Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

Published by เบญจลักษณ์ กองเลิศ, 2021-02-12 11:24:25

Description: รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

Search

Read the Text Version

248 หยั่งเห็นเป็นการค้นพบหรือการเกิดความเข้าใจในช่องทางแก้ปัญหาอย่างฉับพลันทันที อัน เน่ืองมาจากผลการพิจารณาปัญหาโดยส่วนรวมและการใช้กระบวนการทางความคิดและ สติปัญญาของบุคคลนั้นในการเช่ือมโยงประสบการณ์เดิมกับปัญหาหรือสถานการณ์ท่ีเผชิญ ดังนั้นปัจจัยสาคัญของการเรียนรู้แบบหย่ังเห็นก็คือประสบการณ์ หากมีประสบการณ์สะสมไว้ มาก การเรยี นรแู้ บบหย่ังเห็นกจ็ ะเกิดข้นึ ไดม้ ากเช่นกนั 2. ทฤษฎีสนาม (Field Theory) นักจิตวิทยาคนสาคัญคือ เคิร์ท เลวิน (Kurt Lewin) คา ว่า “field” มาจากแนวคดิ เรือ่ ง “field of force” ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ 1) พฤติกรรมของคนมพี ลังและทิศทาง สิ่งใดท่ีอยู่ในความสนใจและความต้องการของตน จะมพี ลงั เปน็ + สง่ิ ที่นอกเหนอื จากความสนใจจะมีพลังงานเปน็ - ในขณะใดขณะหน่งึ คนทกุ คน จะมี “โลก” หรือ “อวกาศชีวิต” (life space) ของตน ซึ่งจะประกอบไปด้วย ส่ิงแวดล้อมทาง กายภาพ (physical environment) อันได้แก่ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ส่ิงแวดล้อมอ่ืน ๆ และ ส่ิ ง แ ว ด ล้ อ ม ท า ง จิ ต วิ ท ย า ( psychological environment) ซ่ึ ง ไ ด้ แ ก่ แ ร ง ขับ (drive) แรงจูงใจ (motivation) เป้าหมายหรือจุดหมายปลายทาง (goal) รวมทั้งความ สนใจ (interest) 2) การเรียนรู้เกิดข้ึนเม่ือบุคคลมีแรงจูงใจหรือแรงขับท่ีจะกระทาให้ไปสู่จุดหมาย ปลายทางทตี่ นตอ้ งการ 3.ทฤษฎเี ครื่องหมาย (Sign Theory) ของทอลแมน (Tolman) ทอลแมน (Tolman) กล่าวว่า “การเรียนรู้เกิดจากการใช้เคร่ืองหมายเป็นตัวช้ีทางให้ แสดงพฤตกิ รรมไปสูจ่ ุดหมายปลายทาง” ทฤษฎขี องทอลแมนสรุปได้ดังนี้ ทฤษฎีการเรียนรู้ 1) ในการเรียนรตู้ ่าง ๆ ผู้เรียนมีการคาดหมายรางวัล (reward expectancy) หากรางวัล ทีค่ าดว่าจะได้รบั ไมต่ รงตามความพอใจและความตอ้ งการ ผ้เู รียนจะพยายามแสวงหารางวลั หรอื สงิ่ ทต่ี อ้ งการตอ่ ไป 2) ขณะที่ผู้เรียนพยายามจะไปให้ถึงจดุ หมายปลายทางท่ีตอ้ งการผ้เู รียนจะเกิดการเรียนรู้ เครอื่ งหมาย สญั ลกั ษณ์ สถานที่ (place learning) และสง่ิ อนื่ ๆ ท่เี ปน็ เคร่ืองชีท้ างตามไปดว้ ย

249 3) ผู้เรยี นมคี วามสามารถท่ีจะปรับการเรยี นรขู้ องตนไปตามสถานการณ์ทเ่ี ปลีย่ นไป จะไม่ กระทาซ้า ๆ ในทางที่ไม่สามารถสนองความต้องการหรือวตั ถปุ ระสงค์ของตน 4) การเรียนร้ทู เ่ี กิดขึน้ ในบุคคลใดบคุ คลหนงึ่ บางครงั้ จะไม่แสดงออกในทนั ที อาจจะแฝง อยู่ในตัวผเู้ รยี นไปกอ่ นจนกวา่ จะถงึ เวลาที่เหมาะสม หรอื จาเป็นจงึ แสดงออก (latent learning) 4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) นักจิตวิทยาคน สาคัญคือ เพียเจต์ (Piaget) และบรนุ เนอร์ (Brunner) 4.1 ทฤษฎพี ฒั นาการทางสตปิ ัญญาของเพยี เจต์ เพียเจต์ (Piaget) ได้ศึกษาเก่ียวกับพัฒนาการทางด้านความคิดของเดก็ ว่ามีข้นั ตอนหรือ กระบวนการอย่างไร เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่ง จะมพี ฒั นาการไปตามวยั ต่าง ๆ เป็นลาดบั ขน้ั พฒั นาการเป็นสิง่ ท่เี ป็นไปตามธรรมชาติ ไมค่ วรที่ จะเรง่ เด็กให้ข้ามจากพฒั นาการขัน้ หน่งึ ไปส่อู ีกขน้ั หน่งึ เพราะจะทาให้เกดิ ผลเสยี แกเ่ ด็ก แต่การ จัดประสบการณส์ ง่ เสรมิ พฒั นาการของเดก็ ในชว่ งท่ีเด็กกาลงั จะพฒั นาไปสู่ขั้นท่ีสูงกว่า สามารถ ชว่ ยให้เด็กพฒั นาไปอย่างรวดเรว็ อยา่ งไรกต็ ามเพยี เจตเ์ นน้ ความสาคญั ของการเขา้ ใจธรรมชาติ และพฒั นาการของเด็กมากกวา่ การกระตุน้ เดก็ ใหม้ พี ัฒนาการเรว็ ขน้ึ ทฤษฎกี ารเรียนรู้ ทฤษฎพี ัฒนาการทางสติปญั ญาของเพยี เจต์ มีสาระสรปุ ได้ดังนี้ 1) พฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของบคุ คลเป็นไปตามวัยตา่ ง ๆ เป็นลาดับขน้ั ดงั น้ี 1.1) ข้ันรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส (Sensorimotor Period) เป็นข้ันพัฒนาการ ในช่วงอายุ 0-2 ปี ความคิดของเด็กวัยนี้ข้ึนกับการรับรู้และการกระทา เด็กยึดตัวเองเป็น ศูนย์กลาง และยงั ไม่สามารถเข้าใจความคิดเหน็ ของผู้อื่น 1.2) ขั้นก่อนปฏิบตั กิ ารคิด (Preoperational Period) เป็นขั้นพัฒนาการในช่วง อายุ 2-7 ปี ความคิดของเด็กวยั น้ยี งั ขึ้นอยกู่ ับการรับรูเ้ ป็นส่วนใหญ่ ยงั ไมส่ ามารถทจี่ ะใช้เหตุผล อยา่ งลึกซง้ึ แต่สามารถเรยี นรแู้ ละใชส้ ญั ลักษณ์ได้ 1.3) ข้ันการคิดแบบรูปธรรม เป็นขั้นพัฒนาการในช่วงอายุ 7-11 ปี เป็นขั้นท่ี การคิดของเด็กไม่ขึน้ กับการรับรู้จากรปู ร่างเท่านนั้ เด็กสามารถสร้างภาพในใจ และสามารถคิด ย้อนกลบั ได้ และมคี วามเขา้ ใจเกยี่ วกับความสัมพนั ธ์ของตวั เลขและสิ่งตา่ ง ๆ ได้มากขน้ึ 1.4) ข้ันการคิดแบบนามธรรม เป็นข้ันพัฒนาการในช่วงอายุ 11-15 ปี เด็ก สามารถคิดสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ และสามารถคิดต้ังสมมติฐานและใช้กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ได้

250 2) ภาษาและกระบวนการคดิ ของเดก็ แตกตา่ งจากผใู้ หญ่ 3) กระบวนการทางสติปญั ญามีลักษณะดงั น้ี 3.1) การซึมซับและการดูดซึม (assimilation) เป็นกระบวนการทางสมองใน การรับประสบการณ์ เรอ่ื งราว และขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เข้ามาสะสมเกบ็ ไว้เพ่ือเปน็ ประโยชนต์ อ่ ไป 3.2) การปรับและจัดระบบ (accommodation) คือกระบวนการทางสมองใน การปรับประสบการณ์เดิมและประสบการณใ์ หม่ใหเ้ ข้ากนั เปน็ ระบบ หรือเครือข่ายทางปญั ญาท่ี ตนสามารถเข้าใจได้ เกิดเป็นโครงสร้างทางปัญญาใหม่ข้ึน 3.3) การเกิดความสมดุล (equilibration) เป็นกระบวนการท่ีเกิดขึ้นจากข้ัน ของการปรับ หากการสอบเป็นไปอย่างผสมผสานกลมกลืนก็จะก่อให้เกิดสภาพที่มีความสมดุล ขึ้น หากบุคคลไม่สามารถปรับสถานะการใหมแ่ ละประสบการณ์เดิมให้เข้ากนั ได้ ก็จะเกิดภาวะ ความไมส่ มดุลขน้ึ ซึง่ จะกอ่ ให้เกดิ ความขัดแยง้ ทางปัญญาข้ึนในตวั บุคคล 4.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปญั ญาของบรุนเนอร์ บรุนเนอร์ (Brunner) เป็นนักจิตวิทยาที่สนใจและศึกษาเร่ืองของพัฒนาการทาง สติปัญญาต่อเน่ืองจากเพียเจต์ บรุนเนอร์เช่ือว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้ส่ิงท่ีตนเองสนใจและการ เรียนรู้เกดิ จากกระบวนการค้นพบด้วยตวั เอง (discovery learning) แนวคิดท่ีสาคัญๆของบรุน เนอร์มีดงั น้ี (Brunner, 1963: 1-54) ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 1) การจัดโครงสร้างของความรู้ให้มีความสัมพันธ์ และสอดคล้องกับพัฒนาการทาง สตปิ ัญญาของเด็ก มผี ลต่อการเรียนร้ขู องเด็ก 2) การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความพร้อมของผู้เรียน และสอดคลอ้ งกับพัฒนาการทางสตปิ ัญญาของผเู้ รยี นจะชว่ ยใหก้ ารเรียนรเู้ กิดประสทิ ธิภาพ 3) การคิดแบบหยั่งรู้ (intuition) เป็นการคิดหาเหตผุ ลอย่างอสิ ระที่สามารถชว่ ยพัฒนา ความคดิ รเิ ริม่ สร้างสรรคไ์ ด้ 4) แรงจูงใจภายในเปน็ ปัจจยั สาคญั ทจี่ ะชว่ ยให้ผู้เรียนประสบผลสาเรจ็ ในการเรยี นรู้ 5) ทฤษฎพี ัฒนาการทางสตปิ ัญญาของมนุษย์แบ่งได้ 3 ขั้นใหญ่ ๆ คอื 5.1) ข้นั การเรยี นรจู้ ากการกระทา (Enactive Stage) คอื ขน้ั ของการเรยี นรจู้ าก การใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ การลงมือกระทาช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดี การเรียนรู้ เกดิ จากการกระทา

251 5.2) ขน้ั การเรียนรจู้ ากความคดิ (Iconic Stage) เปน็ ขน้ั ทีเ่ ด็กสามารถสรา้ งมโน ภาพในใจได้ และสามารถเรยี นรู้จากภาพแทนของจริงได้ 5.3) ข้ันการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic Stage) เป็นขั้นการ เรียนรูส้ ิ่งทซี่ ับซ้อนและเป็นนามธรรมได้ 6) การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการที่คนเราสามารถสร้างความคิดรวบยอด หรือสามารถ จดั ประเภทของสง่ิ ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 7) การเรยี นรูท้ ไ่ี ด้ผลดที ่ีสุดคอื การให้ผูเ้ รยี นคน้ พบการเรยี นรู้ด้วยตนเอง 5. ทฤษฎกี ารเรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามหมาย (A Theory of Meaningful Verbal Learning) ของ ออซเู บล (Ausubel) ออซูเบล (Ausubel) เช่ือว่าการเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน หากการเรียนรู้น้ัน สามารถเช่ือมโยงกับส่ิงใดส่ิงหน่ึงที่รู้มาก่อน (Ausubel, 1963: 77-97) การนาเสนอความคิดรวบยอดหรือกรอบมโนทัศน์หรือกรอบความคิด (Advance Organizer) ในเรื่องใดเร่ืองหน่ึงแก่ผู้เรียนก่อนการสอนเนื้อหาสาระนั้น ๆ จะช่วยให้ผู้เรียนได้ เรยี นเน้ือหาสาระนนั้ อย่างมคี วามหมาย ส ยุ มพร ศรี มุงคุณ (2553) ไ ด้ ร ว บ ร ว ม ไ ว้ ว่ า ท ฤ ษ ฎี ก า ร เ รี ย น รู้ ก ลุ่ ม พุ ท ธิ นิยม (Cognitivism) เน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด ซ่ึงเป็นกระบวนการภายในของ สมอง นักคิดกลุ่มนี้มีความเช่ือว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ไม่ใช่เร่ืองของพฤติกรรมที่เกิดจาก กระบวนการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพียงเท่าน้ัน การเรียนรู้ของมนุษย์มีความซับซ้อนย่ิงไปกว่า นั้น การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดจากการสะสมข้อมูล การสร้างความหมาย และความสัมพันธ์ของข้อมูลและการดึงข้อมูลออกมาใช้ในกา รกระทาและการแก้ปัญหาต่าง ๆ การเรยี นรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาของมนษุ ย์ในการที่จะสรา้ งความรคู้ วามเข้าใจใหแ้ ก่ ตนเอง 1. ทฤษฎีเกสตัลท์ (Gestalt Theory) แนวความคิดเก่ียวกับการเรียนรู้ของทฤษฎีนี้ คือ การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดซึ่งเป็นกระบวนการภายในตัวมนุษย์ บุคคลจะ เรียนรู้จากส่ิงเร้าท่ีเป็นส่วนรวมได้ดกี ว่าส่วนย่อย หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีนจ้ี ะ เน้นกระบวนการคิด การสอนโดยเสนอภาพรวมก่อนการเสนอส่วนย่อย ส่งเสริมให้ผู้เรียนมี ประสบการณ์มากและหลากหลายซึ่งจะช่วยให้ผู้เรยี นสามรถคิดแก้ปัญหา คิดริเริ่มและเกดิ การ เรียนรู้แบบหย่ังเห็นได้

252 2. ทฤษฎีสนาม (Field Theory) แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฎีนี้ คือ การ เรียนรู้เกิดข้ึนเม่ือบุคคลมีแรงจูงใจหรือแรงขับที่จะกระทาให้ไปสู่จุดหมายปลายทางท่ี ตน ตอ้ งการ หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีนเ้ี น้นการเขา้ ไปอยใู่ น “โลก” ของผู้เรยี น การ สร้างแรงจูงใจหรือแรงขับโดยการจัดสิ่งแวดล้อมท้ังทางกายภาพและจิตวิทยาให้ดึงดูดความ สนใจและสนองความตอ้ งการของผู้เรยี นเปน็ สงิ่ จาเป็นในการช่วยให้ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรู้ 3. ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory) ของทอลแมน (Tolman) แนวความคิดเกี่ยวกับการ เรียนรูข้ องทฤษฎีน้คี อื การเรยี นรู้เกดิ จากการใช้เครือ่ งหมายเปน็ ตัวชที้ างให้แสดงพฤติกรรมไปสู่ จุดหมายปลายทาง หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีนี้เน้นการสร้างแรงขับและหรือ แรงจูงใจให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายใด ๆ โดยใช้เครื่องหมาย สัญลักษณ์หรือสิ่งอื่น ๆ ท่ีเป็น เครอื่ งช้ที างควบคู่ไปดว้ ย 4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) นักคิดคน สาคัญของทฤษฎีนี้มีอยู่ 2 ท่าน ได้แก่ เพียเจต์ (Piaget) และบรุนเนอร์(Bruner) แนวความคิด เกี่ยวกับการเรียนรูข้ องทฤษฎนี เี้ นน้ เร่อื งพัฒนาการทางสตปิ ัญญาของบุคคลทีเ่ ปน็ ไปตามวัยและ เชื่อว่ามนุษย์เลือกท่ีจะรับรู้ส่ิงท่ีตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากระบวนการการค้นพบด้วย ตนเอง หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีนี้ คือ คานึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของ ผู้เรียนและจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการนั้น ให้ผู้เรียนได้มี ประสบการณ์และมีปฏิสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อมมาก ๆ ควรเด็กได้ค้นพบการเรียนรู้ด้วย ตนเอง ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดอย่างอิสระและสอนการคิดแบบรวบยอดเพื่อช่วยส่งงเสริม ความคดิ สร้างสรรคข์ องผเู้ รยี น 5. ทฤษฎีการเรยี นรู้อย่างมคี วามหมาย (A Theory of Meaningful Verbal Learning) ของ ออซูเบล (Ausubel) เช่ือว่า การเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน หากการเรียนรู้นั้นสามารถ เชื่อมโยงกับสิ่งใดสิ่งหน่ึงที่รู้มาก่อน หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีน้ี คือ มีการ นาเสนอความคิดรวบยอดหรือกรอบมโนทัศน์ หรือกรอบแนวคิดในเร่ืองใดเรื่องหน่ึงแก่ผู้เรียน กอ่ นการสอนเนอื้ หาสาระนั้น ๆ จะช่วยใหผ้ ู้เรียนไดเ้ รยี นเนื้อหาสาระน้ันอยา่ งมคี วามหมาย ข้อเด่น และ ขอ้ จากัด ของทฤษฎกี ารเรยี นรู้กลุ่มพุทธนิ ิยม ข้อเดน่ คือ แนวคิดนี้เน้นการพัฒนาความคิดของผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยมีผู้เรียนเป็น ศนู ยก์ ลางในการจัดการเรยี นการสอน ใหผ้ เู้ รียนได้มโี อกาสแสดงความคดิ เห็นจะเป็นการกระตนุ้ กระบวนการความคิดและสตปิ ญั ญา

253 ข้อจากัด คือ จะเน้นทฤษฎีทางความคิดมากเกินไป จะไม่เน้นไปทางการให้ผู้เรียน ปฏิบัตจิ รงิ สรุป จากการศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู สรปุ ได้วา่ ทฤษฎีการเรยี นรู้กลุ่มพทุ ธินิยม เปน็ กลมุ่ ท่ีเนน้ กระบวนการทางปัญญาหรือความคดิ เชื่อว่าการเรยี นรูข้ องมนุษย์ไม่ใช่เร่ืองของพฤตกิ รรมที่เกิด จากกระบวนการตอบสนองตอ่ สงิ่ เร้าเพียงเทา่ น้นั การเรยี นร้ขู องมนษุ ย์มคี วามซับซอ้ นยิ่งไปกว่า นั้น การพัฒนาการเรยี นรู้ท่แี ทจ้ ริงนนั้ ตอ้ งปรบั ท่กี ระบวนการให้ความหมายขอ้ มูลของการเรยี นรู้ ใหถ้ กู ต้องและชดั เจน ทฤษฎีในกลุ่มนที้ ี่สาคัญๆ มี 5 ทฤษฎี คือ 1. ทฤษฎีเกสตัลท์ เน้นการเรยี นร้เู ปน็ กระบวนการทางความคิด บคุ คลจะเรียนรจู้ ากสง่ิ เรา้ ทีเ่ ปน็ ส่วนรวมได้ดกี ว่าส่วนยอ่ ย 2. ทฤษฎสี นาม เนน้ แรงจงู ใจหรือแรงขบั ทจี่ ะกระทาให้ไปสจู่ ุดหมายปลายทางที่บคุ คลตอ้ งการ 3. ทฤษฎีเครื่องหมาย เน้นการใช้เครื่องหมายเป็นตัวชี้ทางให้แสดงพฤติกรรมไปสู่จุดหมาย ปลายทาง 4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา เน้นการพัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลที่เป็นไปตามวยั การเรียนรู้เกดิ จากระบวนการการค้นพบด้วยตนเอง 5. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย เน้นให้บุคคลสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งใดส่ิงหน่ึงที่รู้มา ก่อน เสนอแนวคิดในเรื่องใดเรื่องหน่ึงแก่ผู้เรียนก่อนการสอน จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนเน้ือหา สาระนั้นอยา่ งมคี วามหมาย ทฤษฎกี ารเรียนรกู้ ลมุ่ ผสมผสานของกานเย กานเย (Gagne) เป็นนักจิตวิทยาและนักการศึกษาในกลุ่มผสมผสานระหว่างพฤติกรรมนิยม กับพุทธินิยม (Behavior Cognitivist) เขาอาศัยทฤษฎีและหลักการท่ีหลากหลาย เนื่องจากความรู้มี หลายประเภท บางประเภทสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องใช้ความคิดท่ีลึกซึ้ง บางประเภทมี ความซบั ซอ้ นมากจาเป็นต้องใช้ความสามารถในขั้นสูง กานเย ไดจ้ ดั ขั้นการเรียนรู้ซ่ึงเริ่มจากง่ายไปหา ยาก โดยผสมผสานทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มพฤติกรรมนิยมและพุทธินิยมเข้าด้วยกัน หลักการที่ สาคญั ๆ ของกานเย่ สรุปไดด้ ังนี้ (Gagne and Briggs, 1974: 121-136) กานเย (Gagne) ได้จดั ประเภทของการเรยี นร้เู ป็นลาดับข้ันจากง่ายไปหายาก ไว้ 8 ประเภท ดังน้ี ทฤษฎกี ารเรียนรู้

254 1) กานเย (Gagne) ได้จัดประเภทของการเรยี นร้เู ป็นลาดบั ขน้ั จากงา่ ยไปหายาก ไว้ 8 ประเภท ดงั น้ี 1.1) การเรียนรสู้ ัญญาณ (signal-learning) เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่ง เร้าท่ีเป็นไปโดยอัตโนมัติ อยู่นอกเหนืออานาจจิตใจ ผู้เรียนไม่สามารถบังคับพฤติกรรมไม่ใหเ้ กิดข้ึนได้ การเรยี นรแู้ บบน้ีเกิดจากการที่คนเรานาเอาลักษณะการตอบสนองที่มีอยู่แล้วมาสัมพนั ธ์กับส่ิงเร้าใหม่ ท่ีมีความใกล้ชิดกับส่ิงเร้าเดิม การเรียนรู้สัญญาณเป็นลักษณะการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไขของพา ฟลอฟ 1.2) การเรียนรู้ส่ิงเร้า-การตอบสนอง (stimulus-response learning) เป็นการเรียนรู้ ต่อเน่ืองจากการเชื่อมโยงระหว่างส่ิงเร้าและการตอบสนอง แตกต่างจากการเรียนรู้สัญญาณ เพราะ ผู้เรียนสามารถควบคุมพฤติกรรมตนเองได้ ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมเนื่องจากได้รับการเสริมแรง การ เรียนรแู้ บบนีเ้ ปน็ การเรียนรู้ตามทฤษฎีการเรยี นรู้แบบเช่ือมโยงของธอร์นไดค์ และการเรียนรู้แบบวาง เงื่อนไข (operant conditioning) ของสกินเนอร์ซ่ึงเชื่อว่าการเรียนรู้เป็นส่ิงที่ผู้เรียนเป็นผู้กระทาเอง มิใช่รอให้สิง่ เร้าภายนอกมากระทา พฤตกิ รรมทแ่ี สดงออกเกิดจากส่ิงเรา้ ภายในของผูเ้ รียนเอง 1.3) การเรียนรู้การเชอ่ื มโยงแบบต่อเน่อื ง (chaining) เป็นการเรียนรู้ท่ีเช่ือมโยงระหว่าง สิ่งเร้าและการตอบสนองที่ต่อเนื่องกันตามลาดับ เป็นพฤติกรรมที่เก่ียวข้องกับการกระทา การ เคล่อื นไหว 1.4) การเชื่อมโยงทางภาษา (verbal association) เป็นการเรียนรู้ในลักษณะคล้ายกับ การเรียนรู้การเชือ่ มโยงแบบต่อเน่ือง แตเ่ ปน็ การเรียนรเู้ กี่ยวกบั การใช้ภาษา การเรยี นรแู้ บบการรับสิ่ง เร้า-การตอบสนอง เปน็ พ้นื ฐานของการเรยี นรู้แบบต่อเนื่องและการเชอื่ มโยงทางภาษา 1.5) การเรียนรู้ความแตกต่าง (discrimination learning) เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียน สามารถมองเห็นความแตกต่างของสง่ิ ต่าง ๆ โดยเฉพาะความแตกตา่ งตามลกั ษณะของวตั ถุ 1.6) การเรียนรู้ความคิดรวบยอด (concept learning) เป็นการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนสามารถ จัดกลุ่มส่ิงเร้าท่ีมีความหมายเหมือนกันหรือแตกต่างกัน โดยสามารถระบุลักษณะท่ีเหมือนกันหรือ แตกตา่ งกันได้ พรอ้ มทั้งสามารถขยายความร้ไู ปยงั สงิ่ อ่ืนทนี่ อกเหนือจากทเี่ คยเห็นมาก่อนได้ 1.7) การเรียนรู้กฎ (rule learning) เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการรวมหรือเชื่อมโยง ความคิดรวบยอดตั้งแต่ 2 อย่างข้ึนไป และต้ังเป็นกฎเกณฑ์ข้ึน การท่ีผู้เรียนสามารถเรียนรู้กฎเกณฑ์ จะชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นสามารถนาการเรยี นรนู้ นั้ ไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ กันได้

255 1.8) การเรยี นร้กู ารแก้ปญั หา (problem solving) เป็นการเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา โดยการ นากฎเกณฑ์ต่าง ๆ มาใช้ การเรียนรู้แบบน้ีเป็นกระบวนการท่ีเกิดภายในตัวผู้เรียน เป็นการใช้ กฎเกณฑ์ในขั้นสูงเพื่อการแก้ปัญหาท่ีค่อนข้างซับซ้อน และสามารถนากฎเกณฑ์ในการแก้ปัญหาน้ีไป ใชก้ บั สถานการณ์ทค่ี ล้ายคลงึ กันได้ กานเย ไดแ้ บ่งสมรรถภาพการเรยี นร้ขู องมนุษยไ์ ว้ 5 ประการดงั นี้ 1. สมรรถภาพในการเรยี นร้ขู ้อเทจ็ จริง (verbal information) เป็นความสามารถในการ เรยี นร้ขู อ้ เทจ็ จรงิ ต่าง ๆ โดยอาศยั ความจาและความสามารถระลกึ ได้ 2. ทกั ษะเชาวนป์ ัญญา (intellectual skills) หรือทกั ษะทางสตปิ ญั ญา เปน็ ความสามารถ ในการใช้สมองคิดหาเหตุผล โดยใช้ข้อมูล ความรู้ ความคิดในด้านต่าง ๆ นับตั้งแต่การเรียนรู้ขั้น พ้ืนฐานซ่ึงเป็นทักษะง่ายๆไปสู่ทักษะท่ียากสลับซับซ้อนมากขึ้น ทักษะเชาวน์ปัญญาท่ีสาคัญที่ควร ได้รับการฝึกคือ ความสามารถในการจาแนก (discrimination) ความสามารถในการคิดรวบยอดเป็น รูปธรรม (concrete concept) ความสามารถในการให้คาจากัดความของความคดิ รวบยอด (defined concept) ความสามารถในการเข้าใจกฎและใช้กฎ (rules) ความสามารถในการแกป้ ญั หา (problem solving) 3. ยุทธศาสตร์ในการคิด (cognitive strategies) เป็นความสามารถของกระบวนการ ทางานภายในสมองของมนุษย์ ซึ่งควบคุมการเรียนรู้ การเลือกรับรู้ การแปลความ การดึงดูดความรู้ ความจา ความเข้าใจ และประสบการณ์เดมิ ออกมาใช้ ผู้มียุทธศาสตร์ในการคิดสูงจะมีเทคนคิ มีเคล็ด ลับในการดึงความรู้ ความจา ความเข้าใจ และประสบการณ์เดิมท่ีสะสมเอาไว้ออกมาใช้อย่างมี ประสิทธิภาพ สามารถแก้ปัญหาที่มีสถานการณ์ท่ีแตกต่างกันได้อย่างดี รวมท้ังสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งสร้างสรรค์ 4. ทักษะการเคลื่อนไหว (motor skills) เป็นความสามารถ ความชานาญในการปฏิบัติ หรือการใช้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายในการทากิจกรรมต่าง ๆ ผู้ที่มีทักษะการเคล่ือนไหวที่ดีนั้น พฤติกรรมท่แี สดงออกมาจะมีลักษณะรวดเรว็ คลอ่ งแคล่ว และถกู ต้องเหมาะสม 5. เจตคติ (attitudes) เป็นความรู้สึกนึกคิดของบุคคลที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมีผลต่อการ ตดั สินใจของบคุ คลนั้นในการท่ีจะเลือกกระทาหรือไม่กระทาสิง่ ใดสง่ิ หนงึ่

256 หลักการจดั การศึกษา/การสอน 1) กานเย ได้เสนอรูปแบบการสอนอย่างเป็นระบบโดยพยายามเชื่อมโยงการจัดสภาพการ เรียนการสอนอันเป็นสภาวะภายนอกตัวผู้เรียนให้สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ภายใน ซ่ึงเป็น กระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของคนเรา กานเยอธิบายว่าการทางานของสมองคล้ายกับการ ทางานของคอมพิวเตอร์ 2) ในระบบการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้นั้น กานเยได้ เสนอระบบการสอน 9 ขนั้ ดังนี้ ข้ันที่ 1 สร้างความสนใจ (gaining attention) เป็นขั้นที่ทาให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ ในบทเรียน เป็นแรงจูงใจท่ีเกิดขึ้นทั้งจากส่ิงยั่วยุภายนอกและแรงจงู ใจที่เกิดจากตวั ผ้เู รยี นเองด้วย ครู อาจใชว้ ธิ กี ารสนทนา ซกั ถาม ทายปญั หา หรอื มวี ัสดุ อปุ กรณต์ า่ ง ๆ ทีก่ ระตุ้นให้ตัวผู้เรียนตืน่ ตัว และ มีความสนใจทจี่ ะเรียนรู้ ข้ันที่ 2 แจ้งจุดประสงค์ (informing the learner of the objective) เป็นการบอก ให้ผู้เรียนทราบถึงเป้าหมายหรือผลท่ีได้รับจากการเรียนบทเรียนน้ันโดยเฉพาะ เพ่ือให้ผู้เรียนเห็น ประโยชน์ในการเรียน เห็นแนวทางของการจัดกิจกรรมการเรียน ทาให้ผู้เรียนวางแผนการเรียนของ ตนเองได้ นอกจากน้ันยังสามารถช่วยให้ครูดาเนินการสอนตามแนวทางที่จะนาไปสู่จุดหมายได้เป็น อย่างดี ข้ันท่ี 3 กระตุ้นให้ผู้เรียนระลึกถึงความรู้เดิมที่จาเป็น ( stimulating recall of prerequisite learned capabilites) เป็นการทบทวนความร้เู ดิมท่ีจาเป็นต่อการเชื่อมโยงให้เกิดการ เรียนรู้ความรู้ใหม่ เนื่องจากการเรียนรู้เป็นกระบวนการต่อเน่ือง การเรียนรู้ความรู้ใหม่ต้องอาศัย ความรเู้ กา่ เปน็ ฐาน ข้ันที่ 4 เสนอบทเรียนใหม่ (presenting the stimulus) เป็นการเริ่มกิจกรรมของ บทเรยี นใหมโ่ ดยใช้วัสดอุ ุปกรณต์ า่ ง ๆ ท่ีเหมาะสมมาประกอบการสอน ข้ันท่ี 5 ให้แนวทางการเรียนรู้ (providing learning guidance) เป็นการช่วยให้ ผู้เรียนสามารถทากิจกรรมด้วยตนเอง ครูอาจแนะนาวิธีการทากิจกรรม แนะนาแหล่งค้นคว้าเป็นการ นาทาง ให้แนวทางใหผ้ ้เู รยี นไปคิดเอง เปน็ ต้น ข้ันที่ 6 ให้ลงมือปฏิบัติ (eliciting the performance) เป็นการให้ผู้เรียนลงมือ ปฏบิ ัติ เพอื่ ช่วยใหผ้ เู้ รียนสามารถแสดงพฤติกรรมตามจดุ ประสงค์

257 สรปุ ทฤษฎีการเรยี นรู้กลุ่มผสมผสาน โรเบริ ์ต กานเย ไดจ้ ัดขัน้ การเรียนร้ซู งึ่ เรม่ิ จากง่ายไปหายาก โดยผสมผสานทฤษฏกี ารเรยี นร้ขู องกลมุ่ พฤติกรรมนิยมและกลุม่ พทุ ธนิ ิยมเข้าด้วยกันและได้ให้แนวคิด เก่ยี วกับเงื่อนไขการเรียนรู้ไว้วา่ ความรมู้ หี ลายประเภทบางประเภทสามารถเขา้ ใจได้อย่างรวดเร็วไม่ ตอ้ งใชค้ วามคิดท่ีลึกซ้งึ บางประเภทมีความซับซ้อนจาเป็นต้องใชค้ วามสามารถในขั้นสงู จัดขั้นการ เรยี นรจู้ ากงา่ ยไปยากไว้ 8 ประเภท

258 อา้ งองิ สน สวุ รรณ. (2553). ทฤษฎพี ฒั นาการทเี่ กย่ี วกบั เด็กปฐมวยั สบื ค้นจาก https://suwanlaong.wordpress.com มัณฑรา ธรรมบุศย์. (ม.ป.ป.). จติ วทิ ยาสาหรบั ครู ทฤษฎจี ติ วเิ คราะหข์ องฟรอยด์ สืบค้นจาก https://sites.google.com/site/psychologybkf1/home/citwithya- phathnakar/thvsdi-cit-wi-kheraah-khxng-f-rxy-d จติ วิทยาสาหรบั คร.ู (2555). ทฤษฎจี ติ วเิ คราะหข์ องซกิ มนั ด์ ฟรอยด.์ สบื คน้ จาก http://konniana.blogspot.com/2012/07/blog-post_11.html ชฎาพร ปน้ั วงศ.์ (2555). ทฤษฎกี ารเรยี นรขู้ องมาสโลว.์ สบื ค้นจาก https://www.gotoknow.org/posts/197780. นัสสรา หงส์รอ่ น. (ม.ป.ป.). แนวคิดทฤษฎบี คุ ลกิ ภาพ. สืบคน้ จาก http://personnel.labour.go.th/attachments/article/1053/006%20(1).pdf. นรู ลุ อนิ ซาน กอระ. (2555). ทฤษฎพี ฒั นาการทางจติ -สงั คม อรี ิคสนั . สบื คน้ จาก http://405404027.blogspot.com/2012/10/blog-post_4.html. ปุณฑรารัตน์ นาชยั โชติ. (2561). แนวคดิ และทฤษฎีAbraham Maslow. สบื คน้ จาก http://phunthararat.blogspot.com/2018/11/abraham-maslow.html. มณั ฑรา ธรรมบุศย์. (2558). ทฤษฎจี ติ สงั คมของอรี ิกสนั . สบื ค้นจาก https://sites.google.com/site/psychologybkf1/home/citwithya-phathnakar/thvsdi- cit- sangkhm-khxng-xi-rik-san. มัณฑรา ธรรมบุศย.์ (2558). ทฤษฎพี ฒั นาการทางจรยิ ธรรมของโคลเบริ ก์ . สบื ค้นจาก https://sites.google.com/site/psychologybkf1/home/citwithya-phathnakar/thvsdi- phathnakar-thang-criythrrm-khxng-khol-beirk. Boonsupa, C. (2018). ทฤษฎพี ฒั นาการจรยิ ธรรมของโคลเบริ ก์ (Lawrence Kohlberg). สืบค้นจาก https://sircr.blogspot.com/2018/04/lawrence-kohlberg.html. Srangnanok, T. (n.d.). ทฤษฎพี ฒั นาการทางจรยิ ธรรมของโคลเบอรก์ . สบื ค้นจาก http://www.mpy5.ac.th/docs/Kohlberg.pdf. ToonWorldZ. (2018). ประวตั ิของอบั ราฮมั มาสโลว์ (Abraham Maslow). สืบคน้ จาก https://psychodiary.com/general/history-of-abraham-maslow.

259 จิรายุทธิ์ อ่อนศร.ี (ม.ป.ป.). การพฒั นาแนวคดิ ทฤษฎกี ารเรยี นรสู้ กู่ ารปฏบิ ตั ใิ นศตวรรษที่ 21. สบื คน้ จาก http://www.nwm.ac.th/nwm/wp-content/uploads/2018/07/การพฒั นา แนวคดิ ทฤษฎีการเรยี นรสู้ ่กู ารปฏิบัติในศตวรรษที่-21.pdf บ้านจอมยทุ ธ. (2543, สงิ หาคม). ทฤษฎพี ฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของเพยี เจต.์ สืบค้นจาก https://www.baanjomyut.com/library_2/intellectual_development_theory/01.html บ้านจอมยทุ ธ. (2543, สงิ หาคม). ทฤษฎพี ฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของบรนุ เนอร.์ สืบค้นจาก https://www.baanjomyut.com/library_2/intellectual_development_theory/02.html เยาวพา เดชะคุปต์. (2561, กมุ ภาพันธ์ 22). พหปุ ญั ญาอจั ฉริยะ 9 ดา้ น. สบื คน้ จาก https://yimwhanfamily.com/2018/02/22/พหปุ ัญญาอัจฉริยะ-9-ดา้ น-ไ/ สิรมิ า ภิญโญอนนั ตพงษ์. (2547). ทฤษฎพี ฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของโฮเวริ ์ด การด์ เนอร.์ 39-41. สืบคน้ จากhttps://sites.google.com/site/thvsdiphathnakardekpthmway/thvsdi-thi- keiywkhxng-kab-phathnakar-dek-pthmway/thvsdi-phathnakar-thang-sti-payya- khxng- ho-weird-kard-nex-r-howard-gardner-s-view ศิลป์ชัย เทศนา. (ม.ป.ป.). พหปุ ญั ญา : วถิ ีการเรียนรทู้ ่แี ตกตา่ ง. สบื ค้นจาก http://www.ndr.ac.th/mi/mi_selftest1.htm ไซฟูดนิ บากา (2540) จิตวทิ ยาสาหรบั ครู (ไซฟดู นิ บากา , 2540) สบื คน้ จาก http://saifudeen007.blogspot.com/p/blog-page_9.html (วิทยา โสภากุล และคณะ , 2557)ทฤษฎกี ารการวางเงอื่ นไขแบบตอ่ เนอื่ งของกทั ธรี……(วิทยา โสภา กลุ เละคณะ , 2557) สืบค้นจาก https://sites.google.com/site/mcupsychology/6-thvsdi-thi-keiywkhxng- withya/6-5-thvsdi-kar-wang-ngeuxnkhi-baeb-tx-neuxng-khx-ngkath-thri-guthrie-s- contiguous-conditioning-theory สภุ าษิต ศรกี กโพธ์ิ (2553) ทฤษฎกี ารเรยี นรูข้ องสกนิ เนอร์ (สภุ าษิต ศรกี กโพธิ์ , 2553) สืบคน้ จาก https://sites.google.com/site/caekbrachphotoshop/bthkh/thvsdi-kar- reiyn-ru-khxng-skin-nex-r-skinner-skin-nex-r-skinner-pen-phu-khid-thvsdi-kar

260 สมชาย รัตนทองคา(2550) ทฤษฎกี ารเรยี นรพู้ นื้ ฐาน (สมชาย รัตนทองคา,2550) สบื คน้ จาก https://ams.kku.ac.th/aalearn/resource/edoc/tech/3learntheory.pdf วัชรพล ชัย (2550) ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ (วชั รพล ชัย , 2550 ) สบื คน้ จาก https://www.blogger.com/profile/13506414126872734273 Hawk Host (2543) ทฤษฎีการเรยี นรูก้ ลมุ่ พฤตกิ รรม (Hawk Host , 2543) สบื คน้ จาก https://www.baanjomyut.com/library_3/behaviorism/07.html จุไรรตั น์ ปิน่ เวหาและคณะ. (2558). ทฤษฎกี ารเรียนรกู้ ลมุ่ มนษุ ยนยิ ม. สบื คน้ เม่อื วนั ที่ 11 มกราคม 2564. จาก https://sites.google.com/site/psychologybkf1/home. สมชาย รัตนทองคา. (2556). ทฤษฎกี ารเรยี นร้กู ลมุ่ มนษุ ยนยิ ม. สืบคน้ เมือ่ วันท่ี 11 มกราคม 2564. จาก https://ams.kku.ac.th/aalearn/resource/edoc/tech/56web/3learn_th56.pdf. เศวตาภรณ์ ตงั้ วันเจริญ. (2558). ทฤษฎกี ารเรยี นร.ู้ สืบคน้ เมือ่ วันที่ 11 มกราคม 2564. จาก https://sites.google.com/site/sawettaporn17/assignments/thvstihlaksutr. สยุมพร จุ๋ม ศรีมุงคณุ . (2555). ทฤษฎเี กยี่ วกบั การเรยี นรู้. สบื ค้นเมือ่ วันท่ี 11 มกราคม 2564. จาก https://www.gotoknow.org/posts/341272. ทศิ นา แขมมณี. (2547). ศาสตร์การสอน : องคค์ วามรเู้ พ่อื การจดั กระบวนการเรยี นรูท้ มี่ ี ประสทิ ธภิ าพ. พมิ พ์คร้งั ท่ี 3 . กรุงเทพฯ: สานกั พิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. สยุมพร ศรีมุงคณุ . (2553). https://www.gotoknow.org/posts/341272. เขา้ ถึงเมือ่ วนั ท่ี 17 กรกฎาคม 2561. Ausubel, David P. (1963). Education Psychology: A Cognitive View. New York : Holt Rinehart and Winston. Bruner, J. (1963). Process of Education. New York; Alfred A. Knopf, Inc. Bigge, M.l. (1982). Learning theories for teachers. (4th ed). New YORK: Harper & Row. ทิศนา แขมมณี. (2547). ทฤษฎกี ารเรยี นรกู้ ลุ่มผสมผสานของกานเย (Gagne’s eclecticism). สืบคน้ จาก http://064winitakaeokham.blogspot.com/2018/07/064-winita-gagnes- eclecticism.htm

คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณความเปน็ ครู

261 กล่มุ ที่ 1 ความเป็นครู มาตรฐานวชิ าชีพ จรรยาบรรณวิชาชพี ครู

262 ประวตั ขิ องการศกึ ษาไทย ประวัตขิ องการศกึ ษาไทยแบ่งเป็น 4 สมยั ดังนี้ 1.การศกึ ษาของไทยสมยั โบราณ 2.การศกึ ษาของไทยสมัยปฏิรูปการศกึ ษา 3.การศกึ ษาของไทยสมัยเปลยี่ นแปลงการปกครอง 4.การศกึ ษาของไทยสมัยพัฒนาการศกึ ษา 1.การศกึ ษาของไทยสมัยโบราณ พ.ศ. 1800-2411 สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี(พ.ศ. 1781-1921) เป็นการศึกษาแผนโบราณ ซ่ึงเจริญรอยสืบต่อมา จนถงึ สมัยกรุงรัตนโกสนิ ทร์ ตน้ รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าอยหู่ วั ในสมยั กรุงสุโขทัยรฐั และวัด รวมกันเป็นศูนย์กลางแห่งประชาคม กิจกรรมต่าง ๆ ของรัฐและวัดย่อมเป็นการสอนประชาคมไปในตัว วิชาท่ีเรียนคือภาษาบาลี ภาษาไทยและวิชาสามัญข้ันต้น สานักเรียนมี 2 แห่ง แห่งหน่ึงคือวัดเป็นสานัก เรียนของบรรดาบุตรหลานขุนนางและราษฎรทวั่ ไป มีพระท่ีเช่ียวชาญภาษาบาลีเป็นครูผ้สู อน เพราะสมัย น้ันเรียนภาษาบาลีกันเป็นพื้น ใครรู้พระธรรมวินัยแตกฉานก็นับว่าเป็นปราชญ์ อีกแห่งหนึ่งคือ สานักราช บัณฑิต ซึ่งสอนแต่เฉพาะเจ้านายและ บุตรหลานข้าราชการเท่าน้ัน ปรากฏในพระราชพงศาวดารวา่ พระ เจ้าลิไทแห่งกรุงสุโขทัยเมื่อทรงพระเยาว์ ได้เคยศึกษาเล่าเรียนในสานักราชบัณฑิตเหล่านี้จนมีความรวู้ ิชา หนังสือแตกฉานถึง แก่ได้รับยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ (ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร สานกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2562) สมัยกรุงศรีอยุธยา (ยุคทองของวรรณคดี พระบรมไตรโลกนาถ-พระนารายณ์ พ.ศ.1893 – 2310) ในรชั กาลสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชการศึกษาเจริญมาก มกี ารสอนทงั้ ภาษาไทย บาลี สนั สกฤต ฝร่ังเศส เขมร พม่า มอญ และจีน ปรากฏตามพงศาวดารว่าพระตรสั น้อย โอรสองคห์ นงึ่ ของพระเพท ราชา ได้ทรงศึกษาภาษาต่าง ๆ จนชานาญทงั้ ภาษาบาลี สันสกฤต ฝร่งั เขมร ลาว ญวน พม่า รามัญ และ จนี ทั้งยงั ทรงศึกษาวชิ าโหราศาสตร์ และแพทยศาสตรจ์ ากอาจารย์ ตา่ ง ๆ เปน็ อนั มากเข้าใจวา่ โดยเฉพาะ วชิ าภาษาไทย คงจะได้วางมาตรฐานดีมาแตค่ ร้ังนนั้ เพราะปรากฏวา่ พระโหราธิบดี ได้แต่ง แบบเรียนภาษาไทยชอ่ื จนิ ดามณี ถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซงึ่ ได้ใชเ้ ปน็ แบบเรียนสบื ต่อมาเป็น

263 เวลานานสานักเรยี นนอกจากวัดในบางรชั กาล ยังมีราชสานัก สานักราชบณั ฑิตและโรงเรียนมชิ ชนั นารีใน สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช การศึกษาในราชสานกั รงุ่ โรจนม์ าก แม้กระทั่งนายประตกู ส็ ามารถแตง่ โคลงได้ (ศูนย์เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารสานักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ, 2562) รปู แบบการจัดการศกึ ษาสมัยกรุงศรีอยธุ ยา 1.การศึกษาวิชาสามัญ เน้นการอ่าน เขียน เรียนเลข อันเป็นวิชาพ้ืนฐานสาหรับการประกอบ อาชีพของคนไทย พระโหราธิบดีได้แต่งแบบเรียนภาษาไทย ช่ือ จินดามณี ถวายสมเด็จพระนารายณ์ มหาราชซึง่ ใชเ้ ป็นแบบเรยี นสบื มาเป็นเวลานาน 2.การศึกษาทางด้านศาสนา วัดยังมีบทบาทมาก ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ ทรงสง่ เสรมิ พทุ ธศาสนาโดยทรงวางกฎเกณฑ์ไวว้ ่าประชาชนคนใดไม่เคยบวชเรยี นเขียนอ่านมาก่อน จะไม่ ทรงแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการและในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นต้นมา มีนักสอนศาสนาหรือ มิชชันนารีได้จัดตั้งโรงเรียนสอนหนังสือและวิชาอ่ืน ๆ ข้ึนเรียกโรงเรียนมิชชันนารี น้ีว่า โรงเรียนสามเณร เพือ่ ชักจงู ใหช้ าวไทยหนั ไปนับถือศาสนาครสิ ต์ 3.การศึกษาทางด้านภาษาศาสตรแ์ ละวรรณคดี ปรากฎว่ามีการสอนท้ังภาษาไทย บาลี สันสกฤต ฝรั่งเศส เขมร พม่า มอญ และภาษาจีน ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีวรรณคดีหลายเล่ม เช่น เสือโคคาฉันท์ สมุทรโฆษคาฉนั ท์ อนริ ทุ ธ์คาฉันท์ และกาสรวลศรีปราชญ์ เปน็ ต้น 4.การศึกษาของผู้หญิง มีการเรียนวิชาชีพ การเรือนการครัว ทอผ้า ตลอดจนกิริยามารยาท เพ่ือ ป้องกันไม่ให้เขียนเพลงยาวโต้ตอบกับผู้ชาย แต่ผู้หญิงที่อยู่ใน ราชตระกูลเร่ิมเรียนภาษาไทยตลอดทัง้ การ ประพันธ์ด้วย ในสมัยนี้โปรตุเกสเป็นชาติแรกท่ีนาวิธีการทาขนมหวานที่ใช้ไข่มาเป็นส่วนผสม เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง มาเผยแพร่จนขนมเหล่านเี้ ป็นเอกลกั ษณ์ขนมหวานของไทยในปจั จบุ นั 5.การศึกษาวิชาการด้านทหาร มีการจัดระเบียบการปกครองในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตร โลกนาถทรงแยกราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนออกจากกัน หัวหน้าฝ่ายทหารเรียกว่า สมุหกลาโหม ฝ่ายพลเรอื นเรยี กวา่ สมหุ นายก ในรชั สมยั พระรามาธิบดีที่ 2 ทรงจัดวางระเบียบทางด้านการทหาร มีการ ทาบัญชี คือ การเกณฑ์คนเข้ารับราชการทหาร ผู้ชายอายุต้ังแต่ 13 ปีข้ึนไปถึง 60 ปี เรียกว่าไพร่หลวง เช่ือว่าต้องมีการศึกษาวิชาการทหาร เป็นการศึกษาด้านพลศึกษาสาหรับผู้ชายฝึกระเบียบวินัยเพื่อ ฝึกอบรมให้เป็นกาลังสาคัญของชาติ (กลุ่มกฎหมายและคดีสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา พะเยาเขต2, 2560) สมัยกรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน พ.ศ. 2310-2325) สภาวะประเทศทรุดโทรมมากหลังจากเสีย กรงุ อย่ใู นชว่ งเตรียมพร้อมสาหรบั การทาสงคราม สภาวะผู้นาบูรณะศาสนสถาน ฟืน้ ฟดู า้ นการศาสนาและ

264 ศิลปะการแสดง การศึกษาสถานทส่ี อนไดแ้ ก่ วดั ราชสานกั ผูส้ อน พระ ศลิ ปนิ สาขาต่างๆ เทา่ ท่หี ลงเหลือ ผู้เรียนได้แก่ ประชาชนทั่วไป บุตรหลานขุนนาง ข้าราชการ การจัดการเรียนการสอน ไม่เน้นด้านการรู้ หนังสือ แต่เน้นด้านศิลปะการแสดง วิชาท่ีสอนธรรมะ การแต่งโคลงกลอน นาฏศิลป์ การพลศึกษา การ ฝกึ อาวธุ หลกั ฐานทางการศกึ ษาตาราเท่าท่เี หลอื รามเกยี รต์ิบางตอน อเิ หนาคาฉนั ท์ สมัยรัตนโกสนิ ทรต์ อนตน้ ( รชั กาลท่ี 1-4 พ.ศ. 2325-2411) สภาวะประเทศ ยุคเริม่ ฟืน้ ฟู สภาวะ ผู้นาฟื้นฟูด้านการศาสนา วรรณคดี ศิลปวัฒนธรรม และการศึกษาการศึกษา สถานท่ีสอนได้แก่ วัด ราช สานกั สานักราชบัณฑติ โรงเรียนชาย ผูส้ อนคือ พระ ครตู ่างประเทศ ผู้เรยี นได้แกศ่ ษิ ย์วดั ประชาชนทวั่ ไป บุตรหลานขุนนาง ข้าราชการ การจัดการเรียนการสอน เรียนตามความสมัครใจ ยังไม่มีการแบ่งช้ันเรียน แน่นอนนอกจากแบ่งเป็นช้ัน 1 เรียน ก ข นโม ประถม ก กา ช้ัน 2 เรียน อ่าน แบบเรียนจินดามณี ช้ัน 3 เรียนเลขเบ้ืองต้น เริ่มใช้กระดานชนวน ดินสอหิน ดินสอพอง ไม้บรรทัด ที่รองหนังสือ วิชาท่ีสอนการ อ่านหนังสือ เลข การกวี หลักฐานทางการศึกษาศิลาจารึกสรรพวิทยาการต่างที่วัดพระเชตุพน ให้บุคคล ท่ัวไปได้เรียนด้วยตนเอง วรรณคดีท่ีสาคัญ สามก๊กราชาธิราช สังข์ทอง พระอภัยมณี อิเหนา พระมะเหล เถไถ ฯลฯ สรปุ การศกึ ษาของไทยสมัยโบราณ 1. ยึดหลักปรัชญาจติ นยิ ม ท่ีเน้นพัฒนาการด้านจิตใจ เน้นการเข้าใจชีวิตสง่ เสริมคุณธรรมศีลธรรม ศิลปะ ผลติ คนใหเ้ ปน็ นกั อักษรศาสตร์ และศลิ ปศาสตร์ เป็นผรู้ อบรู้ 2. สภาวะประเทศ เจรญิ ร่งุ เรอื งสลบั กบั ช่วงขยายอาณานคิ มมีการทาศึกสงคราม 3. วดั และรัฐเปน็ ศนู ย์กลางประชาคม เปน็ สถานทีส่ อน และประกอบพิธีทางศาสนา 4. ผ้นู าของประเทศเน้นการทานบุ ารงุ ดา้ นการศาสนา และวรรณคดี มากกวา่ ด้านการศึกษา 5. การจัดการเรียนการสอน เป็นไปด้วยความสมัครใจไม่มีการบังคับ ไม่มีค่าจ้างสาหรับผู้สอน ไม่มีการ แบ่งช้ันเรียนท่ีชัดเจน สอนแบบอ่าน ท่องจา เล่าปากต่อปาก มีเขียนบาง สื่อการสอนมี แบบเรียนจินดา มณีเป็นหลัก วิชาท่ีสอน เน้นธรรมะ ศาสตร์ด้านอาวุธ การแต่งโคลงกลอน และการอ่านหนังสือ วิชาการ ปฏบิ ัติ เช่น วิชาชา่ งต่าง ๆ การฝึกอาวุธ การหล่อปืนใหญ่ การสรา้ งป้อมปราการ เป็นต้น 6. การศึกษาของสตรีไมไ่ ดร้ บั การสนบั สนนุ นอกจากเรยี นการเรือนทบ่ี า้ น หรอื ในราชสานกั 2. การศกึ ษาไทยสมยั ปฏริ ูปการศกึ ษา ( รัชกาลที่ 5-7 พ.ศ. 2412-2474) สมัยรัชกาลท่ี 5 (พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว) สภาวะประเทศ ยุคการคุกคามของจักรวรรดินิยม ตะวันตก สภาวะผู้นาปฏิรูปประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะด้านการศึกษาซ่ึงได้รับอิทธิพลจากทางตะวนั ตก การศึกษา สถานท่ีสอนจัดต้ังโรงเรียนชาย โรงเรียนสตรี โรงเรียนราษฎร์ โรงเรียนสอนภาษา โรงเรียน

265 แพทย์ โรงเรียนปริยัติธรรม แผนการศึกษา ประกาศใช้โครงการศึกษาตามแนวคิดตะวันตก แบ่งระดับ การศึกษา เป็นประถม มัธยม สายสามัญ สายวิสามัญ มีหลักสูตรการสอนตามระดับ มีการตรวจนิเทศ โรงเรยี น หน่วยงานดา้ นการศึกษา จดั ต้งั กรมศึกษาธิการ กรมฝึกหัดครู ผสู้ อน ครูไทย ครูชาวตา่ งประเทศ การจัดการเรียนการสอน มีการแบ่งระดับช้ันเรียน ใช้สื่อแบบเรียนภาษาไทย 6 เล่ม สอนการอ่านเขียนมี การสอบไล่ วิชาที่สอน ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ การคัดลายมือ การแต่งจดหมาย เลข บัญชี และวิชาช่าง ต่าง ๆ สมัยรัชกาลที่ 6 (พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ) สภาวะประเทศ ยคุ ปฎิรูป สภาวะผูน้ าเนน้ พัฒนาดา้ น การศึกษาการศึกษา ปรับปรุงพัฒนาแผนการศึกษาประกาศใช้โครงการศึกษาเน้นสายวิชาชีพ พ.ร.บ. ประถมศึกษา ภาคบังคบั 1 ก.ย.2464 พ.ร.บ. โรงเรยี นราษฎร์ 2461 หน่วยงานด้านการศึกษาระดับสูงจัด การศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยจัดตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การจัดการเรียนการสอนและวิชาท่ีสอน เชน่ เดียวกบั สมยั รัชกาลท่ี 5 แต่เพม่ิ วชิ าการชา่ งมากข้นึ สมัยรัชกาลท่ี 7 ( พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ) สภาวะประเทศ รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ตกต่าทั่วโลกหลังสงครามโลกคร้ังที่ 1 สภาวะผู้นาแก้วิกฤตภาวะเศรษฐกิจตกต่าลดงบประมาณในการ พัฒนาทุกด้าน การศึกษา ปรับปรุงพัฒนาแผนการศึกษา แบ่งหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายออกเป็น แผนกกลาง แผนกภาษา และแผนกวิทยาศาสตร์ การจัดการเรียนการสอนไม่มีการพัฒนาเท่าท่ีควร ต้อง ยุบโรงเรียนจานวนมากเพ่ือตดั ปัญหาดา้ นงบประมาณ สรปุ การศกึ ษาของไทยสมยั ปฏริ ูปการศกึ ษา 1. เป็นการวางรากฐานของการจัดการศึกษาที่ครบถ้วน เร่ิมตั้งแต่การสร้างโรงเรียน การประกาศใช้ โครงการศึกษาแบ่งเป็นระดับประถม มัธยม และอาชีวศึกษา การสร้างหลักสูตรและแบบเรียน กา ร ประเมนิ ผล การนิเทศโรงเรียน 2. มีการบังคับการรู้หนังสือ โดยประกาศใช้ พ.ร.บ.ประถมศึกษาภาคบังคับ ปี 2464 เพ่ือให้เด็กอายุถึง เกณฑ์ 7 ปีบริบูรณ์ต้องเขา้ โรงเรยี น ถอื เป็นการพฒั นาบุคคลและสร้างโอกาสให้คนไดเ้ รยี นรู้ 3. สรา้ งความเท่าเทยี มกนั ในการศกึ ษาของหญิงและชาย โดยการจดั ตงั้ โรงเรียนสตรีขน้ึ 4. เปน็ จุดเริ่มตน้ ของการขยายการศกึ ษาสู่มวลชนเพื่อความเทา่ เทียมกันในด้านการศึกษา

266 5. ด้านการจัดการเรียนการสอนมีหลากหลายวิชามากขึ้น แบ่งเป็นระดับช้ันต่าง เพื่อพัฒนาผู้เรียนตาม ศักยภาพของตนเอง แม้ว่าบรรยากาศการจัดการเรียนรู้ยังเป็นแบบครูเป็นศูนย์ ใช้วิธีการบรรยายให้จด ตามคาบอก เน้นเน้อื หาวิชามากกว่าการปฏบิ ัติ 6. ขยายโอกาสในระดับอุดมศึกษา โดยการจัดต้ังมหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็น บคุ ลากรด้านการศึกษา 7. มีการปลกู ฝังค่านิยมในการประกอบอาชีพอสิ ระโดยการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาซง่ึ ถือเปน็ กา้ วแห่ง การพัฒนาในการเปลยี่ นแปลงค่านิยมของอาชพี การรบั ราชการ แม้ว่าจะไม่ไดผ้ ลเทา่ ทคี่ วรกต็ าม 8. การประกาศใช้ พ.ร.บ.โรงเรยี นราษฎร์ซึ่งส่วนมากเปน็ โรงเรียนครสิ ตเ์ พ่ือควบคุมโรงเรียนเอกชนเหล่านี้ มิให้อบรมแนวคิดที่รัฐไม่ต้องการให้เกิดแก่เยาวชน แต่ควบคุมให้สอนการอ่าน เขียน พูด ภาษาไทยอย่าง ถูกตอ้ ง ทง้ั ปลกู ฝังคา่ นิยมความรกั ในความเป็นไทย ซึ่งเป็นผลดอี ยา่ งมหาศาล ต่อประเทศไทย เพราะไมเ่ กดิ ปญั หาด้านการถกู กลนื ชาติ 3.การศึกษาไทยสมยั เปล่ียนแปลงการปกครอง ( พ.ศ. 2475-2502 ) สภาวะประเทศเปล่ียนแปลงจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นระบอบประชาธิปไตย และ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่าสมัยสงครามโลก คร้ังท่ี 2 สภาวะผู้นาคือคณะราษฎร์พัฒนาระบบ การศึกษาเร่งดว่ น การจัดระบบการศกึ ษา ประกาศแผนการศึกษาชาติ ประถมเปน็ 6 ชนั้ มัธยมศึกษาตอนตน้ และปลาย สาย อาชีวศึกษาประกาศใช้ พ.ร.บ. ประถมศึกษา พ.ศ. 2478 เพื่อขยายโอกาส จัดต้ังมหาวิทยาลัยข้ึนหลาย แห่ง จัดตั้งศูนย์อบรมการศึกษาผู้ใหญ่ กระทรวงศึกษาธิการร่วมมือกับองค์การยูเนสโกเพื่อปรับปรุง การศึกษาไทย มโี ครงการฝกึ หดั ครูชนบทและจัดตง้ั กรมสามัญศกึ ษา ปญั หาการศกึ ษาไทยสมยั เปลย่ี นแปลงการปกครอง ( พ.ศ. 2475-2502 ) 1.การขาดแคลนครูท้ังด้านปริมาณและคุณภาพทาให้อัตราส่วนระหว่างครูและนักเรียนไม่ได้มาตรฐาน มี ผลทาใหค้ ุณภาพผู้เรยี นและด้านการเรียนการสอนลดลงอย่างมาก 2.การสอนเป็นแบบลองผิดลองถูกเน่ืองจากครูผู้สอนไม่มีประสบการณ์เพราะครูผู้สอนจบแค่ระดับมัธยม ต้นและต้องออกไปสอนโรงเรียนประชาบาลทันทีโดยมิได้ผา่ นการฝกึ หัดครู ดังน้ันรัฐจึงได้ตั้งกรมฝึกหัดครู ข้ึนเพ่อื ยกระดับคณุ ภาพของครูให้สูงข้นึ

267 4.การศกึ ษาของไทยสมัยพัฒนาการศกึ ษา พ.ศ.2503-ปจั จุบัน สภาวะประเทศเป็นยุคก้าวหน้าแห่งการส่ือสารสารสนเทศและเทคโนโลยี สภาวะผู้นาพัฒนา แผนการศกึ ษาให้สอดคลอ้ งกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การพฒั นาด้านการศึกษา 1. ประกาศใช้แผนการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503 เนน้ จรยิ ศึกษา พลศึกษา พุทธิศึกษา และหัตถศกึ ษา 2. ประกาศใช้หลักสูตรประถมศึกษา และ หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น มีการประกาศใช้แผนพัฒนา การศึกษาแหง่ ชาติ ตง้ั แตฉ่ บับที่ 1 – 8 3. ประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพ่ือเตรียมความพร้อมสาหรับเด็กอย่างน้อย 1ปี ก่อน เข้าเรียนระดบั ประถมศึกษา 4. สง่ เสริมการศึกษาของบุคลากรด้านศาสนา 5. เน้นการจัดเครือข่ายการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีการส่ือสาร สารสนเทศ และส่ือมวลชนทุกประเภท ใน การให้ความรขู้ ้อมลู ขา่ วสารแกป่ ระชาชน 6. ประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเน้นหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานทม่ี ุง่ พัฒนาผู้เรียนในทุกด้าน ทุกระดับช่วงช้ันให้มีคุณภาพ มีความรู้ และดารงตนอย่างมีความสุขในสังคม (อร สา จรูญธรรม, ม.ป.ป.) สรปุ การศึกษาไทยในสมัยโบราณมีวัดเป็นศูนย์กลางประชาคมกิจกรรมต่าง ๆ ของรัฐและวัดย่อมเปน็ การสอนประชาคมไปในตัววิชาท่ีเรียนคือภาษาบาลี ภาษาไทยและวิชาสามัญข้ันต้น ยึดหลักปรัชญาจิต นิยม ที่เน้นการพัฒนาด้านจิตใจ เน้นการเข้าใจชีวิตส่งเสริมคุณธรรมศีลธรรม ศิลปะ ผลิตคนให้เป็นนัก อักษรศาสตร์และศิลปศาสตร์ สมัยปฎิรูปการศึกษามีการวางรากฐานของการศึกษาอย่างครบถ้วน เริ่ม ตั้งแต่การสร้างโรงเรียน การประกาศใช้โครงการศึกษาแบ่งเป็นระดับประถม มัธยม และอาชีวศึกษา การ สร้างหลักสูตรและแบบเรียน การประเมินผล การนิเทศโรงเรียน การศึกษาไทยในปัจจุบัน เข้าสู่ยุค ก้าวหน้าแห่งการสื่อสารสารสนเทศและเทคโนโลยี พัฒนาแผนการศึกษาให้สอดคล้องกับแผนเศรษฐกิจ และสังคมแหง่ ชาติ

268 การจดั การศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 การศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 เป็นการเตรียมคนไปเผชิญการเปลย่ี นแปลงทีร่ วดเร็ว รนุ แรง พลิกผนั และคาดไม่ถึง คนยคุ ใหม่จึงต้องมที ักษะท่ีสูงในการเรียนรูแ้ ละปรบั ตัว ครเู พอื่ ศษิ ย์ต้อง พัฒนาตนเองใหม้ ี ทกั ษะของการเรยี นรดู้ ว้ ย และในขณะเดียวกนั ต้องมที ักษะในการทาหนา้ ท่ี ครใู นศตวรรษที่ 21 ซงึ่ ไม่ เหมือนการทาหนา้ ท่ีครูในศตวรรษที่ 20 หรือ 19 (วจิ ารณ์ พานชิ , 2556) การปรบั ปรุงระบบการศึกษาและ การพัฒนาทักษะมีสว่ นสาคัญท่ีจะทาใหไ้ ทยบรรลุเปา้ หมาย ตามยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมทง้ั จะชว่ ยเพิม่ ศักยภาพ โอกาส และความเท่าเทยี มทาง เศรษฐกจิ ภายในประเทศ และด้วยแนวโน้มการเปน็ สงั คม ผสู้ งู อายแุ ละสัดสว่ นของประชากรในวัยทางานท่ีลดลงเรื่อย ๆ ทรพั ยากรมนษุ ย์ท่ีมีทักษะคือปจั จัยสาคัญ ของความสามารถในการ แขง่ ขนั ของประเทศไทยในอนาคต ดังนั้น คุณภาพของระบบการศกึ ษา ตลอดจน สมรรถนะและทักษะของผู้สาเรจ็ การศึกษาจงึ เป็นกญุ แจสาคญั ทีจ่ ะตอบโจทยด์ ังกลา่ ว ในศตวรรษที่ 21 กลายเป็นโจทย์ สาคัญสาหรับในหลาย ๆเรื่อง ท้ังน้ีเนื่องจากทกุ ฝ่ายมองเหน็ ถงึ ความเปล่ียนแปลงทช่ี ัดเจน มากข้นึ จากอดตี และความเปลยี่ นแปลงดังกล่าวจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการวางแผนการบริหารจดั การ ที่ดี และทาให้มีประสทิ ธิภาพ เพราะถ้าเราชา้ ก็จะทาให้ตกขบวนและเสียโอกาสอกี มากมาย การจัดการ ศกึ ษาของสถาบันการศกึ ษาเป็นอีกประเด็นสาคัญ ซ่ึงนอกจากจะต้องกา้ วทันความเปลี่ยนแปลงแลว้ ยัง จะต้องเป็นกลไกสาคัญเพื่อการขบั เคล่อื นหน่วยงาน องคก์ ร ภาคสว่ นอน่ื ๆ ให้มีความพรอ้ มในการ เข้าสู่ ความเปล่ียนแปลงดว้ ย สถานบนั การศึกษาจงึ เปน็ หน่วยงานท่สี าคญั ของการเตรียมคน สร้างคนเพื่อการ อยูใ่ นความเปล่ียนแปลงจะต้องมกี ารบริหารจัดการทม่ี ปี ระสิทธภิ าพ ข้อมูลท่ีนาเสนอไปข้างตน้ ไมใ่ ช่สูตร สาเร็จสาหรบั สถานบนั การศึกษา แตเ่ ป็นโจทยส์ าหรบั ผู้บรหิ าร สถานศึกษาที่จะนาไปสู่การวางแผนการ ขบั เคล่ือนสถานศึกษาสู่ความสาเรจ็ ในการจัดการศกึ ษา สาหรับผู้เรียนในขณะที่ทักษะพื้นฐานต่าง ๆ เชน่ การคานวณและการอา่ นเขียนยงั คงเปน็ พน้ื ฐาน สาคญั ต่อการเรยี นร้ใู นอนาคต นกั เรียนตอ้ งได้รบั การ พัฒนาทกั ษะท่ีจาเปน็ สาหรบั ศตวรรษที่ 21 ดว้ ย เพื่อให้พวกเขาเติบโตไดใ้ นยุคแหง่ ความไม่แน่นอนและ การเปลย่ี นแปลงทเ่ี กิดอย่างรวดเร็วและ ตลอดเวลา ทักษะทีส่ าคญั ดงั กล่าวทีเ่ ราควรหนั มาให้ความสาคญั เชน่ การปรบั ตัว การคดิ เปน็ ระบบ การสร้างสรรค์ การแก้ไขปัญหา และการทางานรว่ มกับคนอ่นื ซึง่ เป็น ทกั ษะที่นาไปใชไ้ ด้ใน สถานการณ์ท่ีแตกต่างกัน ตามแนวโน้มปจั จุบนั ทค่ี นรนุ่ ใหมจ่ ะเปล่ียนงานขา้ มสาขา วิชาชพี ที่ หลากหลาย ซึ่งเป็นส่ิงทที่ า้ ทายความสามารถในการนาทกั ษะท่ีมไี ปปรบั ใชใ้ นสภาพแวดลอ้ มใหม่ ๆ ในยคุ ทโ่ี ลกมคี วามเจริญกา้ วหน้าอย่าง รวดเร็วอนั สบื เนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยี เพ่อื เชื่อมโยงข้อมลู

269 ตา่ ง ๆ ของทุกภูมภิ าคของโลกเข้า ด้วยกนั กระแสการปรับเปล่ยี นทางสงั คมที่ เกดิ ขึน้ ในศตวรรษที่ 21 ท่ี สง่ ผลต่อการดารงชีพของสงั คม อย่างทวั่ ถึง ครจู งึ ตอ้ งมีความตืน่ ตัวและมีการเตรยี มความพรอ้ มในการ จัดการเรยี นร้เู พื่อเตรียมความ พรอ้ มให้นักเรยี นท่ีมีทักษะสา หรบั การ ออกไปดารงชีวติ ในโลกศตวรรษที่ 21 ท่เี ปล่ียนไปจากศตวรรษ ที่ 20 และ 19 โดยทักษะแห่งศตวรรษ ท่ี 21 ท่ีสาคญั ที่สุด คือ ทักษะการ เรยี นรู้ (Learning Skill) สง่ ผลใหม้ กี ารเปล่ยี นแปลงการจัดการ เรยี นรเู้ พ่ือให้เด็กในศตวรรษท่ี 21 นี้ มี ความรคู้ วามสามรถ และทกั ษะจาเป็น ซงึ่ เป็นผลจากการ ปฏริ ปู เปล่ยี นแปลงรูปแบบการจัดการเรยี นการ สอนตลอดจน การเตรยี มความพร้อมด้านต่าง ๆ ที่เปน็ ปัจจัยสนบั สนุนทจ่ี ะทาใหเ้ กิดการเรยี นรู้ รวมทงั้ เปน็ ยุคแหง่ การแขง่ ขนั ทางสงั คมค่อนข้างสงู ใน ปัจจบุ ัน สง่ ผลตอ่ การปรบั ตัวให้ทัดเทียมและเทา่ ทันกบั ความ เปล่ยี นแปลงทเี่ กิดขนึ้ ในบรบิ ททาง สงั คมในทกุ มติ ิรอบด้าน ดังน้ันการเสริมสรา้ งองค์ความรู้ (Content knowledge) ทักษะเฉพาะทาง (Specific Skills) ความเช่ยี วชาญเฉพาะด้าน (Expertise) และสมรรถนะ ของการรเู้ ท่าทัน (Literacy) จงึ เปน็ ตัวแปรสาคญั ท่ตี ้องเกิดขึ้นกบั ตวั ผู้เรียนในการ เรยี นรู้ยคุ สงั คมแห่งการ เปลย่ี นแปลงในศตวรรษท่ี 21 นี้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ กระแสการปรับเปลี่ยน ทางสังคมทีเ่ กดิ ขนึ้ ในศตวรรษ ท่ี 21 ซ่ึงเปน็ ยคุ แห่งความเปน็ โลกาภิวตั น์ (The Globalization) ที่ไดเ้ กิดววิ ฒั นาการความกา้ วหน้าใน ทุก ๆ มิติเปน็ ไปอยา่ งรวกเรว็ และรนุ แรง ส่งผลตอ่ วิถีการดารงชีพของสังคมอยา่ งทวั่ ถึง ดังนัน้ การ กาหนด ยทุ ธศาสตร์และการสร้างความพรอ้ มท่ีจะรับมือกับการเปล่ียนแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ นัน้ เป็นส่งิ ที่ ทา้ ทายศักยภาพ และความสามารถของมนุษย์ท่ีจะสรา้ งนวตั กรรม ทางการเรยี นรู้ในลกั ษณะตา่ ง ๆ ใหเ้ กิดขึ้น และสามารถ รองรับการเปล่ยี นแปลงดงั กล่าว การเรยี นรู้ ในศตวรรษที่ 21 เป็นการ กาหนดแนวทางยทุ ธศาสตร์ในการ จัดการเรยี นรู้ โดยรว่ มกันสร้างรปู แบบ 39 และแนวปฏบิ ัติ ในการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการจัดการ เรียนรู้ โดยรว่ มกนั สร้างรูปแบบและแนว ปฏิบัตใิ นการ เสรมิ สรา้ งประสิทธิภาพการจดั การเรียนร้ใู น ศตวรรษท่ี 21 โดยเน้นท่ีองค์ความรูท้ กั ษะความ เชย่ี วชาญและสมรรถนะทีเ่ กิดกบั ตัวผูเ้ รยี น เพอ่ื ใหใ้ ชใ้ น การดารงชวี ติ ในสังคมแหง่ ความเปลี่ยนแปลง ในปัจจุบัน โดยจะอา้ งถึงรูปแบบ (Model) ที่พัฒนามาจาก เครือข่ายองค์กรความรว่ มมือเพือ่ ทักษะ แห่งการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 ท่มี ชี ่ือย่อว่าเครือขา่ ย P 21 ซึง่ ได้ พฒั นากรอบ แนวคิดเพื่อการ เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยผสมผสานองค์ความรู้ทักษะเฉพาะดา้ น ความ ชานาญ และความร้เู ท่าทัน ด้านตา่ ง ๆ เขา้ ด้วยกัน เพื่อความสาเร็จของผู้เรียนทง้ั ดา้ นการทางานและการ ดาเนินชีวิต กรอบแนวคดิ ในการจัดการเรียนรูแ้ หง่ ศตวรรษท่ี 21 ทแี่ สดงผลลพั ธ์ของนักเรียนและ ปจั จยั ท่ี ส่งเสรมิ สนบั สนนุ ในการจดั การเรียนร้เู พ่อื รองรบั ศตวรรษที่ 21 (สุทศั น์ สังคะพันธ์, 2557) การจัดการ ศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 ซึ่งสถานศึกษาจะต้องพัฒนาผเู้ รียนท้งั ในด้าน ความรู้สาระวิชาหลกั (Core

270 Subjects) และทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 ซ่ึงประกอบด้วย ทักษะการ เรยี นรู้และนวตั กรรม ทักษะชวี ติ และ อาชีพ และทักษะดา้ นสารสนเทศ สอื่ และเทคโนโลยี จึงเป็นภาระท่สี าคัญของผบู้ รหิ ารท่ีจะต้องรบั ผิดชอบ จดั การศกึ ษาให้ประสทิ ธภิ าพ ซึง่ ผู้บรหิ าร จะตอ้ งรเู้ ท่าทันความเปลยี่ นแปลง พฒั นาตนเอง คิดหา ยทุ ธศาสตรใ์ นการบริหารจดั การใหม่ ๆ ปรบั เปล่ยี นรูปแบบการทางานใหค้ วามสาคัญกับความสัมพนั ธข์ อง ผู้ปฏิบตั งิ านในองคก์ ร และนอก องค์กรให้ความสนใจต่อวฒั นธรรมองค์กรท่ีมงุ่ ผลลัพธ์ ใสใ่ จในเรอ่ื งของ ศาสตร์ทางการสอนที่ เหมาะสม และต้องเขา้ มารับบทบาทในการเร่งปรบั เปลี่ยนรปู แบบการจดั การเรยี น การสอนของครู ปรับเปล่ยี นเนอื้ หาตามหลักสตู รควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ให้กับครูผสู้ อน สง่ เสริมให้มี การนาเทคโนโลยีมาใชเ้ พอื่ พฒั นาคุณภาพทางการศึกษาให้สงู ขึ้นรวมท้ังปรับบทบาทในการ สรา้ ง เครอื ข่ายการเรียนรู้ท้ังภายในและภายนอกสถานศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรยี นให้มีความรู้ความสามารถ และมที ักษะทัดเทียมเป็นท่ยี อมรบั ของชาติอ่ืนและสามารถดารงชวี ิตไดอ้ ยา่ งมี ความสขุ (สมหมาย ํอา่ ดอน กลอย, 2556) Responsibilities และThe21st Century Principal ตามลาดบั (Maxine Driscoll, 2015); (Gerald Aungus, 2012); (George Couros, 2010) สามารถสรุปได้วา่ ผู้บริหารสถานศึกษาทมี่ ปี ระสิทธิผล ใน ศตวรรษท่ี 21 ควรมีคุณลกั ษณะ (ชัยยนต์ เพาพาน, 2559) ดังนี้ 1. นกั สรา้ งสรรค์ (Creative) 2. นักการสื่อสาร (Communicator) 3. นกั คิดวเิ คราะห์ (Critical Thinker) 4. สรา้ งชุมชน (Builds Community) 5. การมีวิสยั ทัศน์ (Visionary) 6. การสรา้ งความรว่ มมือ และการตดิ ต่อ (Collaboration and Connection) 7. สรา้ งพลังเชงิ บวก (Positive Energy) 8. ความเชอ่ื ม่ัน (Confidence) 9. ความมุ่งม่ันและความพากเพยี ร (Commitment and Persistence) 10. ความเต็มใจทจี่ ะเรยี นรู้ (Willingness to Learn) 11. ต้องเป็นนกั ประกอบการคิดสร้างสรรค์และนวตั กรรม (Entrepreneurial Creative and

271 Innovative) 12. นักริเริ่มงาน (Intuitive) 13. ความสามารถในการสร้างแรงบนั ดาลใจ (Ability to Inspire) 14 การเจยี มเน้ือเจยี มตวั (Be Humble) 15. ตัวแบบทดี่ ี (Good Model) ดังน้ัน การจดั การศึกษาในยุคปจั จุบนั จะต้องสรา้ งภาพพจน์ใหมใ่ ห้ เปน็ ผู้นาทางวชิ าการ มีหนา้ ที่ ในการนาแนวคิดใหม่ ๆ ไปสู่การปฏิบตั เิ พ่ือพัฒนาสถานศึกษาดา้ นต่าง ๆ ตอ้ งทาตัวเป็นผู้จดุ ประกาย ความคิดในการพัฒนาคณุ ภาพงานในสถานศึกษา ดงั นั้นผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาสามารถพัฒนา สถานศกึ ษา ใหป้ ระสบผลสาเรจ็ ได้ต้องอาศัยบคุ ลากรท่ีทาหน้าท่ีบริหาร สถานศึกษาจะต้องมี วิสัยทัศน์ เปน็ ผู้นา กล้า เปล่ียนแปลง กลา้ ตัดสนิ ใจ มีคุณธรรมจรยิ ธรรมและมจี รรยาบรรณทาง วิชาชีพ มคี วามสามารถใน การ ตดิ ต่อสื่อสารและมีความรวู้ ิชาชพี โดยเฉพาะผู้นาทางวชิ าการ ผบู้ รหิ ารต้องเป็นทงั้ นักบริหาร นักวชิ าการ นักจดั กจิ กรรมต่าง ๆ ของสถานศกึ ษาใหไ้ ด้ผลผลติ ทด่ี ี เลศิ จงึ เปน็ แนวทางการปฏิรูปเพอ่ื นาไปสผู่ ูบ้ ริหารที่ อยู่ในศตวรรษท่ี 21 ความท้าทายทางการบริหารในความเปลี่ยนแปลง เป้าหมายการจัดการศึกษาท่ีเปล่ยี นไป จากเดิมทเี่ น้นองค์ความรู้ทผี่ ู้เรยี นจะต้องได้รับมา เป็นเร่อื ง ของสมรรถนะของผู้เรยี น การละเลยเร่อื งของการปรบั เปล่ียนกระบวนทัศน์ด้านการบริหารจัดการ สถานศึกษากห็ มายถงึ ความล้มเหลวของการปฏิรูปการศึกษาในภาพรวมดว้ ยเชน่ กนั ทัง้ นใ้ี น การ ปรับเปล่ยี นการบริหารสถานศึกษาจาเป็นตอ้ งใหค้ วามสาคัญตอ่ ประเดน็ ต่าง ๆ ดังน้ี 1. สภาวะทางสงั คม ประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 มีความเปน็ ไปได้สงู มากทจ่ี ะเขา้ สูส่ ังคม ผู้สงู อายุ เช่นเดียวกบั ในหลายประเทศทไี่ ด้เข้าส่ภู าวะนีไ้ ปแล้ว สภาวะนเ้ี กดิ ขึ้นจากการทอี่ ัตราการ เกิดลดลง คนมี อายุยนื ขึน้ สภาพดังกลา่ วนีจ้ ะส่งผลกระทบตอ่ การจดั การศกึ ษาด้วยเชน่ กันอย่างน้อย ในสองประเด็น คือ 1) บุคลากรการศกึ ษาทจี่ ะมโี อกาสขาดแคลน และจาเปน็ ต้องขยายอายุการ ทางานของบคุ ลากร และ 2) การจดั การศึกษาจาเป็นต้องออกแบบสาหรับการจัดการศึกษาสาหรับ ผูส้ ูงอายุมากข้นึ เพราะเปน็ คนกลุ่ม ใหญข่ องสังคม และการศึกษากไ็ มส่ ามารถหยดุ อย่เู พียง ในวยั การศึกษาหรือวยั ทางาน สองประเด็นนเี้ ปน็ โจทยส์ าคญั หน่งึ สาหรบั ผบู้ ริหารในปจั จบุ ันที่จะต้อง วางแผนการจัดการทีช่ ดั เจนเพ่อื รองรับความ เปลย่ี นแปลงทจี่ ะเกิดขนึ้

272 2. ความเปล่ียนแปลงวถิ ีชีวิตของคน พฤตกิ รรมการใช้ชวี ิตของคนจะเปลย่ี นไป สังเกตได้ อย่างง่ายจาก พฤติกรรมการซอื้ สินค้าทปี่ ัจจุบันการซอ้ื ขายผา่ นอินเตอรเ์ น็ตมีมลู ค่าเพ่ิมสงู ขึ้น เครอื ข่ายสงั คมก็เข้ามามี บทบาทต่อการตัดสนิ ใจของคนมากขน้ึ ขณะเดยี วกนั พฤติกรรมการทางาน ของคนเปล่ียนไป ตอ้ งการ ความสาเรจ็ และการยอมรบั ท่ีเร็วมากขึ้น การยดึ มั่นในองค์กรอาจจะ นอ้ ยลงไป จึงเป็นความท้าทายของ การบริหารทรพั ยากรมนุษย์ในองค์การท่จี ะตอ้ งเอื้อต่อการใช้ ทรพั ยากรอย่างเตม็ ประสทิ ธภิ าพพรอ้ มกบั การสรา้ งขวัญกาลังใจให้กับบุคลากรเพื่อให้บุคลากรที่มี ความสามารถอยู่กบั องคก์ ารไปนาน ๆ 3. การเข้าถงึ เทคโนโลยี เทคโนโลยกี ลายเป็นสว่ นหนึ่งของชวี ิต เดก็ รุน่ ใหมจ่ ะใช้เป็น เคร่ืองมือในการเรียนรู้ บคุ ลากรในสถานศกึ ษากจ็ าเป็นต้องเปน็ คนที่สามารถนาเอาเทคโนโลยีมาใชํใ น การจดั การเรยี นการสอน พรอ้ มทั้งใช้เปน็ เคร่อื งมอื ในการค้นควา้ พัฒนาความร้ขู องตนเอง ขณะเดียวกนั ยงั จะตอ้ งสามารถนาเอา เทคโนโลยมี าใชใ้ นการบริหารจดั การสถานศึกษาอีกดว้ ย แต่ ทั้งน้ีการยอมรบั และการใช้เทคโนโลยีของ บคุ ลากรในสถานศกึ ษาจะมีระดับความสามารถที่แตกต่าง กนั การนาเอาเทคโนโลยีมาใช้จงึ จาเป็นตอ้ งมี แผนการจดั การท่ีชดั เจน เช่นเดยี วกันกบั การวาง โครงสรา้ งพื้นฐานทํเ ก่ียวข้องที่จะต้องมีทัง้ การลงทนุ และ การพัฒนาบุคลากรไปพร้อม ๆ กนั 4. ความหลากหลายและความขัดแยง้ กบั ในศตวรรษท่ี 21 สถานศกึ ษาจาเป็นต้องเป็น องค์การทเี่ ปดิ รบั ความหลากหลายและความแตกต่างท่ีมากขึ้น พร้อม ๆ กบั ความจาเปน็ ในการสร้าง ใหเ้ กดิ ความเปน็ เอกภาพในองคก์ าร เพราะเอกภาพในองค์การคือหัวใจของความสาเรจ็ การทางาน เป็นทมี คือเครื่องมือ สาคญั ในการขับเคล่ือนองค์การส่เู ปา้ หมาย ด้วยเหตนุ ีก้ ารสรา้ งเอกภาพ การทา ใหเ้ กดิ ทีมในการทางานจงึ เปน็ โจทย์สาคญั สาหรบั การบริหารสถานศกึ ษาในศตวรรษน้ี 5. ประสิทธิภาพในการบรหิ ารจัดการ คนในยคุ ใหมจ่ ะเปน็ กลุม่ คนทีไ่ ม่ยดึ ติดกบั ทที่ างาน มีความพร้อมท่จี ะ เปลยี่ นงานใหมไ่ ดต้ ลอดเวลา และนิยมทจ่ี ะทางานแบบอิสระมากกวา่ (จารุวจั น์ สองเมือง, 2559) ทฤษฎที กั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 สาหรบั ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 เป็นท่ยี อมรับในการสร้างทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษ ท่ี 21 (Model of 21st Century Outcomes and Support Systems) ซึ่งเปน็ ทย่ี อมรบั อยา่ ง กวา้ งขวางเนอ่ื ง ดว้ ยเปน็ กรอบแนวคิดทีเ่ นน้ ผลลัพธ์ทเี่ กิดกบั ผเู้ รียน (Student Outcomes) ทงั้ ในดา้ นความรสู้ าระวชิ า หลกั (Core Subjects) และทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ทีจ่ ะชว่ ย ผเู้ รยี นไดเ้ ตรยี มความพร้อมในหลากหลาย

273 ดา้ น รวมทง้ั ระบบสนับสนุนการเรยี นรู้ ไดแ้ ก่ มาตรฐานและการประเมนิ หลักสตู รและการเรยี นการสอน การพฒั นาครู สภาพแวดล้อม ทเ่ี หมาะสมตอ่ การเรยี นในศตวรรษที่ 21 การเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 ต้อง กา้ วขา้ ม “สาระวชิ า” ไปสูก่ ารเรียนรู้ “ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21” (21st Century Skills) ซงึ่ ครูจะเป็น ผู้สอน ไมไ่ ด้แตต่ ้องใหน้ ักเรยี นเปน็ ผูเ้ รียนรดู้ ว้ ยตนเอง โดยครจู ะออกแบบการเรียนรู้ ฝึกฝนใหต้ นเอง เปน็ โค้ช (Coach) และอานวยความสะดวก (Facilitator) ในการเรยี นรูแ้ บบ PBL (Problem - Based Learning) ของนักเรยี น ซึ่งสิง่ ท่ีเปน็ ตวั ช่วยของครูในการจัดการเรยี นร้คู ือ ชมุ ชนการเรยี นรู้ครเู พื่อศิษย์ (Professional Learning Communities: PLC) เกิดจากการ รวมตวั กนั ของครูเพ่ือแลกเปลย่ี น ประสบการณ์การทาหน้าทขี่ องครแู ต่ละคน ภาคเี ครอื ขา่ ยเพื่อศตวรรษท่ี 21 นาโดย (Ken Kay) รว่ มกับสมาคมการศึกษาแหง่ ชาติของ สหรฐั อเมริกา และองคก์ รต่างสาขาอาชพี เกือบ 40 องค์กร ได้พัฒนาและนาเสนอ กรอบแนวคิดเพื่อ การเรยี นรู้ใน ศตวรรษที่ 21 (Framework for 21 Century Learning) ซึ่งประกอบดว้ ย วิชาแกน แนวคิดสาคญั ใน ศตวรรษท่ี 21 ทักษะการเรียนรแู้ ละนวัตกรรม ทักษะดา้ นสารสนเทศ สอื่ และ เทคโนโลยี ทักษะชีวิตและ การทางาน และระบบสนับสนุนการศกึ ษาของศตวรรษที่ 21 จุดมงุ่ หมายพน้ื ฐานการศึกษา คือการเรียนร้เู พอื่ ความเป็นมนุษยท์ ่ีสามารถดารงชีพอยู่ ในโลกตามยุค สมัยได้อย่างมคี ุณภาพ เมอ่ื สงั คมเปลีย่ นกระบวนทศั น์ทางการศึกษาเปลีย่ น นักวชิ าการหลายท่านเหน็ ตรงกนั วา่ หากยังหลงตดิ อยู่กับสงิ่ เกา่ ๆ ทเ่ี คยใช้ ได้ผลในยคุ เกา่ ยอ่ มจะสง่ ผลใหก้ ารเรยี นรขู้ องผู้เรยี นไม่ สอดคล้องกบั โลกทีเ่ ป็นจริงทัง้ ในปจั จบุ ันและ ในอนาคต ทยี่ ังจะเข้มขน้ึ น้ันการตดั สนิ ใจไดใ้ นระดับบุคคล หรือระดับหน่วยงาน อยา่ งตระหนัก ในศักยภาพของตนเองไมจ่ าเปน็ ต้องร่อนนโยบายหรือคาส่งั จากระดับ ชา ติหรอื ส่วนกลาง โดยเฉพาะ เรื่องการสอน การเรยี นรู้ การบรหิ ารจดั การ และการเปน็ ผ้นู าเพ่อื เปน็ สว่ น หนึ่ง ในการนาพาผู้เรียน ให้กา้ วสู่ความเป็นผู้ใหญไ่ ดอ้ ย่างสอดคล้องกบั โลกที่เปล่ียนแปลงไป (วจิ ารณ์ พานชิ , 2556) การศึกษาในปัจจุบันสว่ นใหญเ่ ป็นการขวนขวายหาองคค์ วามรู้ มันจึงทาใหเ้ ราเป็น กลไกยิ่ง ๆ ขน้ึ จติ ของเราปฏิบัติอยู่ในร่องรางแคบ ๆ ไมว่ ่าจะเปน็ ความรู้ ดา้ นวิทยาศาสตร์ ปรชั ญา ศาสนา ธรุ กิจ หรือเทคนิควทิ ยาท่ีเรากาลังส่ังสมขน้ึ วถิ ชี ีวิตของเราท้งั ในบ้าน นอกบ้าน และทง้ั ความเช่ียวชาญงานอาชีพ เฉพาะดา้ นของเรา ล้วนทาให้จิตคบั แคบและไม่ สมบูรณ์ ทง้ั หมดนีน้ ามาซึ่งวิถชี วี ิตอันเป็นเสมอื น เคร่อื งจักรกล เปน็ สภาพจิตท่ีถกู วางให้เข้ามาตรฐาน เดียวกนั การเขา้ ใจความหมายทอี่ ยเู่ หนือถ้อยคาและ พูดถึงเหตผุ ลที่เกิดความงอกงามแห่งจติ ความ เจริญงอกงามน้เี ป็นพฒั นาการและความเบ่งบานของจติ ใจ เรารวมทัง้ สวัสดิภาพทางกายด้วยนน้ั คือ ความดารงอยู่ในความกลมกลนื ทั่วพร้อม ซ่ึงในความกลมกลืน

274 เช่นนัน้ ปราศจากความขดั แย้งหรอื ความไม่ลงลอยกันระหวา่ งกาย จิตและใจ ความงอกงามแห่งจติ จะ เกิดขน้ึ เม่ือมีการสัมผัสทร่ี ู้แจม่ ชัด ตามความเป็นจรงิ ไม่เป็นส่วนตน และปราศจากแรงยัดเยียดใด ๆ ประเดน็ ไมไ่ ด้อยูท่ ีว่ ่า จิตคดิ อะไร แตอ่ ยู่ที่ว่า จะใหค้ ดิ ชัดเจนไดอ้ ยา่ งไร ความปลอดโปร่งอิสระของจิต ถา้ จติ ไมห่ มกมุ่นอยูก่ บั สงิ่ ใด ปญั หาใด หรือกับความสนุกสนาน ความเพลดิ เพลนิ ทางประสาทสัมผัส ไร้เจต จานวนและไรท้ ิศทางที่ มุ่งหมาย ในภาวะโปร่งโลง่ อิสระ เช่นน้ที ่ีจติ สามารถเรยี นรู้ได้ ซ่งึ ไมเ่ พียงเรยี นรู้วิชา วทิ ยาศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์และคณติ ศาสตร์เท่านั้น แต่เรยี นร้เู กี่ยวกบั ตนเองด้วย เพ่ือเฝ้าสงั เกตสิ่งท่ีกาลัง เกิดขน้ึ รอบ ๆ ตัว และสิ่งทกี่ าลังเกิดขึน้ ภายในตน ในการสอนคณิตศาสตร์ ฟิสกิ ส์ หรอื วิชาอ่นื ๆ ซงึ่ นกั เรียน จาตอ้ งเรียนรู้เพอ่ื การดารงชีพครู สามารถถา่ ยทอดใหก้ ับนกั เรียนวา่ เขาเปน็ ผ้รู ับผดิ ชอบตอ่ มวล มนุษยไ์ ด้หรือไม่ แม้เขาจะทางานเพ่ือ การดารงชีพตามวถิ ชี ีวติ ของเขาเอง แตจ่ ะไมท่ า ให้จิตใจเขาคบั แคบ ลง เขาจะมองเห็นภยันตรายของ ความเชย่ี วชาญเฉพาะทางรวมท้งั ความจากดั คับแคบอันหฤโหด ด้วย ครู ตอ้ งช่วยเขาใหม้ องเห็น ทั้งหมดนี้ การผลิบานในความดงี ามไมข่ นึ้ อยู่กับความสาเรจ็ ในอาชีพ การงาน ความดงี ามอยู่ นอกเหนือสิ่งเหล่านีแ้ ละเมื่อความเบ่งบานเกดิ ความงามนัน้ จะเสรมิ สง่ อาชีพ และกิจจาเป็น อ่นื ๆ จะ ถูกส่งเสริมความงามของมันเอง ทกุ วันนีเ้ รามุ่งทุ่มเทใหก้ ับส่งิ ๆ เดยี วโดย มองข้ามความเบง่ บาน น้ี อย่างช้นิ เชิง เราตอ้ งพยายามประสานทุกอย่างเข้าด้วยกัน ภาพกว้างของ การศึกษา คือการปลูกฝงั จิตใจ โดยสว่ นใหญเ่ รานึกถึงการศึกษาซึ่งก็มักจะ เป็นวิธที ่ีเหมาะสม เราต้องยอมรับว่าการศึกษามีอยู่ตลอดชว่ ง ชีวิตของเราหรอื แม้กระทั้งคนทางานทุกคนก็ย่อมจะต้อง เข้าไปเก่ียวขอ้ งกบั การคัดสรรของคนทจ่ี ะเป็นผู้ ถกู คัดสรรและผู้คัดสรรคนท่ีมีท้ัง ความรู้ ทกั ษะ และ จิตใจท่เี หมาะสมกับงานนนั้ ๆ ซึ่งในความหมายน้ีก็ คือ เราต้องค้นหาคนท่ีมีจิต ชานาญการ จติ สังเคราะห์ จติ สร้างสรรค์ จติ เคารพ และจริยธรรมน้นั เอง ทุก คนล้วนต้องพัฒนาจติ 5 ประการ ของคนเราทั้งคนท่ีอยู่ในความรบั ผิดชอบอย่างต่อเนื่อง ดงั ที่ วินสตัน เชิอรว์ ิลล์ (Winston Churchill) ไดค้ าดการไว้วา่ จักรวรรดใิ นอนาคตจะเปน็ จักรวรรดขิ องจติ เราต้อง ระลกึ ให้ได้ว่าโลก ยคุ ใหม่ ตอ้ งการอะไร ถงึ แม้วา่ เราจะต้องยดึ ม่นั ในทักษะและค่านยิ มที่เรามอี ย่กู ็ตาม จิต ทั้ง 5 ประการตํา งมี ความสาคัญเป็นมาที่สาคัญ ต่างก็มีความสาคัญในอนาคต และด้วยจติ เหลา่ นี้จะช่วย ให้ เรารบั มอื ได้ ทั้งสง่ิ ท่ีคาดหวังและสง่ิ ท่ไี ม่คาดคดิ (สริ ิรตั น์ นาคิน, 2557) คุณธรรมจริยธรรมของผบู้ ริหารสถานศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 คณุ ธรรมสาหรบั ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ถึงแมจ้ ะไม่มีกาหนดให้ปฏิบัติไวอ้ ย่างชัดเจนแต่ ตอ้ งประยุกตจ์ าก หลักคุณธรรม จริยธรรมตามแนวทางศาสนาระเบยี บกฎหมายคาสัง่ และ จรรยาบรรณจากการศึกษา แนวคิดด้านคุณธรรมและจรยิ ธรรมสาหรบั ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาของ นกั ววิ ชาการกลา่ วสอดคลอ้ งกันวา่

275 ผลกระทบหลายดา้ นของผูบ้ ริหารสถานศกึ ษาไม่ได้เกี่ยวข้อง กับปญั หาคณุ ธรรมโดยตรงแต่วตั ถปุ ระสงค์ ด้านคณุ ธรรมต้องเป็นตวั ขบั เคลอื่ น (Driver) ศักยภาพของผนู้ า ใหส้ ามารถบรหิ ารจดั การบรรลุผลสาเรจ็ ได้ รายละเอยี ด ดังน้ี พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ โต) ได้กล่าวไว้ในหนงั สือ ธรรมนูญชวี ิต เร่อื งพุทธจริยศาสตร์ สาหรบั ผบู้ รหิ าร ดงั น้ี 1. ดา้ นคุณลกั ษณะสาหรบั ผบู้ รหิ ารในทตุ ปิ าปณกิ สูตร ได้พูดถึงคณุ ลกั ษณะของ บุคคลทจ่ี ะทาหน้าท่ีให้ สาเร็จลลุ ่วงไดด้ ว้ ยดี มลี กั ษณะ 3 ประการได้แก่ 1) จักขุมา หมายถงึ มีปัญญามองการณไ์ กล2) วธิ โู ร หมายถึงจดั การธรุ ะได้ดี มคี วามเชีย่ วชาญเฉพาะดา้ น และ 3) นสิ สยสมั ปนั โน หมายถงึ พึง่ พาอาศัยคนอื่น ได้เพราะเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ทด่ี ี 2. วธิ กี ารบรหิ าร ในอธปิ ไตยสตู ร ผบู้ ริหารต้องมรี ูปแบบ และวธิ กี ารบรหิ าร ซ่งึ เป็น ปจั จยั สาคัญตอ่ ความสาเรจ็ หรอื ความล้มเหลวได้ สามารถสรปุ แนวทางการบริหารได้ 3 วธิ ี ได้แก่ 1) อัตตาธปิ ไตย ถอื ตน เปน็ ใหญก่ ลา่ วคือ เอาตนเอง เอาฐานะ ศักด์ศิ รี เกียรตภิ มู ิของ ตนเองเปน็ ใหญ่ การกระทาดว้ ยปรารภตน และส่ิงทเ่ี น่ืองดว้ ยตนเป็นประมาณ ในฝา่ ยกุศล คือ เว้นทาชว่ั ทาดี เคารพตน 2) โลกาธิปไตย ถอื โลกเป็น ใหญ่ คือ การถือเอาความนยิ มของ ชาวโลกเป็นใหญ่ หว่นั ไหวไปตามเสยี งนนิ ทาและสรรเสริญ กระทาดว้ ย ปรารภจะเอาใจหมู่ชน หาความนิยมหรือในฝา่ ยกุศลไดแ้ ก่ การเวน้ ทาช่วั ทาแตค่ วามดี ด้วยความเคารพ เสยี งหมชู่ น และ 3) ธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ คอื หลักการ ความจริง ความถูกตอ้ ง ความดี เผตผุ ล เปน็ ใหญ่ เป็นไปโดยชอบธรรม และเพื่อความดีงาม 3. หลักธรรมเพอ่ื การบรหิ าร นกั บรหิ ารแบบธรรมาธปิ ไตย ยึดหลักธรรมใน การบริหารงาน ซึ่งธรรมในการ บริหารมี ดงั น้ี 3.1 หลักพละ 4 ประการ ไดแ้ ก่ 1) ปญั ญาพละ เป็นพลงั ทางปญั ญาทีใ่ ชใ้ น การศึกษา มีความร้คู วามเข้าใจ อยา่ งมีเหตุผลที่ชัดเจน 2) วิรยิ พละ เป็นผปู้ ระกอบกิจหนา้ ท่กี าร งาน ดว้ ยความเพยี รมานะบากบัน่ พยายาม 3) อนวัชชพละ กาลังสุจริตหรือกาลงั บริสุทธิ์ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ิที่สะอาดบริสุทธิ์ 4) สงั คหพละ กาลังการสงเคราะห์ คือ การช่วยเหลอื เกอ้ื กูล สรา้ งประโยชนแ์ กเ่ พื่อนมนุษย์ และส่วนรวม

276 3.2 อิทธิบาทธรรม 4 ได้แก่ 1) ฉนั ทะความรักงานคือจะต้องเป็นผ้รู ักงานทีต่ น มีหนา้ ที่รบั ผิดชอบอยูแ่ ละ ท้ังจะต้องเอาใจใส่กระตือรือร้นในการเรยี นรู้งานและเพิ่มพูนวชิ า ความรคู้ วามสามารถใน 2) วิรยิ ะความ เพียรคือจะต้องเป็นผู้มีความขยันหม่ันเพยี รประกอบด้วย ความอดทนไม่ย่อท้อต่อความยากลาบากในการประกอบกจิ การงานในหนา้ ทหี่ รอื ในอาชีพ ของตน 3) จิต ตะความเปน็ ผู้มใี จจดจ่ออยู่กับการงานผทู้ ที่ างานได้สาเร็จดว้ ยดีมีประสทิ ธิภาพ จะต้องเป็นผ้เู อาใจใส่ต่อ กจิ การงานทที่ าและมงุ่ กระทางานอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสาเรจ็ และ 4) วมิ ังสาความเป็นผรู้ จู้ ักพจิ ารณา เหตุสงั เกตผลในการปฏิบตั ิงานของตนเองและผู้อยู่ใต้บงั คบั บัญชาไดด้ าเนินไปตามนโยบายและแผนงานท่ี วางไว้ 3.3 สังคหวตั ถุ 4 ประการ เป็นธรรมทีผ่ ้บู รหิ ารผใู้ จผ้รู ่วมงานและ ผู้ใต้บังคบั บญั ชา ไดแ้ ก่ 1) ทาน การให้ การแบ่งปัน คือการเอื้อเฟ้อื เผื่อแผ่ เสยี สละ ชว่ ยเหลอื สงเคราะห์ผื่นตามสมควร 2) ปยิ วาจา การพูด ไพเราะ คือการใชค้ าสุภาพ ไพเราะนา่ ฟงั ชี้แจง ในสง่ิ ทเ่ี ป็นประโยชน์ มีเหตุผล หรอื คาที่แสดงถงึ ความเห็น อกเห็นใจเปน็ ต้น และ 4) อัตถจรยิ า การทาประโยชน์แก่บุคคลอืน่ คอื การชว่ ยเหลอื ดว้ ยแรงกาย และ ขวนขวาย ช่วยเหลือกิจการ ตํา ง ๆ การบาเพ็ญสาธารณประโยชน์ รวมทั้งการแก้ปัญหาและการส่งเสริม สนับสนุน เปน็ ตน้ 3.4 พรหมวิหารธรรม 4 ประการได้แก่ 1) เมตตา ความรัก คอื ความ ปรารถนาดมี ไี มตรีตอ้ งการชว่ ยเหลอื ใหค้ นอน่ื ประสบสขุ 2) กรุณา ความสงสาร คอื อยาก ช่วยเหลือผ้อู ่ืนให้พ้นจากความทกุ ข์ เดือดร้อน 3) มุทติ า ความเบกิ บานยินดี เม่อื เห็นผ้อู นื่ มสี ุข ก็แสดงความยินดี ชื่นชม พรอ้ มทจ่ี ะสง่ เสริมสนับสนุนใหเ้ กิด ความสาเร็จ และ 4) อเุ บกขา ความมใี จเปน็ กลาง ความสม่าเสมอ การมีพฤติกรรมที่ทาประโยชน์หรอื การ เคารพ เสมอต้นเสมอปลายทัง้ ตอ่ หนา้ และลบั หลงั 3.5 สปั ปุริสธรรม 7 ประการ เปน็ หลักธรรมสาหรับสตั ตบุรษุ ไดแ้ ก่ 1) ธมั มัญญตุ า คือการรจู้ กั เหตุ 2) อัตถญุ ญตุ า คือ การรู้จักผล 3) อตั ตญั ญตุ า คือ การรจู้ ัก ตนเอง 4) มตั ตญั ญุตา คอื การรู้จักพอประมาณ 5) กาลัญญตุ า คือ การรู้จกั กาลเวลา 6) ปริสญั ญตุ า คอื การร้จู กั ชมุ ชน และ 7) บคุ ลญั ญุตา คือ การรู้จกั บุคคล 3.6 ทศพิธราชธรรม หมายถึงธรรมสาหรับพระราชา แต่ความเปน็ จรงิ สามารถ นามาปรับใชก้ บั ขา้ ราชการ ท่วั ไปได้ ได้แก่ 1) ทาน คอื การร้จู ักแบ่งปัน 2) ศีล คอื การร้จู ักหา้ ม ประพฤติปฏบิ ัติ 3) ปรจิ จาคะ คอื การ เสยี สละ พอ่ื โยชนส์ ุขแกป่ ระชาชน 4) อาชชวะ คอื การปฏิบตั ดิ ้วยความซื่อสตั ยส์ จริต 5) มัททวะ คือ การ

277 ประพฤตปิ ฏิบตั ิทส่ี ูภาพออ่ นโยน มีอัธยาศยั ทด่ี ี 6) ตะปะ คอื มีความมงุ่ มั่นในการปฏิบัติงาน ไมห่ ลงระเรงิ ในกเิ ลสตัณหา 7) อักโกธะ คือ ไมโ่ ลภโกรธหลงในสงิ่ ท่เี ป็นอบายมุข 8) อวหิ ิงสา คือ การรักความสงบ ไม่ สร้างความเดอื ดร้อนต่อบุคคลอืน่ 9) ขันติ คือ ความอดทนต่อความยากลาบาก ปัญหา อุปสรรคไม่ท้อถอย และ 10) อวโิ รธนะ คอื การปฏิบัตติ ามครรลองครองธรรมของบา้ นเมืองและ จารตี ประเพณขี องสงั คม (พระ ธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), 2546) Hester, J. P. & Killian กลา่ ววา่ ผู้บริหารโรงเรยี นในฐานะตวั แทน คณุ ธรรม (Moral Agency) ของต้อง ทาหนา้ ท่ีเปน็ ตวั แทนทางคุณธรรม ต้องให้ความสนใจกบั บคุ ลากรใน โรงเรียนในการพฒั นาตนเอง ตอ้ งมีความรับผดิ ชอบดา้ นกฎกติกาทางจริยธรรม มขี อ้ ผูกพันกับ การดแู ลเอา ใจใส่ทางจริยธรรม และใหบ้ ุคลากรมีความรสู้ ึกเอาใจใส่ด้านจริยธรรมหรอื สาเหตุ หลกั (Hester, J. P. & Killian, 2011) Brown, M. E., & Trevi, L. K. กลา่ ววา่ ภาวะผู้นาเชิงคณุ ธรรมสามารถเขา้ ใจดที ่สี ุด ใน 2 กระบวนการทแี่ ยกเป็นส่วน ๆ ระหว่างพฤตกิ รรมด้านคณุ ธรรมของบุคคล กบั อทิ ธิพลด้าน คณุ ธรรมและ จรยิ ธรรม สามารถอธบิ ายไดว้ า่ กระบวนการไดย้ ึดหลักสัญญาสาหรบั การให้ ผู้บริหารโรงเรยี นได้นา ลักษณะทีเ่ ปน็ แบบอย่างท่ีดีท่ีสดุ มาช่วยให้ครไู ด้พัฒนา และมีการให้ อานาจในการอบรมส่ังสอน และนา บรบิ ทท่เี ป็นความกดดันภายในมาใช้ในการเปล่ียนแปลง โรงเรียน และมขี ้อเสนอแนะวา่ ผบู้ รหิ ารโรงเรียน ควรทาหนา้ ทก่ี ารบรหิ ารคณุ ธรรม 2 วิธกี าร คอื 1) ผา่ นทัศนคติ ทีเ่ กย่ี วกับการตดั สนิ ใจ และการ ประมวลผลในค่านยิ มท่สี อดคล้องกบั จริยธรรมในวชิ าชพี ของตน และ 2) วธิ ที ่ีให้บคุ ลากรทาหน้าที่ของ พวกเขา และผลประโยชน์ การปฏบิ ัตงิ านประจาวนั (Brown, M.E., & Trevi, L.K., 2006) สรปุ ไดว้ ่า คุณธรรมและจริยธรรมในศตวรรษที่ 21 ผู้บรหิ ารสามารถเลือกใชใ้ ห้ เหมาะสมกับบรบิ ทการบรหิ ารจัดการ ประกอบด้วย คณุ ธรรมท่ีมอี ยู่ในตัวของผ้บู รหิ ารการนา หลักธรรมมาปฏิบตั ิจนเป็นอุปนสิ ยั ติดตวั ประกอบดว้ ย คุณธรรมจรยิ ธรรมสาหรบั ตนเอง คุณธรรมจริยธรรมเพอ่ื การปฏบิ ัติหน้าทก่ี ารบริหาร และ คุณธรรมจริยธรรมสาหรบั สังคม สรุป การเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกมีอิทธิพลต่อการบริหารจัดการองค์กรของผู้บริหาร สถานศึกษา อย่างมากทาให้คุณลักษณะของผู้บริหารต้องปรับเปล่ียนแปลงไปจากเดิมท่ีส่งผลต่อ ความสาเร็จในการ พฒั นาระบบการศึกษาภายในประเทศซึ่งต้องแสวงวธิ ีการ ทกั ษะ ศักยภาพ และความสามารถในการนาพา องคก์ รทางดา้ นการศกึ ษาไปสู่โลกใหม่ที่เรยี กวา่ โลกแหง่ การ เปลยี่ นหรือโลกศตวรรษใหม่ ผูบ้ รหิ ารอาจจะ ต้องมกี ารพฒั นาตนเองในหลาย ๆ ดา้ นทีส่ ามารถ ตอบโจทยค์ วามคาดหวังของสังคมได้มากย่ิงขน้ึ และเพ่ิม การตอบสนองต่อสังคมไดห้ ลากหลาย ใหม้ ากทีส่ ุด เพราะการจัดการศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 มีความจาเป็น

278 อย่างมากต่อนักบริหาร การศึกษามีคุณลักษณะเป็นนักสร้างสรรค์เป็นนักการส่ือสาร เป็นนักคิดวิเคราะห์ การสร้าง ชุมชน การมีวิสัยทัศน์การสร้างความร่วมมือ และการติดต่อ การสร้างพลังเชิงบวก การสร้า ง ความเช่ือม่ัน ความมุ่งมั่นและความพากเพียร ความเต็มใจท่ีจะเรียนรู้ ต้องเป็นนักประกอบการ คิด สร้างสรรค์และนวัตกรรม นักริเริ่มงานดี ความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจ การเจียม เนื้อเจียมตัว และเป็นตัวแบบที่ดี ในการจัดการศึกษาในสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ควรหันมา ให้ความสาคัญ เช่น การปรับตัว การคิดเป็นระบบ การใช้เทคโนโลยี การสร้างสรรค์ การแก้ไข ปัญหา และการทางานร่วมกับ คนอื่น ซ่ึงเป็นทักษะท่ีนาไปใช้ได้ในสถานการณ์ท่ีแตกต่างกัน ปัจจุบันท่ีคนรุ่นใหม่จะเปลี่ยนงานข้ามสาขา วิชาชีพท่หี ลากหลาย ซึง่ เป็นสิง่ ที่ ท้าทายความสามารถในการนาทักษะทมี่ ีไปปรบั ใช้ในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ

279 คุรสุ ภา การควบคมุ และรักษามาตรฐานการประกอบวิชาชีพครูของไทย มมี านานก่อนวชิ าชีพชัน้ สูงหลาย วิชาชีพในปจั จุบัน ในปี พ.ศ. 2438 มกี ารอบรมครูเปน็ ครง้ั แรกที่ “วทิ ยาทานสถาน” ซ่ึงเจา้ พระยาภาสกร วงศ์ (พร บุนนาค) เสนาบดีคนแรกเป็นคนจัดตั้งขึ้นท่ี สี่ก๊ัก พระยาศรี ใกล้ห้างแอลยีริกันดี ผู้อบรมครูคน แรก คอื เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (นายสนน่ั เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ต่อมาในปี พ.ศ.2443 มีการจัดตั้งสภาสาหรบั อบรมและประชุมครูขึ้นท่ีวัดใหม่วนิ ัยชานาญ แขวง บางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี ใช้ชื่อว่า “สภาไทยาจารย์” เปิดทาการสอนครูทุกวันพระ อันเป็น วันหยุดราชการ (ก่อเกิดหนังสือพิมพ์วิทยาจารย์เล่มแรก ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ของครูออกในเดือน พฤศจิกายน) พ.ศ.2445 กรมศึกษาธิการจัดตั้ง “สามัคยาจารย์สโมสรสถาน” เพื่อใช้เป็นที่ประชุมอบรมและ สอนครขู ้ึนท่โี รงเรียนทวธี าภเิ ษก โดยมีเจ้าพระยาพระเสดจ็ สุเรนทราธบิ ดี (ม.ร.ว.เปีย มาลากลุ ) เป็นนายก สภาคนแรก ซ่ึงต่อมาไดย้ ้ายไปตัง้ อยู่ในโรงเรียนมัธยมวดั ราชบูรณะ (โรงเรยี นสวนกุหลาบ) ปี 2447 สามัค ยาจารย์สโมสรสถานยกฐานะเป็นสมาคม ใช้ชื่อว่า “สามัคยาจารย์สมาคม” กิจการของสามัคยาจารย์ สมาคมไดส้ รา้ งความเจรญิ เพมิ่ พนู ความรู้และความสามัคคีให้แกค่ รดู ว้ ยดมี าเป็นเวลา 40 ปเี ศษ ต่อมาเม่ือมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติครู พุทธศักราช 2488 จัดต้ัง “คุรุสภา” ขึ้นเป็นสภาใน กระทรวงศกึ ษาธิการ โดยทีค่ รุ สุ ภามวี ัตถุประสงคแ์ ละความํมง่ หมายกว้างขวางครอบคลมุ กิจการของสามัค ยาจารย์สมาคม จึงมีการรวมงานและทรัพย์สินของสามัคยาจารย์สมาคมมาเป็นของคุรุสภา และให้จัดต้ัง สโมสรสามคั ยาจารย์ข้นึ ใหม่เป็นแผนกหนึ่งของคุรสุ ภา คุรุสภาตามพระราชบัญญัติครู พุทธศักราช 2488 มีหลักการสาคัญ 3 ประการ คือ เป็นสภาท่ี ปรึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อช่วยฐานะครูและเพื่อให้ครูปกครองครู ซ่ึงคุรุสภาได้ทาหน้าท่ีโดย สมบูรณ์ตลอดมา ต่อมาเมื่อมีการตราพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 เพ่ือปฏิรูประบบ การศึกษาครั้งใหญ่ คุรุสภาได้ปรับบทบาทใหม่ โดยมีการตราพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการ ศึกษา พ.ศ.2546 ข้ึน ให้เป็นกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา มีเหตุผลสาคัญเพ่ือสืบ ทอดเจตนารมณ์ของการจัดต้ังคุรุสภาให้เป็นสภาวิชาชีพครูต่อไป พระราชบัญญัติสภาครูฯ มีผลบังคับใช้ ต้ังแต่วันท่ี 12 มิถุนายน 2546 กาหนดให้องค์กรวิชาชีพ 2 องค์กร คือ สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา เรียกว่า “คุรุสภา” มีฐานะเป็นนิติบุคคลอยู่ในกากับของกระทรวงศึกษาธิการ ทาหน้าที่เกี่ยวกับการ

280 ควบคุมและรักษามาตรฐานวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา อีกองค์กรหนึ่ง คือ สานักงาน คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา เรียกว่า “สกสค.” มีฐานะ เป็นนิติบุคคล อยู่ในกากับกระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าท่ีเก่ียวกับการส่งเสริมสวัสดิการ สวัสดิภาพ และ ส่งเสรมิ สนบั สนุนการจดั การศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ เมอ่ื วนั ที่ 16 เมษายน 2558 ได้มคี าส่งั หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ท่ี 7/2558 เรอื่ งการ ปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการคุรุสภา คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากร ทางการศึกษา และคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและ สวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยให้คณะกรรมการคุรุสภาแห่งพระราชบัญญัติสภาครูและ บุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 ซ่ึงอยู่ในวันก่อนวันท่ีคาสั่งนี้ใช้บังคับพ้นจากตาแหน่ง และมิให้มีการ แต่งตั้งบุคคลข้ึนมาแทนท่ี โดยให้คณะกรรมการคุรุสภาตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการ ศึกษา ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้อานวยการสานักบริหารงาน คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และหัวหน้าสานักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงาน บุคคลส่วนท้องถ่ิน เป็นกรรมการ และใหเ้ ลขาธิการคุรุสภา เป็นกรรมการและเลขานกุ าร นอกจากน้ี ให้เลขาธิการํคุรุสภาซ่ึงอยู่ในวันก่อนที่คาส่ังนี้ใช้บังคับ หยุดการปฏิบัติหน้าท่ีไปก่อน จนกว่าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะมีคาสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น และให้รัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการพิจารณามอบหมายให้ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ หรือข้าราชการ กระทรวงศึกษาธกิ ารในระดบั เดยี วกันข้นึ ไปปฏิบัตหิ น้าท่ีในตาแหน่งเลขาธกิ ารคุรสุ ภา (คุรสุ ภา, 2561)

281 วตั ถุประสงค์ พระราชบญั ญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 มาตรา 8 กาหนดวตั ถปุ ระสงค์ของ คุรสุ ภา ไว้ดงั นี้ 1. กาหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอนใบอนุญาต กากับ ดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพ และจรรยาบรรณวิชาชีพ รวมท้ังการพัฒนาวิชาชพี 2. กาหนดนโยบายและแผนพฒั นาวิชาชพี 3. ประสาน สง่ เสรมิ การศกึ ษาและการวจิ ัยเกีย่ วกับการประกอบวิชาชีพ (พระราชบญั ญัตสิ ภาครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546, 2546: 3) อานาจหนา้ ที่ 1. กาหนดมาตรฐานวิชาชพี และจรรยาบรรณของวชิ าชพี 2. ควบคุม ความประพฤติและการดาเนินงานของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาให้เป็นไปตาม มาตรฐานวชิ าชีพและจรรยาบรรณของวชิ าชีพ 3. ออกใบอนญุ าตให้แก่ผขู้ อประกอบวชิ าชพี 4. พกั ใชใ้ บอนุญาตหรอื เพิกถอนใบอนุญาต 5. สนบั สนุนส่งเสริมและพัฒนาวชิ าชพี ตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวชิ าชพี 6. สง่ เสรมิ สนับสนนุ ยกยอ่ ง และผดงุ เกยี รตผิ ้ปู ระกอบวิชาชพี ทางการศึกษา 7. รับรองปริญญา ประกาศนียบตั ร หรือวุฒิบัตรของสถาบนั ตา่ ง ๆ ตามมาตรฐานวิชาชพี 8. รับรองความรู้และประสบการณ์ทางวิชาชีพ รวมทัง้ ความชานาญในการประกอบวิชาชพี 9. สง่ เสรมิ การศึกษาและการวจิ ยั เก่ียวกบั การประกอบวชิ าชพี 10. เป็นตัวแทนผปู้ ระกอบวชิ าชีพทางการศกึ ษาของประเทศไทย 11. ออกข้อบงั คับคุรุสภาวา่ ดว้ ย (ก) การกาหนดลักษณะต้องห้ามมาตรา 13 (ข) การออกใบอนุญาต อายุใบอนุญาต การพักใช้ใบอนุญาต การเพิกถอนใบอนุญาต และการ รบั รองความรู้ ประสบการณท์ างวชิ าชพี ความชานาญในการประกอบวชิ าชพี (ค) หลกั เกณฑ์และวธิ กี ารในการขอรับใบอนญุ าต (ง) คุณสมบตั แิ ละลักษณะตอ้ งห้ามของผขู้ อรับใบอนุญาต

282 (จ) จรรยาบรรณของวิชาชีพและการประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนามาซ่ึงความเสื่อมเสีย เกยี รติศกั ดิ์แหง่ วชิ าชพี (ฉ) มาตรฐานวชิ าชพี (ช) วิธีการสรรหา การเลือก การเลือกตั้ง และการแต่งต้ังคณะกรรมการคุรุสภาและคณะกรรม กรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (ซ) องคป์ ระกอบ หลักเกณฑ์ วิธกี ารคัดเลือกคณะกรรมการสรรหา (ฌ) หลักเกณฑ์และวธิ ีการสรรหาเลขาธกิ ารคุรสุ ภา (ญ) การใด ๆ ตามทก่ี าหนดในพระราชบัญญตั นิ ี้ 12. ให้คาปรกึ ษาหรือเสนอแนะตอ่ คณะรฐั มนตรีเก่ียวกับนโยบายหรือปัญหาการพัฒนาวชิ าชีพ 13. ให้คาแนะนาหรือเสนอความเหน็ ต่อรฐั มนตรีเก่ียวกับการประกอบวิชาชีพ หรือการออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศตา่ ง ๆ 14. กาหนดใหม้ คี ณะกรรมการเพ่อื กระทาการใด ๆ อนั อยู่ในอานาจหนา้ ทขี่ องครุ สุ ภา 15. ดาเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของครุ สุ ภา ขอ้ บงั คับของครุ ุสภาตาม (11) น้นั ตอ้ งไดร้ ับความ เหน็ ชอบจากรัฐมนตรี และเมื่อได้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาและให้ใชบ้ งั คับได้ (คุรสุ ภา, 2561) หน้าท่ีของสานักงานเลขาธิการคุรุสภา พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 มาตรา 34 กาหนดให้สานักงาน เลขาธิการครุ ุสภามีหนา้ ที่ ดงั นี้ 1. รับผิดชอบเกี่ยวกับการดาเนินงานของคุรุสภา ซึ่งมีอานาจหน้าที่กาหนดมาตรฐานวิชาชีพออกและ เพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กากับ ดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณวิชาชีพ และการพฒั นาวิชาชพี 2. ประสานและดาเนินการเก่ียวกบั กิจการอน่ื ทค่ี ุรสุ ภามอบหมาย 3. จัดทารายงานประจาปีเกี่ยวกบั การดาเนนิ งานเสนอตอ่ ครุ ุสภา (พระราชบัญญัตสิ ภาครูและบุคลากรทางการศกึ ษา พ.ศ.2546, 2546: 12) การดาเนินงานของสานักงานเลขาธิการคุรุสภา กาหนดให้เลขาธิการคุรุสภารับผิดชอบบริหาร กิจการของสานักงานเลขาธิการคุรุสภา รวมทัง้ ดาเนนิ การตามทีป่ ระธานกรรมการคุรสุ ภา คณะกรรมการ ครุ สุ ภามอบหมาย โดยรบั ผดิ ชอบต่อคณะกรรมการคุรสุ ภา นอกจากนีย้ ังมหี นา้ ที่ดังต่อไปนี้

283 1) บริหารกิจการของสานักงานเลขาธิการคุรุสภาให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ของคุรุ สภา ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกาหนด นโยบาย มติ และประกาศของคณะกรรมการคุรุสภา และเป็นผ้บู ังคับบญั ชาพนักงานเจ้าหน้าทที่ ุกตาแหนง่ เวน้ แตผ่ ตู้ รวจสอบภายในให้ขน้ึ ตรงต่อ ประธานกรรมการครุ สุ ภา ตามระเบียบท่ีคณะกรรมการครุ ุสภากาหนด 2) ดแู ลรกั ษาทะเบยี นผ้ไู ดร้ ับใบอนญุ าต 3) ควบคมุ ดูแลทรพั ย์สินของครุ สุ ภา 4) เสนอรายงานประจาปีเก่ียวกับผลการดาเนินงานด้านต่างๆ ของสานักงานเลขาธิการคุรุสภา รวมทัง้ รายงานการเงนิ และบัญชี ตลอดจนแผนดาเนนิ งาน แผนการเงนิ และงบประมาณของ ปีต่อไป ตอ่ คณะกรรมการครุ สุ ภาเพอื่ พิจารณา 5) เสนอความเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงกิจการและการดาเนินงานให้มีประสิทธภิ าพและเป็นไป ตามวตั ถุประสงคข์ องคุรุสภาต่อคณะกรรมการคุรุสภา (ครุ ุสภา, 2561) สรปุ คุรุสภา หรือ สภาครูและบุคลากรทางการศึกษาอยู่ในกากับของกระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าท่ี ควบคุม ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กากับ ดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพและ จรรยาบรรณของวิชาชีพ และตราพระราชบัญญัตสิ ภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 ขึ้นให้เป็น กฎหมายวา่ ด้วยสภาครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา

284 สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ในปัจจุบันมีจุดกาเนิดมาจากสภามหาวิทยาลัย แห่งชาติ ซึ่งจัดต้ังข้ึนในสมัยรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เม่ือวันที่ 11 มกราคม 2499 เน่ืองจาก ขณะนั้นมมี หาวิทยาลยั อยู่ตา่ งสังกดั กัน 5 แห่ง ไดแ้ ก่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั สังกดั กระทรวงศึกษาธิการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นอิสระ มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นโรงเรียนศิลปากรและกาลังจะเป็น มหาวิทยาลัยอยู่ในกรมศิลปากร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ มหาวทิ ยาลยั แพทยศาสตร์ คือ โรงพยาบาลศิรริ าช สงั กัดกระทรวงสาธารณสขุ เพ่ือท่ีจะพัฒนามหาวิทยาลัยให้เข้มแข็งและมีเสถียรภาพสูง เซอร์ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ท่ีปรึกษา ยูเนสโกขณะนั้นเสนอแนะว่า ต้องนามารวมกันเป็นหนึ่งมหาวิทยาลัย คือ มหาวิทยาลัยแห่งชาติ จึงมีการ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา แต่รัฐมนตรีบางท่านไม่เห็นด้วย จึงจัดตั้งเป็น “สภามหาวิทยาลัยแห่งชาติ” ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นรอง ประธาน มีรฐั มนตรวี า่ การกระทรวงสาธารณสุข รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงเกษตร รฐั มนตรวี ่าการกระทรวง วัฒนธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิ ทยาลัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้บัญชาการมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้อานวยการมหาวิทยาลัยศิลปากร และปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกรรมการโดยตาแหน่ง กับ กรรมการจากผู้ทรงคุณวุฒิอีก ๑๒ คน และมีเลขาธิการสภามหาวิทยาลัยแห่งชาติ เป็นกรรมการและ เลขานกุ ารโดยตาแหน่ง คือ ศาสตราจารย์ ดร.กาแหง พลางกรู สภามหาวิทยาลัยแห่งชาติมีอานาจและหน้าที่บริหารกิจการของมหาวิทยาลัยต่างๆ และมี เลขาธิการสภามหาวทิ ยาลัยแหง่ ชาตริ ับผิดชอบดาเนินการใหเ้ ป็นไปตามมติของสภามหาวิทยาลัยแห่งชาติ ควบคุมราชการอันเป็นงานธุรการของสภา บังคับบัญชาข้าราชการในสังกัดและรับผิดชอบในราชการของ สภา ขึ้นตรงตอ่ นายกรัฐมนตรีผบู้ งั คบั บัญชาสภามหาวทิ ยาลยั แหง่ ชาติ ต่อมาในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี พลเอกเนตร เขมะโยธิน ซ่ึงเป็น นายทหารเสนาธิการมือหน่ึงของประเทศไทยและเป็นปลัดสานักนายกรัฐมนตรีขณะน้ัน เสนอแนะว่า จะต้องมฝี า่ ยเสนาธิการของประเทศไทยฝ่ายพลเรือน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จงึ ได้จัดตั้ง “สภาการศึกษา แห่งชาติ” ขึ้น ทาหน้าท่ีกาหนดทิศทางของการจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้ประชาชน ไ ด้ รั บ ก า ร ศึ ก ษ า อ ย่ า ง ท่ั ว ถึ ง แ ล ะ เ ป็ น ก า ลั ง ใ น ก า ร พั ฒ น า ป ร ะ เ ท ศ ใ ห้ เ จ ริ ญ ก้ า ว ห น้ า ทั ด เ ที ย ม น า น า อารยประเทศ โดยไดอ้ อกพระราชบัญญตั ิจดั ระเบยี บราชการสานักนายกรฐั มนตรี พ.ศ. 2502 ซ่ึงประกาศ ในพระราชกิจจานุเบกษา วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2502 ให้โอนกิจการและอานาจหน้าที่ของสภา

285 มหาวิทยาลัยแห่งชาติมารวมไว้ในสภาการศึกษาแห่งชาติที่ตั้งข้ึนใหม่ จากนั้น ได้ยกเลิกพระราชบัญญัติ สภามหาวิทยาลัยแห่งชาติ พ.ศ. 2499 พร้อมกับตราพระราชบัญญัติสภาการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2502 ใหม้ สี ภาการศกึ ษาแหง่ ชาติ ประกอบดว้ ย นายกรัฐมนตรเี ป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรีเป็นรองประธาน อธิการบดีหรือผู้ดารงตาแหน่งท่ีมีลักษณะอย่างเดียวกัน แต่เรียกช่ืออย่างอื่นของมหาวิทยาลัยทุกแห่ง กับ ผู้อานวยการสานักงบประมาณเป็นกรรมการโดยตาแหน่ง และบุคคลอ่ืน ซ่ึงคณะรัฐมนตรีแต่งต้ังเป็น กรรมการ และเลขาธิการสภาการศึกษาแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ นอกจากนี้ ได้กาหนดให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นที่ปรึกษาของสภา การศกึ ษาแห่งชาติ (สานกั งานพฒั นารัฐบาลดิจทิ ัล, 2559) หน้าที่สาคญั ของสภาการศึกษาแห่งชาติ ไดแ้ ก่ พิจารณาปรับปรุง วางแผนและโครงการการศึกษา แห่งชาติ พจิ ารณาปัญหาทางการศึกษาและเสนอวิธีการแก้ไข พิจารณารายงานการศึกษา วางโครงการหา ทุนบารุงการศึกษา พิจารณางบประมาณของมหาวิทยาลัย การจัดต้ัง ยุบ รวม และเลิกล้มมหาวิทยาลัย รวมทั้งคณะหรือแผนกวิชา ตลอดจนให้ความเห็นชอบการวางหลักสูตรในมหาวิทยาลัย ในการปฏิบัติ หนา้ ทขี่ องสภาการศึกษาแห่งชาติ ได้กาหนดให้มีสานักงานสภาการศึกษาแห่งชาติ และใหม้ ีเลขาธิการสภา การศึกษาแห่งชาติ ทาหน้าท่ีดาเนินกิจการให้เป็นไปตามมติของสภาการศึกษาแห่งชาติ นอกจากน้ี ยังมี คณะกรรมการบริหาร ซ่ึงคณะรฐั มนตรีแต่งต้ัง ประกอบด้วย เลขาธิการสภาการศึกษาแห่งชาติและบุคคล อื่น ซ่งึ คณะรฐั มนตรแี ตง่ ตง้ั อีกไมเ่ กิน 9 คน เปน็ กรรมการและใหอ้ ยู่ในตาแหนง่ คราวละ 2 ปี ในการเปิดประชุมสภาการศึกษาแห่งชาติคร้ังแรก เม่ือวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2502 นั้น จอม พลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานสภาการศึกษาแห่งชาติ ได้กล่าวปราศรัยท่ีสะท้อนให้ เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสาคัญกับการศึกษาของชาติและความคาดหวังท่ีจะให้สภาการศึกษา แห่งชาตทิ าหน้าท่รี บั ผิดชอบในการสรา้ งสรรค์คนในชาติไว้อยา่ งน่าสนใจ ดังข้อความตอนหน่ึง ดงั นี้ “เปน็ ความปิตยิ นิ ดีอยา่ งสงู ของข้าพเจ้าอีกวาระหนึ่ง ที่ไดเ้ ปดิ ประชุมสภาการศึกษาแหง่ ชาติ ภาพ ทเี่ ราแลเหน็ ในการประชุมคร้ังน้ี เป็นทีพ่ สิ จู นอ์ นั แนช่ ัดว่า ข้าพเจ้าให้ความสาคัญแก่การศึกษามากเพียงใด ข้าพเจ้าได้จัดให้สภาการศึกษาแห่งชาติเป็นสภาย่ิงใหญ่ ซึ่งถ้าลองนับจานวนสมาชิกแห่งนี้ ก็จะได้พบ ประธาน รองประธาน และรัฐมนตรีเป็นท่ีปรึกษารวม 8 คน กรรมการซ่ึงคณะรัฐมนตรีแต่งต้ังตามมาตรา 4 แหง่ พระราชบัญญตั สิ ภาการศกึ ษาแหง่ ชาติ 67 คน คณะกรรมการบริหาร 9 คน รวมตัวเลขตามรายการ 92 คน มีซ้ากัน 1 คน คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นทั้งที่ปรึกษาและประธาน คณะกรรมการบริหาร จึงเป็นจานวนที่แท้จริง 89 คน มากกว่าสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติที่ตั้ง มาแล้ว จึงต้องนับว่าสภาการศึกษาแห่งชาติเป็นสภาที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะมีความรับผิดชอบยิ่งใหญ่

286 เกี่ยวกับการสร้างสรรค์ชนในชาติให้ดียิ่งข้ึนไป และความยิ่งใหญ่ของสภานี้ ไม่เฉพาะในปริมาณเท่าน้ัน ในทางคุณภาพก็ย่ิงใหญ่เช่นเดียวกัน เพราะสภาการศึกษาแห่งชาติประกอบด้วยผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญใน สาขาวิชาการต่างๆ ข้าพเจ้าลองนับดูวิทยฐานะของสมาชิกสภาน้ีได้พบผู้สาเร็จการศึกษาถึงขึ้นดุษฎี บัณฑิตหรือดอกเตอร์ดีกรีถึง 27 คน และข้ันมหาบัณฑิตหรือมาสเตอร์ดีกรี 19 คน นับว่าตู้วิชาอันใหญ่ หลวงของชาตไิ ดถ้ ูกยกเขา้ มาวางอย่ทู ปี่ ระชุมนี้” ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษาแห่งชาติคนแรก คือ ศาสตราจารย์ ดร. กาแหง พลางกูร ขณะน้ันสานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาแห่งชาติมีข้าราชการประมาณ 10 คน โดยมีบุคคลสาคัญท่ีมาช่วยวางระบบบริหารคือ นายภุชงค์ เพ่งศรี จากสานักงบประมาณมาปฏิบัติหน้าที่ รองเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษาแหง่ ชาติ และนางจารัสรตั น์ พิชยั ชาญณรงค์ จากมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ในระยะแรก สานักงานสภาการศึกษาแห่งชาติใช้อาคารคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย แพทยศาสตร์ ขา้ งโรงพยาบาลสงฆเ์ ปน็ สถานที่ทางาน จนกระทั่งย้ายมาอยู่อาคารใหม่ ซ่งึ เป็นอาคาร 1 ใน ปจั จุบัน โดยจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรฐั มนตรี เปน็ ประธานในพิธเี ปิดสานกั งานในปี 2510 ในช่วงปี พ.ศ. 2510 นั้นเอง ประเทศไทยได้เร่ิมมีการเตรียมการท่ีจะจัดตั้งวิทยาลัยเอกชนข้ึน ซ่ึง เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่คณะกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ ได้พิจารณาเห็นว่า พระราชบัญญัติสภา การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2502 เน้นเฉพาะการศึกษาระดับอุดมศึกษาเท่านั้น มิได้ครอบคลุมถึงการศึกษา ทุกระดับ จึงได้มีการเสนอขอแก้ไขสาระในพระราชบัญญัติสภาการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2502 ให้ขยาย ขอบเขตการดาเนินงานให้ครอบคลุมถึงงานในหน้าท่ีตามร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยเอกชน พระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย และหน้าท่ีที่เก่ียวข้องกับการให้บริการศูนย์ ประสานงานและการวิจัยทางการศึกษา ดังน้ัน ในปี พ.ศ. 2512 รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร จึงได้ ประกาศใช้พระราชบัญญัติสภาการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2512 ซึ่งกาหนดให้มีสภาการศึกษาแห่งชาติ ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธาน อธิการบดีหรือผู้ดารง ตาแหน่งท่ีมีลักษณะอย่างเดียวกัน แต่เรียกชื่ออย่างอ่ืนของมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาของรัฐ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ อธิบดีกรมการฝึกหัดครู อธิบดีกรมการปกครอง เลขาธิการสภาพัฒนาการ เศรษฐกิจแห่งชาติ และผู้อานวยการสานักงบประมาณ เป็นกรรมการโดยตาแหน่งและบุคคลอื่นซึ่ง คณะรฐั มนตรแี ต่งต้ังเปน็ กรรมการ รวมท้งั สิ้นต้องไมเ่ กนิ 70 คน ใหเ้ ลขาธกิ ารสภาการศกึ ษาแห่งชาติ เป็น กรรมการและเลขานุการสภาการศึกษาแห่งชาติ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทุกกระทรวง เป็นท่ี ปรกึ ษาของสภาการศกึ ษาแหง่ ชาติ ในการบริหารงาน ให้มีสานักงานสภาการศึกษาแห่งชาติและคณะกรรมการบริหาร ประกอบด้วย เลขาธิการสภาการศึกษาแห่งชาติ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ และบุคคล

287 อื่นอีก 8 คน ซ่ึงคณะรัฐมนตรีแต่งต้ังเป็นกรรมการ โดยให้กรรมการบริหารเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็น ประธานกรรมการ ให้ประธานกรรมการอยใู่ นตาแหนง่ คราวละ 1 ปี ผลงานสาคัญของสานักงานสภาการศึกษาแห่งชาติ คือการจัดทาแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับท่ี 1 และฉบับที่ 2 รวมท้ังการวางระบบการคัดเลือกบุคคลเข้า เป็นนิสติ นกั ศึกษาในสถาบนั อุดมศกึ ษา ปรบั เปล่ยี นเปน็ “คณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ” ในปี พ.ศ. 2515 คณะปฏิวัติได้จัดตั้งทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐและสานักงานคณะกรรมการ การศึกษาเอกชนข้ึน จึงมีการกาหนดหน้าท่ีและแบ่งส่วนราชการที่เก่ียวข้องใหม่ และได้เปล่ียนช่ือ สานักงานสภาการศึกษาแห่งชาติเป็นสานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ให้มีหน้าท่ีสาคัญในงาน ด้านนโยบายและแผนการศึกษาทุกระดับ แต่ยังคงใช้พระราชบัญญัติสภาการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2512 จนกระท่ังมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2521 ในสมัยรัฐบาล พลเอกเกรียงศกั ดิ์ ชมะนนั ท์ พระราชบัญญัติฉบับน้ี ได้เปล่ียนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการจากที่มีกรรมการสภา การศึกษาแห่งชาติ 70 คน และมีคณะกรรมการบริหาร 10 คน มาเป็น “คณะกรรมการการศึกษา แหง่ ชาติ” หรือ กกศ. คณะเดยี ว 17 คน และจากที่เคยมนี ายกรฐั มนตรีเป็นประธานก็ได้เปล่ียนเปน็ ให้รอง นายกรฐั มนตรีซง่ึ นายกรฐั มนตรีมอบหมายเปน็ ประธาน ต่อมาใน พ.ศ. 2535 สมัยรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติ คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2535 โดยมีการเปล่ียนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการ คือ มนี ายกรฐั มนตรหี รือรองนายกรฐั มนตรี ซึ่งนายกรฐั มนตรมี อบหมายเป็นประธานกรรมการ มกี รรมการโดย ตาแหน่ง 12 คน และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง 12 คน โดยต้องแต่งต้ังจากผู้ทรงคุณวุฒิจาก ภาคเอกชนอย่างน้อย 5 คน เป็นกรรมการ และให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติเป็น กรรมการและเลขานกุ าร และรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติคนหนึง่ เปน็ ผ้ชู ่วยเลขานุการ สาหรับหน้าท่ีสาคัญของคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งมีวาระอยู่ในตาแหน่งคราวละ 4 ปี ไดแ้ ก่ การพิจารณาและเสนอแผนการศึกษาแห่งชาติ แผนพฒั นาการศึกษาแห่งชาติ แนวนโยบายทางการ ศึกษาต่อคณะรัฐมนตรี พิจารณาและให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเก่ียวกับนโยบาย แผนงาน และ โครงการทางการศึกษา รวมท้ังประสานการดาเนินงานเก่ียวกับการจดั และพัฒนาการศึกษาของกระทรวง และหนว่ ยงานท่เี กี่ยวขอ้ ง บทบาทสาคัญของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติในช่วงน้ี คือ การปฏิรูปการศึกษา หลังเหตุการณ์วันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเม่ือวันที่ 25 มิถุนายน

288 พ.ศ. 2517 แต่งตั้งคณะกรรมการวางพ้ืนฐานเพื่อปฏิรูปการศึกษา มีศาสตราจารย์ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต ขณะน้ันดารงตาแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ หลังจากท่ี คณะรฐั มนตรไี ด้พิจารณาใหค้ วามเห็นชอบข้อเสนอของคณะกรรมการวางพื้นฐานเพ่ือปฏิรปู การศกึ ษาแล้ว ไดม้ ีการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏริ ปู การศกึ ษาขน้ึ เม่ือวนั ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ซงึ่ มีรัฐมนตรวี ่าการ กระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ เป็นกรรมการและ เลขานกุ าร ซง่ึ ขณะนัน้ คอื ศาสตราจารย์ ดร.สปิ ปนนท์ เกตุทตั จากข้อเสนอแนวทางในการปฏิรูปการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้ จัดทาแผนการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ขึ้น คือ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2520 และดาเนินการปฏิรูป การประถมศึกษาโดยโอนการศึกษาประชาบาลมาอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ และจัดตั้งสานักงาน คณะกรรมการการประถมศึกษาแหง่ ชาติขนึ้ นอกจากน้ี สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติยังได้ดาเนินการตามภารกิจหลักอย่าง ต่อเน่ือง คือการจัดทาแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ระยะ 5 ปี รวมทั้งมีการประกาศใช้แผนการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2535 ซ่ึงเปน็ แผนระยะยาว (สานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2559) “สภาการศกึ ษา” ในปจั จุบัน ในช่วงปี พ.ศ. 2540 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ มีบทบาทสาคัญในการผลักดนั ใหม้ บี ทบญั ญตั ิเกี่ยวกับการศกึ ษาอยู่ในรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2540 ซง่ึ กาหนดให้ มีกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ เพื่อเป็นกฎหมายแม่บทในการบริหารและจัดการศึกษาอบรมให้แก่ ประชาชนทั้งประเทศ และได้รวมพลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจน ประชาชนทั่วไปให้มีส่วนร่วมในการจัดทาพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ จนกระทั่งประกาศใช้เป็น กฎหมายการศึกษาแห่งชาตฉิ บบั แรก ตัง้ แต่วนั ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2542 จากบทบัญญัติในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และการปฏิรูประบบราชการ ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ส่งผลให้มีการปรับโครงสร้างและอานาจ หน้าท่ีของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ โดยมีการรวมกระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัย และสานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ซ่ึงสังกัดสานักนายกรัฐมนตรี จัดตั้ง เปน็ กระทรวงศึกษาธกิ ารใหม่ มกี ารบริหารทเี่ ป็น “คณะบุคคล” ในรูป “สภา” และ “คณะกรรมการ” การเปล่ียนแปลงระบบบริหารครั้งนี้ส่งผลให้ “คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ” ต้อง ปรับเปลย่ี นองคป์ ระกอบใหมเ่ ปน็ “สภาการศกึ ษา” ในปจั จบุ ัน

289 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 กาหนดให้ “สภา การศึกษา” มหี นา้ ที่พจิ ารณาเสนอแผนการศึกษาแหง่ ชาติทบี่ ูรณาการศาสนา ศลิ ปะ วฒั นธรรม และกีฬา กับการศึกษาทุกระดับ พิจารณาเสนอนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา พจิ ารณาเสนอนโยบายและ แผนในการสนับสนุนทรัพยากรเพ่ือการศึกษา ดาเนินการประเมนิ ผลการจัดการศึกษา รวมท้ังให้ความเห็น หรือคาแนะนาแกร่ ัฐมนตรวี ่าการกระทรวงศึกษาธกิ ารหรือคณะรฐั มนตรี “สภาการศึกษา” มกี รรมการทั้งส้ินจานวน 59 คน ประกอบด้วย 1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธกิ าร เปน็ ประธานกรรมการ 2. กรรมการโดยตาแหน่ง จานวน 16 คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวง มหาดไทย ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลัดกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ปลดั กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา ปลัดกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ผู้อานวยการสานักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผอู้ านวยการสานกั งานรับรองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศึกษา และเลขาธิการคุรุสภา 3. กรรมการทเี่ ปน็ ผแู้ ทนองค์กรเอกชน จานวน 2 คน 4. กรรมการที่เป็นผแู้ ทนองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ จานวน 2 คน 5. กรรมการทเ่ี ปน็ ผแู้ ทนองคก์ รวิชาชีพ จานวน 2 คน 6. กรรมการทีเ่ ปน็ พระภิกษุซง่ึ เป็นผู้แทนคณะสงฆ์ จานวน 2 รูป 7. กรรมการที่เป็นผูแ้ ทนคณะกรรมการกลางอิสลามแหง่ ประเทศไทย จานวน 1 คน 8. กรรมการทเ่ี ป็นผูแ้ ทนองคก์ รศาสนาอืน่ จานวน 2 คน 9. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 30 คน ซึ่งแต่งต้ังจากผู้ท่ีมีความรู้ ความสามารถ ความ เชี่ยวชาญ และประสบการณ์สูงด้านการศึกษาปฐมวัย ด้านการศึกษาข้ันพื้นฐาน ด้านการอุดมศึกษา ด้าน การอาชีวศกึ ษา ด้านการศกึ ษาเอกชน ดา้ นการศึกษาเฉพาะทาง ด้านการศึกษาพิเศษ ดา้ นการศกึ ษานอก ระบบและตามอัธยาศัย ด้านการบริหารการศึกษา ด้านการบริหารเขตพื้นที่การศึกษา ด้านการศาสนา ด้านวัฒนธรรม ด้านภูมิปัญญา ด้านนโยบายและแผน ด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพ ด้าน กฎหมาย ด้านเศรษฐกิจการเงิน และงบประมาณ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการสื่อสาร ด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ ม ด้านการเกษตรและสหกรณ์ ด้านการพฒั นาสังคม ดา้ นอุตสาหกรรม ด้านการเมืองการปกครอง ด้านส่ือสารมวลชน ด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ด้านธุรกิจ ด้านการบริการ

290 ด้านองค์กรเอกชน ด้านการกีฬา กิจการเยาวชน ลูกเสือ ยุวกาชาดและเนตรนารี ด้านใดด้านหนึ่งหรือ หลายดา้ นรวมกนั 10. เลขาธกิ ารสภาการศึกษา เปน็ กรรมการและเลขานุการ ด้วยเหตุนี้ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ จึงปรับเปล่ียนมาเป็น “สานักงาน เลขาธิการสภาการศึกษา” ในปัจจุบัน ซ่ึงเป็นองค์กรหลักหน่ึงในกระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าท่ีรับผิดชอบ ในการกาหนดทิศทางและนโยบายด้านการศึกษาของชาติ พัฒนานโยบาย และประสานการนานโยบาย ไปสู่การปฏิบัติให้สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ นโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษาของชาติ โดยใชอ้ งค์ความร้ดู า้ นการวิจัยและประเมนิ ผลเป็นฐาน ในช่วงการปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่เป็นสานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจนถึงปัจจุบัน สกศ. ได้เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 จัดทาแผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ จดั ทามาตรฐานการศึกษาของชาติ และจัดทากรอบทิศทางการพัฒนา การศึกษาแห่งชาติ ระยะ 5 ปี ท่ีสอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ เพ่อื ให้หนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วข้องใชเ้ ป็นกรอบแนวทางในการจัดการศกึ ษาต่อไป ด้วยบทบาทหน้าท่ีที่มีความสาคัญยิ่งต่ออนาคตของชาติ “สภาการศึกษาแห่งชาติ” “คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ” และ “สภาการศึกษา” จึงประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ทรง ปัญญาจากหลากหลายสาขาและจากหลากหลายหน่วยงานท่ีมาร่วมเป็นคณะกรรมการ ซึ่งเปรียบเสมือน สมองของชาติด้านการศึกษา นอกจากน้ี จากองค์ประกอบและบทบาทความรับผิดชอบใหม่ของ “สภา การศึกษา” ในปัจจุบัน ส่งผลให้ “สภาการศกึ ษา” ตอ้ งปรับเปลยี่ นบทบาทเพอ่ื ก้าวไปส่กู ารเปน็ “สภา” ที่ ระดมสมองและรบั ฟังความคิดเหน็ จากประชาชนทุกกลุม่ อยา่ งแท้จรงิ อานาจหน้าที่ กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการพ.ศ.2546 กาหนดให้สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา มีภารกิจเกี่ยวกับการเสนอนโยบาย แผน และมาตรฐาน การศึกษาของชาติที่บูรณาการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและการกีฬากับการศึกษาทุกระดับ การเสนอ นโยบายและแผนสนับสนนุ ทรัพยากรเพ่ือการศึกษา และการประเมินผลการจัดการศึกษา โดยให้มีอานาจ หน้าท่ีดงั ต่อไปนี้ 1. จัดทาแผนการศึกษาแห่งชาติท่ีบูรณาการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและกีฬากับการศึกษาทุก ระดบั รวมทัง้ จัดทาข้อเสนอนโยบายและแผนในการสนบั สนนุ ทรพั ยากรด้านการศกึ ษาของชาติ 2. ประสานการจัดทาขอ้ เสนอนโยบาย แผน และมาตรฐานการศกึ ษาของชาติ

291 3. วิจัยและประสาน ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการศึกษา การพัฒนาเครือข่ายการ เรียนรู้และภูมิปัญญาของชาติ ตลอดจนรวบรวมและพัฒนาระบบเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศเพื่อการ พัฒนานโยบายและแผนการศึกษาชองชาติ 4. ดาเนินการเก่ยี วกับการประเมนิ ผลการจัดการศึกษาตามแผนการศึกษาแหง่ ชาติ 5. ดาเนนิ การเกีย่ วกบั การให้ความเหน็ หรอื คาแนะนาในเรื่องกฎหมายท่ีเก่ียวกบั การศึกษา 6. ปฏิบัติงานอื่นใดที่กฎหมายกาหนดให้เป็นอานาจหน้าท่ีและความรับผิดชอบของสานักงาน เลขาธิการสภาการศึกษา หรือตามที่รัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย (สานักงานเลขาธิการสภา การศกึ ษา. (ม.ป.ป.) สภาการศึกษา สรปุ ในกระทรวงมีองค์กรหลัก ท่ีเป็นคณะบุคคลในรูปสภาหรือคณะกรรรมการจานวนสี่องค์กร ได้แก่ สภาการศึกษาคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา และคณะกรรมการการ อดุ มศึกษา เพื่อพจิ ารณาให้ความเห็น หรอื ให้คาแนะนาแกร่ ฐั มนตรหี รือคณะรฐั มนตรี

292 จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู จรรยาบรรณ จรรยาบรรณ เป็นคาสมาสระหว่าง \"จรรยา\" มีความหมายเช่นเดียวกับ \"จริยา\" หมายถึงกวาม ประพฤติหรอื กรยิ าที่ควรปฏบิ ตั ิ ส่งิ ทพ่ี งึ ปฏบิ ัติ หรือสิ่งที่ตอ้ งปฏบิ ัติในวงการวิชาชีพข้ันต่าง ๆ นยิ มใชค้ าว่า \"จรรยา\" แปลว่า จริยาที่ควรปฏิบัติในหมู่คณะ ส่วนคาว่า \"บรรณ\" แปลว่า \"เอกสารหรือหนังสือ\" เม่ือรวม คา 2 คาน้ีเข้าด้วยกันเป็นคาใหม่ว่า \"จรรยาบรรณ\" จึงมีความหมายว่า ความประพฤติที่ผปู้ ระกอบวิชาชีพ ต่าง ๆ กาหนดข้ึนเพ่ือรักษาชื่อเสียงเกียรติคุณของวิชาชีพน้ัน ๆ โดยบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542 (2554 : 1) ได้นิยามความหมายของ “จรรยา\" ไว้ วา่ เป็นคานามคือความประพฤติ กิรยิ าทคี วรประพฤติในหมู่คณะ กัลยาณี สูงสมบัติ (2550 : 1) กล่าวว่า จรรยาบรรณ คือ กรอบหรือแนวทางประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม ของการประกอบอาชีพในสาขาต่าง ๆ หรือรูปแบบในการดารงตนของคนในกลุ่ม สังคม หมู่คณะ หรือ องคก์ ร ตา่ ง ๆ ซึง่ นอกเหนอื จากการแสดงออกในแนวทางท่ีถูกต้องท่ี สงั คมยอมรับแล้ว การมจี ิตสานึกที่ดี มีจิตใจงาม มีความเมตตา โอบอ้อมอารี ซ่ือสัตย์สุจริต เป็นคุณสมบัติพ้ืนฐานของผู้ประกอบสัมมาอาชีพ หรอื การดารงตนท่ีจะส่งผลต่อช่ือเสยี ง เกยี รตยิ ศและความมคี ุณธรรมของแตล่ ะบุคคล หรอื ผู้ประกอบการ หรอื กลมุ่ สงั คมน้ัน ๆ ทสี่ ามารถจะมองเห็นเป็นรปู ธรรมได้ จรรยาบรรณวชิ าชีพครู อดิศร ก้อนคา (2551 : 1) จรรยาบรรณวิชาชีพครู หมายถึง ประมวลพฤติกรรมที่กาหนดลักษณะ มาตรฐานการกระทาของครูอนั จะทาให้วชิ าชีพครูก้าวหนา้ หน้าอย่างถาวร โดยทีค่ รูจะต้องดาเนินการเรียน การสอนโดยการยดึ จรรยาบรรณต่อวชิ าชพี ตอ่ ผเู้ รียน และตอ่ ตนเอง ในการทาหนา้ ที่ของครูให้สมบูรณ์ สุเทพ ธรรมะตระกูล (2555 : 9) สรุปความหมาย จรรยาบรรณวิชาชีพครูเป็นแนวทางหรือ ข้อกาหนดที่ครูพึงปฏิบัติซ่ึงประกอบด้วยจรรยาบรรณต่อตนเอง ต่อวิชาชีพ ต่อผู้รับบริการ ต่อ ผู้ร่วม ประกอบวิชาชพี และตอ่ สงคั ม ยนต์ ชุ่มจิต (2541 : 197) กล่าวว่า จรรยาบรรณของครูหมายถึง ประมวลความประพฤติหรือกิริยา อาการทผ่ี ปู้ ระกอบวิชาชพี ครูควรปฏิบัติเพ่อื รกั ษาสง่ เสริมเกียรติคุณ ช่ือเสยี งและฐานะของความเป็นครู ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ. 2556 กาหนดความหมายของจรรยาบรรณ ของวิชาชีพ หมายความว่า มาตรฐานการปฏิบัติตนที่กาหนดขึ้นเป็นแบบแผนในการประพฤติตน ซ่ึงผู้ ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องปฏิบัติตาม เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณ ช่ือเสียงและฐานะของผู้

293 ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาแก่ผู้รับบริการและสังคม อันจะนามาซึ่งเกียรติและ ศกั ดิ์ศรีแหง่ วิชาชีพ (ราชกิจจานเุ บกษา, 2556) จากขอ้ ความข้างตน้ สรุปได้ว่า จรรยาบรรณวิชาชีพครูหมายถึงกฎแห่งความประพฤตทิ ี่องคก์ รวิชาชีพ ครกู าหนดข้นึ ให้ครูประพฤติปฏบิ ํตั ิตามในแนวทางท่ีถูกต้อง เพ่อื รักษาและส่งเสรมิ เกียรติคุณ ชื่อเสียงและ ฐานะของของความเป็นครู ความเปน็ มาของจรรยาบรรณครไู ทย อาชีพทุกสาขาต้องมีจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพของตนกาหนดไว้ เช่นเดียวกับอาชีพครู แต่ในสมัย โบราณอาชีพครูไทยยังไม่มีจรรยาบรรณเป็นลายลักษณ์อักษร ครูไทยจะยึดถือเอาแนวคาสอนตาม พระพุทธศาสนาเป็นหลักปฏิบัติต่อ ๆ มา จนกระท่ังใน พ.ศ. 2506 ม.ล.ป่ิน มาลากุล ซ่ึงเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และประธานกรรมการอานวยการคุรุสภาในสมัยน้ัน ได้ออกระเบียบ จรรยาบรรณสาหรบั ครูไทยข้นึ มา 2 ฉบับพรอ้ มกนั เป็นครัง้ แรกและยกเลกิ ไป - จรรยาบรรณครู พ.ศ. 2506 (ฉบับที่ 1) - จรรยาบรรณครู พ.ศ. 2506 (ฉบับที่ 2) ตอ่ มาจรรยาบรรณท้งั 2 ฉบบั นไ้ี ด้ถูกยกเลกิ เนื่องจากจรรยาบรรณ พ.ศ. 2506 นมี้ ไิ ด้ประกาศใชอ้ ยา่ งเป็น ทางการ คุรุสภาแกรงว่าครูอาจารย์จะเกิดความสับสนในทางปฏิบัติ ดังนั้น คุรุสภาจึงได้ปรับปรุง จรรยาบรรณครูขึ้นใหม่และประกาศใช้ในพ.ศ. 2526 จรรยาบรรณฉบับนี้ได้ ใช้ติดต่อกันมาถึง 12 ปี ประกอบกับสภาพสังคม เศรษฐกิจตลอดจนความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ เปลี่ยนแปลงไปมาก จึงมีมติให้แก้ไขปรับปรุงจรรยาบรรณครูเพื่อกาหนดระเบียบว่าด้วยจรรยามารยาท และวินยั เพือ่ ใหค้ รยู ดึ ถอื เป็นแนวปฏบิ ัตแิ ละประพฤตติ นสบื ไป - จรรยาบรรณครู พ.ศ. 2526 จรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู ของคุรุสภา พ.ศ. 2526 - จรรยาบรรณสาหรับครูฉบบั พ.ศ. 2539 จรรยาบรรณสาหรับครูฉบับ พ.ศ. 2539 คุรุสภา (สานักงานเลขาธิการคุรุสภา, 2554 :1) ได้ประกาศใช้ ระเบียบคุรุสภาว่าด้วย จรรยาบรรณครู พ.ศ. 2539 แทนระเบียบคุรุสภาว่าด้วยจรรยามารยาทและวินัย ตามระเบียบประเพณีครู พ.ศ. 2526 อาศัยอานาจตามความในมาตรา 6(20) และมาตรา 28 แห่ง พระราชบัญญัติครู พ.ศ. 2488 คณะกรรมการอานวยการคุรุสภา จึงได้วางระเบียบไว้เป็นจรรยาบรรณครู

294 เพื่อเปน็ หลกั ปฏิบตั ิ ในการประกอบวชิ าชพี ครจู รรยาบรรณท่กี าหนดให้ครปู ฏบิ ัติมาจนถึงปัจจบุ นั มที ้ังหมด 9 ขอ้ (สานกั งานเลขาธิการคุรุสภา, 2554 : 1) - จรรยาบรรณครู ฉบบั พ.ศ. 2539 จรรยาบรรณครู ฉบับ พ.ศ. 2539 น้ีคณะกรรมการอานวยการคุรุสภาได้วางระเบียบ ปฏิบัติโดยมี ลักษณะมุ่งเน้นความเป็นครูในด้านบทบาท หน้าท่ีและความรับผิดชอบท่ีพึงมีต่อศิษย์เป็นสาคัญข้อสังเกต ของจรรยาบรรณครู ฉบับนี้มี 2 ประการ คือ ประการท่ีหน่ึง จรรยาบรรณครู ไม่ใช่กฎหมายและไม่ไดเ้ ปน็ กฎกระทรวงศึกษาธิการ แต่เป็นระเบียบที่คณะกรรมการอานวยการ คุรุสภากาหนดไว้เพื่อใช้เป็นหลัก ปฏิบัติของสมาชิกคุรุสภาท่ีเป็นครูอาจารย์เท่าน้ันกรณีครูอาจารย์ ที่เป็นสมาชิกของคุรุส ภาละเมิด จรรยาบรรณครูข้างต้นไม่มีบทลงโทษแต่อย่างใด แม้คณะกรรมการ คุรุสภาไม่มีอานาจลงโทษครูอาจารย์ โดยตรง ประการที่สอง จรรยาบรรณครู ฉบับนี้เป็นฉบับท่ีถูก นาไปใช้ในทุกสถานศึกษา ทั้งนั้นอาจเป็น เพราะคุรุสภาในฐานะเป็นองค์กรวิชาชีพครูเป็นผู้ออกจรรยาบรรณครู ซึ่งมีกฎหมายรองรับอย่างเป็น ทางการคือ พระราชบัญญัติครูพ.ศ. 2488 ความแตกต่างของจรรยาบรรณครูฉบับนี้กับจรรยาบรรณของ ครูในอดีต คือ บ่งบอกถึงจรรยาบรรณของ ครูโดยตรงและโดยรวม มิได้จาแนกเป็นจรรยามารยาท จารีต ประเพณี หรือวินยั ของครู - จรรยาบรรณวิชาชีพครูพ.ศ. 2556 คุรุสภาได้ออกข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยจรรยาบรรณวิชาชีพ พ.ศ. 2556 อาศัยอานาจตาม มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) (11) (จ) และมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ. สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ประกอบกับมติคณะกรรมการคุรุสภาโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการขณะนนั้ โดยมีสาระสาคัญคือการกาหนดจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้ประกอบ วิชาชีพทางการศึกษา ทั้งต่อตนเอง ผู้รับบริการผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ และสังคม ซึ่งมีผลบังคับใช้ ภายหลังประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา แล้วโดยข้อบังคับดังกล่าวได้ให้นิยาม“ผู้ประกอบวิชาชีพ ทางการศึกษา”ว่า หมายถึง ครู ผู้บริหาร สถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลาการทางการศึกษา อ่ืน ซ่ึงได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบ วิชาชีพตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วย จรรยาบรรณของวชิ าชพี พ.ศ. 2556 มีสาระสาคัญ 5 หมวด - พ.ศ. 2562 มกี ารเปล่ียนแปลงมาตรฐานวิชาชพี มาตรฐานการปฏิบัตติ น ยังคงเดมิ (ราชกิจจานุเบกษา, 2562: 3) - จรรยาบรรณวิชาชพี 5 ด้าน 9 ข้อ เหมอื นเดมิ มดี ังนี้

295 ข้อบงั คับครุ สุ ภา วา่ ดว้ ยจรรยาบรรณของวชิ าชพี พ.ศ. 2556 จรรยาบรรณวิชาชีพครูมี 5 ด้าน 9 ข้อ ตามท่ีข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ. ๒๕๕๖ วิชาชีพ หมายความว่า วิชาชีพทางการศึกษาที่ทาหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอน และ การส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่าง ๆ รวมท้ังการรับผิดชอบการบริหารสถานศึกษาใน สถานศึกษาปฐมวัย ขั้นพื้นฐาน และอุดมศึกษาท่ีต่ากว่าปริญญาท้ังของรัฐและเอกชน และการบริหาร การศึกษานอกสถานศึกษาในระดับเขตพื้นที่การศึกษา ตลอดจนการสนับสนุนการศึกษาให้บริการหรือ ปฏิบัติงานเก่ียวเนื่องกับการจัดกระบวนการเรียนการสอน การนิเทศ และการบริหารการศึกษาใน หนว่ ยงานการศึกษาต่าง ๆ 1.จรรยาบรรณตอ่ ตนเอง ข้อท1ี่ ผูป้ ระกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา ตอ้ งมวี นิ ัยในตนเอง พัฒนาตนเองดา้ นวชิ าชีพ บคุ ลิกภาพ และวสิ ยั ทศั น์ ให้ทนั ต่อการพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกจิ สงั คม และการเมืองอยู่เสมอ 2. จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ ข้อท่ี2 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก ศรัทธา ซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบต่อวิชาชีพและ เปน็ สมาชิกท่ดี ขี ององคก์ รวชิ าชพี 3.จรรยาบรรณตอ่ ผ้รู บั บรกิ าร ข้อท3ี่ ผปู้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษา ตอ้ งรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลอื สง่ เสริมให้กาลังใจแก่ ศิษย์ และผ้รู ับบริการตามบทบาทหน้าที่โดยเสมอหนา้ ข้อท4่ี ผปู้ ระกอบวิชาชีพทางการศกึ ษา ต้องส่งเสรมิ ใหเ้ กิดการเรียนรู้ ทกั ษะ และนิสัย ที่ถูกตอ้ งดี งามแก่ศิษย์ และผูร้ บั บรกิ าร ตามบทบาทหนา้ ทอี่ ยา่ งเตม็ ความสามารถ ดว้ ยความบริสุทธิใ์ จ ข้อท่ี5 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งทางกาย วาจา และจติ ใจ ข้อท่ี6 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องไม่กระทาตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปญั ญา จิตใจ อารมณ์ และสงั คมของศษิ ย์ และผรู้ ับบรกิ าร ขอ้ ท7่ี ผูป้ ระกอบวชิ าชีพทางการศึกษา ต้องให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไมเ่ รียก รบั หรือยอมรบั ผลประโยชนจ์ ากการใชต้ าแหน่งหน้าที่โดยมชิ อบ 4.จรรยาบรรณตอ่ ผู้รว่ มประกอบวิชาชีพ ข้อท่ี8 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงช่วยเหลือเก้ือกูลซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์โดยยึด ม่นั ในระบบคณุ ธรรม สรา้ งความสามัคคีในหม่คู ณะ

296 5.จรรยาบรรณตอ่ สังคม ข้อท่ี9 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นาในการอนุรักษ์และพัฒนา เศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม และยึด มั่นในการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมขุ การรอ้ งเรยี นและโทษสาหรบั ผปู้ ระพฤตผิ ดิ จรรยาบรรณ (1) มาตรา 51 บุคคลซึ่งได้รับการเสียหายจากการประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ ของผู้ ไดร้ บั ใบอนญุ าต มีสิทธิกล่าวหา ผไู้ ด้รับอนญุ าตนั้น โดยทาเร่อื งยื่นต่อครสุ ภา (2 ) กรรมการคุรุสภา กรรมการมาตรฐานวิชาชีพ หรือบุคคลอ่ืน มีสิทธิกล่าวโทษผู้ประกอบ วิชาชีพ วา่ ผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ โดยแจ้งเร่ืองต่อครุ สุ ภา สิทธกิ ารกล่าวหาตาม (1) สิทธิการกล่าวหาตาม (2) สนิ้ สดุ ลงเม่ือพน้ เวลา 1 ปี มาตรา 52 เม่อื คุรสุ ภาได้รับเรือ่ งกล่าวหา หรอื การกลา่ วโทษ ตามมาตรา 51 ใหเ้ ลขาธิการครุ สุ ภา เสนอเรือ่ งดังกลา่ ว ตอ่ >> คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ โดยไมช่ ักชา้ มาตรา 53 ให้ประธานกรรมการมาตรฐานวชิ าชพี แจ้งหนังสอื ไปยงั ผู้ท่ีถูกกล่าวหาหรือกลา่ วโทษที่ มีใบประกอบวิชาชีพ ล่วงหนา้ ไมน่ ้อยกว่า 15 วัน ก่อนเร่ิมพิจารณา ผู้ถกู กล่าวหาหรือกล่าวโทษ มีสิทธิทาคาชี้แจง หรือนาพยานหลักฐาน ส่งคณะกรรมการมาตรฐานวชิ าชีพ หรืออนุกรรมการ ภายใน 15 วัน นบั ตัง้ แต่วนั ที่ได้รับแจงจากประธานกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook