Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน (อริยวินัย)

พุทธวจน (อริยวินัย)

Published by Sarapee District Public Library, 2020-06-09 00:16:23

Description: พุทธวจน (อริยวินัย)

Keywords: พุทธวจน,ธรรมะ

Search

Read the Text Version

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๕๕ พระอานนทว์ า่ กถ็ า้ สตรจี กั ไมไ่ ดอ้ อกจากเรอื นบวชเปน็ บรรพชติ พรหมจรรยจ์ กั ตั้งอยู่ได้นาน ทรงอุปมาเหมือนตระกูลที่มีหญิงมากชายน้อยจะถูกโจรกำจัดได้ งา่ ย, เปรยี บเหมอื นหนอนลงในนาขา้ วทส่ี มบรู ณ์ และเพลย้ี ลงในไรอ่ อ้ ย ตรสั วา่ บรุ ษุ กน้ั ทำนบแหง่ สระใหญไ่ วก้ อ่ นเพอ่ื ไมใ่ หน้ ำ้ ไหลไป แมฉ้ นั ใด เราบญั ญตั ิ ครธุ รรม ๘ ประการแกภ่ กิ ษณุ เี พอ่ื ไมใ่ หภ้ กิ ษณุ ลี ะเมดิ ตลอดชวี ติ ฉนั นน้ั เหมอื นกนั ทรงอนุญาตการบวชนางภิกษุณี ทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทภิกษุณี ต่อมาทรงอนุญาตให้ ภกิ ษณุ บี วชในสงฆ์ ๒ ฝา่ ย คอื บวชในภกิ ษณุ สี งฆก์ อ่ นแลว้ บวชในภกิ ษสุ งฆ์ มี เหตกุ ารณป์ ระทษุ รา้ ยนางภกิ ษณุ ที บ่ี วชในภกิ ษณุ สี งฆแ์ ลว้ จะเดนิ ทางมาบวชใน ฝา่ ยภกิ ษสุ งฆ์ จงึ ทรงอนญุ าตใหบ้ วชโดยทตู ได้ คอื เมอ่ื บวช ในภกิ ษณุ สี งฆเ์ สรจ็ ใหน้ างภกิ ษณุ ผี ฉู้ ลาดรปู หนง่ึ สวดขออนมุ ตั สิ งฆ์ เพอ่ื ใหอ้ ปุ สมบทแกน่ างภกิ ษณุ ี ทม่ี าไมไ่ ดร้ วม ๓ ครง้ั แลว้ ใหภ้ กิ ษสุ วดประกาศการอปุ สมบท ในทป่ี ระชมุ สงฆด์ ว้ ย ญตั ตจิ ตตุ ถกรรมวาจา ตอ่ จากนน้ั พงึ วดั เงาแดด บอกประมาณแหง่ ฤดู บอกสว่ น แหง่ วนั บอกประชมุ สงฆ์ สง่ั ภกิ ษณุ ที ง้ั หลายวา่ “พวกเธอพงึ บอกนสิ ยั ๓ และ อกรณยี กจิ ๘ แกภ่ กิ ษณุ ที อ่ี ปุ สมบทน”้ี อนง่ึ ทรงชแ้ี จงวา่ พระนางมหาปชาบดโี คตมรี บั ครธุ รรม ๘ ประการแลว้ ในกาลใด พระนางชอ่ื วา่ อปุ สมบทแลว้ ในกาลนน้ั ทเี ดยี ว พระนางมหาปชาบดี โคตมกี ราบทลู ผา่ นพระอานนท์ เพอ่ื ขอใหท้ รงอนญุ าตการกราบ การลกุ รบั การ ไหว้ สามจี กิ รรมแกภ่ กิ ษแุ ละภกิ ษณุ ที ง้ั หลายตามลำดบั ผแู้ ก่ ทรงตรสั ปฏเิ สธวา่ เพราะแม้เดียรถีย์ผู้กล่าวธรรมไว้ไม่ดี ก็ยังไม่กระทำการดังกล่าวกับมาตุคาม แล้วจึงทรงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงทำการกราบ ไหว้ การลุกรับ อญั ชลกี รรม สามจี กิ รรม แกม่ าตคุ าม รปู ใดทำ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.” ทรงอนุญาตให้นางภิกษุณีศึกษาในสิกขาบทที่เป็นสาธารณะ คือใช้ได้ ดว้ ยกนั ระหวา่ งภกิ ษกุ บั นางภกิ ษณุ ี สว่ นสกิ ขาบททเ่ี ปน็ อสาธารณะ คอื บญั ญตั ิ ไวเ้ ฉพาะแกน่ างภกิ ษณุ ี กท็ รงอนญุ าตใหศ้ กึ ษา.

๓๕๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ลกั ษณะตดั สนิ ธรรมวนิ ยั ๘ ประการ ทรงแสดงลกั ษณะตดั สนิ ธรรมวนิ ยั ๘ ประการแกพ่ ระนางมหาปชาบดี คอื หากธรรมเหลา่ ใด ๑. เปน็ ไปเพอ่ื ความกำหนดั ยนิ ดี มใิ ชเ่ พอ่ื ปราศจากความกำหนดั ๒. เปน็ ไปเพอ่ื ความประกอบทกุ ข์ มใิ ชเ่ ปน็ ไปเพอ่ื การคลายทกุ ข์ ๓. เปน็ ไปเพอ่ื สะสมกเิ ลส มใิ ชเ่ ปน็ ไปเพอ่ื รอ้ื ถอนกเิ ลส ๔. เปน็ ไปเพอ่ื ความปรารถนาใหญ่ มใิ ชม่ คี วามปรารถนานอ้ ย ๕. เปน็ ไปเพอ่ื ไมย่ นิ ดดี ว้ ยของตน มใิ ชย่ นิ ดดี ว้ ยของตน ๖. เปน็ ไปเพอ่ื คลกุ คลดี ว้ ยหมู่ มใิ ชเ่ ปน็ ไปเพอ่ื สงดั จากหมู่ ๗. เปน็ ไปเพอ่ื ความเกยี จครา้ น มใิ ชเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ความเพยี ร ๘. เปน็ ไปเพอ่ื เลย้ี งยาก มใิ ชเ่ พอ่ื เลย้ี งงา่ ย พงึ ทราบวา่ ธรรมเหลา่ นม้ี ใิ ชธ่ รรมวนิ ยั ถา้ ตรงกนั ขา้ มจงึ เปน็ ธรรม เปน็ วนิ ยั เปน็ คำสง่ั สอนของพระองค.์ เรื่องเกี่ยวกับปาติโมกข์และสังฆกรรม ครง้ั แรกทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลาย สวดปาตโิ มกขใ์ หน้ างภกิ ษณุ ฟี งั ตอ่ มาทรงหา้ มและใหน้ างภกิ ษณุ สี วดเอง โดยใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลายสอนให,้ ครง้ั แรก ทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายรับการแสดงอาบัติของนางภิกษุณีได้ ภายหลัง ทรงหา้ ม และทรงใหน้ างภกิ ษณุ ที ง้ั หลายรบั การแสดงอาบตั ขิ องนางภกิ ษณุ ดี ว้ ย กันเอง โดยใหภ้ กิ ษทุ ้งั หลายสอนวิธีให้, ครงั้ แรกทรงอนญุ าตให้ภกิ ษทุ งั้ หลาย ทำกรรมแก่นางภิกษุณีได้ (สวดประกาศลงโทษ) ภายหลังทรงห้าม และให้ นางภิกษุณีทำกรรมแก่นางภิกษุณีด้วยกัน โดยให้ภิกษุทั้งหลายสอนวิธีให้ ทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายระงับอธิกรณ์ของนางภิกษุณีได้ แต่เกี่ยวกับ การทำกรรม ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษยุ กกรรมยกอาบตั ขิ องนางภกิ ษณุ ไี ด้ แลว้ มอบ ให้นางภิกษุณีด้วยกันทำกรรมและรับการแสดงอาบัติต่อไป และทรงอนุญาต ใหภ้ กิ ษสุ อนวนิ ยั แกน่ างภกิ ษณุ ไี ด.้

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๕๗ การลงโทษภิกษุด้วยการไม่ไหว้ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี เ์ อานำ้ โคลนรดนางภกิ ษณุ บี า้ ง แสดงอาการตา่ งๆไมด่ ี ไมง่ าม เพอ่ื จะใหน้ างภกิ ษณุ กี ำหนดั ในตน ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกผ่ ทู้ ำเชน่ นน้ั และให้ลงโทษ (ทัณฑกรรม) แก่ภิกษุนั้น โดยให้ภิกษุณีสงฆ์สวดประกาศ ให้ทราบวา่ ภกิ ษนุ น้ั ไมค่ วรไหว.้ การลงโทษนางภิกษุณี นางภกิ ษณุ ฉี พั พคั คยี ป์ ระพฤตไิ มด่ ไี มง่ าม เพอ่ื ใหภ้ กิ ษกุ ำหนดั ในตน ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏ และอนญุ าตใหล้ งโทษนางภกิ ษณุ นี น้ั โดยใหห้ า้ มปราม แตถ่ า้ ยงั ไมเ่ ลกิ ทำใหง้ ดใหโ้ อวาท นางภกิ ษณุ ที ถ่ี กู งดโอวาทจะทำอโุ บสถรว่ มกบั ภกิ ษณุ อี น่ื ๆไมไ่ ดจ้ นกวา่ อธกิ รณจ์ ะสงบ. การให้โอวาทนางภิกษุณี ภกิ ษผุ ใู้ หโ้ อวาทนางภกิ ษณุ จี ะงดเสยี แลว้ เทย่ี วจารกิ ไปกต็ าม งดโอวาท เพราะเขลาก็ตาม งดโอวาทโดยไม่มีเหตุผลสมควรก็ตาม งดโอวาทแล้วไม่ วนิ จิ ฉยั (คอื เมอ่ื ลงโทษงดโอวาท กจ็ ะตอ้ งมกี ารตดั สนิ ใหเ้ หน็ ผดิ ) ตอ้ งอาบตั ิ ทกุ กฏ ครง้ั แรกทรงอนญุ าตใหน้ างภกิ ษณุ ไี ปฟงั โอวาทของภกิ ษุ ภายหลงั ทรง อนุญาตให้สมมติ คือแต่งตั้งภิกษุรูปใดรูปหนึ่งให้ไปสอนนางภิกษุณี เป็นต้น รวมทง้ั ระเบยี บเลก็ ๆนอ้ ยๆในการใหโ้ อวาท. นอกจากนี้ทรงบัญญัติว่า ถ้าภิกษุณี สิกขามานา สามเณรีมรณภาพ สง่ั ไวว้ า่ บรขิ ารของเราจงเปน็ ของสงฆ์ ใหบ้ รขิ ารนน้ั เปน็ ของภกิ ษณุ สี งฆฝ์ า่ ยเดยี ว ถา้ ภกิ ษุ สามเณร อบุ าสก อบุ าสกิ า หรอื ผอู้ น่ื สง่ั ไวก้ อ่ นลว่ งลบั วา่ บรขิ ารของเรา จงเปน็ ของสงฆ์ บรขิ ารนน้ั เปน็ ของภกิ ษสุ งฆฝ์ า่ ยเดยี ว และทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั อนญุ าตและหา้ มเบด็ เตลด็ เกย่ี วดว้ ยนางภกิ ษณุ อี กี มากมาย เชน่ หา้ มใชป้ ระคตเอว ยาวเกนิ ไป เปน็ ตน้ (ในทน่ี ไ้ี ดร้ วบรวมเฉพาะทเ่ี กย่ี วเนอ่ื งกบั วนิ ยั ของพระภกิ ษ)ุ .

๓๕๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๗. ปญั จสตกิ ขนั ธกะ หมวดวา่ ดว้ ยพระอรหนั ต์ ๕๐๐ รปู ในการทำสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ปรนิ พิ พานแลว้ ภกิ ษทุ ง้ั หลายเศรา้ โศก แตม่ ภี กิ ษุ ผบู้ วชเมอ่ื แกร่ ปู หนง่ึ ชอ่ื สภุ ทั ทะ กลา่ วหา้ มไมใ่ หเ้ ศรา้ โศก ควรจะดใี จวา่ ตอ่ ไป จะได้ไม่มีใครคอยห้ามทำนั่นทำนี่ อยากทำอะไรก็จะทำได้ พระมหากัสสปะ ปรารภถอ้ ยคำนน้ั จงึ เสนอใหท้ ำสงั คายนา คอื รอ้ ยกรองหรอื จดั ระเบยี บพระธรรม วินัย โดยเลือกพระอรหันต์ ๔๙๙ รูปและพระอานนท์ แล้วเดินทางไปยังกรุง ราชคฤห์ สวดประกาศมิให้ภิกษุอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสังคายนาอยู่ในกรุง ราชคฤห์ และใชเ้ วลา ๑ เดอื นแรกในการปฏสิ งั ขรณส์ ง่ิ ปรกั หกั พงั รงุ่ ขน้ึ กอ่ นจะ มีการประชุมพระอานนท์ก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล. การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑ พระมหากสั สปะสวดขอใหส้ งฆส์ มมติ คอื แตง่ ตง้ั ทา่ นเองเปน็ ผถู้ ามวนิ ยั พระอุบาลีเป็นผู้ตอบวินัย เมื่อถามตอบเสร็จแล้ว จึงขอสมมติตัวท่านเองเป็นผู้ถาม ธรรมะ พระอานนท์เถระเป็นผู้ตอบธรรมะ แล้วได้ถามตอบธรรมะ. การถอนสิกขาบทเล็กน้อย จากนั้นพระอานนท์ได้เสนอให้ที่ประชุมทราบถึงข้อที่พระพุทธานุญาต ทใ่ี หส้ งฆ์ ถา้ ปรารถนากถ็ อนสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ยเสยี ได้ ทป่ี ระชมุ ไมต่ กลงกนั ไดว้ า่ แคไ่ หนเปน็ สกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย พระมหากสั สปะจงึ สวดเสนอญตั ตสิ งฆม์ ใิ หถ้ อน สิกขาบทเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้กล่าวได้ว่า สิกขาบทที่พระสมณโคดม ทรงบญั ญตั นิ น้ั อยไู่ ดต้ ราบเทา่ ทย่ี งั มศี าสดาเทา่ นน้ั จงึ มรี ะยะกาลเหมอื นควนั ไฟ ในทส่ี ดุ เมอ่ื ไมม่ ผี ใู้ ดคดั คา้ น กเ็ ปน็ อนั ใชอ้ ำนาจสงฆห์ า้ มถอนสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย.

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๕๙ พระอานนท์ถูกปรับอาบัติ พระเถระทั้งหลายได้ปรับอาบัติทุกกฏพระอานนท์หลายข้อคือ ๑. ไมถ่ ามใหท้ รงแสดงวา่ สกิ ขาบทเลก็ นอ้ ยคอื อะไรบา้ ง ๒. เหยยี บผา้ วสั สกิ สาฎกของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ เยบ็ ๓. สตรถี วายบงั คมพระสรรี ะพระผมู้ พี ระภาคเจา้ กอ่ น พระสรรี ะของ พระผู้มีพระภาคเจ้าเปื้อนน้ำตาของพวกนางผู้ร้องไห้อยู่ ๔. ไมอ่ าราธนาใหท้ รงพระชนมอ์ ยตู่ ลอดกปั ปท์ ง้ั ทท่ี รงทำนมิ ติ ใหป้ รากฏ ๕. ขวนขวายให้สตรีบวชในพระธรรมวินัย พระอานนท์มีข้อชี้แจงทุกข้อแต่ยอมแสดงอาบัติด้วยเชื่อฟังพระเถระ. พระปุราณะไม่ค้านแต่ถือตามที่ฟังมาเอง พระปรุ าณะพรอ้ มดว้ ยภกิ ษสุ งฆป์ ระมาณ ๕๐๐ รปู จารกิ ไปในทกั ขณิ าคริ ี พอสมควรแลว้ กเ็ ดนิ ทางไปพกั ณ เวฬวุ นาราม เมอ่ื เขา้ ไปหาพระเถระไดร้ บั บอก กลา่ ววา่ พระเถระทง้ั หลายไดส้ งั คายนาพระธรรมวนิ ยั แลว้ และแนะนำใหร้ บั รอง ข้อที่สังคายนาแล้วนั้น พระปุราณะตอบว่าธรรมและวินัยเป็นอันพระเถระ ทั้งหลายสังคายนาดีแล้ว แต่ข้าพเจ้าได้ฟังมาได้รับมาในที่เฉพาะพระพักตร์ พระผมู้ พี ระภาคอยา่ งไร ขา้ พเจา้ จกั ทรงจำไวอ้ ยา่ งนน้ั . ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ พระอานนทจ์ งึ แจง้ ใหส้ งฆท์ ราบถงึ พระพทุ ธดำรสั ทใ่ี หล้ งพรหมทณั ฑ์ พระฉนั นะ คอื พระฉนั นะอยากจะทำอะไร กป็ ลอ่ ยใหท้ ำตามใจชอบ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ไม่พึงว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอน สงฆ์จึงมอบให้พระอานนท์เป็นผู้จัดการลง พรหมทณั ฑ์ โดยใหน้ ำภกิ ษไุ ปดว้ ยเปน็ อนั มากเดนิ ทางไปกรงุ โกสมั พโี ดยทางเรอื ไดพ้ บพระเจา้ อเุ ทน พระเจา้ อเุ ทนทรงเลอ่ื มใสในคำชแ้ี จงเรอ่ื งการใชผ้ า้ ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ตง้ั แตน่ ำจวี รทเ่ี กา่ แลว้ มาทำเปน็ ฝา้ เพดาน, ปลอกฟกู , ผา้ ปพู น้ื ,

๓๖๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก แมเ้ มอ่ื เกา่ แลว้ กย็ งั เอามาทำผา้ เชด็ เทา้ ผา้ ถพู น้ื และนำมาขยำกบั ดนิ เหลว ฉาบ ภายนอกกฎุ ี ตอ่ จากนน้ั พระอานนทไ์ ดเ้ ดนิ ทางไปยงั โฆสติ ารามลงพรหมทณั ฑ์ แก่พระฉันนะ ทำให้พระฉันนะเสียใจถึงสลบ และพยายามบำเพ็ญเพียรจนได้ บรรลอุ รหตั ตผล จงึ ขอใหถ้ อนพรหมทณั ฑ์ แตพ่ ระอานนทต์ อบวา่ พรหมทณั ฑ์ เปน็ อนั ระงบั แลว้ ตง้ั แตท่ า่ นไดบ้ รรลอุ รหตั ตผล.

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๖๑ ๘. สตั ตสตกิ ขนั ธกะ หมวดวา่ ดว้ ยพระอรหนั ต์ ๗๐๐ รปู ในการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ วตั ถุ ๑๐ ประการ เมื่อพุทธปรินิพพานล่วงแล้ว ๑๐๐ ปี ภิกษุพวกวัชชีบุตร ชาวเมือง เวสาลี แสดงวตั ถุ ๑๐ ประการวา่ เปน็ ของทค่ี วรหรอื ถกู ตอ้ งตามธรรมวนิ ยั คอื ๑. เกบ็ เกลอื ไวใ้ นเขาสตั วเ์ อาไวฉ้ นั กบั อาหารได้ ๒. เงาแหง่ ตะวนั ฉายเลยเทย่ี งไปแลว้ ๒ นว้ิ ฉนั อาหารได้ ๓. ภิกษุฉันอาหารในที่นิมนต์จนบอกพอ ไม่รับอาหารที่เขาถวาย เพม่ิ เตมิ ดว้ ยคดิ วา่ จะเขา้ บา้ น ฉนั อาหารทไ่ี มเ่ ปน็ เดนได้ ๔. ภกิ ษอุ ยใู่ นสมี าเดยี วกนั ทำอโุ บสถแยกกนั ได้ ๕. สงฆ์ยังมาประชุมไม่พร้อมกัน แต่ครบจำนวนพอจะทำกรรมได้ ใหท้ ำไปกอ่ นได้ แลว้ ขออนมุ ตั จิ ากภกิ ษทุ ม่ี าทหี ลงั ๖. ประพฤติตามทอ่ี ปุ ชั ฌาย์ อาจารยเ์ คยประพฤตมิ าแลว้ ได้ ๗. นมสดทแ่ี ปรแลว้ แตย่ งั ไมเ่ ปน็ นมสม้ ภกิ ษฉุ นั ในทน่ี มิ นต์ จนบอก ไมร่ บั อาหารทเ่ี ขาถวายเพม่ิ ใหแ้ ลว้ คงดม่ื นมได้ ๘. นำ้ เมาอยา่ งออ่ นทม่ี รี สเจอื ปนอยนู่ อ้ ย ไมถ่ งึ กบั ทำใหเ้ มา ควรดม่ื ได้ ๙. ผา้ ปทู น่ี ง่ั ไมม่ ชี ายใชไ้ ด้ ๑๐.เงนิ ทอง รบั ได.้ พระยสะกากัณฏกบุตรคัดค้าน ภกิ ษพุ วกวชั ชบี ตุ รเอาถาดใสน่ ำ้ เทย่ี วเรย่ี ไรเงนิ อบุ าสกทม่ี าในวนั อโุ บสถ เพื่อเป็นค่าบริขารของพระสงฆ์ พระยสะกากัณฏกบุตร กล่าวห้ามอุบาสก เหลา่ นน้ั วา่ ไมค่ วรใหแ้ ตเ่ พราะไมร่ วู้ นิ ยั เขาจงึ ใหต้ ามทเ่ี คยใหม้ า ตกกลางคนื ภกิ ษุ

๓๖๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เหล่านั้นแบ่งเงินกันแล้วเฉลี่ยมาให้พระยสะกากัณฏกบุตร ท่านปฏิเสธ ก็โกรธเคือง หาว่าท่านด่าอุบาสกเหล่านั้น จึงประชุมกันลงปฏิสารณียกรรม พระยสะกากณั ฏกบตุ รจงึ อา้ งวนิ ยั วา่ จะตอ้ งมพี ระเปน็ ทตู ไปดว้ ย ๑ รปู เมอ่ื ภกิ ษุ วชั ชบี ตุ รสวดประกาศแตง่ ตง้ั ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ มอบใหไ้ ปดว้ ยแลว้ พระยสะกเ็ ขา้ ไปหา อบุ าสกเหลา่ นน้ั ชแ้ี จงขอ้ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไวห้ ลายแหง่ หา้ มรบั เงนิ ทอง เลา่ วา่ สมยั หนง่ึ เมอ่ื พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ประทบั อยู่ ณ เชตวนั ทรงรบั สง่ั กบั ภิกษุทั้งหลายว่า สิ่งมัวหมองที่เป็นเหตุให้ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มัวหมอง ๔ อยา่ ง คอื ๑.เมฆ ๒.หมอก ๓.ควนั และฝนุ่ ละออง ๔.ราหผู เู้ ปน็ จอมอสรู ทรงเปรยี บกบั อปุ กเิ ลสเปน็ เหตใุ หส้ มณพราหมณม์ วั หมอง ๔ อยา่ ง คอื ๑. ดื่มสุราและเมรัย ไม่เว้นขาดจากการดื่มสุราและเมรัย ๒. เสพเมถุนธรรม ไมเ่ วน้ ขาดจากการเสพเมถนุ ธรรม ๓. ยนิ ดที องและเงนิ ไมเ่ วน้ ขาดจากการยนิ ดที องและเงนิ ๔. ดำเนนิ ชวี ติ ดว้ ยมจิ ฉาชพี ไมเ่ วน้ ขาดจากมจิ ฉาชพี อบุ าสกเหลา่ นน้ั ไดท้ ราบขอ้ วนิ จิ ฉยั กเ็ ลอ่ื มใสพระยสะ และกลา่ วประณาม ภกิ ษวุ ชั ชบี ตุ ร เมอ่ื กลบั จากทน่ี น้ั ภกิ ษทุ เ่ี ปน็ ทตู รว่ มไปดว้ ยกแ็ จง้ ใหภ้ กิ ษวุ ชั ชบี ตุ ร ทราบ ตา่ งพากนั โกรธเคอื งพระยสะ อา้ งวา่ การทพ่ี ระยสะไปพดู กบั คนเหลา่ นน้ั เปน็ การไปแจง้ ความแกค่ ฤหสั ถ์ โดยมไิ ดร้ บั แตง่ ตง้ั จากสงฆ์ จงึ ลงอกุ เขปนยี กรรม การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๒ พระยสะกากณั ฏกบตุ รจงึ หนไี ปชวนพระเถระ ทเ่ี หน็ แกพ่ ระธรรมวนิ ยั หลายรปู ซง่ึ เปน็ ประมขุ สงฆอ์ ยใู่ นทต่ี า่ ง ๆ เชน่ พระสพั พกาม,ี พระสาฬหะ, พระอชุ ชโสภติ ะ, พระวาสภะคากะ ๔ รปู น้ี เปน็ ผแู้ ทนคณะสงฆฝ์ า่ ยตะวนั ออก พระเรวตะ, พระสมั ภตู ะ สาณวาส,ี พระยสะกากณั ฏกบตุ ร พระสมุ น ๔รปู นเ้ี ปน็ ผแู้ ทนคณะสงฆฝ์ า่ ยตะวนั ตก รวมทง้ั พระอรหนั ตท์ ง้ั หลายเปน็ อนั มากถงึ ๗๐๐รปู ประชมุ กนั ณ วาลกิ าราม(เวสาลี แควน้ วชั ช)ี มพี ระอชติ ะผมู้ พี รรษา ๑๐ เปน็ ผปู้ ู อาสนะ วนิ จิ ฉยั วตั ถุ ๑๐ ประการแสดงทม่ี าทท่ี รงหา้ มไว้ ปรบั อาบตั ไิ วอ้ ยา่ งชดั เจน ชข้ี าดดว้ ยมตสิ งฆใ์ หว้ ตั ถุ ๑๐ นน้ั ผดิ ธรรมวนิ ยั มใิ ชค่ ำสอนของพระพทุ ธเจา้ .

พระอริยวินัย ทม่ี าในพระไตรปฎิ กเลม่ อน่ื ๆ (คมั ภรี ป์ รวิ ารและพระสตู ร)

๓๖๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อานิสงส์ในการเรียนวินัย? (พระไตรปฎิ กแปลไทย มจร. ๘ / ๔๑๓ / ๑๑๖๗) “ดูก่อนอุบาลี ในการเรียนวินัยมีอานิสงส์ ๕ นี้ อานิสงส์ ๕ มี อะไรบา้ ง คอื :- ๑. กองศลี เปน็ อนั ตนคมุ้ ครองรกั ษาไวด้ ว้ ยดี ๒. เป็นที่พึ่งพิงของผู้ถูกความสงสัยครอบงำ ๓. เป็นผแู้ กล้วกลา้ พูดในท่ามกลางสงฆ์ ๔. ขม่ ขข่ี า้ ศกึ ไดด้ ว้ ยดโี ดยเปน็ ไปกบั ดว้ ยธรรม ๕. เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ดกู อ่ นอบุ าลี ในการเรยี นวนิ ยั มอี านสิ งส์ ๕ นแ้ี ล.” ชื่อประเภทแห่งอาบัติและวิเคราะห์ความหมาย (พระไตรปฎิ กแปลไทย มจร. ๘ / ๓๔๓ / ๑๐๓๕) ปาราชกิ : (แปลวา่ ผพู้ า่ ยแพ)้ บุคคลเป็นผู้เคลื่อนแล้ว ผิดพลาดแล้ว และเหินห่างจากสัทธรรม อนง่ึ แมส้ งั วาสกไ็ มม่ ใี นผนู้ น้ั เพราะเหตนุ น้ั เราจงึ เรยี กวา่ อาบตั ปิ าราชกิ . สงั ฆาทเิ สส : (แปลวา่ อาบตั อิ นั จำปรารถนาสงฆใ์ นกรรมเบอ้ื งตน้ และกรรมที่เหลือ) สงฆเ์ ทา่ นน้ั ใหป้ รวิ าส ชกั เขา้ หาอาบตั เิ ดมิ ใหม้ านตั ใหอ้ พั ภาน เพราะ เหตนุ น้ั เราจงึ เรยี ก อาบตั นิ น้ั วา่ สงั ฆาทเิ สส. อนยิ ต : (แปลวา่ ไมแ่ น,่ ไมแ่ นน่ อน) กองอาบัติชื่อว่าอนิยต เพราะไม่แน่ บทอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง ทำแลว้ โดยมใิ ชส่ ว่ นเดยี ว บรรดาฐานะ ๓ ฐานะ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เรยี กวา่ อนยิ ต.

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๖๕ ถลุ ลจั จยั : (แปลวา่ ความลว่ งละเมดิ ทห่ี ยาบ) ภิกษุแสดงอาบัติถุลลัจจัยในที่ใกล้ภิกษุรูปหนึ่ง และภิกษุรับอาบัตินั้น โทษเสมอดว้ ยถลุ ลจั จยั นน้ั ไมม่ ี ฉะนน้ั จงึ เรยี กโทษนน้ั วา่ ถลุ ลจั จยั . นสิ สคั คยิ ะ : (แปลวา่ ทำใหส้ ละสง่ิ ของ) ภิกษุเสียสละในท่ามกลางสงฆ์ ท่ามกลางคณะ และต่อหน้าภิกษุรูปใด รปู หนง่ึ แลว้ จงึ แสดงขอ้ ละเมดิ ใด ฉะนน้ั ขอ้ ละเมดิ นน้ั ชอ่ื วา่ นสิ สคั คยิ ะ. ปาจติ ตยี ์ : (แปลวา่ การละเมดิ อนั ยงั กศุ ลใหต้ ก) ความละเมดิ ยงั กศุ ลธรรมใหต้ ก ยอ่ มฝนื ตอ่ อรยิ มรรค เปน็ เหตแุ หง่ ความ ลมุ่ หลงแหง่ จติ เพราะเหตนุ น้ั จงึ เรยี กความละเมดิ นน้ั วา่ ปาจติ ตยี .์ ปาฏเิ ทสนยี ะ : (แปลวา่ จะพงึ แสดงคนื ) ภกิ ษไุ มม่ ญี าตหิ าโภชนะไดย้ ากรบั มาเองแลว้ ฉนั เรยี กวา่ ตอ้ งธรรมท่ี น่าติเตียน ภกิ ษฉุ นั อยใู่ นทน่ี มิ นต์ ภกิ ษณุ สี ง่ั เสยี อยใู่ นทน่ี น้ั ตามพอใจ ภกิ ษไุ มห่ า้ ม ฉนั อยใู่ นทน่ี น้ั เรยี กวา่ ตอ้ งธรรมทน่ี ่าตเิ ตยี น ภิกษุไม่อาพาธไปสู่ตระกูลที่มีจิตศรัทธาแต่มีโภคทรัพย์น้อย เขามิได้ นำไปถวายแลว้ ฉนั ในทน่ี น้ั เรยี กวา่ ตอ้ งธรรมทน่ี า่ ตเิ ตยี น ภกิ ษใุ ดถา้ อยปู่ า่ ทน่ี า่ รงั เกยี จ มภี ยั จำเพาะหนา้ ฉนั ภตั ตาหารทเ่ี ขามไิ ด้ บอกในทน่ี น้ั เรยี กวา่ ตอ้ งธรรมทน่ี า่ ตเิ ตยี น ภกิ ษณุ ไี มม่ ญี าติ ขอโภชนะทผ่ี อู้ น่ื ยดึ ถอื วา่ เปน็ ของเรา คอื เนยใส นำ้ มนั น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ นมสด และนมส้มด้วยตนเอง ชื่อว่า ปาฏิเทสนียะ ถึงธรรมที่น่าติเตียนในศาสนาของพระสุคต. ทกุ กฏ : (แปลวา่ ทำไมด่ )ี กรรมใดผิดพลั้งและพลาด กรรมนั้นชื่อว่าทำไม่ดี คนทำชั่วอันใด ในที่แจ้งหรือในที่ลับ บัณฑิตทั้งหลายย่อมประกาศความชั่วนั้น ทำชั่ว เพราะเหตนุ น้ั กรรมนน้ั จงึ เรยี กวา่ ทกุ กฏ.

๓๖๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทพุ ภาสติ : (แปลวา่ พดู ไมด่ ี คำชว่ั คำเสยี หาย) บทใด อันภิกษุกล่าวไม่ดี พูดไม่ดี และเศร้าหมอง วิญญูชนทั้งหลาย ยอ่ มตเิ ตยี น บทใด เพราะเหตนุ น้ั บทนน้ั จงึ เรยี กวา่ ทพุ ภาสติ . เสขยิ ะ : (แปลวา่ สง่ิ ทพ่ี งึ ศกึ ษา) ขอ้ นเ้ี ปน็ เบอ้ื งตน้ เปน็ ขอ้ ประพฤตเิ ปน็ ทาง และเปน็ ขอ้ ระวงั คอื เปน็ ความสำรวมของพระเสขะผศู้ กึ ษาอยู่ ผดู้ ำเนนิ ไปตามทางตรง สกิ ขาทง้ั หลาย เชน่ ดว้ ยสกิ ขานน้ั ไมม่ ี สกิ ขานน้ั จงึ เรยี กวา่ เสขยิ ะ. ภกิ ษตุ อ้ งอาบตั ดิ ว้ ยอาการ ๕ สองหมวด (พระไตรปฎิ กคอมพวิ เตอร์ ม.มหดิ ล ๘ / ๔๒๒ / ๑๑๙๖) ภกิ ษตุ อ้ งอาบตั ดิ ว้ ยอาการเทา่ ไรหนอแล พระพทุ ธเจา้ ขา้ ? “ดกู รอบุ าลี ภกิ ษตุ อ้ งอาบตั ดิ ว้ ยอาการ ๕ อาการ ๕ อะไรบา้ ง? คอื :- ๑. ด้วยไม่ละอาย ๒. ดว้ ยไมร่ ู้ ๓. ดว้ ยสงสยั แลว้ ขนื ทำ ๔. ดว้ ยสำคญั วา่ ควรในของทไ่ี มค่ วร ๕. ดว้ ยสำคญั วา่ ไมค่ วรในของทค่ี วร ดกู รอบุ าลี ภกิ ษตุ อ้ งอาบตั ดิ ว้ ยอาการ ๕ นแ้ี ล. ดกู รอบุ าลี ภกิ ษตุ อ้ งอาบตั ดิ ว้ ยอาการแมอ้ น่ื อกี ๕ อาการ ๕ อะไรบา้ ง? คอื :- ๑. ดว้ ยไมไ่ ดเ้ หน็ ๒. ดว้ ยไมไ่ ดฟ้ งั ๓. ดว้ ยหลบั ๔. ดว้ ยเขา้ ใจวา่ เปน็ เชน่ นน้ั ๕. ดว้ ยลมื สติ ดกู รอบุ าลี ภกิ ษตุ อ้ งอาบตั ดิ ว้ ยอาการ ๕ นแ้ี ล.” ภกิ ษผุ สู้ มาทานธดุ งค์ ๑๓ (พระไตรปฎิ กแปลไทย มจร. ๘ / ๙๘๑ / ๓๓๐) (เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อการขูดเกลากิเลสอย่างยิ่ง ช่วยส่งเสริม ความมกั นอ้ ยสนั โดษ ทรงชกั ชวนแนะนำใหภ้ กิ ษสุ มาทานปฏบิ ตั โิ ดยไมบ่ งั คบั )

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๖๗ “อบุ าลี ภกิ ษผุ ถู้ อื อยปู่ า่ เปน็ วตั รนม้ี ี ๕ จำพวก คอื ๑.เพราะเป็นผู้เขลาเพราะเป็นผู้งมงายจึงอยู่ป่า ๒.เป็นผู้ปรารถนาเลวทรามถูกความอยากครอบงำจึงอยู่ป่า ๓.เพราะมัวเมาเพราะจิตฟุ้งซ่านจึงอยู่ป่า ๔.เพราะเขา้ ใจวา่ พระพทุ ธเจา้ พระสาวกของพระพทุ ธเจา้ สรรเสรญิ จงึ อยปู่ า่ ๕.เพราะอาศยั ความมกั นอ้ ย สนั โดษ ขดั เกลา ความเงยี บสงดั และเพราะอาศยั ว่าการอยู่ป่ามีประโยชน์อันงามนี้จึงอยู่ป่า. ภกิ ษผุ ถู้ อื เทย่ี วบณิ ฑบาตเปน็ วตั รมี ๕ จำพวก คอื … ภกิ ษผุ ถู้ อื ผา้ ทรงผา้ บงั สกุ ลุ เปน็ วตั รมี ๕ จำพวก คอื … ภกิ ษผุ ถู้ อื อยโู่ คนไมเ้ ปน็ วตั รมี ๕ จำพวก คอื … ภกิ ษผุ ถู้ อื อยปู่ า่ ชา้ เปน็ วตั รมี ๕ จำพวก คอื … ภกิ ษผุ ถู้ อื อยกู่ ลางแจง้ เปน็ วตั รมี ๕ จำพวก คอื … ภกิ ษผุ ถู้ อื ผา้ สามผนื เปน็ วตั รมี ๕ จำพวก คอื … ภกิ ษผุ ถู้ อื เทย่ี วบณิ ฑบาตตามลำดบั เปน็ วตั รมี ๕ จำพวก คอื .. ภกิ ษผุ ถู้ อื การนง่ั (คอื ยนื เดนิ นง่ั เวน้ นอน) เปน็ วตั รมี ๕ จำพวก คอื … ภกิ ษผุ ถู้ อื อยเู่ สนาสนะตามทจ่ี ดั ใหเ้ ปน็ วตั รมี ๕ จำพวก คอื … ภกิ ษผุ ถู้ อื นง่ั ฉนั ณ อาสนะแหง่ เดยี วเปน็ วตั รมี ๕ จำพวก คอื .. ภิกษุผู้ถือการห้ามภัตรที่เขานำมาถวายเมื่อภายหลังเป็นวัตร มี ๕ จำพวก คอื … ภกิ ษผุ ถู้ อื การฉนั เฉพาะในบาตรเปน็ วตั รมี ๕ จำพวก คอื ๑.เพราะเป็นผู้เขลาเพราะเป็นผู้งมงายจึงฉันเฉพาะในบาตร ๒.เป็นผู้ปรารถนาเลวทรามถูกความอยากครอบงำจึงฉันเฉพาะในบาตร ๓.เพราะมัวเมาเพราะจิตฟุ้งซ่านจึงฉันเฉพาะในบาตร ๔.เพราะเขา้ ใจวา่ พระพทุ ธเจา้ พระสาวกของพระพทุ ธเจา้ สรรเสรญิ จงึ ฉนั เฉพาะในบาตร ๕.เพราะอาศยั ความมกั นอ้ ย สนั โดษ ขดั เกลา ความเงยี บสงดั และเพราะอาศยั ว่าการฉันเฉพาะในบาตรมีประโยชน์อันงามนี้จึงถือฉันเฉพาะในบาตร.

๓๖๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก จลุ ศลี , มชั ฌมิ ศลี , มหาศลี (พระไตรปฏิ กบาลี สยามรฐั ๙ / ๘๓ / ๑๐๓) “มหาราชะ ! ภกิ ษเุ ปน็ ผมู้ ศี ลี สมบรู ณแ์ ลว้ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ?… จลุ ศลี (ผมู้ ศี ลี ถงึ พรอ้ มดว้ ยอาทพิ รหมจรยิ ศลี ) มหาราชะ ! ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผลู้ ะการฆา่ สตั ว์ เวน้ ขาดจากการฆา่ สตั ว์ วางทอ่ นไม้ วางศสั ตรา มคี วามละอาย ถงึ ความเอน็ ดคู วามกรณุ า หวงั ประโยชนแ์ กส่ ตั วท์ ง้ั หลายอยู่ ; แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . เปน็ ผลู้ ะการลกั ทรพั ย์ เวน้ ขาดจากการลกั ทรพั ย์ ถอื เอาแตข่ องทเ่ี ขาให้ หวงั อยแู่ ตข่ องทเ่ี ขาให้ เปน็ คนสะอาด ไมเ่ ปน็ ขโมยอยู่ ; แมข้ อ้ น้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . เป็นผู้ละกรรมอันมิใช่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์โดยปกติ ประพฤตหิ า่ งไกล เวน้ ขาดจาการเสพเมถนุ อนั เปน็ ของชาวบา้ น ; แมข้ อ้ น้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . เปน็ ผลู้ ะการพดู เทจ็ เวน้ ขาดจากการพดู เทจ็ พดู แตค่ วามจรงิ รกั ษา ความสตั ย์ มน่ั คงในคำพดู ควรเชอ่ื ถอื ได้ ไมพ่ ดู ลวงโลก แมข้ อ้ น้ี กเ็ ปน็ ศลี ของ เธอประการหนึ่ง. เป็นผู้ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้ว ไม่เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อให้ฝ่ายนี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากฝ่ายโน้นแล้ว ไมม่ าบอกฝา่ ยน้ี เพอ่ื ใหฝ้ า่ ยโนน้ แตกรา้ วกนั แตจ่ ะสมานคนทแ่ี ตกรา้ วกนั แลว้ ใหก้ ลบั พรอ้ มเพรยี งกนั อดุ หนนุ คนทพ่ี รอ้ มเพรยี งกนั อยู่ ใหพ้ รอ้ มเพรยี งกนั ยง่ิ ขน้ึ เปน็ คนชอบในการพรอ้ มเพรยี งกนั เปน็ คนยนิ ดใี นการพรอ้ มเพรยี ง เปน็ คนพอใจ ในการพรอ้ มเพรยี งกนั กลา่ วแตว่ าจาทท่ี ำใหพ้ รอ้ มเพรยี งกนั แมข้ อ้ น้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ .

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๖๙ เป็นผู้ละการกล่าวคำหยาบเสีย เว้นขาดจากการกล่าวคำหยาบ กลา่ วแตว่ าจาทไ่ี มม่ โี ทษ เสนาะโสต ใหเ้ กดิ ความรกั เปน็ คำจบั ใจ เปน็ คำสภุ าพ ทช่ี าวเมอื งเขาพดู กนั เปน็ ทร่ี กั ใครท่ พ่ี อใจของมหาชน แมข้ อ้ น้ี กเ็ ปน็ ศลี ของ เธอประการหนึ่ง. เปน็ ผลู้ ะคำพดู ทโ่ี ปรยประโยชน์ เวน้ ขาดจากการพดู เพอ้ เจอ้ กลา่ ว แตใ่ นเวลาอนั สมควร กลา่ วแตค่ ำจรงิ เปน็ ประโยชน์ เปน็ ธรรม เปน็ วนิ ยั กลา่ ว แตว่ าจามที ต่ี ง้ั มหี ลกั ฐานทอ่ี า้ งองิ มเี วลาจบ ประกอบดว้ ยประโยชน์ สมควร แกเ่ วลา แมข้ อ้ น้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้เว้นจากการพรากพืชคามและภูตคาม (คำอธิบายมีอยู่ในหน้าถัดไป) เป็นผู้ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว เวน้ การฉนั ในราตรแี ละเวลาวกิ าล เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากการฟอ้ นรำ การขบั รอ้ ง การประโคมดนตรี และดกู ารเลน่ ชนดิ เปน็ ขา้ ศกึ แกก่ ศุ ล เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากการ ประดับประดา คือทัดทรงตกแต่งประดับร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม และ เครอ่ื งลบู ทา เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากการนอนบนทน่ี อนอนั สงู ใหญ่ เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจาก การรับเงินและทอง เป็นผู้เว้นขาดจากการรับข้าวเปลือก เป็นผู้เว้นขาดจาก การรบั เนอ้ื ดบิ เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากการรบั หญงิ และเดก็ หญงิ เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจาก การรบั ทาสหญงิ และทาสชาย เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากการรบั แพะ แกะ ไก่ สกุ ร ช้าง โค ม้า ลาทั้งผู้และเมีย เป็นผู้เว้นขาดจากการรับที่นาและที่สวน เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากการรบั ใชเ้ ปน็ ทตู ไปในทต่ี า่ งๆ (ใหค้ ฤหสั ถ)์ เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจาก การซอ้ื และการขาย เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากการโกงดว้ ยตาชง่ั การลวงดว้ ยของปลอม และการฉ้อด้วยเครื่องตวงวัด เป็นผู้เว้นขาดจากการโกง ด้วยการรับสินบน และการลอ่ ลวง เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากการตดั การฆา่ การจองจำ การซมุ่ ทำรา้ ย การปลน้ และ กรรโชก แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ .

๓๗๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก มัชฌิมศีล ผมู้ ศี ลี ไมท่ ำลายพชื คามและภตู คาม อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั ทำพชี คาม (พชื พนั ธอ์ุ นั ถกู พรากจากทแ่ี ลว้ แตย่ งั เปน็ ไดอ้ กี ) และภตู คาม (ของเขยี วหรอื พชื พนั ธอ์ุ นั เปน็ อยกู่ บั ท)่ี ใหก้ ำเรบิ คอื อะไรบา้ ง ? คอื พชื ทเ่ี กดิ แตร่ าก พชื ทเ่ี กดิ แตล่ ำตน้ พชื ทเ่ี กดิ แตป่ ลอ้ ง พชื ทเ่ี กดิ แตย่ อด พชื ทเ่ี กดิ แตเ่ มลด็ เปน็ ทค่ี รบหา้ สว่ นภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการทำพชื คามและภตู คามเหน็ ปานนน้ั ใหก้ ำเรบิ แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ผมู้ ศี ลี ไมท่ ำการบรโิ ภคสะสม อกี อยา่ งหนง่ึ เมอ่ื สมณะหรอื พราหมณบ์ างพวก ฉนั โภชนะทท่ี ายกถวาย ดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั เปน็ ผทู้ ำการบรโิ ภคสะสมอยเู่ นอื งๆ คอื อะไร บา้ ง ? คอื สะสมขา้ ว สะสมนำ้ สะสมผา้ สะสมยานพาหนะ สะสมเครอ่ื งนอน สะสมของหอม สะสมอามสิ สว่ นภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการบรโิ ภคสะสมเหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ผมู้ ศี ลี ไมด่ กู ารเลน่ อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั เปน็ ผดู้ กู ารเลน่ กนั อยเู่ นอื งๆ คอื อะไรบา้ ง? คอื การดฟู อ้ น การขบั รอ้ ง ฟงั ประโคม ดไู มล้ อย ฟงั นยิ าย ฟงั เพลง ปรบมอื ฟังตีฆ้อง ฟังตีระนาด ดูหุ่นยนต์ ฟังเพลงขอทาน ฟังแคน ดูเล่น หนา้ ศพ ดชู นชา้ ง แขง่ มา้ ชนกระบอื ชนโค ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๗๑ ชนนกกระทา รำไม้ รำมือ ชกมวย ดูเขารบกัน ดูเขาตรวจพล ดูเขาตั้ง กระบวนทพั ดกู องทพั ทจ่ี ดั ไว้ สว่ นภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดการดกู ารเลน่ เหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ผมู้ ศี ลี ไมเ่ ลน่ การพนนั อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้เล่นการพนันหรือการเล่นอัน เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความประมาทกนั อยเู่ นอื งๆ คอื อะไรบา้ ง? คอื เลน่ หมากรกุ ชนดิ แถวละ ๘ ตาบา้ ง ๑๐ ตาบา้ ง เลน่ หมากเกบ็ เลน่ ชงิ นาง หมากไหว โยนหว่ ง ไมห้ ง่ึ เลน่ ฟาดใหเ้ ปน็ รปู ตา่ งๆ ทอดลกู บาต เปา่ ใบไม้ เลน่ ไถนอ้ ยๆ เลน่ หกคะเมน เลน่ ไมก้ งั หนั เลน่ ตวงทราย เลน่ รถนอ้ ย ธนนู อ้ ย เลน่ เขยี นทายกนั เลน่ ทายใจ เลน่ ลอ้ คนพกิ ารบา้ ง. สว่ นภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการดกู ารเลน่ การพนนั หรอื การ เลน่ อนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความประมาทเหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอ ประการหนึ่ง. ผมู้ ศี ลี ไมน่ อนบนทน่ี อนสงู ใหญ่ อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้ทำการนอนบนที่นอนสูงใหญ่กัน อยเู่ นอื งๆ คอื อะไรบา้ ง ? คอื นอนบนเตยี งมเี ทา้ สงู เกนิ ประมาณ บนเตยี งมเี ทา้ ทำเปน็ รปู สตั วร์ า้ ย บนผา้ โกเชาวข์ นยาว บนเครอ่ื งลาดทท่ี ำดว้ ยขนแกะวจิ ติ ร ดว้ ยลวดลาย เครอ่ื งลาดทท่ี ำดว้ ยขนแกะสขี าว เครอ่ื งลาดขนแกะทม่ี สี ณั ฐานดงั พวงดอกไม้ เครอ่ื งลาดทม่ี นี นุ่ ภายใน เครอ่ื งลาดวจิ ติ รดว้ ยรปู สตั วร์ า้ ย เครอ่ื งลาด มขี นขน้ึ ขา้ งบน เครอ่ื งลาดมชี ายครยุ เครอ่ื งลาดทอดว้ ยทอง

๓๗๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก และเงินแกมไหม เครื่องลาดไหมขลิบทองและเงิน เครื่องลาดขนแกะใหญ่พอ นางฟอ้ นได้ ๑๖ คน เครอ่ื งลาดบนหลงั ชา้ ง เครอ่ื งลาดหลงั มา้ เครอ่ื งลาดในรถ เครอ่ื งลาดทท่ี ำดว้ ยหนงั สตั วช์ อ่ื อชนิ ะอนั มขี นออ่ นนมุ่ เครอ่ื งลาดอยา่ งดที ำดว้ ย หนงั ชะมด เครอ่ื งลาดมเี พดานแดง มหี มอนขา้ งแดง ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอเว้นขาดจากการนอนบนที่นอนสูงใหญ่ เหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ผมู้ ศี ลี ไมป่ ระดบั ตกแตง่ รา่ งกาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั เปน็ ผทู้ ำการประกอบการประดบั ตกแตง่ รา่ งกายกนั อยเู่ นอื งๆ คอื อะไรบา้ ง? คอื การอบตวั การเคลน้ ตวั การอาบนำ้ หอม การนวดเนอ้ื การสอ่ งดเู งา (สอ่ งกระจก) การหยอดตาใหม้ แี ววคมขำ การทดั ดอกไม้ ประเทอื งผวิ การผดั หนา้ การทาปาก การผกู เครอ่ื งประดบั ทข่ี อ้ มอื การผูกเครือ่ งประดบั ทกี่ ระหม่อม การถอื ไมเ้ ทา้ การห้อยแขวนกล่องกลัก อนั วจิ ติ ร การคาดดาบ การคาดพระขรรค์ การใชร้ ม่ และรองเทา้ อนั วจิ ติ ร การใส่กรอบหน้า การปักปิ่น การใช้พัดสวยงาม การนุ่งห่มผ้ามีชายเฟื้อย และอื่นๆ ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอเว้นขาดจากการประกอบการประดับ ตกแตง่ รา่ งกายเหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ผมู้ ศี ลี ไมพ่ ดู คยุ เดรจั ฉานกถา อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั เปน็ ผปู้ ระกอบการคยุ ดว้ ยเดรจั ฉานกถา กนั อยเู่ นอื งๆ คอื อะไรบา้ ง ? คอื พดู คยุ กนั ถงึ เรอ่ื งเจา้ นายบา้ ง เรอ่ื งโจรบา้ ง เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องของน่ากลัว เรื่องการรบพุ่ง เรื่องข้าว เรอ่ื งนำ้ เรอ่ื งผา้ เรอ่ื งทน่ี อน เรอ่ื งดอกไม้ เรอ่ื งของหอม เรอ่ื งญาติ เรอ่ื ง

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๗๓ ยานพาหนะ เรอ่ื งบา้ น เรอ่ื งจงั หวดั เรอ่ื งเมอื งหลวง เรอ่ื งบา้ นนอก เรอ่ื งหญงิ เรอ่ื งชาย เรอ่ื งคนกลา้ เรอ่ื งตรอก เรอ่ื งทา่ นำ้ เรอ่ื งคนทต่ี ายไปแลว้ เรอ่ื งความ แปลกประหลาดตา่ งๆ เรอ่ื งโลก เรอ่ื งสมทุ ร เรอ่ื งความฉบิ หายและเจริญบา้ ง ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอเว้นขาดจากการคุยเดรัจฉานกถาเห็น ปานนน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ผมู้ ศี ลี ไมก่ ลา่ วคำแกง่ แยง่ กนั อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั เปน็ ผกู้ ลา่ วถอ้ ยคำแกง่ แยง่ กนั อยเู่ นอื งๆ คอื อะไรบา้ ง ? คอื แกง่ แยง่ วา่ ทา่ นไมร่ ทู้ ว่ั ถงึ ธรรมวนิ ยั น้ี ขา้ พเจา้ รทู้ ว่ั ถงึ ธรรม วนิ ยั น้ี ทา่ นจกั รทู้ ว่ั ถงึ ธรรมวนิ ยั นไ้ี ดอ้ ยา่ งไร ทา่ นปฏบิ ตั ผิ ดิ ขา้ พเจา้ ปฏบิ ตั ถิ กู ถอ้ ยคำของขา้ พเจา้ เปน็ ประโยชน์ ถอ้ ยคำของทา่ นไมเ่ ปน็ ประโยชน์ คำทค่ี วรจะ พดู กอ่ นทา่ นกลบั พดู ภายหลงั คำทค่ี วรจะพดู ภายหลงั ทา่ นกลบั พดู กอ่ น ขอ้ ท่ี ทา่ นเคย เชย่ี วชาญเปลย่ี นแปลงไปเสยี แลว้ ขา้ พเจา้ จบั ผดิ วาทะของทา่ นไดแ้ ลว้ ข้าพเจ้าข่มท่านได้แล้ว ท่านจงถอนคำพูดท่านเสีย หรือท่านสามารถก็จงค้าน มาเถิด. ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอเว้นขาดจากการกล่าวคำแก่งแย่งกัน เหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ผมู้ ศี ลี ไมเ่ ปน็ ทตู นำขา่ ว อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้ประกอบการรับเป็นทูต รับใช้ ไปในทน่ี น้ั ๆ กนั อยเู่ นอื งๆ คอื อะไรบา้ ง? คอื รบั ใชพ้ ระราชาบา้ ง รบั ใชอ้ ำมาตย์ ของพระราชาบา้ ง รบั ใชก้ ษตั รยิ ์ รบั ใชพ้ ราหมณ์ รบั ใชค้ หบดแี ละรบั ใช้ เด็กๆบ้างว่า “ท่านจงไปในที่นี้ ท่านจงไปในที่โน้น ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ไป ทา่ นจงนำเอาสง่ิ นใ้ี นทโ่ี นน้ มา” ดงั น้ี

๓๗๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอเว้นขาดจากการรับใช้เป็นทูตรับใช้ ไปในทต่ี า่ งๆ เหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ แมข้ อ้ น้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ผมู้ ศี ลี ไมล่ อ่ ลวงชาวบา้ น อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้แสวงหาลาภด้วยการกล่าว คำลอ่ หลอก การกลา่ วคำพริ พ้ี ไิ ร การพดู แวดลอ้ มดว้ ยเลศ การพดู ใหท้ ายกเกดิ มานะมุทะลุในการให้ และการใช้ของมีค่าน้อยต่อเอาของมีค่ามาก สว่ นภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการแสวงหาลาภโดยอบุ าย หลอกลวงเชน่ นน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . มหาศีล ผมู้ ศี ลี ไมเ่ ปน็ หมอทายโชคลาง อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั สำเรจ็ การเปน็ อยดู่ ว้ ยการเลย้ี งชวี ติ ทผ่ี ดิ เพราะทำเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้กันอยู่ คืออะไรบ้าง? คือ ทายลักษณะ ในร่างกายบ้าง ทายนิมิตลางดีลางร้ายบ้าง ทายอุปปาตะ คือของตกบ้าง ทำนายฝัน ทำนายชะตา ทายหนูกัดผ้า ทำพิธีโหมเพลง ทำพิธีเบิกแว่น เวียนเทียน ทำพิธีซัดโปรยแกลบ ทำพิธีซัดโปรยรำ ทำพิธีซัดโปรยข้าวสาร ทำพธิ จี องเปรยี ง ทำพธิ จี ดุ ไฟบชู า ทำพธิ เี สกเปา่ ทำพลดี ว้ ยโลหติ เปน็ หมอดู อวยั วะรา่ งกาย หมอดูภมู ทิ ่ีต้ังบ้านเรอื น ดลู ักษณะไร่นา เป็นหมอปลุกเสก เปน็ หมอผี เปน็ หมอทำยนั ตก์ นั บา้ นเรอื น หมองู หมอดบั พษิ หมอแมลงปอ่ ง หมอหนกู ดั หมอทายเสยี งนกหมอทายเสยี งกา หมอทายอายุ หมอเสกกนั ลกู ศร (กนั ปนื ) หมอดรู อยสตั ว์

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๗๕ สว่ นภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการเลย้ี งชวี ติ ผดิ เพราะทำ เดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ผมู้ ศี ลี ไมเ่ ปน็ หมอทายลกั ษณะสง่ิ ของ อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั สำเรจ็ การเปน็ อยดู่ ว้ ยการเลย้ี งชวี ติ ทผ่ี ดิ เพราะทำเดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนก้ี นั อยู่ คอื อะไรบา้ ง? คอื ทายลกั ษณะแกว้ มณี (หมอดเู พชร) ทายลกั ษณะผา้ ทายลกั ษณะไมเ้ ทา้ ลกั ษณะศสั ตรา ลกั ษณะดาบ ลกั ษณะลกู ศร ลกั ษณะธนู ลกั ษณะอาวธุ ทายลกั ษณะหญงิ ลกั ษณะชาย ลกั ษณะเดก็ ชาย ลกั ษณะเดก็ หญงิ ลกั ษณะทาส ลกั ษณะทาสี ลกั ษณะชา้ ง ลักษณะม้า ลักษณะกระบือ ลักษณะโคอุสภะ ลักษณะโค ลักษณะแพะ ลักษณะแกะ ลักษณะไก่ ลักษณะนกกระทา ลักษณะเหี้ย ลักษณะสัตว์ชื่อ กณั ณกิ า ลกั ษณะเตา่ ลกั ษณะเนอ้ื สว่ นภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการเลย้ี งชวี ติ ผดิ เพราะทำ เดรชั ฉานวชิ าเหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ผมู้ ศี ลี ไมเ่ ปน็ หมอทำนายการรบพงุ่ อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั สำเรจ็ การเปน็ อยดู่ ว้ ยการเลย้ี งชวี ติ ทผ่ี ดิ เพราะทำเดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนก้ี นั อยู่ คอื อะไรบา้ ง? คอื ดฤู กษย์ าตราทพั ให้แก่พระราชาว่า วันนั้นควรยก วันนั้นไม่ควรยก, พระราชาภายในจักรุก พระราชาภายนอกจักถอย, พระราชาภายนอกจักรุก พระราชาภายในจักถอย, พระราชาภายในจกั มชี ยั พระราชาภายนอกจกั ปราชยั , พระราชาภายนอกจกั มชี ยั พระราชาภายในจกั ปราชยั , พระราชาองคน์ จ้ี กั แพ้ พระราชาองคน์ จ้ี กั ชนะบา้ ง. สว่ นภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการเลย้ี งชวี ติ ผดิ เพราะทำ เดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ .

๓๗๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ผมู้ ศี ลี ไมเ่ ปน็ หมอโหราศาสตร์ อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั สำเรจ็ การเปน็ อยดู่ ว้ ยการเลย้ี งชวี ติ ทผ่ี ดิ เพราะทำเดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนก้ี นั อยู่ คอื อะไรบา้ ง? คอื ทำนายจนั ทรคราส สรุ ยิ คราส นกั ษตั รคราส ทำนายดวงจนั ทร์ ดวงอาทติ ย์ ดวงพระเคราะห์ วา่ จกั เดนิ ในทางบา้ งนอกทางบา้ ง ทำนายวา่ จกั มอี กุ กาบาต ดาวหาง แผน่ ดนิ ไหว ฟ้าร้องบ้าง, ทำนายการขึ้น การตก การหมอง การแผ้วของดวงจันทร์ ดวงอาทติ ยแ์ ละดวงดาว จกั มผี ลเปน็ อยา่ งนน้ั ๆ ดงั นบ้ี า้ ง. สว่ นภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการเลย้ี งชวี ติ ผดิ เพราะทำ เดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ผมู้ ศี ลี ไมเ่ ปน็ หมอทำนายดนิ ฟา้ อากาศ อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั สำเรจ็ การเปน็ อยดู่ ว้ ยการเลย้ี งชวี ติ ทผ่ี ดิ เพราะทำเดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนก้ี นั อยู่ คอื อะไรบา้ ง? คอื ทำนายวา่ จกั มฝี นดี จกั มฝี นแลง้ อาหารหางา่ ย อาหารหายาก จกั มคี วามสบาย จกั มคี วามทกุ ข์ จกั มโี รค จกั ไมม่ โี รค ทำนายการนบั คะแนน คดิ เลข ประมวล แตง่ กาพย์ กลอน สอนตำราวา่ ดว้ ยทางโลก ดงั นบ้ี า้ ง. สว่ นภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการเลย้ี งชวี ติ ทผ่ี ดิ เพราะทำ เดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ผมู้ ศี ลี ไมเ่ ปน็ หมอดฤู กษย์ าม อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั สำเรจ็ การเปน็ อยดู่ ว้ ยการเลย้ี งชวี ติ ทผ่ี ดิ เพราะทำเดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนก้ี นั อยู่ คอื อะไรบา้ ง? คอื ดฤู กษอ์ าวาหมงคล ดูฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์ทำการผูกมิตร ดูฤกษ์ทำการแตกร้าว ดูฤกษ์ทำการ

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๗๗ เกบ็ ทรพั ย์ ดฤู กษ์ จา่ ยทรพั ย์ (ลงทนุ ) ดโู ชคดโี ชครา้ ยบา้ ง, ใหย้ าผดงุ ครรภบ์ า้ ง รา่ ยมนตผ์ กู ยดึ ปดิ อดุ บา้ ง, รา่ ยมนตส์ ลดั รา่ ยมนตก์ น้ั เสยี ง เปน็ หมอเชญิ ผถี ามบา้ ง เปน็ หมอเชญิ เจา้ เขา้ หญงิ ถามบา้ ง เปน็ หมอทรงเจา้ บา้ ง ทำพธิ บี วงสรวง พระอาทติ ย์ บวงสรวง ทา้ วมหาพรหม รา่ ยมนตพ์ น่ ไฟ ทำพธิ เี รยี กขวญั ใหบ้ า้ ง สว่ นภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการเลย้ี งชวี ติ ทผ่ี ดิ เพราะทำ เดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ผมู้ ศี ลี ไมเ่ ปน็ หมอผแี ละหมอยา อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายก ถวายดว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั สำเรจ็ การเปน็ อยดู่ ว้ ยการเลย้ี งชวี ติ ทผ่ี ดิ เพราะทำเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้กันอยู่, คืออะไรบ้าง? คือ บนขอลาภผลต่อ เทวดา ทำการบวงสรวงแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยใหก้ ลบั เปน็ ชาย ทำชายใหก้ ลายเปน็ กะเทย ทำพธิ ปี ลกู เรอื น ทำพธิ ี บวงสรวงในทป่ี ลกู เรอื น พน่ นำ้ มนต์ รดนำ้ มนต์ ทำพธิ บี ชู าไฟใหบ้ า้ ง ปรงุ ยา สำรอกใหบ้ า้ ง ปรงุ ยาถา่ ย ปรงุ ยาถา่ ยโทษเบอ้ื งบน ปรงุ ยาแกป้ วดศรี ษะหงุ นำ้ มนั หยอดหู ปรงุ ยาหยอดตา ปรงุ ยานตั ถ์ุ ปรงุ ยาทากดั ปรงุ ยาทาสมาน เปน็ หมอปา้ ยยาตา เปน็ หมอผา่ ตดั เปน็ หมอรกั ษาเดก็ หมอพอกยาแกย้ าใหบ้ า้ ง. สว่ นภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เธอเวน้ ขาดจากการเลย้ี งชวี ติ ทผ่ี ดิ เพราะทำ เดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนน้ั เสยี แลว้ แมน้ ้ี กเ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ . ผมู้ ศี ลี สมบรู ณแ์ ลว้ อยา่ งน้ี ยอ่ มไมแ่ ลเหน็ ภยั แตท่ ไ่ี หนๆ มหาราชะ ! ภกิ ษนุ น้ั แล ผมู้ ศี ลี สมบรู ณแ์ ลว้ อยา่ งน้ี ยอ่ มไมแ่ ลเหน็ ภยั แตท่ ไ่ี หนๆเลยทจ่ี ะเกดิ เพราะเหตแุ หง่ ศลี สงั วร เหมอื นกษตั รยิ ผ์ มู้ รุ ธาภเิ ษกแลว้ มีปัจจามิตรอันกำจัดเสียได้แล้ว ย่อมไม่เห็นภัยแต่ที่ไหนๆเพราะเหตุแห่ง ข้าศึกฉะนั้น.

๓๗๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เธอประกอบด้วยกองศีลอันเป็นอริยคุณนี้แล้ว ย่อมได้เสวยสุขอันหา โทษมไิ ด้ ณ ภายใน มหาราชะ! ภกิ ษเุ ปน็ ผมู้ ศี ลี สมบรู ณแ์ ลว้ ดว้ ยอาการอยา่ งนแ้ี ล. กศุ ลศลี ทง้ั หลาย มอี ะไรเปน็ ผล มอี ะไรเปน็ อานสิ งส?์ (พระไตรปฎิ กบาลสี ยามรฐั ๒๔ / ๑ / ๑) “ดกู อ่ นอานนท์ กศุ ลศลี ทง้ั หลาย มอี วปิ ปฏสิ าร (ความไมร่ อ้ นใจ) เปน็ ประโยชนท์ ม่ี งุ่ หมาย มอี วปิ ปฏสิ ารเปน็ อานสิ งส์ อวปิ ปฏสิ าร มคี วามปราโมทยเ์ ปน็ ประโยชนท์ ม่ี งุ่ หมาย ..., เปน็ อานสิ งส์ ความปราโมทย์ มปี ตี เิ ปน็ ประโยชนท์ ม่ี งุ่ หมาย..., เปน็ อานสิ งส์ ปตี ิ มปี สั สทั ธิ (ความสงบรำงบั )เปน็ ประโยชนท์ ม่ี งุ่ หมาย..., เปน็ อานสิ งส์ ปสั สทั ธิ มสี ขุ เปน็ ประโยชนท์ ม่ี งุ่ หมาย..., เปน็ อานสิ งส์ สขุ มสี มาธเิ ปน็ ประโยชนท์ ม่ี งุ่ หมาย..., เปน็ อานสิ งส์ สมาธิ มียถาภูตญาณทัสสนะ (ญาณเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง) เปน็ ประโยชนท์ ม่ี งุ่ หมาย..., เปน็ อานสิ งส์ ยถาภตู ญาณทสั สนะ มนี พิ พทิ า (ความเบอ่ื หนา่ ย) วริ าคะ (ความคลาย กำหนดั ) เปน็ ประโยชนท์ ม่ี งุ่ หมาย..., เปน็ อานสิ งส์ นิพพิทาวิราคะ มีวิมุตติญาณทัสสนะ เป็นประโยชน์ที่มุ่งหมาย, มวี มิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ เปน็ อานสิ งส์ ดงั น.้ี ดูก่อนอานนท์ กุศลศีลทั้งหลาย ยอ่ มยงั ความเปน็ อรหนั ตใ์ หเ้ ตม็ ได้ โดยลำดบั ดว้ ยอาการอยา่ งนแ้ี ล. พรหมจรรยน์ ม้ี อี ะไรเปน็ อานสิ งส์ เปน็ ยอด เปน็ แกน่ เปน็ ใหญ?่ (พระไตรปฎิ กบาลสี ยามรฐั ๒๑ / ๓๒๙ / ๒๔๕) “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย พรหมจรรยท์ ป่ี ระพฤตกิ นั อยนู่ ้ี มกี ารทำตามสกิ ขา เปน็ อานสิ งส์ มปี ญั ญาเปน็ ยอด มวี มิ ตุ ตเิ ปน็ แกน่ สาร มสี ตเิ ปน็ อธปิ ไตย. ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย พรหมจรรยม์ กี ารทำตามสกิ ขาเปน็ อานสิ งส์ เป็นอย่างไรเล่า? ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ สิกขาที่เนื่องด้วยอภิสมาจาร

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๗๙ เราบญั ญตั แิ ลว้ แกส่ าวกทง้ั หลาย เพอ่ื ใหค้ นทย่ี งั ไมเ่ ลอ่ื มใสเกดิ ความเลอ่ื มใส เพื่อให้คนที่เลื่อมใสแล้วเลื่อมใสยิ่งขึ้น. สิกขาที่เนื่องด้วยอภิสมาจาร เราบัญญัติแล้วแก่สาวกทั้งหลาย เพื่อให้คนที่ยังไม่เลื่อมใสเกิดความเลื่อมใส เพื่อให้คนที่เลื่อมใสแล้วเลื่อมใสยิ่งขึ้นในลักษณะอย่างใดๆ สาวกนั้นเป็นผู้ ทำสกิ ขานน้ั ไมข่ าด ไมท่ ะลุ ไมด่ า่ ง ไมพ่ รอ้ ย สมาทานศกึ ษาอยใู่ นสกิ ขาบท ทง้ั หลาย ในลกั ษณะอยา่ งนน้ั ๆ. อนง่ึ สกิ ขาทเ่ี ปน็ เบอ้ื งตน้ แหง่ พรหมจรรย์ เราบญั ญตั แิ ลว้ แกส่ าวก ทง้ั หลาย เพอ่ื ความสน้ิ ทกุ ขโ์ ดยชอบดว้ ยประการทง้ั ปวง. สกิ ขาทเ่ี ปน็ เบอ้ื งตน้ แหง่ พรหมจรรย์ เราบัญญัตแิ ลว้ แกส่ าวกทัง้ หลาย เพอื่ ความส้นิ ทกุ ข์โดยชอบ ดว้ ยประการทง้ั ปวงในลกั ษณะอยา่ งใดๆ สาวกนน้ั เปน็ ผทู้ ำตามสกิ ขานน้ั ไมข่ าด ไมท่ ะลุ ไมด่ า่ ง ไมพ่ รอ้ ย สมาทานศกึ ษาอยใู่ นสกิ ขาบททง้ั หลาย ในลกั ษณะอยา่ ง นน้ั ๆ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พรหมจรรยม์ สี กิ ขาเปน็ อานสิ งส์ เปน็ อยา่ งนแ้ี ล. ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์มีปัญญาเป็นยอดอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ทั้งหลาย ในกรณีนี้ ธรรมทั้งหลายเราแสดงแล้วแก่สาวกทั้งหลายเพื่อความ สน้ิ ทกุ ขโ์ ดยชอบดว้ ยประการทง้ั ปวง.ธรรมทง้ั หลายเราแสดงแลว้ แกส่ าวกทง้ั หลาย เพอ่ื ความสน้ิ ทกุ ขโ์ ดยชอบดว้ ยประการทง้ั ปวง ในลกั ษณะอยา่ งใดๆ ธรรม ทั้งปวงนั้น สาวกของเราก็พจิ ารณาเห็นได้อย่างดีดว้ ยปญั ญา ในลักษณะ อยา่ งนน้ั ๆ ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย พรหมจรรยม์ ปี ญั ญาเปน็ ยอด เปน็ อยา่ งนแ้ี ล. ภิกษุทั้งหลาย ก็พรหมจรรย์มีวิมุตติเป็นแก่นสารอย่างไรเล่า? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ในกรณนี ้ี ธรรมทง้ั หลาย เราแสดงแกส่ าวกทง้ั หลายเพอ่ื ความ สน้ิ ทกุ ขโ์ ดยชอบดว้ ยประการทง้ั ปวง. ธรรมทง้ั หลาย เราแสดงแกส่ าวกทง้ั หลาย เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบด้วยประการทั้งปวง ในลักษณะอย่างใดๆ ธรรม ทั้งปวงนั้นสาวกของเราก็ถูกต้องได้แล้วด้วยความหลุดพ้น, ในลักษณะ อยา่ งนน้ั ๆ ภกิ ษทุ ง้ั หลายพรหมจรรยม์ วี มิ ตุ ตเิ ปน็ แกน่ สาร เปน็ อยา่ งนแ้ี ล. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พรหมจรรยม์ สี ตเิ ปน็ อธปิ ไตยเปน็ อยา่ งไรเลา่ ? สติ อนั สาวกของเราตง้ั ไวด้ ว้ ยดใี นภายในวา่ “เราจกั ทำสกิ ขาทเ่ี นอ่ื งดว้ ย อภสิ มาจาร ที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ดังนี้บ้าง เราจักประคับประคองสิกขาที่เนื่องด้วย

๓๘๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อภสิ มาจารทบ่ี รบิ รู ณแ์ ลว้ ไวด้ ว้ ยปญั ญาในสถานะนน้ั ๆ ดงั นบ้ี า้ ง.” สติอันสาวกของเราตั้งไว้ด้วยดีในภายในว่า “เราจักทำสิกขา ที่เป็น เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ ดังนี้บ้าง เราจัก ประคบั ประคองสกิ ขา ทเ่ี ปน็ เบอ้ื งตน้ แหง่ พรหมจรรยท์ บ่ี รบิ รู ณแ์ ลว้ ไวด้ ว้ ยปญั ญา ในสถานะนน้ั ๆ ดงั นบ้ี า้ ง.” สตอิ นั สาวกของเราตง้ั ไวด้ ว้ ยดใี นภายในวา่ “เราจกั พจิ ารณาดว้ ยปญั ญา ให้เห็นธรรมที่ยังไม่เห็น ในสถานะนั้นๆดังนี้บ้าง เราจักประคับประคองธรรม ทพ่ี จิ ารณาเหน็ แลว้ ดว้ ยปญั ญาในสถานะนน้ั ๆ ดงั นบ้ี า้ ง.” สติอันสาวกของเราตั้งไว้ด้วยดีในภายในว่า “เราจักถูกต้องธรรม ที่ยังไม่ถูกต้องด้วยความหลุดพ้น ดังนี้บ้าง เราจักประคับประคองธรรม ทไ่ี ดถ้ กู ตอ้ งแลว้ ไวด้ ว้ ยปญั ญา ในสถานะนน้ั ๆ ดงั นบ้ี า้ ง” ดงั น.้ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พรหมจรรยม์ สี ตเิ ปน็ อธปิ ไตย เปน็ อยา่ งนแ้ี ล. ภิกษุทั้งหลาย ที่เรากล่าวว่า “พรหมจรรย์ที่ประพฤติกันอยู่นี้ มสี กิ ขาเปน็ อานสิ งส์ มปี ญั ญาเปน็ ยอด มวี มิ ตุ ตเิ ปน็ แกน่ สาร มสี ตเิ ปน็ อธปิ ไตย ดงั นน้ี น้ั เรากลา่ วหมายเอาอธบิ ายทว่ี า่ มานแ้ี ล. ถ้าภิกษุเป็นอยู่โดยชอบ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ (พระไตรปฎิ กบาลสี ยามรฐั ๒๑ / ๔๓ / ๒๘) “ดูก่อนสุภัททะ ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ในธรรมวนิ ยั ใด มอี รยิ มรรคประกอบดว้ ยองค์ ๘ ในธรรมวนิ ยั นน้ั มสี มณะท่ี ๑ ท่ี ๒ ท่ี ๓ หรอื ท่ี ๔ ดูก่อนสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวนิ ยั นเ้ี ทา่ นน้ั มสี มณะท่ี ๑ ท่ี ๒ ท่ี ๓ หรอื ท่ี ๔ ลทั ธอิ น่ื ๆ วา่ งจากสมณะ ผู้รู้ทั่วถึง ก็ถ้าภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบไซร้ โลกจะไม่พึงว่างจาก พระอรหนั ตท์ ง้ั หลาย .”

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๘๑ พระธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ (พระไตรปฎิ กบาลสี ยามรฐั ๑๐ / ๑๔๖ / ๑๔๐) “ดกู อ่ นอานนท์ ! ความคดิ อาจมแี กพ่ วกเธออยา่ งนว้ี า่ ธรรมวนิ ยั ของ พวกเรามีพระศาสดาลว่ งลบั ไปแลว้ พวกเราไมม่ พี ระศาสดา ดงั น้ี อานนท์ ! พวกเธออย่าคิดอย่างนั้น อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ทเ่ี ราแสดงแลว้ บญั ญตั แิ ลว้ แกเ่ ธอทง้ั หลาย ธรรมวนิ ยั นน้ั จกั เปน็ ศาสดา ของพวกเธอทง้ั หลาย โดยกาลลว่ งไปแหง่ เรา.” ผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง (พระไตรปฎิ กบาลสี ยามรฐั ๑๙ / ๒๑๖ / ๗๓๖ ) อานนท์ ! ในกาลบดั นก้ี ด็ ี ในกาลลว่ งไปแหง่ เรากด็ ี ใครกต็ าม จกั ตอ้ ง มตี นเปน็ ประทปี มตี นเปน็ สรณะ ไมเ่ อาสง่ิ อน่ื เปน็ สรณะ ; มธี รรมเปน็ ประทปี มธี รรมเปน็ สรณะ ไมเ่ อาสง่ิ อน่ื เปน็ สรณะ เปน็ อย.ู่ อานนท์ ! ภกิ ษุ พวกใด เปน็ ผใู้ ครใ่ นสกิ ขา, ภกิ ษพุ วกนน้ั จกั เปน็ ผอู้ ยใู่ นสถานะอนั เลศิ ทส่ี ดุ แล. อรยิ วงศ์ ๔ (พระไตรปฎิ กแปลไทย มจร. ๑๑ / ๒๐๗ / ๒๓๗) ธรรมทเ่ี ปน็ เชอ้ื สายของพระอรยิ เจา้ ๔ อยา่ ง ซง่ึ เปน็ ธรรมอนั เลศิ ยง่ั ยนื เปน็ แบบแผนมาแตก่ อ่ น ไมถ่ กู ทอดทง้ิ แลว้ ไมเ่ คยถกู ทอดทง้ิ เลย ไมถ่ กู ทอดทง้ิ อยู่ จกั ไมถ่ กู ทอดทง้ิ เปน็ ธรรมอนั สมณพราหมณท์ ง้ั หลายทเ่ี ปน็ ผรู้ ไู้ มค่ ดั คา้ นแลว้ ๑. ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้ และเป็นผู้สรรเสริญความสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้ ไม่ทำอเนสนา (การแสวงหาไมส่ มควร) เพราะจวี รเปน็ เหต,ุ ไมไ่ ดจ้ วี รกไ็ มท่ รุ นทรุ าย, ไดจ้ วี รแลว้ กไ็ มย่ นิ ดเี มาหมกพวั พนั , เหน็ สว่ นทเ่ี ปน็ โทษแหง่ สงั สารวฏั , มปี ญั ญาในอบุ ายทจ่ี ะ ถอนตวั ออกอยเู่ สมอ,นงุ่ หม่ จวี รนน้ั . อนง่ึ ไมย่ กตนไมข่ ม่ ผอู้ น่ื เพราะความสนั โดษ ดว้ ยจวี รตามมตี ามไดน้ น้ั . กภ็ กิ ษใุ ดเปน็ ผฉู้ ลาด ไมเ่ กยี จครา้ น มสี มั ปชญั ญะ

๓๘๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก มีสติมั่น ในความสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้นั้น เราเรียกภิกษุนี้ว่า ผสู้ ถติ อยใู่ น อรยิ วงศ์ อนั ปรากฎวา่ เปน็ ธรรมเลศิ มาแตเ่ กา่ กอ่ น. ๒. อกี อยา่ งหนง่ึ ภกิ ษเุ ปน็ ผสู้ นั โดษดว้ ยบณิ ฑบาตตามมตี ามได้ และ เปน็ ผสู้ รรเสรญิ ความสนั โดษดว้ ยบณิ ฑบาตตามมตี ามได,้ ไมท่ ำอเนสนา เพราะบณิ ฑบาตเปน็ เหต,ุ ไมไ่ ดบ้ ณิ ฑบาตกไ็ มท่ รุ นทรุ าย, ไดบ้ ณิ ฑบาตแลว้ กไ็ ม่ ยินดีเมาหมกพัวพัน, เห็นส่วนที่เป็นโทษแห่งสังสารวัฏ, มีปัญญาในอุบายที่จะ ถอนตวั ออกอยเู่ สมอ, บรโิ ภคบณิ ฑบาตนน้ั . อนง่ึ ไมย่ กตนไมข่ ม่ ผอู้ น่ื เพราะความ สนั โดษดว้ ยบณิ ฑบาตตามมตี ามไดน้ น้ั . กภ็ กิ ษใุ ดเปน็ ผฉู้ ลาด ไมเ่ กยี จครา้ น มสี มั ปชญั ญะ มสี ตมิ น่ั ในความสนั โดษดว้ ยบณิ ฑบาต ตามมตี ามไดน้ น้ั เราเรยี ก ภกิ ษนุ ว้ี า่ ผสู้ ถติ อยใู่ นอรยิ วงศ์ อนั ปรากฎวา่ เปน็ ธรรมเลศิ มาแตเ่ กา่ กอ่ น. ๓. อกี อยา่ งหนง่ึ ภกิ ษเุ ปน็ ผสู้ นั โดษดว้ ยเสนาสนะตามมตี ามได้ และ เป็นผู้สรรเสริญความสันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้, ไม่ทำอเนสนา เพราะเสนาสนะเปน็ เหต,ุ ไมไ่ ดเ้ สนาสนะกไ็ มท่ รุ นทรุ าย, ไดเ้ สนาสนะแลว้ กไ็ ม่ ยนิ ดเี มาหมกพวั พนั , เหน็ สว่ นทเ่ี ปน็ โทษแหง่ สงั สารวฏั , มปี ญั ญาในอบุ ายทจ่ี ะ ถอนตวั ออกอยเู่ สมอ, ใชส้ อยเสนาสนะนน้ั . อนง่ึ ไมย่ กตนไมข่ ม่ ผอู้ น่ื เพราะ ความสนั โดษดว้ ยเสนาสนะตามมตี ามไดน้ น้ั . กภ็ กิ ษใุ ดเปน็ ผฉู้ ลาด ไมเ่ กยี จครา้ น มสี มั ปชญั ญะ มสี ตมิ น่ั ในความสนั โดษดว้ ยเสนาสนะตามมตี ามไดน้ น้ั เราเรยี ก ภกิ ษนุ ว้ี า่ ผสู้ ถติ อยใู่ นอรยิ วงศ์ อนั ปรากฎวา่ เปน็ ธรรมเลศิ มาแตเ่ กา่ กอ่ น. ๔. อกี อยา่ งหนง่ึ ภกิ ษเุ ปน็ ผมู้ ใี จยนิ ดใี นการบำเพญ็ สง่ิ ทค่ี วรบำเพญ็ ยินดีแล้วในการบำเพ็ญสิ่งที่ควรบำเพ็ญ, เป็นผู้มีใจยินดีในการละ สง่ิ ทค่ี วรละ ยนิ ดแี ลว้ ในการละสง่ิ ทค่ี วรละ อนง่ึ ไมย่ กตนไมข่ ม่ ผอู้ น่ื เพราะเหตุ ดงั กลา่ วนน้ั . กภ็ กิ ษใุ ดเปน็ ผฉู้ ลาด ไมเ่ กยี จครา้ น มสี มั ปชญั ญะ มสี ตมิ น่ั ในการ บำเพญ็ สง่ิ ทค่ี วรบำเพญ็ และการละสง่ิ ทค่ี วรละนน้ั เราเรยี กภกิ ษนุ ว้ี า่ ผสู้ ถติ อยใู่ น อรยิ วงศ์ อนั ปรากฎวา่ เปน็ ธรรมเลศิ มาแตเ่ กา่ กอ่ น... กแ็ ลภกิ ษผุ ปู้ ระกอบพรอ้ ม แลว้ ดว้ ยอรยิ วงศ์ ๔ อยา่ ง เหลา่ น้ี แมห้ ากอยู่ ในทศิ ตะวนั ออก.. ตะวนั ตก. เหนอื .. ใต้ เธอยอ่ มยำ่ ยี ความไมย่ นิ ดเี สยี ไดข้ า้ งเดยี ว ความไมย่ นิ ดหี ายำ่ ยเี ธอไดไ้ ม.่ .. เพราะเหตวุ า่ ภกิ ษผุ มู้ ปี ญั ญายอ่ มเปน็ ผยู้ ำ่ ยเี สยี ได้ ทง้ั ความไมย่ นิ ดแี ละความยนิ ด,ี ดงั น.้ี

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๘๓ ทรงชักชวนฉันอาหารวันละหนเดียว (กกจปู มสตู ร พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๑๒ / ๒๖๕ / ๒๕๑) ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมฉันโภชนะแต่ในที่นั่งแห่งเดียว (คือฉันอาหาร หนเดยี ว ลกุ ขน้ึ แลว้ ไมฉ่ นั อกี ในวนั นน้ั ) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เมอ่ื เราฉนั โภชนะแตใ่ น ทน่ี ง่ั แหง่ เดยี วอยู่ ยอ่ มรสู้ กึ ความเปน็ ผมู้ อี าพาธนอ้ ย มที กุ ขน์ อ้ ย มคี วามเบากาย กระปรก้ี ระเปรา่ มกี ำลงั และมคี วามผาสกุ ดว้ ย. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย มาเถดิ , แมพ้ วกเธอทง้ั หลาย กจ็ งฉนั โภชนะแตใ่ น ทน่ี ง่ั แหง่ เดยี ว. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พวกเธอทง้ั หลาย เมอ่ื ฉนั โภชนะแตใ่ นทน่ี ง่ั แหง่ เดียวอยู่ จักรู้สึกความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีทุกข์น้อย มีความเบากาย กระปรก้ี ระเปรา่ มกี ำลงั และมคี วามผาสกุ ดว้ ย. อะไรชอ่ื วา่ ความขาด ทะลุ ดา่ ง พรอ้ ย แหง่ พรหมจรรย์ (เมถนุ สงั โยค ๗ พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๒๓ / ๔๗ / ๕๖) พราหมณ์ ! มสี มณะหรอื พราหมณบ์ างคน ในโลกน้ี ปฏญิ าณตวั วา่ เปน็ พรหมจารโี ดยชอบ เขาไมเ่ สพเมถนุ ธรรมกบั ดว้ ยมาตคุ ามกจ็ รงิ แล (๑) แตว่ า่ เขายงั ยนิ ดกี ารลบู ทา การขดั สี การอาบ การนวดฟน้ั ทท่ี ำให้ โดยมาตคุ าม, เขาปลาบปลม้ื ยนิ ดดี ว้ ยการทำเชน่ นน้ั จากมาตคุ าม พราหมณ์ ! นแ่ี ล คอื ความขาด ความทะลุ ความดา่ ง ความพรอ้ ย ของพรหมจรรย์. พราหมณ์ ! เรากลา่ ววา่ ผนู้ ป้ี ระพฤตพิ รหมจรรยไ์ มบ่ รสิ ทุ ธ์ิ ยงั ประกอบ ดว้ ยการเกย่ี วพนั ดว้ ยเมถนุ ยอ่ มไมพ่ น้ จากความเกดิ ความแก่ และความตาย ความโศก ความรำ่ ไรรำพนั ความทกุ ขก์ าย ความทกุ ขใ์ จ และความคบั แคน้ ใจ. ชอ่ื วา่ ยงั ไมพ่ น้ จากความทกุ ขไ์ ด.้ พราหมณ์ ! มสี มณะหรอื พราหมณบ์ างคน ในโลกน้ี ปฏญิ าณตวั วา่ เปน็ พรหมจารโี ดยชอบ เขาไมเ่ สพเมถนุ ธรรมกบั ดว้ ยมาตคุ าม และไมย่ นิ ดกี ารลบู ทา

๓๘๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก การขดั สี การอาบ การนวดฟน้ั ทไ่ี ดร้ บั จากมาตคุ ามกจ็ รงิ แล (๒) แต่ว่าเขายัง พูดจากซิกซี้ เล่นหัวสัพยอกกับด้วยมาตุคาม, เขาปลาบปลื้มยินดีด้วยการทำเช่นนั้นจากมาตุคาม... (๓)...แตว่ า่ เขายงั ชอบสบตากบั ดว้ ยมาตคุ าม, เขาปลาบปลม้ื ยนิ ดี ดว้ ยการทำเชน่ นน้ั จากมาตคุ าม... (๔)...แตว่ า่ เขายงั ชอบฟงั เสยี งของมาตคุ าม ทห่ี วั เราะอยกู่ ด็ ี พดู จา อยกู่ ด็ ี ขบั รอ้ งอยกู่ ด็ ี รอ้ งไหอ้ ยกู่ ด็ ี ขา้ งนอกฝากต็ าม นอกกำแพงกต็ าม, เขาปลาบปลื้มยินดีด้วยการทำเช่นนั้นจากมาตุคาม... (๕)...แตว่ า่ เขาชอบตามระลกึ ถงึ เรอ่ื งเกา่ ทเ่ี คยหวั เราะ เลา้ โลม เล่นหัวกับด้วยมาตุคาม, เขาปลาบปลื้มยินดีด้วยการทำเช่นนั้นจาก มาตุคาม... (๖)...แต่ว่าเขาเพียงเห็นคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี ผู้อิ่มเอิบ เพียบพร้อมด้วยกามคุณทั้งห้า ได้รับการบำเรออยู่ด้วยกามคุณ, เขาก็ ปลาบปลม้ื ยนิ ดดี ว้ ยการไดเ้ หน็ การกระทำเชน่ นน้ั ... (๗)...แต่ว่าเขาประพฤติพรหมจรรย์โดยตั้งความปรารถนา เพื่อ ไปเป็นเทพยดาพวกใดพวกหนึ่ง. พราหมณ์ ! นแ่ี ล คอื ความขาด ความทะลุ ความดา่ ง ความพรอ้ ย ของพรหมจรรย์. พราหมณ์ ! เรากลา่ ววา่ ผนู้ ป้ี ระพฤตพิ รหมจรรยไ์ มบ่ รสิ ทุ ธ์ิ ยงั ประกอบ ดว้ ยการเกย่ี วพนั ดว้ ยเมถนุ ยอ่ มไมพ่ น้ จากความเกดิ ความแก่ และความตาย ความโศก ความรำ่ ไรรำพนั ความทกุ ขก์ าย ความทกุ ขใ์ จ และความคบั แคน้ ใจ. ชอ่ื วา่ ยงั ไมพ่ น้ จากความทกุ ขไ์ ด.้ พระเจ้าปเสนทิโกศลพรรณาคุณพระภิกษุในธรรมวินัยนี้ (เจตยิ สตู ร พระไตรปฎิ กคอมพวิ เตอร์ ม.มหดิ ล ๑๓ / ๕๖๓ / ๓๘๓) ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ อกี ประการหนง่ึ พระราชากย็ งั ววิ าทกบั พระราชา

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๘๕ แมก้ ษตั รยิ ก์ ย็ งั ววิ าทกบั กษตั รยิ ์ แมพ้ ราหมณก์ ย็ งั ววิ าทกบั พราหมณ์ แมค้ ฤหบดี กย็ งั ววิ าทกบั คฤหบดี แมม้ ารดากย็ งั ววิ าทกบั บตุ ร แมบ้ ตุ รกย็ งั ววิ าทกบั มารดา แมบ้ ดิ ากย็ งั ววิ าทกบั บตุ ร แมบ้ ตุ รกย็ งั ววิ าทกบั บดิ า แมพ้ น่ี อ้ งชายกย็ งั ววิ าทกบั พน่ี อ้ งหญงิ แมพ้ น่ี อ้ งหญงิ กย็ งั ววิ าทกบั พน่ี อ้ งชาย แมส้ หายกย็ งั ววิ าทกบั สหาย ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ แตห่ มอ่ มฉนั ไดเ้ หน็ ภกิ ษทุ ง้ั หลายในธรรมวนิ ยั นี้ สมัครสมานกัน ชื่นชมกัน ไม่วิวาทกัน เข้ากันได้สนิทเหมือนน้ำ กับน้ำนม มองดูกันและกัน ด้วยสายตาแห่งความรักอยู่ ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันไม่เคยเห็นบริษัทอื่นที่สมัครสมานกันอย่างนี้ นอกจาก ธรรมวินัยนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ก็เป็นความเลื่อมใสในธรรม ในพระผู้มีพระภาค ของหม่อมฉัน.... ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ อกี ประการหนง่ึ หมอ่ มฉนั เปน็ ขตั ตยิ ราช ได้ มรุ ธาภเิ ษกแลว้ ยอ่ มสามารถจะใหฆ้ า่ คนทค่ี วรฆา่ ได้ จะใหร้ บิ คนทค่ี วรรบิ กไ็ ด้ จะให้เนรเทศคนที่ควรเนรเทศก็ได้. เมื่อหม่อมฉันนั่งอยู่ในที่วินิจฉัยความ กย็ งั มคี นทง้ั หลายพดู สอดขน้ึ ในระหวา่ งๆ หมอ่ มฉนั จะหา้ มวา่ ดกู อ่ นทา่ นผเู้ จรญิ ทง้ั หลาย เมอ่ื เรานง่ั อยใู่ นทว่ี นิ จิ ฉยั ความทา่ นทง้ั หลาย อยา่ พดู สอดขน้ึ ในระหวา่ ง จงรอคอยใหส้ ดุ ถอ้ ยคำของเราเสยี กอ่ น ดงั น้ี กไ็ มไ่ ด้ คนทง้ั หลายกย็ งั พดู สอดขน้ึ ในระหว่างถ้อยคำของหม่อมฉัน. ส่วนภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ หม่อมฉันเห็นไม่มีเสียงจาม หรือเสียงไอเลย ในเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงธรรมแก่บริษัทผู้นั่งฟัง เปน็ จำนวนหลายรอ้ ย. ทล่ี ว่ งมาแลว้ แตห่ ลงั เมอ่ื พระผมู้ พี ระภาคแสดงธรรม แก่บริษัทจำนวนหลายร้อย, ถ้าสาวกคนหนึ่งคนใดในที่นั้นไอขึ้น เพื่อน สพรหมจารดี ว้ ยกนั จะกระทบเขา่ ดว้ ยเขา่ เพอ่ื ใหร้ สู้ กึ วา่ “ทา่ นจงมเี สยี งนอ้ ย, ทา่ นอยา่ กระทำเสยี ง, พระผมู้ พี ระภาค ศาสดาของเรากำลงั แสดงธรรม” ดงั น.้ี หมอ่ มฉนั มคี วามเหน็ วา่ อศั จรรยจ์ รงิ ๆ ไมเ่ คยมจี รงิ ๆ บรษิ ทั มรี ะเบยี บ เรยี บรอ้ ยอยา่ งน้ี โดยไมต่ อ้ งใชอ้ าชญา หรอื ศาสตราเลย. พระองคผ์ เู้ จรญิ หมอ่ มฉนั ไมเ่ คยเหน็ บรษิ ทั อน่ื ทเ่ี รยี บรอ้ ยอยา่ งน้ี นอกจากธรรมวนิ ยั น.้ี แมข้ อ้ น้ี กเ็ ปน็ ความเลอ่ื มใสในธรรม ในพระผมู้ พี ระภาค ของหมอ่ มฉนั .

๓๘๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก มองดกู นั และกนั ดว้ ยสายตาแหง่ ความรกั อยู่ ไดอ้ ยา่ งไร (จฬู โคสงิ คสตู ร พระไตรปฎิ กคอมพวิ เตอร์ ม.มหดิ ล ๑๒ / ๓๖๒ / ๒๗๒) พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอนุรุทธว่า ดูก่อนอนุรุทธ นันทิยะ และกิมพิละ พวกเธอพอจะอดทนได้ละหรือ พอจะยังชีวิตให้เป็นไปได้หรือ พวกเธอไมล่ ำบากดว้ ยบณิ ฑบาตหรอื ? ขา้ แตพ่ ระผมู้ พี ระภาค พวกขา้ พระองคพ์ อจะอดทนได้ พอจะยงั มชี วี ติ ใหเ้ ปน็ ไปได้ พวกขา้ พระองคไ์ มล่ ำบากดว้ ยบณิ ฑบาต. กพ็ วกเธอ ยงั พรอ้ มเพรยี งกนั ชน่ื บานตอ่ กนั ไมว่ วิ าทกนั ยงั เปน็ เหมอื นนำ้ นมกบั นำ้ มองดกู นั และกนั ดว้ ยสายตาแหง่ ความรกั อยหู่ รอื ? เปน็ อยา่ งนน้ั พระพทุ ธเจา้ ขา้ . กพ็ วกเธอเปน็ อยา่ งนน้ั ได้ เพราะเหตอุ ยา่ งไร? พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์มีความดำริ อย่างนี้ว่าเป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่ได้อยู่ร่วมกับเพื่อน พรหมจรรยเ์ หน็ ปานน้ี ขา้ พระองคเ์ ขา้ ไปตง้ั กายกรรมประกอบดว้ ยเมตตา ในท่านผู้มีอายุเหล่านี้ ทั้งต่อหน้าและลับหลังเข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบ ด้วยเมตตา... เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตาในท่านผู้มีอายุ เหลา่ น้ี ทง้ั ตอ่ หนา้ และลบั หลงั ขา้ พระองคม์ คี วามดำรอิ ยา่ งนว้ี า่ ไฉนหนอ เราพึงเก็บจิตของตนเสียแล้ว ประพฤติตามอำนาจจิตของท่านผู้มีอายุ เหลา่ น้ี แลว้ ขา้ พระองคก์ เ็ กบ็ จติ ของตนเสยี ประพฤตอิ ยตู่ ามอำนาจจติ ของท่านผู้มีอายุเหล่านี้ กายของพวกข้าพระองค์ต่างกันจริงแล แต่ว่าจิตดู เหมอื นเปน็ อนั เดยี วกนั . ภิกษุสงฆ์อยู่ด้วยอาการอย่างไร จึงชื่อว่าอยู่เป็นผาสุก (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๒๒ / ๑๐๖ / ๑๕๐) อานนท์ ! มีอยู่ เมื่อภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ด้วยตนเองแล้ว ไม่กล่าวข่มผู้อื่นด้วยศีลอันยิ่ง, เป็นผู้คอยจ้องดูตนเอง ไม่มัวเพ่งดูคนอื่น,

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๘๗ เปน็ ผยู้ งั ไมป่ รากฏชอ่ื เสยี ง กไ็ มก่ ระวนกระวายใจเพราะความไมป่ รากกฏชอ่ื เสยี ง นน้ั , เปน็ ผไู้ ดต้ ามตอ้ งการ ไดไ้ มย่ าก ไดไ้ มล่ ำบาก ซง่ึ ฌาณส่ี อนั เปน็ ธรรม เป็นไปในจิตอันยิ่ง เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม; และยังเป็นผู้ทำ ใหแ้ จง้ เจโตวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะมไิ ด้ เพราะความสน้ิ ไปแหง่ อาสวะทง้ั หลายดว้ ย ปญั ญาอนั ยง่ิ เองในทฏิ ฐธรรม เขา้ ถงึ แลว้ แลอยู่ อกี ประการหนง่ึ . อานนท์ ! ภกิ ษสุ งฆอ์ ยดู่ ว้ ยอาการอยา่ งน้ี จงึ ชอ่ื วา่ อยเู่ ปน็ ผาสกุ อานนท!์ เรากลา่ ววา่ ธรรมเครอ่ื งอยผู่ าสกุ อน่ื ซง่ึ สงู กวา่ หรอื ประณตี กวา่ ธรรมเครอ่ื งอยู่ ผาสกุ น้ี หามไี มเ่ ลย. ทรงพอพระทัยความสามัคคีเป็นอย่างยิ่ง (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๒๐ / ๕๖๔ / ๓๕๕) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ในทศิ ใด ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เกดิ แตกรา้ วกนั เกดิ การ วุ่นวายกัน ทะเลาะวิวาทกัน ทิ่มแทงกันและกันอยู่ด้วยหอกปาก, ทิศนั้น ไมเ่ ปน็ ทผ่ี าสกุ แกเ่ ราเลย แมแ้ ตเ่ พยี งนกึ ถงึ จะตอ้ งกลา่ วทำไมถงึ เรอ่ื งไปถงึ ทน่ี น่ั . และเราย่อมแน่ใจในเรื่องนั้นว่า พวกเธอทั้งหลายที่นั่น พากันละเลย ธรรมะสามประการเสยี แลว้ ทำธรรมะอกี สามประการใหเ้ กดิ ขน้ึ หนาแนน่ เปน็ แนแ่ ท.้ สามประการเหลา่ ไหนเลา่ ทเ่ี ธอพากนั ละเสยี ? สามประการคอื ความตรกึ ในอันหลกี ออกจากกาม ความตรกึ ในอนั ไมพ่ ยาบาท และความตรกึ ในอนั ไมเ่ บยี ดเบยี น. และสามประการเหลา่ ไหนเลา่ ทเ่ี ธอพากนั ทำใหเ้ กดิ ขน้ึ หนาแนน่ ? สามประการคอื ความตรกึ ในกาม ความตรกึ ไปในทางพยาบาท และความตรกึ ไปในทางเบยี ดเบยี น. ทรงประฌามภิกษุที่ทะเลาะวิวาทกัน (อปุ กั กเิ ลสสตู ร พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๑๔ / ๔๔๐ / ๒๙๕) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! พอที ! พวกเธอทง้ั หลาย อยา่ หมายมน่ั กนั เลย, อยา่

๓๘๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทะเลาะกนั เลย, อยา่ โตเ้ ถยี งกนั เลย อยา่ ววิ าทกนั เลย (ดงั นถ้ี งึ ๒, ๓ ครง้ั ). เมอ่ื ตรสั อยา่ งนแ้ี ลว้ มภี กิ ษบุ างรปู ทลู ขน้ึ วา่ “ขา้ แตพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ผเู้ ปน็ ธรรมสามี ! ขอพระองคจ์ งหยดุ ไวก้ อ่ นเถดิ พระเจา้ ขา้ ! ขอจงทรงประกอบ ในสขุ วหิ ารในทฏิ ฐธรรมอยเู่ ถดิ พระเจา้ ขา้ ! พวกขา้ พระองคท์ ง้ั หลายจกั ทำให้ เหน็ ดำเหน็ แดงกนั ดว้ ยการหมายมน่ั กนั ดว้ ยการทะเลาะกนั ดว้ ยการโตเ้ ถยี ง กนั ดว้ ยการววิ าทกนั อนั นเ้ี อง” ดงั น.้ี กาลนน้ั แล ในเวลาเชา้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงครองจวี ร ถอื บาตร เสด็จเข้าไปสู่เมืองโกสัมพี เพื่อบิณฑบาต. ครั้งทรงเที่ยวบิณฑบาตในเมือง โกสมั พแี ลว้ ภายหลงั ภตั ตกาล กลบั จากบณิ ฑบาตแลว้ ทรงเกบ็ บรขิ ารขน้ึ มาถอื ไว้ แลว้ ประทบั ยนื ตรสั คาถานว้ี า่ :- “พวกคนไพร่ๆ ด้วยกัน ส่งเสียงเอ็ดตะโร แต่หามี คนไหนสำคญั ตวั วา่ เปน็ พาลไม.่ เมอ่ื หมแู่ ตกกนั กห็ าได้ มใี ครรสู้ กึ เปน็ อยา่ งอน่ื ใหด้ ขี น้ึ ไปกวา่ นน้ั ไดไ้ ม.่ พวกบัณฑิตลืมตัว สมัครที่จะพูดตามทางที่ตน ปรารถนาจะพูดอย่างไร ก็พูดพล่ามไปอย่างนั้น หาได้ นำพาถึงกิเลสที่เป็นเหตุแห่งการทะเลาะกันไม่. พวกใด ผกู ใจเจบ็ วา่ “ผนู้ น้ั ไดด้ า่ เรา ไดท้ ำรา้ ยเรา ไดเ้ อาชนะเรา ไดล้ กั ทรพั ยข์ องเรา” ; เวรของพวกนน้ั ยอ่ มระงบั ไมล่ ง พวกใด ไมผ่ กู ใจเจบ็ วา่ “ผนู้ น้ั ไดด้ า่ เรา ไดท้ ำรา้ ยเรา ไดเ้ อาชนะเรา ไดล้ กั ทรพั ยข์ องเรา” ; เวรของพวกนน้ั ยอ่ ม ระงบั ได้ ในยุคไหนก็ตาม เวรทั้งหลาย ไม่เคยระงับได้ด้วยการ ผกู เวรเลย, แตร่ ะงบั ไดด้ ว้ ยไมม่ กี ารผกู เวร. ธรรมนเ้ี ปน็ ของเกา่ ทใ่ี ชไ้ ดต้ ลอดกาล. คนพวกอน่ื ไมร่ สู้ กึ วา่ “พวกเราจะแหลกลาญกเ็ พราะเหตนุ ”้ี

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๘๙ พวกใด สำนกึ ตวั ไดใ้ นเหตทุ ม่ี นี น้ั ความมงุ่ รา้ ยกนั ยอ่ มระงบั ได้ เพราะความรู้สึกนั้น. ความกลมเกลยี วเปน็ นำ้ หนง่ึ ใจเดยี วกนั (ในการทำตาม กิเลส) ยังมีได้แม้แก่พวกคนกักขละเหล่านั้น ที่ปล้นเมือง หักแข้งขาชาวบ้าน ฆ่าฟันผู้คน แล้วต้อนม้า โค และขนทรัพย์ไป; แล้วทำไมจะมีแก่พวกเธอไม่ได้เล่า? ถ้าหากไม่ได้สหายที่พาตัวรอด เป็นปราชญ์ ที่มีความ เป็นอยู่ดี เป็นเพื่อนร่วมทางแล้วไซร้, ก็จงทำตัวให้เหมือน พระราชาทล่ี ะแควน้ ซง่ึ พชิ ติ ไดแ้ ลว้ ไปเสยี แลว้ เทย่ี วไปคนเดยี ว ดจุ ชา้ งมาตงั คะ เทย่ี วไปในปา่ ตวั เดยี ว ฉะนน้ั . การเทย่ี วไปคนเดยี วดกี วา่ เพราะไมม่ คี วามเปน็ สหายกนั ได้ กับคนพาล. พึงเที่ยวไปคนเดียว และไม่ทำบาป; เป็นคน มกั นอ้ ย ดจุ ชา้ งมาตงั คะ เปน็ สตั วม์ กั นอ้ ย เทย่ี วไปในปา่ ฉะนน้ั ”. มูลเหตุแห่งความวิวาทและวิธีระงับ (สามคามสตู ร พระไตรปฎิ กคอมพวิ เตอร์ ม.มหดิ ล ๑๔ / ๕๔ / ๔๒) ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ มไี ดแ้ ล ทบ่ี คุ คลทง้ั หลายผอู้ าศยั พระผมู้ พี ระภาค อยู่นั้น พอสมัยพระผู้มีพระภาคล่วงลับไป จะพึงก่อวิวาทให้เกิดในสงฆ์ได้ เพราะเหตอุ าชวี ะอนั ยง่ิ หรอื ปาตโิ มกขอ์ นั ยง่ิ ความววิ าทนน้ั มแี ตเ่ พอ่ื ไมเ่ กอ้ื กลู แก่ มหาชน ไม่ใช่สุขของมหาชนไม่ใช่ประโยชน์ของมหาชนเป็นอันมาก เพื่อ ไมเ่ กอ้ื กลู เพอ่ื ความทกุ ขแ์ กเ่ ทวดาและมนษุ ย์ ดกู อ่ นอานนท์ ความววิ าททเ่ี กดิ เพราะเหตอุ าชวี ะอนั ยง่ิ หรอื ปาตโิ มกข์ อนั ยง่ิ นน้ั เลก็ นอ้ ย สว่ นความววิ าทอนั เกดิ ในสงฆ์ ทเ่ี กดิ เพราะเหตมุ รรคหรอื ปฏปิ ทา ความววิ าทนน้ั มแี ตเ่ พอ่ื ไมเ่ กอ้ื กลู แกม่ หาชน ไมใ่ ชส่ ขุ ของมหาชน ไมใ่ ชป่ ระโยชนข์ องมหาชนเปน็ อนั มาก เพอ่ื ไมเ่ กอ้ื กลู เพอ่ื ความทกุ ขแ์ ก่ เทวดาและมนุษย์

๓๙๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ดกู อ่ นอานนท์ มลู เหตแุ หง่ ความววิ าทนม้ี ี ๖ อยา่ ง ๖ อยา่ งเปน็ ไฉน ดกู อ่ นอานนท์ (๑) ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผมู้ กั โกรธ มคี วามผกู โกรธ ภกิ ษทุ เ่ี ปน็ ผู้มักโกรธ มีความผูกโกรธนั้น ย่อมไมม่ ีความเคารพ ไม่มีความยำเกรง แม้ใน พระศาสดา แมใ้ นพระธรรม แมใ้ นพระสงฆอ์ ยู่ ทง้ั ไมเ่ ปน็ ผทู้ ำใหบ้ รบิ รู ณใ์ นสกิ ขา ภิกษุที่ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรง แม้ในพระศาสดา แม้ในพระธรรม แม้ในพระสงฆ์อยู่ ทั้งไม่เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสิกขานั้น ย่อมก่อความวิวาทให้ เกดิ ในสงฆ์ ซง่ึ เปน็ ความววิ าท มเี พอ่ื ไมเ่ กอ้ื กลู แกม่ หาชน ไมใ่ ชส่ ขุ ของมหาชน ไมใ่ ชป่ ระโยชนข์ องมหาชนเปน็ อนั มาก เพอ่ื ไมเ่ กอ้ื กลู เพอ่ื ความทกุ ขแ์ กเ่ ทวดา และมนุษย์ ดกู อ่ นอานนท์ ถา้ หากพวกเธอพจิ ารณาเหน็ มลู เหตแุ หง่ ความววิ าท เชน่ นใ้ี นภายในหรอื ในภายนอก พวกเธอพงึ พยายามละมลู เหตแุ หง่ ความววิ าท อันลามกนั้นเสียในที่นั้น ถ้าพวกเธอพิจารณาไม่เห็นมูลเหตุแห่งความวิวาท เชน่ นใ้ี นภายในหรอื ในภายนอก พวกเธอพงึ ปฏบิ ตั ไิ มใ่ หม้ ลู เหตแุ หง่ ความววิ าท อนั ลามกนน้ั แล ลกุ ลามตอ่ ไปในทน่ี น้ั การละมลู เหตแุ หง่ ความววิ าทอนั ลามกน้ี ย่อมมีได้ด้วยอาการเช่นนี้ ความไม่ลุกลามต่อไปของมูลเหตุแห่งความวิวาท อนั ลามกน้ี ยอ่ มมไี ดด้ ว้ ยอาการเชน่ น้ี ดกู อ่ นอานนท์ ประการอน่ื ยงั มอี กี (๒) ภกิ ษเุ ปน็ ผมู้ คี วามลบหลู่ มคี วามตเี สมอ... (๓) ภกิ ษเุ ปน็ ผมู้ คี วามรษิ ยา มคี วามตระหน.่ี .. (๔) ภกิ ษเุ ปน็ ผโู้ ออ้ วด เปน็ ผมู้ มี ายา... (๕) ภกิ ษเุ ปน็ ผมู้ คี วามปรารถนาลามก มคี วามเหน็ ผดิ ... (๖) ภิกษุเป็นผู้มีความเห็นเอาเอง มีความเชื่อถือผิวเผิน มีความถือรั้น สละคืนได้ยาก ภิกษุที่เป็นผู้มีความเห็นเอาเอง มีความเชื่อ ถือผิวเผิน มีความถือรั้น สละคืนได้ยากนั้น ย่อมไม่มีความเคารพ ไม่มีความ ยำเกรงแม้ในพระศาสดา แม้ในพระธรรม แม้ในพระสงฆ์อยู่ ทั้งไม่เป็นผู้ทำให้ บริบูรณ์ในสิกขา ภิกษุที่ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรง แม้ในพระศาสดา แม้ในพระธรรม แม้ในพระสงฆ์อยู่ ทั้งไม่เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสิกขานั้น

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๙๑ ยอ่ มกอ่ ความววิ าทใหเ้ กดิ ใน สงฆซ์ ง่ึ เปน็ ความววิ าท มเี พอ่ื ไมเ่ กอ้ื กลู แกม่ หาชน ไม่ใช่สุขของมหาชนไม่ใช่ประโยชน์ของมหาชนเป็นอันมาก เพื่อไม่เกื้อกูล เพอ่ื ความทกุ ข์ แกเ่ ทวดาและมนษุ ย์ ดูก่อนอานนท์ ถ้าพวกเธอพิจารณาเห็นมูลเหตุแห่งความวิวาท เช่นนี้ ในภายในหรือในภายนอก พวกเธอพึงพยายามละมูลเหตุแห่ง ความววิ าทอนั ลามกนน้ั เสยี ในทน่ี น้ั ถา้ พวกเธอพจิ ารณาไมเ่ หน็ มลู เหตุ แหง่ ความววิ าทเชน่ น้ี ในภายในหรอื ในภายนอก พวกเธอพงึ ปฏบิ ตั ไิ มใ่ ห้ มลู เหตแุ หง่ ความววิ าทอนั ลามกนน้ั แล ลกุ ลามตอ่ ไปในทน่ี น้ั การละมลู เหตุ แห่งความวิวาทอันลามกนี้ ย่อมมีได้ด้วยอาการเช่นนี้ ความไม่ลุกลามต่อไป ของมลู เหตแุ หง่ ความววิ าทอนั ลามกน้ี ยอ่ มมไี ดด้ ว้ ยอาการเชน่ น้ี ดกู อ่ นอานนท์ เหลา่ นแ้ี ล มลู เหตแุ หง่ ความววิ าท ๖ อยา่ ง อธกิ รณ์ ๔ อธกิ รณสมถะ ๗ ดูก่อนอานนท์ อธิกรณ์นี้มี ๔ อย่าง ๔ อย่างเป็นไฉน คือ ววิ าทาธกิ รณ์ อนวุ าทาธกิ รณ์ อาปตั ตาธกิ รณ์ กจิ จาธกิ รณ์ ดกู อ่ นอานนท์ เหลา่ นแ้ี ล อธกิ รณ์ ๔ อยา่ ง ดกู อ่ นอานนท์ กอ็ ธกิ รณส์ มถะนม้ี ี ๗ อยา่ งแล คอื เพอ่ื ระงบั อธกิ รณ์ อันเกิดแล้วๆ สงฆ์พึงใช้สัมมุขาวินัย สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ เยภยุ ยสกิ า ตสั สปาปยิ สกิ า ตณิ วตั ถารกะ ดกู อ่ นอานนท์ กส็ มั มขุ าวนิ ยั เปน็ อยา่ งไร คอื พวกภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ย่อมวิวาทกัน ว่าเป็นธรรมหรือมิใช่ธรรม ว่าเป็นวินัยหรือมิใช่วินัย ดูก่อนอานนท์ ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดแล พึงพร้อมเพรียงกันประชุม พิจารณาแบบแผนธรรม ครั้นพิจารณาแล้ว พึงให้อธิกรณ์นั้นระงับ โดยอาการที่เรื่องลงกันได้ในแบบแผนธรรมนั้น ดูก่อนอานนท์ อย่างนี้แล เปน็ สมั มขุ าวนิ ยั กแ็ หละความระงบั อธกิ รณบ์ างอยา่ งในธรรมวนิ ยั น้ี ยอ่ มมไี ดด้ ว้ ย สมั มขุ าวนิ ยั อยา่ งน้ี

๓๙๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ดูก่อนอานนท์ ก็เยภุยยสิกาเป็นอย่างไร คือ ภิกษุเหล่านั้นไม่อาจ ระงับอธิกรณ์นั้นในอาวาสนั้นได้ พึงพากันไปยังอาวาสที่มีภิกษุมากกว่า ภกิ ษุ ทง้ั หมดพงึ พรอ้ มเพรยี งกนั ประชมุ ในอาวาสนน้ั ครน้ั แลว้ พงึ พจิ ารณา แบบแผนธรรมครน้ั พจิ ารณาแลว้ พงึ ใหอ้ ธกิ รณน์ น้ั ระงบั โดยอาการทเ่ี รอ่ื ง ลงกันได้ในแบบแผนธรรมนั้น ดูก่อนอานนท์ อย่างนี้แล เป็นเยภุยยสิกา ก็แหละ ความระงับอธิกรณ์บางอย่างในธรรมวินัยนี้ ย่อมมีได้ด้วยเยภุยยสิกา อย่างนี้ ฯ ดูก่อนอานนท์ ก็สติวินัยเป็นอย่างไร คือ พวกภิกษุในธรรมวินัยนี้ โจทภกิ ษดุ ว้ ยอาบตั หิ นกั เหน็ ปานน้ี คอื ปาราชกิ หรอื ใกลเ้ คยี งปาราชกิ วา่ ทา่ น ผมู้ อี ายรุ ะลกึ ไดห้ รอื ไมว่ า่ ทา่ นตอ้ งอาบตั หิ นกั เหน็ ปานน้ี คอื ปาราชกิ หรอื ใกลเ้ คยี ง ปาราชิกแล้ว ภิกษุนั้นตอบอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าระลึก ไมไ่ ดเ้ ลยวา่ ขา้ พเจา้ ตอ้ งอาบตั หิ นกั เหน็ ปานน้ี คอื ปาราชกิ หรอื ใกลเ้ คยี ง ปาราชกิ (เพราะเปน็ พระอรหนั ตม์ สี ตสิ มบรู ณ์ ไมเ่ คยทำเชน่ นน้ั จงึ ระลกึ ไมไ่ ด)้ เมอ่ื เปน็ เชน่ น้ี สงฆต์ อ้ งใหส้ ตวิ นิ ยั แกภ่ กิ ษนุ น้ั แล ดกู อ่ นอานนท์ อยา่ งนแ้ี ล เปน็ สตวิ นิ ยั ก็แหละความระงบั อธกิ รณ์บางอยา่ งในธรรมวินยั นี้ ย่อมมไี ดด้ ว้ ย สติวินัยอย่างนี้ ดกู อ่ นอานนท์ กอ็ มฬู หวนิ ยั เปน็ อยา่ งไร คอื พวกภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี โจท ภกิ ษดุ ว้ ยอาบตั หิ นกั เหน็ ปานน้ี คอื ปาราชกิ หรอื ใกลเ้ คยี งปาราชกิ วา่ ทา่ นผมู้ อี ายุ จงระลึกดูเถิดว่าท่านต้องอาบัติหนักเห็นปานนี้ คือ ปาราชิกหรือ ใกล้เคียง ปาราชกิ แลว้ ภกิ ษนุ น้ั ตอบอยา่ งนว้ี า่ ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ขา้ พเจา้ ระลกึ ไมไ่ ดเ้ ลย วา่ ขา้ พเจา้ ตอ้ งอาบตั หิ นกั เหน็ ปานน้ี คอื ปาราชกิ หรอื ใกลเ้ คยี งปาราชกิ ภกิ ษุ ผู้โจทนั้นปลอบโยนเธอผู้กำลังทำลายอยู่นี้ว่า เอาเถอะ ท่านผู้มีอายุ จงรู้ตัว ใหด้ เี ถดิ เผอ่ื จะระลกึ ไดว้ า่ ตอ้ งอาบตั หิ นกั เหน็ ปานน้ี คอื ปาราชกิ หรอื ใกลเ้ คยี ง ปาราชกิ แลว้ ภกิ ษนุ น้ั กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย ขา้ พเจา้ ถงึ ความ เปน็ บา้ ใจฟงุ้ ซา่ นแลว้ กรรมอนั ไมส่ มควรแกส่ มณะเปน็ อนั มาก ขา้ พเจา้ ผู้เป็นบ้าได้ประพฤติล่วง และได้พูดละเมิดไป ข้าพเจ้าระลึกมันไม่ได้ว่า ข้าพเจ้าผู้หลงทำกรรมนี้ไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ สงฆ์ต้องให้อมูฬหวินัย

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๙๓ แก่ภิกษุนั้นแล ดูก่อนอานนท์ อย่างนี้แล เป็นอมูฬหวินัย ก็แหละความระงับ อธกิ รณบ์ างอยา่ งในธรรมวนิ ยั น้ี ยอ่ มมไี ดด้ ว้ ยอมฬู หวนิ ยั อยา่ งน้ี ดกู อ่ นอานนท์ กป็ ฏญิ ญาตกรณะเปน็ อยา่ งไร คอื ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี ถกู โจทหรอื ไมถ่ กู โจทกต็ าม ยอ่ มระลกึ และเปดิ เผยอาบตั ไิ ด้ เธอพงึ เขา้ ไปหาภิกษุผู้แก่กว่า ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง แล้วไหว้เท้านั่งกระหย่ง ประคองอัญชลี กล่าวแก่ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้า ตอ้ งอาบตั ชิ อ่ื นแ้ี ลว้ ขอแสดงคนื อาบตั นิ น้ั ภกิ ษผุ แู้ กก่ วา่ นน้ั กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ทา่ นเหน็ หรอื เธอตอบวา่ ขา้ พเจา้ เหน็ ภกิ ษผุ แู้ กก่ วา่ นน้ั กลา่ ววา่ ทา่ นพงึ ถงึ ความสำรวมต่อไปเถิด เธอกล่าวว่า ข้าพเจ้าจักถึงความสำรวม ดูก่อน อานนท์ อยา่ งนแ้ี ล เปน็ ปฏญิ ญาตกรณะ กแ็ หละ ความระงบั อธกิ รณบ์ างอยา่ ง ในธรรมวนิ ยั น้ี ยอ่ มมไี ดด้ ว้ ยปฏญิ ญาตกรณะ อยา่ งน้ี ดกู อ่ นอานนท์ กต็ สั สปาปยิ สกิ าเปน็ อยา่ งไร คอื พวกภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี โจทภิกษุด้วยอาบัติหนักเห็นปานนี้ คือ ปาราชิกหรือใกล้เคียงปาราชิก ว่า ทา่ นผมู้ อี ายรุ ะลกึ ไดห้ รอื ไมว่ า่ ทา่ นตอ้ งอาบตั หิ นกั เหน็ ปานน้ี คอื ปาราชกิ หรอื ใกล้เคียงปาราชิกแล้ว ภิกษุนั้นตอบอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้า ระลกึ ไมไ่ ดเ้ ลยวา่ ขา้ พเจา้ ตอ้ งอาบตั หิ นกั เหน็ ปานน้ี คอื ปาราชกิ หรอื ใกลเ้ คยี ง ปาราชกิ ภกิ ษผุ โู้ จทนน้ั ปลอบโยนเธอผกู้ ำลงั ทำลายอยนู่ ว้ี า่ เอาเถอะ ทา่ นผมู้ อี ายุ จงรู้ตัวให้ดีเถิด เผื่อจะระลึกได้ว่าต้องอาบัติหนักเห็นปานนี้ คือ ปาราชิก หรือใกล้เคียงปาราชิกแล้ว ภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าระลึกไม่ได้เลยว่า ข้าพเจ้าต้องอาบัติหนักเห็นปานนี้ คือ ปาราชิกหรือ ใกล้เคียงปาราชิก แต่ข้าพเจ้าระลึกได้ว่า ข้าพเจ้าต้องอาบัติชื่อนี้เพียงเล็กน้อย ภกิ ษผุ โู้ จทกน์ น้ั ปลอบโยนเธอผกู้ ำลงั ทำลายอยนู่ ว้ี า่ เอาเถอะ ทา่ นผมู้ อี ายจุ งรตู้ วั ใหด้ เี ถดิ เผอ่ื จะระลกึ ไดว้ า่ ตอ้ งอาบตั หิ นกั เหน็ ปานน้ี คอื ปาราชกิ หรอื ใกลเ้ คยี ง ปาราชกิ แลว้ ภกิ ษนุ น้ั กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย อนั ทจ่ี รงิ ขา้ พเจา้ ตอ้ ง อาบัติชื่อนี้เพียงเล็กน้อยไม่ถูกใครถามยังรับ ไฉนข้าพเจ้าต้องอาบัติหนัก เหน็ ปานน้ี คอื ปาราชกิ หรอื ใกลเ้ คยี งปาราชกิ แลว้ ถกู ถาม จกั ไมร่ บั เลา่ ภกิ ษุ ผู้โจทก์นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุก็ท่านต้องอาบัติชื่อนี้เพียงเล็กน้อย

๓๙๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ไมถ่ กู ถามยงั ไมร่ บั ไฉนทา่ นตอ้ งอาบตั หิ นกั เหน็ ปานน้ี คอื ปาราชกิ หรอื ใกลเ้ คยี ง ปาราชิกแล้ว ไม่ถูกถามจักรับเล่า เอาเถอะท่านผู้มีอายุ จงรู้ตัวให้ดีเถิด เผอ่ื จะระลกึ ไดว้ า่ ตอ้ งอาบตั หิ นกั เหน็ ปานน้ี คอื ปาราชกิ หรอื ใกลเ้ คยี งปาราชกิ แลว้ ภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้ากำลังระลึกได้แล ขา้ พเจา้ ตอ้ งอาบตั หิ นกั เหน็ ปานน้ี คอื ปาราชกิ หรอื ใกลเ้ คยี งปาราชกิ แลว้ คำที่ว่า ข้าพเจ้าระลึกไม่ได้ว่า ข้าพเจ้าต้องอาบัติหนักเห็นปานนี้ คือ ปาราชิกหรือใกล้เคียง ปาราชิกนี้ ข้าพเจ้าพูดพลั้งพูดพลาดไป ดูก่อน อานนท์ อยา่ งนแ้ี ลเปน็ ตสั สปาปยิ สกิ า กแ็ หละ ความระงบั อธกิ รณบ์ างอยา่ ง ในธรรมวนิ ยั น้ี ยอ่ มมไี ดด้ ว้ ย ตสั สปาปยิ สกิ า อยา่ งน้ี ดกู อ่ นอานนท์ กต็ ณิ วตั ถารกะเปน็ อยา่ งไร คอื พวกภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เกดิ ขดั ใจทะเลาะววิ าทกนั อยู่ ไดป้ ระพฤตลิ ว่ งและไดพ้ ดู ละเมดิ กรรมอนั ไมส่ มควร แกส่ มณะเปน็ อนั มาก ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ทง้ั หมด พงึ พรอ้ มเพรยี งกนั ประชมุ ครน้ั แลว้ ภกิ ษผุ ฉู้ ลาดในบรรดาภกิ ษทุ เ่ี ปน็ ฝา่ ยเดยี วกนั พงึ ลกุ จากอาสนะ หม่ จวี ร เฉวยี งบา่ ขา้ งหนง่ึ ประนมอญั ชลี ประกาศใหส้ งฆท์ ราบวา่ ขา้ แตส่ งฆผ์ เู้ จรญิ ขอสงฆจ์ งฟงั ขา้ พเจา้ เราทง้ั หลายในทน่ี ้ี เกดิ ขดั ใจทะเลาะววิ าทกนั อยู่ ไดป้ ระพฤตลิ ว่ ง และ ได้พูดละเมิดกรรมอันไม่สมควรแก่สมณะเป็นอันมาก ถ้าสงฆ์มีความ พรั่งพร้อมถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าพึงแสดงอาบัติของท่านผู้มีอายุเหล่านี้ และของตน ยกเว้นอาบัติที่มีโทษหยาบและอาบัติที่พัวพันกับคฤหัสถ์ ด้วยวินัยเพียงดังว่ากลบไว้ด้วยหญ้า ในท่ามกลางสงฆ์ เพื่อประโยชน์ แกท่ า่ นผมู้ อี ายเุ หลา่ นแ้ี ละแกต่ น ตอ่ นน้ั ภกิ ษผุ ฉู้ ลาดในบรรดาภกิ ษทุ เ่ี ปน็ ฝา่ ยเดยี วกนั อกี ฝา่ ยหนง่ึ พงึ ลกุ จากอาสนะ หม่ จวี รเฉวยี งบา่ ขา้ งหนง่ึ ประนม อัญชลี ประกาศให้สงฆ์ทราบว่า ข้าแต่สงฆ์ ผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เราทง้ั หลายในทน่ี ้ี เกดิ ขดั ใจทะเลาะววิ าทกนั อยู่ ไดป้ ระพฤตลิ ว่ ง และไดพ้ ดู ละเมดิ กรรมอันไม่สมควรแก่สมณะเป็นอันมาก ถ้าสงฆ์มีความพรั่งพร้อมถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าพึงแสดงอาบัติของท่านผู้มีอายุเหล่านี้ และของตน ยกเว้นอาบัติ ทม่ี โี ทษหยาบและอาบตั ทิ พ่ี วั พนั กบั คฤหสั ถ์ ดว้ ยวนิ ยั เพยี งดงั วา่ กลบไวด้ ว้ ยหญา้ ในทา่ มกลางสงฆ์ เพอ่ื ประโยชนแ์ กท่ า่ นผมู้ อี ายเุ หลา่ น้ี และแกต่ น ดกู อ่ นอานนท์

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๙๕ อยา่ งนแ้ี ล เปน็ ตณิ วตั ถารกะ กแ็ หละความระงบั อธกิ รณ์ บางอยา่ งในธรรมวนิ ยั น้ี ย่อมมีได้ด้วยติณวัตถารกะอย่างนี้ ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน (สาราณียธรรม) ดูก่อนอานนท์ ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อ ความรกั กอ่ ความเคารพ เปน็ ไปเพอ่ื สงเคราะหก์ นั เพอ่ื ไมว่ วิ าทกนั เพอ่ื ความพร้อมเพรียงกัน เพื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้มี ๖ อย่าง ๖ อย่าง เปน็ ไฉน (๑) ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีกายกรรมประกอบด้วย เมตตา ปรากฏในเพอื่ นรว่ มประพฤตพิ รหมจรรย์ ทง้ั ในท่ีแจง้ ทงั้ ในทีล่ ับ นค้ี อื ธรรมเปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความระลกึ ถงึ กนั เปน็ เหตกุ อ่ ความรกั กอ่ ความเคารพ เปน็ ไปเพอ่ื สงเคราะหก์ นั เพอ่ื ไมว่ วิ าทกนั เพอ่ื ความพรอ้ มเพรยี งกนั เพอ่ื เปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ประการหนง่ึ (๒) ดูก่อนอานนท์ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุมีวจีกรรมประกอบด้วย เมตตา ปรากฏในเพอ่ื นร่วมประพฤติพรหมจรรย์ ทง้ั ในที่แจ้ง ทัง้ ในทลี่ บั นี้ก็ธรรม เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อสงเคราะห์กัน เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อเป็น อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั (๓) ดกู อ่ นอานนทป์ ระการอน่ื ยงั มอี กี ภกิ ษมุ มี โนกรรมประกอบดว้ ย เมตตา ปรากฏในเพอ่ื นรว่ มพรหมจรรย์ ทง้ั ในทแ่ี จง้ ทง้ั ในทล่ี บั นก้ี ธ็ รรมเปน็ ที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อ สงเคราะห์กัน เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อเป็นอันหนึ่งอัน เดยี วกนั (๔) ดกู อ่ นอานนท์ ประการอน่ื ยงั มอี กี ภกิ ษมุ ลี าภใดๆ เกดิ โดยธรรม ไดแ้ ลว้ โดยธรรม ทส่ี ดุ แมเ้ พยี งอาหารตดิ บาตร เปน็ ผไู้ มแ่ บง่ กนั เอาลาภ เห็นปานนั้น ไว้บริโภคแต่เฉพาะผู้เดียว ย่อมเป็นผู้บริโภคเฉลี่ย

๓๙๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทว่ั ไปกบั เพอ่ื น รว่ มประพฤตพิ รหมจรรยผ์ มู้ ศี ลี นก้ี ธ็ รรมเปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความ ระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อสงเคราะห์กัน เพอ่ื ไมว่ วิ าทกนั เพอ่ื ความพรอ้ มเพรยี งกนั เพอ่ื เปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั (๕) ดูก่อนอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุถึงความเป็นผู้เสมอกัน โดยศีล ในศีลทั้งหลาย ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฎฐิไม่แตะต้อง เป็นไปพร้อมเพื่อ สมาธิ เห็นปานนั้น กับเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ นี้ก็ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อสงเคราะห์กัน เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความ พรอ้ มเพรยี งกนั เพอ่ื เปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั (๖) ดกู อ่ นอานนท์ ประการอน่ื ๆ ยงั มอี กี ภกิ ษถุ งึ ความเปน็ ผเู้ สมอกนั โดยทิฐิ ในทิฐิที่เป็นของพระอริยะ อันนำออก ชักนำผู้กระทำตามเพื่อ ความสน้ิ ทกุ ขโ์ ดยชอบเหน็ ปานนน้ั กบั เพอ่ื นรว่ มประพฤตพิ รหมจรรยอ์ ยู่ ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ นี้ก็ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน เป็นเหตุก่อ ความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อสงเคราะห์ เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความ พรอ้ มเพรยี งกนั เพอ่ื เปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ฯ ดกู อ่ นอานนท์ นแ้ี ล ธรรม ๖ อยา่ ง เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความระลกึ ถงึ กนั เปน็ เหตกุ อ่ ความรกั กอ่ ความเคารพ เปน็ ไปเพอ่ื สงเคราะหก์ นั เพอ่ื ไมว่ วิ าทกนั เพอ่ื ความพรอ้ มเพรยี งกนั เพอ่ื เปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั . อปรหิ านยิ ธรรม (การเปน็ อยทู่ ไ่ี มเ่ สอ่ื ม) แบบท่ี ๑ (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๒๓ / ๒๑ / ๒๑ ) ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลาย จักหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ประชมุ กนั ใหม้ ากพอ อยเู่ พยี งใด, ความเจรญิ กเ็ ปน็ สง่ิ ทภ่ี กิ ษทุ ง้ั หลายหวงั ได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนน้ั .

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๙๗ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จกั พรอ้ มเพรยี งกนั เขา้ ประชมุ จกั พรอ้ มเพรยี งกนั เลกิ ประชมุ จกั พรอ้ มเพรยี งกนั ทำกจิ ทส่ี งฆจ์ ะตอ้ งทำ อยู่ เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยเู่ พยี งนน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จกั ไมบ่ ญั ญตั สิ ง่ิ ทไ่ี มเ่ คยบญั ญตั ิ จกั ไม่ เพกิ ถอนสง่ิ ทบ่ี ญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ จกั สมาทานศกึ ษาในสกิ ขาบททบ่ี ญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ อย่างเคร่งครัด อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จกั สกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู า ภกิ ษทุ เ่ี ปน็ เถระ มพี รรษายกุ าล บวชนาน เปน็ บดิ าสงฆ์ เปน็ ผนู้ ำสงฆ์ และตน จกั ตอ้ งเขา้ ใจตวั วา่ ตอ้ งเชอ่ื ฟง้ ถอ้ ยคำของทา่ นเหลา่ นน้ั อยเู่ พยี งใด, ความเจรญิ กเ็ ปน็ สง่ิ ทภ่ี กิ ษทุ ง้ั หลายหวงั ได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จกั ไมล่ อุ ำนาจแกต่ ณั หา ซง่ึ เปน็ ตวั เหตุ กอ่ ใหเ้ กดิ ภพใหม่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ อยเู่ พยี งใด, ความเจรญิ กเ็ ปน็ สง่ิ ทภ่ี กิ ษทุ ง้ั หลาย หวงั ได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนน้ั . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลาย จักมีใจจดจ่อในเสนาสนะป่า อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยเู่ พยี งนน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จกั เขา้ ไปตง้ั สตไิ วอ้ ยา่ งมน่ั เหมาะวา่ “ทำไฉนหนอ ขอเพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยกัน ซึ่งมีศีลเป็นที่รัก ยังไม่มา ขอให้มา, ที่มาแล้ว ขอให้อยู่เป็นสุขเถิด” ดังนี้ อยู่เพียงใด, ความเจรญิ กเ็ ปน็ สง่ิ ทภ่ี กิ ษทุ ง้ั หลายหวงั ได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ธรรมอนั ไมเ่ ปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความเสอ่ื มเจด็ ประการเหลา่ น้ี ยงั คงดำรงอยไู่ ดใ้ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย และพวกเธอกย็ งั เหน็ พอ้ งตอ้ งกนั ในธรรมเจด็ ประการเหล่านี้ อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนน้ั .

๓๙๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อปรหิ านยิ ธรรม (การเปน็ อยทู่ ไ่ี มเ่ สอ่ื ม) แบบทส่ี อง (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๒๓ / ๒๒ / ๒๓ ) ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลาย จักไม่เป็นผู้พอใจในการทำงาน ก่อสร้าง ไม่เป็นผู้ประกอบความเป็นผู้พอใจในการทำงานก่อสร้าง อยู่ เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยเู่ พยี งนน้ั . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลาย จักไม่เป็นผู้พอใจในการคุย ไมป่ ระกอบความเปน็ ผพู้ อใจในการคยุ อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ ภกิ ษทุ ง้ั หลายหวงั ได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนน้ั . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลาย จักไม่เป็นผู้พอใจในการนอน ไมป่ ระกอบความเปน็ ผชู้ อบใจในการนอน อยเู่ พยี งใด, ความเจรญิ กเ็ ปน็ สง่ิ ท่ี ภกิ ษทุ ง้ั หลายหวงั ได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนน้ั . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลาย จักไม่เป็นผู้พอใจในการจับกลุ่ม คลุกคลีกัน ไม่ประกอบความเป็นผู้พอใจในการจับกลุ่มคลุกคลีกัน อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยเู่ พยี งนน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จกั ไมเ่ ปน็ ผมู้ คี วามปรารถนาอนั เลว ทราม ไมล่ อุ ำนาจแกค่ วามปรารถนาอนั เลวทราม อยเู่ พยี งใด, ความเจรญิ กเ็ ปน็ สง่ิ ทภ่ี กิ ษทุ ง้ั หลายหวงั ได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนน้ั . ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลาย จักไม่เป็นผู้มีมิตรชั่ว สหายชั่ว เพอ่ื นชว่ั อยเู่ พยี งใด, ความเจรญิ กเ็ ปน็ สง่ิ ทภ่ี กิ ษทุ ง้ั หลายหวงั ได้ ไมม่ คี วาม เสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จกั ไมเ่ ปน็ ผหู้ ยดุ เสยี ในระหวา่ งเนอ่ื ง จากไดบ้ รรลคุ ณุ วเิ ศษสกั เลก็ นอ้ ยแลว้ อยเู่ พยี งใด, ความเจรญิ กเ็ ปน็ สง่ิ ทภ่ี กิ ษุ ทง้ั หลายหวงั ได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนน้ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ธรรมอนั ไมเ่ ปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความเสอ่ื มเจด็ ประการเหลา่ น้ี

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๓๙๙ ยงั คงดำรงอยไู่ ดใ้ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย และพวกเธอกย็ งั เหน็ พอ้ งตอ้ งกนั ในธรรมเจด็ ประการเหล่านี้ อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย อยเู่ พยี งนน้ั . หลักใหญ่สำหรับอ้างเพื่อสอบสวนเทียบเคียงพระธรรมวินัย (มหาปเทส ๔ พระไตรปฎิ กแปลไทย มจร. ๑๔ / ๕๓ / ๔๑) ๑. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้าพเจ้า ไดส้ ดบั รบั มาเฉพาะพระพกั ตรพ์ ระผมู้ พี ระภาควา่ “นเ้ี ปน็ ธรรม นเ้ี ปน็ วนิ ยั นี้เป็นคำสอนของพระศาสดา”... ๒. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมี สงฆ์อยู่พร้อมด้วยพระเถระ พร้อมด้วยปาโมกข์ ข้าพเจ้าได้สดับเฉพาะ หนา้ สงฆน์ น้ั วา่ “นเ้ี ปน็ ธรรม นเ้ี ปน็ วนิ ยั นเ้ี ปน็ คำสอนของพระศาสดา”... ๓. (หากม)ี ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นก้ี ลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ในอาวาสชอ่ื โนน้ มี ภกิ ษผุ เู้ ปน็ เถระอยจู่ ำนวนมากเปน็ พหสู ตู ร เรยี นคมั ภรี ์ ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาตกิ า ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั เฉพาะหนา้ พระเถระเหลา่ นน้ั วา่ “นเ้ี ปน็ ธรรม นเ้ี ปน็ วนิ ยั นเ้ี ปน็ คำสอนของพระศาสดา”... ๔. (หากม)ี ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นก้ี ลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ในอาวาสชอ่ื โนน้ มี ภกิ ษผุ เู้ ปน็ เถระอยรู่ ปู หนง่ึ เปน็ พหสู ตู ร เรยี นคมั ภรี ์ ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับเฉพาะหน้าพระเถระรูปนั้นว่า “นี้เป็นธรรม นเ้ี ปน็ วนิ ยั นเ้ี ปน็ คำสอนของพระศาสดา”... เธอทง้ั หลายยงั ไมพ่ งึ ชน่ื ชม ยงั ไมพ่ งึ คดั คา้ นคำกลา่ วของผนู้ น้ั พงึ เรยี น บทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วพึงสอบดูในพระสูตร เทียบดูในวินัย ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ไม่ได้ เที่ยบเข้าในวินัย ก็ไม่ได้ พึงลงสันนิษฐานว่า “นี้มิใช่พระดำรัสของพระผู้มีพระภาค พระองคน์ น้ั แนน่ อน และภกิ ษนุ ร้ี บั มาผดิ ” เธอทง้ั หลายพงึ ทง้ิ คำนน้ั เสยี ถ้าบทพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ได้

๔๐๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก พึงลงสันนิษฐานว่า “นี้เป็นพระดำรัส ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น แนน่ อน และภกิ ษนุ น้ั รบั มาดว้ ยด”ี เธอทง้ั หลาย พงึ จำมหาปเทส..นไ้ี ว้ ทรงเตอื นใหส้ ามคั คี มสี ติ ปญั ญาเมอ่ื อยรู่ ว่ มกนั (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๒๐ / ๕๒๒ / ๒๙๔) “เพราะการอยู่ร่วมกัน จึงรู้จักกันได้ว่า คนนี้มีความ ปรารถนาลามก มกั โกรธ มกั ลบหลคู่ ณุ ทา่ น หวั ดอ้ื ตตี น เสมอทา่ น มคี วามรษิ ยา มคี วามตระหน่ี และโออ้ วด. ในทา่ มกลางชน เขาเปน็ คนมวี าจาหวาน ปานสมณะทด่ี พี ดู ; แต่ในที่ลับคน ย่อมทำสิ่งที่คนชั่ว ซึ่งมีความเห็นต่ำทราม ไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื ระเบยี บ พดู จาปลน้ิ ปลอ้ น โปป้ ด เขาทำกนั ทกุ อยา่ ง ทุกคน พึงร่วมมือกันกำจัดเขาออกไปเสีย, ทุกคนพึง ชว่ ยกนั ทง้ึ ถอนบคุ คลทเ่ี ปน็ ดจุ ตน้ ขา้ วผนี น้ั ทง้ิ , พงึ ชว่ ยกนั ขบั คน กลวงเป็นโพรงไปให้พ้น, พึงช่วยกันคัดเอาคนที่มิใช่สมณะ แตย่ งั อวดอา้ งตนวา่ เปน็ สมณะ ออกทง้ิ เสยี ดจุ ชาวนาโรย ขา้ วเปลอื กกลางลม เพอ่ื คดั เอาขา้ วลบี ออกทง้ิ เสยี ฉะนน้ั . อนง่ึ คนเรา เมอ่ื มกี ารอยรู่ ว่ มกนั กบั คนทส่ี ะอาด หรอื คนทไ่ี มส่ ะอาดกต็ าม ตอ้ งมสี ตกิ ำกบั อยดู่ ว้ ยเสมอ, แตน่ น้ั พงึ สามคั คตี อ่ กนั มปี ญั ญาทำทส่ี ดุ ทกุ ขแ์ หง่ ตนเถดิ ”. หลักการเลือกสถานที่และบุคคลที่ควรเสพไม่ควรเสพ (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๑๒ / ๒๓๕ / ๒๑๒) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี เขา้ ไปอาศยั วนปตั ถ์ (ปา่ ทบึ ) แหง่ ใด แหง่ หนง่ึ อย,ู่ สตทิ ย่ี งั ตง้ั ขน้ึ ไมไ่ ด้ กไ็ มต่ ง้ั ขน้ึ ได,้ จติ ทย่ี งั ไมต่ ง้ั มน่ั กไ็ มต่ ง้ั มน่ั ,

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๔๐๑ อาสวะทย่ี งั ไมส่ น้ิ กไ็ มถ่ งึ ความสน้ิ , และอนตุ ตรโยคกั เขมธรรมทย่ี งั ไมบ่ รรลกุ ไ็ ม่ บรรล,ุ ทง้ั จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ คลิ านปจั จยเภสชั ชบรขิ าร อนั บรรพชติ พงึ แสวงหามาเพอ่ื เปน็ บรขิ ารของชวี ติ กห็ ามาไดโ้ ดยยาก, ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษนุ น้ั พจิ ารณาเหน็ โดยประจกั ษด์ งั นแ้ี ลว้ ไมว่ า่ จะเปน็ เวลากลางวนั หรอื กลางคนื พงึ หลกี ไปเสยี จากวนปตั ถน์ น้ั , อยา่ อยเู่ ลย. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี เขา้ ไปอาศยั วนปตั ถ์ (ปา่ ทบึ ) แหง่ ใด แหง่ หนง่ึ อย,ู่ สตทิ ย่ี งั ตง้ั ขน้ึ ไมไ่ ด้ กไ็ มต่ ง้ั ขน้ึ ได,้ จติ ทย่ี งั ไมต่ ง้ั มน่ั กไ็ มต่ ง้ั มน่ั , อาสวะทย่ี งั ไมส่ น้ิ กไ็ มถ่ งึ ความสน้ิ , และอนตุ ตรโยคกั เขมธรรมทย่ี งั ไมบ่ รรลกุ ไ็ ม่ บรรล,ุ แตว่ า่ จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ คลิ านปจั จยเภสชั ชบรขิ าร อนั บรรพชติ พงึ แสวงหามาเพอ่ื เปน็ บรขิ ารของชวี ติ หามาไดโ้ ดยไมย่ าก, ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษนุ น้ั พจิ ารณาเหน็ โดยประจกั ษด์ งั นแ้ี ลว้ คดิ วา่ “เราเปน็ ผอู้ อกจากเรอื นบวชเพราะเหตุ แหง่ จวี รกห็ ามไิ ด้ เพราะเหตแุ หง่ บณิ ฑบาตกห็ ามไิ ด้ เพราะเหตแุ หง่ เสนาสนะ กห็ ามไิ ด้ เพราะเหตแุ หง่ คลิ านปจั จยเภสชั ชบรขิ ารกห็ ามไิ ด”้ ; ครน้ั พจิ ารณาเหน็ ดงั นแ้ี ลว้ ภกิ ษนุ น้ั พงึ หลกี ไปเสยี จากวนปตั ถน์ น้ั , อยา่ อยเู่ ลย. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี เขา้ ไปอาศยั วนปตั ถ์ (ปา่ ทบึ ) แหง่ ใด แหง่ หนง่ึ อย,ู่ สตทิ ย่ี งั ตง้ั ขน้ึ ไมไ่ ดก้ ต็ ง้ั ขน้ึ ได,้ จติ ทย่ี งั ไมต่ ง้ั มน่ั กต็ ง้ั มน่ั , อาสวะ ทย่ี งั ไมส่ น้ิ กถ็ งึ ความสน้ิ , และอนตุ ตรโยคกั เขมธรรมทย่ี งั ไมบ่ รรลกุ บ็ รรล,ุ แตจ่ วี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ คลิ านปจั จยเภสชั ชบรขิ าร อนั บรรพชติ พงึ แสวงหามาเพอ่ื เปน็ บรขิ ารของชวี ติ นน้ั หามาไดโ้ ดยยาก, ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษนุ น้ั พจิ ารณาเหน็ โดยประจักษ์ดังนี้แล้วคิดว่า “เรามิได้ออกจากเรือนบวช เพราะเหตุแห่งจีวร เพราะเหตแุ หง่ บณิ ฑบาต เพราะเหตแุ หง่ เสนาสนะ เพราะเหตแุ หง่ คลิ านปจั จย เภสชั ชบรขิ าร”; ครน้ั พจิ ารณาเหน็ ดงั นแ้ี ลว้ ภกิ ษนุ น้ั พงึ อยใู่ นวนปตั ถน์ น้ั , อย่าหลีกไปเสียเลย. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี เขา้ ไปอาศยั วนปตั ถแ์ หง่ ใด แหง่ หนง่ึ อย,ู่ สตทิ ย่ี งั ตง้ั ขน้ึ ไมไ่ ดก้ ต็ ง้ั ขน้ึ ได,้ จติ ทย่ี งั ไมต่ ง้ั มน่ั กต็ ง้ั มน่ั , อาสวะทย่ี งั ไมส่ น้ิ กถ็ งึ ความสน้ิ , และอนตุ ตรโยคกั เขมธรรมทย่ี งั ไมบ่ รรลกุ บ็ รรล,ุ ทง้ั จวี ร บณิ ฑบาต

๔๐๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เสนาสนะ คลิ านปจั จยเภสชั ชบรขิ าร อนั บรรพชติ พงึ แสวงหามาเพอ่ื เปน็ บรขิ าร ของชีวิตนั้น หามาได้โดยไม่ยาก, ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพิจารณาเห็นโดย ประจกั ษด์ งั นแ้ี ลว้ พงึ อยใู่ นวนปตั ถน์ น้ั , จนตลอดชวี ติ . อยา่ หลกี ไปเสยี เลย. เพียรแต่พอดี (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๒๒ / ๓๒๖ / ๔๑๘) ดกู อ่ นโสณะ ! ขอ้ นก้ี เ็ ปน็ เชน่ นน้ั แล กลา่ วคอื ความเพยี รทบ่ี คุ คล ปรารภจัดเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน, ที่ย่อหย่อนเกินไป ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความเกยี จครา้ น. โสณะ ! เพราะเหตนุ น้ั แล เธอจงตง้ั ความ เพียรแต่พอดี, จงเข้าใจความที่อินทรีย์ทั้งหลาย* ต้องเป็นธรรมชาติ เสมอๆ กนั , จงกำหนดหมายในความพอดนี น้ั ไวเ้ ถดิ . แต่ก็ไม่ให้เนิ่นช้า (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๒๓ / ๑๒๐ / ๒๓๓) ดลี ะ ดลี ะ อนรุ ทุ ธะ ! ดลี ะ ทเ่ี ธอตรกึ แลว้ ซง่ึ มหาปรุ สิ วติ ก วา่ :- “๑. ธรรมะน้ี สำหรบั ผมู้ คี วามปรารถนานอ้ ย, ธรรมะน้ี มใิ ชส่ ำหรบั ผมู้ ี ปรารถนาใหญ่. ๒. ธรรมะน้ี สำหรบั ผสู้ นั โดษ, ธรรมะน้ี มใิ ชส่ ำหรบั ผไู้ มส่ นั โดษ. ๓. ธรรมะน้ี สำหรบั ผสู้ งบสงดั , ธรรมะน้ี มใิ ชส่ ำหรบั ผยู้ นิ ดดี ว้ ยการ คลกุ คลใี นหม.ู่ ๔. ธรรมะน้ี สำหรบั ผปู้ รารภความเพยี ร, ธรรมะน้ี มใิ ชส่ ำหรบั ผเู้ กยี จ คร้าน. ๕. ธรรมะน้ี สำหรบั ผมู้ สี ตอิ นั เขา้ ไปตง้ั ไว,้ ธรรมะน้ี มใิ ชส่ ำหรบั ผมู้ ี สติอันหลงลืม. ๖. ธรรมะน้ี สำหรบั ผมู้ จี ติ ตง้ั มน่ั , ธรรมะน้ี มใิ ชส่ ำหรบั ผมู้ จี ติ ไมต่ ง้ั มน่ั * อนิ ทรยี ท์ ง้ั หลายในทน่ี ค้ี อื สทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญั ญา.

พระอริยวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเล่มอื่นๆ ๔๐๓ ๗. ธรรมะน้ี สำหรบั ผมู้ ปี ญั ญา, ธรรมะน้ี มใิ ชส่ ำหรบั ผทู้ รามปญั ญา” ดงั น้ี อนรุ ทุ ธะ ! แตเ่ ธอควรจะตรกึ มหาปรุ สิ วติ กขอ้ ท่ี ๘ นด้ี ว้ ย วา่ :- “๘. ธรรมะน้ี สำหรบั ผพู้ อใจในความไมเ่ นน่ิ ชา้ ผยู้ นิ ดใี นความ ไมเ่ นน่ิ ชา้ , ธรรมะน้ี มใิ ชส่ ำหรบั ผพู้ อใจในความเนน่ิ ชา้ ผยู้ นิ ดใี นความ เนน่ิ ชา้ ” ดงั น.้ี ภิกษุเพียรตลอดเวลาทำอย่างไร ? (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๒๑ / ๑๑ / ๑๗) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เมอ่ื ภกิ ษุ กำลงั เดนิ อย.ู่ .. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เมอ่ื ภกิ ษุ กำลงั ยนื อย.ู่ .. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เมอ่ื ภกิ ษุ กำลงั นง่ั อย.ู่ .. ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อภิกษุ กำลังนอนอยู่ ถ้าเกิดครุ่นคิดด้วยความ ครนุ่ คดิ ในกาม หรอื ครนุ่ คดิ ดว้ ยความครนุ่ คดิ ในทางเดอื ดแคน้ หรอื ครนุ่ คดิ ดว้ ย ความรนุ่ คดิ ในทางทำผอู้ น่ื ใหล้ ำบากเปลา่ ๆ ขน้ึ มา, และภกิ ษกุ ไ็ มร่ บั เอาความ ครนุ่ คดิ นน้ั ไว้ สละทง้ิ ไป ถา่ ยถอนออก ทำใหส้ น้ิ สดุ ลงไปจนไมม่ เี หลอื ; ภกิ ษทุ ่ี เปน็ เชน่ น้ี แมก้ ำลงั (เดนิ อย.ู่ . ยนื อย.ู่ . นง่ั อย.ู่ .)นอนอยู่ กเ็ รยี กวา่ เปน็ ผทู้ ำ ความเพยี รเผากเิ ลส รสู้ กึ กลวั ตอ่ สง่ิ ลามก เปน็ คนปรารภความเพยี ร อทุ ศิ ตนในการเผากเิ ลส อยเู่ นอื งนจิ แล. อานสิ งสส์ ำหรบั ผทู้ ำศลี ใหส้ มบรู ณ(์ บางสว่ นเปน็ บทสวดทา้ ยปาตโิ มกข)์ (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๑๒ / ๗๓ / ๕๘) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เธอทง้ั หลาย จงมศี ลี สมบรู ณ์ มปี าตโิ มกขส์ มบรู ณ์ อยเู่ ถดิ . พวกเธอทง้ั หลาย จงสำรวมดว้ ยปาตโิ มกขสงั วร สมบรู ณด์ ว้ ย

๔๐๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก มารยาทและโคจรอยู่เถิด; จงเป็นผู้เห็นภัยในโทษทั้งหลายที่มีประมาณ นอ้ ย สมาทานศกึ ษาในสกิ ขาบททง้ั หลายเถดิ . (ตอนขา้ งตน้ นเ้ี ปน็ คำแปลบางสว่ นบทสวดทา้ ยปาตโิ มกข)์ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ถา้ ภกิ ษหุ ากจำนงวา่ “เราพงึ เปน็ ทร่ี กั ทเ่ี จรญิ ใจ ท่ี เคารพ ทย่ี กยอ่ ง ของเพอ่ื นผปู้ ระพฤตพิ รรหมจรรยด์ ว้ ยกนั ทง้ั หลาย” ดงั นแ้ี ลว้ , เธอพงึ ทำใหส้ มบรู ณใ์ นศลี ทง้ั หลาย พงึ ตามประกอบในธรรมเปน็ เครอ่ื งสงบแหง่ จติ ในภายใน เปน็ ผไู้ มเ่ หนิ หา่ งในฌาน ประกอบพรอ้ มดว้ ยวปิ สั สนา และใหว้ ตั ร แหง่ ผอู้ ยสู่ ญุ ญาคารทง้ั หลายเจรญิ งอกงามเถดิ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ถา้ ภกิ ษหุ ากจำนงวา่ “เราพงึ เปน็ ผมู้ ลี าภดว้ ยบรขิ ารคอื จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคลิ านปจั จยเภสชั บรขิ ารทง้ั หลาย” ดงั นก้ี ด็ ,ี ... ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำนงว่า “เราบริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคลิ านปจั จยเภสชั บรขิ ารของทายกเหลา่ ใด, การกระทำเหลา่ นน้ั พงึ มผี ลมาก มอี านสิ งสม์ ากแกท่ ายกเหลา่ นน้ั ” ดงั นก้ี ด็ ,ี ... ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ถา้ ภกิ ษหุ ากจำนงวา่ “ญาตสิ าโลหติ ทง้ั หลายซง่ึ ตาย จากกนั ไปแลว้ มจี ติ เลอ่ื มใส ระลกึ ถงึ เราอย,ู่ ขอ้ นน้ั จะพงึ มผี ลมาก มอี านสิ งส์ มากแกเ่ ขาเหลา่ นน้ั ” ดงั นก้ี ด็ ,ี ... ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ถา้ ภกิ ษหุ ากจำนงวา่ “เราพงึ อดทนไดซ้ ง่ึ ความไมย่ นิ ดี และ ความยนิ ด,ี อนง่ึ ความไมย่ นิ ดอี ยา่ เบยี ดเบยี นเรา, เราพงึ ครอบงำยำ่ ยี ความไมย่ นิ ดี ซง่ึ บงั เกดิ ขน้ึ แลว้ อยเู่ ถดิ ” ดงั นก้ี ด็ ,ี ... ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ถา้ ภกิ ษหุ ากจำนงวา่ “เราพงึ อดทนความขลาดกลวั ได,้ อนึ่ง ความหวาดกลัวอย่าเบียดเบียนเรา, เราพึงครอบงำย่ำยีความหวาดกลัว ทบ่ี งั เกดิ ขน้ึ แลว้ อยเู่ ถดิ ” ดงั นก้ี ด็ ,ี ... ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ถา้ ภกิ ษหุ ากจำนงวา่ “เราพงึ ไดต้ ามตอ้ งการ ไดไ้ มย่ าก ไดไ้ มล่ ำบาก ซง่ึ ฌานทง้ั ส่ี อนั เปน็ ไปในจติ อนั ยง่ิ เปน็ ทฏิ ฐธรรมสขุ วหิ าร” ดงั น้ี กด็ ,ี ... ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ถา้ ภกิ ษหุ ากจำนงวา่ “วโิ มกขเ์ หลา่ ใด กา้ วลว่ งรปู เสยี แลว้ เปน็ ธรรมไมม่ รี ปู เปน็ ของสงบ, เราพงึ ถกู ตอ้ งวโิ มกขเ์ หลา่ นน้ั ดว้ ยนามกาย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook