รายงานการวจิ ัย เร่ือง นามานกุ รมบคุ คลพทุ ธศาสน์ Directories of Personal Names in Buddhism โดย พระครูศรปี ญั ญาวิกรม,ผศ.ดร. พระมหาพจน์ สวุ โจ,ผศ.ดร. ดร.ชยาภรณ์ สุขประเสริฐ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาลัยสงฆ์บุรีรมั ย์ ๒๕๖๐ ได้รับทนุ สนับสนนุ การวิจยั จากมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั MCU RS 610760
๒ รายงานการวิจยั เร่อื ง นามานุกรมบคุ คลพทุ ธศาสน์ Directories of Personal Names in Buddhism โดย พระครูศรปี ญั ญาวิกรม,ผศ.ดร. พระมหาพจน์ สวุ โจ,ผศ.ดร. ดร.ชยาภรณ์ สุขประเสริฐ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาลยั สงฆบ์ รุ รี มั ย์ ๒๕๖๐ ได้รับทุนสนับสนุนการวิจยั จากมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั MCU RS 610760 (ลิขสทิ ธ์ิเปน็ ของมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั )
๓ Research Report Directories of Personal Names in Buddhism By PhrakruSripanyavikrom,Dr. Phramaha Poj Suwajo.Dr. Dr.Chayaporn Sukprasert Mahachulalongkornrajavidayalaya University, Buriram Buddhist College B.E. 2560 Research Project Founded by Mahachulalongkornrajavidyalaya University MCU RS 610760 (Copyright Mahachulalongkornrajavidyalaya University)
ก ช่อื รายงานการวิจัย: นามานกุ รมบุคคลพทุ ธศาสน์ ผวู้ ิจัย: พระครูศรีปญั ญาวิกรม,ผศ.ดร. พระมหาพจน์ สุวโจ,ผศ.ดร. และ ดร.ชยาภรณ์ สขุ ประเสริฐ ส่วนงาน: มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาลัยสงฆ์บุรีรมั ย์ ปงี บประมาณ: ๒๕๖๐ ทุนอุดหนนุ การวจิ ยั : มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย บทคัดย่อ งานวจิ ยั เร่ือง “นามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์” มีวัตถุประสงค์ ๒ ประการ คือ ๑) เพื่อสืบค้นช่ือ บุคคลท่ีปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ๒) เพื่อจัดคาอธิบายเกี่ยวกับบุคคลที่ปรากฏในคัมภีร์ทาง พระพุทธศาสนาโดยการจัดลาดับตามตัวอักษร ผู้วิจัยได้ดาเนินการระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผลการดาเนนิ การสรุปไดด้ ังน้ี ๑. รายชอ่ื บุคคลที่ไดจ้ ากการสืบค้นดัชนีท้ายเล่มพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตัดส่วนที่ซ้าออกไปแล้ว คัดเฉพาะรายช่ือท่ีจะได้จัดทาคาอธิบาย จานวนท้ังสิ้น ๑,๐๘๕ รายชื่อ ๒. ได้จัดทาคาอธบิ าย โดยเรยี งตามหมวดพยัญชนะวรรค ๔ หมวด คอื ก ข ค ฆ ง, จ ฉ ช ฌ ญ, ฏ ฐ ฑ ฒ ณ, ต ถ ท ธ น, ป ผ พ ภ ม, และพยัญชนะอวรรค ได้แก่ ย ร ล ว ส ห ฬ อ ตามลาดับ สว่ นลาดับสระ กเ็ รยี งตามรปู สระ อ อา อิ อี เอ โอ ตามลาดับ การจัดทาคาอธิบายได้ใช้หลักฐาน จากคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถาเป็นหลัก คาอธิบายนามานุกรมจะประกอบไปด้วยสาระสาคัญ ๒ ส่วน ได้แก่ ชาตภิ มู ิ และผลงานสาคญั อน่งึ สังคมอนิ เดยี สมัยพุทธกาล นยิ มตง้ั ช่ือใหส้ มั พันธ์กับลักษณะกาเนิด สิ่งแวดล้อม อาชีพหรือ การงาน บุคคลในครอบครัว เช่น บุตรกับบุตร บุตรกับบิดามารดา การต้ังช่ือให้สัมพันธ์กับอุปนิสัย หรือ พฤติกรรม สมั พนั ธก์ บั โคตร และการตั้งชอ่ื ใหส้ ัมพนั ธก์ บั ชะตาชีวติ ซ่ึงส่วนใหญม่ กั เปล่ยี นร้ายใหก้ ลายเป็นดี ด้วยข้อจากับด้านระยะเวลา การจัดทานามานุกรมคร้ังน้ี อาศัยเพียงฐานของมูลจาก พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยเป็นหลัก ทาให้ต้องละชื่อบุคคลในคัมภีร์อรรถกา และช่ือบุคคลร่วมสมัยท่ีมี ความสาคัญทั้งชาวไทย และต่างประเทศ จงึ เสนอแนะไวเ้ พอื่ การจัดทาในโอกาสต่อไป
ข Research Title: Directories of Personal Names In Buddhism Researcher: Phrakrusripanyawikrom, Phramaha Poj Suwajo, and Dr.Chayaporn Sukprasert Department: Mahachulalongkornrajvidyalaya University, Buriram Buddhist College Fiscal Year: 2107 Research Scholarship Sponsor: Mahachulalongkornrajvidyalaya University ABSTRACT The main proposes of Research title ‘Directories of Personal Names in Buddhism’ were (1) to search the personal names in Buddhist Canon (2) to make an explanation on the personal names by means of Directory and qualitative research methodology. The result of research can be summarized as follow: 1. The personal names were collected form Index of Tripitaka Thai version of Mahachulalongkornrajvidyalaya University are 1,085 person for preparing explanation by means of Directory 2. The names were explained in accordance with groups of Pali alphabets and vowels: - k kh g gh n, c ch j jh ñ, h ḍ ḍh ṇ, t th d dh n, p ph b bh m, y r l v s h ḷ and a ä I Î u Ü e o. To make an explanation, Tripitaka and commentaries were used as the main Texts Further, in Indian Paranormal Society, Naming is related to the nature of the environment, occupation or occupation, family members such as children with children and parents. Naming refers to the character or relationship with the descent, and naming in relation to destiny. Most of them turn bad to good. With a limitation of time, this Directory based only on the Thai version of Tripitaka. The name of the person in the others texts and the names of contemporary people, both Thai and abroad, are important to collect for making explanation. So it is recommended to prepare for the next opportunity.
ค กิตติกรรมประกาศ ผู้วิจัยขอขอบคุณสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่ี ให้โอกาสแก่ผ้วู ิจยั ไดท้ าวิจยั เรอ่ื งนี้ ทาให้ผู้วิจัยได้มีโอกาสอ่านทบทวนคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์ อรรถกถาซ้าอีกรอบ ทาให้สัมผัสกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในสมัยพุทธกาล และหลังพุทธกาลซ่ึง ไดร้ บั การจารึกไวเ้ ป็นหลักฐานโดยอรรถกถาจารย์ ซ่ึงทุกครั้งของการอ่านสารวจข้อมูล ผู้วิจัยมักจะได้ ประสบการณ์ใหม่เพ่มิ ขึน้ ทุกครงั้ ประการต่อมา ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิที่ทาหน้าที่ตรวจสอบผลงาน พร้อมทั้ง ข้อเสนอแนะท่ีเป็นประโยชน์ ทาให้งานวิจัยมีความสมบูรณ์มากย่ิงขึ้น ขอบคุณเพื่อนร่วมงานใน สาขาวิชาพระพุทธศาสนาที่บางคร้ัง ได้ช่วยแบ่งเบาภาระงานประจาที่ผู้วิจัยรับผิดชอบอยู่แทน เพ่ือให้ได้มีเวลาในการทุ่มเทงานให้สาเร็จลุล่วงตามกรอบระยะเวลาท่ีกาหนด สุดท้ายขอขอบคุณ เจ้าหน้าทีส่ านกั งานวจิ ัยพุทธศาสตรท์ ุกท่าน ท่ีเก้ือกูล และใส่ใจรายละเอียดต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง ทาให้ งานเปน็ ไปด้วยดี ความดีใด ๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยช้ินน้ี ผู้วิจัยขอยกให้แก่โยมพ่อผู้เป็นแบบอย่าง ชีวติ ในวยั เด็ก พร้อมอุทศิ สว่ นกุศลแกโ่ ยมแม่ผลู้ ว่ งลบั ไปแล้ว พระครศู รปี ญั ญาวิกรม,ผศ.ดร. และคณะ ๔ เมษายน ๒๕๖๑
ช คำอธิบำยสญั ลกั ษณแ์ ละคำยอ่ อกั ษรย่อในสารนิพนธ์ฉบบั น้ี ใชอ้ ้างองิ จากคมั ภรี ์พระไตรปฎิ ก ฉบับมหาจุฬาเตปฏิ กํ พ.ศ.๒๕๐๐ และพระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั เฉลิมพระ เกียรติ สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ ิกติ ์ิ พระบรมราชินนี าถ พ.ศ.๒๕๓๙ โดยไดก้ ล่าวถงึ แหลง่ ทีม่ า /เลม่ /ข้อ/ หนา้ ตามลําดับ วิ.ป.(ไทย) ๘/๓๖๖/๕๕๑ หมายถึง วินัยปฎิ ก ปรวิ าร ภาษาไทย เล่มที่ ๘ ขอ้ ๓๖๖ หน้า ๕๕๑ ฉบับมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ๒๕๓๙ เลม่ คำย่อ ช่ือคัมภรี ์ ๑-๒ ว.ิ มหา. (ไทย) = วินยั ปฎิ ก มหาวิภังค์ (ภาษาไทย) (ภาษาไทย) ๔-๕ ว.ิ ม. (ไทย) = วนิ ัยปฎิ ก มหาวรรค (ภาษาไทย) (ภาษาไทย) ๖-๗ วิ.จ.ู (ไทย) = วินัยปฎิ ก จฬู วรรค (ภาษาไทย) ๘ ว.ิ ป. (ไทย) = วินัยปฎิ ก ปริวารวรรค (ภาษาไทย) (ภาษาไทย) พระสตุ ตนั ตปฎิ ก (ภาษาไทย) (ภาษาไทย) ๙ ที.สี. (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขนั ธวรรค (ภาษาไทย) (ภาษาไทย) ๑๐ ที.ม. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก ทีฆนิกาย มหาวรรค (ภาษาไทย) ๑๑ ที.ปา. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค ๑๓ ม.ม. (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก มชั ฌมิ นกิ าย มชั ฌมิ ปณั ณาสก์ ๑๙ สํ.ม. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค ๒๐ อง.ฺ เอกก. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก องั คุตตรนิกาย เอกกนบิ าต ๒๕ ขุ.ขุ. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ พระอภิธรรมปฎิ ก ๓๔ อภิ.วิ. (ไทย) = อภิธรรมปฎิ ก วิภังค์ อรรถกถำ อรรถกถา ผ้วู ิจัยใชพ้ ระไตรปิฎกฉบับมหามกฏราชวิทยาลัย โดยสญั ลักษณแ์ ละคาํ ย่อตาม พระไตรปิฎกฉบบั ภาษาไทย ส่วนตัวเลขอนุวัตใิ ห้เปน็ ไปตามพระไตรปิฎกและอรรถกถาฉบับมหามกุฏ ราชวทิ ยาลยั เช่น ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๑/๔๑๕ หมายถึง พระสตู รและอรรถกถาแปล ทฆี นิกาย สีล ขนั ธวรรค อรรถกถา เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้า ๔๑๕ ฉบับมหา มกุฏราชวิทยาลยั ๒๕๒๕ เล่มท่ี เล่ม ภำค ตอน คำยอ่ ชอื่ อรรถกถำ ว.ิ มหา.อ. (ไทย) = วนิ ยั ปิฎก สมนั ตปาสาทกิ ามหาวภิ งั คอรรถกถา (ภาษาไทย) วิ.จ.ู อ. (ไทย) = วนิ ัยปฎิ ก สมันตปาสาทกิ า จฬู วรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) ว.ิ ป.อ. (ไทย) = วินยั ปฎิ ก สมันตปาสาทิกา ปริวารวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) ที.สี.อ. (ไทย) = อรรถกถำพระสุตตนั ตปิฎก (ภาษาไทย) ทีฆนกิ าย สุมงั คลวลิ าสนิ ี สลี ขันธวรรคอรรถกถา
ซ ท.ี ม.อ. (ไทย) = ทฆี นิกาย สุมังคลวลิ าสนิ ี มหาวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) ท.ี ปา.อ. (ไทย) = ทีฆนิกาย สมุ ังคลวลิ าสินี ปาฏิกวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) ม.มู.อ. (ไทย) = มัชฌมิ นิกาย ปปญั จสทู นี มูลปัณณาสกอรรถกถา (ภาษาไทย) ม.ม.อ. (ไทย) = มชั ฌิมนิกาย ปปญั จสูทนี มัชฌิมปณั ณาสกอรรถกถา(ภาษาไทย) ม.อุ.อ. (ไทย) = มัชฌมิ นิกาย ปปญั จสทู นี อุปรปิ ณั ณาสก์อรรถกถา (ภาษาไทย) ส.ํ สฬา.อ. (ไทย) = สังยตุ ตนิกาย สารตั ถปกาสนิ ี สฬายตนวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) องฺ. สตฺตก.อ. (ไทย) = อังคตุ ตรนิกาย มโนรถปรู ณี สตั ตกนบิ าตอรรถกถา (ภาษาไทย) สตฺตก.อ. (ไทย) = องั คตุ ตรนิกาย มโนรถปรู ณี สัตตกนบิ าตอรรถกถา (ภาษาไทย)
ง สารบญั บทคัดย่อภาษาไทย………………………………………………………………………………………………………..………………………. ก บทคดั ย่อภาษาอังกฤษ…………………………………………………………………………….……………………………….…………… ข กิตติกรรมประกาศ…………………………………………………………………………………..…………………………………………….. ค สารบญั ………………………………………………………………………………………………………..…………………………………. ………. ง คาอธบิ ายสัญลักษณ์และคายอ่ ……………………………………………………………………..……………………………………. ช บทท่ี ๑ บทนา………………………………………………………………………………….. ๑ ๑.๑ ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา…………………...……….………………. ๑ ๑.๒ วตั ถปุ ระสงค์ของโครงการวจิ ัย…………………………………………………………… ๕ ๑.๓ ขอบเขตของการวิจัย ………………………………………………………………………. ๕ ๑.๔ กรอบคดิ โครงการวจิ ัย.................................................................................. ๖ ๑.๕ ทบทวนวรรณกรรมทเี่ ก่ียวข้อง..................................................................... ๖ ๑.๖ วธิ กี ารดาเนินการวิจัย................................................................................... ๘ ๑.๗ ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะไดร้ ับ........................................................................... ๙ บทท่ี ๒ ระบบการสืบคน้ และความสาคญั ของคัมภีร์...................................... ๑๐ ๒.๑ ระบบการสืบค้น........................................................................................... ๑๐ ๒.๑.๑ แนวคดิ และทฤษฎกี ารสืบค้นทวั่ ไป................................................... ๑๐ ๒.๑.๒ ระบบการสืบค้นคัมภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนา...................................... ๑๒ ๒.๒ ความสาคัญของคมั ภรี ์…………………....……………………………….………… ๑๘ ๒.๓ การจัดทานามานุกรมบคุ คลพทุ ธศาสน์........................................................ ๒๑ บทท่ี ๓ การจัดทาคาอธิบายช่อื บุคคลในคัมภีร์.............................................. ๓๒ ๓.๑ วรรค ก................................................................................................... ๓๒ ก ........................................................................................................... ๓๒ ข ........................................................................................................... ๘๔ ค ........................................................................................................... ๙๑ ฆ ........................................................................................................... ๑๐๐ ๓.๒ วรรค จ................................................................................................... ๑๐๒ จ ........................................................................................................... ๑๐๒ ฉ ........................................................................................................... ๑๑๗ ช ........................................................................................................... ๑๒๒ ๓.๓ วรรค ต................................................................................................... ๑๒๙ ต .......................................................................................................... ๑๒๙ ถ .......................................................................................................... ๑๔๐ ท ........................................................................................................... ๑๔๑
จ บทที่ ๔ ธ .......................................................................................................... ๑๕๓ บทท่ี ๕ น .......................................................................................................... ๑๕๙ ๓.๔ วรรค ป.................................................................................................. ๑๗๔ บ .......................................................................................................... ๑๖๙ ป ........................................................................................................... ๑๗๖ ผ ........................................................................................................... ๒๐๘ พ ........................................................................................................... ๒๑๐ ภ .......................................................................................................... ๒๑๙ ม ........................................................................................................... ๒๓๑ ๓.๔ อวรรค.................................................................................................... ๒๗๑ ย ........................................................................................................... ๒๗๑ ร ........................................................................................................... ๒๗๕ ล ........................................................................................................... ๒๘๔ ว ........................................................................................................... ๒๙๑ ส ........................................................................................................... ๓๐๙ ห ........................................................................................................... ๓๗๘ อ ........................................................................................................... ๓๘๑ วิเคราะห์คตนิ ิยมการตั้งชื่อบุคคลในคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนา.............. ๔๓๒ ๔.๑ แนวคิดและทฤษฎีการต้ังช่ือบุคคล.............................................................. ๔๓๒ ๔.๑.๑ แนวคดิ ท่วั ไป................................................................................... ๔๓๒ ๔.๑.๒ แนวคดิ ในคมั ภรี ์พระพทุ ธศาสนา...................................................... ๔๓๔ ๔.๑.๓ แนวคดิ ตามหลกั ทกั ษาปกรณ์........................................................... ๔๓๕ ๔.๒ วิเคราะหค์ ตนิ ยิ มการต้ังช่อื บคุ คลในคัมภรี ์พระพุทธศาสนา....................... ๔๓๙ ๔.๒.๑ การตั้งช่อื ใหส้ ัมพันธก์ ับลักษณะกาเนดิ ............................................ ๔๓๙ ๔.๒.๒ การต้งั ชอ่ื ใหส้ มั พันธก์ บั ลักษณะแวดลอ้ ม......................................... ๔๓๙ ๔.๒.๓ การต้งั ชื่อให้สมั พันธก์ บั อาชพี หรือการงาน..................................... ๔๔๐ ๔.๒.๔ การตง้ั ชือ่ ใหส้ ัมพันธ์กับบุตรในครอบครัว........................................ ๔๔๐ ๔.๒.๕ การต้ังชอ่ื ใหส้ ัมพันธ์กบั อปุ นิสยั หรือพฤติกรรม............................... ๔๔๑ ๔.๒.๖ การตง้ั ชอ่ื ใหส้ ัมพันธ์กับนามบิดา มารดา ตระกูล หรือโคตร............. ๔๔๒ ๔.๒.๗ การตง้ั ชื่อให้สมั พันธ์กับการเปลี่ยนชะตาชวี ติ ................................... ๔๔๒ ๔.๓ สรปุ ท้ายบท.................................................................................................. ๔๔๓ สรุปผลการวิจยั และขอ้ เสนอแนะ................................................... ๔๔๔ ๕.๑ สรปุ ผลการวิจัย............................................................................................ ๔๔๔ ๕.๒ อภปิ รายผล........................................................................................... ๔๔๖ ๕.๒ ขอ้ เสนอแนะจากการวิจัย............................................................................ ๔๔๗
ฉ บรรณานกุ รม.................................................................................................... ๔๔๘ ภาคผนวก ก............................................................................................................................ ๔๔๙ ภาคผนวก ข............................................................................................................................ ๔๖๐ ภาคผนวก ค............................................................................................................................ ๔๖๕ ภาคผนวก ง............................................................................................................................ ๔๖๙ ประวตั ผิ วู้ ิจยั ............................................................................................................................ ๔๗๓
บทท่ี ๑ บทนำ ๑.๑ ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปัญหำ บรรดาพระสูตรและพระวินัยเป็นคาส่ังสอนของพระพุทธเจ้า เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า นวงั คสตั ถศุ าสน์ ดงั นัยแห่งพระบาลีวา่ “เราไดเ้ ลา่ เรยี นพระสูตรและพระวินัยอันเปน็ นวังคสัตถุศาสน์ทั้งปวง แลว้ ช่วยประกาศศาสนาของพระชนิ เจ้าใหร้ งุ่ เรอื ง”๑ นวังคสัตถุศาสน์ แปลว่า คาสอนของศาสดามีองค์ ๙ ที่ทรงแสดงแก่พระสาวกท้ังหลาย ประกอบด้วย สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม และเวทัลละ๒ คัมภีร์ อรรถกถา๓ ได้อธบิ ายรายละเอียดเพม่ิ เติมไว้ดังนี้ ๑. สุตตะ ได้แก่ อุภโตวิภงั ค์ นทิ เทส ขนั ธกะปริวาร พระสูตรในสุตตนิบาต และพุทธวจนะ อ่ืน ๆ ท่ีมีชอื่ ว่าสตุ ตะ หรอื สตุ ตนั ตะ ๒. เคยยะ ได้แก่ความที่มีร้อยแก้วและร้อยกรองผสมกัน หมายถึงพระสูตรที่มีคาถาท้ังหมด โดยเฉพาะสคาถวรรค ในสงั ยุตตนิกาย ๓. เวยยำกรณะ ได้แก่ ความร้อยแก้วล้วน หมายเอาอภิธรรมปิฎกทั้งหมด พระสูตรท่ีไม่มี คาถา และพทุ ธพจน์อ่นื ใดท่ไี มจ่ ดั เขา้ ในองค์ ๘ ข้อท่เี หลอื ๔. คำถำ ไดแ้ ก่ ความร้อยกรองล้วนหมายเอาธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา และคาถาล้วนใน สตุ ตนิบาตทไ่ี มม่ ชี อ่ื ว่าเปน็ สูตร ๕. อุทำน ได้แก่ พระคาถาท่ีทรงเปล่งด้วยพระทัยอันสหรคตด้วยโสมนัส สัมปยุตด้วยญาณ พรอ้ มทัง้ ขอ้ ความอนั ประกอบอยู่ด้วย รวมเปน็ พระสตู ร ๘๒ สตู ร ๖. อติ ิวตุ ตกะ ไดแ้ ก่ พระสตู ร ๑๑๐ สตู รท่ตี รัสโดยนยั วา่ “วุตฺต เหต ภควตา” ๗. ชำตกะ ได้แก่ ชาดก ๕๕๐ เร่อื งมีอปณั ณกชาดก เป็นต้น ๘. อัพภูตธรรม ได้แก่ พระสูตรท่ีว่าด้วยเหตุอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฏทุกสูตร เช่น ที่ตรัสว่า “ภกิ ษุทัง้ หลาย ความเปน็ อัจฉรยิ ะไมเ่ คยปรากฏ ๔ ประการนี้มอี ย่ใู นอานนท”์ ดังนเ้ี ป็นตน้ ๙. เวทัลละ ได้แก่พระสูตรแบบถามตอบซึ่งผู้ถามได้ทั้งความรู้และความพอใจ ถามต่อ ๆ ไป เช่น จูฬเวทัลลสูตร มหาเวทัลลสูตร สัมมาทิฏฐิสูตร สักกปัญหสูตร สังขารภาชนิยสูตร และมหา ปณุ ณมสตู ร เป็นต้น การจัดคาสอนของพระศาสดาเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะดังกล่าว ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการจัด หมวดหมคู่ าสอนแบบกว้างๆ แต่ก็สามารถให้รายละเอียดลักษณะคาสอนของพระศาสดาท้ัง ๘๔,๐๐๐ พระ ธรรมขันธ์ได้เป็นอย่างดี ทาให้เราได้ทราบว่า คาสอนพระศาสดา แม้จะหลากหลาย ตรัสไว้ในสถานที่ วัน ๑ ข.ุ พทุ ธ.(ไทย) ๓๓/๑๖/๖๔๘. ๒ ดู วิ.ม.(ไทย) ๑/๑๙/๑๑, ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๓๘/๒๕๒, องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๖/๑๐ เปน็ ตน้ . ๓ อง.ฺ จตุกฺก.อ.๒/๖/๒๘๒,ว.ิ อ. ๑/๒๖.
๒ เวลา และโอกาสที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็ประมวลอยู่ในหมวดหมู่ดังกล่าว และถือเป็นจุดเร่ิมต้นของการ จดั ลาดับคาสอนใหเ้ ป็นหมวดหมู่ เพือ่ สะดวกในการศกึ ษา นามานุกรม มาจากคาว่า นาม แปลวา่ ชอื่ และ อนุกรม แปลว่า การจัดลาดับ รวมความว่า การ จดั ลาดบั ช่ือ โดยเนอื้ หาเป็นหนังสืออ้างอิงประเภทหนึ่งท่ีมีการเรียบเรียงและการจัดคาตามลาดับอักษรโดย ใช้วิสามัญนามหรือชื่อเฉพาะมาต้ังเป็นคาศัพท์ แล้วอธิบายหรือให้ข้อมูลรายละเอียดมากพอที่ผู้ค้นคว้าจะ นาไปใช้ประโยชน์ได้ เรยี กอีกชอื่ หนึ่งว่า ทาเนยี บนาม นามานุกรมอาจรวบรวมรายช่ือของบุคคล สถาบัน สมาคม หน่วยงานต่างๆ เรียงตามลาดับ อักษรของชื่อนั้นๆ หรือจัดเรียงลาดับรายช่ือเป็นหมวดหมู่ พร้อมทั้งให้เร่ืองราวเก่ียวกับความสาคัญของช่ือ นั้น พร้อมทั้งตาบลที่อยู่หรือที่ตั้งของช่ือนั้นๆ จัดเป็นหนังสืออ้างอิงประเภทให้คาตอบทันที (Ready Reference)๔ ซง่ึ หนังสือในกล่มุ นจี้ ะประกอบไปด้วย ๑. พจนานกุ รม (Dictionaries) ๒. สารานกุ รม (Encyclopedias) ๓. หนังสือรายปี (Yearbooks) ๔. หนังสือคู่มือ (Handbook) ๕. นามานกุ รม (Directories) ๖. อักขรานกุ รมชีวประวัติ (Biographical Dictionaries) ๗. หนังสอื อา้ งองิ ภมู ศิ าสตร์ (Geographical Sources) ๘. สงิ่ ตีพมิ พ์รฐั บาล (Government Publications)๕ หนังสืออ้างอิงประเภทให้คาตอบทันที (Ready Reference) แต่ละประเภทมีรายละเอียดและ วัตถุประสงค์แตกต่างกันอย่างไรขอยกไว้ ในที่น้ีจะกล่าวถึงเฉพาะหนังสืออ้างอิงประเภทนามานุกรม (Directories) เพยี งอยา่ งเดียวเท่านน้ั พิมลวรรณ ประเสรฐิ วงษ์ ไดจ้ าแนกนามานกุ รมไว้เปน็ ๕ ประเภท๖ ไดแ้ ก่ ๑. นำมำนุกรมท้องถ่ิน (Local Directories) เป็นนามานุกรมท่ีจัดทาข้ึนในท้องถิ่นต่างๆ เช่น สมุดโทรศัพท์ของเมืองนั้นๆ ของจังหวัด ชองรัฐ หรือของภาค ทาเนียบนามโรงเรียนในท้องถ่ินในจังหวัด เขตการศกึ ษา เป็นตน้ ๒. นำมำนุกรมสถำบัน (Institutional Directories) เป็นนามนุกรมท่ีรวบรวมรายช่ือของ สถาบัน สมาคม มูลนิธิ โรงพยาบาล พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด และองค์การ เช่น ทาเนียบวัดแห่งประเทศไทย รวม ๗๖ จงั หวดั ๓. นำมำนกุ รมรฐั บำล (Government Directories) เปน็ นามานกุ รมที่รวบรวมรายชือ่ ทอ่ี ยู่ของ หนว่ ยงานของรัฐบาล เชน่ ทาเนียบข้าราชการกระทรวงศึกษาธกิ าร ๔ หนังสืออ้างอิงอีกประเภทหนึ่ง ได้แก่หนังสืออ้างอิงประเภทบอกแหล่งค้นคว้า เช่น บรรณานุกรม ดัชนี ผู้ ต้องการคาตอบทันทีจะค้นหาข้อมูลจากหนังสือประเภทนี้ไม่ได้ เนื่องจากหนังสืออ้างอิงประเภทน้ี จะระบุเพียงรายช่ือ หนังสอื ผแู้ ตง่ ผู้จัดพิมพ์ หรอื รายการวารสารที่สามารถจะพบบทความที่ต้องการค้นคว้าไดต้ ามทร่ี ะบไุ ว้ ผู้ใช้หนังสือต้องไป คน้ หาคาตอบตามทีร่ ะบไุ ว้เอง ๕ “หนังสืออ้างอิง”[ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://www.gotoknow.org/posts/ 440947 (๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๐). ๖ “นามานกุ รม” [ออนไลน์]. แหล่งทีม่ า: http://guru.sanook.com/2330/ (๒๙ ธนั วาคม ๒๕๖๐).
๓ ๔. นำมำนุกรมบุคคลในอำชีพใดอำชีพหน่ึง (Professional Directories) เป็นนามานุกรมท่ี รวบรวยรายชื่อบุคคลในอาชีพต่างๆ นามานุกรมแต่ละเล่มมักรวมรายชื่อบุคคลในอาชีพใดอาชีพหน่ึง โดยเฉพาะในอาชีพใดอาชีพหน่ึงโดยเฉพาะ เช่น ทาเนียบสมาชิกสมาคมแพทย์ ทาเนียบนามนักวิจัย การศกึ ษา ๕. นำมำนุกรมด้ำนธุรกิจกำรค้ำ (Trade and Business Directories) เป็นนามานุกรมด้าน ธุรกิจการคา้ เป็นนามานกุ รมท่รี วบรวมรายชื่อบริษัทโรงงานอุตสาหกรรม นามานุกรมเปน็ คมู่ ือใหส้ ามารถค้นหาขอ้ เท็จจรงิ ในเร่อื งดังต่อไปน้ี๗ ๑. ชื่อบคุ คลและสถานท่ีอยู่ ๒. ชวี ประวัตทิ ่ที ันสมยั เช่น ตาแหน่งหน้าทใ่ี นปัจจุบนั ๓. ชื่อหนว่ ยงาน องค์การตา่ ง ๆ และสถานท่ีตง้ั ๔. เรื่องราวเก่ียวข้องกับหน่วยงาน องค์การน้ัน ๆ เช่น ปีที่จัดต้ัง จานวนสมาชิก จานวน บคุ ลากรของหนว่ ยงาน วัตถุประสงค์ และหนา้ ทก่ี ิจกรรมและสถติ ใิ นดา้ นตา่ ง ๆ ๕. ใช้ประโยชน์ในการคัดเลือกและรวบรวมรายช่ือห้างร้าน บริษัท หน่วยงาน สมาคม ฯลฯ พร้อมท้งั สถานท่ตี ้ัง เพอ่ื การตดิ ตอ่ งานธุรกิจการค้าหรือการติดตอ่ เพื่อจุดมุ่งหมายอย่างใดอยา่ งหน่งึ จะเห็นได้ว่า หนังสือนามานุกรมเป็นแหล่งข้อมูลท่ีมีประโยชน์ต่อการติดต่อส่ือสารใน ชีวิตประจาวันของบุคคลทุกคน และของหน่วยงานทุกหน่วยงาน ทั้งท่ีเป็นของรัฐบาลและของเอกชน ปัจจุบันจึงมีการจัดทาหนงั สือประเภทนามานกุ รมไว้หลายประเภท เช่น นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย๘ จัดทาโดยมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรม ราชกุมารี, นามานุกรมมงคล ผลงานของโกวิท ตั้งตรงจิตร จัดพิมพ์โดยสานักพิมพ์คา เป็นหนังสือที่ให้ ความรู้เกย่ี วกับการต้งั ช่ือ หลักการคือ ก่อนท่ีจะพิจารณาตั้งชื่อ จาเป็นจะต้องสารวจดูจากแผนภูมิตามหลัก ทักษาปกรณ์ให้ละเอียดก่อนว่า อักษรตัวไหนเป็น เดช ตัวไหนเป็น ศรี ตัวไหนเป็น กาลกิณี ซ่ึงต้องพิถีพิถัน ในเรื่องนกี้ อ่ นประเด็นอ่ืน หากตั้งชื่อท่ีเป็นสิริมงคล ย่อมจะทาให้ชีวิตของบุคคลน้ันประสบความรุ่งเรือง แต่ หากตงั้ ชอ่ื ไม่ดี มตี ัวกาลกิณอี ยรู่ ่วมด้วย กอ็ าจจะนาความเสอื่ มเสยี หรอื ภัยพบิ ตั มิ าสู่เจา้ ของชอื่ ได้ นามานุกรมนักเขียน-นักแปล๙ ของอรอนงค์ ชาคร จัดพิมพ์ในนามโครงการวิชาการด้าน วรรณศิลป์ สานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม, นามานุกรมรามเกียรต์ิ๑๐ ผลงานของ ร่ืนฤทัย สัจจพันธุ์ จัดพิมพ์โดยสานักพิมพ์สถาพร ปรับปรุงใหม่ล่าสุด ปี ๒๕๕๔ เป็นงานที่รวบรวมความ เปน็ มาของตวั ละคร สถานที่ พธิ ี และอาวุธในเรื่องรามเกียรตไ์ิ วอ้ ย่างละเอยี ด ถือเปน็ หลกั สาหรับการค้นคว้า ข้อมูลเร่ืองรามเกียรต์ิได้ท้ังหมด, นามานุกรมนวัตกรรมท้องถิ่นไทย๑๑ ผลงานของจรัส สุวรรณมาลา ๗ “นามานกุ รม” [ออนไลน์]. แหลง่ ทม่ี า: http://wachum.com/eBook/1630101/directory.html/ (๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๐). ๘ มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, นำมำนุกรมพระมหำกษัตริย์ไทย, (กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ พบั ลเิ คชั่นส์ จากัด, ๒๕๕๔), ๒๖๔ หน้า. ๙ อรองค์ ชาคร และคณะ, นำมำนุกรมนักเขียน-นักแปล, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๓), ๒๖๒ หน้า. ๑๐ รื่นฤทัย สัจจพันธ์, นำมำนุกรมรำมเกียรติ์ ฉบับปรับปรุงใหม่, (กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์, ๒๕๕๔), ๒๓๔ หน้า. ๑๑ จรัส สุวรรณมาลา และคณะ, นำมำนุกรมนวัตกรรมท้องถิ่นไทย : ประจำปี พ.ศ.๒๕๔๗, (กรุงเทพฯ: สานักงานกองทุนสนบั สนนุ การวจิ ัย, ๒๕๔๘), ๒๙๑ หนา้ .
๔ สานกั งานกองทุนสนบั สนนุ การวิจัย จดั พมิ พ์คร้ังที่ ๓ พ.ศ.๒๕๔๘, นามานุกรมวรรณคดีไทย๑๒ ผู้จัดทาแบ่ง ออกเป็น ๓ ชุด ชุดที่ ๑ ว่าด้วย ช่ือวรรณคดี ชุดที่ ๒ ว่าด้วย ชื่อผู้แต่ง และชุดที่ ๒ ว่าด้วย ตัวละคร ช่ือ สถานท่ี และชื่อปกณิ ณกะ, นามานุกรมพิพธิ ภัณฑสถานในประเทศไทย๑๓ เป็นหนังสือท่ีรวบรวมรายชื่อและ รายละเอียดเก่ียวกับพิพิธภัณฑสถานในประเทศไทย โดยภัณฑารักษ์และนักวิชาการของพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาตทิ กุ แหง่ ทัง้ ของราชการและเอกชน ซง่ึ มพี พิ ิธภัณฑสถานทั้งสิ้น ๔๘๖ แหง่ จาก ๗๖ จังหวัด เพ่ือเป็น ประโยชน์ตอ่ ผูท้ ่อี ยใู่ นแวดวงพพิ ธิ ภัณฑสถาน ผู้ทเี่ กยี่ วข้อง และผสู้ นใจท่วั ไป, นามานุกรมขุนช้าง-ขุนแผน๑๔ ผู้แต่งคือ ประจักษ์ ประภาพิทยากร ตีพิมพ์เผยแพร่คร้ังแรกโดย สานักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ.๒๕๐๘, นามานุกรมศิลปินเพลงไทย๑๕ ผู้แต่งคือ พูนพิศ อมาตยกุล ได้ รวบรวมศิลปินเพลงไทยในรอบ ๒๐๐ ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จัดพิมพ์โดยสานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๓๒, นามานุกรมพระเคร่ือง๑๖ ผลงานของพินัย ศักด์ิเสนีย์ ให้ความรู้เก่ียวกับพระ เครื่องต่าง ๆ สาระสาคัญมีความเก่ียวข้องกับศิลปะและพระพุทธศาสนาที่มีคุณค่ายิ่ง, ภูมินามานุกรม๑๗ ของสมบัติ จาปาเงิน จัดพิมพ์โดยสานักพิมพ์สุขภาพใจ เป็นหนังสือที่ให้ประโยชน์ในการเขียนชื่อประเทศ เมอื งหลวง ทวีป เขต รัฐ ดินแดนต่างๆ ให้ถูกต้อง โดยยึดประกาศของราชบัณฑิตยสถาน,นามานุกรมเอดส์ และเพศศึกษา๑๘ เป็นหนังสือที่รวบรวมรายช่ือหนังสือ/เอกสารด้านเอดส์ และเพศศึกษา ท่ีมีอยู่ในศูนย์ ข้อมูลข่าวสารด้านเอดส์ ซ่ึงปัจจุบันน้ีอยู่ในมุมหน่ึงของห้องสมุดสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน เพื่อส่งเสริม การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของผู้ใช้บริการท้ังคนไทยและชาวต่างชาติ, นามานุกรมเคร่ืองจักรสาน๑๙ ผลงาน ของวิบูลย์ ลี้สุวรรณ์ รวมคาศัพท์เก่ียวกับเครื่องจักรสานมากกว่า ๑,๐๐๐ คา สาพิมพ์เมืองโบราณจัดพิมพ์ ๒๕๕๓ เป็นต้น จากรายละเอียดข้างต้นจะเห็นว่า นามานุกรม เป็นหนังสือท่ีมีประโยชน์ เพราะสามารถใช้เป็น ฐานข้อมูลในการค้นหาข้อเท็จจริงเก่ียวกับบุคคลด้านต่าง ๆ ได้โดยง่าย จึงมีการจัดทานามานุกรมบุคคล ออกมาเผยแพร่กนั อย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม เม่ือย้อนกลับมาพิจารณาในวงการพระพุทธศาสนา หนังสืออ้างอิงลักษณะ ดังกล่าวนี้ ยังมีน้อย และส่วนใหญ่เป็นผลงานของปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาในอดีต เช่น คัมภีร์ ๑๒ มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, นำมำนุกรมวรรณคดีไทย ชุดท่ี ๑-๒-๓, พิมพ์เน่ืองในวโรกาสทรง เจริญพระชนมายุ ๕๐ พรรษา ๒ เมษายน ๒๕๔๙. ๑๓ กรมศิลปากร, นำมำนกุ รมพิพิธภัณฑสถำนในประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: สานักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ, ๒๕๔๙), ๔๐๐ หน้า. ๑๔ ประจักษ์ ประภาพิทยากร, นำมำนุกรมขุนช้ำง-ขุนแผน, (พระนคร: ไทยวัฒนาพานิช,๒๕๐๘), ๓๒๘ หนา้ . ๑๕ พนู พศิ อมาตยกลุ และคณะ, นำมำนุกรมศิลปินเพลงไทยรอบ ๒๐๐ ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์: รำยงำน ผลกำรวจิ ยั , จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๒. ๑๖ พนิ ยั ศกั ด์ิเสนยี ,์ นำมำนกุ รมพระเคร่อื ง, (พระนคร: สานกั พมิ พ์ผดงุ ศึกษา,๒๕๐๒),๗๘๘ หน้า. ๑๗ สมบัติ จาปาเงนิ , ภมู นิ ำมำนุกรม, (กรุงเทพฯ: สานักสขุ ภาพใจ,๒๕๔๕), ๒๙๖ หนา้ . ๑๘ ศศิมา ทองคา และคณะ, นำมำนุกรมเอดส์และเพศศึกษำ, (นครปฐม: สถาบันพัฒนาการสาธารณสุข อาเซยี น มหาวิทยาลยั มหิดล,๒๕๔๒), ๓๓๘ หนา้ . ๑๙ วบิ ูลย์ ลี้สุวรรณ, นำมำนุกรมเคร่ืองจักรสำน, (กรุงเทพฯ: สานกั พิมพเ์ มอื งโบราณ,๒๕๕๓), ๓๖๘ หนา้ .
๕ อภิธานัปปทีปิกา๒๐ งานนิพนธ์พระมหาโมคคัลลานะ พระเถระชาวศรีลังกา, สารานุกรมพระพุทธศาสนา ประมวลจากพระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส๒๑ เป็นต้น ท่ีเป็นผลงานร่วม สมัยก็พอมีอยู่บ้าง เช่น พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์๒๒ ฉบับประมวลธรรม๒๓ และกาลานุ กรม๒๔ ซง่ึ เป็นงานนิพนธ์ของพระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ผู้วิจัยมีความเห็นคัมภีร์พระไตรปิฎก มีช่ือบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นจานวนมาก พิจารณาได้ จากดชั นที ้ายเล่มของพระไตรปฎิ กแต่ละเล่ม บางชื่อปรากฏซ้ากันในหลายเล่ม ส่วนท่ีซ้ามีเนื้อหาซ้ากันก็มี มี เน้อื หาแตกต่างกันออกไปกม็ ี หากมกี ารนามาร้อยเรียง และจดั ทาคาอธิบายโดยใชห้ ลกั วิชาการสมัยใหม่เข้า มาช่วยในรูปของนามานกุ รม จะก่อใหเ้ กิดประโยชน์ต่อวงการศึกษาพระพุทธศาสนาโดยภาพรวม ทั้งสะดวก และกระชบั ในการสืบคน้ ขอ้ มลู การเรียนรู้ประวัติบุคคลพุทธศาสน์ ก็เหมือนกับการได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาใน มิตติ า่ ง ๆ ไปด้วย เพราะศัพท์บุคคลแต่ละคนท่ีถูกเก็บนามาเขียนคาอธิบาย ล้วนมาจากคัมภีร์พระไตรปิฎก ซ่ึงย่อมจะมีความสาคัญ และเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนาไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม เทา่ กบั ได้รวบความความหลากหลายมารวมอยใู่ นหมวดหมู่เดียวกัน นามานุกรมพุทธศาสน์ จึงน่าจะเป็นงานอีกช้ินหน่ึงที่มีความจาเป็น และมีความสาคัญ เพราะ เม่อื กลา่ วถงึ พระพุทธศาสนา มเี น้ือหา และขอบเขตกว้างขวางมาก แม้ขอบเขตท่ีเก่ียวข้องกับตัวบุคคลเพียง อย่างเดียว ก็น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นงานที่ท้าทายความวิริยะอุตสาหะอยู่พอสมควร เพราะเหตุว่า บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา มีท้ังส่วนท่ีปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎก คัมภีร์อรรถกถา ฎีกา อนุฎกี า นีย่ งั ไม่นบั บุคคลรว่ มสมยั ทม่ี ีบทบาทสาคัญตอ่ วงการพระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ ท่ัวโลก การจัดทานามานุกรมพทุ ธศาสตร์จึงนา่ จะเปน็ ประโยชน์ตอ่ การศึกษาพระพุทธศาสนาอยา่ งกวา้ งขวาง อาศัยเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงเสนอโครงการวิจัยเร่ือง นามานุกรมพุทธศาสน์ เสนอต่อ สถาบันวจิ ัย เพื่อของบประมาณสนบั สนนุ พร้อมทงั้ ดาเนนิ การใหเ้ ปน็ รูปธรรมสบื ตอ่ ไป ๑.๒ วัตถุประสงค์ของโครงกำรวจิ ยั ๑.๒.๑ เพอื่ สบื คน้ ชอ่ื บคุ คลทปี่ รากฏในคัมภีรท์ างพระพุทธศาสนา ๑.๒.๒ เพ่ือจัดคาอธิบายเกี่ยวกับบุคคลที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาโดยการจัดลาดับ ตามตัวอกั ษร ๑.๓ ขอบเขตของโครงกำรวจิ ยั ๒๐ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ทรงแปล. พระคัมภีร์อภิธำนัปปทีปิกำ, (กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), ๕๒๐ หนา้ . ๒๑ สุเชาวน์ พลอยชุม, สำรำนุกรมพระพุทธศำสนำ, พิมพ์ครั้งท่ี ๒ (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙), ๗๙๓ หน้า. ๒๒ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนำนุกรมพุทธศำสตร์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์คร้ังที่ ๒๖, (กรุงเทพฯ: สานักพิมพผ์ ลิธัมม์ จดั พมิ พ์, ๒๕๕๘), ๖๐๐ หน้า. ๒๓ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนำนุกรมพุทธศำสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งท่ี ๓๓, (กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์ผลธิ ัมม์ จดั พมิ พ์, ๒๕๕๘), ๓๘๙ หนา้ . ๒๔ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), กำลำนุกรม พระพุทธศำสนำในอำรยธรรมโลก, พิมพ์ครั้งท่ี ๖, (กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พผ์ ลิธมั ม์ จัดพิมพ,์ ๒๕๕๕), ๒๗๕ หนา้ .
๖ ๑.๓.๑ ขอบเขตดำ้ นเนือ้ หำ จัดทานามานุกรมพุทธศาสน์ โดยการคัดเลือกช่ือที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกเรียบเรียง ตามลาดับตัวอักษร โดยเริ่มจากพยัญชนะ วรรค ต่อด้วยพยัญชนะ อวรรค พร้อมกับจัดทาคาอธิบาย ประกอบโดยอาศัยขอ้ มูลจากคัมภรี อ์ รรถกถาประกอบ ๑.๓.๒ ขอบเขตของคัมภีร์ ในระยะที่ ๑ น้ี ผู้วิจัยใช้คัมภีร์พระไตรปิฎกภาษาไทย ๔๕ เล่ม ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั เป็นหลัก สว่ นคาอธิบายประกอบ จะใชค้ มั ภีร์อรรถกถาเปน็ หลกั ๑.๔. กรอบแนวคดิ ของโครงกำรกำรวจิ ยั กรอบแนวคดิ ในกำรวจิ ยั สืบค้นชอื่ บุคคล พระไตรปฎิ ก พระไตรปิฎก จดั หมวดหมู่ตามลาดับ พระไตรปฎิ ก อรรถกถา อักษรพร้อมคาอธิบาย อรรถกถา นามานกุ รมพทุ ธศาสน์ นามานกุ รมบคุ คล ๑.๕. ทบทวนวรรณกรรม/กรอบแนวคดิ และทฤษฎีทีเ่ กี่ยวขอ้ ง ๑.๕.๑ สังคีตสูตร ตวั อยำ่ งกำรจดั หมวดหมู่คำสอนในพระไตรปฎิ ก สงั คตี สิ ตู ร มาในพระไตรปิฎกทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค๒๕ เนอื้ ความแห่งพระสูตรมีเรื่องราวเก่ียวกับ การจัดหมวดหมู่คาสอนของพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก โดยปรารภเง่ือนไขของการแตกกันของพวกนิครนถ์ ภายหลังศาสดาถึงแก่กรรมแล้ว เหตุมิได้มีการรวบรวมคาสอนของศาสดาไว้เป็นหมวดหมู่ พระสารีบุตรได้ เทียบเคียงเหตุการณ์ดังกล่าว เกรงว่าจะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา จึงได้ปรารภกับเหล่าภิกษุทั้งหลาย จากน้ันก็ได้ร้อยกรองหมวดหมู่ธรรมขึ้นเป็นครั้งแรก โดยการใช้จานวนข้อธรรมท่ีทรงแสดงเป็นตัวกาหนด หมวดหมู่ของธรรม กล่าวคือ ธรรมะเหล่าใดท่ีทรงแสดงมีเพียงหัวข้อเดียว ก็จัดเป็นหมวด ๑, มีหัวข้อธรรม ๒๕ ท.ี ปำ.(ไทย) ๑๑/๒๙๖/๒๔๗.
๗ ๒ ข้อ ก็จัดเป็นหมวด ๒ มีหัวข้อธรรม ๓ ข้อ ก็จัดเป็นหมวด ๓, มีหัวข้อธรรม ๔ ข้อ ก็จัดเป็นหมวด ๔, ดังน้ีเรื่อยไปกระท่ังถึงหมวด ๑๐ ภายหลังจากพระสารีบุตรแสดงแนวทางการจัดการหมวดธรรมสิ้นสุดลง พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัย และเหล่าภิกษุท้ังหลายก็ได้กล่าวช่ืนชมเป็นอเนกประการ การจัดหมวดหมู่ ธรรมในลักษณะดังกล่าวน้ี ต่อมาคณะสงฆ์ก็ได้นามาใช้เป็นแนวทางในการกาหนดข้อธรรมในหลักสูตรการ เรยี นการสอนของพระปรยิ ัติธรรมแผนกธรรม ๑.๕.๒ คัมภรี ์อภิธำนปั ปทปี กิ ำ งานนพิ นธ์พระมหาโมคคัลลานะ พระเถระชาวศรลี งั กา คัมภีร์อภิธำนัปปทีปิกำ๒๖ ถือเป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยศัพท์ที่เป็นนามบัญญัติท่ีจารึกอยู่ในคัมภีร์ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกาไว้อย่างสมบูรณ์ รจนาขึ้นโดยพระมหาโมคคัลลานะ มหาเถระผู้ เป็นปราชญ์ชาวศรีลังกา โดยอาศัยการอปุ ถัมภข์ องพระเจา้ ปรกั มพาหุท่ี ๑ และได้อาศัยนัยจากคัมภีร์อมรโก สะ โดยแบง่ ศพั ทอ์ อกเปน็ ๓ หมวด เรียกวา่ กณั ฑ์ ไดแ้ ก่ ๑) สัคคกัณฑ์ แสดงศัพท์ท่ีมีความหมายว่า พระพุทธเจ้า นิพพาน พระอรหันต์ สวรรค์ เทวดา และอสรู โดยจดั คาทม่ี คี วามหมายเหมือนกันไว้ด้วยกัน ๒) ภูกัณฑ์ แบ่งเป็น ๗ วรรคย่อย ได้แก่ ภูมิวรรค แสดงศัพท์โวหารเกี่ยวกับแผ่นดิน, ปุร วรรค แสดงศัพท์เก่ียวกับเมืองและประเทศ, นรวรรค แสดงศัพท์เก่ียวกับมนุษย์, จตุพพวรรณวรรค แสดง ศัพท์เกี่ยวกับสี, อรัญญวรรค แสดงศัพท์เก่ียวกับป่าไม้, เสลวรรค แสดงศัพท์เกี่ยวกับภูเขา, ปาตาลวรรค แสดงศัพทเ์ กีย่ วกับโลกบาดาล ๓) สามัญญกัณฑ์ แบ่งเปน็ ๔ วรรคย่อย ไดแ้ ก่ วิเสสยาธีนวรรค แสดง ศัพท์ โวหาร ท่ีเป็น บทวเิ สสนะอนั เกี่ยวข้องกับลิงคท์ ้ัง ๓, สังกณิ ณวรรค แสดงศัพท์ โวหารเบ็ดเตลด็ ทว่ั ไป, อเนกัตถวรรค แสดง บททมี่ เี นอ้ื ความหลายอยา่ ง,อพั ยยวรรค แสดงอรรถของบทอุปสคั และบทนิบาต ๑.๕.๓ สำรำนุกรมพระพทุ ธศำสนำ สารานุกรมพระพุทธศาสนา๒๗ เป็นหนังสืออ้างอิงทางวิชาการเก่ียวกับคาศัพท์ทาง พระพุทธศาสนาท่ีสาคัญอีกเล่มหนึ่ง สุเชาว์ พลอยชุม ได้เรียบเรียงจากงานนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณ เจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรส โดยใช้การจัดลาดับหมวดหมู่ศัพท์ตามตัวอักษรตั้งแต่ ก-ฮ แล้วอธิบายขยาย ความตามลาดับหมวดหมู่อักษร คาอธิบายได้อิงอาศัยแนวทางแห่งคาอธิบายในพระไตรปิฎก อรรถกถา ถือ เปน็ แบบแผนของการจดั ทาหนงั สอื ประเภทสารานกุ รมพระพุทธศาสนาท่สี าคัญอีกเล่มหนึง่ ๑.๕.๔ พจนำนุกรมพทุ ธศำสตร์ ฉบบั ประมวลศัพท์และฉบบั ประมวลธรรม พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์๒๘ และประมวลธรรม๒๙ ถือเป็นผลงานที่สาคัญอีก เล่มหนึ่งในแวดวงวิชาการพระพุทธศาสนา ผลงานนิพนธ์ของสมเด็จพระพุทธโฆสาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) แบ่งเป็น ๒ ชุดตามลักษณะของเน้ือหากล่าวคือ ฉบับประมวลศัพท์ เป็นการเก็บศัพท์สาคัญในคัมภีร์ ๒๖ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ทรงแปล. พระคัมภีร์อภิธำนัปปทีปิกำ, (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๔๑), ๕๒๐ หนา้ . ๒๗ สุเชาวน์ พลอยชุม, สำรำนุกรมพระพุทธศำสนำ, พิมพ์คร้ังที่ ๒ (กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙), ๗๙๓ หนา้ . ๒๘ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนำนุกรมพุทธศำสตร์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์คร้ังท่ี ๒๖, (กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์ผลธิ มั ม์ จัดพมิ พ์, ๒๕๕๘), ๖๐๐ หน้า. ๒๙ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนำนุกรมพุทธศำสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งท่ี ๓๓, (กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พ์ผลิธมั ม์ จัดพิมพ์, ๒๕๕๘), ๓๘๙ หน้า.
๘ พระพุทธศาสนามาอธิบาย โดยการจัดลาดับตามตัวอักษร ขณะท่ีประมวลธรรม ได้จัดหมวดหมู่ธรรมหมวด ธรรม และอธิบายเป็นหมวด ๆ ไป คล้ายกับแนวท่ีจัดในสังคีติสูตร ปัจจุบันหนังสือท้ัง ๒ เล่ม ได้รับการ อา้ งองิ ทางวิชาการอย่างกว้างขวาง และได้รับการตีพมิ พเ์ ผยแพร่หลายคร้งั ๑.๕.๕ กำลำนุกรม งานนิพนธ์ของพระพุทธโฆสาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) กำลำนุกรม: พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก๓๐ ถือเป็นหนังสืออ้างอิงเกี่ยวกับ พระพทุ ธศาสนาทสี่ าคัญอีกเล่มหนง่ึ หนงั สอื น้ีไดอ้ าศัยชว่ งระยะเวลาจัดลาดบั ในการอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ ทเี่ กี่ยวข้องกบั พระพุทธศาสนา โดยเทียบเคียงกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอารยธรรมโลก นอกจากจะทาให้เห็น ภาพของพระพุทธศาสนาโดยภาพรวมแล้ว ยังสามารถเทียบเคียงกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอารยธรรมโลกไป พรอ้ ม ๆ กันดว้ ย ๑.๕.๖ พจนำนุกรมฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ.๒๕๕๔ พจนำนกุ รมฉบับรำชบณั ฑิตยสถำน พ.ศ.๒๕๕๔๓๑ ได้รับการตีพิมพ์คร้ังแรกเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๖ แต่ก็ใช้ช่ือ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ทั้งน้ีด้วยประสงค์ต้องการให้เป็นการเฉลิมพระ เกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เน่ืองในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ การจัดหมวดศัพท์ในพจนานุกรมฉบับนี้ ตัวพยัญชนะจัดเรียงตามลาดับตัวอักษร ก-ฮ ส่วนสระ จัดเรียง ตามลาดับเสียง ไม่ใช่เรียงตามลาดับรูป ผู้วิจัยได้ใช้แนวคิดในการจัดลาดับพยัญชนะ และสระของ พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ นเี้ ปน็ แนวในการจัดลาดับอักษรในงานวิจัย ๑.๖. วธิ กี ำรดำเนินกำรวิจัย การวิจัยคร้ังนี้ เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Document Research) โดยผู้วิจัยดาเนินการ ตามลาดบั ดังต่อไปน้ี ๑.๖.๑ สบื คน้ หาชอ่ื บุคคลทปี่ รากฏอยู่ในดชั นที ้ายเลม่ พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบับมหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ฉบับตีพมิ พ์พุทธศกั ราช ๒๕๓๕ คัดช่ือท่ีซ้า และช่ือที่ไม่ใช่บุคคล เช่น เทวดา คนธรรพ์ นาค เป็นตน้ ออกเสยี ๑.๖.๒ นาช่ือบุคคลเหล่าน้ันมาจัดเรียบลาดับตามตัวอักษร ยึดตามแบบแผนที่บุรพาจารย์ได้ กาหนดไวแ้ ลว้ คอื หมวด ก วรรค ประกอบด้วย ก ข ค ฆ ง, หมวด จ วรรค ประกอบด้วย จ ฉ ช ฌ ญ, หมวด ฏ วรรค ประกอบด้วย ฏ ฐ ฑ ฒ ณ, หมวด ต วรรค ประกอบด้วย ต ถ ท ธ น, หมวด ป วรรค ประกอบด้วย ป ผ พ ภ ม, หมวด อวรรค ประกอบดว้ ย ย ร ล ว ส ห ฬ อ ส่วนหมวด สระ เรยี งลาดบั ดังนี้ อ อ อิ อี อุ อู เอ โอ ๑.๖.๓ เขียนคาอธบิ ายประกอบ โดยใชข้ อ้ มลู จากพระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถาเป็นหลักใน การจัดทาคาอธบิ าย ๑.๖.๓ จัดเขียนรายงานฉบับร่างส่งให้ผู้ส่งคุณวุฒิตรวจสอบความถูกต้อง พร้อมทั้งแก้ไขตาม คาแนะนาของผทู้ รงคุณวฒุ ิ ๑.๖.๔ จดั ทารายงานฉบับสมบูรณ์เสนอต่อสถาบนั วจิ ัยพุทธศาสตร์ ๓๐ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), กำลำนุกรม พระพุทธศำสนำในอำรยธรรมโลก, พิมพ์ครั้งท่ี ๖, (กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พผ์ ลธิ ัมม์ จัดพมิ พ์, ๒๕๕๕), ๒๗๕ หนา้ . ๓๑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนำนุกรมฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ.๒๕๕๔, พิมพ์คร้ังท่ี ๒, (กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน จัดพมิ พ,์ ๒๕๕๖), ๑๕๔๔ หน้า.
๙ ๑.๖.๕ จดั พิมพห์ รอื เผยแพร่ผลงานวิจัยต่อสาธารณชนตามเกณฑ์มาตรฐานสบื ต่อไป ๑.๗ ประโยชนท์ ค่ี ำดวำ่ จะไดร้ บั ๑.๗.๑ ได้องค์ความรูเ้ กีย่ วกบั บุคคลทีป่ รากฏอยใู่ นคัมภรี ์พระพุทธศาสนา ๑.๗.๒ ไดห้ นังสอื อา้ งองิ ประเภทนามานุกรมพุทธศาสน์ จานวน ๑ ชุด อนึ่ง หากผลงานวิจัยน้ีได้รับการตีพิมพ์ และเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง จะอานวยประโยชน์ต่อ การศึกษาพระพทุ ธศาสนาทุกระดับ
บทที่ ๒ ระบบการสบื คน้ และความสาคญั ของคมั ภรี ์ ๒.๑ ระบบการสบื ค้น ๒.๑.๑ แนวคิดและทฤษฎีระบบการสบื คน้ ทัว่ ไป การสบื คน้ ภาษาองั กฤษใช้คาว่า Retrieval หมายถึง การสืบเสาะ ค้นหาเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง ซ่ึง อาจจะได้รับคาตอบในรูปของ ต้นฉบับเอกสาร บรรณานุกรม คาตอบที่เฉพาะเจาะจง ตัวเลข หรือ ข้อความของเรื่องน้ัน๑ English Oxford Living Dictionaries จึงนิยามความหมายไว้ว่า “The process of getting something back from somewhere”๒ อนั หมายถึง “กระบวนการได้มาซึ่งข้อมูลบางอย่าง จากท่ีบางแห่ง” การสืบค้นข้อมูล (Information Retrieval) เป็นคาที่ใช้ในวงการห้องสมุดและสารสนเทศ หมายถึง กระบวนการค้นหาสารนิเทศท่ีต้องการ ซ่ึงก็คือ “การค้นหาข้อมูล” น่ันเอง แต่มีความหมาย เน้นหนักไปทางด้านการค้นหาข้อมูลโดยใช้เครื่องมือช่วยค้นประเภทที่เป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ระบบ ฐานขอ้ มลู คอมพวิ เตอร์ของห้องสมุด ฐานข้อมูลออนไลน์ และ search engine ต่าง ๆ การค้นหาข้อมูลให้ได้รวดเร็ว ถูกต้องแม่นยา และตรงตามความต้องการ จาเป็นต้องอาศัย ทักษะและพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับการสืบค้นข้อมูล เช่น วิธีการใช้เครื่องมือช่วยค้นแต่ละชนิด การใช้คา หรือวลี (keyword) ให้สอดคล้องกับเร่ืองท่ีกาลังค้นหา การเลือกรูปแบบการค้นให้เหมาะสม การใช้ คาเชือ่ ม เพอื่ กาหนดขอบเขตการคน้ ให้มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซงึ่ จะทาให้ได้ผลการค้นหรือรายการ ข้อมูล ท่ถี ูกตอ้ งตรงตามความต้องการมากทส่ี ดุ การสืบค้นสารสนเทศ แบง่ ออกเปน็ ๒ วิธี คือ๓ ๑. การสืบค้นสารสนเทศด้วยระบบมือ (Manual system) การสืบค้นสารสนเทศด้วย ระบบมือ สามารถกระทาได้โดยผ่านเคร่ืองมือหลายประเภท เช่น บัตรรายการ บัตรดรรชนีวารสาร บรรณานกุ รม เปน็ ตน้ ในท่ีนี้จะกล่าวถงึ เฉพาะบัตรรายการและ บัตรดรรชนวี ารสารเทา่ นน้ั ๒. การสืบค้นสารสนเทศด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (Computer system) การสืบค้น สารสนเทศดว้ ยระบบคอมพวิ เตอร์ สามารถกระทาได้โดยผ่านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในการค้นหาข้อมูลจาก ฐานข้อมูลตา่ ง ๆ ได้แก่ ๑ “การสืบค้น”, [ออนไลน์]. แหล่งท่ีมา: https://lrckm.wordpress.com/2012/05/24/(๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐). ๒ “English Oxford Living Dictionaries”, [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://en.oxforddictionaries.com/definition/retrieval (๒๒ ธนั วาคม ๒๕๖๐). ๓ “การสบื ค้น”, [ออนไลน]์ . แหลง่ ทีม่ า: http://www.khaochamao.com/webboard-show_36405 (๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐).
๑๑ ๒.๑ ฐานข้อมูลโอแพก็ (OPAC- Online Public Access Catalog) มี ๓ ลักษณะ ได้แก่ (๑) การสืบค้นแบบทั่วไป (Browse Search) เป็นการสืบค้นฐานข้อมูลทรัพยากรสารสนเทศท่ัวๆ ไป ซึ่ง จัดกลุ่มตามหมวดหมู่เลขเรียกหนังสือ (Call Number), ปี (Year), รูปแบบทรัพยากรสารสนเทศ (Format), หัวเรื่อง (topic) เป็นต้น (๒) การสืบค้นแบบง่าย (Basic Search) การสืบค้นทรัพยากร สารสนเทศแบบงา่ ย สามารถสบื คน้ ได้เพียง ๑ เขตขอ้ มูล เชน่ ค้นด้วยเขตข้อมูลช่ือเร่ือง (Title) เขตข้อมูล ผู้แต่ง (Author) และเขตข้อมลู หวั เร่อื ง (Subject) เปน็ ตน้ โดยกาหนดคาค้นลงในช่องสืบค้นและเลือกเขต ข้อมูลทเ่ี หมาะสมในการค้นหา และ (๓) การสบื ค้นแบบขน้ั สูง (Advance Search) การสืบค้นทรัพยากร สารสนเทศแบบข้ันสูง สามารถใช้สืบค้นทรัพยากรสารสนเทศได้ครั้งละหลายเขตข้อมูล หมายความว่า สามารถใช้คาค้นได้มากกว่า ๑ คา หรือต้องการระบุการค้นที่มีความเฉพาะเจาะจง เช่น ใช้คาค้นได้ มากกว่า ๑ คา, ใช้เขตข้อมลู สืบคน้ ได้ครง้ั ละหลายเขตขอ้ มูล เช่น ใช้เขตข้อมูลชื่อเรื่องและช่ือผู้แต่งในการ ค้นหาทรัพยากรสารสนเทศ, ใช้เพ่ือจากัดการสืบค้นข้อมูล เช่น จากัดการสืบค้นด้วย เลขเรียกหนังสือ รูปแบบทรัพยากรสารสนเทศ ปี และหัวเรื่อง หรือเลือกช่วงเวลาการสืบค้น เช่น ปี ๒๐๑๐-๒๐๑๒ เป็น ตน้ ๔ ๒.๒ ฐานข้อมลู ซดี รี อม ซีดีรอมสามารถบันทึกข้อมูลได้จานวนมากในลักษณะส่ือประสม และมีการจัดระบบการ ค้นให้ค้นคืนได้รวดเร็ว และสามารถเช่ือมโยงการค้นไปยังเครือข่ายข้อมูลอ่ืนๆท่ีมีความสัมพันธ์กันได้เพื่อ ขยายขอบเขตการค้นได้มากข้ึน ท้ังยังสามารถจัดทาออกได้รวดเร็วกว่าส่ิงพิมพ์ การสืบค้นข้อมูลใน ซดี รี อมจึงมีความทนั สมัยมากกว่าส่ิงพมิ พ์ ฐานข้อมูลในรูปแบบซีดีรอม มี ๓ ประเภท คือ ฐานข้อมูลบรรณานุกรมหรือดรรชนี ฐานขอ้ มลู ฉบับเตม็ และฐานขอ้ มลู มลั ติมีเดยี ปัจจบุ ัน การจัดทาฐานข้อมูลซีดีรอมลดน้อยลง มักจัดทาใน ลักษณะฐานข้อมลู ออนไลน์ ๒.๓ ฐานขอ้ มูลออนไลน์ มาจากภาษาอังกฤษว่า database หมายถึงแหล่งสะสมเท็จจริงต่าง ๆ โดยรวบรวม ข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันไว้ด้วยกัน และมีโปรแกรมการจัดเก็บฐานข้อมูล (Database Management System-DBMS) มาช่วยในการจดั เก็บ จัดเรยี ง และสบื คน้ สารสนเทศ รวมถึงปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยอยู่ เสมอ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภทตามฐานข้อมูล คือ๕ ๑) ฐานข้อมูลบรรณานุกรม (Bibliographic Database) หมายถึง ฐานข้อมูลที่ให้ข้อมูลทางบรรณานุกรม เช่น ช่ือผู้แต่ง ช่ือเรื่อง หัวเร่ือง อาจมี สาระสงั เขปเพ่ือแนะนาผู้ค้นคว้าใหไ้ ปอา่ นรายละเอยี ดจากต้นฉบับจริง และ ๒) ฐานข้อมูลเน้ือหาฉบับเต็ม (Full-Text Database) หมายถงึ ฐานข้อมูลท่ใี ห้สารสนเทศครบถ้วนเชน่ เดยี วกบั ตน้ ฉบับ ๒.๔ ฐานข้อมลู บนอนิ เทอร์เนต็ ปัจจุบันมีระบบฐานข้อมูล หลายอย่างที่ได้รับการพัฒนาเพ่ือรองรับ การใช้งานบน เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น ระบบฐานข้อมูล MS ACCESS, ระบบฐานข้อมูล MYSQL ระบบฐานข้อมูล ๔ “การสืบค้น”, [ออนไลน์]. แหล่งท่ีมา: https://kmutt-lm.lib.kmutt.ac.th/opac/(๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐). ๕ “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดทาฐานข้อมูลออนไลน์และฐานข้อมูลฟรีออนไลน์”, [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://library.kku.ac.th/free-database/index.php?option=com_content&view=article&id = 204&Itemid=7(๒๒ ธนั วาคม ๒๕๖๐).
๑๒ MSSQL เป็นต้น ซงึ่ อานวยความสะดวก สามารถนามาใช้งานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เช่ือมโยงผ่านระบบทางอินเทอร์เน็ตได้อย่างกว้างขวาง ไร้ขีดจากัด ทาให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในทุกท่ี และทกุ เวลาตามท่ตี ้องการ จึงเปน็ ทน่ี ิยมอยา่ งแพร่หลาย ๒.๑.๒ ระบบการสบื ค้นคมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนา นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีพระสาวก และบรรดานักวิชาการทางด้านพระพุทธศาสนา ได้ พยายามจัดทาระบบการสืบค้นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เพื่ออานวยความสะดวก และสนองความ ต้องการผู้ใช้งานให้มากยิ่งข้ึน ได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้ามาตามลาดับ บางระบบเป็นท่ีรู้จัก และใช้กัน อย่างแพร่หลายในปัจจบุ ัน ดงั จะได้นามากล่าวพอสงั เขป (๑) สังคีตสูตร, พระไตรปิฎกทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ถือเป็นตัวอย่างการจัดหมวดหมู่คา สอนของพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก โดยปรารภเงื่อนไขของการแตกกันของพวกนิครนถ์ภายหลังศาสดาถึง แก่กรรมแล้ว เหตุมิได้มีการรวบรวมคาสอนของศาสดาไว้เป็นหมวดหมู่ พระสารีบุตรได้เทียบเคียง เหตุการณ์ดังกล่าว เกรงว่าจะเกิดข้ึนกับพระพุทธศาสนา จึงได้ปรารภกับเหล่าภิกษุท้ังหลาย จากนั้นก็ได้ ร้อยกรองหมวดหมู่ธรรมขึ้นเป็นคร้ังแรก โดยการใช้จานวนข้อธรรมที่ทรงแสดงเป็นตัวกาหนดหมวดหมู่ ของธรรม กลา่ วคอื ธรรมะเหลา่ ใดท่ที รงแสดงมีเพียงหวั ข้อเดียว ก็จัดเป็นหมวด ๑, มีหัวข้อธรรม ๒ ข้อ ก็ จัดเป็นหมวด ๒ มีหัวข้อธรรม ๓ ข้อ ก็จัดเป็นหมวด ๓, มีหัวข้อธรรม ๔ ข้อ ก็จัดเป็นหมวด ๔, ดังน้ี เรื่อยไปกระทั่งถึงหมวด ๑๐ ภายหลังจากพระสารีบุตรแสดงแนวทางการจัดการหมวดธรรมส้ินสุดลง พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัย ภิกษุทั้งหลายก็ได้กล่าวช่ืนชมเป็นอเนกประการ การจัดหมวดหมู่ธรรมใน ลักษณะดังกล่าวนี้ ต่อมาคณะสงฆ์ก็ได้นามาใช้เป็นแนวทางในการกาหนดข้อธรรมในหลักสูตรการเรียน การสอนของพระปรยิ ตั ธิ รรมแผนกธรรม ตัวอยา่ งแนวทางในการจดั หมวดหมู่ธรรมในสังคตี สิ ูตร หมวด ๑ สตั วท์ ั้งหลาย ดารงอยู่ไดด้ ว้ ยอาหาร สัตว์ท้งั หลาย ดารงอยู่ไดด้ ้วยสงั ขาร หมวด ๒ (๑) นาม-รูป (๒) อวชิ ชา-ภวตัณหา (๓) ภวทฏิ ฐิ-วภิ วทฏิ ฐิ (๔) อหิริกะ-อโนตตัปปะ (๕) หิริ-โอตตัปปะ ฯลฯ หมวด ๓ อกศุ ลมูล ๓ กศุ ลมูล ๓ ทจุ รติ ๓ สจุ รติ ๓ อกศุ ลวิตก ๓ กศุ ลวิตก ๓
๑๓ ฯลฯ หมวด ๔ สตปิ ัฏฐาน ๔ สมั มัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ ฌาน ๔ สมาธภิ าวนา ๔ อัปปมัญญา ๔ ฯลฯ (๒) พระมหาโมคคัลลานะ, แต่งคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา ถือเป็นคัมภีร์ท่ีว่าด้วยศัพท์ที่ เปน็ นามบัญญตั ิทีจ่ ารึกอยใู่ นคัมภรี ์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎกี า และอนฎุ ีกาไว้อย่างสมบูรณ์ รจนาข้ึนโดย พระมหาโมคคลั ลานะ มหาเถระผู้เป็นปราชญ์ชาวศรีลังกา โดยอาศัยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าปรักมพาหุท่ี ๑ และได้อาศัยนัยจากคัมภีร์อมรโกสะ โดยแบ่งศัพท์ออกเป็น ๓ หมวด เรียกว่า กัณฑ์ ได้แก่ (๑) สัคค กัณฑ์ แสดงศัพท์ทมี่ คี วามหมายว่า พระพุทธเจ้า นิพพาน พระอรหันต์ สวรรค์ เทวดา และอสูร โดยจัดคา ท่ีมีความหมายเหมือนกันไว้ด้วยกัน, (๒) ภูกัณฑ์ แบ่งเป็น ๗ วรรคย่อย ได้แก่ ภูมิวรรค แสดงศัพท์โวหาร เกี่ยวกับแผ่นดิน, ปุรวรรค แสดงศัพท์เกี่ยวกับเมืองและประเทศ, นรวรรค แสดงศัพท์เก่ียวกับมนุษย์, จตุพพวรรณวรรค แสดงศัพท์เกี่ยวกับสี, อรัญญวรรค แสดงศัพท์เก่ียวกับป่าไม้, เสลวรรค แสดงศัพท์ เกี่ยวกับภูเขา, ปาตาลวรรค แสดงศัพท์เก่ียวกับโลกบาดาล, (๓) สามัญญกัณฑ์ แบ่งเป็น ๔ วรรคย่อย ได้แก่ วิเสสยาธีนวรรค แสดง ศัพท์ โวหาร ท่ีเป็นบทวิเสสนะอันเกี่ยวข้องกับลิงค์ท้ัง ๓, สังกิณณวรรค แสดงศัพท์ โวหารเบ็ดเตล็ดทั่วไป, อเนกัตถวรรค แสดงบทที่มีเนื้อความหลายอย่าง,อัพยยวรรค แสดง อรรถของบทอุปสัค และบทนิบาต ตวั อยา่ งการเกบ็ ศพั ทแ์ สดงความหมายวา่ พระพทุ ธเจ้า พุทโธ. ทสพโล. สตฺถา. สพฺพญญฺ .ู ทปิ ทุมตฺ โม. มนุ ินโฺ ท. ภควา. นาโถ. จกขฺ มุ า. –งฺครี โส. มุนิ. โลกนาโถ. –นธิวโร. มเหสี. (จ) วินายโก. สมนตฺ จกขฺ .ุ สคุ โต. ภูริปญฺโญ. (จ) มารชิ. นรสีโห. นรวโร. ธมมฺ ราชา. มหามุนิ. เทวเทโว. โลกครุ. ธมมฺ สฺสามิ. ตถาคโต. สยมฺภ.ู สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺโธ วรปญฺโญ. (จ) นายโก.
๑๔ (๓) พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙,ราชบัณฑิต), ได้เขียนหนังสือชุด พจนานุกรม เพ่ือการศึกษาพุทธศาสตร์ ชุด “คาวัด” ปกแข็งจานวน ๑,๔๕๒ หน้า จัดพิมพ์โดยธรรมสภา และสถาบันบนั ลอื ธรรม พ.ศ.๒๕๕๑ เป็นหนังสือที่รวมคาศัพท์ท่ีใช้พูดและเขียนทางพระพุทธศาสนา เพ่ือ ความเข้าใจในความหมายและใช้ได้อย่างถูกต้อง เรียบเรียงไว้ตามลาดับอักษร ง่ายสาหรับค้นหาทาความ เข้าใจ หลักการเรียงคาศัพท์ในพจนานุกรมนี้ เรียงตามลาดับอักษรในแต่ละวรรค คือ วรรค ก, วรรค จ, วรรค ฏ, วรรค ต, วรรค ป, พยัญชนะ อวรรค ได้แก่ ย ร ล ว ส ห ฬ อ ส่วนสระ ก็เรียง ตามลาดับรูป ดังตวั อย่างต่อไปน้ี กฎแหง่ กรรม กฐิน กฐนิ โจร กฐินตกค้าง กฐินต้น กฐนิ ทาน กฐนิ ราษฎร์ กฐินหลวง กตัญญู กตเวที กตตั ตากรรม กถา กถามรรค กน้ กุฏิ กบิลพสั ดุ์ กรรม ๑ กรรม ๒ กรรมฐาน กรรมบถ ฯลฯ (๔) พระอุดรคณาธิการ และศ.พิเศษ ดร.จาลอง สารพัดนึก, ได้จัดทาหนังสือ พจนานุกรมบาลี-ไทย ฉบับนิสติ -นกั ศึกษา นอกจากนีย้ ังมีวัตถุประสงค์เพื่อจะส่งเสริมการศึกษาภาษาบาลี ให้ย่ิงข้ึน เพราะภาษาบาลีนั้นเป็นภาษาท่ีมีความสาคัญต่อพระพุทธศาสนา วรรณกรรมทาง พระพุทธศาสนาสายเถรวาท ไดร้ ับการบันทกึ ดว้ ยภาษาบาลี การศึกษาภาษาบาลี จึงเท่ากับเป็นการศึกษา พระพทุ ธศาสนา หากภาษาบาลไี ดร้ ับความสนใจอย่างจริงจังแล้ว ก็เป็นอันหวังได้ว่า พระพุทธศาสนาก็จะ เจรญิ ตามไปด้วย (๕) ธรรมสภา, ได้เรียบเรียงหนังสือ “พจนานุกรมธรรม ฉบับพุทธทาส” สถาบันบันลือ ธรรม จัดพิมพ์เผยแพร่ฉลอง ๑๐๕ ปี ชาตกาลพุทธทาส พ.ศ.๒๕๕๔ หนังสือเล่มน้ีถือเป็นความพยายาม ถ่ายทอดคาสอนของหลวงพ่อพุทธทาส โดยการประมวลมาจากหนังสือต่าง ๆ ที่เป็นงานนิพนธ์ของท่าน หลายสบิ เลม่ ในหนงั สือเล่มน้ี แบง่ ศพั ท์บาลอี อกเป็น ๓ ส่วน คือ ได้แก่ ศัพท์บาลีที่รู้กันอยู่แล้ว, ศัพท์บาลี
๑๕ ที่พทุ ธทาสภิกขุคดิ ขน้ึ สอน, และศัพท์ภาษาไทยที่พุทธทาสใช้สอนเป็นประจา แต่ดัดแปลงให้มีความหมาย เป็นธรรมะ เช่น คาว่า กิน กินเวลา กินเหยื่อ การเมือง การหัวเราะ การฟุ่มเฟือย การงาน ความจริง ความเข้าใจ เคล็ด เถรส่องบาตร ทาบุญต่ออายุ ล้ออายุ เป็นต้น มีการเรียงลาดับหมวดอักษรไว้ ๓๐ ตัว เริม่ ต้งั แต่ ก-อ ตามหลักของการจัดทาหนงั สอื พจนานุกรม (๖) สุเชาว์ พลอยชุม ได้รวบรวม และจัดทา สารานุกรมพระพุทธศาสนา โดย ประมวลจากพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นหนังสืออ้างอิงทาง วิชาการเกี่ยวกับคาศัพท์ทางพระพุทธศาสนาท่ีสาคัญอีกเล่มหน่ึง ทรงนิพนธ์เอาไว้ โดยใช้การจัดลาดับ หมวดหมู่ศัพท์ตามตัวอักษรเริ่มจากสระ คือ อ, อา, อิ, อี, เอ, โอ, และ ก-ห แล้วอธิบายขยายความ ตามลาดบั หมวดหมอู่ กั ษร ตัวอยา่ งการเกบ็ ศพั ท์ และการอธบิ าย และการอ้างอิง อกนฏิ ฐา อกรณียะ อกรณยี กจิ อกิริยทิฏฐิ อกปุ ปธรรม อกศุ ล อกุศลกรรมบถ อกศุ ลเจตสกิ ธรรม อกศุ ลมลู รากเหงา้ ของอกศุ ล เรยี กวา่ อกุศลมูล มี ๓ อย่าง คือ โลภะ อยากได,้ โทสะ คดิ ประทุษรา้ ยเขา, โมหะ หลงไม่รจู้ รงิ .เมื่ออกุศลมูลเหลา่ นีม้ อี ยูแ่ ลว้ อกุศลอื่นที่ยัง ไม่เกดิ ขึ้นกเ็ กิดขึ้น ทเ่ี กิดข้ึนแลว้ ก็เจรญิ มากขึ้น เหตุนนั้ ควรละเสีย (นวก.๓๓) อกุศลวิตก อกุศลสังขาร อโกวิท อคติ ความลาเอยี ง มี ๔ อยา่ ง คือ ๑.ลาเอียงเพราะรกั ใคร่กนั , เรียก ฉนั ทาคติ ๒. ลาเอียงเพราะไมช่ อบพอกัน เรียก โทสาคติ ๓. ลาเอยี งเพราะเขลา เรยี ก โมหา คติ ๔. ลาเอยี งเพราะกลวั เรียก ภยาคติ อคติ ๔ อยา่ งนี้ ไม่ควรประพฤติ. (นวก.๓๖) อโคจร องค์อโุ บสถ องคแ์ ห่งธรรมกถกึ องค์แหง่ ภกิ ษผุ บู้ วชใหม่ อจติ ตกะ อเจลกะ อชปาลนโิ ครธ ฯลฯ
๑๖ (๗) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก, ได้นิพนธ์ “ธรรมาภธิ าน พจนานุกรมคาสอนพระพทุ ธศาสนา” รัฐบาลจดั พมิ พถ์ วายในงานฉลองพระชันษา ๙๖ ปี ๓ ตุลาคม ๒๕๕๒ เน้ือหาประมวลศัพท์จากหนังสือคาสอน ๗ เร่ือง คือ ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า, สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตร, ทศบารมี, ทศพิธราชธรรม, ธรรมโมวาท, ทศพล ญาณธรรมเทศนา, ลักษณะพระพทุ ธศาสนา, และทศพิธราชธรรมและหลักพระพุทธศาสนา มีจานวน ๓๔ หมวดอักษร คือต้งั แต่ ก-อ ตัวอยา่ งการเก็บศัพท์ เรยี งลาดบั อักษร ดงั นี้ กกุธะ,ไม้ กฎความจริง กฎธรรมดา กฐิน กตญาณ กตัตตากรรม กถาวัตถุ กถาวตั ถุ ๑๐ กบลิ พสั ด์ุ กรรณกิ าร์ กรรม กรรม ๑๒ กรรมกเิ ลส กรรมฐาน กรรมนมิ ิต กรรมบถ กรรมภพ กรรมวัฏฏะ ฯลฯ อกนฏิ ฐา อกิริยทฏิ ฐิ อกศุ ล อกุศลกรรม อกุศลกรรมบถ อกศุ ลจิต อกุศลเจตสกิ อกศุ ลมูล อคติ ๔ องคุลมิ าล ฯลฯ
๑๗ โอวาทปาตโิ มกข์ โลกตุ ตรจติ (๘) พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้จัดทาพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับ ประมวลศัพท์ และฉบับประมวลธรรม ถือเป็นผลงานที่สาคัญอีกเล่มหน่ึงในแวดวงวิชาการ พระพุทธศาสนา ผลงานแบ่งเป็น ๒ ชุดตามลักษณะของเน้ือหากล่าวคือ (๑) ฉบับประมวลศัพท์ ผลงาน เลม่ น้ีเร่มิ ดาเนินการเมอ่ื พ.ศ. ๒๕๕๒ เปน็ การเก็บศัพทส์ าคัญในคัมภีร์พระพุทธศาสนามาอธิบาย โดยการ จัดลาดับตามตัวอักษร (๒) ประมวลธรรม เริ่มดาเนินการเม่ือ พ.ศ. ๒๕๑๕ และตีพิมพ์คร้ังแรก พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยได้จัดหมวดหมู่ธรรมหมวดธรรม และอธิบายเป็นหมวด ๆ ไป คล้ายกับแนวท่ีจัดในสังคีติสูตร ปัจจบุ นั หนังสือท้ัง ๒ เล่ม ไดร้ บั การอ้างอิงทางวิชาการอย่างกว้างขวาง และไดร้ ับการตีพิมพ์เผยแพร่หลาย คร้ัง พจนานุกรมฉบับประมวลธรรม จัดเรียงคาตามลาดับเลขจานวน รวมหมวดธรรมท่ีมี จานวนเท่ากันเข้าไว้ในกลุ่มเดียวกัน จากน้อยไปหามากตามลาดับ เช่น หมวด ๑, หมวด ๒, หมวด ๓, หมวด ๔ ตามลาดับ สว่ นหมวดเลขเดียวกนั ก็เรียงลาดับตามตัวอักษรตามอกั ขรวธิ ีในภาษาไทย เชน่ พจนานุกรมฉบับประมวลศัพท์ จัดเรียงคาตามลาดับหมวดพยัญชนะ คาอธิบายของคา จานวนมากในหนังสือเล่มน้ี ไม่ใช่แสดงเพียงความหมายของศัพท์เท่าน้ัน แต่ยังให้ความรู้ที่ควรทราบ เก่ยี วกบั เรอ่ื งน้ัน ๆ อีกด้วย เช่น จานวน ข้อย่อย ประวัติย่อ สถานที่ และเหตุการณ์แวดล้อม เป็นต้น เข้า ลกั ษณะสารานกุ รม แต่จากัดขอบเขตเอาไว้ใหต้ ่างจากสารานุกรม (๑๐) พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), ได้จัดทากาลานุกรม: พระพุทธศาสนาใน อารยธรรมโลก ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเม่ือ วิสาขบูชา ปี ๒๕๕๒ ถือเป็นหนังสืออ้างอิงเกี่ยวกับ พระพทุ ธศาสนาทสี่ าคญั อกี เล่มหน่งึ หนังสือน้ไี ดอ้ าศัยช่วงระยะเวลาจัดลาดับในการอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีเก่ยี วขอ้ งกับพระพุทธศาสนา โดยเทียบเคียงกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอารยธรรมโลก นอกจากจะทาให้ เห็นภาพของพระพุทธศาสนาโดยภาพรวมแล้ว ยังสามารถเทียบเคียงกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอารยธรรม โลกไปพรอ้ ม ๆ กันด้วย ดงั ตัวอยา่ งต่อไป ก่อนพทุ ธกาล พทุ ธกาล หลังพทุ ธกาล สงั คายนาคร้งั ท่ี ๑ พุทธศาสนายคุ รงุ่ เรอื ง ยคุ ที่ ๑ ทมิฬก์ ถ่ินอินเดยี ใต้ พุทธศาสนายคุ รงุ่ เรือง ยุคท่ี ๒ ฮน่ั -ฮินดู ทาลายพุทธ หลังพุทธกาล ภยั นอกภยั ใน จนมลายสูญส้ิน พุทธศาสนารงุ่ เรือง ยุคที่ ๓ ฯลฯ นานาทวีป: ศาสนา-ศาสนิก เหตุการณ์สาคัญต่อจากกลางปี ๒๕๔๓
๑๘ (๑๑) BUDSIR เป็นพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์๖ ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นคร้ังแรกเม่ือ วันวิสาขบูชา ปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ โดยมหาวิทยาลัยมหิดล มีสมเด็จพระพุทธโฆสาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เป็นท่ีปรึกษา ถือเป็นพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ฉบับแรกของประเทศไทย และของโลก บรรจุเนื้อหา พระไตรปฎิ กจานวน ๒๕ ลา้ นตวั อกั ษร ผู้ใชส้ ามารถสบื ค้นคาตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งสะดวก และรวดเรว็ BUDSIR ได้รับการพัฒนามาโดยลาดับ นับต้ังแต่ BUDSIR I (เปิดตัวครั้งแรก ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๑), BUDSIR II (เปดิ ตวั คร้งั แรก ๑๓ ธันวาคม ๒๕๓๑) , BUDSIR III (เปิดตัวคร้ังแรก ๑๕ เมษายน ๒๕๓๓) , BUDSIR IV (เปิดตัวเมื่อ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๓๗), BUDSIR IV for Windows (เปิดตัว ครั้งแรก ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๓๙), BUDSIR/TT (เปิดตัวครั้งแรก ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑) BUDSIR/TT V1, BUDSIR/TT V2 (เปิดตัว ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๓), BUDSIR/TT V3 (เปิดตัว ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘), BUDSIR V for Windows (เปิดตัว ๔ พฤษภาคม ๒๕๔๙), BUDSIR VI for Windows (เปิดตัว ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐), BUDSIR VII for Windows เป็นต้น ในการพัฒนาแต่ละครั้ง ผู้พัฒนาระบบได้ เพมิ่ เตมิ ข้อมลู หรือขยายขอบเขตเน้ือหาเพิ่มข้นึ ตามลาดับ กระทั่งสามารถสืบค้นได้ถึงงานระดับอรรถกถา และงานสาคัญอืน่ นอกเหนือจากพระไตรปิฎก ปัจจุบันมีระบบการสืบค้นพระไตรปิฎกฉบับออนไลน์ ข้อมูลที่ใช้ในการอ้างอิง มาจาก พระไตรปิฎกฉบับซีดี-รอม ท่ีจัดทาโดยมหาวิทยาลัยมหิดลบ้าง ได้จากไฟล์ข้อมูลท่ีได้จัดทาขึ้นใหม่โดย สานักพิมพ์ต่าง ๆ บ้าง มีแฟ้มพระไตรปิฎกให้เลือก ๓ แบบ ได้แก่ ๑) แบบ HTM file, ๒) แบบ TXT file และ ๓) แบบ ZIP file ผู้ใช้สามารถเข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต มีหลากหลายให้เลือกใช้ตรง หรือเหมาะสม ตามความต้องการ เช่น http://www.tipitaka.com/, http://www.84000.org/, tripitaka-online, http://pratripitaka.com/tripitaka-mp3/ เป็นต้น ๒.๒ ความสาคญั ของคมั ภรี ์ พระไตรปิฎกนับเป็นหลักฐานช้ันปฐมภูมิ บันทึกหลักฐานต่าง ๆ ที่สาคัญเกี่ยวข้องกับ พระพทุ ธศาสนา นบั ต้ังแต่เหตกุ ารณก์ ่อนการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า กระทั้งถึงเสด็จออกผนวช แสวงหา โมกขธรรม การบาเพ็ญเพียร กระทั่งถึงการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จากน้ันก็ได้ออกเผยแผ่พระ ธรรมคาสง่ั สอนตง้ั แต่พรรษาแรก กระท่ังถึงคราวพุทธปรินิพพาน หลังพุทธปรินิพพานแล้ว ก็ยังมีเรื่องราว การทาสังคายนา ร้อยกรองพระธรรมวินัยบันทึกเป็นหลักฐาน โดยหลักการหลักฐานบันทึกคาสอนเหล่าน้ี จึงเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ซ่ึงชาวพุทธท่ัวไปใช้เป็นหลักฐานสาหรับการอ้างอิง ท้ังใน สว่ นปรยิ ตั ิ และปฏบิ ตั ิ อนึ่ง พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงความสาคัญของพระไตรปิฎกไว้ในผลงานช่ือ เก็บเพชรจากคัมภรี พ์ ระไตรปฎิ ก๗ สรุปความไดด้ งั นี้ พระพุทธศาสนา คือคาสอนของพระพุทธเจ้า การท่ีเรานับถือพระพุทธศาสนา ก็คือนับถือคา สอนของพระพุทธเจ้า เม่ือพระพุทธเจ้าออกประกาศพระศาสนา ท่านทั้งหลายท่ีมาเป็นพระสาวกของ พระพุทธเจ้า ต้องการมาฟังคาสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเหตุที่ต้องการฟังคาสั่งสอน ก็จึงเป็นผู้ฟังที่เรา เรยี กวา่ เป็นสาวก คาวา่ สาวก แปลว่าผู้ฟัง เมื่อฟังแล้ว ก็ไปปฏิบัติตาม การฟังคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ๖ เรยี บเรียงขอ้ มูลโดยผู้วิจัยจาก https://www.facebook.com/budsir/(๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐). ๗ พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต), เกบ็ เพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๒), หนา้ ๑๗-๔๔.
๑๙ แล้วปฏิบัติตามน้ัน ก็เป็นพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาจึงมีความหมายทั้งเป็นคาส่ังสอนของ พระพุทธเจา้ และการปฏิบัตติ ามคาสั่งสอนน้นั ต่อมากม็ ีการจัดต้งั เปน็ ชุมชน เปน็ สถาบัน เป็นองค์กรเป็นจานวนมาก ก็ต้องมีการจัดสรรดูแล ต่างๆ เพอ่ื ใหค้ นท้ังหลายท่มี าอยรู่ วมกนั เพ่อื วัตถุประสงค์อย่างนี้ ได้เรียนได้ฟัง แล้วก็ได้ปฏิบัติตามคาสอน ของพระพุทธเจ้าอย่างได้ผล การจัดสรรดูแลให้มีการเล่าเรียน สดับฟัง และปฏิบัติตามคาสอนของ พระพทุ ธเจา้ กเ็ รียกวา่ เปน็ พระพทุ ธศาสนาดว้ ย ความหมายของพระพุทธศาสนาก็เลยกวา้ งขวางออกไป พอถึงข้นั จัดตงั้ การดูแลใหม้ กี ารเลา่ เรยี นและปฏิบตั ิ กเ็ ลยรวมไปถึงทุกส่ิงทุกอย่างท่ีเกิดข้ึนมา เป็นชุมชน เป็นองค์กร เป็นสถาบันหรืออะไรๆ ที่กว้างขวางออกไป ความหมายของพระพุทธศาสนาก็ ขยายออกไป เปน็ อยา่ งที่เขา้ ใจในปจั จุบันน้ี เพราะฉะน้ัน ตัวพระพุทธศาสนาจึงอยู่ที่คาส่ังสอนของ พระพุทธเจา้ เม่ือเราต้องการคาส่ังสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นสมัยพุทธกาล จะทาอย่างไร เราก็ไปฟัง พระพุทธเจ้า ถ้าอยู่ในวัดเดียวกับพระองค์ ก็ไปหาไปเฝ้าพระองค์ ไปท่ีธรรมสภาที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดง ธรรม ไปฟังพระองค์ หรือซักถามพระองค์ ทูลถามปัญหาต่าง ๆ ให้พระองค์ตรัสตอบให้ ถ้าอยู่ไกลก็ เดนิ ทางมา บางคนมาจากตา่ งประเทศ ขี่ม้า หรือว่านั่งเกวียน เดินทางกันมาเป็นวัน เป็นเดือน ก็เพียงเพ่ือ มาฟังพระพทุ ธเจ้าสง่ั สอน ต่อมา พระพทุ ธเจ้าปรนิ พิ พาน พระองค์จากไปแล้ว ถ้าต้องการพระพุทธศาสนา คือคาสั่งสอน ของพระพทุ ธเจ้า เราจะเอาจากที่ไหน พระพุทธเจา้ ปรนิ ิพพานไปแล้ว ถ้าไม่มีการรวบรวมบันทึกคาส่ังสอน ของพระองค์ไว้ พระพุทธศาสนาก็เป็นอันว่าหมดส้ิน ฉะน้ัน เรื่องการรวบรวมและบันทึกจารึกคาส่ังสอน ของพระพุทธเจา้ ไว้จงึ เปน็ เรื่องสาคญั มาก แม้แต่เม่ือพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ พระพุทธเจ้าเองและพระสาวกองค์สาคัญ โดยเฉพาะพระสารีบุตร ก็ได้คานึงเรื่องนี้ไว้แล้วว่าเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ถ้าไม่มีการรวบรวม ประมวลคาสอนของพระองค์ไว้ พระพุทธศาสนาก็จะสูญส้ิน ดังน้ัน ทั้งๆท่ีพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ กไ็ ด้มีการรเิ รมิ่ เปน็ การนาทางไวใ้ ห้เป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นหลังว่า ให้มีการรวบรวมคาสอนของพระองค์ ซ่ึง เราเรียกว่าสังคายนา สังคายนา ก็คือการรวบรวมคาส่ังสอนของพระพุทธเจ้าไว้ แล้วทรงจาไว้เป็นแบบ แผนอนั เดียวกนั คือรวบรวมไว้เปน็ หลัก และทรงจาถ่ายทอดสืบมาเป็นอย่างเดียวกัน ตอนปลายพุทธกาลแล้ว นิครนถ์นาฏบุตรผู้เป็นศาสดาของศาสนาเชนได้สิ้นชีวิตลง สาวกของ ท่านไม่ไดร้ วบรวมคาสอนไว้ และไมไ่ ดต้ กลงกันไว้ให้ชัดเจน ปรากฏว่าเมื่อศาสดาของศาสนาเชนส้ินชีวิตไป แลว้ สาวกลกู ศิษย์ลกู หาก็แตกแยกทะเลาะวิวาทกันวา่ ศาสดาของตนสอนว่าอย่างไร คร้ังนั้น ท่านพระจุน ทะไดน้ าขา่ วน้ีมากราบทลู แดพ่ ระพทุ ธเจ้า และพระองคไ์ ดต้ รัสแนะนาให้พระสงฆ์ท้ังปวง ร่วมกันสังคายนา ธรรมท้งั หลายไว้เพ่ือให้พระศาสนาดารงอยยู่ ัง่ ยืนเพื่อประโยชนส์ ขุ แก่พหชู น เวลาน้ัน พระสารีบุตรอัครสาวกยังมีชีวิตอยู่ ท่านปรารภเร่ืองนี้แล้วก็กล่าวว่า ปัญหาของ ศาสนาเชนน้ัน เกิดขึ้นเพราะว่าไม่ได้รวบรวมร้อยกรองคาสอนไว้ เพราะฉะน้ันพระสาวกท้ังหลายท้ังปวง ของพระพุทธเจ้าของเราน้ี ควรจะได้ทาการสังคายนา คือรวบรวมร้อยกรองประมวลคาสอนของพระองค์ ไว้ใหเ้ ปน็ หลกั เปน็ แบบแผนอันหน่งึ อนั เดยี วกนั เม่ือปรารภเช่นน้ีแล้วพระสารีบุตรก็ได้แสดงวิธีการสังคายนาไว้เป็นตัวอย่าง โดยท่านได้ รวบรวมคาสอนท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เป็นข้อธรรมต่างๆ มาแสดงตามลาดับหมวด ตั้งแต่หมวดหนึ่ง
๒๐ ไปจนถึงหมวดสิบ คือเป็นธรรมหมวด ๑ ธรรมหมวด ๒ ธรรมหมวด ๓ ไปจนถึงธรรมหมวด ๑๐ เม่ือพระ สารีบตุ รแสดงจบแล้ว พระพุทธเจ้ากไ็ ด้ประทานสาธุการ หลกั ธรรมที่พระสารีบุตรได้แสดงไว้น้ี จัดเป็นพระสูตรหนึ่งเรียกว่าสังคีติสูตร แปลว่าพระสูตร ว่าด้วยการสังคายนา ถือเป็นตัวอย่างที่พระสารีบุตรได้กระทาไว้ แต่พระสารีบุตรได้ปรินิพพานก่อน พระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปเถระซ่ึงเป็นพระสาวกผู้ใหญ่ มีอายุพรรษา มากที่สุดเวลานั้น ได้เร่ิมงานรักษาพระพุทธศาสนาทันที โดยได้ชักชวนพระเถระผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ ทั้งหลายที่มีอยู่สมัยนั้น ซึ่งล้วนทันเห็นพระพุทธเจ้า ได้ฟังคาสอนของพระองค์มาโดยตรง เป็นผู้รู้คาสอน ของพระพุทธเจ้า และได้อยู่ในหมู่สาวกที่เคยสนทนาตรวจสอบกันอยู่เสมอ รู้ว่าอะไรเป็นคาสอนของ พระพุทธเจ้า ชวนให้มาประชุมกัน มาช่วยกันแสดง ถ่ายทอด รวบรวม ประมวลคาส่ังสอนของ พระพุทธเจา้ ถือเป็นการทาสังคายนาคร้งั แรกนบั แตพ่ ุทธปรินพิ พาน พระพุทธศาสนาซ่ึงถือตามหลักที่ได้สังคายนาครั้งแรกดังกล่าวมาน้ี เรียกว่าเถร วาท หมายความว่า คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คือพระธรรมวินัย ท้ังถ้อยคาและเน้ือความอย่างไรที่ท่าน สงั คายนากันไว้ ก็ทรงจากันมาอย่างนั้น ถือตามนั้นโดยเคร่งครัด เพราะฉะนั้นจึงต้องรักษาแม้แต่ตัวภาษา เดิมด้วย หมายความว่ารักษาของแท้ของจริง ภาษาที่ใช้รักษาพระธรรมวินัยไว้นี้ เรียกว่าภาษาบาลี เพราะฉะน้นั คาสอนของเถรวาทก็รักษาไว้ในภาษาบาลีตามเดมิ คงไว้อยา่ งทท่ี ่านสังคายนา ธรรมวินัย หรือหลักคาสอนท่ีสังคายนาไว้นี้ เป็นตัวพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาก็ คือคาส่ังสอนของพระพุทธเจ้า เรานับถือพระพุทธศาสนา ก็คือเรานับถือคาส่ังสอนของพระพุทธเจ้า แล้ว ปฏบิ ตั ไิ ปตามคาสง่ั สอนน้ัน พร้อมท้ังดแู ลจดั สรรทาการต่างๆ เพือ่ ให้ชาวพุทธทั้งหลายได้เรียนรู้ปฏิบัติตาม คาส่งั สอนของพระพุทธเจ้านั้น การปฏิบัติอย่างนี้ เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าเองได้ตรัสไว้ คือเมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระองค์ได้ตรัสไว้เองว่า ธรรมแลวินัยที่ได้แสดงแล้ว และบัญญัติแล้วนั่นแหละ จักเป็นศาสดาในเมื่อ พระองค์ล่วงลับไป ดังน้ัน ถ้าเคารพพระพุทธเจ้า ก็ต้องรักษาพระธรรมวินัย เพราะการรักษาพระธรรม วนิ ัยท่ีกค็ ือรักษาพระศาสดาของเราไว้ คอื รักษาพระพุทธเจา้ ไวน้ ่ันเอง ตัวพระไตรปิฎกท่ีรวบรวมพระธรรม วินัย คือคาส่ังสอน จึงเทา่ กับศาสดาของชาวพุทธท้ังหลาย ซง่ึ จะต้องรักษา แล้วก็เล่าเรียน และปฏิบัติตาม หลักคาสอนในพระไตรปฎิ กน้ี พร้อมกันน้ันก็ใช้คาส่ังสอน คือพระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกน้ีแหละ เป็นหลักเป็นเกณฑ์ มาตรฐานในการตัดสินความเชื่อถือและการประพฤติปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนท้ังหลายว่า เป็น พระพุทธศาสนาหรือไม่ ถ้าไมเ่ ปน็ ไปตามทไี่ ดร้ วบรวมประมวลสงั คายนาและรกั ษาสืบต่อไว้ในพระไตรปิฎก หรือคลาดเคลื่อนจากนั้น ก็ไมใ่ ช่พระพุทธศาสนา ถา้ ถูกต้องตามนัน้ กเ็ ป็นพระพุทธศาสนา สง่ิ ท่ีเราเลา่ เรยี นปฏิบตั ิ ไม่วา่ จะเปน็ ด้านวนิ ัยของพระภิกษสุ งฆ์ เช่น การบวช การมีโบสถ์ การ สร้างกุฏิ การกรานกฐิน และสังฆกรรมต่างๆ การใช้ไตรจีวรของพระภิกษุ การที่พระภิกษุทาอะไรได้หรือ ไม่ได้ การทจ่ี ะตอ้ งอาบตั ติ ่างๆ มีปาราชิกเป็นต้น หรือการท่ีชาวบ้านจะทาบุญทาทาน คาว่าทานก็ดี คาว่า บุญก็ดี เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เร่ืองปัญญาไตรสิกขา ภาวนาต่างๆ ขันธ์ ๕ ไตรลักษณ์ อริยสัจ ตลอดถึงพระ นิพพาน ก็ล้วนมาจากพระไตรปิฎกทั้งน้ัน ถ้าไม่มีพระไตรปิฎก เราก็ไม่รู้จักถ้อยคาเหล่าน้ีเลย และ พระภิกษุก็ไม่มีมาตรฐานที่จะวัดว่าตัวประพฤติปฏบิ ัติอยา่ งไรถกู อยา่ งไรผดิ อะไรเป็นอาบัติปาราชิก อะไร เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ไม่มีพระไตรปิฎกเสียอย่างเดียว เป็นอันหมดสิ้น คือหมดส้ิน พระพุทธศาสนานน่ั เอง
๒๑ เปน็ อนั วา่ เม่อื พระพทุ ธเจา้ ยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ เรากฟ็ ังคาสัง่ สอนของพระองค์จากพระพุทธเจ้า โดยตรง แต่เม่ือพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เราต้องการพระพุทธศาสนา คือ ต้องการคาสั่งสอนของ พระพุทธเจา้ เราจะไปเอาจากทไี่ หน ก็ตอ้ งไปเอาจากท่ีท่านรวบรวมประมวลไว้ ซึ่งถ่ายทอดสืบต่อกันมาใน พระไตรปิฎก เพราะพระไตรปิฎกเป็นท่ีรักษาสืบทอดพระพุทธศาสนาไว้ หรือรักษาคาสั่งสอนของ พระพทุ ธเจา้ ไว้ ๒.๓ การจดั ทานามานุกรมบคุ คลพุทธศาสน์ ผู้วิจัยได้ดาเนินการในการจัดทานามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์ โดยยึดแนวทางในการ ดาเนินการตามวิธีการจัดทาพจนานุกรม สารานุกรมท่ัวไป เรียงตามลาดับ กล่าวคือ (๑) การค้นหาศัพท์ (๒) การเรียงศัพท์ (๓) การเลือกศัพท์ (๔) การจัดทาคาอธิบาย และ (๕) การตรวจสอบความถูกต้อง ดัง จะไดก้ ล่าวในรายละเอยี ดต่อไปน้ี ๒.๓.๑ การคน้ หาศพั ท์ ศัพท์ท่ีได้จากการจัดทานามานุกรมพุทธศาสน์ ได้มาจาก ๒ ส่วน คือ ส่วนท่ีคัดมาจากดัชนี พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท้ัง ๔๕ เล่ม และศัพท์ที่พิจารณาคัดเลือก เพิม่ เตมิ ขึ้นมาใหม่จากหนังสือพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยทั้ง ๔๕ เล่ม การ พจิ ารณาคดั เลือกเพ่มิ ใหมน่ ้ี กระทาไปพรอ้ มกับการทาคาอธิบายประกอบแต่ลาศัพท์ เหตุผลเพราะช่วงทา คาอธบิ ายประกอบ เปน็ ช่วงที่ได้อ่านเน้ือหาโดยละเอยี ดเพ่ิมขน้ึ อาจพบศัพท์ท่ีไม่ได้ถูกเก็บในดัชนีท้ายเล่ม และควรเก็บมาอธิบายเพ่ิมเติม ขณะเดียวกัน คาท่ีเก็บจากดัชนีท้ายเล่มบางคา อาจไม่สาคัญ หรือไม่มี หลักฐานเพียงพอสาหรับการจัดทาคาอธิบาย ก็อาจพิจารณาตัดออกไปพร้อมๆ กับกระบวนการค้นหา ศัพทด์ ว้ ย (๒) การเรียงศพั ท์ การเรียงศัพท์ในนามานุกรมพุทธศาสน์ ได้จัดเรียงตามลาดับหมวดอักษร ยึดตามแบบแผนที่ บรุ พาจารยไ์ ดก้ าหนดไว้แล้ว คอื หมวด ก วรรค เรยี งลาดบั ดงั น้ี ก ข ค ฆ ง หมวด จ วรรค เรียงลาดบั ดังนี้ จ ฉ ช ฌ ญ หมวด ฏ วรรค เรยี งลาดบั ดงั น้ี ฏ ฐ ฑ ฒ ณ หมวด ต วรรค เรียงลาดับดงั นี้ ต ถ ท ธ น หมวด ป วรรค เรียงลาดับดังน้ี ป ผ พ ภ ม หมวด อวรรค เรียงลาดบั ดังน้ี ย ร ล ว ส ห ฬ อ หมวดสระ เรยี งลาดับดังนี้ อ อ อิ อี อุ อู เอ โอ การเรียงลาดับคา และการวิธีการเก็บคา ยึดตามแนวพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ซ่ึงมีการ เรียงคาศัพท์ สรุปไดด้ ังนี้ ๒.๓.๑ ตวั พยัญชนะเรียงตามลาดับตัวอักษร คือ ก ข ค ฆ ง ฯลฯ ไม่ได้เรียงตามลาดับเสียง เช่น จะค้นหาคาว่า ทราบ ต้องค้นหาจากหมวดอักษร ท จะค้นหาคาว่า เหมา ต้องไปค้นหาในหมวด ห ส่วน ฤ ฤา เรียงลาดับไว้หลงั ตวั ร ฦ ฦา ลาดบั ไว้หลังตัว ล ๒.๓.๒ ตัวสระเรียงตามลาดับรูป ไม่ได้เรียงตามลาดับเสียง คือ กะ กั กา กิ กี กึ กื กุ กู เ แ โก ใ ไ รูปสระที่ผสมกันหลายรูป จะจัดเรียงตามลาดับสระที่อยู่ก่อน และสระหลังตามลาดับข้างต้น ดัง รายละเอยี ดตอ่ ไปนี้
๒๒ อะ อั อา อา อิ อี อึ อื อุ อู เอ เอะ เอา เอาะ เอิ เอยี เอยี ะ เออื แอ แอะ โอ โอะ ใอ ไอ การเรียงลาดับอักษรตามรูปที่ปรากฏลักษณะเช่นนี้ ถือเอาตามเกณฑ์ที่ราชบัณฑิตยสถานได้ ถือปฏิบตั ิในการจัดทาพจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ สถาน และพจนานกุ รมประเภทอ่นื ๆ อยา่ งไรก็ตามในการเรยี งรูปพยญั ชนะจริง จะมีเฉพาะรูปสระทีม่ ใี นภาษาบาลี ๖ ตัวเท่าน้ัน คือ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ (๓) การเลือกศัพท์ การจัดทานามานุกรมพุทธศาสน์คร้ังนี้ ผู้วิจัยได้เลือกจากดัชนีท้ายเล่ม ซ่ึงมีหลายประเภท นบั ตัง้ แต่ชือ่ บุคคล สถานที่ สัตว์ ต้นไม้ สิ่งของเคร่ืองใช้ ศัพท์ธรรมะ เป็นต้น แต่คัดเลือกเอาเฉพาะศัพท์ที่ เปน็ ช่อื บุคคล โดยเรยี งตามลาดับพระไตรปิฎกเลม่ ที่ ๑-๔๕ ตัวอย่างการคัดเลือกชื่อบุคคลในพระไตรปิฎกเล่มท่ี ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ผู้วิจัยสารวจ ดชั นีท้ายเล่มพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เก็บศัพท์เรียงลาดับอักษร จานวนท้ังส้ิน ๓๓๕ ศพั ท์ เรยี งตามลาดบั อกั ษร ดังตัวอยา่ งต่อไปนี้ กกสุ ันธะ,พระพทุ ธเจา้ กฎโมรกติสสกะ,ภิกษุ
๒๓ กปิละ,ภกิ ษุ กลนั ทคาม,หมบู่ ้าน กณั ณกชุ ชะ,เมอื ง กัสสปะ,พระพทุ ธเจา้ กายทจุ รติ กายมนุษย์ กาลิงคะ,พระราชา กายสงั ขาร ฯลฯ อุบลวรรณา,ภิกษณุ ี อบุ าลี,ภกิ ษุ อเุ บกขา อโุ บสถ อุปจารบา้ น อุปชั ฌาย์ อปุ ัฏฐาก อปุ ทั ทวะ อภุ โตพยญั ชนก เมอ่ื เปดิ ดัชนที ายเล่มพระไตรปิฎกแล้ว ดาเนนิ การคัดเอาเฉพาะศัพท์ที่เป็นชื่อบุคคล ส่วนศัพท์ อื่นท่ีไม่เก่ียวข้องก็ตัดท้ิง คงเหลือเฉพาะช่ือบุคคลท่ีจะนาไปจัดทานามานุกรมพุทธศาสน์ ในส่วนของ พระไตรปฎิ กเล่มท่ี ๑ จานวนท้ังสน้ิ ๔๖ ชือ่ เขยี นเรยี งลาดับ ดังตวั อย่างตอ่ ไปน้ี กกุสนั ธะ,พระพทุ ธเจ้า กฎโมรกตสิ สกะ,ภกิ ษุ กปลิ ะ,ภกิ ษุ กัสสปะ,พระพุทธเจา้ กาลงิ คะ,พระราชา โกกาลกิ ะ,ภกิ ษุ โกนาคมนะ,พระพุทธเจา้ ขณั ฑเทวบี ตุ ร,ภิกษุ ฯลฯ อัชชุกะ,ภิกษุ อสั สช,ิ ภกิ ษุ อานนท,์ ภกิ ษุ อุทายี,ภิกษุ
๒๔ อบุ ลวรรณา,ภิกษณุ ี อุบาล,ี ภิกษุ แม้พระไตรปิฎกที่เหลือ ก็ดาเนินการโดยวิธีการอย่างน้ี จากน้ันจึงนามาประมวลรวมกัน จัด หมวดหมูก่ นั ใหมใ่ นภาพรวมทง้ั ๔๕ เลม่ ผลการดาเนินการเลือกศัพท์ ได้ศัพท์ท่ีจะนามาจัดทานามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์จาก พระไตรปฎิ กแต่ละเลม่ ตัดส่วนท่ซี า้ ออกแลว้ คงเหลือคาทเี่ ก็บดงั ต่อไปน้ี เล่มที่ ศัพทท์ เ่ี กบ็ รวม ๑ กกุสันธะ, กฎโมรกติสสกะ,กปิละ, กัสสปะ,กาลิงคะ,โกกาลิกะ, โกนาคมนะ, ๔๖ ศพั ท์ ขณั ฑเทวีบตุ ร, ฉันนะ,ฉพั พวคั คีย์ภกิ ษ,ุ ถลุ ลนนั ทา,ทพั พมัลลบตุ ร, ทัฬหกิ ะ, ทามริ กะ, เทวทัต, ธนิยกุมภการบุตร, ปิลินทวัจฉะ, ปุนัพพสุกะ, พิมพิสาร, ภุมมชกะ, มหากัสสปะ, มหาโมคคัลลานะ, เมตติยะ, เมตติยา, ลักขณะ, วัชชีบุตร,วัสสการ พราหมณ์, วิปสั สี, วสิ าขา, เวรญั ชพราหมณ,์ เวสสภ,ู สมุททัต,สัตตรสวัคคีย์, สารี บุตร, สิขี, สุทิน, สุนทร, เสยยกะ, โสภิตะ, อนาถปิณฑิกะ, อัชชุกะ, อัสสชิ, อานนท์, อุทายี, อบุ ลวรรณา, และอุบาลี ๒ กัณฏกะ, กาณา, กลุ วฑั ฒกะ, จูฬปันถก, ฉัพพัคคีย์ภิกษุณี,ธนิฏฐกะ, มหากัจจาย ๒๓ ศัพท์ นะ, มหากัปปินะ, มหาโกฏฐิตะ, มหาจุนทะ, มหานามะ, มหาปชาปดีโคตรมี, ราหุล, เรวตะ, เวฬัฏฐสีสะ, สวิฏฐกะ, สาคตะ, หัตถกศากยบุตร, อนุรุทธะ, อริฏฐะ, อวกัณณกะ, อุปนันทศากยะ, และอุปเสนวังคันตบุตร ๓ กัปปิตะ, นันทวด,ี นันทา, ปเสนทโิ กศล, ภทั ทกาปลิ านี,ลิจฉวี, สาฬหะ, สนุ ทรีนัน ๙ ศัพท์ ทา, และอาโรหันตะ ๔ กณั ฏกี, กมุ ารกัสสปะ, โกณฑญั ญะ, คยากสั สปะ, ควัมปติ, คัคคะ, ชีวกโกมารภัจ ๒๒ ศัพท์ , ตปสุ สะ, นทีกสั สปะ, นันทะ, ปญั จวัคคีย์, ภัททวคั คยี ,์ ภทั ทยิ ะ, ภลั ลิกะ, ยสะ,วิ มละ, สุทโธทนะ, สพุ าห,ุ หุหกุ ชาต,ิ องคลุ ิมาล, อุเทน, อปุ กะ, และอรุ เุ วลกัสสปะ ๕ กงั ขาเรวตะ, กสั สปโคตร, กัสสปฤาษี, กากะ, กาสี, กิมพิละ, โคปกะ, ทีฆาวุ, ทีฆี ๔๐ ศัพท์ ติโกศล, นันทิยะ, นลี วาสี, ปาเฐยยะ, ผลิกสันทานะ, พรหมทัต, เพลัฏฐกัจจานะ, เพลัฏฐสีสะ, ภคุ, ภารทวาชะ, เมณฑกคหบดี, ยมตัคคิ, ยโสชะ, วามกะ, วามเท วะ, วาเสฏฐะ, เวสสามิตตะ, สาณวาสี, สาลวดี, สุนีธะ, สุปปิยะ, สุปปิยา, โสณ กุฏิกัณณะ, โสณโกฬิวสิ ะ, โสณะ, อภัยราชกมุ าร, องั ครี ส, อัฏฐกะ, อัมพปาลี, อา กาสโคตร, อสิ ทิ าส, และอิสติ ภัต ๖ ปัณฑุกโลหิตกะ,สยัมภูอัครบุคคล, สุธรรม,และอุปวาฬะ ๔ ศพั ท์ ๗ กุกธุ โกฬยิ บุตร, โกกุฏฐะ, นิครนถ์นาฏบุตร, ปกุธกัจจายนะ, ปิณโฑลภารทวาชะ, ๒๘ ศัพท์ ปรุ าณะ, ปรู ณกสั สปะ, พรหมทัตมาณพ, โพธิราชกุมาร, มณีจูฬกะ, มักขลิโคสาล , มัลละ, เมฏฐะ, ยสกากณั ฑกบุตร, วฒั ฑลจิ ฉว,ี วาสภคามกิ ะ, สัญชัยเวลัฏฐบุตร , สญั ชกิ าบุตร, สัพพกาม,ี สัมภูตสาณวาสี, สุภัททะ, สุมนะ, อชาตศัตรู, อชิตเกส กมั พล, อชิตะ, อฑั ฒกาส,ี อุชชโสภติ ะ, และอตุ ตระ ๘ กาฬสมุ นะ, เขมะ, จณั ฑกาลี, จูฬนาคะ, จูฬาเทวะ, ติสสเถระ, ติสสทัตตบัณฑิต, ๒๖ ศพั ท์
๒๕ ทีฆเถระ, ทีฆสุมณบัณฑิต, เทวเถระ, ธัมมปาลิตะ, นาคเถระ, ปุสสเทวะ, พุทธ รักขิตะ, ภัททบัณฑิต, มหานาคะ, มหาปทุมะ, มหาสีวะ, โมคคัลลีบุตร,เวลัฏฐ สีสะ, สัมพละ, สคิ ควะ, โสณกะ,อภยะ, อฏิ ฏยิ ะ, และอตุ ตยิ ะ ๙ กรกัณฑุราชกุมาร, กัณหะ, กูฏทันตะ, จังกีพราหมณ์, ฉันโทกพราหมณ์, ชาลิย ๒๙ ศัพท์ ปริพพาชก, ตารุกขพราหมณ์, ติตติริยพราหมณ์, โตเทยยพราหมณ์, นิโครธปริพ พาชก,โปกขรสาติพราหมณ์,โปฏฐปาทปริพพาชก,,พวหาริชฌพราหมณ์, มหา วิชิตราช,มทั ทรูป,ี มัลลิกา, สินปี ุรราชกุมาร, สหี ะสามเณร, สุนักขัตตะ,โสณทัณฑ พราหมณ์, หัตถินิกราชกุมาร,หัตถิสารีบุตร, อเจลลกัสสปะ,อัคคิเวสนะ, อังคก มาณพ,อมั พัฏฐมาณพ, อุกกามุขราชกมุ าร, โอกกากราช, และโอฏฐทั ธลิ จิ ฉวี ๑๐ กกุธอุบาสก, กัสสปะ (พระกุมาร/สมณกุมาร), การฬิมภะ,กิงกี, เขมังกร, โควิน ๔๒ ศัพท์ ทะ, ทิสมั บดี, ธนวดพี ราหมณ,ี พระนางปภาวด,ี พระนางพันธมุ วดี, พระนางมายา เทวี, พระนางยสวดีเทวี, พระนางสุภัททาเทวี, พระนาคะ, พระภิยโยสะ, พระ มหาวีระ, พระวิธูระ, พระอภิภู, ภฏะอุบาสก, ภัททาสุริยวัจฉสา,พันธุมา, นิกฎ อุบาสก, ภรตะ, ยัญญูทัต, วุฑฒิชภิกษุ,สันตุฏฐะ, สัพพมิตตะ, สัปปโสณฑิกะ, สตั ตภ,ู สชุ าดา, สปุ ปตติ ะ,สทุ ตั ตะ, สณุ ธี ะ,สุภฏะ,สภุ ทั ทปริพพาชก, โสภะ, โสตถิ ชะ,อโสกภกิ ษ,ุ อรุณะ,อาฬารดาบส, อตุ ตรา,อุปสนั ตะ ๑๑ กฬารมัชฌกะ,จุนทกัมมารบุตร,ตินทุกขาณุปริพพาชก, ทัณฑมาณพ, ทัฬหเนมิ, ๑๑ ศัพท์ ภัคควโคตรปริพพาชก, ภารทวาชสามเณร, มหาปนาทะ, สิงคาลกะ, อชิต เสนาบดี, และอุทกดาบส ๑๒ กมิ ิละ, ชาณสุ โสสิ,ทุมมุขะ,ธมั มทนิ นา, นาคะสมาละ,ปิงคลโกจฉะ, ปุณณมันตานี ๑๑ ศัพท์ บุตร, วิสาขอบุ าสก, สญั ชวี ะ, สาติ, และสุนทรกิ ภารทวาชะ ๑๓ กฬารชนก, กันทรกะ, กาปทิกะ, กิกี, โคลิสสานิ, ฆฏิการะ, โฆฏมุขะ,โชติปาละ, ๕๐ ศัพท์ ทสมคหบดี, ทีฆการายนะ, ทีฆตปัสสี, ธนัญชานิ, ธนัญชานี, นาฬิชังฆะ, ปัญจัง คะ, ปุณณะ, ปุณณิกา, ปรุ าณะ, เปสสะ,โปตลยี คหบด,ี พรหมาย,ุ พระเจ้าโกรัพพ ยะ, พระเจ้ามฆเทวะ, พระเจ้ามธุระ, พระเจ้านิมิ, พระเจ้าอังคะ, พระนาง วาสภขัตติยา,พระรัฐบาล, ภัททาลิ, มันตานี, มาคัณฑิยะ, มาลุงกยบุตร, วัชิรี, วิฑูทภะ, เวขณสปริพพาชก, สกุลา, สกุลุทายี, สมณมุณฑิกาบุตร, สังคารวะ, สันทกะ, สิริวัฒน์, เสนิยะ, เสละ, โสมา, อันนภาระ, อัสสลายนะ, อิสิทันตะ, อุค คาหมานะ, พระอุทาน, และเอสุการี ๑๔ กาฬเขมกศากยะ, โคปกโมคคัลลานพราหมณ์, ฆฏายศากยะ, ชัยเสน, ตโปทะ, ๑๕ ศัพท์ นนั ทกะ,ปาราสริ ิยพราหมณ์, ปุกกุสาติ, โปตลิบุตร, ตครสิขี, พักกุละ, สภิยกัจจา นะ, ภัคควะ, โลมสกงั คิยะ,และอคั คเวสนะ ๑๕ กสิภารทวาชพราหมณ์, โกกนทา, ขณั ฑเทวะ, โคธิกะ, จูฬโกกนทา, ชฏาภารทวา ๓๑ ศัพท์ ชะ, ตัครสิขี, นาคทัตตะ, นิโครธกัปปะ, ปัจจนีกสาตพราหมณ์, ผลคัณฑภิกษุ, พหุทันตี, พิลังคิกภารทวาชพราหมณ์, ภารทวาชภิกษุ, มานัตถัทธพราหมณ์, โรหิตตสั สฤาษ,ี วังคีสภิกษ,ุ วชิ ยาภิกษุณ,ี สมิทธภิ ิกษ,ุ สาณุสามเณร, สิงคิยภิกษุ, สีสปุ จาลาภิกษุณี, สุนทริกภารทวาชภิกษุ, อรุณราชา, อสุรินทกภารทวาชะ, อหิ
๒๖ งสกภารทวาชะ, อักโกสกภารทวาชะ, อัคคิกภารทวาชะ, อัญชนวัน, อุปจาลา ภกิ ษณุ ,ี และอุปวาณะ ๑๖ กฬารขัตติยะ, กัจจานโคตร, กัปปินะ,โกฏฐิตะ, โกลิตะ, ขุชชุตตรา, เขมา,ติม ๒๑ ศพั ท์ พรกุ ขะ, ถลุ ลติสสะ, เถรนามกะ, ทสารหะ, นันทมารดา, นารทะ,ปวิฏฐะ, ภูมิชะ, มสุ ิละ, โมลิยผัคคุนะ,ลกณุ ฏกภทั ทยิ ะ, วิสาขปญั จาลบุตร, สชุ าต, หัตถกอาฬวกะ , และอเจลกัสสปะ ๑๗ เขมกะ, ทาสกะ, ปุณณมันตานีบุตร, มหากัจจานะ, ราธะ, ยมกะ, วักกลิ,วัจฉ ๑๒ ศพั ท์ โคตรปริพพาชก, สุจมิ ุข,ี สรุ าธะ, โสณะ, และหลทิ ทกานิ ๑๘ กามภู, กิมมิละ, คันธภกะ, โคทัตตะ, จัณฑะ, จิรวาสี, ตาลบุตร, นันทโคบาล, ๒๖ ศพั ท์ ปาฏลิยะ, พาหิยะ, มณิจูฬกะ, มหกะ, มาลุงกยบุตร, มิคชาละ, โมฬิยสีวกะ, โยธาชีวะ, ราสิยะ, โลหิจจพราหมณ์, เวรหัญานิโคตร, สภิยกัจจายนะ, สมิทธิ, หัตถาโรหะ, อนุราธะ, อสิพนั ธกบุตร, อสั สาโรหะ, และอสทิ ตั ตะ ๑๙ กกุฏอบุ าสก, กฏสิ สหอุบาสก, กฬภอุบาสก, กาฬิโคธา, กุณฑลิยปริพพาชก, ควัม ๑๖ ศพั ท์ ปติ, โคธา, จุนทสมณุทเทศ, โชติยคหบดี, ฑีฆาวุกุมาร, นันทกมหาอามาตย์, ภัท ทะ, มานทินนะ, โลมสกังภยิ ะ, สรณาน,ิ และสริ วิ ัฑฒะ ๒๐ กัณฑรายนะ, กาติยานี, กาลีอุบาสิกา, กาฬุทายี, กุณฑธานะ, ธรรมทินนา, นกุล ๒๗ ศัพท์ ปติ าคหบดี, นกุลมาตาคหบดี, ปเจตนะ, ปฏาจารา, เปขุณิยเศรษฐี, ภัททากัจจา นา, ภัททากุณฑลเกสา, ภัททิยกาฬิโคธายบุตร, โมฆราช, เรวตขทิรวนิยะ, วังคี สะ, เวฬุกัณฏกีนันทมาตา,สวิฏฐะ, สามาวดี, สุปปวาสาโกลิยธิดา, สุภูติ, สูร อัมพัฏฐะ, โสณา, อารามทัณฑะ, อุคคคหบดี,อุคคตคหบดี, และอุตตรานันท มาตา ๒๑ โปตลิยะ, มันตธาตุ, ภัญญปริพาชก,วธรปริพาชก,วรธรปริพาชก,วัปปศากยะ, ๑๐ ศพั ท์ วัสสปรพิ าชก, สกุลทุ ายปี รพิ าชก, อนั นภารปริพาชก, เอเฬยยะ ๒๒ กุททาลกะ, โคตมกะ, จิตตหัตถิสารีบุตร, จุนที, จุนทราชกุมาร, ชฏิลกดาบส, ๒๖ ศัพท์ เตคณั ฑกิ ะ, ทารุกัมมิกะ, เทวธัมมิกะ, โทณพราหมณ์, ธัมมิกภิกษุ, นาคิตะ, ปิงคิ ยานีพราหมณี, ผัคคุนะ, ภัททชิ, มิคสาลาอุบาสิกา, มิคารมาตาอุบาสิกา, มุณฑ ราชา, มคู ปักขะ, สเุ นตตะ, สุมนาราชกุมารี, โสการักขะ, หัตถิปาละ, อรเนมิ, อา รทุ ธกะ, และอุปวานะ ๒๓ กุททาละ, จันทิกาบุตร, ปุณณิยะ, โพชฌาอุบาสิกา, เมฆิยะ, สัชฌปริพาชก, สุต ๙ ศพั ท์ วาปริพาชก, อุคคตสรรี พราหมณ,์ และอชุ ชยพราหมณ์ ๒๔ กฏิสสหะ, กฬมิ ภะ, กกั กฏะ, คิริมานนท์, นิกฏะ, ปาละ, วาหุนะ, สันธะ, และอุป ๙ ศัพท์ ปาละ ๒๕ กาลเถระ, กัปปมาณพ, กุกกุฏมิตตะ, กุณฑลเกสี, กุมภโฆสก, โกกะ, โกณฑธาน ๗๒ ศพั ท์ เถระ, ครหทนิ น์, จกั ขุบาล,จันทาภะ, จิญจมาณวกิ า,จิตตหัตถเถระ, จุลกาล , จูฬ ปันถก, จูเฬกสาฎก, จูฬสารี, จูฬธนุคคหบัณฑิต, ฉัตตปาณิ, ชตุกัณณิ, ชัมพุกะ, ติสสเมตเตยยะ, โตเทยยมาณพ, เทวหิตพราหมณ์, นาคสมาละ, ปิงคิยมาณพ ,ปุณณกมาณพ, โปสาลมาณพ, ภัททิยกาฬิโคธาบุตร, นิคมวาสีติสสเถระ,บัณฑิต
๒๗ สามเณร, ปติปูชิกา, ปธานิกติสสะ, ปธานกัมมิกติสสะ, ปิโลติกติสสเถระ, ปู ติคัตตติสสเถระ, เปสการธิดา, โปฐิลเถระ, พหุปุตติกาเถรี, พิฬารปทกเศรษฐี, เพฬัฏฐสีสเถระ, ภัทราวุธ, มหากาล, มัฏฐกุณฑลี,เมตตคู, สังกิจจสามเณร,สันต กายเถระ, สันตติมหาอามาตย์, สัปปทาสเถระ, สัมมัชชนเถระ, สิริคุตต์, สิริมา, สุขสามเณร, สุนทรสมุทรเถระ, สุปปพุทธะ,สุธัมมเถระ, สุมนมาลาการ, สุนทรี ปริพพาชิกา, เสยยสกเถระ, โสปากสามเณร, เหมกมาณพ, อชิตมาณพ, อตุล อุบาสก, อนิตถิคันธกุมาร, อริยะ, อัตตทัตถเถระ, อานันทเศรษฐี, อายุวัฑฒนกุ มาร, อคุ คเสนะ, อุชฌานสญั ญี, รูปนันทาเถรี, โรหณิ ,ี และโลลุทายี ๒๖ กัปปิตกภิกษุ, กฏุ ิวิหารเถระ, ขุชชโสภิตะ, คัคคระ, จาลสามเณร, จัณฑาลี, ฉัตต ๔๖ ศัพท์ มาณพ, ทสันนราช, ธนปาลเศรษฐี, นันทราช, นันทิเสน, ติสสา, ทุมะ, ปนาทะ, ปัณฑรสโคตร, ปัณฑเกตุ,ภัททิตถิกา, ภัทรา, มหาวีระ, มิสสเถรี, มุทุวาทินี, มุสิ ละ, โมกขา,เรวดี, ลขุมาอุบาสิกา, วาสุเทพ, วีณา, วีรเถระ, เวภาระ, สีสูปจา ลสามเณร, อุปจาลสามเณร, สินธุมาณพ, สุจิมหิตา, สุชัมบดี, สุชาตกุมาร, สุผัส สา, สุมังคละ, โสณทินนา, อธิมุตตเถระ, อลัมพุสา, อลัยหเศรษฐี, อังกุร, อันธก เวณฑุ, อุกเขปกตวัจจฉเถระ, อพุ พรเี ทว,ี และเอณปี สั สา ๒๗ กลาพุ, กฎาหกะ, กรัณฑกะ กลัณฑุกะ, กากวดี, การันทิยะ, กาลิงคพราหมณ์, ๑๑๓ ศพั ท์ กาฬเทวิลดาบส, กาฬกัณณี, กังสะ, กัณหะ, กัปปดาบส, กาฬเทวิลดาบส, เกวัฏฏปุโรหิต, เกสวดาบส, โกมาริยบุตร, โกรัพพยุธิฏฐิละ, โกรัพยะ, โกสิย พราหมณ์, โกสิยเศรษฐี, โกสิยายนี, คามณิ, คิริทัตต์, ฆตบัณฑิต, จิตตบัณฑิต, จิตตฤาษี, ฉัตตฤาษ,ี ฉพั ภพิ ราหมณ์, ชนสนั ธะ, ชุณหะ, ตีรีฏวัจฉดาบส, ทุโยธนะ , นิลียะ,ปาสริยพราหมณ์, ปาสาริยะ, ปัพพตดาบส, ปุกกุสบัณฑิต, ปุญญ ลกั ขณาเทว,ี โปริสารทดาบส, พระเจ้าตัมพะ, พระเจ้าทศรถ, พระเจ้าทธิวาหนะ, พระเจ้าทัณฑกี, พระเจ้าทัฬหธรรม,พระเจ้าทุพภิเสน, พระเจ้าทุมมุขะ, พระ เจ้าธนัญชัย,พระเจ้านัคคชิ,พระเจ้านาฬีกีระ, พระเจ้านิโครธ, พระเจ้านิมิราช, พระเจ้าปัญจาละ,พระเจ้าพัลลิกะ,พระเจ้าพาวรี, พระเจ้ามหาปตาปะ, พระเจ้า มันตธาตุ, พระเจ้ายุธิฏฐิละ,พระเจ้าเรณู,พระเจ้าวิสสเสนะ, พระเจ้าสรรพมิตร, พระเจ้าสังวร, พระเจ้าสรรพทัต, พระเจ้าสีพี, พระเจ้าสุตโสม, พระเจ้าสุสีมะ, พระเจ้าสุรุจ,ิ พระเจา้ เสนกะ, พระเจ้าอลีนจิต, พระเจ้าอัชชุนะ, พระเจ้าอัสสกะ, พระเจ้าอุคคเสน, พระเจ้าอุทัย, พระเจ้าอุสินนระ, พระเจ้าเอกราช, พระนาง จันทวดี, พระนางทราบดี, พระนางนันทาเทวี, พระนางปิงคิยานี, พระนางมุทุ ลักขณา, พระนางสมั พลุ า,พระนางสัมพหุลาราชบุตรี, พระนางสุเมธา, พระนางสุ สันธี, พระนางอสิตาภู, พราหมวาเสฏฐโคตร,ตุณฑิลโพธิสัตว์, ภัลลาติยราชา ,มโหสธบณั ฑิต, พรหมทุตกุมาร, ยุธัญชัยกุมาร, รุหกปุโรหิต, วิธูรบัณฑิต, เวตด รุณ, วัจฉนขะ, สาธินราชา, สามา, สีวิกะ, สัมพหุลา,สัมมิลลหาสินี, สขุ วัจฉนมาณพ, สุลสา, สตั ตกุ ะ, สุจีรตะ, สตุ โสม, โสมทัต, โสมนัส, อาฬารวิเทห บุตร, อัฏฐกราชา, อัฏฐิเสนะ, อุทัญจนี, อุปสาฬหกพราหมณ์, อุปโชติยะ, และ อปุ ชั ฌายะ
๒๘ ๒๘ กณั หา, กณั หทปี ายนฤาษี, กปั ปสคุณาชีวก, กาลปรุ กั ขติ ฤาษี,กนิ นรี, กีสวัจฉฤาษี, ๕๐ ศพั ท์ กุรงุ คเทว,ี เกวัฏฏพราหมณ์โกสิยโคตร, ขัณฑหาละ, เจตบุตร, จันทกุมาร, ชเนต ตี, ชาลีกุมาร, ชูชก, เตมีย์, โตเสนตี, นฬินิกา, พระเจ้าพาวริยะ, พระเจ้าภคีรสะ ,พระเจ้ามโนชะ, พระเจ้ามัจฉะ, พระเจ้ามัชฌะ, พระเจ้ามัททะ, พระเจ้าวิเทหะ, พระเจา้ สญั ญมนะ, พระเจา้ สาคระ, พระเจ้าอรินทมะ, พระเจ้าอังคติ, พระเจ้าอัง คโลมบาท,พระนางมัทรี, พระนางผุสสดี,พระนางรุจา, พระนางวิชยา, พระนาง วมิ ลา, พระนางสทั ธาเทว,ี พระนางหิรีเทว,ี พระภูรทิ ัตต์, ประภาวดี, ปัญจตปาวี , ปัญจาลจัณฑพราหมณ์, ปุถุทธนะ, เวสสันดร, สุริยกุมาร, โสณดาบส, โสณ บณั ฑติ , โสตถยิ พราหมณ์, โสณทนิ นะ,อนูนมาณพ, อมิตตตา, และอมุ มาทนั ตี ๒๙ มาคันทยิ ะ, เมตเตยยะ, สภิยะ, สมณมุณฑกิ า, และอฑั ฒมาสก ๕ ศพั ท์ ๓๐ ปรากฏเฉพาะศัพทธ์ รรม และศพั ทอ์ นื่ สว่ นท่ีปรากฏชือ่ บุคคลซา้ จากทเี่ ก็บแลว้ - ๓๑ ปรากฏเฉพาะศัพทธ์ รรม และศัพทอ์ ืน่ ส่วนทปี่ รากฏช่ือบคุ คลซ้าจากท่ีเก็บแลว้ - ๓๒ กิญชรเกสระ, ขัณฑะ, เขมราชา, คติปัจเฉทนะ, คันธิยะ, คิริสาระ, โคสุชาตะ, ๒๐๘ ศพั ท์ ฆฏาสนะ, จันทติตตะ, จันทสมะ, จัมพกะ, จิรัปปะ, เจฬะ, ชลสิขะ, ชลันธระ, ชลุตตมะ, ชติ เสนะ, ตโมนุทะ, ตารณะ, ถปู สขิ ะ, ทมถะ, ทัณฑเสนะ, ทิปทาธิบดี, ทีฆายุ, ทุชชัย, ทุติเทพ, เทพอุตตระ, เทพคันธะ, เทวคัชชะ, เทวละ, ธรณีรุหะ, ธูมเกตุ, นรุตตมะ, นัชชุเปมะ, นิมมิตะ, เนมิสัมมตะ, เนสาทะ, ปฏิชัคคะ, ปฏิสัง ขาระ, ปฐวีทุนทุภิ, ปทวิกกมนะ, ปทุมะ, ปทุมาภาส, ปทุมมิสสระ, ปทุมุตระ, ปภัสสระ, ปริวาระ, ปริสุทธะ ปาทปาวระ, ปิยาลินะ, ปุณณกะ, ปุปผลฉทนิยะ, ปุบผะ, ปุปผิยะ, ปุฬินปุปผิยะ, ผุสิตะ, พระโสณโกฏิวีสะ, พลเสนะ, พลุคคตะ, พกั กุละ, พทุ ธะ, ภวนมิ มติ ะ, ภมี รส, ภรู ิปัญญา, มณปี ภา, มหัทธนะ, มหาทุนทุภิ, มหานิโฆษะ, มหาเนละ, มหาปตาปะ, มหาปุลินะ, มหามัลลชนะ, มหารถ, มหาร หะ, มหาราม, มหารุจิ, มหาโรหิตะ, มหิทธิกะ, มหิสมันตะ, มาตละ, มิคเกตุ, มิตตฆาตกะ, มิตตสัมมตะ, มุทุสีตละ, เมฆัมภะ, ยทัตถิยะ, ยโสธระ, รเถสภะ, รัตนปัชชละ, รามะ, เรณุ, โรมสะ, วรทัสสนะ, วรุณะ, วาตสมะ,วาหณะ, วกิ ตานนั ทะ, วิชิตชัย, วโิ รจนะ, วลิ ามาลา, วิโลกนะ, วหิ ตาภาส, วตี มละ, เวภาระ , สตจักขุ, สตรังสี, สมณุปัฏฐาก, สมลังกตะ, สมันตจักขุ, สมันตฉทนะ, สมันต ธรณะ, สมนั ตเนม,ิ สมันตปาสาทกิ ะ, สมนั ตวรณะ, สมันตาโอทนะ, สมิตนันทนะ, สมิตะ, สมุคคตะ, สมุตตมะ, สมุททกัปปะ, โสมกขรณะ, สโมคตะ, สโมตถกะ, สโมทกะ, สยมั ปภะ, สรณะ, สรติ จั เฉทนะ, สหัสสราช, สหสั สาระ, สังวสิตะ, สัตต ปตั ตะ, สัตตุตตมะ, สันนิพพาปกะ, สัพโพภวะ, สัมปัสสนะ, สัมโพสธะ, สัมมุขาถ วิกะ, สามุทธระ, สินธวสันทนะ, สิรีธระ, สุคันธะ, สุจารุทัสสนะ, สุจินติยะ, สุเจ ละ, สุเจฬะ, สุจฉวิ, สุชาตะ, สุทัสสนะ, สุทายกะ, สุนันทะ, สุเนละ, สุปติฏฐิตะ, สุปปพุทธะ, สุปปสันนะ, สุปัชชลิตะ, สุปุปผิตะ, สุพพตะ, สุพุทธะ, สุเมขลิยะ, สุ เมฆฆนะ, สุยานะ, สุลภสัมมตะ, สุวรรณาภะ, สุสัญญตะ, สูริยสมะ, โสณณาภะ, โสมเทพ, หัตถิยะ, อตุลยะ, อนันตชลิ, อนันตยสะ, อโนมทัสสี, อปเสลา, อปัส เสนะ, อภิภู,อภิวัสสี, อภิสามะ, อรณัญชหะ, อรัญญะสัตตะ, อรินทมะ, อรุณปา
๒๙ ละ, อรุณสะ, อสมะ, อสญั ญสตั ตะ, อคั คเิ ตชะ, อัคคินิพพาปนะ, อัคคิสิขิ, อังคีรส มหานาค, อัญชสะ, อัฏฐโคปานสี, อัตถทัสสี, อัมพรังสะ, อัมพัฏฐชัย, อาเทยยะ, อุทกเสจนะ, อปุ เจฬะ, อปุ นนั ทะ, อุปรุจิ, อุปสาลหกะ, เอกจินติตะ, เอกผุสสิตะ, เอกอัญชลิกะ, เอกัชฌะ, เอกาทัสสติ ะ, เอกิสสระ, และโอภาส ๓๓ กฬิสสา,กัญชาเวฬะ, เขมังกร,จันทนปทุมา, จันทนะ, จันทาเถรี, จันทวดี ๗๔ ศพั ท์ พราหมณี, จันทมิตตาเถรี, จาลาอุบาสิกา, จาลาเถรี, เจตราช, ชัชชิยะ, ชัยทิศ, ชติ มิตต, ตปิ ตี วิ จั ฉะ, ตสิ สนามเถระ, ตสิ สาเถรี, ติริฏิวัจฉะ, ทาฐธาตเุ ถระ,ทิวากร พทุ ธเจา้ ,เทวลิ เถระ, ทพั พเสน, ธมั มรจุ ิ, ธรรมา, ธรรมทัสส,ี นกุลาเถรี, นาคาสมา นาเถรี, นันทิวัฑฒอุบาสก, นันทุตตระ, นิสภเถระ, กุมภทาสี, ปัญจทีปา, ปญุ ญวฑั ฒนะ, ปุณณา, ปุนพั พสุมติ ตอบุ าสก, ปนุ พั พะ, ปสุ สะ, ผัคคุนีเถรี, ผุสสะ , พรหมเทพ, พุทธิชะ, ภัททราหุล, ภัททสาละ, ภาวิตัตตเถระ, ภิกขุทาสิกา, มัททราช, มันธาตุ,มัณฑัพยะ, วิชิตาวี, สมณีคุตตา,สังฆทาสิกา, สังขพราหมณ์, สัจจนามาเถรี,สัญชีวนามเถระ, สันตเถระ, พาหิระ, สัพพกามเถระ, สัพพทัสสี เถระ, สิวิราช, สุเทวเถระ, สุธรรมาเถรี, สุรักขิตเถรี, สุราธาเถรี, สุรามาเถรี, โสณาเถรี, อสมเถระ, อสมาเถรี, อโสกาเถรี, อัตถทัสสี, อุปริฏฐะ, อุปสันตะ, อุป โสณาเถรี, อรุ ุเวลาเถรี, และอาลัมพานพราหมณ์ ๓๔ ไมป่ รากฏชื่อบุคคล สถานที่ ปรากฏเฉพาะปรมัตถธรรมเทา่ นนั้ - ๓๕ ไม่ปรากฏชื่อบคุ คล สถานที่ ปรากฏเฉพาะปรมตั ถธรรมเท่านนั้ - ๓๖ ไมป่ รากฏชื่อบุคคล สถานท่ี ปรากฏเฉพาะปรมัตถธรรมเทา่ น้นั - ๓๗ ไมป่ รากฏชื่อบคุ คล สถานที่ ปรากฏเฉพาะปรมัตถธรรมเท่านน้ั - ๓๘ ไม่ปรากฏชื่อบคุ คล สถานท่ี ปรากฏเฉพาะปรมตั ถธรรมเทา่ นั้น - ๓๙ ไมป่ รากฏชื่อบุคคล สถานที่ ปรากฏเฉพาะปรมัตถธรรมเท่านั้น - ๔๐ ไมป่ รากฏชอ่ื บคุ คล สถานที่ ปรากฏเฉพาะปรมตั ถธรรมเท่านน้ั - ๔๑ ไมป่ รากฏชื่อบคุ คล สถานที่ ปรากฏเฉพาะปรมตั ถธรรมเท่านน้ั - ๔๒ ไม่ปรากฏชอ่ื บุคคล สถานท่ี ปรากฏเฉพาะปรมัตถธรรมเทา่ นั้น - ๔๓ ไมป่ รากฏชื่อบุคคล สถานที่ ปรากฏเฉพาะปรมัตถธรรมเท่านน้ั - ๔๔ ไม่ปรากฏชื่อบุคคล สถานท่ี ปรากฏเฉพาะปรมตั ถธรรมเท่านัน้ - ๔๕ ไม่ปรากฏชอ่ื บคุ คล สถานท่ี ปรากฏเฉพาะปรมตั ถธรรมเท่านั้น - ๑,๐๘๕ รวมศัพท์บคุ คลทง้ั สน้ิ ศัพท์ อน่ึง ในบรรดาจานวนศัพท์ ๑,๐๘๕ ศัพท์น้ี บางศัพท์มีข้อมูลน้อย ไม่เป็นที่รู้จัก เนื้อหาท่ี ปรากฏในพระไตรปฎิ ก มลี ักษณะเพยี งแค่เป็นการถูกเอย่ หรือพาดพงิ ถึง ปรากฏเพียง ๑ ครั้ง หรือ ๒ คร้ัง ห้วงเวลาท่ีอ้างถึงบุคคลดังกล่าว บางคร้ังก็นับอดีตถอยหลังเป็นกัป หรือหลายๆ กัป ซึ่งแม้ตามไป ตรวจสอบคัมภรี อ์ รรถกถาแล้ว ก็ไมม่ ีรายละเอยี ดเพม่ิ เติม ผ้วู ิจัยก็ตัดสินใจตัดออกไปก่อน ด้วยยังไม่มีเวลา มากพอในการตรวจสอบหลกั ฐานชั้นฎกี า อนุฎีกา หรอื หนงั สือรนุ่ หลงั อื่น ๆ (๔) การจัดทาคาอธบิ ายศพั ท์
๓๐ นามานุกรมศัพท์พุทธศาสน์ จัดทาคาอธิบายโดยอาศัยข้อมูลจากคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นหลัก และอาศัยคัมภีร์อรรถกถาเป็นหลัก การดาเนินการได้ใช้โปรแกรมพระไตรปิฎก ๒ ชุด ได้แก่ โปรแกรม พระไตรปิฎก ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย เวอร์ชน่ั ๑.๐ และเปน็ ตวั ช่วยในการสืบค้นหาคาแต่ละคา ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ จากนั้นประมวลจัดทาคาอธิบายประกอบ ยกตัวอย่าง เช่น สารีบุตร,พระ มี กระบวนการจัดทาคาอธิบายดงั นี้ ๑. นาศัพท์ สารีบุตร, พระ ป้อนลงในโปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย เวอร์ช่ัน ๑.๐ ว่า มีคานี้ปรากฏอยู่กี่ครั้งในพระไตรปิฎกท้ัง ๔๕ เล่ม ซ่ึงจากการค้นหา โปรแกรมได้รายงานพบทัง้ สนิ้ ๑,๕๙๑ คร้ัง ๒. ตรวจสอบเนื้อหาตามหลักฐานท่ีค้นพบแต่ละครั้ง เพื่อจัดทาคาอธิบาย โดยตัดส่วนที่ไม่ เก่ียวข้อง ไม่จาเป็น หรือมีเน้ือหาซ้าออก เทียบเคียงเนื้อหาจากพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย พร้อมท้ังจัดทาเชิงอรรถประกอบสาหรับการสืบค้น หรือตรวจสอบความถูกต้องทาง วชิ าการ ๓. ตรวจสอบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพ่ิมจากคัมภีร์อรรถกถา ๔๘ เล่ม โดยใช้โปรแกรม พระไตรปิฎก เวอร์ชั่น ๒.๑ ฉบับเรียนพระไตรปิฎก ในการสืบค้นคาท่ีกาหนดไว้แล้ว จากน้ันนาเนื้อหาท่ี ค้นพบมาอธิบายเพ่ิมเติม ตัดส่วนที่มีเน้ือหาซ้าออก คงเหลือไว้เฉพาะส่วนเน้ือหาท่ีไม่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ พระไตรปิฎกเท่าน้ัน จากน้ันเทียบเคียงคัมภีร์อรรถกถาฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพ่ือจัดทา เชิงอรรถประกอบการสบื ค้น หรือตรวจสอบความถูกต้องทางวิชาการ เม่ือได้ตรวจสอบเน้ือหาจากคัมภีร์ครบถ้วน สมบูรณ์พอสมควรแล้ว ก็นาเนื้อหามาเรียบเรียง และลาดบั เหตุการณใ์ หส้ อดคล้องกบั ข้อเท็จจรงิ เก่ยี วกับบุคคลนั้น ๆ ๓.๒.๓ ขั้นวิเคราะห์ และตรวจสอบข้อมูล เป็นข้ันตอนของการตรวจสอบคาอธิบายที่ได้ร่าง เป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว ผู้รับผิดชอบหลักยังคงเป็นคณะผู้วิจัย ขณะเดียวกันหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อมูล หลกั ฐาน ก็จะปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ ซ่ึงคัดเลือกจากผู้มีความเช่ียวชาญทางด้านภาษาบาลี และเป็นเปรียญ ธรรม ๙ ประโยค อน่ึง ในการวิเคราะห์ ตรวจสอบข้อมูล หากคณะผู้วิจัยเห็นว่า ศัพท์ที่คัดเลือกมาจากขั้นตอน แรกมีเนื้อหาคาอธิบายน้อย และเป็นคาที่ไม่ใคร่สาคัญ ตัดออกแล้วก็ไม่กระทบเนื้อหาสาระโดยภาพรวม ของนามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์ ก็อาจจะพิจารณาตัดท้ิง เช่น นามบุคคลท่ีเป็นเรื่องของตานานนับ ระยะเวลาไกลออกไปนับเป็นอสงไขย และในคัมภีร์พระไตรปิฎก หรืออรรถกถาไม่มีรายละเอียดประกอบ คาอธิบาย ในข้ันตอนนี้ จะรวมไปถึงการจัดการทาคาย่อเคร่ืองหมายคัมภีร์ และการนาเสนอให้ ผู้ทรงคุณวุฒิท่ีสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์แต่งตั้งขึ้นมาตรวจสอบ ทุกขั้นตอนของกระบวนการวิจัย ทั้งนี้รวม ไปถึงข้อเสนอแนะท่ีได้จากการนาเสนอในเวทีวิชาการแล้ว ผู้วิจัยนามาปรับปรุงแก้ไขประกอบการจัดทา ฉบับสมบูรณเ์ พ่ือตีพมิ พเ์ ผยแพรต่ ่อไป ๓.๓ การตรวจสอบและปรบั แกไ้ ข การตรวจสอบและแก้ไข เป็นกระบวนการตรวจสอบความถูกต้อง ความสมบูรณ์ของเน้ือหา คาอธบิ าย การเรยี งลาดบั เหตุการณ์ท่เี กี่ยวขอ้ งกบั บุคคลนั้น ๆ รวมถึงแหล่งอ้างอิงท่ีใช้ว่าตรงตามหลักฐาน จริงหรือไม่ การดาเนินการตรวจสอบ จะกระทาโดย
๓๑ ๓.๓.๑ คณะผวู้ ิจยั ๓.๓.๒ ผ้ทู รงคุณวุฒทิ ่ีคณะผวู้ ิจัยพจิ ารณา และเรียนเชิญมาเป็นกรณีพิเศษ มีค่าตอบแทนตาม ความเหมาะสมของปรมิ าณงานท่ขี อรับคาปรึกษา ๓.๓.๓ คณะกรรมการท่สี ถาบันวจิ ยั พทุ ธศาสตร์แต่งตงั้ ๓.๔ ลาดับข้ันสุดท้าย ขั้นตอนสุดท้ายของการจัดทานามานุกรมบุคคลพุทธศาสน์ คือการดาเนินการตามข้อ ๙ และ ๑๐ ของแผนการดาเนินงาน คือ การปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะผู้ทรงคุณวุฒิ และการจัดทาฉบับ สมบูรณ์เพื่อขออนุมัติ รวมถึงการนาเสนอผลงานวิจัย ซึ่งคณะผู้วิจัยวางแผนการดาเนินการเป็นลาดับ ดงั ต่อไปนี้ ๓.๔.๑ ตรวจข้อมูล รูปเลม่ ของต้นฉบบั ๓.๔.๒ ตรวจสอบข้อมูลการเรียงลาดับอักษรในแต่ละหมวด และในแต่ละพยัญชนะให้เป็นไป ตามหลักเกณฑท์ ก่ี าหนด ๓.๔.๓ ตรวจเชค็ คาศพั ท์ และคาอธิบายโดยภาพรวมเพ่อื ให้ถูกต้องและสมบรู ณ์ทีส่ ุด ๓.๔.๔ ดาเนนิ การจัดทารูปเลม่ ตามรูปแบบทกี่ าหนด ๓.๔.๕ ส่งโครงรา่ งฉบบั สมบูรณใ์ หส้ ถาบันวิจัยพุทธศาสตรพ์ จิ ารณา ๓.๔.๖ ปรบั แกไ้ ขตามทสี่ ถาบันวจิ ัยพทุ ธศาสตร์เสนอแนะ ๓.๔.๗ จดั ทาบทความวิจัย และนาสง่ ฉบบั สมบรู ณ์เพอ่ื ขออนมุ ตั ิจากสถาบันวจิ ยั พุทธศาสตร์ ๓.๔.๘ นาเสนอผลงานในเวทีวิชาการ/ตีพิมพ์ผลงานวิจัยเผยแพร่ในวารสาร TCI ฐาน ๒ เป็น อย่างนอ้ ย
๓๒ บทที่ ๓ การจัดทาคาอธิบายชอ่ื บคุ คลในคัมภรี ์ วรรค ก ก กกุธะ, อบุ าสก ในคมั ภีร์พระไตรปิฎก พบชื่อกกุธะอยู่ ๒ แห่ง แห่งแรกระบุเป็นช่ือของอุบาสก แห่งท่ี ๒ ระบุ เปน็ ชอื่ ของเทพบตุ ร เข้าใจว่า น่าจะเป็นคนเดียวกัน แต่กล่าวถึงต่างสถานะ กล่าวคือ สถานะแรกกล่าวถึง ในฐานะเป็นอุบาสกผู้อุปัฏฐากพระมหาโมคคัลลานะ ส่วนสถานะหลังกล่าวถึงชีวิตหลังจากตายแล้วไป บังเกิดในเทวโลก กกธุ ะ เป็นบุตรเจ้าโกลิยะ ในพระบาลีจึงปรากฏชื่อว่า กกุธโกลิยบุตร มีความเลื่อมใสศรัทธา ในพระพทุ ธศาสนา ตามประวัตเิ ลา่ ว่าเปน็ อุปัฏฐากของพระมหาโมคคัลลานะ ต่อมาสิ้นชิพตักษัย ได้เข้าถึง ช้ันกายมโนมัย (พรหมช้ันสุทธาวาสท่ีมีกายสาเร็จด้วยกาลังฌาน ไม่กลับมาเกิดอีก และจะปรินิพพานใน อัตภาพแห่งพรหมนั้น) ท่านมีความห่วงใยในพระพุทธศาสนา จึงได้เข้าไปเรียนพระมหาโมคคัลลานะให้ ทราบว่า พระเทวทัตถูกลาภสกั การะครอบงา ปรารถนาจะปกครองสงฆ์แทนพระพุทธเจา้ พระมหาโมคคัลลานะ ได้นาเร่ืองน้ีไปกราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบ เมื่อทรงทราบแล้วก็ ตรัสย้าเตือนให้พระเถระคอยดูเหตุการณ์ภายภาคหน้า จากนั้นจึงตรัสถึงศาสดา ๕ จาพวก ได้แก่ ๑) ศาสดาท่มี ีศลี ไม่บรสิ ุทธิ์ แต่ปฏญิ ญาว่ามีศีลบรสิ ุทธิ์ ๒) ศาสดาทเี่ ล้ยี งชีวิตไมบ่ ริสุทธ์ิ แตป่ ฏิญญาว่าเล้ียงชีพ บริสทุ ธ์ิ ๓) ศาสดามธี รรมเทศนาไม่บริสุทธ์ิ แต่ปฏญิ ญาวา่ ธรรมเทศนาบริสุทธิ์ ๔) ศาสดามีเวยยากรณะไม่ บรสิ ทุ ธิ์ แตป่ ฏิญญาวา่ มเี วยยากรณะบรสิ ทุ ธิ์ และ ๕) ศาสดามญี าณทศั นะไม่บรสิ ทุ ธ์ิ แต่ปฏิญญาว่ามีญาณ ทัศนะท่ีบริสุทธ์ิ๑ พระองค์ตรัสย้าอีกว่า เทวทัตแม้จะได้ลาภสักการะจากพระเจ้าอชาตศัตรู แต่สักการะ ย่อมฆ่าคนชวั่ เหมือนต้นกลว้ ยออกปลเี พือ่ ฆ่าตนเอง๒ อน่ึง ในกกุธสูตร๓ เล่าถึงเทพบุตรตนหน่ึง เข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ทรงยินดีอยู่หรือ พระพุทธเจา้ จึงทรงยอ้ นถามไปว่า เราไดอ้ ะไรหรอื ? เทวบุตรจึงเปล่ียนคาถามว่า ถ้าอย่างน้ันทรงเศร้าโศก อยู่หรือ ก็ทรงย้อนถามอีกว่า เราเส่ือมอะไรหรือ ? เทวบุตรจึงสรุปว่า ถ้าอย่างน้ัน แสดงพระองค์ไม่ทรง ยนิ ดี และก็ไม่เศร้าโศก พระองค์จงึ ได้ตรัสยืนยนั เช่นนัน้ กกสุ นั ธะ, พระพทุ ธเจ้า เป็นอดีตพระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในภัทรกัป (ภัทรกัปมีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ประกอบด้วย พระกกุสันธะ, พระโกนาคมนะ, และพระกัสสปะ) พุทธบิดาทรงพระนามว่า อัคคิทัตตพราหมณ์ พุทธ มารดาทรงพระนามวา่ วิสาขา มพี ระวรกายสงู ๔๐ ศอก พระรศั มีเปล่งออกดังทองคา มีพระอัครสาวกช่ือ ๑ ว.ิ จูฬ. (ไทย) ๗/๓๓๔/๑๗๖. ๒ ว.ิ จฬู . (ไทย) ๗/๓๓๕/๑๗๙. ๓ ส.สคา. (ไทย) ๑๕/๙๙/๑๐๔.
๓๓ วิธุระและสัญชีวะ มีพระพุทธิชะเป็นพุทธอุปัฏฐาก๔ พระนามของพระองค์นั้นเรียกตามพระโคตร๕ ทรง ครองฆราวาสอยู่ ๔,๐๐๐ ปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ (คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ) เสด็จออก ผนวช ใช้เวลาบาเพ็ญสมณธรรม ๘ เดือน จงึ ไดบ้ รรลพุ ระโพธิญาณภายใต้ตน้ ซึก พระพุทธเจ้าพระนามวา่ กกุสันธะ อุบตั ขิ ึ้นในหมู่มนุษย์เผ่าติวรา (อา่ นวา่ ติ-วะ-รา) มนุษย์เผ่าน้ี มอี ายขุ ัย ๔ หมื่นปี๖ ในคัมภรี ข์ ุททกนิกาย อปทานระบวุ ่า ทรงเปน็ เผ่าพนั ธุ์ของพราหมณ์มาก่อน๗ อนึ่ง ในพระบาลีได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ ประกอบด้วย พระพุทธเจ้าพระนามว่า วปิ สั ส,ี พระนามว่าพระสขิ ,ี พระนามว่าพระเวสสภ,ู พระนามวา่ พระกกุสันธะ, พระนามว่าพระโกนาคมนะ , พระนามวา่ พระกสั สปะ, และพระพทุ ธเจา้ พระนามว่าโคตมะ๘ กฎโมรกตสิ สกะ,ภิกษุ พระกฎโมรกติสสกะ เป็น ๑ ในคณะพระภิกษุท่ีอยู่ในฝักฝ่ายของพระเทวทัต ประกอบด้วย พระโกกาลิกะ, พระกฏโมรกตสิ สกะ,พระขันฑเทวบี ตุ ร, และพระสมทุ ททัต ทัง้ หมดได้สมคบกันทาลายสงฆ์ ทาลายจักรในศาสนาของพระพุทธเจ้าด้วยการแสดงวัตถุ ๕ ประการ คือ ๑) ให้ภิกษุอยู่ป่าเป็นวัตร ห้าม ภิกษุเข้าบ้าน ๒) ให้ภิกษุเท่ียวบิณฑบาตตลอดชีวิต รับกิจนิมนต์มีโทษ ๓) ให้ใช้ผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต ใช้ จีวรมผี ูถ้ วายมีโทษ ๔) ให้อยู่โคนต้นไม้ตลอดชีวิต อยู่ในกุฏิมีท่ีมุงท่ีบังมีโทษ และ ๕) ห้ามฉันปลาและเนื้อ ตลอดชวี ติ รูปใดฉันมโี ทษ พระพุทธเจา้ ไมท่ รงอนุญาตเงอื่ นไขทัง้ ๕ ประการเหล่าน้ี และก็ไม่ทรงห้าม แต่ทรงโปรดให้ถือ ปฏิบัตไิ ด้ตามความสมัครใจ พระเทวทตั และพวกอาศยั เหตดุ งั กลา่ วนจ้ี ึงแยกคณะสงฆ์ออกไปอยู่ต่างหาก๙ กฏิสสหะ,อบุ าสก กฏสิ สหะ เปน็ ชอ่ื อุบาสกทา่ นหนึง่ ทอ่ี ยู่ในกลมุ่ ทีไ่ ด้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า ละจาก อัตภาพนี้แล้ว ได้ไปบังเกิดในพรหมช้ันสุทธาวาส ซ่ึงจะได้บรรลุธรรมช้ันสูง ปรินิพพานในพรหมช้ัน สุทธาวาส ไมก่ ลับมาเกิดในโลกมนุษยอ์ ีก รายนามผู้ที่ได้รับการพยากรณ์ในลักษณะนี้ ประกอบด้วย ภิกษุณีนันทา, สุทัตตะอุบาสก, สุชาดาอุบาสิกา, กกุธอุบาสก, การฬัมภะอุบาสก, นิกฏะอุบาสก, กฏิสสหะอุบาสก, ตุฏฐะอุบาสก, สัน ตุฏฐะอบุ าสก, ภฏะอบุ าสก, และสุภฏะอบุ าสก๑๐ ส่วนท่ไี มร่ ะบชุ ่อื ยังมอี กี มาก กรกัณฑุ,ราชกมุ าร กรกัณฑุราชกุมาร เป็น ๑ ในพระราชโอรสของพระเจ้าโอกกากราช ประกอบด้วย อุกกามุข ราชกุมาร, กรกณั ฑรุ าชกุมาร, หัตถินิกราชกุมาร, และสินีปุรราชกุมาร ท้ัง ๔ พระองค์นี้ได้ถูกเนรเทศออก ๔ ข.ุ พุทธ. (ไทย) ๓๓/๒๐/๗๐๕. ๕ ข.ุ พุทธ. (ไทย) ๓๓/๑/๗๐๑. ๖ ขุ.อป. (ไทย) ๓๓/๔๒/๓๔๑. ๗ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๔๓/๒๓๐. ๘ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔/๑๐. ๙ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๔๐๙/๔๔๑. ๑๐ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๕๗/๑๐๑.
๓๔ จากเมืองพรอ้ มด้วยพระราชธดิ าอกี ๕ พระองค์ อาศัยอยู่ที่ราวป่าสักใหญ่ ริมฝ่ังสระโบกขรณี เชิงภูเขาหิม พานต์ ทรงอยูร่ ว่ มกนั ฉันสามีภรรยา เพราะไมต่ ้องการให้พระชาตปิ นกับผู้อ่ืน๑๑ เรื่องราวของพระราชกุมารและพระราชธิดาของพระเจ้าโอกกากราชนี้ นับเป็นจุดกาเนิดศาก ยวงศ์ และโกลิยะวงศ์ ตน้ ตระกลู และพระญาตขิ องพระพุทธเจ้าของเราท้งั หลาย กรัณฑกะ,พระราชา เป็นพระนามของพระเจ้าแผ่นดินในแคว้นกาลิงคะ ในกุมภการชาดก๑๒ อรรถกถาขยายความ เพิ่มเติมว่า พระเจ้ากรัณฑกะ วันหนึ่งคร้ันเสร็จราชกิจแล้ว ได้เสด็จบนคอช้างประพาสอุทยาน ระหว่าง ทางพบตน้ มะม่วงในพระราชอุทยานกาลงั มผี ลดก จึงใชพ้ ระหัตถเ์ ดด็ มาเสวย เมื่อพระราชาทรงเก็บมะม่วง แล้ว ชนที่เหลือก็พากันเก็บเหมือนกัน พวกอามาตย์ พราหมณ์ และคหบดีทั้งหลายพากันเขย่าผลมะมวง ให้หลน่ แลว้ กร็ บั ประทาน คนทมี่ าทีหลงั ๆ กใ็ ช้ไมค้ ้อนฟาดใหก้ ิ่งหัก แมแ้ ต่ผลดบิ ๆ กไ็ มเ่ หลอื ฝา่ ยพระเจา้ กรณั ฑกะ ทรงกรฑี าในพระราชอุทยานตลอดท้ังวนั ตกเย็นเมื่อเสด็จกลับพระนคร ผา่ นต้นมะมว่ งที่เกบ็ เสวยเมอื่ เช้า ก็ทรงดาหรวิ ่า ในตอนเชา้ มะม่วงต้นนี้ เต็มไปด้วยผลเป็นพวงสง่างาม ทา ความอิ่มตาแก่ผู้พบเห็น แต่บัดนี้ก่ิงหักรุ่งริ่ง ถึงความย่อยยับเพราะผล ต่างจากต้นไม้ไม่มีผลเหล่าอื่น ทรง ทาตน้ มะม่วงใหเ้ ปน็ อารมณ์ เจริญวิปัสสนายังพระปัจเจกโพธญิ าณให้เกดิ ขนึ้ ฝ่ายอามาตย์ท้ังหลายเห็นพระราชทอดพระเนตรต้นมะม่วงอยู่นานก็ทูลเตือนให้ทรงกลับพระ นคร พระเจ้ากรณั ฑกะกต็ รัสตอบวา่ เราไม่ใชพ่ ระราชา เราเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พวกอามาตย์กราบทูล ว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่แต่งพระองค์อย่างนี้ พระเจ้ากรัณฑกะจึงได้ยกพระหัตถ์ลูบพระเกสา ทันใดน้ัน เพศแหง่ คฤหัสถ์ได้หายไป เพศสมณะปรากฏขึ้น จากน้ันทรงประทับบนอากาศ ประทานโอวาทแก่มหาชน แลว้ ก็เสด็จประทับทีเ่ ง้ือมเขาแห่งหน่งึ กลัณฑกุ ะ,ทาส กลัณฑุกะ เป็นชื่อของทาสผู้หน่ึง ปรากฏในกลัณฑุกชาดก คัมภีร์ขุททกนิกาย ชาดก๑๓ สาระสาคัญกล่าวถึง นายกลัณฑุกะว่าเป็นทาสของเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี แต่ได้แอบหนีไปแต่งงานกับ ธิดาของปัจจันตเศรษฐี พาราณสีเศรษฐีตามหาไม่เจอ จึงส่งนกแขกเต้าโพธิสัตว์ไปสืบและตามหา และก็ได้ พบท่แี ม่น้าแห่งหนงึ่ นกแขกเตา้ โพธสิ ัตวจ์ ึงไดก้ ล่าวเตือนนายกลันฑกะไม่ใหป้ ระมาทในชีวติ คัมภีร์อรรถกถาขยายความต่อไปอีกว่า กลัณฑุกะ ได้แสดงพฤติกรรมต่าช้าตามวิสัยทาสด้วย การจะบ้วนนมสดในปากรดศีรษะธิดาของปัจจันตเศรษฐี ขณะนั้นนกแขกเต้าโพธิสัตว์กาลังจับอยู่ที่กิ่งไม้ มะเด่ือ เหน็ พฤติกรรมน้ัน จงึ ไดก้ ลา่ วเตอื นขอใหส้ านึกถึงชาติกาเนิด พ้ืนเพของตนบ้างเถิด ธิดาของเศรษฐี สมบูรณ์ด้วยชาติสกุล จาเริญด้วยความสุข แต่กลับไม่รู้ประมาณหรือฐานะของตนเอง๑๔ จากน้ันจึงกล่าว สอน พร้อมทงั้ ส่ังให้ด่ืมนมสดนัน้ ไม่ให้บ้วนออกมา ฝ่ายกลัณฑุกะ เห็นนกแขกเต้าพระโพธิสัตว์จาตนเองได้ ก็เกิดความร้อนใจ เกรงความลับจะ เปิดเผย ได้หาทางกาจัด โดยทาทีพูดดีกับนกแขกเต้า และเชิญให้ลงมา จะได้ต้อนรับ แต่นกแขกเต้ารู้ทัน ๑๑ ที.ส.ี (ไทย) ๙/๒๖๗/๙๒. ๑๒ ขุ.ชา.(ไทย) ๒๗/๙๐/๒๗๑. ๑๓ ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๑๒๗/๕๒. ๑๔ ขุ.ชา.เอกฺก.อ. (ไทย) ๒/๒๙๗.
๓๕ จึงบนิ กลับไปรายงานใหพ้ าราณสีเศรษฐที ราบ เศรษฐีทราบความเป็นไปท้ังปวงแล้ว จึงได้ส่งกาลังคนไปจับ และนากลบั มาเปน็ ทาสดังเดิม กลาพุ,พระราชา กลาพุ เป็นพระนามกษัตริย์พระองค์หน่ึง ปรากฏชื่อในสรภังคชาดก เป็น ๑ ในพระราชาท่ี กระทากรรมหยาบช้า ประทุษร้ายบรรพชิต และได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า จะต้องตกนรก อเวจี ไดร้ บั ทกุ ขเวทนาอนั เผด็ ร้อน๑๕ คัมภีร์อรรถกถาชาดก๑๖ ได้ขยายความเพิ่มเติมว่า พระเจ้ากลาพุ ได้ประทุษร้ายขันติวาที ดาบสด้วยการเฆี่ยนด้วยหวายพันคร้ัง แล้วให้จับมวยผมคร่ามาให้นอนคว่าลง ได้ทรงใช้ส้นพระบาท กระทืบหลัง ทาให้ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ท้ายที่สุดได้รับส่ังให้ตัดมือ เท้า ใบหู และจมูก รับสั่งให้ตัด เปน็ ชน้ิ ๆ โดยทขี่ ันตวิ าทีดาบสไม่ได้มีความผดิ ใด ๆ กฬมิ ภะ,พระ พระกฬิมภะ ปรากฏชื่ออยู่ในกัณฑกสูตร แห่งอังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต แต่ไม่ปรากฏ รายละเอียดอย่างอื่น เน้ือหาปรากฏแต่เพียงว่า “พระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน พรอ้ มกบั พระเถระผู้มีเช่ือเสียหลายรปู เช่น พระปาละ พระอุปปาละ พระกักกฏะ พระกฬิมภะ พระนิกฏะ และพระกฏิสสหะ”๑๗ ซ่ึงพอสันนิษฐานได้ว่า ท่านเป็นพระท่ีมีความสาคัญอีกรูปหน่ึง แม้จะไม่จัดอยู่ใน กลุ่มอสตี ิมหาสาวกกต็ าม กปลิ ะ,ภิกษุ พระกปิละ เป็นภิกษุชาวเมืองโกสัมพี มีเพื่อนรูปหนึ่งช่ือพระปัณฑุกะ พานักอยู่ในวัดใกล้ หมบู่ า้ นแห่งหน่ึงนอกเมอื ง วันหนึ่งเพ่ือนรูปนี้เดินทางเข้าเมืองโกสัมพี ระหว่างทางได้เก็บเปลวมันข้นที่คน ทาตกไวด้ ว้ ยคดิ วา่ จะคนื เจ้าของ แตถ่ กู เจ้าของกลา่ วหาว่า “ขาดจากความเป็นพระแล้ว” ต่อจากนั้น หญิง เลยี้ งโคคนหน่ึงพบทา่ นระหวา่ งทาง จงึ ชวนเสพเมถนุ ทา่ นคิดว่า โดยปกติตนก็ขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว จึงได้เสพเมถนุ กับหญิงเลี้ยงโคนนั้ เมื่อถึงเมืองโกสัมพี จึงได้เล่าเรื่องให้ภิกษุท้ังหลายฟัง ภิกษุจึงได้นาเรื่องนี้ไปกราบทูลให้ พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระพุทธเจ้าตรัสวินิจฉัยว่า ภิกษุปัณฑุกะ ไม่เป็นปาราชิกเพราะถือเอาของที่ เจา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ แต่ปาราชกิ เพราะเสพเมถุนกับหญงิ เลยี้ งโค๑๘ กสิภารทวาชะ,พราหมณ์ กสิภารทวาชพราหมณ์ มีภูมิลาเนาอยู่ท่ีหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อเอกนาลา ทักขิณาคีรีชนบท แคว้นมคธ ประกอบอาชีพกสิกรรม เร่ืองราวของกสิภารทวาชพราหมณ์ปรากฏในกสิภารทวาชสูตร คัมภีร์สงั ยุตตนกิ าย สคาถวรรค และขุททกนิกาย สตุ ตนิบาต เนือ้ หาในพระสูตรมีรายละเอียดดงั น้ี ๑๕ ข.ุ ชา.จตฺตาลีส.(ไทย) ๒๗/๗๓/๖๐๗. ๑๖ ข.ุ ชา.จตตฺ าลีส.อ. (ไทย) ๗/๔๑๔. ๑๗ อง.ฺ ทสก. (ไทย) ๒๔/๗๒/๑๕๘. ๑๘ วิ.มหา.(ไทย) ๑/๑๖๐/๑๓๒.
๓๖ วันหน่ึง ช่วงฤดูลงนา ขณะที่กสิภารทวาชพราหมณ์พร้อมด้วยบริวารไถนาเสร็จ และพัก รับประทานอาหารอยู่ พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปประทับยืน ณ ท่ีสมควร พราหมณ์มองเห็นพระพุทธเจ้าก็ เปรยข้ึนว่า พวกข้าพระองค์ไถและหว่าน ไถหว่านแล้วจึงบริโภค แม้พระองค์ก็ควรไถและหว่าน คร้ันไถ หว่านแล้วก็จงบริโภค พระพุทธเจ้าได้สดับถ้อยคาของพราหมณ์เช่นนั้น ก็ตรัสตอบไปว่า แม้เราก็ไถและ หว่าน ครั้นไถหว่านแล้วก็บริโภค พราหมณ์ได้ยินเช่นนั้นก็กราบทูลว่า ข้าพระองค์ไม่เห็นแอก ไถ ผาล ประตัก หรือโคของพระองค์ เหตุไฉนพระองค์จึงยังตรัสว่า แม้เราก็ไถและหว่าน ครั้นไถ หว่านแล้วก็ บริโภค๑๙ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันกับพราหมณ์กสิภารทวาชะว่า พระองค์เป็นชาวนา โดยตรัสว่า พระองค์มีศรัทธาเป็นพืช มีความเพียรเป็นฝน ปัญญาเป็นแอกและไถ หิริเป็นหงอน ใจเป็นเชือก สติเป็น ผาลและปฏัก พระองค์คุ้มครองกาย คุ้มครองวาจาได้แล้ว สารวมในการบริโภคอาหาร ดายหญ้า (วาจา สับปลบั ) ดว้ ยคาสัตย์ โสรจั จะช่วยทาใหง้ านสาเรจ็ ความเพียรช่วยนาธุระให้ไปถึงแดนเกษมจากโยคะ ไม่ ถอยกลบั มาเศร้าโศกอกี ๒๐ กสิภารทวาชพราหมณ์ได้ฟังพระดารัสของพระพุทธเจ้าในคร้ังน้ี เกิดความเลื่อมใส และได้ แสดงตนเปน็ ผนู้ บั ถือพระรตั นตรัยตลอดชวี ิต เนอื้ ความในขทุ ทกนิกาย สุตตนบิ าต กน็ ยั เดยี วกนั นี้ กฬารขัตตยิ ะ, พระ พระกฬารขัตติยะ ปรากฏในกฬารสูตร แห่งกฬารขัตติยวรรค พระบาลีสังยุตตนิกาย นิทาน วรรค เนื้อความปรากฏว่า พระกฬารขัตติยะ ได้เข้าไปถามปัญหากะพระสารีบุตรเร่ืองการลาสิกขาของ ท่านโมลิยภัคคุว่า คงเป็นเพราะไม่ได้ความพอใจในพระธรรมวินัยนี้กระมัง พระสารีบุตรไม่ได้ตอบปัญหา โดยตรง พดู แต่เพียงว่า ตนเองไม่สงสัย เม่ือถูกถามว่า ไม่สงสัยหรือ ก็ตอบไปว่า ถึงต่อไปก็ไม่ลังเล ซ่ึงการ ตอบปัญหาเช่นน้ี ทาให้พระกฬารขัตติยะเข้าใจผิด จึงได้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า พระสารีบุตรนั้นอวด อตุ ตรมนุสสธรรม พระพุทธเจ้าจึงรับส่ังให้เรียกพระสารีบุตรมาสอบถามข้อเท็จจริง พระสารีบุตรได้กราบ ทลู ตามความเปน็ จริงวา่ ไม่ได้มเี จตนาเชน่ นนั้ ๒๑ ในคัมภีร์อรรถกถา ได้อธิบายท่ีมาของชื่อกฬารขัตติยะว่า เป็นเพราะฟันของท่านมีสีดาแดง และมสี ันฐานไมเ่ สมอกนั ๒๒ กฬารมชั ฌกะ, ชเี ปลือย กฬาระ เป็นนักบวชชเี ปลือย อาศัยอยู่ในวัชชีคาม เขตเมืองเวสาลี ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ ยศ เพราะประพฤติวัตบท ๗ ประการ ได้แก่ ๑) ไม่นุ่งผ้าตลอดชีวิต ๒) ไม่เสพเมถุนตลอดชีวิต ๓) ดารงชีวิตด้วยสุราและเนื้อสัตว์ ไม่กินข้าวและขนมสดตลอดชีวิต ๔) ไม่ล่วงเกินอุเทนเจดีย์ ซึ่งอยู่ทางทิศ ๑๙ ส.สคา. (ไทย) ๑๕/๑๙๗/๒๘๓. ๒๐ ส.สคา. (ไทย) ๑๕/๑๙๗/๒๘๔. ๒๑ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๓๒/๖๓. ๒๒ ส.นิ.อ. (ไทย) ๒/๓๒/๙๕.
๓๗ ตะวันออกเมืองเวสาลี ๕) ไม่ล่วงเกินโคตมเจดีย์ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้เมืองเวสาลี ๖) ไม่ล่วงเกินตัมพเจดีย์ ซ่ึง อยู่ทางตะวันตกเมืองเวสาลี และ ๗) ไม่ลว่ งเกนิ พหปุ ตุ ตกเจดยี ์ ซงึ่ อย่ทู างทิศเหนือเมอื งเวสาลี๒๓ กฬารมัชฌกะ ได้เคยถูกสุนักขัตตะ ลิจฉวีบุตรถามปัญหา เมื่อไม่สามารถพยากรณ์ได้อย่าง ถกู ตอ้ ง จึงแสดงอาการโกรธเคอื ง ทาให้เกิดความไมส่ บายใจวา่ ตนเองได้รุกรานพระอรหันต์ชั้นดีแล้ว และ ได้แตภ่ าวนาวา่ อย่าใหเ้ กดิ ความเดอื ดร้อน หรือเกิดความทุกข์ใด ๆ เลย ด้วยความไม่สบายใจ จึงได้ไปเฝ้า พระพุทธเจ้าเพ่ือใหท้ รงชว่ ยขจดั ความไม่สบายใจนัน้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับสุนักขัตตะว่า โมฆบุรุษ เธอยังเข้าใจว่ากฬารมัชฌกะเป็นพระอรหันต์ อยู่หรือ คอยดูเอาเถอะ กฬารมัชฌกะท่ีเธอเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์น้ี ไม่นานก็จะกลับไปนุ่งผ้า มีภรรยา กินข้าว และขนมสด ล่วงเกินเจดีย์ที่มีทั่วเมืองเวสาลี กลายเป็นคนเสื่อมยศและตายไปในท่ีสุด ซ่ึงต่อ มากฬารมชั ฌกะกป็ ระสบชะตากรรมเหมือนอย่างพุทธพยากรณ์ทุกประการ กักกฏะ, พระ พระกักกฏะ ปรากฏชื่ออยู่ในกัณฏกสูตร อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ความตอนหน่ึงว่า“สมัย หนง่ึ พระผูม้ ีพระภาคได้ประทบั อยทู่ ก่ี ูฏาคารศาลา ปา่ มหาวันพร้อมพระสาวกผู้เป็นเถระท่ีมีช่ือเสียงหลาย รูป คือ พระปาละ พระอุปปาละ พระกักกฏะ พระกฬิมภะ พระนิกฏะ และพระกฏิสสหะ”๒๔ จาก หลกั ฐานในคมั ภีรแ์ สดงให้เห็นวา่ พระกกั กฎะเป็นพระเถระผู้มชี ื่อเสยี งรูปหน่ึง เน้ือหาในพระสูตรพรรณนาไว้ว่า พระกักกฎะ พร้อมด้วยพระเถระเหล่าน้ี ยินดีในการปลีก วเิ วก ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคขณะทรงประทับอยู่ท่ีป่ามหาวัน ขณะประทับอยู่ในท่ีแห่งน้ีเอง พระผู้มี พระภาคได้ตรัสปฏิปักขธรรม คือธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ๑๐ ประการ คือ (๑) ความยินดีด้วยหมู่ เป็น ปฏิปักษ์ต่อการผู้ยินดีในความสงัด (๒) การเจริญสุภนิมิต เป็นปฏิปักษ์ต่อการเจริญอสุภนิมิต (๓) การดู มหรสพที่เป็นข้าศึก เป็นปฏิบัติต่อคุ้มครองทวารอินทรีย์ (๔) ความใกล้ชิดกับมาตุคาม เป็นปฏิปักษ์ต่อ พรหมจรรย์ (๕) เสียงเป็นปฏิปักษ์ต่อปฐมฌาน (๖) วิตกวิจารเป็นปฏิปักษ์ต่อทุติยฌาน (๗) ปีติเป็น ปฏิปักษ์ต่อตติยฌาน (๘) ลมอัสสาสะเป็นปฏิปักษ์ต่อจตุตถฌาน (๙) สัญญาและเวทนา เป็นปฏิปักษ์ต่อ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ และ (๑๐) ราคะ โทสะ โมหะ เป็นปฏิปักขธรรม๒๕ จากนั้นจึงทรงแนะนาให้ ภกิ ษุทง้ั หลายทาตวั ไม่ให้มีปฏิปักษ์ กงั ขาเรวตะ,พระ พระเถระผู้ปรากฏนามว่า “เรวตะ” มีด้วยกัน ๒ องค์ คือ (๑) พระขทิรวนิยเรวตะ (๒) พระ กงั ขาเรวตะ องค์แรกเป็นน้องชายของพระสารีบุตร ผู้เป็นอัครเสนาบดีฝ่ายขวาของพระพุทธเจ้า ส่วนองค์ หลังเป็นพระเถระผู้มากไปด้วยความสงสัย๒๖ ท่านเกิดในตระกูลมีทรัพย์ เป็นชาวเมืองสาวัตถี ได้ยืนฟัง ธรรมท้ายบริษัท เกิดความเลื่อมใส จึงได้ขออุปสมบท คร้ันอุปสมบทแล้วให้อาจารย์แนะนาส่ังสอนเร่ือง กัมมัฏฐาน ทาบริกรรมฌาน เป็นผู้ได้ฌาน ทาฌานให้เป็นบาท แล้วบรรลุพระอรหัตตผล โดยมากท่านจะ ๒๓ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑/๑๐. ๒๔ อง.ฺ ทสก.(ไทย) ๒๔/๗๒/๑๕๘. ๒๕ อง.ฺ ทสก.(ไทย) ๒๔/๗๒/๑๕๙. ๒๖ ม.ม.ู อ. (ไทย) ๒/๒๐๖.
๓๘ เข้าสมาบัติที่พระทศพลทรงเข้า ได้เป็นผู้มีความชานาญท่ีส่ังสมแล้วในฌานทั้งหลายท้ังกลางวันและ กลางคนื พระผมู้ พี ระภาคจงึ แต่งต้ังทา่ นไวใ้ นตาแหนง่ ภกิ ษุผูย้ ินดใี นฌาน๒๗ คัมภีร์พระไตรปิฎกพรรณนาถึงความเป็นผู้มากด้วยข้อสงสัยไว้ตอนหนึ่งว่า ครั้งหนึ่ง พระผู้มี พระภาคประทบั อยู่ท่ีเมืองสาวัตถีตามพระอัธยาศัยแล้ว เสด็จไปกรุงราชคฤห์ ระว่างทาง พระกังขาเรวตะ แวะเขา้ โรงทาน้างบอ้อย เห็นเขาผสมแป้งบา้ ง เถา้ บ้าง ลงในน้าอ้อย เกิดความสงสัยว่า น้างบอ้อยเจือด้วย อามสิ เป็นของไม่ควรฉนั ในเวลาวิกาล พร้อมด้วยบริษัทก็ไม่ยอมฉันน้างบอ้อย แม้ภิกษุท่ีเชื่อฟังถ้อยคาของ ทา่ นก็ไมฉ่ นั งบน้าออ้ ยดว้ ย ภิกษจุ งึ นาเรื่องนไ้ี ปกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระพุทธเจ้าจึงตรัสถาม ว่า ชาวบ้านเอาแป้งบ้าง เถ้าบ้างลงในน้าอ้อยเพ่ือจุดประสงค์ใด ภิกษุท้ังหลายกราบทูลว่า เพ่ือให้น้าอ้อย เกาะแน่น พระพทุ ธเจ้าจึงตรัสวา่ ถ้าเขาผสมเพื่อจุดประสงค์ให้น้าอ้อยเกาะแน่น น้าอ้อยงบนั้นก็ยังคงเป็น น้าออ้ ยงบเหมือนเดมิ เราอนุญาตให้ฉนั น้าอ้อยงบตามสบาย๒๘ อีกกรณหี น่ึง ท่านพระกังขาเรวตะเห็นถั่วเขยี วงอกขน้ึ ทก่ี องอุจจาระระหวา่ งทาง ก็สงสัยว่า ถ่ัว เขยี วไม่ควรฉัน เพราะขนาดต้มแล้วก็ยังงอกขึน้ ได้ ท่านจึงไมย่ อมฉันถั่วเขียว แม้ภิกษุที่เช่ือฟังท่านก็ไม่ยอม ฉันถั่วเขียว ภิกษุท้ังหลายก็นาเร่ืองน้ีไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ่ัวเขียวแม้ที่ต้มสุก แล้วแต่ยังงอกไดเ้ ราอนุญาตให้ฉันตามสบาย๒๙ ในกังขาเรวตสูตร คัมภีร์ขุททกนิกาย ได้พรรณนาถึงพระกังขาเรวตะว่า ได้น่ังคู้บรรลังก์ พิจารณากงั ขาวิตรณวิสุทธิของตนอยู่ไม่ไกลจากท่ีประทับของพระศาสดา พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็น แล้วจึงทรงเปล่งอุทานว่า “ความสงสัยเหล่าใดเหล่าหนึ่งท่ีมีในอัตภาพนี้หรืออัตภาพอื่น ท่ีมีในความรู้ของ ตนหรือความรู้ของผู้อ่ืน บุคคลผู้เพ่งพินิจ มีความเพียร ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ย่อมละความสงสัยน้ัน ทงั้ หมดได้”๓๐ ในคัมภีร์อังคุตตรนิกายระบุไว้ว่า พระกังขาเรวตะ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าใน ตาแหนง่ เอตทัคคะว่า เปน็ ผูย้ ินดีในฌาน๓๑ สานวนอรรถกถาใช้คาวา่ บรรดาสาวกของเราผมู้ ีฌาน กังขาเร วตะเป็นเลิศ๓๒ นอกจากนี้ ในอรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถา มีเน้ือความพรรณนาถึงอดีตชาติของท่าน ว่า เคยเป็นพราหมณ์มหาศาลในเมืองหงสาวดี ได้ยืนฟังธรรมท้ายบริษัท ได้เห็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระต้ังพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะผ้เู ลิศด้วยฌาน จึงได้ทาความปรารถนาเช่นนนั้ ๓๓ กังสะ,พระราชา กังสะ เป็นพระนามพระราชพระองค์หนึ่ง ปรากฏอยู่ในเตสกุณชาดก แห่งขุททกนิกาย ชาดก ครองราชย์อยใู่ นเมอื งพาราณสี๓๔ คัมภีร์อรรถกถาพรรณนาไว้ว่า พระองค์ไม่มีพระราชโอรสหรือพระราช ธิดาแม้พระองค์เดียว วันหน่ึงขณะประพาสอุทยาน ได้ทรงพบรังนก จึงให้อามาตย์ขึ้นไปตรวจตราว่าเป็น นกอะไร อามาตย์รายงานว่า มีไข่นกอยู่ ๓ ฟอง แต่ไม่ทราบว่าเป็นไข่นกประเภทไหน จึงรับส่ังให้หา ๒๗ ขุ.เถร.อ. (ไทย) ๑/๕๗, ม.มู.อ.(ไทย) ๒/๒๐๖. ๒๘ วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๗๒/๖๙. ๒๙ ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๗๒/๖๙. ๓๐ ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๔๗/๒๗๔. ๓๑ อง.ฺ เอก.(ไทย) ๒๐/๒๐๔/๒๗. ๓๒ ขุ.อุ.อ. (ไทย) ๒๕/๔๗/๓๙๐. ๓๓ ขุ.เถร.อ. (ไทย) ๑/๕๖. ๓๔ ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๒/๕๙๕.
๓๙ นายพรานมาพิจารณา จึงทรงทราบว่าเป็นไข่นกฮูก นกสาลิกา และนกแขกเต้า จากนั้นทรงรับสั่งให้ อามาตย์ดูแล คร้ันถึงกาหนดฟักไข่ ก็ทรงรับนกทั้ง ๓ ชนิดไว้เป็นพระราชโอรส และพระธิดา ทรงขนาน พระนามเวสสนั ดร, กณุ ฑลินี, และชัมพกุ ะตามลาดับ ฝ่ายพวกอามาตย์ เห็นพระราชร้องเรียกนกว่าบุตรของเรา ธิดาของเรา ก็พากันย้ิมเยาะว่า ท่านทั้งหลายจงดูพระราชาของเรา ร้องเรียนสัตว์เดรัจฉานว่าบุตรของเรา ธิดาของเรา พระราชาสดับ เช่นนน้ั ก็ทรงดาหรวิ า่ พวกอามาตยเ์ หลา่ น้ยี ังไมร่ ู้จกั ปัญญาสัมปทาแหง่ บตุ รของเรา จึงทรงวางแผนทาเร่ือง นีใ้ ห้ปรากฏ พระเจ้ากงั สะจงึ สง่ั ให้อามาตย์คนหน่ึงเข้าไปหาเจ้าเวสสันดรแจ้งข่าวว่า พระราชบิดาประสงค์ จะถามปัญหา อามาตย์ได้เข้าไปหานกเวสันดรแล้ว ก็แจ้งกระแสพระราชดารัสให้ทราบ นกเวสสันดรครั้น ปรกึ ษาอามาตย์ผเู้ ลย้ี งดตู นเสรจ็ แล้ว ก็แจง้ ขา่ วใหอ้ ามาตย์กลบั ไปรายงานวา่ ในวันที่ ๗ นบั แต่นี้ไปแล้วให้ พระราชาเสด็จมาถามปัญหาได้ คร้ันครบ ๗ วัน พระราชาก็รับสั่งให้ตีกลองประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน จากน้ันก็เสด็จไปยังที่อยู่ของนกเวสสันดร ทรงได้รับการต้อนรับจากนกเวสสันดรด้วยสักการะใหญ่อย่าง สมพระเกียรติ จากนั้นจึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ รับสั่งให้ทามณฑปท่ีพระลานหลวง ให้เท่ียวตีกลอง ประกาศบอกมหาชน และทรงส่งสาสน์ ไปบอกใหน้ านกเวสสนั ดรมา นกเวสสันดรเมื่อมาถึงแล้ว ก็ได้ถวายปฏิสันถารแก่พระราชา เมื่อได้โอกาสอันสมควรแล้ว พระราชาได้ตรสั ถามราชธรรมกบั นกเวสสนั ดรใจความว่า “กจิ อะไรทผ่ี ปู้ ระสงค์เสวยราชสมบัติกระทาแล้ว เป็นกิจอันประเสริฐ ๓๕ นกเวสสันดรได้กราบทูลราชธรรมถวายแด่พระราชาท้ังส้ิน ๑๗ พระคาถา ความ เปน็ ต้นว่า ธรรมดาพระราชาน้นั ควรหา้ มมุสาวาท ความโกรธ ความร่าเริงก่อนเป็นเบื้องต้น จากนั้นจึงควร ทาราชกิจทั้งหลาย กรรมใดท่ีทรงกระทาแล้วทาให้เดือดร้อน ควรละเว้นกรรมน้ัน บารุงแว่นแคว้นด้วย ความไมป่ ระมาท ขยนั หม่นั เพยี ร ไม่มีความอิจฉาริษยา๓๖ ถัดจากน้ันอีก ๒-๓ วัน พระราชาได้เสด็จไปยัง สานักของนกสาลิกา และนกแขกเต้าตามลาดับ ทรงต้ังคาถามลักษณะเดียวกัน และได้รับการพยากรณ์ ปัญหาในราชธรรมโดยนยั ตา่ ง ๆ กัจจานโคตร, พระ พระกัจจานโคตร ปรากฏเรื่องราวอยู่ในกัจจานโคตรสูตร แห่งสังยุตตนิกาย นิทานวรรค๓๗ ความโดยสงั เขปวา่ พระกัจจานโคตร ได้เข้าไปถามพระผู้มีพระภาคถึงความหมายของสัมมาทิฏฐิ ซึ่งได้รับ การพยากรณจ์ ากสานกั พระผมู้ พี ระภาคเจ้าวา่ โดยมากโลกนีอ้ าศยั ทส่ี ดุ ๒ อย่างคือ ความมี และความไม่มี เม่ือบุคคลเห็นความเกิดขึ้นของโลกด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง ความไม่มีในโลก ก็ไม่มี และ เมื่อบุคคลเหน็ ความดบั แหง่ โลกดว้ ยปญั ญาอนั ชอบตามความเป็นจริง ความมีในโลก ก็ไม่มี โดยมากโลกนี้ ยังพัวพันอยู่ด้วยอุบายและความยึดมั่นอันเป็นเหตุที่ใจเข้าไปตั้งมั่นถือม่ันและนอนเนื่อง แต่อริยสาวกไม่ เขา้ ไปถือม่ันอุบายและความยึดม่ันอันเป็นเหตุท่ีใจเข้าไปตั้งม่ันถือม่ันและนอนเนื่องว่า ‘อัตตาของเรา’ ไม่ เคลือบแคลงไม่สงสัยว่า ‘ทุกข์น้ันแล เม่ือเกิดขึ้น ย่อมเกิดข้ึน ทุกข์เม่ือดับ ย่อมดับไป’ อริยสาวกนั้นมี ญาณหยง่ั รใู้ นเร่ืองน้โี ดยไมต่ อ้ งเชอื่ ผอู้ ื่นเลย กจั จานะ ด้วยเหตเุ พยี งเท่าน้ี จดั วา่ เป็นสมั มาทฏิ ฐิ ๓๕ ขุ.ชา.อ.(ไทย) ๓/๗/๕๔๙. ๓๖ ข.ุ ชา.อ. (ไทย) ๓/๗/๕๕๐. ๓๗ ส.น.ิ (ไทย) ๑๖/๑๕/๒๔.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 487
Pages: