คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๕ ทรงสรรเสรญิ เหลา่ ภกิ ษวุ า่ เปน็ ผชู้ นะ แมจ้ ะยากลำบาก กไ็ มท่ ง้ิ ธรรม ในสมยั นน้ั เมอื งเวรญั ชาเกดิ ทพุ ภกิ ขภยั หาอาหารไดย้ าก ถงึ ขนาดตอ้ ง ใชส้ ลากปนั สว่ นอาหาร ผคู้ นลม้ ตายกนั กระดกู ขาวเกลอ่ื น. ภกิ ษทุ ง้ั หลายลำบาก ด้วยอาหารบิณฑบาต ได้อาศัยข้าวตากสำหรับเลี้ยงม้าจากพ่อค้าม้าที่พักแรม ฤดฝู น ณ เมอื งนน้ั วนั ละ ๑ ฝายมอื ตอ่ รปู มาตำใหล้ ะเอยี ดฉนั พระผมู้ พี ระภาค ทรงสรรเสรญิ เหลา่ ภกิ ษวุ า่ เปน็ ผชู้ นะ (แมจ้ ะยากลำบาก กไ็ มท่ ง้ิ ธรรมแสวง หาในทางทผ่ี ดิ เปน็ ตวั อยา่ งแกห่ มภู่ กิ ษใุ นภายหลงั ) พระโมคคัลลานะ เสนอวิธีแก้ไขความอดอยากหลายประการ รวมทั้งการไปเที่ยวบิณฑบาตในที่อื่นแต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต. เหตทุ ท่ี ำใหพ้ รหมจรรย(์ พระศาสนา) ตง้ั มน่ั หรอื ไมต่ ง้ั มน่ั สว่ นพระสารบี ตุ ร คำนงึ ถงึ ความตง้ั มน่ั แหง่ พรหมจรรย์ จงึ กราบทลู ถาม ถงึ เหตทุ ท่ี ำใหพ้ รหมจรรยต์ ง้ั มน่ั และไมต่ ง้ั มน่ั พระผมู้ พี ระภาคทรงตรสั แสดงวา่ “ดูก่อนสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ พระนาม โกนาคมนะ และพระนามกสั สปะ มไิ ดท้ รงทอ้ พระหฤทยั เพอ่ื จะทรงแสดง ธรรมโดยพสิ ดารแกส่ าวกทง้ั หลาย อนง่ึ สตุ ตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคทั้ง สามพระองค์นั้นมีมาก สิกขาบทก็ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็ทรงแสดง แก่สาวก เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะ อนั ตรธานแหง่ สาวกผตู้ รสั รตู้ ามพระพทุ ธเจา้ เหลา่ นน้ั สาวกชน้ั หลงั ทต่ี า่ ง ชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงดำรง พระศาสนานั้นไว้ได้ตลอดระยะกาลยืนนาน ดูก่อนสารีบุตร ดอกไม้ต่าง พรรณที่เขากองไว้บนพื้นกระดาน ร้อยดีแล้วด้วยด้าย ลมย่อมกระจาย ไมไ่ ด้ ขจดั ไมไ่ ด้ กำจดั ไมไ่ ดซ้ ง่ึ ดอกไมเ้ หลา่ นน้ั ขอ้ นน้ั เพราะเหตไุ ร? เพราะ เขาร้อยดีแล้วด้วยด้าย ฉันใด เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า เหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก สาวกชน้ั หลงั ทต่ี า่ งชอ่ื กนั ตา่ งโคตรกนั ตา่ งชาตกิ นั ออกบวชจากตระกลู ตา่ งกนั จงึ ดำรงพระศาสนานน้ั ไวไ้ ด้ ตลอดระยะกาลยนื นาน ฉนั นน้ั เหมอื นกนั ” และตรสั วา่ การไมท่ ำดงั นน้ั เปน็ เหตใุ หพ้ รหมจรรยด์ ำรงอยไู่ มน่ าน. ทลู ขอใหบ้ ญั ญตั สิ กิ ขาบทแสดงปาตโิ มกขเ์ พอ่ื ความตง้ั มน่ั แหง่ พรหมจรรย์ พระสารบี ตุ รจงึ กราบทลู ขอใหท้ รงบญั ญตั สิ กิ ขาบท เพอ่ื ความตง้ั มน่ั แหง่ พระศาสนา พระผมู้ พี ระภาคตรสั วา่ “จงรอกอ่ น สารบี ตุ ร จงยบั ยง้ั กอ่ นสารบี ตุ ร ตถาคตผเู้ ดยี วจกั รกู้ าล ในกรณีย์นั้น พระศาสดายังไม่บัญญัติสิกขาบท ยังไม่แสดงปาติโมกข์ แกส่ าวก ตลอดเวลาทธ่ี รรมอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ อาสวะบางเหลา่ ยงั ไมป่ รากฏ ในสงฆใ์ นศาสนาน้ี ตอ่ เมอ่ื ใดสงฆถ์ งึ ความเปน็ หมใู่ หญโ่ ตเพราะตง้ั มานาน… ตอ่ เมอ่ื ใดสงฆถ์ งึ ความเปน็ หมใู่ หญโ่ ตเพราะแผไ่ ปเตม็ ท…่ี ตอ่ เมอ่ื ใดสงฆถ์ งึ ความเปน็ หมใู่ หญโ่ ตเพราะเจรญิ ดว้ ยลาภ. และอาสวฏั ฐานยิ ธรรมบางเหลา่ ยอ่ มปรากฏในสงฆใ์ นศาสนาน้ี เมอ่ื นน้ั พระศาสดาจงึ จะบญั ญตั สิ กิ ขาบท แสดงปาตโิ มกขแ์ กส่ าวก เพอ่ื กำจดั อาสวฏั ฐานยิ ธรรมเหลา่ นน้ั แหละ. ดูก่อนสารีบุตรก็ภิกษุสงฆ์ไม่มีเสนียด ก็ล้วนไม่มีโทษ ปราศจาก มัวหมองบริสุทธิ์ผุดผ่องตั้งอยู่ในสารคุณ เพราะบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้ ภกิ ษทุ ท่ี รงคณุ ธรรมอยา่ งตำ่ กเ็ ปน็ โสดาบนั มคี วามไมต่ กตำ่ เปน็ ธรรมดา เปน็ ผเู้ ทย่ี ง เปน็ ผทู้ จ่ี ะตรสั รใู้ นเบอ้ื งหนา้ .” เมื่อออกพรรษาแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงชวนพระอานนท์ไปบอก เวรญั ชพราหมณ์ ในฐานะผนู้ มิ นตใ์ หจ้ ำพรรษา เวรญั ชพราหมณ์ นมิ นตพ์ ระองค์ พร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ฉันในวันรุ่งขึ้น ทรงรับนิมนต์และไปฉันตามกำหนดแล้ว แสดงธรรมโปรดเวรญั ชพราหมณ์ แลว้ เสดจ็ จารกิ ไปสเู่ มอื งโสเรยยะ เมอื งสงั กสั ส์ เมอื งกณั ณกชุ ชะ โดยลำดบั เสดจ็ ขา้ มลำนำ้ คงคาทช่ี อ่ื ปยาคะ ไปสกู่ รงุ พาราณสี จากพาราณสสี เู่ วสาลี ประทบั ณ เรอื นยอดในปา่ มหาวนั
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๗ ๒.ปาราชกิ กณั ฑ์ วา่ ดว้ ยอาบตั ปิ าราชกิ (ผพู้ า่ ยแพ)้ มี ๔ สกิ ขาบท ละเมดิ เขา้ แลว้ ตอ้ งขาดจากความเปน็ ภกิ ษุ แมส้ กึ ไปแลว้ จะมาบวชใหมอ่ กี กไ็ มไ่ ด้ ปาราชกิ สกิ ขาบทท่ี ๑ โย ปะนะ ภิกขุ ภิกขนู ัง สกิ ขาสาชีวะสะมาปันโน..... “อนึ่ง ภิกษุใด ถึงพร้อมซึ่งสิกขาบทและสาชีพของภิกษุ ทั้งหลายแล้วไม่บอกคืนสิกขาไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง เสพเมถุนธรรมโดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมียเป็นปาราชิก หาสงั วาสมไิ ด.้ ” วภิ งั ค์ (จำแนกความ) คำวา่ ไมบ่ อกคนื สกิ ขา ไมท่ ำความเปน็ ผทู้ รุ พลใหแ้ จง้ ทรงอธบิ าย ไวว้ า่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย การทำความเปน็ ผทู้ รุ พลใหแ้ จง้ และสกิ ขาไมเ่ ปน็ อนั บอกคนื กม็ ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย การทำความเปน็ ผทู้ รุ พลใหแ้ จง้ และสกิ ขาเปน็ อนั บอกคนื กม็ .ี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบอ่ื หนา่ ย เกลยี ดชงั ความเปน็ ภกิ ษุ ปรารถนาความเปน็ คฤหสั ถ์ ปรารถนาความ เปน็ อบุ าสก ปรารถนาความเปน็ อารามกิ ปรารถนาความเปน็ สามเณร ปรารถนา ความเปน็ เดยี รถยี ์ ปรารถนาความเปน็ สาวกเดยี รถยี ์ ปรารถนาความเปน็ ผมู้ ใิ ช่ สมณะ ปรารถนาความเปน็ ผมู้ ใิ ชเ่ ชอ้ื สายพระศากยบตุ ร ยอ่ มกลา่ วใหผ้ อู้ น่ื ทราบ ว่า ข้าพเจ้าบอกคืนพระพุทธเจ้า…ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่า การทำความเปน็ ผทู้ รุ พลใหแ้ จง้ และสกิ ขากเ็ ปน็ อนั บอกคนื … ขอทา่ นจงจำข้าพเจา้ ไว้ว่าเป็นคฤหสั ถ…์ ขา้ พเจ้าจะตอ้ งการอะไรดว้ ย พระพุทธเจ้า… ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยพระพุทธเจ้า… ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจาก
๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก พระพทุ ธเจา้ … ภกิ ษยุ อ่ มกลา่ วใหผ้ อู้ น่ื ทราบดว้ ยไวพจนเ์ หลา่ นน้ั อนั เปน็ อาการ เป็นลักษณะเป็นนิมิต. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็น ผทู้ รุ พลใหแ้ จง้ และสกิ ขากเ็ ปน็ อนั บอกคนื . ที่ชื่อว่า เมถุนธรรม มีอธิบายว่า ธรรมของอสัตบุรุษ ประเพณีของ ชาวบ้าน มรรยาทของคนชั้นต่ำ ธรรมอันชั่วหยาบ ธรรมอันมีน้ำเป็นที่สุด กจิ ทค่ี วรซอ่ นเรน้ ธรรมอนั คนเปน็ คๆู่ พงึ ประพฤตริ ว่ มกนั นช้ี อ่ื วา่ เมถนุ ธรรม. ทช่ี อ่ื วา่ เสพ ความวา่ ภกิ ษใุ ดสอดนมิ ติ เขา้ ไปทางนมิ ติ สอดองคก์ ำเนดิ เขา้ ไปทางองคก์ ำเนดิ โดยทส่ี ดุ แมช้ ว่ั เมลด็ งา ภกิ ษนุ น้ั ชอ่ื วา่ เสพ. คำว่า เป็นปาราชิก ความว่า บุรุษถูกตัดศีรษะแล้ว ไม่อาจมีสรีระ คมุ กนั นน้ั เปน็ อยู่ ชอ่ื แมฉ้ นั ใด ภกิ ษกุ ฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั เสพเมถนุ ธรรมแลว้ ยอ่ ม ไมเ่ ปน็ สมณะ ไมเ่ ปน็ เชอ้ื สายพระศากยบตุ ร เพราะเหตนุ น้ั จงึ ตรสั วา่ เปน็ ปาราชกิ . ที่ชื่อว่า สังวาส ได้แก่ กรรมทพ่ี งึ ทำร่วมกัน อุเทส๑ที่พึงสวดร่วมกัน ความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน นี้ชื่อว่าสังวาส สังวาสนั้นไม่มีร่วมกับภิกษุนั้น เพราะเหตนุ น้ั จงึ ตรสั วา่ หาสงั วาสมไิ ด.้ สรปุ บทภาชนยี ์ (การจำแนกแยกแยะความหมายของบท) องคก์ ำเนดิ ภกิ ษเุ ขา้ ไปในทวารหนกั , ทวารเบา หรอื ปาก ทางใดทางหนง่ึ ของหญงิ , คนมสี องเพศ, กระเทย หรอื ชาย ทง้ั ทเ่ี ปน็ มนษุ ย,์ อมนษุ ย์ หรอื สตั ว์ ดริ จั ฉาน ไมว่ า่ จะมเี ครอ่ื งหอ่ หมุ้ องคชาตหรอื ไม่ ทง้ั ในสตั วท์ ต่ี น่ื , ทห่ี ลบั , ทเ่ี มา, ทว่ี กิ ลจรติ , ทเ่ี ผลอสต,ิ ทต่ี ายแลว้ แตย่ งั ไมถ่ กู สตั วก์ ดั กนิ โดยมาก ถา้ ภกิ ษคุ ดิ จะ เสพเมถนุ หรอื ยนิ ดใี นขณะทเ่ี ขา้ ไปหยดุ อยหู่ รอื ถอนออกขณะใดขณะหนง่ึ ตอ้ ง ปาราชกิ . ในสตั วท์ ต่ี ายแลว้ ถกู สตั วก์ ดั กนิ โดยมาก เปน็ ถลุ ลจั จยั . ถกู บงั คบั ไมย่ นิ ดี ในทกุ ขณะ ไมเ่ ปน็ อาบตั ิ (พง่ึ ศกึ ษารายละเอยี ดและกรณวี นิ จิ ฉยั ในพระไตรปฎิ ก) อนาบตั ิ (ลกั ษณะทไ่ี มต่ อ้ งอาบตั )ิ ๑.ภกิ ษไุ มร่ สู้ กึ ตวั ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษมุ จี ติ ฟงุ้ ซา่ น ๔.ภกิ ษผุ -ู้ ๑อทุ เทส ในทน่ี ค้ี อื การยกภกิ ษปุ าตโิ มกข์ ภกิ ษณุ ปี าตโิ มกขข์ น้ึ สวด (ว.ิ อ. ๑/๕๓/๒๖๙).
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๙ กระสบั กระสา่ ยเพราะเวทนา ๕.ภกิ ษุอาทกิ มั มกิ ะ (ภกิ ษผุ เู้ ปน็ ตน้ บญั ญตั )ิ เหลา่ น้ี ไม่ต้องอาบัติ. เรอ่ื งตน้ บญั ญตั ิ บุตรเศรษฐีเมืองเวสาลี นามวา่ สทุ นิ นะมคี วามเล่ือมใสกราบทูลขอบวช แต่พระศาสดายังไม่ประทานอนุญาตให้บวช เพราะมารดาบิดายังไม่อนุญาต จงึ กลบั ไปขออนญุ าต แตไ่ มไ่ ดร้ บั อนญุ าต จงึ ออ้ นวอนถงึ ๓ ครง้ั กไ็ มไ่ ดร้ บั อนญุ าต สทุ นิ นะจงึ นอนลงกบั พน้ื อดอาหารถงึ ๗ วนั มารดา บดิ าและเพอ่ื น ๆ ออ้ นวอนกไ็ มย่ อม ในทส่ี ดุ เพอ่ื น ๆ จงึ ออ้ นวอนใหม้ ารดาบดิ าของสทุ นิ นะอนญุ าต เมอ่ื ไดร้ บั อนญุ าตแลว้ กอ็ อกบวช ประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ ครง่ ครดั อยทู่ างวชั ชคี าม. ครง้ั นน้ั แควน้ วชั ชี เกดิ ทพุ ภกิ ขภยั พระสทุ นิ นะ มญี าตเิ ปน็ คนมง่ั คง่ั มาก เมอ่ื เดนิ ทางไปถงึ กรงุ เวสาลี ญาติ ๆ ทราบ ขา่ วกน็ ำอาหารมาถวายพระสทุ นิ นะ ๆ กถ็ วายแกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย แลว้ เดนิ ทางไปกลนั ทคามบา้ นเดมิ ของตน บดิ าจงึ นมิ นต์ ไปฉนั มารดากน็ ำทรพั ยม์ าเพอ่ื ขอใหส้ กึ พระสทุ นิ นะไมย่ อมสกึ มารดาจงึ กลา่ ววา่ ถา้ ไมส่ กึ กข็ อพชื พนั ธไ์ุ วส้ บื สกลุ ครง้ั นน้ั ยงั ไมม่ กี าร บญั ญตั วิ นิ ยั หา้ มเสพเมถนุ พระสทุ นิ นะเขา้ ใจวา่ เปน็ เรอ่ื งพอทำได้ เพอ่ื ใหม้ บี ตุ รสบื สกลุ จงึ เสพเมถนุ กบั อดตี ภรยิ าของตน ถงึ ๓ ครง้ั นางกต็ ง้ั ครรภเ์ พราะเหตนุ .้ี พระสทุ นิ นะเกดิ ความเดอื ดรอ้ นไมส่ บายใจขน้ึ ภายหลงั ถงึ ขนาดซบู ผอม ภกิ ษทุ ง้ั หลายไดส้ อบถาม ทราบความแลว้ จงึ พากนั ตเิ ตยี น และนำความกราบทลู พระผู้มีพระภาค ๆ จึงรับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แลว้ ทรงสอบถามภกิ ษนุ น้ั ๆ ไดท้ ลู รบั ตามความจรงิ จงึ ทรงตเิ ตยี นวา่ “ดกู อ่ นโมฆบรุ ษุ การกระทำของเธอนน้ั ไมเ่ หมาะ ไมส่ ม ไมค่ วร ไมใ่ ชก่ จิ ของสมณะ ใชไ้ มไ่ ด้ ไมค่ วรทำ เธอบวชในธรรมวนิ ยั อนั เรากลา่ ว ไวด้ อี ยา่ งนแ้ี ลว้ ไฉนจงึ ไมส่ ามารถประพฤตพิ รหมจรรยใ์ หบ้ รบิ รู ณบ์ รสิ ทุ ธ์ิ ไดต้ ลอดชวี ติ เลา่ . ดกู อ่ นโมฆบรุ ษุ ธรรมอนั เราแสดงแลว้ โดยอเนกปรยิ าย เพอ่ื คลาย ความกำหนัด ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด เพื่อความพรากไม่ใช่เพื่อความ
๑๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ประกอบ เพอ่ื ความไมถ่ อื มน่ั ไมใ่ ชเ่ พอ่ื มคี วามถอื มน่ั มใิ ชห่ รอื ? เมอ่ื ธรรม ชอ่ื นน้ั อนั เราแสดงแลว้ เพอ่ื คลายความกำหนดั เธอยงั จกั คดิ เพอ่ื มคี วาม กำหนัด เราแสดงเพื่อความพราก เธอยังจักคิดเพื่อความประกอบ เราแสดงเพอ่ื ความไมถ่ อื มน่ั เธอยงั จกั คดิ เพอ่ื มคี วามถอื มน่ั . ดูก่อนโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพอ่ื เปน็ ทส่ี ำรอกแหง่ ราคะ เพอ่ื เปน็ ทส่ี รา่ งแหง่ ความเมา เพอ่ื เปน็ ทด่ี บั สญู แห่งความกระหาย เพื่อเป็นที่หลุดถอนแห่งอาลัย เพื่อเป็นที่เข้าไปตัด แหง่ วฏั ฏะ เพอ่ื เปน็ ทส่ี น้ิ แหง่ ตณั หา เพอ่ื เปน็ ทส่ี ำรอกแหง่ ตณั หา เพอ่ื เปน็ ทด่ี บั แหง่ ตณั หา เพอ่ื ออกไปจากตณั หาชอ่ื วานะ (เครอ่ื งรอ้ ยรดั ) มใิ ชห่ รอื ? ดูก่อนโมฆบุรุษ การละกาม การกำหนดรู้ความหมายในกาม การกำจดั ความกระหายในกามการเพกิ ถอนความตรกึ อนั เกย่ี วดว้ ยกามการ ระงบั ความกลดั กลมุ้ เพราะกาม เราบอกไวแ้ ลว้ โดยอเนกปรยิ าย มใิ ชห่ รอื ? ดกู อ่ นโมฆบรุ ษุ องคก์ ำเนดิ อนั เธอสอดเขา้ ในปากอสรพษิ ทม่ี พี ษิ ร้ายยังดีกว่า อันองค์กำเนิดที่เธอสอดเข้าในองค์กำเนิดของมาตุคาม ไมด่ เี ลย องคก์ ำเนดิ อนั เธอสอดเขา้ ในปากงเู หา่ ยงั ดกี วา่ อนั องคก์ ำเนดิ ท่ี เธอสอดเขา้ ในองคก์ ำเนดิ ของมาตคุ าม ไมด่ เี ลย องคก์ ำเนดิ อนั เธอสอด เข้าในหลุมถ่านที่ไฟติดลุกโชนยังดีกว่า อันองค์กำเนิดที่เธอสอดเข้าใน องคก์ ำเนดิ ของมาตคุ าม ไมด่ เี ลย. ข้อที่เราว่าดีนั้น เพราะเหตุไร? เพราะบุคคลผู้สอดองค์กำเนิด เข้าในปากอสรพิษเป็นต้นนั้น พึงถึงความตาย หรือความทุกข์เจียนตาย ซง่ึ มกี ารกระทำนน้ั เปน็ เหตุ และเพราะการกระทำนน้ั เปน็ ปจั จยั เบอ้ื งหนา้ แต่แตกกายตายไป ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนบุคคล ผู้ทำการสอดองค์กำเนิดเข้าในองค์กำเนิดของมาตุคามนั้น เบื้องหน้า แตแ่ ตกกายตายไป พงึ เขา้ ถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก ซง่ึ มกี ารกระทำน้ี เป็นเหตุ. ดูก่อนโมฆบุรุษ เมื่อการกระทำนั้น มีโทษอยู่ เธอยังชื่อว่าได้ ต้องอสัทธรรม อันเป็นเรื่องของชาวบ้าน เป็นมรรยาทของคนชั้นต่ำ
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๑๑ อันชั่วหยาบ มีน้ำเป็นที่สุด มีในที่ลับ เป็นของคนคู่ อันคนคู่พึงร่วมกัน เปน็ ไป เธอเปน็ คนแรกทก่ี ระทำอกศุ ลธรรม เปน็ หวั หนา้ ของคนเปน็ อนั มาก การกระทำของเธอนน่ั ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ความเลอ่ื มใสของชมุ ชนทย่ี งั ไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยัง ไมเ่ ลอ่ื มใส และเพอ่ื ความเปน็ อยา่ งอน่ื ของชนบางพวกทเ่ี ลอ่ื มใสแลว้ …” ทรงตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพยี ร โดยอเนกปรยิ าย. อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการในการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย แลว้ ทรงรบั สง่ั กบั ภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะเหตนุ น้ั แล เราจกั บญั ญตั สิ กิ ขาบทแก่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อาศยั อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คอื ๑. เพอ่ื ความดงี ามทเ่ี ปน็ ไปโดยความเหน็ ชอบรว่ มกนั ของสงฆ์ ๒. เพอ่ื ความผาสกุ แหง่ สงฆ์ ๓. เพอ่ื กำราบคนหนา้ ดา้ นไมร่ จู้ กั อาย ๔. เพอ่ื ความอยผู่ าสกุ แหง่ เหลา่ ภกิ ษผุ มู้ ศี ลี ดงี าม ๕. เพอ่ื ปดิ กน้ั ความเสอ่ื มเสยี ความทกุ ข์ ความเดอื ดรอ้ นทจ่ี ะมใี น ปจั จบุ นั ๖. เพอ่ื ปดิ กน้ั ความเสอ่ื มเสยี ความทกุ ข์ ความเดอื ดรอ้ นทจ่ี ะมใี นภายหลงั ๗.เพอ่ื ความเลอ่ื มใสของคนทย่ี งั ไมเ่ ลอ่ื มใส ๘. เพอ่ื ความเลอ่ื มใสยง่ิ ขน้ึ ของคนทเ่ี ลอ่ื มใสแลว้
๑๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๙.เพอ่ื ความดำรงมน่ั แหง่ สทั ธรรม ๑๐.เพื่อส่งเสริมความเป็นระเบียบเรียบร้อย สนับสนุนวินัยให้ หนกั แนน่ … ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มมใิ หภ้ กิ ษเุ สพเมถนุ ทรงปรบั อาบตั ปิ าราชกิ แกภ่ กิ ษุ ผลู้ ว่ งละเมดิ อนบุ ญั ญตั ิ (ขอ้ บญั ญตั เิ พม่ิ เตมิ ) ตอ่ มามภี กิ ษวุ ชั ชบี ตุ ร ชาวกรงุ เวสาลี เขา้ ใจวา่ หา้ มเฉพาะเสพเมถนุ กบั มนษุ ย์ จงึ เสพเมถนุ ดว้ ยนางลงิ ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั ิ เพม่ิ เตมิ ใหช้ ดั ขน้ึ วา่ หา้ มแมใ้ นสตั วด์ ริ จั ฉานตวั เมยี . ภิกษุเสพเมถุนขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว ภายหลังขอเข้า อปุ สมบทอกี พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงบญั ญตั มิ ใิ หอ้ ปุ สมบทแกผ่ เู้ ชน่ นน้ั . องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑. จติ คดิ จะเสพเมถนุ ๒. ยงั องคก์ ำเนดิ ใหเ้ ขา้ ไปในทวารมรรค ถกู ตอ้ ง ณ ทใ่ี ดทห่ี นง่ึ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๒ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาราชกิ (บพุ พสกิ ขาวรรณาหนา้ ๑๑๒). ปาราชกิ สกิ ขาบทท่ี ๒ โย ปะนะ ภกิ ขุ คามา วา อะรญั ญา วา อะทนิ นงั ...... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด ถอื เอาทรพั ยอ์ นั เจา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ ดว้ ยสว่ น แห่งความเป็นขโมย จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี พระราชาทั้งหลาย จับโจรได้แล้ว ประหารเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ดว้ ยบรภิ าษวา่ เจา้ เปน็ โจร เจา้ เปน็ คนพาล เจา้ เปน็ คนหลง เจา้ เปน็ ขโมย ดังนี้ ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภกิ ษถุ อื เอาทรพั ยอ์ นั เจา้ ของไมไ่ ดใ้ หเ้ หน็ ปานนน้ั แมภ้ กิ ษนุ ้ี กเ็ ปน็ ปาราชกิ หาสงั วาสมไิ ด.้ ” ้
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๑๓ วภิ งั ค์ (จำแนกความ) ทช่ี อ่ื วา่ ทรพั ยอ์ นั เจา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ มอี ธบิ ายวา่ ทรพั ยใ์ ดอนั เจา้ ของ ไม่ได้ให้ ไม่ได้ละวาง ยังรักษาปกครองอยู่ ยังถือกรรมสิทธิ์อยู่ว่าเป็นของเรา ยงั มผี อู้ น่ื หวงแหน ทรพั ยน์ น้ั ชอ่ื วา่ ทรพั ยอ์ นั เจา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ บทวา่ ดว้ ยสว่ นแหง่ ความเปน็ ขโมย ไดแ้ กม่ จี ติ คดิ ขโมย คอื มจี ติ คดิ ลกั . บทวา่ ถอื เอา คอื ยดึ เอา เอาไป เอาลง ยงั อริ ยิ าบถใหก้ ำเรบิ ใหเ้ คลอ่ื น จากฐาน ใหล้ ว่ งเลยเขตหมาย. ทช่ี อ่ื วา่ เหน็ ปานใด คอื หนง่ึ บาทกด็ ี ควรแกห่ นง่ึ บาทกด็ ี เกนิ กวา่ หนง่ึ บาทกด็ ี คำวา่ เปน็ ปาราชกิ มอี ธบิ ายวา่ ใบไมเ้ หลอื งหลน่ จากขว้ั แลว้ ไมอ่ าจ จะเปน็ ของเขยี วสดขน้ึ ได้ แมฉ้ นั ใดภกิ ษกุ ฉ็ นั นน้ั แหละ ถอื เอาทรพั ยอ์ นั เขาไมไ่ ด้ ให้ ดว้ ยสว่ นแหง่ ความเปน็ ขโมย หนง่ึ บาทกด็ ี ควรแกห่ นง่ึ บาทกด็ ี เกนิ กวา่ หนง่ึ บาทกด็ ี แล้วไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เพราะเหตุนั้นการ กระทำผิด ตามสกิ ขาบทดงั กลา่ วจงึ ตรสั วา่ เปน็ ปาราชกิ สรปุ บทภาชนยี ์ ทรัพย์มีผู้ครอบครองไม่ว่าจะอยู่ในที่ใด ภิกษุสำคัญว่ามีผู้ครอครอง มรี าคา ๕ มาสกหรอื เกนิ กวา่ มไี ถยจติ (คดิ ลกั ) จบั ตอ้ งสง่ิ นน้ั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ, ทำใหไ้ หว ตอ้ งถลุ ลจั จยั , ทำใหเ้ คลอ่ื นทอ่ี อกจากฐาน ตอ้ งปาราชกิ . ภกิ ษเุ ขา้ ไปทด่ี า่ นภาษี มไี ถยจติ จบั ตอ้ งทรพั ยท์ ค่ี วรเสยี ภาษี มรี าคา ๕ มาสกหรอื เกนิ กวา่ ตอ้ งทกุ กฏ, ทำใหไ้ หว ตอ้ งถลุ ลจั จยั , ยา่ งเทา้ ท่ี ๑ ผา่ นดา่ นภาษี ไป ตอ้ งถลุ ลยั จยั , ยา่ งเทา้ ท่ี ๒ ผา่ นดา่ นภาษไี ป ตอ้ งปาราชกิ . ภกิ ษชุ วนกนั ไปลกั รปู หนง่ึ ลกั ทรพั ยม์ าได้ ตอ้ งปาราชกิ ทกุ รปู . นดั หมาย, ทำนิมิต สั่งให้ลักทรัพย์ ขณะอธิบายต้องทุกกฏ, ลักทรัพย์ได้ตามนั้น ต้อง ปาราชกิ ทง้ั ผสู้ ง่ั ผทู้ ำ, ลกั มาไดผ้ ดิ จากนน้ั ผสู้ ง่ั ไมต่ อ้ งอาบตั ิ ผลู้ กั ตอ้ งปาราชกิ .
๑๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนาบัติ ๑.ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นของตน ๒.ถือเอาด้วยวิสาสะ ๓.ขอยืม ๔.ทรัพย์อันเปรตหวงแหน ๕.ทรัพย์อันสัตว์ดิรัจฉานหวงแหน ๖.ภิกษุมีความ สำคญั วา่ เปน็ ของบงั สกุ ลุ ๗.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๘.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ เหลา่ น้ี ไมต่ อ้ งอาบตั .ิ เรอ่ื งตน้ บญั ญตั ิ ภกิ ษหุ ลายรปู ทเ่ี ปน็ มติ รสหายกนั ไดท้ ำกฎุ หี ญา้ อยจู่ ำพรรษาขา้ งภเู ขา อสิ คิ ลิ .ิ ภกิ ษอุ น่ื ๆ เมอ่ื ออกพรรษากร็ อ้ื กฎุ หี ญา้ เกบ็ หญา้ เกบ็ ไมแลว้ จารกิ ไปสู่ ชนบท. สว่ นพระธนยิ ะคงอยใู่ นทน่ี น้ั ไมไ่ ปไหน ขณะท่ี เขา้ ไปบณิ ฑบาตยงั หมบู่ า้ น พวกคนเกบ็ หญา้ เกบ็ ไม้ มารอ้ื กฎุ ี นำหญา้ และไมไ้ ป ทา่ นตอ้ งทำใหมถ่ งึ ๓ ครง้ั ทา่ นจงึ คดิ สรา้ งกฎุ ดี นิ เพราะเปน็ ผชู้ ำนาญในการผสมดนิ ปน้ั หมอ้ มากอ่ น เมอ่ื ตกลงดงั นน้ั จงึ เอาดนิ เหลวมาขยำแลว้ ทำเปน็ กฎุ ดี นิ ลว้ น เอาหญา้ ไมแ้ ละมลู โค สมุ ไฟเผากฎุ ที ท่ี ำไวแ้ ลว้ ใหเ้ ปน็ กฎุ ดี นิ เผา มสี แี ดงดง่ั ตวั แมลงทบั พระผมู้ พี ระภาค เสดจ็ ทอดพระเนตรเหน็ กฎุ งี ดงาม จงึ ตรสั ถาม เมอ่ื ทรงทราบแลว้ ทรงตเิ ตยี นวา่ “ไฉนโมฆบุรุษนั้นจึงได้ขยำโคลนทำกุฎีสำเร็จด้วยดินล้วน ดว้ ยตนเองเลา่ ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความเอน็ ดู ความอนเุ คราะห์ ความไม่ เบยี ดเบยี นหมสู่ ตั ว์ มไิ ดม้ แี กโ่ มฆบรุ ษุ นน้ั เลย พวกเธอจงทำลายกฎุ นี น้ั พวกเพอ่ื นพรหมจารชี น้ั หลงั อยา่ ถงึ ความเบยี ดเบยี นหมสู่ ตั วเ์ ลย อนั ภกิ ษุ ไมค่ วรทำกฎุ ที ส่ี ำเรจ็ ดว้ ยดนิ ลว้ น ภกิ ษใุ ดทำตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ.” ต่อมาท่านพระธนิยะ จึงมาขอไม้จากคนเฝ้าโรงเก็บไม้ของหลวง คนเฝ้าปฏิเสธว่า “ตนไม่มีไม้ที่จะให้ได้ มีแต่ไม้ที่เป็นของพระราชาหวงแหน เพื่อใช้ซ่อมพระนคร เก็บไว้ในคราวมีอันตราย ถ้าพระราชาพระราชทาน กน็ ำไปได”้ . พระธนยิ ะตอบวา่ “พระราชาพระราชทานแลว้ ” คนเฝา้ โรงไมเ้ ชอ่ื วา่ เป็นพระคงไม่พูดปด จึงอนุญาตให้นำไป ท่านพระธนิยะก็นำไม้มาทำกุฎีไม้. เมอ่ื วสั สการพราหมณอ์ ำมาตย์ มาตรวจพบวา่ ไมห้ ายไป จงึ ไตส่ วนแลว้ กราบทลู
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๑๕ พระเจา้ พมิ พสิ าร มรี บั สง่ั ใหน้ ำ ตวั คนเฝา้ โรงไมเ้ ขา้ ไปเฝา้ เขาจงึ ถกู มดั นำตวั ไป ทา่ นพระธนยิ ะเหน็ คนเฝา้ ไม้ ถกู มดั นำตวั ไป จงึ สอบถามไดค้ วามแลว้ กต็ ามไปดว้ ย. พระเจ้าพิมพิสารถวายนมัสการท่านพระธนิยะ แล้วตรัสถามว่า “เปน็ ความจรงิ หรอื ทว่ี า่ พระองคถ์ วายไมน้ น้ั ” ทา่ นพระธนยิ ะตอบวา่ “เปน็ ความจรงิ ” พระเจา้ พมิ พสิ ารตรสั วา่ พระองคเ์ ปน็ พระราชา มกี จิ ธรุ ะมาก ถวายไปแลว้ อาจนกึ ไมอ่ อกกไ็ ด้ ถา้ ทา่ นพระธนยิ ะนกึ ออกกข็ อใหช้ แ้ี จงมา. ท่านพระธนิยะทูลถามว่า “ทรงระลึกได้หรือไม่ ที่ทรงเปล่งวาจา ในวันอภิเษกเสวยราชย์ว่า หญ้า ไม้ และน้ำ เป็นอันข้าพเจ้าถวายแก่ สมณพราหมณท์ ง้ั หลาย ขอจงใชส้ อยเถดิ ” ตรสั ตอบวา่ ทรงระลกึ ได้ แตท่ ต่ี รสั อยา่ งนน้ั ทรงหมายสำหรบั สมณพราหมณ์ ผมู้ คี วามละอาย ผมู้ คี วามรงั เกยี จ ใครต่ อ่ การศกึ ษา ผเู้ กดิ ความรงั เกยี จแมใ้ นความชว่ั เพยี งเลก็ นอ้ ย และทรงหมาย ถงึ สง่ิ ของทไ่ี มม่ ใี ครหวงแหนในปา่ ทา่ นถอื เอาไมท้ ม่ี ไิ ดใ้ หด้ ว้ ยเลศน้ี คนอยา่ ง พระองค์จะพึงฆ่า จองจำหรือเนรเทศ สมณะหรือพราหมณ์ได้อย่างไร? ทา่ นจงไปเถดิ ทา่ นพน้ เพราะเพศ (บรรพชติ ) ตอ่ ไปอยา่ ทำอยา่ งนอ้ี กี . มนษุ ยท์ ง้ั หลายพากนั ตเิ ตยี นดว้ ยประการตา่ ง ๆ ความทราบถงึ พระผมู้ ี พระภาคเจา้ จงึ ทรงเรยี กประชมุ สงฆ์ ทรงไตส่ วน เมอ่ื พระธนยิ ะรบั เปน็ สตั ยแ์ ลว้ จงึ ทรงตเิ ตยี นวา่ “ดกู อ่ นโมฆบรุ ษุ การกระทำของเธอนน่ั ไมเ่ หมาะ ไมส่ ม ไมค่ วร มิใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน เธอจึงได้ถือเอาไม้ของหลวงที่เขา ไม่ได้ใหไ้ ปเปล่า การกระทำของเธอน่นั ไม่เป็นไปเพอ่ื ความเลอ่ื มใสของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นของผู้ที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของคนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว” ทรงตรัสถามภิกษุ ผู้เคยเป็นมหาอำมาตย์ผู้พิพากษา ว่าพระเจ้าพิมพิสารทรงจับโจรได้แล้วทรง ประหารชีวิตจองจำหรือเนรเทศดว้ ยกำหนดทรพั ย์เทา่ ไร? กเ็ ทา่ กบั ๕ มาสก จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท มใิ หภ้ กิ ษุ ถอื เอาสง่ิ ของทเ่ี จา้ ของไมใ่ ห้ ผใู้ ดทำเชน่ นน้ั ไดร้ าคาทพ่ี ระราชาจบั โจรไดป้ ระหารชวี ติ จองจำ หรอื เนรเทศ ตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ .
๑๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนบุ ญั ญตั ิ (ขอ้ บญั ญตั เิ พม่ิ เตมิ ) สมยั นน้ั ภกิ ษฉุ พั พคั คยี (์ พวก ๖ คอื เปน็ พวกรว่ มใจกนั ๖ รปู ) ไปทล่ี าน (ตากผ้า) ของช่างย้อม ขโมยห่อผ้าของช่างย้อมนำมาแบ่งกัน ความทราบ ถึงภิกษุทั้งหลาย เธอแก้ตัวว่า ไปลักในป่า ไม่ได้ลักในบ้าน สิกขาบท ที่บัญญัติมุ่งหมายถึงลักในบ้าน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติเพิ่มเติมว่า ลกั ของจากบา้ นกต็ าม จากปา่ กต็ าม. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑. เป็นของผู้อื่นเป็นชาติมนุษย์หวงแหนอยู่ ๒. สำคัญรู้ว่า เป็นของผู้อื่นหวงอยู่ ๓. ของนั้นราคา บาทหนึ่งหรือราคากว่าบาทหนึ่งขึ้นไป ๔. จิตเป็นขโมย ๕. ลักได้ด้วยอวหาร (อาการที่ถือว่าเป็นลักทรัพย์) อย่างใด อยา่ งหนง่ื พรอ้ มดว้ ยองค์ ๕ น้ี จงึ เปน็ ปาราชกิ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๒๔). ปาราชกิ สกิ ขาบทท่ี ๓ โย ปะนะ ภกิ ขุ สญั จจิ จะ มะนสุ สะวคิ คะหงั ชวี ติ า..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดจงใจพรากกายมนษุ ยจ์ ากชวี ติ หรอื แสวงหา ศสั ตราอนั จะปลดิ ชวี ติ ใหแ้ กก่ ายมนษุ ยน์ น้ั หรอื พรรณนาคณุ แหง่ ความตาย หรอื ชกั ชวนเพอ่ื อนั ตาย ดว้ ยคำวา่ แนะ่ นายผเู้ ปน็ ชาย จะประโยชน์อะไรแก่ท่าน ด้วยชีวิตอันแสนลำบาก ยากแค้นนี้ ทา่ นตายเสยี ดกี วา่ เปน็ อยดู่ งั น้ี เธอมจี ติ อยา่ งน้ี มใี จอยา่ งน้ี มคี วาม หมายหลายอย่าง อย่างนี้ พรรณนาคุณในความตายก็ดี ชักชวน เพอ่ื อนั ตายกด็ ี โดยหลายนยั แมภ้ กิ ษนุ ก้ี เ็ ปน็ ปาราชกิ หาสงั วาสมไิ ด.้ ” วภิ งั ค์ (จำแนกความ) ทช่ี อ่ื วา่ กายมนษุ ย์ ไดแ้ ก่ จติ ดวงแรกเกดิ คอื วญิ ญาณดวงแรกปรากฏ ขน้ึ ในครรภม์ ารดา จนถงึ เวลาตาย อตั ภาพในระหวา่ งนช้ี อ่ื วา่ กายมนษุ ย์
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๑๗ บทวา่ พรรณนาคณุ ในความตายกด็ ี ไดแ้ กแ่ สดงโทษในความเปน็ อยู่ พรรณนาคณุ ในความตายวา่ ทา่ นตายจากโลกนแ้ี ลว้ เบอ้ื งหนา้ แตต่ ายเพราะ กายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ จักได้รับบำเรอเพียบพร้อมอิ่มเอิบด้วย เบญจกามคณุ อนั เปน็ ทพิ ย์ ในสคุ ตโิ ลกสวรรคน์ น้ั . คำว่า เป็นปาราชิก มีอธิบายว่า ศิลาหนาแตกสองเสี่ยงแล้วเป็น ของกลบั ตอ่ ใหต้ ดิ สนทิ อกี ไมไ่ ดแ้ มฉ้ นั ใด ภกิ ษกุ ฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั จงใจพรากกาย มนษุ ยจ์ ากชวี ติ แลว้ ยอ่ มไมเ่ ปน็ สมณะ ไมเ่ ปน็ เชอ้ื สายพระศากยบตุ ร เพราะเหตนุ น้ั จงึ ตรสั วา่ เปน็ ปาราชกิ . สรปุ บทภาชนยี ์ ฆา่ เองดว้ ยกาย ของเนอ่ื งดว้ ยกาย ดว้ ยซดั อาวธุ ไปหรอื ยน่ื สง่ั ในทใ่ี กล้ ๆ ให้ทำอย่างนี้, สั่งทูต นัดหมายหรือทำนิมิต ผู้รับฆ่าตามนั้น ปาราชิกทั้งผู้สั่ง และผฆู้ า่ , ทำผดิ จากทส่ี ง่ั ผสู้ ง่ั ไมต่ อ้ งอาบตั ิ ผฆู้ า่ ปาราชกิ , สง่ั ทตู ตอ่ ขณะสง่ั ตอ้ ง ทกุ กฏ, เมอ่ื ผฆู้ า่ รบั คำ ตอ้ งถลุ ลจั จยั , ฆา่ สำเรจ็ ตอ้ งปาราชกิ ทกุ รปู พรรณาคุณแห่งความตายชักชวนเพื่อนอันตายด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยกายและวาจา ด้วยทูต ด้วยหนังสือ ด้วยศัสตรา หรืออุปกรณ์ที่พิง ธรรมารมณเ์ ขา้ ไปใกล้ ๆ ดว้ ยตง้ั ใจวา่ จะมผี ตู้ ายดว้ ยเหตขุ องสง่ิ นน้ั ๆ ตอ้ งทกุ กฏ, มผี ยู้ งั ทกุ ขเวทนาใหเ้ กดิ ดว้ ยสง่ิ ๆ นน้ั ตอ้ งถลุ ลจั จยั , เขาตาย ตอ้ งปาราชกิ แนะนำ หรอื ถกู ถามแลว้ บอกวา่ ทา่ นจงตายอยา่ งน้ี ๆ ตอ้ งทกุ กฏ, เขายงั ทกุ ขเวทนาใหเ้ กดิ ตามนน้ั ตอ้ งถลุ ลจั จยั , เขาตาย ตอ้ งปาราชกิ อนาบัติ ๑.ภกิ ษไุ มจ่ งใจ ๒.ภกิ ษไุ มร่ ู้ ๓.ภกิ ษไุ มป่ ระสงคจ์ ะใหต้ าย ๔.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๕.ภิกษุมีจิตฟุ้งซ่าน ๖.ภิกษุกระสับกระส่ายเพราะเวทนา ๗.ภิกษุอาทิกัมมิกะ เหลา่ นไ้ี มต่ อ้ งอาบตั แิ ล.
๑๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรอ่ื งตน้ บญั ญตั ิ พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ ปา่ มหาวนั ทรงแสดงอสภุ กถา การพจิ ารณา เหน็ รา่ งกายโดยความเปน็ ของไมง่ าม สรรเสรญิ คณุ แหง่ การเจรญิ อสภุ ะ กบั ทง้ั คณุ แหง่ อสภุ สมาบตั ิ ครน้ั แลว้ ทรงหลกี เรน้ อยตู่ ามลำพงั พระองคต์ ลอดกง่ึ เดอื น ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ปฏบิ ตั อิ สภุ ภาวนา กเ็ กดิ ความอดิ หนาระอาใจ รงั เกยี จ ดว้ ยกายของตน เหมอื น ชายหนมุ่ หญงิ สาวทช่ี อบการประดบั ตกแตง่ อาบนำ้ ดำเกลา้ แลว้ รงั เกยี จซากศพงู ซากศพสนุ ขั ซากศพมนษุ ย์ อนั คลอ้ งอยทู่ ค่ี อ กฆ็ า่ ตวั ตายบา้ ง ฆา่ กนั และกนั บา้ ง เขา้ ไปหานายมคิ ลณั ฑกิ ะผแู้ ตง่ ตวั เหมอื น สมณะ จา้ งดว้ ยบาตรจวี รใหฆ้ า่ บา้ ง. เมอ่ื ครบกง่ึ เดอื นแลว้ เสดจ็ กลบั จากทเ่ี รน้ ทรงทราบเรอ่ื งนน้ั จงึ ทรง เรียกประชุมสงฆ์ ทรงสั่งสอนอานาปานสติสมาธิ (คือการทำใจให้ตั้งมั่น โดยกำหนดลมหายใจเขา้ ออก) โดยปรยิ ายตา่ ง ๆ แลว้ ทรงปรารภเรอ่ื งภกิ ษฆุ า่ ตวั ตาย ฆา่ กนั และกนั รวมทง้ั จา้ งผอู้ น่ื ใหฆ้ า่ ตน ทรงตเิ ตยี น แลว้ ทรงบญั ญตั ิ สกิ ขาบทหา้ มมใิ หภ้ กิ ษฆุ า่ มนษุ ยห์ รอื ใชใ้ หค้ นอน่ื ฆา่ ทรงปรบั ปาราชกิ แกผ่ ลู้ ะเมดิ . อนบุ ญั ญตั ิ สมัยนั้นอุบาสกคนหนึ่งไม่สบาย ภิกษุฉัพพัคคีย์ เกิดพอใจในภริยา ของอบุ าสกนน้ั จงึ พดู พรรณนาคณุ แหง่ ความตาย อบุ าสกนน้ั เชอ่ื กร็ บั ประทาน แตข่ องแสลง เปน็ เหตใุ หโ้ รคกำเรบิ และตายดว้ ยโรคนน้ั ภรยิ าของอบุ าสกจงึ ตเิ ตยี น ยกโทษภกิ ษฉุ พั พคยี เ์ หลา่ นน้ั ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค ทรงเรยี ก ประชุมสงฆ์ ไต่สวนได้ความเป็นสัตย์แล้ว จึงทรงติเตียนว่า “ดูก่อนโมฆบุรุษ ทง้ั หลาย การกระทำของพวกเธอนน้ั ไมเ่ หมาะ ไมส่ ม ไมค่ วร ไมใ่ ชก่ จิ ของสมณะ ใชไ้ มไ่ ด้ ไมค่ วรทำ ไฉนพวกเธอจงึ ได้ พรรณนาคณุ แหง่ ความตายแกอ่ บุ าสกเลา่ ดกู อ่ นโมฆบรุ ษุ ทง้ั หลาย การกระทำของพวกเธอนน้ั ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ความเลอ่ื มใส ของชมุ ชนทย่ี งั ไมเ่ ลอ่ื มใส หรอื เพอ่ื ความเลอ่ื มใสยง่ิ ของผทู้ เ่ี ลอ่ื มใสแลว้ …”
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๑๙ แลว้ ทรงบญั ญตั เิ พม่ิ เตมิ หา้ มการพรรณาคณุ ของความตาย หรอื ชกั ชวน เพอ่ื ใหต้ าย วา่ ผใู้ ดละเมดิ ตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ดว้ ย. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.สัตว์เป็นชาติมนุษย์ ๒.รู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต ๓.จิตประสงค์จะฆ่า ๔.พยายามด้วยประโยคทั้ง๖ อนั ใดอนั หนง่ื ๕.สต้ วน์ น้ั ตายดว้ ยพยายามนน้ั พรอ้ มดว้ ยองค์ ๕ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาราชกิ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๒๘). ปาราชกิ สกิ ขาบทท่ี ๔ โย ปะนะ ภกิ ขุ อะนะภชิ านงั อตุ ตะรมิ ะนสุ สะธมั มงั ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด ไมร่ เู้ ฉพาะ กลา่ วอวดอตุ ตรมิ นสุ สธรรม อนั เปน็ ความรู้ ความเหน็ อยา่ งประเสรฐิ อยา่ งสามารถ นอ้ มเขา้ มา ในตนวา่ ขา้ พเจา้ รอู้ ยา่ งน้ี ขา้ พเจา้ เหน็ อยา่ งน้ี ครน้ั สมยั อน่ื แตน่ น้ั อนั ผใู้ ดผหู้ นง่ึ ถอื เอาตามกต็ าม ไมถ่ อื เอาตามกต็ าม เปน็ อนั ตอ้ ง อาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน ขา้ พเจา้ ไมร่ อู้ ยา่ งนน้ั ไดก้ ลา่ ววา่ รู้ ไมเ่ หน็ อยา่ งนน้ั ไดก้ ลา่ ววา่ เหน็ ไดพ้ ดู พลอ่ ยๆ เปน็ เทจ็ เปลา่ ๆ เวน้ ไวแ้ ตส่ ำคญั วา่ ไดบ้ รรลุ แมภ้ กิ ษนุ ้ี กเ็ ปน็ ปาราชกิ หาสงั วาสมไิ ด.้ ” วภิ งั ค์ (จำแนกความ) บทว่า อุตตริมนุสสธรรม ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ญาณทัสสนะ มรรคภาวนา การทำให้แจ้งซึ่งผล การละกิเลส ความเปิดจิต ความยนิ ดยี ง่ิ ในเรอื นอนั วา่ งเปลา่ บทวา่ เปน็ ปาราชกิ ความวา่ ตน้ ตาลมยี อดดว้ นแลว้ ไมอ่ าจจะงอกอกี แมฉ้ นั ใด ภกิ ษกุ ฉ็ นั นน้ั แหละ มคี วามอยากอนั ลามก อนั ความอยากครอบงำแลว้ พูดอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง ย่อมไม่เป็นสมณะ ไมเ่ ปน็ เชอ้ื สายพระศากยบตุ ร เพราะฉะนน้ั พระผมู้ พี ระภาคจงึ ตรสั วา่ เปน็ ปาราชกิ
๒๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนาบัติ ๑.ภกิ ษสุ ำคญั วา่ ไดบ้ รรลุ ๒.ภกิ ษไุ มป่ ระสงคจ์ ะกลา่ วอวด ๓.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๔.ภกิ ษมุ จี ติ ฟงุ้ ซา่ น ๕.ภกิ ษกุ ระสบั กระสา่ ยเพราะเวทนา ๖.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติ. เรอ่ื งตน้ บญั ญตั ิ พระพุทธเจ้าประทับ ณ เรือนยอดในป่ามหาวัน ใกล้ กรุงเวสาลี สมัยนั้นมีภิกษุหลายรูปที่ชอบพอเป็นมิตรสหายกัน จำพรรษา อยใู่ กลฝ้ ง่ั แมน่ ำ้ วคั คมุ ทุ า สมยั นน้ั เกดิ ทพุ ภกิ ขภยั ในแควน้ วชั ชี (ราชธานี ชอ่ื เวสาล)ี ภกิ ษทุ ง้ั หลายลำบากดว้ ยเรอ่ื งอาหารบณิ ฑบาต จงึ ปรกึ ษากนั วา่ จะทำอยา่ งไรด.ี บางรปู เหน็ วา่ ควรชว่ ยแนะนำกจิ การงานของคฤหสั ถ์ บางรปู เหน็ วา่ ควรทำหน้าที่ทูต (คือ นำความข้างนี้ไปบอกข้างนั้น นำความข้างนั้นมาบอก ข้างนี้ คล้ายบุรุษไปรษณีย์) บางรูปเห็นว่า ควรใช้วิธีสรรเสริญกันและกัน ให้คฤหัสถ์ฟังว่า ภิกษุรูปนั้น รูปนี้ มีคุณวิเศษอย่างนั้น อย่างนี้ เช่น ไดฌ้ านท่ี ๑ ฌานท่ี ๒ เปน็ ตน้ จนถงึ วา่ ไดเ้ ปน็ พระโสดาบนั เปน็ พระสกทาคามี เปน็ พระอนาคามี เปน็ พระอรหนั ต์ มวี ชิ ชา ๓ มอี ภญิ ญา ๖ เมื่อเห็นว่าวิธีหลังนี้ดี จึงเที่ยวสรรเสริญกันและกันให้คฤหัสถ์ฟัง จงึ ไดร้ บั การเลย้ี งดจู ากคฤหสั ถ์ ชาวรมิ นำ้ วคั คมุ ทุ าเปน็ อยา่ งดี มผี วิ พรรณ ผอ่ งใส เอบิ อม่ิ เมอ่ื ออกพรรษาแลว้ จงึ เกบ็ เสนาสนะเดนิ ทางไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาค ณ กรงุ เวสาล.ี ปรากฎวา่ ภกิ ษทุ ม่ี าแตท่ ศิ ทางอน่ื ลว้ นซบู ผอม ผวิ พรรณทราม มเี สน้ เอน็ ขึ้นเห็นได้ชัด ส่วนภิกษุที่มาจากฝั่งน้ำวัคคุมุทากลับอิ่มเอิบ อ้วนพี พระผมู้ พี ระภาคจงึ ตรสั ถามทกุ ขส์ ขุ และทรงทราบเรอ่ื งนน้ั จงึ ตรสั ตเิ ตยี นและ เรยี กประชมุ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ตรสั เรอ่ื งมหาโจร ๕ ประเภทเปรยี บเทยี บกบั ภกิ ษวุ า่
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๒๑ มหาโจร ๕ จำพวก “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจร ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก มหาโจร ๕ จำพวกเปน็ ไฉน? ๑.ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจรบางคนในโลกนี้ย่อมปรารถนา อย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอเราจักเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่ง แวดล้อมแล้ว ท่องเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานี เบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเองให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเองให้ผู้อื่นเผาผลาญ สมยั ตอ่ มา เขาเปน็ ผอู้ นั บรุ ษุ รอ้ ยหนง่ึ หรอื พนั หนง่ึ แวดลอ้ มแลว้ เทย่ี วไป ในคามนิคมและราชธานี เบียดเบียนเองให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ใหผ้ อู้ น่ื ตดั เผาผลาญเองใหผ้ อู้ น่ื เผาผลาญฉนั ใด ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ยอ่ มปรารถนาอยา่ งนว้ี า่ เมอ่ื ไรหนอ เราจงึ จกั เปน็ ผอู้ นั ภกิ ษรุ อ้ ยหนง่ึ หรอื พนั หนง่ึ แวดลอ้ มแลว้ เทย่ี วจารกิ ไปในคามนคิ มและราชธานี อนั คฤหสั ถ์ และบรรพชิต สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวรบิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร สมัยต่อมาเธอเป็นผู้อันภิกษุ รอ้ ยหนง่ึ หรอื พนั หนง่ึ แวดลอ้ มแลว้ เทย่ี วจารกิ ไปในคามนคิ มและราชธานี อนั คฤหสั ถ์ และบรรพชติ สกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู า ยำเกรงแลว้ ไดจ้ วี ร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุ ทง้ั หลาย นเ้ี ปน็ มหาโจรจำพวกท่ี ๑ มปี รากฏอยใู่ นโลก ๒.ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปใน ธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว อวดอ้างว่าเป็น ของตน ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย นเ้ี ปน็ มหาโจรจำพวกท่ี ๒ มปี รากฏอยใู่ นโลก ๓.ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย อกี ขอ้ หนง่ึ ภกิ ษผุ เู้ ลวทรามบางรปู ในธรรม วินัยนี้ ย่อมตามกำจัดเพื่อนพรหมจารี ผู้หมดจด ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ อนั บรสิ ทุ ธอ์ิ ยดู่ ว้ ยธรรมอนั เปน็ ขา้ ศกึ แกพ่ รหมจรรยอ์ นั หามลู มไิ ด้ ดกู อ่ น ภกิ ษทุ ง้ั หลาย นเ้ี ปน็ มหาโจรจำพวกท่ี ๓ มปี รากฏอยใู่ นโลก
๒๒ ๔.ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย อกี ขอ้ หนง่ึ ภกิ ษผุ เู้ ลวทรามบางรปู ในธรรม วนิ ยั น้ี ยอ่ มสงเคราะหเ์ กลย้ี กลอ่ มคฤหสั ถท์ ง้ั หลาย ดว้ ยครภุ ณั ฑ์ ครบุ รขิ าร ของสงฆ์ คอื อาราม พน้ื ทอ่ี าราม วหิ าร พน้ื ทว่ี หิ าร เตยี ง ตง่ั ฟกู หมอน หมอ้ โลหะ อา่ งโลหะ กระถางโลหะ กระทะโลหะ มดี ขวาน ผง่ึ จอบ สวา่ น เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้ามุงกระต่าย หญ้าปล้อง หญ้าสามัญ ดินเหนียว เครื่องไม้ เครื่องดิน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๔ มปี รากฏอยใู่ นโลก ๕.ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อนั ไมม่ อี ยู่ อนั ไมเ่ ปน็ จรงิ นจ้ี ดั เปน็ ยอดมหาโจร ในโลกพรอ้ มทง้ั เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา และ มนุษย์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้น ฉันก้อนข้าวของชาว แวน่ แควน้ ดว้ ยอาการแหง่ คนขโมย.” ครั้นแล้วทรงติเตียนภิกษุชาวริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา ด้วยประการต่างๆ พรอ้ มทง้ั ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มอวดคณุ พเิ ศษทไ่ี มม่ ใี นตน เมอ่ื อวดไปแลว้ แมจ้ ะออกตวั สารภาพผดิ ทหี ลงั กต็ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ขาดจากความเปน็ ภกิ ษ.ุ อนบุ ญั ญตั ิ สมยั นน้ั ภกิ ษหุ ลายรปู สำคญั ผดิ วา่ ตนไดบ้ รรลคุ ณุ วเิ ศษ จงึ ประกาศ ตนว่า เป็นพระอรหันต์ (พยากรณ์อรหัตตผล) สมัยต่อมาจิตของเธอน้อมไป เพื่อราคะ โทสะ โมหะ ก็เกิดความรังเกียจ สงสัยว่า การประกาศตน วา่ ไดบ้ รรลคุ ณุ วเิ ศษ ดว้ ยความสำคญั ผดิ จะทำใหต้ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ หรอื ไม่ ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติเพิ่มเติม ยกเว้นให้สำหรับภิกษุ ผสู้ ำคญั วา่ ไดบ้ รรลุ องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.อตุ ตรมิ นสุ สธรรมไมม่ ใี นตน ๒.อวดดว้ ยมงุ่ ลาภ สรรเสรญิ ๓.ไมอ่ า้ งผอู้ น่ื ๔.บอกแกผ่ ใู้ ดผนู้ น้ั เปน็ ชาตมิ นษุ ย์ ๕.เขารคู้ วามในขณะนน้ั พรอ้ ม ดว้ ยองค์ ๕ ดงั น้ี จงึ เปน็ ปาราชกิ (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๓๐).
เมอ่ื โจรปลน้ เมอื ง \"ภิกษุใด แสดงตัวเองซึ่งเป็นความจริงอย่างหนึ่ง ให้คนอื่น เขา้ ใจเปน็ อยา่ งอน่ื ไป, การบรโิ ภคปจั จยั ดว้ ยอาการ แหง่ ขโมยของเธอนน้ั เปน็ เชน่ เดยี วกบั นายพราน ผลู้ อ่ ลวงดกั สตั วก์ นิ ฉะนน้ั . คนเปน็ อนั มาก ที่มีผ้ากาสาวพัสตร์คลุมคอ แต่มีความเป็นอยู่ลามก ขาดการสำรวม, พวกคนลามกเหลา่ นน้ั ตอ้ งไปเกดิ ในนรก เพราะการกระทำอนั หยาบชา้ . มนั กนิ กอ้ นเหลก็ ซง่ึ เปรยี บดว้ ยเปลวไฟอนั รอ้ นจดั ยงั จะดกี วา่ , คนทศุ ลี ไมม่ กี ารสำรวม บรโิ ภคกอ้ นขา้ วของชาวเมอื ง เปน็ การไมเ่ หมาะสมเลย.\" (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๑ / ๑๖๙ / ๒๓๐ )
๒๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๓. เตรสกณั ฑ์ ว่าด้วยอาบัติสังฆาทิเสส ที่ต้องให้สงฆ์เกี่ยวข้องในกรรม เบื้องต้นและกรรมอันเหลือ คือ สงฆ์เป็นผู้ปรับโทษให้อยู่กรรม และสงฆเ์ องเปน็ ผรู้ ะงบั อาบตั ิ มี ๑๓ สกิ ขาบท สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ สญั เจตะนกิ า สกุ กะวสิ ฏั ฐ,ิ อญั ญตั ร๎ ะ สปุ นิ นั ตา สงั ฆาทเิ สโส. “ปล่อยสุกกะเป็นไปด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝันเป็น สังฆาทิเสส.” วภิ งั ค์ บทวา่ เปน็ ไปดว้ ยความจงใจ ความวา่ รอู้ ยู่ รดู้ อี ยู่ จงใจ ตง้ั ใจละเมดิ บทว่า สุกกะ อธิบายว่า สุกกะ(น้ำอสุจิ) มี ๑๐ อย่าง คือ ๑.สุกกะสีเขียว ๒.สกุ กะสเี หลอื ง ๓.สกุ กะสแี ดง ๔.สกุ กะสขี าว ๕.สกุ กะสเี หมอื นเปรยี ง ๖.สุกกะสีเหมือนน้ำท่า ๗.สุกกะสีเหมือนน้ำมัน ๘.สุกกะสีเหมือนนมสด ๙.สกุ กะสเี หมอื นนมสม้ ๑๐.สกุ กะสเี หมอื นเนยใส การกระทำอสจุ ใิ หเ้ คลอ่ื นจากฐานเรยี กวา่ การปลอ่ ย ชอ่ื วา่ ปลอ่ ย อนาบัติ ๑.ภิกษุมีอสุจิเคลื่อนเพราะฝัน ๒.ภิกษุไม่ประสงค์จะให้อสุจิเคลื่อน ๓.ภิกษุวิกลจริต ๔.ภิกษุมีจิตฟุ้งซ่าน ๕.ภิกษุผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ๖.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั .ิ
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๒๕ เรื่องต้นบัญญัติ พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ เชตวนาราม ของอนาถปณิ ฑกิ คฤหบดี ใกล้กรุงสาวัตถี ภิกษุเสยยสกะถูกพระอุทายีแนะนำในทางที่ผิดให้ใช้มือ เปลอ้ื งความใคร่ ทำนำ้ อสจุ ใิ หเ้ คลอ่ื น ความทราบถึงพระผู้มีพระภาคทรงเรียกประชุมสงฆ์ ทรงไต่สวน พระเสยยสกะรบั เปน็ สตั ย์ ทรงตเิ ตยี นพระเสยยสกะเปน็ อนั มาก แลว้ ทรงบญั ญตั ิ สกิ ขาบท หา้ มทำนำ้ อสจุ ใิ หเ้ คลอ่ื นโดยเจตนา ถา้ ลว่ งละเมดิ ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส. อนุบัญญัติ สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายนอนหลับ น้ำอสุจิเคลื่อนด้วยความฝัน เกดิ ความสงสยั วา่ จะตอ้ งสงั ฆาทเิ สส จงึ กราบทลู ถามพระผมู้ พี ระภาค พระองค์ ตรสั วา่ เจตนามอี ยู่ แตไ่ มค่ วรกลา่ ววา่ ม(ี อพั โพหารกิ )๑ แลว้ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท เพม่ิ เตมิ เพม่ิ ขอ้ ยกเวน้ สำหรบั ความฝนั . องค์แห่งอาบัติ ๑.เจตนาจะให้เคลื่อน ๒.พยายาม ๓.อสุจิเคลื่อน พร้อมด้วยองค์ ๓ ดังนี้ จึงเป็นสังฆาทิเสส (บุพพสิกขาวรรณนา หน้า ๑๓๒). ๑เจตนาที่จะยินดีนั้นมีอยู่ แต่กล่าวไม่ได้ว่ามี เพราะเกิดขึ้นนอกเหนือขอบเขต เจตนาในความฝันเป็นเจตนานอกเหนือขอบเขต (วิ.อ.๒/๒๓๕/๒-๓) สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒ โย ปะนะ ภกิ ขุ โอตณิ โณ วปิ ะรณิ ะเตนะ จติ เตนะ มาตคุ าเมนะ..... “อนึ่ง ภิกษุใดกำหนัดแล้ว มีจิตแปรปรวนแล้ว ถึงความ เคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม คือจับมือก็ตาม จับช้องผมก็ตาม ลูบคลำอวัยวะอันใดอันหนึ่งก็ตาม เป็นสังฆาทิเสส.”
๒๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก อนาบตั ิ (ลกั ษณะทไ่ี มต่ อ้ งอาบตั )ิ ๑.ภิกษุไม่จงใจถูกต้อง ๒.ภิกษุถูกต้องด้วยไม่มีสติ ๓.ภิกษุไม่รู้ ๔.ภกิ ษไุ มย่ นิ ดี ๕.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๖.ภกิ ษมุ จี ติ ฟงุ้ ซา่ น ๗.ภกิ ษผุ กู้ ระสบั กระสา่ ย เพราะเวทนา ๘.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม แล้วกล่าวถึงวิหาร ของพระอทุ ายวี า่ งดงาม มเี ตยี งตง่ั ฟกู หมอน นำ้ ดม่ื นำ้ ใชต้ ง้ั ไวด้ มี บี รเิ วณอนั กวาด สะอาด มนุษย์ทั้งหลาย พากันไปชมวิหาร มากด้วยกัน พราหมณ์ผู้หนึ่ง พาภรยิ าไปขอชมวหิ าร พระอทุ ายกี พ็ าชม ใหพ้ ราหมณเ์ ดนิ หนา้ ภรยิ าตามหลงั พระอทุ ายเี ดนิ ตามหลงั ภรยิ าของพราหมณน์ น้ั อกี ตอ่ หนง่ึ เลยถอื โอกาสจบั ตอ้ ง อวยั วะนอ้ ยใหญข่ องนาง นางบอกแกส่ ามี สามโี กรธตเิ ตยี นเปน็ อนั มาก ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค ทรงเรยี กประชมุ สงฆ์ ไตส่ วนไดค้ วาม เปน็ สตั ย์ ทรงตเิ ตยี นเปน็ อนั มากแลว้ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มภกิ ษมุ จี ติ กำหนัดจับต้องกายหญิง ไม่ว่าจะเป็นการจับมือ จับช้องผม หรือ ลูบคลำ อวยั วะใด ๆ ทรงปรบั อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส แกผ่ ลู้ ว่ งละเมดิ . องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.หญิงมนุษย์ ๒.สำคัญว่าเป็นหญิง ๓.กำหนัดด้วยกายสังสัคคราคะ ๔.พยายามตามความ กำหนัด ๕.จับมือเป็นต้น พร้อมด้วยองค์ ๕ ดังนี้ จึงเป็นสังฆาทิเสส (บุพพสิกขาวรรณนา หน้า ๑๓๔). สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓ โย ปะนะ ภกิ ขุ โอตณิ โณ วปิ ะรณิ ะเตนะ จติ เตนะ มาตคุ ามงั ..... “อน่งึ ภิกษใุ ด กำหนัดแล้ว มจี ิตแปรปรวนแลว้ พูดเคาะ มาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ เหมือนชายหนุ่มพูดเคาะหญิงสาว ดว้ ยวาจาพาดพงิ เมถนุ เปน็ สงั ฆาทเิ สส.”
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๒๗ วภิ งั ค์ วาจาทช่ี อ่ื วา่ ชว่ั หยาบ ไดแ้ ก่ วาจาทพ่ี าดพงิ วจั จมรรค ปสั สาวมรรค และเมถุนธรรม บทวา่ พดู เคาะ คอื ทเ่ี รยี กกนั วา่ ประพฤตลิ ว่ งเกนิ (ทางวาจา) อนาบัติ ๑.ภิกษุผู้มุ่งประโยชน์ ๒.ภิกษุผู้มุ่งธรรม ๓.ภิกษุผู้มุ่งสั่งสอน ๔.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๕.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม แล้วเล่าเรื่องสตรี หลายคนพากนั ไปชมวหิ ารของพระอทุ ายี ซง่ึ เลอ่ื งลอื กนั วา่ งดงาม พระอทุ ายี กถ็ อื โอกาสนน้ั พดู จาพาดพงิ ถงึ ทวารหนกั ทวารเบาของหญงิ เหลา่ นน้ั . หญงิ บางคน ทเ่ี ปน็ คนคะนองไมม่ คี วามอาย กย็ ม้ิ แยม้ ซกิ ซ้ี คกิ คกั พดู ลอ้ กบั พระอทุ ายี สว่ นหญงิ ทม่ี คี วามละอาย กว็ า่ กลา่ วตเิ ตยี น ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงเรยี กประชมุ สงฆไ์ ตส่ วนไดค้ วาม เปน็ สตั ยก์ ท็ รงตเิ ตยี นแลว้ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มภกิ ษมุ จี ติ กำหนดั พดู เกย้ี ว หญิงด้วยวาจาชั่วหยาบ พาดพิงเมถุน ทำนองชายหนุ่มพูดเกี้ยวหญิงสาว ทรงปรับอาบัติสังฆาทิเสสแก่ผู้ล่วงละเมิด. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.หญิงมนุษย์ ๒.รู้อยู่ว่าเป็นหญิง ๓.กำหนัดยินดีการที่จะกล่าวคำชั่ว หยาบ ๔.กล่าวตามความ กำหนดั นน้ั ๕.หญงิ รคู้ วามในขณะนน้ั พรอ้ มดว้ ยองค์ ๕ ดงั น้ี จงึ เปน็ สงั ฆาทเิ สส (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๓๕).
๒๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔ โย ปะนะ ภกิ ขุ โอตณิ โณ วปิ ะรณิ ะเตนะ จติ เตนะ มาตคุ ามสั สะ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด กำหนดั แลว้ มจี ติ แปรปรวนแลว้ กลา่ วคณุ แหง่ การบำเรอตนดว้ ยกามในสำนกั มาตคุ าม ดว้ ยถอ้ ยคำพาดพงิ เมถุนว่า น้องหญิง สตรีใดบำเรอผู้ประพฤติพรหมจรรย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม เช่นเรา ด้วยธรรมนั่น นั่นเป็นยอดแห่งความ บำเรอทั้งหลาย เป็นสังฆาทิเสส.” อนาบัติ ๑.ภิกษุกล่าวว่า ขอท่านจงบำรุงด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และ เภสัชบริขาร อันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้ ดังนี้ เป็นต้น ๒.ภิกษุวิกลจริต ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ เชตวนาราม แลว้ เลา่ ถงึ หญงิ หมา้ ยคนหนง่ึ ผมู้ รี ปู รา่ งงดงาม พระอทุ ายเี ขา้ ไปสสู่ กลุ นน้ั สง่ั สอนจนเกดิ ความเลอ่ื มใสแลว้ นางปวารณาที่จะถวายผ้านุ่งห่ม อาหาร ที่นอน ที่นั่ง และยารักษาโรค แตพ่ ระอทุ ายกี ลบั พดู ลอ่ หรอื ชกั ชวนหญงิ นน้ั ใหบ้ ำเรอตนดว้ ยกาม ถอื วา่ เปน็ สง่ิ ทห่ี าไดย้ าก นางหลงเชอ่ื แสดงอาการยนิ ยอม พระอทุ ายถี ม่ นำ้ ลายแสดง อาการรงั เกยี จ นางตเิ ตยี นพระอทุ าย.ี ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงเรยี กประชมุ สงฆไ์ ตส่ วนตเิ ตยี นแลว้ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มภกิ ษมุ จี ติ กำหนดั พดู ลอ่ หญงิ ใหบ้ ำเรอตนดว้ ยกาม ทรงปรับอาบัติสังฆาทิเสสแก่ผู้ล่วงละเมิด. องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.หญิงมนุษย์ ๒.รู้อยู่ว่าเป็นหญิง ๓.กำหนัดยินดีในที่จะกล่าวคำชั่วหยาบ ๔.กล่าวตามความ กำหนัดน้นั ๕.หญิงรู้ความในขณะนั้น พรอ้ มด้วยองค์ ๕ ดงั น้ี จึงเป็นสงั ฆาทิเสส (บพุ พสิกขาวรรณนา หน้า ๑๓๖)
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๒๙ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๕ โย ปะนะ ภกิ ขุ สญั จะรติ ตงั สะมาปชั เชยยะ อติ ถยิ า..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดถงึ ความเปน็ ผชู้ กั สอ่ื บอกความประสงคข์ อง บุรุษแก่สตรีก็ดี บอกความประสงค์ของสตรีแก่บุรุษก็ดี ในความ เป็นเมียก็ตาม ในความเป็นชู้ก็ตาม โดยที่สุด บอกแม้แก่หญิง แพศยาอนั จะพึงอยรู่ ว่ มช่ัวขณะ เป็นสังฆาทิเสส.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษผุ ไู้ ปดว้ ยกรณยี กจิ ของสงฆก์ ด็ ี ของเจดยี ก์ ด็ ี ของภกิ ษุอาพาธกด็ ี ๒.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ เชตวนาราม สมยั นน้ั พระอทุ ายเี มอ่ื เหน็ เดก็ ชายทย่ี งั ไมม่ ภี รยิ า เดก็ หญงิ ทย่ี งั ไมม่ สี ามี กเ็ ทย่ี วพดู สรรเสรญิ เดก็ หญงิ ในสำนักมารดาบิดาของเด็กชาย เขาก็วานให้พระอุทายีไปสู่ขอเด็กหญิงนั้น พระอุทายีไปเที่ยวพูดสรรเสริญเด็กชายในสำนักมารดาของ เด็กหญิง เขาก็วานให้พระอุทายีไปพูดให้ฝ่ายชายมาขอบุตรีของตน. โดยนัยนี้ พระอทุ ายกี ท็ ำใหเ้ กดิ การอาวาหะ ววิ าหะ และการสขู่ อหลายราย. สมัยนั้น ธิดาของหญิงม่ายผู้เคยเป็นภรรยาโหรคนหนึ่งมีรูปงาม น่าดูน่าชม, สาวกของอาชีวกซึ่งอยู่ต่างตำบลจึงมาขอธิดานั้น แต่มารดา ของนางอ้างว่า นางไม่รู้จักทั้งก็มีลูกคนเดียวลูกจะต้องไปสู่ตำบลบ้านอื่น จงึ ไมย่ อมยกให้ สาวกของอาชวี กจงึ ไปหาพระอทุ ายขี อใหช้ ว่ ยสขู่ อและรบั รองให้
๓๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก พระอทุ ายกี ไ็ ปพดู กบั หญงิ นน้ั นางเชอ่ื วา่ พระอทุ ายรี จู้ กั จงึ ยอมยกใหส้ าวก ของอาชวี กรบั เดก็ หญงิ นน้ั ไปเลย้ี งดอู ยา่ งลกู สะใภไ้ ดเ้ ดอื นเดยี ว ตอ่ มากเ็ ลย้ี งดู แบบทาสี. เด็กหญิงจึงส่งข่าวไปแจ้งให้มารดาทราบว่าตนได้รับความลำบาก อยอู่ ยา่ งทาสี ขอใหม้ ารดามารบั กลบั ไป มารดาจงึ ไปตอ่ วา่ สาวกอาชวี ก แตก่ ็ กลบั ถกู รกุ ราน อา้ งวา่ การนำมานำไปไมเ่ กย่ี วกบั นาง แตเ่ กย่ี วกบั พระอทุ ายี จงึ ไมร่ บั รเู้ รอ่ื งน้ี นางจงึ ตอ้ งกลบั สเู่ มอื งสาวตั ถ.ี เด็กหญิงนั้น ส่งทูตไปแจ้งข่าวแก่มารดาเป็นครั้งที่ ๒ เล่าถึงความ ลำบากยากแคน้ ทไ่ี ดร้ บั ในการทม่ี คี วามเปน็ อยแู่ บบทาสี ขอใหม้ ารดานำตวั กลบั . มารดาจึงไปหาพระอุทายีให้ช่วยไปเจรจากับสาวกอาชีวกให้ พระอุทายีก็ไป เจรจา แตก่ ถ็ กู รกุ รานกลบั มา โดยอา้ งวา่ พระอทุ ายไี มเ่ กย่ี ว การนำมานำไป เป็นเรื่องระหว่างตนกับมารดาของเด็กหญิง เป็นสมณะควรขวนขวายน้อย ควรเปน็ สมณะทด่ี ี พระอทุ ายจี งึ ตอ้ งกลบั . เด็กหญิงนั้น ส่งทูตไปแจ้งข่าวเช่นเดิมแก่มารดาอีกเป็นครั้งที่ ๓ ขอให้นำตัวกลับ มารดาจึงไปหาพระอุทายี พระอุทายีก็บอกว่าไปแล้ว และถูกรุกราน ไม่ยอมไปอีก. มารดาของเด็กหญิงนั้นและหญิงอื่น ๆ ที่ไม่พอใจแม่ผัว พ่อผัวหรือสามี ก็พากันติเตียนสาปแช่งพระอุทายี สว่ นหญงิ ทพ่ี อใจ แมผ่ วั พอ่ ผวั หรอื สามี กส็ รรเสรญิ ใหพ้ รพระอทุ าย.ี ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงเรยี กประชมุ สงฆ์ ทรงไตส่ วน ไดค้ วามเปน็ สตั ย์ จงึ ทรงตเิ ตยี น แลว้ บญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มภกิ ษชุ กั สอ่ื ใหช้ าย หญงิ เปน็ ผวั เมยี กนั ทรงปรบั อาบตั สิ งั ฆาทเิ สสแกผ่ ลู้ ว่ งละเมดิ . ตอ่ มาพระอุทายกี ่อเรอื่ งข้ึนอกี โดยพวกนักเลงขอรอ้ งใหไ้ ปตามหญิง แพศยามา เพอ่ื อยรู่ ว่ มกนั ชว่ั คราว มผี ตู้ เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั ิ สิกขาบทเพิ่มเติมว่า การชักสื่อเช่นนั้น แม้โดยที่สุด ทำกับหญิงแพศยา เพอ่ื สำเรจ็ ความประสงค์ ชว่ั ขณะหนง่ึ กต็ อ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส. องค์แห่งอาบัติ ๑.นำสัญจริตตะ (การชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน) ในผู้ใด ผู้นั้นเป็นชาติมนุษย์ ๒.เขาไมเ่ ปน็ ผวั เปน็ เมยี กนั อยกู่ อ่ น หรอื วา่ เปน็ แตว่ า่ หยา่ ขาดกนั แลว้ ๓.รบั คำเขา ๔.บอกตามเขาสง่ั ๕.กลบั มาบอกแกผ่ วู้ าน พรอ้ มดว้ ยองค์ ๕ ดงั น้ี จงึ เปน็ สงั ฆาทเิ สส (บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๓๘)
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๓๑ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๖ สญั ญาจกิ ายะ ปะนะ ภกิ ขนุ า กฏุ งิ การะยะมาเนนะ..... “อนึ่ง ภิกษุผู้จะสร้างกุฎีอันหาเจ้าของมิได้ เฉพาะตนเอง ด้วยอาการขอเอาเอง พึงสร้างให้ได้ประมาณ ประมาณในการ สรา้ งกฎุ นี น้ั ดงั น้ี โดยยาว ๑๒ คบื โดยกวา้ งในรว่ มใน ๗ คบื ดว้ ย คบื พระสคุ ต๑ พงึ นำภกิ ษทุ ง้ั หลายไปเพอ่ื แสดงท่ี ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั พงึ แสดงที่อันไม่มีผู้จองไว้ อันมีชานรอบ หากภิกษุสร้างกุฎีด้วย อาการขอเอาเอง ในที่อันมีผู้จองไว้ อันหาชานรอบมิได้ หรือไม่ นำภิกษุทั้งหลายไปเพื่อแสดงที่ หรือสร้างให้ล่วงประมาณเป็น สังฆาทิเสส.” วภิ งั ค์ บทว่า อันหาเจ้าของมิได้ คือ ไม่มีใครๆ อื่น ที่เป็นสตรีก็ตาม บรุ ษุ กต็ าม คฤหสั ถก์ ต็ าม บรรพชติ กต็ าม เปน็ เจา้ ของสรา้ งถวาย บทวา่ เฉพาะตนเอง คอื เพอ่ื ประโยชนส์ ว่ นตวั คำวา่ พงึ นำภกิ ษทุ ง้ั หลายไปเพอ่ื แสดงทน่ี น้ั มพี ระพทุ ธาธบิ ายไวว้ า่ ดงั น้ี ภกิ ษผุ จู้ ะสรา้ งกฎุ นี น้ั พงึ ใหแ้ ผว้ ถางพน้ื ทท่ี จ่ี ะสรา้ งกฎุ นี น้ั เสยี กอ่ น แลว้ เขา้ ไปหาสงฆห์ ม่ ผา้ อตุ ราสงคเ์ ฉวยี งบา่ กราบเทา้ ภกิ ษทุ ง้ั หลายผแู้ กพ่ รรษากวา่ แลว้ นง่ั กระโหยง่ ประนมมอื กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ทา่ นเจา้ ขา้ ขา้ พเจา้ ใครจ่ ะสรา้ งกฎุ อี นั หา เจา้ ของมไิ ด้ เฉพาะตนเอง ดว้ ยอาการขอเอาเอง ทา่ นเจา้ ขา้ ขา้ พเจา้ นน้ั ขอสงฆ์ ใหต้ รวจดพู น้ื ทท่ี จ่ี ะสรา้ งกฎุ ี พงึ ขอแมค้ รง้ั ทส่ี อง พงึ ขอแมค้ รง้ั ทส่ี าม ถา้ สงฆท์ ง้ั หมด จะอตุ สาหะไปตรวจดพู น้ื ทท่ี จ่ี ะสรา้ งกฎุ ไี ด้ กพ็ งึ ไปตรวจดดู ว้ ยกนั ทง้ั หมด ถา้ ไม่ อตุ สาหะในหมสู่ งฆน์ น้ั ภกิ ษเุ หลา่ ใดฉลาดสามารถจะรไู้ ดว้ ่าเปน็ สถานท่ีมผี จู้ องไว้ ๑ มาตราวดั ขนาดสง่ิ ของ อรรถกถาวา่ ๑ คบื พระสคุ ต เทา่ กบั ๓ คบื ของคนสณั ฐานปานกลาง. แตใ่ นบพุ พสกิ ขาวรรณา ใหค้ วามเหน็ วา่ ๑ คบื พระสคุ ต เทา่ กบั ๑๖ นว้ิ กบั ๒ อนกุ ระเบยี ดนว้ิ ชา่ งไมท้ กุ วนั น้ี (บพุ พสกิ ขาวรรณ หนา้ ๕๔๑ )
๓๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก หรือไม่เป็นสถานมีชานเดินได้รอบหรือไม่ สงฆ์พึงขอสมมติภิกษุเหล่านั้น ไปแทนสงฆ์ วิธีสมมติ ก็แลสงฆ์พึงสมมติอย่างนี้ คือ ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา อนาบัติ ๑.ภิกษุสร้างถ้ำ ๒.ภิกษุสร้างคูหา ๓.ภิกษุสร้างกุฎีหญ้า ๔.ภิกษุ สร้างกุฎีเพื่อภิกษุอื่น ๕.เว้นอาคารอันเป็นที่อยู่เสีย ภิกษุสร้างนอกจากนั้น ไมต่ อ้ งอาบตั ิ ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เวฬุวนาราม ใกล้กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้น ภกิ ษชุ าวแควน้ อาฬวใี หก้ อ่ กฎุ ที ห่ี าเจา้ ของมไิ ด้ เปน็ ของเฉพาะตน (เพอ่ื ประโยชน์ ของตนเอง) เปน็ กฏุ ไี มม่ ปี ระมาณ (ไมก่ ำหนดขนาดแนน่ อน) ดว้ ยการขอเอาเอง (โดยไม่มีผู้ปวารณาสร้างกุฎีถวาย) กุฎียังไม่เสร็จพวกเธอก็มากไปด้วยการขอ เชน่ ขอคน ขอแรงงาน ขอโค ขอเกวยี น ขอพรา้ ขอขวาน เปน็ ตน้ กอ่ ความ เดอื ดรอ้ นแกม่ นษุ ยเ์ ปน็ อนั มาก ถงึ กบั เหน็ ภกิ ษทุ ง้ั หลายเขา้ กพ็ ากนั หวาดกลวั บา้ ง สะดงุ้ กลวั บา้ ง หนบี า้ ง ไปทางอน่ื บา้ ง หนั หนา้ หนไี ปทางอน่ื บา้ ง ปดิ ประตบู า้ ง เหน็ โค สำคญั วา่ เปน็ ภกิ ษุ กพ็ ากนั หนบี า้ ง. ท่านพระมหากัสสปะจาริกไปสู่แคว้นอาฬวี พักที่อัคคาฬวีเจดีย์ ไปบณิ ฑบาตกพ็ บมนษุ ยท์ ง้ั หลายพากนั หวาดสะดงุ้ หลบหนี เมอ่ื กลบั มาถาม ภิกษุทั้งหลายทราบความแล้ว ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปสู่เมืองอาฬวี ก็กราบทูลให้ทรงทราบจึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ ตรัสเทศนาสั่งสอนไม่ให้ เปน็ ผมู้ กั ขอ ทรงเลา่ นทิ านประกอบถงึ ๓ เรอ่ื ง แลว้ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๓๓ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๗ มะหลั ละกมั ปะนะ ภกิ ขนุ า วหิ ารงั การะยะมาเนนะ..... “อนง่ึ ภกิ ษจุ ะใหส้ รา้ งวหิ ารใหญ่ อนั มเี จา้ ของเฉพาะตนเอง พึงนำภิกษุทั้งหลายไปเพื่อแสดงที่ ภิกษุเหล่านั้นพึงแสดงที่ อนั ไมม่ ผี จู้ องไว้ อนั มชี านรอบ หากภกิ ษใุ หส้ รา้ งวหิ ารใหญ่ ในท่ี อันมีผู้จองไว้ อันหาชานรอบมิได้ หรือไม่นำภิกษุทั้งหลายไป เพื่อแสดงที่ เป็นสังฆาทิเสส.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษสุ รา้ งถำ้ ๒.ภกิ ษสุ รา้ งคหู า ๓.ภกิ ษสุ รา้ งกฎุ หี ญา้ ๔.ภกิ ษสุ รา้ ง วหิ ารเพอ่ื ภกิ ษอุ น่ื ๕.เวน้ อาคารเปน็ ทอ่ี ยเู่ สยี ภกิ ษสุ รา้ งนอกจากนน้ั ไมต่ อ้ ง อาบตั ิ ๖.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๗.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ โฆสติ าราม กรงุ โกสมั พี ครง้ั นน้ั คหบดี ผู้เป็นอุปัฏฐาก (บำรุง) พระฉันนะ ขอให้พระฉันนะแสดงที่ให้ ตนจะสร้าง วหิ ารถวาย พระฉนั นะใหป้ ราบพน้ื ท่ี ใหต้ ดั ตน้ ไมท้ ช่ี าวเมอื งนบั ถอื วา่ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ เป็นการก่อความสะเทือนใจ มนุษย์ทั้งหลายจึงพากันติเตียน ความทราบถึง พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงตเิ ตยี นและทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษจุ ะใหท้ ำวหิ ารใหญ่ อนั มีเจา้ ของ เฉพาะตนเอง พงึ นำภกิ ษทุ ง้ั หลายไปเพอ่ื แสดงท่ี ภิกษุเหล่านั้น พงึ แสดงทอ่ี นั ไมม่ ผี จู้ องไว้ อนั มชี านรอบ หากภกิ ษใุ หท้ ำวหิ ารใหญใ่ นทม่ี ผี จู้ องไว้ หาชานรอบมไิ ด้ หรอื ไมน่ ำภกิ ษทุ ง้ั หลายไปแสดงท่ี ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส.
๓๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๘ โย ปะนะ ภิกขุ ภิกขงุ ทุฏโฐ โทโส อัปปะตีโต อะมูละเกนะ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด ขดั ใจ มโี ทสะ ไมแ่ ชม่ ชน่ื ตามกำจดั ซง่ึ ภกิ ษุ ดว้ ยธรรมมโี ทษถงึ ปาราชกิ อนั หามลู มไิ ด้ ดว้ ยหมายวา่ แมไ้ ฉนเรา จะยงั เธอใหเ้ คลอ่ื นจากพรหมจรรยน์ ไ้ี ด้ ครน้ั สมยั อน่ื แตน่ น้ั อนั ผใู้ ด ผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตามก็ตาม แต่อธิกรณ์นั้น เปน็ เรื่องหามูลมไิ ด้ แลภกิ ษุยันองิ โทสะอยู่ เป็นสังฆาทิเสส.” อนาบัติ ๑.ภิกษุจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ภิกษุโจทมีความเห็นว่าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ๒.ภกิ ษจุ ำเลยเปน็ ผไู้ มบ่ รสิ ทุ ธ์ิ ภกิ ษโุ จทกม์ คี วามเหน็ วา่ เปน็ ผไู้ มบ่ รสิ ทุ ธ์ิ ๓.ภกิ ษุ วกิ ลจรติ ๔.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรอ่ื งตน้ บญั ญตั ิ พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ เวฬวุ นาราม ใกลก้ รงุ ราชคฤห์ สมยั นน้ั พระทัพพมัลลบุตร (ผู้เป็นบุตรแห่งมัลลกษัตริย์) ได้บรรลุพระอรหัตตผล ตั้งแต่ อายุ ๗ ขวบไม่มีกิจอื่นที่จะต้องทำอีก. ต่อมาท่านปรารถนาจะทำประโยชน์ แก่คณะสงฆ์ โดยเป็นผู้จัดเสนาสนะ (เสนาสนคาหาปกะ มีหน้าที่จัดที่พักให้ ภิกษุผู้ต้องการเสนาสนะ) และเป็นผู้แจกภัตต์ (ภัตตุทเทสกะ มีหน้าที่ เช่น จัดภิกษุ ไปฉันในที่นิมนต์ ในเมื่อมีทายกมาขอพระต่อสงฆ์ หรือ แจกอาหารให้สงฆ์) จึงกราบทูลความดำริของท่านแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคประทาน สาธกุ าร และทรงแสดงความเหน็ ชอบดว้ ยทจ่ี ะใหท้ า่ นทพั พมลั ลบตุ รทำหนา้ ท่ี ทง้ั สองนน้ั .
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๓๕ จึงตรัสเรียกประชุมสงฆ์ ให้สงฆ์เชิญพระทัพพมัลลบุตรก่อนแล้ว ใหภ้ กิ ษรุ ปู หนง่ึ สวดประกาศขอความเหน็ ชอบในการสมมติ พระทพั พมลั ลบตุ ร เปน็ ผแู้ จกเสนาสนะและแจกภตั ต์ เมอ่ื ไมม่ ผี ใู้ ดคดั คา้ น จงึ เปน็ อนั สงฆไ์ ด้ สมมติ (หรอื แตง่ ตง้ั ) แลว้ . พระทพั พมลั ลบตุ รทำหนา้ ทม่ี าดว้ ยดี ครง้ั หนง่ึ ถกู ภกิ ษพุ วกพระเมตตยิ ะ และภุมมชกะ (สองรูปนี้เป็นหัวหน้าของกลุ่มภิกษุผู้มักก่อเรื่องเสียหาย) เข้าใจผิดหาว่าท่านไปแนะนำคหบดีผู้หนึ่ง มิให้ถวายอาหารดี ๆ แก่พวกตน ซง่ึ ความจรงิ คฤหบดผี นู้ น้ั ไมเ่ ลอ่ื มใส และรงั เกยี จดว้ ยตนเอง จงึ ใชน้ างเมตตยิ า ภิกษุณีให้เป็นโจทฟ้องพระทัพพมัลลบุตร ในข้อหาต้องอาบัติปาราชิก เพราะข่มขืนนาง. พระพทุ ธเจา้ ทรงไตส่ วน ไดค้ วามวา่ เปน็ การแกลง้ ใสค่ วาม จงึ ใหภ้ กิ ษุ ทง้ั หลายสกึ นางเมตตยิ าภกิ ษณุ ี พวกภกิ ษผุ ใู้ ชอ้ อกรบั สารภาพ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาค ทรงติเตียนหมู่ภิกษุผู้คิดร้ายใส่ความฟ้อง พระทัพพมัลลบุตร ด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท ปรบั อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส แกภ่ กิ ษผุ ปู้ ระพฤตเิ ชน่ นน้ั . องค์แห่งอาบัติ ๑.โจทเอง หรือให้ผู้อื่นโจทซึ่งผู้ใด ผู้นั้นถึงซึ่งนับว่าเป็นอุปสัมบัน ๒. สำคัญว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ๓.โจทด้วยปาราชิกใด ปาราชิกนั้นไม่มีมูลด้วยความเห็นเป็นต้น ๔.โจทเองหรือให้ผู้อื่นโจทในที่ต่อหน้า ด้วยอธิบาย จะใหเ้ คลอ่ื นจาก พรหมจรรย์ ๕.ผตู้ อ้ งโจทในขณะนน้ั พรอ้ มดว้ ยองค์ ๕ ดงั น้ี จงึ เปน็ สงั ฆาทเิ สส (บพุ พสกิ ขาฯ หนา้ ๑๔๑).
๓๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๙ โย ปะนะ ภกิ ขุ ภกิ ขุง ทฎุ โฐ โทโส อปั ปะตีโต อัญญะภาคิยสั สะ..... “อนึ่ง ภิกษุใด ขัดใจ มีโทสะ ไม่แช่มชื่น ถือเอาเอกเทศ บางแหง่ แหง่ อธกิ รณอ์ นั เปน็ เรอ่ื งอน่ื ใหเ้ ปน็ เพยี งเลศ ตามกำจดั ซึ่งภิกษุ ด้วยธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก ด้วยหมายว่า แม้ไฉน เราจักยังเธอให้เคลื่อนจากพรหมจรรย์นี้ได้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น อนั ผใู้ ดผหู้ นง่ึ ถอื เอาตามกต็ าม ไมถ่ อื เอาตามกต็ าม แตอ่ ธกิ รณ์ นั้นเป็นเรื่องอื่นแท้ เอกเทศบางแห่ง เธอถือเอาพอเป็นเลศ๑ แลภกิ ษุ ยนั องิ โทสะอยู่ เปน็ สงั ฆาทเิ สส.” อนาบัติ ๑.ภิกษุผู้สำคัญเป็นอย่างนั้นโจทเองก็ดี สั่งให้ผู้อื่นโจทก็ดี ๒.ภิกษุ วกิ ลจรติ ๓.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ๔.ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ ภิกษุพวกพระเมตติยะและ ภุมมชกะ (ชุดเดียวกับสิกขาบท ที่แล้ว) แกลง้ หาเลศโจทพระทพั พมลั ลบตุ ร ดว้ ยอาบตั ปิ าราชกิ ไมม่ มี ลู คอื เหน็ แพะตวั ผู้ กับตัวเมียกำลังสืบพันธุ์กัน ก็นัดกันตั้งชื่อแพะตัวผู้ว่า พระทัพพมัลลบุตร ตั้งชื่อแพะตัวเมียว่า เมตติยาภิกษุณี แล้วเที่ยวพูดว่าตนได้เห็น พระทพั พมลั ลบตุ รเสพเมถนุ กบั นางเมตตยิ าภกิ ษณุ ี ดว้ ยตาตนเอง. ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ ทรงไต่สวน พระทพั พมลั ลบตุ ร ไดค้ วามวา่ เปน็ การอา้ งเลส ใสค่ วาม จงึ มอบใหส้ งฆจ์ ดั การ ไตส่ วนภกิ ษพุ วกทอ่ี า้ งเลสใสค่ วาม เมอ่ื พวกเธอรบั เปน็ สตั ย์ จงึ ทรงตเิ ตยี นแลว้ บญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มอา้ งเลศใสค่ วามภกิ ษดุ ว้ ยอาบตั ปิ าราชกิ ไมม่ มี ลู ทรงปรบั อาบัติสังฆาทิเสสแก่ผู้ล่วงละเมิด. ๑ เลศ คอื ขอ้ อา้ ง,เรอ่ื งเลก็ ๆนอ้ ยๆ,เลศนยั กริ ยิ าอาการทจ่ี ะยกขน้ึ เปน็ ขอ้ อา้ งใสค่ วามได(้ พระไตรปฎิ ก มจร. ๑/๔๓๑/๓๙๑)
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๓๗ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๐ โย ปะนะ ภกิ ขุ สะมคั คสั สะ สงั ฆสั สะ เภทายะ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ด ตะเกยี กตะกายเพอ่ื ทำลายสงฆผ์ พู้ รอ้ มเพรยี ง หรือถือเอาอธิกรณ์อันเป็นเหตุแตกกัน ยกย่องยันอยู่ ภิกษุนั้น อนั ภกิ ษทุ ง้ั หลายพงึ วา่ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ทา่ นอยา่ ไดต้ ะเกยี กตะกาย เพื่อทำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียง หรืออย่าได้ถือเอาอธิกรณ์อันเป็น เหตแุ ตกกนั ยกยอ่ งยนั อยู่ ขอทา่ นจงพรอ้ มเพรยี งดว้ ยสงฆ์ เพราะ วา่ สงฆผ์ พู้ รอ้ มเพรยี งกนั ปรองดองกนั ไมว่ วิ าทกนั มอี เุ ทศเดยี วกนั ย่อมอยู่ผาสุก แลภิกษุนั้น อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ยังยกย่องอยู่อย่างนั้นเทียว ภิกษุนั้น อันภิกษุทั้งหลาย พึงสวด สมนภุ าสน๑์ กวา่ จะครบสามจบเพอ่ื ใหส้ ละกรรมนน้ั เสยี หากเธอถกู สวดสมนุภาสน์กว่าจะครบสามจบอยู่ สละกรรมนั้นเสีย สละได้ อยา่ งน้ี นน่ั เปน็ การดี หากเธอไมส่ ละเสยี เปน็ สงั ฆาทเิ สส.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษผุ ยู้ งั ไมถ่ กู สวดสมนภุ าสน์ ๒.ภกิ ษผุ สู้ ละเสยี ได้ ๓.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๔.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ เมอ่ื พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ เวฬวุ นาราม พระเทวทตั ไดเ้ ขา้ ไปหา พระโกกาลิกะ พระกฏโมรกติสสกะ พระขัณฑเทวบุตรี และพระสมุทรทัต ชักชวนให้ทำสงฆ์ให้แตกกัน พร้อมทั้งบอกแผนการที่จะเสนอไปในทาง ให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น ๕ ข้อ ซึ่งเข้าใจว่า พระผู้มีพระภาค คงไม่ทรงอนุญาต และตนจะไดน้ ำขอ้ เสนอนน้ั ประกาศแกม่ หาชน. ขอ้ เสนอ ๕ ขอ้ คอื :- ๑สวดสมนภุ าสน์ คอื สงฆต์ ง้ั แต่ ๔ รปู ขน้ึ ไปสวดประกาศหา้ มภกิ ษไุ มใ่ หถ้ อื รน้ั การอนั มชิ อบ (พระไตรปฎิ ก ๑/๔๔๖/๔๑๒)
๓๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๑.ภกิ ษพุ งึ อยปู่ า่ ตลอดชวี ติ เขา้ ละแวกบา้ นตอ้ งมโี ทษ. ๒.ภิกษุพึงถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต. ผู้ใดรับนิมนต์ (ไปฉัน ตามบา้ น) ตอ้ งมโี ทษ. ๓.ภกิ ษพุ งึ ใชผ้ า้ บงั สกุ ลุ ๑จนตลอดชวี ติ ผใู้ ดรบั คหบดจี วี ร (ผา้ ทเ่ี ขาถวาย) ต้องมีโทษ. ๔.ภกิ ษพุ งึ อยโู่ คนไม้ จนตลอดชวี ติ ผใู้ ดเขา้ สทู่ ม่ี งุ (ทม่ี หี ลงั คา) ตอ้ งมโี ทษ. ๕.ภกิ ษไุ มพ่ งึ ฉนั ปลาและเนอ้ื ผใู้ ดฉนั ตอ้ งมโี ทษ. ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั จงึ เขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาค กราบทลู ขอ้ เสนอทง้ั ๕ ขอ้ นน้ั . พระผมู้ พี ระภาคตรสั หา้ มวา่ “อยา่ เลย เทวทตั ภกิ ษใุ ดปรารถนากจ็ ง อยปู่ า่ ภกิ ษใุ ดปรารถนากจ็ งอยบู่ า้ น ภกิ ษใุ ดปรารถนากจ็ งเทย่ี วบณิ ฑบาต ภกิ ษใุ ด ปรารถนากจ็ งยนิ ดกี ารนมิ นต์ ภกิ ษใุ ดปรารถนากจ็ งถอื ผา้ บงั สกุ ลุ ภกิ ษใุ ดปรารถนากจ็ งยนิ ดผี า้ คหบดี ดกู อ่ นเทวทตั เราอนญุ าตรกุ ขมลู เสนาสนะตลอด ๘ เดือนเท่านั้น เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์ ดว้ ยอาการ ๓ อยา่ ง คอื ๑. ไมไ่ ดเ้ หน็ ๒. ไมไ่ ดย้ นิ ๓. ไมไ่ ดร้ งั เกยี จ.” พระเทวทตั ดใี จ จงึ เทย่ี วประกาศ ใหเ้ หน็ วา่ พระผมู้ พี ระภาคไมท่ รงอนญุ าต ข้อเสนอที่ดีของตน ทำให้คนที่มีปัญญาทรามบางคนเห็นว่า พระสมณโคดม เปน็ ผมู้ กั มาก แตค่ นทเ่ี ขา้ ใจเรอ่ื งดี กลบั ตเิ ตยี นพระเทวทตั ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงเรยี กประชมุ สงฆ์ ทรงไตส่ วน พระเทวทัตรับเป็นสัตย์ แล้วจึงทรงติเตียนและบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุ พากเพยี รทำสงฆใ์ หแ้ ตกกนั เมอ่ื ภกิ ษอุ น่ื หา้ มปรามไมเ่ ชอ่ื ฟงั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พงึ สวดประกาศ (เปน็ การสงฆ)์ เพอ่ื ใหเ้ ธอเลกิ เรอ่ื งนน้ั เสยี ถา้ สวดประกาศครบ ๓ ครง้ั ยงั ไมล่ ะเลกิ ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส. ๑ ผา้ เปอ้ื นฝนุ่ คอื ผา้ หอ่ ศพ หรอื เศษผา้ ทเ่ี ขาทง้ิ ตามกองขยะบา้ ง ตามทต่ี า่ ง ๆ บา้ ง นำมาซกั และปะตดิ ปะตอ่ เปน็ จวี ร
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๓๙ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๑ ตสั เสวะ โข ปะนะ ภกิ ขสุ สะ ภกิ ขู โหนติ อะนวุ ตั ตะกา..... “อนง่ึ มภี กิ ษผุ ปู้ ระพฤตติ าม ผพู้ ดู เขา้ กนั ของภกิ ษนุ น้ั แล ๑ รปู บา้ ง ๒ รปู บา้ ง ๓ รปู บา้ ง เธอทง้ั หลายกลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ขอทา่ น ทง้ั หลายอยา่ ไดก้ ลา่ วคำอะไรๆ ตอ่ ภกิ ษนุ น่ั ภกิ ษนุ น่ั กลา่ วถกู ธรรม ด้วย ภิกษุนั่นกล่าวถูกวินัยด้วย ภิกษุนั่นถือเอาความพอใจและ ความชอบใจของพวกข้าพเจ้ากล่าวด้วย เธอทราบความพอใจ และความชอบใจของพวกข้าพเจ้าจึงกล่าว คำที่เธอกล่าวนั่น ยอ่ มควรแมแ้ กพ่ วกขา้ พเจา้ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั อนั ภกิ ษทุ ง้ั หลายพงึ วา่ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ทา่ น ทั้งหลายอย่าได้กล่าวอย่างนั้น ภิกษุนั่นหาใช่ผู้กล่าวถูกธรรมไม่ ดว้ ย ภกิ ษนุ น่ั หาใชผ่ กู้ ลา่ วถกู วนิ ยั ไมด่ ว้ ย ความทำลายสงฆอ์ ยา่ ได้ ชอบแมแ้ กพ่ วกทา่ น ขอพวกทา่ นจงพรอ้ มเพรยี งดว้ ยสงฆ์ เพราะ วา่ สงฆผ์ พู้ รอ้ มเพรยี งกนั ปรองดองกนั ไมว่ วิ าทกนั มอี เุ ทศเดยี วกนั ยอ่ มอยผู่ าสกุ แลภกิ ษเุ หลา่ นน้ั อนั ภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ กลา่ วอยอู่ ยา่ ง น้ี ยงั ยกยอ่ งอยอู่ ยา่ งนน้ั เทยี ว ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั อนั ภกิ ษทุ ง้ั หลายพงึ สวดสมนุภาสน์กว่าจะครบสามจบ เพื่อให้สละกรรมนั้นเสีย หาก เธอทั้งหลายถูกสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบสามจบอยู่ สละกรรม นั้นเสีย สละได้อย่างนี้นั่นเป็นการดี หากเธอทั้งหลายไม่สละเสีย เป็นสังฆาทิเสส.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษผุ ยู้ งั ไมถ่ กู สวดสมนภุ าสน์ ๒.ภกิ ษผุ สู้ ละเสยี ได้ ๓.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๔.ภกิ ษผุ มู้ จี ติ ฟงุ้ ซา่ น ๕.ภกิ ษผุ กู้ ระสบั กระสา่ ยเพราะเวทนา ๖.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล.
๔๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรื่องต้นบัญญัติ เนื่องมาจากสิกขาบทที่ ๑๐ คือ ภิกษุโกกาลิกะ เป็นต้น สนับสนุน พระเทวทตั วา่ ไมค่ วรตเิ ตยี นพระเทวทตั ซง่ึ พดู เปน็ ธรรม เปน็ วนิ ยั ตอ้ งดว้ ย ความพอใจของตน. ภิกษุทั้งหลายพากันติเตียนภิกษุพวกที่สนับสนุน ภิกษุ ผพู้ ากเพยี รทำสงฆใ์ หแ้ ตกกนั นน้ั . ความทราบถึงพระพุทธเจ้าจึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ สอบถามได้ ความจริงแล้วจึงทรงติเตียน และทรงบัญญัติสิกขาบทข้างต้น โดยถ้าเตือน (สวดประกาศเปน็ การสงฆ)์ ครบ ๓ ครง้ั แลว้ ยงั ไมล่ ะเลกิ ความประพฤตเิ ชน่ นน้ั ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๔๑ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๒ ภกิ ขุ ปะเนวะ ทพุ พะจะชาตโิ ก โหต,ิ อทุ เทสะปะรยิ าปนั เนส.ุ .... “อนง่ึ ภกิ ษเุ ปน็ ผมู้ สี ญั ชาตแิ หง่ คนวา่ ยาก อนั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ว่ากล่าวอยู่ ถูกทางธรรม ในสิกขาบททั้งหลายอันเนื่องในอุเทศ ทำตนใหเ้ ปน็ ผอู้ นั ใครๆ วา่ กลา่ วไมไ่ ด้ ดว้ ยกลา่ วโตว้ า่ พวกทา่ น อย่าได้กล่าวอะไรต่อเรา เป็นคำดีก็ตาม เป็นคำชั่วก็ตาม แม้เรา ก็จักไม่กล่าวอะไรๆ ต่อพวกท่านเหมือนกัน เป็นคำดีก็ตาม เป็นคำชั่วก็ตาม ขอพวกทา่ นจงเวน้ จากการวา่ กลา่ วเราเสยี ภกิ ษนุ น้ั อนั ภกิ ษทุ ง้ั หลายพงึ วา่ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ทา่ นอยา่ ได้ ทำตนใหเ้ ปน็ ผอู้ นั ใครๆ วา่ กลา่ วไมไ่ ด้ ขอทา่ นจงทำตนใหเ้ ขาวา่ กล่าวได้แล แม้ท่านก็จงว่ากล่าวภิกษุทั้งหลายโดยชอบธรรม แม้ ภกิ ษทุ ง้ั หลายกจ็ กั วา่ กลา่ ว ทา่ นโดยชอบธรรม เพราะวา่ บรษิ ทั ของ พระผมู้ พี ระภาคนน้ั เจรญิ แลว้ ดว้ ยอาการอยา่ งน้ี คอื ดว้ ยวา่ กลา่ ว ซง่ึ กนั และกนั ดว้ ยเตอื นกนั และกนั ใหอ้ อกจากอาบตั ิ แลภกิ ษนุ น้ั อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ยังยกย่องอยู่อย่างนั้นเทียว ภิกษุนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบสามจบ เพื่อให้สละกรรมนั้นเสีย หากเธอถูกสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบ สามจบอยู่ สละกรรมนน้ั เสยี สละไดอ้ ยา่ งน้ี นน่ั เปน็ การดี หากเธอ ไม่สละเสีย เป็นสังฆาทิเสส.” อนาบัติ ๑.ภกิ ษผุ ยู้ งั ไมถ่ กู สวดสมนภุ าสน์ ๒.ภกิ ษผุ สู้ ละเสยี ได้ ๓.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๔.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล.
๔๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรื่องต้นบัญญัติ พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ โฆสติ าราม ใกลก้ รงุ โกสมั พ.ี สมัยนั้น พระฉันนะ๑ประพฤติอนาจาร (ความประพฤติอันไม่สมควร) ภิกษุทั้งหลาย วา่ กลา่ ว กลบั วา่ ตเิ ตยี น ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ พากนั ตเิ ตยี น ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค ทรงเรยี กประชมุ สงฆ์ ไตส่ วนไดค้ วาม เปน็ สตั ยแ์ ลว้ จงึ ทรงตเิ ตยี น และทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทหา้ มทำตนเปน็ ผวู้ า่ ยาก ถา้ ไมเ่ ชอ่ื ฟงั ภกิ ษทุ ง้ั หลายสวดประกาศตกั เตอื น (เปน็ การสงฆ)์ ถา้ ครบ ๓ ครง้ั ยงั ไมเ่ ลกิ ความประพฤตเิ ชน่ นน้ั ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส. สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๓ ภกิ ขุ ปะเนวะ อญั ญะตะรัง คามงั วา นิคะมงั วา..... “อนง่ึ ภกิ ษเุ ขา้ ไปอาศยั บา้ นกด็ ี นคิ มกด็ ี แหง่ ใดแหง่ หนง่ึ อยู่ เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความ ประพฤติเลวทรามของเธอ เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกลุ ทง้ั หลายอนั เธอประทษุ รา้ ยแลว้ เขาไดเ้ หน็ อยดู่ ว้ ย เขาได้ ยินอยู่ด้วย ภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลาย พึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่าน เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติ เลวทรามของท่านเขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุล ทง้ั หลายอนั ทา่ นประทษุ รา้ ยแลว้ เขาไดเ้ หน็ อยดู่ ว้ ย เขาไดย้ นิ อยู่ ดว้ ย ทา่ นจงหลกี ไปเสยี จากอาวาสน้ี ทา่ นอยา่ อยใู่ นทน่ี ้ี และภกิ ษุ นน้ั อนั ภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ กลา่ วอยอู่ ยา่ งน้ี พงึ กลา่ วกบั ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั อย่างนี้ว่า พวกภิกษุถึงความพอใจด้วย ถึงความขัดเคืองด้วย ถึงความหลงด้วย ถึงความกลัวด้วย ย่อมขับภิกษุบางรูป ย่อม ไม่ขับภิกษุบางรูป เพราะอาบัติเช่นเดียวกัน ภิกษุนั้น อันภิกษุ ทง้ั หลายพงึ วา่ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ทา่ นอยา่ ไดก้ ลา่ วอยา่ งนน้ั ๑ พระฉนั นะ เคยเปน็ สารถขี องเจา้ ชายสทิ ธตั ถะในวนั เสดจ็ ออกบรรพชา ตอ่ มาเมอ่ื บวชเปน็ ภกิ ษถุ อื ตวั วา่ เปน็ คนใกลช้ ดิ พระพทุ ธเจา้ ใครวา่ กลา่ วกไ็ มย่ อมเชอ่ื ฟงั (พระไตรปฎิ กแปลไทย มจร. ๑/๔๕๔/๔๒๔)
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๔๓ ภิกษุทั้งหลาย หาได้ถึงความพอใจไม่ หาได้ถึงความขัดเคืองไม่ หาได้ถึงความหลงไม่ หาได้ถึงความกลัวไม่ ท่านเองแลเป็นผู้ ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติ เลวทรามของท่าน เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลาย อันท่านประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาไดย้ นิ อยดู่ ว้ ย ทา่ นจงหลกี ไปเสยี จากอาวาสน้ี ทา่ นอยา่ อยใู่ น ที่นี้ และภิกษุนั้น อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ยังยกย่อง อยู่อย่างนั้นเทียว ภิกษุนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงสวดสมนุภาสน์ กว่าจะครบสามจบ เพื่อให้สละกรรมนั้นเสียหากเธอถูกสวด สมนภุ าสนก์ วา่ จะครบสามจบอยู่ สละกรรมนน้ั เสยี สละไดอ้ ยา่ งน้ี นน่ั เปน็ การดี หากเธอไมส่ ละเสยี เปน็ สงั ฆาทเิ สส.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ สกลุ หมายสกลุ ๔ คอื สกลุ กษตั รยิ ์ สกลุ พราหมณ์ สกลุ แพศย์ สกลุ ศทู ร บทวา่ เปน็ ผปู้ ระทษุ รา้ ยสกลุ คอื ประจบสกลุ ดว้ ยดอกไมก้ ด็ ี ผลไมก้ ด็ ี แปง้ กด็ ี ดนิ กด็ ี ไมส้ ฟี นั กด็ ี ไมไ้ ผก่ ด็ ี การแพทยก์ ด็ ี การสอ่ื สารกด็ ี บทวา่ มคี วามประพฤตเิ ลวทราม คอื ปลกู ไมด้ อกเองบา้ ง ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื ปลกู บา้ ง รดนำ้ เองบา้ ง ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื รดบา้ ง เกบ็ ดอกไมเ้ องบา้ ง ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื เกบ็ บา้ ง รอ้ ยกรองดอกไมเ้ องบา้ ง ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื รอ้ ยกรองบา้ ง. อนาบัติ ๑.ภกิ ษผุ ยู้ งั ไมถ่ กู สวดสมนภุ าสน์ ๒.ภกิ ษผุ สู้ ละเสยี ได้ ๓.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๔.ภกิ ษมุ จี ติ ฟงุ้ ซา่ น ๕.ภกิ ษผุ กู้ ระสบั กระสา่ ยเพราะเวทนา ๖.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไม่ต้องอาบัติแล.
๔๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก เรื่องต้นบัญญัติ พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุที่ชื่อว่าเป็นพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะ เป็นภิกษุเจ้าถิ่น อยู่ในชนบท ชื่อว่า กิฎาคิรี เป็นพระอลัชชี (ไม่ละอาย) ภิกษุเหล่านั้น ประพฤตอิ นาจาร มปี ระการตา่ งๆ เชน่ การประจบคฤหสั ถ์ ทำสง่ิ ตา่ งๆใหเ้ ขา เล่นซนต่างๆ. มีภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาในแคว้นกาสี ผ่านมาพัก ณ ชนบทนั้น เพอ่ื จะเดนิ ทางไปกรงุ สาวตั ถี เพอ่ื เขา้ เฝา้ พระพทุ ธเจา้ ภกิ ษนุ น้ั เขา้ ไปบณิ ฑบาต ในหมบู่ า้ นดว้ ยอาการสำรวม แตม่ นษุ ยท์ ง้ั หลายไมช่ อบ เพราะไมแ่ สดงอาการ ประจบประแจงเหมือนภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ จึงไม่ถวาย อาหาร. แตอ่ บุ าสกผหู้ นง่ึ (เปน็ ผเู้ ขา้ ใจพระธรรมวนิ ยั ถกู ตอ้ ง) เหน็ เขา้ จงึ นมิ นต์ ภกิ ษนุ น้ั ไปฉนั ทบ่ี า้ นของตน และขอใหท้ า่ นไปกราบทลู พระพทุ ธเจา้ วา่ ภกิ ษุ พวกพระอสั สชิ และปนุ พั พสกุ ะ ประพฤตติ นไมส่ มควรตา่ ง ๆ ความทราบถงึ พระพทุ ธเจา้ ทรงตเิ ตยี นวา่ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไมเ่ หมาะ ไมส่ ม ไมค่ วร ไมใ่ ชก่ จิ ของสมณะ ใชไ้ มไ่ ด้ ไมค่ วรทำ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้น จึงได้ประพฤติ อนาจารเห็นปานนี้ คือ ปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง รดน้ำเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นรดบ้าง เก็บดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นเก็บบ้าง รอ้ ยกรองดอกไมเ้ องบา้ ง ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื รอ้ ยกรองบา้ ง ทำมาลยั ตอ่ กา้ นเองบา้ ง ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื ทำบา้ ง ทำมาลยั เรยี งกา้ นเองบา้ ง ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื ทำบา้ ง ทำดอกไม้ ช่อเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้พุ่มเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไมเ้ ทรดิ เองบา้ ง ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื ทำบา้ ง ทำดอกไมพ้ วงเองบา้ ง ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื ทำบา้ ง ทำดอกไมแ้ ผงสำหรบั ประดบั อกเองบา้ ง ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื ทำบา้ ง พวกเธอนำไปเองบา้ ง ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื นำไปบา้ ง ซง่ึ มาลยั ตอ่ กา้ น นำไป เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งมาลัยเรียงก้าน นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่น
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๔๕ นำไปบา้ ง ซง่ึ ดอกไมช้ อ่ นำไปเองบา้ งใชใ้ หผ้ อู้ น่ื นำไปบา้ ง ซง่ึ ดอกไมพ้ มุ่ นำไปเองบ้างใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้เทริด นำไปเองบ้าง ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื นำไปบา้ ง ซง่ึ ดอกไมพ้ วง นำไปเองบา้ งใชใ้ หผ้ อู้ น่ื นำไปบา้ ง ซง่ึ ดอกไมแ้ ผง สำหรบั ประดบั อก เพอ่ื กลุ สตรี เพอ่ื กลุ ธดิ า เพอ่ื กลุ กมุ ารี เพอ่ื สะใภแ้ หง่ สกลุ เพอ่ื กลุ ทาสี พวกเธอฉันอาหารในภาชนะอันเดียวกันบ้าง ดื่มน้ำในขัน ใบเดยี วกนั บา้ ง นง่ั บนอาสนะอนั เดยี วกนั บา้ ง นอนบนเตยี งอนั เดยี ว กนั บา้ ง นอนรว่ มเครอ่ื งลาดอนั เดยี วกนั บา้ ง นอนคลมุ ผา้ หม่ ผนื เดยี วกนั บา้ ง นอนรว่ มเครอ่ื งลาด และคลมุ ผา้ หม่ รว่ มกนั บา้ ง กบั กลุ สตรี กลุ ธดิ า กลุ กมุ ารี สะใภแ้ หง่ สกลุ กบั กลุ ทาสี ฉนั อาหารในเวลาวกิ าลบา้ ง ดม่ื นำ้ เมาบา้ ง ทดั ทรงดอกไมข้ อง หอมและเครื่องลูบไล้บ้าง ฟ้อนรำบ้าง ขับร้องบ้าง ประโคมบ้าง เต้นรำบ้าง ฟ้อนรำกับหญิงฟ้อนรำบ้าง ขับร้องกับหญิงฟ้อนรำบ้าง ประโคมกบั หญงิ ฟอ้ นรำบา้ ง เตน้ รำกบั หญงิ ฟอ้ นรำบา้ ง ฟอ้ นรำกบั หญงิ ขับร้องบ้าง ขับร้องกับหญิงขับร้องบ้าง ประโคมกับหญิงขับร้องบ้าง เตน้ รำกบั หญงิ ขบั รอ้ งบา้ ง ฟอ้ นรำกบั หญงิ ประโคมบา้ ง ขบั รอ้ งกบั หญงิ ประโคมบ้าง ประโคมกับหญิงประโคมบ้าง เต้นรำกับหญิงประโคมบ้าง ฟอ้ นรำกบั หญงิ เตน้ รำบา้ ง ขบั รอ้ งกบั หญงิ เตน้ รำบา้ ง ประโคมกบั หญงิ เตน้ รำบา้ ง เตน้ รำกบั หญงิ เตน้ รำบา้ ง เลน่ หมากรกุ แถวละแปดตาบา้ ง เล่นหมากรุกแถวละสิบตาบ้าง เล่นหมากเก็บบ้าง เล่นชิงนางบ้าง เล่นหมากไหวบ้าง เล่นโยนห่วงบ้าง เล่นไม้หึ่งบ้าง เล่นฟาดให้เป็น รูปต่างๆ บ้าง เล่นสะกาบ้าง เล่นเป่าใบไม้บ้าง เล่นไถน้อยๆ บ้าง เล่นหกคะเมนบ้าง เล่นไม้กังหันบ้าง เล่นตวงทรายด้วยใบไม้บ้าง เลน่ รถนอ้ ยๆ บา้ ง เลน่ ธนนู อ้ ยๆ บา้ ง เลน่ เขยี นทายบา้ ง เลน่ ทายใจบา้ ง เลน่ เลยี นคนพกิ ารบา้ ง หดั ขช่ี า้ งบา้ ง หดั ขม่ี า้ บา้ ง หดั ขร่ี ถบา้ ง หดั ยงิ ธนบู า้ ง หดั เพลงอาวธุ บา้ ง วง่ิ ผลดั ชา้ งบา้ ง วง่ิ ผลดั มา้ บา้ ง วง่ิ ผลดั รถบา้ ง วิ่งขับกันบ้าง วิ่งเปรี้ยวกันบ้าง ผิวปากบ้าง ปรบมือบ้าง ปล้ำกันบ้าง
๔๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ชกมวยกนั บา้ ง ปลู าดผา้ สงั ฆาฏิ ณ กลางสถานเตน้ รำ แลว้ พดู กบั หญงิ ฟอ้ นรำอยา่ งนว้ี า่ นอ้ งหญงิ เธอจงฟอ้ นรำ ณ ทน่ี ด้ี งั นบ้ี า้ ง ใหก้ ารคำนบั บา้ ง ประพฤตอิ นาจารมอี ยา่ งตา่ งๆ บา้ งเลา่ .” ทรงรับสั่งให้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ พาหมู่ภิกษุไปทำ ปพั พาชนยี กรรม (การลงโทษโดยสงฆใ์ หป้ ระพฤตวิ ตั ร และไลใ่ หอ้ อกจากทน่ี น้ั ) แกพ่ วกภกิ ษหุ มนู่ น้ั (ซง่ึ เปน็ สทั ธวิ หิ ารรกิ ของพระอคั รสาวกทง้ั สอง) แต่ภิกษุพวกนั้นสงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแล้ว ยังไม่ประพฤติชอบ หายเยอ่ หยง่ิ ไมป่ ระพฤตกิ ลบั ตวั ไมข่ อขมาภกิ ษทุ ง้ั หลาย ยงั ดา่ วา่ การกสงฆ์ (สงฆ์ผู้ดำเนินการในกิจตามพระธรรมวินัย) เที่ยวใส่ความว่าการกสงฆ์ลำเอียง บรวิ ารของภกิ ษนุ น้ั บางพวกหลกี ไปเสยี กม็ ี บางพวกสกึ เสยี กม็ .ี พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบความนน้ั ทรงรบั สง่ั ใหป้ ระชมุ สงฆบ์ ญั ญตั ิ สกิ ขาบท มใี จความวา่ ภกิ ษปุ ระทษุ รา้ ยสกลุ มคี วามประพฤตเิ ลวทราม เปน็ ท่ี รเู้ หน็ ทว่ั ไป ภกิ ษทุ ง้ั หลายพงึ ขบั เสยี จากทน่ี น้ั ถา้ เธอกลบั วา่ ตเิ ตยี น ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พงึ สวดประกาศ (เปน็ การสงฆ)์ ใหเ้ ธอละเลกิ ถา้ สวดครบ ๓ ครง้ั ยงั ดอ้ื ดงึ ตอ้ ง อาบัติสังฆาทิเสส.
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๔๗ ๔. อนยิ ตกณั ฑ์ อาบตั อิ นั ไมแ่ นว่ า่ จะควรปรบั ในขอ้ ไหนมี ๒ สกิ ขาบท อนิยตสิกขาบทที่ ๑ โย ปะนะ ภกิ ขุ มาตคุ าเมนะ สทั ธงิ เอโก เอกายะ..... “อนง่ึ ภกิ ษใุ ดรปู เดยี ว สำเรจ็ การนง่ั ในทล่ี บั คอื ในอาสนะ กำบงั พอจะทำการไดก้ บั มาตคุ ามผเู้ ดยี ว อบุ าสกิ ามวี าจาทเ่ี ชอ่ื ได้ เหน็ ภกิ ษกุ บั มาตคุ ามนน้ั นน่ั แลว้ พดู ขน้ึ ดว้ ยธรรม ๓ ประการ อยา่ ง ใดอยา่ งหนง่ึ คอื ดว้ ยปาราชกิ กด็ ี ดว้ ยสงั ฆาทเิ สสกด็ ี ดว้ ยปาจติ ตยี ์ ก็ดี ภิกษุปฏิญาณซึ่งการนั่ง พึงถูกปรับด้วยธรรม ๓ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ด้วยปาราชิกบ้าง ด้วยสังฆาทิเสสบ้าง ดว้ ยปาจติ ตยี บ์ า้ ง อกี อยา่ งหนง่ึ อบุ าสกิ ามวี าจาทเ่ี ชอ่ื ไดน้ น้ั กลา่ ว ดว้ ยธรรมใด ภกิ ษนุ น้ั พงึ ถกู ปรบั ดว้ ยธรรมนน้ั ธรรมนช้ี อ่ื อนยิ ต.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ มาตคุ าม ไดแ้ ก่ หญงิ มนษุ ย์ ไมใ่ ชห่ ญงิ ยกั ษ์ ไมใ่ ชห่ ญงิ เปรต ไมใ่ ชส่ ตั วด์ ริ จั ฉานตวั เมยี โดยทส่ี ดุ แมเ้ ดก็ หญงิ ทเ่ี กดิ ในวนั นน้ั ไมต่ อ้ งพดู ถงึ สตรี ผใู้ หญ่ ทช่ี อ่ื วา่ ในทล่ี บั ไดแ้ ก่ ทล่ี บั ตา ๑ ทล่ี บั หู ๑ ทล่ี บั ตา ไดแ้ ก่ ทซ่ี ง่ึ เมอ่ื ภกิ ษหุ รอื มาตคุ ามขยบิ ตา ยกั คว้ิ หรอื ชศู รี ษะ ไม่มีใครสามารถจะแลเห็นได้ ทล่ี บั หู ไดแ้ ก่ ทซ่ี ง่ึ ไมม่ ใี ครสามารถจะไดย้ นิ ถอ้ ยคำทพ่ี ดู ตามปกตไิ ด้ อาสนะทช่ี อ่ื วา่ กำบงั คอื เปน็ อาสนะทเ่ี ขากำบงั ดว้ ยฝา บานประตู
๔๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก บทวา่ พอจะทำการได้ คอื อาจเพอ่ื จะเสพเมถนุ ธรรมได้ คำว่า สำเร็จการนั่ง หมายความว่า เมื่อมาตุคามนั่งแล้ว ภิกษุ นั่งใกล้หรือนอนใกล้ก็ดี เมื่อภิกษุนั่งแล้ว มาตุคามนั่งใกล้ หรือนอนใกล้ก็ดี นง่ั ทง้ั สองคน หรอื นอนทง้ั สองคนกด็ ี เรื่องต้นบัญญัติ พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี สมัยนั้น พระอุทายีเป็นผู้เข้าสู่สกุลมากด้วยกันในกรุงสาวัตถี วันหนึ่ง เข้าไปนั่ง ในห้องลับตาสองต่อสองกับหญิงสาว สนทนาบ้าง กล่าวธรรมบ้าง นางวิสาขาได้รับเชิญไปสู่สกุลนั้นเห็นเข้า จึงทักท้วงว่าเป็นการไม่สมควร กไ็ มเ่ ออ้ื เฟอ้ื เชอ่ื ฟงั . ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ ทรง ไตส่ วนไดค้ วามเปน็ สตั ยแ์ ลว้ จงึ ทรงตเิ ตยี น และทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ใจความ ว่า ภิกษุนั่งในที่ลับตาสองต่อสองกับหญิงเป็นที่อันพอจะประกอบกรรมได้ ถ้าอุบาสิกาผู้มีวาจาควรเชื่อได้กล่าวว่า ภิกษุต้องอาบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ใน ๓ อย่าง คืออาบัติปาราชิก (เพราะเสพเมถุน) ก็ตาม อาบัติสังฆาทิเสส (เพราะถกู ตอ้ งกายหญงิ หรอื เกย้ี วหญงิ เปน็ ตน้ ) กต็ าม อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ (เพราะ นง่ั ในทล่ี บั สองตอ่ สองกบั หญงิ ) กต็ าม. ถา้ ภกิ ษสุ ารภาพวา่ ตนนง่ั กจ็ ะถกู อบุ าสกิ า ผมู้ วี าจาเชอ่ื ถอื ไดป้ รบั อาบตั ไิ ด้ ๓ อยา่ งดงั กลา่ ว.
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๑) ๔๙ อนิยตสิกขาบทที่ ๒ นะ เหวะ โข ปะนะ ปะฏจิ ฉนั นงั อาสะนงั โหต.ิ .... “อนึ่ง สถานหาเป็นอาสนะกำบังไม่เลยทีเดียว หาเป็นที่ พอจะทำการได้ไม่ แต่เป็นที่พอจะพูดเคาะมาตุคามด้วยวาจา ชั่วหยาบได้อยู่ แลภิกษุใดรูปเดียว สำเร็จการนั่งในที่ลับกับด้วย มาตคุ ามผเู้ ดยี ว ในอาสนะมรี ปู อยา่ งนน้ั อบุ าสกิ ามวี าจาทเ่ี ชอ่ื ได้ เหน็ ภกิ ษกุ บั มาตคุ ามนน้ั นน่ั แลว้ พดู ขน้ึ ดว้ ยธรรม ๒ ประการ อยา่ ง ใดอยา่ งหนง่ึ คอื ดว้ ยสงั ฆาทเิ สสกด็ ี ดว้ ยปาจติ ตยี ก์ ด็ ี ภกิ ษปุ ฏญิ าณ ซง่ึ การนง่ั พงึ ถกู ปรบั ดว้ ย ธรรม ๒ ประการ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ คอื ดว้ ยสงั ฆาทเิ สสบา้ ง ดว้ ยปาจติ ตยี บ์ า้ ง อกี อยา่ งหนง่ึ อบุ าสกิ ามี วาจาที่เชื่อได้นั้นกล่าวด้วยธรรมใด ภิกษุนั้นพึงถูกปรับด้วย ธรรมนน้ั แมธ้ รรมนก้ี ช็ อ่ื อนยิ ต.” เรื่องต้นบัญญัติ เล่าเรื่องสืบมาจากสิกขาบทก่อน. พระอุทายีเห็นว่าพระผู้มีพระภาค ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มนง่ั ในทล่ี บั มอี าสนะกำบงั กบั หญงิ สองตอ่ สอง จงึ นง่ั ในทล่ี บั ไม่กำบังเสียเลยทีเดียวนักสองตอ่ สองกบั หญงิ นน้ั สนทนาบา้ ง กลา่ วธรรมบา้ ง นางวสิ าขาไปพบเขา้ อกี จงึ ทกั ทว้ งวา่ ไมส่ มควรเชน่ เคย พระอทุ ายี กไ็ มเ่ ออ้ื เฟอ้ื เชอ่ื ฟงั . ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงเรยี กประชมุ สงฆ์ ทรงไตส่ วน ไดค้ วามเปน็ สตั ยแ์ ลว้ จงึ ทรงตเิ ตยี นและทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ใจความวา่ ภกิ ษนุ ง่ั ในทล่ี บั (อาสนะหากำบงั ไมเ่ ลยทเี ดยี ว) สองตอ่ สองกบั หญงิ ถา้ มอี บุ าสกิ าผมู้ วี าจา ควรเชอ่ื ถอื ได้ กลา่ ววา่ ภกิ ษตุ อ้ งอาบตั อิ ยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ใน ๒ อยา่ ง คอื อาบตั ิ สงั ฆาทเิ สส (เพราะพดู เกย้ี วหญงิ หรอื พดู ลอ่ หญงิ ใหบ้ ำเรอตนดว้ ยกาม เปน็ ตน้ ) กต็ าม อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ (เพราะนง่ั ในทล่ี บั หกู บั หญงิ สองตอ่ สอง) กต็ าม. ถา้ ภกิ ษุ ผนู้ น้ั รบั สารภาพซง่ึ การนง่ั พงึ ถกู ปรบั ในอาบตั ิ ๒ อยา่ งนนั้ หรอื ปรบั ตามท่ี อุบาสิกามีวาจาที่เชื่อถือได้นั้นกล่าวหา.
คนนอกบญั ชี \"ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษเุ หลา่ ใด เปน็ คนหลอกลวง กระดา้ ง พดู พลา่ ม ยกตวั จองหอง ใจฟงุ้ เฟอ้ ; ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ไมใ่ ช่ คนของเรา. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ไดอ้ อกไปนอกธรรมวนิ ยั นเ้ี สยี แลว้ และภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ยอ่ มไมถ่ งึ ความเจรญิ งอกงาม ไพบลู ย์ ในธรรมวนิ ยั น้ี ไดเ้ ลย\" ( พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๒๑ / ๓๓ / ๒๖ )
คัมภีร์ภิกขุวิภังค์ ภาค ๒ (พระไตรปฎิ ก เลม่ ๒) อาบตั เิ บา ทม่ี าในพระปาตโิ มกข์
๕๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๕. นสิ สคั คยิ กณั ฑ์ อาบัติปาจิตตีย์ (อาบัติอันยังกุศลธรรมให้ตกไป) ที่ต้องสละ สง่ิ ของ แบง่ ออกเปน็ ๓ วรรคๆละ ๑๐ สกิ ขาบท ๑.จวี รวรรค วรรควา่ ด้วยจีวร เปน็ วรรคท่ี ๑ มี ๑๐สกิ ขาบท นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ จวี รวรรค สกิ ขาบทท่ี ๑ นฏิ ฐติ ะจวี ะรสั ม๎ งิ ภกิ ขนุ า อพุ ภะตสั ม๎ งิ กะฐเิ น, ทะสาหะปะระมงั ..... “จีวรสำเร็จแล้ว กฐินอันภิกษุเดาะ๑เสียแล้ว พึงทรง อติเรกจีวรได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ภิกษุให้ล่วงกำหนดนั้นไป เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.” วภิ งั ค์ ทช่ี อ่ื วา่ อตเิ รกจวี ร ไดแ้ ก่ จวี รทย่ี งั ไมไ่ ดอ้ ธษิ ฐาน๒ ยงั ไมไ่ ดว้ กิ ปั ๓. คำวา่ ใหล้ ว่ งกำหนดนน้ั ไป เปน็ นสิ สคั คยี ์ ความวา่ เมอ่ื อรณุ ท่ี ๑๑ ขน้ึ มาจวี รนน้ั เปน็ นสิ สคั คยี ์ คอื เปน็ ของจำตอ้ งเสยี สละแกส่ งฆ์ คณะ หรอื บคุ คล. ๑กฐินเดาะ ในที่นี้ตามศัพท์แปลว่า รื้อไม้สะดึง คือไม้แบบสำหรับขึงผ้า หมายถึงยกเลิกอานิสงส์กฐินที่ภิกษุพึงรับ (พระไตรปฎิ กแปลไทย มจร. ๒/๓/๔๖๒) (ดหู นา้ ๒๕๘ ประกอบ) ๒อธษิ ฐาน คอื การตง้ั เอาไวห้ รอื ตง้ั ใจกำหนดเอาไว้ ไดแ้ กต่ ง้ั ใจกำหนดเอาไวว้ า่ จะเปน็ ของประจำตวั ชนดิ นน้ั ๆ เชน่ ไตรจวี ร บาตร ; วธิ อี ธษิ ฐาน กระทำโดยใชก้ ายคอื มอื สมั ผสั หรอื เปลง่ วาจาตามคำอธฐิ านกไ็ ด้ (ว.ิ ป. ๘/๓๒๒/๒๖๑, ว.ิ อ.๒/๔๖๙/ ๑๔๗) (ดหู นา้ ๔๐๘ ประกอบ) ๓วกิ ปั คอื ทำใหเ้ ปน็ ของสองเจา้ ของ คอื ขอใหภ้ กิ ษหุ รอื สามเณรรปู อน่ื รว่ มเปน็ เจา้ ของสง่ิ ทจ่ี ะวกิ ปั นน้ั ทำใหไ้ มต่ อ้ งอาบตั ิ แมเ้ กบ็ ไวเ้ กนิ กำหนด (พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์ หนา้ ๒๒๗)
คมั ภรี ภ์ กิ ขวุ ภิ งั ค์ ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๒) ๕๓ อนาบัติ ๑.ในภายใน ๑๐ วนั ภกิ ษอุ ธษิ ฐาน ๒.ภกิ ษวุ กิ ปั ไว้ ๓.ภกิ ษสุ ละใหไ้ ป ๔.จีวรฉิบหาย ๕.จีวรถูกไฟไหม้ ๖.โจรชิงเอาไป ๗.ภิกษุถือวิสาสะ ๘.ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๙.ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ โคตมกเจดยี ์ เขตกรงุ สาวตั ถี สมยั นน้ั ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษมุ จี วี รไดเ้ พยี ง ๓ ผนื (ผา้ นงุ่ , ผา้ หม่ , ผา้ หม่ ซอ้ นทเ่ี รยี กวา่ สงั ฆาฏ)ิ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ (ภกิ ษผุ รู้ วมกนั เปน็ คณะ ๖ รปู ) เขา้ บา้ น อยใู่ นวดั ลงสู่ที่อาบน้ำ ด้วยไตรจีวรต่างสำรับกัน ภิกษุทั้งหลายติเตียน ความทราบ ถงึ พระผมู้ พี ระภาค ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทหา้ มเกบ็ อตเิ รกจวี ร (จวี รทเ่ี กนิ จำเปน็ คอื เกนิ จำนวนทก่ี ำหนด) ถา้ ลว่ งละเมดิ ตอ้ งอาบตั นิ สิ สคั คยิ ปาจติ ตยี .์ ต่อมามีเหตุเกิดขึ้น พระอานนท์ใคร่จะเก็บผ้าไว้ถวายพระสารีบุตร พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทเพม่ิ เตมิ ใหเ้ กบ็ ไวไ้ ดไ้ มเ่ กนิ ๑๐ วนั องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ผา้ ประกอบดว้ ยชาตแิ ละประมาณเปน็ ของๆตน ๒.ผา้ นน้ั ถงึ ซง่ึ กาล นบั วนั ได้ คอื วา่ ถงึ มอื ของตนแลว้ เป็นต้น ๓.ปลิโพธทั้ง ๒ ขาดแล้ว ๔.ผ้านั้นเป็นอติเรกจีวร ๕.ล่วง๑๐วันไป พร้อมด้วยองค์ ๕ ดังนี้ จึงเป็น นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี (์ บพุ พสกิ ขาวรรณนา หนา้ ๑๕๕). นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ จวี รวรรค สกิ ขาบทท่ี ๒ นฏิ ฐติ ะจวี ะรสั ม๎ งิ ภกิ ขนุ า อพุ ภะตสั ม๎ งิ กะฐเิ น, เอกะรตั ตมั ปิ เจ..... “จีวรของภิกษุสำเร็จแล้ว กฐินเดาะเสียแล้ว ถ้าภิกษุอยู่ ปราศจากไตรจีวร แม้สิ้นราตรีหนึ่ง เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.”
๕๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก วภิ งั ค์ คำวา่ ถา้ ภกิ ษอุ ยปู่ ราศจากไตรจวี ร แมส้ น้ิ ราตรหี นง่ึ ความวา่ ถา้ ภกิ ษุ อยปู่ ราศจากผา้ สงั ฆาฏกิ ด็ ี จากผา้ อตุ ราสงคก์ ด็ ี จากผา้ อนั ตรวาสกกด็ ี แมค้ นื เดยี ว. อนาบัติ ๑.ภายในอรณุ ภกิ ษถุ อนเสยี ๒.ภกิ ษสุ ละใหไ้ ป ๓.จวี รหาย ๔.จวี ร ฉบิ หาย ๕.จวี รถกู ไฟไหม้ ๖.โจรชงิ เอาไป ๗.ภกิ ษถุ อื วสิ าสะ ๘. ภกิ ษไุ ดร้ บั สมมติ ๙. ภกิ ษวุ กิ ลจรติ ๑๐. ภกิ ษอุ าทกิ มั มกิ ะ ไมต่ อ้ งอาบตั แิ ล. เรื่องต้นบัญญัติ พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ เชตวนาราม สมยั นน้ั ภกิ ษทุ ง้ั หลายเอา ผา้ สงั ฆาฏิ (ผา้ หม่ ซอ้ นขา้ งนอก) ฝากภกิ ษรุ ปู อน่ื ไว้ จารกิ ไปสชู่ นบทดว้ ยสบง (ผา้ นงุ่ ) กบั จวี ร (ผา้ หม่ ) รวม ๒ ผนื เทา่ นน้ั . ผา้ ทฝ่ี ากไวน้ านขน้ึ ราเปรอะเปอ้ื น ภกิ ษผุ รู้ บั ฝากจงึ นำออกตาก ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงตเิ ตยี น และ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มอยปู่ ราศจากไตรจวี ร แมค้ นื หนง่ึ . ในบทวภิ งั คข์ อง สิกขาบทนี้ว่า ช่วงก่อนอรุณขึ้น๑ รักษาผ้าไตรไว้ในที่มีรั้ว หรือกำแพงล้อม, เงาโคนไมใ้ นทน่ี น้ั ในขณะอยผู่ เู้ ดยี วได้ แตห่ ากอยหู่ ลายคนหรอื อยทู่ ป่ี ราศจากรว้ั กำแพงล้อม อย่าให้จีวรละหัตถบาส๒ ถ้าล่วงละเมิดต้องอาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์. ภายหลงั มเี รอ่ื งเกดิ ขน้ึ ภกิ ษเุ ปน็ ไข้ ไมส่ ามารถนำจวี รไปไดท้ ง้ั ๓ ผนื จงึ ทรงอนญุ าตใหส้ งฆส์ วดสมมตแิ กภ่ กิ ษเุ ชน่ นน้ั เปน็ กรณพี เิ ศษ และไมป่ รบั อาบตั .ิ องคแ์ หง่ อาบตั ิ ๑.ผ้าภิกษุอธิษฐานเป็นจีวรแล้ว ๒.ไม่มีอานิสงส์กฐิน ๓.ไม่ได้อวิปปวาสสมมติ ๔.อยู่ปราศจากผ้านั้น ราตรีหนึ่งจนอรุณใหม่ขึ้นมา พร้อมด้วยองค์ ๕ ดังนี้จึงเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ (บุพพสิกขาวรรณนา หน้า ๑๕๖). ๑ ในบพุ พสกิ ขาวรรณาหนา้ ๕๐๘ กลา่ ววา่ โบราณคตสิ บื มา... ใหร้ จู้ กั อรณุ แดงขน้ึ มา.. ใหท้ นั อรณุ ขาวกอ่ นอรณุ แดง ๒ หตั ถบาส แปลวา่ บว่ งแหง่ มอื (ระยะบว่ งมอื ในบพุ พสกิ ขาวรรณา หนา้ ๔๖๙ กลา่ ววา่ ประมาณ ๒ ศอก ๑ คบื )
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 571
Pages: