Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

Published by เบญจลักษณ์ กองเลิศ, 2021-02-12 11:24:25

Description: รายงานวิชาปรัชญา และความเป็นครู

Search

Read the Text Version

148 - เห็นว่าจุดม่งุ หมายของเฮเกลนัน้ มิอาจเปน็ ไปได้ เพราะเงื่อนไขของบาป (sin) ความ สมั บูรณแ์ หง่ ความจรงิ อันเปน็ เป้าหมายของเฮเกลนั้นเป็นส่ิงที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าถงึ ไดเ้ นื่องจากความ สัมบูรณน์ น้ั ถือเปน็ ขอบเขตของหรอื มุมมองของพระผ้เู ปน็ เจ้า (God’s-Eye-View) -มิได้แบ่งแยกจิตและกายออกจากกัน และเห็นว่ามิติท้ังสองน้ันเชื่อมโยงหากันอย่าง ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ กล่าวคือเป็นดารงอย่ใู นฐานะการสงั เคราะห์ (synthesis) ในฐานะภาระ และจดุ มุ่งหมายของมนษุ ย์ (Self as task and achievement) - เป้าหมายท่ีเคียร์เคกอร์ดต้องการก็คือพัฒนาการแห่งจิตใจที่ดารงอยู่อย่างลึกซึ้ง ในอตั วสิ ัยของแต่ละคนอันนาไปสู่การไตร่ตรองและการสานึกถึง “อตั ลกั ษณ์ (selfhood)” หรือตัวตน ในฐานะจิตวิญญาณของเราท่ีสัมพันธ์กับสิ่งสมบูรณ์หรือพระผู้เป็นเจ้า และดารงอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า ตงั้ แต่ต้นในฐานะผ้สู ร้างและผทู้ ่ถี กู สรา้ ง (as creator and creature) - เคยี ร์เคอเกอร์ได้แบง่ อัตถิภาวะ (Existence) หรือความมีอยู่ ของมนุษยอ์ อกเป็น 3 ระดบั คือ 1) ระดับธรรมชาติ คือ จิตใจมนุษย์มีความโน้มเอียงไปตามธรรมชาติ กระทาไปตามสัญชาตญิ าณหรือตามกิเลส 2) ระดับจริยะ คือ สร้างอุดมการณ์สาหรับตัวเอง ถือกฎศีลธรรมวา่ เป็นจริง และนิยมสร้างสังคมส่วนรวม 3) ระดับศาสนา คือ พอใจความหลุดพ้นของจิตใจตนเอง เข้าหาศาสนา แต่ ไม่ถอื ตามศาสนา หรือตัวอกั ษรในคัมภรี ์ เอท็ มนุ ท์ ฮุสเซริ ล์ (Edmund Husserl ค.ศ. 1859 – 1938) - เป็นผู้ก่อต้ังสานักปรากฏการณ์วิทยา ทฤษฎีปรากฏการณ์วิทยาท่ีฮุสเซิร์ลคิดข้ึนมา ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนอย่างย่ิงใหญ่ที่แยกออกจากปฏิฐานนิยม ( positivism), ธรรมชาตินิยม (naturalism) และวัตถุนิยม (materialism) อยา่ งส้ินเชงิ ฮุสเซิร์ลเหน็ ว่าแทนท่มี นุษยจ์ ะอธบิ ายบรรดา เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ท่อี ุบตั ิขน้ึ ในโลกแห่งชวี ิตของเราโดยอาศัยกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ทว่ั ไป มนษุ ยค์ วร จะพยายามทาความเข้าใจโครงสรา้ งความหมายของโลกแหง่ ชวี ติ ว่ามนั ประกอบข้ึนได้อยา่ งไร - โดยทฤษฎีปรากฏการณ์วิทยาของฮุสเซิร์ลนี้ การค้นหาความจริงที่ปรากฏอยู่โดยไม่มีการคาดการณ์ ไว้ล่วงหน้า ผู้ศึกษาเป็นอิสระจากกรอบแนวคิดหรือทฤษฎี โดยให้บุคคลอธิ บายเร่ืองราวและ ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ตนเองประสบพบเจอโดยตัดอคติและตัดความเอนเอียงในเรื่องที่ศึกษา รวมท้ัง ขจัดความคิดเห็นของตนออกจากส่ิงที่ตนเองกาลังศึกษา ( bracketing) เน้นท่ีจุดมุ่งหมาย (intentionality) และสาระสาคัญ (essences) ท่บี ุคคลนั้นรับรู้มา มาร์ตนิ ไฮเดก็ เกอร์ (Martin Heidegger ค.ศ. 1889 – 1976)

149 - ไฮเดกเกอร์ มีความเห็นว่า ปรัชญาตะวันตกได้เดินผิดเส้นทาง คร้ังแรกเริ่มต้ังแต่ช่วงเวลาเพลโต (Plato) ที่ไม่ให้ความสนใจต่ออัตถิภาวะของมนุษย์ โดยที่ท่านพลาโตได้ให้ความสนใจศึกษาเรื่อง Forms ซึ่งเปน็ เร่ืองนามธรรมที่นามนษุ ยห์ า่ งเหินจากตัวตนมนุษยท์ ่แี ท้จริง - ท่านเห็นว่า ค้านท์ คือนักปรัชญาผู้ที่จะพยายามสร้างอภิปรัชญา (Metaphysics) ในมิติที่ให้ ความสาคัญแก่มนุษย์ (Human existence) ท่านคีร์เคกอร์ดต่อต้านเฮเกลอย่างหนักตรงที่ว่าท่านเฮ เกล ให้ความสาคัญแก่ “Concept” มโนทัศน์มากเกินไป และท่านเองก็ได้ให้ความสาคัญแก่การ กระทาของปัจเจกชน ท่านเห็นต่างจากฮุสเซิร์ล ตรงประเด็นที่ว่า ได้มัวแต่ยุ่งอยู่กับ “essence” สารัตถะ มากเกินไป (essence = ภาวะอันเป็นเนื้อแท้ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งทาให้ส่ิงนั้นเป็นตัวของ ตัวเอง) ชอ็ ง ปอล ชารต์ ร (Jean Pual Sartre ค.ศ. 1905 – 1980) - ปรัชญาของซาร์ตร์จัดอยู่ในประเภทอเทวนิยม ไม่เชื่อเรื่องปรโลก เร่ืองอมฤตภาพ ของวิญญาณ และความมีตัวตนของวิญญาณ โดยถือว่าวิญญาณเป็นเพียงกระแสความสานึก (Consciousness) ตายแลว้ ก็หมดเรอื่ งกนั - ซาร์ตร์เน้นในเร่ืองการเผชิญหน้ากับปัญหา เขาสอนให้แก้ปัญหาและรับผิดชอบตอ่ เหตุการณ์เฉพาะหน้า ใหร้ ู้จกั ใช้เสรีภาพ และภมู ิใจในเสรีภาพของตนเอง - ซาร์ตร์เห็นว่าระบบปรัชญาเก่าๆ มัวแต่จะพยายามค้นหาความจริงอันติมะหรือ สารัตถะ (Essence) จึงทาให้มนุษย์ให้ห่างจากความเป็นจริงมากย่ิงขึ้น ซ่ึงไม่อาจจะให้ความจริงอะไร แกม่ นษุ ย์ได้ - ภาวะแห่งเสรีภาพคือ ภาวะสาหรับตนเอง (being-for-itself) ซ่ึงถือว่าเป็นนิเสธ ของ ภาวะในตนเอง (being-in-itself) ภาวะในตนเอง คือเป็นส่ิงมีอยู่แต่ไม่รู้ว่ามีคุณค่าอะไรหรือมี ประโยชน์อย่างไร ภาวะในตัวเองเป็นสงิ่ สมบรู ณ์ ในตัวมันเอง คือเป็นอย่างท่ีเป็นอยู่อย่างนั้น ลักษณะ สาคญั ของภาวะในตวั เองคือความไรส้ านกึ - ภาวะสาหรบั ตวั เอง (Being-for-itself) หมายถึงส่ิงทีม่ อี ยู่ ทีม่ ีความสานกึ คือ “จิต” ของมนุษย์นัน่ เอง สามารถกาหนดคุณค่าให้แก่ทุกสิง่ ทุกอยา่ งเพื่อประโยชน์ของตวั เองจึงเรียกการมีอยู่ ของมนษุ ยว์ า่ อัตถภิ าวะ (Existence) เพ่ือแสดงให้เหน็ วา่ เป็นสง่ิ มีอยทู่ แี่ ตกต่างจากสงิ่ อน่ื ๆ - ภาวะสาหรบั ตนเองเป็นภาวะท่ีไม่หยุดนิ่งมีการเปลย่ี นผ่านท่ขี ึ้นอยกู่ บั (transcendent subject) 1) สภาพเงือ่ นไขรปู ธรรมของบคุ คล (facticity) 2) ความว่างเปลา่ ทไ่ี ม่ยึดตดิ กับส่ิงใด (nothingness) 3) ทางเลือกต่างๆที่เปน็ ไปไดต้ ามความจรงิ (option on being) - การมีอยู่ของบุคคลอ่ืนในสังคมเป็นสิ่งจาเป็นต่อการสร้างเสรีภาพบุคคลให้เกิด ความหมาย เขาเรียกส่ิงนี้ว่า ภาวะสาหรบั ผู้อน่ื (being-for-others) จะเปน็ สงิ่ ทีท่ าใหม้ นุษย์จาเปน็ ต้อง

150 ปรับสมดุลให้เข้ากับสังคมในรูปแบบ อัตวิสัยสัมพันธ์ (intersubjectivity) ซึ่งเป็นการปรับตัวใน ลักษณะท่มี นุษยจ์ าต้องอยู่กับมิติทางสังคมอย่างเข้มข้น (rich social dimension) แต่ในขณะเดียวกัน มนุษย์ก็ยังคงความเป็นอัตวิสัยของตนไว้เน่ืองจากมนุษย์ดารงอยู่ใต้กรอบของ เอกัตนิยม (solipsism) คือจิตของคนเราจะไม่รับรู้สิ่งอื่นนอกจากความรู้สึกนึกคิดของตนเอง จึงจาเป็นต้องเอาชนะแนวท่ีปิด กนั้ สานึกแห่งปจั เจก (reef of solipsis) ด้วยการมปี ฏิสัมพนั ธท์ างสังคมเพื่อสร้างความร้วู ่าสิ่งใดควรไม่ ควรประพฤติปฏบิ ัติตอ่ กนั ปรชั ญาตรรกปฏฐิ านนิยม (Logical Positivism) ชมรมเวยี นนา (Vienna Circle) อันมีมอรติ ส์ ชคิ (Moritz Schick ค.ศ. 1882 – 1936) เป็นประธาน ชมรมเวียนนาได้รับอิทธิพลจากปรัชญาประสบการณ์นิยมของอังกฤษ ชมนมนี้ให้ความสาคัญ กับทฤษฎีความหมาย และทฤษฎีความรู้ท่ีมุ่งคัดค้านอภิปรัชญา ชมรมน้ีได้พยายามปฏิวัติปรัชญาดว้ ย การตีค่าทางอภิปรัชญาเท่ากับวิทยาศาสตร์ และพยายามสร้างมาตรการบางอย่างท่ีแบ่งแยกเนื้อหา ของวิทยาศาสตร์ และอภิปรัชญาออกจากกันอย่างชัดเจน เมื่อแยกแล้วก็เสนอว่า ควรตัดอภิปรัชญา ออกจากเนื้อหาของวิชาปรัชญา เน้ือหาของวิชาปรัชญาควรจากัดขอบเขตอยู่เพียงทฤษฎีความรู้ หรือ ปรชั ญาวิทยาศาสตร์เท่านน้ั ชมรมเวยี นนาจงึ ไดช้ อื่ วา่ เปน็ กลุม่ เริ่มตน้ ต้งั ปรัชญาร่วมสมยั ข้นึ จุดสาคัญของชมรมเวยี นนาอยู่ท่ีมาตรการท่ีแบ่งวิทยาศาสตร์ออกจากอภิปรชั ญา มาตรการนี้ มาจากปรัชญาภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีความหมายท่ีมุ่งแยกความหมายกับการไร้ความหมาย ของประโยค แนวคิดแบบนถ้ี ือว่าประโยคทางอภปิ รัชญาอย่ใู นภาษาของวิทยาศาสตร์ แต่เป็นภาษาอีกพวก หน่ึงที่ไร้ความหมาย เม่ือประโยคทางอภิปรัชญาเป็นภาษาที่ไร้ความหมาย เน้ือหาและปัญหาต่างๆ ท่ี อยู่ในขอบข่ายของอภิปรัชญาก็เป็นเร่ืองไร้ความหมายหรือไร้สาระไปด้วย ดังน้ันกลุ่มนี้จึงเรียกปัญหา อภปิ รชั ญาวา่ เปน็ ปญั หาลวง (Pseudo – Problem) ไม่ใช่ปัญหาจรงิ เบอร์ทรนั ด์ รสั เซลล์ (Bertrand Russell ค.ศ. 1872 – 1970) เบอร์ทรันด์ อาร์เทอร์ วิลเลียม รัสเซลล์ เป็นหน่ึงในนักคณิตศาสตร์ นักปรัชญา นัก ตรรกวิทยา ท่ีมีอิทธิพลอย่างสูงในช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี 20 เขาเป็นนักปรัชญาการศึกษาท่ีมีบทบาท สาคัญคนหนึง่ ขององั กฤษ เป็นผ้ทู ไี่ ดส้ ร้างผลงานดา้ นการศึกษาในแนวปฏริ ูปไวม้ ากมายหลายแขนง ซ่ึง เป็นที่ยอมรับและมีอิทธิพลต่อการศึกษาในปัจจุบันอย่างมาก บรรดานักปรัชญารู้จักเขาในฐานะของ ผู้ให้กาเนิดทฤษฎีความรู้ (Epistemology หรือ Theory of Knowledge) นักคณิตศาสตร์รู้จักรัส เซลล์ในฐานะบิดาแหง่ ตรรกวทิ ยา รัสเซลล์เชื่อว่า วัตถุทางกายภาพนั้นเป็นส่ิงท่ีสามารถรับรู้ได้โดยการสังเคราะห์หรือโดยการ สัมพันธ์กันภายในอย่างเป็นระบบแห่งทิวทัศน์ท่ีแตกต่างกัน นั่นคือ วัตถุทางกายภาพสร้างขึ้นมาจาก

151 ขอ้ มูลทางประสาทสัมผสั อันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึน้ ในทิวทัศน์แตล่ ะทิวทัศน์ทีเ่ ราไดร้ บั รู้ ข้อมลู ทาง ประสาทสัมผัสท่ีอยู่ในรูปเป็นปรากฏการณ์จะมีลักษณะแตกต่างกัน แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันซ่ึงจะ รวมกลุ่มกันเข้าเป็นวัตถุทางกายภาพ เช่น เป็นโต๊ะ ด้วยความสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบในภายใน ดังน้ัน วัตถุทางกายภาพจึงเป็นสิ่งที่นึกถึงได้ในฐานะเป็นระบบแห่งทิวทัศน์ (perspective system) แต่วัตถุทางกายภาพน้ันไม่จาเป็นต้องยึดเอาทรรศนะและลักษณะท่ีรับรู้ได้ตามความเป็นจริงโดยคน บางคนเท่านั้น รัสเซลล์ถือว่า ระบบทิวทัศน์นี้ประกอบไปด้วยทรรศนะที่เกี่ยวกับส่ิงสากลท้ังท่ีรับรู้ได้ และรับรู้ไม่ได้ โดยจากัดโลกส่วนตัวไว้กับทรรศนะเกี่ยวกับสิ่งสากลน้ีในฐานะเป็นภาวะที่รับรู้ได้ตาม ความเป็นจรงิ รัสเซลล์ถือว่า วัตถุทางกายภาพน้ันเป็นเพียงระบบทิวทัศน์เท่านั้น ท่านก็ได้พบความจริงว่า วตั ถุทางกายภาพน้ันเป็นเพียงส่ิงท่ีสร้างขึ้นมาดว้ ยวิธีการทางตรรกะเทา่ น้นั สิง่ ท่ีเป็นจรงิ ในโลกนี้ ไมใ่ ช่ สิ่งท่ีเราเรียกว่า วัตถุ ไม่ใช่ส่ิงท่ีเราเรียกว่า จิต ทั้งวัตถุและจิตเป็นเพียงส่ิงท่ีสร้างสรรค์ทางตรรกะท่ี สร้างข้ึนมาจากกลุ่มกลางๆ นั่นคือ สร้างจากข้อมูลทางประสาทสัมผัส ซ่ึงรัสเซลล์ถือว่ามันเป็นตัว ปรมาณูทางตรรกะ (logical atoms) และปรมาณูเหลา่ นี้ถูกเชื่อมด้วยคาทางตรรกะ (logical words) ทาให้เราเข้าใจว่ามีวัตถุ มีจิต เรารู้ความจริงของโลกจากประโยคปรมาณู (atomics proposition) และใช้ประโยคปรมาณูบอกความจริงของโลกและข้อมูลทางประสาทสัมผัสไม่ได้หมายถึงส่ิงท่ีถูกรู้แต่ เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการรับรู้หรือความรู้ที่ได้ด้วย น่ันคือ ข้อมูลทางประสาทสัมผัสกับเพทนา การเป็นส่ิงเดียวกัน คารล์ พอพเพอร์ (Karl Popper ค.ศ. 1902 - 1994) ไม่ได้เป็นสมาชิกชมรมเวียนนาโดยตรง แต่ก็พัวพันอย่างใกล้ชิด เขียนหนังสือ “ตรรกะวิทยาเพื่อการค้นคว้า (The Logic of Discovery)” สนับสนุนเจตนารมณ์ของชมรมเวียนนา พอพเพอร์เห็นว่า ความรู้มีหลายขั้นและหลายประเภท ตั้งแต่ความรู้สามัญขึ้นไปจนถึงปรัชญา แต่ละ ระดับและแขนงต่างก็มีวิธีการที่เหมาะสมของตน และสามารถปรับปรุงวิธีหาความรู้ให้ดีข้ึนได้ ความรู้ ความเป็นจริงจะต้องได้จากการประสานงานของวิธีการเหล่านี้ทั้งหมด โดยควรมีวิธี การของ วทิ ยาศาสตร์เปน็ พ้นื ฐานและเป็นมาตรการสุดท้ายช้ขี าดวธิ กี ารอื่น ๆ ท้งั หมด การพิสูจน์ของลัทธิประสบการณ์นิยม (Verification of empiricism) คือ วิธีอุปนัยอันเป็นวิธีพิสูจน์ โดยอ้างประสบการณ์เฉพาะหน่วยไปสนับสนุนข้อความท่ัวไป น่ันคือเป็นการอนุมานจากข้อความ เฉพาะหน่วยไปสู่ข้อความสากล คุณค่าทางญาณวิทยาจึงอยู่ในระดับน่าจะเป็น (probability) แต่ ปัญหาอยู่ท่ีมาตรการค้าประกันความจริง เรามีมาตรการอะไรหรือไม่ในการตัดสินว่าอุปนัยให้ความ แน่ใจได้แค่ระดับน่าจะเป็น จุดอ่อนในอดีตเกิดจากการไม่แยกความรู้โดยจิตวิทยากับความรู้โดย ตรรกวิทยา

152 พอพเพอร์เห็นว่าวิธีการของตรรกวิทยาไม่ช่วยให้พบความจริงใหม่ ทั้งไม่สามารถตัดสินไปถึง วิธีการพบความคิดใหม่ด้วย การพบความคิดใหม่ ๆ เป็นเร่ืองของสัญชาตญาณของปัญญาอยู่นอก กฎเกณฑข์ องตรรกวทิ ยาและนอกขอบข่ายของเหตุผล เม่อื มคี วามคดิ ใหม่เกดิ ขน้ึ โดยสญั ชาตญาณ กใ็ ห้ต้งั สมมุตฐิ านข้นึ แลว้ อนุมานหาข้อสรุปให้มาก เท่าท่ีจะหาได้ แล้วเปรียบเทียบดูระหว่างกันเองและกับข้อความที่ยอมรับอยู่ก่อนแล้วว่ามี ความสัมพันธ์ทางตรรกวิทยากันอยา่ งไรบา้ ง ลัทธิเหตุผลนิยมต้องการให้วิทยาศาสตร์แยกออกจากปรัชญาโดยทางเนื้อหาเท่านั้น ส่วน วธิ กี ารใชอ้ ย่างเดียวกนั คือ เหตุผล ลทั ธิประสบการณ์นยิ ม ถือวา่ อภิปรชั ญาไม่ใชค่ วามรู้ เพราะไม่ผา่ นประสบการณ์ คานทแ์ ยกวิทยาศาสตร์ (รโู้ ดยโครงสรา้ งของปัญญา) ออกจากอภิปรชั ญา (ร้โู ดยเหตุผลปฏิบัต)ิ เฉพาะ คาสง่ั วา่ ตอ้ งปฏบิ ัติ นอกนัน้ รไู้ มไ่ ด้ ชมรมเวียนนาแถลงว่า ความรู้เป็นระบบของข้อความ ซ่ึงจะต้องไล่เลียงลงไปได้ถึงข้อความ ยอ่ ยท่ีสดุ ทีเ่ รียกว่า ประโยครายงานจากผัสสะ ซึง่ จะต้องเป็นภาพของความจรงิ (picture of reality) อภิปรัชญาไม่เข้าเงื่อนไขน้ี จึงไม่ใช่ความรู้ เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ (nonsensical) หรือไร้ความหมาย (meaningless) ทงั้ ส้นิ พอพเพอร์สรุปว่าอภิปรัชญามีหลายระบบ ท่ีขัดกับวิทยาศาสตร์ก็มี ที่ส่งเสริมก็มี ท่ีจาเป็น สาหรับวิทยาศาสตร์ก็มี ควรแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร ผู้ที่เห็นเช่นเดียวกับพอพเพอร์มีแพลงค์ (Planck) ไอสไตน์ (Einstein) อภปิ รชั ญาตะวนั ออก (Eastern Metaphysics) อภปิ รชั ญาอนิ เดีย (Indian Metaphysics) เรอ่ื งปรมาณขู องสานักไวเศษิกะ (Vaisesika Metaphysics) : สสารนิยมของปรชั ญาอนิ เดีย - โลกประกอบไปด้วยสัดส่วนต่างๆ ของสิ่งที่เล็กที่สุดอันจะแยกย่อยต่อไปไม่ได้ เรียกวา่ “ปรมาณ”ู - ปรมาณูมี 4 ชนดิ คอื ดนิ น้า ลม ไฟ - เปรียบเทยี่ บปรมาณูระหวา่ งอภปิ รัชญากรกี และอภิปรัชญาไวเศษิกะ ไวเศษกิ ะเดโมคลิตสั และลูซิปปัส 1. ปรมาณูแต่ละประเภทมีคุณสมบัติต่างกันเช่นปรมาณูของลมเป็นปรมาณูที่ละเอียดอ่อน ที่สุด ปรมาณขู องไฟมลี ักษณะหยาบกวา่ ปรมาณูของลม ปรมาณูของน้าหยาบกว่าของลม และปรมาณู ของดนิ มีความหยาบท่สี ดุ 1. ปรมาณูมีความแตกต่างกันเฉพาะจานวนหรือปริมาณเท่าน้ันในด้าน คณุ ภาพไม่ตา่ งกนั 2. ปรมาณแู ต่ละอยา่ งเป็นสิ่งเทีย่ งแท้ ไม่แตกดับ 2. ปรมาณเู ปน็ สิ่งเทีย่ งแท้ ไมแ่ ตกดับ

153 3. ปรมาณูมีคณุ สมบัติทง้ั ปฐมภูมแิ ละทตุ ิยภูมิ 3. ปรมาณูไร้คุณสมบัติทุติยภูมิ มีแต่ คุณสมบัติปฐมภูมิ 4. ปรมาณูอยนู่ ่ิงตลอดเวลา จลนภาพเกิดจากพระเจา้ 4. ปรมาณูมีทั้งกัมมันตภาพ (activity) และจลนภาพ (Motion) 5. วญิ ญาณหรอื อาตมนั เป็นส่งิ ท่อี ย่นู อกปรมาณู และแตล่ ะชนิดมคี ณุ สมบตั ิเฉพาะ 5. วญิ ญาณของสง่ิ มชี ีวิตเกิดจากปรมาณวู ญิ ญาณ 6. พระผูเ้ ป็นเจา้ เปน็ ผู้ตง้ั เจตจานงการรวมตวั ของปรมาณูเป็นสงิ่ ต่างๆ 6. ทัศนะเป็นแบบวัตถุ นยิ มเป็นระบบจกั รกลโดยจลนภาพของปรมาณเู อง อภปิ รัชญาจารวาก (Charavaka Metaphysics) - สิง่ ท่มี ีอยู่จริงมีอย่างเดยี วเท่านน้ั คอื วัตถุธาตุ นอกนัน้ ไม่มีจริง เรอ่ื งพรหมหรือพรหมัน : จิตนยิ มของปรัชญาอนิ เดีย - ปรัชญาไทวตะเวทานตะของทา่ นมธั วะ [ทวนิ ยิ ม] - อาตมะ หรือชีวะกบั พรหมัน เปน็ องคภาวะคนละอย่างไม่อาจอยรู่ ่วมกนั ได้ - ปรชั ญาอไทวตะเวทานตะของท่านศังกราจารย์ [เอกนยิ ม] - พรหมัน้ เปน็ อนั หนง่ึ อันเดียวกับอาตมนั เปน็ สิง่ สมั บูรณ์ เรยี กวา่ เป็น ปรพรหม - มีลกั ษณะเปน็ อตุ ตรภาวะคอื มอี ยเู่ หนอื ปรากฏการณธ์ รรมชาติทุกอย่าง - เป็นส่ิงเท่ียงแท้เพียงอย่างเดยี ว ไม่เคล่ือนไหว ไม่เปลยี่ นแปลง - สิ่งท้ังปวงปรากฏขึน้ ดารงอยู่ และเสอ่ื มสลายไป ในพรหมัน - พรหมันมี 2 สภาวพคือ ปรพรหม เป็นส่ิงสัมบูรณ์ และ อปรพรหม เป็นพระผู้เป็น เจ้าสงู สุดหรือพระอีศวร เปน็ พระเจา้ ผูม้ ีตัวตน - ปรัชญาวศิ ษิ ฎาไทวตะเวทานตะของท่านรามานชุ [วเิ สสเอกนยิ ม] - ชวี ะกบั พรหมนั เปน็ อนั หนงึ อนั เดียวกนั - ชีวะมีลักษณะไม่สมบูรณ์เพราะเป็นเพียงภาคหน่ึง (part) แต่พรหมันนั้นสมบูรณ์ เพราะเปน็ มวลรวม (the whole) อภปิ รชั ญาจนี (Chinese Metaphysics) อภิปรชั ญาของเลา่ จือ๊ (Laozi Metaphysics) - เต๋า เป็นสมุฏฐานของสรรพสิ่งในทัศนะเล่าจื๊อ คือธรรมชาติส่ิงหน่ึงเป็นอมตะ ไม่มี เบอื้ งบน ท่ามกลาง และทส่ี ุด สรรพส่ิงทังหลายเกดิ ขึ้นและดับในเตา๋ นี้ อภิปรชั ญาไทย (Thai Metaphysics) - คนไทยมีความเช่ือแบบทวินิยม (Dualism) คือทั้งจิตและสสารต่างก็มคี วามสาคญั ด้วยกนั - ในสมัยโบราณคนไทยใหค้ วามสาคญั แกจ่ ติ มากกว่าวตั ถุ

154 - ปัจจุบนั คนไทยสว่ นหนง่ึ ใหค้ วามสาคัญแกว่ ตั ถุมากกว่าจิต อภิปรชั ญาเปน็ ศาสตรท์ ่วี ่าด้วยความเปน็ จริง (reality) ว่าโลกและจักรวาล ตลอดจนธรรมชาติ ของมนุษย์มีความเป็นจริงอย่างไร ความเป็นจริงที่อภิปรัชญา แสวงหานั้นเป็นความจริงสุดท้าย หรือ ความจริงสูงสุดท่ีเรียกว่า ความจริงอันติมะ (Ultimate Reality) อันเป็นพื้นฐานที่มาของความจริง อ่ืนๆ เน้ือหาของปรัชญาที่จะให้คาตอบในเรื่องท่ีกล่าวมาน้ีมี 3 เร่ืองใหญ่ๆ คือ สสารนิยม (Materialism) จติ นิยม (Idealism) และธรรมชาตินยิ ม (Naturalism) สสารนิยมหรอื วัตถุนิยม (Materialism) ความหมายของสสารนิยม เป็นศัพท์บัญญัติศัพท์หน่ึงของคา Materialism อีกศัพท์หน่ึงคือ วตั ถุนิยม สสารนิยมบัญญตั ิขน้ึ ใช้ในอภปิ รชั ญา ส่วนวัตถุนิยมให้ใชใ้ นจริยศาสตร์ เพ่อื มิใหส้ บั สนเพราะ คา Materialism ทีใช้ในอภิปรัชญากับท่ีใช้ในจริยศาสตร์ มีความต่างกันในสาระสาคัญ เช่น ท่ีใช้ว่า นักศีลธรรมเรอื งนาม บางพวกซ่ึงไม่พอใจสภาวการณ์ในปัจจุบันของโลกกลา่ วประณามการเข้ามาของ Materialism ว่าเป็นมูลเหตุทาให้ศีลธรรมเส่ือมตามนัยนี้ Materialism หมายถึง ทัศนะทางจริย ศาสตรค์ ือศาสตร์ที่ถือวา่ ทรพั ย์สนิ เงินทองและอานาจเป็นสง่ิ สาคัญ เพราะอานวยความสุขสูงสุดให้แก่ ชีวิตได้ จึงได้มีการบัญญัติว่า วัตถุนิยม (ปัจจุบันแม้ทางอภิปรัชญาก็ใช้ เรียก วัตถุนิยม) คา Materialism ที่ใช้ในอภิปรัชญาน้ัน หมายถึงทัศนะที่ว่าสสารหรือพลังงานเป็นเครื่องกาหนดลักษณะ พ้ืนฐานของส่ิงและเหตุการณ์ท้ังหลาย แต่สสารเท่าน้ันเป็นภาวะที่มีอยู่จริงนอกนั้นไม่เช่ือว่ามีอยู่จริง สิ่งท่ีเรียกว่าจิตหรือประสบการณ์ทางจิตไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงภาวะอนุพันธ์คือ เกิดจากสสารน้ันเอง หรอื เรียกไดว้ ่าเปน็ ผลผลิตของสสารจึงได้มีการบญั ญตั ิว่า สสารนยิ ม กลุม่ สสารนิยมถือว่าทุกส่งิ ทกุ อย่างเป็นสสารหรือวัตถุ สสารนิยมนเ้ี ร่ิมตน้ ต้ังแต่ปรัชญายคุ แรก ของกรีกที่พยายามค้นหาคาตอบของโลกและสรรพสิ่ง (วัตถุ) ที่ปรากฏอยู่ โดยได้คาตอบแตกต่างกัน เช่น ธาเลส ตอบว่าโลกเกิดจากน้า อแนกซีแมนเดอร์ ตอบว่าโลกเกิดจากสสารอนันต์ อแนกซิมินีส ตอบว่าโลกเกิดจากอากาศ และกาลต่อมา เอ็มพิโดคลีส ตอบว่าโลกเกิดจากธาตุ 4 คือ ดิน น้า ลม ไฟ เม่ือธาตุ 4 น้ีรวมกันสรรพส่ิงย่อมเกิดขึ้นนี่เป็นความคิดเบื้องต้นของกลุ่มสสารนิยม ลิวคิปปุสและเด โมคลติ สุ ไดช้ อื่ วา่ เป็นผกู้ ่อต้งั กลุ่มสสารนิยมข้ึนอย่างแท้จริงโดยถือวา่ วัตถุหรือสสารนน้ั เกิดขึน้ จากการ รวมตัวกันของอะตอมจานวนมากมายนับไม่ถว้ น วัตถุหรือสสารนน้ั เมื่อแบ่งแยกออกเป็นส่วนย่อยท่ีสุด จนไม่สามารถแบง่ ตอ่ ไปอีกได้เรียกว่า อะตอม สสารนยิ มแบ่งเปน็ 2 กลมุ่ ย่อยคอื 1. อะตอมนิยม (Atomism) หรือปรมาณูนิยมนี้มีความเชื่อว่า ความเป็นจริงมีแต่สสารเพียง อย่างเดียว มวลสารน้ีสามารถแบ่งออกเป็นหน่วยย่อยที่สุดเรียกว่า อะตอม (หรือปรมาณู) ซ่ึงคาว่า อะตอมที่ใช้ในทางปรัชญานี้หมายถึง อนุภาคท่ีเล็กท่ีสุด เป็นอนุภาคสุดท้ายท่ีแยกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว (ซึ่งการสมมุติอย่างนี้เป็นไปไม่ได้ในทางคณิตศาสตร์ เพราะทางคณิตศาสตร์สิ่งที่เป็นมวลสารย่อมแบง่ ครงึ่ ได้เสมอ) อะตอมน้ีเป็นอนภุ าคนิรันดร ไม่เกิด ไมต่ าย มมี าเอง ไม่มใี ครสรา้ ง และไมม่ ีใครทาลายได้

155 หรือแม้จะทาให้มันแตกออกก็ย่อมไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าอะตอมจะเล็กสักปานใดก็ตาม อะตอมก็คงเป็น มวลสารที่มขี นาดรูปร่างและนา้ หนักนั้นคือแมจ้ ะมจี านวนมากมายก็ตาม อะตอมกม็ ปี รมิ าณคงตัว และ คุณภาพของอะตอมแตล่ ะอนภุ าคก็คงตวั (ทฤษฎีจึงมีลักษณะเป็นพหุนิยมสสารนิยม) ซงึ่ แต่ละอนุภาค อาจแตกตา่ งกนั ในเนื้อสาร มวลสาร ขนาดรูปรา่ งและนา้ หนกั นักปรัชญาคนสาคัญที่ได้ศึกษาเก่ียวกับอะตอม คือ เดโมคลิตัส (Democretus) ได้รับการยก ย่องให้เป็นบิดาของอะตอมนิยม เดโมคลิตัสกล่าวว่า เอกภพประกอบด้วยอะตอมจานวนไม่ถ้วนท่ีมี รูปร่าง ขนาด และการเคลื่อนที่ต่างๆ กัน ว่ิงกระทบกันจากทิศทางต่างๆ ซึ่งการเคล่ือนที่นี้ อะตอมจะ เคลื่อนที่ไปในท่ีว่าง (space) อาศัยการเคลื่อนท่ีกระทบซึ่งกันและกันน้ีเอง ส่ิงทั้งหลายและ ปรากฏการณ์ทง้ั หลายจึงเกิดข้ึนเพราะการเคล่อื นที่ของกลุ่มอะตอมไปในชอ่ งวา่ งนี้เองทาให้อะตอมที่มี รูปร่างและขนาดที่เข้ากันได้มารวมกัน แรกเริ่มทีเดียวการรวมตัวของอะตอมเกิดเป็น ดิน น้า ลม ไฟ แล้วการเคลื่อนท่ีของธาตุทั้ง 4 น้ีค่อยๆ หมุนกินที่กว้างออกไปจึงมีการรวมตัวกันเป็นระบบต่างๆ ซ่ึง ทุกระบบมีศูนย์กลางและการหมุนเป็นวงกลม ซึ่งบางระบบมีท้ังดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นจานวน มากมายหลายระบบ อะตอมเหล่าน้ีมีจานวนนับอนันต์ และเป็นส่ิงท่ีปราศจากคุณสมบัติใดๆ ทั้งส้ิน อะตอมแต่ละอันเป็นสิ่งเดียวมีเนื้อเดียวกันตลอด ปราศจากรส กล่ิน เสียง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ใดๆ ท้ังสิ้น มีก็แต่รูปร่างและน้าหนักเท่านั้น ดังน้ันอะตอมหน่ึงจึงต่างกับอีกอะตอมหนึ่งด้วยขนาดและ น้าหนักเท่าน้ัน แต่ถึงมีขนาดซ่ึงไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กก็ตามก็แยกลงไปอีกมิได้ เพราะส่ิงท่ีแยกได้น้ัน ต้องเป็นส่ิงท่ีมีหน่วยย่อยหรือองค์ประกอบ แต่อะตอมไม่มีองค์ประกอบจึงไม่อาจแบ่งย่อยลงได้ อะตอมจะสลายไปก็มิได้เพราะการสลายตัวของสิ่งหน่งึ คือการที่องค์ประกอบของมันแยกตัวออกจาก กัน อะตอมจะเกิดข้ึนใหม่ก็มิได้เพราะการเกิดกีคือการท่ีส่ิงหลายส่ิงมารวมตัวกันเข้ากลายเป็น องค์ประกอบของส่ิงน้ัน และอะตอมจะเปลี่ยนแปลงลงก็มิได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงของส่ิงหนึ่งก็คือ การท่ีองคป์ ระกอบของมันเปลย่ี นท่กี ัน หรือเรยี งตัวกันในรูปใหม่ แต่อะตอมก็ไมม่ ีองค์ประกอบมันเป็น ส่ิงทีมีมาแล้ว มีอยู่และจะมีต่อไปหาท่ีสุดมิได้ เดโมคลิตัสได้อธิบายถึงการเกิดของมนุษย์กับความรู้สึก นึกคดิ ว่ามนษุ ยป์ ระกอบไปด้วยอะตอมรวมตัวกันได้อตั ราท่จี ะเป็นคนได้ สว่ นวิญญาณหรอื จิตนนั้ ก็เป็น อะตอมชนิดหน่ึงด้วย อะตอมวิญญาณนั้นเป็นอะตอมที่เล็กละเอียดท่ีสุด กลมท่ีสุด และเบาท่ีสุด กระจัดกระจายอยู่ทั่วร่างกาย อะตอมวิญญาณน้ีทาให้ร่างกายเคล่ือนที่ได้เม่ือมนุษย์ตายอะตอม วิญญาณก็จะกระจายไป เช่นเดียวกับอะตอมของร่างกายส่วนต่างๆ น้ันเอง ดังน้ันมนุษย์แต่ละคนจึง เกดิ มาเพียงครัง้ เดียว ไม่มีจติ จะสืบตอ่ ให้มกี ารเกิดใหมห่ รือคอยรบั ผลของกรรมที่ทาไวจ้ ากชาติก่อนแต่ อย่างใดท้ังสิน้ ฮ็อบส์ (Thomas Hobbes) ได้เอาทฤษฎีปรมาณูของเดโมคลิตสั มาพัฒนาจนถึงกับอธิบายว่า ชีวิตคือเครื่องจักร จงึ ไดช้ อื่ วา่ เปน็ บดิ าของลัทธจิ ักรกลนยิ ม (Mechanicism)

156 ฮ็อบส์ กล่าวว่าความเป็นจริงมีแต่สสารซึ่งมีพลังประจาตัว พลังนี้อาจถ่ายทอดจากเทห์หน่ึง ไปสู่เทห์อื่นได้ด้วยการประชิด ปรากฏการณ์ท้ังหลายในเอกภพเกิดจากการเปลี่ยนท่ีของเทห์ด้วย อานาจของพลังท่ีถ่ายทอดกันระหว่างเทห์ โดยมีกฎแน่นอนตายตัวตามหลักกลศาสตร์ ไม่มีอะไร เกิดขึ้นโดยบังเอิญ มีผลก็ต้องมีสาเหตุ เช่น มีไอน้าในอากาศเกินจุดอิ่มตัวมากๆ ก็ต้องตกลงมาเป็นฝน เป็นต้น เขายังกล่าวว่าชีวิตคือ เคร่ืองจักรกลซับซ้อน โดยเปลี่ยนให้ดวงตาเหมือนกล้องถ่ายรูป ปอด เหมอื นเครอ่ื งปม๊ั ลม ปากเหมือนโม่บด แขนเหมือนคานงดั นอกจากน้นั เขายังเปรยี บหวั ใจเหมือนสปริง เสน้ ประสาทเหมือนสปริงจานวนมาก กระดูกข้อต่อเหมือนวงจกั ร สิง่ เหล่าน้ีทาให้มนษุ ยเ์ คลื่อนไหวได้ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) กล่าวว่าสสารมีพลังตัวเองตามกฎปฏิพัฒนาการของเฮเกล คือ จะต้องวางตัวให้ขัดแย้งกันเพื่อจะได้หาทางประนีประนอมกัน แล้วส่วนรวมก็จะก้าวหน้า เม่ือ ประนีประนอมกันแล้วจะต้องวางตัวให้ขัดแย้งกันต่อไปอีกเพื่อจะได้ก้าวหน้าต่อไป มาร์กซ์ กล่าวว่า มนุษย์ท่ีต่อสู้มากจะพัฒนาเร็วกว่ามนุษย์ที่หลีกเลี่ยงการต่อสู้ แต่นั้นเป็นวิธีก้าวหน้าท่ียังฉลาดไม่ถงึ ขน้ั เม่ือมนุษย์เรียนปรัชญาฉลาดถึงข้ันอุตรญาณแล้วก็จะเข้าถึงสัจธรรม จะเห็นแจ้งว่าวิธีท่ีมนุษย์จะ ก้าวหน้าได้แนบเนยี นทสี่ ุดก็คือการต่อสู้การงาน เม่ือมนุษย์เข้าถึงสัจธรรมน้ีกันหมดแล้ว มนุษย์ก็จะไม่ ต่อสู้กันระหว่างมนุษย์ด้วยกันอีกต่อไป และจะไม่มีการแบ่งพวกขัดแย้งกันอีกต่อไป มาร์กซ์ ยังกล่าว ต่อไปว่า การงาน (Labour) เป็นสิ่งที่ทาให้มนุษย์สามารถพัฒนาตนเองและสังคมไปสู่เป้าหมายสูงสุด ได้ มนุษย์ควรทางานอะไรก็ได้แล้วแต่ความถนัดของตน การทางานเป็นการแสดงถึงความมีอิสรภาพ และเสรีภาพของผู้ทางาน การนาเครอื่ งจักรมาใช้ทางานทาให้คนทางานดูตา่ ต้อยไป ซ่ึงการทางานควร เป็นศกั ดศ์ิ รีของมนุษย์ ซ่ึงมาร์กซ์คดิ ว่าระบบเศรษฐกิจระบบทุนนยิ มน้ีเองท่ีทาให้ศักดิ์ศรีของความเป็น มนุษย์ต่าลง ซง่ึ มาร์กซถ์ อื วา่ เป็นเร่ืองทีจ่ ะต้องแก้ไข ก็โดยล้มระบบทนุ นยิ มเสยี เพื่อใหก้ ารแก้ไขประสบ ผล เขาแนะนะให้เลิกล้มการมีสมบัติส่วนตัวเสีย โดยการให้สมบัติทุกชิ้น เป็นของรัฐทั้งหมด โดยให้มี พลเมืองทุกคนมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน และมีสิทธิ์ใช้สอยตามความจาเป็นของแต่ละคน ซ่ึงที่กล่าวมาน้ีคือ หลกั การพน้ื ฐานของระบบเศรษฐกจิ แบบคอมมวิ นสิ ต์นั้นเอง 2. พลังนิยม (Energetism) พลังนิยมมีความเห็นว่าสสารมิได้มีมวลสารดังน้ีมนุษย์มี ประสบการณ์ด้วยประสาทสัมผัส แต่เนื้อแท้เป็นพลังงาน ซ่ีงเมือทาปฏิกิริยากับประสาทสัมผัสของ มนุษย์ทาให้รู้สึกไปว่ามีมวลสาร พวกพลังนิยมจึงยืนยันว่าความเป็นจริงเป็นพลังงานเพียงอย่างเดยี วท่ี กระทาการให้เกิดส่ิงตา่ งๆ และเหตกุ ารณท์ ้ังหลายในเอกภพ พลงั งานดังกล่าวอาจเรียกชอื่ เปน็ อย่างอ่ืน ไป ทาให้มีช่อื ผิดเพ้ยี นกันออกไปได้ นักปรชั ญาพลงั นิยมที่สมควรจะกลา่ วถึงคอื อาร์ทูร์ โชเป็นเฮาเออร์ (Arthur Schopenhauer) กล่าวว่าความเป็นจริงเป็นพลังตาบอดที่ ด้ินรนไปตามธรรมชาตขิ องพลัง แสดงออกมาเปน็ พลงั ต่างๆ ในธรรมชาติ เช่น พลังแมเ่ หลก็ พลังไฟฟ้า พลังน้าตก พลังดึงดูด และสูงขึ้นมาเป็นพลังชีวิตในพืช พลังสัญชาตญาณ และพลังกิเลสในมนุษย์ มนุษย์เราจึงด้นิ รนเอาชนะกันตลอดเวลา พลังในธรรมชาติทุกอย่างเป็นพลังดิ้นรนหรือเจตจานงท่ีจะมี

157 ชีวิต (the will-to-live) เพราะการด้ินรนนี้ไม่มีแผน ผลจึงอาจจะเป็นการก้าวหน้าหรือถอยหลังก็ได้ ความจริงจึงขึ้นๆ ลงๆ ไม่ราบร้ืน แม้ว่าพลังส่วนรวมจะตาบอด แต่พลังที่แบ่งส่วนมาเป็นมนุษย์แต่ละ ส่วนน้ีมีความสานึกได้ เพราะเป็นพลังท่ีเข้มข้นท่ีสุด และอาจจะช่วยวางแผนแก้ปัญหาให้แก่พลังงาน สว่ นรวมได้ ซงึ่ โชเป็นเฮาเออรไ์ ด้กล่าวไว้ในปรชั ญาจริยะ นิตเช่ (Friedrich Nietzsche) ได้กล่าวแก้ไขความคิดของโชเป็นเฮาเออร์ว่าพลังตาบอดนั้นมี ลักษณะเป็นการดิ้นรนเพ่ือการอยู่รอดก็จริง แต่ยังมีลักษณะหน่ึงท่ีสาคัญกว่าและครอบงาการดิ้นรน เพ่ือการอยู่รอด น้ันก็คือการด้ินรนเพื่ออานาจ ดังน้ันพลังรวมของโชเป็นเฮาเออร์ควรเรียกใหม่ให้ ถูกต้องว่า เจตจานงที่จะมีอานาจ (the will-to power) จะสังเกตได้ว่าพลังท่ีแสดงออกในธรรมชาติ น้นั บางทีกย็ อมเสย่ี งการมีชีวิตเพ่ือจะมีอานาจเหนือหนว่ ยอ่ืนยิ่งในหมู่มนุษย์ดว้ ยแลว้ ยง่ิ สงั เกตเห็นได้ ชัดเจนมากข้ึน คนต่อสู้กับคนเพ่ือรักษาตาแหน่งผู้นา ชาติต่อสู้กับชาติเพ่ือความเป็นเจ้าโลก การต่อสู้ ด้ินรนเช่นนี้จาทาให้มนุษย์พยายามพัฒนาตนเองให้มีความสามารถเหนือผู้อ่ืนยิ่งๆ ขึ้นไป และจะเกิด มนุษย์ที่มีความสามารถเหนือผอู้ ่นื ท่ีเรยี กกันทวั่ ไปว่า อภิมนุษย์ (Superman) ขน้ึ ในอนาคต มักซ็ ปลังค์ (Max Planck) และนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ปัจจุบันบางท่านกล่าวว่ามนษุ ย์เรา สามารถแยกปรมาณูออกได้เป็นประจุไฟฟ้าซึ่งเป็นพลังงาน จึงเป็นอันวา่ มวลสารท้ังหลายประกอบขนึ้ จากพลังงานทั้งสิ้น พลังงานเหล่าน้ีมิได้รวมกันเป็นเน้ือเดียว แต่เป็นกลุ่มของอนุภาคพลังงานซ่ึงแตล่ ะ อนุภาคจะแบ่งออกต่อไปอีกไม่ได้เรียกว่า ควันตัม (Quantum) เป็นหน่วยย่อยที่สุดของพลังงาน ซึ่ง เม่ือรวมตัวกันในลักษณะต่างๆ แล้วทาให้เกิดสิ่งท้ังหลายและเหตุการณ์ต่างๆ ในเอกภพ พลังงานใน เอกภพมีปริมาณมากมายเหลือเกนิ จนไม่มใี ครกาหนดได้ แต่สิ่งที่นา่ สงั เกตกค็ ือพลังงานมใิ ช่ค่าตงตัวอยู่ อย่างเดิมแตจ่ ะเปลี่ยนแปลงคุณภาพอยู่เสมอ อาจจะดีหรอื อาจเลวลงก็ได้ แตเ่ ทา่ ที่สงั เกตเปน็ สว่ นรวม ปรากฏว่าดีขึน้ เรอื่ ยๆ โดยสรุปจะเห็นได้ว่าลักษณะร่วมของนักปรัชญาพลังนิยม คือ ส่ิงท้ังหมดท่ีเกิดข้ึนน้ันไม่มี กฎเกณฑ์ตายตัว อาจจะเกิดขึ้นตรงตามวัตถุประสงค์ของมนุษย์หรือไม่ก็ได้ เช่น มนุษย์บางคนด้ินรน เพือ่ การมชี วี ิตอยู่ แตผ่ ลอาจจะตายก็ได้ จิตนิยม (Idealism) ความหมายของจิตนิยม เป็นศัพท์บัญญัติศัพท์หน่ึงของคา Idealism ที่ใช้ในทางอภิปรัชญา แต่ถ้าใช้ในทางจริยศาสตร์มีการบัญญัติศัพท์ภาษาไทย อีกศัพท์หน่ึงว่า อุดมคตินิยม มีคาถามว่า คา Idealism คาเดียวทาไมจึงบัญญัติศัพท์ภาษาไทยถึง 2 คา คาตอบก็คือ เพราะท่านใช้ในความหมาย ต่างกัน ในทางจริยศาสตร์ ใช้คาว่า Idealist หมายถึงบุคคลผู้มองเห็นเป้าหมายอันสูงส่งของชีวิตและ พยายามจะเข้าถึงเป้าหมายน้ันให้ได้ในภาษาไทยเรียกบุคคลเช่นน้ีว่านักอุดมคตินิยม แต่ในทาง อภิปรัชญา Idealist หมายถึงผู้ศึกษาค้นคว้าว่าอะไรคือความจริง อะไรคือสภาพมูลฐานของส่ิง

158 ท้ังหลายท่ีสมนัยกันหรือเข้ากันได้กับความรู้สึกนึกคิดและจิตใจของมนุษย์ ในภาษาไทยเรียกบุคคล เชน่ น้วี า่ นักจิตนิยม กลุม่ จติ นิยม ถอื วา่ จติ เปน็ ความแทจ้ ริงสงู สดุ เพยี งสิง่ เดียวเท่าน้นั สสารเป็นเพยี งปรากฏการณ์ ของจิตเท่านั้น เช่น ร่างกายมนุษย์เป็นเพียงปรากฏการณ์ช่ัวคราวของจิต เป็นที่อาศัยชั่วคราวของจิต เมื่อร่างกายสูญสลายจิตสัมพัทธ์ก็ยังคงอยู่ ซึ่งบางทีอาจกลับคืนสู่แหล่งเดิมของตนคือจิตสมบูรณ์อัน เป็นต้นตอของสรรพสิ่ง ทุกส่ิงทุกอย่างล้วนแต่อธิบายได้ด้วยการปรากฏของจิตสัมบูรณ์ทั้งสิ้น จิตเป็น อมตะคากล่าวน้ีมักจะได้ยินกันจนคุ้นหู และการท่ีบางคนไม่เช่ือเร่ืองจิตว่ามีจรงิ ก็เพราะจิตเป็นส่ิงทีไ่ ม่ สามารถรู้จักได้ด้วยประสาทสัมผัส เราจะสังเกตว่ามนุษย์มีจิตได้จากการคิด การบังคับร่างกายให้ ปฏิบัติตามได้ เป็นต้น เม่ือร่างกายแตกสลายแล้วจิตก็จะเป็นอิสระ จิตมีสภาพเป็นนามธรรม คือ ไม่มี ตัวตน สัมผัสไม่ได้ และไม่มคี าอธิบายใดๆ ท่ีบอกสภาพของจติ ได้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงได้ แตท่ ุก คนรู้ได้ด้วยตัวเองว่าจิตมีจริง จิตคือธรรมชาติท่ีรู้จักนึกคิด แต่ความนึกคิดนั้นไม่ใช่ตัวจิตเป็นแต่เพียง อาการหรือกระแสท่ีจิตฉายหรือส่งออกมาเท่าน้ัน จิตเป็นธรรมท่ีมีเพียงช่ือหารูปไม่ได้ ผู้มีปัญญา เทา่ นัน้ จงึ จะรู้จกั จิตได้ จติ นยิ มแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1. จติ นยิ มกรกี โบราณ พารม์ ินิดิส (Pamenides) เปน็ นกั ปรัชญากรีกสมัยโบราณ ไดร้ ับความ นบั ถอื อย่างมากว่าเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้งและอุปนสิ ัยสูงส่งดีเลิศ เพลโตได้กล่าวถึงเขาอย่างเคารพนับถือ เสมอมา ทัศนะทางปรัชญาของพาร์มินิดิสเกิดจากการเฝ้าสังเกตความไม่เที่ยงแท้ หรือความเป็น อนิจจังของสิ่งต่างๆ เขาพยายามค้นหาส่ิงที่เป็นนิรันดรซึ่งอยู่ท่ามกลางส่ิงท่ีเป็นอนิจจัง หาสิ่งท่ีคง สภาพอยู่ตลอดไป ท่ามกลามการแปรสภาพของส่ิงท้ังหลาย ด้วยเหตุน้ีความคิดเรื่องสัตและอสัตจึง เกิดขึ้น สิ่งท่ีเป็นจริงสูงสุดคือสัต (Being) ส่วนอสัตเป็นส่ิงไม่จริง โลกแห่งผัสสะเป็นภาพมายา ไม่จริง เป็นอสัต สัตเท่านั้นที่เป็นจริง ความแตกต่างที่มีความสาคัญข้ันพ้ืนฐานในวิชาปรัชญาเกิดข้ึนเป็นคร้ัง แรกในปรัชญาของพาร์มีนีดิสคือ ความแตกต่างระหว่างผัสสะและเหตุผล โลกของความหลอกลวง ปรากฏการณ์และความเปลี่ยนแปลงเป็นอสัต พาร์มีนิดีสสอนว่าโลกที่เรารู้จักได้ด้วยผัสสะเป็นส่ิง หลอกลวง เรารู้จักสัตได้ด้วยเหตผุ ลและความคิดเท่าน้ัน ดังนั้นสาหรับพาร์มินิดิส ผัสสะจึงเป็นบ่อเกดิ ของความหลอกลวง และความเห็นผิดความจริงมีอยู่ในเหตุผลเท่านั้น น่ีคือการเริ่มต้นพ้ืนฐานของจิต นิยม อย่างไรก็ตามแม้ความคิดของพาร์มินิดิสจะมีลักษณะเป็นจิตนิยมอย่างชัดเจน และนักปรัชญา สมัยหลังๆ เช่นเฮเกล จะตีความหมายปรัชญาของพาร์มีนิดิสว่าเป็นจิตนิยม ถึงกับนักปรัชญาบางคน พูดว่า พาร์มินิดิสเป็นบิดาของจิตนิยม กระน้ันก็มีผู้ไม่เห็นด้วยโดยอ้างคาสอนเรื่องอสัตของเขาว่ามี ลักษณะเป็นสสารนิยม แต่หลักฐานที่ปรากฏคือ ความคิดของเขาเป็นทั้งสองแบบเพราะได้รับเอาไป พัฒนาในสมัยต่อมา เช่น เพลโตรับเอาแง่ท่ีเป็นจิตนิยมไปพัฒนา ขณะที่เอ็มพีโคคลีส และเดโมคลิตุส รับเอาแง่ทีเ่ ปน็ สสารนิยมไปพฒั นา พารม์ ินดิ ิสจึงเปน็ ทั้งบิดาของจติ นยิ ม และสสารนิยม

159 เพลโต (Plato) จิตนิยมของเพลโตได้รับอิทธิพลจากปรัชญาของพาร์มินิดิสอย่างมาก คือเพล โตได้นาความคิดเรื่องโลกแห่งมโนคติหรือทฤษฎีแบบ (World of ideas of Theory of Form) มา จากคาสอนเรอ่ื งสัต (being) ของพารม์ ินดิ สิ มาพฒั นาน่ันเอง ความคิดเร่ืองโลกแห่งมโนคติหรือทฤษฎีแบบของเพลโตน้ัน เพลโตถือว่าโลกมี 2 โลก โลก หน่ึงเป็นโลกแห่งผัสสะหรือโลกของสสาร เป็นโลกที่เปล่ียนแปลง ไม่มีความเป็นจริงในตัวเอง มนุษย์ รู้จักโลกนี้ด้วยประสาทสัมผัส ส่วนอีกโลกหน่ึงเรียกว่า โลกแห่งมโนคติหรือโลกของเทพเป็นโลกของ ความจริงแท้ โลกดังกล่าวเป็นโลกของจิต มีอยู่นิรันดรไม่เปล่ียนแปลง ทุกสิ่งในโลกแห่งผัสสะ เลียนแบบมาจากโลกแห่งมโนคติ โลกแห่งมโนคติเป็นโลกแห่งความจริงแท้ และมีอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง โดยไม่ขึน้ ตอ่ โลกแหง่ ผัสสะ มนุษย์ในทัศนะของเพลโต คือ ธรรมชาติของมนุษย์ประกอบด้วยองค์ประกอบ 2 อย่างคือ ภายกบั จิต จติ มนษุ ย์เปรียบเสมือนคนขบั รถซงึ่ ไดแ้ ก่ รา่ งกาย จิตทาหนา้ ที่ 3 ภาค คือ ภาคตัณหา ภาค น้าใจ และภาคปัญญา ร่างกายอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของจิต การกระทา พฤติกรรม รวมท้ังนิสัย ของมนุษย์แล้วแต่จิตจะส่ังให้เป็นอย่างไร และที่ว่าจิตมี 3 ภาคน้ัน หมายถึง ร่างกายมีจิต 3 ภาค จิต ภาคไหนเข้มแขง็ กวา่ รา่ งกายก็ตอ้ งทาตามคาสัง่ ของจติ ภาคนน้ั ๆ ภาคท้ัง 3 ของจิตกลา่ วโดยสรปุ ดงั นี้ 1. ภาคตัณหา ตัณหา หมายถงึ ความต้องการความสุขทางร่างกาย เชน่ การกนิ อยู่ หลับนอน คนท่ีมีจิตภาคนเี้ หนือกว่าภาคอนื่ ๆ ไดแ้ ก่ คนท่ีลมุ่ หลงในโลกยี ส์ ขุ ทั้งปวง ตามทศั นะของเพลโต เปรียบ คนพวกนี้ไม่ต่างจากเดรัจฉาน หาความสุขทางการผัสสะเหมือนสัตว์ถึงแม้ว่าจะซับซ้อนหรือ ละเอยี ดอ่อนกวา่ สัตว์ก็ตาม 2. ภาคน้าใจ น้าใจ หมายถึง ความรู้สึกทางใจท่ีเกิดขึ้นโดยมิได้มีสาเหตุทางวัตถุ เช่น ความ เสียสละ ความรักระเบียบวินัย ความเมตตาเม่ือเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ คนท่ีมีจิตภาคน้าใจเป็นใหญ่ เหนือกว่าภาคอ่ืนก็ยังมีความปรารถนาในโลกีย์อยู่เพราะเป็นความต้องการทางกายอันเป็นเรือนท่ีจิต ครองอยู่ แต่คนเหล่านี้มิได้เป็นกังวลนักกับเร่ืองดังกล่าว เขาอาจยอมตายมากกว่าที่จะยอมเสียเกียรติ คนเหล่าน้ีสงู กว่าเดรจั ฉาน เพราะเดรัจฉานทาทุกอย่างโดยไม่คานงึ ถึงอะไรทงั้ สน้ิ 3. ภาคปัญญา ปัญญา หมายถึง ความมีเหตุผล จิตภาคนี้ทาหน้าที่เก่ียวกับเหตุผลเป็นส่วนท่ี เพลโตถือว่าทาให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์และสิ่งท้ังปวงในโลก คนที่มีจิตภาคน้าใจอาจยอมเสียสละ ความสุขเพื่อรักษาเกียรติ แต่คนที่มีจิตภาคปัญญาอาจยอมเสียท้ังความสุขและเกียรติเพ่ือความรู้และ ความจริง 2. จติ นยิ มประสบการณ์ จิตนิยมประสบการณ์หมายถึง หลักปรัชญาของปรัชญาเมธีท้ังหลายเช่น จอร์จ เบอร์คเลย์ (George Berkley) จอหน์ ล๊อค (John Locke) เดวิด ฮวิ ม์ (David Hume) เป็นต้น

160 จอร์จ เบอร์คเลย์ (George Berkley) เป็นนักปรัชญาชาวไอริส (Irish) เป็นนักปรัชญากลุ่ม ประจักษ์นิยม (ประสบการณ์นิยมในปัจจุบัน) เช่นเดียวกับจอห์น ล๊อค เบอร์คเลย์กล่าวว่า ทุกส่ิงทุก อย่างที่เรารับรู้ทางประสาทสัมผัสน้ันมีอยู่ได้เพราะจิตและแนวความคิด หมายความว่าเราต้องมี แนวความคิดเก่ียวกับส่ิงต่างๆ และแนวความคิดนั้นมีอยู่ใจจิตของเรา ดังนั้นส่ิงแท้จริงคือจิตและ ความคิด (Mind and Idea) เบอร์คเลย์กล่าวว่าสสารหรือสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์เรารับรู้ทางประสาทสมั ผสั เปน็ สง่ิ ทม่ี ีอย่จู ริง แตเ่ ปน็ สิ่งท่ีมีอยู่จรงิ โดยจิต ในฐานะทมี่ ันถูกรู้หรือรบั ร้ดู ว้ ยจิต สสารไมไ่ ดม้ ีอยู่ได้ด้วย ตัวเอง แต่มีอยู่เพราะจิต ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่าความมีอยู่คือการถูกรับรู้ (To be is to be perceived) ซ่ึงหมายความว่า ความมีอยู่ของทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องถูกรับรู้ได้หรือสามารถรับรู้ ถ้าส่ิงใดก็ตามไม่ถูก รับรู้ก็จะกล่าวว่าสิ่งน้ันมีอยู่ไม่ได้ และได้กล่าวต่อไปอีกว่าจิตมิใช่สร้างแนวความคิด แต่แนวความคิดนี้ ถูกใส่เข้าไว้ในจิตโดยพระเจ้า คือ พระเจา้ ไดส้ ร้างแนวความคดิ ไว้ในจิตของมนุษยท์ ุกคน 3. จิตนยิ มเยอรมันสมยั ใหม่และรูปแบบตา่ งๆ ทีส่ มั พนั ธ์กนั จิตนยิ มเยอรมัน หมายถึง หลักปรัชญาของปรชั ญาเมธีท้งั หลาย เชน่ ไลบน์ ิช (Leibniz) คานต์ (Kant) เฮเกล (Hegel) เปน็ ตน้ อิมมานูเอล คานต์ (Immanuel Kant) เป็นนักปรัชญาชาวเยอรมัน แนวปรัชญาของคานต์มี ลักษณะประนีประนอมหลักการของกลุ่มเหตุผลนิยมและประจักษ์นิยมโดยกล่าวว่าความรู้บางชนิด เปน็ ความรทู้ ่มี มี าก่อน (A Priori) เป็นความรทู้ ี่จรงิ และจาเปน็ ท่ที กุ คนมีเหมอื นกนั ตรงกนั จะเปน็ อย่าง อื่นไปไม่ได้ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่ความรู้บางชนิดเป็นความรู้ท่ีเกิดข้ึนภายหลัง (Posteriori) ไดแ้ ก่ ความร้ทู เ่ี กดิ ขน้ึ จากประสบการณ์ทางประสาทสมั ผสั ซึง่ เกดิ ขึน้ ในขณะนั้นและเป็น ปัจจุบัน จากทัศนะนี้เป็นการยอมรับหลักการของกลุ่มเหตุผลนิยมและกลุ่มประจักษ์นิยมเป็นบางสว่ น และมีการปฏิเสธเป็นส่วนใหญ่ ท้ังนี้เพราะคานต์ถือว่า เหตุผลนิยมมอบหมายมาตรการแห่งความจริง ใหแ้ ก่ปัญญามากจนเกนิ ไป จนกระท่ังปฏเิ สธพ้นื ฐานทางศาสนาและศลี ธรรม ส่วนประสบการณ์นิยมก็ มอบหมายมาตรการแห่งความจริงให้ผัสสะมากจนเกินไป จนกระทั่งปฏิเสธกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ตามทศั นะของคานต์ ความรู้จงึ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคอื ความรทู้ ่ีมบี ่อเกดิ มาจาก ประสบการณ์ (A Posterior Knowledge) และความรู้ท่ีมีบ่อเกิดมาจากปัญญาหรือความคิดของ มนุษย์ (A Priori Knowledge) ธรรมชาตินิยม (Naturalism) ความหมายของธรรมชาตินิยม เป็นศัพท์บัญญัติศัพท์หนึ่งของคาว่า Naturalism ธรรม ชาตนิ ิยมเป็นปรัชญาท่ีอย่กู ลางระหว่างสสารนิยมและจติ นิยม กลา่ วคือสสารนิยมเช่ือว่าสสารหรือวัตถุ เทา่ นั้นเปน็ จริง ส่วนจิตนิยมเชื่อว่านอกจากสสารแล้วยังมีความเปน็ จริงอีกอยา่ งหนงึ่ ซ่งึ มีความเป็นจริง มากกว่าสสาร สิ่งน้ันคือจิต แต่สาหรับธรรมชาตินิยมทาหน้าท่ีประนีประนอม ทัศนะของสสารนิยม

161 และจิตนิยมโดยทัศนะแบบกลางๆ คือบางแง่เห็นด้วยกับสสารนิยม และบางแง่ก็เห็นด้วยกับจิตนิยม แต่โดยหลกั พ้นื ฐานแลว้ ธรรมชาตนิ ิยมมีทศั นะใกล้เคยี งกับสสารนิยมมากกว่า ปรัชญาธรรมชาตินิยมน้ีบางทีก็เรียกว่าปรัชญาสัจนิยม (Realism) ธรรมชาตินิยมมีทัศนะว่า โลกหรือจักรวาลท่ีประกอบไปด้วย “สิ่งธรรมชาติ” (Natural Object) ส่ิงธรรมชาติเท่าน้ันที่เป็นจริง ส่ิงอ่ืนใดที่มิใช่ส่ิงธรรมชาติหรือปรากฏการณ์ของส่ิงธรรมชาติไม่ใช่ส่ิงท่ีเป็นจริง สิ่งธรรมชาติคือส่ิงที่ ดารงอยู่ในระบบของอวกาศและเวลา (Space and Time) ฉะนั้นส่ิงใดที่ไม่ดารงอยู่ในระบบอวกาศ และเวลายอ่ มเป็นสง่ิ ไม่มีจรงิ ในแงน่ ธ้ี รรมชาตินยิ มมลี กั ษณะคล้ายสสารนยิ ม สสารนิยมเชอ่ื ว่ามนุษย์มีแต่เพยี งร่างกายซ่ึงเปน็ สสารไมม่ จี ิตวิญญาณที่เป็นอสสาร แตจ่ ิตนยิ ม เช่ือว่ามนุษย์คือวิญญาณซึ่งเป็นอสสารและเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ ส่วนธรรมชาตินิยมเช่ือว่า มนษุ ยม์ ีท้งั รา่ งกายและจิตวิญญาณซงึ่ มีความสาคญั เท่าเทียมกนั และจรงิ เท่ากัน ไม่มีอะไรจรงิ กว่าอะไร การยอมรับว่ามนุษย์มีจิตวิญญาณทาให้ทัศนะของธรรมชาตินิยมคล้ายคลึงกับจิตนิยม แต่ในความ คล้ายคลึงมีความแตกต่างแฝงอยู่ กล่าวคือแม้ธรรมชาตินิยมจะยอมรับว่ามนุษย์มีจิตวิญญาณ แต่จิต วิญญาณที่ว่านี้ก็ไม่สามารถแยกเป็นอิสระจากร่างกายได้ดังท่ีจิตนิยมเช่ือและจิตวิญญาณก็มิได้เป็น อมตะ เม่ือมนุษย์ตายลงทั้งร่างกายและจิตวิญญาณต่างดับส้ินไปด้วยกัน จิตวิญญาณจึงมิได้เป็นอิสระ จากร่างกาย และมิได้เปน็ อมตะดังท่จี ิตนยิ มเชอ่ื นักธรรมชาตินิยมร่วมสมัยอาจแบ่งออกเปน็ 2 กลุ่ม คือกลุ่มขวา และกลุ่มซ้าย หรือเรียกตาม ศัพท์ของวิลเลียม เจมส์ ว่า กลุ่มใจอ่อน (Tender-Minded) กลุ่มใจแข็ง (Tough-Minded) นักธรรม ชาตินิยมกลุ่มใจแข็งน้ันมีเจตนารมณ์ใกล้เคียงกันมากกับนักสสารนิยมรุ่นเก่า คือพวกนี้มีทัศนะไม่ แตกต่างกันในเร่ืองค่านิยมทางศาสนา หรือไม่เห็นด้วยกับผู้พยายามดึงศาสนาเข้าไปรวมไว้ในโลก ทัศนะของธรรมชาตินิยม ส่วนนักธรรมชาตินิยมกลุ่มใจอ่อนกลับเห็นใจศาสนา คือ โดยปกติกลุ่มนี้ ปฏิเสธรูปแบบของศาสนาตามทางราชการหรือตามประเพณี แต่เชื่อว่าค่านิยมทางศาสนามี ความสาคัญและสามารถรวมเข้าไว้ในปรัชญาธรรมชาตินิยมได้ นักธรรมชาตินิยมท่ีจะกล่าวถึงในที่น้ี ซนั ตายานา และจอห์น ดวิ อ้ี เปน็ ตน้ ซันตายานาเป็นนักธรรมชาตินิยมที่ได้ให้ทัศนะว่า พระเจ้าเป็นอุดมคติอย่างหนึ่งไม่ใช่เป็น ข้อเท็จจริง ส่ิงธรรมชาติทุกๆ สิ่งมีความสมบูรณ์ตามอุดมคติ แต่อุดมคติทุกๆ อย่างมีพ้ืนฐานทาง ธรรมชาติ ศาสนาท้ังหลายที่สืบทอดกันมาจนเป็นประเพณีน้ัน สามารถบรรยายข้อเท็จจริงตาม ธรรมชาติใหเ้ ขา้ ใจถูกตอ้ งได้ และสามารถช่วยนาเราไปสจู่ ดุ หมายปลายทางคือแดนสงบได้ จอห์น ดิวอี้ เป็นนักธรรมชาตินิยมอีกท่านหน่ึง ซ่ึงถูกจัดไว้ในพวกกลุ่มขวา แม้กระน้ันท่านก็ ยอมรับมโนภาพของซันตายานาที่ว่าศาสนาน้ันเก่ียวข้องกับค่านิยมทางอุดมคติ ซันตายานาแบ่ง องค์ประกอบทางศาสนาออกเป็น 2 อย่างคือ ความรู้สึกทางศีลธรรม และมโนภาพทางกวีหรือทาง บุราณวิทยาท่ีเก่ียวกับสิ่งทั้งหลาย จอห์น ดิวอ้ีสนใจเฉพาะเร่ืองศีลธรรมของศาสนา ท่านเห็นว่า

162 ศาสนามคี วามสัมพันธ์กับอุดมคติท้ังหลายทม่ี นุษย์ถือเป็นเป้าหมายแห่งชีวติ และนามาประพฤตเิ พ่ือให้ บรรลุเป้าหมายน้ันๆ อุดมคติจึงเป็นเครื่องนาทางท่ีสาคัญ พระเจ้าน้ันเป็นช่อื หนึง่ ของอุดมคติทัง้ หลาย ซ่ึงเราถือว่าเป็นเอกภพอย่างหนึ่งดังที่ดิวอ้ีกล่าวว่าสมมุติว่าคา พระเจ้า หมายถึง จุดมุ่งหมายทางอุดม คติ ซึ่ง ณ กาลและสถานท่ีหน่ึงท่ีบุคคลยอมรับกันว่า มีอานาจเหนือเจตนา และอารมณ์ของเขา เป็น ค่านิยมที่บุคคลเชื่อถืออย่างสูงส่งจนพึงเห็นว่า จุดมุ่งหมายเหล่านี้รวมตัวกันเป็นเอกภพ ถ้าเราถือตาม ข้อสมมุติน้ีผลจะปรากฏออกมาในทางตรงกันข้ามกับคาสอนของศาสนาที่ว่าพระเจ้า หมายถึง สัตบาง ชนดิ ซ่ึงมอี ยูเ่ ดิม จึงไม่ใชค่ วามมีอยู่ทเ่ี ปน็ อุดมคติ นักธรรมชาติร่วมสมัย ปรารถนาอย่างแรงกล้าท่ีจะรวมค่านิยมทางศาสนาเข้าไว้ในธรรมชาติ นยิ ม ไดด้ าเนนิ ตามแนวคิดของ ซันตายานา และจอห์น ดิวอี้ น้ันเอง วิธีการของนักธรรมชาตินยิ มพวก นีไ้ ดแ้ ก่ วธิ กี ารแบบมนษุ ยนยิ ม สรุป ธรรมชาตินิยม กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้า ไม่มีระเบียบเหนือธรรมชาติ ไม่มีทวิภาค ระหว่าง พระเจ้ากับโลก อย่างไรก็ตามยังมีธรรมชาตินิยมบางลัทธิเข้ากันได้กับหลักคาสอนที่ถือว่าพระเจ้าเป็น อุดมคตอิ ยา่ งหน่งึ อุดมคตินีอ้ าจมีอทิ ธิพลเหนอื ชวี ติ มนษุ ย์ผปู้ รารถนาแสวงหาความดี ภววิทยา (Ontology) ภววิทยาเปน็ สาขาทส่ี าคัญของอภิปรชั ญา เพราะเป็นศาสตรท์ ่ีว่าด้วยส่งิ แทจ้ ริงอนั ตมิ ะ ปญั หา ที่ภววิทยาพยายามตอบก็คือ สิ่งที่แท้จริงอันติมะคืออะไร นักปรัชญาได้ใช้วิธีการหลายอย่างต่างๆ กัน ในอันท่ีจะตอบปัญหาดังกล่าว วิธีการต่างๆ เหล่านี้ได้กลายมาเป็นทฤษฎีของภววิทยา และทฤษฎี ต่างๆ ดังกล่าวมที ี่สาคญั ๆ อยู่ 3 ทฤษฎีคือ เอกนิยม ทวินิยม และพหนุ ิยม เอกนิยม (Monism) เอกนิยมคือ ทฤษฎที างปรัชญาที่ถือว่าความแทจ้ ริงคอื ปฐมธาตเุ พยี งอยา่ งเดียว ถ้าถือว่าความ แท้จริงเป็นจติ อย่างเดยี วเรียกว่าเอกนิยมแบบจติ ถา้ ถือว่าความแทจ้ รงิ เป็นสสารอยา่ งเดียวเรยี กว่าเอก นยิ มแบบสสาร แต่ถา้ ถอื วา่ ความแท้จรงิ ไม่ใช่ท้ังจิตและสสารเรียกว่า มัชฌมิ นิยม เอกนยิ มแบบจติ ถือวา่ ความแทจ้ ริงปฐมธาตุมีแตน่ ามธรรม หรอื จติ เพยี งอยา่ งเดยี วเท่าน้ันเป็น ต้นตอของสรรพสิง่ และสรรพสงิ่ ข้ึนอย่กู บั ความจรงิ สงู สุดอันไดแ้ ก่ปรัชญาสัต (Philosophy of Being) เป็นปรัชญาของพาร์มินิดิส (Parmenides) สมัยกรีกโบราณ กล่าวว่าความแท้จริงปฐมธาตุคือสัตซ่ึงมี ภาวะเป็นนิรันดร์รวมเอาภาวะต่างๆ ไว้ในหน่วยเดียวกันไม่มีการเปล่ียนแปลงใดๆ ท้ังสิ้น แต่การท่ีเรา มองเห็นว่ามีการเปล่ียนแปลงน้ันเป็นมายาคือ ความเข้าใจผิดไป ส่วนเฮเกล (Hegel) ถือว่าความ แท้จรงิ มีจติ ดวงเดยี วเรียกว่าส่ิงสัมบูรณ์ (The Absolute) เป็นตน้ กาเนิดจิตท้ังปวง ลกั ษณะของจิตคือ หยดุ น่งิ ไมไ่ ดจ้ ะตอ้ งมีกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา ถา้ ไมเ่ ช่นน้นั จิตจะไม่มตี วั ตนไม่เรียกว่าจิต การเคลือ่ นไหว ของจิตเป็นการพัฒนาแบบปฏิพัฒนาการ (Dialectic) แบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ จิตเดิมที่บริสุทธ์ิ

163 (Thesis) จิตขัดแย้ง ยังแสดงตัวออกเป็นสสาร (Antithesis) และจิตสังเคราะห์ สสารสานึกตัวเองว่า เปน็ จิต (Synthesis) เอกนิยมแบบสสาร ถือว่า ความแท้จริงแบบปฐมธาตุมีแต่สสารเพียงอย่างเดียวเท่าน้ันไม่มีจิต หรือสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากน้ี เช่น ปรัชญากรีกสมัยแรกๆ ได้แก่ ธาเลส อแนกซิเมเนส และอแนกซิ แมนเดอร์ เป็นตน้ ถือวา่ ปฐมธาตุคือ นา้ อากาศ และแนวคิดได้พฒั นาไปเรื่อยๆ จนถงึ ขดี สดุ ที่ปรมาณู นิยมของเดโมคลิตุส ต่อมายุคปรัชญาสมัยใหม่ ฮ็อบส์ (Hobbes) ได้นาเอาอะตอมมาพัฒนาเป็นสสาร นิยม ในปัจจุบันมาร์กซ์ได้ปรับปรุงปรัชญาของเฮเกลให้เป็นสสารนิยมแบบปฏิพัฒนาในที่สุดเอกนิยม แบบสสารก็ได้พฒั นามาเปน็ ธรรมชาตนิ ยิ มวิวัฒนาการปจั จุบนั มัชฌิมนิยม เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า ทฤษฎีสองแง่ ถือว่าความแท้จริงปฐมธาตุมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่ใช่ทั้งจิต และไม่ใช่ทั้งวัตถุ ความแท้จริงหน่วยเดยี วน้ีคือพระเจ้า แสดงตัวออกมาเป็น 2 ลักษณะคือ จติ กบั วตั ถุ เราสามารถรู้จักความแทจ้ รงิ ได้โดยใช้เหตุผลพสิ ูจน์แบบเรขาคณิต สปิโนซ่าเป็นนกั ปรัชญา สาคัญในแนวคิดแบบน้ี ในทัศนะของสปิโนซ่า จิตกับกายเป็นสองแง่แห่งความจริงแท้เดยี วกัน ซ่ึงซ่อน อยูเ่ บอ้ื งจติ กับวัตถุจึงเปน็ สารตั ถะเดียวกันท่ีมองได้หลายด้วยเสมือนเงินเหรียญๆ หนง่ึ มี 2 หนา้ นน่ั เอง สารตั ถะอันเดยี วน้ีเขาเรยี กวา่ พระเจา้ ทวินิยม (Dualism) ทวนิ ยิ มคอื ทฤษฎีทางปรชั ญาที่ถือว่าความแทจ้ ริงปฐมธาตุมี 2 อยา่ งคอื จิตกับสสาร แยกย่อย ออกเป็น 2 กลุ่ม คอื กลุม่ ท่ีถือว่าจิตเปน็ ผสู้ ร้างสสารเรียกว่า รังสรรคน์ ยิ ม และกลมุ่ ท่ีถือวา่ จิตกับสสาร มีควบคูก่ ันมาแต่ตน้ จติ ควบคมุ สสารไดโ้ ดยรู้กฎของสสารเรียกว่า ชวี สสารนิยม รังสรรค์นิยมเป็นทวินิยมทางอภิปรัชญาท่ีถือว่าความแท้จริงปฐมธาตุมี 2 อย่างได้แก่ จิตกับ สสาร จติ เปน็ ใหญก่ วา่ เพราะเป็นผู้สร้างสสารเรยี กว่า พระผู้สร้างและปล่อยใหส้ สารดารงอย่ดู ว้ ยตัวเอง แตพ่ ระผ้สู รา้ งกม็ ีอานาจควบคมุ และทาลายลา้ งสสารคือธรรมชาติ พชื สัตว์ มนษุ ยไ์ ด้ตามพระประสงค์ นักปรัชญาคนสาคัญได้แก่ เซนต์ ออกัสติน ได้กล่าวว่า พระผู้สร้างเป็นความแท้จริงสูงสุด ทรงเป็น นิรันดร เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตามหลักตรีเอกภาพ (The Trinity) พระเจ้าทรงเข้าใจในพระองค์ เอง (Father : The Thinker) พระเจ้าผู้ถูกเข้าใจ (Son : The Thought) และเมื่อทรงเข้าใจตัวเอง เปน็ อย่างดที ี่สดุ ก็ย่อมเกิดความปติ ิ (Holy spirit : Love) ส่วนจิตทปี่ นอย่กู บั สสารคอื จิตมนษุ ย์ (Soul) ความจริงระดับต่าสุดคือสสาร ซึ่งพระเจ้าสร้างขึ้นให้มีความแท้จริงของตนเอง และมีพลังวิวัฒนาการ อยใู่ นตวั ชีวสสารนิยม (จิตสสารนิยม) เป็นทวินิยมทางอภิปรัชญาที่ถือว่าความแท้จริงน้ันคือจิตและ สสารตา่ งก็เป็นความเป็นจริงที่ไม่ข้ึนต่อกัน มอี สิ ระต่อกนั นกั ปรชั ญาคนสาคัญ ได้แก่ ธาเลส ซึ่งเชื่อว่า จักรวาลมีกฎเกณฑ์ของตนเอง (ธาเลสบอกว่าสสารมีชีวิตในตัวเอง) โดยไม่ได้รับจากจิตหรือเทพใด ทั้งส้ิน เทพสามารถควบคุมหรือบันดาลให้เหตุการณ์ธรรมชาติเป็นไปได้ตามประสงค์ก็เพราะรู้กฎ

164 ธรรมชาติ ไม่ใช่มีอานาจเด็ดขาดเหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ หรือเป็นผู้กาหนดกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ดังที่ คนดึกดาบรรพ์เข้าใจกัน เพราะฉะน้ันท้ังเทพ จิตมนุษย์ และสสารต่างก็เป็นความเป็นจริงโดยอิสระ ของตนเอง พหุนิยม (Pluralism) พหุนิยม คือ ทฤษฎีทางปรัชญาท่ีถือว่าความแท้จริงมีอยู่หลายหน่วย ซึ่งอาจจะเป็น จิต หรือ สสาร หรือท้ังจิตและสสารก็ได้ นักปรัชญาพหุนิยมเช่ือว่าสรรพส่ิงท่ีมีจานวนมากมายหลายหลากใน เอกภพน้ี ไม่อาจจะทอนลงให้เหลือเพียงหนึ่งเดียวหรือสองได้เลย แต่อย่างน้อยที่สุดปฐมธาตุก็ต้องมี สามหน่วยขึน้ ไป เพราะเปน็ เอกภพทีม่ ีความสลบั ซบั ซอ้ นมาก นกั ปรชั ญาพหนุ ยิ ม ได้แก่ เอ็มพโี ดคลสี (Empedocles) เปน็ นักปรชั ญากรีกสมยั เริม่ ต้นถอื ว่าปฐมธาตุของสรรพสง่ิ ไม่ใช่ มีเพียง 1 หรือ 2 อย่างเท่านั้น แต่มี 4 อย่างคือ ธาตุ 4 ได้แก่ ดิน น้า ลม ไฟ สิ่งต่างๆ เกิดข้ึนเพราะ การรวมตัวกันของธาตุทั้ง 4 นี้ในอัตราส่วนต่างๆ กัน จึงเกิดส่ิงใหม่ขึ้นมากมายหลายหลาก การท่ีส่ิง ท้ังหลายเกิดข้ึนแล้วเปล่ียนแปลงไปได้ก็เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนของธาตุต่างๆ ในตัวมัน การสญู ส้นิ สภาพของสิ่งทัง้ หลายกเ็ พราะเกิดการแยกตวั ออกจากกันของปฐมธาตเุ หลา่ นั้น ลกั ษณะของ ปฐมธาตุแต่ละอย่างนั้นคงท่ีเสมอ ไม่เกิดใหม่ ไม่แตกดับ เป็นนิรันดร นักพหุนิยมอีกท่านหนึ่งคือ ไลบ์ นิซ เป็นนักปรัชญาพหุนิยมฝ่ายจิตเชื่อว่าความแท้จริงมีลักษณะเป็นจิต มีจานวนมากมาย เรียกว่า ปรมาณทู างจติ (Monad) ซ่งึ แตล่ ะหน่วยมคี วามพอใจตัวเองมีความเปน็ อิสระ บทสรปุ อภิปรัชญาเปน็ ปรัชาบริสทุ ธิ์สาขาแรกท่ีเกิดขน้ึ มาในโลกเกิดจากความประหลาดใจ และความ สงสยั ของมนษุ ยส์ มยั โบราณ ทีม่ ีตอ่ ปรากฏการณธ์ รรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม และจากความอยากรู้อยาก เหน็ ของมนุษยท์ าให้มนุษย์ต้องสืบหาสาหตขุ องความเป็นจริงเหล่านนั้ ซง่ึ คาตอบท่ีได้อาจถกู บ้างผิดบ้าง จนในท่ีสดุ ก็ได้คาตอบที่ถูกต้อง จากคาตอบทีถ่ ูกต้องน้ีคอื ความรู้ทางอภิปรัชญา ความรู้ทางอภปิ รัชญา แม้จะแยกย่อยเป็นจานวนมากแต่อยู่ในขอบเขตของสาขาใหญ่ ๆ 3 สาขาของอภิปรัชญา คือ สสาร นิยม จิตนิยม และธรรมชาตินิยม นอกจากอภิปรัชญา 3 สาขาใหญ่แล้ว ยังมีภววิทยาซึ่งเป็นสาขาที่ สาคญั ของอภิปรัชญา ซึ่งในศาสตร์ของภววิทยานี้ได้แบ่งออกเป็น 3 ทฤษฎี คอื เอกนยิ ม ทวินิยม และ พหุนิยม อภปิ รชั ญาถือวา่ เป็นหลักของโครงสร้างของวิชาปรัชญา ถ้าขาดอภิปรัชญาเสียล้ว ปรชั ญาก็มี ไมไ่ ด้ ดังน้ันในการนาเอาปรัชญาไปประยุกต์ใชจ้ าเป็นตอ้ งยดึ โครงสร้างอภิปรัชญาเป็นหลักสาคัญ

165 อา้ งองิ กีรติ บุญเจอื . (2522). สารานกุ รมปรชั ญา. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ . กีรติ บุญเจือ. (2528). แกน่ ปรชั ญากรีก. กรุงเทพ ฯ: ไทยวัฒนาพานิช. ชาติ บษุ ย์ชญานนท์. อภิปรัชญา. สบื คน้ จาก https://cms.pblthai.com/admin/files/atth/62302901110401/3311100031121_20 200510083442.pdf ชยั วัฒน์ อัตพัฒน์. (2539). ปรชั ญาตะวนั ตกสมยั ใหม่ 2 Modern Western Philosophy 2 PY332 (PY335). สบื ค้นจาก http://old-book.ru.ac.th/e- book/inside/html/dlbook.asp?code=PY332. กรงุ เทพฯ:มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง. (วนั ทสี่ ืบค้นข้อมูล 28 มกราคม 2564). ชุษณะ ปิ่นเงิน. (2558). แนวคดิ ความยตุ ธิ รรมของฌองปอลซารต์ ร. วารสารปณธิ าน. 11 (17), 8 – 24. สบื ค้นจาก http://www.human.cmu.ac.th/home/phil/th/wp- content/uploads/2017/06/y12-09-59-P17-Proof2.pdf. (วนั ทส่ี บื ค้นข้อมูล 28 มกราคม 2564). ทวีชัย ยินธรรม.์ (2558). แนวคิดอตั วิสยั จองซอเรน อับบี เคยี ร์เคกอรด์ . วารสารปณธิ าน. 11 (17), 25 – 47. สืบค้นจาก http://www.human.cmu.ac.th/home/phil/th/wp- content/uploads/2017/06/y12-09-59-P17-Proof2.pdf. (วนั ทสี่ บื ค้นข้อมลู 28 มกราคม 2564). ธรี ยทุ ธ สนุ ทรา, ผศ.ปรชั าญาเบื้องตน้ . กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,2539 ปานทิพย์ ศภุ นคร และคณาจารยภ์ าควิชาปรชั ญา. (2542). ปรชั ญาเบอื้ งตน้ Introduction to Philosophy PY103. สบื คน้ จาก http://old-book.ru.ac.th/e- book/inside/html/dlbook.asp?code=PY103. กรงุ เทพฯ:มหาวิทยาลัยรามคาแหง. (วันที่สบื คน้ ข้อมลู 28 มกราคม 2564). บา้ นจอมยุทธ. (2543). อภปิ รชั ญาวา่ ดว้ ยเอกภพ หรอื ธรรมชาติ. สืบคน้ จาก https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-3/history_of_philosophy/18.html. บา้ นจอมยทุ ธ. (2543) บอ่ เกดิ แนวคดิ . สบื คน้ จาก https://www.baanjomyut.com/library_2/extension/history_of_philosophy/09.html บ้านจอมยทุ ธ. (2543). อภปิ รชั ญาวา่ จติ หรอื วญิ ญาณ. สืบค้นจาก https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-3/history_of_philosophy/18.html. บ้านจอมยทุ ธ. (2543). อภปิ รชั ญาวา่ ดว้ ยพระเจา้ หรอื สง่ิ สมั บรู ณ.์ สืบค้นจาก https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-3/history_of_philosophy/18.html.

166 บรรจบ บรรณรุจ.ิ (2533). จติ มโน วญิ ญาณ. กรงุ เทพฯ: ไรเ่ รอื นสมาธ.ิ ปานทพิ ย์ ศภุ นคร และคณะ. (2543). ปรชั ญาเบื้องตน้ . กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์มหาวิทยาลัย รามคาแหง ปรชี า ช้างขวัญยนื และคณะ. (2537). การใชเหตผุ ล : ตรรกวิทยาเชิงปฏบิ ตั ิ. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลยั พระมหาปพน กตสาโร (แสงย้อย). (2561). การวเิ คราะหอ์ ภปิ รชั ญาทป่ี รากฏในสารตั ถะแหง่ คมั ภรี ม์ ิ ลนิ ทปญั หา. ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎบี ณั ฑติ สาขาวิชาปรัชญา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลง กรณราชวทิ ยาลัย. พระมหาระวี ตกิ ฺขปญฺโญ. (2544). การศกึ ษาเปรยี บเทยี บทฤษฎคี วามรู้ของพุทธปรชั ญาเถรวาทกบั เบอรท์ รนั ต์ รสั เซลล์. วิทยานพิ นธ์การศึกษาปรญิ ญาพุทธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชา ปรัชญา บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . สบื คน้ จาก http://oldweb.mcu.ac.th/userfiles/file/สารนิพนธ์2538-2552%20มจร/254410.pdf. (วนั ท่ีสบื คน้ ข้อมลู 28 มกราคม 2564). พมิ พ์พรรณ เทพสเุ มธานนท์, นุชนาถ สุนทรพันธุ์, วินิตา สทุ ธสิ มบรู ณ์. (2541). ปรชั ญาการศึกษา Philosophy of Education EF 703 (EF 603). สบื ค้นจาก http://old-book.ru.ac.th/e- book/inside/html/dlbook.asp?code=EF703. กรงุ เทพฯ:มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง. (วันทส่ี ืบค้นข้อมูล 28 มกราคม 2564). ภวิศา พงษเ์ ลก็ . (2560). เอกสารประกอบการสอน หลกั การและปรชั ญาการศึกษา Principle and Education Philosophy. สบื คน้ จาก http://portal5.udru.ac.th/ebook/pdf/upload/18N46J69534222KTL27N.pdf. คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอดุ รธานี. (วันทสี่ ืบค้นข้อมลู 28 มกราคม 2564). รวิช ตาแกว้ . แนวคดิ ของพอพเพอร์. สืบคน้ จาก https://philosophy- suansunandha.com/2018/05/31/karl-popper/. (วนั ที่สบื ค้นข้อมูล 28 มกราคม 2564). ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2548). พจนานกุ รมศัพทป์ รชั ญาองั กฤษ – ไทย. กรงุ เทพฯ: ศักดโิ สภา การพมิ พ.์ ลกั ษณวตั ปาละรตั น. (2561). ญาณวทิ ยา (Epistemology). กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง. วทิ ย์ วศิ ทเวทย.์ (2532). จรยิ ศาสตรเ์ บื้องตน้ : มนษุ ย์กบั ปญั หาจรยิ ธรรม. กรงุ เทพฯ : อักษรเจริญทศั น์ วิธาน สชุ วี คุปต. (2561). อภปิ รชั ญา (Metaphysics). กรุงเทพ ฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.

167 วธิ าน สุชวี คุปต์ และสนธ์ิ บางยีข่ นั . (2543). ปรชั ญาไทย Thai Philosophy PY424. สบื คน้ จาก http://old-book.ru.ac.th/e-book/inside/html/dlbook.asp?code=PY424. กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลยั รามคาแหง. (วันทีส่ ืบค้นข้อมูล 28 มกราคม 2564). วิโรจน์ นาคชาตรี. (2547). ปรชั ญาจติ Philosophy of Mind PY236. สบื ค้นจาก http://old- book.ru.ac.th/e-book/inside/html/dlbook.asp?code=PY236(47). กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง. (วนั ทสี่ บื ค้นข้อมูล 28 มกราคม 2564). วฒุ ิชัย อ่องนาวา. (2551). ปรชั ญาเบอื้ งต้นบทท่ี 4. สืบคน้ จาก https://franciswut01-1-4.blogspot.com สมเดจ็ พระญาณสังวร สมเดจ็ พระสังฆราช./ (2542). พระพทุ ธศาสนากบั ปัญญาทางอภปิ รชั ญา. สบื คน้ จาก https://dhrammada.wordpress.com/philosophyreligion สมใจยง่ิ คงประเสริฐ. (2538). การศกึ ษาเชิงวจิ ารณค์ วามคดิ ของ เอ.เจ.แอร์ เกย่ี วกบั อภปิ รชั ญา. วิทยานพิ นธก์ ารศึกษาปริญญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาปรชั ญา บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่. สืบค้นจาก https://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2538/phil0538sk_tpg.pdf. (วนั ทีส่ ืบค้นข้อมูล 28 มกราคม 2564). สารานกุ รมเสรี วกิ ิพีเดยี . เบอรท์ รนั ด์ รสั เซลล์. สบื ค้นจาก https://th.wikipedia.org/wiki/เบอรท์ รนั ด์_รสั เซลล์.(วนั ที่สบื คน้ ขอ้ มูล 28 มกราคม 2564). สารานกุ รมเสรี วิกพิ ีเดยี . อุปมานทิ ศั นเ์ รอ่ื งถา้ . สบื ค้นจาก https://th.wikipedia.org/wiki/อุปมา นิทัศน์เรื่องถา้ . (วนั ท่สี ืบคน้ ข้อมลู 28 มกราคม 2564). สารานกุ รมเสรี วิกพิ ีเดยี . เอท็ มุนท์ ฮสุ เซริ ล์ . สืบคน้ จาก https://th.wikipedia.org/wiki/เอ็ทมนุ ท_์ ฮุสเซริ ์ล. (วันท่ีสบื คน้ ขอ้ มลู 28 มกราคม 2564). สารานกุ รมเสรี วิกพิ ีเดีย. Jean Paul Sartre. สบื ค้นจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Jean- Paul_Sartre. (วันทสี่ บื ค้นขอ้ มูล 28 มกราคม 2564). สารานกุ รมเสรี วิกพิ ีเดีย. Martin Heidegger. สืบค้นจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Martin_Heidegger. (วนั ทสี่ ืบคน้ ข้อมลู 28 มกราคม 2564). สุชาติ บษุ ยช์ ญานนท.์ อภปิ รัชญา. สืบค้นจาก https://cms.pblthai.com/admin/files/atth/62302901110401/3311100031121_20 200510083442.pdf อดิศักด์ิ ทองบญุ . (2526). คมู่ อื อภปิ รชั ญา. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์ประยรู วงศ์ จากดั . อดิศักดิ์ ทองบญุ . (2526). คู่มอื อภปิ รชั ญา.ราชบัณฑติ ยสถาน

168 กลุ่ม 4 ญาณวทิ ยาและคณุ วทิ ยา

169 ปรชั ญาพน้ื ฐาน ปรัชญาพ้ืนฐาน ปรัชญาพ้ืนฐาน หรือปรัชญาท่ัวไป เมื่อพิจารณาในส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับ การศึกษามีลทั ธิ ได้แก่ 1. ลทั ธจิ ติ นยิ ม (Idialism) เป็นลัทธิปรชั ญาทเ่ี กา่ แกท่ ี่สดุ ในบรรดาปรัชญาต่างๆมกี าเนดิ พร้อมกับการเร่มิ ต้นของปรัชญา ปรัชญาลัทธนิ ี้ถอื เร่ืองจิตเปน็ สง่ิ สาคัญ มีความเชื่อวา่ สิง่ ที่เปน็ จริงสูงสุดน้ันไม่ใช่วตั ถหุ รือตัวตน แต่เป็น เรอ่ื งของความคดิ ซึง่ อย่ใู นจติ (Mine) ส่ิงทีเ่ ราเห็นหรอื จับต้องได้นัน้ ยังไม่ความจริงที่แท้ความจริงที่แท้ จะมีอยู่ในโลกของจิต (The world of mind) เท่าน้ัน ผู้ท่ีได้ช่ือว่าเป็นบิดาของแนวความคิดลัทธิ ปรัชญานี้ คือ พลาโต (Plato) นักปรัชญาเมธีชาวกรีก ซ่ึงมีความเชื่อว่าการศึกษา คือการพัฒนาจิตใจ มากกว่าอย่างอื่น ถ้าพิจารณาลัทธิปรัชญาลัทธิจิตนิยมในแง่สาขาของปรัชญา แต่ละสาขาจะได้ดังนี้ 1.1 ญาณวิทยา ถือว่าความรู้เกิดจากความคิดหาเหตุผล และการวิเคราะห์แล้วสร้างเป็น ความคิดในจิตใจ ส่วนความรู้ที่ได้จากการสัมผัสด้วยประสาททั้ง 5 ไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง 1.2 คุณวิทยา ถือว่าคุณค่าความดีความงามมีลักษณะตายตัวคงทนถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ใน ด้านจริยศาสตร์ ศีลธรรม จริยธรรมจะไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนสุนทรียศาสตร์น้ัน การถ่ายทอดความงาม เกิดจากความคิดสร้างสรรค์และอุดมการณ์อันสูงส่งสรุปว่า ปรัชญาลัทธิจิตนิยมเป็นการพัฒนาด้าน จติ ใจ ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านคุณธรรม จริยธรรม ศิลปะต่างๆ การจัดการศึกษาตามแนวจิต นิยมจึงเน้น ในด้านอักษรศาสตร์และศิลปะศาสตร์ เป็นผู้มีความรอบรู้โดยเฉพาะตารา การเรียน การสอนมกั จะใช้ หอ้ งสมดุ เป็นแหลง่ ค้นควา้ และถา่ ยทอดเนอ้ื หาวชิ าสืบตอ่ กนั ไป 2. ลัทธวิ ัถุนยิ ม หรอื สจั นิยม (Realism) เปน็ ลัทธปิ รชั ญาท่ีมีความเช่ือในโลกแห่งวัตถุ (The world of things) มีความเชือ่ ในแสวงหา ความจริงโดยจิตตามแนวคิดของจิตนิยมอย่างเดียวไม่พอ ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงตามธรรมชาติด้วย ความจริงที่แท้คือ วัตถุที่ปรากฏต่อสายตา สามารถสัมผัสได้ ส่ิงเหล่านี้เป็นพ้ืนฐานของการศึกษา ทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ บดิ าของลทั ธนิ ค้ี ือ อรสิ โตเติล (Aristotle) นักปราชญช์ าวกรกี ลัทธิปรัชญาสาขา นี้เป็นต้นกาเนิดของการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ ถ้าพิจารณาปรัชญาลัทธิวัตถุนิยมในแง่สาขาของ ปรชั ญา จะได้ดงั น้ี

170 2.1 ญาณวิทยา เช่ือว่าธรรมชาติเป็นบ่อเกิดของความรู้ท้ังมวลความรู้ได้มาจากการได้เห็นได้ สัมผัส ด้วยประสาทสัมผัส ถ้าสังเกตไม่ได้มองไม่เห็น ก็ไม่เห็นว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง 2.2 คณุ วิทยา เช่อื ว่าธรรมชาติสรา้ งทุกสิง่ ทุกอย่างมาดีแล้ว ในด้านจรยิ ศาสตรก์ ็ควรประพฤติ ปฏบิ ตั ิ ตามกฎธรรมชาติ กฎธรรมชาติก็คือศีลธรรมจรรยา ขนบธรรมเนียมประเพณี ซ่ึงใช้ควบคุม พฤติกรรมมนุษย์ ส่วนสุนทรีศาสตร์เป็นเร่ืองของความงดงามตามธรรมชาติสะท้อนความงามตาม ธรรมชาติออกมา 3. ลัทธปิ ระสบการณ์นยิ ม (Experimentalism) เป็นปรัชญาท่ีมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า ปฏิบัตินิยม (Pragmatism) ปรัชญากลุ่มนี้มีความสนใจใน โลกแห่งประสบการณ์ ฝ่ายวัตถุนยิ มจะเชอ่ื ในความเป็นจริงเฉพาะสงิ่ ทีม่ นุษย์พบเห็นได้เป็นธรรมชาติท่ี ปราศจากการปรุงแต่งเป็นธรรมชาติบริสุทธ์ิ ส่วนประสบการณ์นิยมมิได้หมายถึงส่ิงที่เราพบเห็นใน ชีวิตประจาวันเท่านั้น แต่หมายรวมถึงส่ิงท่ีมนุษย์กระทา คิด และรู้สึก รวมถึงการคิดอย่างใคร่ครวญ และการลงมือกระทา ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผู้กระทา กระบวนการทั้งหมดท่ีเกิดข้ึนครบถ้วน แล้ว จึงเรียกว่าเป็น ประสบการณ์ ความเป็นจริงหรือประสบการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตาม เง่ือนไขแห่งประสบการณ์ บุคคลท่ีเป็นผู้นาของความคิดน้ี คือ วิลเลียม เจมส์(William, James) และ จอห์น ดิวอ้ิ (John Dewey) ชาวอเมริกัน วิลเลียม เจมส์ มีความเห็นว่าประสบการณ์และการปฏิบัติ เป็นส่ิงสาคัญส่วนจอห์น ดิวอ้ิ เชื่อว่ามนุษย์จะได้รับความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆจากประสบการณ์เท่านั้น ถ้ า พิ จ า ร ณ า ป รั ช ญ า ลั ท ธิ ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ นิ ย ม ใ น แ ง่ ข อ ง ส า ข า ข อ ง ป รั ช ญ า จ ะ ไ ด้ ดั ง นี้ 3.1 ญาณวิทยา เช่ือว่าความร้จู ะเกดิ ข้ึนได้ก็ด้วยการลงมอื ปฏิบตั ิ กระบวนการแสวงหาความรู้ กด็ ้วย วิ ธี ก า ร ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ( Scientific method) 3.2 คุณวิทยา เช่ือว่าความนิยมจะเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางด้านศีลธรรม จรรยาเป็น ส่ิงที่มนุษย์สร้างและกาหนดขึ้นมาเอง และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนสุนทรียศาสตร์ เป็นเรื่องของ ความตอ้ งการและรสนิยมที่คนส่วนใหญย่ อมรบั กนั 4. ลทั ธิโทมัสนยิ มใหม่ (Neo-Thomism) ปรัชญาโทมัสนิยมใหม่ มแี นวคดิ เกี่ยวกบั โลกและจักรวาล ว่าเปน็ “โลกแห่งเหตุผล และการมี อยขู่ องพระผู้เปน็ เจา้ ” (The World of Reason, Being/God)

171 4.1 ญาณวิทยา มีแนวคิดว่าความรู้ที่แท้จริง คือ “ความรู้ที่เป็นไปตามหลักเหตุผล และเป็น การหยงั่ รู้” (Truth as reason and intuition) 4.2 คุณวิทยา แนวคิดเกี่ยวกับความดี หรือจริยธรรมของนักปรัชญากลุ่มโทมัสนิยมใหม่ คือ “จริยธรรมเป็นการกระทาอย่างมีเหตุผล” แนวคิดเก่ียวกับความงาม หรือสุนทรียภาพ คือ “สนุ ทรยี ะ เป็นสง่ิ ทีก่ ่อให้เกดิ การหย่งั ร้เู ชิงสรา้ งสรรค์ โดยอาศยั พทุ ธปิ ัญญา” นักปรชั ญาคนสาคญั คอื Saint Thomas Aquinas แนวคิดของนกั ปรชั ญากลุ่มโทมัสนิยมใหม่ ทน่ี ามาใชใ้ นการจดั การศึกษา 1. แนวคิดเก่ียวกับโรงเรียน คือ โรงเรียน เป็นสถานท่ีที่จัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ถึงการมีอยู่ของพระผู้ เปน็ เจ้า (Being) เป็นแหล่งทีใ่ ห้การฝึกฝนสติปญั ญาของผู้เรียนให้เฉยี บแหลมอยู่เสมอ บรรยากาศของ โรงเรยี นจงึ ตอ้ งมีลักษณะทท่ี าให้ผูเ้ รยี นตนื่ ตวั รกั สัจจะ และฝกึ ฝนให้มสี ัจจะเพือ่ ตวั ของตัวเอง 2. แนวคิดเกี่ยวกบั หลักสตู ร แยกเป็น 2 กลุ่ม คอื 1) โทมัสนิยมฝ่ายสงฆ์ (Ecclesiastical Group) เน้นวิชาท่ีเกี่ยวข้องกับคริสตศาสนา และ บทสวดมนต์ เนื้อหาจากพระคัมภีร์ (Holy Scriptures) บทปุจฉา วิสัชชนา (Catechism) และบท อธิบายคาสอนของศาสนาครสิ ต์ รวมทง้ั หา้ มหนังสือทางโลก บางประเภท 2) โทมัสนิยมฝ่ายฆราวาส (Lay Group) ไม่จากัดเสรีภาพทางวิชาการ แต่หลักสูตรก็ยัง กาหนดเนื้อหาวชิ าที่บังคับให้ต้องเรียนไวด้ ้วย เพื่อสร้างความมีระเบียบแบบแผน และความมีระเบยี บ วินัย เพื่อให้เข้าถึงสัจจะสงู สดุ (The Absolute Truths) วิชาท่ีเน้น ได้แก่ คณิตศาสตร์แขนงตา่ งๆ ซ่ึง นักปรัชญาการศึกษากลุ่มนี้ถือว่าเป็นวิชาที่ช่วยให้มนุษย์เข้าถึงความมีเหตุผลอย่างบริสุทธ์ิ (pure reason) และสามารถคิดอย่างมีเหตุผล (rationality) นอกจากนี้ ยังให้ความสาคัญกับวิชาภาษา โดย ให้ภาษาละตินและกรีก มีความสาคัญสูงสุด ส่วนภาษาอังกฤษซ่ึงเป็นภาษาปัจจุบัน มีความสาคัญ อันดับรอง เนื่องจากภาษาละตินและกรีกมีหลักเกณฑ์และไวยากรณ์ที่ดีและแน่ชัด วิชาท่ีสาคัญรอง จากภาษา คือ วิชาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Science) รองลงมา คือ สังคมศึกษา ส่วนวิชาท่ี สาคญั น้อยทส่ี ุด คอื วิชาตา่ งๆ ในสาขามานุษยวทิ ยา

172 3. แนวคิดเก่ียวกับการเรยี นการสอน ไดแ้ ก่ 1) เน้นการเสริมสร้างจิตใจและพุทธิปัญญา 2) สอนโดยการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักคิด และใช้ความคิดอย่างมีเหตุผล เพ่ือให้รู้จักใช้เสรีภาพ อย่างฉลาด 4. แนวคิดเกี่ยวกบั การศึกษากับการพัฒนาคณุ ธรรม 1) เนน้ การใชเ้ หตุผล 2) เน้นหน้าที่ทางศีลธรรม 3 ประการ คือ หน้าที่ต่อตนเอง หน้าท่ีต่อเพื่อนมนุษย์ และ หนา้ ท่ตี อ่ พระเจา้ 3) จัดลาดบั คณุ คา่ แห่งความดีเป็น 3 ข้ัน 1.1 ข้ันสงู สดุ คอื เป็นอนั หนงึ่ อนั เดยี วกบั พระเจ้า (union with God) 2.1 ขนั้ กลาง คอื ชวี ติ ทม่ี ีเหตุผล (The life of reason) 3.1 ขั้นธรรมดา คือ ความสัมพนั ธอ์ ันดกี บั เพื่อนมนุษย์ เพอ่ื ชวี ิตที่เป็นสขุ ตาม 5. หลกั ของอารสิ โตเติลทวี่ า่ “ความสขุ เปน็ คณุ คา่ สาคญั ย่งิ สาหรับชวี ติ มนุษย์” 6. ความงามที่มีคา่ สูงสุด คือ ความงามอย่างสรา้ งสรรค์ หรือ ความงามดว้ ยปัญญา ซึง่ ประกอบด้วย คุณสมบตั ิ 3 ประการ คอื 1) ความสมบูรณแ์ บบสูงสดุ (Integrity) 2) ความกลมกลืนแหง่ สดั ส่วน (Proportion of consonance) 3) ความกระจ่าง สว่างไสว (Radiance) 5. ลทั ธิอัตถภิ าวะนยิ ม (Existentialism) เป็นลัทธิปรัชญาที่เกิดหลังสุด มีแนวความคิดที่น่าสนใจและท้าทายต่อการแสวงหาของนัก ปรัชญาในปัจจุบัน (กีรติ บุญเจือ, 2522) Existentialism มีความหมายตามศัพท์ คือ Exist แปลว่า การมีอยู่ เช่น ปัจจุบัน มีมนุษย์อยู่ก็เรียกว่า การมีมนุษย์อยู่หรือ Exist ส่วนไดโนเสาร์ไม่มีแล้ว ก็ เรียกว่ามันไม่ Exist คาวา่ Existentialism จึงหมายความว่า มีความเช่ือในสิ่งท่มี อี ยจู่ ริงๆ เทา่ นัน้ (The world of existing)หลักสาคัญปรัชญาลัทธิน้ีมีอยู่ว่า การมีอยู่ของมนุษย์มีมาก่อนลักษณะของมนุษย์ (Existence precedes essence) ซึ่งความเชื่อดังกล่าวขัดกับหลักศาสนาคริสต์ ซ่ึงมีแนวความคิดว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และสรรพส่ิงในโลก ก่อนท่ีจะลงมือสร้างมนุษย์พระเจ้ามีความคิดอยู่แล้วว่า

173 มนุษย์ควรจะเป็นอย่างไร ควรจะมลี กั ษณะอย่างไร ควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร ทง้ั หมดเป็นเน้ือหา หรือสาระ ลักษณะของมนุษย์มีมาก่อนการเกิดของมนุษย์ มนุษย์จะต้องอยู่ในภาวะจายอมท่ีจะต้อง ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า หมดเสรีภาพที่จะเลือกกระทาตามความต้องการของตนเอง ปรัชญาลัทธิอัตถิภาวะนิยมไม่ยอมรับแนวคิดดังกล่าว มีความเช่ือเบื้องต้นว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับ ความว่างเปล่า ไม่มีลักษณะใด ๆ ติดตัวมา ทุกคนมีหน้าท่ีเลือกลักษณะหรือสาระต่างๆให้กับตัวเอง การมีอยู่ของมนุษย์ (เกดิ ) จงึ มมี าก่อนลักษณะของมนุษย์หลกั สาคญั ของปรัชญานีจ้ ะใหค้ วามสาคัญแก่ มนุษยม์ ากทีส่ ดุ มนุษย์มีเสรภี าพในการกระทาส่งิ ต่างๆได้ตามความพอใจและจะต้องรับผดิ ชอบในสิ่งท่ี เ ลื อ ก ถ้ า พิ จ า ร ณ า ลั ท ธิ อั ต ถิ ภ า ว นิ ย ม ใ น แ ง่ ส า ข า ข อ ง ป รั ช ญ า จ ะ ไ ด้ ดั ง น้ี 5.1 ญาณวิทยา การแสวงหาความรู้ข้ึนอยู่กับแต่ละบุคคลที่จะเลือกสรรเพ่ือให้สามารถ ดารงชวี ติ อยู่ ได้ 5.2 คุณวิทยา ทุกคนมีเสรีภาพท่ีจะเลือกค่านิยมที่ตนเองพอใจด้วยความสมัครใจส่วนความ งามนนั้ บุคคลจะเป็นผู้เลือกและกาหนดเอง โดยไมจ่ าเปน็ จะต้องให้ผูอ้ ื่นเขา้ ใจ

174 ญาณวทิ ยา ความหมายของญาณวทิ ยา ญาณวิทยา เป็นคาแปลของคาว่า Epistemology ซึ่งเป็นศาสตร์ท่ีว่าด้วยรูปแบบของความรู้ พัฒนาการ และขอบเขตของความรู้ ญาณวิทยาตามศัพท์หมายความว่า ศาสตร์แห่งความรู้ (Science of knowledge) เป็นคาทป่ี ระกอบขึน้ ด้วย คา 2 คา คอื Episteme ซ่ึงหมายความวา่ ความร้กู ับคาวา่ Logos ซึ่งมีความหมายว่าศาสตร์ ญาณวิทยามีลักษณะเหมือนกับจิตวิทยา (ว่าด้วยการรบั รู้) ประการ หน่ึงคือ เป็นศาสตร์ที่ไม่พูดถึงหน้าที่ของความรู้ ฉะน้ันจึงทาหน้าที่ไม่เหมือนกับตรรกศาสตร์ (ว่าด้วย ความจรงิ ของความร)ู้ (บา้ นจอมยุทธ, 2563) ญาณวิทยา (Epistemology) หรือ ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) เป็นการศึกษา เก่ียวกับความรู้ของมนุษย์ หรือวิธีการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ โดยปกติเราถือว่าความรู้เป็นสิ่งท่ีมี อยู่จริง และเราสามารถแสวงหาความรู้ได้ วิชาต่าง ๆ มีอยู่ก็เพ่ือให้เราแสวงหาความรู้ แต่เราก็เห็นได้ เช่นกันว่า ความรู้เปลี่ยนแปลงอยู่ บ่อย ๆ บางครั้งความรู้ก็เป็นเพียงทฤษฎีหรือความเห็นหนึ่ง ยังมี ความเห็นอ่ืน ๆ ท่ีคัดค้านทฤษฎีหรือความเห็นน้ัน ๆ แม้แต่ประสาทสัมผัสที่ว่าแน่นอนนั้นบางคร้ังก็ รายงานสิ่งท่ีไม่เป็นจริง เช่นการเห็นภาพลวงตาต่าง ๆ เป็นต้น ญาณวิทยาตั้งคาถามเกี่ยวกับเร่ือง เหล่าน้ี เช่น ถามว่าความรู้ทางประสาทสัมผัสเชื่อถือได้หรือไม่ เหตุผลเข้าถึงความจริงได้หรือไม่ ความรู้มีอยู่หรือไม่ หากมีอยู่มนุษย์สามารถแสวงหาความรู้ได้หรือไม่ ความรู้แน่นอนตายตัวหรือ เปลยี่ นแปลง นกั ปรัชญาท่มี ีทัศนะตา่ งกันในเร่ืองเหลา่ น้มี มี ากมาย (วรเทพ วอ่ งสรรพการม, 2546) ญาณวิทยา (epistemology) เป็นสาขาใหญ่อีกสาขาหนึ่งของปรัชญา ซ่ึงเกี่ยวกับการสืบ ถามถึงกาเนิดของความรู้ โครงสร้างของความรู้ วิธีการของความรู้และความเที่ยงตรงถูกต้องของ ความรู้ ดังนั้น ญาณวิทยาจึงเป็นเร่ืองทฤษฎีของความรู้ (theory of knowledge) ซึ่งมุ่งในเรื่อง ปัญหาของความรู้ว่า “มนุษย์รู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป้นความแท้จริง ” “มนุษย์มีความรู้ได้ อยา่ งไร” “เราแนใ่ จได้อย่างไรว่าความรู้ต่าง ๆ เปน็ จรงิ ไม่ผดิ พลาด” เหลา่ นี้เปน็ ต้น (เมธี ปิลนั ธนา นนท์, 2523) คาว่า ญาณวทิ ยา เป็นภาษาสนั สกฤต แยกออกได้เปน็ 2 คา คอื ญาณ + วิทยา ญาณ แปล ความหมายถึง ความรู้ ส่วนคาว่า วิทยา หมายถึง วิชา หรือความรู้ นามารวมกันเป็น คาว่า ญาณ

175 วิทยา แปลความหมายรวมกันได้หมายความว่า เป็นวิชาว่าด้วยความรู้ หรือ ทฤษฎีท่ีว่าด้วยความรู้ คาว่าญาณวิทยา เมื่อใช้กับภาษาอังกฤษ ใช้ว่า Epistemology เมื่อนาคานี้มาแยกพิจารณา ความหมายสามารถแยกอออกได้เป็น 2 คา คาแรก espisteme คานี้มีความหมายเท่ากับ คาว่า knowledge ความรู้ และ Logos เป็นคาท่ีสอง ตรงกับคาว่า Sciene หรือ theory หมายถึง ศาสตร์ หรือทฤษฎี ความหมายของ ญาณวิทยาจึงเป็นวิชาว่าด้วยความรู้หรือว่าด้วยความรู้ จึงมีความ จาเปน็ ต้องศึกษาถึงบ่อเกิด ของธรรมชาติ ขอบเขตและความสมเหตุสมผลของความรู้ตามความหมาย ที่ถอดความออกมาได้ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น รวมตลอดจนญาณวิทยายังศึกษาถึงความสัมพันธ์กับ วทิ ยาศาสตรแ์ ละสามัญสานึก ความรสู้ ามัญเป็นความรู้ไมเ่ ปน็ ระบบไม่มวี ธิ ีการของตนเอง สว่ นความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ เป็นความรู้ที่มีระบบและมีวิธกี ารเป็นของตนเอง ตามความหมายของคาแรก กับคา หลังข้างต้น(ญาณ+วิทยา) เม่ือได้แยกคาแล้วทาให้เราทราบว่าวิทยาศาสตร์นาความรู้สามัญมา จัดระบบใหม่ให้มีเหตุผล ส่วนญาณวิทยานาเอาความรู้สามัญและความรู้ทางวิทยาศาสตรไ์ ปจัดระบบ ใหม่ ดว้ ยการคดิ หาเหตุผลอีกต่อหนึง่ (นายพชร พรรธนประเทศ, 2563) สรุปได้ว่าญาณวิทยา คือ ทฤษฎีว่าด้วยความรู้ ซึ่งนามาอธิบายความจริง เป็นกฎเกณฑ์ที่มา จากเหตุผล เปน็ วธิ กี ารท่ีทาใหเ้ กิดความรจู้ ากความจรงิ รสู้ าเหตุทีท่ าให้เกิดเรื่องน้ันๆ โดยการใชท้ ฤษฎี วิเคราะหป์ ัญหาเปน็ ความพยายามตอบคาถามและหาความหมายเก่ียวกบั ความรู้ในดา้ นต่างๆ ขอบเขตของญาณวิทยา ญาณวิทยา (Epistemology) หรือ ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) เป็นการศึกษา เกี่ยวกับความรู้ของมนุษย์ หรือวิธีการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ โดยปกติเราถือว่าความรู้เป็นสิ่งท่ีมี อยู่จริง และเราสามารถแสวงหาความรู้ได้ วิชาต่าง ๆ มีอยู่ก็เพื่อให้เราแสวงหาความรู้ แต่เราก็เห็นได้ เช่นกันว่า ความรู้เปล่ียนแปลงอยู่ บ่อย ๆ บางครั้งความรู้ก็เป็นเพียงทฤษฎีหรือความเห็นหน่ึง ยังมี ความเห็นอ่ืน ๆ ที่คัดค้านทฤษฎีหรือความเห็นน้ัน ๆ แม้แต่ประสาทสัมผัสท่ีว่าแน่นอนน้ันบางครั้งก็ รายงานส่ิงท่ีไม่เป็นจริง เช่น การเห็นภาพลวงตาต่าง ๆ เป็นต้น ญาณวิทยาต้ังคาถามเก่ียวกับเรื่อง เหล่าน้ี เช่น ถามว่าความรู้ทางประสาทสัมผัสเช่ือถือได้หรือไม่ เหตุผลเข้าถึงความจริงได้หรือไม่ ความรู้มีอยู่หรือไม่ หากมีอยู่มนุษย์สามารถแสวงหาความรู้ได้หรือไม่ ความรู้แน่นอนตายตัวหรือ เปล่ยี นแปลง นักปรชั ญาทีม่ ที ศั นะต่างกนั ในเรอ่ื งเหล่านี้มมี ากมาย

176 ญาณวิทยาสัมพันธ์กับอภิปรัชญาในประเด็นที่ว่า เรารู้ความจริงนั้นได้อย่างไร หรือเราใช้อะไรเป็น มาตรฐานการตดั สินความรู้ของเราว่าตรงกบั ความเป็นจริง รปู แบบของความรู้ kneller ได้กาหนดประเภทของความรู้ไว้ 5 ประเภทด้วยกัน คือ ความรู้แบบวิวรณ์ (revealed knowledge) ความรู้ที่ได้มาโดยอาศัยเหตุผล (rational knowledge) ความรู้เชิง ประจกั ษ์ (empirical knowledge) และความรู้ทีไ่ ด้มาจากผู้รู้ (authoritative knowledge) 1. ความรูแ้ บบววิ รณ์ (revealed knowledge) เป็นความรู้ท่ีเปิดเผยจากความรู้ท่ีได้จากพระผู้เปน็ เจ้า (God) ท่ีได้ให้ไว้กับมนุษย์ สาหรับชาวคริสเตียนจะถือดว่าความรู้เหล่านี้มีอยู่ในพระคัมภีร์อัน ศักด์ิสิทธ์ิ (holy bible) ถ้าเป็นชาวมุสลมิ ความรู้เหล่านี้ก็จะปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์อัล-กุรอานหรอื โกหร่าน (Koran) ถ้าเป็นชาวฮินดูความรู้ก็จะปรากฎอยู่ในภควันทคีตา (Bhagavad Gita) และ อุปนิษัท (Upanishads) โดยที่ความรู้เหล่าน้ีเป็นพระวาจาของพระผู้เป็นเจ้า ดังน้ัน ศาสนิกชนจึง ถือว่าเป็นความรู้ท่ีเป็นจริงตลอดนิรันดร เพราะถ้าไม่เป็นเช่นน้ันแล้ว พระผู้เป็นเจ้าก็จะเป็นผู้ไม่รู้ เรื่องราว (ignorant) หรือมิฉะน้ันก็มีเจตนาหลอกลวง (deceitful) โดยท่ีสัจจะ (truth) ต่าง ๆ ที่ บันทึกไว้ในคัมภีร์ต่าง ๆ เหล่าน้ีเป็นเร่ืองของความเหนือธรรมชาติ (supernatural) ดังนั้น จึงมี ปัญหาในการเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ทาให้ศาสนาต้องใช้เวลาในการถกเถียงเกี่ยวกับคา อ้าง และความหมายของคาในคัมภีร์ต่าง ๆ มาก ซึ่งล้วนเป็นข้อถกเถียงตามแนวของเทวศาสตร์ (theology) จึงทาให้ความรู้เหล่าน้ีไม่ขยายวงกว้างออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกแห่ง วิทยาศาสตร์ 2. ความรู้ท่ีได้มาโดยการสานึกเอง (intuitive knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากการที่บุคคลเกิด ความสานึก (intuitive หรือ insight) ได้เอง ซ่ึงความสานึกได้เองน้ีจะเกิดข้ึนภายในจิตสานึก (consciousness) ของความคิด (idea) หรือการสรุปจากงานท่ีไม่เก่ียวกับจิตสานึก เช่นการขบคิด ด้วยพลงั จิต เพ่ือคน้ หาทางแก้ปัญหา เช่น การตรสั รู้ เปน็ ตน้ ซง่ึ ถอื วา่ เป็นพรสวรรค์หรือไดร้ ับมอบ มาจากพระผูเ้ ปน็ เจ้า (God) ความรู้ประเภทนี้ คือ ความรู้ท่ีได้รับการเสนอแล้ว และได้รับการยอมรับด้วยพลังของจินต ภาพหรือด้วยประสบการณ์ของส่วนบุคคลท่ีเสนอข้ึนมา เช่น งานศิลปะซ่ึงได้จากความรู้ประเภทนี้

177 นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ท้ังหลาย เช่น Homer, Shakespear และ Proust บอกความจริงเก่ยวกับ จิตใจของมนุษย์ให้เราทราบแต่ความจริงเหล่านี้ เราอย่าหวังเลยว่าจะสามารถทดสอบได้ด้วยวิธีการ ทางวิทยาศาสตร์ เช่น การสังเกต การคานวณ การทดลอง เพราะความจริงเหล่านี้ไม่ใช่ข้อ สมมติฐาน (hypothesis) แต่เป็นความรู้ที่มาจากการสานึกได้เอง ดังน้ัน ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ต่าง ๆ ไม่ใช่ความรู้ทีได้มาโดยการสานึกเอง เพราะเป็นความรู้ที่ประกอบข้ึนจากหลักของความจริง ทางตรรกวิทยาสามารถทดสอบได้ด้วยการสังเกต หรือการทดลอง หรือท้ังสองอย่าง เพ่ือพิสูจน์ข้อ สมมติฐานท่ีตั้งไว้ คนท่ัวไปมีความรู้ประเภทน้ีอยู่ในตัวเองมาก เช่นเมื่อเรายึดเอาประสบการณ์ของ ผู้อ่ืน หรือของตนเองมาใช้ในการขยายความคิดให้กว้างออกไป หรือแก้ไขพฤติกรรมต่าง ๆ ด้วย ประสบการณ์เหล่านน้ั ดว้ ยตนเอง 3. ความรู้ท่ีได้มาโดยอาศัยเหตุผล (rational knowledge) เป็นความรู้ที่ได้มาด้วยการใช้เหตุผล อย่างเดยี ว ไมร่ วมการสังเกตจากการกระทา ความรู้ประเภทนีต้ ้ังอยูบ่ นรากฐานของหลักตรรกวิทยา และคณิตศาสตร์ เป็นรูปแบบของความรู้ ความจริงของความรู้แสดงให้เห็นได้ด้วยเหตุผลท่ีเป็น นามธรรม (abstract reasoning) เช่น ประโยคว่า “ดาเป็นสุนัข” กับ “ดาไม่ใช่สุนัข” เราไม่ อาจทานายไดว้ ่าทง้ั สองประโยคเป็นสิง่ เดยี วกัน หรอื ก ใหญ่กว่า ข ใหญ่กวา่ ค ดังนั้น ก. จะตอ้ ง ใหญ่กว่า ความรู้ประเภทนี้ ไม่มีข้อจากัด และจะสัมพันธ์กับตรรกวิทยาและความหมายของสิ่งต่าง ๆ ท่ไี มใ่ ชม่ นษุ ย์ ไม่เกีย่ วข้องกับความต้องการทางอารมณ์ และการกระทา โดยเหตุท่มี นษุ ย์เราต้อง มีชีวิตอยู่ท่ามกลางการกระทาต่าง ๆ เราจึงต้องอาศัยความรู้ประเภทอ่ืน ๆ ด้วย เช่น ความรู้ที่ได้มา โดยการสานึกเอง และความรู้เชิงประจกั ษ์ เป็นต้น 4. ความรูเ้ ชงิ ประจักษ์ (empirical knowledge) คอื ความรู้ที่ไดโ้ ดยการประจักษ์ ทผ่ี า่ นความร้สู ึก จากประสาทสัมผสั ท้ัง 5 คือ การเห็น ได้ฟงั ได้ดมกล่นิ ได้สัมผสั แตะต้อง และไดล้ ้มิ รส ความรสู้ ึก เหล่าน้ีจะทาให้เกิดมโนทัศน์ในส่ิงแวดล้อมท่ีอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ดังนั้น ความรู้จึงประกอบขึ้นด้วย ความคิด (idea) รวมกันข้ึนตามท่ีเราได้สังเกต หรือจากความรู้สกึ ต่าง ๆ ทั้ง 5 ทาให้ได้ข้อเท็จจรงิ (facts) ถา้ เป็นความรู้ประเภทท่ีได้มาโดอาศัยเหตุผล (rational) จะบอกให้เราได้ความรูโ้ ดย “การ คิดเกี่ยวกบั สรรพส่งิ น้ันโดยตลอด” แต่ความรเู้ ชิงประจกั ษ์ (empirical) จะบอกให้เรา “จงมองดูโดย เห็นประจกั ษ”์ รปู แบบของความรแู้ บบนี้ เป็นวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ กลา่ วคือ วิทยาศาสตร์ จะใช้ วิธีการทดสอบดว้ ยการสังเกต หรอื โดยการทดลอง เพ่อื จะได้พบข้อสมมติฐานทเ่ี ป็นท่ีน่าพอใจท่ีสุดใน

178 สถานการณ์ท่ีกาหนดให้ แต่อย่างไรกต็ าม ในการพิสจู น์ข้อสมมติฐานนี้ ไมใ่ ช่จะพิสูจน์ได้โดยสมบูรณ์ หรือพิสูจน์ไม่ได้เสียเลย แต่เป็นเพียงการแสดงให้เห็นว่า “มันเป็นไม่ได้” (probable) มากหรือ น้อย ความรู้เชิงประจักษ์ (empirical) นี้ไม่อาจทาให้เราแน่ใจได้ว่า ส่ิงท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตจะ เหมือนกับในอดีตหรือไม่ และปรากฏการณ์ท่ีได้เคยเกดิ ขนึ้ ครง้ั หนงึ่ จะเกิดซ้าอีกในทานองเดยี วกันกับ ปรากฏการณค์ ร้งั แรกไดห้ รอื ไม่ ความรู้ (senses) ของเราบางครั้งก็ลวงเรา เช่น เราเอามือซ้ายใส่ลงไปในอ่างน้าเย็น มือ ขวาใส่ในอ่างน้าค่อนขา้ งร้อน จากนนั้ เอาทงั้ สองมือใส่ในอ่างนา้ อุ่นพร้อม ๆ กนั เราจะร้สู ึกว่ามือขวา เย็น ในขณะท่ีมือซ้ายรู้สึกอุ่นกว่า ท้ัง ๆ ท่ีเป็นอ่างน้าอ่างเดียวกัน หรือท่อนไม้ท่ีเรามองเห็นว่าตรง เม่ือจุ่มลงในน้าใสคร่ึงท่อน กลับมองเห็นว่าท่อนไม้นั้นไม่ตรงเสียแล้ว เป็นต้น ด้วยความรู้สึกของ มนุษยท์ ี่ไมแ่ น่นอนทานองนเี้ อง (Socrates) ปรัชญาเมธีผู้โด่งดังของโลกได้ตัง้ คาถามให้มนษุ ย์รุ่นหลัง ได้คิดกันต่อมาก่อนจะดื่มยาพิษประหาร (hemlock) ว่า “ความรู้สึกต่าง ๆ (senses) ของเราเป็น สจั จะในตัวของมันเองหรือ ความรู้สึกตา่ ง ๆ ของเราไมใ่ ชพ่ ยานเท็จหรอกหรือ” 5. ความรู้ทไี่ ดม้ าจากผูร้ ู้ (authoritative knowledge) ความรแู้ บบน้เี ปน็ ความรทู้ ีไ่ ด้จากการอา้ งผมู้ ี ความรู้อ่ืน ๆ โดยตรง และเรายอมรับว่าเป็นจริง เช่น เสียงเดินในอากาศได้ 1,100 ฟุตต่อวินาที แสงเดนิ ทางได้ 186,281 ไมลต์ ่อวินาที สงครามโลกคร้ังที่ 1 เกดิ ขึน้ เมื่อ ค.ศ. 1914-1918 เปน็ ต้น สิ่งเหล่าน้ีเรายอมรับว่าเป็นความจริง โดยเรามิได้เคยทดลอง หรือทดสอบด้วยตนเองหรือมิได้อยู่ใน เหตุการณ์ของสงครามโลกด้วยตนเอง แต่เราเชื่อหรือเราได้ความรู้จากการอ่านในหนังสื อ encyclopedias หรอื หนังสอื ประวัติศาสตร์ หรอื ไดค้ วามรู้จากการอา่ นงานเขยี นของผู้เช่ียวชาญอื่น ๆ นอกจากนี้ ความรู้แบบน้ียังได้จากการศึกษาตารา คัมภีร์ และอ่ืน ๆ ทาให้ประหยัดเวลาท่ีเราไม่ ตอ้ งกลบั ไปค้นคว้าทดลองด้วยตนเองต้งั แต่เริ่มต้น เพราะถ้าเป็นเชน่ น้ัน โลกจะเจริญก้าวหน้าไปด้วย ความล่าช้ากว่าที่เป็นอยู่แน่นอน ศิลาจารึกสมัยพ่อขุนรามคาแหงก็ได้ให้ความรู้แก่เรา ทาให้เรา ทราบประวัติศาสตร์ความเป็นมา รวมทง้ั การมีอกั ษรไทยใช้ แทนท่จี ะมาคดิ ประดิษฐ์อักษรไทยกันใน ขณะนี้ เป็นต้น และถ้าเราต้องการจะพัฒนาจากส่ิงที่เรารู้หรือความรู้ที่มีอยู่แล้วให้ก้าวหน้าออกไป อกี กท็ าโดยไมต่ ้องเร่ิมจากจดุ เริ่มต้นเลยทีเดียว ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า ความรทู้ ี่ไดม้ าจากผ้รู ู้ กค็ อื การ ไดค้ วามรูซ้ ง่ึ เรายอมรบั ความเชี่ยวชาญ ความมคี วามรู้ ความมอี านาจของผอู้ นื่ นนั่ เอง

179 เครือ่ งมอื ของความรู้ (instrument of knowledge) kneller ได้แบ่งรูปแบบของความรู้ออกเป็น 5 ประเภทดังกล่าวแล้ว รูปแบบของความรู้ ท้ัง 5 ประเภทนี้ Butler ถือว่าเป็นเคร่ืองมือของความรู้ (instrument of knowledge) แม้จะ เรยี กชือ่ ตา่ งกนั แต่ในความหมายและหลกั ของความรู้ ความรู้ทง้ั 5 ประเภทนกี้ ไ็ มแ่ ตกต่างกัน 1. การวจิ ารณ์ (revelation) คอื การเปดิ เผยความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้าพระคัมภรี ์และศาสนาเป็น เคร่อื งมอื ของการค้นควา้ หาความรู้ 2. ลัทธิสหัชญาณนิยม (intuitionism) คือ การได้ความรู้ด้วยการสานึกได้เอง หรือความสามารถ มองเห็นได้เองอยา่ งทะลปุ รโุ ปร่ง 3. ลัทธิเหตผุ ลนยิ ม (rationalism) คอื การได้ความร้โู ดยวิธีการของเหตุผล เพราะถือว่า เหตผุ ลเป็น แหล่งทสี่ าคญั ทสี่ ดุ ของความรู้ 4. ลัทธิประสบการณน์ ยิ ม (empiricism) คือ ความรู้ได้โดยอาศัยความรู้สึกสัมผัสโดยประสาทท้ัง 5 และโดยประสบการณ์จากการกาหนดความรู้ หรอื สัญชาน (pwception) ของความรู้สกึ สมั ผสั ท่ี 5 5. ลัทธปิ ระกาศิตนยิ ม (authoritarianism) คือ ความรู้ทไ่ี ดจ้ ากผเู้ ช่ียวชาญ ผ้มู อี านาจหรือผู้มคี วามรู้ ทีเ่ ราเชื่อและไมม่ ีขอ้ ถกเถยี ง เช่น ความรู้จาก คัมภรี ์ ตารา ศาสนา และจากรฐั เปน็ ต้น ชนดิ ของความรู้ (kinds of knowledge) Butler ไดแ้ บง่ ชนดิ ของความรู้ออกเปน็ 3 ชนดิ ด้วยกนั คือ 1. ความรทู้ เี่ กิดภายหลงั (posteriori knowledge) ความรู้ชนิดนี้ ได้แก่ ความรู้ที่ต้ังอยู่บนรากฐาน ของประสบการณแ์ ละการสังเกต 2. ความรู้จากการทดลอง (experimental knowledge) เป็นความรู้ท่ีคล้ายคลึงกับความรู้ชนิด แรก แต่ไม่เหมือนกันที่เดียวตรงที่ว่า ความรู้ชนิดน้ีไม่เก่ียวข้องกับข้อสรุปท้ายจากประสบการณ์ หรือจากการสังเกต แต่เป็นความรู้ที่เกี่ยวกับการทาให้เกิดประสบการณ์อันเป็นหนทางท่ีจะนาไปสู่ ประสบการณ์ท่นี ่าพอใจ

180 3. ความรดู้ ง้ั เดมิ (priori knowledge) เปน็ ความรซู้ ึง่ เห็นชดั แจ้งในตัวเอง โดยเข้าใจวา่ หลกั การตา่ ง ๆเป็นจริงและเห็นว่าไม่จาเป็นท่ีจะต้องมีการพิสูจน์โดยการสังเกตโดยอาศั ยประสบการณ์หรือการ ทดลองใด ๆ ธรรมชาติของความรู้ 1. กลมุ่ จติ นิยม เช่อื วา่ ธรรมชาติของความรอู้ ยูท่ ี่บคุ คลหรอื อยทู่ จี่ ิต 2. กล่มุ สจั นยิ ม เชื่อวา่ วัตถุและคณุ สมบัตมิ คี วามจรงิ อยูใ่ นตัวมนั เอง 3. กลุ่มสัมพัทธนิยม เชื่อว่า ธรรมชาติของความรู้เกิดขึ้นได้เพราะความสาคัญของจิตกับวัตถุ ทฤษฎญี าณวิทยา ญาณวิทยาเกิดข้ึนจากแนวความคิดทางปรัชญา ท่ีต้องการอธิบายการเกิดข้ึนของความรู้ของ มนุษย์ ซึ่งต่อมาแนวคิดทางปรัชญาน้ีได้พัฒนาเปน็ ทฤษฎีญาณวิทยา เช่น ทฤษฎีเหตุผลนิยม , ทฤษฎี ประจักษ์นิยม , ทฤษฎีอนุมานนิยม หรือทฤษฎีความรู้เชิงวิจารณ์ , ทฤษฎีสัญชาตญาณนิยม หรอื อัชฌัตตกิ ญาณ , ววิ รณ์ , พระพุทธศาสนา อธิบายถงึ ทฤษฎีต่างๆ ดงั น้ี 1. ทฤษฎีเหตผุ ลนยิ ม แนวคิดเหตุผลนิยม มีพ้ืนฐานจากแนวคิดท่ีอธิบายความเป็นจริงว่า เป็นจิต/อุดมการ จิต (สตปิ ัญญา) ของมนษุ ยเ์ ปน็ คณุ ลักษณะพเิ ศษ สามารถรคู้ วามจรงิ เน้นศกั ยภาพของจติ (สตปิ ัญญา) ซึง่ มีศักยภาพท่ีจะเข้าใจความจริง ท่ีเป็นสากล และแน่นอนตายตัว ซ่ึงประสาทสัมผัสไม่สามารถให้ได้ แนวคิดน้ี เน้นบทบาทของจิต ในการแสวงหาความรู้ด้วยการใช้เหตุผล ซ่ึงเป็นศักยภาพของมนุษย์ใน การใช้สตปิ ัญญา (จติ ) เพือ่ การรูค้ วามจริง ความจรงิ /ความรู้มีลักษณะท่ีแน่นอน ชัดเจนและเป็นสากล ดังนั้น ต้องใช้จิตมนุษย์ ที่เป็นสากล จึงจะเข้าใจกันได้ (ส่ิงเหมือนกัน ย่อมเข้าใจกัน) นักปรัชญาท่ี สาคัญมากในกลุ่มเหตุผลนิยม คือ เรอเน เดสการต์ (Rene Descartes, ค.ศ. 1596 – 1650) ซ่ึงสรปุ ความคิดไดว้ ่า

181 ก. ความรู้ท่ีถกู ตอ้ ง ต้องมีความแน่นอน ตายตวั ข. มนษุ ยม์ ีสติปญั ญาที่สามารถบรรลุถึงความจรงิ ได้ ค. ปฏเิ สธความรู้ที่ได้จากประสาทสัมผสั เพราะประสาทสัมผัสหลอกลวงเรา (ประสาทสัมผัส เปล่ยี นไปเปล่ียนมา ขนึ้ กบั กาลเวลา สถานที่) ง. ใช้วธิ กี าร “นริ นัย” กล่าวคือ การพสิ ูจน์ความจริง อาศยั ความจรงิ ที่มอี ยู่เดิม เชน่ นกั ศึกษา วทิ ยาลัยแสงธรรมต่างเรียบจบชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 (หรือเทยี บเทา่ ) แล้ว ดังน้ัน นาย ก. (นกั ศึกษาคน หน่งึ ของวิทยาลัยแสงธรรม) จบการศกึ ษาชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 แล้ว เป็นตน้ 2. ทฤษฎีประจักษน์ ิยม แนวคิดประสบการณ์นิยม มีพื้นฐานจากแนวคิดท่ีเสนอว่าความเป็นจริง เป็นสสาร (สสาร นิยม) ซึ่งเริ่มต้นต้ังแต่สมัยกรีกโบราณ (ปรัชญกรีกระยะเร่ิมต้น) แนวคิดนี้มีลักษณะตรงกันข้ามกับ แนวคิดเหตุผลนิยม ด้วยการ เน้นบทบาทของประสาทสัมผัส ว่าเป็นแหล่งท่ีมาของความรู้/ความจริง มนุษย์ไม่มีความรู้ติดตัวมาต้ังแต่เกิด แต่ต้องค่อยๆ เรียนรู้จากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส ซ่ึง ได้แก่ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย นกั ปรชั ญาทสี่ าคญั ของกลมุ่ ประจักษน์ ยิ มมหี ลายท่านดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ 1. จอห์น ล็อค (John Locke) เป็นนักปรัชญาสมัยใหม่ชาวอังกฤษ เชื่อความรู้เกิดจาก ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส แต่ก็ไม่ปฏิเสธการคิด หาเหตุผลเสียเลยทีเดียวเพียงแต่ถือว่า ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสจะต้องมีความสาคัญกว่า เพราะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นก่อน ล็อค อธบิ าย กระบวนการเกิดความรู้ว่า ขณะท่ีเราประสบสิ่งใดสิ่งหน่ึงอยู่น้ัน สิ่งที่เรารับรู้โดยตรงคือ จิต ภาพ (Idea) ของเราเอง ส่วนวัตถุภายนอกนั้นเรารับรู้มาโดยอ้อม กล่าวคือ เม่ือเราเห็นดอกไม้ หมายความว่า แสงจากดอกไม้มันว่ิงเร้าประสาทตาของเราให้ตื่นตัวแล้วความต่ืนตัวน้ีว่ิงไปตาม ประสาทส่สู มองส่วนที่ทา หน้าท่ีเก่ียวกับการเห็นซ่ึงจะเกิดปฏิกิริยาข้ึนในสมองเป็นเรื่องของสสาร ท้ังส้ิน การประจักษ์คือ การเห็นยังไม่เกิดเพราะการเห็นเป็นปรากฏการณ์ทางจิต ซ่ึงเกิดในห้วงแห่ง ความรู้สึก ลอ็ คอธิบายว่า สมองเปรียบเสมือนห้องมืดมีฉากรับภาพอยู่ภายใน ซึ่งเปรียบเสมือนห้วง

182 แห่งสญั ญาณเมือ่ เกิดปฎกิ ิรยิ า สญั ญาณก็ปรากฏภาพดอกไมข้ ัน้ ซึ่งเปน็ ตวั แทนของดอกไม้ทมี่ ากระทบ ประสาทตา ภาพตัวแทนท่ีแหละที่จิตรับรู้จึงเรียกว่า การรับรู้ตัวแทน(Representationalism) ซ่ึงถือ วา่ ส่ิงทจี่ ิตรับรู้โดยตรงนั้น ไม่ใช่ดอกไม้จริง ๆ เป็นแต่เพยี งภาพหรือตวั แทนของดอกไม้เรียกว่าจิตภาพ (Idea) ฉะน้ันตามทัศนะของล็อคนี้จะเห็นได้ชัดว่าในการรับรู้ครั้งหน่ึงเราต้องยอมรับว่าปัจจัยอยู่ ๓ ประการคือ มีสงิ่ ภายนอก ตวั เรา มีจิตภาพ และมีจิตของเราเอง แตเ่ บริคเลยศ์ ิษยข์ องลอ็ คได้ทว้ งติงว่า มีเพียง ๒ ประการ คือ จิต กับ จิตภาพเท่าน้ัน ส่วนสิ่งภายนอกน้ันไม่มี เพราะจิตของเราไม่ได้รับรู้มัน เลย ส่ิงท่ีเรารับรู้เพียงภาพตัวแทน ซ่ึงไม่มีมาตรการที่จะตัดสินว่าเป็นอันเดียวกับสิ่งภายนอกนั้น หรือไม่ ล็อคให้ความสาคัญแก่ประสบการณ์ว่าเป็นที่มาของความรู้ และเขาได้แบ่งความรู้ออกเป็น ๕ ประการคอื - Intuitive Knowledge รู้ทันทีเมื่อเข้าใจคาพูด ไม่ต้องการความจริงอื่นมาสนับสนุน เช่น ขาวไม่คา กลมไม่ เหลีย่ ม ๓ มากกว่า ๒ ใชเ้ ปน็ postulates สาหรบั พสิ จู นข์ ้อความอื่นได้ - Demonstrative knowledge รู้ด้วยอาศัยการพิสูจน์ด้วยความจริงท่ีง่ายกว่าและท่ียอมรับ แล้ว เชน่ การพิสจู นเ์ รขาคณิต - Sensitive knowledge รู้ของเฉพาะหนว่ ยดว้ ยประสบการณ์ทางประสาท เช่น เห็นดอกไม้ ดอกนี้ คลาพบโตะ๊ ตวั นี้ เป็นตน้ - Probable knowledge ความรู้ที่มีประโยชน์แต่ยังพิสูจน์ให้แน่นอนไม่ได้ และยังไม่มี ประสบการณโ์ ดยตรง ยอมรบั ไว้เปน็ สมมติฐาน เชน่ การดึงดดู ของโลก เปน็ ต้น - Revelation ความรู้ทางศาสนาโดยเฉพาะเป็นเรื่องความเช่ือ (Faith) อันมีพยานหลักฐาน ว่ามาจากพระเป็นเจ้า เผยแสพงใหท้ ราบ 2. จอร์จ เบริคเลย์ (George Berkeley) เป็นนักประจักษ์นิยมที่มีความเห็นเช่นเดียวกับล็อค เป็นส่วนใหญ่ แต่มีความเห็นไม่เหมือนกับล็อคในเร่ืองของคุณสมบัติของวัตถุ คือล็อคกล่าวว่า คุณสมบัติปฐมภูมิของวัตถุไม่เปลี่ยนแปลง แต่คุณสมบัติทุติยภูมิเปล่ียนแปลง ส่วนเบริคเลย์กล่าวว่า คุณสมบัติของวัตถุท้ังท่ีเป็นปฐมภูมิและทุติยภูมิเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ วัตถุชิ้นเดียวกัน ถ้ามองในท่ี

183 ไกลจะเห็นว่าเล็ก มองในที่ใกล้จะเห็นว่าใหญ่ หรือคนหน่ึงยกรู้สึกหนักมากแต่อีกคนหน่ึงยกรู้สึกไม่ หนัก แสดงให้เห็นว่า คุณสมบัติปฐมภูมิของวัตถุเปล่ียนแปลงไปข้ึนอยู่กับบุคคลและสถานที่ เป็นต้น เช่นเดียวกันกับคุณสมบัติทุติยภูมิที่คนเรามองเห็นแตกต่างกันเบริคเลย์ กล่าวว่า พระเจ้าเป็นผู้ใส่ แนวความคิดเข้าไปสู่จิตใจของเรา และพระองค์ก่อให้เกิดการรับรู้หมายความว่า มนุษย์รับรู้สิ่งต่าง ๆ ไดโ้ ดยพระเจ้า 3. เดวิด ฮิวม์ (David Hume) เป็นนักประจักษ์นิยมคนสุดท้าย ฮิวม์เชื่อว่าความรุ้ทุกอย่างที่ ไม่ผา่ น ประสาทสัมผัสล้วนแต่เป็นโมฆะท้ังสิ้น และจิตที่สภาวะเป็นเพียงสิ่งท่ีปรากฏจากการรวมตัว ของความคิด ความเจ็บปวด ความยาก เหล่าน้ีเป็นต้น ที่กล่าวมานี้จาเป็นการปฏิเสธว่าจิตไม่มีอยู่ ตอ่ มาทัศนะของฮิวมไ์ ด้กลายมาเป็นเพทนาการนิยม 3.เทพนาการนยิ ม (Sensationism) ได้รับการปรับปรุงมาจากประจักษ์นิยมของล็อคมาเป็นเพทนาการโดยนักปรัชญาช่ือ เดวิด ฮิวม์ ฮิวม์กล่าวว่าความรู้ทุกอย่างเกิดจากความตรึงตรา และความคิด ความคิดคือการถ่ายแบบท่ี เลือนลางของความตรึงตรา หรือจินตภาพความตรึงตรา และความคิด ความคิดคือการถ่ายแบบที่ เลอื นลางของความตรึงตรา หรอื จินตภาพความตรงึ ตราคอื สัญชานท่ีตืน่ ตัว ความตรงึ ตามแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คอื ความตรึงตราท่ีเกดิ จากการรับรู้ภายนอกกับความตรึงตราทีเ่ กดิ จากมโนภาพ หรอื การรับรู้ ภายในจิต ฮิวม์กลา่ ววา่ “การรับร้ทู ้งั ปวงของจิตมนุษย์แบ่งออกเปน็ 2 ชนดิ ทีต่ า่ งกันคอื ความตรึงตรา และความคิด ความแตกตา่ งอยู่ท่รี ะดับของความแรงและความตื่นตวั การรบั รู้ทีเ่ ข้าไปกระทบจติ อย่าง แรงมาก เรียกว่า “ความตรึงตรา” ซ่ึงหมายถึง เพทนาการ กิเลส และอาเวคของเรา คาว่า “ความคดิ หมายถึงจิตตภาพหรือการถ่ายแบบสิง่ เหล่าน้ันเป็นปรากฏอย่างเลือนลางในการคิดและการหาเหตุผล เพทนาการไมไ่ ดเ้ กิดข้นึ จากสสาร พลงั หรอื อานาจที่เป็นเหตสุ ร้างผล เพราะพลังหรืออานาจนัน้ เรารับรู้ ไม่ได้ ในที่สุดไฟลุกไหม้ทาให้รู้สึกร้อนด้วยเพทนาการทางกาย เม่ือเห็นไฟลุกไหม้เราจะรู้สึกว่าไฟร้อน อยู่เสมอโดยไม่ผันแปร เหตุคือสิ่งท่ีมีมาก่อนอย่างไม่ผันแปร และผลคือส่ิงที่ติดตามมาอย่างไม่ผันแปร ไมม่ คี วามเกย่ี วเนื่องกนั ระหว่างเหตแุ ละผล เราจงึ ไม่สามารถหาเหตุผลวา่ สสารเปน็ เหตุแห่งเพทนาการ เราไม่มีความตรึงตราเกี่ยวกับสสาร สสารจึงไม่มีอยู่ สิ่งที่เรียกว่าสสารคือเพทนาการ ชุดหนึ่ง สสารที่ ต่างกันคือ เพทนาการท่ีต่างกันนี้ แสดงว่าฮิวม์ปฏเิ สธความมีอยู่ของสสาร ไม่มีจิตวิญญาณ หรืออัตตา ส่ิงที่เรียกว่าจิตคือ ความคิด ความรู้สึก และเจตนาเพราะเราไม่มีความตรึงตรากับสิ่งเหล่าน้ี ในเร่ือง

184 พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี่เช่นกัน เพราะพิสูจน์ไม่ได้ความคิดเร่ืองพระผู้เป็นเจ้าคนสร้างข้ึน ฉะน้ันฮิวม์จึง ยอมรับเพยี งความจริงบางอย่างเทา่ นั้น และไม่แน่นอน ซ่ึงไดจ้ ากประสบการณ์และเราไมส่ ามารถก้าว เลยเพทนาการไปสคู่ วามแท้จรงิ ภายนอกเพทนาการได้ 4. ทฤษฎอี นุมานนิยม (ลัทธิค้านท)์ เกิดจากความพยายามเอาพวกเหตุผลนิยม กับประจักษ์นิยมรวมเข้าด้วยกัน นักปรัชญาที่มี ความพยายามในเรอ่ื งดังกล่าวนี้คือ อิมมานูเอล คานท์ ซ่งึ เปน็ นกั เหตุผลนยิ ม คานทไ์ ด้พิจารณาเห็นว่า ลัทธิประจักษ์นิยมและเหตุผลนิยมต่างมีความบกพรอ่ งด้วยกัน และแต่ละปรัชญาได้ทาลายส่งิ ที่คา้ นท์ รักและเชิดชูด้วยกัน กล่าวคือ พวกประจักษ์นิยมมอบหมายมาตรการความจิรงให้กับผัสสะจนเกินไป จนกระทั่งปฏิเสธ กฎเกณฑ์ของคณิตศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ ส่วนผลเหตุผลนิยมก็มอบความเช่ือให้ ปัญญาจนเกินไปจนกระทั่งปฏิเสธพ้ืนฐานทางศาสนาและศีลธรรม ซงึ่ อันที่จรงิ แลว้ คา้ นทเ์ ห็นว่าทฤษฎี ของพวกประจักษ์นิยมไม่เพียงพอท่ีจะอธิบายความเป็นจริงของโลกและชีวิตได้ และทฤษฎีของพวก เหตุผลนิยมก็ไม่เพียงพอที่จะอธิบายความจริงเช่นเดียวกัน ค้านท็คิดว่าจาเป็นอย่างยิ่งจะต้องสร้าง ทฤษฎีทางปรัชญาขึ้นมาใหม่เพ่ืออธิบายความจริงและกู้ฐานะของคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศาสนา และศีลธรรมให้เด่นชัดย่ิงข้ึน ดังน้ันค้านท์จึงตั้งหน้าท่ีจะสร้างทฤษฎีขึ้นใหม่ โดยชี้ให้เห็นความ บกพร่องของปรัชญาท้ังสองซ่ึงเป็นการปฏิรูปเน้ือหาปรัชญาอย่างสาคัญ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อและมี อิทธิพลอย่างกว้างขวางในปรัชญาของศตวรรษท่ี ๑๙ ปรัชญาของค้านท์มีลักษณะเป็นปรัชญาเชิง วิจารณ์ (The crritical Philosophy) โดยสร้างหลักการวิจารณ์ขึ้น ๓ อย่าง ซ่ึงนับว่าเป็นหัวใจของ ป รั ช ญ า ค้ า น ท์ คือ ห ลั ก ก า ร วิ จา รณ์ ด้ ว ย เห ตุผ ลบ ริสุท ธ์ ( The critical of pure Reason) หลกั การวิจารณด์ ว้ ยเหตุผลปฏบิ ตั ิ (The critical of pure Reason) หลักการวิจารณ์ด้วยเหตุผลในทางสนุ ทรียภาพ (The Critical of judgment) ค้านท์เช่ือว่าโลกของเราเป็นเพียงปรากฏการณ์อันหน่ึง โลกของปรากฏการณ์น้ีเป็นวัตถุแห่งความรู้ ของเรา เราไม่รู้ความจริงใด ที่อยู่ภายนอกโลกแห่งปรากฏการณ์นี้ได้จุดมุ่งหมายของวิทยาศาสตร์ก็ เพ่ือจะค้นหากฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของโลกของปรากฏการณ์นี้ ในการค้นคว้าทางญาณวิทยาของค้านท์ ความรู้เช่นเดียวกับล็อค เบริคเลย์ และฮิวม์ ค้านท์ได้แยกลักษณะพื้นฐานสองประการของ ประสบการณ์คือ ผัสสะและมโนภาพหรือความเข้าใจโดยกล่าวผัสสะมีรากฐานมาจากประสบการณ์

185 ส่วนมโนภาพมรี ากฐานมาจากเหตผุ ลหรือปัญหา (intellect) คา้ นทเ์ ห็นด้วยกับฝ่ายประจักษ์นยิ มที่ว่า ไม่มีความรู้ใดที่จะอยู่นอกเหนือจากผัสสะ แต่ค้านท์ก็ขัดแย้งกับฝ่ายประจักษ์นิยม โดยกล่าวว่าเพียง ผัสสะอย่างเดียวก็ไม่อาจสร้างประสบการณ์และความรู้ของเราขึ้นมาได้ เราเองต่างหากที่ให้ ความหมายแก่ประสบการณ์ ค้านท์กล่าวว่ามโนภาพถ้าปราศจากการรับรู้ทางผัสสะแล้วก็ว่างเปล่า การรับรทู้ างผัสสะถ้าปราศจากมโนภาพก็กลายเป็นความบอด คา้ นท์ได้แบง่ ความรู้ออกเป็น 2 ประเภทคอื 1. ความรูท้ ่มี บี อ่ เกิดจากประสบการณ์ (A priori knowledge) 2. ความรทู้ ่บี อ่ เกิดมาจากปญั ญาหรอื ความคิดของมนุษย์เอง (A priori knowledge) - Analytic knowledge คือความรู้ท่ีได้มาจากความคิด แต่ไม่ได้ให้ความรู้ใหม่เพิ่มข้ึนจาก เดมิ เช่น ส่ีเหลย่ี มจตรุ สั ได้มาจากความคิด ความเข้าใจ ไมไ่ ด้มาจากประสบการณ์ - Synthetic knowledge คือความรู้ได้มาจากความคิดแต่ให้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นจากเดิม ความรชู้ นดิ น้ีหาได้จากคณิตศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์ ค้านท์อธิบายความรู้ที่ได้มาโดยประสบการณ์ว่าเป็นความรู้เฉพาะหน่วย (particulars) ไม่ กลายและจาเปน็ สว่ นความรู้ที่ไดม้ าดว้ ยความคดิ (innate ideas เป็น ความรู้ทสี่ ากลและจาเปน็ ) 5. อชั ฌตั กิ ญาณนยิ ม (Intuitionism) หรือสญั ชาติญาณนิยม นักปรัชญากลุ่มนี้เป็นนักปรัชญาท่ีปฏิเสธเหตุผลนิยมและประจักษ์นิยม และเช่ือว่าอัชฌัติก ญาณเพียงอยา่ งเดยี วเทา่ นัน้ ท่เี ป็นวิธีการได้มาซึ่งความรู้ท่ีถกู ตอ้ ง อัชฌัติกญาณ หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้นเอง กล่าวคือ เกิดความรู้ความเข้าใจในเร่ืองหนึ่งโดย ทันทีทันใด เป็นความรู้ท่ีสว่างแวบข้ึนในความคิด และทาให้เราเข้าใจเรื่องนั้นได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น นิวตัน เห็นลูกแอ๊ปเปิ้ลหล่นลงมา ทาให้เขาเกิดความเข้าใจขึ้นมาทันทีวา่ เหตุมันจึงตกลง สู่พื้นโลกโดยไม่ล่องลอยขึ้นไปในอากาศ ความเข้าใจน้ีทาให้เขาค้นพบกฎความโน้มถ่วงสากล และใช้ กฎนี้มาอธิบายการเคล่ือนท่ีของวัตถุท้ังในโลกและนอกโลกได้ และกฎนี้ยังใช้มาจนทุกวันน้ี ความรู้ทรี่ ูโ้ ดยอัชฌตั กิ ญาณจงึ เปน็ การหย่ังร้ภู ายนอก แตก่ ารร้แู บบอชั ฌตั ิกญาณเปน็ การหยั่ง

186 รู้เข้าไปภายในส่ิงน้ันทาให้เกิดการรู้ส่ิงน้ันท้ังหมด การอ้างความรู้แบบที่ปรากฏเด่นชัดอยู่ในศาสนา และศลิ ปะ อัชฌตั ิกญาณ นจี้ ะเกดิ กับคนบางคนและในบางเวลาเทา่ นนั้ ไม่เกิดกับทุกคนอยา่ งไรก็ตาม แม้ปรัชญาจะถือว่าต้นกาเนิดของความรู้ท่ีสาคัญมี 2 ทาง คือ ประสบการณ์และเหตุผล ส่วนอัชฌัติก ญาณ น้ันพิสูจน์ไม่ได้และไม่มีเกณฑ์ตัดสินจึงไม่น่าเชื่อถือ แต่ปรัชญาสมัยใหม่ก็เกิดแนวความคิดข้ึน แนวความคิดหนึ่งคือ อัชฌัติกญาณ นิยมนักปรัชญาท่ีมีความเช่ือทาง อัชฌัติกญาณ นิยม คือ จอร์จ วิลเฮลม ไฟร์ดริช เฮเกล เป็นชาวเยอรมัน เฮเกลมีทัศนะว่าเป็นความจริงแท้คือ จิต ทุกอย่าง วิวัฒนาการมาจากจิต เฮเกลเป็น อัชฌัติกญาณนิยมเพราะเชื่อว่า เมื่อฝึกสมาธิถึงข้ันแล้วจะเห็นว่า ความจรงิ มเี พยี งหนงึ่ คอื จติ 6. ววิ รณ์ (revelation) การเปิดเผยจากพระเจ้า คือแนวความคิดที่ถือว่ามนุษย์เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยเมื่ออยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ของพระผู้เป็น เจ้า เปรียบเสมือนทารกน้อยท่ีอยู่ต่อหน้าบิดา ผู้ได้รับมหากรุณาอันเต็มเป่ียมด้วยความรักฉะนั้นอีก ประการหน่ึง พระเจ้าเปรียบเสมือนพระสุริโยทัยท่ีทอแสงส่องประกายระยิบระยับอันอบอุ่นในเวลา อรุณรุ่ง ทาให้สัตว์โลกผู้หลับใหลในเวลารัตติกาลคือ อวิชชาและเหน็บหนาวจากความทุกข์ทรมาน เพราะอานาจกิเลส ได้ตื่นฟื้นข้ึนมาจากภวังค์แห่งความหลับใหลและมองเห็นความงดงามแห่งดวง สรุ ิยาพรอ้ มกับการได้รับไออุน่ ฉะนั้น 7. พระพทุ ธศาสนา แนวคิดทางพระพุทธศาสนา ท่ีถือว่าความรู้ขั้นมูลฐานของมนุษยเ์ กิดจากประสาทสัมผสั ทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ และแห่งความรู้ที่มนุษย์ได้รับ จะมาจาก 3 แหล่ง คือ 1. สุตมยปญั ญา = ปญั ญาเกดิ จากการฟงั การอา่ น 2. จนิ ตามยปญั ญา = ปัญญาเกิดจากการพิจารณา 3. ภาวนามยปัญญา = ปัญญาที่เกิดมาจากการได้ฝึกฝนอบรมจิตเปรียบเทียบทัศนะพุทธ ศาสตร์กับญาณวิทยา ได้ดังน้ีพระพุทธศาสนา ได้วิจารณ์แนวคิดทางตะวันตกในเร่ืองญาณวิทยาว่าสุ ตมยปญั ญา = ประสบการณ์นยิ ม จนิ ตามยปญั ญา = เหตผุ ลนิยม ภาวนามยปัญญา = อชั ฌตั ติกญาณ คือ สมถภาวนา ได้แก่ ความรู้ แจ้งอย่างฉับพลัน แต่ยังมีกิเลสอยู่ ส่วนการบรรลุธรรมหรือการตรัสรู้

187 น้ันจะไม่มีกิเลสในจิตใจเลย ทาให้ ความรู้ที่ได้รับถูกต้องชัดเจนเสมอ ดังนั้นเพ่ือที่จะให้ได้รับความรู้ท่ี ถูกต้อง มนุษย์จึงควรฝึกอบรมจิตด้วยสมถภาวนา เพื่อให้จิตใจสงบและ เจริญวิปัสสนาภาวนา เพื่อ ทาลายกิเลส

188 คณุ วิทยา ความหมายของคุณวทิ ยา ปรัชญาสาขาคุณวิทยา (axiology) เป็นปัญหาของปรัชญาสาขาที่สาม ซ่ึงเป็นปัญหาท่ี เก่ียวกับค่านิยมหรือคุณค่า (value) เช่นคาถามท่ีเกี่ยวกับปัญหาท่ีว่า “อะไรเป็นค่านิยมที่สาคัญซ่ึง เป็นส่งิ ที่พึงปรารถนาของการมชี วี ติ อยู่” “คา่ นิยมเหลา่ น้ันเป็นแกน่ แท้ของความจรงิ หรือไม่” “เราจะรู้ ได้ดว้ ยประสบการณ์ของเราอย่างไร” คาว่า axiology มาจากคาในภาษากรีกว่า “axios” ซึ่งหมายถึง “เหมือนกับท่ีมีคุณค่า” (of like value) หรอื “ความมีค่ามากเท่าท่จี ะเปน็ ได”้ (worth as much) ปรชั ญาคณุ วทิ ยา เปน็ เรอ่ื งราว ของการสืบหาธรรมชาติและเกณฑ์มารตราฐานของคุณค่าหรือค่านิยม ซ่ึงมีกาเนิดมาจากทฤษฎีแห่ง แบบหรือทฤษฎีการจินตนาการของ Plato ในเรื่องความคิดเกี่ยวกับความดี และได้พัฒนาต่อมาโดย ผลงานของ Aristotle ในเรื่อง Organon Ethics Poetics และ Metaphysics ต่อมาคุณวทิ ยา ปรากฏ อยู่ในผลงานของ Kant โดยเก่ียวข้องกับการตรวจสอบ คุณวิทยาสัมพันธ์กับความรู้ในเรื่องคุณค่า ศีลธรรม สุนทรียศาสตร์ และคุณค่าของศาสนา ในศตวรรษที่ 19 คุณวิทยาได้มีบทบาทในการ วิเคราะห์ค่าของประสบการณ์ในสาขาต่าง ๆ เช่น มนุษยวิทยา สังคมวิทยา จิตวิทยา และเศรษฐ ศาสตร์ เป็นต้น ในศตวรรษที่ 20 คาว่า “คุณวิทยา” เร่ิมมีปรากฏในผลงานปรัชญาท้ังหลายเป็น ภาษาอังกฤษ (บ้านจอมยทุ ธ, 2563) อะไรคืออุดมคติของชีวติ หรืออะไรคือสง่ิ ทดี่ ีทสี่ ุดสาหรับมนษุ ย์ อะไรเปน็ สงิ่ ท่ีประเสริฐท่ีสุดที่ มนุษย์ควรแสวงหาสาขาที่จะตอบปญั หานี้ไดค้ อื คณุ วทิ ยา

189 ขอบเขตคุณวิทยา 1. ศาสตร์ที่ศึกษาความจริง (Positive Science หรือ Natural Science) ศาสตร์น้ีศึกษาความจริง (Fact) หรือตามที่มันเป็นจริง เช่น วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เป็นต้น 2. ศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องคุณค่า (Normative Science) หมายถึงศาสตร์ที่เน้นเรื่องคุณค่า (Value) อุดมคติภายใน ศาสตร์ที่ว่าด้วยสิ่งที่ควรจะเป็น เช่น จริยศาสตร์ สุนทรียศาสตร์ ตรรกศาสตร์ เป็น ตน้ คาว่า \"ข้อเท็จจริง\" (fact) เป็นเพียงปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมที่สามารถรับรู้ได้ด้วย ประสาทสัมผัส ส่วนคุณค่ามีลักษณะท่ีอาศัยข้อเท็จจริงว่าควรจะเป็นอย่างไร และทาไมจึงเป็นเช่นน้นั คุณค่าเกิดจากการประเมินไม่ใช่การวัด เพราะคุณค่าเป็นนามธรรม คุณค่าเป็นสิ่งที่กาหนดเองไม่ได้ ตอ้ งมตขิ องคนสว่ นใหญ่ เป็นทย่ี อมรับของคนส่วนมาก คาว่า \"คุณค่า\" (value) หมายถึงลักษณะที่พึงประสงค์ คุณค่าเป็นนามธรรมอันเกิดจากการ ประเมินขอ้ เท็จจรงิ ทางวิทยาศาสตรธ์ รรมชาตแิ ละวิทยาศาสตรส์ งั คม ความแตกตา่ งคณุ ค่ากบั ข้อเทจ็ จริง ยกตัวอย่าง เช่น มีกางเกงยีนส์ 2 ตัว ตัวท่ี 1 มีสีดาและมีขนาดเอว 32 นิ้ว ตัวท่ี 2 มีสีน้า เงินและมขี นาดเอว 26 นิว้ หากมคี นถามคุณว่า 1. กางเกงตวั ไหนมีขนาดใหญก่ วา่ กัน ? เปน็ ข้อเท็จจริง 2. กางเกงยนี สต์ ัวไหนสวยกวา่ กนั ? เปน็ คุณคา่ ลกั ษณะการตัดสนิ คณุ ค่าของคุณวทิ ยา มี 4 แบบ ดังน้ี 1. การตัดสินเชิงจิตวิสัย เช่น ดอกกุหลายจะสวยหรือไม่สวย ข้ึนอยู่กับผู้ดู 2. การตัดสินเชิงวัตถุวิสัย เช่น ดอกกุหลาบจะสวยหรือไม่สวย ขึ้นอยู่กับดอกกุหลาบ 3. การตดั สนิ เชงิ จิตวิสัย+วัตถุวสิ ยั เช่น ดอกกุหลายจะสวยหรือไม่สวย ขึ้นอยู่กับผดู้ ูและดอก กุหลาบด้วย

190 4. การตัดสินเชิงอรรถประโยชน์ เช่น ดอกกุหลาบจะสวยหรือไม่สวย ไม่สาคัญ อยู่ที่ว่าดอก กุหลาบนน้ั ใชป้ ระโยชน์ได้ไหม (มคี ่า) หากไม่มีกถ็ อื ว่าไร้ค่า การศึกษาด้านคณุ ค่า แบ่งออกเป็น 4 สาขา ดังนี้ จริยศาสตร์ , สุนทรียศาสตร์ , ตรรกศาสตร์ , เทววิทยา ท้ัง 4 สาขานี้ใช้เป็นเครื่องมือวัดหาคุณค่าพ้ืนฐานของความเป็นมนุษย์ เป็นเคร่ืองช้ีวัดความแตกต่าง ของมนษุ ยก์ ับสิ่งมชี ีวิตอื่นๆ จรยิ ศาสตร์ คาว่า “จริยศาสตร์” เป็นคาศัพท์สันสกฤต แยกออกได้เป็น 2 คา คือ จริยะ แปลว่า ความ ประพฤติ และคาว่า ศาสตร์ แปลว่า ความรู้ หรือ วิชาจริยศาสตร์จึงมีความหมายว่า วิชาที่ว่าด้วย ความประพฤติ แปลมาจากศัพทภ์ าษาอังกฤษวา่ Ethics ซ่งึ มาจากคาในภาษากรกี ว่า Peri ethikes โดยมีรากศัพท์มาจากคาว่า Ethos แปลว่า ขนบธรรมเนียม ภาษาละตินทับศัพท์กรีกว่า Ethica แปลว่า จริยศาสตร์ มีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น Moral Philosophy ปรัชญาศีลธรรม Ethical Philosophy ปรชั ญา จริยะ ดงั น้นั สรุปวา่ จรยิ ศาสตร์ เป็นวิชาท่ีว่าด้วยความดี ความช่วั ความถูก ความผิด สิง่ ท่คี วรเว้น สง่ิ ทค่ี วรทา หมายถงึ The science of morals ; the principles of morality ; rules of conduct and behaviour แปลว่า ศาสตร์ท่ีว่าด้วยศีลธรรม หลักศีลธรรม กฎที่ว่าด้วยความประพฤติและ พฤตกิ รรม การศกึ ษาเรื่องคุณค่าทางจริยศาสตร์อนั เกย่ี วเนอื่ งกับพฤตกิ รรม หรือการกระทาของมนุษย์น้ัน พจิ ารณาตามขอบเขตของจริยศาสตรท์ ี่พยายามศกึ ษาหาคาตอบใน 3 ประเด็นน้ี คอื 1.คุณค่าการกระทาของมนุษย์ (ค่าทางจริยธรรม) เราจะนิยามความดีได้หรือไม่ ความดีคือ อะไร ความดีมีอยู่จริงหรอื เป็นส่งิ ทีแ่ ต่ละสงั คมสรา้ งข้นึ 2.เกณฑ์ตัดสินคุณค่าการกระทาของมนุษย์ อะไรคือเกณฑ์ในการตัดสินว่าทาอย่างน้ีถูก ทา อยา่ งนผ้ี ดิ ควร หรือไมค่ วร

191 3.อุดมคติหรือเป้าหมายสูงสุดของชีวิต สิ่งที่ดีที่สุดสาหรับมนุษย์ มนุษย์แสวงหาส่ิงท่ีตน ปรารถนามากมาย แต่มใิ ชเ่ พื่อตนเอง แต่เพือ่ สิ่งอ่นื ปัญหาอดุ มคตทิ างจรยิ ศาสตร์ มนุษยย์ ังมคี วามสับสนวา่ เป้าหมายสุดท้ายของชีวิตคอื อะไรกันแน่ มีกลุ่มแนวคิดได้นาเสนอไว้ 3 กลุ่มใหญ่ คือ 1. กลุ่มสุขนิยม (Hedonism) เน้นแสวงความสุข ความสะดวกสบายทางกายเป็นสาคัญ 2. กลุ่มอสุขนิยม (Non-Hedonism) เน้นแสวงหาความสุขท่ีละเอียดอ่อน และมีคุณภาพ เหนอื กว่าความสุขทางกาย คอื ความสขุ ทางจติ 3. กลุ่มมนุษย์นิยม (Hedonism) เน้นแสวงความสุขระหว่างกลาง มนุษย์ไม่ควรลุ่มหลง ความสขุ ทาง กาย เพราะเป็นการลดตัวลงไปเป็นสัตว์ และมนุษย์ไม่ควรเชิดชูมนุษย์ด้วยกันให้ บริสุทธ์ิเหมือนพระเจ้า เพราะขัดแย้งกับธรรมชาติของมนุษย์ “สังคมควรสนองความต้องการของ มนุษย์ได้ทัว่ หน้า และเปิดโอกาสใหแ้ สวงสิ่งที่ตนพอใจ” ประโยชนข์ องการศกึ ษาจริยศาสตร์ 1. ช่วยให้แยกแยะได้ออกถึงคาว่า ดี ชั่ว คนดี คนช่ัว จะได้เลือกปฏิบัติในสิ่งท่ีดีท่ีสุด ทาให้รู้ วา่ มนษุ ย์ท่สี มบูรณ์เป็นอย่างไร? ทาให้เข้าใจตนเองและผู้อน่ื ตามความเปน็ จริง เพอื่ ทจ่ี ะได้เข้ากับผู้อื่น ไดด้ ขี น้ึ และมคี วามสขุ ใจข้ึน 2. ทาใหเ้ ข้าใจกฎศีลธรรมที่แทจ้ รงิ ที่จิตวญิ ญาณมนุษย์โหยหาเรยี กร้องตลอดเวลา 3. ทาให้เรามีหลักเกณฑ์ในการดาเนินชีวิตไปสู่เป้าหมาย คือ อุดมคติท่ีต้ังไว้ ชีวิตไม่เป็น เหมอื นปยุ น่นุ ที่ล่องลอยไปตามกระแสลม หรือกอสวะทสี่ ดุ แตก่ ระแสน้าจะพดั พาไป จดุ หมายสูงสดุ ของจริยศาสตร์ ให้รู้จักความประพฤติที่ดีงามถูกต้องอันเป็นทฤษฎี จะได้ปฏิบัติให้ดีงามถูกต้อง เพ่ือยกระดับ จติ วญิ ญาณของมนษุ ย์ให้สูงส่งขึน้ หลดุ พ้นจากสัญชาตญาณอยา่ งสตั วโ์ ลกทัว่ ไป

192 จริยศาสตร์กบั วทิ ยาศาสตร์ จริยศาสตรเ์ ปน็ เรอื่ งของคณุ คา่ คุณค่าคือ ลักษณะท่ีพึงประสงค์, ควรจะเป็น, น่าพึงปรารถนา พาให้เราบรรลุถึงส่ิงใดสิง่ หนึ่ง เชน่ นา้ นม มีคุณค่า เพราะพาให้เราถงึ ความเจรญิ เตบิ โต คุณค่ามี 2 อยา่ ง คอื - ค่าในตัวเอง (intrinsic value) เป็นคุณค่าท่ีนอกตัว สิ่งหรือกระทานั้น ๆ เป็นเพียงวิถีทาง หรอื อปุ กรณท์ จ่ี ะนาไปสจู่ ุดหมายสดุ ทา้ ย ไมม่ คี ุณค่าในตัวเอง แตค่ ุณค่าของมันอยู่ทผี่ ู้กระทาปรารถนา เชน่ เงนิ เป็นส่งิ ที่มีค่า เปน็ คณุ คา่ นอกตวั เพราะมเี งนิ ต้องนาไปซอื้ เพ่อื ใหส้ าเรจ็ สมความมุง่ หมาย - ค่านอกตัว (extrinsic value) เช่น เป็นคุณค่าท่ีตรงกับจุดหมายสดุ ท้ายคือเปา้ หมายของสง่ิ หรือการกระทานั้นอยู่ในตัวเอง ไม่เป็นวิถีหรืออุปกรณ์นาไปสู่สิ่งอ่ืนอีก เช่น นักเรียนขยันเรียน เพราะเขาเห็นว่าเป็นส่ิงท่ีดี การขยันเรียนมีจุดหมายในตัวเอง นักปรัชญาเรียกคุณค่าประเภทน้ีว่า คณุ ค่าที่ แท้จริง วิทยาศาสตร์ เปน็ เร่อื งขอ้ เทจ็ จริง ข้อเท็จจริงคือ การระบุถึงคุณสมบัติของสิ่งน้ัน ตัวอย่างเช่นอดีต สมชายเกิดเมื่อ 15 ปีที่แล้ว (ได้เป็นมาแล้ว)ปัจจุบัน เขากาลังคบเพื่อนไม่ดี (กาลังเป็นอยู่) อนาคต สมชายจะเป็นโจร (จะเกิด ตอ่ ไป) วิทยาศาสตร์ เป็นเร่ืองสังเกต, ทดลอง, ต้ังทฤษฎี เม่ือทฤษฎีได้รับการยืนยันจึงเป็นกฎ จรยิ ศาสตร์ เป็น พฤตกิ รรมทางเพศทีเ่ สรี “ควร” ใหม้ ีดหี รือไม่ สรุป วิทยาศาสตร์ตัดสินท่ีข้อเท็จจรงิ ส่วนจริยศาสตร์ตัดสนิ ที่คุณค่า การเถียงกันเรื่องคุณคา่ คือการแสวงหาเป้าหมายอันพึงประสงค์ แต่ต้องตั้งบนฐานของข้อเท็จจริง มิฉะนั้น เป้าหมายจะ กลายเป็นความเพ้อฝนั ในทางตรงกนั ข้าม ถ้าเถียงกันแต่เรื่องข้อเท็จจริง โดยไม่มีเป้าหมาย เราก็จะอยู่ ในสภาพคนตาบอด เพราะไมท่ ราบวา่ จดุ หมายปลายทางคอื อะไร

193 สนุ ทรียศาสตร์ เปน็ สว่ นหน่ึงในวชิ าปรชั ญา ในสาขา คุณวทิ ยา (Axiology) หรือ ทฤษฎคี ณุ ค่า สนุ ทรียศาสตร์ มาจากคาว่า สุนทรียะ แปลว่า ความงาม และ ศาสตร์ แปลว่า วิชาความรู้ สุนทรียศาสตร์ จึงแปลว่า วชิ าความรทู้ ีเ่ ก่ยี วกับความงาม สนุ ทรยี ศาสตรก์ บั ความงาม ดังได้กล่าวในความหมายของสุนทรียศาสตร์แล้วว่า สุนทรียศาสตร์เป็นวิชาท่ีเก่ียวข้องกับ ความงาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของคาว่า สุนทรียศาสตร์ ว่า หมายถงึ วิชาทว่ี ่าด้วยความนยิ มความงาม ส่วนนักปรชั ญาชาวตะวนั ตกได้ให้คานิยามของสนุ ทรยี ศาสตร์ (วนดิ า ขาเขยี ว, 2543, หนา้ 1) ไวด้ งั นี้ * ตาตาร์กีวิคซ์ (Tatarkiewictz)ให้คานิยามว่า สุนทรียศาสตร์ เป็นศาสตร์ ท่ีมีความหมายรวมอยู่ใน เรอื่ งของความงามและการรับรู้ * คานท์ (Kant) กล่าวว่า สุนทรียศาสตร์เป็นความรู้ที่เป็นจริงในตัวเอง ทั้งความพึงพอใจ และ ความ เจบ็ ปวด ความรู้น้ีไม่ต้องอาศัยเหตผุ ล เปน็ ความรูท้ ีอ่ สิ ระ * ซานตายานา (Santayana) ใหค้ านิยามว่า สนุ ทรียศาสตร์ เป็นศาสตร์แหง่ ความรสู้ กึ ทง้ั สุขและทกุ ข์ * แพทริค (Patrick) กลา่ ววา่ สนุ ทรยี ศาสตร์ คือ การค้นหาความหมายของความพงึ พอใจทางสุนทรียะ ลักษณะวัตถุวิสัย หรือ จิตวิสัยของความงาม ธรรมชาติของความงาม กาเนิด และ ธรรมชาติของแรง กระตนุ้ ใหเ้ กิดศลิ ปะ (จี ศรนี วิ าสนั , 2534, หนา้ 103) * รูนส์ (Runes)กล่าวว่า สนุ ทรียศาสตร์ คอื ศาสตรว์ า่ ดว้ ยความงามหรอื สิ่งทงี่ ามโดยเฉพาะ คอื ความ งามในศิลปะพร้อมดว้ ยมาตรการสาหรับการทดสอบคุณคา่ ในการพิจารณาตดั สนิ ศลิ ปะ (จี ศรีนวิ าสนั , 2534, หน้า 103) * เว็ปสเตอร์ (Webster) กล่าวว่า สุนทรียศาสตร์ คือ การศึกษาหรือปรัชญาแห่งความงาม ทฤษฎีว่า ด้วยวจิ ิตรศลิ ปแ์ ละความรู้สึกของบุคคลท่ีมตี ่อวจิ ิตรศิลปน์ ั้น (จี ศรนี วิ าสัน, 2543, หนา้ 103)

194 ในประเทศไทยมีผรู้ ูใ้ นศาสตร์ทางศิลปะต่างๆไดใ้ ห้คานยิ ามของคาวา่ สุนทรยี ศาสตร์ ได้นา่ สนใจ ดงั นี้ * ไพฑูรย์ พฒั น์ใหญ่ยิง่ ให้คานยิ ามว่า สุนทรียศาสตร์เปน็ ปรัชญาสาขาหน่ึงท่วี ่าด้วยความงามและส่ิง ท่ีงาม ทั้งในงานศิลปะและในธรรมชาติ โดยคิดตามประสบการณ์ คุณค่าความงามและมาตรฐานใน การวินิจฉัยว่าอะไรงาม อะไรไมง่ าม *สุกรี เจริญสุข ให้คานิยามว่า สุนทรียศาสตร์เป็นเรื่องของความรู้ที่เกี่ยวข้องกับความสวย ความงาม และความไพเราะ ซ่ึงเป็นคุณสมบัติท่ีมนุษย์ทุกคนปรารถนา เป็นคุณสมบัติท่ีทุกคนต้องการ สุนทรียะ ยังหมายถึงคุณสมบัติท่ีสามารถรับรู้ของ หู ตา จมูก ล้ิน กายและใจ พึงปรารถนา นอกจากความ สวยงามและความงามที่ใชด้ ูด้วยตาเป็นสื่อยังมีความไพเราะ ซึ่งเป็นความดังท่ีต้องฟังด้วยหู กลิ่นหอม ท่ีต้องดมด้วยจมูก รสชาติท่ีต้องชิมด้วยลิ้น การสัมผัสท่ีต้องใช้อวัยวะส่วนใด ส่วนหนึ่งของร่างกาย และตอ้ งใชจ้ ิตใจเปน็ ความรสู้ กึ ในการรับรู้ ความงาม ที่ปรากฏในโลกนี้ สามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 สว่ น คอื 1.ความงามในธรรมชาติ ความงามในธรรมชาติ คือ ส่ิงที่มีข้ึนเอง เกิดขึ้นเอง ไม่มีมนุษย์ผู้ใด สร้าง ธรรมชาติอยู่รอบตัวเรา ธรรมชาติท้ังเสียง ภาพ สัมผัส กล่ิน มนุษย์สามารถสัมผัสเสียงคลื่น เสียงลม เสียงนก เราสามารถเห็นภาพน้าทะเลเขียวใส ชายฝั่งที่สะอาดสะดุดสายตา ต้นไม้โอนเอน ต้องลม เราสามารถใช้รา่ งกายสมั ผสั ท้องน้า ผืนทราย เราสามารถไดก้ ลนิ่ ไออันบริสทุ ธ์ขิ องลมทะเล สิ่ง ที่เราสัมผัสได้จากธรรมชาติทาให้เราเกิดความสุขใจ สดชื่น ประทับใจ ความรู้สึกเช่นน้ีเกิดเป็นความ งามขนึ้ ในจิตใจช่วยหลอ่ เลี้ยงจติ ใจใหเ้ ปน็ สขุ นอกจากธรรมชาติจะหล่อเล้ียงใจให้เป็นสุขแล้ว ธรรมชาติเป็นบ่อเกิดของแรงบันดาลใจให้ มนุษย์สร้างงานศิลปะ ธรรมชาติเป็นขุมทรัพย์ทางความงาม เม่ือมนุษย์ได้สัมผัส จะเกิดความ ประทับใจ และเกิดแรงบันดาลใจนาไปสร้างงานศิลปะ เสียงในธรรมชาติ เช่นเสียงสรรพสัตว์ต่างๆ เสยี งน้าตก ลมพัดใบไม้ไหว เสยี งคลน่ื ซัดฝัง่ เสียงเหล่านี้ทาให้มนษุ ย์เกิดแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง ในขั้นแรกอาจเป็นการสร้างเสียงเลียนเสียงในธรรมชาติ ต่อมาจึงเพ่ิมเติมความรู้สึกนึกคิด จิตนาการ ผสมผสานเข้าไปในบทเพลง นอกจากน้ัน การผันแปรเปลี่ยนตามฤดูกาลของธรรมชาติทาให้เกิดบท เพลงที่บรรยายถึงความงามของฤดูกาลต่างๆของธรรมชาติขึ้นมากมาย ธรรมชาติจึงมีความสาคัญ อย่างยงิ่ ต่องานศลิ ปะทกุ ประเภท

195 2. ความงามในศิลปะ เน่ืองจากบางครั้ง ธรรมชาติไม่สามารถตอบสนองความต้องการทาง ความงามของมนุษย์ได้ทั้งหมด มนุษย์จึงคิดสร้างสรรค์ความงามข้ึนเอง โดยนาเอาความงามใน ธรรมชาติมาเป็นต้นแบบในการลอกเลียน จัดสรร แต่งเติมใหม่ ตามความคิดและจินตนาการของตน เกิดความงามในรูปแบบใหม่ซึ่งเรียกว่า ศิลปะ ผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ เราเรียกว่า ศิลปิน ศิลปิน สรา้ งสรรค์ความงามโดยมธี รรมชาตเิ ปน็ คลังความรู้ การแบง่ สาขาของศิลปะ ศิลปะมีการแบ่งออกเป็นหลายสาขา และ ใช้หลักในการแบ่งตามวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนี้ 1. ศลิ ปะแบ่งตามจุดมุง่ หมายในการสร้าง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1.1 วิจิตรศิลป์ (Fine Arts) คือ ศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นเพ่ือความงาม ความประณีต ให้เกิด อารมณ์สะเทือนใจ ให้ประสบการณ์ใหม่ และใหค้ วามประเทืองปญั ญาแกผ่ ดู้ ู 1.2 ประยุกต์ศิลป์ (Applied Arts) คือ ศิลปะท่ีสร้างข้ึนเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างอ่ืนด้วย นอกเหนือจากความงามในศิลปะ เช่น เครื่องมือ เคร่ืองใช้ ที่ผลิตให้มีรูปร่างสวยงาม มีลวดลาย ประณีต นอกจากจะสามารถใช้ประโยชน์ได้แล้ว ยังทาให้เกิดความงามน่าจับต้อง น่าใช้ และน่ามอง ด้วย 2. ศิลปะแบง่ ตามลกั ษณะของส่อื ในการแสดงออก แบง่ ออกเป็น 5 สาขา คือ 2.1 จิตรกรรม (Painting) เป็นศิลปะทแี่ สดงออกดว้ ยการใช้ พ้นื ที่ สี ลายเสน้ แสง เงา 2.2 ประติมากรรม (Sculpture) เป็นศิลปะที่แสดงออกด้วยการใช้ วัตถุและปริมาณของ รปู ทรง เช่น งานปั้น งานหล่อ งานแกะสลัก 2.3 สถาปัตยกรรม (Architecture) เป็นศิลปะที่แสดงออกด้วยการใช้วัสดุ โครงสร้าง และ ปริมาณของที่วางกบั รูปทรง เชน่ ผลงานเก่ียวกบั การก่อสร้าง 2.4 วรรณกรรม (Literature) เปน็ ศลิ ปะทแ่ี สดงออกดว้ ยการใช้ภาษา 2.5 ดนตรีและนาฏกรรม (Music and Drama) เป็นศิลปะท่ีแสดงออกด้วยการใช้เสียง และ การเคลอ่ื นไหวของรา่ งกาย 3. ศลิ ปะแบง่ ตามลักษณะของการรบั สัมผัส แบง่ ออกเปน็ 3 สาขา คอื 3.1 ทัศนศิลป์ (Visual Arts) เป็นศิลปะท่ีสัมผัสด้วยการเห็น การดู ได้แก่ จิตรกรรม ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรม 3.2 โสตศิลป์ (Audio Arts) เป็นศิลปะที่สัมผัสได้ด้วยการฟัง ได้แก่ ดนตรี และ วรรณกรรม โดยผ่านการอา่ นหรือการร้อง

196 3.3 โสตทัศนศิลป์ (Audio Visual Arts) เป็นศิลปะท่ีสัมผัสได้ด้วยการเห็นและการฟังพร้อม กัน ได้แก่ นาฏศิลป์ การแสดง การละคร ภาพยนตร์ ซ่ึงเป็นศิลปะที่ต้องใช้ศิลปะสาขาอื่นๆ ได้แก่ วรรณกรรม ดนตรี และ ทัศนศิลป์ มาผสมผสานกัน อาจเรียกศิลปะสาขาน้ีว่า ศิลปะผสม (Mixed Arts) ตรรกศาสตร์ ตรรกศาสตร์หรือตรรกวิทยาความหมาย ตรรกวิทยา คือวิชาที่ว่าด้วยการพิสูจน์ความคิดท่ีแสดงออกมาเป็นภาษา ตรรกศาสตร์จะ พจิ ารณาเฉพาะ ภาษาพูดและภาษาเขียนทมี รี ะบบเสียงและระบบคาชดั เจน ตามนัยนี้ ภาษา หมายถงึ เครอื่ งมอื ทท่ี าใหค้ วามคดิ ปรากฏออกมาและเปน็ สื่อความคดิ ใหผ้ อู้ ่นื เข้าใจ ตรรกวิทยา (Logic) มาจากรากศัพท์ ในภาษากรีกว่า “Logos” และความหมายของคาว่า logos ตามรากศัพท์เดิมในภาษากรีก หมายถึง คาพูด การพูด เหตุผล สมมุติฐาน สุนทรพจน์ คากรีก ท่ีมีรากศัพท์มาจาก logos เช่น logistikon มีความหมายถึง การอธิบาย การให้รายละเอียด นอกจากนย้ี ังมีความหมาย หมายถงึ คาสญั ญา แต่อย่างไรกต็ ามความหมาย ท่ซี ่อนอย่ขู องคาวา่ Logic คือ การคิด นั่นเอง ตรรกวิทยามิใช่เรื่องราวของปรัชญาโดยตรง แต่มีความสาคัญในฐานะเป็น เคร่อื งมอื ในการคดิ ทางปรชั ญา เพ่อื คน้ หาเหตุผลและความถูกผดิ ในการโต้แยง้ ที่ต่างกัน ตรรกวิทยามักจะเป็นส่วนสาคัญของวิชาปรัชญา คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ รวมถึง ภาษาศาสตร์ ตรรกศาสตร์เป็นการตรวจสอบข้อโต้แย้งทส่ี มเหตสุ มผล (valid argument) หรอื การให้ เหตุผลแบบผิดๆ (fallacies) ตรรกศาสตร์ เป็นการศึกษาที่มีมานานโดยมนุษยชาติที่เจริญแล้ว เช่น กรีก จีน หรืออินเดยี และถกู ยกขน้ึ เป็นสาขาวิชาหนงึ่ โดย อรสิ โตเตลิ ตรรกวิทยา เป็นแขนงหน่ึงของคณิตศาสตร์ว่าด้วยเหตุและผล ที่ได้จากสามัญสานึก ข้ัน พื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งมีภาษาเป็นเครื่องถ่ายทอดความหมายเพื่อความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน ภาษาท่ี สาคัญคือ ภาษาพูดและภาษาเขียน ซ่ึงสร้างจากคาต่างๆ แล้วรวบรวมข้ึนเป็นกลุ่มคาท่ีสามารถเข้าใจ ความหมายได้

197 กลุ่มคาที่สร้างข้ึนบางกลุ่มคา เราบอกได้ว่า เป็นจริง บางกลุ่มคาเราบอกได้ว่า เป็นเท็จ แต่ บางกลมุ่ คาเราไม่สามารถบอกได้วา่ เปน็ จรงิ หรอื เป็นเท็จ ตวั อย่างเช่น พิจารณากลุ่มคา ”แม่น้าเจา้ พระยาไหลผ่านกรุงเทพมหานคร” กลุ่มคาน้ใี ห้ความ หมายกระจา่ งชัดว่า เปน็ จริง (เพราะตรงกับความเปน็ จรงิ ) พิจารณากลุ่มคา ”แม่น้าเจ้าพระยาไหลผ่านจังหวัดอุดรธานี” กลุ่มคานี้ให้ความหมายกระจ่างชัดว่า เปน็ เทจ็ (เพราะไมต่ รงกบั ความเป็นจรงิ ) พจิ ารณากลุ่มคา “เขาเปน็ นายกรฐั มนตรี” กลมุ่ คานใ้ี หค้ วามหมายไมก่ ระจา่ งชดั วา่ เปน็ จรงิ หรือ เปน็ เท็จ (เราไมท่ ราบวา่ เขาผ้นู ค้ี อื ใคร) กลุ่มคาทใี่ หค้ วามหมายกระจ่างชัดว่า เปน็ จริง หรอื เปน็ เท็จ แตเ่ พยี งอย่างเดียวน้นั ในทางตรรกวิทยา เรียกกล่มุ คาชนิดนว้ี ่า ประพจน์ กลมุ่ คาท่ีใหค้ วามหมายกระจา่ งชดั ว่า เป็นจริง หรอื เป็นเท็จนั้น ในทางตรรกวิทยาถือว่ากลุ่มคาชนิดน้ี ไมเ่ ป็น ประพจน์ เทววิทยา คาว่า “เทววิทยา” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายไว้ว่า “วิชาทวี่ ่าด้วยพระเจ้า (God) และความสมั พันธ์ระหว่างพระเจ้ากับโลก” เทววิทยา แบ่งออกเปน็ 2 ประเภทคอื 1. เทววทิ ยาธรรมชาติ (Natural Theology) 2. เทววทิ ยาวิวรณ์ (Revealed or Sacred Theology) เทววิทยาธรรมชาติ หมายถึง พระเจ้าเปิดเผยสัจจะไว้ในธรรมชาติโดยให้มนุษย์ใช้ ความสามารถของตนค้นคว้าไปเร่ือย ๆ หมายความวา่ ความจรงิ หรือสจั ภาวะนั้น มิได้ปรากฏเพียงแต่ ในคัมภีร์ หากแตป่ รากฏในธรรมชาตดิ ้วย และกฎธรรมชาตนิ น้ั เปน็ กฎท่ีแนน่ อนตายตัว ไมว่ า่ มนุษย์จะ เอาไปตีความอย่างไร กฎก็ยงั คงเดิมเปน็ นริ นั ดรไม่สะเทือนไปตามความคิดเหน็ และเหตุการณ์ท่มี นุษย์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook