Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน (อริยวินัย)

พุทธวจน (อริยวินัย)

Published by Sarapee District Public Library, 2020-06-09 00:16:23

Description: พุทธวจน (อริยวินัย)

Keywords: พุทธวจน,ธรรมะ

Search

Read the Text Version

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๕๕ อนาบัติ ๑.ภิกษุรู้อยู่ว่า สมณุทเทสไม่ใช่ผู้ถูกสงฆ์นาสนะ๑ ๒.ภิกษุรู้อยู่ว่า สมณุทเทสยอมสละทิฏฐินั้นแล้ว ๓.ภิกษุวิกลจริต ๔.ภิกษุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ สามเณรชอ่ื กณั ฑกะ มคี วามเหน็ ผดิ กลา่ วตพู่ ระธรรมวนิ ยั สงฆจ์ งึ ขบั เสยี จากหมู่ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ กลบั คบหา พดู จา รว่ มกนิ รว่ มนอนกบั สามเณรนน้ั พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มพดู ดว้ ย หา้ มใชส้ อย หา้ มใชข้ องรว่ ม หรอื นอนรว่ มกบั สามเณรเชน่ นน้ั ทรงปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ ๘.สหธมั มกิ วรรค การกลา่ วถกู ตอ้ งตามธรรม เปน็ วรรคท่ี ๘ มี ๑๒ สกิ ขาบท ปาจติ ตยี ์ สหธมั มกิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๑ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขหู ิ สะหะธมั มกิ งั วจุ จะมาโน..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด อนั ภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ กลา่ วอยโู่ ดยชอบธรรม กล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะเธอ ฉันจักยังไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้ ตลอด เวลาทย่ี งั ไมไ่ ดส้ อบถามภกิ ษอุ น่ื ผฉู้ ลาด ผทู้ รงวนิ ยั เปน็ ปาจติ ตยี .์ (ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย) อนั ภกิ ษศุ กึ ษาอยู่ ควรรถู้ งึ ควรสอบถาม ควรตรติ รอง นเ้ี ปน็ สามจี กิ รรมในเรอ่ื งนน้ั .” อนาบัติ ๑.ภกิ ษกุ ลา่ ววา่ จกั รู้ จกั สำเหนยี ก ดงั น้ี ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑นาสนะ แปลวา่ ใหฉ้ บิ หาย ไดแ้ ก่ การลงโทษภกิ ษุ มี ๓ วธิ ี คอื (๑) ลงิ คนาสนะ ใหส้ กึ (๒) ทณั ฑกรรมนาสนะ ไลอ่ อกจากสำนกั (๓) สงั วาสนาสนะ ยกออกจากหมู่ (ว.ิ อ. ๒ / ๔๒๘ / ๔๒๐-๔๒๑)

๑๕๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระฉนั นะประพฤตอิ นาจาร ภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ กลา่ วตกั เตอื น กลบั พดู วา่ จะขอถามภิกษผุ ู้รู้วินัยก่อน พระผู้มพี ระภาคจงึ ทรงบัญญตั สิ ิกขาบทดังกล่าว โดยปรับอาบัติปาจิตตีย์ องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.อปุ สมั บนั วา่ กลา่ วดว้ ยบญั ญตั ิ ๒.กลา่ วผดั เพย้ี นไปดงั นน้ั ดว้ ยหวงั จะไมศ่ กึ ษา พรอ้ มดว้ ยองค์ ๒ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๓๖). ปาจติ ตยี ์ สหธมั มกิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๒ โย ปะนะ ภกิ ขุ ปาตโิ มกเข อทุ ทสิ สะมาเน เอวงั ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด เมอ่ื มใี ครสวดปาตโิ มกขอ์ ยู่ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ประโยชนอ์ ะไรดว้ ยสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ยเหลา่ นท้ี ส่ี วดขน้ึ แลว้ ชา่ งเปน็ ไปเพอ่ื ความรำคาญ เพอ่ื ความลำบาก เพอ่ื ความยงุ่ เหยงิ นก่ี ระไร เป็นปาจิตตีย์ เพราะก่นสิกขาบท.” อนาบัติ ๑.ภิกษุผู้ไม่ประสงค์จะก่น พูดตามเหตุว่า นิมนต์ท่านเรียนพระสูตร พระคาถา หรือพระอภิธรรมไปก่อนเถิด ภายหลังจึงค่อยเรียนพระวินัย ดังนี้ ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์แกล้งกล่าวติเตียนพระวินัยว่า สิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๕๗ ชวนใหน้ า่ รำคาญรบกวนเปลา่ ๆ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทใจความ วา่ เมอ่ื สวดปาตโิ มกข์ ภกิ ษแุ กลง้ กลา่ วตเิ ตยี นสกิ ขาบท ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ องค์แห่งอาบัติ ๑.ใคร่จะติเตียน ๒.ติเตียนสิกขาบทในสำนักอุปสัมบัน พร้อมด้วยองค์ ๒ ดังนี้ จึงเป็นปาจิตตีย์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๓๗). ปาจติ ตยี ์ สหธมั มกิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ โย ปะนะ ภกิ ขุ อนั ว๎ ฑั ฒะมาสงั ปาตโิ มกเข อทุ สิ สะมาเน..... “อนึ่ง ภิกษุใด เมื่อพระวินัยธรสวดปาติโมกข์อยู่ทุกกึ่ง เดอื น กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ฉนั เพง่ิ รเู้ ดย๋ี วนเ้ี องวา่ เออ ธรรมแมน้ ก้ี ม็ า แล้วในสูตร๑ เนื่องแล้วในสูตร มาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน ถ้าภิกษุ ทง้ั หลายอน่ื รจู้ กั ภกิ ษนุ น้ั วา่ ภกิ ษนุ เ้ี คยนง่ั เมอ่ื ปาตโิ มกขก์ ำลงั สวด อยู่ ๒-๓ คราวมาแลว้ กลา่ วอะไรอกี อนั ความพน้ ดว้ ยอาการทไ่ี มร่ ู้ หามีแก่ภิกษุนั้นไม่ พึงปรับเธอตามธรรมด้วยอาบัติที่ต้องใน เรื่องนั้น และพึงยกความหลงขึ้นแก่เธอเพิ่มอีกว่า แน่ะเธอ ไมใ่ ชล่ าภของเธอ เธอไดไ้ มด่ แี ลว้ ดว้ ยเหตวุ า่ เมอ่ื ปาตโิ มกขก์ ำลงั สวดอยู่ เธอหาทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ดีไม่ นี้เป็นปาจิตตีย์ ในความเป็นผู้แสร้งทำหลงนั้น.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษยุ งั ไมไ่ ดฟ้ งั โดยพสิ ดาร ๒.ภกิ ษฟุ งั โดยพสิ ดารไมถ่ งึ ๒ - ๓ คราว ๓.ภิกษุผู้ไม่ปรารถนาจะแสร้งทำหลง ๔.ภิกษุวิกลจริต ๕.ภิกษุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติแล. ๑ ธรรม หมายถงึ สกิ ขาบท, สตู ร หมายถงึ พระปาตโิ มกข์ (พระไตรปฎิ กแปลไทย มจร. ๒ / ๕๕๒ / ๔๔๓)

๑๕๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ป์ ระพฤตอิ นาจาร เมอ่ื ฟงั สวดปาตโิ มกขว์ า่ ภกิ ษไุ มร่ กู้ ต็ อ้ ง อาบตั ิ จงึ กลา่ ววา่ เพง่ิ รวู้ า่ ขอ้ ความนม้ี ใี นปาตโิ มกข์ (ทง้ั ๆ ทฟ่ี งั มาแลว้ หลายครง้ั เปน็ การแกต้ วั ) พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แก่ ภกิ ษผุ กู้ ลา่ วแกต้ วั เชน่ นน้ั เปน็ การปรบั อาบตั ใิ นภกิ ษุ (ผแู้ กต้ วั วา่ ) หลงลมื ปาจติ ตยี ์ สหธมั มกิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๔ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขสุ สะ กปุ โิ ต อะนตั ตะมะโน ปะหารงั ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด โกรธ นอ้ ยใจ ใหป้ ระหารแกภ่ กิ ษุ เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” วภิ งั ค์ คำว่า ให้ประหาร ความว่า ให้ประหารด้วยกายก็ดี ด้วยของเนื่อง ดว้ ยกายกด็ ี ดว้ ยของทโ่ี ยนไปกด็ ี โดยทส่ี ดุ แมด้ ว้ ยกลบี อบุ ล ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ อนาบัติ ๑.ภกิ ษถุ กู ใครๆเบยี ดเบยี น ประสงคจ์ ะปอ้ งกนั ตวั ใหป้ ระหาร ๒.ภกิ ษุ วกิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์โกรธ ทำร้ายร่างกายภิกษุสัตตรสวัคคีย์ (พวก ๑๗) เธอรอ้ งไห้ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษโุ กรธเคอื งทำรา้ ยภกิ ษุ ต้องปาจิตตีย์. องค์แห่งอาบัติ ๑.โกรธแค้น ๒.ไม่มีอธิบายจะให้พ้นอันตราย ๓.ให้ประหารอุปสัมบัน พร้อมด้วยองค์ ๓ ดังนี้ จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๓๘).

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๕๙ ปาจติ ตยี ์ สหธมั มกิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๕ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขสุ สะ กปุ โิ ต อะนตั ตะมะโน ตะละสตั ตกิ งั ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด โกรธ นอ้ ยใจ เงอ้ื หอกคอื ฝา่ มอื ขน้ึ แกภ่ กิ ษุ เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษถุ กู ใครๆ เบยี ดเบยี น ประสงคจ์ ะปอ้ งกนั ตวั เงอ้ื หอกคอื ฝา่ มอื ขน้ึ ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี โ์ กรธ เงอ้ื มอื จะทำรา้ ยภกิ ษสุ ตั ตรสวคั คยี ์ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษโุ กรธเคอื งเงอ้ื มอื (จะทำรา้ ย) ภกิ ษุ ตอ้ งอาบตั ิ ปาจิตตีย์. ปาจติ ตยี ์ สหธมั มกิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๖ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขงุ อะมลู ะเกนะ สงั ฆาทเิ สเสนะ..... “อนึ่ง ภิกษุใด กำจัดซึ่งภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสหามูล มิได้ เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภิกษุสำคัญว่ามีมูล โจทเองก็ดี ให้ผู้อื่นโจทก็ดี ๒.ภิกษุวิกลจริต ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล.

๑๖๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรอ่ื งตน้ บญั ญตั ิ ภิกษุฉัพพัคคีย์แกล้งโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษโุ จทภกิ ษุ ดว้ ยอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ไม่มีมูล ต้องอาบัติปาจิตตีย์. องค์แห่งอาบัติ ๑.ผู้ต้องโจทเป็นอุปสัมบัน ๒.อาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล ๓.โจทเองหรือให้ผู้อื่นโจท ๔.ผตู้ อ้ งโจทรตู้ วั ในขณะนน้ั พรอ้ มดว้ ยองค์ ๔ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๓๙). ปาจติ ตยี ์ สหธมั มกิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๗ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขสุ สะ สญั จจิ จะ กกุ กจุ จงั ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด แกลง้ กอ่ ความรำคาญแกภ่ กิ ษดุ ว้ ยหมายวา่ ด้วยเช่นนี้ ความไม่ผาสุกจักมีแก่เธอแม้ครู่หนึ่ง ทำความหมาย อย่างนี้เท่านั้นแลให้เป็นปัจจัย หาใช่อย่างอื่นไม่ เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภิกษุไม่ประสงค์จะก่อความรำคาญ พูดแนะนำว่า ชะรอยท่านจะมี อายไุ มค่ รบ ๒๐ ฝน อปุ สมบทแลว้ ชะรอยทา่ นจะบรโิ ภคอาหารในเวลาวกิ าลแลว้ ชะรอยท่านจะดื่มน้ำเมาแล้ว ชะรอยท่านจะนั่งในที่ลับกับมาตุคามแล้ว ท่านจง รไู้ วเ้ ถดิ วา่ ความรำคาญใจในภายหลงั อยา่ ไดม้ แี กท่ า่ น ดงั น้ี ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษพุ วก ๖ แกลง้ พดู ใหภ้ กิ ษพุ วก ๑๗ กงั วลสงสยั วา่ เมอ่ื บวชอายจุ ะไม่

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๖๑ ครบ ๒๐ จรงิ ถา้ เชน่ นน้ั กค็ งไมเ่ ปน็ พระ ภกิ ษพุ วก ๑๗ รอ้ งไห้ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษแุ กลง้ กอ่ ความรำคาญแกภ่ กิ ษดุ ว้ ยคดิ วา่ ความไม่ สบายจักมีแก่ภิกษุนั้น แม้เพียงครู่หนึ่ง มุ่งเพียงเท่านั้น มิได้มุ่งเหตุอื่น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. องค์แห่งอาบัติ ๑.ผู้อื่นเป็นอุปสัมบัน ๒.หวังความไม่ผาสุกแก่เธอนั้น ๓.ทำความรำคาญให้เกิดขึ้นดังว่านั้น พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๔๐). ปาจติ ตยี ์ สหธมั มกิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๘ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขนู งั ภณั ฑะนะชาตานงั ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด เมอ่ื ภกิ ษทุ ง้ั หลายเกดิ หมางกนั เกดิ ทะเลาะ กัน ถึงการวิวาทกัน ยืนแอบฟังด้วยหมายว่าจักได้ฟังคำที่เธอ พูดกัน ทำความหมายอย่างนี้เท่านั้นแลให้เป็นปัจจัย หาใช่ อยา่ งอน่ื ไม่ เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” อนาบัติ ๑.ภกิ ษเุ ดนิ ไปหมายวา่ จกั ฟงั ถอ้ ยคำของภกิ ษเุ หลา่ นแ้ี ลว้ จกั งด จกั เวน้ จกั ระงบั จกั เปลอ้ื งตน ดงั น้ี ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์ทะเลาะกับภิกษุทั้งหลาย แล้วแอบฟังความว่าภิกษุ ทง้ั หลายวา่ กลา่ วตนอยา่ งไร พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ เมอ่ื ภกิ ษุ ทง้ั หลายทะเลาะววิ าทกนั ภกิ ษแุ อบฟงั ความดว้ ยประสงคจ์ ะทราบวา่ ภกิ ษุ

๑๖๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เหลา่ นน้ั พดู อยา่ งไร มงุ่ เพยี งเทา่ นน้ั มไิ ดม้ งุ่ เหตอุ น่ื ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ผอู้ น่ื เปน็ อปุ สมั บนั ๒.อธบิ ายจะโจท ๓.แอบฟงั ไดย้ นิ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๔๐). ปาจติ ตยี ์ สหธมั มกิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ โย ปะนะ ภกิ ขุ ธมั มิกานงั กมั มานงั ฉนั ทัง..... “อนึ่ง ภิกษุใด ให้ฉันทะเพื่อกรรมอันเป็นธรรมแล้ว ถึงธรรมคือความบ่นว่าในภายหลัง เป็นปาจิตตีย์.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ กรรมอนั เปน็ ธรรม ไดแ้ ก่ ๑.อปโลกนกรรม ๒.ญตั ตกิ รรม ๓.ญัตติทุติยกรรม ๔.ญัตติจตุตถกรรม ที่สงฆ์ทำแล้วตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสน์ นี้ชื่อว่ากรรมอันเป็นธรรม. อนาบัติ ๑.ภิกษุรู้อยู่ว่า สงฆ์ทำกรรมโดยไม่ถูกธรรม เป็นพวกหรือทำแก่ภิกษุ มใิ ชผ่ คู้ วรแกก่ รรมบน่ วา่ ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ ใหฉ้ นั ทะในการประชมุ ทำกรรมของสงฆ์ แลว้ กลบั วา่ ติเตียนในภายหลัง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุให้ฉันทะ (คือความพอใจหรือการมอบอำนาจให้สงฆ์ทำกรรมได้) เพื่อกรรมอันเป็นธรรม แลว้ บน่ วา่ ในภายหลงั ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๖๓ ปาจติ ตยี ์ สหธมั มกิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๐ โย ปะนะ ภกิ ขุ สงั เฆ วนิ จิ ฉะยะกะถายะ วตั ตะมานายะ..... “อนึ่ง ภิกษุใด เมื่อเรื่องอันจะพึงวินิจฉัยยังเป็นไปอยู่ ในสงฆ์ ไมใ่ หฉ้ นั ทะแลว้ ลกุ จากอาสนะหลกี ไปเสยี เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” อนาบัติ ๑.ภิกษุคิดเห็นว่า ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง หรือการวิวาท จักเกิดแก่สงฆ์ดังนี้ แล้วหลีกไป ๒.ภิกษุคิดเห็นว่า สงฆ์จัก แตกแยกกัน หรือจักร้าวรานกันดังนี้ แล้วหลีกไป ๓.ภิกษุคิดเห็นว่า สงฆ์จัก ทำกรรม โดยไมเ่ ปน็ ธรรม เปน็ วรรค หรอื จกั ทำกรรมแกภ่ กิ ษมุ ใิ ชผ่ คู้ วรแกก่ รรม ดงั น้ี แลว้ หลกี ไป ๔.ภกิ ษเุ กดิ อาพาธ หลกี ไป ๕.ภกิ ษหุ ลกี ไปดว้ ยธรุ ะอนั จะทำ แกภ่ กิ ษอุ าพาธ ๖.ภกิ ษปุ วดอจุ จาระปสั สาวะแลว้ หลกี ไป ๗.ภกิ ษไุ มต่ ง้ั ใจจะทำ กรรมใหเ้ สยี หลกี ไปดว้ ยคดิ วา่ จะกลบั มาอกี ๘.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๙.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ สงฆ์กำลังประชุมกันทำกรรมอยู่ ภิกษุฉัพพัคคีย์ให้ฉันทะแก่ภิกษุ พวกตนรปู หนง่ึ ใหเ้ ขา้ ไปประชมุ แทน ภายหลงั ภกิ ษรุ ปู นน้ั ไมพ่ อใจจงึ ลกุ ออกจาก ที่ประชุมทั้งที่มิได้ให้ฉันทะ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุ ไม่ให้ฉันทะ ลุกออกจากอาสนะหลีกไป ในเมื่อถ้อยคำวินิจฉัยยังค้างอยู่ในสงฆ์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ตดั สนิ ความหรอื สงั ฆกรรมคา้ งอยู่ ๒.กรรมนน้ั เปน็ ธรรม ๓.รอู้ ยวู่ า่ เปน็ ธรรม ๔.อยใู่ นสมี าดว้ ยสงฆ์ ๕.ตนมีสังวาสเสมอด้วยสงฆ์ ๖.ประสงค์จะให้กรรมกำเริบแล้วลุกไป พร้อมด้วยองค์ ๖ ดังนี้ จึงเป็นปาจิตตีย์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๔๒).

๑๖๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ปาจติ ตยี ์ สหธมั มกิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๑ โย ปะนะ ภกิ ขุ สะมคั เคนะ สงั เฆนะ จวี ะรงั ทตั วา..... “อนึ่ง ภิกษุใด กับสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ให้จีวรแก่ภิกษุ แล้วภายหลังถึงธรรมคือบ่นว่า ภิกษุทั้งหลายน้อมลาภของสงฆ์ ไปตามชอบใจ เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษบุ น่ วา่ สงฆม์ ปี กตทิ ำโดยฉนั ทาคติ ... โทสาคติ ... โมหาคติ ... ภยาคติ จะประโยชน์อะไรด้วยจีวรที่ให้แล้วแก่ภิกษุนั้น แม้เธอได้ไปแล้วก็จัก ทิ้งเสีย จักไม่ใช้สอยโดยชอบธรรม ๒.ภิกษุวิกลจริต ๓.ภิกษุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ จวี รเกดิ ขน้ึ แกส่ งฆ์ สงฆป์ ระชมุ กนั ใหแ้ กพ่ ระทพั พมลั ลบตุ ร ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ กลบั วา่ สงฆใ์ หจ้ วี รเพราะชอบกนั ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ ตเิ ตยี นวา่ รว่ มประชมุ กบั สงฆ์ แลว้ ทำไมจงึ มาพดู ตเิ ตยี นในภายหลงั พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มทำเชน่ นน้ั ทรงปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ . ปาจติ ตยี ์ สหธมั มกิ วรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๒ โย ปะนะ ภกิ ขุ ชานงั สังฆิกงั ลาภัง ปะริณะตงั ปุคคะลัสสะ..... “อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์ มาเพื่อบุคคล เป็นปาจิตตีย์.”

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๖๕ อนาบัติ ๑.ภิกษุ เมื่อทายกถามว่า จะถวายที่ไหน ตอบว่า ไทยธรรมของ พวกท่าน พึงได้รับการใช้สอย พึงได้รับการปรับปรุง หรือพึงตั้งอยู่ได้นาน ในที่ใด ก็หรือจิตของพวกท่านเลื่อมใสในที่ใด ก็จงถวายในที่นั้นเถิด ดังนี้ ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์รู้ว่า เขาเตรียมจีวรไว้ถวายแก่สงฆ์ไปพูดให้เขาถวาย แก่ภิกษุ ที่เป็นพรรคพวกของตน เขาไม่ยอม เธอก็พูดแค่นไค้จนเขารำคาญ ต้องถวายไป พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุน้อมลาภที่เขา จะถวายแกส่ งฆไ์ ปเพอ่ื บคุ คล ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์

๑๖๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๙.รตนวรรค วรรควา่ ดว้ ยของมคี า่ เปน็ วรรคท่ี ๙ มี ๑๐ สกิ ขาบท ปาจติ ตยี ์ รตั นวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑ โย ปะนะ ภกิ ขุ รญั โญ ขตั ตยิ สั สะ มทุ ธาภสิ ติ ตสั สะ..... “อนึ่ง ภิกษุใด ไม่ได้รับบอกก่อน ก้าวล่วงธรณีเข้าไปใน ห้องของพระราชาผู้กษัตริย์ได้รับมุรธาภิเษกแล้ว ที่พระราชายัง ไมไ่ ดเ้ สดจ็ ออก ทร่ี ตั นะยงั ไมอ่ อก เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” วภิ งั ค์ บทว่า ที่พระราชายังไม่เสด็จออก คือ พระเจ้าแผ่นดินยังไม่เสด็จ ออกจากตำหนักที่บรรทม. บทวา่ ทร่ี ตั นะยงั ไมอ่ อก คอื พระมเหสยี งั ไมเ่ สดจ็ ออกจากตำหนกั ท่ี บรรทม หรอื ทง้ั ๒ พระองคย์ งั ไมเ่ สดจ็ ออก. อนาบัติ ๑.ได้รับบอกแล้ว ๒.ไม่ใช่กษัตริย์ ๓.ไม่ได้รับอภิเษกโดยสรงสนาน ให้เป็นกษัตริย์ ๔.พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกจากตำหนักที่บรรทมแล้ว ๕.พระมเหสีเสด็จออกจากตำหนักที่บรรทมแล้ว ๖.หรือทั้ง ๒ พระองค์เสด็จ ออกจากที่บรรทมแล้ว ๗.ไม่ใช่ตำหนักที่บรรทม ๘.ภิกษุวิกลจริต ๙.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล.

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๖๗ เรื่องต้นบัญญัติ พระเจา้ ปเสนทโิ กศล ขอใหพ้ ระพทุ ธเจา้ สง่ ภกิ ษไุ ปสอนธรรมแกพ่ ระองค์ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ จงึ สง่ พระอานนทไ์ ปสอนเปน็ ประจำ เชา้ วนั หนง่ึ พระอานนท์ เข้าไปยังตำหนักของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระนางมัลลิกาทรงทอดพระเนตร เหน็ แลว้ จงึ รบี ลกุ ขน้ึ พระภษู าทรงจงึ เลอ่ื นหลดุ ทา่ นพระอานนทจ์ งึ กลบั แตไ่ กล พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทความว่า ภิกษุมิได้รับการบอกก่อน กา้ วลว่ งธรณเี ขา้ ไป (ในหอ้ ง) ของพระราชาผไู้ ดร้ บั มรุ ธาภเิ ษก ในเมอ่ื พระราชา ยงั ไมเ่ สดจ็ ออก พระมเหสยี งั ไมอ่ อก ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ ปาจติ ตยี ์ รตนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๒ โย ปะนะ ภกิ ขุ ระตะนงั วา ระตะนะสมั มะตงั วา..... “อนึ่ง ภิกษุใด เก็บเอาก็ดี ให้เก็บเอาก็ดี ซึ่งรัตนะก็ดี ซง่ึ ของทส่ี มมตวิ า่ รตั นะกด็ ี เวน้ ไวแ้ ตใ่ นวดั ทอ่ี ยกู่ ด็ ี ในทอ่ี ยพู่ กั กด็ ี เป็นปาจิตตีย์. และภิกษุเก็บเอาก็ดี ให้เก็บเอาก็ดี ซึ่งรัตนะก็ดี ซึ่งของที่สมมติว่ารัตนะก็ดี ในวัดที่อยู่ก็ดีในที่อยู่พักก็ดี แล้วพึง เกบ็ ไวด้ ว้ ยหมายวา่ ของผใู้ ด ผนู้ น้ั จะไดน้ ำไป นเ้ี ปน็ สามจี กิ รรม ในเรื่องนั้น.” วภิ งั ค์ ที่ชื่อว่า รัตนะ ได้แก่ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แกว้ ประพาฬ เงนิ ทอง แกว้ ทบั ทมิ แกว้ ลาย นช้ี อ่ื วา่ รตั นะ. ที่ชื่อว่า ของที่สมมติว่ารัตนะ ได้แก่ เครื่องอุปโภค เครื่องบริโภค ของมวลมนุษย์ นี้ชื่อว่าของที่สมมติว่ารัตนะ.

๑๖๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนาบัติ ๑.ภกิ ษเุ กบ็ เอากด็ ี ใหเ้ กบ็ เอากด็ ี ซง่ึ รตั นะกด็ ี ซง่ึ ของทส่ี มมตวิ า่ รตั นะ กด็ ี ในวดั ทอ่ี ยกู่ ด็ ี ในทอ่ี ยพู่ กั กด็ ี แลว้ เกบ็ ไวด้ ว้ ยหมายวา่ ของผใู้ ด ผนู้ น้ั จะไดน้ ำไป ดังนี้ ๒.ภิกษุถือวิสาสะของที่สมมติว่ารัตนะ ๓.ภิกษุถือเป็นของขอยืม ๔.ภิกษุเข้าใจว่าเป็นของบังสุกุล ๕.ภิกษุวิกลจริต ๖.ภิกษุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุรูปหนึ่ง เก็บถุงเงินของพราหมณ์ผู้หนึ่ง ด้วยปรารถนาดี เมื่อพราหมณ์มาถามก็คืนให้ไป พราหมณ์แกล้งกล่าวว่าเงินในถุงของตนมีมาก กว่านั้น (เพื่อไม่ต้องให้รางวัล) พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้าม เก็บเองหรือใช้ผู้อื่นให้เก็บซึ่งรัตนะ (แก้วแหวนเงินทอง) หรือสิ่งซึ่งสมมติว่า เป็นรัตนะ ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด. ภายหลังทรงบัญญัติ เพิ่มเติมว่าของตกในวัดหรือในที่อยู่ควรเก็บเพื่อจะคืนเจ้าของไป ถือว่า เป็นการปฏิบัติชอบ. องค์แห่งอาบัติ ๑.ไม่ใช่เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต ๒.เป็นของๆผู้อื่น ๓.ไม่มีแห่งความถือเอาด้วยวิสาสะและ บงั สกุ ลุ สญั ญา ๔.ถอื เอาเองหรอื ใหผ้ อู้ น่ื ถอื เอาของนน้ั พรอ้ มดว้ ยองค์ ๔ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๔๔). ปาจติ ตยี ์ รตนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ โย ปะนะ ภกิ ขุ สนั ตงั ภกิ ขงุ อะนาปจุ ฉา วกิ าเล..... “อนึ่ง ภิกษุใด ไม่อำลาภิกษุที่มีอยู่แล้วเข้าไปสู่บ้านในเวลา วิกาล เว้นไว้แต่กิจรีบด่วนมีอย่างนั้นเป็นรูป เป็นปาจิตตีย์.”

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๖๙ อนาบัติ ๑.เขา้ ไปสบู่ า้ นเพราะมกี จิ รบี ดว่ นเหน็ ปานนน้ั ๒.อำลาภกิ ษทุ ม่ี อี ยแู่ ลว้ เขา้ ไป ๓.ภกิ ษไุ มม่ ี ไมอ่ ำลา เขา้ ไป ๔.ไปสอู่ ารามอน่ื ๕.ภกิ ษไุ ปสสู่ ำนกั ภกิ ษณุ ี ๖.ภิกษุไปสู่สำนักเดียรถีย์ ๗.ไปสู่โรงฉัน ๘.เดินไปตามทางอันผ่านบ้าน ๙.มอี นั ตราย ๑๐.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๑.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี เ์ ขา้ สบู่ า้ นในเวลาวกิ าล (หลงั เทย่ี งไปแลว้ ) ชวนชาวบา้ น พูดเรื่องไร้สาระเป็นที่ติเตียนของคนทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ สกิ ขาบทหา้ มเขา้ สบู่ า้ นในเวลาวกิ าล ทรงปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ ภายหลังทรงผ่อนผันให้เข้าไปในบ้านในเวลาวิกาลได้ เมื่อบอกลาภิกษุที่มีอยู่ ในวดั หรอื ในเมอ่ื มกี จิ รบี ดว่ น. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ไมบ่ อกลาภกิ ษทุ ม่ี อี ยู่ ๒.ไมม่ เี หตซุ ง่ึ พระพทุ ธเจา้ ทรงอนญุ าต ๓.เขา้ ไปบา้ นในวกิ าล พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๔๖). ปาจติ ตยี ์ รตนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๔ โย ปะนะ ภิกขุ อฏั ฐมิ ะยัง วา ทนั ตะมะยัง วา..... “อนึ่ง ภิกษุใด ให้ทำกล่องเข็ม แล้วด้วยกระดูกก็ดี แลว้ ดว้ ยงากด็ ี แลว้ ดว้ ยเขากด็ ี เปน็ ปาจติ ตยี ์ ทใ่ี หต้ อ่ ยเสยี .” วภิ งั ค์ บทว่า ให้ทำ คือ ทำเองก็ดี ใช้ผู้อื่นทำก็ดี เป็นทุกกฏในประโยค เปน็ ปาจติ ตยี ด์ ว้ ย ไดก้ ลอ่ งเขม็ มา ตอ้ งตอ่ ยใหแ้ ตกกอ่ น จงึ แสดงอาบตั ติ ก.

๑๗๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนาบัติ ๑.ภิกษุทำลูกดุม ๒.ภิกษุทำตะบันไฟ ๓.ภิกษุทำลูกถวิล (ห่วงร้อย สายประคด) ๔.ภกิ ษทุ ำกลกั ยาตา ๕.ภกิ ษทุ ำไมป้ า้ ยยาตา ๖.ภกิ ษทุ ำฝกั มดี ๗.ภกิ ษทุ ำกระบอกกรองนำ้ ๘.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๙.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ช่างกลึงงาช้างปวารณาให้ภิกษุขอกล่องเข็มได้ ภิกษุทั้งหลายก็ขอ กันเรื่อย มีกล่องเล็กขอกล่องใหญ่ มีกล่องใหญ่ขอกล่องเล็ก จนช่างไม่เป็น อันทำขาย เขาติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุให้ ทำกลอ่ งเขม็ ทท่ี ำดว้ ยกระดกู , งาชา้ ง, เขาสตั ว์ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ทใ่ี หต้ อ่ ยทง้ิ กอ่ นจงึ แสดงอาบตั ติ ก. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.เป็นกล่องเข็ม ๒.แล้วด้วยกระดกู เป็นต้น ๓.ทำเองหรือให้ผู้อน่ื ทำเพอ่ื ตนแล้วได้มา พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๔๖). ปาจติ ตยี ์ รตนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๕ นะวมั ปะนะ ภกิ ขนุ า มญั จงั วา ปฐี งั วา..... “อนง่ึ ภกิ ษผุ ใู้ หท้ ำเตยี งกด็ ี ตง่ั กด็ ี ใหม่ พงึ ทำใหม้ เี ทา้ เพยี ง ๘ นิ้ว ด้วยนิ้วสุคต เว้นไว้แต่แม่แคร่เบื้องต่ำ เธอทำให้ล่วง ประมาณนั้นไป เป็นปาจิตตีย์ ที่ใหต้ ัดเสีย.” วภิ งั ค์ ภกิ ษทุ ำเองกด็ ี ใชค้ นอน่ื ทำกด็ ี เพอ่ื ประโยชนแ์ กผ่ อู้ น่ื ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ. ภกิ ษไุ ดเ้ ตยี ง ตง่ั ทค่ี นอน่ื ทำสำเรจ็ แลว้ มาใชส้ อย ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๗๑ อนาบัติ ๑.ทำเตยี ง ตง่ั ไดป้ ระมาณ ๒.ทำเตยี ง ตง่ั หยอ่ นกวา่ ประมาณ ๓.ได้ เตียง ตั่งที่ผู้อื่น ทำเกินประมาณมาตัดเสียก่อนแล้วใช้สอย ๔.ภิกษุวิกลจริต ๕. ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระอุปนันทศากยบุตร นอนบนเตียงสูง พระผู้มีพระภาคเสด็จตรวจ วหิ ารพบเขา้ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษจุ ะใหท้ ำเตยี งหรอื ตง่ั ใหม่ พงึ ทำให้ มเี ทา้ เพยี ง ๘ นว้ิ ดว้ ยนว้ิ สคุ ต เวน้ ไวแ้ ตแ่ มแ่ ครเ่ บอ้ื งลา่ ง ถา้ ทำใหม้ เี ทา้ เกนิ กำหนด นน้ั ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ทใ่ี หต้ ดั ทง้ิ (จงึ แสดงอาบตั ติ ก). องค์แห่งอาบัติ ๑.เตียงหรือตั่งล่วงประมาณ ๒.ทำเองหรือให้ผู้อื่นทำเพื่อตนแล้วได้มา พร้อมด้วยองค์ ๒ ดังนี้ จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๔๗). ปาจติ ตยี ์ รตนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๖ โย ปะนะ ภกิ ขุ มญั จงั วา ปฐี งั วา ตโู ลนทั ธงั การาเปยยะ..... “อนึ่ง ภิกษุใด ให้ทำเตียงก็ดี ตั่งก็ดี เป็นของหุ้มนุ่น๑ เปน็ ปาจติ ตยี ์ ทใ่ี หร้ อ้ื เสยี .” อนาบัติ ๑.ทำสายรดั เขา่ ๒.ทำประคตเอว ๓.ทำสายโยกบาตร ๔.ทำถงุ บาตร ๕.ทำผา้ กรองนำ้ ๖.ทำหมอน ๗.ไดเ้ ตยี งตง่ั ทผ่ี อู้ น่ื ทำสำเรจ็ แลว้ มาทำลายกอ่ น ใชส้ อย ๘.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๙.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. ๑ทช่ี อ่ื วา่ หมุ้ นนุ่ คอื ใสน่ นุ่ แลว้ หมุ้ ดา้ นบนดว้ ยผา้ รองพน้ื (พระไตรปฎิ กแปลไทย มจร. ๒ / ๖๑๑ / ๕๒๖)

๑๗๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ใ์ หท้ ำเตยี งบา้ ง ตง่ั บา้ ง หมุ้ ดว้ ยนนุ่ เปน็ ทต่ี เิ ตยี นของ คนทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุให้ทำเตียงหรือ ตง่ั ทห่ี มุ้ ดว้ ยนนุ่ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ทใ่ี หร้ อ้ื เสยี (จงึ แสดงอาบตั ติ ก). องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.เตยี งหรอื ตง่ั หมุ้ นนุ่ ๒.ทำเองหรอื ใหผ้ อู้ น่ื ทำเพอ่ื ตนแลว้ ไดม้ า พรอ้ มดว้ ยองค์ ๒ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๔๗). ปาจติ ตยี ์ รตนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๗ นสิ ที ะนมั ปะนะ ภกิ ขนุ า การะยะมาเนนะ ปะมาณกิ งั ..... “อนง่ึ ภกิ ษผุ ใู้ หท้ ำผา้ สำหรบั นง่ั พงึ ใหท้ ำใหไ้ ดป้ ระมาณ น้ี ประมาณในคำนน้ั โดยยาว ๒ คบื โดยกวา้ งคบื ครง่ึ ชายคบื หนง่ึ ด้วยคืบสุคต เธอทำให้ล่วงประมาณนั้นไป เป็นปาจิตตีย์ ที่ให้ ตัดเสีย.” อนาบัติ ๑.ภิกษุทำผ้าสำหรับนั่งได้ประมาณ ๒.ทำผ้าสำหรับนั่งหย่อนกว่า ประมาณ ๓.ไดผ้ า้ สำหรบั นง่ั ทผ่ี อู้ น่ื ทำสำเรจ็ แลว้ เกนิ ประมาณมาตดั เสยี แลว้ ใชส้ อย ๔.ทำเปน็ ผา้ ขงึ เพดานกด็ ี ทำเปน็ ผา้ ปพู น้ื กด็ ี ทำเปน็ มา่ นกด็ ี ทำเปน็ เปลือกฟูกก็ดี ทำเป็นปลอกหมอนก็ดี ๕.ภิกษุวิกลจริต ๖.ภิกษุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติแล.

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๗๓ เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ใ์ ชผ้ า้ ปนู ง่ั ไมม่ ปี ระมาณ ผา้ ยอ้ ยไปขา้ งหนา้ ขา้ งหลงั ของเตียงแลตั่ง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุจะทำผ้าปูนั่ง พงึ ทำใหไ้ ดป้ ระมาณ คอื ยาว ๒ คบื กว้างคบื ครง่ึ ดว้ ยคบื สคุ ต ถา้ ทำใหเ้ กนิ ประมาณนั้นไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ที่ให้ตัดเสีย (จึงแสดงอาบัติตก) ภายหลัง ทรงอนญุ าตชายผา้ ปนู ง่ั อกี ๑ คบื . องค์แห่งอาบัติ ๑.ผ้านิสีทนะนั้นล่วงประมาณ ๒.ทำเองหรือให้ผู้อื่นทำเพื่อตนแล้วได้มา พร้อมด้วยองค์ ๒ ดังนี้ จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๔๘). ปาจติ ตยี ์ รตนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๘ กณั ฑปุ ะฏจิ ฉาทงิ ปะนะ ภกิ ขนุ า การะยะมาเนนะ..... “อนึ่ง ภิกษุผู้ให้ทำผ้าปิดฝี พึงให้ทำให้ได้ประมาณ นป้ี ระมาณในคำนน้ั โดยยาว ๔ คบื โดยกวา้ ง ๒ คบื ดว้ ยคบื สคุ ต เธอใหล้ ่วงประมาณน้นั ไป เปน็ ปาจิตตีย์ ทใ่ี ห้ตัดเสยี .” อนาบัติ ๑.ทำผา้ ปดิ ฝไี ดป้ ระมาณ ๒.ทำผา้ ปดิ ฝใี หห้ ยอ่ นกวา่ ประมาณ ๓.ไดผ้ า้ ปดิ ฝที ผ่ี อู้ น่ื ทำไวเ้ กนิ ประมาณมาตดั แลว้ ใชส้ อย ๔.ทำเปน็ ผา้ ขงึ เพดานกด็ ี ทำเปน็ ผ้าปูพื้นก็ดี ทำเป็นผ้าม่านก็ดี ทำเป็นเปลือกฟูกก็ดี ทำเป็นปลอกหมอนก็ดี ๕.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๖.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล.

๑๗๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ใ์ ชผ้ า้ ปดิ ฝไี มม่ ปี ระมาณ ลากผา้ ไปขา้ งหนา้ บา้ ง ขา้ งหลงั บ้างเที่ยวไป พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุจะให้ทำผ้าปิดฝี พึงทำให้ได้ประมาณคือยาว ๔ คืบ กว้าง ๒ คืบ ด้วยคืบสุคต ถ้าทำให้เกิน ประมาณนน้ั ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ทใ่ี หต้ ดั เสยี (จงึ แสดงอาบตั ติ ก). ปาจติ ตยี ์ รตนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ วสั สกิ ะสาฏกิ งั ปะนะ ภกิ ขนุ า การะยะมาเนนะ..... “อนึ่ง ภิกษุผู้ให้ทำผ้าอาบน้ำฝน พึงให้ทำให้ได้ประมาณ นป้ี ระมาณในคำนน้ั โดยยาว ๖ คบื โดยกวา้ ง ๒ คบื ครง่ึ ดว้ ยคบื สคุ ต เธอทำใหล้ ว่ งประมาณนน้ั เปน็ ปาจติ ตยี ์ มอี นั ใหต้ ดั เสยี .” อนาบัติ ๑.ทำผา้ อาบนำ้ ฝนไดป้ ระมาณ ๒.ทำผา้ อาบนำ้ ฝนหยอ่ นกวา่ ประมาณ ๓.ได้ผ้าอาบน้ำฝนที่ผู้อื่นทำเกินประมาณมาตัด แล้วใช้สอย ๔.ทำเป็นผ้าขึง เพดานกด็ ี ทำเปน็ ผา้ ปพู น้ื กด็ ี ทำเปน็ ผา้ มา่ นกด็ ี ทำเปน็ เปลอื กฟกู กด็ ี ทำเปน็ ปลอกหมอนกด็ ี ๕.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๖.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์ใช้ผ้าอาบน้ำฝนไม่มีประมาณ ลากผ้าไปข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้างเที่ยวไป พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุจะให้ทำ ผา้ อาบนำ้ ฝน พงึ ทำใหไ้ ดป้ ระมาณ คอื ยาว ๖ คบื กวา้ ง ๒ คบื ครง่ึ ดว้ ยคบื สคุ ต ถา้ ทำใหเ้ กนิ ประมาณนน้ั ตอ้ งปาจติ ตยี ์ ทใ่ี หต้ ดั เสยี จงึ แสดงอาบตั ติ ก.

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๗๕ ปาจติ ตยี ์ รตนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๐ โย ปะนะ ภกิ ขุ สคุ ะตะจวี ะรปั ปะมาณงั จวี ะรงั ..... “อนึ่ง ภิกษุใด ให้ทำจีวรมีประมาณเท่าสุคตจีวร หรือ ยิ่งกว่า เป็นปาจิตตีย์ มีอันให้ตัดเสีย นี้ประมาณแห่งสุคตจีวร ของพระสคุ ตในคำนน้ั โดยยาว ๙ คบื โดยกวา้ ง ๖ คบื ดว้ ยคบื สคุ ต นป้ี ระมาณแหง่ สคุ ตจวี รของพระสคุ ต.” อนาบัติ ๑.ทำจีวรหย่อนกว่าประมาณ ๒.ได้จีวรที่ผู้อื่นทำสำเร็จแล้วเกิน ประมาณมาตัดเสียแล้วใช้สอย ๓.ทำเป็นผ้าขึงเพดานก็ดี ทำเป็นผ้าปูพื้นก็ดี ทำเปน็ ผา้ มา่ นกด็ ี ทำเปน็ เปลอื กฟกู กด็ ี ทำเปน็ ปลอกหมอนกด็ ี ๔.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๕.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระนนั ทะพระพทุ ธอนชุ าใชจ้ วี รมขี นาดเทา่ จวี รพระสคุ ต ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เหน็ ทา่ นเดนิ มาแตไ่ กลกล็ กุ ขน้ึ ตอ้ นรบั ดว้ ยนกึ วา่ พระผมู้ พี ระภาคเสดจ็ มา เมอ่ื เขา้ ใกลเ้ หน็ วา่ มใิ ช่ จงึ ตเิ ตยี นวา่ ใชจ้ วี รขนาดเทา่ ของพระสคุ ต พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษทุ ำจวี รใหม้ ขี นาดเทา่ จวี รสคุ ตหรอื ยง่ิ กวา่ ตอ้ ง อาบตั ปิ าจติ ตยี ท์ ใ่ี หต้ ดั เสยี ประมาณแหง่ จวี รสคุ ต คอื ยาว ๙ คบื กวา้ ง ๖ คบื .

๑๗๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๗.ปาฏเิ ทสนยี กณั ฑ์ วา่ ดว้ ยอาบตั ปิ าฏเิ ทสนยี ะ คอื ทพ่ี งึ แสดงคนื มี ๔ สกิ ขาบท ปาฏเิ ทสนยี ะ สกิ ขาบทท่ี ๑ โย ปะนะ ภกิ ขุ อญั ญาตกิ ายะ ภกิ ขนุ ยิ า อนั ตะระฆะรงั ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด รบั ของเคย้ี วกด็ ี ของฉนั กด็ ี ดว้ ยมอื ของตน จากมอื ของภกิ ษณุ ผี มู้ ใิ ชญ่ าติ ผเู้ ขา้ ไปสลู่ ะแวกบา้ น แลว้ เคย้ี วกด็ ี ฉันก็ดี อันภิกษุนั้นพึงแสดงคืนว่า แน่ะเธอ ฉันต้องธรรมที่น่าติ ไมเ่ ปน็ ทส่ี บาย ควรจะแสดงคนื ฉนั แสดงคนื ธรรมนน้ั .” อนาบัติ ๑.ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ๒.ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติสั่งให้ถวาย มิได้ถวายเอง ๓.ภิกษุณีถวายโดยวางไว้ถวาย ๔.ถวายในอาราม ๕.ในสำนักภิกษุณี ๖.ในสำนกั เดยี รถยี ์ ๗.ในโรงฉนั ๘.นำออกจากบา้ นแลว้ ถวาย ๙.ถวายยามกาลกิ สตั ตาหกาลกิ ยาวชวี กิ ดว้ ยคำวา่ เมอ่ื เหตมุ อี ยนู่ มิ นตฉ์ นั ได้ ๑๐.สกิ ขมานาถวาย ๑๑.สามเณรถี วาย ๑๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ นางภกิ ษณุ รี ูปหนึง่ ไปเท่ยี วบิณฑบาตไดแ้ ลว้ ขากลับเห็นภิกษุรปู หนงึ่ จึงบอกถวายอาหารที่ได้มา ภิกษุนั้นก็รับจนหมด นางจึงอดอาหารเพราะหมด เวลาที่จะเข้าไปบิณฑบาตอีกแล้ว รุ่งขึ้นนางไปบิณฑบาตได้พบภิกษุรูปนั้นอีก กบ็ อกถวายภกิ ษรุ ปู นน้ั กร็ บั จนหมด นางจงึ อดอาหารอกี ในวนั ท่ี ๓ กเ็ ปน็ เชน่ น้ี

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๗๗ จนเวลาหลีกรถเศรษฐี นางถึงกับหมดแรงล้มลง เศรษฐีขอขมา ทราบความ กต็ เิ ตยี นภกิ ษนุ น้ั พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษเุ ขา้ ไปสลู่ ะแวก บา้ น รบั ของเคย้ี วของฉนั ของนางภกิ ษณุ มี าเคย้ี วหรอื ฉนั ตอ้ งอาบตั ปิ าฏเิ ทสนยี ะ. ปาฏเิ ทสนยี ะ สกิ ขาบทท่ี ๒ ภกิ ขู ปะเนวะ กเุ ลสุ นมิ นั ตติ า ภญุ ชนั ติ ,ตตั ร๎ ะ เจ..... “อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายรับนิมนต์ฉันอยู่ในสกุล ถ้าภิกษุณี มายนื สง่ั เสยี อยใู่ นทน่ี น้ั วา่ จงถวายแกงในองคน์ ้ี จงถวายขา้ วใน องค์นี้ ภิกษุทั้งหลายนั้นพึงรุกรานภิกษุณีนั้นว่า น้องหญิง เธอจงหลีกไปเสีย ตลอดเวลาที่ภิกษุฉันอยู่ ถ้าภิกษุแม้รูปหนึ่ง ไมก่ ลา่ วออกไป เพอ่ื จะรกุ รานภกิ ษณุ นี น้ั วา่ นอ้ งหญงิ เธอจงหลกี ไปเสีย ตลอดเวลาที่ภิกษุฉันอยู่ ภิกษุเหล่านั้นพึงแสดงคืนว่า แนะ่ เธอ พวกฉนั ตอ้ งธรรมทน่ี า่ ติ ไมเ่ ปน็ ทส่ี บาย ควรจะแสดงคนื พวกฉันแสดงคืนธรรมนั้น.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษณุ สี ง่ั ใหถ้ วายภตั ตาหารของตน มไิ ดถ้ วายเอง ๒.ถวายภตั ตาหาร ของผอู้ น่ื มไิ ดส้ ง่ั ใหถ้ วาย ๓.สง่ั ใหถ้ วายภตั ตาหารทเ่ี ขาไมไ่ ดถ้ วาย ๔. สง่ั ใหเ้ ขา ถวายในภกิ ษทุ เ่ี ขาไมไ่ ดถ้ วาย ๕.สง่ั ใหถ้ วายเทา่ ๆ กนั แกภ่ กิ ษทุ กุ รปู ๖.สกิ ขมานา สั่งเสีย ๗.สามเณรีสั่งเสีย ๘.เว้นโภชนะห้า อาหารทุกอย่างไม่เป็นอาบัติ ๙.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๐.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษทุ ง้ั หลายไดร้ บั นมิ นตใ์ หไ้ ปฉนั ในสกลุ นางภกิ ษณุ พี วก ๖ ซง่ึ ชอบพอ

๑๗๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก กบั ภกิ ษพุ วก ๖ ไดย้ นื อยดู่ ว้ ยบอกกบั เขาวา่ จงถวายแกงในองคน์ ้ี จงถวายขา้ ว ในองค์นี้ ภกิ ษพุ วก ๖ ฉันไดต้ ามตอ้ งการ แต่ภกิ ษอุ ืน่ ๆ ฉนั อย่างไม่สะดวกใจ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุทั้งหลายได้รับนิมนต์ให้ไปฉัน ในสกุล ถ้านางภิกษุณีผู้คุ้นเคยมายืนอยู่ในที่นั้น บอกกับเขาว่าจงถวายแกงใน องคน์ ้ีจงถวายขา้ วในองคน์ ้ีภกิ ษทุ ง้ั หลายพงึ ไลน่ างภกิ ษณุ นี น้ั ไป จนกวา่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จะฉนั เสรจ็ ถา้ ภกิ ษแุ มร้ ปู หนง่ึ มไิ ดไ้ ลน่ างภกิ ษณุ ี นต้ี อ้ งอาบตั ปิ าฏเิ ทสนยี ะ. ปาฏเิ ทสนยี ะ สกิ ขาบทท่ี ๓ ยานโิ ข ปะนะ ตานิ เสกขะสมั มะตานิ กลุ าน.ิ .... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด ไมไ่ ดร้ บั นมิ นตก์ อ่ น มใิ ชผ่ อู้ าพาธ รบั ของ เคย้ี วกด็ ี ของฉนั กด็ ี ในตระกลู ทง้ั หลายทส่ี งฆส์ มมตวิ า่ เปน็ เสกขะ เห็นปานนั้น ด้วยมือของตน แล้วเคี้ยวก็ดี ฉันก็ดี ภิกษุนั้นพึงแสดง คืนว่า แน่ะเธอ ฉันต้องธรรมที่น่าติ ไมเ่ ปน็ ทส่ี บาย ควรจะแสดงคนื ฉนั แสดงคนื ธรรมนน้ั .” วภิ งั ค์ คำวา่ ตระกลู ทส่ี งฆส์ มมตวิ า่ เปน็ เสกขะ ความวา่ ตระกลู ทช่ี อ่ื วา่ อนั สงฆส์ มมตวิ า่ เปน็ เสกขะ ไดแ้ กต่ ระกลู ทเ่ี จรญิ ดว้ ยศรทั ธา แตห่ ยอ่ นดว้ ยโภคสมบตั ิ ได้รับสมมติ ด้วยญตั ตทิ ตุ ยิ กรรมว่าเป็นเสกขะ. อนาบัติ ๑.ภกิ ษไุ ดร้ บั นมิ นตไ์ ว้ ๒.ภกิ ษอุ าพาธ ๓.ภกิ ษฉุ นั ของเปน็ เดน ภกิ ษุ ผไู้ ดร้ บั นมิ นตไ์ วห้ รอื ผอู้ าพาธ ๔.ภกิ ษฉุ นั ภกิ ษาทเ่ี ขาจดั ไวใ้ นทน่ี น้ั เพอ่ื ภกิ ษอุ น่ื ๆ ๕.ภกิ ษฉุ นั ภตั ตาหารทเ่ี ขานำออกจากเรอื นไปถวาย ๖.ภกิ ษฉุ นั นติ ยภตั ๗.ภกิ ษุ

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๗๙ ฉันสลากภัต ๘.ภิกษุฉันปักขิกภัต ๙.ภิกษุฉันอุโบสถิกภัต ๑๐.ภิกษุฉัน ปาฏปิ ทกิ ภตั ๑๑.ภกิ ษฉุ นั ยามกาลกิ สตั ตาหกาลกิ ยาวชวี กิ ทเ่ี ขาถวายบอกวา่ เมอ่ื มปี จั จยั กน็ มิ นตฉ์ นั ๑๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ในสมยั นน้ั มสี กลุ หนง่ึ เลอ่ื มใสทง้ั ฝา่ ยสามแี ละภรยิ า เปน็ สกลุ เจรญิ ดว้ ย ศรทั ธา แตเ่ สอ่ื มทรพั ย์ บคุ คลเหลา่ นย้ี อ่ มสละของเคย้ี ว ของกนิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ทง้ั หมด แกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย บางครง้ั ตวั เองถงึ อด คนท้งั หลายพากนั ตเิ ตยี นพวกภกิ ษวุ า่ รบั ไม่ร้จู ักประมาณ พระผมู้ ีพระภาคจึงทรงอนญุ าตใหส้ งฆ์ สวดประกาศสมมติ สกลุ นน้ั วา่ เปน็ สกลุ พระเสกขะ แลว้ ทรงบญั ญตั หิ า้ มเขา้ ไปรบั ของเคย้ี วของฉนั ในสกุลที่สงฆ์สมมติว่าเป็นเสกขะด้วยมือของตนมาเคี้ยวแลฉัน ทรงปรับอาบัติ ปาฏเิ ทสนยี ะแกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ ภายหลงั ทรงอนญุ าตวา่ ถา้ เขานมิ นตไ์ วก้ อ่ น หรือเป็นไข้เข้าไปรับอาหารมาฉันได้. ปาฏิเทสนียะสิกขาบทที่ ๔ ยานิ โข ปะนะ ตานิ อารญั ญะกานิ เสนาสะนาน.ิ .... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดอยใู่ นเสนาสนะปา่ ๑ ทร่ี กู้ นั วา่ เปน็ ทม่ี รี งั เกยี จ มภี ยั เฉพาะหนา้ รบั ของเคย้ี วกด็ ี ของฉนั กด็ ี อนั เขาไมไ่ ดบ้ อกใหร้ ู้ ไวก้ อ่ น ดว้ ยมอื ของตน ในวดั ทอ่ี ยู่ ไมใ่ ชผ่ อู้ าพาธ เคย้ี วกด็ ี ฉนั กด็ ี ภกิ ษนุ น้ั พงึ แสดงคนื วา่ แนะ่ เธอ ฉนั ตอ้ งธรรมทน่ี า่ ติ ไมเ่ ปน็ ทส่ี บาย ควรจะแสดงคนื ฉนั แสดงคนื ธรรมนน้ั .” ๑เสนาสนะป่าหมายถงึ เสนาสนะทอ่ี ยหู่ า่ งจากหมบู่ า้ นประมาณ ๒๕ เสน้ (๒๕ เสน้ เทา่ กบั ๕๐๐ วา หรอื ๑,๐๐๐ เมตร) (พระไตรปฎิ กแปลไทย มจร. ๒ / ๖๔๔ / ๕๗๓)

๑๘๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก วภิ งั ค์ ที่ชื่อว่า บอกให้รู้ คือ ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม มาสอู่ าราม หรอื อปุ จารแหง่ อารามแลว้ บอกวา่ ทา่ นเจา้ ขา้ สตรหี รอื บรุ ษุ ชอ่ื โนน้ จกั นำของเคย้ี วหรอื ของฉนั มาถวายภกิ ษมุ ชี อ่ื น้ี ถา้ ทน่ี น้ั เปน็ สถานทม่ี รี งั เกยี จ ภิกษุพึงบอกเขาว่า เป็นสถานที่มีรังเกียจ ถ้าที่นั้นเป็นสถานที่มีภัยเฉพาะหน้า พึงบอกเขาว่า เป็นสถานที่มีภัยเฉพาะหน้า ถ้าเขากล่าวว่า ไม่เป็นไรเจ้าข้า เขาจักนำมาเอง ภิกษุพึงบอกพวกโจรว่า ชาวบ้านจักเข้ามาในที่นี้ พวกท่าน จงหลกี ไปเสยี . เมือ่ เขาบอกให้รู้เฉพาะยาคู แล้วเขานำบรวิ ารแห่งยาคมู าดว้ ย น้ีช่ือว่า อนั เขาบอกใหร้ .ู้ อนาบัติ ๑.เขาบอกใหร้ ู้ ๒.ภกิ ษอุ าพาธ ๓.ภกิ ษฉุ นั ของเปน็ เดนของภกิ ษผุ ไู้ ดร้ บั นมิ นตไ์ วห้ รอื ของภกิ ษผุ อู้ าพาธ ๔.ภกิ ษรุ บั นอกวดั แลว้ มาฉนั ในวดั ๕.ภกิ ษฉุ นั รากไม้ เปลอื กไม้ ใบไม้ ดอกไม้ หรอื ผลไม้ ซง่ึ เกดิ ขน้ึ ในวดั นน้ั ๖.ภกิ ษฉุ นั ของ เปน็ ยามกาลกิ สตั ตาหกาลกิ ยาวชวี กิ ในเมอ่ื มเี หตจุ ำเปน็ ๗.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๘.ภิกษุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ เจ้าศากยะที่เป็นหญิง นำอาหารไปเพื่อถวายภิกษุในเสนาสนะป่า ถูก พวกทาสชงิ ของและขม่ ขนื เจา้ ศากยะทเ่ี ปน็ ชายออกจบั พวกนน้ั ได้ ตเิ ตยี นภกิ ษุ ทั้งหลายว่าไม่บอกเรื่องโจรอาศัยอยู่ในวัด พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ สกิ ขาบทวา่ ภกิ ษอุ ยใู่ นเสนาสนะปา่ เปลย่ี วนา่ กลวั รบั ของเคย้ี วของฉนั ซง่ึ เขามิ ไดจ้ ดั ไวก้ อ่ นดว้ ยมอื ของตนภายในอารามมาฉนั ตอ้ งอาบตั ปิ าฏเิ ทสนยี ะ

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๘๑ ๘.เสขิยกัณฑ์ ว่าด้วยข้อที่ภิกษุพึงศึกษา เกี่ยวกับวัตร ธรรมเนียม หรือ จรรยามารยาทตา่ ง ๆ มี ๗๕ สกิ ขาบท แบง่ ออกเปน็ ๔ หมวด เรื่องต้นบัญญัติ ตน้ เหตแุ หง่ การบญั ญตั เิ สขยิ ะสกิ ขาบททกุ ขอ้ ทง้ั เจด็ สบิ หา้ ขอ้ น้ี เนอ่ื งมา แตภ่ กิ ษฉุ พั พคั คยี ์ (ภกิ ษพุ วก ๖) ทำความไมด่ ไี มง่ ามไวท้ ง้ั สน้ิ ในตวั สกิ ขาบท มไิ ดป้ รบั อาบตั ไิ ว้ เพยี งแตก่ ลา่ ววา่ ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจะทำอยา่ ง นั้นอย่างนี้ หรือไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ในคำอธิบายท้ายสิกขาบทระบุว่า ถา้ ทำเขา้ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ (ซง่ึ แปลวา่ ทำชว่ั ) พรอ้ มทง้ั แสดงลกั ษณะทไ่ี มต่ อ้ ง อาบัติไว้ด้วย ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะตัวสิกขาบท และคำอธิบายสิกขาบท จากวภิ งั คข์ องสกิ ขาบทนน้ั ในบางขอ้ ทค่ี วรกลา่ วไวใ้ นวงเลบ็ ดงั ตอ่ ไปน.้ี ๑.สารปู หมวดวา่ ดว้ ยความเหมาะสมแกส่ มณเพศ ๒๖ สกิ ขาบท ปะรมิ ณั ฑะลงั นวิ าเสสสามตี ี สกิ ขา กะระณยี า. ๑. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั นงุ่ เปน็ ปรมิ ณฑล. (อันภิกษุนุ่งปิดมณฑลสะดือ มณฑลเข่า ชื่อว่านุ่งเป็นปริมณฑล ภิกษุใด อาศยั ความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื หม่ ผา้ เลอ้ื ยหนา้ หรอื เลอ้ื ยหลงั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.) ปรมิ ณั ฑะลงั ปารปุ สิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั หม่ เปน็ ปรมิ ณฑล. (อนั ภกิ ษหุ ม่ ทำมมุ ทง้ั สองใหเ้ สมอกนั ชอ่ื วา่ หม่ เปน็ ปรมิ ณฑล.)

๑๘๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก สปุ ะฏจิ ฉนั โน อนั ตะระฆะเร คะมสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๓. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ปกปดิ กายดี ไปในละแวกบา้ น. สปุ ะฏจิ ฉนั โน อนั ตะระฆะเร นสิ ที สิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๔. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ปกปดิ กายดี นง่ั ในละแวกบา้ น. สสุ งั วโุ ต อนั ตะระฆะเร คะมสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๕. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั สำรวมดี ไปในละแวกบา้ น. (ภกิ ษใุ ดอาศยั ความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื คะนองมอื กด็ คี ะนองเทา้ กด็ ี ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ) สสุ งั วโุ ต อนั ตะระฆะเร นสิ ที สิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๖. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั สำรวมดี นง่ั ในละแวกบา้ น. โอกขติ ตะจกั ขุ อนั ตะระฆะเร คะมสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๗. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั มตี าทอดลง ไปในละแวกบา้ น. (อันภิกษุพึงมีนัยน์ตาทอดลง เดินไปในละแวกบ้าน พึงแลประมาณ ชว่ั แอกหนง่ึ ภกิ ษใุ ดอาศยั ความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื ไปในละแวกบา้ น พลางแลดใู นทน่ี น้ั ๆ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.) โอกขติ ตะจกั ขุ อนั ตะระฆะเร นสิ ที สิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๘. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั มตี าทอดลง นง่ั ในละแวกบา้ น. นะ อกุ ขติ ตะกายะ อนั ตะระฆะเร คะมสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๙. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมเ่ วกิ ผา้ ไปในละแวกบา้ น. (อันภิกษุไม่พึงเดินเวิกผ้าไปในละแวกบ้าน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เวกิ ผา้ ขน้ึ ขา้ งเดยี วกด็ ี ทง้ั สองขา้ งกด็ ี เดนิ ไปในละแวกบา้ น ตอ้ งอาบตั ิ ทกุ กฏ.) นะ อกุ ขติ ตะกายะ อนั ตะระฆะเร นสิ ที สิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๐. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมน่ ง่ั เวกิ ผา้ ในละแวกบา้ น.

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๘๓ นะ อชุ ชคั ฆกิ ายะ อนั ตะระฆะเร คะมสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๑. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมห่ วั เราะลน่ั ไปในละแวกบา้ น. นะ อชุ ชคั ฆกิ ายะ อนั ตะระฆะเร นสิ ที สิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๒. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมห่ วั เราะลน่ั นง่ั ในละแวกบา้ น. อปั ปะสทั โท อนั ตะระฆะเร คะมสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๓. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั มเี สยี งเบา ไปในละแวกบา้ น. (อนั ภกิ ษพุ งึ มเี สยี งเบาเดนิ ไปในละแวกบา้ น ภกิ ษใุ ดอาศยั ความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื เดนิ สง่ เสยี งตะเบง็ เสยี งตะโกนไปในละแวกบา้ น ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.) อปั ปะสทั โท อนั ตะระฆะเร นสิ ที สิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๔. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั มเี สยี งเบา นง่ั ในละแวกบา้ น. นะ กายปั ปะจาละกงั อนั ตะระฆะเร คะมสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๕. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมเ่ ดนิ โยกกายไปในละแวกบา้ น. นะ กายปั ปะจาละกงั อนั ตะระฆะเร นสิ ที สิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๖. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมน่ ง่ั โยกกายในละแวกบา้ น. นะ พาหปุ ปะจาละกงั อนั ตะระฆะเร คะมสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๗. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมไ่ กวแขนไปในละแวกบา้ น. (อันภิกษุไม่พึงเดินแกว่งแขนไปในละแวกบ้าน พึงประคองแขนเดินไป ภกิ ษใุ ดอาศยั ความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื เดนิ แกวง่ แขนไปในละแวกบา้ น แสดงทา่ กรดี กราย ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.) นะ พาหปุ ปะจาละกงั อนั ตะระฆะเร นสิ ที สิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๘. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมน่ ง่ั ไกวแขนในละแวกบา้ น.

๑๘๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก นะ สสี ปั ปะจาละกงั อนั ตะระฆะเร คะมสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า ๑๙. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมโ่ คลงศรี ษะไปในละแวกบา้ น. . นะ สสี ปั ปะจาละกงั อนั ตะระฆะเร นสิ ที สิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๐. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมน่ ง่ั โคลงศรี ษะในละแวกบา้ น. นะ ขมั ภะกะโต อนั ตะระฆะเร คะมสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๑. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมเ่ อามอื คำ้ กายไปในละแวกบา้ น. นะ ขมั ภะกะโต อนั ตะระฆะเร นสิ ที สิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๒. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมน่ ง่ั เอามอื คำ้ กายในละแวกบา้ น. นะ โอคณุ ฐโิ ต อนั ตะระฆะเร คะมสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๓. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมค่ ลมุ ศรี ษะไปในละแวกบา้ น. นะ โอคณุ ฐโิ ต อนั ตะระฆะเร นสิ ที สิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๔. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมน่ ง่ั คลมุ ศรี ษะในละแวกบา้ น. นะ อกุ กฏุ กิ ายะ อนั ตะระฆะเร คะมสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๕. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมเ่ ดนิ กระโหยง่ ไปในละแวกบา้ น. (อนั ภกิ ษไุ มพ่ งึ มกี ารกระโหยง่ เทา้ เดนิ ไปในละแวกบา้ น.) นะ ปลั ลตั ถกิ ายะ อนั ตะระฆะเร นสิ ที สิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๖. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมน่ ง่ั รดั เขา่ ในละแวกบา้ น. ๒.โภชนปฏสิ งั ยตุ หมวดวา่ ดว้ ยการฉนั อาหาร ๓๐ สกิ ขาบท สกั กจั จงั ปณิ ฑะปาตงั ปะฏคิ คะเหสสามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั รบั บณิ ฑบาตโดยเออ้ื เฟอ้ื .

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๘๕ ปตั ตะสญั ญี ปณิ ฑะปาตงั ปะฏคิ คะเหสสามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั จอ้ งในบาตรรบั บณิ ฑบาต. สะมะสูปะกงั ปณิ ฑะปาตัง ปะฏคิ คะเหสสามตี ิ สิกขา กะระณียา. ๓. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั รบั บณิ ฑบาตพอเหมาะกบั แกง๑. (จักรับบิณฑบาต มีสูปะเสมอกัน ที่ชื่อว่า สูปะ มีสองชนิด คือ สูปะ ทำดว้ ยถว่ั เขยี ว ๑ สปู ะทำดว้ ยถว่ั เหลอื ง ๑ ทจ่ี บั ไดด้ ว้ ยมอื .) สะมะติตติกงั ปิณฑะปาตัง ปะฏิคคะเหสสามีติ สิกขา กะระณยี า. ๔. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั รบั บณิ ฑบาตจดเสมอขอบบาตร. (ภกิ ษใุ ดอาศยั ความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื รบั บณิ ฑบาตจนลน้ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.) สกั กจั จงั ปณิ ฑะปาตงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๕. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ฉนั บณิ ฑบาตโดยเออ้ื เฟอ้ื . (ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตโดยรังเกียจ ทำอาการ ดจุ ไมอ่ ยากฉนั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.) ปตั ตะสญั ญี ปณิ ฑะปาตงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๖. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั จอ้ งดอู ยใู่ นบาตร ฉนั บณิ ฑบาต. สะปะทานงั ปณิ ฑะปาตงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๗. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ฉนั บณิ ฑบาตไมแ่ หวง่ . (อันภิกษุพึงฉันบิณฑบาตเกลี่ยให้เสมอ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉนั บณิ ฑบาตเจาะลงในทน่ี น้ั ๆ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.) สะมะสปู ะกัง ปิณฑะปาตงั ภญุ ชิสสามตี ิ สิกขา กะระณยี า. ๘. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ฉนั บณิ ฑบาตพอเหมาะกบั แกง. (อันภิกษุพึงฉันบิณฑบาตมีสูปะพอดีกัน ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉนั แตส่ ปู ะอยา่ งเดยี ว ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.) ๑บณิ ฑบาตพอเหมาะกบั แกงคอื บณิ ฑบาต ๓ สว่ น แกง ๑ สว่ น (ว.ิ อ. ๒ / ๖๐๔ / ๔๕๑)

๑๘๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก นะ ถปู ะโต โอมทั ทติ ว๎ า ปณิ ฑะปาตงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๙. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมข่ ยมุ้ ลงแตย่ อด ฉนั บณิ ฑบาต. นะ สปู งั วา พย๎ ญั ชะนงั วา โอทะเนนะ ปะฏจิ ฉาเทสสาม.ิ .... ๑๐. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมก่ ลบแกงหรอื กบั ขา้ ว ดว้ ยขา้ ว. นะ สปู งั วา โอทะนงั วา อะคลิ าโน อตั ตะโน อตั ถายะ..... ๑๑. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราไมอ่ าพาธ จกั ไมข่ อแกงหรอื ขา้ วสกุ เพอ่ื ประโยชน์แก่ตนฉัน. นะ อุชฌานะสัญญี ปะเรสงั ปัตตัง โอโลเกสสามีติ สิกขา กะระณยี า. ๑๒. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมเ่ พง่ โพนทะนาแลดบู าตรของผอู้ น่ื . (อนั ภกิ ษไุ มพ่ งึ มงุ่ หมายจะเพง่ โทษ แลดบู าตรของภกิ ษอุ น่ื ) นาตมิ ะหนั ตงั กะวะฬงั กะรสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๓. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมท่ ำคำขา้ วใหใ้ หญน่ กั . ปะรมิ ณั ฑะลงั อาโลปงั กะรสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๔. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ทำคำขา้ วใหก้ ลมกลอ่ ม. (อันภิกษุผู้ฉันอาหารพึงทำคำข้าวให้กลมกล่อม ภิกษุใดอาศัยความไม่ เออ้ื เฟอ้ื ทำคำขา้ วใหญ่ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.) นะ อะนาหะเฏ กะวะเฬ มขุ ะทะวารงั ววิ ะรสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๕. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เมอ่ื คำขา้ วยงั ไมน่ ำมาถงึ เราจกั ไมอ่ า้ ชอ่ งปาก. นะ ภญุ ชะมาโน สพั พงั หตั ถงั มเุ ข ปกั ขปิ สิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๖. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราฉนั อยู่ จกั ไมส่ อดมอื ทง้ั นน้ั เขา้ ในปาก. (อนั ภกิ ษกุ ำลงั ฉนั อาหารอยู่ ไมพ่ งึ สอดนว้ิ มอื ทง้ั หมดเขา้ ในปาก) นะ สะกะวะเฬนะ มเุ ขนะ พย๎ าหะรสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๗. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ ปากยงั มคี ำขา้ ว เราจกั ไมพ่ ดู .

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๘๗ นะ ปิณฑกุ เขปะกงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สิกขา กะระณียา. ๑๘. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมฉ่ นั อาหารโยนคำขา้ ว. นะ กะวะฬาวจั เฉทะกงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๙. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมฉ่ นั กดั คำขา้ ว. (๑.ไมแ่ กลง้ ๒.เผลอ ๓.ไมร่ ตู้ วั ๔.อาพาธ ๕.ฉนั ขนมทแ่ี ขน้ แขง็ ๖.ฉนั ผลไม้ นอ้ ยใหญ่ ๖.ฉนั กบั แกง ๗.มอี นั ตราย ๘.วกิ ลจรติ ๙.อาทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล.) นะ อะวะคณั ฑะการะกงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๐. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมฉ่ นั ทำกระพงุ้ แกม้ ใหต้ ยุ่ . นะ หตั ถะนทิ ธนู ะกงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๑. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมฉ่ นั สลดั มอื . นะ สติ ถาวะการะกงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๒. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมฉ่ นั ทำเมลด็ ขา้ วตก. นะ ชวิ หานจิ ฉาระกงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๓. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมฉ่ นั แลบลน้ิ . นะ จะปจุ ะปกุ าระกงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๔. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมฉ่ นั ทำเสยี งดงั จบั ๆ. นะ สรุ สุ รุ กุ าระกงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๕. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมฉ่ นั ทำเสยี งดงั ซดู ๆ. นะ หตั ถะนลิ เลหะกงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๖. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมฉ่ นั เลยี มอื . นะ ปตั ตะนลิ เลหะกงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๗. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมฉ่ นั ขอดบาตร.

๑๘๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก นะ โอฏฐะนลิ เลหะกงั ภญุ ชสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๘. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมฉ่ นั เลยี รมิ ฝปี าก. นะ สามเิ สนะ หตั เถนะ ปานยี ะถาละกงั ปะฏคิ คะเหสสามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒๙. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมร่ บั โอนำ้ ดว้ ยมอื เปอ้ื นอามสิ . นะ สะสติ ถะกงั ปตั ตะโธวะนงั อนั ตะระฆะเร ฉฑั เฑสสามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๓๐.ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมเ่ ทนำ้ ลา้ งบาตรมเี มลด็ ขา้ วในละแวกบา้ น. ๓.ธมั มเทสนาปฏสิ งั ยตุ หมวดวา่ ดว้ ยการแสดงธรรม ๑๖ สกิ ขาบท นะ ฉตั ตะปาณสิ สะ อะคลิ านสั สะ ธมั มงั เทสสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแกบ่ คุ คลไมใ่ ชผ่ เู้ จบ็ ไข้ มีร่มในมือ. (แสดงธรรมแกค่ นไมเ่ ปน็ ไขผ้ กู้ น้ั รม่ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.) นะ ทณั ฑะปาณสิ สะ อะคลิ านสั สะ ธมั มงั เทสสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแกบ่ คุ คลไมใ่ ชผ่ เู้ จบ็ ไข้ มีไม้พลองในมือ. (ที่ชื่อว่า ไม้พลอง ได้แก่ ไม้พลองยาวสี่ศอกของมัชฌิมบุรุษ ยาวกว่า นน้ั ไมใ่ ชไ่ มพ้ ลอง สน้ั กวา่ นน้ั กไ็ มใ่ ชไ่ มพ้ ลอง.) นะ สตั ถะปาณสิ สะ อะคลิ านสั สะ ธมั มงั เทสสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๓. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแกบ่ คุ คลไมใ่ ชผ่ เู้ จบ็ ไข้ มีศัสตราในมือ. นะ อาวธุ ะปาณสิ สะ อะคลิ านสั สะ ธมั มงั เทสสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๔. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแกบ่ คุ คลไมใ่ ชผ่ เู้ จบ็ ไข้ มีอาวุธในมือ.

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๘๙ นะ ปาทกุ ารฬู ห๎ สั สะ อะคลิ านสั สะ ธมั มงั เทสสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๕. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแกบ่ คุ คลไมใ่ ชผ่ เู้ จบ็ ไข้ สวมเขียงเท้า. นะ อปุ าหะนารฬู ห๎ สั สะ อะคลิ านสั สะ ธมั มงั เทสสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๖. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแกบ่ คุ คลไมใ่ ชผ่ เู้ จบ็ ไข้ สวมรองเท้า. นะ ยานะคะตสั สะ อะคลิ านสั สะ ธมั มงั เทสสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๗. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแกบ่ คุ คลไมใ่ ชผ่ เู้ จบ็ ไข้ ไปในยาน๑. นะ สะยะนะคะตสั สะ อะคลิ านสั สะ ธมั มงั เทสสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๘. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแกบ่ คุ คลไมใ่ ชผ่ เู้ จบ็ ไข้ ผู้อยู่บนที่นอน. นะ ปลั ลตั ถกิ ายะ นสิ นิ นสั สะ อะคลิ านสั สะ ธมั มงั เทสสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๙. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแกบ่ คุ คลไมใ่ ชผ่ เู้ จบ็ ไข้ นง่ั รดั เขา่ . นะ เวฏฐติ ะสสี สั สะ อะคลิ านสั สะ ธมั มงั เทสสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๐.ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแกบ่ คุ คลไมใ่ ชผ่ เู้ จบ็ ไข้ พนั ศรี ษะ. นะ โอคณุ ฐติ ะสสี สั สะ อะคลิ านสั สะ ธมั มงั เทสสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๑. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแกบ่ คุ คลไมใ่ ชผ่ เู้ จบ็ ไข้ คลมุ ศรี ษะ. ๑ นั่งอยู่ในยาน หมายเอาบุคคลผู้นั่งบนคานหาม บนวอ ถูกอุ้มไป ถูกแบกใส่บ่าไป นั่งบนยานที่ไม่ได้เทียมม้า หรือแม้นั่งบนล้อที่แยกส่วนออกมา ถือว่านั่งอยู่ในยานทั้งสิ้น แต่ถ้าอยู่ในยานด้วยกันทั้งภิกษุผู้แสดงธรรมและอุบาสก ผรู้ บั ธรรมเทศนา ภกิ ษแุ สดงธรรมแกค่ นทไ่ี ปในยานดว้ ยกนั ได้ ถา้ ภกิ ษผุ แู้ สดงธรรมนง่ั อยขู่ า้ งหนา้ ในทส่ี งู กวา่ หรอื เสมอกนั กบั อบุ าสกผฟู้ งั ไมต่ อ้ งอาบตั ิ (ว.ิ อ. ๒ / ๖๔๐ / ๔๕๖).

๑๙๐ นะ ฉะมายงั นสิ ที ติ ว๎ า อาสะเน นสิ นิ นสั สะ อะคลิ านสั สะ..... ๑๒. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เรานง่ั อยทู่ พ่ี น้ื ดนิ จกั ไมแ่ สดงธรรมแกค่ น ไมเ่ จบ็ ไข้ ผนู้ ง่ั บนอาสนะ. นะ นเี จ อาสะเน นสิ ที ติ ว๎ า อจุ เจ อาสะเน นสิ นิ นสั สะ..... ๑๓. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เรานง่ั บนอาสนะตำ่ จกั ไมแ่ สดงธรรมแก่ คนไมเ่ จบ็ ไข้ ผนู้ ง่ั บนอาสนะสงู . นะ ฐโิ ต นสิ นิ นสั สะ อะคลิ านสั สะ ธมั มงั เทสสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑๔. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เรายนื อยจู่ กั ไมแ่ สดงธรรมแกค่ นไมเ่ จบ็ ไข้ ผู้นั่งอยู่. นะ ปจั ฉะโต คจั ฉนั โต ปรุ ะโต คจั ฉนั ตสั สะ อะคลิ านสั สะ..... ๑๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราเดินไปข้างหลัง จักไม่แสดงธรรมแก่ คนไมเ่ จบ็ ไข้ ผเู้ ดนิ ไปขา้ งหนา้ . นะ อปุ ปะเถนะ คจั ฉนั โต ปะเถนะ คจั ฉนั ตสั สะ อะคลิ านสั สะ...... ๑๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราเดินไปนอกทาง จักไม่แสดงธรรมแก่ คนไมเ่ จบ็ ไข้ ผไู้ ปอยใู่ นทาง. ๔.ปกณิ ณกะ หมวดเบด็ เตลด็ ๓ สกิ ขาบท นะ ฐโิ ต อะคลิ าโน อจุ จารงั วา ปสั สาวงั วา กะรสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๑. ภกิ ษพุ งึ ทำความศกึ ษาวา่ เราไมอ่ าพาธ จกั ไมย่ นื ถา่ ยอุจจาระ หรอื ปัสสาวะ. นะ หะรเิ ต อะคลิ าโน อจุ จารงั วา ปสั สาวงั วา เขฬงั วา กะรสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราไม่อาพาธ จักไม่ถ่ายอุจจาระ หรือ ปสั สาวะ หรอื บว้ นนำ้ ลายลงในของเขยี ว (พชื พนั ธไ์ุ ม)้

๑๙๑ นะ อทุ ะเก อะคลิ าโน อจุ จารงั วา ปสั สาวงั วา เขฬงั วา กะรสิ สามตี ิ สกิ ขา กะระณยี า. ๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราไม่อาพาธ จักไม่ถ่ายอุจจาระ หรือ ถา่ ยปสั สาวะ หรอื บว้ นนำ้ ลายลงในนำ้ . ๙.อธกิ รณสมถะ แสดงวิธีระงับอธิกรณ์ ด้วยธรรมะ ๗ ประการ (รายละเอยี ด อยใู่ นจลุ วรรค ภาค ๑ พระไตรปฎิ ก เลม่ ๖ ทจ่ี ะไดก้ ลา่ วตอ่ ไป) คอื :- ๑.สัมมุขาวินัย การระงับอธิกรณ์ในที่พร้อมหน้า(บุคคล,วัตถุ,ธรรมะ). ๒.สติวินัย การระงับอธิกรณ์ด้วยยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ. ๓.อมูฬ๎หวินัย การระงับอธิกรณ์ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า. ๔.ปฏิญญาตกรณะ การระงับอธิกรณ์ด้วยปรับตามรับสารภาพตามทำจริง. ๕.เยภุยยสิกา การระงับอธิกรณ์ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ. ๖.ตัสสปาปิยสิกา การระงับอธิกรณ์ด้วยการลงโทษ. ๗.ติณวัตถารกะ การระงบั อธกิ รณด์ จุ หญา้ กลบไว้ หยดุ ไมใ่ หล้ กุ ลาม.

ผู้กินคูถ ภิกษุทั้งหลาย! ลาภสักการะและเสียงเยินยอ เป็นอันตรายที่ทารุณ แสบเผ็ดหยาบคาย ต่อการบรรลุพระนิพพานอันเป็นธรรมเกษมจากโยคะ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย! เปรยี บเหมอื นตวั กงั สฬกะ ซง่ึ กนิ คถู เปน็ อาหาร อม่ิ แลว้ ดว้ ยคถู ; อนง่ึ กองคถู ใหญ่ กม็ อี ยตู่ รงหนา้ ของมนั เพราะเหตนุ น้ั มนั จงึ นกึ ดหู มน่ิ กงั สฬกะตวั อน่ื วา่ “เราผมู้ คี ถู เปน็ ภกั ษา อม่ิ แลว้ ดว้ ยคถู ทอ้ งปอ่ งดว้ ยคถู . อนง่ึ กองคถู ใหญต่ รงหนา้ ของเรากย็ งั ม.ี กงั สฬกะตวั อน่ื มบี ญุ นอ้ ย มเี กยี รตนิ อ้ ย ไมร่ วยลาภดว้ ยคถู ” ดงั น.้ี ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ก็เหมือนกัน, เป็นผู้ถูกลาภสักการะ และเสียงเยินยอครอบงำแล้ว มีจิตติดแน่นอยู่ในสิ่งนั้นๆ, ในเวลาเช้าครองจีวร ถือบาตร เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน หรือในเมือง, เธอได้ฉันตามพอใจจนอิ่มแล้ว ในที่นั้นด้วย, ทั้งเขาก็นิมนต์เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ด้วย, ของบิณฑบาตก็เต็มบาตร กลับมาด้วย. ภิกษุนี้ ครั้นกลับมาถึงวัดแล้ว ก็พูดพล่าม (เหมือนตัวกังสฬกะ) ในทา่ มกลางหมเู่ พอ่ื นภกิ ษวุ า่ “เราไดฉ้ นั ตามพอใจจนอม่ิ แลว้ ทง้ั เขากน็ มิ นต์ เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้อีก, ของบิณฑบาตของเรานี้ก็เต็มบาตร กลับมา, เรารวยลาภด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัชบริขาร. ส่วนภิกษุอื่นๆเหล่านี้ มีบุญน้อย มีอภินิหารน้อย จึงไม่รวยลาภด้วยจีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคลิ านเภสชั บรขิ าร” ดงั น.้ี ภิกษุทั้งหลาย! ลาภสักการะและเสียงเยินยอ เป็นอันตรายที่ทารุณ แสบเผ็ดหยาบคาย ต่อการบรรลุพระนิพพานอันเป็นธรรมเกษมจากโยคะ ไมม่ ธี รรมอน่ื ยง่ิ กวา่ ดว้ ยอาการอยา่ งน.้ี เพราะฉะนน้ั ในเรอ่ื งน้ี พวกเธอทง้ั หลาย พึงสำเหนียกในใจไว้ดังนี้ว่า “เราทั้งหลาย จักไม่เยื่อใยในลาภสักการะและ เสียงเยินยอที่เกิดขึ้น. อนึ่งลาภสักการะและเสียงเยินยอที่เกิดขึ้นแล้ว ต้องไม่มาห่อหุ้มอยู่ที่จิตของเรา”. ภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย พงึ สำเหนยี กใจไว้ อยา่ งนแ้ี ล. (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๑๖/๒๖๙/๕๔๗)

อภสิ มาจารกิ าสกิ ขา : ระเบยี บปฏบิ ตั ิ ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี อนั ดงี ามของสงฆ์ คัมภีร์มหาวรรค : เรื่องสำคัญ ที่ต้องทำเสมอ มหาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๔) มหาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๕) คมั ภรี จ์ ุลวรรค : เร่ืองระเบยี บกระบวนการสงฆ์ จลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๖) จลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๗) พระอรยิ วนิ ยั ทม่ี าในพระไตรปฎิ กเลม่ อน่ื ๆ คมั ภรี ป์ รวิ าร (พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๘) พระอรยิ วนิ ยั ทม่ี าในพระสตุ ตนั ตปฎิ ก

เนื้อแท้ที่ไม่อันตรธาน ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พวกภกิ ษใุ นบรษิ ทั กรณนี ,้ี สตุ ตนั ตะเหลา่ ใด ทก่ี วแี ตง่ ขน้ึ ใหม่ เปน็ คำรอ้ ยกรองประเภทกาพยก์ ลอน มอี กั ษรสละสลวย มพี ยญั ชนะอนั วจิ ติ ร เปน็ เรอ่ื งนอกแนว เปน็ คำกลา่ วของสาวก, เมอ่ื มผี นู้ ำสตุ ตนั ตะเหลา่ นน้ั มากล่าวอยู่; เธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจกั ไมส่ ำคญั วา่ เปน็ สง่ิ ท่ี ตนควรศกึ ษาเลา่ เรยี น. ภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็น ขอ้ ความลกึ มคี วามหมายซง้ึ เปน็ ชน้ั โลกตุ ตระ วา่ เฉพาะดว้ ยเรอ่ื งสญุ ญตา, เมอ่ื มผี นู้ ำสตุ ตนั ตะเหลา่ นน้ั มากลา่ วอย;ู่ เธอยอ่ มฟงั ดว้ ยดี ยอ่ มเงย่ี หฟู งั ยอ่ มตง้ั จติ เพอ่ื จะรทู้ ว่ั ถงึ และยอ่ มสำคญั วา่ เปน็ สง่ิ ทต่ี นควรศกึ ษาเลา่ เรยี น จึงพากันเล่าเรียน ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า “ข้อนี้เป็นอย่างไร? มคี วามหมายกน่ี ยั ? ดงั น.้ี ดว้ ยการทำดงั น้ี เธอยอ่ มเปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ ไวไ้ ด,้ ธรรมท่ี ยงั ไมป่ รากฏ เธอกท็ ำใหป้ รากฏได,้ ความสงสยั ในธรรมหลายประการทน่ี า่ สงสยั เธอกบ็ รรเทาลงได.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษบุ รษิ ทั เหลา่ น้ี เราเรยี กวา่ บรษิ ทั ทม่ี กี ารลลุ ว่ งไปได้ ด้วยการสอบถามแก่กันและกันเอาเอง, หาใช่ด้วยการชี้แจงโดยกระจ่าง ของบุคคลภายนอกเหล่าอื่นไม่; จัดเป็นบริษัทที่เลิศแล. (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๒๐ / ๒๙ / ๒๙๒)

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระไตรปฎิ ก เลม่ ๔) วรรคใหญ่ ภาค ๑ มี ๔ ขนั ธ์

๑๙๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๑. มหาขนั ธกะ หมวดใหญ่ วา่ ดว้ ยเหตกุ ารณใ์ นสมยั ทต่ี รสั รใู้ หม่ ๆ ทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ ประทับ ณ โคนไม้โพธิริมฝั่งแม่น้ำ เนรญั ชรา ในตำบลอรุ เุ วลา พระองคป์ ระทบั นง่ั เสวยวมิ ตุ ตสิ ขุ ณ โคนไมโ้ พธติ ลอด ๗ วัน ในเวลาปฐมยามแห่งราตรี ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ธรรมที่เกิด ขน้ึ และดบั ไปเพราะอาศยั เหตปุ จั จยั โดยอนโุ ลมและปฏโิ ลม แลว้ ทรงเปลง่ อทุ าน วา่ เมอ่ื ธรรมปรากฏ แกพ่ ราหมณผ์ มู้ คี วามเพยี รเพง่ อยเู่ ขายอ่ มสน้ิ ความ สงสยั เพราะรธู้ รรมพรอ้ มทง้ั ตน้ เหตุ ในเวลามชั ฌมิ ยามแหง่ ราตรี ทรง พิจารณาปฏิจจสมุปบาทโดยอนุโลมและปฏิโลมแล้วทรงเปล่งอุทานว่า เมื่อธรรม ปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เขาย่อมสิ้นความสงสัย เพราะได้ ทราบถึงความสิ้นไปแห่งปัจจัย ในเวลาปัจฉิมยามแห่งราตรีทรงพิจารณา ปฏจิ จสมปุ บาททง้ั โดยอนโุ ลมตามลำดบั และโดยปฏโิ ลมยอ้ นลำดบั แลว้ ทรงเปลง่ อทุ านวา่ เมอ่ื ธรรมปรากฏแกพ่ ราหมณผ์ มู้ คี วามเพยี รเพง่ อยู่ พราหมณน์ น้ั ยอ่ ม กำจดั มารพรอ้ มทง้ั เสนาเสยี ได้ ดงั ดวงอาทติ ยท์ ำทอ้ งฟา้ ใหส้ วา่ งฉะนน้ั . ทรงโต้ตอบกับพราหมณ์ที่ชอบตวาดคน เมอ่ื ครบ ๗ วนั แลว้ ทรงออกจากสมาธนิ น้ั เสดจ็ จากโคนไมโ้ พธิ ไปยงั ไม้อชปาลนิโครธ ต้นไทรที่เด็กเลี้ยงแพะชอบมาพัก ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ณ โคนไมน้ น้ั ตลอด ๗ วนั มพี ราหมณช์ อบตวาดคนมาเฝา้ กราบทลู ถามถงึ ธรรมะ ที่ทำคนให้เป็นพราหมณ์ ทรงเปล่งอุทานเป็นใจความว่า ผู้ที่จะนับว่าเป็น พราหมณ์ คือผู้ลอยบาป ไม่มักตวาดคนอื่น ไม่มีกิเลสเหมือนน้ำฝาด สำรวมตน มคี วามรจู้ บเวท อยจู่ บพรหมจรรยแ์ ลว้ ไมม่ คี วามเยอ่ หยง่ิ .

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๑๙๗ ทรงเปล่งอุทานที่ต้นจิก ครน้ั ครบ ๗วนั แลว้ ทรงออกจากสมาธนิ น้ั เสดจ็ จากโคนไมอ้ ชปาลนโิ ครธ ไปยังต้นจิก ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ณ โคนไม้จิกนั้น ตลอด ๗ วัน ได้เกิด เมฆใหญ่ผิดฤดูกาลมีฝนตกพรำเจือด้วยลมหนาว ตลอด ๗ วัน พญานาค ชอ่ื มจุ ลนิ ท์ มาวงดว้ ยขนดรอบพระกายของพระผมู้ พี ระภาค ๗ รอบ เพอ่ื ปอ้ งกนั หนาวรอ้ นเหลอื บยงุ เปน็ ตน้ ทรงเปลง่ อทุ านปรารภสขุ ๔ ประการ คอื สขุ เพราะ ความสงัด สุขเพราะไม่เบียดเบียน สุขเพราะปราศจากราคะ กา้ วลว่ งกามเสยี ได้ และสขุ อยา่ งยอดคอื การนำความถอื ตวั ออกได.้ เหตุการณ์ที่ต้นเกต ครั้นครบ ๗ วันแล้ว ทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากโคนไม้จิกไปยัง ไมร้ าชายตนะ (ตน้ เกต) ประทบั นง่ั เสวยวมิ ตุ ตสิ ขุ ณ โคนไมเ้ กตนน้ั ตลอด ๗ วนั มพี อ่ คา้ ๒ คนชอ่ื ตปสุ สะ กบั ภลั ลกิ ะ เดนิ ทางมาจากอกุ ละชนบท ถวายขา้ ว สตั ตกุ อ้ นและสตั ตผุ ง ทรงรบั ดว้ ยบาตรทท่ี า้ วจาตมุ มหาราชถวาย แลว้ เสวยขา้ ว นั้น พ่อค้า ๒ คนปฏิญญาตนเป็นอุบาสกถึง พระพุทธ พระธรรม เป็นสรณะ นบั เปน็ อบุ าสกชดุ แรกในโลกทเ่ี ปลง่ วาจาถงึ รตั นะ ๒ (คอื พระพทุ ธ พระธรรม). เสด็จกลับไปต้นไทรอีก ครั้นครบ ๗ วันแล้ว ทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากโคนไม้เกต ไปยงั ตน้ ไทรทเ่ี ดก็ เลย้ี งแพะชอบมาพกั (อชปาลนโิ ครธ) และประทบั ณ โคนไม้ ไทรนน้ั ทรงพจิ ารณาเหน็ วา่ ธรรมทพ่ี ระองคต์ รสั รู้ ลกึ ซง้ึ ยากทค่ี นอน่ื จะตรสั รู้ ตามได้ กลา่ วคอื หลกั อทิ ปั ปจั จยตา ปฏจิ จสมปุ บาท แมฐ้ านะคอื ความสงบ แหง่ สงั ขารทง้ั ปวง ความสลดั คนื ซง่ึ อปุ ธทิ ง้ั ปวง ความสน้ิ ตณั หา วริ าคะ นโิ รธ นพิ พาน กเ็ ปน็ สง่ิ ทเ่ี หน็ ไดย้ าก ทรงนอ้ มพระหฤทยั ไปในทางทจ่ี ะไมแ่ สดงธรรม

๑๙๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก พระพรหมมาอาราธนา ท้าวสหัมบดีพรหมทราบพระพุทธดำริ จึงมาเฝ้ากราบทูลอาราธนา ให้ทรงแสดงธรรม อ้างเหตุผลว่าผู้ที่มีกิเลสน้อย พอจะรู้พระธรรมได้มีอยู่ พระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาสัตว์เปรียบด้วยดอกบัว ๓ ชนิด คือที่อยู่ใต้น้ำ เสมอนำ้ และโผลพ่ น้ นำ้ อนั เปรยี บดว้ ยบคุ คล ๓ ชนดิ ทพ่ี อจะตรสั รไู้ ด๑้ จงึ ทรง ตกลงพระหฤทัยที่จะแสดงธรรม ทรงปรารภอาฬารดาบส กาลามโคตร ก็ทรง ทราบวา่ ถงึ แกก่ รรมเสยี ๗ วนั แลว้ ทรงปรารภอทุ กดาบส รามบตุ ร กท็ รงทราบ วา่ ถงึ แกก่ รรมเสยี เมอ่ื วานนเ้ี อง จงึ ตกลงพระหฤทยั เสดจ็ ไปแสดงธรรมโปรด ปญั จวคั คยี ์ ณ ปา่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ระหวา่ งทางทรงพบอปุ กาชวี ก ไดต้ รสั โตต้ อบกบั อาชวี กนน้ั แตอ่ ปุ กาชวี กไมเ่ ชอ่ื . ทรงแสดงธรรมครง้ั แรก เมอ่ื เสดจ็ ถงึ ปา่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงกรงุ พาราณสแี ลว้ ครง้ั แรก ปัญจวัคคีย์เหล่านั้นแสดงอาการกระด้างกระเดื่อง แต่เมื่อทรงเตือนให้นึกถึงว่า เมื่อก่อนพระองค์ ไม่เคยตรัสบอกเลยว่าตรัสรู้ บัดนี้ตรัสบอกแล้ว จึงควร ตง้ั ใจฟงั กพ็ ากนั ตง้ั ใจฟงั พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงแสดงธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร มใี จความสำคญั คอื :- ๑. ทรงชท้ี างทผ่ี ดิ อนั ไดแ้ กก่ ามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค (การประกอบตนใหช้ มุ่ อยูด่ ้วยกาม) และอัตตกิลมถานุโยค (การทรมานตนใหล้ ำบาก) วา่ เป็นสว่ นสดุ โตง่ ทบ่ี รรพชติ ไมค่ วรดำเนนิ แลว้ ทรงแสดงมชั ฌมิ าปฏปิ ทา (ขอ้ ปฏบิ ตั สิ ายกลาง) ไดแ้ กม่ รรคมอี งค์ ๘ ทพ่ี ระองคต์ รสั รแู้ ลว้ อนั เปน็ ไปเพอ่ื พระนพิ พาน. ๒. ทรงแสดงอรยิ สจั ๔ คอื ทกุ ข์ เหตใุ หท้ กุ ขเ์ กดิ ความดบั ทกุ ข์ และขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ โดยละเอยี ด. ๓. ทรงแสดงวา่ ทรงรตู้ วั อรยิ สจั ทง้ั ๔ ทรงรหู้ นา้ ทอ่ี นั ควรทำในอรยิ สจั ๑ ในอรรถกถา ไดก้ ลา่ วบวั สว่ นประเภทท่ี ๔ คอื ดอกบวั ทไ่ี มม่ หี วงั จะโผลน่ ำ้ ได้ เปรยี บดว้ ยบคุ คลผไู้ มม่ หี วงั จะไดต้ รสั รู้

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๑๙๙ ทง้ั ๔ และทรงรวู้ า่ ไดท้ รงทำหนา้ ทเ่ี สรจ็ แลว้ จงึ ทรงแนพ่ ระหฤทยั วา่ ไดต้ รสั รู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว (อันแสดงว่าทรงปฏิบัติจนได้ผลด้วยพระองค์ เองแลว้ ) เมอ่ื จบพระธรรมเทศนา ทา่ นโกณฑญั ญะไดด้ วงตาเหน็ ธรรม และได้ ขอบวช ต่อมาท่านวัปปะ ท่านภัททิยะ ท่านมหานามะและท่านอัสสชิ สดับ พระธรรมเทศนา ไดด้ วงตาเหน็ ธรรมตามลำดบั และไดข้ อบวช เปน็ อนั ไดบ้ วช ครบทง้ั ๕ ทา่ น. ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร ตอ่ จากนน้ั พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงแสดงอนตั ตลกั ขณสตู รแกภ่ กิ ษุ ปญั จวคั คยี น์ น้ั มใี จความสำคญั คอื :- ๑. รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ ไมใ่ ชต่ น ถา้ เปน็ ตนกจ็ ะ บงั คบั บญั ชาใหเ้ ปน็ อยา่ งน้ี ไมเ่ ปน็ อยา่ งนน้ั ได้ ฉะนน้ั จงึ เปน็ ไปเพอ่ื ปว่ ยอาพาธ เพราะไมใ่ ชต่ นจงึ บงั คบั บญั ชาไมไ่ ด.้ ๒. แล้วตรัสถามให้ตอบเป็นข้อ ๆ ไปว่า ขันธ์ ๕ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ตอบวา่ ไมเ่ ทย่ี ง สง่ิ ทไ่ี มเ่ ทย่ี งเปน็ ทกุ ขห์ รอื เปน็ สขุ ตอบวา่ เปน็ ทกุ ข์ สง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง เป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นว่านั่นของเรา เราเปน็ นน่ั นน่ั เปน็ ตวั ตนของเรา ภกิ ษปุ จั วคั คยี เ์ หลา่ นน้ั ตอบวา่ ไมค่ วร. ๓. ตรัสสรุปว่าเพราะเหตุนั้น ควรเห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า รูป เปน็ ตน้ นน้ั ทกุ ชนดิ ไมใ่ ชข่ องเรา เราไมไ่ ดเ้ ปน็ นน่ั นน่ั ไมใ่ ชต่ วั ตนของเรา. ๔. ตรัสแสดงผลว่า อริยสาวกผู้เห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในรูป เป็นต้นนั้น เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อ หลุดพ้นก็รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ว่าสิ้นชาติอยู่จบพรหมจรรย์ทำหน้าที่เสร็จแล้ว ไมต่ อ้ งทำหนา้ ทอ่ี ะไรเพอ่ื ความเปน็ อยา่ งนอ้ี กี ภกิ ษปุ ญั จวคั คยี ม์ จี ติ หลดุ พน้ จาก อาสวะไมถ่ อื มน่ั ดว้ ยอปุ าทาน ครง้ั นน้ั มพี ระอรหนั ตเ์ กดิ ขน้ึ ในโลก ๖ องค.์

๒๐๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก แสดงธรรมโปรดยสกุลบุตรกับครอบครัวและมิตรสหาย ยสกุลบุตร เบื่อหน่ายชีวิตครองเรือนกลุ้มใจออกจากบ้านไปยังป่า อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ในเวลาเชา้ มดื ไดพ้ บพระผมู้ พี ระภาค ทรงตรสั อนปุ พุ พกิ ถา๑ และทรงแสดงอรยิ สจั ส่ี ยสกลุ บตุ รไดด้ วงตาเหน็ ธรรม เศรษฐผี เู้ ปน็ บดิ าออกตาม พบพระผมู้ พี ระภาคไดส้ ดบั พระธรรมเทศนาไดด้ วงตาเหน็ ธรรม ประกาศตนเปน็ อุบาสกถงึ พระรัตนตรยั ในขณะทีฟ่ ังพระธรรมเทศนาท่แี สดงแก่เศรษฐผี ู้เป็น บดิ า ยสกลุ บตุ รกไ็ ดต้ รสั รเู้ ปน็ พระอรหนั ต์ และขอบวช ครง้ั นน้ั มพี ระอรหนั ตใ์ น โลก ๗ องค์ รุ่งเช้าพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยพระยสะ เสด็จไปฉันที่เรือน เศรษฐผี บู้ ดิ า ทรงแสดงธรรมโปรดมารดา และภรยิ าของพระยสะใหไ้ ดด้ วงตา เหน็ ธรรม ประกาศตนเปน็ อบุ าสกิ าถงึ พระรตั นตรยั ตลอดชวี ติ นบั เปน็ อบุ าสกิ า ชดุ แรกในโลก ครน้ั แลว้ มเี พอ่ื นของพระยสะ ๔ คน กบั อกี ๕๐ คนตามลำดบั ได้ มาฟงั พระธรรมเทศนา สำเรจ็ เปน็ พระอรหนั ต์ จงึ มพี ระอรหนั ตใ์ นโลก ๖๑ องค.์ ทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนา ครง้ั นน้ั พระผมู้ พี ระภาคไดร้ บั สง่ั กบั ภกิ ษทุ ง้ั หลายเหลา่ นน้ั วา่ “ภกิ ษุ ทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบว่ งทง้ั ปวง ทง้ั ทีเ่ ป็นของทพิ ยแ์ ละของมนุษย์ แม้ พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์ ภิกษุ ทง้ั หลาย พวกเธอจงจารกิ ไป เพอ่ื ประโยชนส์ ขุ แกม่ หาชน เพอ่ื อนเุ คราะหแ์ ก่ ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ อย่าไป ทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น มีความงามใน ทา่ มกลาง และมคี วามงามในทส่ี ดุ จงประกาศพรหมจรรย์ พรอ้ มทง้ั อรรถและ พยญั ชนะบรสิ ทุ ธบ์ิ รบิ รู ณค์ รบถว้ น สตั วท์ ง้ั หลายทม่ี ธี ลุ ใี นตานอ้ ย มอี ยู่ ยอ่ ม เสื่อมเพราะไม่ได้ฟังธรรม จักมีผู้รู้ธรรม ภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็จักไปยัง ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อแสดงธรรม”. ๑ อนุปุพพิกถา คือ เรือ่ งทาน, เรื่องศลี , เร่ืองสวรรค์, เร่อื งโทษความต่ำทรามความเศร้าหมองแห่งกาม และเรอ่ื ง อานสิ งสแ์ หง่ การออกจากกาม

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๐๑ ทรงอนุญาตการบรรพชาอุปสมบท ภิกษุที่ไปเผยแผ่พระศาสนาเหล่านั้น นำกุลบุตรที่ประสงค์จะบรรพชา อุปสมบทมาเฝ้า เพื่อให้พระผู้มีพระภาคทรงบรรพชาอุปสมบทให้ ได้รับ ความลำบากเกี่ยวกับการเดินทางมา จึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ อนุญาตให้ภิกษุ เหลา่ นน้ั ดำเนนิ การใหบ้ รรพชาอปุ สมบทไดเ้ อง โดยใหผ้ ปู้ ระสงคจ์ ะบวชโกนผม ปลงหนวด นงุ่ หม่ ผา้ ยอ้ มฝาด ทำผา้ หม่ เฉวยี งบา่ ขา้ งหนง่ึ ไหวเ้ ทา้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ครบ ๓ ครั้ง ก็เป็นอันได้บวชด้วยการ ถงึ สรณะ ๓ (ตสิ รณคมนปู สมั ปทา) ตรัสเรื่องความหลุดพ้นอย่างยอดเยี่ยม เมอ่ื พระผมู้ พี ระภาค ทรงจำพรรษาเสรจ็ แลว้ ตรสั สอนภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ เราไดบ้ รรลไุ ดท้ ำใหแ้ จง้ แลว้ ซง่ึ ความหลดุ พน้ อนั ยอดเยย่ี ม ดว้ ยการไตรต่ รอง โดยแยบคาย ด้วยความเพียรชอบโดยแยบคาย แม้ท่านทั้งหลายก็ได้บรรลุ ได้ทำให้แจ้งแล้วซึ่งความหลุดพ้นอันยอดเยี่ยม ด้วยการไตร่ตรองอันแยบคาย และดว้ ยความเพยี รชอบอนั แยบคายเชน่ เดยี วกนั . โปรดสหาย ๓๐ คน ครน้ั ประทบั ณ กรงุ พาราณสพี อสมควรแลว้ กเ็ สดจ็ ไปยงั ตำบลอรุ เุ วลา เสนานคิ ม ระหวา่ งทางทรงแวะพกั ณ โคนไมแ้ หง่ หนง่ึ ไดแ้ สดงธรรมโปรด ภทั ทวคั คยี ก์ มุ าร ซง่ึ เปน็ สหายกนั ๓๐ คน ใหไ้ ดด้ วงตาเหน็ ธรรมแลว้ ขอบวช พระองคก์ ไ็ ดป้ ระทานการบวชดว้ ยพระองคเ์ อง โดยตรสั ว่า “เธอจงเป็นภกิ ษุ มาเถดิ ธรรมอนั เรากลา่ วดแี ลว้ เธอจงประพฤตพิ รรหมจรรยเ์ พอ่ื ทำทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ข์ โดยชอบเถดิ ” (เอหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทา) โปรดชฎลิ ๓ พน่ี อ้ งและบรวิ าร ครั้นถึงตำบลอุรุเวลา ซึ่งชฎิล ๓ พี่น้องอาศัยอยู่คืออุรุเวลกัสสป

๒๐๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก นทกี สั สป และคยากสั สป แตล่ ะคนมบี รวิ าร ๕๐๐, ๓๐๐, และ ๒๐๐ คนตามลำดบั ในชั้นแรกได้ทรงขอพักในเขตอาศรมของอุรุเวลกัสสป ได้ทรงแสดงปาฏิหารย์ หลายอยา่ ง จนอรุ เุ วลกสั สปคลายทฏิ ฐมิ านะ ขอบวชในพระพทุ ธศาสนา เมอ่ื พระผมู้ พี ระภาคตรสั ใหบ้ อกลาบรวิ ารกอ่ น บรวิ ารกต็ กลงใจจะบวชดว้ ย จงึ ลอย บริขารลงในน้ำ ขอบวชร่วมกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ประทานการบวชด้วย เอหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทา. นทีกัสสป น้องคนที่สองเห็นบริขารลอยมาตามกระแสน้ำคิดว่า เกิดอันตรายแก่พี่ของตน แต่เมื่อสอบถามทราบความก็ลอยบริขารของตนและ บรวิ ารขอบวช ทำนองเดยี วกบั พช่ี าย และคยากสั สป เหน็ บรขิ ารลอยมากส็ งสยั เมอ่ื สอบถามทราบความกข็ อบวชพรอ้ มดว้ ยบรวิ ารเชน่ เดยี วกนั . ทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตร เมื่อประทับ ณ ตำบลอุรุเวลา พอสมควรแล้ว ก็เสด็จไปยังตำบล คยาสสี ะ พรอ้ มดว้ ยภกิ ษสุ งฆห์ มใู่ หญผ่ เู้ คยเปน็ ชฎลิ มากอ่ น ณ ทน่ี น้ั ทรงแสดง อาทติ ตปรยิ ายสตู ร มใี จความวา่ ๑. ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ เปน็ ของรอ้ น รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ คอื สง่ิ ทถ่ี กู ตอ้ งไดด้ ว้ ยกาย ธรรมารมณ์ คอื สง่ิ ทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยใจ เปน็ ของรอ้ น วญิ ญาณ คอื ความรอู้ ารมณท์ าง ตา หู เปน็ ตน้ เปน็ ของรอ้ น ผสั สะ คอื ความกระทบอารมณ์ ทางตาเป็นต้น เป็นของร้อน เวทนา คือความเสวยอารมณ์เป็นสุขทุกข์หรือ ไมท่ กุ ขไ์ มส่ ขุ ซง่ึ เกดิ จากสมั ผสั ทางตาเปน็ ตน้ เปน็ ของรอ้ น รอ้ นเพราะไฟ คอื ราคะ โทสะ โมหะ รอ้ นเพราะความเกดิ ความแก่ ความตาย ความเศรา้ โศก ความพไิ ร รำพนั ความไมส่ บายกาย ความไมส่ บายใจ และความขดั ใจ. ๒. เมอ่ื อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั ไดเ้ หน็ เชน่ น้ี ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยในตา หู เปน็ ตน้ ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยใน รปู เสยี งฯ ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยในวญิ ญาณ มคี วามรอู้ ารมณท์ างตาฯ ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยในผสั สะ มคี วามกระทบอารมณ์ ทางตาฯ ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยในเวทนา มีความเสวยอารมณ์ที่เกิดเพราะจักขุสัมผัสฯ เมื่อเบื่อหน่าย ก็คลายกำหนัด เพราะคลายกำหนดั ยอ่ มหลดุ พน้ เมอ่ื หลดุ พน้ กม็ ญี าณรวู้ า่ หลดุ พน้ แลว้

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๐๓ รู้ว่าสิ้นความเกิด ได้อยู่จบพรหมจรรย์แล้วได้ทำหน้าที่เสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่น ทจ่ี ะพงึ ทำเพอ่ื ความเปน็ อยา่ งนอ้ี กี ผลของการแสดงพระธรรมเทศนาน้ี ภกิ ษุ ๑,๐๐๐ รปู มจี ติ พน้ จากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน โปรดพระเจ้าพิมพิสาร เมอ่ื ประทบั ณ ตำบลคยาสสี ะพอสมควรแลว้ จงึ เสดจ็ ไปสกู่ รงุ ราชคฤห์ พรอ้ มดว้ ยภกิ ษผุ เู้ คยเปน็ ชฎลิ ๑,๐๐๐ รปู ประทบั อยู่ ณ เจดยี ซ์ ง่ึ ประดษิ ฐานไว้ ดแี ลว้ ณ สวนตาลหนมุ่ พระเจา้ พมิ พสิ าร จอมทพั แควน้ มคธพรอ้ มดว้ ยพราหมณ์ คฤหบดีชาวมคธจำนวน ๑๒ นหุต (๑๒๐,๐๐๐ คน) ได้สดับกิตติศัพท์ของ พระผู้มีพระภาคจึงเสด็จไปและไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ในชั้นแรกพระผู้มีพระภาค ทรงให้ อุรุเวลกัสสป ประกาศความที่ตนละเลิกลัทธิเดิมมาขอบวชว่ามี เหตุผลอย่างไร เพื่อทำลายทิฏฐิมานะของบุคคลบางคนก่อน แล้วจึงทรงแสดง อนปุ พุ พกิ ถา (ทาน ศลี สวรรค์ โทษของกาม และอานสิ งสข์ องการออกจากกาม โดยลำดบั ) และทรงแสดงอรยิ สจั ๔ พระเจา้ พมิ พสิ าร พรอ้ มทง้ั พราหมณ์ คฤหบดี ๑๑ นหตุ ไดด้ วงตาเหน็ ธรรม (เปน็ โสดาบนั บคุ คล) อกี หนง่ึ นหตุ รแู้ จง้ ความเปน็ อุบาสก พระเจา้ พมิ พสิ ารกราบทลู ในการทท่ี รงสมพระราชประสงค์ ๕ ประการ คอื ๑.ขอให้ได้อภเิ ษกในราชสมบัติ ๒.ขอให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสู่แว่นแคว้น ๓.ขอใหไ้ ดเ้ ขา้ ไปนง่ั ใกล้ ๔.ขอให้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ๕.ขอให้ได้รู้ธรรมะของพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วกราบทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา ประกาศพระองค์ เปน็ อบุ าสกถงึ พระรตั นตรยั เปน็ สรณะตลอดพระชนมช์ พี แลว้ ทรงอาราธนา พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น.

๒๐๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ในวนั รงุ่ ขน้ึ ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคเสดจ็ ไป ณ ราชนเิ วศนพ์ รอ้ มดว้ ยภกิ ษสุ งฆ์ เมอ่ื องั คาส(ถวายพระ, เลย้ี งพระ) เสรจ็ แลว้ พระเจา้ พมิ พสิ ารไดท้ รงหลง่ั นำ้ จาก พระเตา้ ทอง เพอ่ื ถวายเวฬวุ นั ปา่ ไผ่ แดพ่ ระสงฆม์ พี ระพทุ ธเจา้ ทรงเปน็ ประมขุ พระผู้มีพระภาคทรงรับ แล้วเสด็จกลับ ทรงปรารภเหตุนั้น จึงได้ประทาน พระพทุ ธานญุ าตใหม้ อี าราม (วดั ) ได.้ สารบี ตุ ร โมคคลั ลานะออกบวช สมัยนั้นสัญชัยปริพาชกอาศัยอยู่ ณ กรุงราชคฤห์พร้อมด้วยบริษัท ปรพิ าชกหมใู่ หญ่ จำนวน ๒๕๐ คน ในครง้ั นน้ั สารบี ตุ รและโมคคลั ลานะ ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักสัญชัยปริพาชก ต่างทำกติกากันว่า ใครได้บรรลุ อมตธรรมก่อนจะบอกแก่อีกคนหนึ่ง สารีบุตรได้เห็นพระอัสสชิเข้าไปสู่กรุง ราชคฤห์เพื่อบิณฑบาต มีความเลื่อมใสในความสงบเสงี่ยมเรียบร้อยของท่าน จึงรอจนได้โอกาสก็เข้าไปถามถึงหลักธรรมในศาสนาที่ท่านบวช ท่านกล่าว หลักธรรมเพียงย่อๆให้ฟังว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคต ทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น.” สารีบุตรได้ฟังก็ได้ดวงตาเห็นธรรม แล้วนำมาเล่าให้โมคคัลลานะฟัง โมคคลั ลานะกไ็ ดด้ วงตาเหน็ ธรรม จงึ พากนั ไปลาปรพิ าชก ๒๕๐ คน เพอ่ื จะไป บวชในสำนกั พระบรมศาสดา แตป่ รพิ าชกเหลา่ นน้ั ขอไปดว้ ย จงึ พรอ้ มกนั ไปลา สญั ชยั ผอู้ าจารย์ สญั ชยั ขอใหอ้ ยชู่ ว่ ยกนั บรหิ ารหมคู่ ณะถงึ ๓ ครง้ั แตส่ ารบี ตุ ร โมคคัลลานะไม่ยอม คงลาไปพร้อมทั้งปริพาชกอีก ๒๕๐ คน สัญชัยเสียใจถึง อาเจยี นเปน็ โลหติ เมื่อไปเฝ้าทูลขอบวชในพระพุทธศาสนาต่อพระผู้มีพระภาคก็ได้รับ พระพุทธานุญาตให้เป็นภิกษุด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ครั้งนั้นคนสำคัญ ชาวมคธออกบวช ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเป็นอันมาก คนทั้งหลายจึงพากันติเตียนว่า เป็นปฏิปทาที่ทำสกุลวงศ์ให้ขาดสูญ พระผมู้ พี ระภาคทรงแนะนำใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลายกลา่ ววา่ พระองคแ์ นะนำโดยธรรม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook