Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน (อริยวินัย)

พุทธวจน (อริยวินัย)

Published by Sarapee District Public Library, 2020-06-09 00:16:23

Description: พุทธวจน (อริยวินัย)

Keywords: พุทธวจน,ธรรมะ

Search

Read the Text Version

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๐๕ มิใช่โดยอธรรม เมื่อมนุษย์ทั้งหลายจำนนต่อคำว่า ธรรม และหาทางจับผิด ทว่ี า่ มอี ะไร เปน็ อธรรม ไมไ่ ด้ กพ็ ากนั เลกิ ตเิ ตยี น ภายใน ๗ วนั (มเี รอ่ื งทท่ี รง แกข้ อ้ ทถ่ี กู กลา่ วหาวา่ เปน็ “กาฝากสงั คม” อยใู่ นหนา้ ๓๐๒) ทรงอนุญาตให้มีอุปัชฌาย์ สมยั นน้ั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ไมม่ อี ปุ ชั ฌาย๑์ ไมม่ ผี ใู้ หโ้ อวาทสง่ั สอน กน็ งุ่ หม่ ไมเ่ รยี บรอ้ ย มอี ากปั กริ ยิ าไมเ่ หมาะสมเทย่ี วไปบณิ ฑบาต เขากำลงั บรโิ ภคอยู่ กย็ น่ื บาตรเขา้ ไปเหนอื ของบรโิ ภค ของขบเคย้ี ว เปน็ ตน้ บา้ งกข็ อแกง บา้ งขอ ขา้ วสกุ ดว้ ยตนเองมาฉนั บา้ งกส็ ง่ เสยี งดงั ในโรงอาหาร เปน็ ทต่ี ำหนติ เิ ตยี น พระผู้มีพระภาคทรงปรารภเหตนุ ี้ จงึ ทรงอนุญาตใหม้ ีอุปชั ฌาย์ ให้อุปัชฌาย์ ตง้ั จติ ในสทั ธวิ หิ ารกิ ๒เหมอื นบตุ ร ใหส้ ทั ธวิ หิ ารกิ ตง้ั จติ ในอปุ ชั ฌายเ์ หมอื นบดิ า ทรงสอนวธิ ถี อื อปุ ชั ฌายซ์ ง่ึ ตอ้ งเปลง่ วาจาดว้ ยกนั ทง้ั สองฝา่ ย. (หนา้ ๔๐๑) ทรงบัญญัติอุปัชฌายวัตร ครน้ั แลว้ ทรงบญั ญตั อิ ปุ ชั ฌายวตั ร คอื ขอ้ ทส่ี ทั ธวิ หิ ารกิ จะพงึ ปฏบิ ตั ชิ อบ ในอุปัชฌาย์ มีการรับใช้การปฏิบัติตนต่อท่าน การช่วยจัดสิ่งต่าง ๆ ให้ท่าน ประมาณไมน่ อ้ ยกวา่ ๑๐๐ ขอ้ . (มรี ายละเอยี ดในอปุ ชั ฌายวตั ร หนา้ ๓๔๔) ทรงบัญญัติสัทธิวิหาริกวัตร ครน้ั แลว้ ทรงบญั ญตั สิ ทั ธวิ หิ ารกิ วตั ร คอื ขอ้ ทอ่ี ปุ ชั ฌาย์ จะพงึ ปฏบิ ตั ิ ชอบในสทั ธวิ หิ ารกิ มกี ารสง่ั สอน การสงเคราะห์ ดว้ ยบาตร จวี ร การพยาบาล เมื่อป่วยไข้ และกิจอย่างอื่นอีกไม่น้อยกว่า ๑๐๐ ข้อเช่นกัน. (มีรายละเอียด ในสทั ธวิ หิ ารกิ วตั ร หนา้ ๓๔๘) ๑ อปุ ชั ฌายะ “ผเู้ พง่ โทษนอ้ ยใหญ”่ หมายถงึ ผรู้ บั รองกลุ บตุ รเขา้ รบั การอปุ สมบทในทา่ มกลางสงฆ์ เปน็ ทง้ั ผนู้ ำเขา้ หมู่ และเปน็ ผปู้ กครองคอยดแู ลผดิ และชอบ ทำหนา้ ทฝ่ี กึ สอนอบรมใหก้ ารศกึ ษา (พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลธรรม) ๒ สทั ธวิ หิ ารกิ “ศษิ ย,์ ผอู้ ยดู่ ว้ ย” หมายถงึ ถา้ อปุ สมบทตอ่ พระอปุ ชั ฌายอ์ งคใ์ ด กเ็ ปน็ สทั ธวิ หิ ารกิ พระอปุ ชั ฌายอ์ งคน์ น้ั .

๒๐๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทรงปรับอาบัติ อนุญาตให้ประณาม และขอขมา ครั้งนั้น สัทธิวิหาริก ไม่ปฏิบัติชอบในอุปัชฌาย์เป็นที่ติเตียน จึงทรง บัญญัติพระวินัยปรับอาบัติทุกกฏแก่สัทธิวิหาริก ผู้ไม่ปฏิบัติชอบใน อุปัชฌาย์. แมเ้ ชน่ นน้ั กย็ งั มสี ทั ธวิ หิ ารกิ ทไ่ี มป่ ฏบิ ตั ชิ อบ จงึ ทรงอนญุ าตใหอ้ ปุ ชั ฌาย์ ประณาม คอื ไลส่ ทั ธวิ หิ ารกิ ดว้ ยแจง้ ใหท้ ราบดว้ ยกายหรอื วาจาได.้ สทั ธวิ หิ ารกิ ทถ่ี กู ไลแ่ ลว้ ไมข่ อขมา จงึ ทรงอนญุ าตใหข้ อขมา และ ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ไม่ขอขมา. สทั ธวิ หิ ารกิ ขอขมาแลว้ อปุ ชั ฌายไ์ มย่ อมยกโทษให้ จงึ ทรงอนญุ าตให้ อุปัชฌาย์ยกโทษให้ อุปัชฌาย์ไม่ยกโทษให้ก็มี สัทธิวิหาริกจึงจากไปบ้าง สึก ไปบ้าง ไปเข้ารีตเดียรถีย์บ้าง พระพุทธองค์ทรงทราบ จึงทรงบัญญัติพระวินัย ปรบั อาบตั ทิ กุ กฏ แกอ่ ปุ ชั ฌาย์ ทส่ี ทั ธวิ หิ ารกิ ขอขมาแลว้ ไมย่ อมยกโทษให.้ ทรงวางวิธีประณามให้รัดกุม สมยั นน้ั อปุ ชั ฌาย์ ประณาม (ขบั ไล)่ สทั ธวิ หิ ารกิ ทป่ี ฏบิ ตั ชิ อบไมป่ ระณาม สทั ธวิ หิ ารกิ ทไ่ี มป่ ฏบิ ตั ชิ อบ พระองคท์ รงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั วิ า่ สทั ธวิ หิ ารกิ ที่ปฏิบัติชอบ ไม่ควรประณาม ผู้ใดประณาม ผู้นั้นต้องอาบัติทุกกฏ สทั ธวิ หิ ารกิ ทป่ี ฏบิ ตั ไิ มช่ อบ จะไมป่ ระณามไมไ่ ด้ ถา้ ไมป่ ระณามตอ้ งอาบตั ิ ทุกกฏ. ครน้ั แลว้ จงึ ทรงแสดงองค์ ๕ ของสทั ธวิ หิ ารกิ ทค่ี วรประณาม คอื ขาดความรัก ขาดความเลื่อมใส ขาดความละอาย ขาดความเคารพ และขาด ความเมตตา แลว้ ทรงแสดงองค์ ๕ ของสทั ธวิ หิ ารกิ ทไ่ี มค่ วรประณาม มี ประกอบ ด้วยความรัก ความละอาย ความเคารพเป็นต้น สัทธิวิหาริกที่ควรประณาม แตไ่ มป่ ระณามกม็ โี ทษ ถา้ ประณามกไ็ มม่ โี ทษ สว่ นสทั ธวิ หิ ารกิ ทไ่ี มค่ วรประณาม ถ้าประณามก็มีโทษ ถ้าไม่ประณามก็ไม่มีโทษ.

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๐๗ ทรงอนุญาตการบวชเป็นการสงฆ์ พราหมณผ์ หู้ นง่ึ (ชอ่ื ราธะ) ขอบวช ไมม่ ภี กิ ษรุ ปู ใดบวชให้ พระผมู้ พี ระภาค ตรสั ถามวา่ ใครระลกึ ถงึ อปุ การะของพราหมณน์ ไ้ี ดบ้ า้ ง พระสารบี ตุ ร ตอบวา่ ทา่ นระลกึ ไดว้ า่ พราหมณผ์ นู้ ้ี เคยถวายอาหารแกท่ า่ นทพั พหี นง่ึ พระผมู้ พี ระภาค จึงสรรเสริญพระสารีบุตรที่มีความกตัญญูรู้คุณมาก และมอบให้พระสารีบุตร บวชใหพ้ ราหมณน์ น้ั โดยทรงแสดงวธิ บี วชเปน็ การสงฆ์ ทเ่ี รยี กวา่ ญตั ตจิ ตตุ ถ- กมั มอปุ สมั ปทา๑ ภายหลงั มเี หตเุ กดิ ขน้ึ คอื ผบู้ วชประพฤตไิ มเ่ รยี บรอ้ ย และอา้ ง วา่ ไมไ่ ดข้ อบวช พระบวชใหเ้ อง จงึ ทรงอนญุ าตใหบ้ วชเฉพาะแกผ่ ขู้ อบวชเทา่ นน้ั . ผู้บวชเพราะเห็นแก่ท้อง พราหมณผ์ หู้ นง่ึ เหน็ วา่ บวชแลว้ กนิ อม่ิ นอนหลบั จงึ ออกบวช ครน้ั อาหาร ทเ่ี ขาถวายประจำหมดวาระ ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ ชวนออกบณิ ฑบาต กก็ ลา่ ววา่ จะสกึ เพราะคิดว่าจะบวชโดยไม่ต้องบิณฑบาต มีผู้ติเตียนว่าบวชเพราะเห็นแก่ท้อง พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงอนญุ าตใหบ้ อกนสิ สยั ๔ คอื ปจั จยั เครอ่ื งอาศยั ของ บรรพชติ อนั ไดแ้ ก่ เครอ่ื งนงุ่ หม่ , อาหาร, ทอ่ี ยอู่ าศยั ,และยารกั ษาโรค อนั เปน็ ของ พออาศยั ดำรงชพี อยไู่ ด้ เชน่ อาหารทเ่ี ทย่ี วบณิ ฑบาตไดม้ า, ผา้ ทเ่ี กบ็ ตกมาปะตดิ ปะตอ่ พอทำนงุ่ หม่ , ทอ่ี ยโู่ คนไม,้ ฉนั ยาดองดว้ ยนำ้ มตู รเนา่ ๒ แกผ่ บู้ วชใหม่ ข้อบัญญัติเพิ่มเติมในการบวช ๑. ภิกษุบอกนิสสัยก่อน ผู้บวชไม่พอใจ จึงทรงห้ามบอกนิสสัยก่อน แตใ่ หบ้ อกเมอ่ื บวชเสรจ็ แลว้ ในเวลาตดิ ๆ กนั ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกภ่ กิ ษุ ผู้บอกนิสสัยก่อน. ๑ การบวชดว้ ยกรรม มกี ารเสนอญตั ตเิ ปน็ ท่ี ๔ คอื เปน็ การเสนอญตั ติ ขออนมุ ตั สิ งฆ์ ๑ ครง้ั เปน็ การสวดประกาศฟงั มติ วา่ จะคดั คา้ นหรอื ไมอ่ กี ๓ ครง้ั ๒ ยาดองดว้ ยนำ้ มตู รเนา่ คอื ยา(เชน่ สมอ, มะขามปอ้ ม ฯลฯ)ทน่ี ำไปดองดว้ ยนำ้ ปสั สาวะ

๒๐๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๒. ภกิ ษทุ ร่ี ว่ มในการบวชเปน็ คณะ คอื ๒ รปู บา้ ง ๓ รปู บา้ ง ๔ รปู บา้ ง ทรงทราบ จึงทรงบัญญัติพระวินัยปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุที่ให้บวชมี คณะตำ่ กวา่ ๑๐ ; คณะครบ ๑๐ หรอื เกนิ ๑๐ ใหบ้ วชได้ (ในภายหลงั ทรงอนญุ าต ใหค้ ณะภกิ ษุ ๕ หรอื เกนิ ๕ ใหบ้ วชไดใ้ นปจั จนั ตประเทศ มรี ายละเอยี ดหนา้ ๒๔๔) ๓. ภกิ ษมุ พี รรษา ๑ บา้ ง ๒ บา้ ง ใหส้ ทั ธวิ หิ ารกิ บวช แมพ้ ระอปุ เสนะ วงั คนั ตบตุ ร มพี รรษาเพยี ง ๑ กใ็ หส้ ทั ธวิ หิ ารกิ อปุ สมบท จงึ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั ปรบั อาบตั แิ กภ่ กิ ษผุ มู้ พี รรษาหยอ่ นกวา่ ๑๐ ทบ่ี วชใหส้ ทั ธวิ หิ ารกิ พรรษา ครบ ๑๐ หรอื เกนิ ๑๐ ใหบ้ วชได.้ ๔. ภกิ ษมุ พี รรษาครบ ๑๐ แตเ่ ปน็ ผเู้ ขลา ไมฉ่ ลาด ใหส้ ทั ธวิ หิ ารกิ บวช ปรากฏว่าเป็นผู้ด้อยกว่าสัทธิวิหาริก จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุที่ฉลาด สามารถ ผมู้ พี รรษาครบ ๑๐ หรอื เกนิ ๑๐ บวชใหส้ ทั ธวิ หิ ารกิ ได้ ทรงอนุญาตให้มีอาจารย์ สมยั นน้ั อปุ ชั ฌายท์ ง้ั หลาย เดนิ ทางไปทอ่ี น่ื บา้ ง สกึ ไปบา้ ง มรณภาพบา้ ง ไปเขา้ รตี เสยี บา้ ง ภกิ ษทุ ง้ั หลายไมม่ ใี ครใหโ้ อวาทสง่ั สอน กน็ งุ่ หม่ ไมเ่ รยี บรอ้ ย ประกอบด้วยอากัปกิริยาอันไม่สมควรต่างๆ พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาต ให้มีอาจารย์ ให้อาจารย์ตั้งจิตในอันเตวาสิก (ผู้อยู่ใต้ปกครอง) เหมือนบุตร และให้อันเตวาสิกตั้งจิตในอาจารย์เหมือนบิดา แล้วทรงแสดงวิธีถือนิสสัย (การขออาศัยอยู่ใต้ปกครอง) ของอันเตวาสิก และคำกล่าวตอบของอาจารย์ (มรี ายละเอยี ดในภาคผนวกหนา้ ๔๑๐) ทรงบัญญัติอาจริยวัตรและอันเตวาสิกวัตร ครั้นแล้วทรงแสดงวัตรที่อันเตวาสิกคือผู้อยู่ใต้ปกครอง จะพึงปฏิบัติ ตอ่ อาจารย์ และวตั รทอ่ี าจารย์ จะพงึ ปฏบิ ตั ติ อ่ อนั เตวาสกิ มวี ตั รทพ่ี งึ ปฏบิ ตั ชิ อบ ตอ่ กนั ไมน่ อ้ ยกวา่ ฝา่ ยละ ๑๐๐ ขอ้ (มรี ายละเอยี ดอยใู่ นหนา้ ๓๔๙)

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๐๙ การประณาม, การขอขมา, การยกโทษ มอี นั เตวาสกิ ไมป่ ฏบิ ตั ชิ อบในอาจารย์ จงึ ทรงอนญุ าตใหม้ กี ารประณาม (ไล)่ การขอขมา การยกโทษให้ ในทำนองเดยี วกบั เรอ่ื งอปุ ชั ฌาย์ และสทั ธวิ หิ ารกิ แลว้ ทรงแสดงผปู้ ระกอบดว้ ยองค์ ๕ ทค่ี วรประณาม และไมค่ วรประณาม ตลอดจนใหอ้ าจารยท์ ม่ี พี รรษาครบ ๑๐ หรอื เกนิ กวา่ ๑๐ ทเ่ี ปน็ ผฉู้ ลาดสามารถ จงึ ใหน้ สิ สยั (รบั ผอู้ น่ื อยใู่ ตป้ กครอง)ได.้ นิสสัยระงับจากอุปัชฌาย์และอาจารย์ สมัยนั้นอุปัชฌาย์และอาจารย์เดินทางไปที่อื่นบ้าง สึกไปบ้างเป็นต้น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงแสดงลกั ษณะ ๕ ประการ ทน่ี สิ สยั (การอยใู่ ตป้ กครอง) ระงบั จากอปุ ชั ฌาย์ คอื ๑. อปุ ชั ฌาย์ หลกี ไปทอ่ี น่ื ๒. อปุ ชั ฌาย์ สกึ ๓. อปุ ชั ฌาย์ ถงึ มรณภาพ ๔. อปุ ชั ฌาย์ เขา้ รตี เดยี รถยี ์ ๕. อปุ ชั ฌาย์ มคี ำสง่ั (เชน่ สง่ั ประณาม คอื ไลไ่ มใ่ หอ้ ยใู่ นปกครอง) แลว้ ทรงแสดงลกั ษณะ ๖ ประการทน่ี สิ สยั ระงบั จากอาจารย์ คอื ๕ ขอ้ แรก เหมอื นกบั ของอปุ ชั ฌาย์ สว่ นขอ้ ท๖่ี เมอ่ื อนั เตวาสกิ ไปเขา้ รว่ มกบั อปุ ชั ฌาย๑์ คณุ สมบตั ขิ องอปุ ชั ฌายะ ๕ อยา่ ง พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงการขาดคุณสมบัติ ๕ อย่าง ของภิกษุ ที่ทำให้เป็นผู้ไม่ควรให้อุปสมบท ไม่ควรให้นิสสัย ไม่ควรมีสามเณรรับใช้ ในลกั ษณะตา่ ง ๆ กนั รวม ๘ ประเภท หรอื ๘ หมวด คอื . ๑.ไมม่ ศี ลี , สมาธ,ิ ปญั ญา, วมิ ตุ ติ และวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะของพระเสขะ ๑ ไปเขา้ รว่ มกบั อปุ ชั ฌาย์ คอื เมอ่ื สทั ธกิ วหิ ารกิ ไดพ้ บเหน็ อปุ ชั ฌายเ์ ทย่ี วบณิ ฑบาต ไดย้ นิ เสยี งอปุ ชั ฌายแ์ สดงธรรม จำเสยี งอปุ ชั ฌายไ์ ดน้ สิ สยั ระงบั จากอาจารย์ ( ว.ิ อ. ๓ / ๘๓ / ๔๗)

๒๑๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๒.ตนเองไม่มีศีลและไม่ชักชวนผู้อื่นใน ศีล, สมาธิ, ปัญญา, วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะของพระเสขะ ๓.เปน็ ผไู้ มม่ ศี รทั ธา, หริ ,ิ โอตตปั ปะ, เกยี จครา้ น, มสี ตฟิ น่ั เฟอื น ๔.เปน็ ผวู้ บิ ตั ใิ นอธศิ ลี , อาจาระ, ทฏิ ฐ,ิ ไดย้ นิ ไดฟ้ งั นอ้ ย, ปญั ญาทราม ๕.ไม่สามารถทำเองหรือใช้ให้ผู้อื่นพยาบาล, ระงับความกระสัน, บรรเทา ความเบอ่ื หนา่ ยของศษิ ย,์ ไมร่ จู้ กั อาบตั ,ิ ไมร่ จู้ กั วธิ อี อกจากอาบตั ิ ๖.ไม่สามารถฝึกศิษย์ในอภิสมาจารสิกขา, อาทิพรหมจริยกาสิกขา, แนะนำในอภธิ รรม, อภวิ นิ ยั , เปลอ้ื งความเหน็ ผดิ ของศษิ ยไ์ ด้ ๗.ไมร่ จู้ กั อาบตั ,ิ อนาบตั ,ิ อาบตั เิ บา, อาบตั หิ นกั , จำปาตโิ มกขไ์ มไ่ ดด้ ี ๘.ไมร่ จู้ กั อาบตั ,ิ อนาบตั ,ิ อาบตั เิ บา, อาบตั หิ นกั , มพี รรษาไมถ่ งึ ๑๐ และหมวดประกอบด้วยคุณสมบัติ ๕ อย่าง รวม ๘ หมวด ซึ่งมีนัย ตรงข้ามกับหมวดขาดคุณสมบัติที่กล่าวแล้ว. คณุ สมบตั ขิ องอปุ ชั ฌาย์ ๖ อยา่ ง ครน้ั แลว้ ทรงแสดงการขาดคณุ สมบตั ิ และการประกอบดว้ ยคณุ สมบตั ิ ๖ อยา่ ง ในลกั ษณะตา่ ง ๆ กนั ฝา่ ยละ ๗ หมวด รวม ๒ ฝา่ ย เปน็ ๑๔ หมวด ของภิกษุ ว่าควรให้อุปสมบท ควรให้นิสสัย และควรมีสามเณรรับใช้ หรือไม่ คณุ สมบตั ิ ๕ ขอ้ หรอื ๖ ขอ้ นน้ั ตา่ งกนั ทข่ี อ้ สดุ ทา้ ย คอื มพี รรษาครบ ๑๐ หรอื เกนิ ๑๐ คือในคุณสมบัติ ๕ อย่างไม่มีข้อกำหนดเรื่องพรรษา ถ้าเติม ขอ้ กำหนดเรอ่ื งพรรษากเ็ ปน็ ๖ อยา่ ง. ข้อปฏิบัติต่อผู้เคยเป็นเดียรถีย์ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเกี่ยวกับผู้บวชแล้ว ไปเข้ารีตเป็นเดียรถีย์ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ตรสั วา่ ผเู้ คยเปน็ เดยี รถยี เ์ ขา้ มาบวช อปุ ชั ฌายว์ า่ กลา่ วโดย ธรรมกลบั คดั คา้ น แลว้ จากไปเขา้ รตี เดยี รถยี ์ ครน้ั แลว้ ขอเขา้ มาบวชอกี ไมค่ วร บวชให.้

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๑๑ สว่ นผทู้ เ่ี คยเปน็ เดยี รถยี ์ ประสงคจ์ ะบรรพชาอปุ สมบทในพระธรรมวนิ ยั - น้ี จะตอ้ งไดร้ บั การอบรม (อยตู่ ติ ถยิ ปรวิ าส) ๔ เดอื น คอื ใหโ้ กนผมปลงหนวด นงุ่ หม่ ผา้ กาสายะ ทำผา้ หม่ เฉวยี งบา่ ขา้ งหนง่ึ ไหวเ้ ทา้ ภกิ ษทุ ง้ั หลายเปลง่ วาจาถงึ พระรตั นตรยั ๓ จบ แลว้ ใหภ้ กิ ษรุ ปู หนง่ึ สวดประกาศขอใหส้ งฆใ์ หต้ ติ ถยิ ปรวิ าส (การอบรม) ๔ เดอื นเมอ่ื ไมม่ ผี ใู้ ดคดั คา้ นจงึ สำเรจ็ ไปขน้ั หนง่ึ ในระหวา่ ง ๔ เดอื น ถา้ ประพฤตติ น ไมเ่ รยี บรอ้ ยไมเ่ ปน็ ทพ่ี อใจของสงฆ์ เชน่ เขา้ หมบู่ า้ นเชา้ เกนิ ไป กลบั สายเกนิ ไป ชอบเทย่ี วไปหาหญงิ แพศยา หญงิ มา่ ย หญงิ เทอ้ื บณั เฑาะก,์ เกียจคร้านในงานสงฆ์ ไม่มีฉันทะแรงกล้าในการศึกษาอธิศีล อธิจิต และ อธปิ ญั ญา, เมอ่ื มใี ครตเิ ตยี นลทั ธเิ กา่ กโ็ กรธ แตเ่ มอ่ื ใครตเิ ตยี นพระรตั นตรยั กลบั ชอบใจยนิ ดี เปน็ ตน้ กไ็ มค่ วรบวชให้ ถา้ ประพฤตติ นเรยี บรอ้ ยเปน็ ทน่ี า่ พอใจ จงึ บวชให.้ อนึ่งได้ประทานข้อกำหนดพิเศษแก่พวกชฏิล เพราะเป็นกรรมวาที กริยวาที๑ และแก่พระญาติผู้เกิดในศากยสกุล ถ้าเคยเป็นเดียรถีย์มาก่อน แลว้ มาขอบวช ใหบ้ วชใหเ้ ลย ไมต่ อ้ งรบั การอบรม ๔ เดอื น. หา้ มบวชใหค้ นเปน็ โรค ๕ ชนดิ สมยั นน้ั มโี รค ๕ ชนดิ เกดิ ขน้ึ มาก ในแควน้ มคธ คอื โรคเรอ้ื น โรคฝี โรคกลาก โรคมองครอ่ (โรคหลอดลมโปง่ พอง) โรคลมบา้ หมู มนษุ ยท์ ง้ั หลาย ทเ่ี ปน็ โรคเหลา่ น้ี กพ็ ากนั ไปหาหมอชวี ก เพอ่ื ใหช้ ว่ ยรกั ษาให้ หมอชวี กไมร่ บั รกั ษา อ้างว่ามีภาระต้องรักษาพระราชา บุคคลในราชสำนัก และภิกษุสงฆ์มี พระพทุ ธเจา้ เปน็ ประมขุ คนเหลา่ นน้ั เหน็ ไมม่ ที างอน่ื จงึ ขอบวช ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กบ็ วชให้ เปน็ ภาระแกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลายทจ่ี ะตอ้ งพยาบาล แมห้ มอชวี กเองกต็ อ้ ง ทำงานหนกั จนเสยี ราชกจิ ชายคนหนง่ึ ออกบวชใหห้ มอชวี กรกั ษา พอหายแลว้ ก็สึกไปหมอชีวกเห็นเข้าจำได้ ถามทราบความก็ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึง ทรงบัญญัติวินัยห้ามบวชแก่คนเป็นโรค ๕ ชนิด ผู้ใดบวชให้ ต้องอาบัติทุกกฏ. ๑ ผมู้ คี วามเหน็ อยา่ งนว้ี า่ “กรรมมอี ยู่ ผลของกรรมมอี ย”ู่ ( ว,ิ อ. ๓ / ๘๗ / ๕๕ )

๒๑๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ห้ามบวชให้ข้าราชการ เกดิ ความไมส่ งบชายแดน พระเจา้ พมิ พสิ าร ตรสั สง่ั มหาอำมาตยท์ เ่ี ปน็ นายทพั ใหไ้ ปปราบ มหี ลายคนหนไี ปบวช ภกิ ษทุ ง้ั หลายกบ็ วชให้ พระเจา้ พมิ พสิ าร จงึ ทรงขอใหพ้ ระผมู้ พี ระภาคทรงบญั ญตั วิ นิ ยั มใิ หพ้ ระบวชคนทเ่ี ปน็ ขา้ ราชการ เพราะอาจมีพระราชาที่ไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเบียดเบียนภิกษุเหล่านั้น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ตรสั หา้ มบวชใหข้ า้ ราชการ ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกภ่ กิ ษุ ที่บวชให้๑. ห้ามบวชให้โจรที่มีชื่อหมายจับ สมัยนั้นโจรองคุลิมาลบวชอยู่ในสำนักภิกษุทั้งหลาย คนเห็นก็ตกใจ กลวั บา้ ง สะดงุ้ บา้ ง วง่ิ หนบี า้ ง มผี ตู้ เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั วิ นิ ยั หา้ มบวชใหโ้ จรมชี อ่ื เสยี งมหี มายจบั ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกภ่ กิ ษผุ บู้ วชให.้ ห้ามบวชโจรที่ทำลายเครื่องพันธนาการ ครง้ั นน้ั พระเจา้ พมิ พสิ าร ทรงประกาศมใิ หใ้ ครทำอะไรบคุ คลทเ่ี ขา้ มาบวช ในพระพุทธศาสนา โจรผู้หนึ่ง ทำโจรกรรมถูกพันธนาการด้วยเครื่องจองจำ แตท่ ำลายเครอ่ื งจองจำได้ จงึ หนไี ปบวช คนทง้ั หลายพากนั ตเิ ตยี นภกิ ษผุ บู้ วชให้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติพระวินัย ห้ามบวชให้โจร ที่ทำลายเครื่อง พนั ธนาการหนีมา ผ้บู วชใหต้ อ้ งอาบัติทกุ กฏ. ห้ามบวชบุคคลที่ไม่สมควรอื่นอีก ไดม้ เี หตกุ ารณเ์ กดิ ขน้ึ ทภ่ี กิ ษทุ ง้ั หลายบวชใหบ้ คุ คลผไู้ มส่ มควร ๑ ในสมัยนี้ ผู้เป็นข้าราชการจะต้องมีใบอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จากผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบหมาย ใหอ้ นญุ าตแทนพระองค์ พระอปุ ชั ฌายแ์ ละสงฆจ์ งึ บวชให้

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๑๓ มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติพระวินัยห้ามบวชให้บุคคล ผไู้ มส่ มควรอน่ื อกี คอื โจรที่ถูกหมายประกาศให้ฆ่า บคุ คลทถ่ี กู อาญาเฆย่ี นดว้ ยหวาย ใหเ้ ปน็ เครอ่ื งหมายโทษ บคุ คลทถ่ี กู นาบดว้ ยเหลก็ แดง ลงอาญาสกั เปน็ เครอ่ื งหมายโทษ บคุ คลทเ่ี ปน็ หน้ี๑ บคุ คลทเ่ี ปน็ ทาส. ให้บอกสงฆ์เมื่อจะโกนศีรษะคนบวช เด็กลูกช่างทองทะเลาะกับพ่อแม่หนีมาบวช พ่อแม่มาถามภิกษุ ทง้ั หลายไมท่ ราบจงึ ปฏเิ สธ ครน้ั เขาพบวา่ มาบวชกต็ เิ ตยี นหาวา่ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั พูดปด (ความจริงไม่รู้) พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตให้บอกกล่าวสงฆ์ (อปโลกน)์ เมอ่ื จะโกนศรี ษะคนบวช (ภณั ฑกุ มั ม์ - การโกนศรี ษะ). ห้ามบวชผู้มีอายุยังไม่ครบ ๒๐ เดก็ ๑๗ คน ขออนญุ าตมารดาบดิ าออกบวช ถงึ เวลากลางคนื ลกุ ขน้ึ ร้องไห้ขออาหาร พากันถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดเสนาสนะ พระผู้มีพระภาค ทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั หา้ มบวชใหค้ นมอี ายไุ มถ่ งึ ๒๐ ทง้ั ทร่ี อู้ ยู่ ถา้ บวชให้ ใหป้ รบั ตามธรรม (ปาจติ ตยี ส์ กิ ขาบทท่ี ๕ สปั ปาณวรรค หนา้ ๑๔๙). ข้อห้ามเกี่ยวกับสามเณร อหวิ าตกโรคเกดิ ขน้ึ สกลุ หนง่ึ รอดตายมาเฉพาะบดิ ากบั บตุ ร ทง้ั สอง คนได้ออกบวช เมื่อมีผู้ถวายอาหารแก่บิดาบุตรวิ่งไปขอแบ่ง เป็นที่ติเตียน ๑ ในทน่ี ห้ี มายเอาทง้ั หนท้ี บ่ี คุ คลนน้ั ๆ ยมื มาและหนท้ี บ่ี ดิ ามารดาและปขู่ องบคุ คลนน้ั ยมื ไวก้ อ่ นแลว้ จะใหบ้ คุ คลเชน่ น้ี บรรพชาไมค่ วร แตถ่ า้ มญี าตแิ ละคนมสี มั พนั ธร์ บั ภาระหนแ้ี ทน จะใหบ้ รรพชาควรอยู่ ( ว.ิ อ. ๓ / ๙๖ / ๖๑ )

๒๑๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก จงึ ทรงหา้ มบรรพชา (บวชเปน็ สามเณร) ใหเ้ ดก็ ทม่ี อี ายหุ ยอ่ น ๑๕ ปี ภายหลงั มเี หตจุ ำเปน็ ทต่ี อ้ งสงเคราะหบ์ วชใหเ้ ดก็ อน่ื ๆ ทพ่ี อ่ แมต่ ายหมด จงึ ทรงผอ่ นผนั ใหบ้ วช ใหเ้ ดก็ อายหุ ยอ่ น ๑๕ ปี ซง่ึ สามารถไลก่ าได้ (คอื พอทจ่ี ะ รเู้ ดยี งสา) และมเี หตเุ กดิ ขน้ึ เกย่ี วกบั สามเณร จงึ ทรงบญั ญตั มิ ใิ หภ้ กิ ษหุ นง่ึ รปู มี สามเณรไวร้ บั ใชถ้ งึ ๒ รปู ถา้ ทำเชน่ นน้ั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ. เรื่องการถือนิสสัย สมยั นน้ั ภกิ ษจุ ะตอ้ งถอื นสิ สยั (อยใู่ นปกครองของอปุ ชั ฌาย์ หรอื อาจารย)์ ตลอด ๑๐ ปี เกิดความไม่สะดวกจึงทรงผ่อนผันให้ภิกษุที่ฉลาดสามารถ ถอื นสิ สยั ตลอด ๕ ปี สว่ นภกิ ษผุ ไู้ มฉ่ ลาด ใหถ้ อื นสิ สยั ตลอดชวี ติ แลว้ ทรงแสดง การขาดคณุ สมบตั ิ ๕ อยา่ ง รวม ๕ หมวด ทต่ี อ้ งถอื นสิ ยั คอื ๑.ไมม่ ศี ลี , สมาธ,ิ ปญั ญา, วมิ ตุ ติ และวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะของพระเสขะ ๒.เปน็ ผไู้ มม่ ศี รทั ธา, หริ ,ิ โอตตปั ปะ, เกยี จครา้ น, มสี ตฟิ น่ั เฟอื น ๓.เปน็ ผวู้ บิ ตั ใิ นอธศิ ลี , อาจาระ, ทฏิ ฐ,ิ ไดย้ นิ ไดฟ้ งั นอ้ ย, ปญั ญาทราม ๔.ไมร่ จู้ กั อาบตั ,ิ อนาบตั ,ิ อาบตั เิ บา, อาบตั หิ นกั , จำปาตโิ มกขไ์ มไ่ ดด้ ี ๕.ไมร่ จู้ กั อาบตั ,ิ อนาบตั ,ิ อาบตั เิ บา, อาบตั หิ นกั , มพี รรษาไมถ่ งึ ๕ ทรงแสดงการประกอบด้วยคุณสมบัติที่ไม่ต้องถือนิสัย ๕ หมวด มีนัย ตรงขา้ ม ทรงแสดงการขาดและการประกอบดว้ ยคณุ สมบตั ิ ๖ อยา่ ง รวม ๔ หมวด เหมอื นการขาดและการประกอบดว้ ยคณุ สมบตั ิ ๕ อยา่ ง โดยเพม่ิ ขอ้ ท่ี ๖ วา่ จะตอ้ งมพี รรษาครบ ๕ หรอื เกนิ ๕. พระราหุลราชกุมารทรงผนวชเป็นสามเณร พระผมู้ พี ระภาคเสดจ็ สกู่ รงุ กบลิ พสั ด์ุ พระราหลุ ราชกมุ ารมากราบทลู ขอ ราชสมบตั ิ พระผมู้ พี ระภาคตรสั สง่ั ใหพ้ ระสารบี ตุ รบวชให้ ทรงกำหนดวธิ บี รรพชา เปน็ สามเณรดว้ ยการถงึ ไตรสรณคมน์ (คอื ถงึ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ วา่ เปน็

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๑๕ ที่พึ่ง)๑ พระเจา้ สทุ โธทนะ ทรงขอร้องพระผู้มีพระภาคเจ้า อย่าให้บวชแก่บุตร ทม่ี ารดาบดิ ายงั มไิ ดอ้ นญุ าต พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มบวช ผทู้ ม่ี ารดาบดิ ายงั มไิ ดอ้ นญุ าต ผบู้ วชใหต้ อ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ. ใหม้ สี ามเณรรบั ใชไ้ ดเ้ กนิ ๑ รปู พระสารบี ตุ รมสี ามเณรราหลุ ไวร้ บั ใช้ ๑ รปู แตเ่ มอ่ื มสี ามเณรอน่ื ๆ บวชเพิ่มขึ้น ก็ไม่กล้ารับไว้ในปกครอง พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตให้ภิกษุ ผฉู้ ลาด สามารถมสี ามเณรไวร้ บั ใชไ้ ด้ ๒ รปู และสามารถทจ่ี ะใหโ้ อวาทสง่ั สอน ไดจ้ ำนวนเทา่ ใด กอ็ นญุ าตใหม้ สี ามเณรไวร้ บั ใชไ้ ดต้ ามจำนวนนน้ั ๆ. ศลี ๑๐ ของสามเณร สามเณรทง้ั หลายสงสยั วา่ สกิ ขาบทหรอื ศลี ของตนมเี ทา่ ไร? จะพงึ ศกึ ษา ในสกิ ขาบทอะไรบา้ ง? พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ๑๐ ของสามเณรคอื ๑. เวน้ จากฆา่ สตั ว์ ๒. เวน้ จากลกั ทรพั ย์ ๓. เว้นจากประพฤติกรรมอันมิใช่พรหมจรรย์ ๔. เวน้ จากพดู เทจ็ ๕. เวน้ จากการดม่ื สรุ าเมรยั อนั เปน็ ทต่ี ง้ั ของความประมาท ๖. เวน้ จากบรโิ ภคอาหารในเวลาวกิ าล ๗. เวน้ จากฟอ้ นรำขบั รอ้ งประโคม การดมู หรสพ อนั เปน็ ขา้ ศกึ ตอ่ กศุ ล ๘. เวน้ จากทดั ทรงตกแตง่ ประดบั ประดารา่ งกายดว้ ยดอกไม้ ของหอม เครอ่ื งทา เครอ่ื งประดบั ตกแตง่ ๑ เดมิ ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคทรงอนญุ าตการบรรพชาและอปุ สมบทดว้ ยไตรสรณคมน์ ตอ่ มาทรงหา้ มอปุ สมบท ดว้ ยไตรสรณคมน์ ทรงอนญุ าตอปุ สมบทดว้ ยญตั ตจิ ตตุ ถกรรม แตไ่ มไ่ ดท้ รงหา้ มการบรรพชา ทง้ั ไมไ่ ดท้ รงอนญุ าตให้ ภกิ ษใุ ชว้ ธิ นี ต้ี อ่ ไปอกี แต่มีพระประสงค์ที่จะอนุญาตให้บรรพชาสามเณรด้วยไตรสรณคมน์ พระสารีบุตรทราบ พุทธอัธยาศัย จงึ กราบทลู ใหท้ รงอนญุ าตการบรรพชาอกี และใชว้ ธิ บี รรพชาดว้ ยไตรสรณคมน์ บวชราหลุ กมุ าร เปน็ สามเณรรปู แรก ( ว.ิ อ. ๓ / ๑๐๕ / ๗๔ )

๒๑๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๙. เวน้ จากทน่ี ง่ั ทน่ี อนอนั สงู ใหญ๑่ ๑๐. เวน้ จากการรบั ทองและเงนิ . การลงโทษสามเณร สมัยนั้นสามเณรไม่มีความเคารพในภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคจึง ทรงบญั ญตั ิ องค์ ๕ ทจ่ี ะทำทณั ฑกรรม (ลงโทษ) สามเณร คอื ๑. ขวนขวายเพอ่ื ความเสอ่ื มลาภของภกิ ษทุ ง้ั หลาย ๒. ขวนขวายเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเสยี หาย (อนตั ถะ) แกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย ๓. ขวนขวายเพอ่ื ใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลายอยไู่ มไ่ ด้ ๔. ดา่ บรภิ าษ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ๕. ทำภกิ ษทุ ง้ั หลายใหแ้ ตกกนั . เรื่องเกี่ยวกับการลงโทษ ภิกษุทั้งหลายสงสัยว่าจะลงโทษสามเณรอย่างไร จึงทรงอนุญาต ให้กำหนดข้อห้ามได้ ภิกษุทั้งหลายห้ามไม่ให้เข้าสังฆาราม (วัดที่สงฆ์อยู่) สามเณรเขา้ ไมไ่ ด้ กเ็ ดนิ ทางไปทอ่ี น่ื บา้ ง สกึ ไปบา้ ง ไปเขา้ รตี เดยี รถยี บ์ า้ ง จงึ ทรง หา้ มมใิ หภ้ กิ ษหุ า้ มสามเณรเขา้ สงั ฆารามทง้ั หมด ถา้ ทำเชน่ นน้ั ตอ้ งอาบตั ิ ทกุ กฏ อนญุ าตใหท้ ำการหา้ มเฉพาะในบรเิ วณทอ่ี ยู่ ทไ่ี ปมา (กกั บรเิ วณ) ภกิ ษุ ทง้ั หลาย หา้ มกลนื กนิ (หา้ มใชป้ ากบรโิ ภคอาหารหรอื ดม่ื ขา้ วยาค)ู คนถวาย อาหาร ถวายขา้ วยาคสู ามเณรกไ็ มก่ ลา้ ฉนั มผี ตู้ เิ ตยี น จงึ ทรงปรบั อาบตั ิ ทุกกฏแก่ภิกษุที่ห้ามแบบนั้น. ภิกษุฉัพพัคคีย์กักบริเวณสามเณรหลายรูป อุปัชฌาย์ทั้งหลายตาม เทย่ี วถามหา ทราบความกต็ เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั วา่ ถ้ายังไม่บอกเล่าอุปัชฌาย์ก่อนไม่พึงทำการห้าม (กักบริเวณ) สามเณร ผู้ทำเช่นนั้นต้องอาบัติทุกกฏ. ๑ คอื เวน้ จากนง่ั นอนเหนอื เตยี งตง่ั มเี ทา้ สงู เกนิ ประมาณ และทน่ี ง่ั ทน่ี อนอนั ใหญ่ มภี ายในใสน่ นุ่ และสำลี

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๑๗ ห้ามชวนสามเณรของภิกษุอื่นไปอยู่ด้วย ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ ชวนสามเณรของภกิ ษผุ เู้ ปน็ เถระไปอยดู่ ว้ ย ทา่ นลำบาก ด้วยการหาไม้สีฟัน และน้ำล้างหน้าเอง จึงทรงบัญญัติพระวินัย ไม่ให้ชวน บรษิ ทั (สามเณร) ของภกิ ษอุ น่ื ไปอยดู่ ว้ ย ถา้ ทำเชน่ นน้ั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ. การให้สามเณรสึก สามเณรของพระอปุ นนั ทศากยบตุ ร ประทษุ รา้ ย (ขม่ ขนื ) นางภกิ ษณุ ี ภิกษุทั้งหลายติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตให้นาสนะ๑ สามเณรผู้ ประกอบดว้ ยองค์ ๑๐ คอื ๑. ฆ่าสัตว์ ๒. ลกั ทรพั ย์ ๓. ประพฤติผิดในกาม ๔. พดู ปด ๕. ดื่มสุราเมรัย ๖. ติเตียนพระพุทธ ๗. ติเตียนพระธรรม ๘. ติเตียนพระสงฆ์ ๙. มคี วามเหน็ ผดิ ๑๐. ประทษุ รา้ ย (ขม่ ขนื ) นางภกิ ษณุ .ี บคุ คลทห่ี า้ มบวชอน่ื ๆ อกี ๑๑ ประเภท ถา้ รเู้ ขา้ ตอ้ งใหส้ กึ ไป ตอ่ มามเี หตกุ ารณเ์ กดิ ขน้ึ ในการทภ่ี กิ ษทุ ง้ั หลายบวชใหแ้ กผ่ ไู้ มส่ มควร จงึ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั หา้ มบวชใหแ้ กผ่ ไู้ มส่ มควรตอ่ ไปน้ี ๑ นาสนะ มี ๓ อยา่ ง คอื ๑.สงั วาสนาสนะ ไลอ่ อกจากการรว่ มกจิ กรรม ๒.ลงิ คนาสนะ ไลส่ กึ ๓.ทนั ฑกรรม ลงโทษไลใ่ หพ้ น้ จากสงั กดั . ในทน่ี ้ี หมายเอาลงิ คนาสนะ คอื ไลส่ กึ (ว.ิ อ. ๒ / ๔๒๘ / ๔๒๐ , ว.ิ อ. ๓ / ๑๐๘ / ๗๙ )

๒๑๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๑. กะเทย (บณั เฑาะก)์ ๑ ๒. คนทล่ี กั เพศ (คอื บวชเอาเองโดยไมถ่ กู ตอ้ ง) ๓. อนุปสัมบันที่ไปเข้ารีตเดียรถีย์ (ผไู้ ปเขา้ ลทั ธศิ านาอน่ื ) ๔. สัตว์เดรัจฉาน ๕. ผู้ฆ่ามารดา ๖. ผู้ฆ่าบิดา ๗. ผู้ฆ่าพระอรหันต์ ๘. ผู้ข่มขืนนางภิกษุณี ๙. ผทู้ ำสงฆใ์ หแ้ ตกกนั ๑๐. ผู้ประทุษร้ายพระพุทธเจ้าถึงยังพระโลหิตให้ห้อ ๑๑. คนมอี วยั วะ ๒ เพศ (อภุ โตพยญั ชนก) ทง้ั ๑๑ ประเภทน้ี ถา้ บวชใหแ้ ลว้ รเู้ ขา้ ภายหลงั ตอ้ งใหส้ กึ ไป. ลกั ษณะทไ่ี มค่ วรใหอ้ ปุ สมบท (บวชเปน็ พระ) อกี ๒๐ ประเภท ครน้ั แลว้ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั แสดงลกั ษณะทไ่ี มค่ วรใหบ้ วช (อปุ สมบท) บคุ คล รวม ๒๐ ประเภทดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. ผู้ไม่มีอุปัชฌาย์ ๒. ผมู้ อี ปุ ชั ฌายเ์ ปน็ สงฆ์ (อปุ ชั ฌายะตอ้ งมรี ปู เดยี วไมใ่ ชม่ ากรปู ) ๓. ผมู้ อี ปุ ชั ฌายเ์ ปน็ คณะ (๒,๓ ชอ่ื วา่ เปน็ คณะ ๔ ขน้ึ ไปเปน็ สงฆ)์ ๔. ผมู้ อี ปุ ชั ฌายเ์ ปน็ กะเทย ๕. ผมู้ อี ปุ ชั ฌายเ์ ปน็ คนลกั เพศ (ผบู้ วชเอาเอง) ๖. ผู้มีอุปัชฌาย์เป็นผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑ บฒั เฑาะกม์ ี ๕ ประเภท ๑.อาสติ ตบณั เฑาะก์ คนทด่ี บั ความใครเ่ รา่ รอ้ น (เพราะกาม) ของตนโดยใชป้ ากอม องคชาตของผอู้ น่ื ๒.อุสูยบัณเฑาะก์ คนที่เมื่อเห็นผู้อื่นประพฤติล่วงเกินทางเพศกัน เกิดความริษยาขึ้น ความเร่าร้อน จึงระงับไป ๓.โอปักกมิกบัณเฑาะก์ คนที่ถูกตัดองคชาต ๔.ปักขบัณเฑาะก์ คนที่เป็นบัณเฑาะก์ในเวลาข้างแรม ดว้ ยอานภุ าพแหง่ อกศุ ลวบิ าก ๕.นปงุ สกบณั เฑาะก์ คนทเ่ี ปน็ บณั เฑาะกโ์ ดยกำเนดิ ในบณั เฑาะก์ ๕ นน้ั ประเภทท่ี ๑, ๒ ไมห่ า้ มบรรพชา สว่ นทเ่ี หลอื หา้ มบรรพชา (ว.ิ อ. ๓ / ๑๐๙ / ๘๑ - ๘๒)

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๑๙ ๗. ผู้มีอุปัชฌาย์เป็นสัตว์เดรัจฉาน ๘. ผู้มีอุปัชฌาย์เป็นผู้ฆ่ามารดา ๙. ผู้มีอุปัชฌาย์เป็นผู้ฆ่าบิดา ๑๐. ผู้มีอุปัชฌาย์เป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์ ๑๑. ผู้มีอุปัชฌาย์เป็นผู้ข่มขืนนางภิกษุณี ๑๒. ผู้มีอุปัชฌาย์เป็นผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ๑๓. ผมู้ อี ปุ ชั ฌาย์เปน็ ผปู้ ระทษุ รา้ ยพระพทุ ธเจา้ จนถงึ ยงั พระโลหติ ใหห้ อ้ ๑๔. ผมู้ อี ปุ ชั ฌายะเปน็ ผมู้ อี วยั วะ ๒ เพศ ๑๕. ผู้ไม่มีบาตร ๑๖. ผู้ไม่มีจีวร ๑๗.ผู้ไม่มีทั้งจีวรและบาตร ๑๘. ผู้ขอยืมบาตรเขามาบวช ๑๙. ผขู้ อยมื จีวรเขามาบวช ๒๐. ผขู้ อยืมทง้ั บาตรทั้งจีวรเขามาบวช ทง้ั ๒๐ ประเภทน้ี ถา้ (สงฆ)์ บวชให้ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ. ลกั ษณะทไ่ี มค่ วรใหบ้ รรพชา (เปน็ สามเณร) ๓๒ ประเภท ๑. คนมีมือขาด ๒. คนมเี ทา้ ขาด ๓. คนมที ง้ั มอื ทง้ั เทา้ ขาด ๔. คนมหี ขู าด ๕. คนมจี มกู แหวง่ ๖. คนมที ง้ั หขู าดทง้ั จมกู แหวง่ ๗. คนมนี ว้ิ มอื ขาด ๘. คนมีนิ้วหัวแม่มือขาด ๙. คนมเี อน็ (เทา้ ) ขาด

๒๒๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๑๐. คนมีนิ้วมือเป็นแผ่น ๑๑. คนคอ่ ม ๑๒. คนเตย้ี (เกนิ ไป) ๑๓. คนคอพอก ๑๔. คนถกู สกั หมายโทษนาบดว้ ยเหลก็ แดงจนเสยี โฉม ๑๕. คนถกู ลงอาญาโบยดว้ ยแส้ (มรี อยแผล) ๑๖. คนถกู หมายจบั (ใหฆ้ า่ ไดเ้ มอ่ื พบ) ๑๗.คนมเี ทา้ ปกุ (เปน็ ตมุ้ ) ๑๘. คนเปน็ โรคอนั เปน็ โทษแหง่ บาป (โรคเรอ้ื รงั ทร่ี กั ษาไมห่ าย) ๑๙. คนประทุษร้ายบริษัท๑ ๒๐. คนตาบอดขา้ งเดยี ว หรอื ทง้ั สองขา้ ง ๒๑. คนเปน็ งอ่ ย ๒๒.คนกระจอก (เทา้ ผดิ ปกติ ตอ้ งเดนิ ดว้ ยหลงั เทา้ เปน็ ตน้ ) ๒๓.คนเปน็ อมั พาต (รา่ งกายตายไปซกี หนง่ึ ) ๒๔.คนเปลย้ี (เดนิ เองไมไ่ ด)้ ๒๕. คนชรา ทพุ พลภาพ ๒๖. คนตาบอดแตก่ ำเนดิ ๒๗.คนใบ้ ๒๘.คนหหู นวก ๒๙. คนทง้ั บอดทง้ั ใบ้ ๓๐. คนทง้ั บอดทง้ั หนวก ๓๑. คนทง้ั ใบท้ ง้ั หนวก ๓๒.คนทง้ั บอดทง้ั ใบท้ ง้ั หนวก บคุ คลทง้ั ๓๒ ประเภทน้ี ผบู้ รรพชาให้ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ๒. ๑ คอื อยใู่ นหมแู่ ลว้ ทำใหห้ มดู่ วู ปิ รติ ดว้ ยรปู รา่ งอนั ผดิ ปกตขิ องตน เชน่ สงู เกนิ ไป เตย้ี เกนิ ไป ดำเกนิ ไป ขาวเกนิ ไป ผอม เกนิ ไป อว้ นเกนิ ไป เปน็ ตน้ (ว.ิ อ. ๓ / ๑๑๙ / ๙๖ - ๙๙) ๒ การกำหนดขอ้ หา้ มไมใ่ หบ้ วชคน ๓๒ ประเภทน้ี เปน็ สามเณรนน้ั เปน็ อนั หา้ มสำหรบั บวชเปน็ พระดว้ ย เพราะตามวธิ ี การบวช ผทู้ จ่ี ะบวชเปน็ พระจะตอ้ งผา่ นลำดบั จากการเปน็ สามเณรมากอ่ น แมช้ ว่ั ครหู่ นง่ึ แตก่ ไ็ มม่ ขี อ้ หา้ มเดด็ ขาด ถงึ ขนาดวา่ บวชใหแ้ ลว้ ตอ้ งใหส้ กึ ไปเหมอื นบคุ คล ๑๑ ประเภททก่ี ลา่ วไว้ ในขอ้ หา้ มบวชเดด็ ขาด.

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๒๑ ข้อกำหนดเรื่องให้นิสสัยเพิ่มเติม ตอ่ มามเี หตกุ ารณเ์ กดิ ขน้ึ จงึ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั มขี อ้ กำหนดเพม่ิ เตมิ เรอ่ื งการใหน้ สิ สยั (รบั เขา้ ในปกครอง) ดงั น:้ี - ๑. ห้ามให้นิสสัยแก่ภิกษุอลัชชี (ผู้ไม่ละอายในการต้องอาบัติ) ถ้าให้นิสสัยต้องอาบัติทุกกฏ ๒. หา้ มขอนสิ ยั (อยอู่ าศยั ) พวกภกิ ษอุ ลชั ชี รปู ใดอยู่ ตอ้ งอาบตั ิ ทุกกฏ จะรู้ว่าเป็นผู้มีความละอาย หรือเป็นอลัชชี ให้รอดู ๔ - ๕ วันได้ ๓. ภิกษุเดินทางไกล อนุญาตให้ไม่ต้องถือนิสสัย ในเมื่อไม่มีภิกษุ ผู้ให้นิสสัย ๔. อนญุ าตใหภ้ กิ ษผุ เู้ ปน็ ไข้ ภกิ ษผุ พู้ ยาบาลภกิ ษไุ ข้ ไมต่ อ้ งถอื นสิ สยั ในเมอ่ื ไมม่ ภี กิ ษผุ ใู้ หน้ สิ สยั ๕. อนญุ าตใหภ้ กิ ษผุ อู้ ยปู่ า่ เปน็ วตั ร กำหนดเอาความผาสกุ ไมต่ อ้ ง ถือนิสสัย ในเมื่อไม่มีภิกษุผู้ให้นิสสัยได้ โดยผูกใจว่า “เราจักถือนิสสัยอยู่ ในเมื่อมีผู้สมควรมาถึง”. ข้อกำหนดเรื่องการอุปสมบท ตอ่ มาทรงบญั ญตั ใิ หส้ วดอนสุ าวนา ไมต่ อ้ งระบนุ าม แตร่ ะบเุ พยี งโคตร (สกลุ ) ได้ และใหส้ วดประกาศครง้ั ละ ๒ - ๓ รปู ได้ โดยมอี ปุ ชั ฌายร์ ปู เดยี วกนั และทรงอนญุ าตใหน้ บั อายผุ บู้ วชวา่ ครบ ๒๐ โดยคดิ ตง้ั แตอ่ ยใู่ นครรภ๑์ . ข้อบัญญัติในพิธีกรรมอุปสมบท ครน้ั แลว้ ทรงแสดงวธิ กี ารตา่ ง ๆ ในการอปุ สมบท เชน่ ญตั ตสิ มมตภิ กิ ษุ สอนซ้อมการสอบถามอันตรายิกธรรม เพื่อสอนซ้อม ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง คำเรยี กผบู้ วช, คำขออปุ สมบท การสมมตเิ พอ่ื ถามอนั ตรายกิ ธรรม การสอบถาม

๒๒๒ อันตรายิกธรรม๑ในที่ประชุมสงฆ์ และสงฆ์ให้อุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม- วาจา จงึ เปน็ ภกิ ษุ เมอ่ื บวชแลว้ ใหว้ ดั เงาแดด ใหบ้ อกฤดู ใหบ้ อกสว่ นของวนั ใหบ้ อกสงั คตี ิ คอื บอกรวมขา้ งตน้ ทง้ั หมด เพอ่ื เปน็ หลกั ฐาน แล้วให้บอกนิสสัย ๔ (ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต) ๔ อย่าง คือ อาหาร, เครอ่ื งนงุ่ หม่ , ทอ่ี ยอู่ าศยั และยารกั ษาโรค ซง่ึ กลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ แลว้ ใหบ้ อก อกรณยี กจิ (สง่ิ ทไ่ี มค่ วรทำ) ๔ อยา่ ง คอื การเสพเมถนุ การลกั ทรพั ย์ การฆา่ สตั ว์ มชี วี ติ ๒ การอวดคณุ พเิ ศษทไ่ี มม่ ใี นตน เพอ่ื ปอ้ งกนั ประพฤตลิ ว่ งอาบตั ขิ าดจาก ความเปน็ ภกิ ษใุ นระยะแรกหลงั จากบวชใหมๆ่ (ดนู สิ ยั ,อกรณยี กจิ ในหนา้ ๔๘๕..) การปฏิบัติต่อผู้ทำผิด มเี รอ่ื งเกดิ ขน้ึ จงึ ทรงแสดงขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นกรณนี น้ั ๆ คอื ๑. เมื่อภิกษุไม่เห็นอาบัติ (คือต้องอาบัติแล้วไม่รับว่าต้อง) ถูกสงฆ์ ประกาศยกเสยี จากหมู่ จงึ สกึ ไปภายหลงั ขอเขา้ มาบวชใหม่ ถา้ สอบถามแลว้ ยอม รับว่าต้องอาบัติจริงก็ให้บวชได้ เมื่อบวชแล้วให้ทำพิธีทำคืนอาบัติที่ต้องไว้ แต่ครั้งก่อน ๒. เมื่อภิกษุไม่ทำคืนอาบัติ ถูกสงฆ์สวดประกาศยกเสียจากหมู่ จงึ สกึ ไป ภายหลงั มาขอบวช ถา้ รบั วา่ จกั ทำคนื อาบตั ิ กใ็ หบ้ วชได้ เมอ่ื บวชแลว้ ใหท้ ำคนื อาบตั ทิ ต่ี อ้ งไวแ้ ตค่ รง้ั กอ่ นใหเ้ รยี บรอ้ ย ๓. เมอ่ื ภกิ ษมุ คี วามเหน็ ชว่ั หยาบ คอื ความเหน็ ผดิ อยา่ งแรง ถกู สงฆ์ สวดประกาศยกเสยี จากหมู่ จงึ สกึ ไป ภายหลงั มาขอบวช ถา้ รบั วา่ จกั ละ ความเหน็ ผดิ นน้ั กใ็ หบ้ วชได้ เมอ่ื บวชแลว้ ไมย่ อมทำคนื อาบตั กิ ด็ ี ไมย่ อมสละ ความเหน็ ผดิ กด็ ี สงฆม์ สี ทิ ธปิ ระกาศยกเสยี จากหมไู่ ดอ้ กี แตถ่ า้ ไมไ่ ดภ้ กิ ษุ ครบองคส์ งฆท์ จ่ี ะสวดประกาศ กอ็ ยรู่ ว่ มกบั เธอได้ ไมต่ อ้ งอาบตั .ิ ๑ อปุ สรรคทต่ี อ้ งหา้ มในการบวช มถี ามวา่ เปน็ โรคเรอ้ื น โรคฝี โรคกลาก โรคหลอดลมโปง่ พอง โรคลมบา้ หมหู รอื เจา้ เปน็ มนษุ ยห์ รอื เจา้ เปน็ ชายหรอื เจา้ เปน็ ไทหรอื เจา้ ไมม่ หี นห้ี รอื เจา้ ไมใ่ ชร่ าชภฏั หรอื มารดาบดิ า อนญุ าตเจา้ แลว้ หรอื เจา้ มอี ายคุ รบ ๒๐ ปหี รอื บาตรและจวี รของเจา้ มคี รบแลว้ หรอื เจา้ ชอ่ื อะไร อปุ ชั ฌายข์ องเจา้ ชอ่ื อะไร ๒ ในอกรณยี กจิ ระบถุ งึ หา้ มฆา่ สตั วม์ ชี วี ติ สว่ นในปาราชกิ ๔ ระบถุ งึ หา้ มฆา่ มนษุ ย,์ ในนสิ สยั ๔ ระบอุ าหารกอ่ นเครอ่ื งนงุ่ หม่

จดุ ประสงคข์ องพรหมจรรย์ \"ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีลาภสักการะ และเสียง สรรเสริญเป็นอานิสงส์, พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีล เปน็ อานสิ งส,์ พรหมจรรยน์ ้ี มใิ ชม่ คี วามถงึ พรอ้ มแหง่ สมาธิ เปน็ อานสิ งส,์ พรหมจรรยน์ ้ี มใิ ชม่ ี ความถงึ พรอ้ มแหง่ ญาณทสั สนะ เปน็ อานสิ งส.์ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กเ็ จโตวมิ ตุ ตอิ นั ไมก่ ำเรบิ อนั ใดมอี ย,ู่ พรหมจรรยน์ ้ี มเี จโตวมิ ตุ ตนิ น่ั แหละเปน็ ผลประโยชนท์ ม่ี งุ่ หมาย, มเี จโตวมิ ตุ ตนิ น่ั แหละ เปน็ แกน่ สาร, มเี จโตวมิ ตุ ตนิ น่ั แหละ เปน็ ผลสดุ ทา้ ยของพรหมจรรย์ แล.\" (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๑๒ / ๓๗๕ / ๓๕๒ )

๒๒๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๒. อโุ บสถขนั ธกะ หมวดว่าด้วยอุโบสถ พระเจ้าพิมพิสาร จอมทัพแคว้นมคธ เห็นนักบวชลัทธิอื่นประชุมกัน กลา่ วธรรม ในวนั ๘ คำ่ ๑๔ คำ่ และ ๑๕ คำ่ แหง่ ปกั ษ์ มคี นไปฟงั ธรรมมคี วามรกั ความเลอ่ื มใส ทำใหน้ กั บวชเหลา่ นน้ั ไดม้ ผี เู้ ขา้ เปน็ ฝกั ฝา่ ย ทรงปรารภจะใหภ้ กิ ษุ ในพระพุทธศาสนาทำอย่างนั้นบ้าง จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูล พระราชดำรินั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงอนุมัติ ประทานพระพุทธานุญาต ใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลายประชมุ กนั ในวนั ๑๔ คำ่ ๑๕ คำ่ และ ๘ คำ่ แหง่ ปกั ษ์ ครง้ั แรกภกิ ษทุ ง้ั หลายประชมุ กนั แตน่ ง่ั นง่ิ ๆ ชาวบา้ นไมไ่ ดฟ้ งั ธรรม จึงติเตียนว่านั่งอยู่นิ่งๆ เหมือนหมูอ้วน พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตให้ ประชุมกันเพื่อกล่าวธรรม. การสวดปาติโมกข์เป็นอุโบสถกรรม พระผมู้ พี ระภาคทรงพระดำรวิ า่ สกิ ขาบททท่ี รงบญั ญตั แิ กภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย ควรอนญุ าตใหส้ วดเปน็ ปาตโิ มกข์ การสวดปาตโิ มกขน์ น้ั จกั เปน็ อโุ บสถกรรม คอื การทำกิจกรรมในการทำอุโบสถของภิกษุเหล่านั้น จึงทรงบัญญัติตามที่ทรง พระดำรนิ น้ั และทรงแสดงวธิ สี วดปาตโิ มกข์ เรม่ิ ตน้ แตบ่ รุ พกจิ . ข้อกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับปาติโมกข์ ๑. ภิกษุทั้งหลายสวดปาติโมกข์ทุกวัน จึงทรงบัญญัติห้ามและ ปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกภ่ กิ ษผุ ทู้ ำเชน่ นน้ั ทรงอนญุ าตใหส้ วดเฉพาะวนั อโุ บสถ ๒. ภกิ ษทุ ง้ั หลายสวดปาตโิ มกข์ ๓ ครง้ั ตอ่ ๑ ปกั ษ์ คอื ในวนั ๘ ค่ำ วัน ๑๔ ค่ำ และวัน ๑๕ ค่ำ จึงทรงบัญญัติห้าม และปรับอาบัติทุกกฏ

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๒๕ แกภ่ กิ ษผุ ทู้ ำเชน่ นน้ั ทรงอนญุ าตใหส้ วดปาตโิ มกขเ์ พยี งครง้ั เดยี วตอ่ ๑ ปกั ษ์ คอื ในวนั ๑๕ คำ่ หรอื ในวนั ๑๔ คำ่ (ในปกั ษท์ เ่ี ปน็ เดอื นขาด๑) ๓. ภิกษุฉัพพัคคีย์สวดปาติโมกข์ เฉพาะในพวกของตน จึงทรง บัญญัติห้ามทรงปรับอาบัติทุกกฏ แก่ภิกษุผู้ทำเช่นนั้น ทรงอนุญาตให้ ทำอุโบสถกรรมแก่ภิกษุทั้งหลายผู้พร้อมเพรียงกัน ๔. ภิกษุทั้งหลายสงสัยว่า เขตความพร้อมเพรียงกันมีเพียงเท่าไร? ในอาวาสหนง่ึ หรอื ทว่ั ทง้ั แผน่ ดนิ ตรสั อนญุ าตความพรอ้ มเพรยี งชว่ั อาวาสเดยี ว ๕. พระมหากปั ปนิ ะคดิ วา่ ทา่ นบรสิ ทุ ธแ์ิ ลว้ เพราะไดบ้ รรลพุ ระอรหนั ต์ จะควรไปทำอโุ บสถหรอื ไม่ พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบดำรนิ น้ั จงึ เสดจ็ มา ตรสั วา่ “ถา้ พวกเธอไมส่ กั การะไมเ่ คารพไมน่ บั ถอื ไมบ่ ชู าอโุ บสถ เมอ่ื เปน็ เชน่ น้ี ใครเลา่ จะเคารพนบั ถอื บชู าอโุ บสถ..เธอจงไปทำอโุ บสถ..จงไปทำสงั ฆกรรมจะไมไ่ ปไมไ่ ด”้ ๖. ภกิ ษทุ ง้ั หลายสงสยั ตอ่ วา่ อาวาสเดยี วกนั นน้ั กำหนดอยา่ งไร จงึ ทรง อนญุ าตใหส้ มมตสิ มี า(พทั ธสมี า) โดยกำหนดภเู ขา แผน่ หนิ ปา่ ไม้ ตน้ ไม้ หนทาง จอมปลวก,แมน่ ำ้ หรอื แอง่ นำ้ เปน็ เครอ่ื งหมาย (นมิ ติ ) แลว้ ทรงแสดงวธิ สี มมตสิ มี า ๗. ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ สมมตสิ มี าใหญเ่ กนิ ไป ๔ โยชนบ์ า้ ง ๕ โยชนบ์ า้ ง ๖ โยชนบ์ า้ ง ภกิ ษทุ ง้ั หลาย มาพอดสี วดปาตโิ มกขก์ ม็ ี สวดจบแลว้ จงึ มาถงึ กม็ ี มาถงึ เวลากำลงั สวดอยกู่ ม็ ี จงึ ทรงหา้ มสมมตสิ มี าใหญเ่ กนิ ไป ทรงปรบั อาบตั ิ ทกุ กฏแกผ่ ทู้ ำเชน่ นน้ั แลว้ ทรงอนญุ าตใหส้ มมตสิ มี า อยา่ งใหญไ่ มเ่ กนิ ๓ โยชน์ ๘. ภิกษุฉัพพัคคีย์สมมติสีมาริมฝั่งแม่น้ำ ภิกษุที่มาทำอุโบสถ ถกู นำ้ พดั บาตรจวี รถกู นำ้ พดั จงึ ทรงบญั ญตั หิ า้ มสมมตสิ มี าเชน่ นน้ั ทรงอนญุ าต ใหท้ ำไดต้ อ่ เมอ่ื มเี รอื จอดอยเู่ ปน็ ประจำ หรอื มสี ะพานทอดอยเู่ ปน็ ประจำ. ๙. ภิกษุทั้งหลายสวดปาติโมกข์ตามบริเวณไม่มีที่สังเกต ภิกษุที่ เป็นอาคันตุกะจรมาไม่รู้ว่า ทำอุโบสถกันที่ไหน จึงทรงอนุญาตให้สมมติ โรงอโุ บสถในการทำอโุ บสถ จะเปน็ วหิ าร (กฎุ )ี หรอื เพงิ หรอื ปราสาท หรอื เรอื นโลน้ (หลงั คาตดั ) หรอื ถำ้ กไ็ ด้ ๑๐. ภิกษุทั้งหลายสมมติโรงอุโบสถ ๒ แห่งในอาวาสเดียวกัน ทรง ๑ ฤดมู ี ๘ ปกั ษ์ ปกั ษ์ ๑๔ วนั มี ๒ ครง้ั ปกั ษท์ ่ี ๓ และปกั ษท์ ่ี ๗ ปกั ษ์ ๑๕ วนั มี ๖ ครง้ั (ว.ิ อ. ๓ / ๓๖ / ๑๐๖)

๒๒๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก บญั ญตั หิ า้ ม และตรสั แนะใหส้ วดถอนโรงอโุ บสถออกหลงั หนง่ึ เสยี กอ่ น อนญุ าต ใหใ้ ชเ้ พยี งหลงั เดยี ว ๑๑. ภิกษุทั้งหลายสมมติโรงอุโบสถเล็กเกินไป มีพระมาประชุมมาก บางรปู ตอ้ งนง่ั นอกเขต มพี ระภกิ ษสุ งสยั ทลู ถามวา่ จะเปน็ อนั ทำอโุ บสถหรอื ไม่ พระผู้มีพระภาคตรัสว่าเป็นอันทำอุโบสถ และได้ตรัสแนะให้กำหนดนิมิต แล้วประชุมสงฆ์สวดสมมติหน้ามุขอุโบสถขยายให้ใหญ่ออกไปตามต้องการ ๑๒. ภิกษุบวชใหม่มาประชุมก่อนเวลาในวันอุโบสถ นึกว่าพระเถระ คงยงั ไมม่ าจงึ กลบั ไป กวา่ จะไดท้ ำอโุ บสถกก็ ลางคนื เพราะมวั แตร่ อกนั จงึ ตรสั อนุญาตให้ภิกษุผู้เป็นเถระมาประชุมก่อนในวันอุโบสถ ๑๓.ทอ่ี ยขู่ องสงฆใ์ นนครราชคฤหห์ ลายแหง่ มสี มี าเดยี วกนั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ววิ าทกนั วา่ ขอสงฆจ์ งทำอโุ บสถในทอ่ี ยขู่ องพวกเราๆ จงึ ตรสั วา่ “ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ทกุ ๆรปู พงึ ทำอโุ บสถแหง่ เดยี วกนั กห็ รอื ภกิ ษผุ เู้ ถระอยใู่ นทอ่ี ยใู่ ด พงึ ทำอโุ บสถ ในทน่ี น้ั แตส่ งฆเ์ ปน็ วรรคไมพ่ งึ ทำอโุ บสถ รปู ใดทำตอ้ งทกุ กฏ” ๑๔. พระมหากสั สปเกอื บถกู นำ้ พดั ไปในระหวา่ งทางขา้ มแมน่ ำ้ เพอ่ื จะ มาทำอโุ บสถ จวี รของทา่ นเปยี ก จงึ ตรสั อนญุ าตใหส้ มมตสิ มี าเปน็ เขตอยรู่ ว่ มกนั ทำอโุ บสถรว่ มกนั และใหเ้ ปน็ แดนไมอ่ ยปู่ ราศจากไตรจวี ร (ตจิ วี ราวปิ ปวาส สมี า)๑ และใหส้ มมตเิ วน้ เขตบา้ น และละแวกบา้ น เพอ่ื ไมใ่ หเ้ กบ็ จวี รไวใ้ นบา้ น ๑๕. ตรัสอนุญาตว่าเมื่อสวดถอน ให้ถอนเขตไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร ก่อน แล้วถอนเขตอยู่ร่วมกันทีหลัง เมื่อสวดสมมติให้สมมติสีมา ให้เป็นเขต อยรู่ ว่ มกนั กอ่ น สมมตเิ ขตไมอ่ ยปู่ ราศจากไตรจวี รทหี ลงั ๑๖.ถา้ ยงั มไิ ดส้ มมตสิ มี า(อพทั ธสมี า) ใหใ้ ชห้ มบู่ า้ นหรอื นคิ มทอ่ี ยนู่ น้ั เปน็ คามสีมาและนิคมสีมาได้, ถ้าในป่าไม่มีให้ใช้ระยะรัศมี ๗ อัพภันดร๒จากจุด ศนู ยก์ ลางเปน็ สตั ตพั ภนั ตรสมี าได้ อนญุ าตใหใ้ ชเ้ ขตทพ่ี น้ ระยะนำ้ สาดถงึ ในนำ้ เปน็ อทุ กกุ เขปสมี าเปน็ เขตลอยเรอื หรอื แพ หรอื ปลกู โรงอโุ บสถไดก้ ลางแมน่ ำ้ ๑ ตจิ วี ราวปิ ปวาสสมี า แดนไมอ่ ยปู่ ราศจากไตรจวี ร สมมตแิ ลว้ ภกิ ษอุ ยหู่ า่ งจากไตรจวี รในสมี านน้ั กไ็ มเ่ ปน็ อนั ปราศ (พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท)์ ๒ เมอ่ื ยนื อยกู่ ลาง๗อพั ภนั ดร ในทศิ ทง้ั ปวง = รศั มี ๙๘ เมตรจากศนู ยก์ ลาง(๑อพั ภนั ดร=๒๘ศอก, บพุ พสกิ ขาฯหนา้ ๕๑๗)

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๒๗ ทะเล หรอื สระนำ้ แตไ่ มอ่ นญุ าตสมมตแิ มน่ ำ้ ทะเลหรอื สระนำ้ ทง้ั หมด เปน็ เขตสมี า ๑๗.ตรสั หา้ มมใิ หส้ มมตสิ มี าคาบเกย่ี วกนั ใหม้ ชี านของสมี า ๑๘. ตรสั อธบิ ายวา่ วนั อโุ บสถ๑๔คำ่ กม็ ี ๑๕ คำ่ กม็ ี (ตามเดอื นขาดเดอื นเตม็ ) ๑๙. ตรสั อธบิ ายหลกั เกณฑเ์ รอ่ื งสวดปาตโิ มกขย์ อ่ เมอ่ื มเี หตสุ มควร ๑๐ อยา่ งเกดิ ขน้ึ (รายละเอยี ดอยใู่ นภาคผนวกเรอ่ื งปาตโิ มกขทุ เทส ๕ หนา้ ๔๒๘) ๒๐. ภิกษุที่จะกล่าวธรรมต้องได้รับเชื้อเชิญ ทรงอนุญาตให้พระเถระ กลา่ วธรรมเอง หรอื เชอ้ื เชญิ ภกิ ษอุ น่ื กลา่ วธรรม ๒๑.ตรัสอนุญาตให้มีการสมมติแต่งตั้งผู้ถามพระวินัย และผู้ตอบ พระวนิ ยั ภกิ ษใุ ดยงั ไมไ่ ดแ้ ตง่ ตง้ั ถามตอบวนิ ยั ในทา่ มกลางสงฆ์ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ๒๒.ตรสั อนญุ าตใหข้ อโอกาสกอ่ น แลว้ จงึ โจทดว้ ยอาบตั ิ รปู ใดไมข่ อ โอกาสก่อน โจทด้วยอาบัติต้องทุกกฏ รูปใดขอโอกาสในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ไมม่ เี หตอุ นั ควรตอ่ ภกิ ษผุ บู้ รสิ ทุ ธไิ มม่ อี าบตั ิ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ๒๓.ในการทำกรรมเปน็ การสงฆท์ ไ่ี มช่ อบธรรม ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษุ ๔ - ๕ รปู คา้ นได้ ภกิ ษุ ๒ - ๓ รปู ใหแ้ สดงความคดิ เหน็ แยง้ ได้ ใหภ้ กิ ษรุ ปู เดยี ว เมอ่ื ไมเ่ หน็ ดว้ ย ใหอ้ ธษิ ฐานในใจวา่ ไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั กรรมนน้ั ๒๔.ตรัสห้ามมิให้แกล้งสวดปาติโมกข์มิให้ผู้อื่นได้ยิน ถ้ามีเสียง ผิดปกติและพยายามแล้วไม่เป็นอาบัติ ๒๕. ตรสั วา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษไุ มพ่ งึ สวดปาตโิ มกขใ์ นบรษิ ทั ทม่ี อี นปุ สมั บนั ปนดว้ ย รปู ใดสวดตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ” ๒๖. ภกิ ษผุ มู้ ไิ ดร้ บั เชอ้ื เชญิ ตรสั หา้ มมใิ หส้ วดปาตโิ มกข์ รปู ใดสวดตอ้ ง อาบตั ทิ กุ กฏ ทรงอนญุ าตใหพ้ ระเถระเปน็ ใหญ่ ในเรอ่ื งปาตโิ มกข์ ๒๗.พระเถระสวดเองไม่ได้ จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาดสามารถ เปน็ ใหญใ่ นเรอ่ื งปาตโิ มกข์ ๒๘.พระทั้งวัดไม่สามารถสวดปาติโมกข์ได้ ให้ส่งภิกษุรูปหนึ่งไป เรยี นจากอาวาสใกลเ้ คยี ง จะโดยยอ่ หรอื โดยพสิ ดารกต็ าม ใหพ้ ระเถระเปน็ ผู้ใช้ไป ผู้ถูกใช้ขัดขืนในเมื่อไม่ป่วยไข้ต้องอาบัติทุกกฏ ๒๙. ตรสั อนญุ าตใหเ้ รยี นปกั ขคณนา (การคำนวนปกั ษ)์ ไดท้ กุ รปู เพอ่ื

๒๒๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก บอกดถิ แี กค่ นทง้ั หลายได้ ๓๐. ตรสั อนญุ าตใหเ้ รยี กชอ่ื หรอื จบั ฉลากเพอ่ื นบั จำนวนภกิ ษวุ นั อโุ บสถ ๓๑. ตรสั อนญุ าตใหพ้ ระเถระบอกวนั อโุ บสถแตเ่ ชา้ ตรู่ หรอื ในเวลาฉนั หรอื ในเวลาทน่ี กึ ได้ เพอ่ื ไมห่ ลงลมื หรอื ไปทอ่ี น่ื เสยี ๓๒.ตรสั อนญุ าตใหป้ ดั กวาด ปอู าสนะ ตามประทปี ตง้ั นำ้ ดม่ื นำ้ ใชใ้ นโรง อโุ บสถ โดยใหพ้ ระเถระเปน็ ผสู้ ง่ั การ ไมเ่ ปน็ ไขถ้ กู ใชแ้ ลว้ ไมท่ ำตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ๓๓.ตรัสห้ามภิกษุที่จะไปที่อื่นโดยไม่บอกลาอุปัชฌาย์หรือ อาจารย์ ให้อุปัชฌาย์หรืออาจารย์สอบสวนว่าจะไปไหนไปกับใคร ถ้าเห็น ไมส่ มควร กไ็ มใ่ หอ้ นญุ าต ถา้ ไมอ่ นญุ าตขนื ไปตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ๓๔.ภกิ ษผุ ทู้ รงความรปู้ ระพฤตติ นดมี า ใหต้ อ้ นรบั ดว้ ยดี ถา้ ไมต่ อ้ นรบั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ๓๕. ถ้าไม่มีใครสวดปาติโมกข์ได้เลยให้ส่งภิกษุรูปหนึ่งไปในวัดที่อาจ กลบั ไดท้ นั ในวนั นน้ั เพอ่ื เรยี นปาตโิ มกขโ์ ดยยอ่ หรอื โดยพสิ ดาร ถา้ ไมไ่ ด้ ภกิ ษุ เหลา่ นน้ั ทกุ รปู พงึ พากนั ไปสวู่ ดั ทร่ี วู้ ธิ ที ำอโุ บสถ รปู้ าตโิ มกข์ ถา้ ไมไ่ ปตอ้ งทกุ กฎ ถา้ เปน็ ชว่ งพรรษาใหส้ ง่ ภกิ ษไุ ปเรยี นเชน่ กนั ถา้ ไมไ่ ดใ้ หส้ ง่ ไปชว่ั ระยะ ๗ วนั ถา้ ไมไ่ ด้ ไมพ่ งึ อยจู่ ำพรรษาในอาวาสนน้ั ถา้ ขนื อยตู่ อ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ๓๖. ภิกษุเป็นไข้ ตรัสให้บอกความบริสุทธิ์แก่ภิกษุรูปหนึ่ง เพื่อนำไป บอกแกส่ งฆ์ ถา้ ไมม่ ผี รู้ บั ไปบอก ใหน้ ำขน้ึ เตยี ง ขน้ึ ตง่ั หามไปทำอโุ บสถ ไมใ่ ห้ ทำอโุ บสถแยกกนั ถา้ ใหเ้ คลอ่ื นทอ่ี าพาธอาจกำเรบิ หรอื อาจถงึ มรณภาพ ใหส้ งฆ์ ไปทำอโุ บสถ ณ สถานทท่ี ภ่ี กิ ษรุ ปู นน้ั อยู่ แลว้ ตรสั ใหภ้ กิ ษผุ รู้ บั บอกปารสิ ทุ ธิ ตอ้ งไปบอกแกส่ งฆใ์ หจ้ งได้ ถา้ ไปไมไ่ ดด้ ว้ ยตนเองใหม้ อบหมายผอู้ น่ื ไปบอกแทน ถ้าภิกษุผู้นำบริสุทธิ์เข้าที่ประชุมสงฆ์แล้ว จงใจไม่บอก ให้ถือว่าบริสุทธิ์นั้น เปน็ อนั นำมาแลว้ แตภ่ กิ ษผุ นู้ ำบรสิ ทุ ธท์ิ จ่ี งใจไมบ่ อกตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ๓๗.สังฆกรรมอื่นนอกจากอุโบสถ ถ้าภิกษุเป็นไข้ตรัสอนุญาตให้มอบ ฉันทะและมีเงื่อนไขคล้ายอุโบสถ ๓๘.ในวันอุโบสถถ้ามีสังฆกรรมอื่นด้วย ตรัสอนุญาตให้ภิกษุผู้บอก ความบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั บอกใหฉ้ นั ทะดว้ ย (มรี ายละเอยี ดวธิ ใี นภาคผนวก หนา้ ๔๓๐)

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๒๙ ๓๙. ภกิ ษถุ กู ญาตจิ บั ตวั ถกู คนอน่ื ๆ จบั ตวั ไมส่ ามารถมารว่ มทำอโุ บสถ ได้ ใหเ้ จรจาขอตวั มาทำอโุ บสถ ถา้ ไมส่ ำเรจ็ ใหเ้ จรจาขอใหบ้ อกบรสิ ทุ ธ์ิ ถา้ ไม่ สำเรจ็ ใหน้ ำภกิ ษนุ น้ั ออกใหพ้ น้ เขตสมี า เพอ่ื ใหส้ งฆท์ เ่ี หลอื ทำอโุ บสถ สงฆเ์ ปน็ วรรคไม่พึงทำอุโบสถถ้าทำต้องอาบัติทุกกฏ ๔๐. ถา้ ในอโุ บสถหรอื สงั ฆกรรมอน่ื มภี กิ ษเุ ปน็ บา้ อยใู่ นเขตสมี า ใหส้ งฆ์ สวดสมมตเิ พอ่ื จะไดท้ ำอโุ บสถ หรอื สงั ฆกรรมอน่ื ๆ โดยไมม่ เี ธออยดู่ ว้ ย ๔๑. พระมี ๔ รูป ตรัสอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ ถ้ามี ๓ รูป ให้ ประชุมกันตั้งญัตติบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกันเรียกว่า ปาริสุทธิ อโุ บสถ ถา้ ๒ รปู ใหบ้ อกความบรสิ ทุ ธแ์ิ กก่ นั โดยไมต่ อ้ งตง้ั ญตั ติ ถ้ามีรูปเดียว ให้ปัดกวาดสถานที่คอยภิกษุอื่น เมื่อไม่เห็นมา ให้อธิษฐานในใจระลึกว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถ ถ้าไม่ทำต้องอาบัติทุกกฏ เรยี กวา่ อธษิ ฐานอโุ บสถ (มรี ายละเอยี ดวธิ กี ารอยใู่ นภาคผนวก หนา้ ๔๒๖) ๔๒.มใิ หท้ ำอโุ บสถทง้ั ทย่ี งั มอี าบตั ิ ใหแ้ สดงอาบตั กิ อ่ นแลว้ จงึ ทำอโุ บสถ ถา้ สงสยั ในอาบตั กิ ใ็ หบ้ อกแกภ่ กิ ษรุ ปู หนง่ึ กอ่ น ๔๓. หา้ มภกิ ษทุ ต่ี อ้ งอาบตั เิ หมอื นๆ กนั แสดงคนื อาบตั ิ (ปลงอาบตั )ิ ทเ่ี หมอื นๆ กนั (สภาคาบตั ๑ิ ) ถา้ แสดงหรอื รบั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ๔๔.ถา้ ระลกึ ไดว้ า่ ยงั มอี าบตั อิ ยู่ หรอื สงสยั วา่ จะตอ้ งอาบตั ใิ ดๆ ในขณะ ฟงั ปาตโิ มกข์ ใหบ้ อกแกภ่ กิ ษทุ อ่ี ยใู่ กล้ ๆ เพอ่ื รบั ทราบไว้ เมอ่ื เสรจ็ อโุ บสถ จะแสดง อาบัติ แลว้ ทำอโุ บสถฟงั ปาตโิ มกขต์ อ่ ไป แตต่ อ้ งไมท่ ำอนั ตรายตอ่ อโุ บสถ ๔๕. ถา้ สงฆต์ อ้ งอาบตั ใิ นเรอ่ื งเดยี วกนั (สภาคาบตั )ิ ทง้ั วดั ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั พงึ สง่ ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ไปทำคนื อาบตั กิ บั ภกิ ษอุ น่ื ทไ่ี มต่ อ้ งสภาบตั ิ (กรณจี ำพรรษาให้ ไปกลบั ภายใน๗วนั )กรณสี งฆท์ ง้ั หมดไมแ่ นใ่ จในสภาคาบตั พิ งึ สวดญตั ตกิ รรมวาจา ในเรอ่ื งสภาคาบตั ิ (มรี ายละเอยี ดวธิ ใี นภาคผนวกหนา้ ๔๓๓) แลว้ ทำอโุ บสถ ๔๖. ถ้าสงฆ์ทั้งวัดต้องอาบัติเรื่องเดียวกัน แต่ไม่รู้ชื่อหรือต้นเค้า แหง่ อาบตั ิ ใหส้ อบถามภกิ ษผุ รู้ วู้ นิ ยั ทเ่ี ดนิ ทางมาพกั ถา้ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั จะปลงอาบตั ิ ๑ สภาคาบตั ิ แปลวา่ อาบตั ทิ ม่ี วี ตั ถเุ หมอื นกนั เชน่ ภกิ ษุ ๒ รปู ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ เพราะฉนั โภชนในเวลาวกิ าล เหมอื นกนั อาบตั ทิ ภ่ี กิ ษตุ อ้ งเพราะความผดิ เดยี วกนั อยา่ งน้ี เรยี กวา่ สภาคาบตั ิ (ว.ิ อ. ๓ / ๑๖๙ / ๑๔๐)

๒๓๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก นั้น ตามคำของภิกษุผู้รู้วินัย ทำได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าจะไม่พึงทำคืน ภกิ ษผุ รู้ วู้ นิ ยั นน้ั ไมป่ รารถนา กไ็ มพ่ งึ วา่ กลา่ วภกิ ษเุ หลา่ นน้ั . ๔๗.ทรงแสดงเงอ่ื นไข ในการทำอโุ บสถทไ่ี มต่ อ้ งอาบตั เิ กย่ี วกบั ไมร่ วู้ า่ ยงั มภี กิ ษอุ น่ื อยอู่ กี จงึ ทำอโุ บสถไปกอ่ นรวม ๑๕ ขอ้ สรปุ ไดว้ า่ ถา้ ภกิ ษทุ ม่ี า ทห่ี ลงั มากกวา่ ใหส้ วดใหม่ ยกเวน้ สวดจบลกุ หมดแลว้ ใหบ้ อกบรสิ ทุ ธ,์ิ ถา้ ภกิ ษุ ที่มาที่หลังมีจำนวนเท่ากันหรือน้อยกว่าให้สวดต่อ ถ้าสวดจบไปแล้วให้บอก บรสิ ทุ ธ์ิ ๔๘.ทรงแสดงเงอ่ื นไขในการทำอโุ บสถ ทร่ี อู้ ยวู่ า่ ยงั มภี กิ ษอุ น่ื ยงั มไิ ดม้ า ทำอโุ บสถ สำคญั วา่ เปน็ ธรรมเปน็ วนิ ยั สำคญั วา่ พรอ้ มกนั จงึ ทำอโุ บสถ คงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏเฉพาะภกิ ษผุ สู้ วด รวม ๑๕ ขอ้ และใหท้ ำตามขอ้ สรปุ ในขอ้ ๔๗ ๔๙. ทรงแสดงเงอ่ื นไขในการทำอโุ บสถ ทร่ี อู้ ยวู่ า่ ยงั มภี กิ ษอุ น่ื ยงั มไิ ดม้ า แต่สงสัยว่าจะเป็นการสมควรหรือไม่ แล้วขืนสวดปาติโมกข์คงปรับอาบัติ ทกุ กฏเฉพาะผสู้ วด รวม ๑๕ ขอ้ และใหท้ ำตามขอ้ สรปุ ในขอ้ ๔๗ ๕๐. ทรงแสดงเงอ่ื นไขในการทำอโุ บสถ ทร่ี อู้ ยวู่ า่ ยงั มภี กิ ษอุ น่ื ยงั มไิ ดม้ า แตฝ่ นื ใจทำอโุ บสถ ดว้ ยเขา้ ใจวา่ เราทำอโุ บสถแทม้ ใิ ชไ่ มค่ วร แลว้ สวดปาตโิ มกข์ คงปรบั อาบตั ทิ กุ กฎเฉพาะผสู้ วด รวม ๑๕ ขอ้ และใหท้ ำตามขอ้ สรปุ ในขอ้ ๔๗ ๕๑. ทรงแสดงเงอ่ื นไขในการทำอโุ บสถ ทร่ี อู้ ยวู่ า่ ยงั มภี กิ ษอุ น่ื ยงั มไิ ดม้ า แตม่ งุ่ ใหแ้ ตกรา้ ววา่ ขอใหภ้ กิ ษเุ หลา่ นน้ั จงเสอ่ื มสญู จงพนิ าศ แลว้ สวดปาตโิ มกข์ ปรบั อาบตั ถิ ลุ ลจั จยั แกภ่ กิ ษผุ สู้ วดรวม ๑๕ ขอ้ และใหท้ ำตามขอ้ สรปุ ในขอ้ ๔๗ ๕๒. ทรงแสดงเงื่อนไขดังกล่าว ระหว่างภิกษุที่อยู่ประจำวัดกับภิกษุที่ อยู่ประจำวัด, ระหว่างภิกษุที่อยู่ประจำวัดกับภิกษุอาคันตุกะ, ระหว่างภิกษุ อาคันตุกะกับภิกษุที่อยู่ประจำวัด, และระหว่างภิกษุอาคันตุกะกับภิกษุ อาคนั ตกุ ะรวม ๗๐๐ ขอ้ ๕๓. ทรงแสดงเงอ่ื นไขการนบั วนั อโุ บสถ ๑๔ คำ่ หรอื ๑๕ คำ่ ทภ่ี กิ ษอุ ยู่ ประจำวดั กบั ภกิ ษอุ าคนั ตกุ ะ มคี วามเหน็ แตกตา่ งกนั ใหอ้ นโุ ลมตามภกิ ษขุ า้ งมาก เปน็ ตน้ อกี หลายรอ้ ยขอ้ ๕๔.ในวันอุโบสถนั้น ไม่พึงออกจากที่มีภิกษุสมานสังวาสที่พอจะทำ

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๓๑ อโุ บสถได้ ไปสทู่ ่ี ๆ ไมม่ ภี กิ ษพุ อทำอโุ บสถได้ หรอื เปน็ นานาสงั วาส ยกเวน้ แต่ ไปเปน็ สงฆ์ ( ๔ รปู ขน้ึ ไป) เวน้ แตม่ อี นั ตราย หรอื ไปสทู่ ม่ี ภี กิ ษสุ มานสงั วาส ทพ่ี อจะทำอโุ บสถได้ ทร่ี วู้ า่ จะสามารถไปถงึ ไดใ้ นวนั นน้ั ๕๕. ในทส่ี ดุ ทรงแสดงหลกั การ ทม่ี ใิ หย้ กปาตโิ มกขข์ น้ึ แสดงในบรษิ ทั ท่ี มีภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี ภิกษุผู้บอกคืนสิกขา (สึก) ผู้ต้อง อนั ตมิ วตั ถุ (ตอ้ งปาราชกิ ) ผถู้ กู ลงอกุ เขปนยี กรรมเพราะไมเ่ หน็ อาบตั ิ ผถู้ กู ลง อุกเขปนียกรรมเพราะไม่ทำคืนอาบัติ ผู้ถูกลงอุกเขปนียกรรมเพราะไม่สละ ทฏิ ฐบิ าป มบี ณั เฑาะก์ (กะเทย) มคี นลกั เพศ (ปลอมบวช) มภี กิ ษผุ เู้ ขา้ รตี เดยี รถยี ์ (ไปเขา้ ศาสนาอน่ื ) มสี ตั วเ์ ดรจั ฉาน๑ คนฆา่ มารดา คนฆา่ บดิ า คนฆา่ พระอรหนั ต์ คนประทุษร้ายภิกษุณี คนทำลายสงฆ์ คนทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต นง่ั รวมอยดู่ ว้ ย ในการสวดปาตโิ มกข์ ๕๖.ถา้ นำบรสิ ทุ ธม์ิ าบอกแลว้ แตม่ กี ารเลกิ ประชมุ อโุ บสถเสยี เมอ่ื จะทำ อโุ บสถใหผ้ นู้ ำบรสิ ทุ ธบ์ิ อกใหม่ และทรงบญั ญตั วิ า่ ไมพ่ งึ ทำอโุ บสถในวนั ทม่ี ใิ ช่ วนั อโุ บสถ ยกเวน้ วนั ทส่ี งฆส์ ามคั ค.ี ๒ ๑ หมายถงึ สตั วเ์ ดรจั ฉานทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคทรงหา้ มอปุ สมบท (ว.ิ สงคฺ ห. ๒๔๕, กง.ฺ อ. ๑๑๖) ๒ หมายเหตุ การลำดบั เลขแต่ ๑ ถงึ ๕๖ ขอ้ น้ี เปน็ การลำดบั เพอ่ื ใหอ้ า่ นเขา้ ใจไดโ้ ดยงา่ ย

๒๓๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๓. วสั สปู นายกิ าขนั ธกะ หมวดวันเข้าพรรษา พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ สมัยนั้นมิได้ ทรงบญั ญตั เิ รอ่ื งการจำพรรษา ภกิ ษทุ ง้ั หลายเทย่ี วจารกิ ไปทกุ ฤดกู าล มผี ตู้ เิ ตยี น วา่ เทย่ี วเหยยี บยำ่ ตน้ หญา้ ตน้ ขา้ ว และเหยยี บสตั วต์ าย พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรง บญั ญตั พิ ระวนิ ยั ใหพ้ ระภกิ ษจุ ำพรรษา (คอื ไมพ่ กั คา้ งคนื ทอ่ี น่ื ตลอด ๓ เดอื นฤดฝู น) ทรงแสดงวา่ วนั จำพรรษามี ๒ อยา่ ง คอื วนั จำพรรษาตน้ เมอ่ื ดวงจนั ทร์ เสวยฤกษอ์ าสาฬหะลว่ งแลว้ วนั หนง่ึ คอื แรม ๑ คำ่ เดอื น ๘ และ วนั จำพรรษา หลงั เมอ่ื พระจนั ทรเ์ พญ็ เสวยฤกษอ์ าสาฬหะ ลว่ งไปแลว้ เดอื นหนง่ึ (แรม ๑ คำ่ เดือน ๙) ทรงห้ามจาริกไปไหนระหว่าง ๓ เดือน ของวันเข้าพรรษาแรก หรอื เขา้ พรรษาหลงั แลว้ แตก่ รณี ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ . ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั ปรบั อาบตั ทิ กุ กฏ แกภ่ กิ ษผุ เู้ มอ่ื ถงึ วนั เขา้ พรรษา แลว้ ไมจ่ ำพรรษา หรอื พบวดั ทจ่ี ะจำพรรษาแลว้ แกลง้ เดนิ ทางเลยไปเสยี . ทรงอนุมัติการเลื่อนวันจำพรรษา พระเจ้าพิมพิสารทรงส่งทูตไปเฝ้า ขอให้เลื่อนวันจำพรรษาออกไปอีก ในวนั เพญ็ หนา้ (รวมเปน็ ๑ เดอื น) จงึ ทรงอนญุ าตใหอ้ นวุ ตั ตามพระราชา๑ ทรงอนญุ าตใหไ้ ปกลบั ภายใน ๗ วนั แลว้ ทรงอนญุ าตใหเ้ ดนิ ทางไดใ้ นระหวา่ งพรรษาโดยใหก้ ลบั ภายใน ๗ วนั ในเมอ่ื มคี วามจำเปน็ เกดิ ขน้ึ ทเ่ี รยี กวา่ “สตั ตาหกรณยี ะ” ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑ หมายถงึ ใหค้ ลอ้ ยตามบา้ นเมอื ง แมใ้ นเรอ่ื งอน่ื ทช่ี อบธรรม กพ็ งึ คลอ้ ยตาม แตไ่ มพ่ งึ คลอ้ ยตามใครๆ ในเรอ่ื งทไ่ี มช่ อบธรรม (ว.ิ อ. ๓ / ๑๘๕ / ๑๔๖)

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๓๓ ๑. ทายกปรารถนาจะบำเพ็ญกุศล ส่งคนมานิมนต์ กรณีเช่นนี้ ทรง อนญุ าตใหไ้ ปได้ เฉพาะทเ่ี ขาสง่ คำนมิ นตม์ า ถา้ ไมส่ ง่ คำนมิ นตม์ าไมใ่ หไ้ ป. ๒. เพือ่ นสหธมั มกิ ๕ คือ ภกิ ษ,ุ ภิกษุณี, นางสกิ ขมานา, สามเณร, สามเณรี เปน็ ไข้ จะสง่ คนมานมิ นตห์ รอื ไมก่ ต็ าม ทรงอนญุ าตใหไ้ ปได.้ นอกจากนน้ั ยงั ทรงบญั ญตั ริ ายละเอยี ดเกย่ี วกบั เพอ่ื นสหธมั มกิ อกี คอื เมอ่ื เพอ่ื นสหธมั มกิ เปน็ ไข้ ภกิ ษปุ รารถนาจะชว่ ยแสวงหาอาหาร, ยารกั ษาโรค หรอื เปน็ ผพู้ ยาบาล กไ็ ปได้ เมอ่ื เพอ่ื นสหธมั มกิ เกดิ ความไมย่ นิ ดี เกดิ ความรงั เกยี จ หรอื เกดิ ความ เหน็ ผดิ ขน้ึ ไปเพอ่ื ระงบั เหตนุ น้ั ๆ, เมื่อเพื่อนสหธัมมิก (เฉพาะภิกษุ, ภิกษุณี) ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ปรารถนาจะออกจากอาบัติในขั้นใดๆก็ตาม, เมื่อสงฆ์ จะทำสงั ฆกรรมลงโทษภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ภกิ ษรุ ปู ทจ่ี ะถกู ลงโทษตอ้ งการใหไ้ ปกไ็ ปได้ เพื่อจะช่วยไกล่เกลี่ยไม่ให้ต้องทำกรรม หรือให้ลงโทษเบาลงไป เพื่อให้ปฏิบัติ โดยชอบดว้ ยพระวนิ ยั หรอื เพอ่ื ปลอบใจ เปน็ ตน้ , เมอ่ื นางสกิ ขมานา หรอื สามเณร ปรารถนาจะสมาทานสกิ ขาบท ถามปี หรอื จะบวช ไปเพอ่ื ชว่ ยเหลอื ในการนน้ั ได.้ ๓. มารดาบดิ าเปน็ ไข้ สง่ คนมานมิ นตห์ รอื รเู้ ขา้ ไปได้ ส่วนญาติหรือ ผอู้ ยอู่ าศยั กบั ภกิ ษเุ ปน็ ไข้ สง่ คนมานมิ นตจ์ งึ ไปได้ ถา้ ไมส่ ง่ มาไมพ่ งึ ไป. ๔. มเี หตซุ อ่ มเสนาสนะตรสั วา่ อนญุ าตใหไ้ ปไดเ้ พราะกรณยี ะของสงฆ์ ขาดพรรษาที่ไม่ต้องอาบัติ เมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ไม่สามารถจะจำพรรษาในที่นั้นๆต่อไปได้ ทรงอนญุ าต ใหห้ ลกี ไปโดยไมต่ อ้ งอาบตั ิ ดงั ตอ่ ไปน้ี :- ๑. ถกู สตั วร์ า้ ยรบกวน ถกู โจรปลน้ ถกู ปศี าจรบกวน หมบู่ า้ นหรอื เสนาสนะถกู ไฟไหม้ หรอื ถกู นำ้ ทว่ ม. ๒. ชาวบ้านถูกโจรปล้นอพยพหนีไป ทรงอนุญาตให้ไปกับเขาได้ ชาวบา้ นแตกกนั เปน็ ๒ ฝา่ ย ทรงอนญุ าตใหไ้ ปกบั ฝา่ ยขา้ งมากได้ หรอื ถา้ ฝา่ ยขา้ ง มากไม่มีศรัทธาเลื่อมใสก็ทรงอนุญาตให้ไปกับฝ่ายข้างน้อยที่มีศรัทธาเลื่อมใส. ๓. ขาดแคลนอาหาร ยารกั ษาโรค หรอื ขาดผบู้ ำรงุ ไดร้ บั ความลำบาก

๒๓๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทรงอนญุ าตใหไ้ ปได.้ ๔. มผี เู้ อาทรัพย์มาล่อ หรือนำสตรมี าใหเ้ ป็นภรยิ า เป็นอนั ตรายตอ่ พรหมจรรย์ ทรงอนญุ าตใหไ้ ปใหพ้ น้ ได.้ ๕. ภิกษุสงฆ์หรือภิกษุณีสงฆ์แตกกัน หรือมีผู้พยายามให้แตกกัน หรอื ทำใหแ้ ตกกนั แลว้ คดิ วา่ “การทำลายสงฆเ์ ปน็ กรรมหนกั เมอ่ื เราอยสู่ งฆอ์ ยา่ แตกกนั เลย” จงึ หลกี ไป หรอื ไปเพอ่ื หาทางระงบั ได.้ ทรงอนุญาตการจำพรรษาในที่บางแห่ง มภี กิ ษบุ างรปู ประสงคจ์ ะจำพรรษาในทบ่ี างแหง่ ตา่ งๆ กนั ทรงผอ่ นผนั ให้ จำพรรษาได้ คอื :- ๑. ในคอกสตั ว์๑ ๒. เมอ่ื คอกสตั วย์ า้ ยไป ทรงอนญุ าตใหย้ า้ ยตามไปได้ ๓. ในหมเู่ กวยี น ๔. ในเรอื ทรงห้ามจำพรรษาในที่ไม่สมควร ทรงหา้ มการจำพรรษาในทไ่ี มส่ มควร รปู ใดเขา้ จำตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ คอื :- ๑. ในโพรงไม้ ๒. บนกง่ิ หรอื คา่ คบไม้ ๓. กลางแจง้ ๔. ไมม่ เี สนาสนะ (คอื ทน่ี อนทน่ี ง่ั ) ๕. ในโลงผี กระทอ่ มผ๒ี ๑ ในที่นี้หมายถึง สถานที่ซึ่งคนเลี้ยงโคพักอาศัยในขณะต้อนโคไปเลี้ยง ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ไม่ได้หมายถึง คอกโคทป่ี ระจำอยตู่ ามหมบู่ า้ น (ว.ิ อ. ๓ / ๒๐๓ / ๑๕๐) ๒ หมายถงึ กระทอ่ มทเ่ี ขาสรา้ งไวใ้ นปา่ ชา้ เปน็ ทเ่ี กบ็ ศพ (ปาจติ ยาทโิ ยชนา ๓๒๑ ม.๑) หรอื โกดงั เกบ็ ศพ แตจ่ ะสรา้ งกฏุ ี หรอื กระทอ่ มอน่ื ในปา่ ชา้ แลว้ เขา้ จำพรรษาได้ ไมท่ รงหา้ ม (ว.ิ อ. ๓ / ๒๐๔ / ๑๕๑, สารต.ฺ ฏกี า. ๓ / ๒๐๔ / ๓๔๕)

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๓๕ ๖. ในกลด ๗. ในตุ่ม ขอ้ หา้ มอน่ื ๆ ๑. หา้ มตง้ั กตกิ าทไ่ี มส่ มควร เชน่ ไมใ่ หบ้ วชสามเณรในพรรษา สงฆ์ หมใู่ ดตง้ั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ๒. รับคำว่าจะจำพรรษาต้นหรือจำพรรษาหลังในที่ใด แลว้ ไมจ่ ำพรรษา ในทน่ี น้ั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏเพราะรบั คำ (ปฏสิ สวทกุ กฏ)

๒๓๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๔. ปวารณาขนั ธกะ หมวดปวารณา เรื่องภิกษุที่จำพรรษาในแคว้นโกศล ตั้งกติกาไม่พูดกัน ใช้วิธีบอกใบ้ หรอื ใชม้ อื แทนคำพดู เมอ่ื ออกพรรษาแลว้ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาค ตรสั ถามทราบ ความแลว้ กท็ รงตเิ ตยี นการอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งปศสุ ตั ว๑์ ทรงหา้ มการสมาทานมคู วตั ร (ถือการไม่พูด) ที่พวกเดียรถีย์ถือปฏิบัติกัน รูปใดสมาทานต้องอาบัติทุกกฏ และทรงอนุญาตการปวารณา คือการอนุญาตให้ภิกษุอื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ ด้วยเหตุ ๓ คือ ด้วยได้เห็น, ได้ยิน, หรือนึกสงสัย ตรัสว่า การปวารณานั้น จกั เปน็ วธิ ที เ่ี หมาะสม เพอ่ื วา่ กลา่ วซง่ึ กนั และกนั เปน็ วธิ อี อกจากอาบตั ิ เปน็ วธิ ี เคารพพระวนิ ยั ของภกิ ษุ เมอ่ื ไดจ้ ำพรรษาแลว้ โดยใหส้ วดประกาศตง้ั ญตั ตแิ ลว้ ใหภ้ กิ ษพุ รรษาแกก่ วา่ ปวารณากอ่ น ๓ ครง้ั ภกิ ษพุ รรษาออ่ นกวา่ ปวารณาทหี ลงั ทรงห้ามไม่ให้นั่งลงกับพื้นจนกว่าจะปวารณาเสร็จ คือให้ทุกรูป นง่ั กระโหยง่ รปู ไหนเสรจ็ กอ่ นกน็ ง่ั ลงกบั พน้ื ได.้ ทรงแสดงวนั ปวารณาวา่ มี ๒ คอื วนั ๑๔ คำ่ และ ๑๕ คำ่ และทรงแสดง ปวารณา ๔ อยา่ ง คอื ๑. ปวารณาแยกกันที่ไม่เป็นธรรม ๒. ปวารณารวมกันที่ไม่เป็นธรรม ๓. ปวารณาแยกกันที่เป็นธรรม ๔. ปวารณารวมกันที่เป็นธรรม แล้วตรัสสอนให้ปวารณาเฉพาะรวมกันที่เป็นธรรม. ทรงแสดงการมอบปวารณา (ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื ปวารณาแทน) ของภกิ ษผุ เู้ ปน็ ไข้ มีลักษณะคล้ายการมอบบริสุทธิ์ หรือฉันทะในเรื่องปาติโมกข์. ๑ หมายถงึ อยรู่ ว่ มกนั โดยไมม่ กี ารถามสขุ ทกุ ขข์ องกนั และกนั เพราะปศสุ ตั วท์ ง้ั หลายยอ่ มไมบ่ อกสขุ ทกุ ขท์ เ่ี กดิ ขน้ึ แกต่ นใหใ้ ครทราบ และไมท่ ำปฏสิ นั ถารตอ่ กนั (ว.ิ อ. ๓ / ๒๐๙ / ๑๕๔)

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๔) ๒๓๗ และทรงอนุญาตให้ปวารณาเป็นการสงฆ์ต่อเมื่อมีภิกษุ ๕ รูปขึ้นไป ภกิ ษุ ๔ รปู ลงมาถงึ ๒ รปู ใหป้ วารณาเปน็ คณะ (คณะปวารณา) ถา้ มรี ปู เดยี วให้ อธษิ ฐานปวารณาวา่ วนั นเ้ี ปน็ วนั ปวารณาของเรา (ดวู ธิ ใี นภาคผนวกหนา้ ๔๖๙) ทรงแสดงการปวารณาไปโดยไมร่ วู้ า่ ยงั มภี กิ ษอุ น่ื มาไมค่ รบ ๑๕ ประเภท ทไ่ี มต่ อ้ งอาบตั ิ และแสดงเงอ่ื นไขอน่ื ๆ เหมอื นเรอ่ื งอโุ บสถ. อนึ่ง ทรงแสดงว่าเมื่อมีเหตุจำเป็นจะปวารณา ๓ ครั้งไม่ได้ ก็ทรง อนุญาตให้ปวารณา ๒ ครั้ง หรือครั้งเดียวได้ และให้ภิกษุผู้มีพรรษาเท่ากัน ปวารณาพร้อมกันได้. อนึ่งทรงห้ามภิกษุที่ยังมีอาบัติมิให้ปวารณาถ้าขืนปวารณาต้อง อาบตั ทิ กุ กฏ ใหป้ ลงอาบตั กิ อ่ น มเี งอ่ื นไขวธิ กี ารเหมอื นอโุ บสถ ทรงอนุญาตให้ขอโอกาส แล้วโจทอาบัติได้ ถ้าภิกษุผู้ต้องอาบัติ ไม่ยอมให้โอกาสเพื่อโจทอาบัติ ให้สงฆ์สวดประกาศหยุดการปวารณาไว้ อา้ งเหตวุ า่ ผนู้ น้ั ผนู้ ย้ี งั มอี าบตั อิ ยู่ แลว้ ทรงแสดงลกั ษณะทห่ี ยดุ การปวารณาไว้ หรอื หยดุ ไมไ่ ด้ (เพราะปวารณาไปแลว้ ) เปน็ ตน้ . มีภิกษุที่อื่นประสงค์จะมาก่อการทะเลาะ หรือก่อให้เกิดอธิกรณ์ ทรงอนญุ าตใหร้ บี ปวารณาเสยี ใหเ้ สรจ็ กอ่ นทภ่ี กิ ษเุ หลา่ นน้ั จะมา โดยทำ ๒ (และ) ๓ อโุ บสถ๑ ใหเ้ ปน็ วนั ๑๔ คำ่ หรอื ไปปวารณานอกสมี า ถา้ ทำอยา่ งนน้ั ไมไ่ ด้ ให้สวดปาติโมกข์แทน โดยเลื่อนวันปวารณาออกไปอีกปักษ์หนึ่ง (๑๕ วัน) ถา้ ภกิ ษทุ ก่ี อ่ เรอ่ื งยงั พกั อยจู่ นถงึ วนั ปวารณาทเ่ี ลอ่ื นไปนน้ั ใหส้ วดประกาศเลอ่ื น การปวารณาออกไปได้อีกปักษ์หนึ่งแล้วสวดปาติโมกข์แทน ถ้าภิกษุเหล่านั้น ยงั พกั อยอู่ กี แมไ้ มป่ ระสงคจ์ ะปวารณากต็ อ้ งปวารณาหมดทกุ รปู (เลอ่ื นอกี ไมไ่ ด)้ ภกิ ษโุ จทสงฆพ์ งึ สอบสวน ภกิ ษไุ ขจ้ ะโจทหรอื ถกู โจท ขอใหร้ อจนกวา่ จะหายได้ สงฆ์อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ถ้าปวารณาแล้วจะแยกย้ายจากกันไป ทรง อนญุ าตใหเ้ ลอ่ื นวนั ปวารณาไปได้ ๑ เดอื น โดยสวดประกาศญตั ตทิ ตุ ยิ กรรมวาจา ถ้ามีภิกษุปรารถนาจะหลีกไปชนบท สามารถปวารณาก่อนได้. ๑ ๒ อโุ บสถ คอื อโุ บสถท่ี ๓ และ ท่ี ๔ ๓ อโุ บสถ คอื อโุ บสถท่ี ๓, ๔, และท่ี ๕ (ว.ิ อ. ๓ / ๒๔๐ / ๑๖๑)

ผโู้ ลเล “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย มลู เหตแุ ปดอยา่ งเหลา่ น้ี ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความเสื่อมเสียสำหรับภิกษุ ผู้ยังไม่จบกิจแห่งการปฏิบัติเพื่อ ลถุ งึ นพิ พาน. มลู เหตแุ ปดอยา่ งอะไรกนั เลา่ ? แปดอยา่ งคอื :- ๑. ความเปน็ ผพู้ อใจในการทำงานกอ่ สรา้ ง. ๒. ความเปน็ ผพู้ อใจในการคยุ . ๓. ความเปน็ ผพู้ อใจในการนอน. ๔. ความเปน็ ผพู้ อใจในการจบั กลมุ่ คลกุ คลกี นั . ๕. ความเปน็ ผไู้ มค่ มุ้ ครองทวารในอนิ ทรยี ท์ ง้ั หลาย. ๖. ความเปน็ ผไู้ มร่ จู้ กั ประมาณในการบรโิ ภค. ๗. ความเปน็ ผพู้ อใจในการทำ เพอ่ื เกดิ สมั ผสั สนกุ สบายทางกาย. ๘. ความเปน็ ผพู้ อใจในการขยายกจิ ใหโ้ ยกโยโ้ อเ้ อ้ เนน่ิ ชา้ .” (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๒๓ / ๓๔๓ / ๑๘๓ )

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๕) แบ่งเป็น ๖ ขันธ์

๒๔๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๑. จมั มขนั ธกะ หมวดว่าด้วยหนัง พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ เขาคชิ ฌกฏู กรงุ ราชคฤห์ พระเจา้ พมิ พสิ าร จอมทพั แควน้ มคธทรงเรยี กประชมุ ชาวบา้ นจำนวนมาก ทอ่ี ยภู่ ายใตก้ ารปกครอง ของพระองค์ ไดท้ รงทราบขา่ ววา่ บตุ รเศรษฐชี อ่ื โสณโกฬวิ สิ ะมขี นขน้ึ ทพ่ี น้ื เทา้ กท็ รงใครจ่ ะไดเ้ หน็ จงึ ตรสั ใหไ้ ปเฝา้ พอทอดพระเนตรแลว้ กท็ รงสง่ั สอนชาวบา้ น เหลา่ นน้ั ดว้ ยเรอ่ื งประโยชนป์ จั จบุ นั ตรสั ใหเ้ ขาเหลา่ นน้ั ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาค เพื่อสดับเรื่องประโยชน์ในอนาคต พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔ ประการ ชาวบ้านเหล่านั้นได้ปฏิญญาณตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีพ ส่วน โสณโกฬิวิสะขอบวช เมื่อบวชแล้วมีความเพียรพยายามมาก เดินจงกรมจน เท้าแตกเลือดไหล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่าพระโสณโกฬิวิสะเมื่อยัง ไม่บวชเคยดีดพิณ จึงทรงแสดงธรรมให้เดินสายกลางไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อน เกินไป เหมือนสายพิณที่ขึงแต่พอดีย่อมดีดดังไพเราะ พระโสณโกฬิวิสะ ปฏิบัติตามก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล. ทรงอนุญาตรองเท้าใบไม้ พระผู้มีพระภาคทรงเห็นพระโสณโกฬิวิสะ เป็นผู้สุขุมาลชาติ (ละเอยี ดออ่ น) กท็ รงอนญุ าต ใหใ้ ชร้ องเทา้ ใบไมช้ น้ั เดยี ว พระโสณโกฬวิ สิ ะเกย่ี งวา่ ถา้ อนญุ าตแกส่ งฆเ์ ปน็ การสว่ นรวมจงึ จะยอมใช้ พระองคก์ ท็ รงอนญุ าตรองเทา้ ทท่ี ำดว้ ยใบไมช้ น้ั เดยี ว หา้ มใชช้ นดิ ทท่ี ำ ๒ - ๓ ชน้ั หรอื ซอ้ นหลาย ๆ ชน้ั .

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๔๑ ทรงห้ามรองเท้าที่ไม่ควร ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ใ์ ชร้ องเทา้ มสี ตี า่ ง ๆ มผี ตู้ เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรง บัญญัติห้ามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวมรองเท้าสีเขียวล้วน สเี หลอื งลว้ น สแี ดงลว้ น สบี านเยน็ ลว้ น สดี ำลว้ น สแี สดลว้ น สชี มพลู ว้ น รปู ใดสวม ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ เธอใชร้ องเทา้ มหี สู ตี า่ งๆ มผี ตู้ เิ ตยี น กท็ รงหา้ ม รองเท้าที่มีหู สีดังที่ห้ามแล้วนั้นอีก เธอยกั ย้ายไปใช้รองเท้าลักษณะต่าง ๆ เชน่ รองเทา้ ปดิ สน้ ปดิ หลงั เทา้ รองเทา้ ยดั นนุ่ มหี ลู าย มหี งู อนคลา้ ยเขา แกะ, เขาแพะ, หางแมงป่อง, รองเท้าที่เย็บด้วยขนหางนกยูง และที่สวยงาม ประดับประดาต่าง ๆ ซึ่งเป็นของที่คฤหัสถ์เขาใช้สอยกัน ก็ทรงห้าม ทั้งหมด นอกจากนั้นยังทรงห้ามใช้รองเท้าหนังสัตว์ที่ไม่ควรต่าง ๆ ซึ่งคฤหัสถ์สมัยนั้นใช้กัน เช่น รองเท้าทำด้วยหนังขลิบด้วยหนังราชสีห์, เสือโคร่ง, เสือเหลือง, เสือดาว, หนังนาก, หนังแมว, หนังค่าง, หนงั นกเคา้ รปู ใดใชต้ อ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ. ข้ออนุญาตและข้อห้ามเกี่ยวกับรองเท้า ๑. ทรงอนญุ าตรองเทา้ หลายชน้ั ทค่ี นอน่ื ใชแ้ ลว้ หา้ มทเ่ี ปน็ ของใหม่ ๒. ถ้าภิกษุผู้เป็นอาจารย์หรือมีพรรษารุ่นอาจารย์ เป็นอุปัชฌาย์ หรอื รนุ่ อปุ ชั ฌายไ์ มส่ วมรองเทา้ เดนิ จงกรม หา้ มภกิ ษสุ วมรองเทา้ เดนิ จงกรม ๓. ทรงหา้ มใชร้ องเทา้ ในวดั ภายหลงั ทรงอนญุ าตใหใ้ ชไ้ ด้ รวมทง้ั ทรง อนุญาตให้ใช้คบเพลิง, ประทีปและไม้เท้า เพื่อไม่ให้เหยียบหนาม เหยียบตอ และเพอ่ื สะดวกในเวลากลางคนื ๔. ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษทุ เ่ี ทา้ เจบ็ , เทา้ แตก หรอื มโี รคทเ่ี ทา้ ใชร้ องเทา้ ได้ ๕. จะขึ้นเตียง ขึ้นตั่งก็ทรงอนุญาตให้ใช้รองเท้าได้ เพื่อว่าล้างใหม่ๆ นำ้ ทต่ี ดิ เทา้ และผงตา่ ง ๆ จะไดไ้ มท่ ำใหเ้ ตยี งตง่ั เสยี หาย ๖. หา้ มใชร้ องเทา้ ไม้ เพราะมเี สยี งดงั

๒๔๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๗. หา้ มใชร้ องเทา้ ทำดว้ ยใบตาลและใบไผ่ เพราะพระเทย่ี วขอใหเ้ ขาตดั ตน้ ตาลและตน้ ไผท่ ย่ี งั ออ่ น ๆ ทำใหต้ น้ ไมน้ น้ั เหย่ี วแหง้ ไป ๘. ห้ามใช้รองเท้าหญ้าและรองเท้าใบไม้หลายชนิด ตลอดจนรองเท้า ทำดว้ ย เงนิ ทอง เพชร พลอย แกว้ และโลหะตา่ ง ๆ เพราะมวั ยงุ่ อยดู่ ว้ ยเรอ่ื ง รองเทา้ ไมเ่ ปน็ อนั ศกึ ษาทอดทง้ิ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ๙. ทรงอนุญาตเขียงเท้าที่ตรึงติดกับที่ สำหรับใช้ในการถ่ายอุจจาระ, ปสั สาวะ และชำระ ทง้ั หมดนห้ี ากภกิ ษใุ ดลว่ งละเมดิ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ. ข้อห้ามเกี่ยวกับโคตัวเมีย มเี ดก็ เลย้ี งโคนำโคตวั เมยี ขา้ มลำนำ้ อจริ วดี พวกภกิ ษฉุ พั พคั คยี เ์ ทย่ี วจบั ทเ่ี ขาบา้ ง, หบู า้ ง, คอบา้ ง, หางบา้ ง, ขน้ึ ขห่ี ลงั บา้ ง, ถกู ตอ้ งองคก์ ำเนดิ แมโ่ คดว้ ยจติ กำหนดั บา้ ง, จบั ลกู โคกดนำ้ ใหต้ ายบา้ ง มผี ตู้ เิ ตยี นออ้ื ฉาว จงึ ทรงหา้ มทำเชน่ นน้ั ถ้าขืนทำ ให้ปรับอาบัติตามควรแก่กรณี คือถ้ามีจิตกำหนัดถูกต้ององค์กำเนิด แมโ่ คปรบั อาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ถกู ตอ้ งอวยั วะอน่ื อาบตั ทิ กุ กฏ ฆา่ ลกู โคอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ ข้อห้ามเกี่ยวกับยานพาหนะเทียมสัตว์ สมยั นน้ั พวกภกิ ษฉุ พั พคั คยี โ์ ดยสารยานพาหนะทเ่ี ทยี มดว้ ยโคเพศเมยี มบี รุ ษุ เปน็ สารถบี า้ ง เทยี มดว้ ยโคเพศผมู้ สี ตรเี ปน็ สารถบี า้ ง คนทง้ั หลายตำหนวิ า่ “เหมือนชายหนุ่มหญงิ สาวโดยสารยานพาหนะไปเลน่ นำ้ ” ทรงห้ามไปด้วยยานเทียมสัตว์ ต่อมามีภิกษุไข้ จึงทรงอนุญาต ยานพาหนะที่เทียมโคเพศผู้๑ ยานพาหนะที่ใช้มือลากทรงอนุญาตคานหามมี ตั่งนั่งและเปลผ้าที่เขาผูกติดกับไม้คาน. ๑ คนทล่ี ากยานพาหนะ จะเปน็ บรุ ษุ หรอื สตรกี ไ็ ด้ (ว.ิ อ. ๓ / ๑๕๓ / ๑๖๘) ภกิ ษนุ ง่ั ยานพาหนะเชน่ นไ้ี มต่ อ้ งอาบตั .ิ

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๔๓ ข้อห้ามเกี่ยวกับที่นอนสูงใหญ่ ทรงหา้ มทน่ี อนอนั สงู ใหญ่ ทม่ี ลี กั ษณะวจิ ติ รงดงามเปน็ ของใชค้ ฤหสั ถ์ คอื เตยี งมเี ทา้ สงู เกนิ ขนาด มเี ทา้ เปน็ รปู สตั วร์ า้ ย พรมขนสตั ว์ เครอ่ื งลาดขนแกะ สขี าว หรอื ขนแกะลายวจิ ติ ร เครอ่ื งลาดยดั นนุ่ เครอ่ื งลาดขนแกะขนาดใหญ่ ทน่ี างฟอ้ น ๑๖ คนรา่ ยรำได้ เครอ่ื งลาดบนหลงั ชา้ งบนหลงั มา้ เครอ่ื งลาดในรถ เครอ่ื งลาดมเี พดาน เครอ่ื งลาดมหี มอน ๒ ขา้ ง และหา้ มใชห้ นงั สตั วข์ นาดใหญๆ่ สำหรบั ปนู ง่ั หรอื นอน เชน่ คฤหสั ถ.์ ภายหลงั มภี กิ ษตุ อ้ งการใชห้ นงั โค และมผี ฆู้ า่ โค เพอ่ื นำหนงั มาถวาย จงึ ทรงหา้ มใชห้ นงั สตั วท์ กุ ชนดิ รปู ใดใชต้ อ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ เว้นไว้แต่นั่งบนของที่คฤหัสถ์เขามีไว้ใช้ แต่ไม่ให้นอนบนนั้น นอกจากนั้น ทรงอนญุ าตใหใ้ ชห้ นงั สตั วท์ เ่ี ขาทำเปน็ เชอื กผกู . ห้ามสวมรองเท้าเข้าบ้าน ทรงหา้ มสวมรองเทา้ เขา้ บา้ น เวน้ แตอ่ าพาธ ทง้ั นเ้ี พราะชาวบา้ นพากนั ตเิ ตยี นภกิ ษฉุ พั พคั คยี ท์ ท่ี ำเชน่ นน้ั วา่ เหมอื นคฤหสั ถผ์ บู้ รโิ ภคกาม. พระโสณกฏุ กิ ณั ณะ โสณกุฏิกัณณะอุบาสก ใคร่จะบวช จึงไปหาพระมหากัจจายนะ ขอให้ช่วยสงเคราะห์บวชให้ ท่านเห็นว่าลำบากที่จะประพฤติปฏิบัติจึงห้ามไว้ ครั้งที่สองเมื่อขอบวชอีกและเห็นว่าตั้งใจแน่วแน่ จึงยอมบวชเป็นสามเณรให้ และกวา่ จะหาภกิ ษปุ ระชมุ ครบ ๑๐ รปู เพอ่ื อปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษุ กล็ ำบากยง่ิ นกั ตอ้ งรอถงึ สามปี เพราะในชนบทนน้ั ทรุ กนั ดารมภี กิ ษนุ อ้ ย พระโสณกฏุ กิ ณั ณะ พอบวชแลว้ อยจู่ ำพรรษากบั อปุ ชั ฌาย์ หลงั ออกพรรษาแลว้ มาเฝา้ พระพทุ ธเจา้ นำคำขอร้องของพระมหากัจจายนะเถระผู้เป็นอุปัชฌาย์ มากราบทูลด้วย หลายข้อเกี่ยวด้วยการผ่อนผันพระวินัยบางประการสำหรับเขตทุรกันดาร.

๒๔๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ข้ออนุญาตสำหรับชนบทชายแดน ๑.ทรงอนุญาตให้อุปสมบทกุลบุตรในชนบทชายแดน (ปัจจันตชนบท) ทง้ั ปวง ดว้ ยภกิ ษเุ พยี ง ๕ รปู ๒.ทรงกำหนดชนบทภาคกลาง (มชั ฌมิ ชนบท) ดงั น้ี คอื ทศิ ตะวนั ออก ภายในแต่มหาสาลนครเข้ามา ทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ภายในแต่แม่น้ำสัลลวดีเข้ามา ทศิ ใต้ ภายในแต่เสตกัณณนิคมเข้ามา ทิศตะวันตก ภายในแต่หมู่บ้านพราหมณ์ชื่อถูนะเข้ามา ทศิ เหนอื ภายในแต่ภูเขาอุสีรธชะเข้ามา ทั้งหมดนี้ร่วมในมัชฌิมชนบท พ้นเขตออกไปเป็นปัจจันตชนบท ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษุ ๕ รปู บวชกลุ บตุ รได้ ๓.ทรงอนญุ าตใหใ้ ชร้ องเทา้ หลายชน้ั ในชนบทชายแดนได้ เพราะแผน่ ดนิ ขรขุ ระเปน็ ระแหง ๔.ทรงอนญุ าตใหอ้ าบนำ้ ไดป้ ระจำ ในปจั จนั ตชนบททง้ั หมด ๕.ทรงอนุญาตให้ใช้หนังแกะ หนังแพะ หนังเนื้อ เป็นเครื่องลาดได้ ตามทม่ี ใี ชก้ นั อยใู่ นเขตชนบทชายแดน ๖.ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษผุ อู้ ยนู่ อกสมี า รบั จวี รทเ่ี ขาฝากถวายภกิ ษอุ น่ื ได้ โดยยงั ไมต่ อ้ งนบั วนั ตราบเวลาทผ่ี า้ ยงั ไมถ่ งึ มอื ภกิ ษนุ น้ั ๑. ๑ ภกิ ษทุ ร่ี บั ฝากถวายจวี ร ยงั มไิ ดน้ ำจวี รมาถวายจนถงึ มอื หรอื ยงั มไิ ดส้ ง่ ขา่ วมาแจง้ ใหท้ ราบวา่ มที ายกถวายจวี ร ตอ่ เมอ่ื ภกิ ษทุ ร่ี บั ฝากถวายจวี รนำมาถวายจนถงึ มอื หรอื สง่ ขา่ วมาแจง้ ใหท้ ราบ หรอื ไดฟ้ งั ขา่ ววา่ มที ายกถวาย จวี รแลว้ แตน่ น้ั จวี รนน้ั เกบ็ ไวไ้ ด้ ๑๐ วนั (ว.ิ อ. ๓ / ๒๕๙ / ๑๗๒) ตามสกิ ขาบทท่ี ๑ ของจวี รวรรค ในนสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๔๕ ๒. เภสชั ชขนั ธกะ หมวดว่าด้วยยา ทรงอนญุ าตเภสชั ๕ และอน่ื ๆ ๑. ภกิ ษหุ ลายรปู ดว้ ยอาพาธในฤดสู ารท๑ ดม่ื ขา้ วยาคหู รอื ฉนั อาหาร กอ็ าเจยี นออกจงึ ซบู ผอม พระผมู้ พี ระภาคเจา้ จงึ อนญุ าตเนยใส เนยขน้ นำ้ มนั นำ้ ผง้ึ นำ้ ออ้ ย ใหฉ้ นั ไดท้ ง้ั ในกาล (กอ่ นเทย่ี ง) และในวกิ าล (หลงั เทย่ี งไป) ๒. ทรงอนญุ าตมนั เหลวทเ่ี ปน็ ยา คอื มนั เหลวหมี ปลาฉลาม๒ มนั เหลวหมู มนั เหลวลา ทร่ี บั ประเคนในเวลา เจยี วในกาล กรองในกาล แล้วฉันอย่างน้ำมัน ถ้ารับประเคนในเวลาวิกาล เจียวในเวลาวิกาล กรองในเวลาวกิ าลแลว้ ฉนั มนั เหลวนน้ั เปน็ อาบตั ทิ กุ กฏ ๓ ตวั ๓. ทรงอนญุ าตใหฉ้ นั มลู เภสชั (ยาทเ่ี ปน็ หวั หรอื เหงา้ ไม)้ เชน่ ขมน้ิ ขงิ เปน็ ตน้ ทไ่ี มเ่ ปน็ อาหารโดยปกตไิ ดต้ ลอดชพี ไมก่ ำหนดกาล แตต่ อ้ งมเี หตผุ ล สมควร ถ้าไม่มีเหตุผลสมควร ต้องอาบัติทุกกฏ สำหรับภิกษุผู้อาพาธ ทรงอนญุ าตใหใ้ ชห้ นิ บดบดได้ ๔. ทรงอนุญาตให้ฉันกสาวเภสัช (ยาที่เป็นน้ำฝาดจากต้นไม้) ซึ่ง ไมเ่ ปน็ อาหารโดยปกตไิ ดต้ ลอดชพี ในเมอ่ื มเี หตสุ มควร ๕. ทรงอนญุ าตใหฉ้ นั ปณั ณเภสชั (ใบไมท้ เ่ี ปน็ ยา) ซง่ึ ไมเ่ ปน็ อาหารโดย ปกตไิ ดต้ ลอดชพี ในเมอ่ื มเี หตผุ ลสมควร ๑ อาพาธในฤดูสารท คือ ไข้เหลือง (หรือโรคดีซ่าน) ที่เกิดในฤดูสารท (ฤดูใบไม้ร่วง) เพราะในฤดูสารทนี้ ภกิ ษทุ ง้ั หลายเปยี กชมุ่ ดว้ ยนำ้ ฝนบา้ ง เดนิ ยำ่ โคลนบา้ ง แสงแดดแผดกลา้ บา้ ง (ว.ิ อ. ๓ / ๒๖๐ / ๑๗๓) ๒ บางอาจารยว์ า่ จระเข้ (สารตถฺ . ฎกี า. ๓ / ๒๖๒ / ๓๖๗) ฉบบั PALI TEXT SOCITY แปลวา่ จระเข้ (Book of the discipline past 4 P. 271) มหาวรรคฉบับภาษาพมา่ แปลว่า “ปลาโลมา”

๒๔๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๖. ทรงอนญุ าตใหฉ้ นั ผลเภสชั (ผลไมท้ เ่ี ปน็ ยา) ซง่ึ ไมเ่ ปน็ อาหารโดย ปกติ เชน่ ดปี ลี สมอ มะขามปอ้ ม ไดต้ ลอดชพี เมอ่ื มเี หตสุ มควร ๗. ทรงอนุญาตให้ฉันชตุเภสัช (ยางไม้ที่เป็นยา) เช่น มหาหิงคุ์ ไดต้ ลอดชพี เมอื่ มเี หตสุ มควร ๘. ทรงอนุญาตโลณเภสัช (เกลือที่เป็นยา) เช่น เกลือสมุทร เกลอื สนิ เธาว์ ไดต้ ลอดชพี เมอ่ื มเี หตสุ มควร ๙. ทรงอนุญาตให้ใช้ยาผงในเมื่อเป็นแผลพุพอง หรือกลิ่นตัวแรง เพอ่ื มใิ หแ้ ผลตดิ จวี ร สำหรบั ภกิ ษผุ ไู้ มอ่ าพาธ ทรงอนญุ าตใหใ้ ชม้ ลู โค (แหง้ ) ดนิ (แห้ง) และกากเครอ่ื งยอ้ ม ทรงอนญุ าตครก สาก และแลง่ (สำหรบั รอ่ นยาผง) และผ้าร่อนยาเพอ่ื การน้ี ๑๐. ทรงอนญุ าตเนอ้ื สตั วด์ บิ โลหติ ดบิ ในเมอ่ื อาพาธเนอ่ื งดว้ ยอมนษุ ยส์ งิ ๑๑. ทรงอนญุ าตยาตา และกลกั ยาตา สำหรบั ภกิ ษผุ อู้ าพาธเปน็ โรคตา แตห่ า้ มมใิ หใ้ ชก้ ลกั ยาตา ทท่ี ำดว้ ยเงนิ ทองแบบของคฤหสั ถ์ ใหท้ ำดว้ ยกระดกู งา ไม้ โลหะ และเปลอื กไม้ กบั ทรงอนญุ าตฝาปดิ กลกั ยาตา และใหใ้ ชด้ า้ ยพนั กนั ฝาตก กบั ทรงอนญุ าตใหใ้ ชไ้ มป้ า้ ยยาตา และถงุ ใสไ่ มป้ า้ ยยาตา รวมทง้ั สาย สำหรับสะพายคล้องบ่า ๑๒. ทรงอนญุ าตใหท้ านำ้ มนั ทศ่ี รี ษะ เมอ่ื เปน็ โรครอ้ นศรี ษะ และอนญุ าต ใหน้ ตั ถย์ุ า และกลอ้ งยานตั ถ์ุ แตก่ ลอ้ งยานตั ถ์ุ หา้ มทำดว้ ยเงนิ ทอง หรอื งดงาม แบบคฤหัสถ์ ทรงอนุญาตกล้องยานัตถุ์ที่มีหลอดคู่ ทรงอนุญาตให้สูดควัน (ของยา) ทางจมูก, ทรงอนุญาตกล้องยาสูบ (ที่ใช้รักษาโรค) แต่ไม่ให้ใช้กล้อง ทท่ี ำดว้ ยทอง เงนิ หรอื งดงามแบบคฤหสั ถ์ ทรงอนญุ าตใหม้ เี ครอ่ื งปดิ กลอ้ งยาสบู เพอ่ื กนั สตั วเ์ ขา้ ไปขา้ งใน ถงุ และเชอื กผกู เปน็ สายสะพาย ๑๓. ทรงอนุญาตให้เคี่ยวน้ำมัน (ทำยา) และอนุญาตให้เติมน้ำเมา ลงในน้ำมันที่จะทำยาได้ โดยมีเงื่อนไขว่า น้ำเมาที่ใส่นั้นต้องไม่ปรากฏสี กลิ่น และรส ถา้ เจอื นำ้ เมามากไปทรงอนญุ าตใหเ้ กบ็ ไวเ้ ปน็ ยาทา ทรงอนญุ าตภาชนะ สำหรบั ใสน่ ำ้ มนั ทท่ี ำดว้ ยโลหะ หรอื ผลไม้ ทรงอนญุ าตการทำใหเ้ หงอ่ื ออก ตง้ั แต่ อยา่ งธรรมดาถงึ อยา่ งเขา้ กระโจม โดยมถี าดตม้ ใบตวั ยาอยใู่ นนน้ั และอา่ งนำ้

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๔๗ ๑๔. ทรงอนญุ าตใหน้ ำเลอื ดออกดว้ ยใชเ้ ขาควายดดู ๑๕. ทรงอนญุ าตยาทาเทา้ เมอ่ื เทา้ แตก และอนญุ าตใหป้ รงุ ยาทาเทา้ ได้ ๑๖. ทรงอนุญาตการผ่าฝี และอนุญาตกระบวนการทั้งปวงที่เนื่องด้วย แผลผ่าตัดนั้น คือน้ำฝาด งาบด ยาพอก ผ้าพันแผล ล้างแผลด้วยน้ำแป้ง เมลด็ ผกั กาด รมดว้ ยควนั ใชก้ อ้ นเกลอื ตดั เนอ้ื งอก นำ้ มนั ทาแผล ๑๗.ทรงอนุญาตยา ๔ ชนิด ในขณะถูกงูหรือสัตว์มีพิษกัด คือ มูตร (ปัสสาวะ) คูถ (อุจจาระ) ขี้เถ้าและดินในขณะรีบด่วนเช่นนั้น ถ้าไม่มีคนทำให้ กใ็ หถ้ อื เอาและฉนั ไดเ้ อง ไมต่ อ้ งอาบตั ิ ๑๘. ทรงอนุญาตยา และ อาหารอ่อนบางอย่าง ตามสมควรแก่โรค และความต้องการที่จำเป็น เช่น ดื่มน้ำที่ละลายจากดินผาลไถ เมื่ออาพาธ โดยยาแฝด๑ นำ้ ดา่ งจากขเ้ี ถา้ ของขา้ วสกุ เผา แกโ้ รคทอ้ งผกู สมอดองนำ้ มตู รโค แก้โรคผอมเหลือง๒ การทาตัวด้วยของหอม แก้โรคผิวหนัง ยาถ่าย แก้ผดผื่นขึ้นตามตัว น้ำข้าวใส น้ำถั่วต้มที่ไม่ข้น น้ำถั่วต้มที่ข้นเล็กน้อย นำ้ เนอ้ื ตม้ เปน็ การผอ่ นผนั ใหเ้ หมาะแกอ่ าพาธ. หา้ มเกบ็ เภสชั ๕ ไวเ้ กนิ ๗ วนั พระเจา้ พมิ พสิ าร มพี ระราชประสงคจ์ ะถวายคนทำงานวดั แก่ พระปลิ นิ ทวจั ฉะ กท็ รงอนญุ าตใหม้ คี นวดั ได้ มนษุ ยท์ ง้ั หลายพากนั เลอ่ื มใส พระปลิ นิ ทวจั ฉะในฐานะมอี ำนาจจติ สงู ใชอ้ ำนาจจติ ไดห้ ลายอยา่ ง พากนั ถวาย เภสชั ๕ คอื เนยใส,เนยขน้ ,นำ้ มนั ,นำ้ ผง้ึ ,นำ้ ออ้ ยเปน็ อนั มาก ทา่ นกแ็ บง่ ถวายภกิ ษุ ผเู้ ปน็ บรษิ ทั ของทา่ น ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั กเ็ กบ็ ของเหลา่ นใ้ี สผ่ า้ กรองบา้ ง ใสถ่ งุ บา้ ง แขวนไวบ้ า้ ง พาดท่หี นา้ ตา่ งบา้ ง มหี นรู บกวนมาก เปน็ ทต่ี เิ ตยี นของคนทง้ั หลาย พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบจงึ ทรงบญั ญตั วิ า่ ภกิ ษรุ บั เภสชั ๕ จะเกบ็ ไวบ้ รโิ ภค ไดไ้ มเ่ กนิ ๗ วนั ถา้ ลว่ งกำหนดนน้ั ไปใหป้ รบั อาบตั นิ สิ สคั คยิ ปาจตี ตยี .์ ๑ อาพาธโดยยาแฝด แปลมาจากบาลีวา่ “ฆรทินนาพาโธ” หมายถงึ โรค ท่เี กิดขน้ึ เพราะน้ำหรอื ยาทห่ี ญิงแม่เรอื นให้ ซง่ึ ดม่ื กนิ เขา้ ไปแลว้ จะตกอยใู่ นอำนาจของหญงิ นน้ั (ว.ิ อ. ๓ / ๒๖๙ / ๑๗๕, สารตถฺ . ฎกี า ๓ / ๒๖๙) ๒ โรคผอมเหลอื ง คอื โรคดซี า่ น

๒๔๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทรงอนุญาตของฉันบางอย่าง พระกงั ขาเรวตะ เหน็ เขาผสมแปง้ บา้ ง เถา้ บา้ ง ลงในงบนำ้ ออ้ ย ยำเกรง อยู่ วา่ “นำ้ ออ้ ยงบเจอื อามสิ เปน็ ของไมค่ วรในเวลาวกิ าล” พรอ้ มดว้ ยบรษิ ทั ไมฉ่ นั นำ้ ออ้ ยงบ ภกิ ษกุ ราบทลู ใหท้ รงทราบ จงึ ทรงสอบถามวา่ ชาวบา้ นเขาผสมของ ดงั กลา่ วเพอ่ื อะไร ภกิ ษกุ ราบทลู วา่ “เพอ่ื ใหเ้ นอ้ื นำ้ ออ้ ยเกาะกนั แนน่ ” จงึ ทรงรบั สง่ั วา่ “ถา้ เขาผสมแปง้ บา้ ง เถา้ บา้ งลงในนำ้ ออ้ ยงบ เพอ่ื ใหเ้ นอ้ื นำ้ ออ้ ยเกาะกนั แนน่ นำ้ ออ้ ย งบนน้ั คงเปน็ นำ้ ออ้ ยงบเหมอื นเดมิ เราอนญุ าตใหฉ้ นั นำ้ ออ้ ยงบไดต้ าม สบาย” และทรงอนญุ าตใหฉ้ นั ถว่ั เขยี วทต่ี ม้ สกุ แลว้ แตย่ งั งอกไดใ้ นกาล อนญุ าต ใหฉ้ นั ยาโลณโสวรี กะ๑แกภ่ กิ ษผุ อู้ าพาธ แตผ่ ไู้ มอ่ าพาธตอ้ งเจอื นำ้ ฉนั อยา่ งปานะ. ห้ามเก็บอาหารค้างคืนในที่อยู่เป็นต้น พระผมู้ พี ระภาคทรงอาพาธดว้ ยโรคลมในทอ้ ง พระอานนทข์ องาถว่ั เขยี ว ดว้ ยตนเอง เกบ็ คา้ งคนื ไวใ้ นทอ่ี ยู่ แลว้ ตม้ เองในทอ่ี ยู่ แลว้ ถวายพระผมู้ พี ระภาค เมื่อทรงทราบจึงตรัสห้ามเก็บอาหารค้างคืนในที่อยู่ ห้ามหุงต้มอาหารในที่อยู่ และห้ามหุงต้มเอง ผู้ล่วงละเมิดต้องอาบัติทุกกฏ แต่การอุ่นของที่สุกแล้ว อนญุ าตใหท้ ำได้ ตอ่ มาเกดิ ขา้ วยากในกรงุ ราชคฤห์ ทรงอนญุ าตใหเ้ กบ็ อาหารไว้ คา้ งคนื ในทอ่ี ยู่ ใหห้ งุ ตม้ อาหารในทอ่ี ยู่ ใหห้ งุ ตม้ เองได้ (แตเ่ มอ่ื บา้ นเมอื งกลบั สู่ สภาพปกติ กท็ รงหา้ มการเกบ็ อาหารคา้ งคนื ในทอ่ี ยู่ เปน็ ตน้ นน้ั อกี หนา้ ๒๕๑) อนึ่งทรงอนุญาตว่า (ในการเดินทางไกล) เห็นผลไม้ตกอยู่ ถ้าไม่มี กปั ปยิ การก๒ กใ็ หเ้ กบ็ นำไปเอง ตอ่ เมอ่ื พบกปั ปยิ การกจงึ ใหว้ างบนพน้ื ดนิ ใหเ้ ขา จดั ถวายใหฉ้ นั ได้ ทรงอนญุ าตใหร้ บั ประเคนผลไมท้ เ่ี กบ็ มาเองได้ (ขอ้ น้ี ตอ่ มา กท็ รงยกเลกิ เชน่ เดยี วกบั เรอ่ื งการเกบ็ อาหารในทอ่ี ยู่ หนา้ ๒๕๒). ๑ ยาดองโลณโสวรี กะ ไดแ้ กย่ าทป่ี รงุ ดว้ ยสว่ นประกอบนานาชนดิ เชน่ มะขามปอ้ มสด สมอพเิ ภก ธญั ญชาตทิ กุ ชนดิ ถว่ั เขยี ว ขา้ วสกุ ผลกลว้ ย หนอ่ หวาย การระเกด อนิ ทผลมั หนอ่ ไม้ ปลา เนอ้ื นำ้ ผง้ึ นำ้ ออ้ ย เกลอื โดยใสเ่ ครอ่ื งยาเหลา่ น้ี ในหมอ้ ปดิ ฝามดิ ชดิ เกบ็ ดองไว้ ๑ - ๓ วนั เมอ่ื ยานส้ี กุ ไดท้ แ่ี ลว้ จะมรี สและสเี หมอื นผลหวา้ เปน็ ยาแกโ้ รคลม โรคไอ โรคผอมเหลอื ง (ดซี า่ น) โรครดิ สดี วง เปน็ ตน้ ในภายหลงั ภตั คอื เทย่ี งวนั ไปกฉ็ นั ได้ (ว.ิ อ. ๑ / ๑๙๒ / ๕๑๘) ๒ กปั ปยิ การก หมายถงึ ผทู้ ำหนา้ ทจ่ี ดั ของทส่ี มควรแกภ่ กิ ษบุ รโิ ภค, ผปู้ ฏบิ ตั ภิ กิ ษ,ุ ศษิ ยพ์ ระ (พจนานกุ รมพทุ ธศาสน)์

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๔๙ ทรงอนุญาตเรื่องการฉันหลายข้อ ทรงอนุญาตให้ภิกษุที่ฉันเสร็จแล้ว ห้ามภัตแล้ว ฉันอาหารที่เป็นเดน ซึ่งนำมาจากบ้านเจ้าภาพได้ (คือ ทรงห้ามไว้ในสิกขาบทที่ ๕ โภชนวรรค ปาจติ ตยิ กณั ฑ์ แตท่ รงบญั ญตั เิ พม่ิ เตมิ วา่ ถา้ เจา้ ภาพนำมาถวาย ทว่ี ดั อกี ใหฉ้ นั ได)้ อนง่ึ ถา้ เขา ถวายไวก้ อ่ นเวลาอาหาร และถา้ ของนน้ั เปน็ ของปา่ ของเกดิ ในสระ กท็ รงอนญุ าต ใหฉ้ นั ได้ (ขอ้ อนญุ าตเหลา่ นท้ี กุ ขอ้ ตอ่ มากท็ รงยกเลกิ ดหู นา้ ๒๕๒) อนง่ึ ผลไม้ ทใ่ี ชเ้ พาะพนั ธไ์ุ มไ่ ด้ หรอื ทป่ี ลอ้ นเมลด็ ออกแลว้ ไมม่ ใี ครทำใหค้ วร (กปั ปยิ ะ, ดรู ายละเอยี ดสมณกปั ปะหนา้ ๔๑๗) กท็ รงอนญุ าตใหฉ้ นั ได.้ ทรงห้ามทำการผ่าตัดหรือผูกรัดที่ทวารหนัก ทรงหา้ มผา่ ตดั หรอื ผกู มดั ดว้ ยหนงั หรอื ผา้ ภายในบรเิ วณ ๒ นว้ิ โดยรอบ ทวารหนกั เพราะในทแ่ี คบผวิ เนอ้ื ออ่ น แผลหายยาก ผา่ ตดั ลำบาก ผฝู้ า่ ฝนื ตอ้ ง อาบตั ถิ ลุ ลจั จยั (เกย่ี วกบั รดิ สดี วงทวาร). ทรงห้ามฉันเนื้อที่ไม่ควร ๑. ทรงหา้ มฉนั เนอ้ื มนษุ ย์ ผฉู้ นั ตอ้ งอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ภกิ ษจุ ะฉนั เนอ้ื สตั ว์ ตอ้ งพจิ ารณากอ่ น ขนื ฉนั ทง้ั ไมพ่ จิ ารณา ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ. ๒. ทรงห้ามฉันเนื้อสัตว์ที่ไม่สมควรอีก ๙ ชนิด คือ เนื้อช้าง, เนื้อม้า, เนื้อสุนัข, เนื้องู, เนื้อราชสีห์, เนื้อเสือโคร่ง, เนื้อเสือเหลือง, เนอ้ื หมี และเนอ้ื เสอื ดาว. ทรงอนุญาตและไม่อนุญาตของฉันบางอย่าง ๑. ทรงอนญุ าตขา้ วยาคู [ทำดว้ ยเมลด็ ขา้ วออ่ นตำแลว้ คน้ั เอานำ้ เคย่ี ว กับน้ำตาล (พจนานุกรมไทยฯ)] และขนมหวาน ทรงสรรเสริญข้าวยาคูว่า

๒๕๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก มีอานิสงส์มาก ๒. ตรสั วา่ ภกิ ษอุ นั ทายกนมิ นตไ์ วแ้ หง่ อน่ื ไมพ่ งึ ฉนั ยาคทู แ่ี ขน้ ของผอู้ น่ื รูปใดฉันพึงปรับอาบัติตามธรรม(ปรับปาจิตตีย์เพราะฉันปรัมปรโภชน ดหู นา้ ๑๑๖) ๓. ทรงแสดงธรรมโปรดเวลฏั ฐะ กจั จายนะ ผถู้ วายงบนำ้ ออ้ ยแกภ่ กิ ษุ ทั้งหลาย ให้ได้ดวงตาเห็นธรรมปฏิญญาตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็น สรณะตลอดชวี ติ ตอ่ มาทรงปรารภเรอ่ื งงบนำ้ ออ้ ย ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษทุ ป่ี ว่ ย เปน็ ไขฉ้ นั ได้ แตภ่ กิ ษผุ ไู้ มเ่ ปน็ ไข้ ใหล้ ะลายนำ้ ฉนั . เสด็จแสดงธรรมที่ปาฏลิคามและโกฏิคาม พระผมู้ พี ระภาคเสดจ็ จากกรงุ ราชคฤหไ์ ปยงั ปาฏลคิ าม ทรงแสดงธรรม โปรดอบุ าสกชาวปาฏลคิ ามผถู้ วายอาคารทพ่ี กั เรอ่ื งโทษแหง่ ศลี วบิ ตั ขิ องผทู้ ศุ ลี และอานสิ งสแ์ หง่ ศลี สมั ปทาของผมู้ ศี ลี คอื ๑. ยอ่ มไดโ้ ภคทรพั ย์ ซง่ึ มคี วามไมเ่ บยี ดเบยี นเปน็ เหตุ ๒. กติ ตศิ พั ทอ์ นั ดงี ามยอ่ มกระฉอ่ นไป ๓. เขา้ ไปบรษิ ทั ใด ยอ่ มแกลว้ กลา้ ไมเ่ กอ้ เขนิ ๔. ยอ่ มไมห่ ลงลมื สตติ าย ๕. หลงั จากตายแลว้ ยอ่ มไปเกดิ ในสคุ ตโิ ลกสวรรค์ มหาอำมาตยแ์ หง่ มคธ ชอ่ื สนุ ธี วสั สการะ นมิ นตพ์ ระพทุ ธเจา้ พรอ้ มดว้ ย ภิกษุสงฆ์เพื่อฉันภัตตาหาร เสร็จแล้วพระผู้มีพระภาคเสด็จข้ามแม่น้ำคงคา ไปยงั โกฏคิ าม ทรงแสดงธรรมเรอ่ื งอรยิ สจั ๔. นางอัมพปาลีถวายป่ามะม่วง นางอัมพปาลี ได้เดินทางโดยขบวนยานจากกรุงเวสาลี ไปเฝ้า พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ถงึ โกฏคิ าม แลว้ นมิ นตฉ์ นั ในวนั รงุ่ ขน้ึ คณะกษตั รยิ ล์ จิ ฉวี แหง่ กรงุ เวสาลกี เ็ ดนิ ทางไปโกฏคิ าม เพอ่ื เฝา้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ กราบทลู นมิ นต์ ฉนั ในวนั รงุ่ ขน้ึ แตพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงรบั นมิ นตข์ องนางอมั พปาลไี วก้ อ่ นแลว้

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๕๑ คณะกษัตริย์ลิจฉวีขอร้องนางให้พวกตนได้ถวายก่อน นางไม่ยอม ในวันรุ่งขึ้น เมอ่ื ถวายอาหารแดพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ และพระภกิ ษสุ งฆเ์ สรจ็ แลว้ จงึ กราบทลู ถวายป่ามะม่วงให้เป็นสังฆาราม. สีหเสนาบดีเปลี่ยนศาสนา สีหเสนาบดีเป็นสาวกของนิครนถ์ ได้ฟังพวกกษัตริย์ลิจฉวีสรรเสริญ คุณพระรัตนตรัยก็ใคร่จะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะไปก็ปรึกษากับ อาจารยน์ คิ รนถนาฏบตุ ร กถ็ กู หา้ มปรามถงึ ๓ ครง้ั ในทส่ี ดุ ไดต้ ดั สนิ ใจไปเฝา้ โดย ไมบ่ อกอาจารย์ เมอ่ื ไปเฝา้ กราบทลู ถามถงึ ขอ้ ทม่ี คี นกลา่ วหาพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ซึ่งได้ทรงชี้แจงโดยละเอียดแล้ว ทรงแสดงธรรมโปรด สีหเสนาบดีได้ดวงตา เห็นธรรม และได้นิมนต์ฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น พวกนิครนถ์เที่ยวพูดว่า สีหเสนาบดีฆ่าสัตว์มาทำเป็นอาหารเลี้ยงพระ พระสมณโคดมรู้อยู่ก็ยังฉัน เนอ้ื สตั วน์ น้ั สหี เสนาบดไี ดท้ ราบกป็ ฏเิ สธวา่ ไมเ่ ปน็ ความจรงิ แลว้ กถ็ วายอาหาร แดพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ พรอ้ มทง้ั ภกิ ษสุ งฆต์ อ่ ไปจนเสรจ็ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภเหตุนั้น จึงทรงบัญญัติพระวินัย หา้ มฉนั เนอ้ื สตั วท์ เ่ี ขา(ฆา่ ) ทำจำเพาะภกิ ษุ ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏ และทรง อนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยเงื่อนไข ๓ ประการ คือ ไม่ได้เห็น, ไมไ่ ดย้ นิ , ไมไ่ ดร้ งั เกยี จ. ทรงถอนข้ออนุญาตสำหรับยามข้าวยาก ต่อมากรุงเวสาลีสมบูรณ์บริบูรณ์ขึ้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงถอน ขอ้ อนญุ าตทป่ี ระทานไวใ้ นสมยั ขา้ วยาก เปน็ อนั กลบั หา้ มตอ่ ไป คอื หา้ มเกบ็ อาหารคา้ งคนื ในทอ่ี ย,ู่ (อนั โตวฏุ ฐะ) หา้ มหงุ ตม้ ในทอ่ี ย,ู่ (อนั โตปกั กะ) หา้ มหงุ ตม้ ดว้ ยตนเอง, (สามปกั กะ)

๒๕๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก หา้ มฉนั ผลไมท้ เ่ี กบ็ มาเองโดยหาคนประเคนทหี ลงั คอื จบั ตอ้ งแลว้ รบั ประเคนใหม่ (อคุ คหติ ปฏคิ กหติ กะ) ๔ ขอ้ น้ี ปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกผ่ ลู้ ว่ งละเมดิ . ห้ามฉันอาหารที่ฉันจนเสร็จ บอกไม่รับของที่เขาจะถวายเพิ่มแล้ว กลับฉันของที่เขานำมาถวายจากบ้านเจ้าภาพอีก (ตโตนีหฏะ) อาหารที่รับ ประเคนไว้ก่อนเวลาอาหาร (ปุเรภัตตปฏิคคหิตกะ) หรืออาหารที่เกิดในป่า (วนฏั ฐะ) ในสระนำ้ (โปกขรฏั ฐะ) เชน่ ผลไม้ เหงา้ บวั ซง่ึ เปน็ อาหารไมเ่ ปน็ เดน ให้ปรับอาบัติแก่ผู้บริโภคตามควร๑ ทรงอนุญาตที่เก็บอาหาร มผี นู้ ำของทเ่ี ปน็ อาหาร เชน่ เกลอื , นำ้ มนั , ขา้ วสาร, ของเคย้ี ว (ผลไม)้ มาถวาย พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตกัปปิยภูมิ คือที่เก็บของที่สมควร โดยใหส้ วดประกาศเปน็ การสงฆ์ โดยทรงระบกุ ปั ปยิ ภมู ิ ๔ ชนดิ คอื ๑. อสุ สาวนนั ตกิ า กปั ปยิ ภมู ทิ ป่ี ระกาศใหร้ กู้ นั แตเ่ รม่ิ สรา้ ง ๒. โคนสิ าทกิ า๒ กปั ปยิ ภมู เิ คลอ่ื นทไ่ี ด้ ๓. คหปตกิ า เรอื นทค่ี ฤหบดถี วายเปน็ กปั ปยิ ภมู ิ (สงฆส์ วดประกาศ) ๔. สมั มตกิ า กปั ปยิ ภมู ทิ ส่ี งฆส์ มมติ คอื สวดประกาศเปน็ การสงฆ์ ทรงหา้ มภกิ ษใุ ชก้ ปั ปยิ ภมู ทิ ส่ี งฆส์ มมตไิ ว้ รปู ใดใช้ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ทรงแสดงธรรมโปรดเมณฑกคฤหบดี พระผู้มีพระภาคเสด็จจากกรุงไพศาลี ไปยังภัททิยนคร ประทับ ณ ชาตยิ าวนั ณ ทน่ี น้ั เมณฑกคฤหบดี (ผเู้ ปน็ เศรษฐ)ี ไดไ้ ปเฝา้ ไดส้ ดบั พระธรรม เทศนาได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว ก็นิมนต์ฉันในวันรุ่งขึ้น เมื่อฉันเสร็จแล้ว ๑ ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ เพราะเคย้ี วฉนั ของทไ่ี มเ่ ปน็ เดนหลงั หา้ มภตั แลว้ ตามความในสกิ ขาบทท่ี ๕ แหง่ โภชนวรรค ๒ โคนสิ าทกิ า แปลวา่ กปั ปยิ ภมู เิ หมอื นกบั โคจอ่ ม ไดแ้ ก่ สถานทไ่ี มม่ รี ว้ั ลอ้ ม แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภท คอื วดั ทไ่ี มม่ รี ว้ั ลอ้ ม เรยี กวา่ อารามโคนสิ าทกิ า กฏุ ที ไ่ี มม่ รี ว้ั ลอ้ ม เรยี กวา่ วหิ ารโคนสิ าทกิ า โดยความกค็ อื เรอื นครวั เลก็ ๆ ทไ่ี มล่ งหลกั ปกั ฐานมน่ั คง สามารถเคลอ่ื นยา้ ยได้ (ว.ิ อ. ๓ / ๒๙๕ / ๑๘๒ - ๑๘๓)

คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๕๓ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงธรรมโปรดครอบครัว พร้อมทั้งทาสของเมณฑก ใหไ้ ดด้ วงตาเหน็ ธรรม ทกุ คนปฏญิ ญาณตนถงึ พระรตั นตรยั เปน็ สรณะตลอดชวี ติ . ทรงอนุญาตตามที่เมณฑกคฤหบดีขอร้อง เมณฑกคฤหบดีทราบว่า พระผู้มีพรภาคจะเสด็จเดินทางไกลไป องั คตุ ตราปะ ซง่ึ เปน็ หนทางกนั ดาร อตั คดั นำ้ อตั คดั อาหาร จงึ กราบทลู ขอรอ้ ง ใหท้ รงอนญุ าตเสบยี ง จงึ ทรงอนญุ าต ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. ทรงอนญุ าตปญั จโครส ๕ คอื นมสด, นมสม้ , เปรยี ง, เนยขน้ , เนยใส ๒. ทรงอนุญาตให้แสวงหาเสบียงเดินทางได้ คือ ข้าวสาร, ถั่วเขียว, ถว่ั ราชมาส, เกลอื , นำ้ ออ้ ยงบ, นำ้ มนั , เนยใส ตามความตอ้ งการ ๓. ตรสั วา่ “มอี ยภู่ กิ ษทุ ง้ั หลาย ชาวบา้ นทม่ี ศี รทั ธาเลอ่ื มใส เขามอบเงนิ ทองไวใ้ นมอื กปั ปยิ การกสง่ั วา่ สง่ิ ใดควรแกพ่ ระผเู้ ปน็ เจา้ ขอทา่ นจงถวายสง่ิ นน้ั ด้วยกัปปิยภัณฑ์นี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีของอันเป็น กปั ปยิ ะจากกปั ปยิ ภณั ฑน์ น้ั ได้ แตเ่ รามไิ ดก้ ลา่ ววา่ พงึ ยนิ ดี พงึ แสวงหาทอง และเงนิ โดยปรยิ ายไรๆ เลย. ทรงอนญุ าตนำ้ อฏั ฐบาน (นำ้ ดม่ื ๘ อยา่ ง) ณ ตำบลอาปณะ ทรงปรารภคำของเกณยิ ะชฎลิ ผปู้ รงุ นำ้ ปานะมาถวาย จงึ ทรงอนญุ าตนำ้ ปานะ ๘ อยา่ ง คอื ๑.นำ้ มะมว่ ง ๒.นำ้ ชมพหู่ รอื นำ้ หวา้ ๓.นำ้ กลว้ ยมเี มลด็ ๔.นำ้ กลว้ ยไมม่ เี มลด็ ๕.นำ้ มะซาง ๖.นำ้ ลกู จนั ทนห์ รอื องนุ่ ๗.นำ้ เหงา้ บวั ๘.นำ้ มะปรางหรอื ลน้ิ จ่ี ทรงอนญุ าตนำ้ จากผลไมท้ กุ ชนดิ ๑ เวน้ แต่ รสแหง่ ธญั ญผล๒ ทรงอนญุ าตนำ้ จากใบไมท้ กุ ชนดิ เวน้ แตน่ ำ้ ผกั ดอง ทรงอนญุ าต นำ้ จากดอกไมท้ กุ ชนดิ เวน้ แตน่ ำ้ ดอกมะซาง และทรงอนญุ าตนำ้ ออ้ ยสด. ๑ ทห่ี า้ มฉนั นำ้ จากมหาผล ๙ คอื ตาล มะพรา้ ว ผลขนนุ ขนนุ สำปะลอ บวบ ฟกั เขยี ว แตงกวา แตงโม ฟกั ทอง รวมทง้ั อปรณั ณชาติ เชน่ ถว่ั ตา่ งๆ เปน็ สว่ นแหง่ อรรถกถา นกั วนิ ยั ธรเหน็ ควรอยา่ งไรพงึ พจิ ารณาเองเถดิ ๒ ธญั ญผล ไดแ้ ก่ สาล(ิ ขา้ วสาล)ี , วหี (ิ ขา้ วเจา้ ), ยโว(ขา้ วเหนยี ว), โคธโุ ม(ขา้ วละมาน), กงคฺ (ุ ขา้ วฟา่ ง), วรโก(ลกู เดอื ย), กทุ รฺ สู โก(หญา้ กบั แก)้ (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๓ / ๑๗๓ / ๑๐๖)

๒๕๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทรงอนุญาตผักและของเคี้ยวที่ทำด้วยแป้ง ณ เมอื งกสุ นิ ารา ทรงปรารภคำของมลั ละกษตั รยิ ช์ อ่ื โรชะผเู้ คยเปน็ สหาย ของพระอานนท์ ทรงอนุญาตให้ภิกษุฉันผักและของฉันที่ทำด้วยแป้งทุกชนิด (เฉพาะกอ่ นเทย่ี ง). ทรงห้ามและทรงอนุญาตอื่นอีก ณ ตำบลอาตมุ า ทรงปรารภการกระทำของภกิ ษผุ บู้ วชเมอ่ื แก่ ซง่ึ เคย เป็นช่างตัดผม ทราบข่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จมาพร้อมด้วย สงฆ์หมู่ใหญ่ จึงสั่งให้บุตรชาย ๒ คน ถือเครื่องมือตัดผมโกนผมกับทะนานและถุง เที่ยวไปตัดและโกนผมตามบ้านเรือนทุกแห่ง แลกเกลือบ้าง น้ำมันบ้าง ข้าวสารบ้าง ของขบฉันบ้าง ชาวบ้านเห็นเด็กสองคนนั้นพูดจาอ่อนหวาน มีไหวพริบดี แม้ผู้ที่ไม่ประสงค์จะให้ตัดและโกนผม ก็ให้ตัดให้โกนผม ถงึ ใหต้ ดั ใหโ้ กนผม แลว้ กใ็ หค้ า่ แรงมาก เปน็ อนั วา่ เดก็ ทง้ั สองคนนน้ั เกบ็ รวบรวม เกลอื บา้ ง นำ้ มนั บา้ ง ขา้ วสารบา้ ง ของขบฉนั บา้ งไดเ้ ปน็ อนั มาก. ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับ เสด็จถึงอาตุมานครแล้ว ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ที่ภูสาคารเขตอาตุมานครนั้น พระภิกษุนั้น สง่ั ใหค้ นตกแตง่ ขา้ วยาคเู ปน็ อนั มาก โดยผา่ นราตรนี น้ั นอ้ มถวายพระผมู้ พี ระภาค ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามพระภิกษุรูปนั้นว่า ข้าวยาคูนี้เธอ ไดม้ าจากไหน ? พระภกิ ษนุ น้ั จงึ กราบทลู เรอ่ื งนน้ั ใหท้ รงทราบทกุ ประการ. พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนว่า การกระทำของเธอนั่นไม่เหมาะ ไม่สม ไมค่ วร ไมใ่ ชก่ จิ ของสมณะ ใชไ้ มไ่ ด้ ไมค่ วรทำ ไฉนเธอบวชแลว้ จงึ ไดช้ กั จงู ทายก ในสง่ิ อนั ไมค่ วรเลา่ การกระทำของเธอนน่ั ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ความเลอ่ื มใสของชมุ ชน ทย่ี งั ไมเ่ ลอ่ื มใส .... ครน้ั แลว้ จงึ ทรงหา้ มมใิ หช้ กั ชวนบคุ คลไปในทางไมส่ มควร กบั หา้ ม มิให้ภิกษุผู้เคยเป็นช่างตัดผมเก็บรักษาเครื่องตัดโกนผม ไว้สำหรับตัว รปู ใดเกบ็ รกั ษาไวต้ อ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook