Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

Published by เบญจลักษณ์ กองเลิศ, 2021-02-12 11:24:25

Description: รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

Search

Read the Text Version

297 การรอ้ งเรยี นและโทษสาหรับผผู้ ดิ จรรยาบรรณ มาตรา 54 คณะกรรมการมาตรฐานวชิ าชีพ มอี านาจวนิ ิจฉัยชีข้ าดอยา่ งใดอย่างหนึง่ ดังต่อไปน้ี 1. ยกข้อกล่าวหา 2. ตักเตือน 3. ภาคทณั ฑ์ 4. พกั ใช้ใบอนุญาตมกี าหนดเวลาตามทเ่ี ห็นสมควร แตไ่ ม่เกิน 5 ปี 5. เพกิ ถอนใบอนุญาตประกอบวชิ าชพี มาตรา 55 ผไู้ ด้รบั ใบอนุญาตซึง่ คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชพี วินิจฉัยชข้ี าด มาตรา 54 ข้อ 2-4 อาจอุ ธรณ์ คาวินิจฉัยตอ่ คณะกรรมการครุ ุสภาภายใน 30 วัน นับจากวนั ทีไ่ ด้รบั แจ้งคาวินจิ ฉัย มาตรา 56 หา้ มมิให้ผไู้ ด้รับใบอนญุ าตซึ่งอยู่ระหวา่ งถูกพักใบอนญุ าต ผู้ใดประกอบวิชาชพี ควบคมุ หรือ แสดงดว้ ยวธิ ใี ด ใหผ้ อู้ นื่ เข้าใจว่าตนมีสทิ ธพิ รอ้ มจะประกอบวิชาชีพตามควบคมุ นบั แต่วนั ทที่ ราบคาส่ังพัก ใชใ้ บอนญุ าตนนั้ มาตรา 57 ผู้ไดร้ บั ใบอนญุ าตซึ่งถเู พิกถอนจะยืน่ ขออกี ไมไ่ ด้ จนกว่าจะพน้ 5 ปนี ับนบั แตว่ ันทถ่ี ูกสง่ั เพิกถอน (ราชกิจจานเุ บกษา, 2556: 32)

298 อา้ งองิ กลั ยาณี สงู สมบตั ิ. (2550). สอื่ การเรยี นร้อู อนไลนว์ ชิ าเทคนคิ การจดั การสมยั ใหม่. สบื คน้ จาก http://uhost.rmutp.ac.th/kanlayanee.so/L3/3-1-1.htm. กลุม่ กฎหมายและคดี (2560). หลกั กฎหมายและระบบบรหิ ารการศกึ ษาไทยในอดตี ปจั จบุ นั และ อนาคต สบื ค้นวันที่ 5 มกราคม 2564. จาก https://sites.google.com/a/phayao2.go.t/nitikorn/bthkhwam/hlakkdhmaylaearabbbrih arkarsuksathiynixditpaccubanlaeaxnakht. ข้อบงั คบั ครุ ุสภาวา่ ด้วยจรรยาบรรณวิชาชพี พ.ศ.2556. (2556, 4 ตลุ าคม). ราชกิจจานเุ บกษา. เลม่ ท่ี 130 ตอนพิเศษ 130. หนา้ 32 ข้อบังคบั ครุ ุสภาว่าด้วยมาตรฐานวชิ าชีพ (ฉบบั ที่ 4) พ.ศ.2562. (2562, 20 มีนาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เลม่ ท่ี 136 ตอนพิเศษ 68. หนา้ 3 ครุ ุสภา. (2561). ประวตั คิ รุ สุ ภา. สบื คน้ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563. จาก https://www.ksp.or.th/ksp2018/ksp_history/. ครุ สุ ภา. (2561). วัตถปุ ระสงค์และอานาจหน้าท่ี. สบื ค้นเม่อื วนั ที่ 14 ธนั วาคม 2563. จาก https://www.ksp.or.th/ksp2018/objectives/. พระราชบัญญตั สิ ภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546. (2546, 11 มิถนุ ายน). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 120 ตอนท่ี 52 ก. หน้า 17-19. พระราชบญั ญตั สิ ภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546. (2546, 11 มิถนุ ายน). ราชกจิ จานเุ บกษา. เล่มท่ี 120 ตอนท่ี 62 ก. หนา้ 3,12. ยนต์ ชมุ่ จิตร.์ (2541). ความเปน็ คร.ู พิมพ์ครง้ั ที่ 3 กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. สานกั งานพฒั นารัฐบาลดจิ ิทัล. (2559). สานกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา. สบื ค้นจาก https://www.egov.go.th/th/government-agency/242/. สานกั งานเลขาธกิ ารคุรสุ ภา. (2541). แบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณครู พ.ศ.2539. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรสุ ภาลาดพร้าว สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2559). การบรู ณาการสแู่ ผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ. สบื ค้นจาก http://www.oic.go.th/FILEWEB/CABINFOCENTER6/DRAWER050/GENERAL/DATA0000/ 00000004.PDF.

299 อ้างองิ สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา. (ม.ป.ป.). ความเปน็ มาของสานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา. สบื คน้ จาก http://www.onec.go.th/index.php/page/category/CAT0001072. สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา. (ม.ป.ป.). อานาจหนา้ ท่ี. สืบค้นจาก http://www.onec.go.th/index.php/page/category/CAT0001153. ศนู ยเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ (2562). การศึกษาไทยใน อดตี . สบื คน้ วันท่ี 4 มกราคม 2564. จาก https://www.moe.go.th/. อดิศร ก้อนคา. (2551). จรรยาบรรณในวิชาชีพคร.ู สืบคน้ จาก http:// www.Kroobannok.Com/ 2605. อมรรัตน์ เตชะนอก และคณะ. (2563). การจดั การศึกษาในศตวรรษท1่ี . ปีท่ี7 (กนั ยายน). อรสา จรญู ธรรม. (ม.ป.ป.). วิวัฒนาการของการศึกษาไทย. สืบคน้ 14 มกราคม 2564, จาก http://www.eledu.ssru.ac.th/.

ก กลุ่ม 2 จติ วิญญาณความเปน็ ครู คา่ นิยมครู

300 จติ วญิ ญาณความเปน็ ครู อาชีพครูน้ันถือเป็นวิชาชีพชั้นสูง (Profession) มีความสาคัญมากต่อสังคม และใน ขณะเดียวกันก็ได้รับการคาดหวังจากสังคมมาก เน่ืองจากบทบาทของครูทาหน้าที่เป็นผู้สร้างสรรค์ เยาวชน เป็นผูพ้ ฒั นาทรัพยากรมนุษย์รวมท้ังการมีส่วนรว่ มสว่ นรว่ มในการแก้ไขปัญหาของสังคม งาน ครูเป็นการวางรากฐานความรู้ความดีและความสามารถทุกๆด้านแก่เด็กและเยาวชน นพ.ดร.สกล สิง หะ.(2550) กล่าวถึงความเป็นครูว่าอาชีพครูมีความเชื่อ ศรัทธาในมนุษย์ ในความสามารถของการ เยียวยาตนเอง การพัฒนาตนเอง และก้าวไปข้างหน้า ครูใช้ความศรัทธาในการพยายามช่วยนักเรียน ในการแสวงหาหนทาง และความหมายของตนเอง ในอดีตที่ผ่านมาเรามักจะพบเห็นลกั ษณะครูอาชีพ ที่มีความเป็นครูโดยสมบูรณ์ทางานด้วยใจรักเป็นครูด้วยจิตและวิญญาณมีความห่วงใยต่อสิทธ์ิดุจลูก ของตนเองซ่ึงสอดคล้องกับ (Pajak; &Blaise.1989) กลา่ วว่าจติ วิญญาณครจู ะทาให้ครูประกอบอาชีพ ครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ และครูที่มีจิตวิญญาณมักจะมีความเป็นมิตร ดูแลเอาใจ ใส่เข้าใจ ยอมรับ และอดทนต่อนักเรียนของตน ดังน้ัน จึงมีความจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องมีการศึกษาและพัฒนาจิต วญิ ญาณความเป็นครู เพอื่ พฒั นาใหเ้ กิดครูทีพ่ ึงประสงค์หรอื ครูอาชีพ ความหมายของคาวา่ จิตวิญญาณ คาวา่ จิตวิญญาณ Spiritual หรือ Spirituality มรี ากศัพทม์ าจากคาว่า Spiritus ในภาษา ลาติน หมายถงึ ลมหายใจผสมกบั คาวา่ Enthousiasmos มาจากรากศัพทข์ องคาว่า Enthusiasm ที่ หมายถึง The god within หรือ พลงั อานาจศักด์ิสิทธข์ิ องชวี ิต (โกมาตร จงึ เสถยี รทรัพย์,2549) ดงั นั้นคาวา่ “จิตวญิ ญาณ” มาจากคาว่า “จติ ” และ “วญิ ญาณ” โดยสรปุ หมายถึงสิง่ ท่ีอยู่ในตน ทาให้ เป็นบุคคลขึ้น เปน็ ความรูแ้ จง้ ความรสู้ ึกตวั จิตใจ (ราชบัณฑติ ยสถาน, 2546) นกั วชิ าการจาแนก ความหมายของจติ วญิ ญาณเปน 3 ความหมาย ประกอบด้วย 1. ความเปนเอกัตตาหรอื ปจั เจกบุคคล หมายถงึ ความเปนตัวตนทม่ี ีลกั ษณะเฉพาะของแตล่ ะ บุคคลซ่งึ เกิดจากการหยงั่ รนู้ าไปสู่การปฏบิ ัติและการเกิดศรัทธา ในเรือ่ งใดเร่ืองหนึ่ง (ศุภลกั ษณ์ ทดั ศรี และอารยา พรายแย้ม. 2554. 61) 2. ความมคี ุณคา่ สูงสง่ หมายถงึ ปัญญาหลกั การของชีวิต เชน่ ความดี บุญกุศล คุณธรรม จริยธรรม การร้จู กั ผดิ ชอบชวั่ ดี มีจิตใจสงู ขนึ้ (ประเวศ วะสี. 2553,ประสทิ ธิ์ อุ่นหนองกงุ่ . 2555. 12)

301 3. ความเปนนามธรรม หมายถงึ โครงสร้างหน่งึ ของมนุษย์ท่นี อกเหนือจากร่างกายและจิตใจ จบั ตอ้ งไมไ่ ด้ พัฒนามาจากความผกู พันด้านจติ ใจของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เปนแหลง่ ของความหวัง พลงั ใจท่ีเขม้ แข็ง เปนขุมพลงั ของชีวิตทีท่ าใหป้ ระสบความสาเร็จและมคี วามสุข (พัชนี สมกาลงั . 2556. 93) ประเวศ วะสี (2544) ไดใ้ ห้ความหมายของจิตวญิ ญาณว่า “จติ วิญญาณ หรือจิตสูงนั้น หมายถงึ ความดีการลดความเหน็ แก่ตวั การเข้าถงึ ส่ิงสูงสดุ สงิ่ สูงสุดทางพุทธ คือพระนิพพานหรอื ปัญญาหรือวชิ ชา ศาสนาอน่ื หมายถงึ พระผเู้ ป็นเจา้ ” สถานะของมติ ิทางจิตวิญญาณ อารยา พรายแยม้ และคณะ (2552) ได้สรุปความหมายของจติ วญิ ญาณวา่ เป็นสง่ิ ที่แสดง ออกเป็นแกน่ แทห้ รือสาระของบางส่งิ หรือคนบางคน โดยอย่เู หนือการมีสุขภาวะทางอารมณ์และจิตใจ ทด่ี ีและมีความสุข จากความหมายท่กี ล่าวมาข้างตน้ สามารถสรปุ ความหมายของจิตวญิ ญาณ ได้วา่ ลกั ษณะ ของจติ อันสงู ส่งของบุคคล มีความกลา้ ทจ่ี ะยืนหยัดทาในส่งิ ทถ่ี ูกต้อง มีความเมตตากรุณา ลด ความเหน็ แกต่ ัว รู้จกั การให้อภัย และมกี ารตระหนกั รู้ รวมทง้ั การมีความเชือ่ และศรัทธาในตวั บคุ คล น้นั ๆ ด้วยจติ ใจอันบริสทุ ธ์ิ ความหมายของคาวา่ จิตวิญญาณครู คาว่า จิตวิญญาณความเป็นครู (Teacher spirituality ) ในประเทศไทยนั้นเราใช้กันมากใน วงการศึกษา แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม ทางด้านจิตวทิ ยา Snyder และLopez (2007) ได้ให้ความหมายของคา ว่า Spirituality ว่าเป็นการหาหนทางท่ีนาไปสู่การเป็นท่ียอมรับและภาคภูมิในตนเอง ดังนั้น การ ปฏิบัติตามจรรยาบรรณครูท้ัง 9 ประการ จึงเป็นหนทางสู่การพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู(ธวัชชยั เพ็งพินจิ , 2550) จิตวิญญาณความเป็นครูจึงเป็นความตระหนักถึงหน้าท่ีในความเป็นครูของตนเองเพื่อพัฒนา นักเรียนและวิชาชีพ ดังนั้นคาว่า จิตวิญญาณ จึงแตกต่างจาก คาว่าอุดมการณ์ เพราะอุดมการณ์ หมายถึงหลักการท่ีวางระเบียบไว้เป็นแนวปฏิบัติเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ ดังนั้นอุดมการณ์ จึงเป็นระบบแห่งความเชื่อในเรื่องใดเร่ืองหนึ่งที่สมาชิกของสังคมน้ันๆยึดถือร่วมกัน อุดมการณ์ความ

302 เป็นครูจึงเป็นเป้าหมายท่ีครูมีร่วมกันในวิชาชีพครู (ณัฏฐภรณ์หลาวทอง และปิยวรรณ วิเศษสุวรรณ ภมู ,ิ 2553: 2) ความหมายของคาวา่ ครู พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 อธบิ ายวา่ ครูคอื ผู้สั่งสอนศิษย์ผู้ถ่ายทอด ความร้ใู หแ้ ก่ ศิษย์ ในปจั จบุ นั คาวา่ ครูจะค่อนข้างหมายถงึ อาชีพประการหนงึ่ ในสังคมมากกวา่ จะหมายถงึ บุคคล ครู มีรากศัพทเ์ ป็นภาษาบาลี มาจากคาว่า ครุ (คะร)ุ ซึ่งแปลวา่ หนักแน่น และสนั สกฤตว่า คุรุ (คุ-รุ) ซึ่งแปลว่า ผ้ชู ีแ้ สงสว่าง แตโ่ ดยความหมายในภาษาไทยกค็ ือครผู ู้สอนประสิทธิป์ ระสาทความรู้ อบรม บ่มนิสยั ศิษย์ใหเ้ ปน็ คนดียกระดับวิญญาณความรูด้ ีช่วั ใหแ้ ยกแยะความดีความชวั่ และรู้จกั การ ดารงชีวติ ในแนวทางที่ถูกต้องมคี ณุ ธรรม ธรรมนนั ทกิ า แจ้งสว่าง (2554 : 7) ได้ให้ความหมายของครู วา่ เปน็ บคุ ลากรวิชาชพี ทท่ี า หน้าทใ่ี นการสง่ั สอนศิษยห์ รือถา่ ยทอดความรู้ให้กบั ศิษย์มีหน้าท่ีหลกั ทางด้านการเรยี นการสอนและ การส่งเสรมิ การเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวธิ ีการตา่ งๆ ในสถานศึกษา เพือ่ ให้ผ้เู รยี นเกิดความรอบรู้ เจริญกา้ วหนา้ และพัฒนาในทุกๆดา้ น รวมทั้งให้เป็นผูท้ ่ีมศี ลี ธรรม จรยิ ธรรม ตามที่สงั คมปรารถนา จากความหมายของครูท่ีได้กลา่ วมาข้างตน้ สามารถสรปุ ความหมายของครูได้วา่ ครเู ป็น บคุ คลผปู้ ระสทิ ธิป์ ระสาทความรู้ อบรมบม่ นสิ ัยศษิ ย์ใหเ้ ป็นคนดี โดยการสงั่ สอนให้ร้จู ักการแยกแยะ ความดคี วามชัว่ และรูจ้ กั การดารงชวี ติ ในแนวทางท่ีถกู ต้องมีคณุ ธรรม ความหมายของจติ วญิ ญาณความเปน็ ครู เม่ือนาความหมายของจิตวิญญาณ มารวมกับคาว่าครู สรุปได้ว่า จิตวิญญาณความเปนครู หมายถึง จิตสานึกตามกรอบคุณธรรมจริยธรรมซึ่งทาให้เกิดการใฝ่รู้ ค้นหา สร้างสรรค์ ถ่ายทอด ปลูกฝังและเป็นแบบอย่างที่ดีท้ังของศิษย์เพื่อนร่วมงานและคนในสังคม นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการได้ ให้ความหมายของคาว่า จิตวญิ ญาณความเป็นครูไว้ ดงั นี้ ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง และปิยวรรณ วิเศษสุวรรณภูมิ (2553: 37) ได้ให้ความหมายของจิต วิญญาณความเป็นครูว่าเป็นคุณลักษณะของบุคคลในการมีจิตใจที่ปฏิบัติตนเพ่ือนาไปสู่การเป็นท่ี ยอมรับและภาคภูมิใจในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่บุคคลอื่น ซึ่งคุณลักษณะดังกล่าวประกอบด้วย

303 ความรับผิดชอบในหน้าท่ี ความรักในอาชีพ ความรักและเมตตาเพ่ือนมนุษย์ ความเสียสละ ความ อดทน ความยตุ ิธรรม และการเป็นแบบอยา่ งทีด่ ี ธรรมนันทิกา แจ้งสว่าง (2554 : 8) ได้ให้ความหมายของจิตวิญญาณความเป็นครูว่าเป็น คุณลักษณะทางจิตและพฤติกรรมการทางานท่ีสะท้อนถึงการเป็นครูท่ีดี ประกอบด้วยการเห็นคุณค่า ของบทบาทหน้าที่ การมีศรทั ธาในวิชาชีพ และยึดมน่ั ต่ออดุ มการณ์ในการทางานเป็นครู มีความเข้าใจ ท้งั ตนเองและผู้อื่น ในขณะท่ีจิตวญิ ญาณความเปน็ ครทู ่ีปรากฏเป็นพฤติกรรมประกอบดว้ ย การปฏบิ ัติ ต่อนักเรียนด้วยความเมตตา ช่วยเหลือ เสียสละ อดทน การเป็นแบบอย่างที่ดี รวมท้ังการพัฒนา ตนเองโดยการแสวงหาความรู้เพิม่ เตมิ สุพิชญา โคทวี (2557: 50) ได้กล่าวว่า จิตวิญญาณความเป็นครู คือการเป็นครู ด้วยใจรัก มี ความเมตตาต่อศิษย์ มีความอดทน มีคุณธรรมจริยธรรม และเป็นผู้ที่มีความเสียสละ เพ่ือประโยชน์ สว่ นรวม ธวัชชัย เพ็งพินิจ (2550) ใหความหมายของคาวา จิตวิญญาณความเปนครู หมายถึง จิตสานึก ความคิด ทัศนคติ พฤติกรรมการแสดงออกท่ีดี ลุมลึกสงบเย็นเปนประโยชนตามกรอบของ จริยธรรมคุณธรรม คานิยม จารีตประเพณี วัฒนธรรม และความคาดหวังของสังคมอันเปนองครวม ธาตุแทของบคุ คลผูใฝรู คนหา สรางสรรค ถายทอดปลูกฝง และเปนแบบอยางที่ดขี องสังคม ซ่ึงมีไดใน ทกุ คนไมเฉพาะผูประกอบอาชพี ครเู ทานน้ั พะนอม แกวกาเนิด (2552) ใหความหมายของคาวา จิตวิญญาณความเปนครู หมายถึง ความรสู ึกนึกคิดท่ีเกิดจากความตระหนัก (เห็นคุณคาตนเอง) และศรัทธา (ความเชื่อความเคารพใน ความเปนตนเอง) เปนความเช่ือที่อยูเหนือเหตุผล ใหความสาคัญกับบทบาทหนาที่ในการพัฒนา เยาวชน มคี วามผกู พนั มุงม่นั กระทาหนา้ ที่ใหเกดิ ความสมั ฤทธิส์ งู สดุ จิตวิญญาณความเป็นครูเป็นคุณลักษณะท่ีแสดงทางด้านพฤติกรรมส่วนตัวและพฤติกรรม ส่วนรวมเป็นที่ประจักษ์แก่สังคมและเป็นที่ยอมรับในการปฏิบัติหน้าท่ีครูด้วยคุณธรรม จริยธรรมและ ความปรารถนาท่ีจะพัฒนาศิษย์ตามศักยภาพพร้อมกับตระหนักถึงการพัฒนาองค์ รวมด้วยความ เสียสละ มีความคิดสร้างสรรค์เป็นแบบอย่างท่ีดีของสังคมและเป็นผู้มีจิตใจใฝ่ต่อ การศึกษาพัฒนา ตนเองสอดรับกับแนวคิด (สุทัศน์ สังคะพันธ์, 2558) การปฏิรูปคุณภาพการศึกษาเป็นส่วนหน่ึง ที่

304 จะต้องให้ความสาคัญกับการยกระดับคุณภาพของครู ซึ่งถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบสาคัญท่ีสุดอีก ประการหนึ่งในระบบการศึกษา ท้ังนี้เน่ืองจากครูมี ความสาคัญในการใช้กลวิธีทางการศึกษาที่ หลากหลายท่ีจะทาใหผ้ เู้ รียนมีความรู้ วิทยาการในการช่วยฝกึ ใหม้ ีทกั ษะชานาญการเฉพาะด้าน เพื่อน นาประกอบอาชีพรวมทั้งปลูกฝังให้ผู้เรียนได้รู้คุณค่าของศิลปวัฒนธรรมแล ะประเพณีของชาติ ตลอดจนมีความสานึกและความรับผิดชอบใน การรักษาความม่ันคง ความมีเสถียรภาพและเอกราช ของประเทศชาติซึ่งครูถือว่าเปน็ วิชาชีพท่ีมีองค์ประกอบสาคัญ คือ เป็นวชิ าชีพทใ่ี หบ้ ริการแก่สงั คมใน ลักษณะแบบจาเฉพาะเจาะจงด้วย การใช้กระบวนการแห่งปัญญาในการให้บริการมีวิธีการศึกษา อบรมให้ความรู้กว้างขวางลึกซ้ึงโดยใช้ระยะเวลายาวนานพอสมควรให้มีเสถียรภาพในการใช้วิชาชีพ นั้น ๆ ตรงตามมาตรฐาน วชิ าชีพมจี รรยาบรรณวชิ าชีพ และมสี ถาบันแห่งวชิ าชพี เปน็ ศูนย์กลางในการ สรา้ งสรรคจ์ รรโลง ความเปน็ มาตรฐานวิชาชีพ (ศักดิ์ไทย สรุ กจิ บวร, 2557) โดยสรุป จิตวิญญาณ หมายถึง โครงสร้างหน่ึงของมนุษย์ท่ีผสมผสานมิติร่างกายและมิติจิต สังคมเข้าด้วยกัน เปนสิ่งที่ให้ความหมายแก่ชีวิต และช่วยกาหนดแนวทางการปฏิบัติซึ่งมีผลต่อ ความสุขและความสาเร็จในชีวิตหรือวิชาชีพ เมื่อนาความหมายของจิตวิญญาณมารวมกับคาว่าครู สรปุ ได้ว่า จิตวญิ ญาณความเปนครู หมายถงึ คุณลกั ษณะท่แี สดงถึงพฤติกรรมท่ีเป็น ประจกั ษ์น่าชนื่ ชม และเป็นท่ียอมรับในการปฏิบัติหน้าที่ครู มีจิตสานึกตามกรอบคุณธรรมจริยธรรมซ่ึงทาให้เกิดการใฝ่รู้ ค้นหา สร้างสรรค์ ถ่ายทอด ปลูกฝังและเป็นแบบอย่างท่ีดที งั้ ของศษิ ย์ เพือ่ นร่วมงาน และคนในสงั คม จิตวิญญาณความเป็นครมู ืออาชพี จิตวิญญาณความเป็นครูมืออาชีพ สังคมกาลังเรียกร้องหาและเป็นความคาดหวังของ ผู้ปกครองที่เฝ้ารอและหวังว่า บุตรหลานของตนน้ัน จะได้รับการศึกษาที่ดีมีคุณภาพ ไม่เกิด ความ เล่ือมล่าทางการศึกษา ไม่แบ่งชนช้ันวรรณะ แต่มีความเสมอภาคทางการศึกษาเท่าเทียบ กันทุกพ้ืนท่ี ของประเทศไทย ความคาดหวังเหล่าน้ี จงึ ตกเป็นภาระหนา้ ทขี่ องผู้ทาหน้าที่ คือ “คร”ู ซ่ึงเปน็ บุคคลที่ ได้รับการยกย่องและเป็นท่ีเคารพนับถือของสังคมด้วยเกียรติยศของอาชีพ ครูจึงเป็นบุคคลต้นแบบ หรือเป็นแบบอย่างท่ีดีทางกาย วาจา จิตใจที่อ่อนโยน และความ ประพฤติที่แสดงออกต่อสังคม บ่ง บอกถงึ ความรักความเมตตาต่อศิษย์ทุก ๆ คน และเพ่อื น ร่วมงาน ความประพฤติของครู จึงมีอิทธิพล ต่อสังคมและศิษย์ด้านการศึกษา ความเสียละ ความรับผิดชอบต่อการปฏิบัติหน้าท่ี จึงเป็นแบบอย่าง ทด่ี ใี หก้ บั ศิษย์ได้ยึดเป็นแนวทางการปฏิบัติตนทั้งด้านความประพฤติ เพราะการศึกษาของเยาวชน จะ

305 มีประสิทธิภาพ หรือด้อย ประสิทธิภาพ ไม่ได้เกิดจากความล้มเหลวทางการศึกษาของเยาวชนเทา่ น้นั ครูก็เป็นส่วนหน่ึง ของความสาเร็จ เพราะเป็นผู้ทาหน้าท่ีถ่ายทอดความรู้ ต่าง ๆ โดยพร่าสอนให้ลูก ศิษย์ได้รับ การศึกษาด้วยความเสียสละ ความรัก ความเมตตา ต่อลูกศิษย์ และยังอุทิศตนต่อการ ปฏิบัติ หน้าท่ี โดยไม่รู้จักคาว่าเหน็ดเหนื่อย หรือความยุ่งยากลาบาก แต่แสดงออกถึงความรู้ ความสามารถ มีศิลปะวิทยาทงั้ ศาสตร์และศลิ ป์ในคนเดียวกัน เรียกวา่ ครทู ม่ี ีจติ วญิ ญาณความ เปน็ ครู มืออาชีพและครูควรได้รับการพัฒนาด้านการศึกษาด้านการสอน และการฝึกอบรมการ จัดกิจกรรมท่ี เอื้อต่อการเรียนการสอน สอดรับกับแนวคิด อมรรัตน์ แก่นสาร (2558) กล่าวว่า จิตวิญญาณความ เป็นครูแบ่งเป็น 3 ช่วงดังต่อไปนี้ ชว่ งท่ี 1 ชว่ งพฒั นาสกู่ ารเปน็ ครู ช่วงการเป็นครผู ู้มจี ิตวิญญาณความเป็นครู และชว่ ง การคง อยู่ของการเปน็ ครูผมู้ จี ิตวญิ ญาณความเป็นครู ชว่ งท่ี 2 การเปน็ ครผู มู้ จี ิตวญิ ญาณความเปน็ ครู การตระหนกั รใู้ นความเป็นครู การปฏบิ ัติตน บนวถิ ีความเปน็ ครู การมีเปา้ หมายการทางานเพ่ือเด็ก และการปฏิบัตติ อ่ เด็กดว้ ย ความรักและเมตตา ช่วงที่ 3 การคงอย่ขู องการเปน็ ครู ผู้มีจิตวิญญาณความเป็นครูประกอบด้วย ความสุข ความ ภาคภมู ิ ใจ ความผูกพันระหว่างครูกับศิษย์ และความศรัทธาต่อบุคคลผู้ทรงคุณค่าของ แผ่นดิน สานักงาน ส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สานักงานส่งเสริมสังคม แห่งการเรียนรู้และ คุณภาพเยาวชน, 2557) ได้กล่าวถึงจิตวิญญาณความเป็นครู หมายถึง คุณลักษณะครูที่มีคุณภาพใน การยกระดับคุณภาพครูในศตวรรษที่ 21 ได้แก่เป็นผู้ที่มีจิต วิญญาณความเป็นครูและผู้มีความรู้ ความสามารถและทักษะการจัดการเรียนรู้ มีทักษะการ สื่อสารอานวยความสะดวกในการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ ตื่นรู้ ทันสมัย ทันเหตุการณ์เป็น แบบอย่างทางคุณธรรมจริยธรรมและศีลธรรมรวมท้ัง ภาคภูมิใจในการเป็นพลเมืองไทยและพลโลกในขณะที่กลยุทธ์เป็นแนวทางหรือวิธีการท่ีจะทาให้การ ดาเนนิ งานขององค์กรบรรลุผลสาเรจ็ เป็นไปอยา่ งมีทิศทางสอดคล้องกบั วิสยั ทัศน์พันธะกิจขององค์กร ด้วยการมสี ่วนรว่ มของบคุ ลากรในการจัดทาและยึดถือปฏิบตั ิรวมกันซ่งึ การจัดทากลยุทธท์ ่ีถูกตอ้ งและ เหมาะสมจะนามาสกู่ ารบรรลคุ ุณภาพและประสิทธิภาพในการดาเนนิ งานขององค์กร กล่าวโดยสรุปว่า การพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืองให้มีความรู้ โดยเฉพาะทักษะการใช้ เทคโนโลยี และทักษะในการสอน ประพฤติเป็นแบบอยา่ งท่ีดีเอาใจใส่ และหวังดีตอ่ ศษิ ย์ ปรารถนาให้ ศิษย์ทุกคนได้มีการงานที่ดีทาและเป็นคนดีของสังคม การปฏิบัติงานของครู ลักษณะดังกล่าวเรียกได้

306 ว่าการปฏิบัติด้วย “จิตวิญญาณความเป็นครู” การปฏิบัติหน้าที่ ของครู ด้วยความวิริยะ มุ่งม่ันและ ทุ่มเทด้วยจิตและวิญญาณ อุทิศตนเพ่ือการสอน และมีการพัฒนาสื่อ การสอนตลอด ก็จะทาให้เกิด ความตระหนักและมุ่งม่ันทุ่มเทในการทางาน พยายามรักษา ศักด์ิศรีแห่งตนและวิชาชีพ และท่ีสาคัญ คือ ความศรัทธาในวิชาชีพครูมุ่งม่ันพัฒนาตนเอง ครูจะต้องมีการพัฒนาตนเอง และครูจะประสบ ความสาเร็จต่อหน้าที่การงานท่ีปฏิบัติ อยู่ จะต้องเกิดจากการพัฒนา “ใจ” หรือ “จิตสานึก” มีใจรัก ต่ออาชีพครู และใจต้องพร้อมท่ี จะเสียสละเพ่ือสังคม จึงจะประสบความสาเร็จตามเป้าหมาย ครูท่ี ได้รับการพฒั นานน้ั จะมมี าก นอ้ ยเพียงใดในแตล่ ะปี สว่ นหน่งึ กข็ น้ึ กับต้นสงั กดั จะทาใหโ้ อกาสของครู เหล่านี้ได้มีโอกาส พัฒนาตนเองด้านการศึกษา หรือไม่อย่างไร สังคมกาลังต้องการครูท่ีมีสานึกใน ความเป็นครู เป็นผู้เสียสละ อดทน อุทิศตนในการสอน หรือการบริหาร ก็นับว่าเป็น “ครูท่ีมีจิต วิญญาณ ความเปน็ ครู” ปฏบิ ัติหน้าทแ่ี ละพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่อื งระมัดระวังการประพฤตปิ ฏิบัติให้ อยู่ ในหลักศีลธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ ซึ่งลักษณะดังกล่าว จะนา ไปสู่การเป็น “ครูมืออาชีพ” ควรมีลกั ษณะ 3 ประการ 1) แสวงหาความรู้ พฒั นาตนเองตลอดเวลา เน้นเจตนาที่จะ ให้ผู้ร่วมงานประสบความสาเร็จ ด้วยกนั 2) ความปรารถนาดี เป็นความคิดที่อยู่เหนือระดับ เหตุผลและตรรกะ เป็นความคิดที่มาจาก จิตวญิ ญาณ และจิตสานึก 3) สร้างความเช่ือมั่นใน ตนเอง มุ่งม่ันในการทางาน และศรัทธาในผลสาเร็จที่เกิดจากการ ปฏบิ ัตงิ าน องคป์ ระกอบจติ วญิ ญาณความเปน็ ครู จิตวิญญาณความเป็นครูเป็นคุณลักษณะของครูดีที่เป็นตัวกา หนดให้คนรู้จักหน้าท่ีความ รับผิดชอบ ทุ่มเทเสียสละเพื่อคุณภาพของลูกศิษย์ และเป็นต้นตอของการได้ครูดคี รูท่ีพึงประสงค์หรอื ครูมืออาชีพ เพราะอาชีพครูไม่ใช่ใครมาสอนก็ได้แต่ครูต้องมีจิตวิญญาณความเป็นครู แต่ครูไทยยังมี ปัญหาอีกหลายด้าน เช่น ปัญหาในเรื่องสถานภาพและการยอมรับนับถือ ความสาเร็จในการทางาน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน ผู้ปกครองและชุมชน ความสมดุลระหว่างการทางานและการใช้

307 ชีวิต ความกระตือรือร้นในการทางานและการพัฒนาตนเอง ระบบการลงโทษครู นโยบายภาครัฐที่ เปล่ียนแปลงบอ่ ย ภาระงานท่ีมากเกินไป ระบบการคัดบุคคลเข้ามาเป็นครูท่ีไม่เหมาะสม อาชีพครูจึงไม่ได้รับความสนใจหรือดึงดูดใจ ให้ผู้ที่มีความตั้งใจจริงมาเป็นครูมากนัก คนที่เก่งที่สุดจะไม่เลือกเข้าศึกษาในสาขาศึกษาศาสตร์/ครุ ศาสตร์เพื่อที่จบการศึกษาออกมาเป็นครู ท้ังๆ ที่สังคมในอดีตให้ความสาคัญกับอาชีพครูมาก คนท่ี เรียนดีท่ีสุดจะถูกคัดเลือกให้เรียนครู อีกทั้งการตอบแทนจากอาชีพครูไม่สอดคล้องกับสภาพเป็นจริง ครูส่วนหนึ่งจึงสนใจหารายได้เล้ียงครอบครัวมากกว่าการสอน เช่น การสอนพิเศษและตั้งใจทาอาชีพ เสรมิ ไมเ่ พยี งเท่านัน้ การประเมนิ ผลความกา้ วหน้าในอาชีพโดยเฉพาะการเล่ือนวิทยฐานะไม่ไดว้ ัดจาก ความสาเร็จของนักเรียนแต่วัดจากการทาผลงานวิชาการ ครูบางส่วนจึงสนใจจะทาผลงานวิชาการ มากกวา่ การสอนเพื่อใหน้ ักเรียนไดค้ วามร้จู รงิ ๆ ทาใหม้ องวา่ อาชีพครูไมใ่ ชค่ รูมืออาชพี องค์ประกอบด้านแก่นของจิตวิญญาณความเป็นครู ซึ่งเป็นคุณลักษณะทางจิตหรือเป็น คุณลักษณะต้นทางท่ีเกิดก่อนและมีผลกับการปฏิบัติตนอยู่บนวิถีแห่งความเป็นครูท่ีมีจิตวิญญาณ ความเป็นครู ได้แก่ องค์ประกอบรักและศรัทธาในอาชีพครู มีเป้าหมายในการทางานเพื่อนักเรียน เข้าใจคนอื่น ศรัทธาสิ่งท่ีอยู่เหนือธรรมชาติ เห็นคุณค่าของจิตใจมากกว่าวัตถุ และรู้จักและเข้าใจ ตนเอง โดยเฉพาะองค์ประกอบรักและศรัทธาในอาชีพครูสามารถอธิบายความแปรปรวนได้มากท่ีสุด ท้ังน้ีเพราะถ้านักศึกษาท่ีจะมาเรียนครูมาด้วยใจรักและศรัทธาในอาชีพครูต้ังแต่ก่อนเข้ามาเรียนจะมี ความมุ่งและตั้งใจท่ีจะพัฒนาศิษย์อันเป็นเป้าหมายหลักของทางานเพ่ือนักเรียนเป็นสาคัญ (มลิวัลย์ สมศกั ดิ์, นิตยารตั น์ คงนาลึก, ทพิ วรรณ ทองขนุ ดา, และรพีพรรณ อกั ษราวดีวฒั น์, 2561) การมีเป้าหมายในการทางานเพื่อนักเรียนเป็นการตระหนักรู้ในความเป็นครูของตนเองและ พร้อมทจี่ ะเป็นครูในทุก ๆ ด้านท้งั ด้านการจดั กระบวนการเรยี นรู้ การพฒั นาตนเอง เป็นแบบอย่างท่ีดี ปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพ หรือปฏิบัติหน้าท่ีด้วยจิตวิญญาณความเป็นครู สอดคล้องกับ Lawthong & Visessuvanapoom 2011) Nosu & Wisalaporn (2014) ท่ีพบว่า ความรักและ ศรัทธาในอาชีพครูเป็นองค์ประกอบของครูที่มีจิตวิญญาณความเป็นครู และ Yolao, et al., (2008) พบว่า แก่นของจิตวิญญาณความเป็นครูในด้านการมีอุดมการณ์และมีเป้าหมายในชีวิตเป็น องคป์ ระกอบของจติ วิญญาณความเปน็ ครู ดงั น้นั คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏควรพฒั นาระบบการคัดเลือกนักศึกษาให้ได้คนที่มี ความรักและศรัทธาหรือตั้งใจเป็นครูต้ังแต่แรกและมีเป้าหมายในการทางานของตนเองเพื่อนักเรียน

308 เป็นสาคัญ องค์ประกอบเห็นคุณค่าของจิตใจมากกว่าวัตถุ การเข้าใจคนอื่นและการรู้จักและเข้าใจ ตนเอง เป็นแก่นของจิตวิญญาณความเป็นครูท่ีเป็นคุณลักษณะทางจิตวิทยาสอดคล้องกับผลการวิจัย ของ Janesawang (2011) ทั้งน้ีเพราะการเข้าใจคนอ่ืนเป็นการเรียนรู้ในเร่ืองของความแตกต่าง ระหวา่ งบคุ คล การเรยี นรูน้ ท้ี าใหเ้ กดิ ความเข้าใจ (วัลนกิ า ฉลากบาง, 2561) จิตวิญญาณความเป็นครูมีองค์ประกอบและตัวบ่งชี้จิตวิญญาณความเป็นครู มี 10 องค์ประกอบของจิตวิญญาณความเปน็ ครู ดังน้ี (1) องคป์ ระกอบดา้ นการพัฒนาตนเอง ประกอบดว้ ย 1) การใฝ่หาความรู้ เพ่อื พฒั นาตนเองอยู่เสมอ 2) มคี วามขยันหม่นั เพียรแสวงหาความรใู้ หม่ๆ 3) มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้กับผ้อู ืน่ เพอ่ื การพฒั นาตนเองทุกครง้ั ที่มโี อกาส 4) มีการพัฒนาตนเองเพ่ือสร้างความก้าวหน้าในวิชาชีพ จนได้รับอนุมัติให้มีหรือเล่ือนวิทย ฐานะ 5) มีความพยายามแสวงหาโอกาสเข้ารับการอบรม เพ่ือน าความรู้มาพัฒนางานใน หน้าทีใ่ ห้ เจริญกา้ วหนา้ 6) มกี ารพัฒนางานในวิชาชีพหรอื ได้รบั การยกยอ่ งชมเชย หรือรางวัลทเี่ กี่ยวกบั วชิ าชพี ครู 7) มกี ารสรา้ งสรรค์ผลงานทางวชิ าการเพ่อื บริการสงั คม 8) มคี วามกระตือรอื ร้นในการคน้ ควา้ หาความรู้เพม่ิ เติมเพือ่ พัฒนาศิษย์ 9) มีการพัฒนาตนเองให้ทันต่อการพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สังคมและการเมือง อยู่ เสมอ 10) มีการสารวจและปรับปรงุ แกไ้ ขตนเองอยู่เสมอ (2) องค์ประกอบดา้ นความมีเมตตาในการปฏิบตั ิงาน ประกอบดว้ ย 1) การยอมรับความแตกต่างทางวฒั นธรรม ความคดิ และความเชื่อ 2) การสนบั สนุนความคดิ รเิ ร่ิมในทางที่ถูกตอ้ งของเพอ่ื นร่วมงาน 3) การใชแ้ นวทางในการแกป้ ญั หา โดยวิธกี ารทางปญั ญาและสันติวิธี 4) ปฏิบตั ิงานโดยอาศยั หลกั แหง่ เหตุผล ปราศจากอคติ 5) การยอมรับผลทเี่ กิดจากการกระทาของตน ดว้ ยความเตม็ ใจ 6) มคี วามเปน็ ประชาธิปไตย

309 7) การใชห้ ลกั การและเหตุผลในการตัดสินใจแก้ปัญหา 8) การยอมรบั ความคิดทม่ี ีเหตุผลโดยคานงึ ถึงประโยชนส์ ่วนรวมเป็นหลกั 9) ปฏิบัติงานโดนไม่เพกิ เฉยในเหตุการณ์ทจ่ี ะทาใหเ้ กิดผลเสียตอ่ งานในหนา้ ท่ี (3) องคป์ ระกอบดา้ นความคดิ ริเร่ิม สรา้ งสรรค์ 1) มีการติดตามและประเมนิ ผลผ้เู รยี นในรปู แบบท่ีหลากหลาย 2) การใช้แหล่งเรียนรทู้ ัง้ ในและนอกสถานศึกษามาเป็นสว่ นหนงึ่ ในการจัดการเรียนการสอน 3) การแก้ไข ปรบั ปรงุ ขอ้ บกพร่องทเี่ กิดขน้ึ จากการเรียนการสอน 4) การใชผ้ ลการวเิ คราะห์ วิจยั เพื่อพัฒนางานในหน้าท่อี ยู่เสมอ 5) การสร้างโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ที่ได้รับจากการเรียนรู้กับประสบการณ์ ชวี ติ จริง 6) การคดิ คน้ การสรา้ งสอ่ื นวตั กรรม การเรยี นการสอนในรปู แบบใหมๆ่ 7) การแสวงหาแนวทาง วธิ กี ารปรบั ปรุงงาน ทร่ี บั ผดิ ชอบอย่เู สมอ 8) มคี วามกล้า ม่งุ มั่นในการกระทาส่งิ ตา่ ง ๆ ดว้ ยวธิ ีการทีแ่ ตกตา่ งจากเดิม (4) องค์ประกอบด้านการปฏบิ ตั ิตามจรรยาบรรณวิชาชพี ประกอบด้วย 1) การใหค้ วามรว่ มมอื ในกิจการของสถาบนั เปน็ อยา่ งดี 2) การอทุ ศิ ตนเพอ่ื ประโยชน์ตอ่ วชิ าชีพครู 3) มคี วามต้งั ใจปฏิบตั งิ านเพอ่ื ให้วชิ าชพี ครเู ปน็ ท่ยี กย่อง 4) มีความจรงิ ใจในความรับผิดชอบต่อวิชาชพี ครู 5) การใหเ้ กียรติแกผ่ ู้รว่ มวชิ าชีพครู 6) การธารงเกยี รติแก่ผ้รู ว่ มวชิ าชีพครู (5) องคป์ ระกอบดา้ นวริ ยิ ะ อุตสาหะ ประกอบดว้ ย 1) มีความขยันตัง้ ใจในการทางานที่ได้รบั มอบหมาย 2) มีความกระตอื รอื รน้ ในการทางาน 3) มคี วามเตม็ ใจอุทิศเวลาในการปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี 4) การรจู้ กั หนา้ ท่ีและปฏิบัตหิ นา้ ท่อี ย่างเตม็ ความสามารถ 5) ปฏิบตั งิ านการสอนตรงเวลาเสมอๆ (6) องคป์ ระกอบด้านความเมตตา กรุณา ประกอบดว้ ย 1) มคี วามปรารถนาดตี อ่ ศิษย์

310 2) มคี วามเอ้อื เฟ้ืออาทรต่อศิษย์ 3) มีความเมตตาต่อศิษย์ 4) การยึดมั่นในคณุ ธรรม จริยธรรม ตามหลกั ศาสนา (7) องคป์ ระกอบด้านความซือ่ สตั ยต์ อ่ วิชาชีพ ประกอบดว้ ย 1) การใหเ้ กียรตผิ ู้อนื่ ทางวชิ าการ โดยไม่นาผลงงานของผใู้ ดมาแอบอ้างเป็นของตน 2) มีความตระหนักในคุณค่าศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ โดยไม่คานึงถึง เชื้อชาติ ศาสนา และ สถานภาพของบคุ คล 3) ไมย่ อมใหน้ าผลงานทางวชิ าการของตนไปใช้ในทางทุจริต 4) ไมแ่ สวงหาผลประโยชนจ์ ากศษิ ย์ในการปฏบิ ตั ิหน้าท่ี 5) ต้องปฏบิ ตั ติ อ่ ศิษย์ทุกคนดว้ ยความเสมอภาค (8) องค์ประกอบดา้ นความดี ประกอบด้วย 1) มคี วามสุภาพอ่อนโยน 2) มคี วามเออ้ื เฟอ้ื เผ่อื แผ่ ช่วยเหลอื ผู้อ่นื 3) มคี วามเสยี สละ 4) มีความเหน็ อกเหน็ ใจผ้อู น่ื (9) องคป์ ระกอบดา้ นความรกั ศรทั ธาในวิชาชีพ ประกอบดว้ ย 1) มีความรกั ในวชิ าชีพครูยิง่ กว่าวิชาชีพใด 2) มีความศรทั ธาในวชิ าชพี ครมู ากกวา่ วิชาชีพอ่นื 3) มคี วามม่งุ ม่นั ต้งั ใจมาเปน็ ครเู ป็นอันดับแรก (10) องคป์ ระกอบดา้ นการปฏบิ ัตกิ ารสอน ประกอบด้วย 1) การไดร้ บั การยกย่องนับถอื ในเชงิ ภูมิปัญญา และเชาวน์ไหวพริบในด้านการอบรม สงั่ สอน 2) การคดิ ค้น วิธีการจดั การเรยี นการสอนให้มีประสิทธภิ าพมากข้นึ 3) สามารถประยุกต์ความรู้ที่มีอยู่ จัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมกับศักยภาพของ ผ้เู รียน (กติ นิ ันท์ โนสุและเสริมศักด์ิ วิศาลาภรณ์, 2558 : 60-61) แนวคิดของณัฎฐภรณ์ หลาวทอง และปิยวรรณ วิเศษสุวรรณภูมิ (2553 : 46-47) ได้กล่าว เกยี่ วกบั องคป์ ระกอบของจิต วิญญาณความเปน็ ครู ประกอบด้วย 4 องคป์ ระกอบ ดังนี้

311 องค์ประกอบที่ 1 การปฏิบัติหน้าท่ีครู เป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็ม ความสามารถ ในการอบรมสั่งสอนศิษย์โดยคานึงถึงการพัฒนาศิษย์ได้อย่างเต็มตามศักยภาพแนะ ต้องมีความรกั ในอาชพี และปฏิบัตติ นเปน็ แบบอย่างทดี่ ีแกผ่ รู้ ่วมอาชีพ องค์ประกอบท่ี 2 การปฏิบัติต่อศิษย์โดยเสมอภาค เป็นการปฏิบัติต่อศิษย์ทุกคนอย่างเท่ียง ธรรม ชอบด้วยเหตุผลไม่ลาเอียงเข้าฝ่ายฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง และมีความยุติธรรมบุคคลที่มีจิตวิญญาณ เป็นครูสังเกตได้จากการให้ความเสมอภาคต่อบุคคลโดยไม่คานึงถึงอามิสสินจ้าง หรือความสัมพันธ์ สว่ นบคุ คล องค์ประกอบท่ี 3 ความเชอื่ ม่ันในศักยภาพของมนุษย์ เปน็ ความเชือ่ ม่ันและศรัทธาว่า มนุษย์ ทกุ คนเป็นคน ดี และมศี กั ยภาพในการเรียนรแู้ ละพัฒนาตนเอง องค์ประกอบที่ 4 การเสียสละในงานครู เป็นการปฏิบัติหน้าที่สอนศิษย์อย่างเต็มใจ โดยไม่ คานึงถึง ประโยชนส์ ว่ นตนเป็นหลกั จิตวิญญาณความเป็นครูเป็นคุณลักษณะทางจิตและพฤติกรรมการทางานและใช้ชีวิต ท่ี สะท้อนถึงการเป็นครูท่ีดีมีจิตวิญญาณความเป็นครู จากองค์ประกอบของจิตวิญญาณความเป็นครู ข้างต้นสามารถ สรุปได้ว่า จิตวิญญาณความเป็นครูมี องค์ประกอบ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) คุณลักษณะส่วนตัวและการมีคุณธรรม จริยธรรม ได้แก่ ความวิริยะอุตสาหะ เมตตากรุณา ซ่ือสัตย์ มี เหตุผล 2) การตระหนักรู้และปฏิบัติตนบนวิถีความเป็นครู ได้แก่ การปฏิบัติตนตาม จรรยาบรรณ วิชาชีพครู การทางานเพ่ือเด็ก การเป็นแบบอย่างที่ดี 3) รักและศรัทธาในวิชาชีพครู 4) ความ เช่ียวชาญในการสอน และ 5) การพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืององค์ประกอบจะมีคุณลักษณะทางจิตที่ เป็นแกน่ ของจติ วิญญาณความเปน็ ครู (กิตินันท์ โนสุและเสริมศักดิ์ วศิ าลาภรณ,์ 2558 : 60-61) ดังน้ันการผลติ และพฒั นาครูควรให้ความสาคญั ตง้ั แตร่ ะบบการคัดเลือกบคุ คลเข้ามาเป็นครูท่ี มีใจรักและมีอุดมการณ์ในอาชีพครูต้ังแต่แรก และมีการสร้างความตระหนักและพัฒนาจิตวิญญาณ ความเปน็ ครูอย่างเข้มข้นตลอดหลักสตู รอย่างต่อเนื่องในรูปแบบต่าง ๆ ในระหวา่ งการศึกษาหรือก่อน การประกอบวชิ าชพี ครู

312 การพฒั นาใหม้ จี ติ วญิ ญาณความเปน็ ครู การพัฒนาจิตสานึกและวิญญาณของครู คือ ความพยายามในการเพ่ิมระดับจิตสานึกและ วิญญาณความเป็นครูให้มีอยู่ในบุคคลที่ประกอบอาชีพครู แนวทางในการพัฒนาควรเริ่มต้นจากการ สรา้ งศรทั ธา คาว่าศรัทธาในท่นี ้ีมคี วามหมาย 3 มิติ คอื 1. ศรัทธาต่อตนเอง ต้องเช่ือ และศรัทธาในความรู้ความสามารถของตนเองว่าจะเป็นครูท่ีดี ได้ 2. ศรัทธาต่ออาชีพครู รักษาเกียรติ และศักด์ิศรีแห่งความเป็นครูท่ีเป็นวิชาชีพชั้นสูง เห็น คุณค่าของวิถชี วี ติ ทเ่ี ป็นครู 3. ศรทั ธาตอ่ องคก์ ร รักษาชอ่ื เสยี งของสถานศึกษาและองค์กรวชิ าชีพครู ประพฤตแิ ละปฏิบัติ ตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั สมศักด์ิ ดลประสิทธ์ิ (2543) ทไี่ ด้กล่าวถงึ ครูกับครูอาชีพวา่ เมอ่ื ครศู รัทธาต่อ วิชาชีพตนเองก็จะยกย่องเชิดชูวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพช้ันสูงจะปฏิบัติตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ อย่างเคร่งครัด มีความมุ่งม่ันท่ีจะรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณช่ือเสียงของวิชาชีพครูให้เป็นท่ีเช่ือถือ และศรัทธาแก่สังคมได้ และยังไดเ้ ปรียบเทียบความศรัทธาในอาชีพครเู หมือนกบั ผู้นับถือศาสนา ไมว่ ่า ศาสนาใดจุดเร่ิมก็อยู่ที่ความศรัทธา เมื่อศรัทธาก็ประกาศตนเป็นผู้นับถือศาสนานั้น และปฏิบัติตาม คาส่ังสอนของศาสนา คาภีร์หรือพระธรรมวินัยต่อไป หากครูศรัทธาต่อวิชาชีพครูแล้ว ย่อมมีความ มุ่งม่ันในการปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดี และพร้อมท่ีจะพัฒนาตนเองให้มีจิตใจและวิญญาณของความ เปน็ ครู การพัฒนาจิตวิญญาณของความเป็นครูคือการเพ่ิมระดับจิตสานึกและวิญญาณความ เป็นครู ในบุคคลทป่ี ระกอบอาชพี ครู ควรเรม่ิ ต้นจากการสรา้ งศรทั ธาในอาชีพครู จากน้นั ก็พัฒนาจติ สานกึ และ หน้าที่ของความเป็นครู ซ่ึงเป็นเร่ืองทางจริยศึกษาท่ีต้องใช้เวลาฝึกฝนและปฏิบัติอย่างสม่าเสมอ โดย การพัฒนาจิตวิญญาณของความเป็นครูประกอบด้วยการพัฒนาคุณธรรมสาหรับครูสองส่วน ดังน้ัน พัฒนาคุณธรรมทางสติปัญญา หมายถึง การพัฒนาตนเองให้มีความรู้เชิงลึกทางวิชาการในศาสตร์ท่ี ตนเองเช่ียวชาญ และถา่ ยทอดให้ผู้เรียนได้เข้าใจอย่างถูกต้องและมปี ระสิทธิภาพ และพัฒนาคณุ ธรรม ทางศีลธรรม หมายถึง ความมีจิตสานึกในส่ิงท่ีดีงาม คิดดี ทาดี ประพฤติตัวดี มุ่งหวังและทาทุกอย่าง เพ่ือใหล้ ูกศษิ ยป์ ระพฤติตนเปน็ คนดีมีคุณภาพ (สุรีรัตน์ อารีรักษส์ กุล ก้องโลก, 2559)

313 แนวทางการพัฒนาจิตวญิ ญาณความเปน็ ครู การพัฒนาจิตวิญญาณหรือการพัฒนาวิชาชีพครู เป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อให้ครูได้เกิดการ พัฒนา และต่อยอด และเม่ือพัฒนาแล้วควรนาความรู้มาถ่ายทอดสู่ผู้เรียนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นความคาดหวังที่มีต่อการทางานในฐานะวิชาชีพครู ด้วยหลักการ “D-E-V-E-L-O-P” ( ธีรศักด์ิ อปุ ไมยอธชิ ยั , 2563) ได้แก่ 1. Development : ไม่หยุดย้ังการพัฒนา ผู้ที่ประสบความสาเร็จในหน้าท่ีการงานและ พัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูได้จะต้องเป็นคนท่ีมีหัวใจของการพัฒนาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง บุคลิกลักษณะ พฤติกรรมหรือแม้แต่วิธีการทางาน โดยต้องเป็นผู้ที่มีการสารวจและประเมิน ความสามารถของตนเองอยู่ตลอดเวลา คอยตรวจสอบว่าเรามีจุดแข็งและจุดบกพร่องในด้านใดบ้าง และพยายามท่ีจะหาทางพัฒนาจุดแข็งและปรับปรุงจุดบกพร่องของตนเองให้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังต้อง เป็นคนที่ไม่ยึดติดกับวิธีหรือขั้นตอนการทางานแบบเดิมๆ โดยควรจะหาเทคนิคและแนวทางใหม่ๆ เพ่อื พฒั นาการสอนของตนเองให้ดีข้นึ และมปี ระสิทธิภาพมากขึ้นอยู่เสมอ 2. Endurance : มุ่งเน้นความอดทน ความอดทนเป็นพลังของความสาเร็จในการพัฒนา พัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู อดทนต่อคาพูด อดทนต่อพฤติกรรมการดูหม่ินหรือสบประมาท อดทนต่อความเครียดในการทางาน คนบางคนลาออกจากวิชาชีพครูเพราะพบกับการพูดจารุนแรง หรือเพียงแค่ถูกต่อว่าต่อหน้าที่ประชุมเท่าน้ัน การลาออกจากงานบ่อยๆ นั้นเป็นสิ่งท่ีไม่ดี เพราอาจถู มองว่าท่านเป็นครูที่ไม่มีความอดทนเลยก็เป็นได้ ( เสียประวัติการทางานของท่านเอง ) หากท่านต้อง เผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้านหรือไม่ปรารถนา ขอเพียงแต่ให้ท่านมีความอดทนและอดกล้ันเอาไว้ คิดถงึ ประโยชนท์ จี่ ะเกดิ กบั การพฒั นาเดก็ ผู้เรียน แล้วทา่ นจะสามารถเผชิญกบั ปญั หาตา่ งๆได้สาเร็จ 3. Versatile : หลากหลายความสามารถ สถาบันการศึกษาย่อมต้องการคนท่ีมีความรู้ ความสามารถให้เข้ามาพัฒนาและปรับปรุงผู้เรยี นให้ดีขึ้น หากท่านเป็นเจ้าของสถานศึกษาท่านอยาก ไดค้ นท่สี ามารถทางานได้หลายๆอยา่ ง หรือทาได้เฉพาะอย่างใดอย่างหน่ึง แน่นนอนว่าทา่ นคงตอ้ งการ คนท่ีมีความสามารถทางานได้หลากหลาย ไม่ปฏิเสธหรือเหลียกเลี่ยงงานท่ีได้รับมอบหมายพิเศษ ซ่ึง บางคนเหลียกเล่ียงงาน กลัวว่าจะต้องทางานมากกว่าคนอื่น ไม่อยากให้ใครเอาเปรียบ ไม่เคยอาสาที่ จะทางาน นอกเหนือจากงานสอนหนังสือท่ีรับผิดชอบ แน่นอนว่าคนกลุ่มนี้มีทางท่ีจะได้รับ ความก้าวหน้าและความสาเร็จในชีวติ ความเป็นครูไดย้ าก

314 4. Energetic: กระตือรือร้นอยู่เสมอ ผู้ที่มีจิตวิญญาณความเป็นครูต้องมีความกระตือรือร้น และความต่ืนตัวทีจ่ ะแสวงหาความรู้ใหม่ๆการรับฟังข้อมลู ข่าวสาร ปัญหาและอปุ สรรคต์ ่างๆ ทเี่ กดิ ขึ้น พร้อมท้ังมีความมุ่งม่ันท่ีจะแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดข้ึนจากการเรียนการสอนให้ประสบ ผลสาเร็จ โดยส่วนใหญ่คนท่ีมีความกระตือรือร้นจะเป็นคนท่ีชอบลองผิดลองถูก มาทาง่านก่อนเวลา เสมอเพ่ือหาโอกาสข้นคว้าความรู้เพม่ิ เติม พยายามท่จี ะใหง้ านเสรจ็ ก่อนหรือตรงตามเวลาที่กาหนดซึ่ง แตกต่างจากคนที่ขาดความกระตือรือร้น โดยส่วนใหญ่จะเปน็ คนท่ีไม่อยากให้วันทางานมาถึง รอคอย เวลาเลิกสอนหนังสือหรือเสร็จส้ินสัปดาห์การสอน ทางานเฉ่ือย ไม่สนใจรับฟังข้อมูลข่าวสารใดๆเลย ขิงเพียงให้งานของตนเองเสร็จเท่านั้นเพ่ือท่ีจะได้กลับบ้านหรือไปที่ไหนๆตามที่ใจปรารถนา บุคคล เหลา่ นนั้ ไม่มที างหรือมีโอกาสน้อยมากในการได้รับความสาเร็จและความก้าวหน้าในหน้าท่ีการทางาน ของตน 5. Love : รักงานทท่ี า ขอให้ตระหนักไวเ้ สมอว่า “คนเราไม่สามารถเลือกงานท่ีรักได้เสมอไป แต่เราสามารถเลือกท่ีจะรักงานท่ีทาอยู่ได้” พบว่าในยุคสมัยน้ีการเลือกงานที่รักมีโอกาสเกิดข้ึนน้อย กว่าการที่จะเลือกรักงานท่ีทา ดังนั้น “หากท่านไม่สามารถเลือกงานท่ีรักได้ ท่านก็ควรเลือกที่จะรัก งานที่ท่านทา” เพราะความรู้สึกนี้เองจะส่งผลให้ท่านมีความสุขกับงานของท่าน ขอให้ลองถามตัวเอง วา่ ทา่ รักงานวชิ าชพี ครูท่ที าอย่หู รอื ไม่ แล้วทา่ นมีพฤติกรรมอยา่ งไรหากท่านมีความรู้สกึ ว่าไม่รักงานที่ ทาอยู่เลยและผลงานที่เกิดข้ึนเป็นอย่างไรบ้าง บาท่านเบ่ือหน่ายกับชีวิตทางานแบบครูเช้าชามเย็น ชาม ไม่มเี ปา้ หมายในการทางาน ซงึ่ ย่อมแนน่ อนวา่ คงไม่ประสบความสาเร็จในหน้าทก่ี ารงานของท่าน เลย พ้ืนฐานของความสาเรจ็ อยู่ที่ความรกั ในส่ิงนั้น เม่ือมีความรักท่านจะมีความสุขกับงานท่ีทา ซ่ึงจะ ทาให้พยายามหาวิธีต่างๆ เพ่ือเพ่ิมมูลค่าของงานท่ีทาอยู่ตลอดเวลา และน่ันจะส่งผลให้ท่านรู้จั ก วางแผนชวี ิตและเปา้ หมายความสาเร็จในการทาวานของท่าน 6. Organizing : จัดการเป็นเลิศ การจัดการงานที่ดี จะทาให้ท่านรู้ว่าควรจะทาอย่างไรก่อน และหลังบ้าง สามารถจัดสรรเวลาและทรัพยากรต่างๆ ท่ีมีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างเต็มท่ี เวลา ในการสอนหนังสือ เวลาให้กับตนเองครอบครัว เพื่อนฝูง การจัดการจะเป็นสิ่งที่ผลักดันให้ท่านต้อง วางแผนและเป้าหมายการทางานอยู่เสมอ ท้ังน้ีต้องสารวจตนเองบ้างว่า ท่านมีความสับสนและไม่ สามารถทางานเสร็จตามแผนงานที่กาหนดไว้

315 งานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วกบั การพฒั นาจติ วญิ ญาณความเปน็ ครู 1. กลยุทธ์การพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูเพื่อส่งเสรมิ ความเป็นครวู ชิ าชพี ของนกั ศกึ ษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภฏั สวนสนุ นั ทา การวจิ ยั นม้ี ีวตั ถุประสงคเ์ พ่อื 1) ศกึ ษาจิตวญิ ญาณความเป็นครูของนักศึกษาคณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏ สวนสุนัน ทา 2) เพือ่ ศกึ ษาแนวทางการพฒั นาจิตวิญญาณความเปน็ ครูวิชาชพี 3) เพื่อเสนอกลยทุ ธ์การพฒั นาจติ วิญญาณ ความเป็นครูเพอ่ื ส่งเสริมความเป็นครวู ิชาชีพ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูจานวน 175 คน จากการ สัมภาษณ์ผู้บริหาร ครูต้นแบบ หรือครูดีเด่น และอาจารย์คณะครุศาสตร์จานวน 8 คน สนทนากลุ่ม จานวน 14 คน และผู้ทรงคุณวุฒิจานวน 15 คนด้วยวิธีการศึกษาจิตวิญญาณความเป็นครูและแนว ทางการพัฒนาวิเคราะห์สภาพ แวดล้อม กาหนดกลยุทธ์และประเมินกลยุทธ์วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมท้ังวิเคราะห์เชิงเน้ือหา ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษามีจิตวิญญาณความเป็นครูโดยภาพรวม และรายด้านอยู่ใน ระดับมาก ส่วนแนวทางการ พัฒนาจติ วิญญาณความเป็นครูควรปลกู ฝังจติ สา นกึ ความเป็นครูอนั ดบั แรก เน้นการสรา้ ง ความร้ผู า่ น การปฏิบัติที่สอดคล้องกับทักษะศตวรรษท่ี21 และความเป็นครูวิชาชีพท่ีมีพลวัตเท่าทันการ เปลี่ยนแปลงศาสตร์ ติดตามความก้าวหน้าวชิ าชพี ครูโดยมีกลยุทธก์ ารพัฒนาจิตวญิ ญาณความเป็นครู เพื่อส่งเสริมความเป็นครูวิชาชีพ ประกอบด้วยกลยุทธ์หลัก 4 กลยุทธ์และกลยุทธ์รอง12 กลยุทธ์ (สจีวรรณ ทรรพวสุ, 2560) 2. การพฒั นาแบบวดั จติ วิญญาณความเปน็ ครขู องนกั ศกึ ษาวชิ าชพี ครู มหาวทิ ยาลัยราชภฏั การวจิ ยั คร้งั นีม้ วี ตั ถปุ ระสงค์ 1) เพื่อศึกษานิยามและพฒั นาตวั บง่ ชพ้ี ฤติกรรมจิตวญิ ญาณความเป็นครูของนกั ศกึ ษาวชิ าชพี ครู มหาวิทยาลยั ราชภัฏ 2) เพื่อตรวจสอบคุณภาพของแบบวัดจิตวญิ ญาณความเป็นครูของนกั ศึกษาวชิ าชพี ครู มหาวิทยาลัยราชภัฏ โดยการศึกษานิยามจิตวิญญาณความเป็นครูจากการสัมภาษณ์นักวิชาการที่มีความลุ่มลึก เกี่ยวกับหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ

316 จิตวิญญาณความเป็นครู จานวน 3 ท่าน และตัวบ่งชี้พฤติกรรมจากครูที่ได้รับรางวัลครูดีในดวงใจ ประจาปี 2560 จานวน 25 ท่าน และตรวจสอบคุณภาพของแบบวัดจิตวิญญาณความเป็นครู จาก นักศกึ ษาคณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั จานวน 692 คน เคร่อื งมือทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ และแบบวัดจิตวิญญาณความเป็นครู นาข้อมูลท่ีได้มาทาการวิเคราะห์ ผลการวิจัย พบว่า จติ วญิ ญาณความเป็นครู ประกอบด้วย องค์ประกอบหลัก 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) ดา้ นทีเ่ กดิ กบั ตนเอง ประกอบดว้ ย บคุ ลิกภาพความเป็นครู บทบาทหนา้ ท่ดี า้ นการสอน และการพฒั นาตนเองในวิชาชีพครู 2) ด้านท่ีเกิดกับผู้เรียน ประกอบด้วย การปฏิบัติต่อผู้เรียนด้วยความเมตตากรุณา และการปฏิบัติต่อ ผู้เรียนด้วยความเสมอภาค และ 3) ด้านท่ีเกิดกับวิชาชีพ ประกอบด้วย เจตคติที่ดีต่อวิชาชีพครู และ ศรทั ธาในวชิ าชีพครู (ภาวดิ า มหาวงศ์ และคณะ, 2562) 3. แนวทางการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูสาหรับครูก่อนประจาการและครูระหว่าง ประจาการ งานวิจยั นม้ี ีวัตถปุ ระสงค์เพือ่ 1) วิเคราะห์สภาพและปัญหาของการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูสาหรับครูก่อน ประจาการและครูระหวา่ งประจาการ 2) วิเคราะห์ปัจจัยเง่ือนไขที่ส่งผลต่อการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูสาหรับครูก่อน ประจาการและครรู ะหว่างประจาการและ 3) นาเสนอแนวทางการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูสาหรับครูก่อนประจาการและครู ระหวา่ งประจาการ ใช้วธิ กี ารวิจัยแบบผสม กลมุ่ ตวั อย่างเปน็ นักศึกษาครชู ัน้ ปีที่ 4 และปที ่ี 5 ผบู้ ริหาร และอาจารย์ในสถาบันผลิตครู 2 แห่ง และ ผู้บริหาร ครู นักเรียน ในโรงเรียนสังกัดสพฐ. 6 แห่ง จานวนรวม 616 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะหเ์ น้ือหาผลการวจิ ัยพบวา่ 1.ครูก่อนประจาการมีคุณลักษณะและพฤติกรรม ที่สะท้อนความเป็นครูผู้มีจิตวิญญาณใน ระดับสูง มีความศรัทธาและอุดมการณ์จึงมาเรียนครู ผ่านการบ่มเพาะจากสถาบันผลิตครูและการฝึก ประสบการณ์วิชาชีพในโรงเรียน 1 ปี ซึ่งสร้างการเรยี นรู้ในความเป็นครูท่ีดี รวมท้ังบางครั้งทาใหห้ มด กาลังใจ ครูระหว่างประจาการมีคุณลักษณะและพฤติกรรม ที่สะท้อนความเป็นครูผู้มีจิตวิญญาณใน ระดับสูง ผ่านการบ่มเพาะจากสถาบันผลิตครู มีศรัทธาและแรงจูงใจให้คงอยู่เป็นครู ทาหน้าที่สอน เป็นพี่เลี้ยงและทางานอ่ืนทไ่ี ด้รับมอบหมาย ปัญหาที่ส่งผลต่อจิตวิญญาณความเป็นครูมาจากนโยบาย ของรัฐภาระงาน ภาระค่าใช้จ่าย สภาพแวดลอ้ มของโรงเรยี น การพัฒนาและการประเมินครู

317 2. ปจั จัยเงอ่ื นไขที่ส่งผลต่อการพัฒนาจติ วิญญาณความเป็นครสู าหรับครูก่อนประจาการและ ครูระหว่างประจาการ พบว่ามีทั้งที่เป็นปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยที่เป็นอุปสรรค ซ่ึงจัดอยู่ในกลุ่ม ปัจจัยด้านโครงสร้างทางสังคมได้แก่ ครอบครัว สถาบันผลิตครูและโรงเรียน ปัจจัยภายในตัวบุคคล และปัจจยั ภายนอก 3. แนวทางการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูสาหรับครูก่อนประจาการและครูระหว่าง ประจาการ 1) ควรพัฒนาให้เกิดศรัทธาและแรงจูงใจในการเลือกเรียนครูเพ่ือให้ได้คนท่ีใช่และ คนทีช่ อบ 2) พัฒนากระบวนการบม่ เพาะครูก่อนประจาการ 3) พัฒนาการฝึกประสบการณว์ ชิ าชีพครกู อ่ นประจาการ 4) พฒั นาศรทั ธาและแรงจูงใจในการคงอยู่ในวิชาชพี สาหรับครปู ระจาการ 5) พัฒนาระบบการใช้และการบารุงรักษาครูประจาการ 6) ปรับระบบการพฒั นาครปู ระจาการ กิจกรรมเสนอแนะได้แก่ 1) “ความเปน็ ครอู ย่ทู ่ใี จ” 2) สรา้ ง“ทีมงาน” 3) “การปรับตวั ในบรบิ ทใหม่” 4) พฒั นา“ความมสี ติ” การทดลองกิจกรรม “ความเป็นครูอยู่ที่ใจ” พบว่านิสิตส่วนใหญ่เกิดการเรียนรู้ใน เรื่องการเข้าใจและเข้าถึงเด็ก ต้องพัฒนาตัวเองให้มาก และ มีความเช่ือมั่นว่ามนุษย์สามารถ พัฒนาได้ไร้ขีดจากัดตามลาดับโดยเฉพาะนิสิตที่มีปัญหาในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพจะ เรียนรไู้ ด้มากกว่านสิ ิตที่ไม่มีปัญหา ส่วนอกี 3 กิจกรรมผา่ นการประเมนิ ของผเู้ กยี่ วข้องว่าเป็น กิจกรรมท่ีสามารถพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูได้จริงและเสนอแนะการนาไปใช้ไว้ด้วย (จรญู ศรี มาดิลกโกวทิ และคณะ, 2561)

318 ค่านยิ ม ความหมายของค่านิยม คา่ นยิ ม คือ (Value) คอื สงิ่ ทีบ่ คุ คลหรอื สงั คมยึดถอื เป็นเคร่ืองช่วยตัดสินใจ และกาหนดการ กระทาของตนเอง ค่านิยมเป็นตัวกาหนดสาคัญท่ีมีความสาพันธ์ต่อพฤติกรรของมนุษย์โดยตรงใน ฐานะท่ีเป็นตัวผลักดันให้พฤติกรรมโน้มเอียงในทางใดทางหนึ่ง (สุนทรี โคมิน และสนิท สมัครการ, 2522 : 1) เน่ืองจากพฤติกรรมหรือการปฏิบัติตัวน้ันข้ึนอยู่กับค่านิยมท่ีแต่ละบุคคลยึดถือมาจาก วฒั นธรรม สังคมแวดลอ้ ม และประสบการณ์ของบุคคลนน้ั ๆ เปน็ หลักสาคญั ฉะนนั้ ค่านิยมจึงเป็นสิ่งที่ บุคคลปรารถนาหรือสิ่งท่ีกลุ่มบุคคลในสังคมให้การยอมรับและยืดถือเป็นมาตรฐานการรับรู้และการ ตดั สนิ ใจในกาหนดพฤตกิ รรมของตนเอง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของชวี ิตหรอื เป้าหมายของสงั คม ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่บุคคลพอใจหรือเห็นว่าเป็นส่ิงท่ีมีคุณค่า แล้วยอมรับไว้เป็นความเช่ือ หรือความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ค่านิยมจะอยู่ในตัวบุคคลในรูปของความเชื่อตลอดไป จนกว่าจะพบ กบั คา่ นิยมใหม่ ซึ่งตนพอใจกว่าก็จะยอมรบั ไว้ เมอ่ื บุคคลประสบกับการเลือกหรือเผชญิ กบั เหตุการณ์ท่ี ต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง บุคคลน้ันจะนาค่านิยมมาประกอบการตัดสินใจทุกครั้งไป ค่านิยมจึง เป็นเสมือนพ้ืนฐานแหง่ การประพฤติ ปฏบิ ตั ขิ องบุคคลโดยตรง (Fraenkel J.R., 1977) ค่านิยม คือ สิ่งท่ีสังคมหนึ่งๆ เห็นว่าเป็นส่ิงมีค่า น่ายกย่อง น่ากระทาหรือเห็นว่าถูกต้อง และเป็นแนวทางทค่ี นในสังคมยึดถือไว้เพ่ือประพฤตปิ ฏิบัติ (สมบตั ิ มหารศและคณะ, 2550) ค่านิยมที่แท้นั้นเป็นค่านิยมท่ีผ่านการเลือกมาอย่างดีและเมื่อเลือกแล้วก็ถือ ปฏิบัติอย่าง สม่าเสมอ นาไปสู่คุณลกั ษณะตา่ งๆ ดังนี้ (สนุ ทรี โคมนิ และสนทิ สมคั รการ, 2524) คอื ๑) ค่านิยมมลี ักษณะเป็นความเชอ่ื ๒) คา่ นิยมมีลักษณะเปน็ ความระลกึ รูใ้ นความหมายท่วี ่าบุคคลหนงึ่ รู้ในทางที่ถูกของการ ประพฤตงิ านหรือร้ใู นเปา้ หมายท่ีถกู ในชีวิตของเขาพยายามจะใฝห่ า ๓) คา่ นยิ มมลี กั ษณะเปน็ ความรู้สึกสมั พนั ธ์ ในความหมายทวี่ ่าบุคคลน้ันมีอารมณอ์ ่อนไหว เกยี่ วขอ้ งกับคา่ นิยมนนั้ คือ ชอบคา่ นิยมนนั้ หรอื เกลียดไปเลย เห็นด้วยหรือสนับสนนุ หรอื ไม่เหน็ ด้วย และคัดค้านค่านยิ มน้นั ๔) คา่ นิยมเปน็ องค์ประกอบของพฤติกรรม โดยเป็นสิ่งท่ีนาไปส่พู ฤติกรรม ดงั น้ันค่านิยมจึงเป็นส่ิงทก่ี ระตนุ้ ใหม้ กี ารกระทาเกดิ ข้นึ เม่ือเปน็ เช่นน้ีแลว้ คา่ นยิ มจึงมหี นา้ ทแี่ ละ

319 ความสาคัญต่อสังคมเป็นอยา่ งมาก (สานักงานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ, 2551) อัน ไดแ้ ก่ ๑) คา่ นิยมนั้นเป็นเหมือนเคร่ืองมือทเ่ี ปน็ มาตรฐานซงึ่ เปน็ ตัวนาไปสกู่ ารประพฤติปฏิบตั ิ อัน ทาหน้าทเี่ ปรียบเสมือนเปน็ ทั้งบรรทดั ฐาน สิง่ ที่ช้นี าคนในสงั คม ๒) ค่านยิ มเปน็ ตวั กาหนดพฤตกิ รรมของคนในสังคม ๓) ค่านยิ มมผี ลกระทบต่อความเจรญิ และความเสอ่ื มของสังคม ตลอดจนความมั่นคงของชาติ ๔) ค่านยิ มมีความเกยี่ วพันกับวัฒนธรรมอยา่ งใกล้ชิด โดยค่านิยมบางอย่างเป็นแกนของ วฒั นธรรม ๕) คา่ นยิ มบางอยา่ งมผี ลมาจากสภาพแวดล้อมของสังคม ค่านยิ มเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ สงั คม โดยท่ัวไปแล้วค่านิยมมักจะส่งผลดีต่อสังคม เพราะเป็นส่ิงที่สมาชิกในสังคมให้การยอมรับว่า เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง เช่น ความกตัญญู ความขยันหม่ันเพียร ความมีระเบียบวินัย ความสามัคคี เป็นต้น อย่างไรก็ตามค่านิยมบางอย่างก็ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดี เช่น การขาด ระเบียบวินัย ไร้ความสามัคคี นิยมความหรหู รา นิยมจัดเล้ียงสังสรรค์ เป็นต้น ซ่ึงค่านิยมเห ล่าน้ีจะแปรเปล่ียนไปตามความต้องการ ของแต่ละบุคคลเมื่อเกิดการเปล่ียนแปลงของ สงั คม (ณรงค์ เสง็ ประชา, ๒๕๓๑: ๗๓; ทัศนยี ์ ทองสวา่ ง, ๒๕๓๗: ๖๓) ในขณะทกี่ ารเปลีย่ นแปลงทาง สังคมก็มีส่วนทาให้เกิดค่านิยมใหม่ๆ ได้เช่นกัน หรืออาจกล่าวได้ว่าค่านิยมเป็นได้ทั้งเหตุและผลของ การเปล่ียนแปลงของสังคม (สานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, 2552: 18) ดงั นัน้ ค่านิยมจึง มีความสาคัญต่อความเจริญหรือความเสื่อมของสังคม เพราะหากสังคมท่ีมีค่านิยมท่ีพึงประสงค์จะทา ให้สังคมน้ันเจริญก้าวหน้า แต่หากสังคมใดท่ีมีค่านิยมไม่พึงประสงค์ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ประเทศ เมื่อเราได้ศึกษาถึง “ค่านิยม” ย่อมทาให้เราเข้าใจได้ว่าค่านิยมนั้น คือ ฐานความเชื่ออย่าง หน่ึง ซึ่งอาจจะถูกยึดถือไว้เพียงส่วนบุคคลหรืออาจจะเป็นค่านิยมท่ียึดถือของสมาชิก ในสังคม อันเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงจุดยืนท่ีชัดเจนท่ีมีต่อส่ิงใดๆ ว่าดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยและนาเอามาเป็นบรรทัดฐานในการประพฤติปฏิบัติตน ซึ่งแน่นอนว่าค่านิยม ของทุกคนท่ีเป็นปัจเจกบุคคลนั้นย่อมไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและความปรารถน าส่วน

320 บุคคล แต่หากว่าสิ่งที่ยึดถือนั้นถูกมองว่าเป็นส่ิงที่ดีหรือมีความเป็นท่ียอมรับและนิยมกันโดยท่ัวไป ก็ จะกลายมาเป็นค่านิยมของสังคมได้ ซึ่งทาให้คนทั่วไปนามาปฏิบัติยึดถือ จนค่านิยมบางอย่างน้ันอาจ ได้กลายกลืนไปเป็นส่วนหน่ึงของวัฒนธรรมได้เช่นกัน ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ผ่านช่วงเวลา ต่างๆ ก็ย่อมทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงต่อค่านิยมบางอย่างได้ อาจจะมีค่านิยมใหม่ๆ เข้ามา ส่วน ค่านิยมเก่าที่มีมาแต่เดิมนั้นอาจเลือนหายไป อย่างไรก็ตามค่านิยมเป็นสิ่งที่ส่งผลให้เกิดได้ทั้งการ ขับเคลือ่ นให้สังคมเจรญิ กา้ วหนา้ ไปรวมไปถึงสามารถทาให้สงั คมถดถอยลงไดเ้ ชน่ เดยี วกัน ระดบั คา่ นยิ ม เกรยี งไกร เรือนน้อย (2554) กล่าวว่า การแบง่ ประเภทของค่านยิ มกระทาไดห้ ลายวิธี แล้วแต่ ว่าผูแ้ บ่งจะยดึ อะไรเป็นพื้นฐานในการการแบ่ง ไมม่ ีการแบง่ ท่ีเป็นการตายตัวอย่างเพียงอยา่ งเดียว ถา้ ผู้แบง่ ยดึ ถอื พระผู้เปน็ เจ้าหรือพระศาสดาเปน็ หลักสาคัญ ก็อาจจะแบง่ คา่ นิยมออกได้ เป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ ได้ดงั น้ี 1. ค่านิยมที่เป็นศีลธรรม (Morality) หรือ ค่านิยมอุดมคติ (Ideal values) หมายถึง ค่านิยมที่เป็นศีล และธรรมโดยเฉพาะหรือได้แก่ Moral Values และ Ethical Values โดยเฉพาะ ซึง่ ถอื เอาพระศาสดาหรือพระผเู้ ปน็ จา้ ได้กาหนดไวใ้ หแ้ ลว้ 2. ค่านิยมท่ีเป็นข้อตกลง (Convention) หรือ ค่านิยมในทางปฏิบัติ (Pragmatic values) หมายถึงค่านิยมที่ประชาชนในชาติได้ตกลงเห็นชอบกาหนดกันขึ้นเองไม่ว่าจะเป็นโดยทางตรงหรือ ทางอ้อม ตามยคุ ตามสมัย ไดแ้ กธ่ รรมเนียมประเพณอี ดุ มการณ์ วินัย กฎหมาย ฯลฯ อทิ ธพิ ลตอ่ คา่ นิยม ชฎาพร พัชรัษเฐียร (2554) กล่าวไว้ว่า ค่านิยมทางสังคมเป็นการเรียนรู้ทางสังคม มีสถาบัน ทางสังคมหลายอยา่ งทมี่ อี ิทธิพลต่อการเรียนรใู้ นด้านน้ี ดังน้ี 1. ครอบครัว เป็นสถาบันสังคมอันดับแรกและสาคัญที่มีอิทธิพลต่อการสร้างค่านิยมให้แก่ บคุ คล ทัง้ นี้เพราะครอบครวั เปน็ หนว่ ยแรกที่อบรมส่งั สอนพฤติกรรมสงั คมให้แก่คนตั้งแตเ่ กิดถงึ แม้เด็ก จะเติบโตข้ึนก็ยังอาศัยอยู่กับครอบครัวและได้รับการอบรมจากครอบครัวเปน็ ประจาแม้แตเ่ ม่ือโตเป็น ผู้ใหญ่และแยกตัวไปสร้างครอบครัวใหม่แล้วก็ยังมีความผูกพันกับบิดาและมารดาและสมาชิกใน ครอบครัวเดิมอยู่ ส่ิงใดที่ครอบครัวอบรมสั่งสอนไว้ หรือสิ่งใดท่ีครอบครัวเรียกร้องย่อมมีผลต่อการ ปฏิบตั ิของคนอยไู่ มม่ ากกน็ อ้ ย

321 2. โรงเรียน หนว่ ยงานของสงั คมท่ีมสี ่วนในการสรา้ งค่านิยมอนั ถูกต้องให้แกเ่ ด็กเปน็ อย่างมาก คือโรงเรียน สังคมทุกสังคมย่อมมอบหมายหน้าท่ีอันน้ีให้แก่โรงเรียนแต่โรงเรียนก็ทาหน้าท่ีไม่ได้ผล สมบูรณ์ เพราะเหตุผลหลายประการ เช่น ค่านิยมที่โรงเรียนนามาสอนน้ันแตกต่างจากวิถีปฏิบัติของ คนท้ังหลาย สิ่งท่ีโรงเรียนสอนจึงนาไปปฏิบัติไม่ได้เสียเป็นส่วนใหญ่และอีกประการหน่ึง การอบรมปลูกฝังค่านิยมน้ันครูจะต้องมีการติดตามอยู่ทุกระยะ ถ้าเห็นข้อบกพร่องก็ต้องรีบแก้ไข แต่ ครูก็ไม่มีเวลาที่จะติดตามนักเรียนทุกคน ค่านิยมท่ีโรงเรียนสอนไม่สอดคล้องสัมพันธ์กับค่านิยมท่ี ครอบครัวและสังคมปฏิบัติอยู่ เมื่อมีความขัดแย้งเด็กมักจะเกิดความสับสนและเลือกไม่ถูกว่าควรยึด เอาคาสอนใดมาปฏบิ ัติ การอบรมของโรงเรียนไมไ่ ด้ผลดอี าจเกิดขึน้ เพราะเหตนุ ้ีได้ 3. สถาบันศาสนา บุคคลและหน่วยงานของศาสนาต่างๆ ก็มีส่วนช่วยในการปลูกฝังค่านิยม และศลี ธรรมอนั ถกู ตอ้ งให้แกบ่ ุคคลเป็นอย่างมาก 4. สังคมวยั รนุ่ และกลมุ่ เพอ่ื น การคบหาสมาคมกับเพื่อนในร่นุ เดยี วกนั ไมว่ ่าจะเป็นกลุ่มเพ่ือน สนิท หรือการทากิจกรรมอ่ืนๆ ในสังคมวัยรุ่น ผลที่เด็กได้รับอันหนึ่งคือ การเรียนรู้และการยอมรับ คา่ นยิ มจากกจิ กรรมเหลา่ นั้น 5. สื่อมวลชน ในปัจจุบันบุคคลได้รับความรู้และความคิดจากส่ือมวลชนเป็นอันมากในบาง กรณบี คุ คลก็ยอมรบั เอาความรู้ และความคดิ เหลา่ นน้ั ไปยึดถือเป็นคา่ นยิ มบางประการของตนตัวอย่าง ท่ีเห็นได้ชัดท่ีสุด เช่น ค่านิยมในการแต่งกายตามสมัยนิยม ทรงผม เป็นต้น ส่ือมวลชนมักนาความคิด เช่นน้ีออกไปเผยแพร่ คนในสงั คมโดยเฉพาะเด็กและวัยรนุ่ จะรับเอาความคิดน้เี ข้าไวโ้ ดยไม่ รู้ตัวในด้านความรู้ และความคิดสื่อมวลชนย่อมมีบทบาทสาคัญในการเผยแพร่ความคิดหลายๆ อย่าง ถ้าความคิดน้ันสอดคล้องกับความต้องการของเด็ก เขาก็จะติดตามเรื่องน้ันมากข้ึนไม่นานค่านิยมใหม่ ก็จะเกดิ ขน้ึ โดยอาศยั สอ่ื มวลชน 6. องค์การของรัฐบาล รัฐย่อมมีส่วนในการปลูกฝังค่านิยมและศีลธรรมให้แก่สังคมตามปกติ รัฐจะควบคุมโรงเรียนและสนับสนุนสถาบันศาสนาให้ทาหน้าท่ีในด้านนี้ นอกจากนั้นรัฐยังตรา กฎหมายให้สิทธิและอานาจแก่ครอบครัวในการเลี้ยงดูและอบรมเด็ก การเผยแพร่ข่าวและความคิด ของส่ือมวลชน ก็มักอยู่ภายใต้การควบคุมหรือสนับสนุนของรัฐ จึงกล่าวได้ว่ารัฐมี บทบาทสาคญั ในการปลูกฝังค่านิยมใหแ้ ก่คนในสังคม ถา้ ไมไ่ ดก้ ระทาโดยทางตรงกก็ ระทาโดยทางออ้ ม

322 สรุปไดว้ ่า ค่านยิ มทางสังคมเปน็ ตวั กาหนดพฤติกรรมทางสังคมและวถิ ีชีวติ ของบุคคลในสังคม ท้ังนี้เพราะว่าค่านิยมของสังคมนั้น เป็นส่ิงท่ีบุคคลในสังคมน้ันๆ ถือว่าเป็นส่ิงท่ีต้องกระทาต้องปฏิบัติ เป็นสิ่งท่ีบุคคล ยกย่องบูชา ค่านิยมทางสังคมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความถูกต้อง หรือความผิด ดี หรือไม่ดี จริงหรือเท็จเท่าน้ัน แต่ยังรวมถึงเงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นเครื่องนาพฤติกรรมในชีวิตของคนใน สังคมด้วย สานักงานกสทช. (2559) ได้กาหนดค่านิยมไทย 12 ประการ ตามนโยบายของคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไดแ้ ก่ 1. มีความรกั ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2. ซ่อื สตั ย์ เสยี สละ อดทน มอี ุดมการณใ์ นส่ิงทด่ี งี ามเพือ่ สว่ นรวม 3. กตัญญตู อ่ พอ่ แม่ ผู้ปกครอง ครบู าอาจารย์ 4. ใฝห่ าความรู้ หมัน่ ศกึ ษาเล่าเรียนทั้งทางตรง และทางออ้ ม 5. รกั ษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม 6. มศี ลี ธรรม รักษาความสัตย์ หวังดตี อ่ ผอู้ ื่น เผอ่ื แผ่และแบง่ ปนั 7. เขา้ ใจเรยี นรู้การเป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมขุ ที่ถูกต้อง 8. มรี ะเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรจู้ ักการเคารพผูใ้ หญ่ 9. มสี ติรูต้ วั รู้คิด รูท้ า รปู้ ฏิบตั ิตามพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 10. รู้จักดารงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดารัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รู้จักอดออมไว้ใช้เม่ือยามจาเป็น มีไว้พอกินพอใช้ ถ้าเหลือก็แจกจ่าย จาหน่าย และพรอ้ มท่ีจะขยายกิจการเมือ่ มคี วามพร้อม เมอื่ มภี ูมคิ ุ้มกันท่ีดี 11. มีความเข้มแข็งท้ังร่างกาย และจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออานาจฝ่ายต่าหรือกิเลส มีความ ละอายเกรงกลัวต่อบาปตามหลักของศาสนา 12. คานึงถึงผลประโยชนข์ องสว่ นรวม และของชาติมากกว่าผลประโยชนข์ องตนเอง ประเภทของค่านยิ ม การแบ่งประเภทของค่านิยม นอกจากจะแบ่งออกเป็นค่านิยมส่วนบุคคล และค่านิยมส่วน สังคมแล้ว มีผู้แบ่งค่านิยมออกเป็นประเภทอ่ืน ๆ อีกหลายประการ โดยข้ึนอยู่กับหลักเกณฑ์ท่ีใช้ใน

323 การแบ่ง เพ่ือให้สามารถทาความเข้าใจในค่านิยม และพฤติกรรมที่สืบเน่ืองมาจากค่านิยมได้อย่างดี ดงั นี้ อีดัวร์สแปรงเกอร์ (Sparanger, 1928 อ้างถึงใน มาลินี จุฑะรพ, 2537, หน้า 269) ได้แบ่ง ค่านิยมของมนษุ ย์ออกเปน็ 6 ประเภท คอื 1) ค่านิยมทางทฤษฎีหรือวิชาการ (Theoretical Value) เป็นค่านิยมที่ศึกษาหาความรู้ ความจริง เหตผุ ล และการรวบรวม จดั ระบบความรู้ 2) ค่านิยมทางเศรษฐกิจ (Economic Value) เป็นค่านิยมท่ีทาให้บุคคลแสวงหาประโยชน์ ทรัพยส์ ิน และความมั่นคง 3) ค่านิยมทางสุนทรียภาพ (Aesthetic Value) เป็นค่านิยมที่เก่ียวกับความช่ืนชมความพึง พอใจในความงาม ความเหมาะสม และความกลมกลึงในลกั ษณะตา่ ง ๆ 4) ค่านิยมทางสังคม (Social Value) เป็นค่านิยมที่เกี่ยวข้องกับความรักเพ่ือนมนุษย์มีความ ประสงคท์ ท่ี าประโยชนใ์ หแ้ ก่เพ่ือนมนษุ ย์ 5) ค่านิยมทางการเมือง (Political Value) เป็นค่านิยมที่เก่ียวกับอานาจอิทธิพลและ ชอื่ เสยี ง 6) ค่านยิ มทางศาสนา (Religious Value) เปน็ คา่ นยิ มในเรื่องของความเช่ือและความยึดถือ ในศาสนาสิ่งศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิหรือจุดมงุ่ หมายอนั สูงสุดในจักรวาล ฟนี ิกซ์ (Phenix, 1958 อ้างถงึ ใน ยนต์ ชุ่มจิต 2534, หน้า172–173) ได้แบ่งค่านยิ มออกเป็น 6 ประเภทดังนี้ 1) ค่านิยมทางวัตถุ (Material Values) เป็นค่านิยมท่ีเก่ียวกับปัจจัย 4 ของมนุษย์ได้แก่เร่ือง อาหารเครอื่ งนุ่งห่มทอี่ ยู่อาศยั และยารักษาโรค 2) ค่านิยมทางสงั คม (Social Values) เปน็ คา่ นิยมท่ีช่วยกอ่ ให้เกิดความรักและความสมั พันธ์ กนั ในสงั คม 3) ค่านิยมทางด้านความจริง (Truth Values) เป็นค่านิยมเก่ียวกับความจริงซ่ึงเปน็ ค่านิยมที่ สาคญั อยา่ งยง่ิ สาหรับผู้ท่ตี ้องการศึกษาหาความรู้เชน่ นักวิทยาศาสตร์และนักปราชญ์ทต่ี ้องการค้นคว้า หาทฤษฎแี ห่งความจริงทางธรรมชาติ

324 4) ค่านิยมทางจริยธรรม (Moral Values) ได้แก่ความยุติธรรมความซื่อสัตย์และความ รบั ผิดชอบ 5) คา่ นยิ มทางสนุ ทรยี ภาพ (Aesthetic Values) เป็นความซาบซึง้ ในความดีความงามของส่ิง ต่างๆ 6) ค่านิยมทางศาสนา (Religious Values) เป็นค่านิยมท่ีเก่ียวกับความปรารถนาความ สมบรู ณ์ของชวี ติ รวมทั้งความรักและการบูชาในศาสนาดว้ ย สาโรชบัวศรี (2527, หน้า 14–15) กล่าวว่าการแบ่งประเภทของค่านิยมกระทาได้หลายวิธี แล้วแตว่ ่าผแู้ บ่งจะยึดอะไรเป็นพ้ืนฐานในการแบ่งไม่มีการแบง่ ท่ีเปน็ การตายตัวแตเ่ พียงอย่างเดยี วถ้าผู้ แบ่งยึดถือพระผู้เป็นเจ้าหรือพระศาสดาเป็นหลักสาคัญก็อาจจะแบ่งค่านิยมออกได้เป็น 2 ประเภท ใหญ่ๆ ได้ดังน้ี 1) คา่ นิยมท่เี ป็นศลี ธรรม (Morality) หมายถึงค่านิยมทเ่ี ปน็ ศีลและธรรมโดยเฉพาะหรือได้แก่ Moral Values และ Ethical Values ซ่ึงถอื เอาพระศาสดาหรอื พระผู้เป็นเจ้าไดก้ าหนดไวใ้ ห้แลว้ 2) ค่านิยมที่เป็นข้อตกลง (Convention) หมายถึงค่านิยมท่ีประชาชนในชาติได้ตกลง เห็นชอบกาหนดกันข้ึนเองไม่ว่าจะเปน็ โดยทางตรงหรอื ทางอ้อมตามยุคตามสมัยได้แก่วินัยธรรมเนยี ม ประเพณีอุดมการณ์กฎหมายฯลฯ นาตยา ปิลนั ธนานนท์ (2535, หนา้ 499) ได้สรุปว่ากลุ่มนักวิชาการไดแ้ บ่งคา่ นิยมออกเป็น ประเภทตา่ งๆกันได้หลายลกั ษณะเชน่ Fenton ได้แบง่ คา่ นิยมออกเปน็ 3 ประเภทคือ 1) คา่ นยิ มทางพฤตกิ รรม ไดแ้ ก่ ค่านยิ มที่เนน้ ความเป็นระเบียบเช่นการเคารพนบั ถือผอู้ ื่น ความสภุ าพอ่อนโยนการตอบแทนผู้อ่ืนเปน็ ตน้ 2) ค่านยิ มทางกระบวนการ ได้แก่ คา่ นยิ มทีเ่ ป็นกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เช่น ความมี เหตผุ ลรจู้ ักคดิ สงสัยเปน็ ตน้ 3) ค่านยิ มทางสาระเนื้อหา ได้แก่ ค่านิยมดา้ นการเมอื งศาสนาจรยิ ธรรมและคา่ นยิ มของ บุคคลจากแนวคิดของนักวชิ าการดังกล่าวสรุปได้ว่าประเภทของค่านิยมมีลักษณะคล้ายคลงึ กนั สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ ค่านยิ มทางวตั ถคุ า่ นยิ มทางสังคมและค่านิยมทางจติ ใจ

325 บทบาทของคา่ นิยม ค่านิยมเป็นเกณฑ์หรือมาตรฐานที่บุคคลนาไปใช้เพ่ือประเมินเร่ืองใดเรื่องหน่ึงในสถานการณ์ ต่างๆกนั ค่านิยมจงึ มบี ทบาทในการเป็นมาตรฐานท่ีบุคคลนาไปใชใ้ นลักษณะต่อไปนี้ (กรมสามัญศึกษา , 2529, หน้า 5) 1. ค่านิยมเป็นมาตรฐานความเชื่อท่ีเรามีต่อสิ่งต่างๆในชีวิตประจาวัน เป็นเร่ืองของความคิด จติ ใจอารมณ์ความรู้สึก และเจตคติเข้ามาเปน็ องคป์ ระกอบในการตัดสินใจในเร่ืองต่างๆ ไปในลักษณะ ต่างๆกันค่านิยมมีเรื่องของความคิดเข้ามาเก่ียวข้อง เพราะเรื่องของการคิดถึงความต้องการคนท่ีมี ค่านิยมอย่างหนึ่งหมายความว่าเขามีความคิดมีสติปัญญาที่จะทราบว่าแนวทางท่ีถูกต้องจะประพฤติ ควรเป็นอย่างไร และค่านิยมที่เกี่ยวข้องกับจิตใจอารมณ์ความรู้สึกและเจตคติ ความหมายว่าเขามี อารมณ์ความรู้สึกเจตคตติ ่อส่งิ นั้นอย่างไรเห็นด้วยหรือต่อต้าน ดังนั้นถ้าเรายิ่งทราบค่านิยมของบุคคล อ่นื มากเทา่ ใดเราก็ย่ิงเรยี นรูใ้ นตวั ตนมากย่ิงขน้ึ 2. ค่านิยมเป็นมาตรฐานของความประพฤติในบทบาทน้ีถือว่าค่านิยมเป็นจุดหมายปลายทาง ท่ีจะนาบุคคลเปลย่ี นกิจนิสัยของเขา ค่านิยมช่วยใหบ้ ุคคลได้พิจารณาสิง่ ที่เขาชอบหรือไม่ชอบ ส่ิงใดดี หรือไม่ดี เป็นมาตรฐานความประพฤติว่าการกระทาเหมาะสม และมีคุณค่าหรือไม่ จากบทบาทของ ค่านิยมดงั กลา่ วมาแลว้ ค่านยิ มครู ค่านิยมของครู หมายถึง แนวความคิดหรือความประพฤติอันดีงามของสังคมท่ีครูจะต้อง ยึดถือเป็นหลักประจาใจ และปฏิบัติตามส่ิงท่ีได้ยึดถือน่ันเป็นประจาค่านิยมของครูจะต้องเป็นไปตาม คณุ ลักษณะของคนไทยที่ประเทศชาตติ ้องการและจะต้องสอดกบั ค่านิยมท่ีดีงามของสงั คมไทย ค่านิยมท่ีครคู วรยึดมน่ั (ยนต์ ชมุ่ จิต, 2558 : 197-198) 1. ความมรี ะเบียบวินัย 2. ความซอื่ สัตย์ สจุ ริตและความยุตธิ รรม 3. ความขยัน ประหยดั อดทน การยดึ มนั่ ในสมั มาชีพ

326 4. ความสานกึ ในหนา้ ท่ี และความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คมและประเทศชาติ 5. มีความคิดริเร่ิม วจิ ารณ์และตดั สินอย่างมีเหตุผล 6. ความกระตือรือร้นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย รักและเทิดทูน ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ 7. การรจู้ กั รักษาพลานามยั ของร่ายกายจิตใจใหส้ มบูรณ์ 8. การพึง่ ตนเอง และมีอุดมการณ์แห่งวิชาชพี 9. ความภาคภมู ิใจ และมีอุดมการณ์แห่งวชิ าชีพ 10. ความเสยี สละ เมตตาอารี กตญั ญกู ตเวที กล้าหาญ และสามคั คี 11. ความนิยมไทย 12. ความหม่ันในการศึกษาความรู้อยเู่ ปน็ นจิ 13. การเคารพยกย่อง คนดีมีคุณธรรม 14. การมีอสิ รภาพทางวชิ าการ ความคิดและการกระทา 15. ความสันโดษ 16. ความสุภาพอ่อมน้อม ถ่อมตน 17. ความยึดม่ันและปฏิบัติตามคาสอนในศาสนา ค่านยิ มทค่ี รไู มค่ วรยึดมน่ั (ยนต์ ช่มุ จติ , 2558 : 198-199) 1. การรกั ในความสนุกสนาน เพลิดเพลนิ 2. ความโอ่อ่า หรูหรา ฟุ่มเฟือย 3. การแสวงหาโชคลาภ 4. ความนยิ มในศิลปวัฒนธรรมตา่ งชาติ 5. การทาอะไรตามสบาย จนทาให้ขาดระเบยี บวินยั 6. การถือฤกษ์ ส่งิ ศักดส์ิ ทิ ธ์ิ 7. ความนิยมของนอก 8. การเชื่อถือ ส่ิงศกั ดสิ์ ิทธ์ิ 9. การใช้ส่งิ เสพตดิ มึนเมา เปน็ สอื่ สัมพนั ธม์ ติ รภาพ 10. การยกย่องบุคคลผปู้ ระพฤตผิ ดิ คุณธรรมให้เปน็ บคุ คลสาคัญ

327 สรปุ จิตวิญญาณความเป็นครู เป็นคุณลักษณะท่ีแสดงทางด้านพฤติกรรมส่วนตัวและพฤติกรรม ส่วนรวมเป็นทป่ี ระจักษแ์ กส่ งั คม และเป็นทย่ี อมรับในการปฏิบตั หิ น้าทค่ี รูด้วยคณุ ธรรม จริยธรรม และ ความปรารถนาท่ีจะพัฒนาศิษย์ตามศักยภาพพร้อมกับตระหนักถึงการพัฒนาองค์รวมด้วยความ เสียสละ มีความคดิ สร้างสรรค์เป็นแบบอย่างท่ดี ีของสงั คม และเปน็ ผมู้ จี ติ ใจใฝ่ต่อการศึกษา กล่าวโดย สรปุ ว่า จิตวญิ ญาณความเปน็ ครูหมายถึง ความรูสกึ นึกคิดท่เี กดิ จากความตระหนัก (เหน็ คุณคาตนเอง) และศรัทธา (ความเช่ือความเคารพในความเปนตนเอง) เปนความเชอ่ื ท่ีอยูเหนอื เหตุผล เป็นบุคคลผมู้ ี ความรัก ความศรัทธาในวชิ าชพี ความเป็นครมู จี ิตใจมุ่งมน่ั ต้งั ใจปฏิบัติหน้าทีข่ องตนความภาคภมู ิใจใน ความเป็นครูพัฒนาตนเอง มีความคิดสร้างสรรค์ทันต่อเหตุการณ์ รักและศรัทธาในวิชาชีพครู มีความ เสยี สละ มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม พร้อมจะการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ มคี วามม่งุ ม่นั ในการพัฒนาเด็ก และเยาวชนและประพฤตติ นเปน็ แบบอยา่ งที่ดแี ก่ศษิ ย์และสงั คม ค่านิยมครู คือแนวความคิดหรือความประพฤติท่ีครูควรเลือกยึดถือ เพราะเห็นว่ามีคุณค่าแก่ การกระทาหรือประพฤติปฏิบตั ิ คา่ นยิ มครสู ามารถเปลีย่ นแปลงหรือพัฒนาได้ ซ่ึงครคู วรนาค่านิยมท่ีดี ไปเป็นหลักในการดารงชีวิต และส่งเสริมการพัฒนาค่านิยมให้เหมาะสมกับสภาพของสังคมไทย นอกจากน้ีครูควรสั่งสอนค่านิยมที่ควรยึดม่ันแก่ลูกศิษย์เพ่ือใช้ค่านิยมควรยึดมั่ นเป็นพื้นฐานในการ พฒั นามนษุ ย์ สังคม และประเทศชาติให้เจรญิ กา้ วหนา้ ตอ่ ไป

328 อ้างองิ กิตินันท์โนสุ และ เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์. (2557). องค์ประกอบและตัวบ่งช้ีจิตวิญญาณความเป็นครู สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดภาคเหนือตอนบน. วารสารการวจิ ัยกาสะ ลองคา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย, 8(1), 53-65. โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์. (2560). สุขภาพทางปัญญา: จิตวิญญาณ ศาสนาและความเป็นมนุษย์. นนทบุรี: สานักงานคณะกรรมการสขุ ภาพแห่งชาติ. กรมสามัญศึกษา. (2529). แนวปฏิบัติตามโครงการเสริมสร้างวินัยนักเรียนทั่วประเทศ . กรุงเทพมหานคร. กองพัสดุและอปุ กรณท์ างการศึกษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. เกรียงไกร เรือนน้อย. (2554). ค่านิยมท่ีพึงประสงค์และลักษณะคนไทยที่ดีของคนไทย [ออนไลน์]. สบื คน้ จาก https://www.gotoknow.org/posts/336897. สืบคน้ เมื่อวันท่ี 30 ธนั วาคม 2563. ชญานิศวร์ กุลรตั นมณีพร และคณะ. (2555). การเสรมิ สรา้ งคา่ นยิ ม: การทบทวนองค์ความรแู้ ละแนว ทางการวจิ ยั ด้านค่านยิ มไทยในอนาคตกระทรวงวฒั นธรรม. กระทรวงวัฒนธรรม. ชฎาพร พัชรษั เฐยี ร. (2554). ความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั ค่านยิ มทางสงั คมของนักเรยี นมธั ยมศกึ ษาใน กรงุ เทพมหานคร. ครุศาสตรมหาบณั ฑติ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ณฏั ฐภรณ์หลาวทอง และปยิ วรรณ วิเศษสวุ รรณภมู .ิ (2553). การพฒั นาแบบวดั จติ วิญญาณความเป็น คร.ู วารสารวธิ ีวทิ ยาการวจิ ัย, 23(1):25-54. ณรงค์ เส็งประชา. (2531). พืน้ ฐานวฒั นธรรมไทย. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร.์ ทัศนยี ์ ทองสวา่ ง. (2537). สังคมไทย. กรุงเทพฯ: โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮา้ ส.์ ธีรศักด์ิ อุปไมยอธชิ ัย. (2563). ความเปน็ ครู : แนวทางการพฒั นาเชงิ ทฤษฎสี ู่การปฏบิ ตั ิ. กรุงเทพฯ. สานกั พมิ พ์จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ธรรมนนั ทกิ า แจงสวาง. (2554). ประสบการณของการเปนครผู มู ีจติ วญิ ญาณความเปนครู :การศกึ ษา เชงิ ปรากฏการณวิทยา. ปรญิ ญาดษุ ฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ. กรงุ เทพมหานคร. ธวัชชัย เพ็งพินิจ. (2550). ศาสตร ว าด วย “จิตวิญญาณครู” [ออนไลน์]. สืบค้นจาก. https://www.gotoknow.org/posts/153240 สบื คน้ เมื่อ 5 มกราคม 2564. นาตยา ปิลันธนานนท์. (2535). การพัฒนาจริยธรรม : การทาความกระจ่างในค่านิยมเอกสารการ สอนชดุ จรยิ ศึกษาหน่วยท่ี9 – 15(พิมพค์ ร้งั ท่ี 5). กรงุ เทพมหานคร. มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. ประเวศ วะสี. (2553). ธรรมชาติของสรรพสง่ิ : การเขาถึงความจริงทั้งหมด. นนทบุรี. กรีน-ปัญญา ญาณ.

329 อ้างองิ (ตอ่ ) ประสิทธิ์ อุ่นหนองกุ่ง. (2555). เอกสารประกอบการสมั มนาภาวะผูนา. สกลนคร. มหาวิทยาลัยราช ภฏั สกลนคร. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525. (2558). ความหมายของครู [ออนไลน์]. สบื ค้นจาก https://sites.google.com/site/krutubtib/khru/khwam-hmaykhxng-kha-wa-khru. สบื คน้ เมื่อ 2 มกราคม 2564. พชั นี สมกาลงั . (2556). จติ วญิ ญาณของผู้นาทางการพยาบาล ฟลอเรนซ ไนตงิ เกล. กรุงเทพฯ : โรง พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. พะนอม แกวกาเนิด. (2552). จติ วญิ ญาณของความเปนคร.ู [ออนไลน์]. สืบค้นจาก http://surakon .blogspot.com/2014_02_01_archive.html. สืบคน้ เมอื่ 6 มกราคม 2564. พระครสู ังฆรกั ษจ์ กั รกฤษณ์ ภูรปิ ญฺโญ. (2562). จติ วญิ ญาณความเปน็ ครมู ืออาชพี . วารสารมหาจุฬา นาคร-ทรรศน์. 8(1). 33-34. ภาวิดา มหาวงศ์. (2562). การพัฒนาแบบวัดจติ วิญญาณความเปน็ ครูของนกั ศึกษาวิชาชพี ครู มหาวิทยาลยั ราชภฏั . วารสารหาดใหญว่ ชิ าการ. 17(2), 201-220. มงคล เอี่ยมวงศร. (2557). คา่ นิยมทางสงั คมทส่ี ง่ ผลต่อพฤตกิ รรมการเลือกซือ้ สนิ คา้ ผา่ นสอ่ื สงั คม ออนไลน.์ วิทยานพิ นธป์ ริญญามหาบัญฑติ . คณะบรหิ ารธรุ กิจ มหาวทิ ยาลัยกรุงเทพ. มาลนิ ี จฑุ ะรพ. (2537). จติ วทิ ยาการเรยี นการสอน. กรงุ เทพฯ : อกั ษรพิพัฒน. มลวิ ัลย์ สมศกั ด์,ิ นติ ยารตั น์ คงนาลกึ , ทพิ วรรณ ทองขุนดา, และรพีพรรณ อกั ษราวดีวฒั น.์ (2561). องค์ประกอบและตวั ช้ีวัดจิตวิญญาณความเป็นครขู องนกั ศกึ ษา. วารสารเทคโนโลยีภาคใต้, 11(1). 52 ยนต์ ชมุ่ จิต. (2534). ความเป็นครู. กรงุ เทพมหานคร. โอ.เอส.พร้ินทต์ ิ้งเฮาส.์ ยนต์ ชุม่ จิต. (2558). ความเปน็ ครู. กรุงเทพมหานคร. โอเดียนสโตร์. วัลนิกา ฉลากบาง. (2559). จิตวิญญาณความเป็นครู: คุณลักษณะสาคัญของครูมืออาชีพ. วารสาร วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต, สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน, บัณฑิตวิทยาลัย,มหาวิทยาลัย นเรศวร. ศกั ดิ์ไทย สุรกิจบวร. (2557). ครมู อื อาชพี ในบทความศนู ย์ การฝกึ นกั ศกึ ษาวชิ าทหารมณฑลทหารบก ที่ 21 [ออนไลน์]. สบื คน้ จาก http://www. rtckorat.org/wordpress/?=164. สบื คน้ เม่อื 28 มีนาคม 2562 ศุภลักษณ์ ทัดศรี และอารยา พรายแย้ม. (2554). จิตวิญญาณในชีวิตประจาวัน. กรุงเทพมหานคร: คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล. สกล สิงหะ. (2550). จิตตปัญญาเวชศึกษา. กรงุ เทพมหานคร. โรงพิมพเ์ ดือนตุลา.

330 อา้ งองิ (ตอ่ ) สจีวรรณ ทรรพวสุ. (2560). กลยุทธ์การพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูเพ่ือส่งเสริมความเป็นครู วิชาชีพของ นกั ศกึ ษา คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนสนุ ันทา. วารสารราชพฤกษ์. 15(1), 1-10. สทุ ศั น์ สังคะพนั ธ.์ (2558). ทาไมตอ้ งทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21. 21st Century Skill : Why ? “TEACH LESS, LEARN, MORE”. มหาสารคาม: มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. สนุ ทรี โคมิน และสนทิ สมัครการ. (2522). รายงานวจิ ยั คา่ นยิ มและระบบคา่ นยิ มไทย.กรงุ เทพฯ: สานกั วจิ ยั สถาบนั บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สุนทรี โคมนิ และสนิท สมัครการ. (2524). คา่ นยิ มและระบบคา่ นยิ มในสงั คมไทย: เครอื่ งมือในการ สารวจวดั . กรุงเทพฯ: สานกั วิจัยสถาบนั บณั ฑิตพฒั นบรหิ ารศาสตร์. สานกั งานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแหง่ ชาติ. ค่านยิ มหลกั ของคนไทย 12 ประการ [ออนไลน์]. สบื คน้ จาก www.nbtc.go.th/News/govnewspartner/คา่ นยิ มหลกั ของคนไทย-12-ประการ-ตามนโยบาย ของคสช.aspx?lang=th-th. สืบคน้ เมอ่ื วนั ท่ี 27 ธนั วาคม 2563. สานักงานคณะวฒั นธรรมแห่งชาต.ิ (2551). ความหมายคา่ นยิ ม [ออนไลน์]. สืบคน้ จาก http://book. Culture.go.th /newbook/book/other/kaneeyom.pdf. สืบคน้ เมื่อวนั ที่ 30 ธนั วาคม 2563. สานักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ. (2544). สู่สุขภาพทางสังคมและจิตวิญญาณ. นนทบุรี. 21 เซ็นจูร.่ี สานักงานส่งเสรมิ สังคมแห่งการเรยี นรแู้ ละคุณภาพเยาวชน. (2557). การยกระดับคุณภาพครูไทยใน ศตวรรษ ท่ี 21. ในการประชมุ วชิ าการ “อภวิ ฒั น์ การเรยี นร.ู้ ..สจู่ ดุ เปลย่ี นประเทศไทย”. กรงุ เทพมหานคร: สานกั งานส่งเสริมสังคมแหง่ การเรียนรแู้ ละคณุ ภาพเยาวชน. สุพชิ ญา โคทว.ี (2558). รายงานการวจิ ัยเร่อื งการพัฒนารูปแบบการเรยี นการสอนเพือ่ สรางเสรมิ จติ วิญญาณความเป นครูโดยใช เเนวคิดจิตตป ญญาศึกษา สาหรับนักศึกษาครุศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ. อุตรดิตถ. สานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อุตรดิตถ. สมหวัง พิธิยานุวัฒน์. (2558). ข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการจัดการศึกษาข้ัน พ้ืนฐาน สอบครู ครอู าชพี กบั อาชีพครู. กรงุ เทพมหานคร: คุรสุ ภา.

331 อ้างองิ (ต่อ) สมศักด์ิ ดลประสิทธ์ิ. (2543). บทวิเคราะห์และข้อเสนอระบบการประเมินครูและบุคลากรทางการ ศกึ ษา. [ออนไลน]์ . สบื คน้ เมอ่ื 15 เมษายน 2563, จาก http://www.moe.go.th/ cgiscrip t/csArticles/articles. สาโรช บวั ศร.ี (2527). จรยิ ธรรมศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พค์ รุ ุสภา. สมบตั ิ มหารศ และคณะ. (2540). คา่ นยิ ม [ออนไลน]์ . สบื ค้นจากhttps://koha.library.tu.ac.th/ cgibin/koha/opac-detail.pl?biblionumber=46418&query_desc=(su%2Ccomple tesubfield%3A%7Bค่านิยม.%7D. . สืบคน้ เมอ่ื วนั ท่ี 27 ธนั วาคม 2563. สุรรี ตั น์ อารรี ักษ์สกุล ก้องโลก. (2559). ศักยภาพ สมรรถภาพครู และจติ วญิ ญาณความเปน็ ครู (หนว่ ยท่ี 10). นนทบรุ :ี สาขาวชิ าศึกษาศาสตรม์ หาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช น. 55-56. อมรรตั น์ แกน่ สาร. (2558). การพฒั นาตวั บง่ ชจ้ี ติ วญิ ญาณความเปน็ ครขู องครู. สงั กดั สานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน. อารยา พรายแยม้ และคณะ. (2552). การสงั เคราะห์ความร้ทู างด้านการพัฒนาจติ ปญั ญา (วญิ ญาณ) จากเร่ืองเลา่ ความสาเรจ็ ของผใู้ ห้บรกิ ารและผรู้ บั บรกิ ารในระบบสุขภาพ. รายงานฉบบั สมบรู ณ์. มูลนธิ ิ สดศรี-สฤษดิ์วงศ.์ Frankel, J. R. (1977). How to Teach About Values : An Analytic Approach. New Jersey. Prentice Hall. Janesawang, T. (2011). Teacher Spirituality Experience: A Phenomenological Study. Unpublished Doctoral Dissertation, Srinakarinwirot University, Bangkok, Thailand. [in Thai]. Lawthong, N., & Visessuvanapoom, P. (2010). Development of the teacher spirituality scale. Journal of Research Methodology. 23(1). 25-54. [in Thai]. Nosu, K. , & Wisalaporn, S. ( 2014) . Factors and indicators of teachers’ spirit of the primary education area office in the Upper- Northern Provinces. Kasalongkham Researrch Journal Chiangrai Rajabhat University, 8(1), 53-65. [in Thai].

332 Pajak, E., & Blase, J. J. (1989). The impact of teachers' personal lives on professional role enactment: A qualitative analysis. American Educational Research Journal, 26(2), 283–310. Phenix, P. (1958). Philosophy of education. New York: Henry Holt. Spranger, E. 1928. Types of men. Halle: Max Neime yer. Yolao, et al., (2010). Giving Definitions and Index, Evaluation and Instruments of Spirituality of Educational Personnel. Sodsri-Saridwongso Foundation. [in Thai]

333 กลุ่ม 4 กฎหมายการศกึ ษา

334 กฎหมายการศกึ ษา 1. วิวฒั นาการของกฎหมาย 1.1 วิวัฒนาการของกฎหมายสากล กฎหมายทใ่ี ช้กนั ท่ัวโลกในปัจจบุ ันนี้ มิไดม้ ีลกั ษณะเดียวเหมือนกันหมดทุกประเทศ แต่มีการ ใช้ตามลักษณะของแต่ละระบบกฎหมายที่ประเทศน้ันเห็นว่าเหมาะสมกับสภาพสังคมของตน ระบบกฎหมายที่สําคัญมีอยู่ 2 ระบบ ได้แก่ ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร และระบบกฎหมายไม่ เป็นลายลักษณ์อักษร การใช้และวิธีคิดของท้ังสองระบบนี้แตกต่างกัน ดังน้ันประเทศใดเลือกใช้ระบบ กฎหมายใด การใช้และวิธีคิดทางกฎหมายก็ต้องเป็นไปตามลักษณะของระบบกฎหมายที่เลือกนั้นจึงจะ เกิดความยุติธรรมกับสังคมของประเทศน้ัน ทั้งนี้เพราะท้ังสองระบบมีวิวัฒนาการของกฎหมายไม่ เหมอื นกนั จึงสมควรทราบถึงววิ ัฒนาการของกฎหมายท้ังสองระบบ 1.1.1 ระบบกฎหมายลายลักษณอ์ กั ษร ( Civil Law System ) ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรเป็นระบบกฎหมายท่ีมีต้นกําเนิดมาจาก กฎหมายโรมัน คําวา่ กฎหมายโรมัน หมายถึง กฎหมายทีใ่ ชใ้ นมหาอาณาจักรโรมัน (Roman Empire) ซึ่ง ประกอบ ด้วยกฎหมายสําคัญได้แก่ กฎหมายสิบสองโต๊ะ กฎหมายชาวโรมัน (Jus Civile) กฎหมายชน ต่างชาติ (Jus Gentium) และตวั บทกฎหมายอ่ืนของมหาอาณาจักรโรมัน ตอ่ มาในรัชสมัยของพระเจ้า จักรพรรดิจัสตเิ นยี นท่ี 1 (Justinian I) นักกฎหมายที่สําคัญในสมัยของพระองค์ได้จดั ทําร่างกฎหมายแพ่ง ขึ้นเป็นประมวลกฎหมาย โดยยึดถือเอาจารีตประเพณี (Custom) เป็นพ้ืนฐาน และนําเอาคําพิพากษา ความคิดเห็นหรือการตีความกฎหมายของนักปราชญ์กฎหมายและนักนิติศาสตร์ ข้ึนมาบัญญัติเป็น กฎหมายลายลักษณ์อักษรอีกด้วย พระเจ้าจักรพรรดิจัสติเนียนได้ทรงบัญญัติกฎหมายขึ้นในลักษณะ ประมวลกฎหมายเรียกว่า “กฎหมายจัสติเนียน” (Justinian Law) อันเป็นประมวลกฎหมายที่เป็น แบบอย่างให้แก่ประเทศต่างๆ ในภายหลังได้คัดลอกเลียนแบบและนําไปบัญญัติข้ึนเป็นกฎหมายของ ประเทศตน โดยเฉพาะประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป จนทําให้มีการเรียกระบบกฎหมายนี้ว่า “ระบบ กฎหมายภาคพน้ื ยุโรป” นอกจากน้ีมีบางประเทศที่ได้บัญญัติกฎหมายใช้เป็นรูปแบบของ ประมวลกฎหมาย เป็นสว่ นใหญ่ คือบัญญัตใิ นลกั ษณะเป็นการรวบรวมขอ้ กฎหมายหลายๆ เร่ืองเข้าไวใ้ นเล่มเดยี วกัน จัดลําดับเข้าไวอ้ ย่าง เป็นระเบียบและเป็นหมวดหมู่ มีความสัมพันธ์กันทุกเรื่องในกฎหมายเล่มเดียวกัน จึงเรียกระบบ กฎหมายนี้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า “ ระบบประมวลกฎหมาย” (Code law) ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมาย ลายลักษณ์อักษรที่ใช้ประมวลกฎหมายเป็นหลักน้ีได้แก่ อิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์

335 และประเทศในทวีปเอเชียท่ีได้รับอิทธิพลของระบบกฎหมายน้ีเข้ามาในประเทศของตน ได้แก่ ประเทศ ญี่ปุน่ และไทย กฎหมายลายลักษณ์อักษรเป็นการนําเอากฎหมายในเรื่องต่างๆ มาบัญญัติขึ้นไว้เป็นลาย ลักษณ์อักษรวางหลักเกณฑ์ไว้ชัดเจน สะดวกแก่ประชาชนในการอ่านข้อความในกฎหมายเพื่อความ เข้าใจและปฏิบัติตามได้โดยง่าย เพราะเป็นหลักเกณฑ์ที่แน่นอนและสามารถอ้างอิงกันในทุกฝ่าย กฎหมายลายลักษณ์อักษรมักจะถูกบัญญัติข้ึนโดยผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมาย หรือกระบวนการนิติ บัญญัติ สําหรับประเทศไทยรัฐธรรมนูญกําหนดให้รัฐสภามีอํานาจหน้าที่พิจารณาและให้ความเห็นชอบ การจัดทํากฎหมายลายลักษณ์อักษรในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประมวล กฎหมาย นอกจากนน้ั รฐั ธรรมนูญยังให้อํานาจแก่ฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) ในการออกกฎหมายเมือ่ มี ความจําเป็นเพื่อประโยชน์ในการบริหารประเทศหรือเพื่อความมั่นคงของประเทศ ในรูปของพระราช กําหนด ที่ต้องอาศัยการบังคับใช้อย่างรวดเร็ว เพ่ือผลประโยชน์ความม่ันคงทางเศรษฐกิจและความสงบ สขุ เรยี บร้อยของประชาชน เช่น พระราชกาํ หนดเก่ยี วกบั ภาษอี ากร เป็นตน้ 1.1.2 ระบบกฎหมายไมเ่ ป็นลายลกั ษณ์อักษร ( Common Law System ) ระบบกฎหมายไม่เปน็ ลายลักษณ์อักษร หรอื ระบบกฎหมายจารีตประเพณี มี ต้นกําเนิดมาจากประเทศอังกฤษ เป็นกฎหมายท่ีใช้กันในประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ตลอดจน ประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ ประเทศอังกฤษมีภูมิประเทศเป็นเกาะหลายเกาะรวมกันและเป็นภูเขา อยู่หลายแห่ง อาณาเขตของประเทศอังกฤษแตเ่ ดมิ ประกอบด้วยชนพ้ืนเมืองหลายเผ่า เช่น เผ่า Anglian เผ่า Saxon (ในภายหลังไดร้ วมกันและเรยี กตัวเองว่า แองโกลแซกซอน) ในยุคแรกของแองโกลแซกซอน ราว ค.ศ. 1066 ผู้มีชัยได้ครอบครองเกาะอังกฤษ คือพระเจ้าวิลเลียมท่ี 1 ซ่ึงเป็นชาว Norman พระองค์ ประกาศริบที่ดินในเกาะอังกฤษทง้ั หมดมาเปน็ ของพระองค์ แล้วจดั แบ่งให้แก่ขนุ นางแตล่ ะคนที่จงรกั ภักดี ตามศักดินา ซ่ึงเรียกกันวา่ “ระบบ Feudalism” ชนแต่ละเผา่ ของอังกฤษในขณะนั้นต่างมีจารีตประเพณี ท้องถ่ินเป็นของตนเอง การพิจารณาคดีจึงเริ่มจากระดับท้องถิ่นโดยผู้พิพากษาท่ีไปจากศาลหลวง (ศูนยก์ ลางอยู่ที่กรุง London เรียกว่า Westminster) ถูกจัดส่งหมุนเวียนไปพิจารณาคดีในระดับท้องถิ่น ศาลหลวงพยายามปรับปรุงกฎหมายให้เป็นกลางท่ีสุดท่ีเรียกว่า Common Lawคือใช้บังคับได้ท่ัวไป และเอาจารตี ประเพณใี นเรื่องต่างๆ มารวมเข้าไว้ เช่น การถือครองท่ีดิน ทรสั ต์ ละเมดิ เปน็ ต้น การ พิจารณาคดีของผพู้ ิพากษาจะนําเอาหลักเกณฑ์จากจารตี ประเพณีที่ใชเ้ ป็นกฎหมายอย่แู ล้วมาปรับแก่คดี ท่ีเกิดขึ้น ซึ่งศาลย่อมมีอํานาจใช้ดุลพินิจในการปรับแก่ข้อเท็จจริงแล้วตัดสินคดีไปตามท่ีเห็นว่ายุติธรรม คําพิพากษาของศาลในระบบ Common Law จึงเป็นบรรทัดฐานแก่ผู้พิพากษาคนต่อๆ มาที่จะใช้เป็น แบบอย่าง และมีคุณค่าเหมือนตัวบทกฎหมาย ทําให้เกิดคํากล่าวท่ีว่า “ผู้พิพากษาเป็นผู้สร้างกฎหมาย” (Judge Made Law)

336 การท่ีระบบกฎหมายของประเทศอังกฤษถูกเรียกว่าระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือระบบกฎหมายจารีตประเพณีนั้น เพราะกฎหมายที่ใช้เป็นหลักของประเทศ ไม่มีการบัญญัติข้อ กฎหมายในลักษณะกําหนดวางหลักเกณฑ์ไว้ชัดเจนอย่างเช่นในระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร แต่จะ กําหนดหลักกฎหมายไว้ในคําพิพากษาของศาลสูงสุดท่ีตัดสินคดีไว้เป็นคดีแรก โดยนําจารีตประเพณีมา เป็นเหตุผลในการตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีของแต่ละท้องถิ่นนั้นเหมือนกันบ้างไม่เหมือนกันบ้าง ดังน้ั นในการพิจารณ าคดีจึงจําเป็น ต้องเชิญประชาชนในท้องถ่ินน้ัน ที่เป็นคน ดีเป็นที่เ คํารพนับถือทั้ ง ท้องถ่ินมาร่วมนั่งพิจารณาคดีในศาลด้วย โดยพิจารณาเฉพาะข้อเท็จจริง แล้วตัดสินว่าผู้นั้นกระทํา ความผดิ ตามท่กี ล่าวหาหรือไม่ ประชาชนที่ถกู เชิญมาน้ีเรยี กว่า “คณะลูกขุน” (Jury) ถ้าคณะลูกขุนเห็น ว่าผู้ต้องหากระทําผิดจริง ก็เป็นหน้าที่ของผู้พิพากษาท่ีจะพิจารณาในปัญหาข้อกฎหมายต่อไปแล้ว พิพากษาคดี แต่หากคณะลูกขุนเห็นว่าไม่ผิดก็ต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาน้ันไป ระบบการพิจารณาคดีของ ประเทศอังกฤษนี้ต่างกับการพิจารณาคดีของประเทศท่ีใช้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ในระบบ กฎหมายลายลักษณ์อักษรจะมีผู้พิพากษาเท่านั้นท่ีเป็นผู้ทําหน้าที่ท้ังพิจารณาและพิพากษาคดี โดย พิจารณาท้ังปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย โดยนํากฎหมายที่เก่ียวข้องมาพิจารณาปรับกับคดี ด้วยวิธีการตีความกฎหมาย จึงไม่จําเป็นท่ีจะต้องมีคณะลูกขุนมาน่ังพิจารณาคดีในส่วนท่ีเป็นปัญหา ขอ้ เท็จจรงิ เหมอื นระบบกฎหมายของประเทศอังกฤษ 1.2 วัฒนาการของกฎหมายไทย ในอดตี กฎหมายไทยไม่ได้เขียนขน้ึ เป็นลายลักษณ์อักษร เนื่องจากยังไม่มีผูร้ ู้หนังสือ จึงใช้จารีตประเพณีซ่ึงมาจากขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยแต่โบราณเป็นขอ้ บังคับความประพฤติของ คนชาวไทย กฎหมายของไทยมีวิวฒั นาการเป็นเวลายาวนานสามารถลาํ ดบั ยคุ สมัยได้ดังน้ี 1.2.1 สมยั ก่อนสโุ ขทยั ยุคนเ้ี ปน็ ยุคเรม่ิ แรกของการรวมตวั ชนเผ่าพันธไ์ุ ทย อาณาเขตดินแดน ของไทยยังไม่เป็นทแ่ี นน่ อน เพราะอย่กู ันเป็นกลุ่มเป็นก๊กเป็นเหลา่ แลว้ แต่กลุ่มใดเผ่าพันธ์ุใดจะมีอํานาจ ในช่วงเวลาน้ัน และสืบทอดเช้ือสายต่อ ๆ มาหลายยุคหลายสมัย เช่น ทราราวดี ละโว้ หริปุณชัย ศรี วชิ ยั และลา้ นนา เปน็ ต้น ในยุคเหล่าน้ีไม่ปรากฏหลกั ฐานเก่ยี วกับกฎหมายท่ีใช้ให้เห็นแน่ชดั คงมีเพียงในยคุ ล้านนาท่ี ปรากฏใหเ้ หน็ เก่ียวกบั กฎหมายใชบ้ ังคบั ในอาณาจกั รลา้ นนา คอื ”กฎหมายพระเจา้ มังราย” (มงั รายศาสตร์) ซ่ึงไดน้ ําจารีตประเพณมี าบญั ญตั ิเป็นกฎหมายไว้อย่างชัดเจน สาํ หรบั ยุคอ่ืนๆนั้น แม้ไม่มีหลกั ฐานปรากฏให้เหน็ วา่ มีการใช้กฎหมายลักษณะใด แตใ่ นทางพฤติกรรมของมนษุ ย์ทต่ี อ้ ง อยู่รวมกันเป็นเผ่าพันธ์ุ ทําให้สันนิษฐานได้ว่ากฎหมายท่ีใช้จะเป็นกฎหมายจารีตประเพณีของแต่ละ เผ่าพันธุ์ โดยหวั หนา้ เผ่าพันธ์ุนน้ั เปน็ ผกู้ ําหนดกฎหมายให้ปฏบิ ตั ิ ซึ่งหวั หน้าเผา่ พันธุ์ในแตล่ ะยุค

337 อาจเป็นกษัตรยิ ์หรอื คนธรรมดาท่เี ผ่าพันธุน์ ้นั ยกย่องใหเ้ ป็นผูน้ ําก็ได้ เชน่ ยุคลา้ นนาซ่งึ เปน็ ยุคกอ่ น เปล่ียนเข้าสู่ยุคสุโขทัย มีกษัตริย์เป็นหัวหน้าเผ่าพันธ์คุ ือ พระเจ้ามังราย (พระเจ้าเม็งราย) ยุคน้ีมีความ เจริญรุ่งเรืองมาก มีกฎหมายใช้บังคบั อย่างชดั เจนทาํ ใหช้ าวล้านนาปฏิบตั ติ ามได้ถกู ต้อง 1.2.2 สมัยสโุ ขทัย ยุคนี้เป็นยุคที่มีความเข้มแข็งและเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ในขณะท่ียุค ลา้ นนาเร่ิมเส่ือมอํานาจลง ยุคสุโขทัยน้ีมีปรากฏหลักฐานเก่ียวกับกฎหมายและการปกครองบ้านเมืองไว้ ให้เห็นชัดเจน อีกทั้งมีการประดิษฐ์ตัวอักษรภาษาไทยขึ้นเป็นคร้ังแรกในสมัยพ่อขุนรามคําแหง พ่อขุน รามคําแหงได้ทรงคิดลายสือไทยข้ึนเม่ือประมาณ พ.ศ. 1826 โดยนําเอาอักษรขอมมาดัดแปลงและได้ จารึกข้อความไว้บนหลักศิลา หลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคําแหงหลักที่ 1 ซึ่งถูกจารึกเม่ือปี พ.ศ. 1835 มี ข้อความเก่ียวกับกฎหมาย เศรษฐกิจ และการปกครอง นักกฎหมายในประวัติศาสตร์จึงเช่ือกันว่าศิลา จารึกของพ่อขุนรามคําแหงถือเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของไทย และในทางนิติศาสตร์ยัง ถือว่าศิลาจารึกพ่อขุนรามคําแหงมหาราชเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยอีกด้วย ศิลาจารึกพ่อขุน รามคําแหงเป็นส่ิงที่สะท้อนให้เห็นว่า ในยุคสมัยน้ันได้มีกฎหมายใช้แล้ว ศิลาจารึกด้านที่ 1 และด้านที่ 2 ไดก้ ล่าวถงึ พระประวัติของพอ่ ขุนรามคําแหงมหาราชดังน้ี “พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูช่ือนางเสือง พี่กูช่ือบานเมือง ตูพ่ีน้องท้องเดียวห้าคนผู้ชาย สาม ผู้หญิงโสง พเี่ ผอื ผอู้ า้ ยตายจากเผือเตยี มแต่ยังเลก็ ” ส่วนข้อความในศิลาจารึกส่วนอื่นๆ นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นคําจารึกเกี่ยวกับกฎหมายใน ลักษณะตา่ งๆ อาทิ “เจ้าเมืองบ่อเอาจกอบในไพร่ ลู่ทางเพ่ือจูงวัวไปค้า ข่ีม้าไปขาย” ข้อความตอนนี้ถือว่าเป็น กฎหมายห้ามเกบ็ ภาษหี รือแสดงว่าไม่มีการเกบ็ ภาษีผา่ นด่าน “ไพร่ฟ้าหน้าใส ลูกเจ้าลูกขุนผู้ใด แล้ล้มตายหายกว่า เย่าเรือนพ่อเช้ือ เส้ือค้ํามัน ช้างขลูก ลูกเมีย เยียข้าว ไพร่ฟ้าข้าไท ป่าหมาก ป่าพลู พ่อเช้ือมัน ไว้แก่ลูกมันสิ้น” ข้อความตอนน้ีถือว่าเป็น กฎหมายเก่ียวกบั มรดก กล่าวคือ ผใู้ ดตาย ทรพั ยส์ ินตกได้แกล่ กู “ไพร่ฟ้าลูกเจ้าลูกขุน ผ้ีแล้ผิดแผกแสกว้างกัน สวนตูแท้แล้วจึ่งแล่งความแก่ข้าด้วยช่ือ บ่ เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน เห็นเข้าท่านบ่ใคร่ฟิน เห็นสินท่านบ่ใคร่เดือด” ข้อความตอนน้ีถือว่าเป็นกฎหมาย เกี่ยวกบั การตัดสินคดีความ แสดงลักษณะของผู้พิพากษา (ตุลาการ) ว่าพึงตัดสนิ คดีด้วยความเป็นธรรม ไมเ่ หน็ แกอ่ ามสิ สนิ จา้ งใดๆ

338 “สร้างป่าหมาก ป่าพลูท่ัวเมืองนี้ทุกแห่ง ป่าพร้าวก็หลายในเมืองน้ี ป่าลางก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงกห็ ลายในเมอื งนี้ ใครสรา้ งไดไ้ วแ้ กม่ ัน” ขอ้ ความตอนทา้ ยทวี่ ่า “ใครสร้างได้ไว้แกม่ ัน” ถอื ว่า เป็นบทบญั ญัติท่รี บั รองสทิ ธใิ นทรพั ย์สิน (กรรมสทิ ธ์ิ) “ในปากปตูมีกดึงอันนื่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปก กลางบ้าน กลางเมือง มีถ้อย มีความ เจ็บท้องข้องใจ มันจักกล่าวเถิงเจ้าเถิงขุนบ่ไร้ไปลันกดึงอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคําแหง เจ้าเมืองได้ยิน เรียกเมื่อถามสวนความแก่มันด้วยซ่ือ ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึงชม” ข้อความตอนนี้ถือว่า เปน็ บทบัญญัติเก่ียวกับการร้องทุกข์ แสดงให้เห็นวธิ ีการปกครองวิธหี นึ่งและเป็นจิตวิทยาที่ดีในการเข้าถึง ประชาชน เพราะแม้จะมีอักษรไทยใช้แล้ว แต่ในทางปฏิบัติยังให้ร้องทุกข์โดยวาจาเพราะคนส่วนใหญ่ เขยี นหนงั สอื ไม่เปน็ นอกจากท่ีกล่าวมาข้างต้นแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งท่ีเชื่อได้ว่าในสมัยสุโขทัยมีบทกฎหมายท่ีใช้ในการ ปกครองบ้านเมืองในสมัยนั้นมากกว่าที่ปรากฏในศิลาจารึก คือ หากเปรยี บเทียบกับกฎหมายพระเจ้ามัง ร า ย (มั ง ร า ย ศ า ส ต ร์ ) ซ่ึ ง มี ผู้ ค้ น พ บ ก ฎ ห ม า ย แ ล ะ เช่ื อ ว่ า พ ร ะ เจ้ า มั ง ร า ย ห รื อ พระยาเม็งรายกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาได้ทรงบัญญัติข้ึนนั้น มีบทบัญญัติหลายลักษณะด้วยกันทั้ง ทางปกครอง ทางแพ่ง ทางอาญา และวธิ ีพิจารณาความ ซงึ่ แสดงว่าอาณาจักรล้านนาในขณะนนั้ มคี วาม เจรญิ รุ่งเรือง มีระเบยี บแบบแผน และมีกฎหมายใชป้ กครองบา้ นเมอื ง จึงเชื่อได้วา่ อาณาจักรสุโขทยั ซึ่ง อยู่ติดต่อกนั และมีความเจรญิ รงุ่ เรอื งทัดเทยี มกัน คงจะมกี ฎหมายทม่ี ิได้ปรากฏในศิลาจารึกใช้เป็นหลักใน การปกครองบ้านเมืองเช่นเดียวกับอาณาจักรล้านนา ท่ีมีมังรายศาสตร์ (กฎหมายพระเจ้ามังราย) เป็น กฎหมายใชบ้ งั คบั อยใู่ นยคุ สมยั น้ัน แม้ในยคุ สโุ ขทัยจะมหี ลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคําแหง ซ่งึ ถือว่าเป็นกฎหมายลายลกั ษณ์อักษรฉบับ แรกของไทยก็ตาม แต่กฎหมายอื่นๆ ก็ได้ใช้บังคับในลักษณะของกฎหมายจารีตประเพณี โดยยึดคํา วินิจฉัยของพ่อขุนต่างๆ เป็นกฎหมาย จึงนับว่าในยุคสุโขทัยนี้ใช้กฎหมายแบบระบบกฎหมายจารีต ประเพณี มีการปกครองแบบพอ่ กบั ลูก 1.2.3 สมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา เมื่อยุคสุโขทัยสิ้นลง เพราะเกดิ โรคระบาดในสุโขทยั ทําให้คนตายเป็น จาํ นวนมากไม่อาจอยู่ อาศัยในดินแดนสุโขทัยได้อีก จึงต้องอพยพกระจัดกระจายไปอยู่ท่ีอื่นจนมาสร้าง ดนิ แดนแห่งใหม่ที่อยุธยา และเร่ิมมกี ารปกครองในรูปแบบของการมีกษัตรยิ ์เป็นผู้ปกครองเป็นครัง้ แรก ในยุคนี้ ซ่ึงกษัตริย์องค์แรกของไทยคือ “พระเจ้าอู่ทอง” ผู้ทรงเป็นต้นราชวงศ์อู่ทองราชวงศ์แรกของ ไทย โดยต่อมาไดส้ ถาปนาพระองค์เปน็ “สมเดจ็ พระรามาธิบดที ่ี 1 ”

339 สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสร้างกรงุ ศรีอยุธยา เป็นเมืองหลวง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1893 ในยุคสมัยน้ันมีการติดต่อสัมพันธ์กับอาณาจักรขอมซึ่ง ได้รับอิทธิพลจากลัทธิฮินดูท้ังทางประเพณีและวัฒนธรรม ไทยจึงเร่ิมนําเอาลทั ธิฮินดแู ละพราหมณ์เข้า สรู่ ะบอบการปกครอง โดยปกครองแบบระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ ส่วนระบบกฎหมายในสมัยอยุธยามีรากฐานมาจาก “ คัมภีร์พระ ธรรมศาสตร์” และ “หลักอินทภาษ” ซึ่งไทยได้มาจากมอญหรือรามัญซ่ึงอาศัยอยู่แถบลุ่มแม่นํ้า เจ้าพระยาแต่ดั้งเดิม มอญได้รับคัมภีร์พระธรรมศาสตร์และหลักอินทภาษมาจากอินเดีย คัมภีร์พระ ธรรมศาสตร์เป็นกฎหมายเก่าแก่ของอินเดียโบราณ (ชมพูวีป) ไทยได้รับเอาคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มา เป็นหลักในการบัญญัติกฎหมาย ส่วนหลักอินทภาษน้ันเป็นหลกั ธรรมสาํ หรับผู้พิพากษาตุลาการพึงยึดถือ ปฏิบัติ นอกจากนี้ในสมัยอยุธยายังมี “พระราชศาสตร์” ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายไทย โบราณ พระราชศาสตร์เป็นพระบรมราชวินจิ ฉัยในอรรถคดีของพระมหากษตั ริย์ทั้งหลายซ่งึ มจี ํานวนมาก เพราะเกิดมีขึ้นและสะสมมาเป็นเวลานาน ประกอบด้วยเน้ือหาเก่ียวกับกฎเกณฑ์การปฏิบัติราชการ กฎมณเฑียรบาล และกฎเกณฑ์เรื่องที่ดิน นอกจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์และพระราชศาสตร์แล้ว ในสมัยอยุธยายังมี “กฎหมายสารบัญญัติ” ในส่วนแพ่ง ได้แก่ กฎหมายลักษณะผัวเมีย ลักษณะทาส ลักษณะลักพา ลักษณะมรดก ลักษณะกู้หน้ี และลักษณะเบ็ดเสร็จ ในส่วนอาญา ได้แก่ กฎหมาย ลักษณะมูลคดีวิวาท และบทพระอัยการอาญาหลวง สําหรับ“กฎหมายวิธีสบัญญัติ” ก็มีหลายลักษณะ เช่นกัน ได้แก่ กฎหมายลักษณะพระธรรมนูญ ลักษณะรับฟ้อง ลักษณะพยาน ลักษณะพิสูจน์ดําน้ําลุย เพลิง ลกั ษณะตระลาการ และลกั ษณะอทุ ธรณ์ เป็นตน้ ในยุคกรุงศรอี ยุธยานแี้ ม้ได้มีการบัญญัติกฎหมายลายลักษณ์อักษรข้ึนมาใช้บ้างแล้วก็ตาม แต่ยังไม่ มีระเบียบแบบแผน ในการบัญญตั ิกฎหมายเช่นในลกั ษณะของระบบกฎหมายลายลักษณ์อกั ษรจงึ ถือวา่ ใน ยุค น้ี ค งใช้ ก ฎ ห ม าย ต าม แ บ บ ระบ บ ก ฎ ห ม าย จ ารีต ป ระ เพ ณี แ ล ะ มี ก ารป ก ค รอ งต าม แบ บ ระ บ อ บ สมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์ 1.2.4 สมยั กรงุ ธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงสร้างกรุงธนบุรีข้ึนมาเป็นราช ธานีใหม่แทนกรุงศรีอยุธยาหลังจากกรุงศรีอยุธยาล่มสลายลงเพราะถูกพม่ารุกรานและเผากรุงศรีอยุธยา จนพินาศ ในยุคน้ีไทยยังคงทําสงครามกับพม่า และทําสงครามกับเมืองอ่ืน ๆ เพ่ือรวบรวมอาณาเขต ดินแดนของไทยให้เป็นปึกแผ่น ทําให้กฎหมายที่ใช้ในยุคน้ียังคงใช้กฎหมายตามท่ีใช้อยู่ในสมัยอยุธยา คือ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ พระราชศาสตร์ และกฎหมายลักษณะต่างๆ ไม่ได้มีการพัฒนากฎหมาย

340 ขึ้นมาใหม่ อีกทั้งยุคน้ีมีช่วงเวลาส้ันประมาณ 15 ปี ดังนั้นในยุคน้ีจึงยังมีการใช้กฎหมายตามระบบ กฎหมายจารีตประเพณี ปกครองตามระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ เช่นเดยี วกบั สมัยอยุธยา 1.2.5 สมยั กรุงรัตนโกสนิ ทร์ 2.5.1.1 กอ่ นการเปล่ยี นระบบกฎหมาย เม่ือย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมาตั้งราชธานีใหม่ที่ กรุง รตั นโกสินทร์ เจ้าพระยาจักรีได้สถาปนาพระองค์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรงุ รัตนโกสินทร์มีพระนามว่า “ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลก ” รชั กาลที่ 1 ปฐมกษตั รยิ ์แหง่ ราชวงศ์จกั รี กฎหมายที่ใช้ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นกฎหมายที่สืบ ทอดมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นส่วนใหญ่ หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ.2310 ตัวบทกฎหมาย ต่างๆ ถูกเผาทิ้งเป็นจํานวนมาก ที่เหลืออยู่บางส่วนก็ไม่สมบูรณ์ ทําให้หลักเกณฑ์ในการตัดสินคดี คลาดเคล่ือนและเกิดความไม่เป็นธรรม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงได้ให้มีการชําระ สะสางกฎหมายขึ้นครั้งใหญ่ โดยมีการรวบรวมกฎหมายและตรวจชาํ ระให้ยตุ ิธรรมเหมาะสมกับกาลสมัย ยง่ิ ขนึ้ กวา่ เดมิ เท่ากบั เปน็ การปฏิรปู กฎหมายครั้งใหญ่ของไทยเลยทเี ดยี ว กฎหมายที่ชาํ ระสะสางขนึ้ ใหม่น้ี มีชื่อว่า “กฎหมายตราสามดวง” เริ่มใช้บังคบั ราวปี พ.ศ.2347 ในรัชสมัยของพระบาทสมเดจ็ พระพุทธ ยอดฟา้ จุฬาโลกนั่นเอง มูลเหตุที่ได้มีการชําระสะสางอันถือเป็นการเริ่มโฉมหน้าใหม่ ของประวตั ศิ าสตร์กฎหมายไทยใน พ.ศ. 2374 นน้ั มีข้อเท็จจริงจากคาํ ปรารภวา่ “ศุภมัศดุ 1166 ฯลฯ พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราช รามาธิบดี ฯลฯ เสด็จออกพระที่นั่งบุษบกมาลามหาจักรพรรดิมาน ฯลฯ ซึ่งเจ้าพระยาศรีธรรมราชเดชะ ชาติ อํามาตยนุชิตรฯกราบบังคมทูลพระกรุณาด้วยข้อความ นายบุญศรี ช่างเหล็กหลวงร้องทุกข์ราช กลา่ วโทษพระเกษม นายราชาอรรถ ใจความวา่ อําแดงป้อม ภรรยานายบุญศรี ฟอ้ งหย่า นายบุญศรีฯ ให้ การแก่พระเกษมว่า อาํ แดงป้อมนอกใจทําช้ดู ว้ ยนายราชาอรรถ แลว้ มาฟ้องหย่า นายบุญศรีฯ ไม่หย่าพระ เกษมหาพิจารณาตามคําให้การนายบุญศรีไม่ พระเกษมพูดจาแทะโลมอําแดงป้อม และพิจารณาไม่เป็น สัจธรรมเข้าด้วยอําแดงป้อม แล้วคัดข้อความมาให้ลูกขุนสานหลวงปฤกษา ว่าเป็นหญิงหย่าชาย ให้ อําแดงป้อมกับนายบุญศรี ขาดจากผัวเมียตามกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาตรัสว่า หญิงนอกใจชายแล้ว มาฟ้องหย่าชาย ลูกขุนปฤกษาให้หย่ากันนั้นหาเป็นยุติธรรมไม่ จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งให้เจ้าพญา พระคลังเอากฎหมาย ณ สานหลวงมาสอบกับฉบับหอหลวงข้างท่ี ไดค้ วามว่าชายหาผิดมิได้ หญิงขอหย่า ทา่ นว่าเป็นหญิงหย่าชายหย่าได้ ถูกต้องกันทั้งสามฉบับ จึงมีพระราชโองการตรัสว่าฝ่ายพุทธจกั รนั้น ฯลฯ พระไตรปิฎกธรรมนั้นฟ่ันเฟือนวิปริต ฯลฯ ก็ได้อาราธนาประชมุ เชิญพระราชาคณะทั้งปวง ฯลฯ ให้ทาํ สัง คํายนา ฯลฯ และฝ่ายข้างอาณาจักรน้ี กษัตริย์ผู้ดํารงแผ่นดินนั้น อาศัยซึ่งโบราณราชนิติกฎหมาย จึง

341 พิพากษาตัดสินเนื้อความราษฎรทั้งปวงได้โดยยุติธรรม และพระราชกําหนดพระอัยการน้ันก็ฟั่นเฟือน วปิ ริตผิดซํ้าต่างกันไปเป็นอันมาก ด้วยคนอันโลภหลงหาความละอายแก่บาปมิได้ ดัดแปลงแต่งชอบใจไว้ พพิ ากษาพาให้เสียยุติธรรมสําหรบั แผน่ ดินไปกม็ บี า้ ง จึงทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจดั ขา้ ทูล ละอองธุลีพระบาทท่ีมีสติปัญญา ได้อาลักษณขุนสุนทรโวหาร ผู้ว่าที่พระอาลักษณ 1 ขุนสารประเสริฐ 1 ขุนวิเชียรอักษร 1 ขุนวิจิตรอักษร 1 ลูกขุน ขุนหลวงพระไกรสี 1 พระราชพินิจใจ 1 นายพิม 1 นายด่าน บาเรียน 1 ให้ชําระพระราชกําหนดบทพระอัยการอันมีอยู่ในหอหลวง ต้ังแต่พระ ธรรมศาสตร์ให้ถูกถว้ ยตามบาฬแี ละเนอื้ หาความมใิ ห้ผดิ เพยื้ นซํ้ากันได้ จดั เปน็ หมวดเหลา่ เขา้ ไว้ ฯลฯ แล้ว ให้อาลักษณชุบเส้นหมึก 3 ฉบับ ไว้ห้องเคร่ืองฉบับหนึ่ง ไว้หอหลวงฉบับหน่ึง ณ สานหลวงสําหรับ ลูกขุนฉบับหน่ึง ปิดตราพระราชสีห์ พระคชสีห์ บัวแก้ว ทุกเล่มเป็นสําคัญ ถ้าพระเกษม ไกรสี เชิญพระ สมุดพระราชกําหนดบทพระอัยการออกมาพิพากษากิจคดีใด ลูกขุนท้ังปวงไม่เห็นปิดตราสามดวงน้ีไซร้ อย่าใหเ้ ชอื่ ฟงั เอาเป็นอนั ขาดทีเดียว” จากคําปรารภน้ีทําให้ได้ความว่า มูลเหตุของการตรวจชําระกฎหมายในสมัยราชการ ท่ี 1 เมื่อ พ.ศ. 2347 ก็คือ ความประสงค์จะแก้ไขความวิปลาสคลาดเคล่ือนและความไม่ยุติธรรมท่ีพบ ในกฎหมายเกา่ นน่ั เอง ความวิปลาสคลาดเคลือ่ นและความไม่ยุติธรรมดังกล่าวอาจปรากฏอยใู่ น กฎหมาย แต่เดิม หรืออาจเพ่ิงปรากฏภายหลังเม่ือกรุงศรีอยุธยาแตกและมีการต่อเติมเสริมแต่ง กฎหมายน้ันก็ เป็นได้ หลังจากการตรวจสอบแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ได้มีการประทับตราเพื่อเป็นหลัก ประกันความถูก ต้อง จงึ ไดช้ อื่ ว่า “กฎหมายตราสามดวง” ตราสามดวงดังกลา่ วนี้ไดแ้ ก่ 1. ตราราชสหี ์ เป็นตราประจาํ ตาํ แหนง่ สมหุ นายก ตอ่ มาเปน็ ตราของกระทรวง มหาดไทย 2. ตราคชสีห์ เป็นตราประจําตาํ แหน่งสมหุ กลาโหม ตอ่ มาเป็นตราของกระทรวง กลาโหม 3. ตราบัวแก้ว เป็นตราประจําตําแหน่งโกษาธิบดี ต่อมาเป็นตราของกระทรวงการ ต่างประเทศ สาเหตุที่ประทับตราท้ังสามก็เพ่ือป้องกันการปลอมแปลง และเป็นการยืนยันถึงความ ถูกต้องในการนําเอากฎหมายใหม่ไปใช้ โดยให้ใช้เฉพาะฉบับที่มีตราสามดวงประทับท่ีปกเท่านั้น ภายหลงั มีกฎหมายตราสามดวงแล้ว ชว่ งตน้ กรุงรตั นโกสินทร์ก็มกี ฎหมายอืน่ ๆ อกี เช่น พระราช บัญญัติบ่อนเบี้ย พ.ศ. 2337 กฎหมายห้ามไม่ให้ซ้ือฝิ่นขายฝิ่น พ.ศ. 2354 และกฎหมายโจรห้าเส้น พ.ศ. 2380 ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2387 หมอบรดั เลย์ (Dr. Bloodley) มชิ ชันนารชี าวอเมรกัน ได้ นาํ เครอ่ื งพิมพ์ดดี เขา้ มาในประเทศไทยเป็นครงั้ แรก ทาํ ให้เกิดมีการพิมพ์ขนึ้ ในประเทศไทยนบั ตง้ั แต่นั้นมา ( ซึ่งต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี 5 เสด็จในกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธไิ์ ด้ทรงจัดพิมพ์กฎหมายข้ึน โดยจัดเปน็ บทขึ้นใหม่และทรงอธบิ ายเปน็ เหตุผลไว้บ้าง จงึ เรยี กฉบับท่เี สด็จในกรมหลวงราชบรุ ดี ิเรกฤทธิ์ ไดท้ รงพมิ พข์ ้ึนนวี้ า่ “กฎหมายราชบุรี” ซง่ึ มี 2 เล่ม คือ เลม่ 1 และเล่ม 2 )

342 ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 3 ได้นํากฎหมายที่ใช้อยู่ในสมัยรัชกาลท่ี 1 มาใช้บังคับต่อไป เช่นเดมิ ในช่วงน้ีไทยเป็นปึกแผ่นมากข้นึ และเจริญร่งุ เรอื งเป็นลาํ ดบั โดยเฉพาะในสมยั รัชกาลที่ 3 ได้มี การตดิ ตอ่ คา้ ขายกับจนี ทาํ ให้เศรษฐกจิ ของไทยมนั่ คงมาก จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 4 เป็นยุคที่ประเทศไทย เริ่มรับแนวความคิดของตะวันตก พระองค์ทรงศึกษาภาษาต่างประเทศอย่างแตกฉาน และทรงเห็นความ จําเป็นท่ีจะต้องปรับตนให้ทันและทัดเทียมกับอารยธรรมตะวันตก ไทยจึงติดต่อสัมพันธไมตรีกับชาติ ตะวันตกมากขน้ึ เช่น อังกฤษ ฝร่ังเศส โปรตุเกส อติ าลี เป็นต้น ทําให้มีชนชาติตะวนั ตกเขา้ มาอยใู่ น ไทยมาก เม่ือมีความขัดแย้งกันระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติ คนต่างชาติจะไม่ยอมข้ึนศาลไทย ทํา ใหก้ ฎหมายไทยท่ีใช้อยูไ่ ม่สามารถใช้บังคับกับคนต่างชาติได้ โดยชาวต่างชาติหาเหตุวา่ กฎหมายของไทย ล้าหลัง ทําใหเ้ กิดสทิ ธสิ ภาพนอกอาณาเขตขึน้ ในไทย ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่รัชกาลท่ี 1 ถึง รชั กาลท่ี 4 ไทยยงั คงใช้การปกครองตามระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีการพัฒนากฎหมายเป็นลักษณะการวางหลักกฎหมายดังเช่นกฎหมายลาย ลักษณ์อักษรข้ึนบ้าง แต่ยังไม่เป็นระบบแบบแผนดังเช่นในระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร จึงถือว่า ในชว่ งนี้ไทยยงั ใชก้ ฎหมายตามระบบกฎหมายจารีตประเพณี 1.2.5.2 การเปลย่ี นระบบกฎหมาย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาราช รัชกาลท่ี 5 มีการเปล่ียนแปลงประเทศคร้ังใหญ่พร้อมกันในทุกด้าน เพ่ือพัฒนาประเทศให้ ต่างชาติยอมรับ จะได้แก้ไขปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในไทยให้หมดไป พระองค์ทรงพัฒนาด้าน ต่างๆหลายด้านได้แก่ ด้านกฎหมาย ทรงให้มีการแก้ไขกฎหมายและเปลี่ยนระบบกฎหมาย ด้าน กระบวนการยุติธรรม ทรงให้มีการปรับเปล่ียนหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมตามความเหมาะสมของ งานด้านยุติธรรม ด้านสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทรงให้มีการเลิกทาส ด้านการปกครอง ทรงให้มีการ เปล่ียนแปลงการบริหารราชการแผ่นดินใหม่ ด้านการทหาร ทรงปรับปรุงท้ังทหารบก ทหารเรือ และ ทหารอากาศ ดา้ นการศกึ ษา ทรงให้จดั ทําหลักสูตรวชิ าสามัญสอนใหแ้ ก่ประชาชนทวั่ ไป โดยต้ังโรงเรยี น สอนสายสามัญแห่งแรกที่วัดมหรรณพารามวรวิหาร และทรงมีพระบรมราชานุญาตให้กรมหลวงราชบุรี ดิเรกฤทธิ์จัดตั้งโรงเรียนสอนกฎหมายเป็นการเฉพาะขึ้นต่างหากด้วย และทรงพัฒนาด้านอื่น ๆ อีก หลายด้าน ทําให้ยุคของกฎหมายที่ใช้อยู่ดั้งเดิมตามแบบระบบกฎหมายจารีตประเพณีหมดไปและ เปล่ียนแปลงเขา้ ส่ยู ุคแห่งระบบกฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร

343 พระองค์ทรงตระหนักว่างานด้านกฎหมายและศาลไทยเป็น เรื่องที่มีความสําคัญเป็นอันดับแรก เพราะเป็นปัญหาที่ ก่อให้เกิดการขยายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต (Extraterritorial Right) ในไทย กล่าวคือ ชาวต่างประเทศเห็นว่ากฎหมายไทยล้าสมัยและไม่อาจให้ ความยุติธรรมแก่คนในบังคับของเขาได้ จึงตั้งศาลกงสุลเพื่อพิจารณาคดีพิพาทระหว่างคนในบังคับของ เขากับคนไทย ทําให้ชาวต่างประเทศมีเอกสิทธ์ิไม่ต้องข้ึนศาลไทย ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองและ การบริหารประเทศมากขึ้น เนื่องจากต่างชาติแต่ละประเทศได้พยายามทุกวิถีทางที่จะเพ่ิมจํานวนคนใน บังคบั ของตนใหม้ ากขึ้น และชาวเอเซยี ดว้ ยกนั จํานวนมากต่างขอเข้าอยู่ในบังคบั ของฝร่ัง แม้ชาวไทยบาง พวกก็ยังขอหนังสือจากกงสุลเพื่อขอเป็นคนในบังคับของต่างชาติอีกด้วย หนังสือคุ้มกันพิเศษนี้มีการซ้ือ ขายกันอย่างลับๆ สภาพเช่นนี้เป็นภาวะท่ีสุดจะทนได้ ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาน้ีก็คือ จะต้องปฏิรูประบบ กฎหมายและศาลไทยให้อยู่ในระดบั ท่ีชาวต่างประเทศยอมรับ และก่อนทีจ่ ะปฏิรปู กฎหมายนั้นจําต้องจัด ระเบียบทางการศาลให้เป็นระเบียบมากข้ึน โดยยุบเลิกศาลที่เดิมมีอยู่ 16 ศาลในกรงุ เทพ ฯ เหลอื เพียง 7 ศาลคือ ศาลอุทธรณ์คดีหลวง ศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์ ศาลพระราชอาญา ศาลแพ่งเกษม ศาลแพ่ง เกษมหลวง ศาลสรรพากร และศาลตา่ งประเทศ จากน้ันกเ็ ร่ิมปรบั ปรุงศาลหัวเมือง โดยโอนใหม้ าสงั กัด กระทรวงยุติธรรมเช่นเดียวกัน เพ่ือให้ระบบศาลไทยเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน ทรงตั้งโรงเรียนกฎหมาย เพื่อสร้างบุคลากรข้ึนใช้ในกระบวนการยุติธรรมตามคํากราบบังคมทูลของกรมหม่ืนราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซ่ึง ทรงเป็นครูผู้สอนกฎหมายเอง มีนักเรียนเป็นผู้พิพากษาหัวเมือง ข้าราชบริพาร และผู้ใกล้ชิดในวัง มา ฟังคําสอนและฝึกอบรมประมาณ 100 คนเศษ โดยเสด็จในกรมฯ ทรงนิพนธ์ตํารากฎหมายเพื่อประกอบ การศึกษาเล่าเรียนในสมัยน้ันไว้มากมายหลายเล่ม อาทิ กฎหมายราชบุรี คําอธิบายโค้ดอาญา พระราชบัญญัติในปัจจุบัน คําพพิ ากษากรรมการฎีกาบางเร่อื ง และเล็กเชอรก์ ฎหมายท่ีดิน เป็นต้น แต่ ละเล่มล้วนเป็นวรรณกรรมที่ละเอียดลึกซ้ึง มีมาตรฐานสูง ซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายได้ยึดถือเป็น หลกั ในการดาํ เนนิ วชิ าชพี อย่างแพร่หลายตลอดมา ส่วนการปฏิรูประบบกฎหมาย รัชกาลท่ี 5 ทรงให้มีการ เปลยี่ นแปลงกฎหมายไทยใหเ้ ป็นกฎหมายทท่ี ันสมัยและยอมรบั กันโดยทั่วไปเช่นเดียวกับที่ใช้ในยุโรป ซึ่ง การเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้โดยเร็วใหท้ ันกบั สภาวะของประเทศในขณะนั้นที่ต้องให้ต่างชาตยิ อมรับกฎหมาย ไทยและยอมขึ้นศาลไทย เพ่ือให้เอกราชทางการศาลคืนมา พระองค์จึงทรงให้แก้ไขกฎหมายตามแบบ ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร โดยให้จัดทําเป็นรูปแบบประมวลกฎหมาย ตามความเห็นของ คณะกรรมการตรวจชาํ ระและร่างกฎหมาย ท่ีพระองค์ได้ทรงตัง้ ขึ้นเม่ือปี พ.ศ. 2440 อันประกอบดว้ ยนัก กฎหมายช้ันนําของไทยและของต่างประเทศ ซ่ึงคณะกรรมการชุดนี้มีบทบาทและหน้าท่ีสําคัญในการร่าง ประมวลกฎหมายของไทยต่อมา คณะกรรมการชุดน้ีเกดิ ข้ึนตามความคิดริเร่ิมของ นายโรแลง ยัคแมงส์

344 (Rolin Jacquemyns) ท่ีปรึกษาราชการแผ่นดินชาวเบลเยี่ยม ซ่ึงต่อมาได้รับพระราชทํานยศเป็น เจา้ พระยาอภัยราชา ทเี่ สนอให้มสี ภาท่ีปรกึ ษากฎหมายและดแู ลความเปน็ ระเบยี บเรียบร้อยของกฎหมาย สาเหตุที่รัชกาลท่ี 5 ทรงตัดสินพระทัยให้การแก้ไขกฎหมาย เป็นไปตามระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร เนื่องมาจากความเห็นของคณะกรรมการตรวจชําระและร่าง กฎหมายไดพ้ ิจารณาถี่ถ้วนแล้วเห็นวา่ ระบบกฎหมายอังกฤษเหมาะสมกับชาวอังกฤษมากกว่าประเทศอ่ืน เพราะเป็นกฎหมายที่ใช้ขนบธรรมเนียมประเพณีและคําพิพากษาของศาลเป็นหลัก ตัวบทกฎหมายก็มิได้ รวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ทําให้ยากลําบากแก่การศึกษา ส่วนระบบกฎหมายของประเทศท่ีใช้ประมวล กฎหมายซึ่งมีกฎหมายโรมันเปน็ หลกั นัน้ เป็นกฎหมายท่ีแบ่งหมวดหมูอ่ ย่างมีระเบียบเข้าใจงา่ ย มีตัวบท กฎหมายแน่นอนและเป็นหลักฐานเหมาะสมกับประเทศไทย ซ่ึงกาํ ลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาประเทศใน ทุก ๆ ด้าน ดังน้ัน สิ่งจําเป็นท่ีสุดในการบัญญัติกฎหมายก็คือ ความชัดเจนเข้าใจง่ายและใช้สะดวก นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ ในยโุ รปล้วนแต่ใช้ระบบประมวลกฎหมาย การท่ีประเทศไทยใชร้ ะบบกฎหมาย เดียวกับประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป ก็จะทําให้เป็นท่ีพอใจแก่ประเทศเหล่าน้ันและทําให้สะดวกแก่การ เจรจาขอปลดเปล้อื งสทิ ธสิ ภาพนอกอาณาเขตได้ การแก้ไขกฎหมายใหม่นี้ คณะกรรมการตรวจชําระและร่าง กฎหมายได้เลือกที่จะร่างกฎหมายลักษณะอาญาก่อนกฎหมายฉบับอื่น โดยร่างในรูปแบบของกฎหมาย ลายลักษณ์อักษรประเภทประมวลกฎหมาย ร่างเป็นภาษาอังกฤษก่อนแล้วแปลเป็นภาษาไทย สําเร็จ เรียบร้อยเมือ่ ปี พ.ศ. 2450 จากนัน้ ก็พิมพ์เป็น 3 ภาษา คอื ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส แล้วนําข้ึนทูลเกล้าฯถวาย และพระองค์ทรงประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมาย เมื่อวันท่ี 1 มิถุนายน พ.ศ. 2451 กฎหมายอาญาที่แก้ไขใหม่นี้มีช่ือว่า “กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127” ซ่ึงถือว่าเป็นประมวล กฎหมายฉบับแรกของไทย และเป็นกฎหมายที่ทันสมัยย่ิงในสมัยน้ัน เพราะได้นําเอาหลักกฎหมายอัน เป็นที่นิยมในประเทศต่างๆ มาพิจารณาดัดแปลงให้เข้ากับสภาพของสังคมไทย เม่ือเปรียบเทียบกับ ประมวลกฎหมายอาญาของต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี ญ่ีปุ่น หรืออินเดียแล้ว ย่อมเห็นได้ว่า กฎหมายลักษณะอาญาของไทยฉบับนม้ี ีบทบัญญัตทิ ี่ส้ันกะทัดรัด เข้าใจง่ายและสะดวกแก่การใช้มากกว่า กฎหมายอาญาของประเทศใด ๆ หลังจากกฎหมายลักษณะอาญาใช้บังคับแล้วได้มีการปรบั ปรุงกฎหมาย ลักษณะอาญาให้ทันสมัยยิ่งขึ้นปี พ.ศ.2486 และต่อมาได้ยกเลิกกฎหมายลักษณะอาญานี้ แล้วให้ใช้ “ประมวลกฎหมายอาญา” ท่ีปรับปรุงขึ้นใหม่จากกฎหมายลักษณะอาญานี้เองใช้บังคับแทน โดยให้เร่ิม ใช้บังคับประมวลกฎหมายอาญาตงั้ แต่วนั ท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2500 เป็นตน้ ไป สําหรับกฎหมายสําคัญอื่น ๆ ได้จัดทําเป็นประมวลกฎหมาย เช่นเดียวกัน จึงถือได้ว่าไทยได้เปลี่ยนระบบการใช้กฎหมายจาก ระบบกฎหมายจารีตประเพณี มาเป็น ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน แต่สิทธิสภาพนอก

345 อาณาเขตยังไม่หมดไปในรัชสมัยนี้ เน่ืองจากกฎหมายสําคัญบางฉบับยังไม่เสร็จแต่องค์พระบาทสมเด็จ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู วั มหาราชได้ทรงส้ินพระชนม์เสยี ก่อน ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงสืบทอดนโยบายของรัชกาลที่ 5 ที่มุ่งจะปลดพันธะอันเนื่องมาจากสิทธิสภาพนอก อาณาเขตให้หมดไปจากไทย พระองค์จึงทรงให้ดําเนินงานร่าง “ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ” และประมวลกฎหมายอ่ืนๆ ไปพร้อมกัน สําหรับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น ได้บัญญัติรวม กฎหมายแพ่งและกฎหมายพาณิชย์เข้าไว้ในประมวลกฎหมายเล่มเดียวกัน เหมือนประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ของประเทศสวิส มิได้แยกออกเป็นประมวลกฎหมายสองฉบับเหมือนเช่นประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี และญ่ีปุ่น เนื่องจากการค้าของไทยในขณะนั้นไม่กว้างขวางพอท่ีจะต้องได้รับความคุ้มครอง ทางด้านการพาณิชย์เป็นพิเศษ เมื่อร่างกฎหมายสําคัญที่เหลือเสร็จแล้วได้มีการประกาศใช้บังคับ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซ่ึงเป็นกฎหมายหลักในการดําเนินคดี ทําให้ ประเทศต่างชาติพอใจในกระบวนการยุติธรรมของไทย และยินยอมให้คนของเขาข้ึนศาลไทยโดยใช้ กฎหมายไทยบังคับ ทําให้เอกราชทางการศาลของไทยกลับคืนมา มีผลทําให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขต ของคนต่างชาตนิ นั้ หมดสิน้ ไปจากไทยต้งั แตน่ น้ั มา 1.2.5.3 การเปลย่ี นระบอบการปกครอง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 7 ได้ทรง ปกครองประเทศตามแนวทางท่ีรัชกาลท่ี 5 และรัชกาลท่ี 6 ทรงดําเนินนโยบายไว้ ใช้กฎหมายตามที่ ใช้บังคับในสมัยรัชกาลท่ี 5 และรัชกาลท่ี 6 สืบมา ในรัชสมัยนี้จึงเป็นการใช้กฎหมายตามแบบระบบ กฎหมายลายลกั ษณ์อักษร ดังเดิม สําหรบั การปกครองในช่วงต้นรชั กาลที่ 7 ยังคงปกครองตามระบอบ สมบูรณาญาสทิ ธิราชย์แต่เนื่องจากปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ เกิดสงครามโลก ครงั้ ท่ี 1 ข้ึน และประเทศไทยได้รบั ผลกระทบจากสงครามโลกครง้ั นมี้ ากมาย รัชกาล ท่ี 7 ทรงต้องบูรณะประเทศคร้ังใหญ่ ทําให้สภาพการเงิน การเศรษฐกิจ ฝืดเคือง ทั้งของประเทศและ ของประชาชน ประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤตเกิดการปฏิวัติการปกครอง โดย “คณะราษฎร” เพ่ือให้ ประเทศไทยเปลี่ยนการปกครองจาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไปเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ไม่ประสงค์ให้คน ไทยทํารา้ ยกันเอง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ พระราชทาน “รัฐธรรมนูญ ” ให้แก่ปวงชนชาวไทย ซ่ึง เปน็ รัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย มีชอื่ ว่า “ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชวั่ คราว พ.ศ.2475 ” อันมีผลทําให้ประเทศไทยได้เปลี่ยนระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซ่ึงพระมหากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย มาเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook