่ มถ่ ือศาสนา คริสต์ (ก.ค.ศ. 322-529) สมยั เร่มิ ต้น ปรชั ญาสมยั นีเ้ ป็นธรรมชาตนิ ิยม เพราะนักปราชญ์จะต้งั คาถามเกีย่ วกบั ปฐมธาตแุ กน่ แท้ของ โลกและเป็นเอกนิยม เพราะลดแกน่ แท้เหลือเพียงหนึ่งเดียว สมยั รงุ่ เรอื ง ปรัชญาในสมยั น้ี จะพูดถงึ ประเดน็ ถึงญาณวทิ ยาและจรยิ ศาสตรม์ ากข้ึน ในสมัยนนี้ ้ันปรัชญา จะครอบคลุมไปในทุกศาสตร์ ดงั นี้ ตรรกศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสกิ ส์ คณิตศาสตร์ ชวี วิทยา สตั ววทิ ยา อภปิ รัชยา ญาณวทิ ยา จิตวิทยา วาทศิลป์ จริยศาสตร์ รฐั ศาสตร์ และสนุ ทรีศาสตร์ สมัยเสอื่ ม ปรชั ญาสมัยนมี้ ีลักษณะเป็นจริยศาสตรแ์ ละศาสนาปรชั ญา สานกั พลาโตใหม่ทเ่ี กิดขน้ึ ในสมัย นที้ าหน้าท่เี หมือนสานักศาสนาใหก้ บั ชาวกรกี และชาวโรมัน แต่ไม่ประสบความสาเร็จเทา่ ท่ีควรและยัง ไดม้ สี ว่ นชว่ ยใหเ้ รง่ ปิดฉากให้ปรัชญากรกี อีกด้วย ในสมยั น้ีศาสนาครสิ ต์ค่อนข้างรุ่งเรือง แต่คาสอน ของสานักพลาโตใหมน่ ี้มหี ลักปรัชญาท่ลึ ึกซ้ึงนั้นเป็นเร่ืองยากสาหรบั ประชาชนทั่วไป สานักพลาโตใหม่ จึงสศู้ าสนาคริสตไ์ มไ่ ด้ ในท่สี ุดศาสนาครสิ ตก์ ็สามารถกาจดั สานักปรชั ญาคแู่ ขง่ ไปไดห้ มด เม่ือ จักรพรรดิยุสติเนยี นแห่งกรงุ โรมทรงออกคาสั่งปดิ สานักปรัชญาที่ไมน่ ับถอื ศาสนาครสิ ตใ์ นค.ศ.529 อัน เป็นปที ย่ี ุคปรัชญากรีกส้นิ สดุ ลงอยา่ งเป็นทางการ ปรัชญายคุ กลาง ปรัชญายุคกลางหรือยุคมืด ยุคท่ีศาสนาเป็นใหญ่ ไม่มีกฎหมายบ้านเมือง ผู้คนหาศาสนายึด เหน่ียวจิตใจ เกิดระบบฟิวดัลข้ึน ยุคกลางในท่ีน้ี เราหมายถึงปรัชญายุคกลางของยุโรปเท่านั้นและ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปรัชญาของชาวคริสต์ ระหว่าง คริสต์ศตวรรษ ท่ี 1 ถึง คริสต์ศตวรรษ ที่ 15 ปรชั ญายุคกลางเริ่มอุบัติขน้ึ ตั้งแต่ปีนั้น นกั ปรชั ญาคนใดนบั ถือศาสนาครสิ ต์ก็จดั อยูใ่ นปรชั ญายคุ กลาง นักปรัชญาคนใดไม่นับถือศาสนาคริสต์ก็จัดอยู่ในปรัชญายุคโบราณ ยุคกลางน้ันผู้เผยแผร่ศาสนาจะ เป็นเซนต์ หรือนักบวชชาวคริสต์ และเป็นนักปรัชญาดว้ ยเน่ืองจากทุกคนต้องการหาเหตุผลของการมี อยขู่ องพระเจ้าและเหตุผลท่ีผคู้ นควรนบั ถือศาสนาครสิ ตน์ นั่ เอง จักรพรรดิธีเออดาเชิสทรงประกาศให้

74 ครสิ ตศาสนาเป็นศาสนาประจามหาอาณาจักรโรมันแตเ่ พียงศาสนาเดยี ว ปรชั ญาตะวนั ตกแบ่งอกเป็น 3 ยคุ ปรชั ญาตะวันตกยุคกลางตอนต้น นักปรัชญาคนสาคัญ เซนต์ ออกสั ตีน ค.ศ.354-430 ปรชั ญาตะวนั ตกยุคกลาง นกั ปรชั ญาคนสาคัญ เซนต์ โบนาเวนตรู า ค.ศ. 1221 – 1274 ปรชั ญาตะวันตกยคุ กลาง นักปรัชญาคนสาคญั เซนต์ โธมัส อะไควนัส ค.ศ.1225-1274 ปรชั ญาตะวนั ตกยุคกลางตอนปลาย นักปรชั ญาคนสาคัญ วิลเล่ยี มแห่งออคคัม ค.ศ.1300-1349 ปรัชญาตะวนั ตกสมยั ใหม่ ปรชั ญาตะวนั ตกสมยั ใหม่ ปรชั ญาตะวันตกสมยั ใหม่ เริม่ ขึ้นเม่ือปี ค.ศ.1600 – 1700 ดว้ ยการคัดคา้ นแนวความคิดทาง ปรชั ญาของสมัยกลางท่เี นน้ หนักในเรือ่ งศรัทธาในพระเจา้ ของศาสนาคริสต์ ทีม่ ่งุ การประนีประนอม ความเชือ่ หรือศรทั ธาในคริสตศ์ าสนา ซง่ึ มีนักปรชั ญาที่สาคัญ ดังนี้ 1. ฟรานชสี เบคอน ค.ศ.1561- 1626 2. โธมัส ฮอบส์ ค.ศ.1588- 1679 3. เรอเน เดการด์ ค.ศ.1596- 1650 4. บารคุ สบีโนซา ค.ศ.1632 – 1677 5. จอห์น ล๊อค ค.ศ.1632 – 1704 6. จงั จาค รุซโซค.ศ.1712 – 1778 7. อิมานเู อล คานท์ ค.ศ.1724 – 1804 8. ยอช วลิ เฮล์ม เฟครคิ เฮเกล ค.ศ.1770 – 1831 ปรชั ญาตะวนั ตกสมยั ปจั จุบนั ปรัชญาตะวนั ตกสมัยปัจจบุ ัน เรมิ่ ต้นหลังจากปที ่ี ค้านทส์ ิ้นชวี ิต เปน็ ตน้ มาจนถึงปัจจบุ ัน แนวความคิดของคา้ นท์มีอิทธิพลตอ่ นักปรัชญาสมยั นม้ี าก เกือบทุกคนจะเชื่อทฤษฎีของค้านทท์ ว่ี า่ สมรรถภาพในการคดิ ของทกุ คนมีกลไกคลา้ ยคลงึ กัน จงึ ได้รับความรคู้ ลา้ ยๆกนั แตน่ ักปรชั ญาส่วน ใหญไ่ มย่ อมรบั โครงสรา้ งของกลไกการรับรขู้ องค้านท์ ทาใหเ้ กดิ ลทั ธคิ ้านท์ใหม่ข้นึ มา และเกดิ ลัทธิ ปรัชญาต่างๆขึน้ มาอีกมากมาย ดังนี้ 1. อัชฌตั ติกญาณนิยม

75 • จติ นิยมแบบเยอรมัน • ชีวิตนยิ ม • สสารนิยมและปฏิพัฒนา 2. ปฏบิ ัตินยิ ม 3. ปฏฐิ านนยิ ม 4. ปฏิฐานนยิ มใหม่ 5. อัตถภิ าวนิยม 6. สจั นิยมใหม่ 7. อสั มาจารย์นิยมใหม่ 8. ปรัชญาวเิ คราะห์ ปรชั ญาตะวนั ออก ปรชั ญาอนิ เดีย (Indian philosophy) ปรัชญาอินเดียตามความเข้าใจของบุคคลท่ัวไปอาจหมายถึงปรัชญาของผู้คนในประเทศ อนิ เดยี หรอื ปรัชญาฮินดู แต่โดยแทจ้ รงิ แล้ว เน่ืองจากพ้นื ท่ขี องอินเดียโบราณที่เรยี กว่า อนุทวีปอนิ เดีย น้นั ยังไม่ได้แบ่งแยกเปน็ ประเทศต่าง ๆ อย่างปจั จบุ นั คาว่า“ปรชั ญาอินเดีย” จงึ ไมไ่ ด้หมายถึงปรัชญา ที่ก่อกาเนิดในประเทศอินเดียเท่าน้ัน หากยังหมายถึงปรัชญาท่ีเกิดข้ึนในดินแดนรอบๆ อันได้แก่ ปากีสถาน บังคลาเทศ ภูฏาน สิกขิม อัฟกานิสถาน เนปาลและศรีลังกาอีกด้วย และปรัชญาอินเดียก็ ใช่จะหมายถึงเพียงปรัชญาฮินดูเท่าน้ัน แต่ยังรวมพุทธปรัชญา ปรัชญาเชน และปรัชญาวัตถุนิยม ทง้ั หมดไวด้ ้วย หากมคี าถามว่าปรัชญาอินเดีย มีความเปน็ มาอยา่ งไร และเรมิ่ ต้นขนึ้ เมื่อไร เราคงตอ้ งย้อนกลับไปเม่ือ ช่วง 1500 ถึง 700 ปีก่อนคริสต์กาล ซ่ึงเป็นช่วงเวลาที่ชาวอารยันผู้ใช้ภาษาสันสกฤตข้ึนมามีอานาจ และบทบาทในดินแดนแถบท่ีราบลุ่มแม่น้าสนิ ธุ บ้างว่าชาวอารยันนั้นอพยพเข้ามาและมีชัยชนะเหนอื ชาวดราวิเดียนชนพื้นเมืองเดิม บ้างว่าชาวอารยันอยู่ในดินแดนส่วนนี้มานานแล้วเพียงแต่ข้ึนมามี อานาจ ณ ช่วงเวลาน้ี ในทางปรัชญาแล้วท่ีมาของชาวอารยันนั้นไม่สาคัญเท่ากับส่ิงที่พวกเขานามา ดว้ ย นนั่ คอื คัมภรี พ์ ระเวท เราจึงเรยี ก ยคุ น้วี ่ายุคพระเวท (Vedic period) คมั ภรี พ์ ระเวทมี 4 เล่ม ไดแ้ ก่ ฤคเวท สามเวท ยชรุ เวท และอาถรรพเวท ในแตล่ ะพระเวทน้นั สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วนคือ “สัมหิตา” หรือ “มันตระ” เป็นบทสวดร้อยกรองใช้สาหรับสวด

76 สรรเสริญเทพเจ้า “พราหมณะ” เป็นบทร้อยแก้วท่ีว่าด้วยระเบียบวิธีในการนาบทสวดท่ีกล่าวไว้ใน “สัมหิตา”มาใช้ประกอบพิธีกรรม “อารัณยกะ” เป็นคู่มือทางศาสนาสาหรับผู้ครองชีวิตอยู่ในป่า โดยตรง และ “อปุ นิษัท” เป็นประมวลแนวความคิดทางปรัชญาท่ีมอี ย่ใู นคมั ภรี พ์ ระเวทไว้ทัง้ หมด และ ความเชื่อในอินเดียสมัยต่อมา ในทางปรัชญาถือว่าคัมภีร์พระเวทในส่วนอุปนิษัทมีความสาคัญท่ีสุด เพราะมีการตอบปัญหาสาคัญอันเก่ียวเน่ืองกับความหมายของชีวิต กล่าวคือ อุปนิษัทกล่าวไว้ว่าแก่น แท้หรือตัวตนของมนุษย(์ อาตมัน)นั้นเป็นหนึ่งเดียวกับความจรงิ แท้สงู สดุ (พรหมมัน) ชีวิตมนุษย์น้ันอยู่ ภายใต้กฎแห่งกรรม หากเราต้องการส่ิงดีๆในชีวิตเราจะต้องทาแต่ความดี และปัญญาสามารถนา มนุษย์ให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ “มันตระ” และ “พราหมณะ” แห่งพระเวทรวมเรียก อีกอย่างว่า “กรรมกาณฑะ” เพราะเป็นส่วนที่ว่าด้วยการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ส่วน “อารัณยกะ” และ “อุปนิษทั ” น้ันรวมเรียกวา่ “ชญาณกาณฑะ” เพราะเป็นส่วนทีว่ ่าด้วยความรู้ในสิง่ ต่างๆ พระเวทถือเป็นคัมภีร์ท่ีมีความสาคัญทางปรัชญาเน่ืองจากคัมภีร์นี้จัดเป็นแหล่งกาเนิดของ ปรัชญาอินเดีย เราสามารถพบประเดน็ คาถามทางปรัชญาอันเก่ียวกับชีวิตและโลกหลายแห่งในคัมภีร์ พระเวท เช่น อะไรคือตัวตนของมนุษย์ อะไรเป็นแหล่งกาเนิดสรรพส่ิง ลมพัดได้อย่างไร ใครเป็นผู้ ควบคุมดวงอาทิตย์ ใครให้ความอบอุ่นและแสงสว่างแก่ดวงดาว โลกก่อกาเนิดส่ิงมีชีวิตจานวน มากมายไดอ้ ย่างไร เป็นต้น ในระยะแรกการตอบคาถามเหล่าน้ีจะมีลักษณะเป็นศาสนามากกวา่ ปรัชญา การตอบคาถามจะอาศัย ความเช่อื เรื่องเทพเจ้าที่มีลกั ษณะเป็นมนุษย์ เชน่ เทพทชี่ ื่อวา่ พระอาทิตยท์ รงเปน็ ผูค้ วบคุมดวงอาทิตย์ และทาให้เกิดกลางวันกลางคืน แต่จากจุดนี้เองนักคิดต่างๆ มิได้พอใจคาตอบเพียงเท่านั้น พวกเขายัง ต้งั คาถามตอ่ ไปอีก เช่น เทพเจ้าคอื ใคร และมอี ะไรหรือไม่ท่ีอยู่เหนือเหลา่ เทพเจ้า อะไรคอื เป้าหมายท่ี แท้จริงของชีวิตและเราจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้อย่างไร ลักษณะความคิดเช่นน้ีเองถือเป็นจุดเริ่มต้น ของปรชั ญาอินเดีย เน่ืองจากคัมภีร์พระเวทนี้ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์และสงวนไว้สาหรับคนบางกลุ่มบางวรรณะ เท่านั้น ผู้ที่มีสิทธิท่ีจะศึกษาพระเวทได้นั้นจะต้องผ่านพิธีกรรมอย่างหน่ึงท่ีเรียกว่า “อุปนยน” (Upanayana) พิธีกรรมน้ีจะไม่อนุญาตให้ศูทรและสตรีเข้าร่วม สตรีและศูทรจึงไม่มีสิทธิ์ท่ีจะศึกษา พระเวท แตต่ ่อมาเพ่ือให้คนจานวนมากได้มีโอกาสศึกษาและตอบสนองความต้องการของคนเหล่านั้น จึงเกิดมหากาพย์อินเดียสาคัญสองเรื่องได้แก่ มหากาพย์มหาภารตะและมหากาพย์รามายณะ ซึ่งเป็น ทั้งวรรณกรรมและคัมภีร์ทางศาสนาท่ีทาให้คนทุกวรรณะในสังคมสามารถศึกษาได้ ดังจะดูได้จากใน รามยณะของวาลมีกิ ท้ายบทท่ี 1 ของ “พาลกณั ฑ์” (Balakanda) ทจ่ี ารึกไวว้ ่า

77 “ผูใ้ ดอา่ นเรอ่ื งรามายณะ ซ่ึงศกั ดสิ์ ทิ ธดิ์ จุ พระเวท จะพน้ จากบาปทงั้ ปวงและไดไ้ ปเสวยสขุ ในสวรรค์ กบั ญาตขิ องตน ถา้ พราหมณอ์ ่าน กจ็ ะถงึ ความเปน็ เลิศทางวาทศลิ ป์ ถา้ กษตั ริยอ์ ่านก็จะเปน็ เจา้ เหนือ ชนทงั้ ปวง ถา้ ไวศยะอ่าน กจ็ ะทามาคา้ ขนึ้ และถา้ ศูทรไดฟ้ งั ก็จะมคี วามยงิ่ ใหญ่” (ศรสี รุ างค์ พลู ทรพั ย,์ 2545: 67) ยคุ นีม้ คี วามนา่ สนใจอย่ทู ่ีมหากาพย์เราจงึ เรยี กยุคน้วี ่า “ยุคมหากาพย์” (Epic period) เปน็ ช่วงเวลาประมาณ 800 ปีกอ่ นครสิ ตกาลถงึ ครสิ ต์ศักราช 200 ในยคุ นนี้ อกจากจะมีมหากาพย์สาคัญ สองเร่ืองแลว้ ยังมงี านวรรณกรรมสาคัญอืน่ ๆเกิดขน้ึ อีกดว้ ยได้แก่ คมั ภีรธ์ รรมศาสตรข์ องมนู เป็นคมั ภีร์ ท่ีกลา่ วถึงการวางระเบยี บของมนษุ ย์และสงั คม คัมภีรอ์ รรถศาสตรข์ องเกาฏลิ ยะเป็นคมั ภีรท์ ีอ่ ธบิ าย เร่ืองการแสวงหาและความสาคัญของปจั จัยในการดารงชีวิตโดยเฉพาะอย่างย่ิงอานาจทางการเมือง ในช่วงเดยี วกบั ยุคมหากาพย์คือประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาลน้นั เอง ปรชั ญาอินเดียได้เรม่ิ มกี ารแบ่ง ออกเปน็ ระบบ และต่อมาอกี 700 ถงึ 800 ปีจึงมรี ะบบสานักปรัชญาอย่างชดั เจน เราเรียกยุคนว้ี ่า “ยคุ แห่งระบบปรชั ญา” (period of philosophical systems) ยคุ นีป้ รชั ญาอนิ เดียได้แบ่งออกเป็น สองกลุม่ ใหญ่กลา่ วคือ 1. อาสติกะ (orthodox systems) คือปรัชญาฝ่ายฮินดู 6 สานักหรือท่ีเรียกว่าสัฑทรรศนะ อันได้แก่ นยายะ ไวเศษิกะ สางขยะ โยคะ มีมามสาและเวทานตะ ปรชั ญาท่ที ้ัง 6 ระบบเสนอจะมีการ อ้างอิงถึงคาสอนในพระเวทมากน้อยแตกต่างกันออกไป ในกลุ่มอาสติกะนี้ นยายะให้ความสาคัญกบั เคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ (ประมาณะ) โดยเฉพาะอย่างย่ิงตรรกวิทยา ไวเศษิกะวิเคราะห์ส่ิง ต่างๆและเสนอทฤษฎีพหุนิยม (ปทารถะ) สางขยะเปน็ ทวินยิ มท่ีพยายามอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวตนของมนุษย์ (ปุรุษะ) กับโลกภายนอก (ประกฤติ)และอธิบายวิวัฒนาการของโลก โยคะวิเคราะห์ ธรรมชาติของมนุษย์และอธิบายวิถีทางในการเข้าถึงตัวตนท่ีแท้จริงของมนุษย์ มีมามสาเป็นสานักท่ี อธิบายความและให้ความสนใจในพระเวทท้ังพยายามนาเสนอและพิสูจน์ความจริงในพระเวท เวทานตะให้ความสาคัญกับอุปนิษัทโดยการอธิบายและแสดงความสมเหตุสมผลของคาสอนใน อุปนษิ ัท 2. นาสติกะ (unorthodox systems) ได้แก่ พุทธ เชนและจารวาก เหตุที่จัดให้สามระบบน้ี เป็นนาสติกะเพราะทั้งสามระบบล้วนไม่เช่ือว่าสิ่งต่างๆท่ีจารึกไว้ในพระเวทนั้นเป็นความจริงและเป็น ที่สุดโดยไม่จาเป็นต้องพิสูจน์หรือท้าทายด้วยหลักการใดๆ ไม่มีสานักปรัชญาในกลุ่มนาสติกะสานักใด ที่เสนอปรัชญาของตนโดยอ้างอิงถึงสิ่งที่บันทึกไว้ในพระเวทในฐานะที่มาแห่งความจริงสูงสุด ในกลุ่ม

78 นาสตกิ ะ จารวากถอื เป็นปรัชญาสานักเดียวท่มี ีความแตกต่างจากปรัชญาอนิ เดียสานักอน่ื อย่างชัดเจน คือมีลกั ษณะเป็นวตั ถุนิยม ในขณะทปี่ รชั ญาเชนพยายามแสดงถึงหนทางในการหลดุ พน้ จากพนั ธะแห่ง กรรมโดยให้ความสาคัญกับหลักอหิงสาคือการไม่เบียดเบียน และพุทธใช้การวิเคราะห์ธรรมชาติของ ความทกุ ข์และเสนอมรรค 8 เปน็ ทางในการหลุดพน้ จากความทกุ ข์ คัมภีร์ทางปรัชญาที่สาคัญในยุคระบบปรัชญาก็คือคัมภีร์สูตร คาว่า “สูตร” นั้นหมายถึง “เส้นใยหรือสายความคิด” (Thread) ในทางปรัชญา“สูตร”หมายถึงงานเขียนในลักษณะท่ีเป็นคติ พจน์ หรือคาพังเพย (aphorism) ในสมัยโบราณนั้นการสืบทอดความรู้และแนวคิดน้ันเป็นไปใน ลักษณะมุขปาฐะ(เล่ากันปากต่อปาก) คาว่า “สูตร” น้ีจึงอาจหมายถึงสายใยของความคิดที่ส่งต่อกัน มาจากรุ่นสู่รุ่น งานเขียนในลักษณะที่เป็นสูตรนี้จะเป็นข้อความส้ันๆท่ีสามารถจาได้ง่าย เพื่อท่ีจะ เช่ือมโยงไปสู่ความเข้าใจที่มากขึ้น และมีการจัดระบบเป็นหมวดหมู่เพื่อง่ายต่อการจาหรือสอน งาน เขียนที่อยู่ในรูป “สูตร” น้ีทาให้ความคิดทางปรัชญาของอินเดียมีความเป็นระบบ โดยในแต่ละสานัก ของปรัชญาอนิ เดียก็จะมีคมั ภีรส์ ูตรท่สี าคญั ของตน เชน่ สานกั นยายะ มี นยายะสตู ร ทา่ นเคาตมะ ผกู้ ่อตง้ั สานกั เป็นผู้รจนา สานักไวเศษิกะ มี ไวเศษกิ สูตร ท่านกณาทะ ผกู้ อ่ ตง้ั สานกั เป็นผูร้ จนา สานักสางขยะ มี สางขยสูตร ท่านกปิละ ผู้ก่อตั้งสานักเป็นผู้รจนา (แต่สูญหายไปแล้ว โดย ตาราสาคัญทีเ่ กา่ แก่ท่ีสดุ ของสานกั นี้ คือ สางขยการิกา ทา่ นอศี วรกฤษณะเป็นผู้รจนา) สานกั โยคะ มี โยคะสูตร ท่านปตัญชลเี ป็นผรู้ จนา สานกั มมี ามสา แม้จะถอื พระเวทเปน็ หลักแต่ก็มี มีมามสาสูตร ทา่ นไชมินิเปน็ ผรู้ จนา สานกั เวทานตะ มี พรหมสตู ร หรือเวทานตะสูตร ท่านพาทรายณะเปน็ ผู้รจนา สูตรเหล่านี้ถือเป็นแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (primary source) ของสานักปรัชญาแต่ละระบบ เน่ืองจากคัมภีร์ประเภทสูตรนั้นเป็นบันทึกส้ันๆที่คงไว้แต่ส่วนท่ีสาคัญทาให้บางครั้ งยากท่ีจะเข้าใจ ต่อมาช่วงเวลาประมาณคริสต์ศักราชท่ี 200 ถึง 1,700 จึงมีสานุศิษย์มาเขียนงานอธิบายหรือตีความ สูตรเหล่านี้ เราอาจเรียกยุคนี้ว่า “ยุคแห่งอรรถกถาอันยิ่งใหญ่” (period of the great commentaries)

79 งานท่ีใช้อธิบายหรือตีความสูตรต่างๆเหล่านี้เรียกว่า “ภาษยะ” มีหลายคร้ังท่ีสูตรสูตรหนึ่งมี ภาษยะจานวนมากและตีความไปต่างๆกัน ตัวอย่างเช่นในกรณีของพรหมสูตรนั้น มีผู้ท่ีเขียนงาน อธิบายความจานวนมาก เช่น ท่านเคาฑปาทะ (ช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี 6) ท่านศังกระ (ช่วง คริสต์ศตวรรษท่ี 8) ท่านภาสกร(ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9) ท่านยามุนา (ช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี 10) ท่าน รามานุชะ (ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11) ท่านนิมพารกะ (ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12) ท่านมธวะ (ช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 13) และ ท่านวัลลัภ (ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15) เป็นต้น ซ่ึงทาให้สานักเวทานตะนั้น แยกย่อยออกไปมากมาย สานักปรัชญาอินเดียอ่ืนๆก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน ภาษยะถือเป็น หลักฐานช้ันท่ีสองและมีความสาคัญรองลงไปจากสูตร นอกจากน้ีก็ยังมีงานอีกประเภทหน่ึงที่อธิบาย งานจาพวกภาษยะตอ่ ไปอกี แตจ่ ะไม่ขอกล่าวไวใ้ นทีน่ ี้ ในยุคแห่งอรรถกถานี้ มีเหตกุ ารณ์สาคญั อีกอย่างหนึ่งที่นา่ จะกล่าวไว้คือ การท่ศี าสนาอิสลาม ข้ึนมามีอทิ ธิพลมากขึ้นและปรากฏอย่างชัดเจนชว่ งต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 การปะทะสังสรรค์ระหว่าง ศาสนาท่ีมีอยู่ในอินเดียกับศาสนาอิสลามท่ีเข้ามาในช่วงนั้น ทาให้บรรยากาศทางสังคมและปรัชญา เปล่ยี นแปลงไป หลายทา่ นกล่าวว่ายุคนี้เป็นสมยั กลาง (mediaeval times) ของอินเดีย หรอื ยคุ แห่ง ระบบภักติ (age of the Bhakti systems) ซง่ึ เปน็ ยุคแห่งศรัทธาและความเชื่อ เน่อื งจากอิทธิพลของ ศาสนาอิสลาม ประกอบกับความเสื่อมภายในของแต่ละศาสนาเองที่มีการผสมปนเปกันทางความเชอ่ื ทาให้หลายๆศาสนาเปลี่ยนแปลงหลักการและคาสอนเพียงเพ่ือให้คนกลับมานับถือ และในแต่ละ ศาสนาก็มีความแตกแยกจนเกิดลัทธยิ ่อยๆมากมาย เช่น ลัทธิตันตระก็ถือกาเนิดในความวุ่นวายนี้ อีก ทั้งยังเกิดกลุ่มความเคล่ือนไหวทางศาสนาที่เรียกว่าขบวนการภักติ (Bhakti movement) ขึ้นใน อินเดีย ขบวนการเหล่านี้ส่งเสริมให้ผู้คนเข้าถึงเป้าหมายทางศาสนาด้วยความรัก ความศรัทธาและ ภักดีต่อพระเจ้า ท่ีเรียกว่าภักติโยคะ และทางตอนใต้ของอินเดียมีสานักเทวนิยมเกิดข้ึน 4 สานัก ได้แก่ วิศิษฏาทไวตะ (ของท่านรามานุชะ) ทไวตะ (ของท่านมธวะ) ไศวะ (ของท่านเมยกาณฑเทวะ) และวีระไศวะ(ของท่านพสวะ) ส่วนทางตอนเหนือก็มีลัทธิท่ีเช่ือในอวตารของพระรามและ พระกฤษณะเกิดข้ึนมากมาย รวมไปถึงการเกิดข้ึนของศาสนาสิกข์ ซึ่งเป็นความพยายามของคุรุนานัก ที่จะรวมชาวอินเดียทุกวรรณะและทุกศาสนาให้มีความเช่ือไปในทางเดียวกัน แต่ท้ายท่ีสุดก็กลายเปน็ อกี ศาสนาหน่งึ สิ่งต่างๆเหล่าน้ีทาให้บรรยากาศแห่งปัญญาที่เคยมีมาตั้งแต่สมัยของอารยันต้องตกอยู่ภายใต้ การครอบงาของศรัทธาทางศาสนาจนเกือบหมดส้ิน จวบจนช่วงคริสต์ศักราชท่ี 1800 เป็นต้นมา ลักษณะของปรัชญาอินเดียก็ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดตะวันตกและได้เกิดนักคิดท่ีต้องการ

80 เปล่ียนแปลงสภาพสังคมข้ึนมาหลายท่าน โดยการหันกลับมาตรวจสอบแนวความคิด ความเชื่อและ ปรัชญาที่มีอยู่เดิม นักคิดที่สาคัญในช่วงนี้ได้แก่ ท่านราชา รามโมฮันรอย (Raja Ram Mohan Roy) ในช่วงน้ีนักคิดสว่ นใหญ่ได้นาหลกั การทางศาสนาต่างๆมาใชแ้ ก้ปัญหาทางสังคม เช่น ท่านวิเวกนันทะ นาศาสนาฮินดูมาปรับใช้, ท่านอิกบัล (Iqbal) นาคาสอนอิสลามมาปรับใช้ ท่านกฤษณะมูรติและท่าน ดร.เอมเบคก้านาคาสอนพุทธศาสนามาปรับใช้ เราเรียกปรัชญาอินเดียท่ีเกิดในช่วงเวลาตั้งแต่ คริสต์ศักราชท่ี 1800 เป็นต้นมาว่าปรัชญาอินเดียร่วมสมัย (contemporary Indian philosophy) หรอื เรยี กว่า “ยุคสมัยใหม่” (modern period) เราสามารถแยกศึกษาปรัชญาอินเดียได้เป็น 2 ช่วงได้แก่ ปรัชญาอินเดียโบราณ(ancient Indian philosophy) คือปรัชญาอินเดียในช่วงสมัยอารยันซ่ึงมีพ้ืนฐานอยู่ท่ีศาสนา และปรัชญา อินเดียร่วมสมัย (contemporary Indian philosophy) คือปรัชญาอินเดียในช่วงรอยต่อของสมัย มุสลิมกับสมัยอาณานิคมซ่ึงมีแรงจูงใจอยู่ที่สภาพสังคมและการเมืองของอินเดียในขณะนนั้ โดยศึกษา ได้จากทั้งคัมภีร์ทางศาสนาเช่น พระเวท พระไตรปิฎก จากสูตรต่างๆ เช่น โยคะสูตร จากมหากาพย์ สาคัญเชน่ มหาภารตะ จากงานวรรณกรรมสาคัญเชน่ ธรรมศาสตร์ อรรถศาสตร์ กามสตู ร อกี ทง้ั งาน เขียนของนักปรัชญาอนิ เดียรว่ มสมยั เช่น คีตาญชลี ของท่านรพินทรนาถ ฐากูร ปรัชญาจีน อารยธรรมจีนนนั้ ได้กาเนิดขึน้ บรเิ วณลมุ่ แมน่ ้าฮวงโหและแยงซีเกียง เมื่อประมาณ 5,000 ปี มาแล้ว แต่ในสว่ นของปรชั ญาจนี นัน้ เพิ่งเร่มิ ขึน้ ในชว่ งประมาณมาณ 480 ปกี ่อน ค.ศ. เป็นช่วงปลาย สมัยราชวงศ์โจว ปรัชญาจีนนน้ั จะสนใจในปญั หาของการดารงชีวิตของมนุษย์ ด้านจริยศาสตร์และปรชั ญา การเมือง ปรัชญาจีนนน้ั เกิดข้ึนจากความเชือ่ เป็นรากฐาน ให้ความสนใจในเร่ืองประพฤติปฏิบัติให้เปน็ คนดี มคี วามสุข แนวทางทีจ่ ะทาใหส้ ังคม ประเทศและโลกนนั้ มีความสงบสขุ ปรัชญาจีนจะเนน้ ความร้ทู ่ีทาใหค้ นเปน็ คนดแี ละมคี ุณธรรม (Padveewp, 2015) จดุ เริ่มต้นทีส่ าคัญของปรชั ญาจีนน้นั เกิดในชว่ งปลายชองสมัยราชวงศโ์ จว โดยเรียกช่วงเวลาน้ี ว่า ยุคชนุ ชิว ซึ่งถือได้ว่าเป็นยุคแหง่ นกั คดิ หรือช่วงเวลาของร้อยสานกั ซงึ่ ถือเป็นชว่ งเวลาสาคัญใน การเริ่มตน้ การพัฒนาทางปัญญาและวัฒนธรรมของจีน และจากนน้ั มาก็สบื ทอดต่อมาในยุคจักรพรรดิ ราชวงศ์ตา่ ง ๆ จนถึงปัจจุบัน โดยสามารถแบง่ ปรัชญาจีนออกเป็น 4 ยคุ

81 1. ปรชั ญาจนี ยุคโบราณ (Ancient Philosophy) ปรัชญาจีนยุคโบราณนั้นเปน็ ปรชั ญาที่เกิดในปลายสมยั ราชวงศโ์ จว หรอื ทเี่ รยี กวา่ ยคุ ชุนชิว (771-476 ก่อนครสิ ตกาล) เป็นยุคแห่งนกั คดิ แผนท่ีของจีนในยคุ ชุนชิวเปรียงเทียบกบั เมืองปัจจุบนั https://www.blockdit.com/posts/5f104d83baa5771532bb1ce4 มสี านักปรัชญาสาคัญ 100 สานัก แตห่ ากจะกลา่ วถึงสานกั ท่ียิ่งใหญ่และมีอทิ ธิพลน้ัน ประกอบไปด้วย 8 สานกั 1.1. สานักหยนิ -หยาง (yin-yang) สานักนก้ี ลา่ วถงึ จกั รวาลโดยแยกสรรพสง่ิ เป็น 2 ขั้ว สัมพันธก์ ันและมปี ฏกิ ริ ิยาต่อ กนั ทัง้ ในลกั ษณะร่วมมือกันและตอ่ ต้านกนั และก่อเกดิ ผลเปน็ ปรากฏการณ์ เป็นสภาวะ

82 ธรรมชาตทิ ่ีมอี ยู่คู่กัน เป็นมูลธาตุ กอ่ ใหเ้ กิดสิ่งต่างๆ แนวคิดหยินหยางใช้สัญลักษณ์วงกลม ครงึ่ ขาวครงึ่ ดา ในดามจี ดุ ขาว ในขาวมีจดุ ดา เหมือนตาปลา ทาใหด้ ูเปน็ ปลาขาวดาสองตัว กลับหวั กัน ความหมายใหส้ ีดาเป็นหยิน แทนผหู้ ญงิ ความมืดดา โลก ดวงจนั ทร์ ความ อ่อนแอ ความสวยงามและความสันโดษ สขี าวเปน็ หยาง แทนผู้ชาย ความขาวสว่าง ท้องฟา้ สวรรค์ ดวงอาทติ ย์ ความเข้มแขง็ และพละกาลงั ความเปน็ คหู่ ยนิ หยางนี้เป็นสัญลักษณ์ของ ชีวิตทม่ี ีสองด้านเสมอเปน็ แนวคิดธรรมชาตนิ ยิ มซงึ่ เปน็ แนวคดิ รว่ มของนกั ปรชั ญาในยุค ราชวงศโ์ จว ต่อมาขยายแนวคิดเป็นเบญจธาตุ ได้แก่ ธาตดุ ิน ธาตุทอง ธาตุน้า ธาตไุ ม้ ธาตุ ไฟ โดยสรรพส่ิงนัน้ จะถกู พิจารณาเป็นธาตตุ า่ งๆจากการกาหนดความสัมพนั ธ์กบั ทิศทาง รปู ทรง สี รสชาติ อุปนิสัย เหตแุ ห่งความเส่ือม อวัยวะ และอาชีพของมนษุ ย์ โดยหลักเบญจ ธาตนุ ี้จะมกี ารก่อเกิดถ่ายเทและการควบคุมพิฆาต แนวคดิ หยินหยางและห้าธาตุนีม้ ีนกั ปรัชญาคนสาคัญคือ โจว หยาง (305-240 ก่อน ครสิ ตกาล) สอนระบบคิดแนวทางหยนิ หยางและหา้ ธาตุ และ เหลาจ้ือ สอนเน้ือหาถงึ ส่ิง สมบรู ณอ์ นั เป็นเอกภาพของจักรวาลวา่ เตา๋ (สริ กิ ร อมฤตวารนิ , 2562) 1.2. สานกั หยู หรือ ขงจือ้ สานกั ปรัชญาขงจ้ือมคี วามเหน็ ว่า ขนบธรรมเนยี มโบราณท่ีดีงามมีอยู่มาก ควรที่จะ ไดฟ้ น้ื ฟูเรื่องทดี่ ีงามนนั้ ขึน้ มาใหม่ แล้วนามาเป็นหลักประพฤติปฏบิ ตั ิ นกั ปรัชญาคนสาคัญคอื ขงจือ้ เปน็ นักปรชั ญาทางฝา่ ยจริยศาสตร์ งานเขียนของ ขงจอ๊ื ปรากฏอยู่ในหนงั สือ สงั เขปการสอนของขงจื๊อ หรือที่จนี เรียกว่า “หลุน-อวฺ ่ี” เป็น เรอื่ งราวเกย่ี วกับบนั ทกึ และเร่ืองราวต่าง ๆ เช่น คาพดู คาสอนของขงจื๊อและกจิ กรรมต่าง ๆ ทีล่ ูกศษิ ย์ของทา่ นได้ช่วยกันรวบรวมข้นึ หลงั จากการจากไปของขงจอ๊ื สว่ นวรรณกรรมทที่ ่าน ไดร้ วบรวมขนึ้ มี 5 เลม่ ดงั นี้ ชุนชวิ ซือจิง ซจู งิ อจ้ิ ิง หล่จี ี้ นกั ปรชั ญาคนสาคญั อื่นๆ คือ เม่งจอ้ื , สวนิ จอ่ื , ตุงจงุ ซู (สริ กิ ร อมฤตวารนิ , 2562) 1.3. สานักมอ่ สานักปรัชญาม่อจ้ือมีความเห็นวา่ มนุษยท์ ุกคนเทา่ เทยี มกัน เรือ่ งทล่ี ว่ งมาแล้วก็ เหมาะกับคนสมยั นั้น ไม่ควรรื้อฟ้นื ข้ึนมาอีก ควรจะหาอะไรใหม่ๆ ทีเ่ หมาะสมมาเปน็ หลักยดึ เหนยี่ วจะดกี ว่า สาระสาคัญของคาสอนของม่อจ่อื มี 8 ประการ ไดแ้ ก่ (1) ความรกั แบบ เสมอภาค ไมแ่ ยกเขาแยกเรา (2) ต่อต้านการทาสงครามรกุ ราน (3) การเลือกคนดีมี ความสามารถไว้ใชง้ านโดยไม่เลือกชัน้ วรรณะ (4) การปกครองต้องมผี ูน้ า (5) การใช้จ่าย

83 อย่างประหยัด (6) ต่อต้านการจดั งานศพแบบใหญ่โตและไวท้ ุกข์ยาวนาน (7) ต่อต้านการ ดนตรี และ (8) ต่อตา้ นความเชอ่ื งมงาย (สิรกิ ร อมฤตวาริน, 2562) 1.4. สานกั หมิงหรอื สานักนาม เป็นสานักคดิ เชงิ ตรรกะ เนน้ การอภปิ รายแยกแยะชอ่ื ความสมั พันธ์ระหว่างชอ่ื และ ความเปน็ จรงิ ตอ่ มาสานักคดิ น้ถี ูกระงับเน่ืองจากการอวดรู้และการโตเ้ ถียงเชงิ วิภาษวิธีเป็น สิ่งทีช่ าวจีนถอื วา่ เป็นการปฏิบัติทไ่ี มเ่ หมาะสม นักปรชั ญาคนสาคัญคือ ฮยุ จี (Hui Shi, 370-310 ก่อนคริสตศักราช) แต่แนวทาง ของสานักหมงิ เปน็ เทคนคิ ที่สานักขงจื้อนาไปใชเ้ พ่ือสอนตาราของตน และสานักคณุ ธรรม นาไปใช้เพื่อสรา้ งข้อโต้ตอบกับสานักขงจ้ืออีกทหี นง่ึ (สิริกร อมฤตวาริน, 2562) 1.5. สานักกฎหมายหรอื นิตินยิ ม สานักนิตินิยมมีความเห็นวา่ ธรรมชาตดิ ั้งเดิมของคนมแี ต่ความชั่วร้าย จงึ จาตอ้ งใช้ อานาจและกฎหมายมาเป็นเครอื่ งควบคุม กฎหมายควรเป็นกฎหมายที่เท่ียงธรรมและควรใช้ ปฏิบัติกับทกุ คนไม่วา่ เจา้ หรอื ไพร่ กฎหมายควรเขียนใหช้ ัดเจน เพ่อื ให้คนเข้าใจว่าควรทาสง่ิ ใดหรือหลกี เลีย่ งสิง่ ใด ผู้ฝา่ ฝนื กฎหมายก็ควรได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง (สริ ิกร อมฤตวา ริน, 2562) นักปรัชญาคนสาคญั คอื ฮ่นั เฟ่ยจ้ือ 1.6. สานกั คุณธรรมหรอื เตา๋ เชือ่ ว่า สรรพสงิ่ ก่อกาเนดิ จากเต๋า และเตา๋ เป็นสรรพสิ่ง การเขา้ ถึงลทั ธิน้ีจะต้องมี สมั ผสั พิเศษทีส่ ามารถเขา้ ถึงภาวะความจริงได้ ไมเ่ ชื่อวา่ จะเข้าใจความจริงเกี่ยวกับชวี ติ และ โลกโดยการคดิ และการใชเ้ หตุผลหรือโดยการกระทาแต่ความดี การแสวงหาเตา๋ อาจทาได้ ดว้ ยการปฏิเสธทจี่ ะรับว่าตนเองเปน็ ผมู้ วี ิชาหรอื ผรู้ อบรู้ และให้อยู่อยา่ งสงบ ใช้ชวี ิตงา่ ยๆ กับธรรมชาติ ความรู้มใิ ชเ่ ปน็ ของดี หากแต่ช่วยเสรมิ สรา้ งความช่วั ตามเวลามากหรอื น้อย เท่าที่เรียนมา (สริ ิกร อมฤตวาริน, 2562) นักปรชั ญาคนสาคญั คอื เหลา่ จอื้ จวงจอื้

84 จากอาจารยป์ ยิ ะแสง จนั ทรวงศไ์ พศาล สัญลกั ษณเ์ ต๋าคอื สัญลกั ษณ์ “แผนผังแปด ทิศ” หรอื “ปาก้วั ถู” (八卦图) คนไทยมักรู้จกั กันในชื่อวา่ “ยันต์แปดทิศ” และ “ยนั ต์ โป๊ยข่วย” ซ่งึ แผนผงั แปดทิศ น้นั เปน็ สญั ลกั ษณแ์ ห่งฟ้าและดนิ ท่ีสามารถทานายและหย่ังรู้ถึง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งฟ้า ดิน และมนุษย์ สัญลักษณ์นี้มาจากการสงั เกตลวดลายบนหลงั กระดองเต่าวเิ ศษที่พระเจ้าฝซู ีสงั เกตและได้บนั ทึกไวใ้ นแผนผงั เหอถแู ละจตั ุรัส ลว่ั ซู อันเป็น ตน้ กาเนิดของศาสตร์โจวอ้ี ซึ่งภายหลงั มกั เรียกกันวา่ “อ้จี งิ ”หลงั จากน้นั มา จงึ ได้กลายมา เป็นเส้นขดี ประ (- -) และเส้นขดี เตม็ ( __ ) แทนความหมายของ หยนิ และหยาง ขดี ประ (- -) หมายถึง หยนิ (阴) เสน้ ขดี เตม็ ( __ ) หมายถึง หยาง (阳) เม่อื ขีดประและขดี เตม็ ประกอบรวมเข้าด้วยกนั ในตาแหน่ง บน – กลาง – ล่าง ขดี บนแทน ฟา้ ขีดกลางแทนมนุษย์ และขีดล่างแทนดนิ จึงทาใหเ้ กดิ การเรียงลาดบั เส้นขีดขององคส์ าม รวมเขา้ กับทิศท้ังแปดและธาตทุ ง้ั หา้ จงึ กลายมาเป็นแผนผังแปดทศิ หรอื ปากัว้ ถู ในท่สี ดุ ความหมายในสญั ลักษณ์เส้นขดี แห่งองค์ 3 หรือทเ่ี รยี กกันว่า “ตรีลักษณ์” ไดแ้ ก่ เฉียน (乾) คือ ทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือ ตาแหน่งแหง่ ฟ้า หมายถึง พ่อ และการสรา้ งสรรค์ คนุ (坤) คือ ทศิ ตะวันตกเฉยี งใต้ ตาแหน่งแหง่ ดิน หมายถึง แม่ และการยอมรับ เจ้นิ (震) คือ ทิศตะวันออก ตาแหนง่ แหง่ สายฟ้า หมายถึง ลกู ชายคนโต และการต่ืนตัว ซวนิ่ (巽) คือ ทิศตะวนั ออกเฉยี งใต้ ตาแหนง่ แหง่ ลม หมายถงึ ลูกสาวคนโต และความอ่อนโยน ตุ้ย (兑) คือ ทศิ ตะวนั ตก ตาแหน่งแห่งทะเลสาบ หมายถงึ ลกู สาวคนเล็ก และความร่าเรงิ เกนิ้ (艮) คอื ทศิ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตาแหน่งแห่งภเู ขา หมายถึง ลูกชายคนเล็ก และความสงบ ขัน่ (坎) คือ ทศิ เหนือ ตาแหนง่ แห่งน้า หมายถึง ลกู ชายคนกลาง และความลกึ ลับ

85 หลี (离) คอื ทิศใต้ ตาแหนง่ แห่งไฟ หมายถงึ ลกู สาวคนกลาง และการตดิ ตาม 1.7. สานกั แนวดง่ิ แนวขวาง หรือสานกั ปกครอง เปน็ สานกั คิดทางการเมืองและการปกครองมีขอบเขตความสนใจอยใู่ นเรอ่ื งการ ต่างประเทศ การร่วมมือกนั ระหว่างรฐั ในแนวดิ่ง และรฐั ในแนวขวางในยคุ ชนุ ชวิ นกั ปรัชญาคนสาคญั คอื ซูฉินสนบั สนุนการเป็นพนั ธมติ รแนวด่ิง ระหวา่ งรัฐเวย่ จา้ ว หาน เยีย่ น ฉี และฉู่ ร่วมมือกันสร้างพันธมิตรทเี่ ขม้ แขง็ เพ่ือป้องกนั การรกุ รานของรฐั ฉนิ ท่ี อย่ทู างตะวนั ตก จางอ้ีแหง่ รฐั ฉนิ สนับสนุนการเปน็ พนั ธมติ รแนวขวางระหวา่ งรฐั ฉิน หาน ฉี เพื่อเป็น พันธมติ รท่เี ข้มแข็งกาจดั รัฐเล็กๆ ทอี่ ยู่ตรงกลาง ซึ่งลว้ นขน้ึ กับยทุ ธศาสตร์ของรัฐ เหตผุ ลทาง การเมือง กาลังทหารและความม่นั คงของรฐั ที่เข้าร่วมพนั ธมิตร (สิรกิ ร อมฤตวารนิ , 2562) 1.8. สานกั การเกษตร เช่ือวา่ สังคมมนุษยเ์ รม่ิ ตน้ จากการพฒั นาการเกษตร สังคมจึงมีพนื้ ฐานอย่ทู ่ผี ูค้ นทม่ี ี ความม่งั ค่ังในทางเกษตรและกสิกรรม กษัตริยต์ อ้ งสนบั สนนุ ใหผ้ ูค้ นทาเกษตร ดังเชน่ เสนาบดโี ฮจี ในยุคราชวงศ์เซีย การปกครองที่ดจี ะต้องนาโดยกษัตรยิ ์ท่เี ป็นท่ีรกั ของผูค้ นซึ่ง แผนทีแ่ สดงสถานเกิดของนกั ปรัชญาจนี ในชว่ งยคุ ชินชิวหรือในปลายสมัยราชวงศโ์ จว https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/2/23/Birth_Places_of_Chinese_Philosophers.png

86 ทางานร่วมกับผู้คนในทงุ่ ขา้ ว สานกั เกษตรยังไม่ยอมรบั การแบ่งแยกแรงงานอยา่ งลัทธหิ ยู อกี ท้ังสนบั สนุนการตั้งราคาสินค้าคงท่ีเพื่อสง่ เสริมการเกษตร (สิริกร อมฤตวาริน, 2562) 2. ปรชั ญาจนี ยุคจกั รพรรดชิ ว่ งแรก (Early imperial era philosophy) ไดแ้ ก่ สานักคิดในชว่ งราชวงศ์ฉินจนถงึ ราชวงศ์ฮ่นั ได้แก่ 2.1. สานกั ฉวนซอ่ื (Xuanxue) ท่เี ปน็ สานกั คดิ ของลัทธเิ ตา๋ โดยนาหลกั การของขงจ้ือและเต๋ามาประสานกัน เรียก อกี อย่างวา่ เต๋าลกึ ลับหรือ เต๋าดา (สริ ิกร อมฤตวาริน, 2562) 2.2. สานกั ฉาน/ฌาน (Chan) เป็นสานกั คดิ ทีเ่ กิดจากการเข้ามาของพระพทุ ธศาสนาในราว คริสต์ศตวรรษที่ 6 และกระจาย ไปในประเทศของเอเชยี ตะวันออก เน้นคาสอนในพระพทุ ธศาสนา การแปลคัมภรี ์ การตีความ และการฝกึ ฝนสมาธิ (สริ ิกร อมฤตวาริน, 2562) 2.3. ลทั ธนิ ิตนิ ยิ ม ได้รบั เอาอิทธิพลจากลัทธมิ ่อจ้ือและขงจอ้ื มาปรับปรุงแนวทางกฎหมาย จนกระทัง่ ถึงราชวงศฮ์ น่ั จงึ ไดน้ าลัทธิเตา๋ และลทั ธขิ งจ้ือมาเป็นแนวทางหลัก (สริ กิ ร อมฤตวารนิ , 2562) แผนท่ีเขตของราชวงศ์ฉิน แผนท่เี ขตของราชวงศ์ฮั่น https://www.youtube.com/watch?v=pbJkOoBtWxA&feature=youtu.be https://www.youtube.com/watch?v=pbJkOoBtWxA&feature=youtu.be 3. ปรชั ญาจนี ยุคจกั รพรรดชิ ว่ งกลางถงึ ชว่ งหลงั (mid to late imperial era philosophy) ได้แก่ สานักคดิ ในยุคหลงั ราชวงศ์ฮั่นจนถึงยุคราชวงศช์ งิ คือ 3.1. สานักขงจอ้ื ใหม่ (neo-Confucianism)

87 หลังจากสมัยราชวงศ์ฮัน่ เปน็ ต้นมา ลัทธขิ งจื้อไดเ้ สอื่ มลงตามลาดบั โดยทช่ี าวจีน โดยท่วั ไปไดห้ นั ไปสนใจปรัชญาของลัทธเิ ตา๋ และพุทธศาสนา ชว่ งแรกลัทธขิ งจอ้ื พยานาม ประณามพทุ ธศาสนาในฐานะลัทธิของอนาอรารยชนแต่ไม่สาเร็จ ในช่วงระยะท่เี ปน็ ยุคเสื่อม ของปรชั ญาขงจ้อื น้ีได้มีผู้พยายามฟนื้ ฟูคาสอนของขงจ้ืออยู่ตลอดเวลาโดยนาเอาหลักพุทธ ศาสนา หลกั ลทั ธิเตา๋ และหลักนิตินยิ มมาประสานเสรมิ แนวคดิ ขงจ้อื เดิมเนื่องจากคาสอน ดั้งเดิมไม่ครอบคลมุ เรื่องราวในทางอภปิ รัชญา เช่น กาเนิดจักรวาล แก่นแท้ของมนุษย์ เปน็ ต้น โดยเริ่มต้งั แตร่ าชวงศ์ซ้อง (ค.ศ.960-1279) โดยโจวตนุ อีไ๋ ด้เสนอไว้ในอรรถาธิบายวา่ ด้วยแผนภมู ไิ ทจ่ ี๊ วา่ ทกุ สิ่งในจักรวาลนนั้ มีกาเนดิ มาจาก “ไทจ่ ๊ี” ลัทธิขงจ้อื ใหม่จึงกาเนิดขึน้ ในฐานะสานกั แห่งหลักการ (school of principle) ตามคาว่า “หลี่” และ “ช่ี” หลค่ี อื เปน็ กฎเกณฑ์ทก่ี าหนดระเบียบของธรรมชาติ เปน็ เหตุผลอธิบายความเป็นมา ความเปน็ อยู่และความเปน็ ไปของทุกสงิ่ และทุกปรากฏการณแ์ ละเป็นผูจ้ ดั การให้จักรวาล เป็นไปตามระเบยี บตามครรลองที่ควรจะเป็น ชี่คอื พลงั ปราณ ที่ก่อใหเ้ กิดปรากฏการณ์และ สรรพส่ิงได้ และได้รบั ความนิยมสูงสุดในช่วงราชวงศ์หมงิ (ค.ศ.1368-1644) ในฐานะสานกั แห่ง ความคิด (school of mind) ตามคาวา่ “ซนิ ” ซินทาหน้าที่ในการคดิ และมีอารมณ์ ความรสู้ ึก เกยี่ วข้องกับการช้ีนาและกาหนดทศิ ทางชีวิตของคน เจตจานงชน้ี าใจ ความ ปรารถนาชีน้ ากาย มนุษยส์ ามารถเรียนรู้ ตรวจสอบและขัดเกลาเปลี่ยนแปลงตนเองได้ (สริ ิ กร อมฤตวาริน, 2562) นักปรัชญาคนสาคญั คือ โจวตุนอ้ี (Zhou Dunyi, 1017–1073), จซู ี (Zhu Xi, 1130-1200) และ หวาง ยางหมิง (Wang Yangming, 1472-1529) แผนทอี่ าณาเขตราชวงศฮ์ ่นั แผนที่อาณาเขตราชวงศช์ งิ https://th.wikipedia.org/wiki/ราชวงศฮ์ ั่น#/media/ไฟล:์ Han_Dynasty_map_2CE.png https://th.wikipedia.org/wiki/ราชวงศช์ งิ #/media/ ไฟล์:Empire_of_the_Great_Qing_(orthographic_proj ection).svg

88 4. ปรชั ญาจนี ยคุ ใหม่ (modern era) ไดแ้ ก่ 4.1. สานักคิดชาตนิ ยิ มจนี เริ่มจาก ดร.ซุน ยดั เซน (ค.ศ.1866-1925) ตระหนักว่าความทกุ ข์ยากของผุ้คนและ ความอบั จนหนทางในชีวิตจนตอ้ งอยู่ไปวนั ๆ แบบไร้อนาคตล้วนเกิดจากสังคมท่ีสิน้ หวังอัน เนือ่ งมาจากระบบสังคมและการปกครองทต่ี ่างหยดุ นงิ่ โดยไมพ่ ฒั นาไปดา้ นไหนมาเปน็ เวลา ยาวนานทาให้ตามไม่ทนั การเปลี่ยนแปลงของโลก ท่านเสนอให้มีการพฒั นาประเทศแก่ราช สานกั ราชวงศช์ งิ แตค่ วามคิดของท่านไม่ไดร้ ับความสนใจ จึงได้ก่อตง้ั สมาคมซิงจงฮยุ่ เพื่อ การปฏริ ปู ประเทศ จนนาไปสู่การปฏิวัติกวางโจว ค.ศ. 1895 แตไ่ ม่สาเร็จ จงึ ไดห้ นีไปยโุ รป และได้ศึกษาแนวทางการเมืองของสงั คมโลก ได้นาหลกั ปรัชญาตะวันตก หลักประชาธิปไตย หลกั สาธารณรัฐ และลัทธิอุตสาหกรรมนิยมเข้ามาประสานกบั แนวคดิ ขงจอื้ เดิม จากการผสมผสานก็ได้กลายเปน็ ปรัชญาการเมือง คือ หลกั 3 ประการแห่ง ประชาชน หรือลทั ธไิ ตรราษฎร์ (Three Principles of the People) ได้แก่ ชาตินยิ ม ประชาธปิ ไตยและความเป็นอยูข่ องประชาชน ชาตินิยมถอื ความเปน็ เอกราชของชาติ ทุกชน ชาติมคี วามเสมอภาคเท่าเทียมกนั และล้วนเป็นชาวจนี ด้วยกัน ประชาธปิ ไตยถืออานาจ อธิปไตยของปวงชนตามหลักของมองเตสกิเออ (Montesquieu, 1689-1755) และความ เป็นอย่ขู องประชาชนถือหลักการในการครองชีพ มีการแบง่ สนั ปนั สว่ นท่ีดนิ ใชส้ อย หลัก 3 ประการไดร้ บั การยอมรบั จากกลมุ่ เคล่ือนไหวตา่ งๆ นาไปสู่การตัง้ สมาคมถงเหมงิ ฮยุ่ และ ความรว่ มมอื จากชาวจนี โพ้นทะเล จนนาไปสู่การปฏิวัตซิ นิ ไฮ่ ค.ศ.1911 นาไปสกู่ ารตัง้ สาธารณรัฐจีน (สิริกร อมฤตวารนิ , 2562) ภาพแสดงการเดนิ ทางของการนาปรัชญาตะวนั ตกเข้ามาผสมผสานกับปรชั ญาจนี https://www.google.com/maps/place/%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/@43.5468047,142.1184957,3z/data=!4m5!3m4!1s0x31508e64e5c 642c1:0x951daa7c349f366f!8m2!3d35.86166!4d104.195397

89 4.2. สานักคดิ เหมา โดย เหมา เจอตุง (ค.ศ.1893-1976) ได้นาหลักลัทธมิ าร์ก ลัทธิสตาลนิ และหลักคิด ของลทั ธคิ อมมิวนสิ ต์เขา้ มาสอนในชาวนา คนยากจน และเขา้ แทนทลี่ ัทธิขงจ้ือใหม่เม่ือได้ขึ้น ปกครองประเทศ และประกาศเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ลทั ธเิ หมาถูกพฒั นาขน้ึ มาระหว่างทศวรรษ 1950 ถึง 1970 โดยเฉพาะในช่วงปฏวิ ัติ วฒั นธรรม (ค.ศ.1966-76) โดยทาการล้มลา้ งความคดิ ของสานักคดิ ด้ังเดิมออกไปจากชน ชาติจีน คงเหลือไว้เพียงหลักลัทธนิ ิตินยิ ม จนกระทงั่ ได้รับการปฏิรปู จากเติ้ง เสย่ี วผงิ (ค.ศ. 1904-97) ลัทธิเหมาเน้นว่าชาวนาควรเปน็ ปราการป้องกนั พลงั การปฏิวัตนิ าโดยชนชัน้ ใช้ แรงงานในประเทศจนี เหมาก่อตั้งพรรคคอมมวิ นสิ ต์แห่งประเทศจนี ต่อมาไดช้ นะสงครามกลางเมอื งกบั รัฐบาลของสาธารณรฐั จีนจงึ ไดเ้ ปลีย่ นประเทศเป็นสาธารณรฐั ประชาชนจีน เมือ่ ค.ศ. 1949 ปรัชญาทางการเมืองของเหมาเจอ๋ ตุง คือ “มวลชนสู่มวลชน ” รวบรวมความคดิ เห็น ของมวลชนทกี่ ระจายไมเ่ ป็นระเบียบ ศกึ ษาความคิดเห็นที่ได้รวบรวมและเสนอ ผู้บงั คบั บญั ชา ผู้บังคบั บญั ชาให้คาแนะนาและสง่ คนื สูป่ ระชาชน เมือ่ มวลชนยอมรับก็คือ นโยบาย (สริ กิ ร อมฤตวารนิ , 2562) 4.3. สานกั คิดขงจอื้ ใหม่ (new Confucianism) ลัทธขิ งจื้อใหม่เกดิ จากกระบวนการเคล่ือนไหวของปญั ญาชนในชว่ งตน้ ศตวรรษท่ี 19 (1921-49) และกลับมาฟื้นฟูอีกคร้ังหลังลัทธเิ หมา ร่วมกบั ลทั ธปิ รชั ญาจนี สานักต่างๆ ท่ี ไดร้ ับการรื้อฟ้นื ขน้ึ มาใหม่เพื่อศึกษาในฐานะอารยธรรมจีนในชว่ งปี 1990 ลทั ธขิ งจ้อื ใหม่เป็นการรื้อฟื้นขนบธรรมเนยี มในเชงิ อนุรักษ์นิยมใหมเ่ น้นการพัฒนา พ้ืนฐานความดเี พื่อใหส้ งั คม สิ่งแวดลอ้ ม และการเมืองสามารถอยรู่ ว่ มกนั ได้ด้วยความ กลมกลนื กัน มีการประสานปรชั ญาตะวันตกเข้ามาด้วย เชน่ ปรชั ญาเหตุผลนิยมและปรัชญา มนษุ ยนิยม ซ่ึงรฐั บาลจนี ได้ส่งเสรมิ ลัทธขิ งจอื้ ใหม่น้ี โดยการต้ังสถาบันขงจ้ือในเมืองต่างๆ และกระจายไปยังประเทศต่างๆ อีกดว้ ย นกั ปรัชญาคนสาคัญคอื มูซงซาน (Mou Zongsan, 1909-95) ทง้ั นี้ ตู้เวยหมิง (Tu Weiming, เกดิ เม่ือ 1940) ได้จาแนกลทั ธขิ งจื้อออกเปน็ 3 ยุค ไดแ้ ก่ ลทั ธิขงจอื้ ยุคก่อน ราชวงศ์ฮนั่ ลทั ธขิ งจื้อใหมย่ ุคซ่ง-หมิง และลัทธขิ งจอ้ื ใหม่ซง่ึ เป็นพืน้ ฐานทาใหเ้ กิดลทั ธิขงจ้ือ ในบรบิ ทที่ไม่ใช่เอเชยี อีกด้วย เชน่ ลัทธขิ งจ้ือแห่งบอสตัน ลทั ธิขงจอ้ื ตะวันตก เป็นตน้ (สิริกร อมฤตวารนิ , 2562)

90 ภาพแสดงการเดนิ ทางของการนาปรัชญาตะวันตกเข้ามาผสมผสานกบั ปรชั ญาจนี https://www.google.com/maps/place/%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/@43.5468047,142.1184957,3z/data=!4m5!3m4!1s0x31508e64e5c642c1:0x951daa7c349f366f!8m2!3d3 5.86166!4d104.195397 ปรัชญาญ่ีป่นุ ไดร้ บั การผสมผสานระหวา่ งศาสนาชนิ โตของชนพ้ืนเมอื งกบั พุทธศาสนาและลัทธขิ งจ่ือจาก ภาคพน้ื ทวีป ซ่งึ ได้รบั อิทธิพลอย่างมากจากทง้ั ปรัชญาจนี และปรัชญาอินเดีย เช่นเดียวกับ สานักมิโทะ งะขุ และ เซน ปจั จุบนั ปรัชญาญีป่ ุน่ สมยั ใหมส่ ่วนมากไดร้ ับอทิ ธพิ ลมาจากปรชั ญาตะวันตก ความคดิ ยคุ โบราณและยคุ กลาง ก่อนที่ระบบเจ้าขุนมูลนาย ไดร้ บั การก่อต้ังข้ึนอย่างม่ันคงในญ่ีปุ่น พุทธศาสนาได้ ครอบครองความคิดหลักของญปี่ ุ่น ในยุคนาระ วัฒนธรรมทางพุทธศาสนาที่นาโดยเจ้าชายโชโทะขุ ได้ เสร็จสมบูรณใ์ นฐานะความคดิ ที่ \"ทาใหป้ ระเทศปลอดภัย\" เมอ่ื ยุคเฮอัง (794–1185) เริม่ ต้น รปู แบบ หน่ึงของพุทธศาสนาอนั ลึกลับทรี่ ู้จักกนั ในนาม มิก-คโย เรม่ิ แพรห่ ลายเพื่อทดแทน \"แนวคดิ ทาให้ ประเทศปลอดภัย\" อยา่ งไรก็ตามในชว่ งปลายยคุ ขุนนาง การมองโลกในแงร่ ้ายได้รับความนยิ ม เน่ืองจาก \"ความเชือ่ ท่วี ่าศาสนาพุทธจะเสื่อมลงในระยะหลังของโลกใบน้\"ี ขบวนการดนิ แดนบริสุทธ์ิก ระจายออกไปกระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความคาดหวงั ของ \"ชวี ติ ในอนาคต\" มากกวา่ \"ชวี ิตในโลกนี\"้ ในยคุ คามาคุ ระ (ค.ศ. 1185–1333) เม่ือรัฐบาลท่ปี กครองโดยชนช้นั ซามูไรเรม่ิ ข้นึ พุทธศาสนาแบบใหมส่ าหรบั ชน ชน้ั ที่กาเนิดขึ้นใหม่ (ซามไู ร) ได้ปรากฏขนึ้ การเขา้ มาของพุทธศาสนาและอิทธพิ ลต่อญ่ีปนุ่ ในยคุ แรก ในสมยั โบราณของญ่ปี นุ่ การมาถงึ ของพทุ ธศาสนาเกี่ยวข้องอยา่ งใกล้ชิดกบั การสรา้ งชาตแิ ละการรวม ศูนยอ์ านาจไวท้ ่รี ัฐบาลแห่งชาติ เจ้าชายโชโทะขุ และตระกูลโซกะไดต้ ่อสู้และเอาชนะตระกลู โม โนะโนะเบะ ผูซ้ งึ่ ไดจ้ ัดการกบั ศาสนาของญ่ปี ุ่นยคุ โบราณและได้จัดทาแผนสาหรบั การปกครอง แหง่ ชาตโิ ดยมรี ากฐานอยู่ท่กี ารผสมผสานของระบบกฎหมายและพุทธศาสนา ในขณะที่ร่วมมือกบั

91 ตระกลู โซกะ เจ้าชายโชโทขุซึง่ เปน็ ผูส้ าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ของ จกั รพรรดินซี ุอิโกะ ไดแ้ สดงความ เข้าใจอย่างลึกซึ้งในพุทธศาสนาจาก \"ตา่ งชาติ\" และวางแผนทีจ่ ะทาให้ การเมืองระดบั ชาติมี เสถียรภาพด้วยการใช้พุทธศาสนาเป็นเครือ่ งมือ ความคดิ ที่ว่าสันติภาพและความม่นั คงของชาติมา จากพลงั ของพุทธศาสนาเรียกวา่ \"การทาใหป้ ระเทศปลอดภยั \" ในยุคนาระ โดยเฉพาะในรัชสมัย จกั รพรรดโิ ชมุ มีการสร้างวดั โคคบุ ุนจิและวดั โคคบุ นุ นิจิขึ้นทวั่ ประเทศ รวมไปถึงวดั โทไดจิและวัดได บุทสึ ซ่ึงถูกสร้างขึ้นท่ีเมืองนาระ นโยบายทางพุทธศาสนาของรฐั มาถึงจุดสูงสดุ ในช่วงยุคนาระ ดงั ท่ี ปรากฏในหลกั ฐานของเจี้ยนเจินแห่งราชวงศถ์ งั ผซู้ ึง่ นาแท่นบวชจักรพรรดิไปยังวัดโทไดจิ ในขณะที่พุทธศาสนายุคนาระปฏิบตั ิตามเพยี งความคิด \"การทาให้ประเทศปลอดภัย\" พทุ ธศาสนาใน ยคุ เฮอังไมเ่ พยี งนาสันตภิ าพและความม่นั คงของชาติ เท่านั้น แต่ยงั นามาซ่งึ กาไรทางโลกสว่ นบุคคล เพราะผู้ปฏิบัตธิ รรมในศาสนาพทุ ธยคุ เฮองั มักจะปฏิบัติธรรมโดยถอื สันโดษอยา่ งเคร่งครัด เวทมนตร์ และ การอธษิ ฐานในภูเขา พทุ ธศาสนาแบบน้ี เรยี กว่า มคิ คโฺ ย ในขณะทค่ี ณะทูตทเี่ ดนิ ทางไปยังราช สานกั จนี พระภกิ ษนุ ามวา่ คูไคได้เรยี นรู้พทุ ธศาสนานิกายวัชรยานจากจนี และนาพุทธศาสนาแบบ ญี่ปนุ่ มารวมเขา้ กับการปฏิบัติท่ลี กึ ลับของจนี จงึ กลายมาเป็นพุทธศาสนาชนิ งอนแบบญป่ี ุ่น ไซโชซง่ึ เปน็ พระภิกษทุ ่เี ดินทางไปยังประเทศจนี ไดเ้ รยี นร้กู ารปฏบิ ตั ขิ องนิกายเทนไดแบบจีนและถกเถยี งกนั วา่ คาสอนของคัมภรี ส์ ัทธรรมปณุ ฑริกสตู รควรเป็นแกนหลักของพุทธศาสนาแบบญี่ปนุ่ หรอื ไม่ ในยุคเฮอังตอนปลาย ม่งุ เน้นไปทีพ่ ุทธศาสนาแบบเฮอังทเ่ี น้นทางโลกซึง่ ได้นาพระสงฆ์ท่จี ะประกาศ เปน็ \"ยคุ สมัยอนั ช่ัวรา้ ย\" ในความเปน็ ไปได้ของการผ่อนคลายในโลกนี้ถกู ปฏิเสธ ดงั นัน้ ชวี ิตหลังความ ตายจึงมีทิศทางของการเกิดใหม่ในแดนสวรรค์ของชาวพุทธ นอกจากน้ีความคดิ ใหม่ท่ีว่า \"พุทธศาสนา จะเสื่อมลงในยคุ หลังของโลกน้ี\" นาไปสู่การเกิดขน้ึ ของขบวนการเคลื่อนไหวดินแดนพทุ ธเกษตร การ เคล่อื นไหวน้ีนาโดยคยู ะ ซงึ่ เป็นนกั ปฏิบัติธรรมชาวพทุ ธในดินแดนพุทธเกษตรแสดงธรรมและประกาศ ความศรทั ธาต่อพระอมติ าภพุทธ และสอนวา่ ทุกคนสามารถเขา้ ถึงสวรรค์พุทธศาสนาได้ ไมใ่ ช่แค่เพียง พระสงฆ์เท่านั้น ธรรมจักร (วงลอ้ พุทธศาสนา) หมวดหมู:่ สญั ลกั ษณ์ทางพทุ ธศาสนา ธรรมจักร (วงล้อพุทธศาสนา) หมวดหมู:่ สัญลักษณ์ทางพทุ ธศาสนา พทุ ธศาสนาในยุคคามาครุ ะ

92 ความเชื่อแบบโจโด ซ่ึงไดร้ บั อิทธพิ ลจากนิกายโจโดแหง่ ยคุ เฮอังตอนปลาย เน้นการพ่ึงพาการชว่ ยให้ พ้นทุกขผ์ ่านความเมตตากรุณาของอมิตาภพทุ ธะ และจะได้รบั การบรรเทาจากอานาจ โฮเนน ผ้กู อ่ ตั้ง ศาสนาพทุ ธนิกายโจโด ได้ละทิง้ การบาเพ็ญตนแบบเคร่งครัดรปู แบบอ่นื อย่างสิน้ เชิง เขาได้เทศนาลกู ศษิ ย์ของเขาให้เชื่อในอมิตาภพุทธะ และใหอ้ ธิษฐาน \" นะมุ-อะมดิ ะ-บทุ สึ \"อย่างจรงิ จงั ดังนั้น พวก เขาจะไดไ้ ปสวรรค์ ชินรนั ลูกศิษยข์ องโฮเนน ผกู้ ่อตงั้ พุทธศาสนานกิ ายสุขาวดี ได้นาคาสอนของ โฮเนนมาทาให้เสรจ็ สมบูรณ์ และประกาศการพึ่งพาอันสมบูรณ์ นอกจากนี้ชินรันยงั สนับสนนุ วา่ ส่ิงท่ี บรรเทาทกุ ข์ของอมติ าภพุทธะเปน็ ผู้ทีต่ ระหนกั ถึงความผิดทางโลกและความปรารถนา อิปเปน ผู้ ก่อตง้ั นิกายจชี ู ได้รเิ ร่มิ \"การเต้นราทางศาสนาท่ีท่องบทสวดเป็นทานอง\" ในทางตรงกันข้าม ความเชอื่ ของนกิ ายโจโดทตี่ ้องอาศัยการพ่งึ พา ศาสนาพุทธนิกายเซนพยายามเน้น การตรัสรอู้ ย่างเฉยี บพลนั ดว้ ยตนเอง โดยการทาสมาธแิ บบเซน เอไซ ได้ศึกษานิกายรินไซจากประเทศ จีน เขาตง้ั ปัญหาให้แก่ลกู ศิษย์ และใหพ้ วกเขาแก้ปัญหาด้วยตนเองและพวกเขาก็จะไดร้ ับความรู้ด้วย ตนเอง สานักรนิ ไซเซนไดร้ ับการสนบั สนุนอย่างกว้างขวางจากชนชัน้ ซามไู รในยุคคามาคุระ โดเกน ศกึ ษานิกายโซโตจากประเทศจนี [2] ซ่งึ ตรงกันข้ามกับเอไซ เขาเนน้ ก่ารตรสั รู้ด้วยการนงั่ สมาธอิ ย่าง จรงิ จัง (ซาเซน) สานักโซโตเซนไดร้ บั การสนบั สนนุ จากซามูไรในท้องถิ่น สานกั ส่วนใหญข่ องพุทธศาสนานิกายนชิ ิเรน (ญีป่ ่นุ : 法華系仏教 Hokke-kei Bukkyō ) อ้าง ถึงพระอาจารย์ในฐานะบิดาผ้กู อ่ ตง้ั นิกายนชิ ิเรน ในคาสอนของเขาได้ขดี เส้นใต้ถึงจติ ใจของเขาและ ความย่งิ ใหญ่ของคมั ภีรส์ ทั ธรรมปณุ ฑริกสตู ร เขาสนบั สนุนการบรรลุของโพธจิ ิตในช่วงชีวิตของเขา และถือวา่ การตีความคาสอนของพุทธศาสนาเป็นรูปแบบท่ีถูกต้องของการปฏบิ ตั สิ าหรับกฎหมาย Three Ages of Buddhism ในปัจจุบัน หน่งึ ในบทความสาคญั ของเขา คือ \"Rissho Ankoku Ron\" (สร้างคาสอนท่ถี ูกต้องเพ่ือความสงบสุขของแผน่ ดิน) ในปจั จบุ นั นี้ การสวดมนต์แบบมันตระ \"นามู เมยี วโฮ เร็งเง เคียว\" เป็นศูนย์กลางการปฏบิ ัติของโรงเรียนและองคก์ รทางศาสนาพทุ ธนิกายนิชเิ รน เกอื บทกุ แหง่ ความคดิ สมยั ใหมต่ อนตน้ ในขณะทค่ี วามคิดยุคโบราณและยุคกลางของญีป่ ่นุ มีความเชอ่ื มโยงกบั พุทธศาสนาอยา่ งใกล้ชดิ ความคดิ สมัยใหม่ในชว่ งตน้ ของญปี่ ่นุ ส่วนใหญ่เปน็ ลัทธิขงจ่อื หรอื ลัทธขิ งจ่ือใหม่ ซ่ึงถูกกาหนดใหเ้ ปน็ การศึกษาของข้าราชการโดยรฐั บาลโทคุงาวะ นอกจากนลี้ ัทธขิ งจือ่ แบบเน้นเหตผุ ล ยังกระต้นุ ให้เกิด สานกั Kokugaku, Rangaku และความคดิ ที่ไม่เป็นทางการหลังยุคเอโดะตอนกลาง

93 ลัทธิขงจือ่ ในสมยั เอโดะ ลทั ธขิ งจื่อเปน็ การศึกษาที่ไดร้ ับอนุญาต โรงเรียนลัทธขิ งจ่อื ใหมห่ ลายแห่งไดร้ บั ความนิยม สานกั จูซีของลัทธขิ งจ่ือใหม่เป็นที่เคารพนับถือ โดยระบบเจ้าขุนมูลนายทเ่ี ปรยี บเสมือนครอบครัวซ่งึ ยึดถือสถานะทางสงั คมทีแ่ น่นอน ฮายาชิ ราซาน สนั นษิ ฐานว่าสานักจูซีของลัทธิขงจ่ือใหม่เป็นพืน้ ฐาน ทางทฤษฎขี องรฐั บาลโทคงุ าวะ โดยผา่ นหลกั การของ รัฐบาลพลเรือน ทีไ่ ดร้ บั การจดั ตั้งโดย ยชู ิมะ เซ โด เพ่อื อุทิศให้กับขงจ่อื โดยการปฏริ ปู คนั เซ สานักจูซีของลัทธขิ งจื่อใหมย่ งั คงแขง็ แกร่งและได้รับ อนุญาตจากรัฐบาลโทคุงาวะ นอกจากนี้แนวคดิ ของสานักจูซี แหง่ ลทั ธขิ งจ่ือใหมไ่ ดใ้ ห้อิทธิพลอย่าง มากต่อขบวนการทางการเมืองทแ่ี สดงความเคารพตอ่ จักรพรรดิ และการขบั ไลช่ าวต่างชาตใิ นยคุ โทคุ งาวะตอนปลาย สานักทต่ี รงกันขา้ มกบั สานักจูซีของลัทธขิ งจ่อื ใหม่ คอื สานกั หวางหยางหมิงของ ลทั ธิขงจ่อื ใหม่ท่ีเคารพจริยศาสตร์เชงิ ปฏิบัติได้รบั การตรวจสอบและถูกกดข่ีอย่างต่อเนื่องโดยโชกุน ตระกลู โทคงุ าวะเน่ืองจากการวพิ ากษ์วจิ ารณ์สภาพทางสงั คมและการเมืองภายใต้รัฐบาลโทคุงาวะ สานักท่สี ามของลทั ธขิ งจือ่ ใหมไ่ ดค้ านึงถึงเจตนาทีแ่ ท้จรงิ ของตาราด้ังเดิมโดยขงจ่ือและเมง่ิ จ่อื ยะมะ กะ โซะโก ไดก้ ่อตง้ั ปรชั ญาของเขาอยู่บนฐานของจรยิ ศาสตรแ์ บบขงจอ่ื และสมมติใหซ้ ามูไรเป็นชนช้นั สงู สุด อโิ ต จินไซ ใหค้ วามสนใจกบั \"เหรนิ \" (仁)ของขงจอื่ เขาเคารพหลกั การ \"เหรนิ \" วา่ เป็น ความรักท่ีมตี อ่ บุคคลอื่นและ \"ความจริง\" อันเป็นการพจิ ารณาท่บี รสิ ทุ ธิ์ นอกจากนี้ ยังยอมรับการสบื ทอดการศึกษาทเ่ี ป็นแกนของตาราจีนโบราณ โอกวิ โซไร ยนื ยนั วา่ จิตวิญญาณของลทั ธขิ งจื่อแบบ ด้ังเดมิ คือ การครองโลก และ การรกั ษาความเป็นพลเมอื ง โคคุงะขุ และ รังงะขุ ในชว่ งกลางของยุคเอโดะ สานกั โคคุงะขุท่เี น้นการศึกษาความคิดและวฒั นธรรมของญ่ปี ุ่นโบราณได้รบั ความนิยมในการตอ่ ตา้ นแนวคิดตา่ งประเทศ เชน่ พุทธศาสนา หรือ ลัทธิขงจอ่ื ตามนโยบายของซาโก กุ ผ้สู าเร็จราชการโทคุงาวะ ปัญญาชนยคุ เอโดะไม่สามารถติดต่อกับอารยธรรมตะวันตกในด้านบวก ดังน้นั สานักรังงะขุ ท่ีสอนภาษาดัตช์จึงเป็นหน้าตา่ งบานเดียวสู่โลกตะวนั ตก ในยคุ กลางของสมยั เอโดะ สานักโคคงุ ะขุ เร่มิ ไดร้ ับความนยิ มในชว่ งทีไ่ ดร้ ับอทิ ธพิ ลจากลัทธิขงจ่อื โดย มีลทั ธชิ าตนิ ยิ มเป็นฉากหลงั สานักโคคงุ ะขุไดศ้ ึกษาความคิดและวัฒนธรรมของญ่ีปุ่นในเชิงบวก รวมถึง \"ตานานโคจกิ ิ\", \"ตานานนิฮงโชกิ\" และ \"ัมนั โยชู\" พวกเขามุ่งท่ีจะขุดวัฒนธรรมทางศีลธรรม ด้ังเดิมของญีป่ ่นุ ซงึ่ แตกตา่ งจากลัทธิขงจ่อื และพุทธศาสนา Kamo no Mabuchi ต่อสูก้ บั การศกึ ษา ของ \"Manyoshu\" ซึง่ เรียกวา่ \"มะสรึ ะโอะ-บรุ ิ (masurao-buri)\" สาหรบั รูปแบบของความเปน็ ชาย

94 และความใจกว้าง เขาประเมินของสะสมท่บี ริสทุ ธแิ์ ละเรียบง่าย จากการศกึ ษา Kojiki ของเขา โมะโต ริ โนรนิ างะ โตแ้ ยง้ ว่าสาระสาคญั ของวรรณกรรมญป่ี ุ่นมาจาก \" โมะโนะ โนะ อะวะเระ\" ซงึ่ เปน็ ความรูส้ กึ ตามธรรมชาติทีเ่ กดิ ข้นึ เม่ือคณุ ตดิ ตอ่ กบั วัตถุ เขานับถือ \"วิญญาณยะมะโตะ\" ของญป่ี ุน่ แทนที่จะเปน็ \"วิญญาณคะระ\" (ขงจ่อื / พุทธศาสนา) ของจีน ตามทเ่ี ขากล่าวไว้ สานกั โคคงุ ะขุ ควรสืบ ทอดแนวคิดของ \"ศาสนาชินโต\" แบบเกา่ ของญ่ปี นุ่ ผา่ นการศกึ ษาของสานกั โคคุงะขุ ฮริ ะตะอัทสึ ทะเนะ สนับสนุนรฐั ชนิ โตทเ่ี ป็นชาตินยิ ม ซึ่งเนน้ การเชื่อฟังจกั รพรรดิ และยกเลกิ ลัทธขิ งจอ่ื และพทุ ธ ศาสนา ซ่งึ เป็นแรงผลักดนั ไปจนส้ินสุดยคุ โชกุนตระกูลโทคุงาวะและยุคปฏิรปู เมจิ ในสมัยซาโกกขุ องยคุ เอโดะ ไมม่ ีการตดิ ต่อโดยตรงกับตะวันตก แต่สานักรังงะขุ กลายเปน็ ที่ นิยมโดยสง่ เสริมการนาเข้าหนังสอื ตะวันตกทีแ่ ปลเปน็ ภาษาจีนจากประเทศจนี ในชว่ งการปฏิรปู ปี เคยี วโฮ มะเอะโนะ เรยี วทะขุ และ สงึ ิตะ เงนปะขุ ไดแ้ ปลหนังสอื ภาษาดตั ช์ \"Tafel Anatomie\" เปน็ ภาษาญ่ปี นุ่ การเรียนภาษาดัตช์ไดแ้ ผ่ขยายไปยังการศกึ ษาประเทศในซีกโลกตะวันตกอ่ืน ๆ เช่น การศกึ ษาขององั กฤษ ฝรัง่ เศส และอเมริกันในยุคโทคุงาวะตอนปลาย ลกั ษณะของ \"จิตวิญญาณของ ญปี่ นุ่ อารยธรรมตะวนั ตก\" เสร็จสมบรู ณ์โดยการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาของ ซะคมุ ะ โชซัง \"จรยิ ศาสตรแ์ บบตะวันออกและ เทคโนโลยจี ากตะวนั ตก\" เนื่องจาก ทะคะโนะ โชเอ และ วะทะนะ เบะ คะซัง ได้วจิ ารณ์สานักซาโคขอุ ยา่ งเครง่ ครัด พวกเขาถูกกดข่โี ดยผูส้ าเร็จราชการของ ตระกูลโทคุ งาวะ ความคดิ ทีไ่ ดร้ ับความนยิ ม ในยุคเอโดะ โรงเรยี นเอกชนถูกเปิดโดยซามูไร พ่อค้า และนกั วชิ าการท่ีมสี ่วนรว่ มในทาง การเมือง ความคิดของพวกเขาถูกวพิ ากษ์วจิ ารณ์เก่ียวกับระบบเจ้าขนุ มูลนายทโี่ ดดเด่น อิชดิ ะ ไบกนั ไดส้ ังเคราะห์ลัทธิขงจอ่ื พุทธศาสนา และ ศาสนาชนิ โต เขา้ ดว้ ยกัน และสร้างปรัชญาเชงิ ปฏบิ ัตสิ าหรบั ผคู้ นจานวนมาก เขาแนะนาใหท้ างานหนกั ในเชงิ พาณิชย์ เน่ืองจากความซ่ือสตั ย์และ ความเจริญรุ่งเรอื ง อนั โด โชเอกิ เรยี กโลกแห่งธรรมชาตวิ ่าเป็นสังคมอุดมคติทีม่ นุษยท์ ุกคนมสี ว่ นร่วม ในการทาเกษตรกรรม พวกเขาจะใชช้ ีวติ อย่างพอเพียงโดยปราศจากลาภยศสรรเสรญิ เขา วพิ ากษว์ จิ ารณ์สังคมทีช่ อบดว้ ยกฎหมาย ซงึ่ มีการแบง่ แยกชนช้นั ศักดินาและแบง่ แยกความแตกต่าง ระหวา่ งคนรวยและคนจน นิโนะมยิ ะ ซนโทะขุ ยืนยันวา่ ผู้คนจะต้องตอบแทนคุณงามความดีซ่ึง สนับสนนุ การดารงอยู่ของพวกเขาดว้ ยคุณธรรมของพวกเขาเอง ความคดิ สมยั ใหมต่ อนปลาย

95 ในขณะทค่ี วามคดิ สมยั ใหม่ของญป่ี ุ่นในยุคแรก ๆ พัฒนาข้ึนในลัทธขิ งจื่อและพุทธศาสนา แนวคิดการสวา่ งวาบทางปัญญาจากอังกฤษและสิทธมิ นษุ ยชนของฝร่ังเศสนัน้ ไดร้ บั การแพรห่ ลายหลัง ยคุ ปฏิรูปเมจิ ซึ่งไดร้ ับอิทธิพลอย่างรวดเร็วจากความคิดตะวันตก จากช่วงเวลาสงครามจีน - ญ่ปี ุ่นครัง้ ทีหนึ่ง และ สงครามรสั เซยี - ญปี่ ุ่น ระบบทนุ นิยมของญีป่ ่นุ ไดร้ ับการพัฒนาอยา่ งมาก ศาสนาครสิ ต์ และ แนวคดิ สงั คมนยิ ม ได้พัฒนาและกลายเป็นการเชือ่ มโยงกับการเคลอ่ื นไหวทางสงั คมต่างๆ นอกจากนีแ้ นวคดิ และการศกึ ษาแบบชาตนิ ยิ มกก็ ่อตัวกาเนิดขน้ึ ในช่วงเวลาท่ตี ่อต้านการศึกษาของ ตา่ งชาตปิ รัชญาญ่ปี ุ่น ลักษณะปรชั ญาญ่ีปุน่ ปรชั ญาของญีป่ นุ่ จาแนกเป็นฐานหลักได้ 3 ฐาน คอื 1. ฐานชนิ โต ฐานน้ี ญป่ี ่นุ รับมาในสมยั มีการนับถือธรรมชาติ (พระเจ้า) มีคัมภีร์โคยกิ แิ ละนเิ ปน็ ตารา ศาสนาประจาชาติ เรม่ิ เป็น ระบบสั่งสอนและปฏบิ ตั จิ ากราชสานักไปถึงราษฎรส์ ามญั โดยการทจ่ี ะ เป็นศาสนาได้จะต้องมรี ะเบยี บมั่นคงมีแบบแผนเพอื่ ใหเ้ ท่าเทยี มกับศาสนาอน่ื ท่ีเขา้ มาใหม่ 2.ฐานมกิ าโต คอื ฐานเกยี่ วกับระบบการนบั ถอื จักรพรรดิ ระบบภายในครอบครวั และระบบทางสงั คม ทย่ี ังเป็นระบบท่ีมชี วี ติ มีการปฏบิ ตั ิ ทะนถุ นอมรกั ษากันไว้ซ่งึ เป็นเอกลักษณ์ไมม่ ีเสอ่ื มคลาย ยากท่ีจะ หาไดใ้ นสงั คมของชาติอ่ืน อันประกอบด้วย ความภกั ดตี ่อบรรพบุรษุ ความภักดตี อ่ ครอบครัวและ ความภักดีต่อสงั คมในชาติ 3. ฐานปตุ สโุ ต หรือพระพุทธศาสนา เปน็ การภกั ดตี ่อพระพุทธศาสนา เพราะวา่ พระพทุ ธศาสนา มี อทิ ธพิ ลยิ่งใหญ่ ควบคู่ไปกบั ศาสนาชินโต กล่อมจิตใจขัน้ พนื้ ฐานของชาวญี่ปุน่ รวมเข้าเป็นหน่ึงเดียวมา แตต่ ้น นาความเจรญิ ดา้ น จติ ใจ ดา้ นศลิ ปะวิทยาการ และวัฒนธรรมความเปน็ อย่มู าใหแ้ ก่ ญี่ปนุ่ ทกุ ระดบั ปรชั ญาไทย ความเชื่อกอ่ นการนับถอื พระพทุ ธศาสนา ชาวไทยมคี วามเชื่อในเรอ่ื งลึกลับท่ีมอิ าจพิสจู นใ์ หเ้ ห็นประจักษไ์ ด้ และความเชือ่ นี้ เปน็ ของดง้ั เดมิ ประจาโลกและคู่มนุษย์ คือ ความเชอ่ื เรื่อง “ภูต ผี ปศี าจ และ วญิ ญาณ” และจากความเชื่อเรอื่ งผีน้ี เองจะโยงมาถงึ “ศาสนา” แมจ้ ะหาคาตอบมไิ ด้ว่า ผคี ืออะไร แต่กเ็ ชือ่ วา่ ผมี จี ริง ส. ศวิ รกั ษ์ กล่าววา่ “ความเช่อื ระดบั ‘ศาสนา’ จะเป็นความเช่ือทลี่ ึกซ้ึงทส่ี ดุ ของมนษุ ย์ ในสงิ่ ท่ีไม่สามารถจะหาคาตอบ จากทอ่ี ่ืนได้ แตจ่ ะลกึ ซ้ึงเพยี งใดขนึ้ อยู่กับระดับสติปัญญาของมนุษยค์ นน้ัน ซึ่งเกยี่ วพนั ไปถงึ

96 พฒั นาการทางความคิดและจิตใจของคนนน้ั ถ้าพัฒนาน้อย ความเชอื่ ก็ตืน้ ถ้าพัฒนามากความเชือ่ จะ ลึก ทง้ั หมดคือความเช่ือ” การท่คี นเราจะยอมรบั และเช่อื อะไรน้ัน ย่อมมรี ูปแบบ 3 ประการ คือ ถูกครอบงาให้เช่ือ ดว้ ยส่ือโฆษณา หรือการไหลบา่ ของวฒั นธรรมที่เจริญกว่า ถูกบงั คับให้เชอ่ื ดว้ ยอานาจทางการเมือง การศกึ ษาแบบใหม่ หรือ ล้างสมอง ถกู หลอกใหเ้ ชื่อ ด้วยความด้อยอานาจทางความรู้ การโฆษณาชวนเช่ือ ความเชอ่ื เรอื่ งผดี ไู ร้สาระ แต่ถ้าเป็นการเช่ือเพ่ือพฒั นาความคิดทางศีลธรรม จริยธรรม ยอ่ มเป็น คุณประโยชนแ์ กผ่ ู้เชื่อ ความเช่ือบางอย่างก็อย่เู หนือเหตุผล ไมต่ อ้ งการพสิ จู นด์ งั เสฐียรโกเศศ กลา่ ววา่ “ถ้าตราบใดถือวา่ ความเช่ือใชไ้ ด้ ความเชอ่ื นัน้ ย่อมอยูเ่ หนือเหตุผล และตราบนน้ั ความเชือ่ กเ็ ปน็ จรงิ ถ้าเม่ือใด ความเช่ือใดถือวา่ ใช้ไม่ได้ เมือ่ น้นั ความเชอื่ นนั้ กไ็ ม่เป็นจริง” ในทรรศนะของชาวตะวันออก ความเช่อื เรื่องผีเก่ียวโยงมาถึงความเชือ่ เร่ืองการเวียนวา่ ยตายเกิดของ มนุษย์ ชาวไทยเช่ือวา่ การเกิดกบั การตายเป็นของคู่กัน ตายแล้วก็เกิดใหม่ มไิ ด้สิ้นสุดเพียงแค่หลังจาก ตายไป เม่ือคนตายลงจึงกลายเป็น “ผี” ชาวตะวนั ตกสว่ นมากเชอ่ื วา่ ชวี ติ มีครัง้ เดียวและมเี พยี งชาติ เดยี ว ตายแลว้ เป็นอันจบส้นิ กัน ความเช่อื ด้งั เดิมของชาวไทย คอื เช่ือผแี ละนับถือผี ผี คอื อะไร ผี คือ สิ่งทเ่ี ราไมร่ ู้จกั สิ่งลึกลับมหัศจรรย์ สามารถใหท้ ้งั คุณและโทษ ผดี เี รียกว่า ผีฟ้า ผี เลว เรียกวา่ ผีหา่ อยากใหช้ ีวติ ดี ตอ้ งเอาอกเอาใจผี ด้วยการเคารพ เซน่ สรวง บชู า ในลิลติ โองการ แช่งนา้ กล่าวว่า มีผปี ระจาอยู่ทกุ สว่ นของโลก สูงข้ึนไปบนฟ้าเป็นผฟี ้า ผีแถน ต่าลงมาบนพน้ื ดิน เป็น เจ้าทเี่ จ้าทาง เชน่ ผีบ้าน ผีเรอื น ผปี ่า ผเี ขา ผนี ้า ผพี ราย ผปี ระจาเรอื คือ “แมย่ า่ นาง” และผีประจา ต้นไม้ เชน่ ผีนางตะเคียน ผนี างตานี เป็นต้น และต่าสุดลงไปถงึ บาดาล เป็นภตู ปศี าจ นอกจากน้ี ยงั นับถือผีทเ่ี ป็นวญิ ญาณบรรพบุรุษ อดีตผู้ปกครอง หรอื วีรบุรุษผู้นาชุมชนและท้องถ่นิ เช่น ผีเจา้ นาย เจา้ พ่อ เจ้าแม(่ เสื้อบ้าน เส้ือเมือง) ผปี ู่ ผียา่ และผี ที่เปน็ วิญญาณของคนตาย หากตายร้าย ก็เป็นผี ตายโหง ผีตายหา่ ผีเปรต และมผี ปี ระเภทพเิ ศษ เชน่ ผปี อบ ผีกะ(ทางล้านนา) ผีกระสอื ผีกระหงั ผี เปา้ ผีโพงเป็นต้น การมองโลกผ่านความเชื่อเร่ืองผี ทาให้มองเหน็ วิธีคดิ แนวจกั รวาลวทิ ยาของชาว ไทย วา่ มผี ีทม่ี ีอานาจมีศกั ด์สิ ูง อาศยั อยู่บนฟ้า รองลงมาก็อาศยั ท่ีพ้นื ดิน พน้ื น้า และต่าสุดอาศยั อย่ใู ต้ บาดาล มเี สน้ แบง่ อาณาจักรผอี ยา่ งเปน็ ระบบ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook