Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน (อริยวินัย)

พุทธวจน (อริยวินัย)

Published by Sarapee District Public Library, 2020-06-09 00:16:23

Description: พุทธวจน (อริยวินัย)

Keywords: พุทธวจน,ธรรมะ

Search

Read the Text Version

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๕๕ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ จวี รวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ นฏิ ฐิตะจวี ะรสั ๎มงิ ภิกขนุ า อุพภะตสั ๎มงิ กะฐิเน, ภิกขโุ น ปะเนวะ..... “จีวรของภิกษุสำเร็จแล้ว กฐินเดาะเสียแล้ว อกาลจีวร เกิดขึ้นแก่ภิกษุ ภิกษุหวังอยู่ก็พึงรับ ครั้นรับแล้ว พึงรีบให้ทำ ถา้ ผา้ นน้ั มไี มพ่ อ เมอ่ื ความหวงั วา่ จะไดม้ อี ยู่ ภกิ ษนุ น้ั พงึ เกบ็ จวี รนน้ั ไว้ได้เดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง เพื่อจีวรที่ยังบกพร่องจะได้พอกัน ถ้าเก็บไว้ยิ่งกว่ากำหนดนั้น แม้ความหวังว่าจะได้มีอยู่ เป็น นิสสัคคิยปาจิตตีย์.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ อกาลจวี ร ไดแ้ ก่ ผา้ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ตลอด ๑๑ เดอื นในเมอ่ื ไมไ่ ด้ กรานกฐิน ผ้าที่เกิดขึ้นตลอด ๗ เดือนในเมื่อได้กรานกฐินแล้ว แม้ผ้าที่เขา ถวายเจาะจงในกาล นช้ี อ่ื วา่ อกาลจวี ร๑. อนาบัติ ๑.ในภายในหนง่ึ เดอื น ภกิ ษอุ ธษิ ฐาน ๒.ภกิ ษวุ กิ ปั ไว้ ๓.ภกิ ษสุ ละใหไ้ ป ๔.จวี รหาย ๕.จวี รฉบิ หาย ๖.จวี รถกู ไฟไหม้ ๗.โจรชงิ เอาไป ๘.ภกิ ษถุ อื วสิ าสะ ๙.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๐.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ เชตวนาราม สมยั นน้ั อกาลจวี ร (ผา้ ทเ่ี กดิ ขน้ึ นอกกาลทอ่ี นญุ าตเปน็ กาลทำจวี ร. ดเู ชงิ อรรถ) เกดิ ขน้ึ แกภ่ กิ ษรุ ปู หนง่ึ แตไ่ มพ่ อ ทำจวี ร เธอจงึ พยายามดงึ ผา้ นน้ั ใหย้ ดื แลว้ รดี เปน็ หลายครง้ั พระผมู้ พี ระภาค ๑ อกาลจวี ร คอื (๑) ตง้ั แตแ่ รม ๑ คำ่ เดอื น ๑๒ถงึ ขน้ึ ๑๕ คำ่ เดอื น ๑๑ ของปถี ดั ไปสำหรบั ผไู้ มไ่ ดก้ รานกฐนิ รวมเปน็ ๑๑ เดอื น (๒) ตง้ั แตแ่ รม ๑ คำ่ เดอื น ๔ ถงึ ขน้ึ ๑๕ คำ่ เดอื น ๑๑ ในปเี ดยี วกนั สำหรบั ผทู้ ไ่ี ดก้ รานกฐนิ รวมเปน็ ๗ เดอื น (พระไตรปฎิ กแปลไทย มจร. ๒/๒๑/๕๐๐)

๕๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทอดพระเนตรเห็นตรัสถามทราบความแล้ว จึงทรงอนุญาตให้เก็บผ้านอกกาล ไว้ได้ ถ้ามีหวังว่าจะได้ทำจีวร ปรากฏว่าภิกษุบางรูปเก็บไว้เกิน ๑ เดือน ทรงปรบั อาบตั นิ สิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ . นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ จวี รวรรค สกิ ขาบทท่ี ๔ โย ปะนะ ภกิ ขุ อญั ญาตกิ ายะ ภกิ ขนุ ยิ า ปรุ าณะจวี ะรงั ..... “อนึ่ง ภิกษุใด ยังภิกษุณีผู้มิใช่ญาติให้ซักก็ดี ให้ย้อมก็ดี ใหท้ บุ กด็ ี ซง่ึ จวี รเกา่ เปน็ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ ” อนาบัติ ๑.ภิกษุณีผู้เป็นญาติซักให้เอง ๒.ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติเป็นผู้ช่วยเหลือ ๓.ภิกษุไม่ได้บอกใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติซักให้เอง ๔.ภิกษุใช้ให้ซักจีวรที่ยัง ไมไ่ ดบ้ รโิ ภค ๕.ภกิ ษใุ ชใ้ หซ้ กั บรขิ ารอยา่ งอน่ื เวน้ จวี ร ๖.ใชส้ กิ ขมานาใหซ้ กั ๗.ใชส้ ามเณรใี หซ้ กั ๘.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๙.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม. อดีตภริยาของพระอุทายี เขา้ มาบวชเปน็ ภกิ ษณุ ี รบั อาสาซกั ผา้ ของพระอทุ ายี ซง่ึ มนี ำ้ อสจุ เิ ปรอะใหม่ ๆ นางไดน้ ำนำ้ อสจุ นิ น้ั สว่ นหนง่ึ เขา้ ปาก สว่ นหนง่ึ ใสไ่ ปในองคก์ ำเนดิ เกดิ ตง้ั ครรภ์ ขน้ึ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มใชน้ างภกิ ษณุ ที ม่ี ใิ ชญ่ าติ๑ ซกั , ยอ้ ม หรอื ทบุ จวี รเกา่ (คอื ทน่ี งุ่ หรอื หม่ แลว้ แมค้ ราวเดยี ว) ทรงปรบั อาบตั นิ สิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ . ๑มใิ ชญ่ าติ คอื ไมเ่ กย่ี วเนอ่ื งทางสายโลหติ ตลอดเจด็ ชว่ั คน คอื วงศส์ กลุ ทส่ี บื สายโลหติ กนั มา นบั ตง้ั แตต่ วั ภกิ ษขุ น้ึ ไป ๓ ชน้ั คอื ชน้ั พอ่ ชน้ั ปู่ ชน้ั ทวด กบั นบั จากตวั ภกิ ษลุ งมาอกี ๓ ชน้ั คอื ชน้ั ลกู ชน้ั หลาน ชน้ั เหลน รวมเปน็ เจด็ ชว่ั คน (ว.ิ อ. ๒/ ๕๐๓-๕/๑๖๕-๑๖๖)

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๕๗ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ จวี รวรรค สกิ ขาบทท่ี ๕ โย ปะนะ ภกิ ขุ อญั ญาตกิ ายะ ภกิ ขนุ ยิ า หตั ถะโต..... “อนึ่ง ภิกษุใดรับจีวรจากมือภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เว้นไว้แต่ ของแลกเปลี่ยน เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษรุ บั จวี รของภกิ ษณุ ผี เู้ ปน็ ญาติ ๒.แลกเปลย่ี นกนั คอื แลกเปลย่ี น จีวรดีกับจีวรเลว หรือจีวรเลวกับจีวรดี ๓.ภิกษุถือวิสาสะ ๔.ภิกษุขอยืมไป ๕.ภกิ ษรุ บั บรขิ ารอน่ื นอกจากจวี ร ๖.ภกิ ษรุ บั จวี รของสกิ ขมานา ๗.ภกิ ษรุ บั จวี ร ของสามเณรี ๘.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๙.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ เวฬวุ นาราม ใกลก้ รงุ ราชคฤห์ พระอทุ ายี แคน่ ไคข้ อจวี รนางอบุ ลวรรณา ซง่ึ มผี า้ อยจู่ ำกดั นางจงึ ใหผ้ า้ นงุ่ (อนั ตรวาสก) ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามรับจีวรจากมือ นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ทรงปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด ภายหลังทรงบัญญัติเพิ่มเติมมีเงื่อนไข ไม่ปรับอาบัติในกรณีที่เป็นการแลก เปลย่ี นกนั . นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ จวี รวรรค สกิ ขาบทท่ี ๖ โย ปะนะ ภกิ ขุ อัญญาตะกงั คะหะปะตงิ วา คะหะปะตานิง วา..... “อนึ่ง ภิกษุใด ขอจีวรต่อคฤหัสถ์ชายก็ดี ต่อคฤหัสถ์ หญิงก็ดี ผู้มิใช่ญาติ นอกจากสมัย เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. สมยั ในคำนน้ั ดงั น:้ี ภกิ ษเุ ปน็ ผมู้ จี วี รถกู ชงิ เอาไปกด็ ี มจี วี รฉบิ หาย กด็ ี นส้ี มยั ในคำนน้ั .”

๕๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ ผมู้ ใิ ชญ่ าติ คอื ไมใ่ ชค่ นเนอ่ื งถงึ กนั ทางมารดากด็ ี ทางบดิ ากด็ ี ตลอด ๗ ชว่ั อายขุ องบรุ พชน อนาบัติ ๑.ภิกษุขอในสมัย ๒.ภิกษุขอต่อญาติ ๓.ภิกษุขอต่อคนปวารณา ๔.ภกิ ษขุ อเพอ่ื ประโยชนข์ องภกิ ษอุ น่ื ๕.ภกิ ษจุ า่ ยมาดว้ ยทรพั ยข์ องตน ๖.ภกิ ษุ วกิ ลจรติ ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั .ิ เรื่องต้นบัญญัติ บตุ รเศรษฐเี ลอ่ื มใสพระอปุ นนั ทศากยบตุ ร จงึ ปวารณาใหข้ ออะไรกไ็ ด้ แต่เธอขอผ้า (ห่ม) จากตัวเขา แม้เขาจะขอไปเอาที่บ้านมาให้ก็ไม่ยอม พระศาสดาทรงทราบ ทรงตเิ ตยี นวา่ “ดกู อ่ นโมฆบรุ ษุ การกระทำของเธอนน้ั ไมเ่ หมาะ ไมส่ มควร ไมใ่ ชก่ จิ ของสมณะ ใชไ้ มไ่ ด้ ไมค่ วรทำ คนทม่ี ใิ ชญ่ าติ ยอ่ มไมร่ กู้ ารกระทำอนั สมควร หรอื ไมส่ มควร ของทม่ี อี ยหู่ รอื ไมม่ ขี องคน ทไ่ี มใ่ ชญ่ าติ เมอ่ื เปน็ เชน่ นน้ั เธอยงั ขอจวี รตอ่ บตุ รเศรษฐผี มู้ ใิ ชญ่ าตไิ ด.้ ” จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มขอจวี รตอ่ คฤหสั ถช์ ายหญงิ ทม่ี ใิ ชญ่ าติ ถา้ ขอไดม้ า ต้องนสิ สคั คิยปาจติ ตยี ์ ภายหลงั มโี จรขโมยจวี รไป ภกิ ษเุ หน็ วา่ ทรงบญั ญตั หิ า้ มไวจ้ งึ ไมข่ อจวี ร เปลอื ยกายเดนิ มา จงึ ตรสั วา่ “เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ถูกโจรแย่งชิงจีวรไป หรอื มจี วี รฉบิ หาย ขอจวี รตอ่ พอ่ เจา้ เรอื น หรอื แมเ่ จา้ เรอื น ผมู้ ใิ ชญ่ าตไิ ด้ เธอเดินไปถึงวัดใดก่อน ถ้าจีวรสำหรับวิหารก็ดี ผ้าลาดเตียงก็ดี ผ้าลาดพื้นก็ดี ผ้าปูที่นอนก็ดี ของสงฆ์ในวัดนั้นมีอยู่ จะถือเอา ผ้าของสงฆ์นั้นไปห่มด้วยคิดว่า ได้จีวรนั้นมาแล้วจักคืนไว้ดังกล่าว

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๕๙ ดังนี้ก็ควร. ถ้าจีวรสำหรับวิหารก็ดี ผ้าลาดเตียงก็ดี ผ้าลาดพื้นก็ดี ผ้าปูที่นอนก็ดี ของสงฆ์ไม่มี ต้องปกปิดด้วยหญ้า หรือใบไม้เดินมา ไมพ่ งึ เปลอื ยกายเดนิ มา ภกิ ษใุ ดเปลอื ยกายเดนิ มา ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.” ทรงบญั ญตั ใิ หข้ อได้ ในเวลาจวี รถกู โจรชงิ เอาไป หรอื จวี รฉบิ หาย. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ผ้ากว้างยาวควรวิกัปได้ ๒.ไม่มีสมัย ๓.ขอกับคนไม่ใช่ญาติ ๔.ได้มาเป็นของตน พร้อมด้วยองค์ ๔ ดงั นจ้ี งึ เปน็ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๕๙). นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ จวี รวรรค สกิ ขาบทท่ี ๗ ตญั เจ อญั ญาตะโก คะหะปะติ วา คะหะปะตานี วา พะหหู .ิ .... “ถา้ คฤหสั ถช์ ายกด็ ี คฤหสั ถห์ ญงิ กด็ ี ผมู้ ใิ ชญ่ าติ ปวารณา ต่อภิกษุนั้น๑ด้วยจีวรเป็นอันมาก เพื่อนำไปได้ตามใจ ภิกษุนั้น พึงยินดีจีวร มีอุตราสงค์ อันตรวาสกเป็นอย่างมาก จากจีวร เหลา่ นน้ั ถา้ ยนิ ดยี ง่ิ กวา่ นน้ั เปน็ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ ” อนาบัติ ๑.ภกิ ษนุ ำเอาไปดว้ ยคดิ วา่ จกั นำจวี รทเ่ี หลอื มาคนื ๒.เจา้ เรอื นถวาย บอกว่า จีวรที่เหลือจงเป็นของท่านรูปเดียว ๓.เจ้าเรือนไม่ได้ถวายเพราะเหตุ จีวรถูกชิงไป ๔.เจ้าเรือนไม่ได้ถวายเพราะเหตุจีวรหาย ๕.ภิกษุขอต่อญาติ ๖.ภกิ ษขุ อตอ่ คนปวารณา ๗.ภกิ ษจุ า่ ยมาดว้ ยทรพั ยข์ องตน ๘.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๙.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์ (พวก ๖ รูป) เที่ยวขอจีวรให้กลุ่มภิกษุที่มีจีวรถูกโจร ๑ หมายเหตุผู้รวบรวม สิกขาบทนี้มีความต่อเนื่องมาจากจีวรวรรค สิกขาบทที่ ๖

๖๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ชงิ ไป หรอื จวี รหาย ทง้ั ๆ ทภ่ี กิ ษเุ หลา่ นน้ั มผี ถู้ วายจวี รแลว้ เปน็ การขอหรอื เรี่ยไรแบบไม่รู้จักประมาณ ได้ผ้ามากจนถูกหาว่าจะขายผ้าหรืออย่างไร พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ถา้ คฤหสั ถป์ วารณาใหร้ บั จวี รมากผนื เพื่อนำไปได้ตามใจ ก็รับได้เพียงผ้านุ่งกับผ้าห่มเท่านั้น รับเกินกว่านั้น ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. องค์แห่งอาบัติ ๑.ยินดีเกินกว่ากำหนด ๒.ไม่มีเหตุเป็นต้นว่าผ้าเขาชิงเอาไปเสียหมด ๓.ขอกับคนผู้ไม่ใช่ญาติ ๔.ได้มาเป็นของตน พร้อมด้วยองค์ ๔ ดังนี้จึงเป็น นิสสัคคิยปาจิตตีย์ (บุพพสิกขาวรรณนา หน้า๑๖๐). นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ จวี รวรรค สกิ ขาบทท่ี ๘ ภกิ ขงุ ปะเนวะ อทุ ทสิ สะ อญั ญาตะกสั สะ คะหะปะตสิ สะ วา..... “อนึ่ง มีคฤหัสถ์ชายก็ดี คฤหัสถ์หญิงก็ดี ผู้มิใช่ญาติ ตระเตรยี มทรพั ยส์ ำหรบั จา่ ยจวี รเฉพาะภกิ ษไุ วว้ า่ เราจกั จา่ ยจวี ร ดว้ ยทรพั ยส์ ำหรบั จา่ ยจวี รนแ้ี ลว้ ยงั ภกิ ษชุ อ่ื นใ้ี หค้ รองจวี ร ถา้ ภกิ ษุ นั้นเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาแล้ว ถึงการกำหนด ในจีวรในสำนักของเขาว่า ดีละ ท่านจงจ่ายจีวรเช่นนั้น หรือ เช่นนี้ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้ แล้วยังรูปให้ครองเถิด เป็น นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ เพราะอาศยั ความเปน็ ผใู้ ครใ่ นจวี รด.ี ” วภิ งั ค์ บทวา่ เขาไมไ่ ดป้ วารณาไวก้ อ่ น คอื เปน็ ผอู้ นั เขาไมไ่ ดบ้ อกไวก้ อ่ นวา่ ทา่ นเจา้ ขา้ ทา่ นตอ้ งการจวี รเชน่ ไร ผมจกั จา่ ยจวี รเชน่ ไรถวายทา่ น. อนาบัติ ๑.ภกิ ษขุ อตอ่ เจา้ เรอื นผเู้ ปน็ ญาติ ๒.ภกิ ษขุ อตอ่ เจา้ เรอื นผปู้ วารณาไว้

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๖๑ ๓.ภิกษุขอเพื่อประโยชน์ของภิกษุอื่น ๔.ภิกษุจ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน ๕.เจ้าเรือนใคร่จะจ่ายจีวรมีราคาแพง ภิกษุให้เขาจ่ายจีวรมีราคาถูก ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ชายผู้หนึ่งพูดกับภริยาว่า จะถวายผ้าแก่พระอุปนันทะ เธอทราบ จึงไปพูดให้เขาถวายจีวร อย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าถวายจีวรอย่างที่เธอไม่ใช้ เธอก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เขาจึงติเตียนว่ามักมาก ความทราบถึงพระผู้มี พระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามกำหนดให้คฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ ไมไ่ ดป้ วารณาไวก้ อ่ น ใหซ้ อ้ื จวี รอยา่ งนน้ั อยา่ งนถ้ี วายตนดว้ ยหมายจะไดข้ องดๆี ทรงปรบั อาบตั นิ สิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ . นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ จวี รวรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ ภกิ ขงุ ปะเนวะ อทุ ทสิ สะ อภุ นิ นงั อญั ญาตะกานงั คะหะปะตนี งั วา..... “อนง่ึ มคี ฤหสั ถช์ ายกด็ ี คฤหสั ถห์ ญงิ กด็ ี ผมู้ ใิ ชญ่ าตสิ องคน ตระเตรียมทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรเฉพาะผืนๆ ไว้เฉพาะภิกษุว่า เราทั้งหลายจักจ่ายจีวรเฉพาะผืนๆ ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร เฉพาะผนื ๆ เหลา่ นแ้ี ลว้ ยงั ภกิ ษชุ อ่ื นใ้ี หค้ รองจวี รหลายผนื ดว้ ยกนั , ถา้ ภกิ ษนุ น้ั เขาไมไ่ ดป้ วารณาไวก้ อ่ น เขา้ ไปหาแลว้ ถงึ การกำหนด ในจีวรในสำนักของเขาว่า ดีละ ขอท่านทั้งหลายจงจ่ายจีวร เช่นนั้นหรือเช่นนี้ ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรเฉพาะผืนๆ เหล่านี้ แล้วทั้งสองคนรวมกัน ยังรูปให้ครองจีวรผืนเดียวเถิด เป็น นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ เพราะอาศยั ความเปน็ ผใู้ ครใ่ นจวี รด.ี ”

๖๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนาบัติ ๑.ภกิ ษขุ อตอ่ เจา้ เรอื นผเู้ ปน็ ญาติ ๒.ภกิ ษขุ อตอ่ เจา้ เรอื นผปู้ วารณาไว้ ๓.ภิกษุขอเพื่อประโยชน์ของภิกษุอื่น ๔.ภิกษุจ่ายด้วยทรัพย์ของตน ๕.เจ้าเรือนใคร่จะจ่ายจีวรมีราคาแพง ภิกษุให้เขาจ่ายจีวรมีราคาถูก ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ชายสองคนพดู กนั วา่ ตา่ งคนตา่ งจะซอ้ื ผา้ คนละผนื ถวายพระอปุ นนั ทะ เธอรู้จึงไปแนะนำให้เขารวมทุนกันซื้อผ้าชนิดนั้นชนิดนี้ เขาพากันติเตียนว่า มกั มาก ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มเขา้ ไป ขอใหค้ ฤหสั ถท์ ม่ี ใิ ชญ่ าติ มไิ ดป้ วารณาไวก้ อ่ น ทเ่ี ขาตง้ั ใจจะตา่ งคนตา่ งซอ้ื จวี ร ถวายเธอ แต่เธอกลับไปขอให้เขารวมกันซื้อจีวรอย่างนั้นอย่างนี้ โดยมุ่งให้ ไดผ้ า้ ดี ๆ ทรงปรบั อาบตั นิ สิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ . นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ จวี รวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๐ ภกิ ขงุ ปะเนวะ อทุ ทสิ สะ ราชา วา ราชะโภคโค วา..... “อนง่ึ พระราชากด็ ี ราชอำมาตยก์ ด็ ี พราหมณก์ ด็ ี คหบดกี ด็ ี ส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไปด้วยทูตเฉพาะภิกษุว่า เจ้าจงจ่าย จีวรด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้แล้วยังภิกษุชื่อนี้ให้ครองจีวร, ถา้ ทตู นน้ั เขา้ ไปหาภกิ ษนุ น้ั กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ทรพั ยส์ ำหรบั จา่ ยจวี ร นน้ี ำมาเฉพาะทา่ น, ขอทา่ นจงรบั ทรพั ยส์ ำหรบั จา่ ยจวี ร, ภกิ ษนุ น้ั พึงกล่าวต่อทูตนั้นอย่างนี้ว่า พวกเราหาได้รับทรัพย์สำหรับจ่าย จีวรไม่, พวกเรารับแต่จีวรอันเป็นของควรโดยกาล; ถ้าทูตนั้น กล่าวต่อภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ก็ใครๆ ผู้เป็นไวยาวัจกรของท่าน มี หรอื ? ภกิ ษผุ ตู้ อ้ งการจวี รพงึ แสดงชนผทู้ ำการในอารามหรอื

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๖๓ อบุ าสกใหเ้ ปน็ ไวยาวจั กร ดว้ ยคำวา่ คนนน้ั แลเปน็ ไวยาวจั กรของ ภิกษุทั้งหลาย, ถ้าทูตนั้นสั่งไวยาวัจกรนั้นให้เข้าใจแล้ว เข้าไปหา ภกิ ษนุ น้ั กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ คนทท่ี า่ นแสดงเปน็ ไวยาวจั กรนน้ั , ขา้ พเจา้ สั่งให้เข้าใจแล้ว; ท่านจงเข้าไปหา เขาจักให้ท่านครองจีวรตาม กาล, ภกิ ษผุ ตู้ อ้ งการจวี รเขา้ ไปหาไวยาวจั กรแลว้ พงึ ทวงพงึ เตอื น สองสามครั้งว่า รูปต้องการจีวร*; ภิกษุทวงอยู่ เตือนอยู่ สอง สามครง้ั ยงั ไวยาวจั กรนน้ั ใหจ้ ดั จวี รสำเรจ็ ได้ การใหส้ ำเรจ็ ไดด้ ว้ ย อยา่ งน้ี นน่ั เปน็ การด,ี ถา้ ใหส้ ำเรจ็ ไมไ่ ด,้ พงึ ยนื นง่ิ ตอ่ หนา้ ๔ ครง้ั ๕ ครั้ง ๖ ครั้ง เป็นอย่างมาก; เธอยืนนิ่งต่อหน้า ๔ ครั้ง ๕ ครั้ง ๖ ครง้ั เปน็ อยา่ งมาก; ยงั ไวยาวจั กรนน้ั ใหจ้ ดั จวี รสำเรจ็ ได,้ การให้ สำเร็จได้ด้วยอย่างนี้ นั่นเป็นการดี, ถ้าให้สำเร็จไม่ได้, ถ้าเธอ พยายามใหย้ ง่ิ กวา่ นน้ั ยงั จวี รนน้ั ใหส้ ำเรจ็ , เปน็ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ;์ ถ้าให้สำเร็จไม่ได้พึงไปเองก็ได้, ส่งทูตไปก็ได้ในสำนักที่ส่งทรัพย์ สำหรบั จา่ ยจวี รมาเพอ่ื เธอ, บอกวา่ ทา่ นสง่ ทรพั ยส์ ำหรบั จา่ ยจวี ร ไปเฉพาะภกิ ษใุ ด,ทรพั ยน์ น้ั หาสำเรจ็ ประโยชนน์ อ้ ยหนง่ึ แกภ่ กิ ษนุ น้ั ไม,่ ท่านจงทวงเอาทรัพย์ของท่านคืน, ทรัพย์ของท่านอย่าได้ ฉิบหายเสียเลย; นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษทุ วง ๓ ครง้ั ยนื ๖ ครง้ั ภกิ ษทุ วงไมถ่ งึ ๓ ครง้ั ยนื ไมถ่ งึ ๖ ครง้ั ๒.ภกิ ษไุ มไ่ ดท้ วงไวยาวจั กรถวายเอง ๓.เจา้ ของทวงเอามาถวาย ๔.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๕.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ มหาอำมาตยผ์ อู้ ปุ ฏั ฐากพระอปุ นนั ทศากยบตุ ร ใชท้ ตู ใหน้ ำเงนิ คา่ ซอ้ื * วภิ งั คส์ กิ ขาบทวา่ : ภกิ ษผุ ตู้ อ้ งการจวี รเขา้ ไปหาไวยาวจั กรแลว้ พงึ ทวง พงึ เตอื นสองสาม ครง้ั วา่ รปู ตอ้ งการจวี ร; อยา่ พดู วา่ จงใหจ้ วี รแกร่ ปู จงนำจวี รมาใหร้ ปู จงแลกจวี ร ใหร้ ปู จงจา่ ยจวี รใหร้ ปู

๖๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก จีวรไปถวายพระอุปนันทะ ท่านตอบว่าท่านรับเงินไม่ได้ รับได้แต่จีวรที่ควร โดยกาล เขาจึงถามหาไวยาวัจกร (ผู้ทำกิจธุระแทนสงฆ์) ท่านจึงแสดง อบุ าสกคนหนง่ึ วา่ เปน็ ไวยาวจั กรของภกิ ษทุ ง้ั หลาย เขาจงึ มอบเงนิ แกไ่ วยาวจั กร แลว้ แจง้ ใหท้ า่ นทราบ ทา่ นกไ็ มพ่ ดู อะไรกบั ไวยาวจั กร แมจ้ ะไดร้ บั คำเตอื นจากมหาอำมาตย์ ซง่ึ สง่ ทตู มา ขอใหใ้ ชผ้ า้ นน้ั เปน็ ครง้ั ท่ี ๒ กไ็ มพ่ ดู อะไรกบั ไวยาวจั กร จนกระทง่ั ไดร้ บั คำเตอื นเปน็ ครง้ั ท่ี ๓ ขอใหใ้ ชผ้ า้ นน้ั จงึ ไปเรง่ เรา้ เอากบั ไวยาวจั กรผกู้ ำลงั มธี รุ ะ จะตอ้ งเขา้ ประชมุ สภานคิ ม ซง่ึ มกี ตกิ าวา่ ใครไปชา้ จะตอ้ งถกู ปรบั ๕๐ กหาปณะ แมเ้ ขาจะแจง้ ใหท้ ราบกตกิ ากไ็ มฟ่ งั คงเรง่ เรา้ เอาจนเขาตอ้ งไปซอ้ื ผ้ามาให้และไปถูกปรับเพราะเข้าประชุมช้า คนทั้งหลายจึงติเตียนว่าทำให้ เข้าประชุมช้าต้องเสียค่าปรับ. พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบและทรงตเิ ตยี น จงึ บญั ญตั สิ กิ ขาบทความวา่ ถา้ เขาสง่ ทตู มาถวายคา่ ซอ้ื จวี ร และเธอแสดงไวยาวจั กรแลว้ เธอจะไปทวงจวี ร เอากับไวยาวัจกรได้ไม่เกิน ๓ ครั้ง ไปยืนนิ่ง ๆ ให้เขาเห็นไม่เกิน ๖ ครั้ง ถา้ ทวงเกนิ ๓ ครง้ั หรอื ไปยนื เกนิ ๖ ครง้ั ตอ้ งอาบตั นิ สิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ องค์แห่งอาบัติ ๑.กัปปิยการกภิกษุแสดงเอง ๒.ทูตบอกกัปปิยการกให้รู้แล้ว บอกภิกษุให้รู้ด้วย ๓.พยายามคือ ทวงและยืนให้เกินกำหนด ๔.ได้มาด้วยความพยายามนั้น พร้อมด้วยองค์ ๔ ดังนี้จึงเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๖๓).

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๖๕ ๒. โกสยิ วรรค วรรควา่ ดว้ ยไหม เปน็ วรรคท่ี ๒ มี ๑๐ สกิ ขาบท นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ โกสยิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๑ โย ปะนะ ภกิ ขุ โกสยิ ะมสิ สะกงั สนั ถะตงั การาเปยยะ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด ใหท้ ำสนั ถตั เจอื ดว้ ยไหม, เปน็ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ ” วภิ งั ค์ สนั ถตั ไดแ้ ก่ ผา้ รองนง่ั ทเ่ี ขาหลอ่ ไมใ่ ชท่ อ.๑ อนาบัติ ๑.ภกิ ษทุ ำเปน็ เพดานกด็ ี เปน็ เครอ่ื งลาดพน้ื กด็ ี เปน็ มา่ นกด็ ี เปน็ เปลอื กฟกู กด็ ี เปน็ ปลอกหมอนกด็ ี ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์เข้าไปหาช่างทำไหม ขอให้เขาต้มตัวไหม, และขอ ใยไหมบา้ ง เพอ่ื จะหลอ่ สนั ถตั (เครอ่ื งลาดรองนง่ั , เครอ่ื งปนู ง่ั ) เจอื ดว้ ยไหม. เขาวา่ เบยี ดเบยี นเขาและเบยี ดเบยี นตวั ไหม พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ห้ามภิกษุหล่อสันถัตเจือด้วยไหม ทรงปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุ ผู้ล่วงละเมิด. ๑ วธิ หี ลอ่ สนั ถตั ใชย้ างเหนยี วเชน่ นำ้ ขา้ วเทลงบนพน้ื ทเ่ี รยี บแลว้ เอาขนโปรยลาดลงบนยางเหนยี ว (ว.ิ อ. ๒/๕๔๒/๑๙๒)

๖๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ โกสยิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๒ โย ปะนะ ภกิ ขุ สทุ ธะกาฬะกานงั เอฬะกะโลมานงั ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด ใหท้ ำสนั ถตั แหง่ ขนเจยี มดำลว้ น, เปน็ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษทุ ำเปน็ เพดานกด็ ี เปน็ เครอ่ื งลาดพน้ื กด็ ี เปน็ มา่ นกด็ ี เปน็ เปลอื กฟกู กด็ ี เปน็ ปลอกหมอนกด็ ี ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์หล่อสันถัตด้วยขนเจียมดำล้วน (ขนสัตว์ชนิดหนึ่งใน จำพวกกวาง มีอยู่ทางเหนือของประเทศจีน ; ภาษาเขมร เจียม ว่า แกะ : พจนานกุ รมไทย) คนทง้ั หลายตเิ ตยี นวา่ ใชข้ องอยา่ งคฤหสั ถ์ จงึ ทรงบญั ญตั ิ สกิ ขาบท หา้ มหลอ่ เองหรอื ใชใ้ หห้ ลอ่ สนั ถตั ดว้ ยขนเจยี มดำลว้ น ทรงปรบั อาบตั ิ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ แกผ่ ลู้ ว่ งละเมดิ . นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ โกสยิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ นะวมั ปะนะ ภกิ ขนุ า สนั ถะตงั การะยะมาเนนะ เทว๎ ภาคา..... “อนึ่ง ภิกษุผู้ให้ทำสันถัตใหม่ พึงถือเอาขนเจียมดำล้วน ๒ สว่ น ขนเจยี มขาวเปน็ สว่ นท่ี ๓ ขนเจยี มแดงเปน็ สว่ นท่ี ๔, ถ้าภิกษุไม่ถือเอาขนเจียมดำล้วน ๒ ส่วน ขนเจียมขาวเป็น ส่วนที่ ๓ ขนเจียมแดงเป็นส่วนที่ ๔ ให้ทำสันถัตใหม่, เป็น นิสสัคคิยปาจิตตีย์.”

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๖๗ อนาบัติ ๑.ภกิ ษถุ อื เอาขนเจยี มขาว ๑ ชง่ั ขนเจยี มแดง ๑ ชง่ั แลว้ ทำ ๒.ภกิ ษุ ถอื เอาขนเจยี มขาวมากกวา่ ขนเจยี มแดงมากกวา่ แลว้ ทำ ๓.ภกิ ษถุ อื เอาขนเจยี ม ขาวลว้ น ขนเจยี มแดงลว้ น แลว้ ทำ ๔.ภกิ ษทุ ำเปน็ เพดานกด็ ี เปน็ เครอ่ื งลาดพน้ื ก็ดี เป็นม่านก็ดี เป็นเปลือกฟูกก็ดี เป็นปลอกหมอนก็ดี ๕.ภิกษุวิกลจริต ๖.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์ หล่อสันถัตด้วยขนเจียมดำล้วน เพียงแต่เอาขนเจียม ขาวหน่อยหนึ่งใส่ลงไปที่ชาย มีผู้ติเตียน จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุ จะหล่อสันถัตใหม่ พึงถือเอาขนเจียมดำ ๒ ส่วน ขนเจียมขาว ๑ ส่วน ขนเจยี มแดง ๑ สว่ น ถา้ ไมท่ ำตามสว่ นนน้ั ตอ้ งนสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ โกสยิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๔ นะวมั ปะนะ ภกิ ขนุ า สนั ถะตงั การาเปตวา ฉพั พสั สานิ ธาเรตพั พงั ..... “อนึ่ง ภิกษุให้ทำสันถัตใหม่แล้ว พึงทรงไว้ให้ได้ ๖ ฝน. ถ้ายังหย่อนกว่า ๖ ฝน เธอสละเสียแล้วก็ดี ยังไม่สละแล้วก็ดี ซึ่งสันถัตนั้น ให้ทำสันถัตอื่นใหม่ เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ครบ ๖ ฝนแล้วภิกษุทำใหม่ ๒.เกิน ๖ ฝนแล้วภิกษุทำใหม่ ๓.ภกิ ษทุ ำเองกด็ ี ใชผ้ อู้ น่ื ทำกด็ ี เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ของอน่ื ๔.ภกิ ษไุ ดส้ นั ถตั ทค่ี นอน่ื

๖๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทำไวแ้ ลว้ ใชส้ อย ๕.ภกิ ษทุ ำเปน็ เพดานกด็ ี เปน็ เครอ่ื งลาดพน้ื กด็ ี เปน็ มา่ นกด็ ี เป็นเปลือกฟูกก็ดี เป็นปลอกหมอนก็ดี ๖.ภิกษุได้สมมติ ๗.ภิกษุวิกลจริต ๘.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุทั้งหลายหล่อสันถัตทุกปี ต้องขอขนเจียมจากชาวบ้าน เป็นการรบกวนเขา มีผู้ติเตียนอ้างว่าของชาวบ้านเขาใช้ได้นานถึง ๕ - ๖ ปี จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษหุ ลอ่ สนั ถตั ใหม่ พงึ ใชใ้ หถ้ งึ ๖ ปี ถา้ ยงั ไมถ่ งึ ๖ ปี หล่อใหม่ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. ภายหลังภิกษุเป็นไข้ เขานิมนต์ไปที่อื่น ไม่กล้าไป เพราะจะนำสันถัตไปด้วยไม่ไหว จึงทรงอนุญาตให้มีการสมมติ เปน็ พเิ ศษสำหรบั ภกิ ษไุ ข.้ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ โกสยิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๕ นสิ ที ะนะสนั ถะตมั ปะนะ ภกิ ขนุ า การะยะมาเนนะ..... “อนึ่ง ภิกษุผู้ให้ทำสันถัตสำหรับนั่ง พึงถือเอาคืบสุคต โดยรอบแห่งสันถัตเก่า เพื่อทำให้เสียสี, ถ้าภิกษุไม่ถือเอาคืบ สุคตโดยรอบแห่งสันถัตเก่า ให้ทำสันถัตสำหรับนั่งใหม่, เป็น นิสสัคคิยปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษถุ อื เอาสนั ถตั เกา่ หนง่ึ คบื สคุ ตโดยรอบแลว้ ทำ ๒.ภกิ ษหุ าไมไ่ ด้ ถอื เอาแตน่ อ้ ยแลว้ ทำ ๓.ภกิ ษหุ าไมไ่ ด้ ไมถ่ อื เอาเลยแลว้ ทำ ๔.ภกิ ษไุ ดส้ นั ถตั ที่คนอื่นทำไว้แล้วใช้สอย ๕.ภิกษุทำเป็นเพดานก็ดี เป็นเครื่องลาดพื้นก็ดี เป็นม่านก็ดี เป็นเปลือกฟูกก็ดี เป็นปลอกหมอนก็ดี ๖.ภิกษุวิกลจริต ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล.

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๖๙ เรื่องต้นบัญญัติ สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน เขตพระนคร สาวัตถี รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ปรารถนาจะหลีกออกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส ใครๆ อย่าเข้าไปหาเรา นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตเข้าไปให้รูปเดียว แม้จะ ไม่มีใครเข้าไปเฝ้า นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตเข้าไปถวายรูปเดียว แต่สงฆ์ ในเขตพระนครสาวตั ถกี ย็ งั ตง้ั กตกิ ากนั ไวว้ า่ นอกจากภกิ ษผุ นู้ ำบณิ ฑบาตเขา้ ไป ถวายรปู เดยี ว ภกิ ษรุ ปู ใดเขา้ ไปเฝา้ ตอ้ งใหแ้ สดงอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ ครั้งนั้น ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกับภิกษุบริษัทเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ทรงปฏิสันฐานด้วย แลตรัสถามพระอุปเสน วังคันตบุตรถึงวิธีแนะนำศิษย์ที่ทำให้บริษัทของท่าน สมาทานธุดงค์อยู่ป่า เปน็ วตั ร เทย่ี วบณิ ฑบาตเปน็ วตั ร ถอื ผา้ บงั สกุ ลุ เปน็ วตั ร ทา่ นกราบทลู ใหท้ รง ทราบวา่ ทา่ นชแ้ี จงใหผ้ จู้ ะเปน็ บรษิ ทั ทราบวตั รนน้ั และถามกอ่ นวา่ ถา้ สามารถ ปฏบิ ตั ติ ามไดจ้ งึ รบั เปน็ ศษิ ย์ พระผมู้ พี ระภาคทรงสาธกุ าร และตรสั ถามวา่ ทา่ นทราบกตกิ าทส่ี งฆใ์ นสาวตั ถตี ง้ั กนั เองนน้ั หรอื ไม่ แลว้ ทรงบอกใหท้ ราบ ท่านพระอุปเสนฯ กราบทูลว่า “พระสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถีจัก เปิดเผยตนเองออกมาด้วยกติกาของตน พวกข้าพระพุทธเจ้าจักไม่แต่งตั้ง สกิ ขาบททพ่ี ระองคม์ ไิ ดท้ รงบญั ญตั ิ และจกั ไมเ่ พกิ ถอนสกิ ขาบททท่ี รงบญั ญตั ไิ ว้ จกั สมาทานประพฤตใิ นสกิ ขาบทตามทท่ี รงบญั ญตั ไิ ว้ ดงั น.้ี ” ทรงรบั สาธกุ าร และ ทรงอนุญาตให้บรรดาภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผา้ บงั สกุ ลุ เปน็ วตั ร เขา้ เฝา้ ไดต้ ามสะดวก. ภิกษุเหล่านั้นเห็นจริงด้วยในทันใดนั้นว่า ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตร พูดถูกต้องจริงแท้, พระสงฆ์ไม่ควรแต่งตั้งสิกขาบทที่ยังมิได้ทรงบัญญัติ หรือไม่ควรเพิกถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้, ควรสมาทานประพฤติ ในสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้. ภกิ ษทุ ง้ั หลายไดท้ ราบขา่ ววา่ พระผมู้ พี ระภาคทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษผุ ถู้ อื การอยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เข้าเฝ้าได้

๗๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ตามสะดวก ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ปรารถนาจะเขา้ เฝา้ พระผมู้ พี ระภาค ตา่ งละทง้ิ สนั ถตั พากนั สมาทานอารญั ญกิ ธดุ งค์ ปณิ ฑบาตกิ ธดุ งค์ ปงั สกุ ลุ กิ ธดุ งค์๑. พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นสันถัตซึ่งทอดทิ้งไว้ในที่นั้นๆ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษจุ ะหลอ่ สนั ถตั สำหรบั นง่ั พงึ ถอื เอาสนั ถตั เกา่ ๑ คบื โดยรอบเจอื ลงไป เพอ่ื ทำลายใหเ้ สยี ส.ี ถา้ ไมท่ ำอยา่ งนน้ั หลอ่ สนั ถตั ใหม่ ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์. นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ โกสยิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๖ ภกิ ขโุ น ปะเนวะ อทั ธานะมคั คะ ปะฏปิ นั นสั สะ..... “อนง่ึ ขนเจยี มเกดิ ขน้ึ แกภ่ กิ ษผุ เู้ ดนิ ทางไกล, ภกิ ษตุ อ้ งการ พงึ รบั ได,้ ครน้ั รบั แลว้ เมอ่ื คนถอื ไมม่ ี พงึ ถอื ไปดว้ ยมอื ของตนเอง ตลอดระยะทาง ๓ โยชนเ์ ปน็ อยา่ งมาก, ถา้ เธอถอื เอาไปยง่ิ กวา่ นน้ั แม้คนถือไม่มี, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษถุ อื ไปเพยี งระยะ ๓ โยชน์ ๒.ภกิ ษถุ อื ไปหยอ่ นระยะ ๓ โยชน์ ๓.ภกิ ษถุ อื ไปกด็ ี ถอื กลบั มากด็ ี เพยี งระยะ ๓ โยชน์ ๔.ภกิ ษถุ อื ไปเพยี ง ๓ โยชน์ แล้วพักแรมเสีย รุ่งขึ้นถือต่อจากนั้นไปอีก ๕.ขนเจียมถูกโจรชิงไปแล้ว ภิกษุได้คืนมา ถือไปอีก ๖.ขนเจียมที่สละแล้ว ภิกษุได้คืนมา ถือไปอีก ๗.ภิกษุให้คนอื่นช่วย ถือไป ๘.ขนเจียมที่ทำเป็นสิ่งของแล้วภิกษุถือไป ๙.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๐. ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. ๑ อารญั ญกิ ธดุ งค์ คอื ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ ดั เกลากเิ ลสของผถู้ อื อยใู่ นปา่ หา่ งไกลจากหมบู่ า้ นอยา่ งนอ้ ย ๕๐๐ ชว่ั ธนู คอื ประมาณ ๒๕ เสน้ , บณิ ฑบาตกิ ธดุ งค์ ถอื บณิ ฑบาตเทย่ี วบณิ ฑบาตเปน็ ประจำ, ปงั สกุ ลุ กิ ธดุ งค์ ถอื ผา้ บงั สกุ ลุ (ผา้ เปอ้ื นฝนุ่ ) เปน็ วตั ร ไมใ่ ชจ้ วี รทค่ี หบดถี วาย

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๗๑ เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุรูปหนึ่ง เดินทางไปสู่กรุงสาวัตถี ในโกศลชนบท, มีผู้ถวาย ขนเจยี มในระหวา่ งทาง เธอเอาจวี รหอ่ นำไป มนษุ ยท์ ง้ั หลายพากนั พดู ลอ้ วา่ ซึ้อมาด้วยราคาเท่าไร จะได้กำไรเท่าไร ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบทใจความว่า ภิกษุเดินทางไกล มีผู้ถวายขนเจียม ถา้ ปรารถนากพ็ งึ รบั และนำไปเองไดไ้ มเ่ กนิ ๓ โยชน์ ในเมอ่ื ไมม่ ผี นู้ ำไปให้ ถา้ นำไปเกนิ ๓ โยชน์ แมไ้ มม่ ผี นู้ ำไปให้ ตอ้ งนสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ โกสยิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๗ โย ปะนะ ภกิ ขุ อญั ญาตกิ ายะ ภกิ ขนุ ยิ า เอฬะกะโลมาน.ิ .... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด ยงั ภกิ ษณุ ผี มู้ ใิ ชญ่ าติ ใหซ้ กั กด็ ี ใหย้ อ้ มกด็ ี ใหส้ างกด็ ี ซง่ึ ขนเจยี ม, เปน็ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ ” อนาบัติ ๑.ภิกษุณีผู้เป็นญาติซักให้เอง ๒.ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติเป็นผู้ช่วยเหลือ ๓.ภกิ ษไุ มไ่ ดบ้ อกใชแ้ ตภ่ กิ ษณุ ผี มู้ ใิ ชญ่ าตซิ กั ใหเ้ อง ๔.ภกิ ษใุ ชใ้ หซ้ กั ขนเจยี มท่ี ทำเป็นสิ่งของแล้วแต่ยังไม่ได้ใช้ ๕.ใช้สิกขมานาซัก ๖.ใช้สามเณรีซัก ๗.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๘.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ (พวก ๖) ใชน้ างภกิ ษณุ ใี หซ้ กั ใหย้ อ้ ม ใหส้ างขนเจยี ม

๗๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทำใหเ้ สยี การเรยี น การสอบถามและเสยี ขอ้ ปฏบิ ตั ิ ศลี สมาธิ ปญั ญา ชน้ั สงู . พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มใชน้ างภกิ ษณุ ที ม่ี ใิ ชญ่ าติ ซกั , ยอ้ ม, หรอื สางขนเจยี ม ทรงปรบั นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ . นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ โกสยิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๘ โย ปะนะ ภกิ ขุ ชาตะรปู ะระชะตงั อคุ คณั เหยยะ วา..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด รบั กด็ ี ใหร้ บั กด็ ี ซง่ึ ทอง เงนิ หรอื ยนิ ดที อง เงินอันเขาเก็บไว้ให้, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ ทอง ตรสั หมายทองคำ. ทช่ี อ่ื วา่ เงนิ ไดแ้ ก่ กหาปณะ มาสกทท่ี ำดว้ ยโลหะ มาสกทท่ี ำดว้ ยไม้ มาสกทท่ี ำดว้ ยครง่ั ซง่ึ ใชเ้ ปน็ มาตราสำหรบั แลกเปลย่ี นซอ้ื ขายกนั ได.้ บทวา่ รบั คอื รบั เอง เปน็ นสิ สคั คยี .์ บทวา่ ใหร้ บั คอื ใหค้ นอน่ื รบั แทน เปน็ นสิ สคั คยี .์ บทว่า หรือยินดีทองเงินอันเขาเก็บไว้ให้ ความว่า ยินดีทอง เงินที่เขาเก็บไว้ให้ด้วยบอกว่า ของนี้จงเป็นของพระคุณเจ้า ดังนี้เป็นต้น, เปน็ นสิ สคั คยี ์ ทอง เงนิ ทเ่ี ปน็ นสิ สคั คยี ์ ตอ้ งเสยี สละในทา่ มกลางสงฆ.์ อนาบัติ ๑.ทองเงินตกอยู่ภายในวัดก็ดี ภายในที่อยู่ก็ดี, ภิกษุหยิบยกเองก็ดี ใช้ให้หยิบยกก็ดี, แล้วเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า เป็นของผู้ใด, ผู้นั้นจักนำไปดังนี้ ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ เจา้ ของบา้ นทพ่ี ระอปุ นนั ทศากยบตุ ร เขา้ ไปฉนั เปน็ นติ ย์ เตรยี มเนอ้ื

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๗๓ ไวถ้ วายในเวลาเชา้ แตเ่ ดก็ รอ้ งไหข้ อกนิ ในเวลากลางคนื จงึ ใหเ้ ดก็ กนิ ไป รงุ่ เชา้ พระอปุ นนั ทะเขา้ ไปในบา้ นนน้ั เขาจงึ แจง้ เรอ่ื งใหท้ ราบแลว้ ถามวา่ “พระคณุ เจา้ จะให้ผมนำกหาปณะไปแลกอะไรมา ขอรับ” ท่านพระอุปนันทะถามว่า “ทา่ นบรจิ าคทรพั ย์ ๑ กหาปณะแกอ่ าตมาหรอื ” เขาตอบวา่ ใช่ ทา่ นจงึ กลา่ ววา่ ”ทา่ นจงถวายกหาปณะนน้ั แกอ่ าตมาเถดิ ” ทนี น้ั เขาเอากหาปณะ ถวายแกท่ า่ น พระอปุ นนั ทะ แลว้ ตำหนิ ประณาม โพนทะนาวา่ “พระสมณะเชอ้ื สายศากยบตุ ร เหลา่ นร้ี บั รปู ยิ ะ เหมอื นพวกเรา” พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบจงึ บญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มภกิ ษรุ บั เอง ใชใ้ หร้ บั ทองเงนิ หรอื ยนิ ดที องเงนิ ทเ่ี ขาเกบ็ ไวเ้ พอ่ื ตน ทรงปรบั อาบตั นิ สิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ ตอ้ งสละเงนิ ทองทไ่ี ดม้ านน้ั แกส่ งฆ์ (ภายหลงั ทรงอนญุ าต ใหย้ นิ ดใี นปจั จยั ๔ ได้ คอื ทายกมอบเงนิ ไวแ้ กไ่ วยาวจั กร เพอ่ื ใหจ้ ดั หาปจั จยั ๔ ภกิ ษตุ อ้ งการอะไร กบ็ อกใหเ้ ขาจดั หาให้ มรี ายละเอยี ดอยหู่ นา้ ๒๕๓) องค์แห่งอาบัติ ๑.ของนั้นเป็นทองและเงินที่เป็นนิสสัคคิยวัตถุ ๒.เฉพาะเป็นของตัว ๓.รับเองหรือให้เขารับ หรือเขาเก็บไว้ให้ ยินดีเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง พร้อมด้วย องค์ ๓ ดังนี้ จึงเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ (บุพพสิกขาวรรณนา หนา้ ๑๖๗). นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ โกสยิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ โย ปะนะ ภกิ ขุ นานปั ปะการะกัง รปู ยิ ะสงั โวหารัง..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดถงึ ความซอ้ื ขายดว้ ยรปู ยิ ะมปี ระการตา่ งๆ, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ รปู ยิ ะ ไดแ้ ก่ ทองคำ กหาปณะ มาสกทท่ี ำดว้ ยโลหะ มาสกท่ี ทำดว้ ยไม้ มาสกทท่ี ำดว้ ยครง่ั ซง่ึ ใชเ้ ปน็ มาตราสำหรบั แลกเปลย่ี นซอ้ื ขายกนั ได.้ ของทซ่ี อ้ื ขายดว้ ยรปู ยิ ะ ซง่ึ เปน็ นสิ สคั คยี น์ น้ั , ตอ้ งเสยี สละในทา่ มกลางสงฆ.์

๗๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนาบัติ ๑.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๒.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ ทำการซอ้ื ขายดว้ ยรปู ยิ ะ มนษุ ยท์ ง้ั หลายพากนั ตเิ ตยี น วา่ ไฉนพระสมณะเชอ้ื สายศากยะบตุ รจงึ ทำการซอ้ื ขายดว้ ยรปู ยิ ะ เหมอื นพวก คฤหัสถ์ที่ยังบริโภคกามเล่า พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มทำการซอ้ื ขายดว้ ยรปู ยิ ะ ทรงปรบั อาบตั นิ สิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ . องค์แห่งอาบัติ ๑.ของที่แลกเปลี่ยนมาก็ดี ทรัพย์ของตนที่จะเอาไปแลกเปลี่ยนก็ดี ข้างใดข้างหนึ่งเป็นรูปิยะ เป็นนิสสัคคิยวัตถุ ๒.สำเร็จในการซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน พร้อมด้วยองค์ ๒ ดังนี้ จึงเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๖๘). นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ โกสยิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๐ โย ปะนะ ภกิ ขุ นานปั ปะการะกงั กะยะวกิ กะยงั ..... “อนึ่ง ภิกษุใดถึงการแลกเปลี่ยนมีประการต่างๆ , เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.” วภิ งั ค์ บทว่า ถึงการแลกเปลี่ยน คือ ภิกษุพูดเป็นเชิงบังคับว่า จงให้ของ สง่ิ นด้ี ว้ ยของสง่ิ น้ี จงนำของสง่ิ นม้ี าดว้ ยของสง่ิ น้ี จงแลกเปลย่ี นของสง่ิ นด้ี ว้ ยของ สิ่งนี้ จงจ่ายของสิ่งนี้ด้วยของสิ่งนี้ ดังนี้เป็นต้น, ต้องอาบัติทุกกฏ. ในเวลาทแ่ี ลกแลว้ คอื ของๆ ตนไปอยใู่ นมอื ของคนอน่ื และเปลย่ี นแลว้ คอื ของๆ

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๗๕ คนอน่ื มาอยู่ ในมอื ของตน, เปน็ นสิ สคั คยี ์ คอื เปน็ ของจำตอ้ งเสยี สละแกส่ งฆ์ คณะ หรือบุคคล. อนาบัติ ๑.ภกิ ษถุ ามราคา , ๒.ภกิ ษบุ อกแกก่ ปั ปยิ การกวา่ ของสง่ิ นข้ี องเรามอี ยู่ แตเ่ รา ตอ้ งการของสง่ิ นแ้ี ละของสง่ิ น้ี ดงั น้ี , ๓.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ , ๔.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ ง อาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ปริพาชกผู้หนึ่ง เห็นพระอุปนันทศากยบุตร ห่มผ้าสังฆาฏิสีงาม จงึ ชวนแลกกบั ทอ่ นผา้ ของตน ภายหลงั ทราบวา่ ผา้ ของตนดกี วา่ จงึ ขอแลกคนื พระอุปนันทะไม่ยอมให้แลกคืน จึงติเตียนพระอุปนันทะ พระผู้มีพระภาค ทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษทุ ำการแลกเปลย่ี นดว้ ยประการตา่ ง ๆ ตอ้ งนสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ (กรณกี ารแลกเปลย่ี นโดยใชส้ ง่ิ ของ แลกเปลย่ี นกนั เอง ระหวา่ งสหธมั มกิ ๕ คอื ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี สกิ ขมานา สามเณร สามเณรี ทำได)้ . องค์แห่งอาบัติ ๑.ของๆตนที่จะเอาไปแลกก็ดี ของๆผู้อื่นที่ตนจะแลกมาก็ดีทั้ง ๒ นี้ เป็นกัปปิยภัณฑ์ของควร ๒.เจ้าของภัณฑะนั้น เป็นคฤหัสถ์ไม่ใช่สหธัมมิก พร้อมด้วยองค์ ๒ ดังนี้ จึงเป็น นิสสัคคิยปาจิตตีย์ (บุพพสิกขาวรรณนา หน้า ๑๗๐).

๗๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๓.ปตั ตวรรค วรรควา่ ดว้ ยบาตร เปน็ วรรคท่ี ๓ มี ๑๐ สกิ ขาบท นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ปตั ตวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑ ทะสาหะปะระมงั อะตเิ รกะปตั โต ธาเรตพั โพ, ตงั ..... “พึงทรงอติเรกบาตรไว้ได้ ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง, ภิกษุ ใหล้ ว่ งกำหนดนน้ั ไป, เปน็ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ ” วภิ งั ค์ ที่ชื่อว่า อติเรกบาตร ได้แก่ บาตรที่ยังไม่ได้อธิษฐาน ยังไม่ได้ วกิ ปั .(ทำวนิ ยั กรรมใหเ้ ปน็ ของสองเจา้ ของ) ทช่ี อ่ื วา่ บาตร มี ๒ อยา่ ง คอื บาตรเหลก็ ๑ บาตรดนิ เผา ๑. อนาบัติ ๑.ภกิ ษอุ ธษิ ฐาน ๒.ภกิ ษวุ กิ ปั ไว้ ๓.ภกิ ษสุ ละใหไ้ ป ๔.บาตรหายไป ๕.บาตรฉบิ หาย ๖.บาตรแตก ๗.โจรชงิ เอาไป ๘.ภกิ ษถุ อื วสิ าสะ ๙.ในภายใน ๑๐ วนั ๑๐.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๑.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์ สะสมบาตรไว้เป็นอันมาก ถูกมนุษย์ติเตียนว่าเป็น พอ่ คา้ บาตร พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มภกิ ษเุ กบ็ อตเิ รกบาตร ต่อมามีอติเรกบาตรเกิดขึ้นแก่พระอานนท์ ท่านต้องการถวายแก่พระสารีบุตร ซง่ึ อกี ๑๐ วนั จงึ จะกลบั มา จงึ ทรงใหเ้ กบ็ อตเิ รกบาตรได้ ๑๐ วนั เปน็ อยา่ งยง่ิ .

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๗๗ ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ไม่ให้คืนบาตรที่เสียสละ ภิกษุ ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บาตรที่ภิกษุเสียสละแล้ว สงฆ์ คณะ หรือบุคคล จะไมค่ นื ใหไ้ มไ่ ด้ ภกิ ษรุ ปู ใดไมค่ นื ให้ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ. นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ปตั ตวรรค สกิ ขาบทท่ี ๒ โย ปะนะ ภกิ ขุ อนู ะปญั จะพนั ธะเนนะ ปตั เตนะ..... “อนึ่ง ภิกษุใด มีบาตรมีแผลหย่อนห้า ให้จ่ายบาตร ใหม่, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. ภิกษุนั้นพึงสละบาตรใบนั้น ในภิกษุบริษัท; บาตรใบสุดแห่งภิกษุบริษัทนั้น, พึงมอบให้แก่ ภิกษุนั้นสั่งว่า “ภิกษุ นี้บาตรของท่าน พึงทรงไว้กว่าจะแตก” นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น.” วภิ งั ค์ บาตรทช่ี อ่ื วา่ มแี ผล ไดแ้ ก่ บาตรทม่ี รี อยรา้ วยาวถงึ สององคลุ .ี บทว่า ให้จ่าย คือ ขอเขา เป็นทุกกฏในประโยคที่ขอ เปน็ นสิ สคั คยี ด์ ว้ ยไดบ้ าตรมา จำตอ้ งเสยี สละในทา่ มกลางสงฆ.์ อนาบัติ ๑.ภิกษุมีบาตรหาย ๒.ภิกษุมีบาตรแตก ๓.ภิกษุขอต่อญาติ ๔.ภกิ ษขุ อตอ่ คน ปวารณา ๕.ภกิ ษขุ อเพอ่ื ประโยชนข์ องภกิ ษอุ น่ื ๖.ภกิ ษจุ า่ ยมา ดว้ ยทรพั ยข์ องตน, ๗.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๘.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล.

๗๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรื่องต้นบัญญัติ ช่างหม้อปวารณาให้ภิกษุทั้งหลายขอบาตรได้ แต่ภิกษุทั้งหลาย ขอเกนิ ประมาณ จนเขาเดอื นรอ้ น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภิกษุขอบาตรต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ภายหลังมีเรื่องเกิดขึ้น จึงทรงผ่อนผัน ใหข้ อได้ ในเมอ่ื บาตรหาย บาตรแตก หรอื บาตรเปน็ แผลเกนิ ๕ แหง่ . นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ปตั ตวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ ยานิ โข ปะนะ ตานิ คลิ านานงั ภกิ ขนู งั ปะฏสิ ายะนยี าน.ิ .... “อนึ่ง มีเภสัชอันควรลิ้มของภิกษุผู้อาพาธ คือ เนยใส เนยขน้ นำ้ มนั นำ้ ผง้ึ นำ้ ออ้ ย ภกิ ษรุ บั ประเคนของนน้ั แลว้ พงึ เกบ็ ไว้ฉันได้เจ็ดวันเป็นอย่างยิ่ง ภิกษุให้ล่วงกำหนดนั้นไป เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภิกษุผูกใจไว้ว่าจะไม่บริโภค ๒.ภิกษุแจกจ่ายให้ไป ๓.เภสัชนั้น สญู หาย ๔.เภสชั นน้ั เสยี ๕.เภสชั นน้ั ถกู ไฟไหม้ ๖.เภสชั นน้ั ถกู โจรชงิ ไป ๗.ภกิ ษุ ถอื วสิ าสะไป ๘.ในภายในเจด็ วนั ภกิ ษใุ หแ้ กอ่ นปุ สมั บนั ดว้ ยจติ คดิ สละแลว้ ทง้ิ แลว้ ปลอ่ ยแลว้ ไมห่ ว่ งใย กลบั ไดม้ า ฉนั ได้ ๙.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๐.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ มผี ถู้ วายเภสชั ๕ สำหรบั คนไข้ คอื เนยใส เนยขน้ นำ้ มนั นำ้ ผง้ึ นำ้ ออ้ ย แกพ่ ระปลิ นิ ทวจั ฉะ ทา่ นกแ็ บง่ ใหบ้ รษิ ทั ของทา่ น (ซง่ึ เปน็ ภกิ ษ)ุ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั เกบ็ ไวใ้ นทต่ี า่ งๆ เภสชั กไ็ หลเยม้ิ เลอะเทอะ วหิ ารกม็ ากไปดว้ ยหนู คนทง้ั หลาย

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๗๙ พากันติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ให้เก็บเภสัช ๕ ไวบ้ รโิ ภคไดไ้ มเ่ กนิ ๗ วนั ถา้ เกนิ ๗ วนั ตอ้ งนสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ปตั ตวรรค สกิ ขาบทท่ี ๔ มาโส เสโส คมิ หานนั ติ ภกิ ขนุ า วสั สกิ ะสาฏกิ ะจวี รงั ..... “ภกิ ษรุ วู้ า่ ฤดรู อ้ นยงั เหลอื อกี ๑ เดอื น พงึ แสวงหาจวี รคอื ผ้าอาบน้ำฝนได้ รู้ว่า ฤดูร้อนยังเหลืออีกกึ่งเดือน พึงทำนุ่งได้, ถ้าเธอรู้ว่า ฤดูร้อนเหลือล้ำกว่า ๑ เดือน แสวงหาจีวร คือผ้า อาบน้ำฝน รู้ว่า ฤดูร้อนเหลือล้ำกว่ากึ่งเดือนทำนุ่ง เป็น นิสสัคคิยปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษรุ วู้ า่ ฤดรู อ้ นยงั เหลอื อกี หนง่ึ เดอื น แสวงหาจวี ร คอื ผา้ อาบนำ้ ฝน ๒.ภกิ ษรุ วู้ า่ ฤดรู อ้ นยงั เหลอื อกี กง่ึ เดอื น ทำนงุ่ ๓.ภกิ ษรุ วู้ า่ ฤดรู อ้ นยงั เหลอื ไมถ่ งึ หนง่ึ เดอื น แสวงหาจวี รคอื ผา้ อาบนำ้ ฝน ๔.ภกิ ษรุ วู้ า่ ฤดรู อ้ นยงั เหลอื ไมถ่ งึ กง่ึ เดอื น ทำนุ่ง ๕.เมื่อผ้าอาบน้ำฝนภิกษุแสวงหาได้แล้วฝนแล้ง เมื่อผ้าอาบน้ำฝน ภกิ ษทุ ำนงุ่ แลว้ ฝนแลง้ ซกั เกบ็ ไว้ ๖.ภกิ ษนุ งุ่ ในสมยั ๗.ภกิ ษมุ จี วี รถกู โจรชงิ ไป ๘.ภกิ ษมุ จี วี รหายเสยี ๙.มอี นั ตราย ๑๐.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๑.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ ทราบวา่ พระผมู้ พี ระภาค ทรงอนญุ าตผา้ อาบนำ้ ฝน จึงแสวงหาและทำนุ่งก่อนเวลา (จะถึงหน้าฝน) ต่อมาผ้าเก่าชำรุด เลยต้อง เปลอื ยกายอาบนำ้ ฝน พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทให้ แสวงผา้ อาบนำ้ ฝนไดภ้ ายใน ๑ เดอื นกอ่ นฤดฝู น ใหท้ ำนงุ่ ไดภ้ ายใน ๑๕ วนั กอ่ นฤดฝู น ถา้ แสวงหาหรอื ทำกอ่ นกำหนดนน้ั ตอ้ งนสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์

๘๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ปตั ตวรรค สกิ ขาบทท่ี ๕ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขสุ สะ สามงั จวี ะรงั ทตั ว๎ า กปุ โิ ต..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด ใหจ้ วี รแกภ่ กิ ษเุ องแลว้ โกรธนอ้ ยใจชงิ เอามา กด็ ี ใหช้ งิ เอามากด็ ี เปน็ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ ” อนาบัติ ๑.ภกิ ษผุ ไู้ ดร้ บั ไปนน้ั ใหค้ นื เองกด็ ี ภกิ ษเุ จา้ ของเดมิ ถอื วสิ าสะแกผ่ ไู้ ดร้ บั ไปนน้ั กด็ ี ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระอปุ นนั ทศากยบตุ ร ชวนภกิ ษรุ ปู หนง่ึ เดนิ ทางไปชนบท เธอวา่ จวี ร ชำรดุ มาก เธอไมไ่ ป พระอปุ นนั ทะจงึ ใหจ้ วี รใหม่ ภายหลงั ภกิ ษนุ น้ั เปลย่ี นใจ จะตามเสดจ็ พระผมู้ พี ระภาค พระอปุ นนั ทะโกรธจงึ ชงิ จวี รคนื มา พระผมู้ พี ระภาค ทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุอื่นแล้ว โกรธ ไมพ่ อใจ ชงิ คนื เองหรอื ใชใ้ หช้ งิ คนื มา ตอ้ งนสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ องค์แห่งอาบัติ ๑.ผ้ากว้างยาวควรวิกัปเป็นอย่างต่ำ ๒.ผ้านั้นภิกษุให้เอง ๓.สำคัญว่าเป็นของๆตัว ๔.ผู้ที่ได้ไปเป็นอุปสัมบันภิกษุ ๕.ชิงเอาเองหรือให้ผู้อื่นชิงเอาด้วยความโกรธ พร้อมด้วยองค์ ๕ ดังนี้ จึงเป็น นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๗๓). นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ปตั ตวรรค สกิ ขาบทท่ี ๖ โย ปะนะ ภกิ ขุ สามงั สตุ ตงั วญิ ญาเปตว๎ า ตนั ตะวาเยห.ิ .... “อนึ่ง ภิกษุใดขอด้ายมาเองแล้ว ยังช่างหูกให้ทอจีวร เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.”

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๘๑ อนาบัติ ๑.ภกิ ษขุ อดา้ ยมาเพอ่ื เยบ็ จวี ร ๒.ภกิ ษขุ อดา้ ยมาทำผา้ รดั เขา่ ๓.ภกิ ษุ ขอด้ายมาทำประคตเอว ๔.ภิกษุขอด้ายมาทำผ้าอังสะ ๕.ภิกษุขอด้ายมาทำ ถุงบาตร ๖.ภิกษุขอด้ายมาทำผ้ากรองน้ำ ๗.ภิกษุขอต่อญาติ ๘.ภิกษุขอ ตอ่ คนปวารณา ๙.ภกิ ษขุ อเพอ่ื ประโยชนข์ องภกิ ษอุ น่ื ๑๐.ภกิ ษจุ า่ ยมาดว้ ยทรพั ย์ ของตน ๑๑.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๒.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ เทย่ี วขอดา้ ยเขามาใหช้ า่ งหกู ทอเปน็ จวี ร ดา้ ยเหลอื กไ็ ปขอเขาเพม่ิ ใหช้ า่ งหกู ทอเปน็ จวี รอกี ดา้ ยเหลอื อกี กไ็ ปขอดา้ ยเขาสบทบ เอาไปให้ช่างหูกทอเป็นจีวรอีก รวม ๓ ครั้ง คนทั้งหลายพากันติเตียน พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุขอด้ายเขาด้วย ตนเองเอามาใหช้ า่ งหกู ทอเปน็ จวี ร ตอ้ งอาบตั นิ สิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ปตั ตวรรค สกิ ขาบทท่ี ๗ ภกิ ขงุ ปะเนวะ อทุ ทสิ สะ อญั ญาตะโก คะหะปะติ วา..... “อนึ่ง เจ้าพ่อเรือนก็ดี เจ้าแม่เรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ สั่ง ชา่ งหกู ใหท้ อจวี รเฉพาะภกิ ษุ ถา้ ภกิ ษนุ น้ั เขาไมไ่ ดป้ วารณาไวก้ อ่ น เข้าไปหาช่างหูกแล้วถึงความกำหนดในจีวรในสำนักของเขานั้น ว่า จีวรผืนนี้ทอเฉพาะรูป ขอท่านจงทำให้ยาว ให้กว้าง ให้แน่น ใหเ้ ปน็ ของทข่ี งึ ดี ใหเ้ ปน็ ของทท่ี อดี ใหเ้ ปน็ ของทส่ี างดี ใหเ้ ปน็ ของ ที่กรีดดี แม้ไฉนรูปจะให้ของเล็กน้อยเป็นรางวัลแก่ท่าน ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นให้ของเล็กของน้อยเป็นรางวัล โดยที่สุดแม้สักว่าบิณฑบาต เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.”

๘๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนาบัติ ๑.ภกิ ษขุ อตอ่ ญาติ ๒.ภกิ ษขุ อตอ่ คนปวารณา ๓.ภกิ ษขุ อเพอ่ื ประโยชน์ ของภกิ ษอุ น่ื ๔.ภกิ ษจุ า่ ยมาดว้ ยทรพั ยข์ องตนเอง ๕.เจา้ เรอื นใครจ่ ะใหท้ อจวี ร มรี าคามาก ภกิ ษใุ หท้ อจวี รมรี าคานอ้ ย ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ พระอุปนันทศากยบุตร ทราบว่า ชายผู้หนึ่งสั่งภริยาให้จ้างช่างหูก ทอจวี รถวาย จงึ ไปหาชา่ งหกู สง่ั ใหเ้ ขาทอใหย้ าว ใหก้ วา้ ง ใหแ้ นน่ เปน็ ตน้ ดา้ ยทใ่ี หไ้ วเ้ ดมิ ไมพ่ อ ชา่ งตอ้ งมาขอดา้ ยจากหญงิ นน้ั ไปเตมิ อกี เทา่ ตวั ชายผสู้ ามี ทราบภายหลังจึงติเตียน พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ใจความวา่ ภกิ ษทุ เ่ี ขามไิ ดป้ วารณาไวก้ อ่ น ไปหาชา่ งหกู ใหท้ ออยา่ งนน้ั อยา่ งน้ี ตนจะใหร้ างวลั บา้ ง ครน้ั พดู กบั เขาแลว้ ใหแ้ มข้ องเพยี งเลก็ นอ้ ยสกั วา่ บณิ ฑบาต ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ปตั ตวรรค สกิ ขาบทท่ี ๘ ทะสาหานาคะตงั กตั ตกิ ะเตมาสปิ ณุ ณะมงั , ภกิ ขโุ น ปะเนวะ..... “วันปุรณมีที่ครบ ๓ เดือน แห่งเดือนกัตติกา ยังไม่มา อีก ๑๐ วัน อัจเจกจีวรเกิดขึ้นแก่ภิกษุ ภิกษุรู้ว่าเป็นอัจเจกจีวร พึงรับไว้ได้ ครั้นรับไว้แล้ว พึงเก็บไว้ได้จนตลอดสมัยที่เป็น จวี รกาล ถา้ เธอเกบ็ ไวย้ ง่ิ กวา่ นน้ั เปน็ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ ”

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๘๓ วภิ งั ค์ บทวา่ ยงั ไมม่ าอกี ๑๐ วนั คอื กอ่ นวนั ปวารณา ๑๐ วนั . ที่ชื่อว่า อัจเจกจีวร อธิบายว่า บุคคลประสงค์จะไปในกองทัพก็ดี, บุคคลประสงค์จะไปแรมคืนต่างถิ่นก็ดี บุคคลเจ็บไข้ก็ดี สตรีมีครรภ์ก็ดี บุคคล ยังไม่มีศรัทธา มามีศรัทธาเกิดขึ้นก็ดี บุคคลที่ยังไม่เลื่อมใส มามีความเลื่อมใส เกิดขึ้นก็ดี ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่านิมนต์ท่านผู้เจริญมา ขา้ พเจา้ จกั ถวายผา้ จำนำพรรษา ผา้ เชน่ นช้ี อ่ื วา่ อจั เจกจวี ร. ที่ชื่อว่า สมัยที่เป็นจีวรกาล คือ เมื่อไม่ได้กรานกฐิน ได้ท้ายฤดูฝน ๑ เดอื น เมอ่ื กรานกฐนิ แลว้ ไดข้ ยายออกไปเปน็ ๕ เดอื น. อนาบัติ ๑.ภิกษุอธิษฐาน ๒.ภิกษุวิกัป ๓.ภิกษุสละให้ไป ๔.จีวรหาย ๕.จีวรฉิบหาย ๖.จีวรถูกไฟไหม้ ๗.จีวรถูกชิงเอาไป ๘.ภิกษุถือวิสาสะ ๙.ในภายในสมยั ๑๐.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๑.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ มหาอำมาตย์คนหนึ่งจะไปค้างคืนต่างถิ่น ประสงค์จะถวายผ้าจำนำ- พรรษาจงึ สง่ ทตู มา ภกิ ษทุ ง้ั หลายรงั เกยี จวา่ พระผมู้ พี ระภาคทรงอนญุ าตใหร้ บั ผ้าจำนำพรรษาแก่ภิกษุผู้จำพรรษาแล้ว จึงไม่รับ มหาอำมาตย์จึงตำหนิว่า “ทำไมพระคุณเจ้าทั้งหลาย เมื่อเราส่งทูตไปจึงไม่มาเล่า เราจะเดินทางไปรบ จะเป็นหรือตายก็ยากจะรู้ได้” พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงอนุญาตให้รับ อจั เจกจวี รแลว้ เกบ็ ไวไ้ ด้ แตภ่ กิ ษบุ างรปู เกบ็ ไวเ้ กนิ เขตจวี รกาล พระผมู้ พี ระภาค ทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ใหร้ บั ผา้ อจั เจกจวี รกอ่ นออกพรรษา ๑๐ วนั ได้ แตใ่ หเ้ กบ็ ไวเ้ พยี งตลอดกาลจวี ร คอื จำพรรษาแลว้ เกบ็ ไวไ้ ด้ ๑ เดอื น ถา้ กรานกฐนิ แลว้ เกบ็ ไวไ้ ด้ ๕ เดอื น เกบ็ เกนิ กำหนดนน้ั ตอ้ งนสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์

๘๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ปตั ตวรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ อปุ ะวสั สงั โข ปะนะ กตั ตกิ ะปณุ ณะมงั , ยานิ โข ปะนะ..... “อนง่ึ ภกิ ษจุ ำพรรษาแลว้ จะอยใู่ นเสนาสนะปา่ ทร่ี กู้ นั วา่ เป็นที่มีรังเกียจ มีภัยจำเพาะหน้า ตลอดถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒ ปรารถนาอยู่ พึงเก็บจีวร ๓ ผืนๆ ใดผืนหนึ่งไว้ในละแวกบ้านได้ และปจั จยั อะไรๆ เพอ่ื จะอยปู่ ราศจากจวี รนน้ั จะพงึ มแี กภ่ กิ ษนุ น้ั ภิกษุนั้นพึงอยู่ปราศจากจีวรนั้นได้ ๖ คืนเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเธออยู่ ปราศยง่ิ กวา่ นน้ั เวน้ ไวแ้ ตภ่ กิ ษไุ ดร้ บั สมมตเิ ปน็ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ ” วภิ งั ค์ คำวา่ เสนาสนะปา่ เปน็ ตน้ ความวา่ เสนาสนะทช่ี อ่ื วา่ ปา่ นน้ั มรี ะยะไกล ๕๐๐ ชว่ั ธนู เปน็ อยา่ งนอ้ ย.(หา่ งหมบู่ า้ นประมาณ ๒๕ เสน้ =๑ กโิ ลเมตร : พระไตรปฎิ ก มจร. ๒/๖๔๔/๕๗๓) ทช่ี อ่ื วา่ เปน็ ทร่ี งั เกยี จ คอื ในอาราม อปุ จารแหง่ อาราม มสี ถานทอ่ี ยู่ ทก่ี นิ ทย่ี นื ทน่ี ง่ั ทน่ี อน ของพวกโจรปรากฏอย.ู่ อนาบัติ ๑.ภกิ ษอุ ยปู่ ราศ ๖ ราตรี ๒.ภกิ ษอุ ยปู่ ราศไมถ่ งึ ๖ ราตรี ๓.ภกิ ษอุ ยปู่ ราศ ๖ ราตรแี ลว้ กลบั มายงั คามสมี า อยู่ แลว้ หลกี ไป ๔.ภกิ ษถุ อนเสยี ภายใน ๖ ราตรี ๕.ภกิ ษสุ ละใหไ้ ป ๖.จวี รหาย ๗.จวี รฉบิ หาย ๘.จวี รถกู ไฟไหม้ ๙.จวี รถกู ชงิ เอาไป ๑๐.ภกิ ษถุ อื วสิ าสะ ๑๑.ภกิ ษไุ ดร้ บั สมมติ ๑๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษอุ อกพรรษาปวารณาแลว้ ยงั อยใู่ นเสนาสนะปา่ พวกโจรเขา้ ใจ วา่ ”พวกภกิ ษมุ ลี าภ” กเ็ ขา้ ปลน้ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษอุ ยปู่ า่

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๘๕ เกบ็ จวี รผนื ใดผนื หนง่ึ ไวใ้ นบา้ นได้ ภกิ ษจุ งึ เกบ็ ไวใ้ นบา้ นเกนิ ๖ คนื จวี รหายบา้ ง หนกู ดั บา้ ง จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทใหภ้ กิ ษอุ ยปู่ า่ เกบ็ จวี รผนื ใดผนื หนง่ึ ไวใ้ นบา้ น ได้ แตจ่ ะอยปู่ ราศจากจวี รนน้ั ไดไ้ มเ่ กนิ ๖ คนื ถา้ เกนิ ไปตอ้ ง นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ เวน้ ไวแ้ ตไ่ ดร้ บั สมมติ (คอื สงฆส์ วดประกาศเปน็ กรณพี เิ ศษ เชน่ เจบ็ ปว่ ย) นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ปตั ตวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๐ โย ปะนะ ภิกขุ ชานัง สงั ฆกิ ัง ลาภัง ปะริณะตงั ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด รอู้ ยู่ นอ้ มลาภทเ่ี ขานอ้ มไวเ้ ปน็ ของจะถวาย สงฆม์ าเพอ่ื ตน เปน็ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ ” อนาบัติ ๑.ภิกษุอันพวกทายกถามว่า จะถวายที่ไหน ดังนี้ บอกแนะนำว่า ไทยธรรมของพวกท่าน พึงได้รับการใช้สอย พึงได้รับการปฏิสังขรณ์ หรือพึง ตั้งอยู่ได้นานในที่ใด ก็หรือจิตของพวกท่านเลื่อมใสในภิกษุรูปใด ก็จงถวาย ในที่นั้นหรือภิกษุรูปนั้นเถิด ดังนี้ ๒.ภิกษุวิกลจริต ๓.ภิกษุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ ไปพดู กบั คณะบคุ คล ซง่ึ เตรยี มอาหารและจวี รไวถ้ วาย แกส่ งฆ์ เพอ่ื ใหเ้ ขาถวายแกต่ น เขาถกู รบเรา้ หนกั กเ็ ลยถวายไป ความทราบ ถงึ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษรุ อู้ ยู่ นอ้ มลาภทจ่ี ะถวายสงฆ์ มาเพอ่ื ตน ตอ้ งนสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ลาภทายกน้อมไปแล้วในสงฆ์ ๒.รู้แล้วน้อมมาเพื่อตน ๓.ได้มา พร้อมด้วยองค์ ๓ ดังนี้ จึงเป็น นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๗๖).

๘๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๖.ปาจติ ตยี ก์ ณั ฑ์ อาบัติอันยังกุศลธรรมให้ตกไป มี ๙๒ สิกขาบท แบ่งเป็น ๙ วรรค ๆ ละ ๑๐ สกิ ขาบท เวน้ แตว่ รรคท่ี ๘ มี ๑๒ สกิ ขาบท ๑.มสุ าวาทวรรค วรรควา่ ดว้ ยการพดู ปด เปน็ วรรคท่ี ๑ มี ๑๐ สกิ ขาบท ปาจติ ตยี ์ มสุ าวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑ สมั ปะชานะมสุ าวาเท ปาจติ ตยิ งั . “เป็นปาจิตตีย์ในเพราะสัมปชานมุสาวาท.” วภิ งั ค์ ที่ชื่อว่า สัมปชานมุสาวาท ได้แก่ วาจา เสียงที่เปล่ง ถ้อยคำเป็น แนวทาง การเปลง่ วาจา เจตนาทใ่ี หเ้ ขาเขา้ ใจทางวาจา ของบคุ คลผจู้ งใจจะพดู ใหค้ ลาดจากความจรงิ ไดแ้ ก่ คำพดู ของอนารยชน ๘ อยา่ ง คอื ๑.ไมเ่ หน็ พดู วา่ ขา้ พเจา้ เหน็ ๒.ไมไ่ ดย้ นิ พดู วา่ ขา้ พเจา้ ไดย้ นิ ๓.ไมท่ ราบ พดู วา่ ขา้ พเจา้ ทราบ ๔.ไมร่ ู้ พดู วา่ ขา้ พเจา้ รู้ ๕.เหน็ พดู วา่ ขา้ พเจา้ ไมเ่ หน็ ๖.ไดย้ นิ พดู วา่ ขา้ พเจา้ ไมไ่ ดย้ นิ ๗.ทราบ พดู วา่ ขา้ พเจา้ ไมท่ ราบ ๘.รู้ พูดว่าข้าพเจ้าไม่รู้.

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๘๗ ที่ชื่อว่า ไม่ทราบ คือ ไม่ได้สูดดมด้วยจมูก ไม่ได้ลิ้มด้วยลิ้น ไมไ่ ดส้ มั ผสั ดว้ ยกาย. ทช่ี อ่ื วา่ ไมร่ ู้ คอื ไมร่ ดู้ ว้ ยใจ. อนาบัติ ๑.ภกิ ษพุ ดู พลง้ั (คอื พดู เรว็ ไป) ๒.ภกิ ษพุ ดู พลาด (คอื ตง้ั ใจวา่ จกั พดู คำอื่น แต่กลับพูดไปอีกอย่าง) ๓.ภิกษุวิกลจริต ๔.ภิกษุอาทิกัมมิกะ ไมต่ อ้ ง อาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระหัตถกศากยบุตรสนทนากับพวกเดียรถีย์ ปฏิเสธแล้วกลับรับ รบั แลว้ กลบั ปฏเิ สธ กลา้ พดู ปดทง้ั ๆ รู้ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ พู้ ดู ปดทง้ั ๆ ร.ู้ องค์แห่งอาบัติ ๑.คิดจะกล่าวให้คลาดจากจริงเป็นเบื้องหน้า ๒.ทำประโยคกายหรือวาจา ให้ผู้ฟังรู้ความที่ตนหมาย จะกลา่ วดว้ ยจติ จะพดู ใหค้ ลาดจากจรงิ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๒ ดงั นจ้ี งึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๗๗). ปาจติ ตยี ์ มสุ าวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๒ โอมะสะวาเท ปาจติ ตยิ งั . “เป็นปาจิตตีย์ในเพราะโอมสวาท.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ โอมสวาท ไดแ้ ก่ คำพดู เสยี ดแทงใหเ้ จบ็ ใจดว้ ยอาการ ๑๐อยา่ ง (อกั โกสวตั ถุ ๑๐) คอื ๑.ชาติ ๒.ชอ่ื ๓.โคตร ๔.การงาน ๕.ศลิ ปะ(วชิ า) ๖.โรค ๗.รปู พรรณ ๘.กเิ ลส ๙.อาบตั ิ ๑๐.คำดา่ .

๘๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะว่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน (..ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน..)ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แตม่ คี วาม ประสงคจ์ ะลอ้ เลน่ จงึ พดู ดว้ ยการกลา่ ว กระทบดว้ ยอกั โกสวตั ถุ ๑๐ เช่น กล่าว กระทบชาติ ว่าเป็นคนสูงเกินไป ว่าเป็น คนโง่ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต อนาบัติ ๑.ภกิ ษมุ งุ่ อรรถ ๒.ภกิ ษมุ งุ่ ธรรม ๓.ภกิ ษมุ งุ่ สง่ั สอน ๔.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๕.ภกิ ษมุ จี ติ ฟงุ้ ซา่ น ๖.ภกิ ษกุ ระสบั กระสา่ ยเพราะเวทนา ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์ ทะเลาะกับภิกษุผู้มีศีลอันเป็นที่รักอื่นๆ แล้วด่า แช่ง ด้วยคำด่า ๑๐ ประการ คือ ถ้อยคำที่พาดพิงถึง ชาติ (กำเนิด), ชื่อ, โคตร, กทารรงงทารนา,บศจลิ งึ ปทะร,งบอาญั พญาธตั ,สิ กิเพขศา,บทกเิ ลปสร,บั ออาาบบตัตั ิปิ แาลจะติ คตำยี ด์ า่แทกเ่ีภ่ ลกิวษพผุ รดู้ ะา่ ผภมู้ กิ พี ษรอุะน่ืภ.าค ๔อ.งไมค่ท์แำหอร่งรถอะาธบรรัตมิะ ค๑ำ.สดอ่านผเู้ใปด็นผเู้นบืั้อ้นงเหปน็น้าอุพปสร้อัมมบดัน้วย๒อ.งดค่า์ ๔ด้วดยังชนาี้ตจิเึงปเป็น็นตป้นาจไิตมต่อีย้าง์ (ผบู้อุพื่นพสิก๓ข.ผาวู้ตร้อรงณดน่าราู้วห่านเข้าา๑ด๗่า๙เร).า ปาจติ ตยี ์ มสุ าวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ ภิกขุเปสุญเญ ปาจิตติยัง. “เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะส่อเสียดภิกษุ.” วภิ งั ค์ ที่ชื่อว่า ส่อเสียด คือ ฟังคำของฝ่ายนี้แล้วบอกแก่ฝ่ายโน้น เพอ่ื ทำลายฝา่ ยน้ี ฟงั คำของฝา่ ยโนน้ แลว้ บอกแกฝ่ า่ ยน้ี เพอ่ื ทำลายฝา่ ยโนน้

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๘๙ ขยายความวา่ วตั ถสุ ำหรบั เกบ็ มาสอ่ เสยี ด มไี ดด้ ว้ ยอาการ ๒ อยา่ ง คอื ๑. ของคนผตู้ อ้ งการจะใหเ้ ขาชอบ ๒.ของคนผปู้ ระสงคจ์ ะใหเ้ ขาแตกกนั ภิกษุเก็บเอาวัตถุสำหรับส่อเสียดมากล่าวโดยอาการ ๑๐ อย่าง คือ ๑.ชาติ ๒.ชอ่ื ๓.โคตร ๔.การงาน ๕.ศลิ ปะ ๖.โรค ๗.รปู พรรณ ๘.กเิ ลส ๙.อาบตั ิ ๑๐.คำดา่ . อนาบัติ ๑.ภกิ ษุไม่ตอ้ งการจะใหเ้ ขาชอบ ๒.ภิกษไุ มป่ ระสงคจ์ ะให้เขาแตกกัน ๓.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๔.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ พดู สอ่ เสยี ดภกิ ษสุ องฝา่ ยซง่ึ ทะเลาะกนั ฟงั ความขา้ งน้ี ไปบอกขา้ งโนน้ ฟงั ความขา้ งโนน้ ไปบอกขา้ งนเ้ี พอ่ื ใหแ้ ตกรา้ วกนั ทำใหท้ ะเลาะ กนั ยง่ิ ขน้ึ พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ พู้ ดู สอ่ เสยี ดภกิ ษอุ น่ื . องค์แห่งอาบัติ ๑.ได้ยินภิกษุด่าว่าด้วยอักโกสวัตถุมีชาติเป็นต้น ไม่อ้างผู้อื่นแล้วนำไปบอกแก่ภิกษุผู้ถูกด่า ๒.หวังจะให้ผู้ถูกด่ารักใคร่ตัว หรือให้เธอทง้ั ๒ แตกกัน อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ๓.ผ้ถู กู ดา่ นน้ั รู้ความ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๘๐). ปาจติ ตยี ์ มสุ าวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๔ โย ปะนะ ภกิ ขุ อะนปุ ะสมั ปนั นัง ปะทะโสธัมมงั ..... “อนึ่ง ภิกษุใดยังอนุปสัมบันให้กล่าวธรรมโดยบท เป็นปาจิตตีย์.”

๙๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ อนปุ สมั บนั คอื ยกเวน้ ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี นอกนน้ั ชอ่ื วา่ อนปุ สมั บนั . ที่ชื่อว่า ธรรม ได้แก่ บาลีที่เป็นพุทธภาษิต สาวกภาษิต อิสิภาษิต เทวตาภาษติ ซง่ึ ประกอบดว้ ยอรรถ ประกอบดว้ ยธรรม. อนาบัติ ๑.ภิกษุให้สวดพร้อมกัน ๒.ท่องพร้อมกัน ๓.อนุปสัมบันผู้กล่าวอยู่ สวดอยู่ ซง่ึ คมั ภรี ท์ ค่ี ลอ่ งแคลว่ โดยมาก๑ ๔.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๕.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรอ่ื งตน้ บญั ญตั ิ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ สอนอบุ าสกทง้ั หลายใหก้ ลา่ วธรรม (พรอ้ มกนั ) โดยบท ทำให้อุบาสกเหล่านั้น ขาดความเคารพในภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ สู้ อนธรรมแกอ่ นปุ สมั บนั (คอื ผมู้ ไิ ดเ้ ปน็ ภกิ ษหุ รอื ภกิ ษณุ )ี พรอ้ มกนั โดยบท. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.เปน็ อนปุ สมั บนั ๒.สอนธรรมมลี กั ษณะดงั กลา่ วแลว้ โดยบท ๓.ใหจ้ บลงในทอ่ี นั เดยี วกนั พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๘๒). ๑คมั ภรี ท์ ค่ี ลอ่ งแคลว่ โดยมาก หมายถงึ วา่ ถา้ คาถา ๑ คาถาจำไมไ่ ดเ้ สยี ๑ บาท สว่ นบาททเ่ี หลอื จำได(้ กงขฺ า.ฎกี า ๓๗๑) ปาจติ ตยี ์ มสุ าวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๕ โย ปะนะ ภกิ ขุ อะนปุ ะสมั ปนั เนนะ อตุ ตะรทิ ว๎ ริ ตั ตะตริ ตั ตงั ..... “อนึ่ง ภิกษุใดสำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบัน ยิ่งกว่า ๒-๓ คนื เปน็ ปาจติ ตยี .์ ”

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๙๑ อนาบัติ ๑.ภกิ ษอุ ยู่ ๒-๓ คนื ๒.ภกิ ษอุ ยไู่ มถ่ งึ ๒-๓ คนื ๓.ภกิ ษอุ ยู่ ๒ คนื แลว้ คนื ท่ี ๓ ออกไปกอ่ นอรณุ แลว้ อยใู่ หม่ ๔.อยใู่ นสถานทม่ี งุ ทง้ั หมด ไมบ่ งั ทง้ั หมด ๕.อยใู่ นสถานทบ่ี งั ทง้ั หมด ไมม่ งุ ทง้ั หมด ๖.อยใู่ นสถานทไ่ี มม่ งุ โดยมาก ไมบ่ งั โดยมาก ๗.อนปุ สมั บนั นอน ภกิ ษนุ ง่ั ๘.ภกิ ษนุ อน อนปุ สมั บนั นง่ั ๙.หรอื นง่ั ทง้ั สอง ๑๐.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๑.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ อบุ าสกไปฟงั ธรรม นอนคา้ งทว่ี ดั ในหอประชมุ ภกิ ษบุ วชใหมก่ น็ อนรว่ ม กบั เขาดว้ ย เปน็ ผไู้ มม่ สี ติ สมั ปชญั ญะ นอนเปลอื ยกาย ละเมอ กรน เปน็ ทต่ี เิ ตยี น ของอบุ าสกเหลา่ นน้ั พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ นู้ อนรว่ มกบั อนปุ สมั บนั (ผมู้ ใิ ชภ่ กิ ษ)ุ ตอ่ มาทรงผอ่ นผนั ใหน้ อนรว่ มกนั ไดไ้ มเ่ กนิ ๓ คนื องค์แห่งอาบัติ ๑.เสนาสนะเป็นวัตถุแห่งปาจิตตีย์ ๒.นอนกับอนุปสัมบันในเสนาสนะนั้น ๓.อาทติ ยอ์ สั ดงคตลบั ไปในวนั ทส่ี ่ี พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๘๓). ปาจติ ตยี ์ มสุ าวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๖ โย ปะนะ ภกิ ขุ มาตคุ าเมนะ สะหะเสยยงั กปั เปยยะ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดสำเรจ็ การนอนรว่ มกบั มาตคุ ามเปน็ ปาจติ ตยี .์ ” อนาบัติ ๑.ในสถานทม่ี งุ ทง้ั หมด ไมบ่ งั ทง้ั หมด ๒.ในสถานทบ่ี งั ทง้ั หมด ไมม่ งุ ทั้งหมด ๓.ในสถานที่ไม่มุงโดยมาก ไม่บังโดยมาก ๔.มาตุคามนอนภิกษุนั่ง

๙๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๕.ภกิ ษนุ อน มาตคุ ามนง่ั ๖.นง่ั ทง้ั สอง ๗.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๘.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ พระอนรุ ทุ ธะเดนิ ทางผา่ นโกศลชนบท จะไปสกู่ รงุ สาวตั ถี ขออาศยั ใน อาคารพกั แรมของหญงิ คนหนง่ึ ตอ่ มามคี นเดนิ ทางมาขออาศยั ในโรงพกั นน้ั อกี หญิงเจ้าของบ้านพอใจในรูปโฉมของพระอนุรุทธะ จึงจัดให้พักใหม่ห้องเดียว กบั นาง แลว้ ยว่ั ยวนทา่ นตา่ ง ๆ ทา่ นกลบั เฉย และแสดงธรรมใหฟ้ งั จนหญงิ นน้ั ปฏิญญาตนถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงทรงบัญญัติ สกิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ นู้ อนรว่ มกบั มาตคุ าม (คอื ผหู้ ญงิ ). องค์แห่งอาบัติ ๑.เสนาสนะเป็นวัตถุแห่งปาจิตตีย์ ๒.นอนกับอนุปสัมบันในเสนาสนะนั้น ๓.อาทติ ยอ์ สั ดงคตลบั ไปแมแ้ ต่ ในคนื ทแี รก พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๘๓-๑๘๔). ปาจติ ตยี ์ มสุ าวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๗ โย ปะนะ ภกิ ขุ มาตคุ ามสั สะ อตุ ตะรฉิ ปั ปญั จะวาจาห.ิ .... “อนึ่ง ภิกษุใดแสดงธรรมแก่มาตุคามยิ่งกว่า ๕-๖ คำ เว้นไว้แต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.มบี รุ ษุ ผรู้ เู้ ดยี งสาอยดู่ ว้ ย ๒.ภกิ ษแุ สดงธรรมเพยี ง ๕-๖ คำ ๓.ภกิ ษุ แสดงธรรมหยอ่ นกวา่ ๕-๖ คำ ๔.ภกิ ษลุ กุ ขน้ึ แลว้ นง่ั แสดงธรรมตอ่ ไป ๕.มาตคุ าม ลุกขึ้นแล้วนั่งลงอีก ภิกษุแสดงแก่มาตุคามนั้น ๖.ภิกษุแสดงแก่มาตุคามอื่น ๗.มาตคุ ามถามปญั หา ภกิ ษถุ กู ถามปญั หาแลว้ กลา่ วแก้ ๘.ภกิ ษแุ สดงธรรมเพอ่ื ประโยชนแ์ กค่ นอน่ื อยู่ มาตคุ ามฟงั อยดู่ ว้ ย ๙.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๐.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล.

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๙๓ เรื่องต้นบัญญัติ พระอุทายีแสดงธรรมกระซิบที่หูของสตรีทำให้ผู้อื่นสงสัย พระผู้มี พระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามแสดงธรรมแก่สตรี ภายหลังมีเหตุเกิดขึ้น จึงทรงบัญญัติเพิ่มเติมว่า ภิกษุแสดงธรรมแก่มาตุคาม (สตรี) เกิน ๖ คำ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ เวน้ แตม่ ชี ายผรู้ เู้ ดยี งสาอย.ู่ องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.แสดงธรรมยง่ิ กวา่ ๖ คำ ๒.มาตคุ ามเปน็ หญงิ มนษุ ยท์ ร่ี คู้ ำชว่ั ดแี ละ หยาบไมห่ ยาบ ๓.ไมเ่ ปลย่ี นอรยิ าบถ ๔.ไมม่ ชี ายผรู้ คู้ วามอยดู่ ว้ ย ๕.ไมใ่ ชก่ าลวสิ ชั นาปญั หา พรอ้ มดว้ ยองค์ ๕ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๘๕). ปาจติ ตยี ์ มสุ าวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๘ โย ปะนะ ภกิ ขุ อะนปุ ะสมั ปนั นสั สะ อตุ ตะรมิ ะนสุ สะธมั มงั ..... “อนึ่ง ภิกษุใดบอกอุตตริมนุสสธรรมแก่อนุปสัมบัน เป็นปาจิตตีย์เพราะมีจริง.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษบุ อกอตุ ตรมิ นสุ สธรรมทม่ี จี รงิ แกอ่ ปุ สมั บนั ๒.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ พระผู้มีพระภาคทรงปรารภเรื่องเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในปาราชิก สิกขาบท ที่ ๔ คืออวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน แต่คราวนี้ทรงบัญญัติสิกขาบท ปรบั อาบตั ิ ปาจติ ตยี แ์ กภ่ กิ ษผุ บู้ อกคณุ วเิ ศษทม่ี จี รงิ แกผ่ มู้ ไิ ดบ้ วช (มไิ ดเ้ ปน็ ภกิ ษุ หรอื ภกิ ษณุ )ี .

๙๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ปาจติ ตยี ์ มสุ าวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขสุ สะ ทฏุ ฐลุ ลงั อาปตั ตงิ อะนปุ ะสมั ปนั นสั สะ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด บอกอาบตั ชิ ว่ั หยาบของภกิ ษุ แกอ่ นปุ สมั บนั เว้นไว้แต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นปาจิตตีย์.” วภิ งั ค์ อาบตั ทิ ช่ี อ่ื วา่ ชว่ั หยาบ ไดแ้ ก่ ปาราชกิ ๔ และสงั ฆาทเิ สส ๑๓. บทว่า เว้นไว้แต่ภิกษุได้รับสมมติ คือ ยกเว้นแต่ภิกษุที่สงฆ์สมมติ (มอบหมายให้เป็นผู้บอกอาบัติ). อนาบัติ ๑.ภิกษุบอกวัตถุ ไม่บอกอาบัติ ๒.ภิกษุบอกอาบัติ ไม่บอกวัตถุ ๓.ภกิ ษไุ ดร้ บั สมมติ ๔.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๕.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ ทะเลาะกบั พระอปุ นนั ทศากยบตุ ร เลยแกลง้ ประจานพระ อุปนันทะกับพวกอุบาสกที่กำลังเลี้ยงพระว่า พระอุปนันทะต้องอาบัติ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน (ผู้มิได้เป็นภิกษุหรือภิกษุณี) ตอ้ งปาจติ ตยี ์ เวน้ ไวแ้ ตไ่ ดร้ บั สมมต.ิ องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.สงั ฆาทเิ สสแหง่ ภกิ ษทุ ง้ั วตั ถดุ ว้ ย ๒.บอกแกอ่ นปุ สมั บนั ๓.ไมม่ ภี กิ ษไุ ดร้ บั สมมติ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๒ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๘๖).

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๙๕ ปาจติ ตยี ์ มสุ าวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๐ โย ปะนะ ภกิ ขุ ปะฐะวงิ ขะเณยยะ วา ขะณาเปยยะ วา..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด ขดุ กด็ ี ใหข้ ดุ กด็ ี ซง่ึ ปฐพ,ี เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” อนาบัติ ๑.ภกิ ษกุ ลา่ ววา่ ทา่ นจงรดู้ นิ น้ี ทา่ นจงใหด้ นิ น้ี ทา่ นจงนำดนิ นม้ี า เรามี ความตอ้ งการดว้ ยดนิ น้ี ทา่ นจงทำดนิ นใ้ี หเ้ ปน็ กปั ปยิ ะ๑ ดงั น้ี ๒.ภกิ ษไุ มแ่ กลง้ ๓.ภกิ ษไุ มม่ สี ติ ๔.ภกิ ษไุ มร่ ู้ ๕.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๖.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษชุ าวเมอื งอาฬวี ทำการกอ่ สรา้ ง จงึ ขดุ ดนิ เองบา้ ง ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื ขดุ บา้ ง มนุษย์ทั้งหลายพากันติเตียนว่าผิดประเพณีนิยมของสมณะ พระผู้มีพระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษขุ ดุ ดนิ เอง หรอื ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื ขดุ ตอ้ งปาจติ ตยี .์ องค์แห่งอาบัติ ๑.ดนิ เปน็ ชาตปิ ฐวี (ดนิ เกดิ เอง, ปฐพแี ท้ คอื มดี นิ รว่ นลว้ น มดี นิ เหนยี วลว้ น หรอื มขี องอน่ื เชน่ หนิ กรวด กระเบื้อง แร่ และทรายน้อย มีดินร่วน ดินเหนียวมาก ดินนี้ประสงค์เอาที่ยังไม่ได้เผาไฟ กองดินร่วนก็ดี กองดินเหนียวก็ดี มฝี นตกรดเกนิ ๔ เดอื นมาแลว้ นบั เขา้ ในปฐพแี ท้ : พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท)์ ๒.รอู้ ยวู่ า่ เปน็ แผน่ ดนิ ๓.ขดุ เอง หรอื ใหผ้ อู้ น่ื ขดุ อนั ใดอนั หนง่ึ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๘๘). ๑ คอื ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื ทำดว้ ยกลา่ ววา่ ทา่ นจงรหู้ ลมุ เสา จงรดู้ นิ เหนยี วมาก จงรดู้ นิ เหนยี วผสมแกลบ ทา่ นจงใหด้ นิ เหนยี วมาก จงใหด้ นิ เหนยี วผสมแกลบ ทา่ งจงนำดนิ เหนยี วมา จงนำฝนุ่ มา ตอ้ งการดนิ เหนยี ว ตอ้ งการฝนุ่ ทา่ นจงทำหลมุ เสานใ้ี หเ้ ปน็ กปั ปยิ ะ จงทำดนิ เหนยี วนใ้ี หเ้ ปน็ กปั ปยิ ะ จงทำฝนุ่ ใหเ้ ปน็ กปั ปยิ ะ คอื ใหเ้ ปน็ ของทค่ี วรใช้ (ว.ิ อ. ๒/๘๘/๒๘๑)

๙๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๒.ภตู คามวรรค วรรควา่ ดว้ ย พชื พนั ธไ์ุ ม้ เปน็ วรรคท่ี ๒ มี ๑๐ สกิ ขาบท ปาจติ ตยี ์ ภตู คามวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑ ภตู ะคามะปาตพั ย๎ ะตายะ ปาจติ ตยิ งั . “เปน็ ปาจติ ตยี ์ ในเพราะพรากภตู คาม.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ ภตู คาม ไดแ้ ก่ พชื ๕ ชนดิ ๑.พชื เกดิ จากเงา่ ๒.พชื เกดิ จากตน้ ๓.พชื เกดิ จากขอ้ ๔.พชื เกดิ จากยอด ๕.พชื เกดิ จากเมลด็ เปน็ ทค่ี รบหา้ . อนาบัติ ๑.ภกิ ษกุ ลา่ ววา่ ทา่ นจงรพู้ ชื น้ี ทา่ นจงใหพ้ ชื น้ี ทา่ นจงนำพชื นม้ี า เรามี ความตอ้ งการดว้ ยพชื น้ี ทา่ นจงทำพชื นใ้ี หเ้ ปน็ กปั ปยิ ะดงั น้ี ๒.ภกิ ษไุ มแ่ กลง้ พราก ๓.ภิกษุทำเพราะไม่มีสติ ๔.ภิกษุไม่รู้ ๕.ภิกษุวิกลจริต ๖.ภิกษุอาทิกัมมิกะ ไมต่ อ้ ง อาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุชาวเมืองอาฬวีทำการก่อสร้างจึงตัดต้นไม้บ้าง ใช้ผู้อื่นตัดบ้าง มนษุ ยท์ ง้ั หลายพากนั ตเิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทปรบั อาบตั ิ ปาจติ ตยี แ์ กภ่ กิ ษผุ พู้ รากภตู คาม (ภตู คาม ไดแ้ กข่ องเขยี วหรอื พชื พรรณ อนั เปน็ ของอยกู่ บั ท่ี มี ๕ ชนดิ ดงั กลา่ วแลว้ ในวภิ งั คข์ า้ งตน้ เปน็ วตั ถแุ หง่ ปาจติ ตยี ,์ สว่ น พชี คาม คอื พชื พนั ธ์ุ ทถ่ี กู พรากจากทแ่ี ลว้ แตย่ งั จะเปน็ ไดอ้ กี เปน็ วตั ถแุ หง่ ทกุ กฎ

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๙๗ ดรู ายละเอยี ดวธิ กี ปั ปยิ ะ คอื วธิ ที ำใหเ้ ปน็ ของทค่ี วรทท่ี รงอนญุ าต ในหนา้ ๔๑๗) องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.เป็นภูตคาม ๒.รอู้ ยูว่ ่าเปน็ ภูตคาม ๓.ให้กำเรบิ เองหรือใช้ใหผ้ ูอ้ นื่ กำเรบิ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๙๐). ปาจติ ตยี ์ ภตู คามวรรค สกิ ขาบทท่ี ๒ อัญญะวาทะเก วเิ หสะเก ปาจติ ติยัง. “เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น ในเพราะความ เปน็ ผใู้ หล้ ำบาก.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ เปน็ ผกู้ ลา่ วคำอน่ื คอื ภกิ ษเุ มอ่ื ถกู ไตส่ วนในเพราะวตั ถหุ รอื อาบตั ิ ณ ทา่ มกลางสงฆ์ ไมป่ รารถนาจะบอกเรอ่ื งนน้ั ไมป่ รารถนาจะเปดิ เผยเรอ่ื ง นั้น จึงเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนว่า ใครต้อง ต้องอะไร ต้องในเพราะเรื่อง อะไรตอ้ งอยา่ งไร ทา่ นทง้ั หลายวา่ ใครวา่ เรอ่ื งอะไร ดงั น้ี นช่ี อ่ื วา่ เปน็ ผกู้ ลา่ ว คำอน่ื . ทช่ี อ่ื วา่ เปน็ ผใู้ หล้ ำบาก คอื ภกิ ษเุ มอ่ื ถกู ไตส่ วนในเพราะวตั ถุ๑หรอื อาบัติ ณ ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผย เรอ่ื งนน้ั จงึ นง่ิ เสยี ทำใหส้ งฆล์ ำบาก นช่ี อ่ื วา่ เปน็ ผใู้ หล้ ำบาก. อนาบัติ ๑.ภิกษุไม่เข้าใจจึงถาม ๒.ภิกษุอาพาธให้การไม่ได้ ๓.ภิกษุไม่ให้การ ดว้ ยคดิ วา่ ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแกง่ แยง่ หรอื ความววิ าท จกั มี แก่สงฆ์ ๔.ภิกษุไม่ให้การด้วยคิดว่า จักเป็นสังฆเภท หรือสังฆราชี๒ ๑ วตั ถุ ในทน่ี ห้ี มายถงึ เรอ่ื งทถ่ี กู สงฆน์ ำมาสอบสวน กรณที ส่ี งฆย์ กขน้ึ มาสอบสวน (พระไตรปฎิ กแปลมจร. ๒/๒๘๔/๙๙) ๒ สงั ฆเภท : ความแตกแหง่ สงฆ์ กำหนดดว้ ยภกิ ษแุ ตล่ ะฝา่ ยตง้ั แต่ ๔ รปู ไมท่ ำอโุ บสถปวารณาและสงั ฆกรรมดว้ ยกนั สงั ฆราชี : ความรา้ วรานแหง่ สงฆ์ คอื สงฆจ์ ะแตกแยกกนั แตไ่ มถ่ งึ กบั แยกทำอโุ บสถปวารณาและสงั ฆกรรมตา่ งหากกนั

๙๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๕. ภิกษุไม่ให้การด้วยคิดว่า สงฆ์จักทำกรรมโดยไม่ชอบธรรม โดยเป็นวรรค หรอื จกั ไม่ ทำกรรมแกภ่ กิ ษผุ คู้ วรแกก่ รรม ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ ง อาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระฉันนะประพฤติอนาจาร ถูกโจทอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ กลับพูด เฉไฉไปตา่ งๆบา้ ง นง่ิ เสยี บา้ ง พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้พูดไปอย่างอื่น ผู้ทำสงฆ์ให้ลำบาก (ด้วยการ นง่ิ ในเมอ่ื ถกู ไตส่ วนในทา่ มกลางสงฆ)์ . ปาจติ ตยี ์ ภตู คามวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ อุชฌาปะนะเก ขยิ ยะนะเก ปาจติ ตยิ งั . “เปน็ ปาจติ ตยี ์ ในเพราะความเปน็ ผใู้ หโ้ พนทะนา ในเพราะ ความเป็นผู้บ่นว่า.” วภิ งั ค์ ที่ชื่อว่า ความเป็นผู้ให้โพนทะนา คือ อุปสัมบันผู้อันสงฆ์สมมติ แลว้ ใหเ้ ปน็ ผจู้ ดั เสนาสนะ เปน็ ผแู้ จกอาหาร แจกยาคู แจกผลไม้ แจกของเคย้ี ว หรอื แจกของเลก็ นอ้ ยกต็ าม ภกิ ษปุ ระสงคจ์ ะใสโ่ ทษ ใหอ้ ปั ยศ ใหเ้ กอ้ เขนิ จงึ ให้ โพนทะนากด็ ี บน่ วา่ กด็ ี ซง่ึ อปุ สมั บนั ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๙๙ อนาบัติ ๑.ภิกษุผู้ให้โพนทะนา หรือบ่นว่าภิกษุผู้มีปกติทำเพราะฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุทั้งหลายซึ่งมีพระเมตติยะและพระภุมมชกะ๑เป็นหัวหน้าติเตียน บน่ วา่ พระทพั พมลั ลบตุ ร ผแู้ จกเสนาสนะแจกภตั ต์ พระผมู้ พี ระภาคทรงสอบสวน แล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ติเตียน บ่นว่า (ภกิ ษผุ ทู้ ำการสงฆโ์ ดยชอบ). องค์แห่งอาบัติ ๑.ผู้ทำการสงฆ์ ได้สมมติด้วยกรรมเป็นธรรม ๒.ผู้ทำการนั้นเป็นอุปสัมบัน ๓.ไม่มีความถึงอคติ ๔.ใครอ่ วรรณโทษแกผ่ ู้นั้น ๕.พูดในสำนกั ของผูใ้ ดผู้นน้ั เปน็ อปุ สมั บัน ๖.ชวนใหด้ หู ม่ินหรอื ตเิ ตียน พรอ้ มดว้ ยองค์ ๖ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๙๑). ๑อยใู่ นกลมุ่ พระ ๖ รปู ซง่ึ เรยี กวา่ “ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ”์ ไดแ้ ก่ (๑)พระปณั ฑกุ ะ (๒)พระโลหติ กะ (๓)พระเมตตยิ ะ (๔)พระภมุ มชกะ (๕)พระอสั สชิ (๖)พระปนุ พั พสกุ ะ (ม.ม.อ.๑๗๕/๑๓๘) ปาจติ ตยี ์ ภตู คามวรรค สกิ ขาบทท่ี ๔ โย ปะนะ ภิกขุ สงั ฆิกัง มัญจงั วา ปีฐัง วา ภสิ ิง วา..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดวางไวแ้ ลว้ กด็ ี ใหว้ างไวแ้ ลว้ กด็ ี ซง่ึ เตยี งกด็ ี ตง่ั กด็ ี ฟกู กด็ ี เกา้ อก้ี ด็ ี อนั เปน็ ของสงฆใ์ นทแ่ี จง้ เมอ่ื หลกี ไปไมเ่ กบ็ เองก็ดี ไม่ใช้ให้เก็บก็ดี ซึ่งเสนาสนะที่วางไว้นั้น หรือไม่บอก มอบหมายไปเสยี เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” สมยั นน้ั ภกิ ษทุ ง้ั หลายอยใู่ นทแ่ี จง้ รบี เกบ็ เสนาสนะกอ่ นเวลาอนั สมควร จงึ ทรงรบั สง่ั วา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราอนญุ าตใหเ้ กบ็ เสนาสนะไวใ้ นปะรำ หรอื ทโ่ี คนไม้ หรอื ในทซ่ี ง่ึ นกกาหรอื นกเหยย่ี วจะไมถ่ า่ ยมลู รดไดต้ ลอด ๘ เดอื น ซง่ึ กำหนดวา่ มใิ ชฤ่ ดฝู น”.

๑๐๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนาบัติ ๑.ภิกษุเก็บเอง แล้วไป ๒.ภิกษุให้คนอื่นเก็บ แล้วไป ๓.ภิกษุบอก มอบหมาย แล้วไป ๔.ภิกษุเอาออกผึ่งแดดไว้ ไปด้วยตั้งใจจักกลับมาเก็บ ๕.เกดิ เหตฉุ กุ เฉนิ ขน้ึ ๕.ภกิ ษมุ อี นั ตราย ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุทั้งหลายนำเสนาสนะ (ที่นอนที่นั่ง) มาไว้กลางแจ้งในฤดูหนาว ผงิ แดดแลว้ หลกี ไปไมเ่ กบ็ ไมใ่ ชใ้ หผ้ อู้ น่ื เกบ็ ไมบ่ อกใหใ้ ครรบั รู้ เสนาสนะถกู ฝน และนำ้ คา้ งตกใส(่ เปยี กชมุ่ )พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษตุ ง้ั ไวเ้ อง หรือใช้ผอู้ ื่นใหต้ ง้ั ไวซ้ ่ึงเตียง ต่ัง ฟกู เก้าอ้ขี องสงฆใ์ นกลางแจง้ เม่ือหลีกไปไม่ เก็บเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเก็บ หรือไปโดยไม่บอกกล่าวให้ใครรับรู้ ต้องปาจิตตีย์ ต่อมาทรงอนุญาตพิเศษให้เก็บเสนาสนะในมณฑป หรือที่โคนไม้ซึ่งสังเกตว่า ฝนจะไมต่ กรว่ั รด กาเหยย่ี วจะไมถ่ า่ ยมลู รดไดต้ ลอด ๘ เดอื น (แหง่ ฤดหู นาวและ ฤดรู อ้ น ฤดลู ะ ๔ เดอื น). องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.เตยี งตง่ั เปน็ ตน้ เปน็ ของสงฆ์ ๒.ลาดเองหรอื ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื ลาดในทแ่ี จง้ ๓.ไมม่ สี ง่ิ ใดกางกน้ั ๔.ไมม่ อี นั ตราย ๕.ไมเ่ หลยี วแลทจ่ี ะกลบั มาเกบ็ ๖.ลว่ งเลฑฑบุ าตทต่ี กกอ้ นดนิ แหง่ มชั ฌมิ บรุ ษุ ขวา้ ง พรอ้ มดว้ ยองค์ ๖ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๙๓). ปาจติ ตยี ์ ภตู คามวรรค สกิ ขาบทท่ี ๕ โย ปะนะ ภกิ ขุ สงั ฆเิ ก วหิ าเร เสยยงั สนั ถะรติ ว๎ า วา..... “อนึ่ง ภิกษุใด ปูแล้วก็ดี ให้ปูแล้วก็ดี ซึ่งที่นอนในวิหาร เป็นของสงฆ์, เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ให้เก็บก็ดี ซึ่งที่นอน อันปูไว้นั้น หรือไม่บอกมอบหมาย ไปเสีย, เป็นปาจิตตีย์.”

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๐๑ อนาบัติ ๑.ภิกษุเก็บเอง แล้วไป ๒.ภิกษุให้คนอื่นเก็บ แล้วไป ๓.ภิกษุบอก มอบหมาย แลว้ ไป ๔.เสนาสนะมเี หตบุ างอยา่ งขดั ขวาง ๕.ภกิ ษยุ งั หว่ งไปยนื อยู่ ณ ทน่ี น้ั บอกมอบหมายมา ๖.ภกิ ษมุ เี หตบุ างอยา่ งขดั ขวาง ๗.ภกิ ษมุ อี นั ตราย ๘.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๙.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พวกภกิ ษุ ๑๗ รปู ปทู น่ี อนในวหิ ารของสงฆแ์ ลว้ หลกี ไปไมเ่ กบ็ เอง หรอื ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื เกบ็ หรอื บอกใหใ้ ครรบั รู้ ปลวกกนิ เสนาสนะ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรง บญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษปุ ู หรอื ใหป้ ู ทน่ี อนในวหิ ารของสงฆแ์ ลว้ เมอ่ื หลกี ไปไม่ เกบ็ เอง หรอื ไมใ่ ชใ้ หผ้ อู้ น่ื เกบ็ หรอื ไมบ่ อกกลา่ วใหใ้ ครรบั รู้ ตอ้ งปาจติ ตยี .์ องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ทน่ี อนมลี กั ษณะอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ใน ๑๐ อยา่ งคอื ฟกู , เครอ่ื งลาดรกั ษาสพี น้ื ,เครอ่ื งลาดบนเตยี ง ตั่ง, เครื่องลาดพื้น, เสื่อใบตาล, หนังอันใดอันหนึ่ง, ผ้านิสีทนะมีชาย, ผ้าปาวารและโกเชาว์, เครื่องลาดแล้วด้วยหญ้า, เครื่องลาดแล้วด้วยใบไม้ ๒.ที่นอนนั้นเป็นของสงฆ์ ๓.ลาดเองหรือให้ผู้อื่นลาด ๔.ไม่มีผู้กางกั้น ๕.ไม่มีอันตราย ๖.หลีกไปยังทิศไม่คิดจะกลับมา ๗.ล่วงอุปจารสีมา พร้อมด้วยองค์ ๗ ดังนี้ จึงเป็นปาจิตตีย์ (บุพพสิกขาวรรณนา หน้า ๑๙๔). ปาจติ ตยี ์ ภตู คามวรรค สกิ ขาบทท่ี ๖ โย ปะนะ ภิกขุ สงั ฆเิ ก วิหาเร ชานงั ปพุ พูปะคะตัง..... “อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ สำเร็จการนอนแทรกแซงภิกษุผู้ เข้าไปก่อนในวิหารของสงฆ์ ด้วยหมายว่า ผู้ใดมีความคับใจ ผู้นั้นจักหลีกไปเอง ทำความหมายอย่างนี้เท่านั้นให้เป็นปัจจัย หาใชอ่ ยา่ งอน่ื ไม่ เปน็ ปาจติ ตยี .์ ”

๑๐๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนาบัติ ๑.ภกิ ษอุ าพาธเขา้ อยู่ ๒.ภกิ ษถุ กู ความหนาวหรอื ความรอ้ นเบยี ดเบยี น แลว้ เขา้ ไปอยู่ ๓.ภกิ ษมุ อี นั ตราย ๔.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๕.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์หาวิธีแย่งที่อยู่ภิกษุอื่นโดยเข้าไปนอนเบียดภิกษุ เถระด้วยคิดว่าเธออึดอัดเข้าก็จะหลีกไปเอง พระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติ สิกขาบทว่า ภิกษุรู้อยู่เข้าไปนอนเบียดผู้เข้าไปอยู่ก่อนในวิหารของสงฆ์ ด้วย คดิ วา่ เธออดึ อดั กจ็ ะหลกี ไปเอง เธอมงุ่ อยา่ งนเ้ี ทา่ นน้ั ไมใ่ ชอ่ ยา่ งอน่ื ตอ้ งปาจติ ตยี .์ องค์แห่งอาบัติ ๑.วิหารที่อยู่เป็นของสงฆ์ ๒.รู้อยู่ว่าผู้อยู่ก่อนไม่ควรจะให้ลุก ๓. ปรารถนาจะให้ภิกษุนั้นคับแคบ ๔. นง่ั หรอื นอนในอปุ จาร(ในบรเิ วณรอบๆวหิ ารสงฆ)์ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๔ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี (์ บพุ พสกิ ขาวรรณนาหนา้ ๑๙๖). ปาจติ ตยี ์ ภตู คามวรรค สกิ ขาบทท่ี ๗ โย ปะนะ ภิกขุ ภิกขงุ กปุ ิโต อะนัตตะมะโน สงั ฆกิ า..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด โกรธ ขดั ใจ ฉดุ ครา่ กด็ ใี หฉ้ ดุ ครา่ กด็ ี ซง่ึ ภกิ ษุ จากวิหารของสงฆ์ เปน็ ปาจิตตยี ์.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษฉุ ดุ ครา่ กด็ ี ใหฉ้ ดุ ครา่ กด็ ี ซง่ึ ภกิ ษอุ ลชั ชี ๒.ภกิ ษขุ นกด็ ี ใหข้ นกด็ ี ซึ่งบริขารของภิกษุอลัชชี ๓.ภิกษุฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ซึ่งภิกษุวิกลจริต ๔.ภิกษุขนก็ดี ให้ขนก็ดี ซึ่งบริขารของภิกษุวิกลจริตนั้น ๕.ภิกษุฉุดคร่าก็ดี ใหฉ้ ดุ ครา่ กด็ ี ซง่ึ ภกิ ษผุ กู้ อ่ การบาดหมางกด็ ี กอ่ การทะเลาะกด็ ี กอ่ การววิ าทกด็ ี

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๐๓ ก่อความอื้อฉาวก็ดี ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ก็ดี ๖.ภิกษุขนก็ดี ให้ขนก็ดี ซึ่งบริขาร ของภิกษุผู้ก่อการบาดหมางเป็นต้นนั้น ๗.ภิกษุฉุดคร่าก็ดี ให้ฉุดคร่าก็ดี ซง่ึ อนั เตวาสกิ หรอื สทั ธวิ หิ ารกิ ผปู้ ระพฤตไิ มเ่ รยี บรอ้ ย ๘.ภกิ ษขุ นกด็ ใี หข้ นกด็ ี ซง่ึ บรขิ ารของอนั เตวาสกิ หรอื สทั ธวิ หิ ารกิ นน้ั ๙.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๐.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ (พวก ๖) แยง่ ทภ่ี กิ ษสุ ตั ตรสวคั คยี ์ (พวก ๑๗) เมอ่ื เหน็ ขดั ขนื กโ็ กรธ จงึ จบั คอฉดุ ครา่ ออกไป พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั ิ สิกขาบทว่า ภิกษุโกรธไม่พอใจฉุดคร่าเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นฉุดคร่าก็ดี ซึ่งภิกษุ จากวหิ ารของสงฆ์ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ องค์แห่งอาบัติ ๑.วิหารเป็นของสงฆ์ ๒.เป็นอุปสัมบันพ้นโทษมีความเป็นคนมักทะเลาะเป็นต้น ๓.ฉุดคร่าเองหรือ ใหผ้ ้อู ื่นฉดุ คร่าอุปสมั บนั นน้ั ดว้ ยความโกรธ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๙๗). ปาจติ ตยี ์ ภตู คามวรรค สกิ ขาบทท่ี ๘ โย ปะนะ ภกิ ขุ สังฆเิ ก วหิ าเร อปุ ะริ เวหาสะกุฏิยา..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด นง่ั ทบั กด็ ี นอนทบั กด็ ี ซง่ึ เตยี งกด็ ี ซง่ึ ตง่ั กด็ ี อันมีเท้าเสียบ บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์ เป็นปาจิตตีย์.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ รา้ น ไดแ้ ก่ รา้ นทไ่ี มก่ ระทบศรี ษะของมชั ฌมิ บรุ ษุ . เตยี งท่ชี อ่ื วา่ มเี ทา้ เสยี บ คอื เขาสอดเทา้ เสยี บเขา้ ไวใ้ นตวั เตยี ง.

๑๐๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนาบัติ ๑.ไม่ใช่ร้าน ๒.ร้านสูงพอกระทบศีรษะ ๓.ข้างล่างไม่ได้ใช้เป็นที่อยู่ ๔.ขา้ งบนปพู น้ื ไว้ ๕.เทา้ เตยี งเทา้ ตง่ั ไดต้ รงึ สลกั กบั ตวั ๖.ภกิ ษยุ นื บนเตยี งตง่ั นน้ั หยบิ จวี รหรอื พาดจวี รได้ ๗.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๘.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษุ ๒ รปู อยใู่ นกฎุ เี ดยี วกนั เตยี งหนง่ึ อยขู่ า้ งลา่ งเตยี งหนง่ึ อยขู่ า้ งบน ภิกษุอยู่ข้างบนนั่งบนเตียงโดยแรง เท้าเตียงหลุดตกลงถูกศีรษะของภิกษุผู้อยู่ ข้างล่าง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุนั่งนอนบนเตียงหรือ ตง่ั อนั มเี ทา้ เสยี บ (ในตวั เตยี ง) ในวหิ ารของสงฆต์ อ้ งปาจติ ตยี .์ ปาจติ ตยี ์ ภตู คามวรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ มะหลั ละกมั ปะนะ ภกิ ขนุ า วหิ ารงั การะยะมาเนนะ ยาวะ..... “อนึ่ง ภิกษุผู้ให้ทำซึ่งวิหารใหญ่ จะวางเช็ดหน้าเพียงไร แตก่ รอบแหง่ ประตู จะบรกิ รรมชอ่ งหนา้ ตา่ ง พงึ ยนื ในทป่ี ราศจาก ของสดเขยี ว อำนวยใหพ้ อกได้ ๒-๓ ชน้ั ถา้ เธออำนวยยง่ิ กวา่ นน้ั แม้ยืนในที่ปราศจากของสดเขียว ก็เป็นปาจติ ตีย์.” วภิ งั ค์ บทวา่ เพยี งไรแตก่ รอบแหง่ ประตู คอื ชว่ั หตั ถบาสโดยรอบแหง่ บาน ประตู. บทวา่ จะวางเชด็ หนา้ คอื จะวางประต.ู


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook