Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน (อริยวินัย)

พุทธวจน (อริยวินัย)

Published by Sarapee District Public Library, 2020-06-09 00:16:23

Description: พุทธวจน (อริยวินัย)

Keywords: พุทธวจน,ธรรมะ

Search

Read the Text Version

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๐๕ อนาบัติ ๑.ภกิ ษมุ งุ ๒-๓ ชน้ั ๒.ภกิ ษมุ งุ หยอ่ นกวา่ ๒-๓ ชน้ั ๓.ภกิ ษสุ รา้ งถำ้ ๔.คหู า ๕.กฎุ มี งุ หญา้ ๖.ภกิ ษสุ รา้ งกฎุ เี พอ่ื ภกิ ษอุ น่ื ๗.ภกิ ษสุ รา้ งดว้ ยทรพั ยข์ องตน ๘.ยกอาคารอนั เปน็ ทอ่ี ยเู่ สยี ภกิ ษสุ รา้ งทกุ อยา่ งไมต่ อ้ งอาบตั ิ ๙.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๐.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ มหาอำมาตย์ผู้อุปัฏฐากของพระฉันนะให้สร้างวิหารถวายพระ เมื่อ เสรจ็ แลว้ พระฉนั นะอำนวยการพอกหลงั คาพอกปนู บอ่ ย ๆ วหิ ารกเ็ ลยพงั ลงมา พระฉันนะเก็บหญ้า เก็บไม้ ได้ทำนาข้าวของพราหมณ์ผู้หนึ่งให้เสียหาย พราหมณย์ กโทษตเิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ถา้ ภกิ ษจุ ะให้ ทำวิหาร พึงยืนในที่ไม่มีของเขียว(พืชพันธุ์ไม้)อำนวยการ พอกหลังคาไม่เกิน ๓ ชั้น จนจรดกรอบประตู เพื่อตั้งบานประตูได้ เพื่อทาสีหน้าต่างได้ ถา้ ทำใหเ้ กนิ กวา่ นน้ั แมย้ นื ในทป่ี ราศจากของเขยี ว ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ ปาจติ ตยี ์ ภตู คามวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๐ โย ปะนะ ภกิ ขุ ชานงั สปั ปาณะกงั อทุ ะกงั ตณิ งั วา..... “อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ว่าน้ำมีตัวสัตว์ รดก็ดี ให้รดก็ดี ซง่ึ หญา้ กด็ ี ดนิ กด็ ี เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” อนาบัติ ๑.ภิกษุไม่แกล้ง ๒.ภิกษุไม่มีสติ ๓.ภิกษุไม่รู้ ๔.ภิกษุวิกลจริต ๕.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล.

๑๐๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรอ่ื งตน้ บญั ญตั ิ ภิกษุชาวเมืองอาฬวี ทำการก่อสร้าง รู้อยู่ว่าน้ำมีตัวสัตว์เอาน้ำนั้น รดหญ้าบ้าง ดินบ้าง ใช้ให้รดบ้าง เป็นที่ติเตียนของภิกษุทั้งหลาย พระผู้มี พระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุรู้อยู่เอาน้ำมีตัวสัตว์รดหญ้า หรือดิน หรอื ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื รด ตอ้ งปาจติ ตยี .์ องค์แห่งอาบัติ ๑.น้ำมีตัวสัตว์ ๒.รู้อยู่ว่าสัตว์จะตายด้วยการรดเท ๓.น้ำคงจะแห้งไป ๔.รดหญ้าเป็นต้น ด้วยกิจ อันหนึ่งเว้นจากวธกเจตนา(วธกเจตนา : เจตนาฆ่า) พร้อมด้วยองค์ ๔ ดังนี้ จึงเป็นปาจิตตีย์ (บุพพสิกขาวรรณนาหน้า ๑๙๙) ๓.โอวาทวรรค วรรคว่าด้วยการให้โอวาท เปน็ วรรคท่ี ๓ มี ๑๐ สกิ ขาบท ปาจติ ตยี ์ โอวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑ โย ปะนะ ภกิ ขุ อะสมั มะโต ภกิ ขนุ โิ ย โอวะเทยยะ..... “อนึ่ง ภิกษุใดไม่ได้รับสมมติ กล่าวสอนพวกภิกษุณี เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษใุ หอ้ เุ ทศ ๒.ภกิ ษใุ หป้ รปิ จุ ฉา ๓.ภกิ ษอุ นั ภกิ ษณุ กี ลา่ ววา่ นมิ นต์ ทา่ นสวดเถดิ เจา้ ขา้ ดงั น้ี สวดอยู่ ๔.ภกิ ษถุ ามปญั หา ๕.ภกิ ษถุ กู ถามปญั หา แล้วแก้ ๖.ภกิ ษุกล่าวสอนเพือ่ ประโยชนแ์ กผ่ อู้ น่ื อยู่ แต่พวกภกิ ษุณีฟงั อยูด่ ว้ ย ๑๗๐.ภ.ภิกกิ ษษุกอุ ลา่าทวกิ สมั อมนกิ สะิกขไมมาต่ นอ้ างอา๘บ.ตัภแิ ิกลษ. ุกล่าวสอนสามเณรี ๙.ภิกษุวิกลจริต เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ เหน็ ภกิ ษอุ น่ื ๆ สอนนางภกิ ษณุ แี ลว้ ไดร้ บั ของถวาย

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๐๗ ต่าง ๆ อยากจะมีลาภบ้าง จึงแจ้งความประสงค์แก่นางภิกษุณีทั้งหลาย เมื่อ นางภิกษุณีไปสดับโอวาทก็สอนเพียงเล็กน้อย แล้วชวนสนทนาเรื่องไร้สาระ โดยมาก พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุที่ไม่ได้รับสมมติ จากสงฆ์ สอนนางภิกษุณีต้องอาบัติปาจิตตีย์ ภายหลังภิกษุฉัพพัคคีย์หาทาง สมมติกันเองในที่นอกสีมา พระผู้มีพระภาคจึงทรงกำหนดคุณสมบัติเพิ่มเติม สำหรับภิกษุ ที่จะสอนนาง ภิกษุณีถึง ๘ ข้อ โดยกำหนดให้มีพรรษาถึง ๒๐ หรอื เกนิ กวา่ เปน็ ขอ้ สดุ ทา้ ย. ปาจติ ตยี ์ โอวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๒ สมั มะโตปิ เจ ภิกขุ อัตถังคะเต สรุ ิเย ภิกขนุ ิโย..... “ถ้าภิกษุ แม้ได้รับสมมติแล้ว เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว กล่าวสอนพวกภิกษุณี เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษใุ หอ้ เุ ทศ ๒.ภกิ ษใุ หป้ รปิ จุ ฉา ๓.ภกิ ษอุ นั ภกิ ษณุ กี ลา่ ววา่ นมิ นต์ ทา่ นสวดเถดิ เจา้ ขา้ ดงั น้ี สวดอยู่ ๔.ภกิ ษถุ ามปญั หา ๕.ภกิ ษถุ กู ถามปญั หา แลว้ แก้ ๖.ภกิ ษกุ ลา่ วสอน เพอ่ื ประโยชนแ์ กผ่ อู้ น่ื อยู่ แตพ่ วกภกิ ษณุ ฟี งั อยดู่ ว้ ย ๗.ภิกษุกล่าวสอนสิกขมานา ๘.ภิกษุกล่าวสอนสามเณรี ๙.ภิกษุวิกลจริต ๑๐.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระจูฬปันถกสอนนางภิกษุณีจนค่ำ มนุษย์ทั้งหลายติเตียน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า เมื่อพระอาทิตย์ตกแล้ว ภกิ ษสุ อนนางภกิ ษณุ ี ตอ้ งปาจติ ตยี .์

๑๐๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ปาจติ ตยี ์ โอวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขนุ ูปัสสะยงั อุปะสงั กะมติ ๎วา..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด เขา้ ไปสทู่ อ่ี าศยั แหง่ ภกิ ษณุ แี ลว้ สง่ั สอนพวก ภิกษุณี เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์. สมัยในเรื่องนั้น ดังนี้คือ ภกิ ษณุ อี าพาธ นเ้ี ปน็ สมยั ในเรอ่ื งนน้ั .” อนาบัติ ๑.ภกิ ษสุ ง่ั สอนในสมยั ๒.ภกิ ษใุ หอ้ เุ ทศ ๓.ภกิ ษใุ หป้ รปิ จุ ฉา ๔.ภกิ ษุ อนั ภกิ ษณุ ี กลา่ ววา่ นมิ นตท์ า่ นสวดเถดิ เจา้ ขา้ ดงั น้ี สวดอยู่ ๕.ภกิ ษถุ ามปญั หา ๖.ภกิ ษถุ กู ถามปญั หา แลว้ แก้ ๗.ภกิ ษสุ ง่ั สอนเพอ่ื ประโยชนแ์ หง่ ผอู้ น่ื แตภ่ กิ ษณุ ี ฟงั อยดู่ ว้ ย ๘.ภกิ ษสุ ง่ั สอนสกิ ขมานา ๙.ภกิ ษสุ ง่ั สอนสามเณรี ๑๐.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๑.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ เขา้ ไปสอนนางภกิ ษณุ ถี งึ ทอ่ี ยู่ นางภกิ ษณุ ที ง้ั หลาย ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุไปสอนนางภิกษุณี ถงึ ทอ่ี ยู่ ตอ้ งปาจติ ตยี ์ ภายหลงั ทรงผอ่ นผนั ใหเ้ มอ่ื นางภกิ ษณุ เี จบ็ ไข.้ ปาจติ ตยี ์ โอวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๔ โย ปะนะ ภกิ ขุ เอวงั วะเทยยะ อามสิ ะเหตุ ภกิ ขู..... “อนึ่ง ภิกษุใด กล่าวอย่างนี้ว่า พวกภิกษุสั่งสอน พวกภกิ ษณุ ี เพราะเหตอุ ามสิ เปน็ ปาจติ ตยี .์ ”

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๐๙ อนาบัติ ๑.ภิกษุผู้กล่าวแก่ภิกษุผู้สั่งสอนเพราะเหตุจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การกราบไหว้ การบชู า ตามปกติ ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ก์ ลา่ ววา่ พระเถระทง้ั หลายสอนนางภกิ ษณุ เี พราะเหน็ แก่ อามสิ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษพุ ดู วา่ ภกิ ษทุ ง้ั หลายสอน นางภกิ ษณุ เี พราะเหน็ แกอ่ ามสิ ตอ้ งปาจติ ตยี ์ ปาจติ ตยี ์ โอวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๕ โย ปะนะ ภกิ ขุ อญั ญาตกิ ายะ ภกิ ขนุ ยิ า จวี ะรงั ทะเทยยะ..... “อนึ่ง ภิกษุใด ให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เว้นไว้แต่ แลกเปลี่ยน เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ๒.ภิกษุแลกเปลี่ยน คือ เอาจีวรมีค่าน้อยแลก เปลย่ี นจวี รมคี า่ มาก หรอื เอาจวี รมคี า่ มากแลกเปลย่ี นจวี รมคี า่ นอ้ ย ๓.ภกิ ษณุ ถี อื วสิ าสะ ๔.ภกิ ษณุ ถี อื เอาเปน็ ของขอยมื ๕.ภกิ ษใุ หบ้ รขิ ารอน่ื เวน้ จวี ร ๖.ภกิ ษใุ หแ้ ก่ สกิ ขมานา ๗.ภกิ ษใุ หส้ ามเณรี ๘.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๙.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั ิ เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ใหจ้ วี รแกน่ างภกิ ษณุ ผี มู้ ใิ ชญ่ าติ มผี ตู้ เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาค

๑๑๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษใุ หจ้ วี รแกน่ างภกิ ษณุ ผี มู้ ใิ ชญ่ าติ เวน้ แตข่ อง แลกเปลย่ี น ตอ้ งปาจติ ตยี .์ ปาจติ ตยี ์ โอวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๖ โย ปะนะ ภกิ ขุ อญั ญาตกิ ายะ ภกิ ขนุ ยิ า จวี ะรงั สพิ เพยยะ วา... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด เยบ็ กด็ ี ใหเ้ ยบ็ กด็ ี ซง่ึ จวี ร เพอ่ื ภกิ ษณุ ผี มู้ ใิ ช่ ญาติ เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภิกษุเย็บเพื่อภิกษุณีผู้เป็นญาติ ๒.ภิกษุเย็บเองก็ดี ให้เย็บก็ดี ซึ่งบริขารอื่นเว้นจีวร ๓.ภิกษุเย็บเพื่อสิกขมานา ๔.ภิกษุเย็บเพื่อสามเณรี ๕.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๖.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระอุทายีเย็บจีวรให้นางภิกษุณี มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรง บญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษเุ ยบ็ เอง หรอื ใชผ้ อู้ น่ื ใหเ้ ยบ็ จวี รเพอ่ื นางภกิ ษณุ ผี มู้ ใิ ชญ่ าติ ต้องปาจิตตีย์. ปาจติ ตยี ์ โอวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๗ โย ปะนะ ภิกขุ ภกิ ขุนยิ า สทั ธิง สังวธิ ายะ เอกทั ธานะมัคคัง..... “อนึ่ง ภิกษุใดชักชวนกันแล้วเดินทางไกลด้วยกันกับ ภกิ ษณุ ี โดยทส่ี ดุ แมส้ น้ิ ระยะบา้ นหนง่ึ เวน้ ไวแ้ ตส่ มยั เปน็ ปาจติ ตยี ์ นส้ี มยั ในเรอ่ื งนน้ั ทางเปน็ ทจ่ี ะตอ้ งไปดว้ ยพวกเกวยี น รกู้ นั อยวู่ า่ เปน็ ทน่ี า่ รงั เกยี จ มภี ยั เฉพาะหนา้ นส้ี มยั ในเรอ่ื งนน้ั .”

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๑๑ อนาบัติ ๑.มสี มยั ๒.ไมไ่ ดช้ กั ชวนกนั ไป ๓.ภกิ ษณุ ชี กั ชวน ภกิ ษไุ มไ่ ดช้ กั ชวน ๔.ไปโดยมิได้นัดหมาย ๕.มอี นั ตราย ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์ชวนนางภิกษุณีเดินทางไกลร่วมกัน มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุชวนนางภิกษุณีเดินทางไกล ร่วมกัน แม้ชั่วระยะบ้านหนึ่งต้องปาจิตตีย์ ภายหลังทรงผ่อนผันให้เดินทาง รว่ มกนั ไดเ้ มอ่ื ทางนน้ั มภี ยั แตต่ อ้ งไปเปน็ คณะ. ปาจติ ตยี ์ โอวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๘ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภิกขุนิยา สทั ธิง สังวธิ ายะ เอกงั นาวัง อะภิรเู หยยะ..... “อนึ่ง ภิกษุใดชักชวนกันแล้วโดยสารเรือลำเดียวกับ ภกิ ษณุ ี ขน้ึ นำ้ ไปกด็ ี ลอ่ งนำ้ ไปกด็ ี เวน้ แตข่ า้ มฟาก เปน็ ปาจติ ตยี ์ อนาบัติ ๑.ข้ามฟาก ๒.ไม่ได้ชักชวนกันโดยสาร ๓.ภิกษุณีชักชวน ภิกษุ ไมไ่ ดช้ กั ชวน ๔.โดยสารเรอื โดยมไิ ดน้ ดั หมาย ๕.มอี นั ตราย ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภิกษุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ ชวนนางภกิ ษณุ ไี ปในเรอื ลำเดยี วกนั มผี ตู้ เิ ตยี น

๑๑๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษชุ วนนางภกิ ษณุ ลี งเรอื ลำเดยี วกนั ขน้ึ หรอื ลอ่ ง ตอ้ งปาจติ ตยี ์ ภายหลงั ทรงผอ่ นผนั ใหข้ า้ มฟากได.้ ปาจติ ตยี ์ โอวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ โย ปะนะ ภิกขุ ชานัง ภิกขนุ ปี ะริปาจติ ัง ปณิ ฑะปาตัง..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดรอู้ ยู่ ฉนั บณิ ฑบาตอนั ภกิ ษณุ แี นะนำใหถ้ วาย เว้นแต่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภิกษุฉันบิณฑบาตที่คฤหัสถ์ปรารภไว้ก่อน ๒.ภิกษุฉันบิณฑบาต อนั สกิ ขมานา แนะนำใหถ้ วาย ๓.ภกิ ษฉุ นั บณิ ฑบาตอนั สามเณรแี นะนำใหถ้ วาย ๔.ภกิ ษฉุ นั อาหารทกุ ชนดิ เวน้ โภชนะหา้ ๕.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๖.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ นางถุลลนันทาภิกษุณีเที่ยวไปสู่ตระกูล แนะนำให้เขาถวายอาหาร แก่พระเทวทัตกับพวก มีผู้ติเตียนพระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุรู้อยู่ฉันบิณฑบาตที่นางภิกษุณีแนะให้เขาถวาย ต้องปาจิตตีย์ ภายหลัง ทรงผ่อนผันให้ว่าถ้าคฤหัสถ์เขาปรารภไว้เองก่อนฉันได้. ปาจติ ตยี ์ โอวาทวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๐ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขนุ ยิ า สทั ธงิ เอโก เอกายะ ระโห..... “อนึ่ง ภิกษุใด ผู้เดียว สำเร็จการนั่งในที่ลับกับภิกษุณีผู้ เดียวเป็นปาจิตตีย์.”

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๑๓ อนาบัติ ๑.ภกิ ษมุ บี รุ ษุ ผรู้ เู้ ดยี งสาคนใดคนหนง่ึ อยเู่ ปน็ เพอ่ื น ๒.ภกิ ษยุ นื มไิ ดน้ ง่ั ๓.ภิกษุผู้มิได้มุ่งที่ลับ ๔.ภิกษุนั่งส่งใจไปในอารมณ์อื่น ๕.ภิกษุวิกลจริต ๖.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระอุทายีนั่งในที่ลับสองต่อสองกับนางภิกษุณีผู้เป็นอดีตภริยา ของตนเสมอ มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุนั่ง ในทล่ี บั สองตอ่ สองกบั ภกิ ษณุ ี ตอ้ งปาจติ ตยี .์ ๔.โภชนวรรค วรรควา่ ดว้ ย การฉนั อาหาร เปน็ วรรคท่ี ๔ มี ๑๐ สกิ ขาบท ปาจติ ตยี ์ โภชนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑ อะคลิ าเนนะ ภกิ ขนุ า เอโก อาวะสะถะปณิ โฑ ภญุ ชติ พั โพ..... “ภิกษุมิใช่ผู้อาพาธ พึงฉันอาหารในโรงทานได้ครั้งหนึ่ง ถ้าฉันยิ่งกว่านั้น เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษอุ าพาธ ๒.ภกิ ษไุ มอ่ าพาธฉนั ครง้ั เดยี ว ๓.ภกิ ษเุ ดนิ ทางไป หรอื เดินทางกลับ มาแวะฉัน ๔.เจ้าของนิมนต์ให้ฉัน ๕.ภิกษุฉันอาหารที่เขาจัดไว้ จำเพาะ ๖.ภกิ ษฉุ นั อาหารทเ่ี ขามไิ ดจ้ ดั ไวม้ ากมาย ๗.ภกิ ษฉุ นั อาหารทกุ ชนดิ เวน้ โภชนะหา้ ๘.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๙.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล.

๑๑๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์ไปฉันอาหารในโรงพักเดินทาง ที่คณะเจ้าของเขาจัด อาหารให้เป็นทานแก่คนเดินทางที่มาพัก แล้วเลยถือโอกาสไปพักและฉันเป็น ประจำ เป็นที่ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุพึงฉัน อาหารในโรงพกั เดนิ ทางเพยี งมอ้ื เดยี ว ถา้ ฉนั เกนิ กวา่ นน้ั ตอ้ งปาจติ ตยี ์ ภายหลงั ทรงผอ่ นผนั ใหภ้ กิ ษไุ ขซ้ ง่ึ เดนิ ทางตอ่ ไปไมไ่ หว ฉนั เกนิ มอ้ื เดยี วได.้ องค์แห่งอาบัติ ๑.เป็นก้อนข้าวในโรงทาน ๒.ไม่เป็นไข้ ๓.เฝ้าฉันอยู่พร้อมด้วยองค์ ๓ ดังนี้ จึงเป็นปาจิตตีย์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๐๕). ปาจติ ตยี ์ โภชนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๒ คะณะโภชะเน อญั ญตั ร๎ ะ สะมะยา, ปาจติ ตยิ งั . ตตั ถายงั สะมะโย..... “เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็นหมู่ นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวอาพาธ คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร คราวที่ทำจีวร คราวที่เดินทางไกล คราวที่โดยสารเรือไป คราวประชมุ ใหญ่ คราวภตั ของสมณะ นส้ี มยั ในเรอ่ื งนน้ั .” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ ฉนั เปน็ หมู่ คอื คราวทม่ี ภี กิ ษุ ๔ รปู อนั เขานมิ นตด์ ว้ ยโภชนะ ๕ (คอื ๑.ขา้ วสกุ ๒.ขนมสด ๓.ขนมแหง้ ๔.ปลา ๕.เนอ้ื ) อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ แลว้ ฉนั นช้ี อ่ื วา่ ฉนั เปน็ หม.ู่ บทวา่ เวน้ ไวแ้ ตส่ มยั คอื ยกเวน้ สมยั . ทช่ี อ่ื วา่ คราวอาพาธ คอื โดยทส่ี ดุ แมเ้ ทา้ แตก ภกิ ษคุ ดิ วา่ เปน็ คราว อาพาธแล้วฉันได้.

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๑๕ ทช่ี อ่ื วา่ คราวทเ่ี ปน็ ฤดถู วายจวี ร คอื เมอ่ื กฐนิ ยงั ไมไ่ ดก้ รานกำหนด ทา้ ยฤดฝู น ๑ เดอื น เมอ่ื กฐนิ กรานแลว้ ๕ เดอื น ภกิ ษคุ ดิ วา่ เปน็ คราวทเ่ี ปน็ ฤดู ถวายจวี ร แลว้ ฉนั ได.้ ที่ชื่อว่า คราวที่ทำจีวร คือ เมื่อภิกษุกำลังทำจีวรกันอยู่ ภิกษุคิดว่า เปน็ คราวทท่ี ำจวี รแลว้ ฉนั ได.้ ทช่ี อ่ื วา่ คราวเดนิ ทางไกล คอื ภกิ ษคุ ดิ วา่ จกั เดนิ ทางไปถงึ กง่ึ โยชน์ แลว้ ฉนั ได้ เมอ่ื จะไปกฉ็ นั ได้ มาถงึ แลว้ กฉ็ นั ได.้ ทช่ี อ่ื วา่ คราวโดยสารเรอื ไป คอื ภกิ ษคุ ดิ วา่ เราจกั โดยสารเรอื ไปแลว้ ฉนั ได้ เมอ่ื จะโดยสารไปกฉ็ นั ได้ โดยสารกลบั มาแลว้ กฉ็ นั ได.้ ทช่ี อ่ื วา่ คราวประชมุ ใหญ่ คอื คราวท่มี ภี กิ ษุ ๒-๓ รปู เทย่ี วบณิ ฑบาต พอเลี้ยงกัน แต่เมื่อมีรูปที่ ๔ มารวมด้วย ไม่พอเลี้ยงกัน ภิกษุคิดว่าเป็นคราว ประชมุ ใหญ่ แลว้ ฉนั ได.้ ทช่ี อ่ื วา่ คราวภตั ของสมณะ คอื คราวทม่ี ผี ใู้ ดผหู้ นง่ึ ซง่ึ นบั เนอ่ื งวา่ เปน็ นกั บวชทำภตั ตาหารถวาย ภกิ ษคุ ดิ วา่ เปน็ คราวภตั ของสมณะ แลว้ ฉนั ได.้ นอกจากสมยั ภกิ ษรุ บั วา่ จกั ฉนั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ กลนื กนิ ตอ้ งอาบตั ิ ปาจติ ตยี ท์ กุ ๆ คำกลนื อนาบัติ ๑.ภกิ ษฉุ นั ในสมยั ๒.ภกิ ษุ ๒-๓ รปู ฉนั รวมกนั ๓.ภกิ ษหุ ลายรปู เทย่ี ว บณิ ฑบาต แลว้ ประชมุ ฉนั แหง่ เดยี วกนั ๔.ภตั เขาถวายเปน็ นติ ย์ ๕.ภตั เขาถวาย ตามสลาก ๖.ภตั เขาถวายในปกั ษ์ ๗.ภตั เขาถวายในวนั อโุ บสถ ๘.ภตั เขาถวาย ในวันปาฏิบท ๙.ภิกษุฉันอาหารทุกชนิดเว้นโภชนะห้า ๑๐.ภิกษุวิกลจริต ๑๑.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรอ่ื งตน้ บญั ญตั ิ พระเทวทตั เสอ่ื มลาภสกั การะ จงึ ตอ้ งเทย่ี วขออาหารเขาตามสกลุ

๑๑๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ฉันรวมกลุ่มกับบริษัทของตน มนุษย์ทั้งหลายพากันติเตียน พระผู้มีพระภาค จงึ ทรง บญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษฉุ นั เปน็ หมู่ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ภายหลงั ทรง ผอ่ นผนั ใหเ้ มอ่ื เปน็ ไข,้ เมอ่ื ถงึ หนา้ ถวายจวี ร, เมอ่ื ถงึ คราวทำจวี ร, เมอ่ื เดนิ ทางไกล, เมอ่ื ไปทางเรอื , เมอ่ื ประชมุ กนั อยมู่ าก ๆ, เมอ่ื นกั บวช เปน็ เจา้ ภาพเลย้ี งอาหาร. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.เปน็ คณโภชนะ ๒. ไมม่ สี มยั ๓. กลนื กนิ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๐๔). ขอ้ สงั เกต จากตน้ บญั ญตั ,ิ และทต่ี รสั วา่ “เพอ่ื ..อยา่ อาศยั ฝกั ฝา่ ยทำลายสงฆ”์ (หนา้ ๓๓๑), วภิ งั คส์ กิ ขาบทท๒่ี และ๓ทร่ี ะบถุ งึ ”นมิ นตด์ ว้ ยโภชนะ๕” ทง้ั สองแหง่ ตา่ งกนั แตว่ า่ ภกิ ษ๔ุ รปู , และเรอ่ื งอนบุ ญั ญตั ทิ ท่ี รงอนญุ าตในจวี รกาลนน้ั ไมไ่ ดก้ ลา่ วถงึ นมิ นตโ์ ดยออกชอ่ื โภชนะ แตภ่ กิ ษซุ ง่ึ เปน็ กลมุ่ ทำจวี รดว้ ยกนั ทง้ั ๔รปู จงึ เกรงจะอาบตั .ิ แสดงวา่ คณโภชนะ(การฉนั เปน็ หม)ู่ นน้ั ประเดน็ อยทู่ ่ี เจาะจงภกิ ษกุ ลมุ่ เดยี วกนั ๔ รปู ฉนั รว่ มกนั มใิ ชท่ น่ี มิ นตโ์ ดยออกชอ่ื โภชนะ นกั วนิ ยั ธรพงึ พจิ ารณาเองเถดิ . ปาจติ ตยี ์ โภชนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ ปะรมั ปะระโภชะเน อญั ญตั ร๎ ะ สะมะยา ปาจติ ตยิ งั ..... “เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ เพราะโภชนะทีหลัง นส้ี มยั ในเรอ่ื งนน้ั คอื คราวเปน็ ไข้ คราวทถ่ี วายจวี ร คราวทท่ี ำจวี ร นี้สมัยในเรื่องนั้น.” วภิ งั ค์ ที่ชื่อว่า โภชนะทีหลัง ความว่า ภิกษุรับนิมนต์ด้วยโภชนะ ๕ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ไวแ้ ลว้ เวน้ โภชนะนน้ั ฉนั โภชนะ ๕ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ อน่ื นช่ี อ่ื วา่ โภชนะทหี ลงั (ปรมั ปรโภชน). อนาบัติ ๑.ภิกษุฉันในสมัย ๒.ภิกษุวิกัปแล้วฉัน ๓.ภิกษุฉันบิณฑบาตที่รับ นมิ นตไ์ ว้ ๒-๓ แหง่ รวมกนั ๔.ภกิ ษฉุ นั ตามลำดบั ทร่ี บั นมิ นต์ ๕.ภกิ ษรุ บั นมิ นต์ ชาวบา้ นทง้ั มวล แลว้ ฉนั ณ ทแ่ี หง่ ใดแหง่ หนง่ึ ในตำบลบา้ นนน้ั ๖.ภกิ ษรุ บั นมิ นต์ หมปู่ ระชาชนทกุ เหลา่ แลว้ ฉนั ณ ทแ่ี หง่ ใดแหง่ หนง่ึ ในประชาชนหมนู่ น้ั

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๑๗ ๗.ภกิ ษถุ กู เขานมิ นต์ แตบ่ อกวา่ จกั รบั ภกิ ษา ๘.ภตั ตาหารทเ่ี ขาถวายเปน็ นติ ย์ ๙.ภัตตาหารที่เขาถวายด้วยสลาก ๑๐.ภัตตาหารที่เขาถวายในปักษ์ ๑๑.ภตั ตาหารทเ่ี ขาถวายในวนั อโุ บสถ ๑๒.ภตั ตาหารทเ่ี ขาถวายในวนั ปาฏบิ ท ๑๓.ภิกษุฉันอาหารทุกชนิด เว้นโภชนะห้า ๑๔.ภิกษุวิกลจริต ๑๕.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ กรรมกรผู้ยากจนคนหนึ่ง นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ไปฉนั ทบ่ี า้ น ภกิ ษทุ ง้ั หลายไปเทย่ี วบณิ ฑบาตฉนั เสยี กอ่ น (อาจเกรงวา่ อาหารเลว หรือไม่พอฉัน) เมื่อไปฉันที่บ้านกรรมกรคนนั้นจึงฉันได้เพียงเล็กน้อย (เพราะอม่ิ มากอ่ นแลว้ ) ความจรงิ อาหารเหลอื เฟอื เพราะชาวบา้ นรขู้ า่ วเอาของ ไปช่วยมาก พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่าเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะรบั นมิ นต์ แลว้ ไปฉนั อาหารรายอน่ื กอ่ น ภายหลงั ทรงผอ่ นผนั ใหย้ ามเจบ็ ไข้ ในฤดถู วายจวี ร ในคราวทำจวี ร (มอบใหภ้ กิ ษอุ น่ื ฉนั ในทน่ี มิ นตแ์ ทน). องค์แห่งอาบัติ ๑.เป็นโภชนะของผู้อื่น ๒. ไม่มีสมัย ๓. กลืนกิน พร้อมด้วยองค์ ๓ ดังนี้ จึงเป็นปาจิตตีย์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๐๖). ปาจติ ตยี ์ โภชนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๔ ภกิ ขุ ปะเนวะ กุลงั อุปะคะตัง ปูเวหิ วา มนั เถหิ วา..... “อนง่ึ เขาปวารณาเฉพาะภกิ ษผุ เู้ ขา้ ไปสตู่ ระกลู ดว้ ยขนม ก็ดีด้วยสัตตุผงก็ดี เพื่อนำไปได้ตามปรารถนา ภิกษุผู้ต้องการ พงึ รบั ไดเ้ ตม็ ๒-๓ บาตร ถา้ รบั ยง่ิ กวา่ นน้ั เปน็ ปาจติ ตยี ์ ครน้ั รบั เตม็ ๒-๓ บาตรแลว้ นำออกจากทน่ี น้ั แลว้ พงึ แบง่ ปนั กบั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น.”

๑๑๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ ขนม ไดแ้ ก่ ของกนิ ชนดิ ใดชนดิ หนง่ึ ทเ่ี ขาจดั เตรยี มไว้ เพอ่ื ตอ้ ง การเปน็ ของกำนลั . ทช่ี อ่ื วา่ สตั ตผุ ง ไดแ้ ก่ ของกนิ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ทเ่ี ขาจดั เตรยี มไวเ้ พอ่ื ตอ้ งการเปน็ เสบยี ง. อนาบัติ ๑.ภิกษุรับเต็ม ๒-๓ บาตร ๒.ภิกษุรับหย่อนกว่า ๒-๓ บาตร ๓.เขาไมไ่ ด้ถวายของทีเ่ ตรียมไว้เพอื่ ต้องการเป็นของกำนัล ๔.เขาไม่ได้ถวาย ของทเ่ี ตรยี มไวเ้ พอ่ื ตอ้ งการเปน็ เสบยี ง ๕.เขาถวายของทเ่ี หลอื จากทเ่ี ขาเตรยี ม ไวเ้ พอ่ื ตอ้ งการเปน็ ของกำนลั หรอื เพอ่ื ตอ้ งการเปน็ เสบยี ง เมอ่ื เขาระงบั การไปแลว้ ถวาย ๖.รบั ของพวกญาติ ๗.รบั ของคนปวารณา ๘.รบั เพอ่ื ประโยชนแ์ กภ่ กิ ษอุ น่ื ๙.จ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน ๑๐.ภิกษุวิกลจริต ๑๑.ภิกษุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ มารดานางกาณาทำขนมไวจ้ ะใหบ้ ตุ รนี ำไปสสู่ กลุ แหง่ สามี ภกิ ษเุ ขา้ ไป รบั บณิ ฑบาตแลว้ กลบั บอกกนั ตอ่ ไปใหไ้ ปรบั นางจงึ ตอ้ งถวายจนหมด แมค้ รง้ั ท่ี ๒ ครง้ั ท่ี ๓ ทท่ี ำขนมกเ็ กดิ เรอ่ื งทำนองน้ี จนบตุ รขี องนางกาณาไมไ่ ดไ้ ปสสู่ กลุ สามี สักที ทำให้เกิดความเสียหายแก่บุตรีของนาง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ สิกขาบทว่า ภิกษุเข้าไปสู่สกุล ถ้าเขาปวารณาด้วยขนมหรือด้วยข้าวสัตตุผง เพื่อไปได้ตามปรารถนา พึงรับเพียงเต็ม ๒-๓ บาตร ถ้ารับเกินกว่านั้นต้อง ปาจติ ตยี ์ ทางทช่ี อบ ภกิ ษรุ บั ๒-๓ บาตร นำออกจากทน่ี น้ั แลว้ พงึ นำไปแบง่ กบั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย.

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๑๙ ปาจติ ตยี ์ โภชนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๕ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภตุ ตาวี ปะวารโิ ต อะนะตริ ติ ตงั ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดฉนั เสรจ็ แลว้ หา้ มภตั แลว้ เคย้ี วกด็ ี ฉนั กด็ ี ซง่ึ ของเคย้ี วกด็ ี ซง่ึ ของฉนั กด็ ี อนั มใิ ชเ่ ดน เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” พทุ ธพจน์ : “ดกู อ่ นอบุ าลี การหา้ มภตั ยอ่ มปรากฏดว้ ยอาการ ๕ อยา่ ง ๕ อยา่ ง อะไรบ้าง ๑.การฉันยังปรากฏอยู่ ๒.โภชนะปรากฏอยู่ ๓.ผู้ให้อยู่ในหัตถบาส* ๔.เขานอ้ มของเขา้ มา ๕.การหา้ มปรากฏ”(พระไตรปฎิ กสยามรฐั ๘/๑๑๗๕/๔๒๔) “ดกู อ่ นอบุ าลี ของทเ่ี ปน็ เดน น้ี มี ๕ อยา่ ง ๕ อยา่ งอะไรบา้ ง คอื ๑.ภกิ ษุ ทำใหเ้ ปน็ กปั ปยิ ะ ๒.รบั (ประเคน) ๓.ยกขน้ึ สง่ ให้ ๔.ทำในหตั ถบาส ๕.กลา่ ววา่ ทง้ั หมดนน่ั พอละ่ .” (พระไตรปฎิ กสยามรฐั . ๘ / ๑๑๗๔ / ๔๒๓) ขอ้ สงั เกต จากสกิ ขาบทท่ี ๕ น้,ี พทุ ธพจนข์ า้ งตน้ , พระดำรสั ทว่ี า่ “ใหล้ กุ ขน้ึ ยอ่ มเปน็ อนั หา้ มภตั ดว้ ย” (ดหู นา้ ๓๒๓), รวมทง้ั พระดำรสั ในจลุ ศลี (หนา้ ๓๖๙) ทว่ี า่ “เปน็ ผฉู้ นั อาหารวนั หนง่ึ เพยี งหนเดยี ว.. แมน้ ก้ี เ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนง่ึ ”, และภทั ทาลกิ สตู ร, ลฑกุ โิ กปมสตู ร(พระไตรปฎิ กสยามรฐั ๑๓ / ๑๕๐-๑๘๕ / ๑๒๘-๑๕๑), แสดงวา่ ถา้ มใิ ชก่ รณขี องทเ่ี ปน็ เดน เมอ่ื ภกิ ษฉุ นั แลว้ ลกุ ขน้ึ แลว้ ฉนั อกี ยอ่ มเปน็ อาบตั ิ นกั วนิ ยั ธรเหน็ อยา่ งไรพงึ พจิ ารณาเองเถดิ . * “หตั ถบาส” เปน็ พยญั ชนะโดยพทุ ธพจน์ ซง่ึ แปลวา่ บว่ งแหง่ มอื สว่ นความหมายทอ่ี ธบิ ายเพม่ิ เปน็ นยั แหง่ อรรถกถา อนาบัติ ๑.ภกิ ษใุ หท้ ำเปน็ เดนแลว้ ฉนั ๒.ภกิ ษรุ บั ประเคนไวด้ ว้ ยตง้ั ใจวา่ จกั ให้ ทำเปน็ เดน แลว้ จงึ ฉนั ๓.ภกิ ษรุ บั ไปเพอ่ื ประโยชนแ์ กภ่ กิ ษอุ น่ื ๔.ฉนั อาหารท่ี เหลือของภิกษุอาพาธ ๕.ฉันยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก ในเมื่อมีเหตุ อนั สมควร ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุรับนิมนต์ไปฉันที่บ้านพราหมณ์คนหนึ่ง แล้วบางรูปไปฉันที่อื่น หรือไปรับบิณฑบาตอีก พราหมณ์ติเตียนแสดงความน้อยใจ จึงทรงบัญญัติ สกิ ขาบทวา่ อนง่ึ ภกิ ษใุ ดฉนั เสรจ็ แลว้ หา้ มภตั แลว้ เคย้ี วหรอื ฉนั ของเคย้ี ว

๑๒๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ของฉนั ตอ้ งปาจติ ตยี ์ ภายหลงั ทรงอนญุ าตใหฉ้ นั อาหารทเ่ี ปน็ เดนได.้ องค์แห่งอาบัติ ๑.เป็นผู้ห้ามข้าวลุกจากอาสนะแล้ว ๒.อามิสไม่ได้ทำกัปปิยะ เป็นอนติริตตะอยู่ (อนติริตตะ = ซง่ึ ไมเ่ ปน็ เดน เปน็ เดนมี ๒ คอื ๑.เปน็ เดนภกิ ษไุ ข้ ๒.เปน็ ของภกิ ษทุ ำใหเ้ ปน็ เดน : พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท)์ ๓.กลนื กนิ ในกาล พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั นจ้ี งึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๑๒). ปาจติ ตยี ์ โภชนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๖ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขงุ ภตุ ตาวงิ ปะวารติ งั อะนะตริ ติ เตนะ..... “อนึ่ง ภิกษุใดรู้อยู่ เพ่งจะหาโทษให้ นำไปปวารณาภิกษุ ผู้ฉันเสร็จห้ามภัตแล้ว ด้วยของเคี้ยวก็ดี ด้วยของฉันก็ดี อันมิใช่เดน บอกว่า นิมนต์เถิดภิกษุ เคี้ยวก็ตาม ฉันก็ตาม พอเธอฉันแล้ว เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษใุ หท้ ำเปน็ เดนแลว้ ให้ ๒.ภกิ ษใุ หด้ ว้ ยบอกวา่ จงใหท้ ำเปน็ เดน แล้วจึงฉันเถิด ๓.ภิกษุให้ด้วยบอกว่า จงนำไปเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุอื่น ๔.ภิกษุให้อาหารที่เหลือของภิกษุอาพาธ ๕.ภิกษุให้ด้วยบอกว่า ในเมอ่ื มเี หตสุ มควร จงฉนั ยามกาลกิ สตั ตาหกาลกิ ยาวชวี กิ ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ รวู้ า่ ภกิ ษอุ กี รปู หนง่ึ ฉนั ในทน่ี มิ นตเ์ สรจ็ แลว้ แกลง้ แคน่ ไค้ ใหฉ้ นั อาหารอกี เพอ่ื จบั ผดิ เธอ (ตามสกิ ขาบทท่ี ๕) พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั ิ สกิ ขาบทปรบั เปน็ อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ทู้ ำเชน่ นน้ั . องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.เธอห้ามข้าวแล้ว ๒.รู้อยู่ว่าเธอห้ามข้าวแล้ว ๓.เพ่งเล็งในการยกโทษ ๔.เอาของที่เป็นอนติริตตะ น้อมเขา้ ไปให้ ๕.เธอนนั้ ฉนั แลว้ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๕ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๑๓).

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๒๑ ปาจติ ตยี ์ โภชนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๗ โย ปะนะ ภกิ ขุ วกิ าเล ขาทะนยี งั วา โภชะนยี งั วา..... “อนึ่ง ภิกษุใด เคี้ยวก็ดี ฉันก็ดี ซึ่งของเคี้ยวก็ดี ซง่ึ ของฉนั กด็ ี ในเวลาวกิ าล เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ เวลาวกิ าล หมายถงึ ตง้ั แตเ่ วลาเทย่ี งวนั ลว่ งแลว้ ไปจนถงึ อรณุ ขน้ึ . อนาบัติ ๑.ภิกษุฉันยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก เมื่อมีเหตุสมควร ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษสุ ตั ตรสวคั คยี (์ พวก ๑๗) ฉนั อาหารในเวลาวกิ าล พระผมู้ พี ระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบทปรับอาบัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ฉันอาหารในเวลาวิกาล (ตง้ั แตเ่ ทย่ี งไป จนรงุ่ อรณุ ). องค์แห่งอาบัติ ๑.เป็นเวลาวิกาล ๒.ของฉันเป็นยาวกาลิก ๓.กลืนกิน พร้อมด้วยองค์ ๓ ดังนี้ จึงเป็นปาจิตตีย์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๑๔). ปาจติ ตยี ์ โภชนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๘ โย ปะนะ ภกิ ขุ สนั นธิ กิ าระกงั ขาทะนยี งั วา โภชะนยี งั วา..... “อนึ่ง ภิกษุใด เคี้ยวก็ดี ฉันก็ดี ซึ่งของเคี้ยวก็ดี ซง่ึ ของฉนั กด็ ี ทท่ี ำการสง่ั สม เปน็ ปาจติ ตยี .์ ”

๑๒๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ ทำการสง่ั สม คอื รบั ประเคนในวนั น้ี ขบฉนั ในวนั อน่ื . ภกิ ษรุ บั ประเคนไวด้ ว้ ยตง้ั ใจวา่ จกั เคย้ี ว จกั ฉนั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ. ขณะกลนื ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ทกุ ๆ คำกลนื . อนาบัติ ๑.ภกิ ษเุ กบ็ ของเปน็ ยาวกาลกิ ไวฉ้ นั ชว่ั กาล ๒.ภกิ ษเุ กบ็ ของเปน็ ยามกาลิกไว้ฉันชั่วยาม ๓.ภิกษุเก็บของเป็นสัตตาหกาลิกไว้ฉันชั่วสัปดาห์ ๔.ภกิ ษฉุ นั ของเปน็ ยาวชวี กิ ในเมอ่ื มเี หตสุ มควร ๕.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๖.ภกิ ษุ อาทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระเวลัฏฐสีสะ เก็บข้าวตากไว้ฉันในวันอื่น พระผู้มีพระภาคจึงทรง บญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กภ่ กิ ษผุ ฉู้ นั อาหารทเ่ี กบ็ ไวค้ า้ งคนื . องค์แห่งอาบัติ ๑.อามิสเป็นยาวกาลิก ๒.อามิสนั้น รับประเคนแรมคืนไว้เป็นสันนิธิ(ของที่สั่งสมไว้) ๓.กลืนกิน พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๑๕). ปาจติ ตยี ์ โภชนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ ยานิ โข ปะนะ ตานิ ปะณตี ะโภชะนาน,ิ เสยยะถที งั ..... “อนึ่ง ภิกษุใด มิใช่ผู้อาพาธ ขอโภชนะอันประณีตเห็น ปานน้ี คอื เนยใส เนยขน้ นำ้ มนั นำ้ ผง้ึ นำ้ ออ้ ย ปลา เนอ้ื นมสด นมส้ม เพื่อประโยชน์แก่ตนแล้วฉัน เป็นปาจิตตีย์.”

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๒๓ อนาบัติ ๑.ภกิ ษอุ าพาธ ๒.ภกิ ษเุ ปน็ ผอู้ าพาธขอมา หายอาพาธแลว้ ฉนั ๓.ภกิ ษุ ฉนั โภชนะทเ่ี หลอื ของภกิ ษอุ าพาธ ๔.ภกิ ษขุ อตอ่ ญาติ ๕.ภกิ ษขุ อตอ่ คนปวารณา ๖.ภิกษุขอเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุอื่น ๗.ภิกษุจ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน ๘.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๙.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ ขออาหารประณตี คอื เนยใส, เนยขน้ , นำ้ มนั , นำ้ ผง้ึ นำ้ ออ้ ย, ปลา, เนอ้ื , นมสด, นมสม้ มาเพอ่ื ฉนั เอง เปน็ ทต่ี เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ทู้ ำเชน่ นน้ั เวน้ ไวแ้ ตอ่ าพาธ. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.เปน็ ปณตี โภชนะ ๒.ไมเ่ ปน็ ไข้ ๓.ไดม้ าดว้ ยวญิ ญตั ิ (การเคลอ่ื นไหวใหร้ คู้ วามหมาย มี ๒ คอื กายวญิ ญตั ิ เชน่ พยกั หนา้ ๒.วจวี ญิ ญตั ิ คอื พดู บอกกลา่ ว) ๔.กลนื กนิ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๔ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาฯหนา้ ๒๑๖). ปาจติ ตยี ์ โภชนวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๐ โย ปะนะ ภกิ ขุ อะทนิ นงั มขุ ะทว๎ ารงั อาหารงั อาหะเรยยะ..... “อนึ่ง ภิกษุใด กลืนอาหารที่เขายังไม่ได้ให้ ล่วงช่องปาก เว้นไว้แต่น้ำและไม้ชำระฟัน เป็นปาจิตตีย์.” วภิ งั ค์ ที่ชื่อว่า เขาให้ คือ ๑.เมื่อเขาให้ด้วยกาย ด้วยของเนื่องด้วยกาย หรอื โยนให้ ๒.เขาอยใู่ นหตั ถบาส ๓.ภกิ ษรุ บั ประเคนดว้ ยกาย หรอื ดว้ ยของเนอ่ื ง ดว้ ยกาย นช้ี อ่ื วา่ เขาให.้ พทุ ธพจนใ์ นคมั ภรี ป์ รวิ ารทเ่ี กย่ี วกบั การรบั ประเคน “ดกู อ่ นอบุ าลี การรบั ประเคนทใ่ี ชไ้ มไ่ ดน้ ม้ี ี ๕ อยา่ ง. ๕ อยา่ งอะไรบา้ ง คอื ๑.ของเขาให้ด้วยกาย ไม่รับประเคนด้วยกาย ๒.ของเขาให้ด้วยกาย ไม่รับประเคนด้วยของเนื่องด้วยกาย ๓.ของเขา ใหด้ ว้ ยของเนอ่ื งดว้ ยกาย ไมร่ บั ประเคนดว้ ยกาย ๔.ของเขาใหด้ ว้ ยของเนอ่ื งดว้ ยกาย ไมร่ บั ประเคนดว้ ยของเนอ่ื งดว้ ยกาย ๕.ของเขาใหด้ ว้ ยโยนให้ ไมร่ บั ประเคนดว้ ยกาย หรอื ดว้ ยของเนอ่ื งดว้ ยกาย”(มตี รสั ไวโ้ ดยนยั ตรงขา้ ม,ไตร.๘/๑๑๗๓/๔๒๒)

๑๒๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนาบัติ ๑.กลนื นำ้ และไมช้ ำระฟนั ๒.ฉนั ยามหาวกิ ตั ิ ๔ (มตู ร คถู เถา้ ดนิ ) ในเมอ่ื มเี หตฉุ กุ เฉนิ เมอ่ื กปั ปยิ การก (ผทู้ ำหนา้ ทจ่ี ดั ของทส่ี มควรแกภ่ กิ ษบุ รโิ ภค) ไมม่ ี ภกิ ษถุ อื เอาเองแลว้ ฉนั ได้ ๓.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๔.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะไมต่ อ้ งอาบตั ิ เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ไมช่ อบรบั อาหารทม่ี นษุ ยถ์ วาย จงึ ไปถอื เอาเครอ่ื งเซน่ ท่ี เขาทง้ิ ไวต้ ามสสุ านบา้ ง ตามตน้ ไมบ้ า้ ง ตามหวั บนั ไดบา้ งมาฉนั เปน็ ทต่ี เิ ตยี นของ คนทง้ั หลาย พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กภ่ กิ ษุ ผฉู้ นั อาหารทเ่ี ขามไิ ดใ้ ห้ (มไิ ดป้ ระเคน) เวน้ ไวแ้ ตน่ ำ้ และไมส้ ฟี นั . องค์แห่งอาบัติ ๑.ของไม่ได้รับประเคน ๒.ของนั้นไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าทรงอนุญาต ๓.ของนั้นไม่เป็นอัพโพหาริก ดังควันไฟ เป็นตน้ ๔.กลืนเข้าไปในลำคอ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๔ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๑๗). ๕.อเจลกวรรค วรรควา่ ดว้ ยชเี ปลอื ย เปน็ วรรคท่ี ๕ มี ๑๐ สกิ ขาบท ปาจติ ตยี ์ อเจลกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑ โย ปะนะ ภกิ ขุ อะเจละกสั สะ วา ปะรพิ พาชะกสั สะ วา..... “อนึ่ง ภิกษุใด ให้ของเคี้ยวก็ดี ของกินก็ดี แก่อเจลกก็ดี แกป่ รพิ าชกกด็ ี แกป่ รพิ าชกิ ากด็ ี ดว้ ยมอื ของตน เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ อเจลก ไดแ้ ก่ ชเี ปลอื ยคนใดคนหนง่ึ ทจ่ี ดั เขา้ ในจำพวกนกั บวช.

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๒๕ ทช่ี อ่ื วา่ ปรพิ าชก ไดแ้ ก่ บรุ ษุ คนใดคนหนง่ึ ทจ่ี ดั เขา้ ในจำพวกนกั บวช เว้นภิกษุและสามเณร. ทช่ี อ่ื วา่ ปรพิ าชกิ า ไดแ้ ก่ สตรคี นใดคนหนง่ึ ทจ่ี ดั เขา้ ในจำพวกนกั บวช เวน้ ภกิ ษณุ ี สกิ ขมานา และสามเณร.ี อนาบัติ ๑.ภกิ ษสุ ง่ั ใหผ้ อู้ น่ื ให้ ไมไ่ ดใ้ หเ้ อง ๒.วางให้ ๓.ใหข้ องไลท้ าภายนอก ๔.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๕.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ขนมเกดิ ขน้ึ แกส่ งฆ์ (มาก) พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงโปรดใหพ้ ระอานนท์ แจกเปน็ ทานแกค่ นอดอยาก พระอานนทจ์ งึ แจกใหค้ นละชน้ิ ไดม้ นี กั บวชนอก ศาสนาทเ่ี ปน็ ผหู้ ญงิ มารบั แจกดว้ ย เผอญิ ใหไ้ ป ๒ ชน้ิ ดว้ ยสำคญั วา่ ๑ ชน้ิ พวก นักบวชนั้นจึงล้อกันว่า พระอานนท์เป็นชู้ของหญิงนั้น และมีภิกษุรูปหนึ่งฉัน เสรจ็ กเ็ อาขา้ วสกุ คลกุ เนยใสใหแ้ กอ่ าชวี กผหู้ นง่ึ มอี าชวี กผอู้ น่ื ถามวา่ ไดม้ าจากไหน อาชวี กผนู้ น้ั ไดต้ อบวา่ “ขา้ พเจา้ ไดม้ าจากคหบดโี ลน้ สมณโคดม” อบุ าสกไดย้ นิ จึงทูลพระผู้มีพระภาคว่า พวกเดียรถีย์เหล่านี้ต้องการติเตียนพระรัตนตรัย จึงทูลขอว่า พระคุณเจ้าโปรดอย่าให้สิ่งของแก่พวกเดียรถีย์ด้วยมือตนเองเลย จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามให้อาหารแก่ชีเปลือย แก่ปริพาชก แก่ปริพาชิกา ดว้ ยมอื ของตน ทรงปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ .

๑๒๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ปาจติ ตยี ์ อเจลกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๒ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขงุ เอวงั วะเทยยะ “ เอหาวโุ ส..... “อนึ่ง ภิกษุใด กล่าวต่อภิกษุอย่างนี้ว่า ท่านจงมาเข้าไป สบู่ า้ นหรอื สนู่ คิ มเพอ่ื บณิ ฑบาตดว้ ยกนั เธอยงั เขาใหถ้ วายแลว้ กด็ ี ไม่ให้ถวายแล้วก็ดี แก่เธอแล้วส่งไปด้วยคำว่า ท่านจงไปเถิด การพดู กด็ ี การนง่ั กด็ ี ของเรากบั ทา่ น ไมเ่ ปน็ ผาสกุ เลย การพดู กด็ ี การนั่งก็ดี ของเราคนเดียว ย่อมเป็นผาสุก ทำความหมาย อย่างนี้เท่านั้นแลให้เป็นปัจจัย หาใช่อย่างอื่นไม่ เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภิกษุส่งกลับไปด้วยคิดว่าเรา ๒ รูปรวมกัน จักไม่พอฉัน ๒.ภิกษุ ส่งกลับไปด้วยคิดว่า รูปนั้นพบสิ่งของมีราคามากแล้ว จักยังความโลภให้เกิด ๓.ภิกษุส่งกลับไปด้วยคิดว่ารูปนั้นเห็นมาตุคามแล้วจักยังความกำหนัดให้เกิด ๔.ภกิ ษสุ ง่ กลบั ไปดว้ ยสง่ั วา่ จงนำขา้ วตม้ หรอื ขา้ วสวย ของเคย้ี วหรอื ของฉนั ไปให้ แกภ่ กิ ษผุ อู้ าพาธแกภ่ กิ ษผุ ตู้ กคา้ งอยู่ หรอื แกภ่ กิ ษผุ เู้ ฝา้ วหิ าร ๕.ภกิ ษไุ มป่ ระสงค์ จะประพฤตอิ นาจาร แตเ่ มอ่ื มกี จิ จำเปน็ จงึ สง่ กลบั ไป ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภกิ ษุ อาทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระอุปนันทศากยบุตร ชวนภิกษุรูปหนึ่งไปเที่ยวบิณฑบาตด้วยกัน แลว้ ไลเ่ ธอกลบั พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทหา้ มทำเชน่ นน้ั ทรงปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ . องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ใครจ่ ะประพฤตอิ นาจาร ๒.ไลอ่ ุปสมั บนั เพอ่ื ประโยชนน์ นั้ ๓.ผ้ตู ้องไลล่ ว่ งอุปจาร พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๑๘).

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๒๗ ปาจติ ตยี ์ อเจลกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ โย ปะนะ ภกิ ขุ สะโภชะเน กเุ ล อะนูปะขชั ชะ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด สำเรจ็ การนง่ั แทรกแซงในตระกลู ทม่ี คี น ๒ คน เป็นปาจิตตีย์.” วภิ งั ค์ ตระกลู ทช่ี อ่ื วา่ มคี น ๒ คน คอื มเี ฉพาะสตรี ๑ บรุ ษุ ๑ ทง้ั ๒ คน ยงั ไมอ่ อกจากกนั ทง้ั ๒ คนหาใชผ่ ปู้ ราศจากราคะไม.่ บทวา่ แทรกแซง คอื กดี ขวาง. อนาบัติ ๑.ภกิ ษนุ ง่ั ในเรอื นใหญ่ ไมล่ ว่ งลำ้ หตั ถบาสแหง่ บานประตู ๒.ภกิ ษนุ ง่ั ในเรอื นเลก็ ไมเ่ ลยทา่ มกลางหอ้ ง ๓.ภกิ ษมุ เี พอ่ื นอยดู่ ว้ ย ๔.คนทง้ั ๒ ออกจากกนั แล้ว ๕.ทั้ง ๒คนปราศจากราคะแล้ว ๖.ภิกษุนั่งในสถานที่อันมิใช่ห้องนอน ๗.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๘.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระอุปนันทศากยบุตร เข้าไปในสกุลที่มีสามีภริยาเขานั่งอยู่ด้วยกัน ไดภ้ กิ ษาแลว้ สามไี ลใ่ หก้ ลบั แตภ่ รยิ านมิ นตใ์ หน้ ง่ั อยกู่ อ่ นจงึ นง่ั อยู่ เขาไลถ่ งึ ๓ ครง้ั ก็ไม่กลับ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุเข้าสู่สกุลที่มี สามภี รยิ าอยดู่ ว้ ยกนั ทรงปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ .

๑๒๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ปาจติ ตยี ์ อเจลกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๔ โย ปะนะ ภกิ ขุ มาตคุ าเมนะ สทั ธงิ ระโห ปะฏจิ ฉนั เน..... “อนึ่ง ภิกษุใด สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ ในอาสนะกำบัง กับมาตุคาม เป็นปาจิตตีย์.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ ในทล่ี บั ไดแ้ ก่ ๑.ทล่ี บั ตา ๒.ทล่ี บั หู ที่ชื่อว่า ที่ลับตา ได้แก่ ที่ซึ่งเมื่อภิกษุหรือมาตุคามขยิบตา ยักคิ้ว หรือชะเง้อศีรษะไม่มีใครสามารถจะแลเห็นได้. ทช่ี อ่ื วา่ ทล่ี บั หู ไดแ้ ก่ ทซ่ี ง่ึ ไมม่ ใี ครสามารถจะไดย้ นิ ถอ้ ยคำทส่ี นทนา กันตามปกติได้. อาสนะที่ชื่อว่า กำบัง คือ เป็นอาสนะที่เขากำบังด้วยฝา บานประตู ลำแพน มา่ นบงั ตน้ ไม้ เสา หรอื ฉางขา้ ว อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ . คำวา่ สำเรจ็ การนง่ั ความวา่ เมอ่ื มาตคุ ามนง่ั แลว้ ภกิ ษนุ ง่ั ใกล้ หรอื นอนใกล้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เมื่อภิกษุนั่งแล้ว มาตุคามนั่งใกล้ หรือนอนใกล้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. อนาบัติ ๑.ภกิ ษมุ บี รุ ษุ ผรู้ เู้ ดยี งสาคนใดคนหนง่ึ อยเู่ ปน็ เพอ่ื น ๒.ภกิ ษยุ นื มไิ ดน้ ง่ั ๓.ภกิ ษมุ ไิ ดม้ งุ่ ทล่ี บั ๔.ภกิ ษนุ ง่ั สง่ ใจไปในอารมณอ์ น่ื ๕.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๖.ภกิ ษุ อาทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระอุปนันทศากยบุตร ไปสู่เรือนสหาย นั่งในที่ลับมีที่กำบังกับภริยา

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๒๙ ของสหายนน้ั เขาตเิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มนง่ั ในทล่ี บั มที ก่ี ำบงั กบั มาตคุ าม (ผหู้ ญงิ ) ทรงปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ . ปาจติ ตยี ์ อเจลกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๕ โย ปะนะ ภกิ ขุ มาตคุ าเมนะ สทั ธงิ เอโก เอกายะ..... “อนึ่ง ภิกษุใด ผู้เดียว สำเร็จการนั่งในที่ลับกับมาตุคาม ผู้เดียวเป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษมุ บี รุ ษุ ผรู้ เู้ ดยี งสาคนใดคนหนง่ึ อยเู่ ปน็ เพอ่ื น ๒.ภกิ ษยุ นื มไิ ดน้ ง่ั ๓.ภกิ ษมุ ไิ ดม้ งุ่ ทล่ี บั ๔.ภกิ ษนุ ง่ั สง่ ใจไปในอารมณอ์ น่ื ๕.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๖.ภกิ ษุ อาทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระอปุ นนั ทศากยบตุ รไปสเู่ รอื นสหายนง่ั ในทล่ี บั กบั ภรยิ าของสหาย นน้ั สองตอ่ สอง เขาตเิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มนง่ั ในท่ี ลบั สองตอ่ สองกบั มาตคุ าม ทรงปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ .

๑๓๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ปาจติ ตยี ์ อเจลกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๖ โย ปะนะ ภกิ ขุ นมิ นั ตโิ ต สะภตั โต สะมาโน สนั ตงั ..... “อนึ่ง ภิกษุใด รับนิมนต์แล้ว มีภัตอยู่แล้วไม่บอกลาภิกษุ ซึ่งมีอยู่ ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย ก่อนฉันก็ดี ทีหลังฉันก็ดี เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์. นี้สมัยในเรื่องนั้น คอื คราวทถ่ี วายจวี ร คราวทท่ี ำจวี ร, นส้ี มยั ในเรอ่ื งนน้ั .” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ ภกิ ษซุ ง่ึ มอี ยู่ คอื อาจทจ่ี ะบอกลากอ่ นเขา้ ไป. อนาบัติ ๑.ภิกษุฉันในสมัย ๒.ภิกษุบอกลาภิกษุซึ่งมีอยู่แล้วจึงเข้าไป ๓.ไมไ่ ดบ้ อกลาภกิ ษซุ ง่ึ ไมม่ อี ยู่ แลว้ เขา้ ไป ๔.เดนิ ทางผา่ นเรอื นผอู้ น่ื ๕.เดนิ ทาง ผ่านอุปจารเรือน ๖.ไปอารามอื่น ๗.ไปสู่สำนักภิกษุณี ๘.ไปสู่สำนักเดียรถีย์ ๙.ไปโรงฉัน ๑๐.ไปเรือนที่เขานิมนต์ฉัน ๑๑.ไปเพราะมีอันตราย ๑๒.ภิกษุ วกิ ลจรติ ๑๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระอุปนันทศากยบุตร รับนิมนต์ไปฉันในที่แห่งหนึ่งแล้ว ไปสู่สกุล อน่ื เสยี กอ่ น ทำใหภ้ กิ ษอุ น่ื และเจา้ ของบา้ นทน่ี มิ นตไ์ วต้ อ้ งคอย พระผมู้ พี ระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามทำเช่นนั้น ภายหลังมีเหตุเกิดขึ้น จึงทรงบัญญัติ เพม่ิ เตมิ หลายครง้ั รวมความในสกิ ขาบทนว้ี า่ ภกิ ษรุ บั นมิ นตแ์ ลว้ ไมบ่ อกลา ภกิ ษทุ ม่ี อี ยู่ (ในวดั ) เทย่ี วไปในสกลุ ทง้ั หลายกอ่ นฉนั กด็ ี ภายหลงั ฉนั กด็ ี

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๓๑ เวน้ ไวแ้ ตส่ มยั คอื คราวถวายจวี ร และคราวทำจวี ร ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ยนิ ดเี ขานมิ นตด์ ว้ ยโภชนะ ๕ อนั ใดอนั หนง่ื ๒.ไมล่ า ไมบ่ อกภกิ ษทุ ม่ี อี ยู่ ๓.ไปเรอื นอน่ื จากเรอื นผนู้ มิ นต์ ๔.ยงั ไมล่ ว่ งเวลาเทย่ี งไป ๕.ไมม่ สี มยั หรอื อนั ตราย พรอ้ มดว้ ยองค์ ๕ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๒๐) . ปาจติ ตยี ์ อเจลกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๗ อะคลิ าเนนะ ภกิ ขนุ า จาตมุ าสะปจั จะยะปะวาระณา..... “ภิกษุมิใช่ผู้อาพาธ พึงยินดีปวารณาด้วยปัจจัยเพียง สเ่ี ดอื น เวน้ ไวแ้ ตป่ วารณาอกี เวน้ ไวแ้ ตป่ วารณาเปน็ นติ ย์ ถา้ เธอ ยินดียิ่งกว่านั้น เป็นปาจิตตีย์.” วภิ งั ค์ คำวา่ ภกิ ษมุ ใิ ชผ่ อู้ าพาธ พงึ ยนิ ดปี วารณาดว้ ยปจั จยั เพยี งสเ่ี ดอื น นน้ั ความวา่ พงึ ยนิ ดปี วารณาเฉพาะปจั จยั ของภกิ ษไุ ข้ แมเ้ ขาปวารณาอกี กพ็ งึ ยินดีว่า เราจักขอชั่วเวลาที่ยังอาพาธอยู่ แม้เขาปวารณาเป็นนิตย์ ก็พึงยินดีว่า เราจกั ขอชว่ั เวลาทย่ี งั อาพาธอย.ู่ อนาบัติ ๑.ภิกษุผู้ขอเภสัชตามที่เขาปวารณาไว้ ๒.ขอในระยะกาลตามที่เขา ปวารณาไว้ ๓.บอกขอว่าท่านปวารณาพวกข้าพเจ้าด้วยเภสัชเหล่านี้แต่พวก ข้าพเจ้าต้องการเภสัชชนิดนี้และชนิดนี้ ๔.บอกขอว่าระยะกาลที่ท่านได้ ปวารณาไว้ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังต้องการเภสัช ๕.ขอต่อญาติ ๖.ขอตอ่ คนปวารณา ๗.ขอเพอ่ื ประโยชนแ์ กภ่ กิ ษรุ ปู อน่ื ๘.จา่ ยมาดว้ ยทรพั ย์ ของตน ๙.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๐.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล.

๑๓๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรื่องต้นบัญญัติ มหานามศากยะ ปวารณาตอ่ ภกิ ษสุ งฆ์ ใหข้ อเภสชั ไดต้ ลอด ๔ เดอื น แลว้ ปวารณาตอ่ จนตลอดชวี ติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ ขอเนยใส ในขณะทค่ี นใชข้ อง มหานามศากยะไปทำงาน แมจ้ ะถกู ขอรอ้ งใหค้ อยกไ็ มย่ อม กลบั พดู วา่ ปวารณา แลว้ ไมใ่ ห้ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษไุ มเ่ ปน็ ไขพ้ งึ ยนิ ดกี าร ปวารณาดว้ ยเหตเุ พยี ง ๔ เดอื น ถา้ ขอเกนิ กำหนดนน้ั เวน้ ไวแ้ ตเ่ ขาปวารณาอกี และปวารณาตลอดชวี ติ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.เขาปวารณาแกส่ งฆ์ ๒.ขอยาใหเ้ กนิ กวา่ นน้ั ๓.ไมเ่ ปน็ ไข้ ๔.ลว่ งกำหนดแลว้ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๔ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๒๑). ปาจติ ตยี ์ อเจลกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๘ โย ปะนะ ภกิ ขุ อยุ ยตุ ตงั เสนงั ทสั สะนายะ คจั เฉยยะ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด ไปเพอ่ื จะดเู สนาอนั ยกออกแลว้ เวน้ ไวแ้ ต่ ปัจจัยมีอย่างนั้นเป็นรูป เป็นปาจิตตีย์.” วภิ งั ค์ ที่ชื่อว่า อันยกออกแล้ว ได้แก่ กองทัพซึ่งยกออกจากหมู่บ้านแล้ว ยงั พกั อยหู่ รอื เคลอ่ื นขบวนตอ่ ไปแลว้ . บทวา่ เวน้ ไวแ้ ตป่ จั จยั มอี ยา่ งนน้ั เปน็ รปู คอื ยกเหตจุ ำเปน็ เสยี . อนาบัติ ๑.ภิกษุอยู่ในอารามมองเห็น ๒.กองทัพยกผ่านมายังสถานที่ภิกษุ ยืนนั่งหรือนอนเธอมองเห็น ๓.ภิกษุเดินสวนทางไปพบเข้า ๔.มีเหตุจำเป็น ๕.มอี นั ตราย ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๓๓ เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์ไปดูกองทัพที่ยกไป พระเจ้าปเสนทิโกศลทอด พระเนตรเห็นก็ทรงทักท้วง คนทั้งหลายพากันติเตียน พระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุไปดูกองทัพที่เขายกไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ภายหลงั ทรงอนญุ าตใหไ้ ปในกองทพั ได้ เมอ่ื มเี หตสุ มควร. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.กระบวนจตรุ งั คนิ เี สนายกทพั ออก ๒.ไปเพอ่ื จะดู ๓.เหน็ ใน ทอ่ี น่ื พน้ โอกาสซง่ึ พระพทุ ธเจา้ ทรงอนญุ าต ๔ไมม่ เี หตทุ ส่ี มควรหรอื อนั ตราย พรอ้ มดว้ ยองค์ ๔ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๒๑). ปาจติ ตยี ์ อเจลกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ สยิ า จะ ตสั สะ ภกิ ขโุ น โกจเิ ทวะ ปจั จะโย เสนงั ..... “อนึ่ง ปัจจัยบางอย่างเพื่อจะไปสู่เสนา มีแก่ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นพึงอยู่ได้ในเสนาเพียง ๒ - ๓ คืน ถ้าอยู่ยิ่งกว่านั้น เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษอุ ยู่ ๒-๓ คนื ๒.ภกิ ษอุ ยไู่ มถ่ งึ ๒-๓ คนื ๓.ภกิ ษอุ ยู่ ๒ คนื แลว้ ออกไปกอ่ นอรณุ ของคนื ท่ี ๓ ขน้ึ มา กลบั อยใู่ หม่ ๔.ภกิ ษอุ าพาธพกั แรมอยู่ ๕.ภกิ ษอุ ยดู่ ว้ ยกจิ ธรุ ะของภกิ ษอุ าพาธ ๖.ภกิ ษตุ กอยใู่ นกองทพั ทถ่ี กู ขา้ ศกึ ลอ้ มไว้ ๗.ภกิ ษมุ เี หตบุ างอยา่ งขดั ขวางไว้ ๘.มอี นั ตราย ๙.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๐.ภกิ ษุ อาทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ มเี หตจุ ำเปน็ ไปในกองทพั และพกั อยเู่ กนิ ๓ คนื

๑๓๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก มผี ตู้ เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ เมอ่ื มเี หตจุ ำเปน็ จะตอ้ ง ไปในกองทัพ ภิกษุจะพักอยู่ในกองทัพได้ไม่เกิน ๓ ราตรี ถ้าอยู่เกินกว่านั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ปาจติ ตยี ์ อเจลกวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๐ ทว๎ ริ ตั ตะตริ ตั ตญั เจ ภกิ ขุ เสนายะ วะสะมาโน..... “ถา้ ภกิ ษอุ ยใู่ นเสนา ๒ - ๓ คนื ไปสสู่ นามรบกด็ ี ไปสทู่ พ่ี กั พลกด็ ี ไปสทู่ จ่ี ดั ขบวนทพั กด็ ี ไปดกู องทพั ทจ่ี ดั เปน็ ขบวนแลว้ กด็ ี เป็นปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภิกษุอยู่ในอารามมองเห็น ๒.การรบพุ่งผ่านมายังสถานที่ภิกษุยืน นง่ั หรอื นอน เธอมองเหน็ ๓.ภกิ ษเุ ดนิ สวนทางไปพบเขา้ ๔.ภกิ ษมุ กี จิ จำเปน็ เดนิ ไปพบเขา้ ๕.มอี นั ตราย ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์ มีเหตุจำเป็นต้องไปพักในกองทัพ ๒ - ๓ ราตรี เธอไดไ้ ปดกู ารรบ การตรวจพล การจดั ทพั และดทู พั ทจ่ี ดั เปน็ กระบวนเสรจ็ แลว้ ภิกษุรูปหนึ่ง ในจำนวน ๖ รูป ถูกลูกเกาทัณฑ์ (เพราะไปดูเขารบกัน) เป็นที่ เยาะเย้ย ติเตียนของคนทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุที่พักอยู่ในกองทัพ ๒-๓ ราตรี ไปดูการรบ การตรวจพล การจัดทัพ และทพั ทจ่ี ดั เปน็ ขบวนเสรจ็ แลว้ ทรงปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ .

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๓๕ ๖.สรุ าปานวรรค วรรควา่ ดว้ ยการดม่ื สรุ า เปน็ วรรคท่ี ๖ มี ๑๐ สกิ ขาบท ปาจติ ตยี ์ สรุ าปานวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑ สุราเมระยะปาเน ปาจติ ตยิ ัง. “เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะดื่มสุราและเมรัย.” วภิ งั ค์ ที่ชื่อว่า สุรา ได้แก่ สุราที่ทำด้วยแป้ง สุราที่ทำด้วยขนม สรุ าทท่ี ำดว้ ยขา้ วสกุ สรุ าทห่ี มกั สา่ เหลา้ สรุ าทผ่ี สมดว้ ยเครอ่ื งปรงุ . ทช่ี อ่ื เมรยั ไดแ้ ก่ นำ้ ดองดอกไม้ นำ้ ดองผลไม้ นำ้ ดองนำ้ ผง้ึ นำ้ ดอง นำ้ ออ้ ยงบ นำ้ ดองทผ่ี สมดว้ ยเครอ่ื งปรงุ . คำวา่ ดม่ื คอื ดม่ื โดยทส่ี ดุ แมด้ ว้ ยปลายหญา้ คา ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ อนาบัติ ๑.ภกิ ษดุ ม่ื นำ้ ทม่ี กี ลน่ิ รสเหมอื นนำ้ เมา แตไ่ มใ่ ชน่ ำ้ เมา ๒.ภกิ ษดุ ม่ื นำ้ เมา ทเ่ี จอื ลงในแกง ๓. ...ทเ่ี จอื ลงในเนอ้ื ๔. ...ทเ่ี จอื ลงในนำ้ มนั ๕.นำ้ เมาทเ่ี จอื ลงในนำ้ ออ้ ยทด่ี องมะขามปอ้ ม ๖. ภกิ ษดุ ม่ื ยาดองอรฏิ ฐะ (ดองดว้ ยนำ้ มะขาม ปอ้ มเปน็ ตน้ สี กลน่ิ รส คลา้ ยนำ้ เมา. ดเู ชงิ อรรถหนา้ ๒๔๘) ซง่ึ ไมใ่ ชข่ องเมา ๗.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๘.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระสาคตะ ปราบนาค (งใู หญ)่ ของพวกชฏลิ ได้ ชาวบา้ นดใี จปรกึ ษากนั

๑๓๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ว่าจะถวายอะไรดีที่หาได้ยาก ภิกษุฉัพพัคคีย์ แนะให้ถวายเหล้าใส สีแดง ดั่งเท้านกพิราบ ชาวบ้านจึงเตรียมเหล้าแดงไว้ และถวายให้พระสาคตะดื่ม พระสาคตะเมา นอนอยู่ที่ประตูเมือง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุดื่มสุรา (น้ำเมาที่กลั่น) และเมรัย (น้ำเมาที่หมักหรือดอง) ทรงปรับ อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ . องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.เปน็ นำ้ เมา ๒.ดม่ื กนิ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๒ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๒๓). ปาจติ ตยี ์ สรุ าปานวรรค สกิ ขาบทท่ี ๒ อังคุลปิ ะโตทะเก ปาจติ ตยิ งั . “เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะจี้ด้วยนิ้วมือ.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ จด้ี ว้ ยนว้ิ มอื คอื ใชน้ ว้ิ มอื จ้ี อปุ สมั บนั มคี วามประสงคจ์ ะยงั อปุ สมั บนั ใหห้ วั เราะ ถกู ตอ้ งกายดว้ ยกาย ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ อนาบัติ ๑.ภกิ ษไุ มป่ ระสงคจ์ ะใหห้ วั เราะ เมอ่ื มกี จิ จำเปน็ ถกู ตอ้ งเขา้ ๒.ภกิ ษุ วกิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์ เอานิ้วมือจี้ภิกษุสัตตรสวัคคีย์ (พวก ๑๗) รูปหนึ่ง เธอหวั เราะจนเหนอ่ื ย หายใจไมท่ นั ถงึ ขาดใจตาย พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั ิ

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๓๗ สกิ ขาบทวา่ ภกิ ษจุ ภ้ี กิ ษตุ อ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ องค์แห่งอาบัติ ๑.อธิบายจะเล่นสนุก ๒.ต้องกายอุปสัมบันด้วยกายตน พร้อมด้วยองค์ ๒ ดังนี้ จึงเป็นปาจิตตีย์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๒๔). ปาจติ ตยี ์ สรุ าปานวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ อทุ ะเก หสั สะธมั เม ปาจติ ตยิ งั ..... “เปน็ ปาจติ ตยี ์ ในเพราะธรรม คอื หวั เราะในนำ้ .” วภิ งั ค์ ที่ชื่อว่า ธรรม คือ หัวเราะในน้ำ ความว่า ในน้ำลึกพ้นข้อเท้าขึ้นไป ภกิ ษมุ คี วามประสงคจ์ ะรน่ื เรงิ ดำลงกด็ ี ผดุ ขน้ึ กด็ ี วา่ ยไปกด็ ี ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ ภกิ ษเุ ลน่ นำ้ ตน้ื ใตข้ อ้ เทา้ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ภกิ ษเุ ลน่ เรอื ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ภกิ ษเุ อามอื วกั นำ้ กด็ ี เอาเทา้ แกวง่ นำ้ กด็ ี เอาไมข้ ดี นำ้ กด็ ี เอากระเบอ้ื ง ปานำ้ เลน่ กด็ ี ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ นำ้ นำ้ สม้ นำ้ นม เปรยี ง นำ้ ยอ้ ม นำ้ ปสั สาวะ หรอื นำ้ โคลน ซง่ึ ขงั อยใู่ น ภาชนะ ภกิ ษเุ ลน่ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ อนาบัติ ๑.ภกิ ษไุ มป่ ระสงคจ์ ะเลน่ แตเ่ มอ่ื มกี จิ จำเปน็ ลงนำ้ แลว้ ดำลงกด็ ผี ดุ ขน้ึ กด็ ี วา่ ยไปกด็ ี ๒.ภกิ ษผุ จู้ ะขา้ มฟาก ดำลงกด็ ี ผดุ ขน้ึ กด็ ี วา่ ยไปกด็ ี ๓.มอี นั ตราย ๔.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๕.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล.

๑๓๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุสัตตรสวัคคีย์ (ภิกษุพวก ๑๗) ลงเล่นน้ำในแม่น้ำอจิรวดี พระเจ้าปเสนทิโกศล ออกอุบายฝากน้ำอ้อยงบไปถวายพระพุทธเจ้า เพื่อให้ ทรงทราบว่าภิกษุเหล่านี้ไปเล่นน้ำ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท หา้ มภกิ ษวุ า่ ยนำ้ เลน่ ทรงปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ . องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.นำ้ ลกึ ทว่ มขอ้ เทา้ ๒.ลงเลน่ ประสงคจ์ ะสนกุ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๒ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๒๔). ปาจติ ตยี ์ สรุ าปานวรรค สกิ ขาบทท่ี ๔ อะนาทะรเิ ย ปาจติ ตยิ งั ..... “เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะความไม่เอื้อเฟื้อ.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ ความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื ไดแ้ ก่ ความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื ๒ อยา่ ง คอื ๑.ความ ไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื ในบคุ คล ๒.ความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื ในธรรม ทช่ี อ่ื วา่ ความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื ในบคุ คล ไดแ้ ก่ ภกิ ษผุ อู้ นั อปุ สมั บนั วา่ กลา่ ว อยดู่ ว้ ยพระบญั ญตั ิ แสดงความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื โดยอา้ งวา่ ทา่ นผนู้ ถ้ี กู ยกวตั ร ถกู ดหู มน่ิ หรอื ถกู ตเิ ตยี น เราจกั ไมท่ ำตามถอ้ ยคำของทา่ นผนู้ ้ี ดงั น้ี ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ ทช่ี อ่ื วา่ ความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื ในธรรม ไดแ้ ก่ ภกิ ษผุ อู้ นั อปุ สมั บนั วา่ กลา่ ว อยู่ด้วยพระบัญญัติ แสดงความไม่เอื้อเฟื้อโดยอ้างว่า ไฉน ธรรมข้อนี้จะพึง เสื่อมสูญหาย หรืออันตรธานเสีย ดังนี้ก็ดี ไม่ประสงค์จะศึกษาพระบัญญัตินั้น จงึ แสดงความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื กด็ ี ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๓๙ อนาบัติ ๑.ภกิ ษกุ ลา่ วชเ้ี หตวุ า่ อาจารยท์ ง้ั หลายของพวกขา้ พเจา้ เรยี นมาอยา่ งน้ี สอบถามมาอยา่ งน้ี ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระฉันนะประพฤติอนาจาร ภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวตักเตือนกลับไม่ เออ้ื เฟอ้ื ขนื ทำตอ่ ไป พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษไุ มเ่ ออ้ื เฟอ้ื ในวนิ ยั ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.อปุ สมั บนั ตกั เตอื นวา่ กลา่ วดว้ ยบญั ญตั ิ ๒.ทำความไมเ่ ออ้ื เฟอ้ื พรอ้ มดว้ ยองค์ ๒ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๒๕). ปาจติ ตยี ์ สรุ าปานวรรค สกิ ขาบทท่ี ๕ โย ปะนะ ภิกขุ ภิกขงุ ภงิ สาเปยยะ, ปาจติ ตยิ งั . “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดหลอนซง่ึ ภกิ ษุ เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” วภิ งั ค์ บทว่า หลอน ความว่า อุปสัมบันมุ่งจะหลอนอุปสัมบัน แสดงรูปก็ดี เสยี งกด็ ี กลน่ิ กด็ ี รสกด็ ี โผฏฐพั พะกด็ ๑ี เธอผถู้ กู หลอนนน้ั จะตกใจกต็ าม ไมต่ กใจ ก็ตาม ต้องอาบัติปาจิตตีย์. อุปสัมบันมุ่งจะหลอนอุปสัมบัน บอกเล่าทางกันดารเพราะโจรก็ดี ทางกันดารเพราะสัตว์ร้ายก็ดี ทางกันดารเพราะปีศาจก็ดี เธอจะตกใจก็ตาม ไม่ตกใจก็ตาม ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ๑ นำรปู เสยี ง กลน่ิ รส หรอื โผฏฐพั พะทน่ี า่ กลวั เขา้ ไปใกล้ (พระวนิ ยั ปฎิ กแปล มจร. ๑ / ๑๔๗-๙ / ๑๗๘).

๑๔๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนาบัติ ๑.ภิกษุไม่ประสงค์จะหลอน แต่แสดงรูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี รสก็ดี โผฏฐัพพะก็ดี หรือบอกเล่าทางกันดารเพราะโจร ทางกันดารเพราะสัตว์ร้าย ทางกนั ดาร เพราะปศี าจ ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุฉัพพัคคีย์ (พวก ๖) หลอกภิกษุสัตตรสวัคคีย์ (พวก ๑๗) ให้ กลวั ผจี นรอ้ งไห้ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษทุ ำภกิ ษใุ หก้ ลวั ต้องปาจิตตีย์. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ผทู้ จ่ี ะหลอนนน้ั เปน็ อปุ สมั บนั ๒.พยายามดว้ ยหวงั จะใหอ้ ปุ สมั บนั นน้ั กลวั ในวสิ ยั ทเ่ี ธอจะเหน็ และไดย้ นิ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๒ ดงั นจ้ี งึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๒๖). ปาจติ ตยี ์ สรุ าปานวรรค สกิ ขาบทท่ี ๖ โย ปะนะ ภกิ ขุ อะคลิ าโน วสิ วี ะนาเปกโข โชตงิ ..... “อนึ่ง ภิกษุใดมิใช่ผู้อาพาธ มุ่งการผิง ติดก็ดี ให้ติดก็ดี ซง่ึ ไฟ เวน้ ไวแ้ ตป่ จั จยั มอี ยา่ งนน้ั เปน็ รปู เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” อนาบัติ ๑.ภกิ ษอุ าพาธ ๒.ภกิ ษผุ งิ ไฟทผ่ี อู้ น่ื ตดิ ไว้ ๓.ภกิ ษผุ งิ ถา่ นไฟทป่ี ราศจาก เปลว ๔.ภิกษุตามประทีปก็ดี ก่อไฟใช้อย่างอื่นก็ดี ติดไฟในเรือนไฟก็ดี เพราะมีเหตุเห็นปานนั้น ๕.มีอันตราย (มีสัตว์ร้าย เนื้อร้าย หรอื อมนษุ ยม์ าทำรา้ ย) ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล.

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๔๑ เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษทุ ง้ั หลายกอ่ ไฟผงิ ในฤดหู นาว งรู อ้ นออกจากโพรงไลก่ ดั ภกิ ษแุ ตก หนีกระจายไป พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุก่อไฟเองก็ดี ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื กอ่ ไฟกด็ ี เพอ่ื จะผงิ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ภายหลงั ทรงอนญุ าตใหท้ ำได้ เมอ่ื เปน็ ไข.้ (ผงิ ไฟทค่ี นอน่ื เขากอ่ ไวแ้ ลว้ ไมผ่ ดิ ) องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ไมเ่ ปน็ ไข้ ๒.ไมม่ เี หตทุ พ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงอนญุ าต ๓.ใครจ่ ะผงิ ๔.ตดิ เองหรอื ใหผ้ อู้ น่ื ตดิ ใหโ้ พลงขน้ึ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๔ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๒๖).

๑๔๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ปาจติ ตยี ์ สรุ าปานวรรค สกิ ขาบทท่ี ๗ โย ปะนะ ภกิ ขุ โอเรนฑั ฒะมาสงั นะหาเยยยะ อญั ญตั ร๎ ะ สะมะยา..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด ยงั หยอ่ นกง่ึ เดอื นอาบนำ้ เวน้ ไวแ้ ตส่ มยั เปน็ ปาจติ ตยี ์ นส้ี มยั ในเรอ่ื งนน้ั เดอื นกง่ึ ทา้ ยฤดรู อ้ น เดอื นตน้ แหง่ ฤดฝู น สองเดอื นกง่ึ น้ี เปน็ คราวรอ้ น เปน็ คราวกระวนกระวาย คราวเจบ็ ไข้ คราวทำการงาน คราวไปทางไกล คราวฝนมากบั พายุ นส้ี มยั ในเรอ่ื งนน้ั .” อนาบัติ ๑.ภกิ ษอุ าบนำ้ ในสมยั ๒.ภกิ ษอุ าบนำ้ ในเวลากง่ึ เดอื น ๓.ภกิ ษอุ าบนำ้ ในเวลาเกนิ กง่ึ เดอื น ๔.ภกิ ษขุ า้ มฟากอาบนำ้ ๕.ภกิ ษอุ าบนำ้ ในปจั จนั ตชนบท ทุกๆ แห่ง ๖.ภิกษุอาบน้ำเพราะมีอันตราย ๗.ภิกษุวิกลจริต ๘.ภิกษุ อาทกิ ัมมกิ ะ ไม่ตอ้ งอาบัตแิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุทั้งหลายอาบน้ำในแม่น้ำตโปทา พระเจ้าพิมพิสาร ก็เสด็จไป จะสนานพระเกศาทรงรออยู่ ภิกษุเหล่านั้นอาบอยู่จนค่ำ พระองค์จึงได้สนาน พระเกศา และกลบั ไปไมท่ นั ประตเู มอื งปดิ ตอ้ งทรงพกั คา้ งแรมอยนู่ อกเมอื ง พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทหา้ มภกิ ษอุ าบนำ้ กอ่ น กำหนดกึ่งเดือน ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด ภายหลังทรง อนญุ าตใหอ้ าบนำ้ ไดก้ อ่ นกำหนดระยะกง่ึ เดอื น ในเมอ่ื มเี หตจุ ำเปน็ เชน่ รอ้ นจดั เจบ็ ไข้ [ในประเทศเราไมเ่ กย่ี วกบั สกิ ขาบทน้ี เพราะทรงอนญุ าตให้ อาบนำ้ ได้ เปน็ นติ ย์ ทว่ั ปจั จนั ตชนบท (ในปจั จนั ตชนบท คอื นอกเขตตอนกลางของอนิ เดยี ) ตามคำขอของพระมหากจั จายนะ ซง่ึ สง่ ขา่ วฝากลกู ศษิ ย์ (คอื พระโสณกฏุ กิ ณั ณะ) มาทลู ขอ. (ดรู ายละเอยี ดเกย่ี วกบั เรอ่ื งนใ้ี นหนา้ ๒๔๔)]

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๔๓ ปาจติ ตยี ์ สรุ าปานวรรค สกิ ขาบทท่ี ๘ นะวมั ปะนะ ภกิ ขนุ า จวี ะระลาเภนะ ตณิ ณงั ทพุ พณั ณะกะระณาณงั ..... “อนึ่ง ภิกษุได้จีวรมาใหม่ พึงถือเอาวัตถุสำหรับทำให้ เสยี สี ๓ อยา่ ง อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ คอื ของเขยี วครามกไ็ ด้ ตมกไ็ ด้ ของดำคลำ้ กไ็ ด้ ถา้ ภกิ ษไุ มถ่ อื เอาวตั ถสุ ำหรบั ทำใหเ้ สยี สี ๓ อยา่ ง อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ใชจ้ วี รใหม่ เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” วภิ งั ค์ พากย์ว่า ถ้าภิกษุไม่ถือเอาวัตถุสำหรับทำให้เสียสี ๓ อย่าง อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ นน้ั ความวา่ ภกิ ษไุ มถ่ อื เอาวตั ถสุ ำหรบั ทำใหเ้ สยี สี ๓ อยา่ ง อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ (ทำเปน็ วงกลม) โดยทส่ี ดุ แมด้ ว้ ยปลายหญา้ คา แลว้ ใชจ้ วี รใหม่ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. อนาบัติ ๑.ภกิ ษถุ อื เอาแลว้ นงุ่ หม่ ๒.ภกิ ษนุ งุ่ หม่ จวี รทม่ี เี ครอ่ื งหมายหายสญู ไป ๓.ภิกษุนุ่งห่มจีวรที่มีโอกาสทำเครื่องหมายไว้แต่จางไป ๔.ภิกษุนุ่งห่มจีวรที่ ยงั มไิ ดท้ ำเครอ่ื งหมายแตเ่ ยบ็ ตดิ กบั จวี รทท่ี ำเครอ่ื งหมายแลว้ ๕.ภกิ ษนุ งุ่ หม่ ผา้ ปะ ๖.ภกิ ษนุ งุ่ หม่ ผา้ ทาบ ๗.ภกิ ษใุ ชผ้ า้ ดาม ๘.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๙.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษแุ ละปรพิ าชก เดนิ ทางจากเมอื งสาเกตมาสเู่ มอื งสาวตั ถี โจรปลน้ ระหวา่ งทาง เจา้ หนา้ ทจ่ี บั โจรไดพ้ รอ้ มทง้ั ของกลาง จงึ ขอใหภ้ กิ ษไุ ปเลอื กจวี รของ

๑๔๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ตนทถ่ี กู ชงิ ไป ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั จำไมไ่ ด้ เปน็ ทต่ี เิ ตยี น จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษุ ไดจ้ วี รใหมม่ า พงึ ถอื เอาเครอ่ื งทำใหเ้ สยี สี สใี ดสหี นง่ึ ใน ๓ สี คอื สคี ราม สโี คลน สดี ำคลำ้ (มาทำเครอ่ื งหมาย) ถา้ ไมท่ ำอยา่ งนน้ั ใชจ้ วี รใหม่ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ผา้ ดงั วา่ ไมไ่ ดท้ ำกปั ปพนิ ทุ ๒.ไมใ่ ชผ่ มู้ จี วี รหายเปน็ ตน้ ๓.นงุ่ หรอื หม่ ผา้ นน้ั พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๒๘). ปาจติ ตยี ์ สรุ าปานวรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขสุ สะ วา ภกิ ขนุ ยิ า วา สกิ ขะมานายะ..... “อนึ่ง ภิกษุใดวิกัปจีวรเอง แก่ภิกษุก็ดี ภิกษุณีก็ดี สิกขมานาก็ดี สามเณรก็ดี สามเณรีก็ดี แล้วใช้สอยจีวรนั้น ซง่ึ ไมใ่ หเ้ ขาถอนกอ่ น เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ วกิ ปั (โดยใจความกค็ อื ทำใหเ้ ปน็ ของสองเจา้ ของ) มี ๒ อยา่ ง คอื วกิ ปั ตอ่ หนา้ ๑ วกิ ปั ลบั หลงั ๑. ที่ชื่อว่า วิกัปต่อหน้า คือ กล่าวคำว่า ข้าพเจ้าวิกัปจีวรผืนนี้แก่ท่าน หรือว่าข้าพเจ้าวิกัปจีวรผืนนี้แก่สหธรรมิกผู้มีชื่อนี้. ทช่ี อ่ื วา่ วกิ ปั ลบั หลงั คอื กลา่ วคำวา่ ขา้ พเจา้ ใหจ้ วี รผนื นแ้ี กท่ า่ นเพอ่ื ช่วยวิกัป ภิกษุผู้รับวิกัปนั้นพึงถามว่า ใครเป็นมิตรหรือเป็นผู้เคยเห็นของท่าน พงึ ตอบวา่ ทา่ นผมู้ ชี อ่ื น้ี และทา่ นผมู้ ชี อ่ื น้ี ภกิ ษผุ รู้ บั วกิ ปั นน้ั พงึ กลา่ ววา่ ขา้ พเจา้ ให้แก่ภิกษุมีชื่อนั้นและภิกษุมีชื่อนั้น จีวรผืนนี้เป็นของภิกษุเหล่านั้น ท่านจง ใชส้ อยกต็ าม จงสละกต็ าม จงทำตามปจั จยั กต็ าม. ที่ชื่อว่า ซึ่งไม่ให้เขาถอนก่อน คือ ภิกษุใช้สอยจีวรที่ผู้รับวิกัปนั้น ยงั มไิ ดค้ นื ให้ หรอื ไมว่ สิ าสะแกภ่ กิ ษผุ รู้ บั วกิ ปั นน้ั ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๔๕ อนาบัติ ๑.ภิกษุใช้สอยจีวรที่ภิกษุผู้รับวิกัปคืนให้ หรือวิสาสะแก่ภิกษุผู้รับวิกัป ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระอปุ นนั ทศากยบตุ ร วกิ ปั จวี รกบั ภกิ ษอุ น่ื แลว้ ยงั ไมไ่ ดถ้ อน ใชจ้ วี รนน้ั พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุวิกัปจีวร กับภิกษุ, ภิกษุณี, นางสิกขมานา, สามเณร, หรือ สามเณรี แล้วใช้สอยจีวรนั้นที่ยังมิได้ถอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ไมป่ จั จทุ ธรณ(์ ถอนคนื )ผา้ ทต่ี นวกิ ปั ไว้ ๒.ผา้ นน้ั กวา้ งยาวพอวกิ ปั ๓.บรโิ ภคนงุ่ หม่ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั นจ้ี งึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๒๘). ปาจติ ตยี ์ สรุ าปานวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๐ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขสุ สะ ปตั ตงั วา จวี ะรงั วา นสิ ที ะนงั ..... “อนึ่ง ภิกษุใด ซ่อนก็ดี ให้ซ่อนก็ดี ซึ่งบาตรก็ดี จีวรก็ดี ผา้ ปนู ง่ั กด็ ี กลอ่ งเขม็ กด็ ี ประคดเอวกด็ ขี องภกิ ษุ โดยทส่ี ดุ แมห้ มาย จะหวั เราะ เปน็ ปาจิตตยี .์ ” อนาบัติ ๑.ภิกษุไม่มีความประสงค์จะหัวเราะ ๒.ภิกษุเก็บบริขารที่ผู้อื่นวางไว้ ไม่ดี ๓.ภิกษุเก็บไว้ด้วยหวังสั่งสอนแล้วจึงจะคืนให้ ๔.ภิกษุวิกลจริต ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล.

๑๔๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ (พวก ๖) ซอ่ นบาตรบา้ ง จวี รบา้ ง ของภกิ ษสุ ตั ตรสวคั คยี ์ (พวก ๑๗) ซึ่งไม่ค่อยเก็บงำบริขาร (เครื่องใช้) ของตนให้เรียบร้อย พระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติ สิกขาบทว่าภิกษุซ่อนบาตร, จีวร, กล่องเข็ม ประคตเอวของภกิ ษุ แมเ้ พอ่ื จะหวั เราะเลน่ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ซ่อนบาตรเป็นตน้ เปน็ ของอปุ สมั บัน ๒.ใคร่จะใหเ้ จา้ ของลำบากหรอื จะหวั เราะเลน่ พร้อมด้วยองค์ ๒ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๒๙). ๗.สปั ปาณวรรค วรรควา่ ดว้ ยสตั วม์ ชี วี ติ เปน็ วรรคท่ี ๗ มี ๑๐ สกิ ขาบท ปาจติ ตยี ์ สปั ปาณวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑ โย ปะนะ ภกิ ขุ สญั จจิ จะ ปาณงั ชวี ติ า โวโรเปยยะ, ปาจติ ตยิ งั . “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด แกลง้ พรากสตั วจ์ ากชวี ติ เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” อนาบัติ ๑.ภกิ ษไุ มแ่ กลง้ พราก ๒.ภกิ ษพุ รากดว้ ยไมม่ สี ติ ๓.ภกิ ษไุ มร่ ู้ ๔.ภกิ ษุ ไมป่ ระสงคจ์ ะใหต้ าย ๕.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๖.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ๗.ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระอทุ ายเี กลยี ดกา จงึ ยงิ กา ตดั ศรี ษะเสยี บไวใ้ นหลาว พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษุ จงใจฆา่ สตั ว์ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๔๗ ปาจติ ตยี ์ สปั ปาณวรรค สกิ ขาบทท่ี ๒ โย ปะนะ ภกิ ขุ ชานงั สปั ปาณะกัง อุทะกงั ปะริภญุ เชยยะ, ปาจิตตยิ งั . “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด รอู้ ยู่ บรโิ ภค๑นำ้ มตี วั สตั ว์ เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” วภิ งั ค์ ภกิ ษรุ อู้ ยู่ คอื รวู้ า่ สตั วท์ ง้ั หลายจกั ตายเพราะการบรโิ ภคดงั น้ี บรโิ ภค ต้องอาบัติปาจิตตีย์. อนาบัติ ๑.ภกิ ษไุ มร่ วู้ า่ นำ้ มตี วั สตั ว์ ๒.ภกิ ษรุ วู้ า่ นำ้ ไมม่ ตี วั สตั ว์ คอื รวู้ า่ สตั วจ์ กั ไมต่ ายเพราะการบรโิ ภค ดงั น้ี บรโิ ภค ๓.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๔.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษพุ วก ๖ รอู้ ยใู่ ชน้ ำ้ มตี วั สตั ว์ เปน็ ทต่ี เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรง บญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษรุ อู้ ยใู่ ชน้ ำ้ มตี วั สตั ว์ ตอ้ งปาจติ ตยี .์ ปาจติ ตยี ์ สปั ปาณวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ โย ปะนะ ภิกขุ ชานัง ยะถาธัมมัง นีหะตาธิกะระณัง..... “อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ ฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรม เพื่อทำอีก เป็นปาจิตตีย์.” ๑บรโิ ภคหมายถงึ ดม่ื ใชล้ า้ งบาตร เอาบาตรขา้ วตม้ รอ้ นแชใ่ หเ้ ยน็ อาบ หรอื แมล้ งไปลยุ นำ้ ในตระพงั ในสระโบกขรณี ทำใหเ้ กดิ คลน่ื (ว.ิ อ. ๒ / ๓๘๗ / ๔๑๒)

๑๔๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนาบัติ ๑.ภกิ ษรุ อู้ ยวู่ า่ ทำกรรมโดยไมเ่ ปน็ ธรรม โดยเปน็ วรรค หรอื ทำแกบ่ คุ คล ผไู้ มค่ วรแกก่ รรม ดงั น้ี ฟน้ื ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษพุ วก ๖ รอู้ ยฟู่ น้ื อธกิ รณ์ ทช่ี ำระถกู ตอ้ งตามธรรมแลว้ เพอ่ื ใหช้ ำระ ใหม่ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษรุ อู้ ยู่ รอ้ื ฟน้ื อธกิ รณ์ ทช่ี ำระ ถูกต้องตามธรรมแล้วเพื่อให้ชำระใหม่ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.อธกิ รณส์ งฆร์ ำงบั แลว้ ตามธรรม ๒.รอู้ ยวู่ า่ สงฆร์ ำงบั แลว้ ๓. เลกิ เสยี พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๓๑). ปาจติ ตยี ์ สปั ปาณวรรค สกิ ขาบทท่ี ๔ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขสุ สะ ชานงั ทฏุ ฐลลงั อาปตั ตงิ ..... “อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ ปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ เป็นปาจิตตีย์.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ อาบตั ชิ ว่ั หยาบ ไดแ้ ก่ อาบตั ปิ าราชกิ ๔ และอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ๑๓. อนาบัติ ๑.ภกิ ษคุ ดิ เหน็ วา่ ความบาดหมางกด็ ี ความทะเลาะกด็ ี ความแกง่ แยง่ กด็ ี การวิวาทก็ดี จักมีแก่สงฆ์ แล้วไม่บอก ๒.ไม่บอกด้วยคิดเห็นว่าสงฆ์จัก แตกแยกกนั หรอื จกั รา้ วรานกนั ๓.ไมบ่ อกดว้ ยคดิ เหน็ วา่ ภกิ ษรุ ปู นเ้ี ปน็ ผโู้ หดรา้ ย

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๔๙ หยาบคาย จกั ทำอนั ตรายชวี ติ หรอื อนั ตรายพรหมจรรย์ ๔.ไมพ่ บภกิ ษอุ น่ื ท่ี สมควรจงึ ไมบ่ อก ๕.ไมต่ ง้ั ใจจะปดิ แตย่ งั ไมไ่ ดบ้ อก ๖.ไมบ่ อกดว้ ยคดิ เหน็ วา่ จักปรากฏเอง ด้วยการกระทำของตน ๗.ภิกษุวิกลจริต ๘.ภิกษุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ พระอปุ นนั ทศากยบตุ ร ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสแลว้ บอกกบั ภกิ ษอุ น่ื ขอให้ ชว่ ยปกปดิ ดว้ ย ภกิ ษนุ น้ั กช็ ว่ ยปกปดิ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษรุ อู้ ยปู่ กปดิ อาบตั ชิ ว่ั หยาบของภกิ ษุ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ องค์แห่งอาบัติ ๑.รู้อยู่ว่าอุปสัมบันต้องทุฏฐุลลาบัติ ๒.ปลงธุระเสียว่า เราจักไม่บอกแก่ผู้อื่น ด้วยหวังจะช่วยปิดไว้ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๒ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๓๒). ปาจติ ตยี ์ สปั ปาณวรรค สกิ ขาบทท่ี ๕ โย ปะนะ ภกิ ขุ ชานงั อนู ะวสี ะตวิ สั สงั ปคุ คะลงั ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด รอู้ ยู่ ยงั บคุ คลมปี หี ยอ่ น ๒๐ ใหอ้ ปุ สมบท บคุ คลนน้ั ไมเ่ ปน็ อปุ สมั บนั ดว้ ย ภกิ ษทุ ง้ั หลายนน้ั ถกู ตเิ ตยี นดว้ ย นี้เป็นปาจิตตีย์ในเรื่องนั้น.” อนาบัติ ๑.บคุ คลมอี ายหุ ยอ่ น ๒๐ ปี ภกิ ษสุ ำคญั วา่ มอี ายคุ รบ ๒๐ ปี ใหอ้ ปุ สมบท ๒.บคุ คลมอี ายคุ รบ ๒๐ ปี๑ ภกิ ษสุ ำคญั วา่ มอี ายคุ รบ ๒๐ ปี ใหอ้ ปุ สมบท ๓.ภกิ ษุ วกิ ลจรติ ๔.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. ๑ อายคุ รบ ๒๐ ปี กำหนดนบั เอาตง้ั แตว่ นั ทถ่ี อื ปฏสิ นธิ จติ ดวงแรกเกดิ ในครรภม์ ารดา (ว.ิ อ. ๒ / ๔๐๔ / ๔๑๕-๖)

๑๕๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษทุ ง้ั หลายใหเ้ ดก็ ๆ บรรพชาอปุ สมบท เดก็ ๆ เหลา่ นน้ั ลกุ ขน้ึ รอ้ งไห้ ขออาหารกนิ ในเวลากลางคนื เพราะทนหวิ ไมไ่ หว พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั ิ สิกขาบทว่า ภิกษุรู้อยู่ ให้บุคคลมีอายุต่ำกว่า ๒๐ อุปสมบท ผู้นั้นไม่เป็นอัน อุปสมบท ภิกษุทั้งหลาย (ที่นั่งเป็นพยาน) ต้องถูกติเตียน และในข้อนั้นภิกษุ (ผเู้ ปน็ อปุ ชั ฌายะใหบ้ วช) ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ ปาจติ ตยี ์ สปั ปาณวรรค สกิ ขาบทท่ี ๖ โย ปะนะ ภกิ ขุ ชานงั เถยยะสตั เถนะ สทั ธงิ สงั วธิ ายะ..... “อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ ชักชวนแล้ว เดินทางไกลด้วยกันกับ พวกเกวยี น พวกตา่ งผเู้ ปน็ โจร โดยทส่ี ดุ แมส้ น้ิ ระยะบา้ นหนง่ึ เปน็ ปาจิตตีย์.” อนาบัติ ๑.ภิกษุไม่ได้ชักชวนกันไป ๒.คนทั้งหลายชักชวน ภิกษุมิได้ชักชวน ๓.ไปผดิ วนั ผดิ เวลา ๔.มอี นั ตราย ๕.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๖.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ รอู้ ยู่ ชวนพอ่ คา้ ผหู้ นภี าษี เดนิ ทางรว่ มกนั พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษรุ อู้ ยู่ ชวนผเู้ ปน็ โจร เดนิ ทางไกลรว่ มกนั แมส้ น้ิ ระยะบ้านหนึ่ง ต้องอาบตั ิปาจิตตีย์. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.เปน็ พวกโจร ๒.รอู้ ยู่ ๓.ชกั ชวนกนั ทง้ั สองขา้ ง ๔.ไปลว่ งอปุ จารบา้ นอน่ื หรอื ลว่ งกง่ึ โยชนไ์ มผ่ ดิ สงั เกต พรอ้ มดว้ ยองค์ ๔ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๓๓).

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๕๑ ปาจติ ตยี ์ สปั ปาณวรรค สกิ ขาบทท่ี ๗ โย ปะนะ ภกิ ขุ มาตคุ าเมนะ สทั ธงิ สงั วธิ ายะ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด ชกั ชวนแลว้ เดนิ ทางไกลดว้ ยกนั กบั มาตคุ าม โดยที่สุดแม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง เป็นปาจิตตีย์” อนาบัติ ๑.ภิกษุไม่ได้ชักชวนกันไป ๒.มาตุคามชักชวน ภิกษุไม่ได้ชักชวน ๓.ภกิ ษไุ ปผดิ วนั ผดิ เวลา ๔.มอี นั ตราย ๕.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๖.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางผ่านโกศลชนบท จะไปสู่กรุงสาวัตถี ถึงหมู่บ้าน แห่งหนึ่ง สตรีคนหนึ่งทะเลาะกับสามีขอเดินทางร่วมไปกับภิกษุนั้นด้วย สามี ติดตามมาพบจึงได้ทำร้ายภิกษุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภกิ ษชุ วนผหู้ ญงิ เดนิ ทางไกลรว่ มกนั แมส้ น้ิ ระยะบา้ นหนง่ึ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี .์ องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ชกั ชวนดว้ ยกนั ทง้ั สองขา้ ง แลว้ เดนิ ทางไป ๒.ไมผ่ ดิ สงั เกต ๓. ลว่ งอปุ จารบา้ นอน่ื หรอื ลว่ งกง่ึ โยชน์ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาจติ ตยี ์ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๒๓๔).

๑๕๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ปาจติ ตยี ์ สปั ปาณวรรค สกิ ขาบทท่ี ๘ โย ปะนะ ภกิ ขุ เอวงั วะเทยยะ “ตะถาหงั ภะคะวะตา..... “อนึ่ง ภิกษุใด กล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่าเป็นธรรม ทำอนั ตรายไดอ้ ยา่ งไร ธรรมเหลา่ นน้ั หาอาจทำอนั ตรายแกผ่ เู้ สพ ไดจ้ รงิ ไม่ ภกิ ษนุ น้ั อนั ภกิ ษทุ ง้ั หลายพงึ วา่ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ทา่ นอยา่ ไดพ้ ดู อยา่ งนน้ั ทา่ นอยา่ ไดก้ ลา่ วตพู่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ การกลา่ ว ตพู่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไมด่ ดี อก พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไมไ่ ดต้ รสั อยา่ ง นน้ั เลย แนะ่ เธอ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ธรรมทำอนั ตรายไวโ้ ดย บรรยายเปน็ อนั มาก กแ็ ลธรรมเหลา่ นน้ั อาจทำอนั ตรายแกผ่ เู้ สพ ไดจ้ รงิ และภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ กลา่ วอยอู่ ยา่ งนน้ั ขนื ถอื อยอู่ ยา่ งนน้ั แล ภกิ ษนุ น้ั อนั ภกิ ษทุ ง้ั หลายพงึ สวดประกาศหา้ มจนหนท่ี ๓ เพอ่ื สละ การนน้ั เสยี ถา้ เธอถกู สวดประกาศหา้ มอยจู่ นหนท่ี ๓ สละการนน้ั เสยี ได้ การสละไดด้ งั น้ี นน่ั เปน็ การดี ถา้ ไมส่ ละ เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” อนาบัติ ๑.ภกิ ษผุ ไู้ มถ่ กู สวดประกาศหา้ ม ๒.ภกิ ษผุ ยู้ อมสละ ๓.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๔.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุอริฏฐะมีความเห็นผิดกล่าวตู่ว่า รู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแลว้ โดยประการทต่ี รสั วา่ เปน็ ธรรมทำอนั ตรายไดอ้ ยา่ งไร ธรรมเหลา่ นน้ั หาอาจทำอนั ตรายแกผ่ เู้ สพไดจ้ รงิ ไม๑่ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทน้ี ๑ รับสั่งว่า ”ธรรมอันตรายเรากล่าวไว้โดยบรรยายเป็นอันมากมิใช่หรือ? ธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง กามทง้ั หลาย เรากลา่ ววา่ มคี วามยนิ ดนี อ้ ย มที กุ ขม์ ากมคี วามคบั แคน้ มาก โทษในกามทง้ั หลายนม้ี ากยง่ิ นกั กามทง้ั หลาย เรากลา่ ววา่ เปรยี บเหมอื นรา่ งกระดกู ... กามทง้ั หลายเรากลา่ ววา่ เปรยี บเหมอื นชน้ิ เนอ้ื ...” (พระไตรปฎิ ก ๒/๖๖๒/๕๕๘).

คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๑๕๓ ปาจติ ตยี ์ สปั ปาณวรรค สกิ ขาบทท่ี ๙ โย ปะนะ ภกิ ขุ ชานงั ตะถาวาทนิ า ภกิ ขนุ า..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด รอู้ ยู่ กนิ รว่ มกด็ ี อยรู่ ว่ มกด็ ี สำเรจ็ การนอน ด้วยกันก็ดี กับภิกษุผู้กล่าวอย่างนั้น ยังไม่ได้ทำกรรมอันสมควร ยงั ไมไ่ ดส้ ละทฏิ ฐนิ น้ั เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” วภิ งั ค์ ที่ชื่อว่า ยังไม่ได้ทำกรรมอันสมควร คือ เป็นผู้ถูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว สงฆย์ งั ไมไ่ ดเ้ รยี กเขา้ หมู่ ทช่ี อ่ื วา่ กนิ รว่ ม หมายถงึ การคบหา มี ๒ อยา่ ง ๑.คบหากนั ในทาง อามสิ ๒.คบหากนั ในทางธรรม ทช่ี อ่ื วา่ คบหากนั ในทางอามสิ คอื ใหอ้ ามสิ กด็ ี รบั อามสิ กด็ ี ตอ้ งอาบตั ิ ปาจิตตีย์. ทช่ี อ่ื วา่ คบหากนั ในทางธรรม คอื บอกธรรมให้ หรอื ขอเรยี นธรรม. บทวา่ อยรู่ ว่ มกด็ ี ความวา่ ทำอโุ บสถกด็ ี ปวารณากด็ ี สงั ฆกรรมกด็ ี ร่วมกับภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์. อนาบัติ ๑.ภกิ ษรุ วู้ า่ ไมใ่ ชภ่ กิ ษผุ ถู้ กู สงฆย์ กวตั ร ๒.ภกิ ษรุ วู้ า่ ภกิ ษถุ กู สงฆย์ กวตั ร แต่สงฆ์เรียกเข้าหมู่แล้ว ๓.ภิกษุรู้ว่าภิกษุถูกสงฆ์ยกวัตรแล้ว แต่ละทิฏฐิ นน้ั แลว้ ๔.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๕.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ ยงั คบหาพระอรฏิ ฐะ ผกู้ ลา่ วตพู่ ระธรรมวนิ ยั ผยู้ งั ไมย่ อม

๑๕๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ละทง้ิ ความเหน็ ผดิ นน้ั พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทหา้ มคบหา้ มอยรู่ ว่ ม หา้ มนอนรว่ มกบั ภกิ ษเุ ชน่ นน้ั ทรงปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ ปาจติ ตยี ์ สปั ปาณวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑๐ สะมะณทุ เทโสปิ เจ เอวงั วะเทยยะ “ตะถาหงั ภะคะวะตา..... “ถา้ แมส้ มณทุ เทส๑กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ขา้ พเจา้ รทู้ ว่ั ถงึ ธรรมท่ี พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่าเป็นธรรม ทำอนั ตรายไดอ้ ยา่ งไร ธรรมเหลา่ นน้ั หาอาจทำอนั ตรายแกผ่ เู้ สพ ได้จริงไม่สมณุทเทสนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส สมณุทเทส เธออย่าได้พูดอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวตู่ พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีดอก พระผู้มี พระภาคไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย. อาวุโส สมณุทเทส พระผู้มี พระภาค ตรัสธรรม ทำอันตรายไว้โดยบรรยายเป็นอันมาก ก็แลธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง และ สมณุทเทสนั้นอันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนั้น ขืนถือ อยอู่ ยา่ งนน้ั เทยี ว สมณทุ เทสนน้ั อนั ภกิ ษทุ ง้ั หลายพงึ วา่ กลา่ วอยา่ ง นี้ว่า แน่ะอาวุโส สมณุทเทส เธออย่าอ้างพระผู้มีพระภาค นั้นว่าเป็นพระศาสดาของเธอ ตั้งแต่วันนี้ไป และพวก สมณทุ เทสอน่ื ยอ่ มไดก้ ารนอนรว่ มเพยี ง ๒-๓ คนื กบั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อันใด แม้กิริยาที่ได้การนอนร่วมนั้นไม่มีแก่เธอ เจ้าคนเสีย เจ้าจงไป เจ้าจงฉิบหายเสีย. อนึ่งภิกษุใด รู้อยู่ เกลี้ยกล่อม สมณุทเทสผู้ถูกให้ฉิบหายเสียอย่างนั้น แล้วให้อุปัฏฐากก็ดี กนิ รว่ มกด็ ี สำเรจ็ การนอนรว่ มกด็ ี เปน็ ปาจติ ตยี .์ ” ๑ สมณทุ เทส ในทน่ี ้ี หมายถงึ สามเณร พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook