Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน (อริยวินัย)

พุทธวจน (อริยวินัย)

Published by Sarapee District Public Library, 2020-06-09 00:16:23

Description: พุทธวจน (อริยวินัย)

Keywords: พุทธวจน,ธรรมะ

Search

Read the Text Version

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๐๕ ข้อห้ามเกี่ยวกับผม ทรงหา้ มไวผ้ มเกนิ ๒ เดอื น หรอื ไวผ้ มยาวเกนิ ๒ นว้ิ อนง่ึ ทรงหา้ ม ใช้แปรง ใช้หวี ใช้มือต่างหวี ใช้น้ำมันผสมขี้ผึ้งหรือผสมน้ำใส่ผม ซง่ึ เปน็ อยา่ งคฤหสั ถผ์ บู้ รโิ ภคกาม ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกผ่ ทู้ ำเชน่ นน้ั . ข้อห้ามเกี่ยวกับการส่องกระจก ทรงหา้ มมองดเู งาหนา้ ในกระจก หรอื ในภาชนะนำ้ ทรงปรบั อาบตั ิ ทกุ กฏ ถา้ มเี หตสุ มควร เชน่ เปน็ แผลทห่ี นา้ ทรงอนญุ าตใหด้ ไู ดเ้ พอ่ื รกั ษา. ข้อห้ามทาหน้าทาตัว ทรงห้ามผัดหน้า, ไล้หน้า, ทาหน้า, เจิมหน้า, ย้อมตัว ย้อม ทง้ั ตวั ทง้ั หนา้ ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกผ่ ทู้ ำเชน่ นน้ั ใชฝ้ นุ่ ทาหนา้ เพอ่ื รกั ษาโรคได้ ห้ามดูฟ้อนรำและห้ามขับด้วยเสียงยาว ทรงหา้ มไปดฟู อ้ นรำขบั รอ้ ง หรอื การบรรเลงดนตรี ทรงหา้ มสวด ขบั ธรรมดว้ ยเสยี งขบั ยาว ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏ และทรงแสดงโทษ ๕ ประการ ของภกิ ษผุ สู้ วดธรรมดว้ ยเสยี งขบั ยาว คอื ๑. แมต้ นเองกก็ ำหนดั ในเสยี งนน้ั ๒. แมผ้ อู้ น่ื กก็ ำหนดั ในเสยี งนน้ั ๓. แมค้ หบดที ง้ั หลายกต็ ำหนิ ๔. เมอ่ื ภกิ ษพุ อใจการทำเสยี ง ความเสอ่ื มแหง่ สมาธยิ อ่ มมี ๕. ภิกษุรุ่นหลังจะพากันทำตามอย่าง แต่ทรงอนุญาตให้สวดสรภัญญะได้.

๓๐๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ห้ามห่มผ้าขนสัตว์ ทรงห้ามห่มผ้าขนสัตว์ที่มีขนอยู่ภายนอก ซึ่งคฤหัสถ์ใช้กัน ทรงปรบั อาบัติทุกกฏแก่ผู้ล่วงละเมิด. ข้อห้ามและอนุญาตเกี่ยวกับผลไม้ ทรงหา้ มฉนั มะมว่ ง เพราะภกิ ษฉุ พั พคั คยี ใ์ หค้ นสอยมะมว่ ง ในพระราช อทุ ยานของพระเจา้ พมิ พสิ าร ซง่ึ อนญุ าตใหพ้ ระฉนั ผลไมไ้ ด้ จนพระเจา้ พมิ พสิ าร จะเสวยเองกไ็ มไ่ ดเ้ สวย ตอ่ มามผี ถู้ วายภตั ฝานชน้ิ มะมว่ งไวใ้ นกบั ขา้ วทรงอนญุ าต ให้ฉันได้ ในที่สุดทรงอนุญาตให้ฉันผลไม้ได้ทุกชนิด ถ้าเป็นของควรแก่ สมณะ ๕ อย่าง คือ ๑.เอาไฟจี้ ๒.เอามีดกรีด ๓.เอาเล็บจิก (หมายถึง ที่คนอื่นทำให้) ๔.ผลไม้ที่ไม่มีเมล็ด ๕.ผลไม้ที่ปล้อนเมล็ดออกแล้ว (มรี ายละเอยี ดวธิ กี าร ในภาคผนวก เรอ่ื งสมณกปั ปะ หนา้ ๔๑๗). ตรัสสอนให้แผ่เมตตา ภิกษุถูกงูกัด ถึงแก่มรณภาพ จึงตรัสสอนให้แผ่เมตตาในสกุลพญางู ทง้ั ๔ คอื ๑. วริ ปู กั ขะ ๒. เอราปถะ ๓. ฉัพยาปุตตะ ๔. กณั หาโคตมกะ รวมทง้ั หมสู่ ตั วท์ ง้ั หลายไมเ่ ลอื กวา่ ๒ เทา้ ๔ เทา้ มเี ทา้ มาก หรอื ไมม่ เี ทา้ ขอใหส้ ตั วเ์ หลา่ นน้ั จงประสบแตส่ ง่ิ ทด่ี งี าม อยา่ ไดพ้ บความเลวรา้ ย. ห้ามตัดองคชาต ภิกษุรูปหนึ่งเกิดความกำหนัด จึงตัดองคชาตทิ้ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตเิ ตยี น ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั หา้ มตดั องคชาต ถา้ ตดั ตอ้ งอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๐๗ ข้อห้ามและอนุญาตเกี่ยวกับบาตร ทรงปรารภ พระปณิ โฑลภารทั วาชะ ผเู้ ปน็ พระอรหนั ต์ ซง่ึ ไดบ้ าตรมา เพราะแสดงฤทธิ์ พระผู้มีพระภาค ทรงทราบ จึงทรงบัญญัติพระวินัย ห้ามแสดงอิทธิปาฏิหารย์อันเป็นอุตริมนุสสธรรมแก่คฤหัสถ์ ถ้าแสดง ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ทรงสง่ั ใหท้ ำลายบาตรไมจ้ ันทนน์ น้ั เพอ่ื ใชก้ ารอยา่ งอน่ื เชน่ บดเปน็ ยาหยอดตา แลว้ ตรสั หา้ มใชบ้ าตรไม้ และปรบั อาบตั ทิ กุ กฏ แกภ่ กิ ษผุ ใู้ ช้ อนง่ึ ทรงหา้ มใชบ้ าตรทท่ี ำดว้ ยทอง เงนิ แกว้ มณี แกว้ ไพฑรู ย์ แกว้ ผลกึ สำรดิ กระจก ดบี กุ สงั กะสี ทองแดง (รวมเปน็ ๑๑ ทง้ั บาตรไม)้ ทรงอนญุ าตบาตร ๒ ชนดิ คอื บาตรเหลก็ และบาตรดนิ ทรงอนุญาตบังเวียน* เพื่อกันก้นบาตรสึก โดยให้ใช้บังเวียนธรรมดา ทท่ี ำดว้ ยดบี กุ หรอื ตะกว่ั แตไ่ มอ่ นญุ าตบงั เวยี นทท่ี ำดว้ ยทองเงนิ หรอื วจิ ติ รงดงาม บงั เวยี นรองบาตรหนาไมก่ ระชบั กบั บาตร จงึ ทรงอนญุ าตใหก้ ลงึ บงั เวยี นทท่ี ำแลว้ ยงั เปน็ คลน่ื และตรสั อนญุ าตใหจ้ กั เปน็ ฟนั มงั กร บาตรเหม็นอับเพราะเก็บบาตรทั้งที่ยังเปียกน้ำ จึงอนุญาตให้ผึ่งแล้ว นำไปเกบ็ ภกิ ษผุ ง่ึ บาตรทง้ั ทย่ี งั มนี ำ้ บาตรมกี ลน่ิ เหมน็ จงึ ทรงใหท้ ำใหห้ มดนำ้ เสยี กอ่ นผง่ึ แลว้ จงึ เกบ็ ภกิ ษผุ ง่ึ บาตรไวใ้ นทร่ี อ้ นจนผวิ บาตรเสยี จงึ ทรงหา้ มและ อนญุ าตใหผ้ ง่ึ ไวใ้ นทร่ี อ้ นครเู่ ดยี วแลว้ จงึ เกบ็ บาตรวางเกบ็ ในทแ่ี จง้ ถกู ลมพดั ตกแตก จงึ ทรงอนญุ าตเชงิ รองบาตร* ทรงหา้ มวางบาตรรมิ ตง่ั ไม้ รมิ ตง่ั ไมเ้ ลก็ นอกฝา, ภกิ ษคุ วำ่ บาตรไวท้ พ่ี น้ื ดนิ ขอบ บาตรสกึ จงึ ทรงอนญุ าตใหใ้ ชห้ ญา้ , ทอ่ นผา้ รองบาตร ตอ่ มาถกู ปลวกกดั จงึ ทรง อนญุ าตแทน่ เกบ็ บาตร มเี หตทุ บ่ี าตรตกจากแทน่ เกบ็ บาตรแตก จงึ ทรงอนญุ าต หมอ้ เกบ็ บาตร บาตรไปครดู สกี บั หมอ้ เกบ็ บาตร จงึ ทรงอนญุ าตถงุ บาตร และ สายโยก(สายสะพาย)ทเ่ี ปน็ ดา้ ยถกั ทรงหา้ มแขวนบาตร (ไวก้ บั สง่ิ ทย่ี น่ื ออกมาจากขา้ งฝา) ทรงหา้ ม เกบ็ บาตรไวบ้ นเตยี ง, บนตง่ั , บนตกั , บนรม่ , กนั เผลอสตนิ ง่ั ทบั หรอื หลน่ * ขอ้ สงั เกต มขี อ้ แตกตา่ งในการใชง้ านระหวา่ งบงั เวยี น, เชงิ รองบาตร, โตก; บงั เวยี น ใชร้ องบาตรเพอ่ื กนั กน้ บาตรสกึ , เชงิ รองบาตร ใชก้ รณวี างเกบ็ บาตรเพอ่ื กนั ลมพดั กลง้ิ ตกแตก, โตก ใชร้ องบาตรเวลาฉนั อาหาร (ดหู นา้ ๓๑๑ ประกอบ)

๓๐๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทรงห้ามผลักบานประตูเมื่อมือยังถือบาตรอยู่ ทรงหา้ มใช้ กะโหลกนำ้ เตา้ หมอ้ กระเบอ้ื ง เปน็ บาตร มภี กิ ษรุ ปู หนง่ึ ใช้ของบังสุกุลทุกอย่าง เธอใช้บาตรกะโหลกผี ชาวบ้านหวาดกลัวเพ่งโทษ จึงทรงห้ามใช้บาตรกะโหลกผี และห้ามอีกว่า ภิกษุไม่พึงใช้ของบังสุกุล ทุกอย่าง ทรงห้ามใช้บาตรรองรับเศษอาหาร หรือก้าง หรือน้ำบ้วนปาก และทรงอนญุ าตใหใ้ ช้กระโถน ขอ้ ทท่ี รงหา้ มทง้ั หมดน้ี ภกิ ษผุ ลู้ ะเมดิ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ. ทรงอนุญาตมีดและเข็ม ตอ่ จากนน้ั เลา่ เรอ่ื งทรงอนญุ าตมดี สำหรบั ตดั ผา้ พรอ้ มทง้ั อนญุ าตปลอกมดี ทรงอนญุ าตดา้ มมดี แตไ่ มอ่ นญุ าตดา้ มทท่ี ำดว้ ยทองเงนิ วจิ ติ รงดงาม ทรงอนญุ าต ดา้ มมดี ทท่ี ำดว้ ยกระดกู งา เขาสตั ว์ ไมอ้ อ้ ไมไ้ ผ่ ไมย้ าง ไมอ้ น่ื ๆ ผลไม้ โลหะ กระดองสงั ข์ ภิกษุสมัยนั้นใช้ขนไก่บ้าง ซี่ไม้ไผ่บ้างเย็บจีวร ปรากฎว่าไม่เรียบร้อย จึงทรงอนุญาตเข็ม และเพื่อป้องกันเข็มเป็นสนิม ทรงอนุญาตกล่องเข็ม และผงทใ่ี สล่ งไปกนั สนมิ รวมทง้ั อนญุ าตใหท้ าเขม็ ดว้ ยขผ้ี ง้ึ และใชผ้ า้ มดั ขผ้ี ง้ึ พอกดว้ ยฝนุ่ ศลิ า. ทรงอนุญาตและห้ามเกี่ยวกับไม้แบบหรือสะดึง ทรงอนุญาตไม้แบบหรือไม้สะดึง และเชือกขึงรัดจีวรเข้ากับไม้สะดึง แลว้ เยบ็ ตลอดจนวธิ กี ารตา่ งๆ เพอ่ื ใหก้ ารเยบ็ ผา้ เปน็ ไปโดยเรยี บรอ้ ย ทรงหา้ มเหยยี บไมส้ ะดงึ ทง้ั ทย่ี งั มไิ ดล้ า้ งเทา้ แมเ้ ทา้ ยงั เปยี กอยู่ กห็ า้ มเหยยี บ รวมทง้ั หา้ มเหยยี บไมแ้ บบ (ไมส้ ะดงึ ) ทง้ั ทใ่ี สร่ องเทา้ ทรงอนุญาตปลอกสวมนิ้วมือ เพื่อกันเข็มตำนิ้วมือในขณะเย็บผ้า

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๐๙ แตไ่ มอ่ นญุ าตปลอกสวมนว้ิ มอื ทท่ี ำดว้ ยทองเงนิ ทรงอนญุ าตเชน่ เดยี วกบั ดา้ มมดี คอื ทท่ี ำดว้ ยกระดกู เปน็ ตน้ ทรงอนญุ าตทใ่ี สเ่ ขม็ มดี และปลอกสวมนว้ิ มอื รวมทง้ั ถงุ ใสป่ ลอกสวมนว้ิ มอื สายโยกดา้ ยถกั สำหรบั คลอ้ งบา่ (เวลานำเครอ่ื งใชน้ น้ั ไป) ทรงอนญุ าตโรงไมแ้ บบ (กฐนิ ศาลา) และปะรำไมแ้ บบ อนญุ าตใหย้ กพน้ื เพอ่ื กนั นำ้ ทว่ ม อนญุ าตใหก้ อ่ คนั ดนิ ทถ่ี มยกพน้ื ดว้ ยอฐิ ศลิ า หรอื ไม้ และทรงอนญุ าต ให้มีบันไดและราวบันได ผงหญา้ ทโ่ี รงไมแ้ บบตกลงมาจากหลงั คา จงึ ทรงอนญุ าตใหใ้ ชไ้ มร้ ะแนงถ่ี ฉาบปนู และทาสี เปน็ ตน้ ตลอดจนทรงอนญุ าตใหม้ หี ว่ งแขวนจวี ร และราวจวี ร อนง่ึ เมอ่ื เสรจ็ กฐนิ แลว้ ทรงอนญุ าตใหเ้ กบ็ ไมแ้ บบใหด้ ี เชน่ ใหม้ ไี มไ้ ผ่ หรอื ดา้ มไม้ ประกบขา้ งใน เพอ่ื กนั ไมแ้ บบแตก ใหม้ เี ชอื กรดั ใหแ้ ขวนไมแ้ บบ ไวก้ บั ตะปู หรอื ขอเกย่ี วเพอ่ื กนั ตก. ทรงอนญุ าตถงุ ใสข่ อง สายคลอ้ งบา่ ผา้ กรองนำ้ และมงุ้ ทรงอนญุ าตถงุ ใสย่ า ถงุ ใสร่ องเทา้ และสายสำหรบั คลอ้ งบา่ ทรงอนญุ าต ให้ใช้ผ้ากรองน้ำ ผ้ากรองมีด้าม และกระบอกกรองน้ำ เมื่อภิกษุอื่นขอใช้ ผา้ กรองนำ้ ภกิ ษทุ ถ่ี กู ขอแลว้ ไมใ่ หต้ อ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ภกิ ษเุ ดนิ ทางไกลไมม่ ี ผ้ากรองน้ำ ต้องอาบัติทุกกฏ ถ้าไม่มีผ้ากรองน้ำหรือกระบอกกรองน้ำ ให้ใช้มุมผ้าสังฆาฏิเป็นผ้ากรองน้ำ ในการก่อสร้างใช้น้ำมาก ทรงอนุญาต ผา้ กรองนำ้ มขี อบ ขนาดใหญ่ และใหล้ าดผา้ ลงบนนำ้ ภกิ ษทุ ง้ั หลายถกู ยงุ รบกวน จงึ ทรงอนญุ าตมงุ้ . ทรงอนุญาตการจงกรมและเรือนไฟ เป็นต้น ทรงปรารภคำแนะนำของหมอชวี กโกมารภจั จ์ จงึ ทรงอนญุ าต ทจ่ี งกรม* และเรอื นไฟ (สำหรบั อบกาย) *จงกรม คือ เดินไปมาโดยมีสติกำกับ ในพระสูตรทรงตรัสอานิสส์แห่งการจงกรมไว้ ๕ ประการคือ ๑.เป็นผู้มีความ อดทนตอ่ การเดินทางไกล ๒.อดทนตอ่ การบำเพญ็ เพยี ร ๓.มีอาพาธนอ้ ย ๔.อาหารย่อยงา่ ย ๕.สมาธิทไี่ ด้เพราะการ เดนิ จงกรมตง้ั อยไู่ ดน้ าน (พระไตรปฎิ กแปลไทยฉบบั มจร. ๗ \\ ๔๑ \\ ๒๙ )

๓๑๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทรงอนญุ าตใหป้ รบั ปรงุ ทจ่ี งกรมใหด้ ขี น้ึ โดยใหท้ ำพน้ื จงกรมใหเ้ รยี บ (เพราะภกิ ษเุ ดนิ ทข่ี รขุ ระแลว้ เทา้ เจบ็ ) มโี รงจงกรมยกพน้ื กนั นำ้ ทว่ ม โดยใชอ้ ฐิ , หนิ , ไม้ เพราะขน้ึ ลงลำบาก จงึ ทรงอนญุ าตบนั ได แตภ่ กิ ษบุ างรปู พลดั ตก จงึ ทรง อนุญาตราวสำหรับยึดและรั้วรอบที่จงกรม, โรงจงกรม, อนุญาตการโบกฉาบ ด้วยดินทั้งนอกใน ทำให้มีสีขาวสีดำสีเหลืองสลักเป็นพวงดอกไม้ เถาวัลย์ ฟนั มงั กร ดอกจอกหา้ กลบี ราวจวี ร สายระเดยี งจวี ร ส่วนเรือนไฟ ทรงอนุญาตส่วนประกอบต่างๆ เช่น บานประตูและ อปุ กรณ,์ การฉาบ, ปลอ่ งไฟ ทต่ี ง้ั เตาไฟดา้ นหนง่ึ ในโรงหรอื ตรงกลาง, ไฟในเรอื น ลวกหนา้ จงึ ทรงอนญุ าตดนิ ทาหนา้ พรอ้ มอปุ กรณ์ อนญุ าตทใ่ี สน่ ำ้ , การปพู น้ื ดว้ ยอฐิ ศลิ าหรอื ไม,้ รางระบายนำ้ เพอ่ื กนั นำ้ แฉะ, ตง่ั , รว้ั , ซมุ้ การโรยกรวด ฯลฯ ทรงห้ามภิกษุเปลือยกายไหว้กัน หรือถูหลังให้กัน ตลอดจนห้าม เปลือยกายให้ของ รับของ เคี้ยวอาหาร ฉันอาหาร ลิ้มรส ดื่มน้ำ ปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้ทำเช่นนั้น ทรงอนุญาตราวจีวร สายระเดียงในเรือนไฟ และอนุญาตศาลาใกล้ เรือนไฟ... ภิกษุทั้งหลายยำเกรงที่จะทำบริกรรม (การนวด ขัดถู) ในเรือนไฟ ในนำ้ จงึ ทรง อนญุ าตเครอ่ื งกำบงั ๓ ชนดิ คอื ทก่ี ำบงั คอื เรอื นไฟ ทก่ี ำบงั คอื นำ้ ทก่ี ำบงั คอื ผา้ ทรงอนญุ าตบอ่ นำ้ เชอื กผกู ภาชนะนำ้ คนั โพง คนั ชง่ั ระหดั มอื ระหดั จกั ร ถงั ไม้ ถงั หนงั ศาลาบอ่ นำ้ การโบกฉาบ ทาสี ฝาปดิ บอ่ นำ้ ทรงอนญุ าตทอ่ี าบนำ้ ทม่ี รี างระบายนำ้ ภกิ ษอุ ายทจ่ี ะสรงนำ้ จงึ ทรง อนญุ าตใหม้ ฝี ากน้ั ดว้ ยอฐิ หนิ ไม้ ปลู าดพน้ื ดว้ ยอฐิ หนิ ไม้ แตน่ ำ้ ยงั ขงั จงึ ทรง อนญุ าตทอ่ ระบายนำ้ ภกิ ษมุ เี นอ้ื ตวั หนาวจงึ ทรงอนญุ าตใหเ้ อาผา้ ชบุ นำ้ เชด็ ตวั ทรงอนุญาต สระน้ำ และให้ก่อขอบสระได้ด้วยอิฐ ศิลา หรือไม้ ทรง อนญุ าตใหม้ บี นั ได, ราวบนั ได รางนำ้ , ทอ่ ระบายนำ้ , ทรงอนญุ าตเรอื นไฟมปี น้ั ลม. เรื่องที่นั่งที่นอนและที่ใส่อาหาร ทรงห้ามอยู่ปราศจากผ้าปูนั่งถึง ๔ เดือน ทรงปรับอาบัติทุกกฏ แกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ ทรงหา้ มนอนบนทน่ี อนทโ่ี รยดว้ ยดอกไม้

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๑๑ ทรงอนญุ าตใหร้ บั ของหอมได้ โดยใหเ้ จมิ ไวท้ บ่ี านประตหู นา้ ตา่ ง ทรง อนญุ าตใหร้ บั ดอกไมไ้ ด้ แลว้ ใหเ้ กบ็ ไวข้ า้ งหนง่ึ ในวหิ าร, ทรงอนญุ าต ผา้ สนั ถตั ขนเจยี มทเ่ี กดิ ขน้ึ แกส่ งฆ์ ไมต่ อ้ งอธษิ ฐาน หรอื วกิ ปั พระฉพั พคั คยี ฉ์ นั จงั หนั ในเตยี บชาวบา้ นเพง่ โทษตเิ ตยี น โพนทะนาวา่ ... เหมอื นพวกคฤหสั ถผ์ บู้ รโิ ภคกาม จงึ ตรสั วา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษไุ มพ่ งึ ฉนั อาหารในเตยี บ* รปู ใดฉนั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ” ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ อาพาธ เวลาฉนั จงั หนั (ขา้ ว, อาหาร) เธอไมส่ ามารถจะทรง บาตรไวด้ ว้ ยมอื ได้ จงึ ทรงอนญุ าตวา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราอนญุ าตโตก*” หา้ มฉนั อาหาร ดม่ื นำ้ ในภาชนะเดยี วกนั เปน็ ตน้ ตรสั วา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษไุ มพ่ งึ ฉนั รว่ มภาชนะเดยี วกนั ไมพ่ งึ ดม่ื รว่ มขนั ใบเดยี วกนั ไมพ่ งึ นอนรว่ มเตยี งเดยี วกนั ไมพ่ งึ นอนรว่ มเครอ่ื งลาดเดยี วกนั ไมพ่ งึ นอนรว่ มผา้ หม่ ผนื เดยี วกนั ไมพ่ งึ นอนรว่ มเครอ่ื งลาดและผา้ หม่ ผนื เดยี วกนั รปู ใดนอน ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ” การลงโทษคว่ำบาตรแก่วัฑฒลิจฉวี วัฑฒลิจฉวี เป็นพวกของพระเมตติยะและภุมมชกะ รู้ว่าพระพวกนั้น ไม่ชอบพระทัพพมัลลบุตร และถูกเกลี้ยกล่อมให้กำจัดพระทัพพมัลลบุตร โดยไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่า พระทัพพมัลลบุตรทำชู้ ด้วยภรรยาของตน ทรง ประชุมสงฆ์ สอบถามพระทพั พฯ (ซง่ึ ทา่ นเปน็ พระอรหนั ตต์ ง้ั แตอ่ ายุ ๗ ขวบ) วา่ “ดกู อ่ น ทพั พะ เธอยงั ระลกึ ไดห้ รอื วา่ เปน็ ผทู้ ำกรรมตามทเ่ี จา้ วฑั ฒะลจิ ฉวนี ้ี กลา่ วหา” ทา่ นพระทพั พฯ กราบทลู วา่ “พระองคย์ อ่ มทรงทราบวา่ ขา้ พระพทุ ธเจา้ เปน็ อยา่ งไร พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” แมค้ รง้ั ทส่ี อง, สาม พระองคท์ รงถามเหมอื นเดมิ พระทัพพฯ ก็ตอบเหมือนเดิม พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “ดูก่อนทัพพฯ บณั ฑติ ยอ่ มไมก่ ลา่ วแกค้ ำกลา่ วหาอยา่ งน้ี ถา้ เธอทำ จงบอกวา่ ทำ ถา้ ไมไ่ ดท้ ำ * เตยี บ : ภาชนะมเี ชงิ คลา้ ยพานมปี ากผาย มฝี าครอบ สำหรบั ใสข่ องกนิ ; โตก : ภาชนะมเี ชงิ สงู รปู คลา้ ยพาน มพี น้ื ตน้ื สำหรบั วางหรอื ใสส่ ง่ิ ของ; พจนานกุ รมราชบณั ฑติ ฯ (หนา้ ๓๐๗,สงั เกตความสมั พนั ธข์ องคำวา่ บงั เวยี น, เชงิ บาตร, โตก)

๓๑๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก จงบอกว่าไม่ได้ทำ” พระทัพพฯกราบทูลว่า “ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้ว แมโ้ ดยความฝนั กย็ งั ไมร่ จู้ กั เสพเมถนุ ธรรม จะกลา่ วไยถงึ เมอ่ื ตน่ื อยเู่ ลา่ พระพทุ ธ เจา้ ขา้ ” จงึ รบั สง่ั กะภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ “ดกู อ่ นภกิ ษุ ทง้ั หลาย ถา้ เชน่ นน้ั สงฆจ์ ง ควำ่ บาตรเจา้ วฑั ฒะลจิ ฉวี คอื อยา่ ใหค้ บกบั สงฆ”์ จากนน้ั ทรงกำหนดองค์ ๘ สำหรบั อบุ าสกทค่ี วรควำ่ บาตร คอื ๑.ขวนขวายเพอ่ื มใิ ชล่ าภแกภ่ กิ ษุ ๒.ขวนขวายเพอ่ื มใิ ชป่ ระโยชนแ์ กภ่ กิ ษุ ๓.ขวนขวายเพอ่ื ความอยไู่ มไ่ ดแ้ กภ่ กิ ษุ ๔.ดา่ หรอื บรภิ าษภกิ ษุ ๕.ยยุ งใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลายแตกกนั ๖.กล่าวติเตียนพระพุทธ ๗.กล่าวติเตียนพระธรรม ๘.กล่าวติเตียนพระสงฆ์ ทรงแสดงวธิ สี วดประกาศควำ่ บาตรโดยละเอยี ด เมอ่ื พระอานนท์ ไปแจง้ ให้ วัฑฒลิจฉวี ทราบว่า บัดนี้สงฆ์ได้คว่ำบาตรไม่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว วัฑฒลิจฉวี เสียใจถึงสลบ มิตรอำมาตย์ญาติสายโลหิต จึงแนะนำให้ไปกราบทูล ขอขมา พระผมู้ พี ระภาค ซง่ึ วฑั ฒลจิ ฉวไี ดป้ ฏบิ ตั ติ าม เมอ่ื พระผมู้ พี ระภาคทรงเหน็ วา่ วฑั ฒลจิ ฉวสี ำนกึ ตนยอมรบั ผดิ จงึ ตรสั แนะใหส้ งฆป์ ระกาศหงายบาตร โดยให้ วฑั ฒลจิ ฉวเี ขา้ ไปกราบสงฆ์ ขอใหห้ งายบาตร แลว้ ใหส้ งฆป์ ระกาศหงายบาตร. เรื่องผืนผ้าที่ไม่ให้เหยียบ และเหยียบได้ โพธริ าชกมุ ารฉลองปราสาท นมิ นตพ์ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ พรอ้ มพระภกิ ษุ สงฆไ์ ปฉนั ทรงใหป้ ู ผา้ ขาวไว้ ตลอดจนถงึ ชานบนั ได พระผมู้ พี ระภาคไมท่ รงเหยยี บ ต่อมาทรงปรารภเรื่องนั้น จึงตรัสห้ามมิให้ภิกษุเหยียบผืนผ้าในบ้าน ถา้ เหยยี บตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ แตถ่ า้ คฤหสั ถข์ อใหเ้ หยยี บเพอ่ื เปน็ มงคล ทรง อนญุ าตใหเ้ หยยี บได้ แมผ้ า้ เชด็ เทา้ กท็ รงอนญุ าตใหเ้ หยยี บได.้ นางวิสาขาถวายของใช้ นางวสิ าขานำหมอ้ นำ้ , ทเ่ี ชด็ เทา้ ทำเปน็ ปมุ่ ไมร้ ปู ฝกั บวั , ไมก้ วาดไป ถวายพระผมู้ พี ระภาค ทรงรบั หมอ้ นำ้ และไมก้ วาด และตรสั อนญุ าตใหภ้ กิ ษใุ ชไ้ ด้

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๑๓ ตรสั หา้ มใชท้ เ่ี ชด็ เทา้ ทท่ี ำเปน็ ปมุ่ ไม้ สว่ นเครอ่ื งเชด็ เทา้ ทท่ี ำดว้ ยหนิ กรวด, กระเบอ้ื ง และหนิ ฟองนำ้ ทรงอนญุ าตใหใ้ ชไ้ ด้ นางวสิ าขานำพดั โบก และพดั ใบตาลไปถวาย ทรงรบั และทรงอนญุ าตให้ ภกิ ษใุ ชไ้ ด้ ทรงอนุญาตให้ใช้แส้สำหรับปัดแมลง แต่ไม่ทรงอนุญาตแส้ ทท่ี ำดว้ ยขนจามรี ทรงอนญุ าตแส้ ๓ อยา่ ง คอื แสป้ อ แสแ้ ฝก และแสข้ นนกยงู . ทรงอนุญาต และห้ามใช้ร่ม ครั้งแรกทรงอนุญาตให้ใช้ร่ม ภายหลังภิกษุฉัพพัคคีย์กางร่มเที่ยวไป ในที่ต่างๆ มีผู้ติเตียนว่า ทำอย่างมหาอำมาตย์ จึงทรงห้ามใช้ร่ม แต่ทรง ผอ่ นผนั ใหใ้ ชร้ ม่ ไดเ้ มอ่ื เปน็ ไข้ เมอ่ื ใชภ้ ายในวดั หรอื อปุ จารวดั (บรเิ วณใกลว้ ดั ). ทรงอนุญาตไม้เท้า และสาแหรก มีภิกษุเอาบาตรใส่สาแหรก๑ แล้วห้อยไว้ที่ไม้เท้าเดินไปในเวลาวิกาล ชาวบา้ นไลจ่ บั นกึ วา่ เปน็ โจร ทรงทราบครง้ั แรกทรงหา้ มภกิ ษไุ มพ่ งึ ถอื ไมเ้ ทา้ กบั สาแหรกรปู ใดถอื ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ตอ่ มามภี กิ ษเุ ปน็ ไข้ ตอ้ งการใชไ้ มเ้ ทา้ ปราศจาก ไมเ้ ทา้ ไมส่ ามารถไปไหนได้ จงึ ทรงอนญุ าต ใหส้ มมตไิ มเ้ ทา้ แกภ่ กิ ษอุ าพาธ โดย ใหส้ งฆส์ วดสมมตใิ ห้ ตอ่ มาภกิ ษเุ ปน็ ไขไ้ มใ่ ชส้ าแหรกไมส่ ามารถจะนำบาตรไปได้ จึงทรงอนุญาตให้สมมติสาแหรกแก่ภิกษุอาพาธ ต่อมามีความจำเป็นที่ภิกษุ เปน็ ไขจ้ ะใชท้ ง้ั ไมเ้ ทา้ ๒ ทง้ั สาแหรก ทรงอนญุ าตและใหส้ งฆส์ วดสมมตเิ ชน่ เคย. เรื่องอาเจียนและเมล็ดข้าว ภกิ ษเุ ปน็ โรคอาเจยี น อาเจยี นออกมาแลว้ กก็ ลนื ลงไป ถกู กลา่ วหาวา่ ฉนั อาหารในเวลาวกิ าล จงึ ทรงตรสั วา่ ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษรุ ปู นจ้ี ตุ มิ าจาก ๑ คอื ภาชนะทท่ี ำดว้ ยหวายสำหรบั หว้ิ หรอื หาบ สว่ นบนทำเปน็ หหู ว้ิ สว่ นลา่ งใชไ้ มข้ ดั กนั เปน็ สเ่ี หลย่ี ม สำหรบั วางกระจาด ๒ ในกรณอี ยใู่ นอารามและอยปู่ า่ ทรงอนญุ าตใหใ้ ชไ้ มเ้ ทา้ ได้ (ดหู นา้ ๒๔๑, ๓๔๑ ประกอบ)

๓๑๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก กำเนดิ โคไมน่ าน เราอนญุ าตอาหารทอ่ี ว้ กแกภ่ กิ ษทุ ม่ี กั อว้ ก แตอ่ อกมานอกปาก แลว้ ไมพ่ งึ กลนื เขา้ ไป รปู ใดกลนื เขา้ ไปพงึ ปรบั ตามธรรม สมยั หนง่ึ สงั ฆภตั เกดิ แก่ สงฆ์ ในโรงฉนั มเี มลด็ ขา้ วเกลอ่ื นกลน่ มผี ตู้ เิ ตยี น จงึ ตรสั วา่ ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย สง่ิ ใดทายกถวายตกหลน่ เราอนญุ าตใหเ้ กบ็ สง่ิ นน้ั ฉนั เองได.้ .. เพราะของนน้ั ทายกบรจิ าคแลว้ ทรงอนุญาตมีดตัดเล็บเป็นต้น ทรงห้ามไว้เล็บยาว ภิกษุผู้ไว้เล็บยาวต้องอาบัติทุกกฏ และ ทรงอนญุ าตมดี ตดั เลบ็ ใหต้ ดั พอเสมอเนอ้ื ทรงหา้ มภกิ ษวุ า่ ภกิ ษไุ มพ่ งึ วานกนั ใหข้ ดั เลบ็ ทง้ั ยส่ี บิ นว้ิ รปู ใดใหข้ ดั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ แตท่ รงใหแ้ คะขเ้ี ลบ็ ออกได.้ เรื่องผมและหนวดเครา ทรงถามวา่ จะสามารถโกนศรี ษะกนั เองไดห้ รอื ไม่ เมอ่ื ภกิ ษทุ ง้ั หลายรบั วา่ ได้ จงึ ทรงอนญุ าตมดี โกน หนิ ลบั มดี , ฝกั มดี โกน, ผา้ พนั มดี โกน และเครอ่ื งใช้ เกี่ยวกับมีดโกนทุกชนิด ยกเว้นภิกษุผู้เคยเป็นช่างตัดผมห้ามมี มีดโกน ดว้ ยเกรงจะเอาไปประกอบอาชพี นน้ั อกี ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ไ์ วห้ นวดยาว ไวเ้ ครายาว แตง่ หนวดดว้ ยกรรไกร และ ไวห้ นวดเคราแตง่ ขนหนา้ อกขนหนา้ ทอ้ งเปน็ รปู ตา่ ง ๆ รวมทง้ั นำขนในทแ่ี คบออก ชาวบ้านติเตียน จงึ ทรงหา้ มตดั หนวด หา้ มไวห้ นวดไวเ้ ครายาว หา้ มแตง่ หนวดขนหนา้ อกขนหนา้ ทอ้ ง หรอื โกนขนในทแ่ี คบ และปรบั อาบตั ทิ กุ กฏ ในกรณีที่อาพาธทรงอนุญาตให้โกนขนในที่แคบออกได้ เช่น เมื่อเป็น แผล หรอื ตอ้ งการทายา ทรงตรสั วา่ “ภกิ ษไุ มพ่ งึ ใหต้ ดั ผมดว้ ยกรรไกร” ทรงอนญุ าตใหใ้ ช้ มดี โกน แตถ่ า้ อาพาธทรงอนญุ าตใหต้ ดั ผม ดว้ ยกรรไกรได้ ทรงหา้ มไวข้ นจมกู ยาว เพราะมผี ตู้ เิ ตยี น ทรงอนญุ าตใหใ้ ชแ้ หนบ ทรงตรสั วา่ ภกิ ษไุ มพ่ งึ ใหถ้ อนผมหงอก รปู ใดใหถ้ อนตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๑๕ เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด ทรงอนุญาตเครื่องแคะหู แต่ไม่อนุญาตที่ทำด้วยทอง เงิน ฯลฯ ทรงอนญุ าตเครอ่ื งแคะหทู ท่ี ำดว้ ยกระดกู งา เขาสตั ว์ ไมไ้ ผ่ โลหะ เปน็ ตน้ ทรงตรัสว่า “ภิกษุไม่พึงสั่งสมเครื่องโลหะ, เครื่องทองสัมฤทธิ์ รปู ใดสง่ั สมตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ” ภกิ ษทุ ง้ั หลายรงั เกยี จกลอ่ งยาตา, ไมป้ า้ ยยาตา, ไมแ้ คะหู ซง่ึ เพยี งหอ่ รวมกนั ไว้ จงึ ตรสั วา่ “เราอนญุ าตกลอ่ งยาตา, ไมป้ า้ ยยาตา, ไมแ้ คะหู เพยี งหอ่ รวมกนั ไว”้ (คอื ไมถ่ อื วา่ เปน็ การสง่ั สม) เครื่องใช้ที่เป็นผ้า ทรงห้ามนั่งรัดเข่าด้วยผ้าสังฆาฏิ และปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ล่วง ละเมดิ แตภ่ กิ ษบุ างรปู อาพาธไมม่ เี ครอ่ื งรดั เขา่ กไ็ มส่ บาย จงึ ทรงอนญุ าต ผา้ รดั เขา่ ทรงอนญุ าตเครอ่ื งมอื ของชา่ งหกู ทกุ ชนดิ เพอ่ื ใหท้ ำผา้ รดั เขา่ ทรงหา้ มเขา้ บา้ นโดยไมม่ ปี ระคดเอว (เพราะมภี กิ ษรุ ปู หนง่ึ ผา้ นงุ่ หลดุ ในบา้ น) ทรงห้ามประคดเอวที่ถักสวยงาม มีทรวดทรงต่างๆ ทรงอนุญาต ประคดเอวทท่ี อตามปกติ ๒ ชนดิ ทเ่ี รยี กวา่ ชนดิ ประคดแผน่ ผา้ และชนดิ ประคด กลมดง่ั ไสส้ กุ ร ทรงอนมุ ตั วิ ธิ กี ารตา่ ง ๆ ทจ่ี ะทำใหป้ ระคดมน่ั คง เชน่ การถกั คลา้ ย เกลยี วเชอื ก คลา้ ยสงั วาลย์ และเยบ็ ชายใหม้ น่ั คง แลว้ ถกั เปน็ หว่ ง ทรงอนญุ าตลกู ถวนิ ๑ ทรงหา้ มใชล้ กู ถวนิ ทท่ี ำดว้ ยทอง เงนิ ทรงอนญุ าต ลกู ถวนิ ทท่ี ำดว้ ยกระดกู งา เขาสตั ว์ ไมอ้ อ้ ไมไ้ ผ่ ไมแ้ กน่ ยางไม้ ผลไม้ เชน่ กะลามะพรา้ ว โลหะ กระดองสงั ข์ และดา้ ยถกั ภกิ ษเุ ยบ็ ตรงึ ลกู ดมุ , รงั ดมุ ลงทจ่ี วี ร จีวรชำรุด จึงทรงอนุญาตแผ่นผ้ารอง ลูกดุม แผ่นผ้ารองรังดุม ภิกษุเย็บตรึง แผ่นผ้ารองลูกดุม แผ่นผ้ารองรังดุมที่ชาย จีวร มุมผ้าเปิด จึงทรงอนุญาต ใหต้ ดิ แผน่ ผา้ รองลกู ดมุ แผน่ ผา้ รองรงั ดมุ ทช่ี ายผา้ ลกึ เขา้ ไป ๗ - ๘ องคลุ ี ทรงห้ามนุ่งห่มอย่างคฤหัสถ์ คือ นุ่งปล่อยชาย เหมือนงวงช้าง เหมอื นหางปลา ปลอ่ ยชายสแ่ี ฉก ปลอ่ ยชายคลา้ ยกา้ นตาลยกกลบี ตง้ั รอ้ ย ๑ ลกู ถวนิ ลกู กลมๆ ทผ่ี กู ตดิ สายประคดเอว, หว่ งรอ้ ยสายประคดเอว

๓๑๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทรงห้ามห่มผ้าแบบคฤหัสถ์ และห้ามนุ่งผ้าเหน็บชายกระเบน เรื่องหาบหาม ทรงหา้ มหาบของโดยมขี องอยู่ ๒ ดา้ น ทรงอนญุ าตการคอน (มขี องดา้ น เดยี ว), การหาม(ของอยกู่ ลางคนอยู่ ๒ ขา้ ง), การเทนิ (บนศรี ษะ), การแบก (บนบา่ ), การกระเดยี ด(ทส่ี ะเอว), และการหว้ิ . การเคี้ยวไม้ชำระฟัน ทรงแสดงโทษในการไมเ่ คย้ี วไมช้ ำระฟนั ๕ ประการ คอื ๑.นยั นต์ าไม่ แจม่ ใส ๒.ปากมกี ลน่ิ เหมน็ ๓.ลน้ิ รบั รสไดไ้ มด่ ี ๔.นำ้ ดแี ละเสมหะหอ่ หมุ้ อาหาร ๕.เบื่ออาหาร และทรงแสดงอานสิ งส์ ในการเคย้ี วไมช้ ำระฟนั ๕ ประการโดยนยั ตรงกนั ขา้ ม จากนน้ั ทรงตรสั วา่ “เราอนญุ าตไมช้ ำระฟนั ” และทรงตรสั หา้ มเคย้ี ว ไม้ชำระฟันยาว ทรงอนุญาตไม้ชำระฟันยาว ๘ นิ้วเป็นอย่างยิ่ง ห้ามเอาไม้ ชำระฟันตีสามเณร ทรงห้ามเคี้ยวไม้ชำระฟันสั้นเกินไป และได้ทรงอนุญาตไม้ ชำระฟนั ขนาด ๔ องคลุ เี ปน็ อยา่ งตำ่ โดยปรบั อาบตั ทิ กุ กฏภกิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ . ห้ามเผากองหญ้าและขึ้นต้นไม้ ทรงห้ามเผากองหญ้า และปรับอาบัติทุกกฏ ถ้าเมื่อไฟไหม้ป่าลามมา ทรงอนญุ าตใหจ้ ดุ ไฟรบั เพอ่ื ปอ้ งกนั ทรงหา้ มขน้ึ ตน้ ไม้ เมอ่ื มเี หตจุ ำเปน็ อนญุ าต ใหข้ น้ึ ตน้ ไมส้ งู ชว่ั บรุ ษุ ในคราวมอี นั ตรายขน้ึ ไดต้ ามประสงค์ หา้ มยกพทุ ธพจนข์ น้ึ เปน็ ภาษาสนั สกฤตและเรยี นสอนโลกายตนะ ทรงตรสั วา่ ภกิ ษไุ มพ่ งึ ยกพทุ ธวจนะขน้ึ โดยภาษาสนั สกฤต รปู ใดยกขน้ึ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ทรงอนญุ าตใหเ้ ลา่ เรยี นพทุ ธวจนะตามภาษาเดมิ

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๑๗ มีภิกษุเรียนคัมภีร์โลกายตะ ทรงตรัสว่า “ผู้ที่เห็นคัมภีร์โลกายตะว่า มสี าระ จะพงึ ถงึ ความเจรญิ งอกงามไพบลู ยใ์ นธรรมวนิ ยั นห้ี รอื ?” (ภกิ ษฯุ ตอบ “ไมอ่ ยา่ งนน้ั พระพทุ ธเจา้ ขา้ ”) ทรงตรสั ตอ่ วา่ “อนั ผทู้ เ่ี หน็ ธรรมวนิ ยั นว้ี า่ มสี าระ จะพึงเล่าเรียนคัมภีร์โลกายตะหรือ?” จึงรับสั่งว่า “ภิกษุไม่พึงเรียนคัมภีร์ โลกายตะ รปู ใดเรยี นตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ” ในเหตกุ ารณล์ กั ษณะเดยี วกนั จงึ ทรงหา้ ม สอนคมั ภรี ์ โลกายตะ และทรงหา้ มเรยี นหา้ มสอนเดรจั ฉานวชิ าดว้ ยเชน่ กนั ครง้ั หนง่ึ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ กำลงั แสดงธรรม ทรงจามขน้ึ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ไดถ้ วายพระพรอยา่ งออ้ื องึ วา่ ขอพระผมู้ พี ระภาคจงทรงพระชนมายุ ธรรมกถา ได้พักในระหว่างเพราะเสียงนั้น จึงตรัสถามว่า “บุคคลที่ถูกเขาให้พรว่า ขอจงเจรญิ ชนมายใุ นเวลาจาม จะพงึ เปน็ หรอื พงึ ตายเพราะเหตทุ ใ่ี หพ้ รนน้ั หรอื ?” ภกิ ษตุ อบวา่ เปน็ ไปไมไ่ ด้ จงึ ตรสั วา่ “ภกิ ษไุ มพ่ งึ กลา่ วคำใหพ้ รวา่ ขอจงมชี นมายุ ในเวลาทเ่ี ขาจาม รปู ใดใหพ้ รตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ” ตอ่ มาชาวบา้ นใหพ้ รเมอ่ื มภี กิ ษุ จาม ภกิ ษไุ มใ่ หพ้ รตอบ ชาวบา้ นเพง่ โทษตเิ ตยี น.. ภกิ ษกุ ราบทลู ใหท้ รงทราบ จงึ ตรสั วา่ “..ชาวบา้ นมคี วามตอ้ งการดว้ ยสง่ิ เปน็ มงคล เราอนญุ าตใหภ้ กิ ษทุ เ่ี ขา ใหพ้ รวา่ จงเจรญิ ชนมายดุ งั น้ี ใหพ้ รตอบแกช่ าวบา้ นวา่ ขอทา่ นจงเจรญิ ชนมายุ ยนื นาน” ห้ามฉันกระเทียม ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ฉนั กระเทยี ม เกรงภกิ ษรุ ปู อน่ื จะเหมน็ ครน้ั เมอ่ื เวลา นง่ั ฟงั ธรรมเลยนง่ั ณ ทส่ี ดุ สว่ นขา้ งหนง่ึ (หา่ งจากภกิ ษอุ น่ื ๆ ไมเ่ ขา้ ใกลใ้ คร) พระผมู้ พี ระภาคตรสั ถามภกิ ษทุ ง้ั หลาย และจงึ ตรสั ตอ่ ไปวา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษฉุ นั ของใดแลว้ จะพงึ เปน็ ผเู้ หนิ หา่ งจากธรรมกถาเหน็ ปานน้ี ภกิ ษคุ วรฉนั ของนั้นหรือ” แล้วจึงทรงห้ามว่า “ภิกษุไม่พึงฉันกระเทียม รูปใดฉันต้องอาบัติ ทกุ กฏ” แตเ่ พราะเหตอุ าพาธของพระสารบี ตุ ร จงึ ทรงอนญุ าตใหฉ้ นั กระเทยี มได้ เพราะเหตุอาพาธ ๑ โลกายตะ คอื ศาสตรข์ องพวกเจา้ ลทั ธติ า่ งๆ ซง่ึ ประกอบดว้ ยเรอ่ื งไรป้ ระโยชน์ เชน่ สง่ิ ทง้ั ปวงมอี ย,ู่ สง่ิ ทง้ั ปวงไมม่ อี ย,ู่ สง่ิ ทง้ั ปวงมสี ภาพเปน็ อยา่ งเดยี วกนั , สง่ิ ทง้ั ปวงมสี ภาพตา่ งกนั (ดโู ลกายตกสตู ร พระไตรปฎิ ก สยามรฐั ๑๖/๑๗๖/๙๒)

๓๑๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทรงอนุญาตที่ถ่ายปัสสาวะอุจจาระ ภิกษุถ่ายปัสสาวะลงในที่ต่างๆในวัดทำให้วัดสกปรก จึงทรงให้ถ่าย ปสั สาวะในทเ่ี หมาะสม; อารามมกี ลน่ิ เหมน็ จงึ อนญุ าตหมอ้ ปสั สาวะ, เขยี งรองเทา้ ถ่ายปสั สาวะ เพราะภกิ ษลุ ะอายฯ จึงทรงอนุญาตเครอื่ งลอ้ มคอื อิฐ หนิ และ ฝาไม;้ หมอ้ ปสั สาวะมกี ลน่ิ จงึ ทรงอนญุ าตฝาปดิ ในเรอ่ื งอจุ จาระทรงอนญุ าตใหถ้ า่ ยในทท่ี จ่ี ดั ไว้ ใหม้ หี ลมุ อจุ จาระ และให้ กอ่ ดว้ ยอฐิ ศลิ า ไม้ เพอ่ื กนั ปากหลมุ พงั และถมพน้ื ใหส้ งู โดยกอ่ ดว้ ยอฐิ ศลิ าหรอื ไม้ เพอ่ื กนั นำ้ ทว่ ม, ใหม้ บี นั ไดอฐิ หนิ ไม,้ ราวบนั ได ใหล้ าดพน้ื เจาะชอ่ งถา่ ย อจุ จาระตรงกลาง ใหม้ เี ขยี งรองเหยยี บ, รางรองปสั สาวะ, ไมช้ ำระ, ทใ่ี สไ่ มช้ ำระ และฝาปดิ หลมุ อจุ จาระ; ภกิ ษลุ ำบากดว้ ยรอ้ นหนาวจงึ ใหม้ วี จั กฎุ ี (หอ้ งสว้ ม) มฝี า หรอื กำแพง พรอ้ มทง้ั เครอ่ื งประกอบ เชน่ ดาล กลอน ราวพาดจวี ร เชอื กสำหรบั เหนย่ี วตวั ลกุ ขน้ึ เปน็ ตน้ ; ทรงอนญุ าตใหม้ ซี มุ้ เพอ่ื ชำระเมอ่ื เสรจ็ จากอจุ จาระแลว้ ใหม้ รี างระบายนำ้ , หมอ้ นำ้ ชำระ, ขนั ตกั นำ้ และเขยี งรองขณะชำระ ฯลฯ. ทรงห้ามประพฤติอนาจาร ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ป์ ระพฤตอิ นาจาร๑มปี ระการตา่ งๆ เชน่ ประจบคฤหสั ถ์ เกย่ี วขอ้ งกบั สตรมี ากไป เลน่ ฟอ้ นรำ ขบั รอ้ ง เลน่ กฬี าตา่ งๆ ทรงหา้ มทำเชน่ นน้ั รูปใดประพฤติพึงปรับอาบัติตามธรรม ทรงอนุญาตเครื่องใช้ เมอ่ื พระอรุ เุ วลกสั สปะบวชแลว้ เครอ่ื งโลหะเครอ่ื งไมแ้ ละเครอ่ื งดนิ เกดิ แก่สงฆ์มาก ภิกษุสงสัยฯ จึงตรัสว่า “เราอนุญาตเครื่องโลหะทุกชนิด เว้น เครอ่ื งประหาร, อนญุ าตเครอ่ื งไมท้ กุ ชนดิ เวน้ เกา้ อน้ี อนมแี คร่ บลั ลงั ก์ บาตรไม้ รองเทา้ ไม,้ อนญุ าตเครอ่ื งดนิ ทกุ ชนดิ เวน้ เครอ่ื งเชด็ เทา้ และกฎุ ที ท่ี ำดว้ ยดนิ เผา”. ๑ ประพฤตไิ มเ่ หมาะสม (ดรู ายละเอยี ดในเรอ่ื งการประพฤตอิ นาจาร จากหนา้ ๔๔, ๒๘๐)

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๑๙ ๒. เสนาสนขนั ธกะ หมวดว่าด้วยที่อยู่อาศัย เศรษฐกี รงุ ราชคฤหเ์ ลอ่ื มใสในพระภกิ ษทุ ง้ั หลาย ทอ่ี ยกู่ บั พระพทุ ธเจา้ ณ เวฬุวนาราม ใคร่จะสร้างวิหารถวาย จึงขอให้ภิกษุเหล่านั้นกราบทูล พระผมู้ พี ระภาคๆ ตรสั วา่ เราอนญุ าตเสนาสนะ ๕ ชนดิ คอื ๑.วหิ าร ๒.เรอื นมงุ แถบเดยี ว(เพงิ ) ๓.เรอื นชน้ั ๔.เรอื นโลน้ (หลงั คาตดั ) ๕.ถำ้ จากนน้ั เศรษฐไี ดส้ รา้ งวหิ ารเสรจ็ ๖๐ หลงั และสงสยั วา่ จะปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร ในวหิ ารเหลา่ นน้ั จงึ ตรสั วา่ ใหถ้ วายวหิ ารเหลา่ นน้ั แกส่ งฆจ์ าตรุ ทศิ ทง้ั ทม่ี าแลว้ และยงั ไมม่ า และตรสั อนโุ มทนาวา่ “วหิ ารยอ่ มปอ้ งกนั หนาวรอ้ นและเนอ้ื รา้ ย นอกจากนน้ั ยงั ปอ้ งกนั งแู ละยงุ ฝนในสสิ ริ ฤดู นอกจากนน้ั วหิ ารยงั ปอ้ งกนั ลมและแดดอนั กลา้ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ได้ การถวาย วิหารแก่สงฆ์ เพอ่ื หลีกเร้นอยู่ เพือ่ ความสขุ เพ่ือเพง่ พจิ ารณาและเพื่อเหน็ แจง้ พระพทุ ธเจา้ ทรงสรรเสรญิ วา่ เปน็ ทานอนั เลศิ เพราะเหตนุ น้ั แล คนผฉู้ ลาดเมอ่ื เลง็ เหน็ ประโยชนต์ น พงึ สรา้ งวหิ ารอนั รน่ื รมยใ์ หภ้ กิ ษทุ ง้ั หลายผพู้ หสู ตู อยใู่ น วหิ ารนเ้ี ถดิ อนง่ึ พงึ มใี จเลอ่ื มใสถวายขา้ ว นำ้ ผา้ และเสนาสนะ อนั เหมาะสมแก่ พวกเธอ ในพวกเธอผซู้ อ่ื ตรง เพราะพวกเธอยอ่ มแสดงธรรมอนั เปน็ เครอ่ื งบรรเทา สรรพทกุ ขแ์ กเ่ ขา เขารทู้ ว่ั ถงึ แลว้ จะเปน็ ผไู้ มม่ อี าสวะ ปรนิ พิ พานในโลกน”้ี เพราะอาศยั เหตตุ า่ งๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ตอ่ มาจงึ ทรงอนญุ าตเพม่ิ เตมิ ใหท้ อ่ี ยนู่ น้ั สมบรู ณย์ ง่ิ ขน้ึ เชน่ มปี ระตู กลอน ลม่ิ สลกั หนา้ ตา่ ง ลกู กรง มา่ น เปน็ ตน้ . เครอ่ื งนง่ั , เครอ่ื งนอน, เตยี งสงู สมัยนั้นมีภิกษุทั้งหลายนอนบนพื้นดิน เนื้อตัวและจีวรเปื้อนด้วยฝุ่น จงึ ทรงอนญุ าตใหล้ าดดว้ ยหญา้ , แผน่ กระดานคลา้ ยตง่ั , เตยี งถกั หรอื สาน และ

๓๒๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เตยี ง,ตง่ั สำหรบั นง่ั อกี หลายชนดิ เชน่ มา้ นง่ั สเ่ี หลย่ี มมพี นกั สามดา้ นสงู , ตง่ั หวาย เกา้ อ,้ี ตง่ั ฟาง เปน็ ตน้ ทรงหา้ มนอนเตยี งสงู แตใ่ หม้ หี นนุ เทา้ เตยี งทส่ี งู ไมเ่ กนิ ๘ นว้ิ ได้ มดี า้ ยเกดิ ขน้ึ แกส่ งฆม์ าก ทรงอนญุ าตดา้ ยไวถ้ กั เตยี ง เปลอื งดา้ ยมาก จงึ ทรงใหเ้ จาะตวั แมแ่ ครแ่ ลว้ ถกั เปน็ ตาหมากรกุ ทอ่ นผา้ เกดิ มาก จงึ ทรงอนญุ าต ใหท้ ำเปน็ ผา้ ปพู น้ื นนุ่ เกดิ แกส่ งฆ์ ทรงอนญุ าตใหส้ างออกทำเปน็ หมอน นนุ่ มี ๓ ชนดิ คอื นนุ่ ตน้ ไม้ นนุ่ เถาวลั ย์ นนุ่ หญา้ ทรงหา้ มใชห้ มอนยาวกง่ึ กาย อนญุ าตใหท้ ำหมอนพอดกี บั ศรี ษะ ทรงอนญุ าตฟกู ยดั ดว้ ยของ ๕ ชนดิ คอื ขนสตั ว์ เศษผา้ เปลอื กไม้ หญา้ ใบไม้ และใหท้ ำตำหนดิ ว้ ยการจดไว,้ ทำรอยไว้ หรือพิมพ์รอยนิ้วมือไว้ ต่อจากนั้นเป็นการอนุญาตการห้ามเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยเบ็ดเตล็ด คือ อนญุ าตทาสขี าว ดำ เหลอื งในวหิ าร และทรงอธบิ ายวธิ ใี หส้ จี บั วหิ าร... ; หา้ ม เขียนภาพผู้หญิงภาพผู้ชายในวิหาร แต่อนุญาตภาพดอกไม้ เถาวัลย์ ฟนั มงั กร ดอกจอกหา้ กลบี ; อนญุ าตใหถ้ มสรา้ งวหิ ารใหส้ งู เพราะวหิ ารโลง่ ภกิ ษลุ ะอาย ฯลฯ จงึ อนญุ าตผา้ มา่ น, ฝากง่ึ หนง่ึ , หอ้ ง ๓ ชนดิ คอื หอ้ งสเ่ี หลย่ี มจตรุ สั , หอ้ งยาว, หอ้ งคลา้ ยตกึ โลน้ (เรอื นหลงั คาตดั ), กรอบเชงิ ฝา, แผงกนั สาด, เพดาน, พรอ้ มอปุ กรณว์ หิ ารอน่ื ๆ ฯลฯ ทรงอนญุ าต โรงหอฉนั , โรงนำ้ ฉนั , ซมุ้ ประต,ู โรงไฟ, อกี ทง้ั การถมพน้ื กอ่ กรดุ ว้ ย อฐิ หนิ ไม้ ฯลฯ ทรงอนญุ าตหลงั คา ๕ ชนดิ คอื กระเบอ้ื ง ศลิ า ปนู ขาว หญา้ ใบไม้ อนาถบิณฑิกคหบดีนับถือพระพุทธศาสนา อนาถบณิ ฑกิ คหบดี ผอู้ ยกู่ รงุ สาวตั ถี เดนิ ทางไปกรงุ ราชคฤห์ ทราบวา่ พระพทุ ธเจา้ เกดิ ขน้ึ ในโลกแลว้ และ เศรษฐกี รงุ ราชคฤหก์ ำลงั เตรยี มถวายอาหาร บณิ ฑบาต จงึ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ได้สดับพระธรรมเทศนา ได้ดวงตา เหน็ ธรรม เมอ่ื ถวายภตั ตาหารในวนั ตอ่ มาแลว้ จงึ อาราธนาพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไปจำพรรษา ณ กรงุ สาวตั ถี โดยไดเ้ ดนิ ทางลว่ งหนา้ ไปกอ่ น เมอ่ื ไปถงึ กรงุ สาวตั ถี ไดซ้ อ้ื สวนนอกเมอื งแปลงหนง่ึ จากราชกมุ ารชอ่ื เชต สรา้ งเชตวนารามขน้ึ เปน็ วัดในพระพุทธศาสนา.

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๒๑ ตั้งภิกษุผู้ควบคุมการก่อสร้าง ช่างชุนผ้าผู้ยากจนเห็นคนทั้งหลายช่วยงานก่อสร้างเสนาสนะ และ อปุ ฏั ฐากภกิ ษผุ บู้ อกสอนการกอ่ สรา้ งดว้ ยปจั จยั ส่ี จงึ ชว่ ยทำการกอ่ สรา้ งฝาผนงั เพราะไมช่ ำนาญฝาผนงั พงั ลงมาหลายครง้ั จงึ บน่ วา่ ภกิ ษบุ อกสอนการกอ่ สรา้ ง เฉพาะคนทอ่ี ปุ ฏั ฐาก จงึ ทรงใหส้ งฆส์ วดประกาศแตง่ ตง้ั ภกิ ษผุ คู้ วบคมุ การกอ่ สรา้ ง ตรสั วา่ ภกิ ษพุ งึ ขวนขวายวา่ ทำอยา่ งไรวหิ ารจะสำเรจ็ ไดเ้ รว็ ตอ้ งซอ่ มสง่ิ ทห่ี กั พงั . ลำดับพรรษาแก่อ่อน ศษิ ยข์ องภกิ ษฉุ พั พคั คยี จ์ องทพ่ี กั ไวม้ ากมาย เพอ่ื อปุ ชั ฌายอ์ าจารยข์ อง ตนเอง เปน็ เหตใุ หพ้ ระอน่ื ๆ เชน่ พระสารบี ตุ รหาทพ่ี กั ไมไ่ ด้ ตอ้ งไปพกั ทโ่ี คนตน้ ไม้ เมอ่ื ทรงทราบจงึ ใหป้ ระชมุ สงฆแ์ ลว้ ถามวา่ ภกิ ษใุ ดควรไดอ้ าสนะ, นำ้ , บณิ ฑบาต อนั เลศิ จากนน้ั จงึ ยกอปุ มาสอนภกิ ษุ แลว้ ตรสั ตอ่ ไปวา่ ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราอนญุ าตการกราบไหว้ ลกุ รบั การทำอญั ชลกี รรม การทำสามจี กิ รรม อาสนะ ทเ่ี ลศิ นำ้ อนั เลศิ บณิ ฑบาตอนั เลศิ ตามลำดบั ผแู้ ก(่ พรรษา)กวา่ อนง่ึ ภกิ ษไุ มค่ วร เกยี ดกนั เสนาสนะของสงฆต์ ามลำดบั ผแู้ กก่ วา่ รปู ใดเกยี ดกนั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ. ผไู้ มค่ วรไหว้ ๑๐ ประเภท “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คล ๑๐ จำพวกน้ี อนั ภกิ ษไุ มค่ วรไหว้ คอื ๑. อนั ภกิ ษผุ อู้ ปุ สมบทกอ่ นไมค่ วรไหวภ้ กิ ษผุ อู้ ปุ สมบทภายหลงั ๒. ไมค่ วรไหวอ้ นปุ สมั บนั (ผไู้ มไ่ ดอ้ ปุ สมบท) ๓. ไมค่ วรไหวภ้ กิ ษนุ านาสงั วาส ผแู้ กก่ วา่ แตไ่ มใ่ ชธ่ รรมวาที ๔. ไมค่ วรไหวม้ าตคุ าม (ผหู้ ญงิ ) ๕. ไมค่ วรไหวบ้ ณั เฑาะก์ (กะเทย) ๖. ไมค่ วรไหวภ้ กิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าส ๗. ไมค่ วรไหวภ้ กิ ษผุ คู้ วรชกั เขา้ หาอาบตั เิ ดมิ

๓๒๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๘. ไม่ควรไหว้ภิกษุผู้ควรมานัต ๙. ไม่ควรไหว้ภิกษุผู้ประพฤติมานัต ๑๐.ไม่ควรไหว้ภิกษุผู้ควรอัพภาน...” ผคู้ วรไหว้ ๓ ประเภท “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้ ภิกษุควรไหว้คือ ๑.ภิกษุผู้ อุปสมบทภายหลังควรไหว้ภิกษุผู้อุปสมบทก่อน ๒.ควรไหว้ภิกษุนานาสังวาส ผแู้ กก่ วา่ แตเ่ ปน็ ธรรมวาที ๓.ควรไหวต้ ถาคตผอู้ รหนั ตต์ รสั รเู้ องโดยชอบ... บคุ คล ๓ จำพวกนแ้ี ล ภกิ ษคุ วรไหว”้ มณฑปที่สร้างอุทิศสงฆ์ ทรงทราบข่าวว่าศิษย์ของภิกษุฉัพพัคคีย์พูดว่า พระองค์ได้อนุญาต เสนาสนะตามลำดับผู้แก่กว่าเฉพาะของสงฆ์เท่านั้น ไม่ได้ทรงหมายถึงของ ทเ่ี ขาทำเจาะจง จงึ รบี ไปกอ่ นหนา้ เทย่ี วจบั จองแยง่ ทใ่ี หอ้ ปุ ชั ฌายอ์ าจารยข์ องตน ครน้ั แลว้ จงึ ตรสั วา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลายแมข้ องทเ่ี ขาทำเจาะจง ภกิ ษกุ ไ็ มพ่ งึ เกยี ดกนั ตามลำดบั ผแู้ กก่ วา่ รปู ใดเกยี ดกนั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ” ที่นั่งต่างชนิดของคฤหัสถ์ ภิกษุถูกนิมนต์ไปฉันในละแวกบ้าน ชาวบ้านก็จัดที่นั่งต่างชนิดหลาย อยา่ งตามคฤหสั ถใ์ ช้ จงึ ตรสั อนญุ าตเครอ่ื งลาดทเ่ี ปน็ คหิ วิ กิ ฏั (ของใชข้ องคฤหสั ถ)์ ยกเวน้ เครอ่ื งลาด ๓ ชนดิ คอื เกา้ อน้ี อน เตยี งใหญ่ เครอ่ื งลาดทย่ี ดั นนุ่ นอกนน้ั นั่งทับได้แต่จะนอนทับไม่ได้ ต่อมามีชาวบ้านตกแต่งเตียงบ้างตั่งบ้างที่ยัดนุ่น จงึ ทรงอนญุ าตใหน้ ง่ั ทบั เตยี งตง่ั ทเ่ี ปน็ คหิ วิ กิ ฏั ได้ แตจ่ ะนอนทบั ไมไ่ ด้ เมื่อเสด็จถึงกรุงสาวัตถีแล้ว อนาถบิณฑิกคหบดีนิมนต์ฉันในวันรุ่งขึ้น เมอ่ื ถวายภตั ตาหารเสรจ็ จงึ ไดก้ ราบทลู ถวายเชตวนาราม

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๒๓ ปัญหาลำดับพรรษาเพิ่มเติม เพราะมภี กิ ษผุ มู้ าทห่ี ลงั ใหภ้ กิ ษผุ นู้ ง่ั ในลำดบั ลกุ ขน้ึ ทง้ั ทย่ี งั ฉนั อาหาร คา้ งอยู่ จงึ ทรงตรสั วา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษไุ มพ่ งึ ใหภ้ กิ ษผุ นู้ ง่ั ในลำดบั ลกุ ขน้ึ ทง้ั ทย่ี งั ฉนั อาหารคา้ งอยู่ รปู ใดใหล้ กุ ขน้ึ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ถา้ ใหล้ กุ ขน้ึ ยอ่ มเปน็ อนั หา้ มภตั รดว้ ย พงึ กลา่ ววา่ ทา่ นจงไปหานำ้ มา ถา้ ไดอ้ ยา่ งน้ี นน่ั เปน็ การดี ถา้ ไมไ่ ด้ พงึ กลนื เมลด็ ขา้ วใหเ้ รยี บรอ้ ยแลว้ จงึ ใหอ้ าสนะแกภ่ กิ ษผุ แู้ กก่ วา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ทง้ั หลาย อนง่ึ เรากลา่ วมไิ ดห้ มายความวา่ ภกิ ษพุ งึ หวงกนั อาสนะ แกภ่ กิ ษผุ แู้ กก่ วา่ โดยปรยิ ายไรๆ รปู ใดหวงกนั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ตอ่ มามกี ารไลภ่ กิ ษอุ าพาธ ใหล้ กุ ขน้ึ จงึ ตรสั วา่ ภกิ ษไุ มพ่ งึ ไลภ่ กิ ษอุ าพาธ ใหล้ กุ ขน้ึ รปู ใดไลใ่ หล้ กุ ขน้ึ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ ไดถ้ อื โอกาสทต่ี น เปน็ ไขเ้ พยี งเล็กนอ้ ย เลอื กเสนาสนะทด่ี ๆี ดว้ ยคดิ วา่ ใครไลต่ นไมไ่ ด้ ครน้ั ทรง ทราบจงึ ตรสั วา่ ภกิ ษมุ อี าพาธเลก็ นอ้ ยไมพ่ งึ หวงกนั เสนาสนะไว้ รปู ใดหวงกนั ตอ้ ง อาบตั ทิ กุ กฏ มภี กิ ษถุ กู ฉดุ ครา่ ออกจากวหิ ารของสงฆ์ ทรงตเิ ตยี นแลว้ ตรสั วา่ ภกิ ษุ ไมพ่ งึ โกรธ ขดั เคอื ง ฉดุ ครา่ ภกิ ษทุ ง้ั หลายออกจากวหิ ารของสงฆ์ รปู ใดฉคุ ครา่ พึงปรับตามธรรม เราอนุญาตให้ภิกษุถือเสนาสนะ เพราะปรารภเหตุเหล่านี้ จงึ ตรสั ใหม้ ภี กิ ษทุ ส่ี งฆส์ มมติ เปน็ ผจู้ ดั ใหภ้ กิ ษถุ อื เสนาสนะ (เสนาสนคาหาปก). การจัดสรรให้ภิกษุถือเสนาสนะ (ที่อยู่อาศัย) ภิกษุหารือกันว่าใครควรเป็นผู้ได้รับสมมติฯ ทรงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทง้ั หลาย เราอนญุ าตใหส้ มมตภิ กิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยองค์ ๕ เปน็ ผจู้ ดั ใหถ้ อื เสนาสนะ คอื ไมถ่ งึ ความลำเอยี งเพราะความชอบพอ, เพราะความเกลยี ดชงั , เพราะความ งมงาย, เพราะความกลวั และรเู้ สนาสนะทใ่ี หถ้ อื แลว้ และยงั ไมใ่ หถ้ อื ทรงแนะวิธีสวดแต่งตั้งภิกษุ เป็นผู้จัดให้ถือเสนาสนะ เป็นการสงฆ์ แล้วตรัสแนะวิธีจัดสรร โดยให้นับภิกษุก่อน ครั้นแล้วนับที่นอน ครั้นแล้วจึง ใหถ้ อื ตามจำนวนทน่ี อน, ทน่ี อนยงั เหลอื มาก, จงึ อนญุ าตใหถ้ อื ตามจำนวนวหิ าร,

๓๒๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก วหิ ารยงั เหลอื มาก จงึ ใหถ้ อื ตามจำนวนบรเิ วณ, บรเิ วณกย็ งั เหลอื มาก จงึ ตรสั วา่ เราอนญุ าตให้ ใหส้ ว่ นซำ้ อกี เมอ่ื ให้ถอื สว่ นซำ้ อกี แลว้ ภกิ ษรุ ปู อน่ื มา ไม่ปรารถนาก็อย่าพึงให้ ภิกษุทั้งหลายให้ภิกษุอยู่นอกสีมาถือเสนาสนะ จึงตรัสว่า ภิกษุไม่พึงให้ภิกษุผู้อยู่นอกสีมาถือเสนาสนะ รปู ใดใหถ้ อื ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ตอ่ มามภี กิ ษถุ อื เสนาสนะแลว้ หวงกนั ไวต้ ลอดเวลา จึงทรงห้ามว่า ภิกษุถือ เสนาสนะแล้วไม่พึงหวงกันไว้ตลอดทุกเวลา ทรงอนญุ าตใหห้ วงกนั ไวไ้ ดต้ ลอด พรรษา ๓ เดอื น หวงกนั ไวต้ ลอดฤดกู าลไมไ่ ด้ แลว้ ตรสั อนญุ าตการใหถ้ อื เสนาสนะมี ๓ อยา่ งคอื ๑. ใหถ้ อื ในวนั เขา้ พรรษาแรกคอื ใหถ้ อื ในวนั แรม ๑ คำ่ เดอื น อาสาฬหะ ๒. ใหถ้ อื ในวนั เขา้ พรรษาหลงั คอื เมอ่ื เดอื นอาสาฬหะลว่ งแลว้ ๑ เดอื น ๓. ใหถ้ อื ในระหวา่ งพน้ จากนน้ั พงึ ใหถ้ อื ในวนั ตอ่ จากวนั ปวารณา คอื แรม ๑ คำ่ เพอ่ื อยจู่ ำพรรษาตอ่ ไป ทรงห้ามภิกษุรูปเดียวหวงห้ามที่อยู่อาศัยไว้ถึง ๒ แห่ง (ในที่ต่าง สีมากัน) ถ้าทำเช่นนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ และได้ตรัสว่า “...เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอกเ็ ปน็ คนอยภู่ ายนอกทง้ั สองแหง่ ” (กรรมวาจาสมมตเิ สนาสนคหปก ดู ๔๒๓) การนั่งต่ำนั่งสูง สมยั นน้ั ทรงพรรณาและสรรเสรญิ คณุ แหง่ วนิ ยั และพรรณาคณุ ของ ทา่ นอบุ าลี ทำใหภ้ กิ ษมุ ากมาย ตา่ งพากนั เรยี นพระวนิ ยั ในสำนกั ทา่ นพระอบุ าลๆี ยนื สอนดว้ ยความเคารพพระเถระๆ กย็ นื เรยี น ดว้ ยความเคารพธรรม พระเถระ และทา่ นพระอบุ าลยี อ่ มเมอ่ื ยลา้ จงึ ตรสั วา่ เราอนญุ าตใหภ้ กิ ษนุ วกะผสู้ อนนง่ั บน อาสนะเสมอกันหรือสูงกว่าได้ด้วยความเคารพธรรม ให้ภิกษุเถระผู้เรียนนั่ง บนอาสนะเสมอกนั หรอื ตำ่ กวา่ ได้ ดว้ ยความเคารพธรรม และทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษมุ อี าสนะเสมอกนั นง่ั รว่ มกนั ได,้ ภกิ ษสุ งสยั วา่ มอี าสนะเสมอกนั นน้ั ดว้ ยคณุ สมบตั เิ พยี งเทา่ ใด จงึ ตรสั วา่ เราอนญุ าตใหภ้ กิ ษุ ระหวา่ ง๒พรรษานง่ั รวมกนั ได,้ ภกิ ษทุ ม่ี สี ทิ ธใิ นการนง่ั เสมอกนั นง่ั เตยี งตง่ั เดยี วกนั

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๒๕ เตยี งตง่ั พงั ลงมา จงึ ทรงจำกดั จำนวนใหน้ ง่ั ไมเ่ กนิ ๓ รปู เตยี งตง่ั กย็ งั พงั อกี จงึ ใหน้ ง่ั ไดเ้ พยี ง ๒ รปู สว่ นอาสนะยาว แมภ้ กิ ษจุ ะมสี ทิ ธิ ในการนง่ั ไมเ่ สมอกนั กใ็ หน้ ง่ั รว่ มกนั ได้ แตห่ า้ มภกิ ษนุ ง่ั รว่ มอาสนะยาวเดยี วกนั กบั กะเทย, ผหู้ ญงิ , อภุ โตพยญั ชนก (คนมที ง้ั ๒เพศ) มปี ญั หาวา่ อยา่ งไรจงึ จดั วา่ เปน็ อาสนะยาว จงึ ทรงกำหนดวา่ ถา้ นง่ั ไดถ้ งึ ๓ คน กจ็ ดั เปน็ อาสนะยาว. ปราสาท และเครอ่ื งนง่ั นอน ตา่ ง ๆ ทรงอนญุ าตใหใ้ ชป้ ราสาทไดท้ กุ ชนดิ สว่ นเครอ่ื งนง่ั นอน เปน็ ตน้ ของ คฤหัสถ์รวมหลายอย่าง ซึ่งถวายแก่สงฆ์ เมื่อคราวพระอัยยิกาของพระเจ้า ปเสนทโิ กศลสน้ิ พระชนมน์ น้ั ทรงอนญุ าตใหต้ ดั เทา้ เกา้ อน้ี อนแลว้ ใชไ้ ด้ ใหท้ ำลาย รปู สตั วร์ า้ ยเตยี งใหญอ่ อกแลว้ ใชไ้ ด้ ฟกู ทย่ี ดั นนุ่ ใหร้ อ้ื แลว้ ทำเปน็ หมอน นอกนน้ั ทำเปน็ เครอ่ื งลาด ห้ามสละของสงฆ์ให้แก่บุคคล ภกิ ษทุ อ่ี ยปู่ ระจำในวดั ใกลห้ มบู่ า้ น มภี กิ ษอุ น่ื ผา่ นไปมาเสมอ ลำบากดว้ ย การจัดที่อยู่อาศัย เพื่อแก้ข้อขัดข้องนี้ภิกษุวัดนั้นจึงประชุมกันมอบที่อยู่อาศัย ใหภ้ กิ ษรุ ปู หนง่ึ เสยี ทกุ รปู จงึ ไดอ้ ยอู่ าศยั ดว้ ยการใหข้ องภกิ ษรุ ปู นน้ั เมอ่ื มภี กิ ษุ ผา่ นมาจะขอพกั อาศยั กอ็ า้ งวา่ ไดย้ กใหแ้ กภ่ กิ ษรุ ปู หนง่ึ ไปแลว้ ไมม่ ที จ่ี ะใหพ้ กั หลังทรงทราบทรงบัญญัติว่า ของที่ไม่ควรแจกจ่าย ๕ หมวดนี้* อันภิกษุ ไมค่ วรแจกจา่ ยใหไ้ ป แมส้ งฆ์ คณะ หรอื บคุ คล แจกจา่ ยไปแลว้ กไ็ มเ่ ปน็ อนั แจกจา่ ย รปู ใดแจกจา่ ยตอ้ งอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั คอื ๑.อาราม, พน้ื ทอ่ี าราม ๒.วหิ าร, พน้ื ทว่ี หิ าร ๓.เตยี ง, ตง่ั , ฟกู , หมอน ๔.หมอ้ โลหะ อา่ งโลหะ กระถาง โลหะ กระทะโลหะ มดี ขวาน ผง่ึ (สำหรบั ถากไม)้ จอบ สวา่ น ๕.เถาวลั ย์ ไมไ้ ผ่ หญา้ มงุ กระตา่ ย หญา้ ปลอ้ ง หญา้ สามญั เครอ่ื งไม้ เครอ่ื งดนิ *ขอ้ สงั เกต ของทไ่ี มค่ วรแจกจา่ ย,แบง่ น้ี ตรงกบั ทต่ี รสั ไวใ้ นเรอ่ื งมหาโจร ๕ จำพวก ขอ้ ท่ี ๔(หนา้ ๒๒) ซง่ึ ระบชุ อ่ื ของแตล่ ะ ชนิดโดยตรงโดยไม่มีคำว่า”เป็นต้น” แสดงว่าตรัสเจาะจงเฉพาะสิ่งของตามที่ตรัสเท่านั้น ในการอธิบายบางตำรา จะรวมถงึ สง่ิ ของนอกเหนอื จากทท่ี รงระบุ เชน่ ผลไม,้ ใบไม,้ นำ้ ฝาด ฯลฯ นกั วนิ ยั ธรเหน็ ควรอยา่ งไรพงึ พจิ ารณาเองเถดิ .

๓๒๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ตอ่ มามภี กิ ษบุ างกลมุ่ เลย่ี งทจ่ี ะไมใ่ ชก้ ารแจกจา่ ย แตใ่ ชแ้ บง่ แทน จงึ ทรง บญั ญตั เิ พม่ิ โดยหา้ มไมใ่ หแ้ บง่ ของ ๕ หมวดทก่ี ลา่ วมาแลว้ ผใู้ ดแบง่ ตอ้ งอาบตั ิ ถลุ ลจั จยั การควบคุมการก่อสร้าง ห้ามมอบหมายการควบคุมการก่อสร้าง (สมมติให้นวกรรม) ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น ติดประตู ทาสี มุงหลังคา ห้ามมอบหมาย การควบคุมการก่อสร้างนานเกินไป เช่น ๒๐ – ๓๐ ปี หรือตลอดชีวิต หรือจนถึงเวลาเผาศพผู้รับมอบหมาย ห้ามมอบหมายการก่อสร้าง วหิ ารหมดทกุ อยา่ ง หา้ มมอบหมายการกอ่ สรา้ ง ๒ อยา่ งแกภ่ กิ ษรุ ปู เดยี ว หา้ มรบั นวกรรมแลว้ มอบใหภ้ กิ ษรุ ปู อน่ื ภกิ ษผุ รู้ บั มอบหมายการกอ่ สรา้ ง จะถอื สทิ ธหิ วงหา้ มทอ่ี ยู่ ของสงฆไ์ มไ่ ด้ หา้ มมอบหมายใหภ้ กิ ษอุ ยนู่ อกสมี า เปน็ ผคู้ วบคมุ การกอ่ สรา้ ง ภกิ ษผุ คู้ วบคมุ การกอ่ สรา้ งจะครอบครองทอ่ี ยู่ อาศัยได้เพียง ๓ เดือน ห้ามครอบครองตลอดไป เมื่อพ้น ๓ เดือนต้อง ยินยอมให้จัดสรรใหม่ ภกิ ษผุ คู้ วบคมุ การกอ่ สรา้ งพอรบั มอบหรอื ทำคา้ งไว้ สกึ ไปหรอื เดนิ ทาง ไปทอ่ี น่ื เปน็ ตน้ ใหส้ งฆม์ อบใหภ้ กิ ษอุ น่ื ทำการแทนดว้ ยสง่ั วา่ นวกรรมของสงฆ์ อยา่ ไดเ้ สยี หาย (กรรมวาจาใหน้ วกรรม ดหู นา้ ๔๒๔). การขนย้ายเครื่องใช้และรักษาที่อยู่อาศัย ภกิ ษขุ นเครอ่ื งใชท้ ป่ี ระจำอยเู่ สนาสนะหลงั หนง่ึ ไปใชใ้ นหลงั อน่ื ถกู เขาตเิ ตยี น จงึ ตรสั หา้ มไมใ่ หท้ ำเชน่ นน้ั ขอยมื ไปใชช้ ว่ั คราวได,้ นำไปเพอ่ื เกบ็ รกั ษาได,้ แลกเปลย่ี น (ผาตกิ รรม๑) ได้ สว่ นผา้ ทม่ี รี าคามากอนั เปน็ บรขิ าร สำหรบั เสนาสนะ ทรงอนญุ าตใหแ้ ลกเปลย่ี นเพอ่ื ประโยชนแ์ กผ่ าตกิ รรมได.้ ๑ ผาตกิ รรม หมายถงึ การทำใหเ้ พม่ิ พนู โดยนำไปแลกเปลย่ี นกบั เตยี งตง่ั เปน็ ตน้ ทม่ี รี าคาเทา่ กนั หรอื มรี าคามากกวา่ ไมใ่ หต้ ำ่ กวา่ ราคาของเดมิ (ว.ิ อ. ๓ / ๓๒๔ / ๓๕๕, วมิ ต.ิ ฎกี า ๒ / ๓๒๔ / ๓๒๓)

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๒๗ หนงั หม,ี เครอ่ื งเชด็ เทา้ รปู วงลอ้ , และผา้ ทอ่ นนอ้ ยบงั เกดิ แกส่ งฆ์ จงึ ทรง อนญุ าตใหท้ ำเปน็ ผา้ เชด็ เทา้ และตรสั หา้ มภกิ ษไุ มพ่ งึ เหยยี บเสนาสนะดว้ ยเทา้ ทย่ี งั มไิ ดล้ า้ ง, ภกิ ษไุ มพ่ งึ เหยยี บเสนาสนะดว้ ยเทา้ ทย่ี งั เปยี ก และภกิ ษสุ วมรองเทา้ ไมพ่ งึ เหยยี บเสนาสนะ รปู ใดเหยยี บตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ จากนน้ั ทรงหา้ ม ไมใ่ หบ้ ว้ น นำ้ ลายลงบนพน้ื ทข่ี ดั ถแู ลว้ ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกผ่ ลู้ ะเมดิ และทรงอนญุ าต กระโถน เนอ่ื งดว้ ยเทา้ เตยี ง, เทา้ ตง่ั ครดู พน้ื ทข่ี ดั ถแู ลว้ จงึ ทรงอนญุ าตใหใ้ ชผ้ า้ พนั ต่อมาทรงห้ามพิงฝาที่ขัดถูแล้ว โดยทรงอนุญาตพนักอิงและผ้าพันทั้งข้างล่าง และขา้ งบน เพอ่ื กนั ครดู ฝาและพน้ื รวมทง้ั อนญุ าตใหป้ ลู าดกอ่ นแลว้ นอน. อาหาร และการแจกอาหาร ทรงอนญุ าตสงั ฆภตั , อทุ เทสภตั (อาหารทถ่ี วายเจาะจง), นมิ นั ตนภตั , สลากภัต(ถวายโดยสลาก), ปักขิกภัต(ถวายประจำปักษ์), อุโปสถิกภัต, ปฏิปทิกภัต(ถวายประจำวันแรม ๑ ค่ำ) และทรงกำหนดคุณสมบัติของภิกษุ ผู้แจกอาหารว่า ไม่มีอคติ ๔ และรู้จักภัตที่แจกแล้ว หรือยังไม่ได้แจก ทรง แสดงวธิ สี วดสมมติ คอื แตง่ ตง้ั ภกิ ษผุ แู้ จกอาหาร (ดหู นา้ ๔๒๑) และแนะวธิ แี จก โดยอนญุ าตใหเ้ ขยี นชอ่ื ลงในสลากหรอื แผน่ ผา้ รวมเขา้ ไวแ้ ลว้ จงึ แจกภตั . เจ้าหน้าที่ทำการสงฆ์อื่น ๆ ทรงแนะให้มีการแต่งตั้งภิกษุผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นเจ้าหน้าที่ ทำการสงฆ์อื่น ๆ โดยการสวดประกาศ คือ ภิกษุผู้ปูลาด(จัดแต่ง)เสนาสนะ ผรู้ กั ษาเรอื นคลงั ผรู้ บั จวี ร ผแู้ จกจวี ร ผแู้ จกขา้ วยาคู ผแู้ จกผลไม้ ผแู้ จกของเคย้ี ว ผแู้ จกของเลก็ ๆนอ้ ยๆ (เชน่ เขม็ มดี รองเทา้ ประคคเอว สายบาตร ผา้ กรองนำ้ ทก่ี รองนำ้ ผา้ เลก็ ๆ นอ้ ยๆ) ผแู้ จกผา้ ผแู้ จกบาตร ผใู้ ชค้ นทำงานวดั ผใู้ ชส้ ามเณร.

๓๒๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๓.สงั ฆเภทขนั ธกะ หมวดว่าด้วยสงฆ์แตกกัน เลา่ เรอ่ื งราชกมุ ารในศากยสกลุ คอื ภทั ทยิ ราชา, อนรุ ทุ ธะ, อานนท,์ ภคั ค,ุ กมิ พลิ ะ และราชกมุ ารในโกลยิ สกลุ คอื เทวทตั รวมเปน็ ๗ ทง้ั อบุ าลผี เู้ ปน็ ชา่ ง กลั บก (ชา่ งตดั ผม) ออกบวช ตา่ งเหน็ พรอ้ มกนั วา่ ควรใหอ้ บุ าลบี วชกอ่ น ตนจะได้ กราบไหว้คลายทิฏฐิมานะ เมื่อบวชแล้ว พระภัททิยะได้วิชชา ๓, พระอนุรุทธ์ได้ทิพยจักษุ, พระอานนทไ์ ดเ้ ปน็ โสดาบนั สว่ นพระเทวทตั ไดฤ้ ทธข์ิ องปถุ ชุ น. พระเทวทัตคิดการใหญ่ พระเทวทตั หวงั ลาภและสกั การะ จงึ แปลงกายเปน็ เดก็ นอ้ ยไปนง่ั อยู่ บนตกั ของราชกมุ าร ชอ่ื อชาตศตั รู เพอ่ื ทำใหร้ าชกมุ ารเลอ่ื มใส มลี าภสกั การะเกดิ ขน้ึ แลว้ กค็ ดิ การจะปกครองคณะสงฆเ์ สยี เองแทนพระพทุ ธเจา้ ความทราบถงึ พระมหาโมคคลั ลานะ จงึ เขา้ ไปเฝา้ กราบทลู พระผมู้ พี ระภาคๆ ตรสั แสดงศาสดา ๕ ประเภททต่ี อ้ งอาศยั หรอื หวงั ความคมุ้ ครองจากสาวก คอื ๑.ศาสดาผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ ๒.มกี ารเลย้ี งชพี ไมบ่ รสิ ทุ ธ์ิ ๓.มีการแสดงธรรมไม่บริสุทธิ์ ๔.มีการตอบคำถามไม่บริสุทธิ์ ๕.มญี าณทสั สนะไมบ่ รสิ ทุ ธ์ิ แตแ่ สดงตนวา่ เปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธใ์ิ นทาง ๕ นน้ั สว่ นพระองคม์ ติ อ้ งหวงั ความคมุ้ ครองของสาวก เพราะมไิ ดเ้ ปน็ ดงั นน้ั . ภกิ ษจุ ำนวนมากไดท้ ลู ใหท้ ราบวา่ อชาตศตั รรู าชกมุ ารเสดจ็ โดยราชรถ ๕๐๐ คนั และจดั ภตั ตาหาร ๕๐๐ สำรบั ไปบำรงุ พระเทวทตั

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๒๙ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “ผลกล้วยฆ่าต้นกล้วย ขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ดอกออ้ ฆา่ ตน้ ออ้ ลกู มา้ อสั ดรฆา่ แมม่ า้ ฉนั ใด ลาภสกั การะยอ่ มฆา่ คนชว่ั ฉนั นน้ั .” พระเทวทัตขอปกครองสงฆ์ เมอ่ื ไดโ้ อกาส พระเทวทตั จงึ เขา้ เฝา้ พระผมู้ พี ระภาค ขณะประทบั นง่ั แสดงธรรมแกบ่ รษิ ทั ซง่ึ มพี ระราชาประทบั อยดู่ ว้ ย อา้ งวา่ พระพทุ ธองคม์ อี ายมุ าก แลว้ ขอใหท้ รงขวนขวายนอ้ ย และใหส้ ละภกิ ษสุ งฆใ์ หต้ น ตนจะบรหิ ารเอง พระผมู้ พี ระภาคทรงปฏเิ สธถงึ ๓ ครง้ั ในครง้ั ท่ี ๓ ตรสั วา่ แมพ้ ระสารบี ตุ ร และพระโมคคัลลานะ พระองค์ยังมิได้มอบภิกษุสงฆ์ให้ ไฉนจะทรงมอบแก่ พระเทวทตั ผตู้ ำ่ ชา้ บรโิ ภคปจั จยั ดจุ กลนื กนิ เขฬะ พระเทวทตั ไดค้ ดิ ผกู อาฆาต. ทรงให้สงฆ์ลงปกาสนียกรรมเทวทัต, เทวทัตยุให้กบถ รับสั่งกะสงฆ์ว่า เพราะเหตุนั้นแล สงฆ์จงลงปกาสนียกรรมในกรุง ราชคฤหแ์ กพ่ ระเทวทตั วา่ “ปกตขิ องพระเทวทตั กอ่ นเปน็ อยา่ งหนง่ึ เดย๋ี วนเ้ี ปน็ อีกอย่างหนึ่ง พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกายวาจา ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรมหรือพระสงฆ์เป็นอย่างนั้น พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง” ด้วย ญัตติทุติยกรรมวาจา และให้สงฆ์สวดประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นผู้ชี้แจง แกช่ าวกรงุ ราชคฤห์ พระสารบี ตุ รทลู ถามวา่ เมอ่ื กอ่ นขา้ พระพทุ ธเจา้ กลา่ วชม พระเทวทตั ในกรงุ ราชคฤหว์ า่ โคธบิ ตุ รมฤี ทธม์ิ ากมอี านภุ าพมาก ขา้ พระพทุ ธเจา้ จะประกาศพระเทวทตั ในกรงุ ราชคฤหอ์ ยา่ งไร ทรงตอบวา่ เธอกลา่ วชมเทวทตั ในกรงุ ราชคฤหแ์ ลว้ เทา่ ทเ่ี ปน็ จรงิ วา่ โคธบิ ตุ รมฤี ทธม์ิ าก..., ดกู อ่ นสารบี ตุ ร เธอจงประกาศเทวทตั ในกรงุ ราชคฤหเ์ ทา่ ทเ่ี ปน็ จรงิ เหมอื นอยา่ งนน้ั แล พระเทวทัตจึงยุอชาตศัตรูกุมารให้ฆ่าพระราชบิดา เพื่อชิงราชสมบัติ สว่ นตนจะฆา่ พระพทุ ธเจา้ แลว้ เปน็ พระพทุ ธเจา้ แตร่ าชกมุ ารถกู จบั ได้ อำมาตย์ ถวายความเห็นกันหลายประการ เช่น ให้ฆ่าพระเทวทัต, ราชกุมาร, รวมทั้ง ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บางพวกวา่ ไมค่ วรฆา่ แตค่ วรกราบทลู พระเจา้ พมิ พสิ ารใหว้ นิ ฉิ ยั .

๓๓๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก การประทุษร้ายพระพุทธเจ้าครั้งแรก พระเจา้ พมิ พสิ ารทรงทราบวา่ ราชกมุ ารอยากไดร้ าชสมบตั ิ กท็ รงมอบให้ พระเทวทตั กม็ อี ำนาจยง่ิ ขน้ึ จงึ ขอกำลงั จากพระเจา้ อชาตศตั รสู ง่ คนไปคอยฆา่ พระพทุ ธเจา้ แลว้ สง่ั วา่ ถา้ ฆา่ แลว้ ใหไ้ ปทางนน้ั ๆ แลว้ สง่ คน ๒ คนไปคอยดกั ฆา่ คนทฆ่ี า่ พระพทุ ธเจา้ สง่ คน ๔ คนไปคอยดกั ฆา่ พวก ๒ คนนน้ั สง่ คน ๘ คนไป คอยดักฆ่าพวก ๔ คนนั้น และส่งคน ๑๖ คนไปคอยดักฆ่าพวก ๘ คนนั้น (เพื่อฆ่าปิดปาก) แต่คนเหล่านั้นได้ฟังธรรมกลับมีจิตเลื่อมใส ปฏิญญาตนเป็น อบุ าสกหมดสน้ิ พระผมู้ พี ระภาคทรงสง่ คนเหลา่ นน้ั กลบั ไป โดยใหส้ บั ทางกบั ท่ี พระเทวทัตสั่ง จึงไม่มีการฆ่ากันเกิดขึ้น เมื่อพวกที่คอยอยู่ เห็นนานเกินไป นกึ สงสยั มาถามพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรมใหฟ้ งั จงึ แสดงตนเปน็ อบุ าสกทกุ คน การประทษุ รา้ ยครง้ั ท่ี ๒ และครง้ั ท่ี ๓ เมื่อใช้คนไปฆ่าไม่สำเร็จ พระเทวทัตจึงเตรียมลงมือเอง คือขึ้นไปอยู่ บนเขาคชิ ฌกฏู คอยกลง้ิ กอ้ นหนิ ใหญ่ ใหล้ งมาทบั พระพทุ ธเจา้ แตไ่ มส่ มประสงค์ เพียงสะเก็ดหินที่แตกมากระทบพระบาทห้อพระโลหิตเท่านั้น ภิกษุทั้งหลาย เป็นห่วง จึงมาอยู่ยามเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่องบ่นด้วยเสียงอันดัง แต่ทรงให้ ภิกษุทั้งหลายกลับไป แล้วตรัสว่า ...พระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่ปรินิพพาน ดว้ ยความ พยายามของผอู้ น่ื และตรสั เรอ่ื งศาสดา ๕ ประเภท (ดหู นา้ ๓๒๘) พระเทวทัตไปหาคนเลี้ยงช้างของพระราชา อ้างตนเป็นญาติของ พระราชา และอา้ งวา่ สามารถเลอ่ื นตำแหนง่ เพม่ิ อาหาร เพม่ิ คา่ จา้ งได้ แลว้ สง่ั ให้ปล่อยช้างนาฬาคิรีซึ่งดุร้ายเคยฆ่ามนุษย์ เพื่อไปทำร้ายพระพุทธเจ้า คนเลี้ยงช้างยอมทำตาม เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมากป็ ลอ่ ยชา้ งไป ภกิ ษุ ทง้ั หลายกราบทลู ใหเ้ สดจ็ หนี แตท่ รงปฏเิ สธและตรัสว่า ตถาคตไม่ปรินิพพาน ด้วยความพยายามของผู้อื่น ในการนี้มีผู้เห็นเหตุการณ์คอยดูอยู่บนที่สูง เมอ่ื พระผมู้ พี ระภาคเจา้ แผเ่ มตตาจติ ชา้ งกเ็ อางวงจบั ฝนุ่ ทพ่ี ระบาทขน้ึ โรยบน กระพอง และกลบั สโู่ รงชา้ งตามเดมิ .

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๓๑ ต่อมาพระเทวทัตเสื่อมลาภพร้อมทั้งบริษัทได้เที่ยวขอในสกุลทั้งหลาย มาฉนั ทรงตเิ ตยี นแลว้ ตรสั วา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะเหตนุ น้ั แล เราจกั บญั ญตั โิ ภชนะสำหรบั ๓ คนในสกลุ แกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย อาศยั อำนาจประโยชน์ ๓ ประการ คอื ๑.เพอ่ื ขม่ บคุ คลผเู้ กอ้ ยาก ๒.เพอ่ื อยผู่ าสกุ ของภกิ ษผุ มู้ ศี ลี เปน็ ทร่ี กั ๓.เพอ่ื อนเุ คราะหส์ กลุ ดว้ ยหวงั วา่ ภกิ ษทุ ง้ั หลายทม่ี คี วามปรารถนาลามก อยา่ อาศยั ฝกั ฝา่ ยทำลายสงฆ์ ในการฉนั เปน็ หมู่ พงึ ปรบั อาบตั ติ ามธรรม” (ปรบั ปาจติ ตยี ์ ตามคณโภชนสกิ ขาบท, ใชป้ ระกอบคำอธบิ ายเชงิ อรรถ หนา้ ๑๑๖) พระเทวทตั เสนอข้อปฏบิ ัติ ๕ ข้อ พระเทวทตั ฆา่ พระพทุ ธเจา้ ไมส่ มประสงค์ จงึ ชวนพรรคพวกมพี ระโกกาลกิ ะ เปน็ ตน้ คดิ เสนอขอ้ ปฏบิ ตั ิ ๕ ประการ เพอ่ื ใหเ้ หน็ วา่ ตนเครง่ ครดั คอื ๑. ใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลายอยปู่ า่ ตลอดชวี ติ เขา้ สบู่ า้ นมโี ทษ ๒. ให้ถือบิณฑบาตตลอดชีวิต รับนิมนต์มีโทษ ๓. ใหถ้ อื ผา้ บงั สกุ ลุ ตลอดชวี ติ รบั คหบดจี วี รมโี ทษ ๔. ใหอ้ ยโู่ คนไมต้ ลอดชวี ติ เขา้ สทู่ ม่ี งุ ทบ่ี งั มโี ทษ ๕. หา้ มฉนั เนอ้ื สตั วต์ ลอดชวี ติ ฉนั เขา้ มโี ทษ เมอ่ื ไดโ้ อกาสจงึ กราบทลู เสนอขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ง้ั ๕ ขอ้ นน้ั แตไ่ ดท้ รงปฏเิ สธ คอื ใน ๔ ขอ้ ขา้ งตน้ ทรงใหภ้ กิ ษปุ ฏบิ ตั ติ ามความสมคั รใจ เฉพาะขอ้ ๔ ทรง อนญุ าต ใหอ้ ยโู่ คนไมไ้ ดเ้ พยี ง ๘ เดอื น ในขอ้ ๕ ทรงอนญุ าตเนอ้ื สตั วท์ บ่ี รสิ ทุ ธ์ิ ๓ ประการ คอื ๑.ไมไ่ ดเ้ หน็ ๒.ไมไ่ ดฟ้ งั ๓.ไมไ่ ดน้ กึ รงั เกยี จวา่ เขาฆา่ เพอ่ื ตน. พระเทวทตั กด็ ใี จทจ่ี ะไดป้ ระกาศวา่ ตนเครง่ กวา่ พระพทุ ธเจา้ จงึ เทย่ี ว ประกาศทว่ั กรงุ ราชคฤหถ์ งึ เรอ่ื งขอ้ เสนอนน้ั . ทำให้สงฆ์แตกกัน ครั้นถึงวันอุโบสถ พระเทวทัตก็ชวนภิกษุมาเป็นพวกได้มาก แล้วพา ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั แยกไปทำอโุ บสถ ณ ตำบลคยาสสี ะ.

๓๓๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก พระเทวทัตอาเจียนเป็นโลหิต พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงสง่ พระสารบี ตุ รและพระโมคคลั ลานะไปชแ้ี จง ใหภ้ กิ ษทุ เ่ี ปน็ พวกของพระเทวทตั หายเขา้ ใจผดิ พระเทวทตั เขา้ ใจวา่ พระสารบี ตุ ร และพระโมคคลั ลานะมาเขา้ พวกดว้ ย กม็ อบใหพ้ ระสารบี ตุ รสง่ั สอนพระเหลา่ นน้ั ส่วนตนเองนอนพักผ่อน พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะแสดงธรรมให้พระ เหลา่ นน้ั ฟงั ไดด้ วงตาเหน็ ธรรม แลว้ กก็ ลบั มภี กิ ษปุ ระมาณ ๕๐๐ รปู ตามมา พระโกกาลกิ ะรบี ปลกุ พระเทวทตั บอกใหร้ ู้ พระเทวทตั ถงึ กบั อาเจยี นเปน็ โลหติ . พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า จากนน้ั พระสารบี ตุ รไดก้ ราบทลู ขอใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลายผปู้ ระพฤตติ ามภกิ ษผุ ทู้ ำลาย พงึ อปุ สมบทใหม่ ทรงตรสั วา่ “อยา่ เลยสารบี ตุ ร เธออยา่ พอใจการอปุ สมบทใหม่ ของพวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายเลย ดูก่อนสารีบุตร ถ้าเช่นนั้น เธอจงใหพ้ วกภกิ ษผุ ปู้ ระพฤตติ ามภกิ ษผุ ทู้ ำลายแสดงอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ” แลว้ ตรสั สรรเสรญิ พระสารบี ตุ รวา่ มลี กั ษณะสมเปน็ ทตู เพราะประกอบ ดว้ ยองค์ ๘ คอื ๑.รบั ฟงั ผอู้ น่ื ๒.ทำใหผ้ อู้ น่ื ฟงั ตน ๓.กำหนดเพอ่ื จะรทู้ ว่ั ถงึ ๔.ทรง จำดี ๕.รู้คำพูดของคนอื่น ๖.ทำให้คนอื่นรู้คำพูดของตน ๗.ฉลาดในประโยชน์ และมใิ ชป่ ระโยชน์ ๘.ไมช่ วนทะเลาะ ครน้ั แลว้ ไดท้ รงแสดงธรรมอกี หลายเรอ่ื ง. ความร้าวและความแตกกันของสงฆ์ ทรงแสดงเรอ่ื ง “สงั ฆราช”ี ความรา้ วรานของสงฆว์ า่ ถา้ ภกิ ษสุ องฝา่ ย ยงั ไมค่ รบฝา่ ยละ ๔ รปู กย็ งั เปน็ เพยี งความรา้ วรานแหง่ สงฆเ์ ทา่ นน้ั ยงั ไมเ่ ปน็ “สงั ฆเภท” ความแตกแหง่ สงฆ์ ตอ่ เมอ่ื ทง้ั สองฝา่ ยมตี ง้ั แต่ ๔ รปู ขน้ึ ไปมรี ปู ท่ี ๙ สวดประกาศ จึงเป็นทั้งความร้าวรานและความแตกกันแห่งสงฆ์ ดังที่ตรัสว่า “ดกู อ่ นอบุ าลี ฝา่ ยหนง่ึ มภี กิ ษุ ๔ รปู ฝา่ ยหนง่ึ มี ๔ รปู รปู ท่ี ๙ ประกาศ ใหจ้ บั สลากวา่ นธ้ี รรม นว้ี นิ ยั นส้ี ตั ถศุ าสน์ ทา่ นทง้ั หลายจงจบั สลากน้ี จงชอบใจสลากน้ี ดกู อ่ น อบุ าลี แมด้ ว้ ยเหตอุ ยา่ งนแ้ี ล เปน็ ทง้ั สงั ฆราชี และสงั ฆเภท ดกู อ่ นอบุ าลี

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๓๓ ภกิ ษุ ๙ รปู หรอื เกนิ กวา่ ๙ รปู เปน็ ทง้ั สงั ฆราชี และสงั ฆเภท ดกู อ่ นอบุ าลี ภกิ ษณุ ที ำลายสงฆไ์ มไ่ ด้ แตพ่ ยายามเพอ่ื จะ ทำลายได,้ สกิ ขมานา กท็ ำลายสงฆไ์ มไ่ ด,้ สามเณรกท็ ำลายสงฆไ์ มไ่ ด,้ สามเณรกี ท็ ำลายสงฆ์ ไมไ่ ด,้ อบุ าสกกท็ ำลายสงฆไ์ มไ่ ด,้ อบุ าสกิ ากท็ ำลายสงฆไ์ มไ่ ด้ แตพ่ ยายาม เพอ่ื จะทำลายได้, ดกู อ่ นอบุ าลี ภกิ ษปุ กตตั ตะ มสี งั วาสเสมอกนั อยใู่ นสมี า เดยี วกนั ยอ่ มทำลายสงฆไ์ ด.้ เหตเุ ปน็ เครอ่ื งทำใหส้ งฆแ์ ตกกนั และสามคั คกี นั มี ๑๘ ขอ้ คอื ๑. แสดงอธรรมว่าเป็นธรรม ๒. แสดงธรรมว่าเป็นอธรรม ๓. แสดงอวนิ ยั วา่ เปน็ วนิ ยั ๔. แสดงวนิ ยั วา่ เปน็ อวนิ ยั ๕. แสดงข้อทพ่ี ระพุทธเจ้ามิได้ตรสั ไวว้ ่าตรสั ไว้ ๖. แสดงข้อทพ่ี ระพุทธเจา้ ตรัสไว้วา่ มิได้ตรัสไว้ ๗. แสดงข้อที่พระพุทธเจ้ามิได้ประพฤติไว้ว่าได้ประพฤติ ๘. แสดงข้อที่พระพุทธเจ้าประพฤติว่ามิได้ประพฤติ ๙. แสดงขอ้ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ มไิ ดบ้ ญั ญตั วิ า่ บญั ญตั ิ ๑๐. แสดงขอ้ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ บญั ญตั วิ า่ มไิ ดบ้ ญั ญตั ิ ๑๑. แสดงสง่ิ ทม่ี ใิ ชอ่ าบตั วิ า่ เปน็ อาบตั ิ ๑๒.แสดงอาบัติว่ามิใช่อาบัติ ๑๓.แสดงอาบตั เิ บาวา่ หนกั ๑๔.แสดงอาบตั หิ นกั วา่ เบา ๑๕. แสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่ามีส่วนเหลือ ๑๖. แสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่าไม่มีส่วนเหลือ ๑๗. แสดงอาบตั ชิ ว่ั หยาบวา่ ไมช่ ว่ั หยาบ ๑๘.แสดงอาบตั ไิ มช่ ว่ั หยาบวา่ ชว่ั หยาบ

๓๓๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก แลว้ ทำอโุ บสถ ทำปวารณา และสงั ฆกรรมแยกกนั สว่ นเหตเุ ปน็ เครอ่ื งทำใหส้ งฆส์ ามคั คกี นั กม็ ี ๑๘ อยา่ งทต่ี รงกนั ขา้ มกบั ที่กล่าวแล้ว คือแสดงถูกตรงตามความจริง ทำอุโบสถร่วมกัน ทำปวารณา รว่ มกนั และไมท่ ำสงั ฆกรรมแยกกนั . การทำสงฆ์ให้แตกกันที่ทำให้ไปอบายและไม่ไปอบาย ทรงแสดงการทำสงฆใ์ หแ้ ตกกนั ทม่ี โี ทษเปน็ เหตใุ หไ้ ปอบาย และไมเ่ ปน็ เหตใุ หไ้ ปอบาย โดยชไ้ี ปท่ี ความบรสิ ทุ ธใ์ิ จ และเจตนา คอื ฝา่ ยทจ่ี ะไปอบายนน้ั รู้ว่าผิดธรรมวินัยแต่แกล้งแสดงว่าถูกธรรมวินัย ส่วนฝ่ายที่ไม่ไปอบายนั้น คอื ทำดว้ ยความบรสิ ทุ ธใ์ิ จ และดว้ ยเขา้ ใจวา่ เรอ่ื งทโ่ี ตเ้ ถยี งกนั นน้ั เหตผุ ลของตน ถูกต้องตามธรรมวินัย.

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๓๕ ๔. วตั ตขนั ธกะ หมวดวา่ ดว้ ยวตั รหรอื ขอ้ ปฏบิ ตั ิ (วตั ร ๑๔) ๑.อาคันตุกวัตร (ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้จรมา) “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษอุ าคนั ตกุ ะคดิ วา่ จกั เขา้ ไปสอู่ ารามเดย๋ี วน้ี พงึ ถอดรองเทา้ เคาะ แลว้ ถอื ไปตำ่ ๆ ลดรม่ เปดิ ศรี ษะ ลดจวี รบนศรี ษะลงไวท้ บ่ี า่ ไม่ต้องรีบร้อน พึงเข้าไปสู่อารามตามปกติ เมอ่ื เขา้ ไปสอู่ ารามพงึ สงั เกตวา่ ภกิ ษเุ จา้ ถน่ิ ประชมุ กนั ทไ่ี หน ภกิ ษเุ จา้ ถน่ิ ประชมุ กนั ทใ่ี ด คอื ทโ่ี รงฉนั มณฑป หรอื โคนไม้ พงึ ไปทน่ี น่ั วางบาตรไวท้ ่ี แห่งหนึ่ง วางจีวรไว้ที่แห่งหนึ่ง พึงถืออาสนะที่สมควรนั่ง พึงถามถึงน้ำฉัน พงึ ถามถงึ นำ้ ใชว้ า่ ไหนนำ้ ฉนั ไหนนำ้ ใช้ ถา้ ตอ้ งการนำ้ ฉนั พงึ ตกั นำ้ ฉนั มาดม่ื ถา้ ตอ้ งการนำ้ ใช้ พงึ ตกั นำ้ ใชม้ า ลา้ งเทา้ เมอ่ื ลา้ งเทา้ พงึ รดนำ้ ดว้ ยมอื ขา้ งหนง่ึ พงึ ลา้ งเทา้ ดว้ ยมอื ขา้ งหนง่ึ รดนำ้ ดว้ ยมอื ใด ไมพ่ งึ ลา้ งเทา้ ดว้ ยมอื นน้ั พงึ ถามถงึ ผา้ เชด็ รองเทา้ แลว้ จงึ เชด็ รองเทา้ เมอ่ื จะเชด็ รองเทา้ พงึ ใชผ้ า้ แหง้ เชด็ กอ่ นใชผ้ า้ เปยี กเชด็ ทหี ลงั พงึ ซกั ผา้ เชด็ รองเทา้ บดิ แลว้ ผง่ึ ไวท้ ค่ี วรแหง่ หนง่ึ ถา้ ภกิ ษเุ จา้ ถน่ิ แกพ่ รรษากวา่ พงึ อภวิ าท ถา้ ออ่ นพรรษากวา่ พงึ ใหเ้ ธอ อภิวาท พึงถามถึงเสนาสนะว่า เสนาสนะไหนสมควรถึงแก่ผม พึงถามถึง เสนาสนะทม่ี ภี กิ ษอุ ยหู่ รอื ทไ่ี มม่ ภี กิ ษอุ ยู่ พงึ ถามถงึ โคจรคามพงึ ถามถงึ อโคจรคาม พึงถามถึงสกุลทั้งหลายที่ได้รับสมมติว่าเป็น เสกขะ๑ พึงถามถึงที่ถ่ายอุจจาระ พึงถามถึงที่ถ่ายปัสสาวะ พึงถามถึงน้ำฉันพึงถามถึงน้ำใช้ พึงถามถึงไม้เท้า พงึ ถามถงึ กตกิ าสงฆท์ ต่ี ง้ั ไวว้ า่ ควรเขา้ เวลาเทา่ ไร ควรออกเวลาเทา่ ไร ๑ สกลุ เสกขสมมติ คอื ตระกลู ทม่ี ศี รทั ธาในการใหท้ านวตั ถมุ ากจนหมดทนุ ทรพั ยไ์ ด้ เพอ่ื ไมใ่ หต้ ระกลู เชน่ นเ้ี ดอื ดรอ้ น จากการถวายสง่ิ ของแกภ่ กิ ษสุ งฆ์ หรอื เพอ่ื ไมใ่ หภ้ กิ ษสุ ามเณรรบกวนตระกลู เชน่ นน้ั สงฆจ์ งึ ประกาศสมมติ (แตง่ ตง้ั ) ตระกลู เชน่ นน้ั ใหเ้ ปน็ “เสกขสมมต”ิ (ดู ว.ิ อ. ๒ / ๕๖๒ / ๔๔๔)

๓๓๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ถ้าวิหารไม่มีภิกษุอยู่ พึงเคาะประตูรออยู่สักครู่หนึ่งแล้วถอดลิ่ม ผลกั บาน ประตู ยนื อยขู่ า้ งนอกแลดใู หท้ ว่ั ถา้ วหิ ารรก หรอื เตยี งซอ้ นอยบู่ นเตยี ง หรอื ตง่ั ซอ้ นอยบู่ นตง่ั เสนาสนะมลี ะอองจบั อยเู่ บอ้ื งบน ถา้ อตุ สาหะอยพู่ งึ ชำระเสยี เมอ่ื จะชำระวหิ าร พงึ ทำตามเสนาสนวตั ร มขี นเครอ่ื งลาดพน้ื ออกไป วางไวท้ ค่ี วรแหง่ หนง่ึ กอ่ น เปน็ ตน้ (ดงั มรี ายละเอยี ดในเสนาสนะวตั รหนา้ ๓๔๑) ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย นแ้ี ลเปน็ วตั รของภกิ ษอุ าคนั ตกุ ะทง้ั หลาย ซง่ึ ภกิ ษุ อาคันตุกะทั้งหลายพึงประพฤติให้เรียบร้อย.” ๒.อาวาสิกวัตร (ข้อปฏิบัติของภิกษุเจ้าถิ่น) “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษเุ จา้ ถน่ิ เหน็ ภกิ ษอุ าคนั ตกุ ะผแู้ กก่ วา่ แลว้ พงึ ปอู าสนะ พงึ ตง้ั นำ้ ลา้ งเทา้ ตง่ั รองเทา้ กระเบอ้ื งเชด็ เทา้ พงึ ลกุ รบั บาตร จวี ร พงึ ถามดว้ ยนำ้ ฉนั พงึ ถามดว้ ยนำ้ ใช้ ถา้ อตุ สาหะ พงึ เชด็ รองเทา้ เมอ่ื จะเชด็ รองเทา้ พงึ ใชผ้ า้ แหง้ เชด็ กอ่ นใช้ ผา้ เปยี กเชด็ ทหี ลงั พงึ ซกั ผา้ เชด็ รองเทา้ บดิ แลว้ ผง่ึ ไว้ ณ ทค่ี วรแหง่ หนง่ึ พงึ อภวิ าทภกิ ษอุ าคนั ตกุ ะผแู้ กก่ วา่ พงึ จดั เสนาสนะถวายวา่ เสนาสนะนน่ั สมควรแกท่ า่ น พงึ บอกเสนาสนะทม่ี ภี กิ ษอุ ยหู่ รอื ไมม่ ภี กิ ษอุ ยู่ พงึ บอกโคจรคาม พงึ บอกอโคจรคาม พงึ บอกสกลุ ทเ่ี ปน็ เสกขสมมติ พงึ บอกทถ่ี า่ ยอจุ จาระ พงึ บอก ทถ่ี า่ ยปสั สาวะ พงึ บอกนำ้ ฉนั พงึ บอกนำ้ ใช้ พงึ บอกไมเ้ ทา้ พงึ บอกกตกิ าสงฆท์ ่ี ตง้ั ไวว้ า่ เวลานค้ี วรเขา้ เวลานค้ี วรออก ถา้ ภกิ ษอุ าคนั ตกุ ะออ่ นพรรษากวา่ พงึ นง่ั บอกวา่ ทา่ นจงวางบาตรทน่ี น่ั จงวางจวี รทน่ี น่ั จงนง่ั อาสนะน้ี พงึ บอกนำ้ ฉนั พงึ บอกนำ้ ใช้ พงึ บอกผา้ เชด็ รองเทา้ พงึ แนะนำภกิ ษอุ าคนั ตกุ ะใหอ้ ภวิ าท พงึ บอกเสนาสนะวา่ เสนาสนะนน่ั สมควร แกท่ า่ น พงึ บอกเสนาสนะทม่ี ภี กิ ษอุ ยู่ หรอื ไมม่ ภี กิ ษอุ ยู่ พงึ บอกโคจรคาม พงึ บอก อโคจรคาม พงึ บอกสกลุ ทเ่ี ปน็ เสกขสมมติ พงึ บอกทถ่ี า่ ยอจุ จาระ พงึ บอกทถ่ี า่ ย ปสั สาวะ พงึ บอกนำ้ ฉนั พงึ บอกนำ้ ใช้ พงึ บอกไมเ้ ทา้ พงึ บอกกตกิ าสงฆท์ ต่ี ง้ั ไวว้ า่

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๓๗ เวลานค้ี วรเขา้ เวลานค้ี วรออก ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย นแ้ี ลเปน็ วตั รของภกิ ษเุ จา้ ถน่ิ ทง้ั หลาย ซง่ึ ภกิ ษุ เจ้าถิ่นทั้งหลายพึงประพฤติให้เรียบร้อย.” ๓.คมิกวัตร (ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้จะเดินทางจากไป) “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษผุ เู้ ตรยี มจะไปพงึ เกบ็ เครอ่ื งไม้ เครอ่ื งดนิ ปิดประตูหน้าต่าง มอบหมายเสนาสนะ ถ้าภิกษุไม่มี พึงมอบหมายสามเณร ถ้าสามเณรไม่มี พงึ มอบหมายคนวดั ถา้ คนวดั ไมม่ ี พงึ มอบหมายอบุ าสก ถา้ ไมม่ ภี กิ ษุ สามเณร คนวดั หรอื อบุ าสก พงึ ยกเตยี งขน้ึ วางไวบ้ นศลิ า ๔ แผน่ แลว้ พงึ ยกเตยี งซอ้ นเตยี ง ยกตง่ั ซอ้ นตง่ั แลว้ กองเครอ่ื งเสนาสนะ ไวข้ า้ งบน เกบ็ เครอ่ื งไม้ เครอ่ื งดนิ ปดิ ประตหู นา้ ตา่ ง แลว้ จงึ หลกี ไป ถ้าวิหารฝนรั่ว ถ้าอุตสาหะอยู่พึงมุง หรือพึงทำความขวนขวายว่า จะมงุ วหิ ารไดอ้ ยา่ งไร ถา้ ไดต้ ามความขวนขวายอยา่ งน้ี นน่ั เปน็ ความดี ถา้ ไมไ่ ด้ ทใ่ี ดฝนไมร่ ว่ั พงึ ยกเตยี งขน้ึ วางบนศลิ า ๔ แผน่ ในทน่ี น้ั แลว้ พงึ ยกเตยี งซอ้ นเตยี ง ยกตั่งซ้อนตั่ง แล้วกองเครื่องเสนาสนะไว้ข้างบน เก็บเครื่องไม้เครื่องดิน ปิดประตูหน้าต่างแล้วจึงหลีกไป ถา้ วหิ ารฝนรว่ั ทกุ แหง่ ถา้ อตุ สาหะอยพู่ งึ ขนเครอ่ื งเสนาสนะเขา้ บา้ น หรอื พงึ ทำความขวนขวายวา่ จะขนเครอ่ื งเสนาสนะเขา้ บา้ นอยา่ งไร ถา้ ไดต้ าม ความขวนขวายอยา่ งน้ี นน่ั เปน็ ความดี ถา้ ไมไ่ ด้ พงึ ยกเตยี งขน้ึ วางบนกอ้ นศลิ า ๔ แผ่นในที่แจ้ง แล้วพึงยกเตียงซ้อนเตียง ยกตั่งซ้อนตั่ง กองเครื่องเสนาสนะ ไวข้ า้ งบนเกบ็ เครอ่ื งไม้ เครอ่ื งดนิ แลว้ คลมุ ดว้ ยหญา้ หรอื ใบไม้ แลว้ จงึ หลกี ไป ดว้ ยคดิ วา่ อยา่ งไรเสยี สว่ นของเตยี งตง่ั คงเหลอื อยบู่ า้ ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นวัตรของภิกษุผู้เตรียมจะไป ซึ่งภิกษุ ผู้เตรียมจะไปพึงประพฤติให้เรียบร้อย.”

๓๓๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๔.ภัตตานุโมทนาวัตร (วัตรในการอนุโมทนาในที่ฉัน) สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายไม่อนุโมทนาในที่ฉัน คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาวา่ ไฉนพระสมณะเชอ้ื สายพระศากยบตุ รจงึ ไดไ้ มอ่ นโุ มทนา ในทฉ่ี นั ภกิ ษทุ ง้ั หลายไดย้ นิ คนพวกนน้ั เพง่ โทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาอยจู่ งึ กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ลำดบั นน้ั พระผมู้ พี ระภาคทรงแสดงธมั มกี ถา ในเพราะเหตเุ ปน็ เคา้ มลู นน้ั ในเพราะเหตแุ รกเกดิ นน้ั แลว้ รบั สง่ั กบั ภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราอนญุ าตใหอ้ นโุ มทนาในทฉ่ี นั เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เถระอนุโมทนาในที่ฉัน เราอนญุ าตใหภ้ กิ ษเุ ถระ อนเุ ถระ ๔ - ๕ รปู รอ (เปน็ เพอ่ื น) อยใู่ นทฉ่ี นั ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เมอ่ื มกี จิ ทจ่ี ะพงึ ทำ เราอนญุ าตใหบ้ อกลาภกิ ษผุ นู้ ง่ั อยใู่ นลำดบั (ใกลๆ้ ) แลว้ ไปได.้ ” ๕.ภตั ตคั ควตั ร (วตั รปฏบิ ตั ใิ นทฉ่ี นั ) “ถา้ ภตั ตเุ ทสกบ์ อกภตั กาล ภกิ ษเุ มอ่ื ปกปดิ มณฑล ๓ พงึ นงุ่ ใหเ้ ปน็ ปรมิ ณฑล คาดประคดเอว หม่ ผา้ ซอ้ น ๒ ชน้ั กลดั ลกู ดมุ กรอกนำ้ เพอ่ื ลา้ งบาตร แลว้ ถอื เขา้ บา้ นโดยเรยี บรอ้ ย ไมต่ อ้ งรบี รอ้ น ไมพ่ งึ เดนิ แซงไปขา้ งหนา้ พระเถระ ทง้ั หลาย พึงสำรวมด้วยดีตามเสขิยวัตร (หมวดสารูป มีการปกปิดกายด้วยดี ไปในละแวกบา้ น เปน็ ตน้ ดงั มรี ายละเอยี ดในหนา้ ๑๘๑) เมอ่ื เขาถวายนำ้ พงึ ใชม้ อื ทง้ั สองประคองบาตรรบั นำ้ พงึ กรอกลา้ งบาตร ถอื ตำ่ ๆใหด้ ี อยา่ ใหค้ รดู สี ถา้ กระโถนมี พงึ คอ่ ยๆเทนำ้ ลงในกระโถน ดว้ ยคดิ วา่ กระโถนอย่าเลอะเทอะด้วยน้ำ ภิกษุใกล้เคียงอย่าถูกน้ำกระเซ็น ผ้าสังฆาฏิ อย่าถูกน้ำกระเซ็น ถ้ากระโถนไม่มี พึงค่อยๆ เทน้ำลงที่พื้นดิน ด้วยคิดว่า ภกิ ษใุ กลเ้ คยี งอยา่ ถกู นำ้ กระเซน็ ผา้ สงั ฆาฏอิ ยา่ ถกู นำ้ กระเซน็

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๓๙ เมื่อเขาถวายข้าวสุก พึงใช้มือทั้งสองประคองบาตรรับข้าวสุก พึงเว้น เนื้อที่ไว้สำหรับแกง ถ้ามีเนยใส น้ำมัน หรือแกงอ่อม พระเถระควรบอกว่า จงจัดถวายภิกษุทั้งหลายเท่าๆกันทุกรูป พึงรับบิณฑบาตโดยเคารพ และพึง ปฏิบัติตามเสขิยวัตรในการฉัน (หมวดโภชนสังยุต มีรายละเอียดใน หน้า ๑๘๔) พระเถระไมพ่ งึ รบั นำ้ กอ่ นจนกวา่ ภกิ ษทุ ง้ั หมดฉนั เสรจ็ เมอ่ื เขาถวายนำ้ พงึ ใชม้ อื ทง้ั สองประคองบาตรรบั นำ้ พงึ คอ่ ยๆ ลา้ งบาตรถอื ตำ่ ๆ ใหด้ ี อยา่ ใหค้ รดู สี ถา้ กระโถนมี พึงคอ่ ยๆ เทนำ้ ลงในกระโถน ด้วยคิดว่า กระโถนอยา่ เลอะเทอะ ดว้ ยนำ้ ภกิ ษใุ กลเ้ คยี งอยา่ ถกู นำ้ กระเซน็ ผา้ สงั ฆาฏอิ ยา่ ถกู นำ้ กระเซน็ ถา้ กระโถน ไมม่ ี พงึ คอ่ ยๆ เทนำ้ ลงบนพน้ื ดนิ ดว้ ยคดิ วา่ ภกิ ษใุ กลเ้ คยี งอยา่ ถกู นำ้ กระเซน็ ผา้ สงั ฆาฏอิ ยา่ ถกู นำ้ กระเซน็ ไมพ่ งึ เทนำ้ ลา้ งบาตรมเี มลด็ ขา้ วในละแวกบา้ น เมอ่ื กลบั ภกิ ษใุ หมพ่ งึ กลบั กอ่ น พระเถระพงึ กลบั ทหี ลงั ปฏบิ ตั ติ าม เสขยิ วตั รทง้ั ปวง (ดหู นา้ ๑๘๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แล วัตรในที่ฉันของภิกษุทั้งหลาย ซึ่งภิกษุ ทั้งหลายพึงประพฤติให้เรียบร้อยในที่ฉัน.” ๖.ปิณฑจาริกวัตร (วัตรของภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต) “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษผุ เู้ ทย่ี วบณิ ฑบาตเปน็ วตั ร คดิ วา่ จกั เขา้ บา้ น ในบดั น้ี เมอ่ื ปกปดิ มณฑลสาม พงึ นงุ่ ใหเ้ ปน็ ปรมิ ณฑล คาดประคดเอว หม่ ผา้ ซอ้ น ๒ ชน้ั กลดั ลกู ดมุ กรอกลา้ งบาตรแลว้ ถอื เขา้ บา้ นโดยเรยี บรอ้ ยไมต่ อ้ งรบี รอ้ น พงึ ปฏบิ ตั ติ ามเสขยิ มกี ารปกปดิ กายดว้ ยดี เปน็ ตน้ (ดหู นา้ ๑๘๑) เมอ่ื เขา้ เขตบา้ นพงึ กำหนดวา่ จกั เขา้ ทางน้ี จกั ออกทางน้ี อยา่ รบี รอ้ น เข้าไป อย่ารีบร้อนออกเร็วนัก อย่ายืนไกลนัก อย่ายืนใกล้นัก อย่ายืนนานนัก อย่ากลับเร็วนัก พึงยืนกำหนดว่า เขาประสงค์จะถวายภิกษา หรือไม่ประสงค์ จะถวาย ถ้าเขาพักการงาน ลุกจากที่นั่งจับทัพพี หรือจับภาชนะ หรือตั้งไว้ พงึ ยนื ดว้ ยคดิ วา่ เขาประสงคจ์ ะถวาย

๓๔๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เมอ่ื เขาถวายภกิ ษา พงึ แหวกผา้ ซอ้ นดว้ ยมอื ซา้ ย พงึ นอ้ มบาตรเขา้ ไป ด้วยมือขวา แล้วพึงใช้มือทั้งสองประคองบาตรรับภิกษา และไม่พึงมองดูหน้า ผู้ถวายภิกษา พึงกำหนดว่าเขาประสงค์จะถวายแกงหรือไม่ประสงค์จะถวาย ถา้ เขาจบั ทพั พี จบั ภาชนะ หรอื ตง้ั ไว้ พงึ ยนื อยดู่ ว้ ยคดิ วา่ เขาประสงคจ์ ะถวาย เมื่อเขาถวายภิกษาแล้ว พึงคลุมบาตรด้วยผ้าซ้อน แล้วกลับโดยเรียบร้อย ไมต่ อ้ งรบี รอ้ น ปฏบิ ตั ติ ามเสขยิ ทกุ ประการ (รายละเอยี ดอยใู่ นหนา้ ๑๘๑) ภกิ ษใุ ดกลบั บณิ ฑบาตจากบา้ นกอ่ น ภกิ ษนุ น้ั พงึ ปอู าสนะไว้ พงึ จดั ตง้ั นำ้ ลา้ งเทา้ ตง่ั รองเทา้ กระเบอ้ื งเชด็ เทา้ พงึ ลา้ งภาชนะรองของฉนั ตง้ั ไว้ พงึ ตง้ั นำ้ ฉนั นำ้ ใชไ้ ว้ ภกิ ษใุ ดกลบั บณิ ฑบาตจากบา้ นทหี ลงั ถา้ อาหารทฉ่ี นั แลว้ ยงั เหลอื อยู่ ถ้าจำนงก็พึงฉัน ถ้าไม่จำนงก็พึงเททิ้งในที่ปราศจากของเขียวสด หรือพึง เทลงในน้ำที่ไม่มีตัวสัตว์ ภิกษุนั้นพึงรื้อขนอาสนะ เก็บน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้า พึงล้างภาชนะรองของฉัน เก็บไว้ พึงเก็บน้ำฉันน้ำใช้ พงึ กวาดโรงฉนั ภกิ ษใุ ดเหน็ หมอ้ นำ้ ฉนั หมอ้ นำ้ ใช้ หรอื หมอ้ นำ้ ชำระวา่ งเปลา่ ภกิ ษนุ น้ั พึงจัดหาไปตั้งไว้ ถ้าเป็นการสุดวิสัย พึงกวักมือเรียกเพื่อนมา ให้ช่วยกัน จดั ตง้ั ไว้ แตไ่ มพ่ งึ เปลง่ วาจาเพราะขอ้ นน้ั เปน็ เหตุ ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย นแ้ี ลเปน็ วตั รของภกิ ษผุ เู้ ทย่ี วบณิ ฑบาตเปน็ วตั ร ซง่ึ ภกิ ษผุ เู้ ทย่ี วบณิ ฑบาตเปน็ วตั ร พงึ ประพฤตใิ หเ้ รยี บรอ้ ย.” ๗.อารญั ญกิ วตั ร (วตั รของภกิ ษผุ อู้ ยปู่ า่ ) “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษผุ อู้ ยปู่ า่ เปน็ วตั ร พงึ ลกุ ขน้ึ แตเ่ ชา้ ตรู่ พงึ สวม ถุงบาตร คล้องบ่า พาดจีวรบนไหล่ สวมรองเท้า เก็บเครื่องไม้ เครื่องดิน ปดิ ประตหู นา้ ตา่ ง แลว้ ออกจากเสนาสนะ กำหนดรู้ว่าจักเข้าบ้านเดี๋ยวนี้ พึงถอดรองเท้าเคาะต่ำๆ แล้วใส่ถุง คลอ้ งบา่ เมอ่ื ปกปดิ มณฑลสาม พงึ นงุ่ ใหเ้ ปน็ ปรมิ ณฑล คาดประคดเอว หม่ ผา้ ซอ้ น ๒ ชน้ั กลดั ลกู ดมุ กรอกลา้ งบาตรแลว้ ถอื เขา้ บา้ นโดยเรยี บรอ้ ย ไมต่ อ้ งรบี รอ้ น

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๔๑ พึงปกปิดกายด้วยดีไปในละแวกบ้าน พึงสำรวมด้วยดีไปในละแวก บา้ นปฎบิ ตั ติ ามเสขยิ วตั ร และบณิ ฑจารกิ วตั รดงั กลา่ วแลว้ ขา้ งตน้ (หนา้ ๓๓๙ ) ออกจากบ้านแล้ว สวมถุงบาตร คล้องบ่า พับจีวร วางบนศีรษะ สวมรองเทา้ เดนิ ไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร พึงตั้งน้ำฉัน พึงตั้งน้ำใช้ พงึ ตดิ ไฟไว้ พงึ เตรยี มไมส้ ไี ฟไว้ พงึ เตรยี มไมเ้ ทา้ ไว้ พงึ เรยี นทางนกั ษตั รทง้ั สน้ิ หรอื บางสว่ นไว้ พงึ เปน็ ผฉู้ ลาดในทศิ ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย นแ้ี ลเปน็ วตั รของภกิ ษผุ อู้ ยปู่ า่ เปน็ วตั ร ซง่ึ ภกิ ษุ ผอู้ ยปู่ า่ เปน็ วตั ร พงึ ประพฤตใิ หเ้ รยี บรอ้ ย.” ๘.เสนาสนวัตร (วัตรปฏิบัติเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย) “ภกิ ษอุ ยใู่ นวหิ ารใด ถา้ วหิ ารนน้ั รก ถา้ อตุ สาหะอยู่ พงึ ชำระ เมื่อจะชำระวิหาร พึงขนบาตร จีวร ออกไปวางไว้ที่ควรแห่งหนึ่งก่อน พงึ ขนผา้ ปนู ง่ั ผา้ ปนู อน ออกวางไวท้ ค่ี วรแหง่ หนง่ึ พงึ ขนฟกู หมอน ออกไปวาง ไวท้ ค่ี วรแหง่ หนง่ึ เตยี งพงึ ยกตำ่ ๆ ขนออกไปใหด้ ี อยา่ ใหค้ รดู สี กระทบกระแทก บานและกรอบประตู แล้วตั้งไว้ที่ควรแห่งหนึ่ง ตั่งพึงยกต่ำๆ ขนออกไปให้ดี อย่าให้ครูดสีกระทบกระแทกบานและกรอบประตู แล้วตั้งไว้ที่ควรแห่งหนึ่ง เขยี งรองเทา้ เตยี ง พงึ ขนออกไปวางไวท้ ค่ี วรแหง่ หนง่ึ กระโถนพงึ ขนออกไปวาง ไว้ที่ควรแห่งหนึ่ง พนักอิงพึงขนออกไปวางไว้ที่ควรแห่งหนึ่ง เครื่องลาดพื้น พงึ กำหนดทๆ่ี ปไู วเ้ ดมิ แลว้ ขนออกไปวางไวท้ ค่ี วรแหง่ หนง่ึ ถ้าในวิหารมีหยากไย่ พึงกวาดแต่เพดานลงมาก่อน พึงเช็ดกรอบ หน้าต่าง ประตูและมุมห้อง ถ้าฝาทาน้ำมันขึ้นราพึงเอาผ้าชุบน้ำบิดแล้วเช็ด ถ้าพื้นทาสีดำขึ้นรา พึงเอาผ้าชุบน้ำบิดแล้วเช็ด ถ้าพื้นไม่ได้ทำ พึงเอาน้ำพรมแล้วกวาดด้วยคิดว่า อยา่ ใหฝ้ นุ่ กลบวหิ าร พงึ กวาดหยากเยอ่ื ไปทง้ิ เสยี ณ ทค่ี วรแหง่ หนง่ึ ไมพ่ งึ เคาะเสนาสนะในทใ่ี กลภ้ กิ ษุ ไมพ่ งึ เคาะเสนาสนะในทใ่ี กลว้ หิ าร

๓๔๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ไม่พึงเคาะเสนาสนะในที่ใกล้น้ำฉัน ไม่พึงเคาะเสนาสนะในที่ใกล้น้ำใช้ ไมพ่ งึ เคาะเสนาสนะบนทส่ี งู เหนอื ลม พงึ เคาะเสนาสนะในทใ่ี ตล้ ม เครอ่ื งลาดพน้ื พงึ ผง่ึ แดดในทค่ี วรแหง่ หนง่ึ ชำระ เคาะ ปดั แลว้ ขนกลบั ไปปูไว้ตามเดิม เขียงรองเท้า เตียง พึงผึ่งแดดไว้ในที่ควรแห่งหนึ่ง เช็ดแล้ว ขนกลบั ตง้ั ไวต้ ามเดมิ เตยี ง ตง่ั พงึ ผง่ึ แดดไวท้ ค่ี วรแหง่ หนง่ึ ขดั สี เคาะ ยกตำ่ ๆ ทำใหด้ อี ยา่ ใหค้ รดู สี กระทบบานและกรอบประตู ขนกลบั ตง้ั ไวต้ ามเดมิ ฟกู และ หมอนพึงตากไว้ที่ควรแห่งหนึ่ง เคาะ ปัดให้สะอาดแล้วขนกลับตั้งไว้ตามเดิม ผ้าปูนั่งและผ้าปูนอน พึงตากไว้ที่ควรแห่งหนึ่ง สลัดให้สะอาดแล้วขนไปปูไว้ ตามเดมิ กระโถน พนกั องิ พงึ ตากไวท้ ค่ี วรแหง่ หนง่ึ เชด็ แลว้ ขนไปตง้ั ไวต้ ามเดมิ พึงเก็บบาตร จีวร เมื่อเก็บบาตร พึงเอามือข้างหนึ่งจับบาตร เอามือ ข้างหนึ่งลูบคลำใต้เตียงหรือใต้ตั่งแล้วเก็บบาตร แต่อย่าเก็บบาตรบนพื้นที่ ปราศจากเครื่องรอง เมื่อจะเก็บจีวร พึงเอามือข้างหนึ่งถือจีวร เอามือข้างหนึ่ง ลบู ราวจวี ร หรอื สายระเดยี งพงึ ทำชายจวี รไวข้ า้ งนอก ขนดจวี รไวข้ า้ งใน เกบ็ จวี ร ถ้ามีลมเจือด้วยผงคลีพัดมาทางทิศตะวันออก พึงปิดหน้าต่างด้าน ตะวันออก ถ้ามีลมเจือด้วยผงคลีพัดมาทางทิศตะวันตก พึงปิดหน้าต่างด้าน ตะวันตก ถ้ามีลมเจือด้วยผงคลีพัดมาทางทิศเหนือพึงปิดหน้าต่างด้านเหนือ ถา้ มลี มเจอื ดว้ ยผงคลพี ดั มาทางทศิ ใต้ พงึ ปดิ หนา้ ตา่ งดา้ นใต้ ถา้ ฤดหู นาวกลางวนั พงึ เปดิ หนา้ ตา่ ง กลางคนื พงึ ปดิ ถา้ ฤดรู อ้ นกลางวนั พงึ ปดิ หนา้ ตา่ ง กลางคนื พงึ เปดิ ถา้ บรเิ วณ ซมุ้ นำ้ โรงฉนั โรงไฟ วจั กฎุ รี ก พงึ ปดั กวาดเสยี ถา้ นำ้ ฉนั นำ้ ใชไ้ มม่ ี พงึ จดั ตง้ั ไว้ ถา้ นำ้ ในหมอ้ ชำระไมม่ ี พงึ ตกั นำ้ มาไวใ้ นหมอ้ ชำระ ถา้ อยใู่ นวหิ ารหลงั เดยี วกบั ภกิ ษผุ แู้ กก่ วา่ ยงั ไมอ่ าปจุ ฉา (ถามขอโอกาส ก่อน) ภิกษุผู้แก่กว่าไม่พึงให้อุเทศ ไม่พึงให้ปริปุจฉา ไม่พึงทำการสาธยาย ไม่พึงแสดงธรรม ไม่พึงตามประทีป ไม่พึงดับประทีป ไม่พึงเปิดหน้าต่าง ไมพ่ งึ ปิดหนา้ ตา่ ง ถ้าเดินจงกรมในที่จงกรมเดียวกับภิกษุผู้แก่กว่า พึงเดินคล้อยตาม ภกิ ษผุ แู้ กก่ วา่ และไมพ่ งึ กระทบกระทง่ั ภกิ ษผุ แู้ กก่ วา่ ดว้ ยชายผา้ สงั ฆาฏิ

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๔๓ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นเสนาสนวัตรของภิกษุทั้งหลาย ซึ่งภิกษุ ทั้งหลายพึงประพฤติให้เรียบร้อยในเสนาสนะ.” ๙.ชันตาฆรวัตร (วัตรปฏิบัติในเรือนไฟ) “ภกิ ษใุ ดไปสเู่ รอื นไฟกอ่ น ถา้ มเี ถา้ มาก พงึ เทเถา้ ทง้ิ เสยี ถา้ เรอื นไฟรก พึงกวาดเสีย ถ้าชานภายนอกรก พึงกวาดเสีย ถ้าบริเวณซุ้มประตูศาลาเรือน ไฟรก พงึ กวาดเสยี พงึ บดจณุ ไว้ พงึ แชด่ นิ เหนยี ว พงึ ตกั นำ้ ไวใ้ นรางนำ้ เมอ่ื จะเขา้ ไปสเู่ รอื นไฟ พงึ เอาดนิ เหนยี วทาหนา้ ปดิ ทง้ั ขา้ งหนา้ ขา้ งหลงั แล้วจึงเข้าไปสู่เรือนไฟ ไม่พึงนั่งเบียดเสียดพระเถระ ไม่พึงกีดกันอาสนะ ภกิ ษใุ หม่ ถา้ อตุ สาหะอยู่ พงึ ทำบรกิ รรมแกพ่ ระเถระในเรอื นไฟ เมื่อออกจากเรือนไฟ พึงถือตั่งสำหรับเรือนไฟแล้วปิดทั้งข้างหน้า ขา้ งหลงั ออกจากเรอื นไฟ ถา้ อตุ สาหะอยู่ พงึ ทำบรกิ รรมแกพ่ ระเถระ แมใ้ นนำ้ ไม่พึงอาบน้ำข้างหน้าพระเถระ แม้เหนือน้ำก็ไม่พึงอาบ อาบแล้วเมื่อจะขึ้น พึงให้ทางแก่พระเถระผู้จะลง ภิกษุใดออกจากเรือนไฟภายหลัง ถ้าเรือนไฟเปรอะเปื้อน พึงล้างให้ สะอาด พงึ ลา้ งรางแชด่ นิ เกบ็ ตง่ั สำหรบั เรอื นไฟ ดบั ไฟ ปดิ ประตู แลว้ จงึ หลกี ไป ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย นแ้ี ลเปน็ วตั รในเรอื นไฟของภกิ ษทุ ง้ั หลาย ซง่ึ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พึงประพฤติให้เรียบร้อยในเรือนไฟ.” ๑๐.วัจกุฎีวัตร (วัตรปฏิบัติเกี่ยวกับส้วม) “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษถุ า่ ยอจุ จาระแลว้ เมอ่ื นำ้ มอี ยู่ จะไมช่ ำระไมไ่ ด้ รปู ใดไมช่ ำระ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ฯ ภิกษุไม่พึงถ่ายอุจจาระในวัจกุฎีตามลำดับผู้แก่กว่า รูปใดถ่าย ต้องอาบัติทุกกฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถ่ายอุจจาระตามลำดับ ของผู้มาถึงก่อน.”

๓๔๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ภกิ ษใุ ดไปวจั กฎุ ี ภกิ ษนุ น้ั ยนื อยขู่ า้ งนอก พงึ กระแอมขน้ึ แมภ้ กิ ษผุ นู้ ง่ั อยขู่ า้ งในกพ็ งึ กระแอมรบั พงึ พาดจวี รไวบ้ นราวจวี ร หรอื บนสายระเดยี ง แลว้ เขา้ วจั กฎุ ี ทำใหเ้ รยี บรอ้ ยไมต่ อ้ งรบี รอ้ น ไมพ่ งึ เขา้ ไปเรว็ นกั ไมพ่ งึ เวกิ ผา้ เขา้ ไป ยนื บนเขยี งถา่ ยอจุ จาระ แลว้ จงึ คอ่ ยเวกิ ผา้ ไม่พึงถอนหายใจใหญ่พลางถ่ายอุจจาระ ไม่พึงเคี้ยวไม้ชำระฟันพลาง ถ่ายอุจจาระ ไม่พึงถ่ายอุจจาระนอกรางอุจจาระ ไม่พึงถ่ายปัสสาวะนอก รางปัสสาวะ ไม่พึงบ้วนเขฬะลงในรางปัสสาวะ ไม่พึงชำระด้วยไม้หยาบ ไมพ่ งึ ทง้ิ ไมช้ ำระลงในชอ่ งถา่ ยอจุ จาระ ยนื บนเขยี งถา่ ยแลว้ พงึ ปดิ ผา้ ไมพ่ งึ ออก มาเรว็ นกั ไมพ่ งึ เวกิ ผา้ ออกมา ยนื บนเขยี งชำระแลว้ พงึ เวกิ ผา้ ไมพ่ งึ ชำระใหม้ ี เสียงดังจะปุจะปุ ไม่พึงเหลือน้ำไว้ในกระบอกชำระ ยืนบนเขียงชำระแล้วพึง ปดิ ผา้ ถา้ วจั กฎุ อี นั ภกิ ษถุ า่ ยไวเ้ ลอะเทอะ ตอ้ งลา้ งเสยี ถา้ ตะกรา้ ใสไ่ มช้ ำระเตม็ พงึ เทไมช้ ำระ ถา้ วจั กฎุ รี ก พงึ กวาดวจั กฎุ ี ถา้ ชานภายนอก บรเิ วณ ซมุ้ ประตรู ก พงึ กวาดเสยี ถา้ นำ้ ในหมอ้ ชำระไมม่ พี งึ ตกั นำ้ มาไวใ้ นหมอ้ ชำระ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นวัจกุฎีวัตรของภิกษุทั้งหลาย ซึ่งภิกษุ ทง้ั หลายพงึ ประพฤตใิ หเ้ รยี บรอ้ ยในวจั กฎุ .ี ” ๑๑.อุปัชฌายวัตร (วัตรปฏิบัติต่อพระอุปัชฌาย์) “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัทธิวิหาริกพึงประพฤติชอบในอุปัชฌาย์ วธิ ปี ระพฤตชิ อบในอปุ ชั ฌายน์ น้ั ดงั ตอ่ ไปน้ี สทั ธวิ หิ ารกิ พงึ ลกุ ขน้ึ แตเ่ ชา้ ตรู่ ถอดรองเทา้ หม่ ผา้ เฉวยี งบา่ แลว้ ถวาย ไมช้ ำระฟนั ถวายนำ้ ลา้ งหนา้ ปอู าสนะไว้ ถา้ ยาคมู ี พงึ ลา้ งภาชนะ แลว้ นอ้ มยาคเู ขา้ ไป เมอ่ื อปุ ชั ฌายด์ ม่ื ยาคแู ลว้ พงึ ถวายนำ้ รบั ภาชนะมา ถอื ตำ่ ๆ ลา้ งใหเ้ รยี บรอ้ ย อยา่ ใหก้ ระทบ แลว้ เกบ็ ไว้ เมอ่ื อปุ ชั ฌายล์ กุ แลว้ พงึ เกบ็ อาสนะ ถา้ ทน่ี น้ั รก พงึ กวาดทน่ี น้ั เสยี ถ้าอุปัชฌาย์ประสงค์จะเข้าบ้านพึงถวายผ้านุ่ง พึงรับผ้านุ่งผลัดมา พงึ ถวายประคดเอว พงึ ซอ้ นผา้ หม่ สองชน้ั ถวาย พงึ กรอกลา้ งบาตรแลว้ ถวาย

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๔๕ พร้อมทั้งน้ำ ถ้าอุปัชฌาย์ปรารถนาให้เป็นปัจฉาสมณะ พึงปกปิดกายให้ปิด มณฑลสาม นุ่งให้เป็นปริมณฑล คาดประคดเอว ซ้อนผ้าห่มสองชั้นห่มคลุม กลดั ลกู ดมุ กรอกลา้ งบาตรแลว้ ถอื ไปเปน็ ปจั ฉาสมณะของอปุ ชั ฌาย์ ไมพ่ งึ เดนิ ใหห้ า่ งนกั ใหช้ ดิ นกั พงึ รบั วตั ถทุ เ่ี นอ่ื งในบาตร เมื่ออุปัชฌาย์กำลังพูดไม่พึงพูดสอดขึ้นในระหว่างๆ เมื่ออุปัชฌาย์ กล่าวถ้อยคำใกล้ต่ออาบัติพึงห้ามเสีย เมอ่ื กลบั พงึ กลบั มากอ่ นแลว้ ปอู าสนะไว้ พงึ วางนำ้ ลา้ งเทา้ ตง่ั รองเทา้ กระเบอ้ื งเชด็ เทา้ ไวใ้ กลๆ้ พงึ รบั บาตร จวี ร พงึ ถวายผา้ นงุ่ ผลดั พงึ รบั ผา้ นงุ่ มา ถา้ จวี รชมุ่ เหงอ่ื พงึ ผง่ึ แดดสกั ครหู่ นง่ึ แตอ่ ยา่ ผง่ึ ทง้ิ ไวท้ แ่ี ดด พงึ พบั จวี ร เมอ่ื จะพบั จวี ร พงึ พบั จวี รใหเ้ หลอ่ื มมมุ กนั ๔ นว้ิ ดว้ ยตง้ั ใจมใิ หม้ รี อยพบั ตรงกลาง พงึ สอด ประคดเอวไวใ้ นขนดจวี ร ถ้าบิณฑบาตมี และอุปัชฌาย์ประสงค์จะฉัน พึงถวายน้ำ แล้วน้อม บณิ ฑบาตเขา้ ไป พงึ ถามอปุ ชั ฌายถ์ งึ นำ้ ฉนั เมอ่ื อปุ ชั ฌายฉ์ นั แลว้ พงึ ถวายนำ้ รับบาตรมา ถือต่ำๆ ล้างให้เรียบร้อยอย่าให้กระทบ ล้างเช็ดให้หมดน้ำแล้วพึง ผง่ึ ไวท้ แ่ี ดดสกั ครหู่ นง่ึ แตอ่ ยา่ ผง่ึ ทง้ิ ไวท้ แ่ี ดด พงึ เกบ็ บาตร จวี ร เมอ่ื เกบ็ บาตร เอามอื ขา้ งหนง่ึ จบั บาตร เอามอื ขา้ งหนง่ึ ลบู คลำใตเ้ ตยี ง หรอื ใตต้ ง่ั แลว้ เกบ็ บาตร แตอ่ ยา่ เกบ็ บาตรไวบ้ นพน้ื ทป่ี ราศจากเครอ่ื งรอง เมอ่ื เกบ็ จวี รพงึ เอามอื ขา้ งหนง่ึ ถอื จวี ร เอามอื ขา้ งหนง่ึ ลบู ราวจวี ร หรอื สายระเดยี ง แลว้ ทำ ชายจวี รไวข้ า้ งนอกขนดไวข้ า้ งใน แลว้ เกบ็ จวี ร เมอ่ื อปุ ชั ฌายะลกุ ขน้ึ แลว้ พงึ เกบ็ อาสนะ เกบ็ นำ้ ลา้ งเทา้ ตง่ั รองเทา้ กระเบอ้ื งเชด็ เทา้ ถา้ ทน่ี น้ั รก พงึ กวาดทน่ี น้ั เสยี ถา้ อปุ ชั ฌายใ์ ครจ่ ะสรงนำ้ พงึ จดั นำ้ สรงถวาย ถา้ ตอ้ งการนำ้ เยน็ พงึ จดั นำ้ เยน็ ถวาย ถา้ ตอ้ งการนำ้ รอ้ น พงึ จดั นำ้ รอ้ นถวาย ถา้ อปุ ชั ฌายะใครจ่ ะเขา้ เรอื นไฟ พงึ บดจณุ แชด่ นิ ถอื ตง่ั สำหรบั เรอื นไฟ แล้วเดินตามหลังอุปัชฌายะไป ถวายตั่งสำหรับเรือนไฟ แล้วรับจีวรมาวางไว้ ณ ทค่ี วรสว่ นขา้ งหนง่ึ พงึ ถวายจณุ ถวายดนิ ถ้าอุตสาหะอยู่ พึงเข้าเรือนไฟ เมื่อเข้าเรือนไฟ พึงเอาดินทาหน้า ปดิ ทง้ั ขา้ งหนา้ ทง้ั ขา้ งหลงั แลว้ เขา้ เรอื นไฟ อยา่ นง่ั เบยี ดภกิ ษผุ เู้ ถระ อยา่ กดี กนั

๓๔๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อาสนะภกิ ษใุ หม่ พงึ ทำบรกิ รรมแกอ่ ปุ ชั ฌายใ์ นเรอื นไฟ เมอ่ื ออกจากเรอื นไฟ พงึ ถอื ตง่ั สำหรบั เรอื นไฟ แลว้ ปดิ ทง้ั ขา้ งหนา้ ทง้ั ขา้ งหลงั ออกจากเรอื นไฟ พึงทำบริกรรมอุปัชฌาย์แม้ในน้ำ อาบเสร็จแล้ว พึงขึ้นมาก่อน ทำตัว ของตนให้แห้งน้ำ นุ่งผ้าแล้วพึงเช็ดน้ำจากตัวของอุปัชฌาย์ พึงถวายผ้านุ่ง ผา้ สงั ฆาฏิ ถอื ตง่ั สำหรบั เรอื นไฟมากอ่ น แลว้ ปอู าสนะไว้ พงึ วางนำ้ ลา้ งเทา้ ตง่ั รองเทา้ กระเบอ้ื งเชด็ เทา้ ไวใ้ กลๆ้ พงึ ถามอปุ ชั ฌายด์ ว้ ยนำ้ ดม่ื ถ้าอุปัชฌาย์ต้องการจะให้เรียน พึงเรียน ถ้าอุปัชฌาย์ต้องการจะให้ สอบถาม พงึ สอบถาม อปุ ชั ฌายะอยใู่ นวหิ ารแหง่ ใด ถา้ วหิ ารแหง่ นน้ั รก ถา้ อตุ สาหะอยู่ พงึ ปดั กวาดเสยี เมอ่ื ปดั กวาดวหิ าร พงึ ปฏบิ ตั ดิ งั กลา่ วแลว้ ในเสนาสนวตั ร ถ้าบริเวณซุ้มน้ำ โรงฉัน โรงไฟ วัจกุฎีรก พึงปัดกวาดเสีย ถ้าน้ำฉัน นำ้ ใชไ้ มม่ ี พงึ จดั ตง้ั ไว้ ถา้ นำ้ ในหมอ้ ชำระไมม่ ี พงึ ตกั มาไวใ้ นหมอ้ ชำระ ถ้าความกระสันบังเกิดขึ้นแก่อุปัชฌาย์ สัทธิวิหาริกพึงช่วยระงับ หรือ พึงวานภิกษุอื่นให้ช่วยระงับ หรือพึงแสดงธัมมกถาแก่อุปัชฌาย์นั้น ถ้าความ รำคาญบังเกิดแก่อุปัชฌาย์ สัทธิวิหาริกพึงช่วยบรรเทา หรือพึงวานภิกษุอื่นให้ ช่วยบรรเทา หรือพึงแสดงธัมมกถาแก่อุปัชฌาย์ ถ้าทิฏฐิบังเกิดแก่อุปัชฌาย์ สัทธิวิหาริกพึงให้สละเสีย หรือพึงวานภิกษุอื่นให้ช่วย หรือพึงแสดงธัมมกถา แก่อปุ ัชฌาย์นั้น ถ้าอุปัชฌายะต้องอาบัติหนัก ควรแก่ปริวาส สัทธิวิหาริกพึงทำความ ขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ สงฆ์พึงให้ปริวาสแก่อุปัชฌาย์ ถ้า อปุ ชั ฌายผ์ คู้ วรแกก่ ารชกั เขา้ หาอาบตั เิ ดมิ สทั ธวิ หิ ารกิ พงึ ทำความขวนขวายวา่ ด้วยอุบายอย่างไรหนอ สงฆ์พึงชักอุปัชฌาย์เข้าหาอาบัติเดิม ถ้าอุปัชฌาย์ ผู้ควรแก่มานัต สัทธิวิหาริกพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ สงฆพ์ งึ ใหม้ านตั แกอ่ ปุ ชั ฌาย์ ถา้ อปุ ชั ฌายค์ วรอพั ภาน สทั ธวิ หิ ารกิ พงึ ทำความ ขวนขวายวา่ ดว้ ยอบุ ายอยา่ งไรหนอ สงฆพ์ งึ อพั ภานอปุ ชั ฌาย์ ถ้าสงฆ์ใคร่กระทำกรรมแก่อุปัชฌาย์ คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปพั พาชนยี กรรม ปฏสิ ารณยี กรรม หรอื อกุ เขปนยี กรรม สทั ธวิ หิ ารกิ พงึ ทำความ

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๔๗ ขวนขวายวา่ ดว้ ยอบุ ายอยา่ งไรหนอ สงฆไ์ มพ่ งึ ทำกรรมแกอ่ ปุ ชั ฌาย์ หรอื สงฆ์ พึงน้อมไปเพื่อกรรมเบา หรืออุปัชฌาย์นั้นถูกสงฆ์ลงตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรม หรืออุกเขปนียกรรมแล้ว สัทธิวิหาริก พึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ อุปัชฌายะพึงประพฤติชอบ หายเยอ่ หยง่ิ ประพฤตแิ กต้ วั ได้ สงฆพ์ งึ ระงบั กรรมนน้ั เสยี ถ้าจีวรของอุปัชฌาย์จะต้องซัก สัทธิวิหาริกพึงซัก หรือพึงทำความ ขวนขวายวา่ ดว้ ยอบุ ายอยา่ งไรหนอ ใครๆ พงึ ซกั จวี รของอปุ ชั ฌาย์ ถา้ จวี รของ อปุ ชั ฌายจ์ ะตอ้ งทำ สทั ธวิ หิ ารกิ พงึ ทำ หรอื พงึ ทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอบุ าย อยา่ งไรหนอ ใครๆ พงึ ทำจวี รของอปุ ชั ฌาย์ ถา้ นำ้ ยอ้ มของอปุ ชั ฌายจ์ ะตอ้ ง ตม้ สทั ธวิ หิ ารกิ พงึ ตม้ เอง หรอื พงึ ทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอบุ ายอยา่ งไรหนอ ใครๆ พงึ ตม้ นำ้ ยอ้ มของอปุ ชั ฌาย์ ถา้ จวี รของอปุ ชั ฌาย์จะตอ้ งยอ้ ม สทั ธิวหิ ารกิ พงึ ยอ้ ม หรือพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ ใครๆพึงย้อมจีวร ของอปุ ชั ฌาย์ เมอ่ื ยอ้ มจวี รพงึ ยอ้ มพลกิ กลบั ไปกลบั มาใหด้ ี เมอ่ื หยาดนำ้ ยอ้ ม ยงั หยดไมข่ าดสาย อยา่ หลกี ไปเสยี สทั ธวิ หิ ารกิ ไมบ่ อกอปุ ชั ฌายก์ อ่ น อยา่ ใหบ้ าตรแกภ่ กิ ษบุ างรปู อยา่ รบั บาตร อยา่ ใหจ้ วี ร อยา่ รบั จวี ร อยา่ ใหบ้ รขิ าร อยา่ รบั บรขิ ารของภกิ ษบุ างรปู อยา่ ปลงผมใหแ้ กภ่ กิ ษบุ างรปู อยา่ ใหภ้ กิ ษบุ างรปู ปลงผมให้ อยา่ ทำบรกิ รรมแก่ ภกิ ษบุ างรปู อยา่ ใหภ้ กิ ษบุ างรปู ทำบรกิ รรมให้ อยา่ ทำความขวนขวายแกภ่ กิ ษุ บางรปู อยา่ สง่ั ใหภ้ กิ ษบุ างรปู ทำความขวนขวาย อยา่ เปน็ ปจั ฉาสมณะของภกิ ษุ บางรปู อยา่ พาภกิ ษบุ างรปู ไปเปน็ ปจั ฉาสมณะ อยา่ นำบณิ ฑบาตไปใหแ้ กภ่ กิ ษุ บางรปู อยา่ ใหภ้ กิ ษบุ างรปู นำบณิ ฑบาตมาให้ ไมบ่ อกลาอปุ ชั ฌายก์ อ่ น อยา่ เขา้ บา้ น อยา่ ไปปา่ ชา้ อยา่ หลกี ไปสทู่ ศิ อน่ื ถา้ อปุ ชั ฌายอ์ าพาธ พงึ พยาบาลจนตลอดชวี ติ หรอื จนกวา่ จะหาย ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย นแ้ี ลเปน็ อปุ ชั ฌายวตั รของสทั ธวิ หิ ารกิ ทง้ั หลาย ซึ่งสัทธิวิหาริกพึงประพฤติชอบในพระอุปัชฌาย์.”

๓๔๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๑๒.สัทธิวิหาริกวัตร (ข้อปฏิบัติต่อสัทธิวิหาริก) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปัชฌาย์พึงประพฤติชอบในสัทธิวิหาริก วธิ ปี ระพฤตชิ อบในสทั ธวิ หิ ารกิ นน้ั ดงั ตอ่ ไปน:้ี - ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย อปุ ชั ฌายพ์ งึ สงเคราะห์ อนเุ คราะหส์ ทั ธวิ หิ ารกิ ดว้ ย อเุ ทศ ปรปิ จุ ฉา โอวาท อนศุ าสนี ถ้าอุปัชฌาย์มีบาตร สัทธิวิหาริกไม่มี อุปัชฌาย์พึงให้แก่สัทธิวิหาริก หรอื พงึ ทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอบุ ายอยา่ งไรหนอ บาตรพงึ บงั เกดิ แก่ สทั ธวิ หิ ารกิ ถา้ อปุ ชั ฌายม์ จี วี ร สทั ธวิ หิ ารกิ ไมม่ ี อปุ ชั ฌายพ์ งึ ใหแ้ กส่ ทั ธวิ หิ ารกิ หรือพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ จีวรพึงบังเกิดแก่ สัทธิวิหาริก ถ้าอุปัชฌาย์มีบริขารสัทธิวิหาริกไม่มี อุปัชฌาย์พึงให้แก่ สัทธิวิหาริก หรือพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ บริขาร พงึ บงั เกดิ แกส่ ทั ธวิ หิ ารกิ ถ้าสัทธิวิหาริกอาพาธ อุปัชฌาย์พึงลุกแต่เช้าตรู่ พึงปฏิบัติดังที่ สทั ธวิ หิ ารกิ ปฏบิ ตั แิ กต่ นในยามไมอ่ าพาธ มกี ารใหไ้ มช้ ำระฟนั เปน็ ตน้ ถา้ ความกระสนั บงั เกดิ แกส่ ทั ธวิ หิ ารกิ อปุ ชั ฌายพ์ งึ ระงบั หรอื พงึ วาน ภกิ ษอุ น่ื ใหช้ ว่ ยระงบั หรอื พงึ แสดงธมั มกถาแกส่ ทั ธวิ หิ ารกิ นน้ั ฯลฯ ดงั เชน่ กลา่ ว แล้วในสทั ธิวิหารกิ พึงกระทำต่ออุปัชฌาย์ ถา้ จวี รของสทั ธวิ หิ ารกิ จะตอ้ งซกั อปุ ชั ฌายพงึ สง่ั วา่ ทา่ นพงึ ซกั อยา่ งน้ี หรอื พงึ ทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอบุ ายอยา่ งไรหนอ ใครๆ พงึ ซกั จวี รของ สัทธิวิหาริก ถ้าจีวรของสัทธิวิหาริกจะต้องทำ อุปัชฌาย์พึงสั่งว่า ท่านพึงทำ อยา่ งน้ี หรอื พงึ ทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอบุ ายอยา่ งไรหนอ ใครๆ พงึ ทำจวี ร ของสัทธิวิหาริก ถ้าน้ำย้อมของสัทธิวิหาริกจะต้องต้ม อุปัชฌายะพึงสั่งว่า ทา่ นพงึ ตม้ อยา่ งน้ี หรอื พงึ ทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอบุ ายอยา่ งไรหนอ ใครๆ พึงต้มน้ำย้อมของสัทธิวิหาริก ถ้าจีวรของสัทธิวิหาริกจะต้องย้อม อุปัชฌาย์พึง สง่ั วา่ ทา่ นพงึ ยอ้ มอยา่ งน้ี หรอื พงึ ทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอบุ ายอยา่ งไรหนอ ใครๆ พงึ ยอ้ มจวี รของสทั ธวิ หิ ารกิ เมอ่ื ยอ้ มจวี ร พงึ ยอ้ มพลกิ กลบั ไปกลบั มาใหด้ ี

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๔๙ เมอ่ื หยาดนำ้ ยอ้ มยงั หยดไมข่ าดสาย ไมพ่ งึ หลกี ไปเสยี ถ้าสัทธิวิหาริกอาพาธ พึงพยาบาลจนตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะหาย ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย นแ้ี ลเปน็ สทั ธวิ หิ ารกิ วตั รของอปุ ชั ฌายท์ ง้ั หลาย ซง่ึ อปุ ชั ฌายท์ ง้ั หลายพงึ ประพฤตชิ อบในสทั ธวิ หิ ารกิ .” ๑๓.อาจาริยวัตร (ข้อปฏิบัติต่ออาจารย์) มใี จความเหมอื นใน อปุ ชั ฌายวตั ร ดงั กลา่ วแลว้ ในหนา้ ๓๔๔ นน้ั แล. ๑๔.อันเตวาสิกวัตร (ข้อปฏิบัติต่ออันเตวาสิก) มใี จความเหมอื นใน สทั ธวิ หิ ารกิ วตั ร ดงั กลา่ วแลว้ ในหนา้ ๓๔๘ นน้ั แล.

๓๕๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๕. ปาฏโิ มกขฐปนขนั ธกะ หมวดว่าด้วยการงดสวดปาติโมกข์ ในวนั อโุ บสถ ๑๕ คำ่ พระผมู้ พี ระภาคประทบั พรอ้ มกบั ดว้ ยภกิ ษสุ งฆ์ ณ ปราสาททน่ี างวสิ าขาสรา้ งถวาย ในบพุ พาราม จนกระทง่ั ดกึ ลว่ งปฐมยาม แหง่ ราตรี พระอานนทจ์ งึ กราบทลู ขอใหพ้ ระองคแ์ สดงปาตโิ มกขแ์ ตพ่ ระองคก์ ท็ รง นง่ิ อยู่ เมอ่ื มชั ฌมิ ยามแหง่ ราตรลี ว่ งไปพระอานนทก์ ก็ ราบทลู เตอื นเปน็ ครง้ั ทส่ี อง แตก่ ป็ ระทบั นง่ิ ครน้ั ปจั ฉมิ ยามแหง่ ราตรลี ว่ งแลว้ อรณุ กำลงั จะขน้ึ พระอานนท์ กก็ ราบทลู เตอื นอกี เปน็ ครง้ั ทส่ี าม พระองคจ์ งึ ตรสั วา่ บรษิ ทั ไมบ่ รสิ ทุ ธ์ิ พระโมคคัลลานะพิจารณาก็รู้ว่า มีภิกษุที่ขาดจากความเป็นภิกษุ แตป่ ฏญิ าณตนวา่ เปน็ ภกิ ษนุ ง่ั ปนอยใู่ นบรษิ ทั นน้ั จงึ พดู กบั ภกิ ษนุ น้ั ใหอ้ อกไปเสยี แมพ้ ดู ถงึ สามครง้ั ภกิ ษนุ น้ั กย็ งั นง่ั นง่ิ อยู่ ทา่ นจงึ จบั แขนพาออกไปนอกซมุ้ ประตู แลว้ ลงกลอนขา้ งในเสยี ความอศั จรรยใ์ นพระธรรมวนิ ยั ๘ ประการ พระผู้มีพระภาค จึงตรัสเล่าถึงความอัศจรรย์ ๘ ประการของมหาสมุทรที่ พวกอสูรพบเห็นแล้วต่างพากันยินดี เปรยี บดว้ ยพระธรรมวนิ ยั ของพระองค์ คอื ๑. มหาสมทุ รตำ่ ลงไปโดยลำดบั ลาดลงไปโดยลำดบั ลกึ ลงไปโดยลำดบั ไมล่ กึ ชนั ดง่ิ ไปทนั ที เปรยี บเหมอื นพระธรรมวนิ ยั นม้ี กี ารศกึ ษาไปตามลำดบั มกี าร กระทำไปตามลำดบั มกี ารปฏบิ ตั ไิ ปตามลำดบั มใิ ชบ่ รรลอุ รหตั ตผลโดยทนั ที ๒. (นำ้ ) ในมหาสมทุ รมปี กตคิ งทไ่ี มล่ น้ ฝง่ั เปรยี บเหมอื นสาวกทง้ั หลาย ของพระองค์ ยอ่ มไมล่ ะเมดิ สกิ ขาบททท่ี รงบญั ญตั ไิ ว้ แมเ้ พราะเหตแุ หง่ ชวี ติ ๓. มหาสมุทรไม่อยู่ร่วมกับซากศพ ย่อมซัดซากศพขึ้นฝั่งจนถึงบนบก ในทนั ที เปรยี บเหมอื นบคุ คลผทู้ ศุ ลี มบี าปธรรม ประพฤตไิ มส่ ะอาดนา่ รงั เกยี จ ปกปดิ พฤตกิ รรม ไมใ่ ชส่ มณะแตป่ ฏญิ ญาณวา่ เปน็ สมณะ ไมใ่ ชพ่ รหมจารแี ต่

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๕๑ ปฏญิ าณวา่ เปน็ พรหมจารี เนา่ ภายในเปยี กแฉะเปน็ ดจุ บอ่ ขยะมลู ฝอย สงฆก์ ไ็ ม่ อยรู่ ว่ มกบั บคุ คลนน้ั สงฆย์ อ่ มประชมุ กนั นำบคุ คลนน้ั ออกไปทนั ที แมบ้ คุ คลนน้ั จะนง่ั อยใู่ นทา่ มกลางสงฆก์ ย็ งั หา่ งไกลจากสงฆ์ และสงฆก์ ห็ า่ งไกลจากบคุ คลนน้ั ๔. มหานทที กุ สาย คอื คงคา ยมนุ า อจริ วดี สรภู มหี ไหลลงสู่ มหาสมทุ รแลว้ ยอ่ มเรยี กวา่ มหาสมทุ รทง้ั สน้ิ เปรยี บเหมอื น วรรณะ ๔ คอื กษตั รยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู ร ออกบวชในธรรมวนิ ยั ทต่ี ถาคต ประกาศแลว้ ยอ่ มละชอื่ และโคตรเดมิ รวมเรยี กวา่ สมณะเชอ้ื สายศากยบตุ รทง้ั สน้ิ ๕. แมน่ ำ้ สายใดสายหนง่ึ ในโลกทไ่ี หลลงมหาสมทุ ร และสายฝนทต่ี กลง จากฟา้ กไ็ มท่ ำใหม้ หาสมทุ รพรอ่ งหรอื เตม็ ได้ เปรยี บเหมอื นภกิ ษจุ ำนวนมาก ปรนิ พิ พานดว้ ยอนปุ าทเิ สสนพิ พานธาตุ กไ็ มท่ ำใหน้ พิ พานพรอ่ งหรอื เตม็ ได้ ๖. มหาสมทุ รมรี สเดยี ว คอื รสเคม็ เปรยี บเหมอื นธรรมวนิ ยั นม้ี รี สเดยี ว คอื วมิ ตุ ตริ ส (ความหลดุ พน้ ) ๗. มหาสมทุ รมรี ตั นะมากมาย คอื แกว้ มกุ ดา แกว้ มณี แกว้ ไพฑรู ย์ สงั ข์ ศลิ า ประพาฬ เงนิ ทอง ทบั ทมิ แกว้ ตาแมว เปรยี บเหมอื นธรรมวนิ ยั น้ี มรี ตั นะมาก มรี ตั นะหลายชนดิ คอื สตปิ ฏั ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อทิ ธบิ าท ๔ อนิ ทรยี ์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ (โพธปิ กั ขยิ ธรรม ๓๗) ๘. มหาสมทุ รเปน็ ทอ่ี ยขู่ องสตั วข์ นาดใหญ่ คอื ปลาตมิ ิ ปลาตมิ งิ คละ ปลาตมิ ติ มิ งิ คละ ปลามหาตมิ งิ คละ อสรู นาค คนธรรพ์ มลี ำตวั ๑๐๐ โยชนบ์ า้ ง ๒๐๐ โยชนบ์ า้ ง ๓๐๐ โยชนบ์ า้ ง ๔๐๐ โยชนบ์ า้ ง ๕๐๐ โยชนบ์ า้ ง เปรยี บเหมอื น ธรรมวนิ ยั นเ้ี ปน็ ทอ่ี ยขู่ องผใู้ หญค่ อื พระโสดาบนั บคุ คลผปู้ ฏบิ ตั เิ พอ่ื บรรลโุ สดาบนั พระสกทาคามี บคุ คลผปู้ ฏบิ ตั เิ พอ่ื บรรลสุ กทาคามี พระอนาคามี บคุ คลผปู้ ฏบิ ตั ิ เพอ่ื บรรลอุ นาคามี พระอรหนั ต์ บคุ คลผปู้ ฏบิ ตั เิ พอ่ื บรรลอุ รหนั ต์ ต่อจากนั้นไม่ทรงแสดงปาติโมกข์อีก เนอ่ื งจากเหตกุ ารณน์ น้ั จงึ ตรสั วา่ ตอ่ ไปจะไมท่ รงแสดงปาตโิ มกขอ์ กี ทรงมอบใหส้ งฆท์ ำอโุ บสถสวดปาตโิ มกข์ เพราะไมใ่ ชฐ่ านะมใิ ชโ่ อกาสทพ่ี ระองค์

๓๕๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก จะทำอโุ บสถยกปาตโิ มกขข์ น้ึ แสดงในบรษิ ทั ทไ่ี มบ่ รสิ ทุ ธ์ิ แลว้ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั ห้ามภิกษุที่ยังมีอาบัติติดตัวอยู่ฟังปาติโมกข์ ถ้าขืนฟังต้องอาบัติทุกกฏ ทรงอนญุ าตใหง้ ดสวดปาตโิ มกขแ์ กภ่ กิ ษทุ ม่ี อี าบตั ติ ดิ ตวั , ผปู้ าราชกิ หรอื อาบตั ิ ปาราชกิ ยงั มไิ ดว้ นิ จิ ฉยั , ผบู้ อกลาสกิ ขา หรอื การปรารภการลาสกิ ขายงั คา้ งอย,ู่ ผไู้ มร่ ว่ มสามคั คที เ่ี ปน็ ธรรม, ผคู้ า้ นสามคั คที เ่ี ปน็ ธรรม, ผปู้ รารภการคา้ นสามคั คที ่ี เปน็ ธรรมทย่ี งั ไมไ่ ดว้ นิ จิ ฉยั , ผทู้ ม่ี ผี ไู้ ดเ้ หน็ ไดย้ นิ ไดร้ งั เกยี จดว้ ยศลี วบิ ตั ิ อาจารวบิ ตั ิ ทฏิ ฐวิ บิ ตั ิ ทรงแสดงวธิ สี วดประกาศเพอ่ื งดปาตโิ มกขแ์ กภ่ กิ ษุ (หนา้ ๔๓๑) แต่ ทรงหา้ มมใิ หง้ ดสวดปาตโิ มกขแ์ กภ่ กิ ษผุ บู้ รสิ ทุ ธไ์ิ มม่ อี าบตั ิ แลว้ ทรงแสดง การระงับการสวดปาติโมกข์ที่เป็นธรรมและไม่เป็นธรรม รวมทั้งทรงแสดง อนั ตราย หรอื เหตทุ ท่ี รงอนญุ าตใหเ้ ลกิ ประชมุ สวดปาตโิ มกขไ์ ด้ ๑๐ ประการ คอื ๑.พระราชาเสด็จมา ๒.โจรปล้น ๓.ไฟไหม้ ๔.น้ำท่วม ๕.คนมามาก ๖.อมนษุ ยเ์ บยี ดเบยี น ๗.สตั วร์ า้ ยเขา้ มา ๘.งรู า้ ยเลอ้ื ยเขา้ มา ๙.ภกิ ษเุ กดิ อาพาธ อนั จะถงึ แกช่ วี ติ ๑๐.มอี นั ตรายแกพ่ รหมจรรย์ คณุ สมบตั ขิ องอธกิ รณท์ ค่ี วรรบั , คณุ สมบตั ผิ โู้ จทก,์ ผถู้ กู โจท ทรงตอบคำถามของพระอบุ าลเี กย่ี วกบั การโจทฟอ้ ง เรม่ิ ตง้ั แตภ่ กิ ษผุ ู้ ปรารถนาจะรบั อธกิ รณ์ พงึ รบั อธกิ รณท์ ป่ี ระกอบดว้ ยองคเ์ ทา่ ใด และคณุ สมบตั ทิ ่ี ควรมใี นภกิ ษผุ โู้ จทก์ และภกิ ษผุ ถู้ กู โจท ดงั น้ี อธกิ รณป์ ระกอบดว้ ยองค์ ๕ ทภ่ี กิ ษคุ วรรบั พจิ ารณาตามลำดบั คอื ๑.รู้ว่านี้เป็นกาลสมควรที่จะรับอธิกรณ์ ๒.อธกิ รณน์ เ้ี ปน็ เรอ่ื งจรงิ ๓.อธิกรณ์นี้ประกอบด้วยประโยชน์ ๔.จกั ไดภ้ กิ ษผุ เู้ คยเหน็ กนั เคยคบกนั เปน็ ฝา่ ยโดยธรรมโดยวนิ ยั ๕.เมอ่ื รบั อธกิ รณน์ ไ้ี วค้ วามบาดหมาง ความทะเลาะ ความแกง่ แยง่ ความวิวาท ความแตกแห่งสงฆ์ ความร้าวรานแห่งสงฆ์ ความถือต่างแห่งสงฆ์ การกระทำตา่ งแหง่ สงฆ์ ซง่ึ มกี ารนน้ั เปน็ เหตจุ กั ไมม่ แี กส่ งฆ์

คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๗) ๓๕๓ ภกิ ษผุ โู้ จทกป์ รารถนาจะโจทผอู้ น่ื พงึ พจิ ารณาธรรม ๕ ประการ ในตนแลว้ โจทผอู้ น่ื คอื ๑.เรามีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ ๒.เรามีความประพฤติทางวาจาบริสุทธิ์ ๓.จิตของเรามีเมตตาปรากฏไม่อาฆาตในสพรหมจารีทั้งหลาย ๔.เป็นพหูสูต... ๕.ทรงจำปาตโิ มกขท์ ง้ั สองไดอ้ ยา่ งแมน่ ยำ วนิ จิ ฉยั ถกู ตอ้ ง... ภกิ ษผุ โู้ จทกป์ รารถนาจะโจทผอู้ น่ื พงึ ตง้ั ธรรม ๕ ประการไวใ้ นตน แลว้ โจทผอู้ น่ื คอื ๑.เราจกั กลา่ วโดยกาลอนั ควร จกั ไมก่ ลา่ วโดยกาลอนั ไมค่ วร ๒.จกั กลา่ วดว้ ยคำจรงิ จกั ไมก่ ลา่ วดว้ ยคำอนั ไมเ่ ปน็ จรงิ ๓. จกั กลา่ วดว้ ยคำสภุ าพ จกั ไมก่ ลา่ วดว้ ยคำหยาบ ๔.จกั กลา่ วคำประกอบดว้ ยประโยชน์ จกั ไมก่ ลา่ วดว้ ยคำไรป้ ระโยชน์ ๕.จกั มเี มตตาจติ กลา่ ว จกั ไมม่ งุ่ รา้ ยกลา่ ว คณุ สมบตั ทิ ง้ั ๕ นย้ี งั เปน็ องคท์ ท่ี ำใหผ้ โู้ จทกโ์ ดยเปน็ ธรรม ไมถ่ งึ ความ เดอื ดรอ้ น แตผ่ ถู้ กู โจทโดยธรรมจะตอ้ งเดอื ดรอ้ น ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทผู้อื่น พึงมนสิการธรรม ๕ อย่าง ไวใ้ นตน แลว้ โจทผอู้ น่ื คอื ๑.มีความการุญ ๒.มุ่งประโยชน์ ๓.มีความเอ็นดู ๔.มุ่งออกจากอาบัติ ๕.ยดึ วนิ ยั ไวเ้ ปน็ แนวทาง ภกิ ษผุ ถู้ กู โจทพงึ ตง้ั อยใู่ นธรรม ๒ ประการ คอื ๑.ความจริง ๒.ความไมข่ นุ่ เคอื ง

๓๕๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๖. ภกิ ขนุ ขี นั ธกะ หมวดว่าด้วยนางภิกษุณี ได้ทรงตรัสยับยั้งความชอบใจของพระนางมหาปชาบดีโคตมี และ พระอานนทท์ ข่ี อใหท้ รงอนญุ าต การใหส้ ตรอี อกจากเรอื นบวชเปน็ บรรพชติ รวม ๖ ครง้ั (ทา่ นละ ๓ ครง้ั ) พระอานนทจ์ งึ กราบทลู ขอโดยปรยิ ายอน่ื อกี ในทส่ี ดุ ทรงอนญุ าต โดยทรงวางเงอ่ื นไขไวถ้ งึ ๘ ประการ ทเ่ี รยี กวา่ ครธุ รรม ครธุ รรม ๘ ประการ ๑. ภกิ ษณุ อี ุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี กต็ อ้ งทำการกราบไหว้ ลุกรับ ทำ อญั ชลกี รรม สามจี กิ รรม แกภ่ กิ ษทุ อ่ี ปุ สมบทแมใ้ นวนั นน้ั ๒. ภิกษุณีไม่พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ ๓. ภกิ ษณุ ตี อ้ งหวงั ธรรม ๒ ประการ คอื ถามวนั อโุ บสถ และเขา้ ไปฟงั คำสง่ั สอนจากภกิ ษสุ งฆท์ กุ กง่ึ เดอื น ๔. ภกิ ษณุ อี ยจู่ ำพรรษาแลว้ ตอ้ งปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝา่ ย โดยสถานทง้ั ๓ คอื ไดเ้ หน็ ไดฟ้ งั หรอื ไดส้ งสยั ๕. ภกิ ษณุ ตี อ้ งธรรมทห่ี นกั แลว้ ตอ้ งประพฤตปิ กั ขมานตั ในสงฆ์ ๒ ฝา่ ย ๖. ภกิ ษณุ ตี อ้ งแสวงหาการอปุ สมบทในสงฆ์ ๒ ฝา่ ย เพอ่ื สกิ ขมานาผมู้ ี สกิ ขาอนั ศกึ ษาแลว้ ในธรรม ๖ ประการ(ศลี ๖ ขอ้ แรกในศลี ๘) มน่ั ตลอด ๒ ปแี ลว้ ๗. ภกิ ษณุ ไี มพ่ งึ ดา่ ไมพ่ งึ บรภิ าษภกิ ษุ ไมว่ า่ กรณใี ดๆ ๘. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ปิดทางไม่ให้ภิกษุณีทั้งหลายสอนภิกษุ เปดิ ทางใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลายสอนภกิ ษณุ ี ทง้ั ๘ ขอ้ น้ี นางภกิ ษณุ พี งึ สกั การะเคารพนบั ถอื บชู า โดยไมล่ ะเมดิ ตลอดชีวิต พระนางมหาปชาบดโี คตมีได้ยอมรบั จากนั้นพระองค์ตรัสแก่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook