คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๕๕ ณ กรุงสาวัตถีทรงอนุญาตของฉันผลไม้ทุกชนิด พืชของสงฆ์ ที่เพาะปลูกในที่ของบุคคล และพืชของบุคคลที่เพาะปลูกในที่ของสงฆ์ ใหแ้ บง่ สว่ นแลว้ บรโิ ภคได.้ ทรงแนะขอ้ ตดั สนิ วนิ ยั วา่ ดว้ ยมหาปเทส ๔ สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายเกิดความยำเกรงอยู่ในข้อบัญญัติบางอย่างว่า สง่ิ ใดทท่ี รงอนญุ าต สง่ิ ใดไมท่ รงอนญุ าต พระผมู้ พี ระภาคเจา้ จงึ ตรสั วา่ ๑. ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย สง่ิ ใดทเ่ี ราไมไ่ ดห้ า้ มไวว้ า่ สง่ิ นไ้ี มค่ วร หากสง่ิ นน้ั เขา้ กบั สง่ิ ทไ่ี มค่ วร ขดั กบั สง่ิ ทค่ี วร สง่ิ นน้ั ไมค่ วร แกเ่ ธอทง้ั หลาย ๒. ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย สง่ิ ทเ่ี ราไมไ่ ดห้ า้ มไวว้ า่ สง่ิ นไ้ี มค่ วร หากสง่ิ นน้ั เขา้ กบั สง่ิ ทค่ี วร ขดั กบั สง่ิ ทไ่ี มค่ วร สง่ิ นน้ั ควร แกเ่ ธอทง้ั หลาย ๓. ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย สง่ิ ใดทเ่ี ราไมไ่ ดอ้ นญุ าตไวว้ า่ สง่ิ นค้ี วร หากสง่ิ นน้ั เขา้ กบั สง่ิ ทไ่ี มค่ วร ขดั กบั สง่ิ ทค่ี วร สง่ิ นน้ั ไมค่ วรแกเ่ ธอทง้ั หลาย ๔. ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย สง่ิ ใดทเ่ี ราไมไ่ ดอ้ นญุ าตไวว้ า่ สง่ิ นค้ี วร หากสง่ิ นน้ั เขา้ กบั สง่ิ ทค่ี วร ขดั กบั สง่ิ ทไ่ี มค่ วร สง่ิ นน้ั ควร แกเ่ ธอทง้ั หลาย. ภกิ ษทุ ง้ั หลายไดม้ คี วามปรวิ ติ ก การทก่ี าลกิ ๑ระคนกนั จงึ ตรสั วา่ ดงั น:้ี - ๑...ยามกาลกิ ระคนกบั ยาวกาลกิ ทร่ี บั ประเคนในวนั นน้ั ควรในกาลไมค่ วรในวกิ าล ๒.สตั ตาหกาลกิ ระคนกบั ยาวกาลกิ ทร่ี บั ประเคนในวนั นน้ั ควรในกาลไมค่ วรในวกิ าล ๓.ยาวชวี กิ ระคนกบั ยาวกาลกิ ทร่ี บั ประเคนในวนั นน้ั ควรในกาล ไมค่ วรในวกิ าล ๔.สตั ตาหกาลกิ ระคนยามกาลกิ ทร่ี บั ประเคนในวนั นน้ั ควรชว่ั ยามลว่ งยามแลว้ ไมค่ วร ๕.ยาวชวี กิ ระคนกบั ยามกาลกิ ทร่ี บั ประเคนในวนั นน้ั ควรชว่ั ยามลว่ งยามแลว้ ไมค่ วร ๖.ยาวชวี กิ ระคนกบั สตั ตาหกาลกิ ทร่ี บั ประเคนในวนั นน้ั ควรตลอด๗วนั ลว่ ง๗วนั แลว้ ไมค่ วร ๑ กาลิก แปลว่า เนื่องด้วยกาล, ขึ้นกับกาล, ของจะกลืนกินให้ล่วงลำคอเข้าไป ซึ่งพระวินัยบัญญัติให้ภิกษุรับเก็บไว้ และฉนั ไดภ้ ายในเวลาทก่ี ำหนด จำแนกเปน็ ๔ อยา่ ง คอื ๑.ยาวกาลกิ ของรบั ประเคนไวแ้ ละฉนั ไดช้ ว่ั เวลาเช้าถงึ เทย่ี งของวนั นน้ั เชน่ ขา้ ว ปลา เนอ้ื ผกั ผลไม้ นม นมสม้ ขนม ๒.ยามกาลกิ ของรบั ประเคนไวแ้ ละฉนั ไดช้ ว่ั วนั หนง่ึ กบั คนื หนง่ึ ไดแ้ ก่ ปานะ คอื นำ้ ผลไมท้ ท่ี รงอนญุ าต ๓.สตั ตหกาลกิ ของรบั ประเคนไวแ้ ลว้ ฉนั ไดภ้ ายใน ๗ วนั ไดแ้ ก่ เภสชั ๕ คอื เนยใส เนยขน้ นำ้ มนั นำ้ ผง้ึ นำ้ ออ้ ย ๔.ยาวชวี กิ ของรบั ประเคนแลว้ ฉนั ไดต้ ลอดไปไมจ่ ำกดั เวลาไดแ้ กข่ องทป่ี รงุ เปน็ ยา(ยาวชวี กิ ไมเ่ ปน็ กาลกิ แตน่ บั เขา้ ดว้ ยโดยปรยิ าย)
๒๕๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๓. กฐนิ ขนั ธกะ หมวดว่าด้วยกฐิน สมยั นน้ั พระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ เชตวนั กรงุ สาวตั ถี ภกิ ษชุ าว เมอื งปาเฐยยกะ๑ ๓๐ รปู ซง่ึ เปน็ ผถู้ อื การอยปู่ า่ , การเทย่ี วบณิ ฑบาต, นงุ่ หม่ ผ้าบังสุกุล (ผ้าเก็บตกมาปะติดปะต่อทำเป็นจีวร) และใช้จีวร ๓ ผืนเป็นวัตร เดนิ ทางจะมาเฝา้ พระผมู้ พี ระภาค เหลอื ระยะทางอกี ๖ โยชน์ (๙๖ กโิ ลเมตร) ถึงวันเข้าพรรษา ต้องจำใจจำพรรษาอยู่ในเมืองสาเกต มีความระลึกถึง พระบรมศาสดา เมอ่ื ออกพรรษาแลว้ ฝนยงั ตกอยู่ แผน่ ดนิ ยงั ชมุ่ ชน้ื ดว้ ยนำ้ เปน็ หลม่ เลนไดเ้ ดนิ ทางมาเขา้ เฝา้ ดว้ ยจวี รทช่ี มุ่ ชน้ื ดว้ ยนำ้ เหนด็ เหนอ่ื ย ทรงปรารภ เหตนุ น้ั จงึ ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษผุ จู้ ำพรรษาแลว้ กรานกฐนิ ได้๒. อานสิ งส์ ๕ ของภกิ ษผุ ไู้ ดก้ รานกฐนิ ๓ ทรงแสดงอานสิ งส์ ๕ ของภกิ ษผุ ไู้ ดก้ รานกฐนิ คอื ๑. ไปไหนไมต่ อ้ งบอกลาภกิ ษอุ น่ื (ตามความในสกิ ขาบทท่ี ๖ อเจลกวรรค ปาจติ ตยิ กณั ฑ)์ ๒. ไปไหนไมต่ อ้ งนำไตรจวี รไปครบสำรบั (ตามสกิ ขาบทท่ี ๒ จวี รวรรค นสิ สคั คยิ กณั ฑ)์ ๑ เมืองปาเฐยยกะ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกแคว้นโกศล คำว่า “ปาเฐยยกะ” เป็นชื่อของพระภัททวัคคีย์เถระทั้งหลาย ซง่ึ เปน็ พน่ี อ้ งรว่ มบดิ าเดยี วกบั พระเจา้ โกศล ในบรรดาทา่ นเหลา่ นน้ั ผเู้ ปน็ พใ่ี หญเ่ ปน็ พระอนาคามี คนทเ่ี ปน็ นอ้ งสดุ ทอ้ ง เปน็ พระโสดาบนั ไมม่ ใี ครเปน็ พระอรหนั ตห์ รอื ปถุ ชุ น (ว.ิ อ. ๓ / ๓๐๖ / ๑๙๑) วา่ “ปาเวยยกะ” กม็ ี ๒ กรานกฐนิ เปน็ วธิ รี ว่ มกนั ตดั เยบ็ จวี รผนื ใดผนื หนง่ึ โดยขน้ึ ไมก้ ฐนิ (ไมส้ ะดงึ ) แลว้ เอาผา้ ทจ่ี ะเยบ็ เปน็ จวี รเขา้ ขงึ ทไ่ี มก้ ฐนิ เยบ็ ยอ้ มเสรจ็ แลว้ รว่ มใจกนั ยกจวี รใหภ้ กิ ษรุ ปู หนง่ึ ในนามสงฆ์ ภกิ ษทุ เ่ี หลอื รว่ มอนโุ มทนา เรยี กวา่ “กรานกฐนิ ” ๓ คอื ทรงผอ่ นผนั วนิ ยั บางอยา่ งเพอ่ื ความสะดวกในการทำจวี ร เปน็ ระยะเวลา ๔ เดอื น รวมกบั อานสิ งสก์ ารจำพรรษา ๑ เดอื น เปน็ ๕ เดอื น (อานสิ งสจ์ ำพรรษากบั อานสิ งสก์ ฐนิ เหมอื นกนั เพยี งแตถ่ า้ ไดก้ รานกฐนิ ดว้ ยกจ็ ะเพม่ิ เวลาอานสิ งส์ ออกไปอกี )
คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๕๗ ๓. ฉนั คณโภชนะ คอื ฉนั อาหารรวมกลมุ่ กนั ได้ (ตามสกิ ขาบทท่ี ๒ โภชนวรรค ปาจติ ตยิ กณั ฑ)์ ๑ ๔. เกบ็ จวี รไวไ้ ดต้ ามตอ้ งการโดยไมต่ อ้ งวกิ ปั คอื ทำใหเ้ ปน็ ๒ เจา้ ของ (ตามสกิ ขาบทท่ี ๑ จวี รวรรค นสิ สคั คยิ กณั ฑ)์ ๕. ผา้ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในวดั นน้ั เปน็ ของพวกเธอ (คอื พวกเธอมสี ทิ ธไิ ดร้ บั สว่ นแบง่ ภกิ ษเุ ขตอน่ื มากไ็ มม่ สี ทิ ธ)ิ . ทรงอนุญาตให้สวดประกาศการกรานกฐิน ทรงอนุญาตให้สงฆ์สวดประกาศมอบผ้ากฐิน แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง โดยใหต้ ง้ั ญตั ติ ๑ ครง้ั สวดประกาศขอความเหน็ ชอบ ๑ ครง้ั (เรยี กวา่ ญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม มรี ายละเอยี ดวธิ กี ารในภาคผนวก หนา้ ๔๗๐). ทรงแสดงเรื่องกฐินเป็นอันกรานและไม่เป็นอันกราน ทรงแสดงว่า กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยเพียงสักว่า ขีดประมาณ, ซกั ผา้ , กะผา้ , ตดั ผา้ , เยบ็ เนา, เยบ็ , ทำลกู ดมุ , ทำรงั ดมุ , ตดิ อนวุ าต๒, ดามผา้ , ย้อมผ้าเป็นสีหม่น รวมทั้งไม่เป็นอันกรานด้วยผ้าที่ทำนิมิต(ทำเครื่องหมาย) หรอื เลยี บเคยี งใหเ้ ขาถวาย, ผา้ ยมื มา, ผา้ เกบ็ ไวค้ า้ งคนื , ผา้ ทเ่ี ปน็ ของตอ้ งสละ (นสิ สคั คยี )์ , ผา้ ทไ่ี มท่ ำพนิ ทุ๓, ผา้ มไิ ดท้ ำเปน็ ไตรจวี ร, จวี รนน้ั มขี ณั ฑต์ ำ่ กวา่ ๕ ขัณฑ์๔ ซึ่งมีมณฑล, ไม่เสร็จในวันนั้น, ไม่ได้ถวายให้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง, ภิกษุ ผู้อยู่นอกสีมาอนุโมทนากฐินนั้น ๑ ในสกิ ขาบทท่ี ๓ โภชนวรรค ปาจติ ตยิ กณั ฑ์ อนญุ าตใหฉ้ นั ปรมั ปร(โภชนะทหี ลงั )ได้ ในคราวทถ่ี วายจวี รและคราวท่ี ทำจวี ร แตเ่ หตใุ ดจงึ ไมม่ รี ะบอุ ยใู่ นอานสิ งสข์ องผไู้ ดก้ รานกฐนิ ยงั เปน็ ทฉ่ี งนอยู่ นกั วนิ ยั ธรทง้ั หลายพงึ พจิ ารณาเองเถดิ ๒ อนวุ าต คอื ผา้ ขอบจวี รทง้ั ดา้ นยาวทง้ั ดา้ นกวา้ ง (ว.ิ อ. ๓ / ๓๔๕ / ๒๑๗) ๓ ทำพนิ ทุ คือ การทำผ้าจีวรที่ได้มาใหม่ให้เสียสี ด้วยสีเขียว ตม หรือคล้ำที่จีวร เพื่อทำตำหนิ ตามสิกขาบทที่ ๘ สรุ าปานวรรค (ดรู ายละเอยี ดวธิ ใี นภาคผนวกหนา้ ๔๐๘) ๔ จวี รมขี ณั ฑ์ ๕ คอื จวี รทต่ี ดั เยบ็ ปรากฏกระทง (ผา้ ทอ่ นหนง่ึ ๆ มลี กั ษณะเหมอื นกระทงนา มรี ปู สเ่ี หลย่ี ม) กระทงใหญ่ กระทงเลก็ โดยมจี ดุ คน่ั ดจุ คนั นายนื ระหวา่ งกระทงจวี ร แบง่ เปน็ ๕ กระทง (ดู ว.ิ อ. ๓ / ๓๐๘, ๓๕๔ / ๑๙๗, ๒๑๗).
๒๕๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก แลว้ ทรงแสดงวา่ กฐนิ เปน็ อนั กรานดว้ ยผา้ ใหม,่ ผา้ เทยี มใหม,่ ผา้ เกา่ , ผา้ บงั สกุ ลุ , ผา้ ตกตามรา้ นตลาด๑ และขอ้ ทม่ี นี ยั ตรงขา้ มกบั กฐนิ ไมเ่ ปน็ อนั กราน. ขอ้ กำหนดในการเดาะกฐนิ (มาตกิ า ๘) ทรงแสดงมาติกา คือแม่บทหรือข้อกำหนดในการเดาะกฐิน๒ รวม ๘ ประการ คอื :- ๑. เดนิ ทางไปทอ่ี น่ื ไมค่ ดิ จะกลบั มา ๒. ทำจวี รเสรจ็ แลว้ ๓. ตง้ั ใจเลกิ เรอ่ื งการทำจวี ร ๔. จวี รทก่ี ำลงั ทำอยทู่ ำเสยี หรอื หายเสยี ๕. ด้วยได้ยินข่าว คือ เธอจากไปด้วยคิดจะกลับมาอีก แต่ได้ยิน ขา่ ววา่ ในวดั ทเ่ี ธออยเู่ ขาเลกิ ทำกนั แลว้ ๖. ดว้ ยหมดหวงั คอื หวงั วา่ จะไดจ้ วี รแตก่ ไ็ มส่ มหวงั ๗. อยนู่ อกเขตสมี า คอื คดิ จะกลบั มาทว่ี ดั นน้ั จนหมดสมยั ของกฐนิ ๘. เลกิ กฐนิ พรอ้ มกบั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย คอื เมอ่ื พน้ กำหนด กเ็ ปน็ อนั เลกิ กฐนิ รว่ มกนั จากนน้ั เปน็ คำอธบิ ายมาตกิ าทง้ั ๘ ในตอนทา้ ยไดส้ รปุ เกย่ี วดว้ ยปลโิ พธ๓ ๒ ประการ คอื ๑. อาวาสปลโิ พธ ความหว่ งใยดว้ ยวดั (คอื ตง้ั ใจจะกลบั มาทว่ี ดั ) ๒. จวี รปลโิ พธ ความหว่ งใยดว้ ยจวี ร (คอื ตง้ั ใจทำจวี รภายในกำหนด) ถา้ หมดปลโิ พธ กเ็ ปน็ อนั เลกิ กฐนิ . ๑ ผ้าตกตามร้าน คอื ผา้ เกา่ ทต่ี กอยขู่ า้ งประตรู า้ นตลาด ซง่ึ มผี เู้ กบ็ มาถวาย (ว.ิ อ. ๓ / ๓๐๙ / ๑๙๘) ๒ กฐนิ เดาะ หมายถงึ กฐนิ เสยี หาย ไมม่ อี านสิ งส์ ใชไ้ มไ่ ด้ ภกิ ษหุ มดโอกาสจะไดป้ ระโยชนจ์ ากกฐนิ ๓ ปลโิ พธ ในทางวนิ ยั หมายถงึ ความกงั วลทเ่ี ปน็ เหตใุ หก้ ฐนิ ยงั ไมเ่ ดาะ คอื ยงั รกั ษาอานสิ งสก์ ฐนิ และเขตแหง่ จวี รกาล ตามกำหนดได้ ถ้าภิกษุหลีกไปโดยคิดว่า “จะไม่กลับมาอีก” จีวรปลิโพธขาดก่อนในขณะที่อยู่ภายในสีมานั้นเอง อาวาสปลโิ พธ ขาดเมอ่ื กา้ วลว่ งสมี าไปแลว้ (ว.ิ อ. ๓ / ๓๑๑ / ๑๙๘).
คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๕๙ ๔. จวี รขนั ธกะ หมวดว่าด้วยจีวร คหบดีชาวกรุงราชคฤห์ไปเที่ยวเมืองเวสาลี เห็นบ้านเมืองเจริญ และมหี ญงิ นครโสเภณี นามวา่ อมั พปาลี เมอ่ื กลบั ไปกรงุ ราชคฤห์ จงึ ไปแนะนำให้ พระเจ้าพิมพิสารทรงอนุญาตให้มีหญิงนครโสเภณีบ้าง เมื่อทรงอนุญาต จงึ หาหญงิ สาวรา่ งงาม ชอ่ื นางสาลวดมี าเปน็ หญงิ นครโสเภณปี ระจำกรงุ ราชคฤห์ นางตั้งครรภ์ คลอดบุตรเป็นชาย จึงให้นำไปทิ้งยังกองขยะ อภัยราชกุมาร ไปพบจึงให้รับไปเลี้ยงไว้ในวัง เด็กนั้นจึงมีชื่อว่า ชีวก (รอดตาย) โกมารภัจจ์ (พระราชกมุ ารเลย้ี งไว)้ เมอ่ื ชวี กโกมารภจั จเ์ ตบิ โต จงึ เดนิ ทางไปศกึ ษาวชิ าแพทย์ ณ เมอื งตกั กสลิ า อยู่ ๗ ปี เมอ่ื สำเรจ็ แลว้ ในระหวา่ งเดนิ ทางกลบั กไ็ ดร้ กั ษาภรยิ า เศรษฐผี หู้ นง่ึ ในเมอื งสาเกต ซง่ึ เปน็ โรคปวดศรี ษะมา ๗ ปี ดว้ ยใชย้ านำ้ มนั ให้นัตถุ์ทางจมูก ได้ลาภสักการะมาก ก็มาตั้งหลักแหล่งอยู่ในบริเวณที่อยู่ของ อภัยราชกุมาร. ตอ่ มาไดร้ กั ษาโรครดิ สดี วงทวารของพระเจา้ พมิ พสิ ารหาย ดว้ ยใหท้ ายา เพียงครั้งเดียว จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นแพทย์ประจำราชสำนัก และประจำ พระผู้มีพระภาคพร้อมทั้งพระภิกษุสงฆ์. ตอ่ มาไดร้ กั ษาโรคปวดศรี ษะของเศรษฐผี หู้ นง่ึ แหง่ กรงุ ราชคฤหด์ ว้ ยการ ผ่าตัดศีรษะ, รักษาโรคเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ของบุตรเศรษฐีผู้หนึ่งแห่งกรุง พาราณสดี ว้ ยการผา่ ตดั หนา้ ทอ้ ง, รกั ษาโรคผอมเหลอื งของพระเจา้ จนั ทปชั โชติ แหง่ กรงุ อชุ เชนี ดว้ ยการถวายยา ใหท้ รงดม่ื ไดผ้ ลดที กุ ราย. ครง้ั หลงั ถวายยาถา่ ยแดพ่ ระผมู้ พี ระภาคโดยไมต่ อ้ งใหเ้ สวย เพยี งแต่ อบยาใส่ดอกอุบล ๓ ก้าน แล้วถวายให้พระองค์ทรงสูดดมทีละก้านก็ได้ผลดี ในทส่ี ดุ ไดก้ ราบทลู ขอรอ้ งตอ่ พระผมู้ พี ระภาค เพอ่ื ใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลายรบั คหบดจี วี ร (คอื จวี รทม่ี ผี ศู้ รทั ธาถวายใหใ้ ช้ สมยั กอ่ นอนญุ าตแตจ่ วี รทเ่ี กบ็ เศษผา้ มาปะตดิ กนั )
๒๖๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทรงปรารภคำขอของหมอชวี ก จงึ ทรงอนญุ าตใหร้ บั คหบดจี วี ร หรอื ภกิ ษรุ ปู ใด ปรารถนาจะใช้จีวรที่เก็บเศษผ้าเก็บมาปะติดปะต่อ ที่เรียก บังสุกุลจีวร ก็ได้ แต่ทรงสรรเสริญการยินดีปัจจัยตามมีตามได้. ทรงอนญุ าตคหบดจี วี ร ๖ ชนดิ สมัยนั้น จีวรทั้งชนิดที่มีเนื้อละเอียดและเนื้อหยาบได้เกิดขึ้นแก่สงฆ์ ภกิ ษทุ ง้ั หลายสงสยั วา่ ทรงอนญุ าตจวี รอะไรบา้ ง จงึ ทรงอนญุ าตจวี ร ๖ ชนดิ คอื ๑.โขมะ (ผา้ เปลอื กไม)้ ๒.กปั ปาสกิ ะ (ผา้ ฝา้ ย) ๓.โกเสยยะ (ผา้ ไหม) ๔.กมั พล (ผา้ ขนสตั ว)์ ๕.สาณะ (ผา้ ปา่ น) ๖.ภงั คะ (ผา้ ทท่ี ำดว้ ยของผสมกนั ) ในการแสวงหาผา้ บงั สกุ ลุ ในปา่ ชา้ นน้ั ทรงอนญุ าตให้ ภกิ ษผุ ไู้ มป่ รารถนา กต็ อ้ งใหส้ ว่ นแบง่ แกภ่ กิ ษพุ วกทร่ี อคอย, ภกิ ษทุ เ่ี ขา้ ไปแสวงหาพรอ้ มกนั หรอื นดั กนั ไป นอกจากกรณที ก่ี ลา่ วเหลา่ นแ้ี ลว้ ภกิ ษไุ มป่ รารถนากไ็ มต่ อ้ งใหส้ ว่ นแบง่ . ทรงอนุญาตเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับจีวร เมื่อมนุษย์ทั้งหลายทราบว่า ทรงอนุญาตให้ถวายจีวรได้ก็พากันนำมา ถวายมาก เมื่อจีวรมีมากจึงทรงอนุญาตให้สวดประกาศแต่งตั้งภิกษุผู้รับจีวร, ภิกษุผู้เก็บจีวร, สมมติเรือนคลัง, ภิกษุผู้รักษาเรือนคลัง, ภิกษุผู้แจกจีวร (มรี ายละเอยี ดอยใู่ นภาคผนวก หนา้ ๔๒๐) และทรงกำหนดคณุ สมบตั ขิ องภกิ ษุ ผทู้ ำหนา้ ทเ่ี หลา่ นน้ั คอื ๑.ไม่ลำเอียงเพราะชอบ ๒.ไมล่ ำเอยี งเพราะชงั ๓.ไม่ลำเอียงเพราะหลง ๔.ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ๕.รู้จักจีวรที่รับแล้วหรือยังไม่ได้รับ, เก็บแล้วหรือยังไม่ได้เก็บ, รกั ษาแลว้ หรอื ยงั ไมร่ กั ษา, แจกแลว้ หรอื ยงั ไมแ่ จก ตามแตล่ กั ษณะหนา้ ทน่ี น้ั ๆ นอกจากนย้ี งั ทรงบญั ญตั วิ า่ หา้ มยา้ ยทอ่ี ยเู่ จา้ หนา้ ทเ่ี รอื นคลงั ผใู้ ดยา้ ย
คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๖๑ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ทรงแนะวธิ แี จกจวี รวา่ ใหค้ ดั ผา้ แลว้ เฉลย่ี ตามจำนวนภกิ ษแุ ละ สามเณร โดยมอบแกส่ ามเณรครง่ึ สว่ น แลว้ ผกู เปน็ มดั ไวแ้ จก ใหผ้ ทู้ จ่ี ะรบี ไป รบั สว่ นของตนไดก้ อ่ น ใหม้ อบสว่ นพเิ ศษในเมอ่ื จะใหส้ ง่ิ ทดแทน ถา้ จวี รไมพ่ อแจก ให้สมยอมส่วนที่พร่องแล้วจับฉลาก. ทรงอนุญาตสีย้อมและวิธีการเกี่ยวกับจีวร ทรงอนญุ าตสยี อ้ มจวี ร ๖ ชนดิ คอื ทท่ี ำจาก รากไม,้ ลำตน้ ไม,้ เปลอื กไม,้ ใบไม้, ดอกไม้ และ ผลไม้ และทรงอนุญาตวิธีการและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการ ซกั ยอ้ มจวี ร คอื อนญุ าตหมอ้ ตม้ นำ้ ยอ้ ม ผกู ตะกรอ้ กนั นำ้ ลน้ กระบวยตกั นำ้ ยอ้ ม อา่ งหมอ้ และรางสำหรบั ยอ้ ม ราวจวี รสายระเดยี ง ผกู มมุ จวี รตาก ดา้ ยผกู มมุ จวี ร ทบุ ซกั จวี รดว้ ยฝา่ มอื . ทรงอนุญาตวิธีตัดจีวร ทรงหา้ มภกิ ษใุ ชจ้ วี รทย่ี งั ไมไ่ ดต้ ดั เพอ่ื ใหจ้ วี รทต่ี ดั แลว้ เศรา้ หมองเหมาะ แกส่ มณะและพวกโจรไมต่ อ้ งการ เมอ่ื เสดจ็ ไปยงั ทกั ขณิ าคริ ี (ภเู ขาภาคใต)้ ทอด พระเนตรเห็นนาชาวมคธ มีขอบคั่นและกระทงนา จึงตรัสให้พระอานนท์ลอง ตดั จวี รเปน็ รปู อยา่ งนน้ั ดู เมอ่ื พระอานนทท์ ำเสรจ็ ทรงสรรเสรญิ วา่ เปน็ ผฉู้ ลาด. ตอ่ มาทอดพระเนตรเหน็ ภกิ ษหุ อบจวี รพะรงุ พะรงั ทรงทดลองหม่ จวี ร ประทบั อยกู่ ลางแจง้ ในกลางคนื ฤดหู นาวดำรวิ า่ กลุ บตุ รในธรรมวนิ ยั นท้ี เ่ี ปน็ คน มปี กตหิ นาวกลวั ความหนาวอาจครองชพี อยไู่ ดด้ ว้ ยผา้ ๓ ผนื จงึ ทรงบญั ญตั ใิ หใ้ ช้ จวี ร ๓ ผนื (ไตรจวี ร) คอื ผา้ สงั ฆาฏิ (ผา้ ซอ้ นนอก) ๒ ชน้ั ผา้ หม่ (จวี ร) ๑ ชน้ั ผา้ นงุ่ (สบง) ๑ ชน้ั แลว้ ทรงอนญุ าตใหเ้ กบ็ จวี รทเ่ี กนิ จำนวน ๓ ผนื ไวไ้ ดไ้ มเ่ กนิ ๑๐ วนั ถา้ จะเกบ็ เกนิ กวา่ นน้ั ใหว้ กิ ปั (คอื ทำใหเ้ ปน็ ของ ๒ เจา้ ของ) ตอ่ มา ทรง อนญุ าตวา่ ถา้ เปน็ ผา้ เกา่ คา้ งฤดใู หใ้ ชส้ งั ฆาฏิ ๔ ชน้ั ผา้ จวี ร ๒ ชน้ั สบง ๒ ชน้ั (เพอ่ื ไมใ่ หเ้ หน็ ชอ่ งขาดปปุ ะ) อนญุ าตผา้ ปะชนุ , รงั ดมุ และลกู ดมุ .
๒๖๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทรงอนญุ าตคำขอ ๘ ประการของนางวสิ าขา นางวสิ าขาปรารถนาจะถวายความสะดวกแกพ่ ระภกิ ษสุ งฆ์ จงึ กราบทลู ขอพร ๘ ประการ เพื่อถวายสิ่งต่างๆแก่ภิกษุจนตลอดชีวิต อ้างเหตุผลที่เคย ประสบมาตา่ งๆ อนั ควรจะทรงอนญุ าต กท็ รงอนญุ าตตามทข่ี อรอ้ ง คอื :- ๑. ผา้ วสั สกิ สาฎก (ผา้ อาบนำ้ ฝน) ๒. อาคนั ตกุ ภตั (อาหารสำหรบั ภกิ ษผุ เู้ พง่ิ มา) ๓. คมกิ ภตั (อาหารสำหรบั ภกิ ษผุ เู้ ตรยี มจะเดนิ ทางไป) ๔. คลิ านภตั (อาหารสำหรบั ภกิ ษผุ ปู้ ว่ ยไข)้ ๕. คลิ านปุ ฏั ฐากภตั (อาหารสำหรบั ภกิ ษผุ พู้ ยาบาลไข)้ ๖. คลิ านเภสชั (ยาสำหรบั ภกิ ษผุ ปู้ ว่ ยไข)้ ๗. ขา้ วยาคทู ถ่ี วายเปน็ ประจำ ๘. ผา้ อทุ กสาฎก (ผา้ อาบนำ้ สำหรบั นางภกิ ษณุ )ี ทรงอนญุ าตผา้ อน่ื ๆ ตอ่ มาทรงจารกิ ไปตามเสนาสนะ ทอดพระเนตรเหน็ เสนาสนะเปอ้ื นอสจุ ิ ทรงยนื ยนั ตามคำของพระอานนทท์ ว่ี า่ เปน็ เพราะเมอ่ื ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั จำวดั หลบั ขาดสติสัมปชัญญะน้ำอสุจิย่อมออกมาเพราะความฝัน ตรัสว่า “ภิกษุผู้จำวัด โดยมสี ตติ ง้ั มน่ั นำ้ อสจุ ยิ อ่ มไมเ่ คลอ่ื น แมป้ ถุ ชุ นผปู้ ราศจากความกำหนดั ในกาม๑ น้ำอสุจิย่อมไม่ออกมา ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ใช่โอกาสที่น้ำอสุจิของ พระอรหนั ตจ์ ะออกมา” ตรสั โทษแลว้ แสดงอานสิ งสข์ องการนอนหลบั อยา่ งมสี ติ ๕ อยา่ ง คอื ๑.หลับเป็นสุข ๒.ตื่นเป็นสุข ๓.ไม่ฝันเห็นความเลวทราม ๔.เทวดารักษา ๕.นำ้ อสจุ ไิ มเ่ คลอ่ื น อนญุ าตใหม้ ผี า้ ปนู ง่ั หรอื ผา้ ปนู อน (เพอ่ื ปอ้ งกนั เสนาสนะเปรอะเปอ้ื น) ๑ ปถุ ชุ นผปู้ ราศจากความกำหนดั ในกาม คอื ผมู้ ปี กตไิ ดฌ้ าณ (ว.ิ อ. ๓ / ๓๕๓ / ๒๑๘)
คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๖๓ ทรงอนุญาตผ้าปิดฝี เมื่อเป็นฝีเป็นต่อม, ทรงอนุญาตผ้าเช็ดหน้า และผ้าอื่นๆ ทใ่ี ชเ้ ปน็ บรขิ าร เชน่ ผา้ กรองนำ้ , ถงุ ใสข่ อง แลว้ ตรสั สรปุ วา่ ผา้ ไตรจวี รใหอ้ ธษิ ฐาน ไมใ่ หว้ กิ ปั , ผา้ อาบนำ้ ฝนใหอ้ ธษิ ฐานใชต้ ลอด ๔ เดอื นฤดฝู นตอ่ จากนน้ั ใหว้ กิ ปั , ผ้าปูนั่ง ผ้าปูนอน ให้อธิษฐานไม่ให้วิกัป, ผ้าปิดฝีให้อธิษฐานไว้ใช้ตลอดเวลา ทอ่ี าพาธหายแลว้ ใหว้ กิ ปั , ผา้ เชด็ หนา้ และผา้ ทใ่ี ชเ้ ปน็ บรขิ ารอน่ื ๆใหอ้ ธษิ ฐาน ไมใ่ หว้ กิ ปั ผา้ ทม่ี ขี นาดยาว ๘ นว้ิ กวา้ ง ๔ นว้ิ เปน็ อยา่ งตำ่ พงึ วกิ ปั . ทรงอนุญาตและห้ามเกี่ยวกับจีวรอีก เพราะผา้ บงั สกุ ลุ หนกั จงึ ทรงอนญุ าตใหเ้ ยบ็ ดามดว้ ยดา้ ย,มมุ ไมเ่ สมอ ทรง อนญุ าตเจยี นมมุ , ดา้ ยลยุ่ ออก ทรงอนญุ าตตดิ อนวุ าต, แผน่ ผา้ สงั ฆาฏลิ ยุ่ ทรง อนญุ าตเยบ็ ตะเขบ็ ดงั ตาหมากรกุ , เมอ่ื สงฆท์ ำจวี รใหภ้ กิ ษรุ ปู หนง่ึ ผา้ ๒ ผนื ไมต่ ดั ผนื หนง่ึ ตอ้ งตดั ผา้ กย็ งั ไมพ่ อ จงึ ทรงตรสั วา่ เราอนญุ าตใหเ้ พม่ิ ผา้ เพลาะ แตผ่ า้ ทกุ ผนื ทไ่ี มไ่ ดต้ ดั ภกิ ษไุ มพ่ งึ ใช้ รปู ใดใช้ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ, ผา้ เกดิ ขน้ึ แกภ่ กิ ษรุ ปู หนง่ึ หลายผนื ทา่ นปรารถนาจะใหผ้ า้ นน้ั แกโ่ ยมมารดาบดิ า ตรสั อนญุ าตวา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ทง้ั หลาย เมอ่ื ภกิ ษใุ หด้ ว้ ยรวู้ า่ มารดาบดิ าเราจะพงึ วา่ อะไร เราอนญุ าตใหส้ ละแก่ มารดาบดิ า แตภ่ กิ ษไุ มพ่ งึ ทำศรทั ธาไทยใหต้ กไป รปู ใดใหต้ กไป ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ. มปี ญั หาเรอ่ื งการนำจวี รไปไมค่ รบสำรบั จวี รทเ่ี กบ็ ไวถ้ กู โจรลกั ไป จงึ ทรง บญั ญตั วิ า่ ภกิ ษมุ แี ตอ่ ตุ ราสงค์ (จวี ร) กบั อนั ตรวาสก (สบง) ไมพ่ งึ เขา้ หมบู่ า้ น รปู ใดเขา้ ไปตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ภายหลงั ทรงกำหนด เงอ่ื นไขวา่ เมอ่ื มเี หตจุ ำเปน็ ๕ อยา่ งจะเขา้ บา้ นโดยเกบ็ จวี รไวไ้ มน่ ำไปครบสำรบั ได้ คอื ๑.เปน็ ไข้ ๒.สงั เกตเหน็ วา่ ฝนจะตก ๓.ไปสฝู่ ง่ั แมน่ ำ้ ๔.ทอ่ี ยคู่ มุ้ ไดด้ ว้ ยดาล(กลอน) ๕.ไดก้ รานกฐนิ แลว้ และมปี ญั หาเรอ่ื งมผี ถู้ วายจวี รแกส่ งฆ์ แตอ่ ยไู่ มค่ รบสงฆค์ อื ๔ รปู ตรสั วา่ ถา้ เปน็ ชว่ งพรรษาจนถงึ เดาะกฐนิ จวี รเปน็ ของภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ถา้ อยผู่ เู้ ดยี วตลอด กาลอน่ื ใหอ้ ธษิ ฐานวา่ จวี รนน้ั เปน็ ของเรา กอ่ นอธษิ ฐานถา้ มภี กิ ษอุ น่ื มาใหแ้ บง่ เท่าๆกัน ทรงห้ามภิกษุผู้จำพรรษาในวัดหนึ่ง แต่จะละโมบไปยินดีรับจีวร ในวดั อน่ื เปน็ สว่ นแบง่ อกี ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ, มภี กิ ษทุ ำเปน็ วา่ อยจู่ ำพรรษา ๒ แหง่
๒๖๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทรงติเตียน แล้วทรงให้แบ่งส่วนจีวรวัดละกึ่งส่วน หรือให้ส่วนของจีวร ของวดั ทเ่ี ธอจำพรรษามาก. พระพุทธเจ้าทรงพยาบาลภิกษุอาพาธ สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ขณะนั้นพระผู้มีพระภาค มีท่าน พระอานนทต์ ามเสดจ็ เทย่ี วตรวจเสนาสนะไปยงั ทอ่ี ยขู่ องภกิ ษนุ น้ั ทอดพระเนตร เหน็ เธอนอนจมปสั สาวะ อจุ จาระของตนอยู่ จงึ เสดจ็ เขา้ ไปพยาบาล และรบั สง่ั ให้ พระอานนทไ์ ปนำนำ้ มาสรงนำ้ ใหเ้ ธอ พระองคท์ รงรดนำ้ พระอานนทท์ ำความ สะอาด พระผมู้ พี ระภาคทรงจบั ทางศรี ษะ พระอานนทย์ กทางเทา้ ใหภ้ กิ ษนุ น้ั นอนบนเตยี ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงเรียกประชุมภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตกุ ารณน์ น้ั ตรสั ถามภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ “รหู้ รอื ไมว่ า่ มภี กิ ษอุ าพาธอยู่ ในวหิ ารโนน้ ดว้ ยโรคอะไร มใี ครพยาบาลภกิ ษนุ น้ั หรอื ไม”่ ภกิ ษทุ ง้ั หลายกท็ ลู วา่ “ทราบวา่ มภี กิ ษอุ าพาธอยใู่ นวหิ ารโนน้ ดว้ ยโรคทอ้ งเสยี โดยไมม่ ใี ครพยาบาล” จงึ ตรสั ถามวา่ “ทำไมเลา่ ? ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ ไมพ่ ยาบาลเธอ” ภกิ ษทุ ง้ั หลายกท็ ลู ตอบว่า “ภิกษุทั้งหลายไม่พยาบาลเธอ เพราะเธอไม่ทำประโยชน์แก่ภิกษุ ทั้งหลายพระเจ้าข้า.” พระผู้มีพระภาคจึงทรงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! มารดาบิดา ผู้จะพึงพยาบาลพวกเธอ กไ็ มม่ .ี ถา้ เธอไมพ่ ยาบาลกนั เอง ใครเลา่ จกั พยาบาล. ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ผใู้ ดจะพยาบาลเรา กพ็ งึ พยาบาลภกิ ษไุ ขเ้ ถดิ . ถ้ามีอุปัชฌาย์ๆพึงพยาบาลเธอตลอดชีวิตจนกว่าจะหาย ถา้ มอี าจารยๆ์ พงึ พยาบาลเธอตลอดชวี ติ จนกวา่ จะหาย ถา้ มสี ทั ธวิ หิ ารกิ ๆ พงึ พยาบาลเธอตลอดชวี ติ จนกวา่ จะหาย ถา้ มอี นั เตวาสกิ ๆ พงึ พยาบาลเธอ ตลอดชวี ติ จนกนกวา่ จะหาย ถา้ มภี กิ ษผุ รู้ ว่ มอปุ ชั ฌายๆ์ พงึ พยาบาลเธอ ตลอดชีวิตจนกว่าจะหาย ถ้ามีภิกษุผู้ร่วมอาจารย์ๆพึงพยาบาลเธอ ตลอดชีวิตจนกว่าจะหาย ถ้าไม่มีอุปัชฌาย์ อาจารย์ สัทธิวิหาริก อันเตวาสิก ผู้ร่วมอุปัชฌาย์ หรือผู้ร่วมอาจารย์ สงฆ์พึงพยาบาลเธอ ถ้าไม่พยาบาลต้องอาบัติทุกกฏ”.
คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๖๕ ทรงแสดงคณุ สมบตั ขิ องคนไขท้ พ่ี ยายาบาลไดง้ า่ ย ๕ คอื ๑.ทำความสบาย ๒.รู้ประมาณในความสบาย ๓.ฉันยา ๔.บอกอาการไข้ตามเป็นจริง ๕.อดทนตอ่ ความรสู้ กึ ทางกายทเ่ี กดิ ขน้ึ ทรงตรสั คณุ สมบตั ขิ องคนไขท้ พ่ี ยาบาลไดย้ าก มนี ยั ตรงกนั ขา้ มกบั คนไข้ ทพ่ี ยาบาลไดง้ า่ ย และตรสั องคข์ องผคู้ วรพยาบาลภกิ ษไุ ข้ ๕ คอื ๑.สามารถจัดยา ๒.รู้จักของแสลงและไม่แสลง ๓.ไม่พยาบาลเพราะเห็นแก่อามิส มีจิตเมตตา ๔.ไมร่ งั เกยี จทจ่ี ะนำอจุ จาระ ปสั สาวะ นำ้ ลายของทอ่ี าเจยี นไปเททง้ิ ๕.สามารถพดู ใหเ้ หน็ ชดั รบั ไปปฏบิ ตั ิ เรา้ ใจใหก้ ลา้ ปลอบใหส้ ดชน่ื สมยั นน้ั มภี กิ ษสุ ามเณรอาพาธไดม้ รณภาพลง ตรสั วา่ “เมอ่ื ภกิ ษสุ ามเณร มรณภาพ สงฆเ์ ปน็ เจา้ ของบาตรและจวี ร แตภ่ กิ ษผุ พู้ ยาบาลเปน็ ผมู้ อี ปุ การะมาก เราอนญุ าตใหส้ งฆม์ อบไตรจวี รและบาตรแกภ่ กิ ษสุ ามเณรผพู้ ยาบาล” นอกจากนน้ั ไดท้ รงแสดงวธิ สี วดประกาศของสงฆ์ เพอ่ื มอบของผเู้ ปน็ ไข้ ที่สิ้นชีวิตแก่ภิกษุผู้พยาบาล ทรงอนุญาตให้สงฆ์พร้อมใจกันแบ่งลหุภันฑ์ ลหบุ รขิ าร (ของเลก็ ๆนอ้ ยๆ) แตถ่ า้ เปน็ ครภุ ณั ฑ์ ครบุ รขิ าร (คอื ของใชข้ นาดใหญ)่ หา้ มแบง่ และแจกใหเ้ กบ็ ไวใ้ ชเ้ ปน็ ของสงฆ.์ การเปลือยกายและการใช้ผ้า ทรงห้ามสมาทานการเปลือยกายแบบเดียรถีย์ และปรับอาบัติ ถุลลัจจัยแก่ผู้ล่วงละเมิด อนึ่งทรงห้ามใช้ผ้าคากรอง, เปลือกต้นไม้กรอง, ผลไมก้ รอง, ผา้ กมั พล ทำดว้ ยผมคน, ผา้ กมั พล ทำดว้ ยขนหางสตั ว์ ปกี นกเคา้ หรอื หนังเสือ, ซึ่งเป็นผ้านุ่งห่มของพวกเดียรถีย์ใช้นุ่งห่ม ฝ่าฝืนต้องอาบัติถุลลัจจัย และหา้ มนงุ่ ผา้ ทำดว้ ยกา้ นดอกรกั , ดว้ ยเปลอื กปอ ปรบั อาบตั ทิ กุ กฏ.
๒๖๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทรงหา้ มใชจ้ วี รทม่ี สี ไี มค่ วร และหา้ มใชเ้ สอ้ื หมวก ผา้ โพก ทรงหา้ มใชจ้ วี รมสี ไี มส่ มควรตา่ ง ๆ คอื เขยี วลว้ น, เหลอื งลว้ น, แดงลว้ น, สีบานเย็นล้วน, ดำล้วน, สีแสดล้วน, ชมพูล้วน อนึ่ง ทรงห้ามใช้จีวรที่ ไม่ตัดชาย, จีวรมีชายยาว, จีวรมีชายเป็นดอกไม้, จีวรมีชายเป็นแผ่น และทรงหา้ มใชเ้ สอ้ื , หมวก, ผา้ โพก ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ . ทรงวางหลักเกี่ยวกับจีวรอีก เมอ่ื ภกิ ษจุ ำพรรษาแลว้ จวี รยงั ไมท่ นั เกดิ ขน้ึ หลกี ไปเสยี ภายหลงั มจี วี ร เกิดขึ้น ถ้ามีผู้รับแทนเธอที่สมควรจะให้ก็ให้ได้ แต่ถ้าเธอสึกเสีย เป็นต้น สงฆย์ อ่ มเปน็ ใหญ่ ถา้ สงฆแ์ ตกกนั ใหแ้ จกผา้ ตามความประสงค์ ของผถู้ วายวา่ จะถวายแกฝ่ า่ ยไหน ถา้ เขาไมเ่ จาะจงใหแ้ บง่ ฝา่ ยละเทา่ กนั . อนง่ึ ทรงวางหลกั การถอื เอาจวี รทฝ่ี ากไปถวายผอู้ น่ื ดว้ ยถอื วสิ าสะ คอื คนุ้ เคยกนั ถา้ ผฝู้ ากจวี รไปกลา่ ววา่ “จงถวาย...” ถอื วา่ ของนน้ั เปน็ ของผฝู้ ากไปอยู่ แตถ่ า้ กลา่ ววา่ “ขอถวาย...” ของนน้ั เปน็ ของผรู้ บั แลว้ ฉะนน้ั ถา้ จะถอื จวี รนน้ั เอาดว้ ยวสิ าสะตอ้ งถอื วสิ าสะใหถ้ กู เจา้ ของ แลว้ ทรงแสดงกตกิ า (ขอ้ กำหนดหรอื แมบ่ ท) ๘ ประการทจ่ี วี รจะเกดิ ขน้ึ คอื ๑. เขาถวายกำหนดเขตภกิ ษทุ อ่ี ยใู่ นสมี า ๒. เขาถวายกำหนดกตกิ า ๓. เขาถวายกำหนดเฉพาะเขตหรอื วดั ทเ่ี ขาทำบญุ ประจำ ๔. เขาถวายแกส่ งฆ์ ๕. เขาถวายแกส่ งฆ์ ๒ ฝา่ ย (คอื ภกิ ษุ และ ภกิ ษณุ ี พงึ ใหฝ้ า่ ยละครง่ึ ) ๖. เขาถวายแก่สงฆ์ที่จำพรรษาแล้วในอาวาสนั้น ๗. เขาถวายโดยเจาะจง (ใหเ้ กย่ี วเนอ่ื งกบั การถวายขา้ วยาคู หรอื อาหารอน่ื ๆ เปน็ ตน้ ) ๘. เขาถวายจำเพาะบคุ คล (คอื แกภ่ กิ ษรุ ปู นน้ั รปู น)้ี .
คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๖๗ ๕. จมั เปยยขนั ธกะ (หมวดว่าด้วยเหตุการณ์ในกรุงจัมปา) การทำกรรมที่ไม่เป็นธรรมและที่เป็นธรรม ภิกษุชื่อ กัสสปโคตร เป็นผู้เอื้อเฟื้อดีต่อภิกษุที่เป็นอาคันตุกะเมื่อมี ภิกษุอาคันตุกะมาก็ต้อนรับ ถวายความสะดวกด้วยประการต่างๆภิกษุที่มา ติดใจพักอยู่ด้วย แต่เมื่อพักอยู่นานไป ภิกษุชื่อกัสสปโคตร ก็ไม่ขวนขวาย อาหารให้เพราะถือว่ารู้ทำเลบิณฑบาตแล้ว ถ้าขวนขวายมากก็จะต้องรบกวน ชาวบา้ นเปน็ การประจำ ภกิ ษอุ าคนั ตกุ ะไมพ่ อใจรวมกนั สวดประกาศยกเธอเสยี จากหมู่ (ลงอกุ เขปนยี กรรมอยา่ งผดิ ๆ) เธอจงึ ไปเขา้ เฝา้ กราบทลู พระผมู้ พี ระภาค เมอ่ื ทรงทราบเหตกุ ารณต์ รสั สง่ั ใหเ้ ธอกลบั ไปอยทู่ เ่ี ดมิ ทรงชแ้ี จงวา่ ภกิ ษทุ ล่ี งโทษ เธอนน้ั ทำไปโดยไมเ่ ปน็ ธรรม เธอไมม่ อี าบตั อิ ะไร ฝา่ ยภกิ ษพุ วกทล่ี งโทษรอ้ นตวั จงึ มาขอขมาตอ่ สมเดจ็ พระบรมศาสดา พระองคป์ ระทานอภยั แลว้ จงึ ทรงแสดง การทำสังฆกรรมที่เป็นธรรมและไม่เป็นธรรมหลายอย่างหลายประการ พรอ้ มทง้ั ทรงกำหนดจำนวนสงฆท์ ท่ี ำกรรมดงั น้ี :- ๑. สงฆ์ ๔ รปู ทำกรรมทง้ั ปวงได้ เวน้ แต่ การอปุ สมบท, สงั ฆปวารณา, และสวดถอนจากอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส (อพั ภาน)๑. ๒. สงฆ์ ๕ รปู ทำกรรมทง้ั ปวงได้ เวน้ แต่ การอปุ สมบทกลุ บตุ ร ในมชั ฌมิ ประเทศ และการสวดถอนจากอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส. ๓. สงฆ์ ๑๐ รปู ทำกรรมทง้ั ปวงได้ เวน้ แตก่ ารสวดถอนจากอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส. ๔. สงฆ์ ๒๐ รปู ทำกรรมทง้ั ปวงได.้ ๕. สงฆเ์ กนิ ๒๐ รปู ขน้ึ ไป ทำกรรมทง้ั ปวงได.้ ๑ แสดงวา่ กฐนิ กใ็ ชส้ งฆ์ ๔ รปู ได้ แตอ่ รรถกถาแกว้ า่ กฐนิ ตอ้ ง ๕ รปู ซง่ึ ปรากฎในอรรถกถาเลม่ ๓ หนา้ ๒๑๐ เมอ่ื อรรถกถาแยง้ กบั บาลพี ระไตรปฎิ ก จงึ ตอ้ งฟงั ทางบาลี นกั วนิ ยั ธรพงึ พจิ ารณาเถดิ .
๒๖๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก แตท่ กุ ขอ้ น้ี ตอ้ งประชมุ พรอ้ มเพรยี งกนั โดยธรรม ถกู ตอ้ งตามพระวนิ ยั ครั้นแล้วทรงอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสงฆ์ ๔ รูป ๕ รูป ๑๐ รูป ๒๐ รูป ซึ่งทำกรรมต่างๆกันโดยพิสดาร. ตัชชนียกรรม (ข่มขู่) ทรงแสดงหลกั การลงตชั ชนยี กรรม คอื การสวดประกาศลงโทษเปน็ การ ตำหนภิ กิ ษผุ ชู้ อบหาเรอ่ื งกอ่ การทะเลาะววิ าทกอ่ เรอ่ื งออ้ื ฉาวกอ่ อธกิ รณข์ น้ึ ในสงฆ.์ นยิ สกรรม (ถอดยศหรอื ตดั สทิ ธ)ิ ทรงแสดงหลักการลงนิยสกรรม คือ การถอดยศหรือตัดสิทธิแก่ภิกษุ ผมู้ ากดว้ ยอาบตั ิ คลกุ คลกี บั คฤหสั ถ์ ในลกั ษณะทไ่ี มส่ มควร. ปพั พาชนยี กรรม (ขบั ไล)่ ทรงแสดงหลักการลงปัพพาชนียกรรม คือการไล่เสียจากวัด แก่ภิกษุ ผปู้ ระทษุ รา้ ยตระกลู ประจบคฤหสั ถ์ ยอมตวั ใหเ้ ขาใช้ มคี วามประพฤตชิ ว่ั . ปฏสิ ารณยี กรรม (ขอโทษคฤหสั ถ)์ ทรงแสดงหลักการลงปฏิสารณียกรรม คือการให้ไปขอโทษคฤหัสถ์ แกภ่ กิ ษผุ ดู้ า่ บรภิ าษคฤหสั ถ.์ อุกเขปนียกรรม (ยกเสียจากหมู่) ครั้นแล้วทรงแสดงหลักการลงอุกเขปนียกรรม คือการสวดประกาศ ยกเสยี จากหมู่ ไมใ่ หใ้ ครรว่ มกนิ รว่ มนอน หรอื คบหาดว้ ย วา่ จะทำไดใ้ นกรณที ่ี
คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๖๙ ไมเ่ หน็ อาบตั ,ิ ไมท่ ำคนื อาบตั ,ิ ไมส่ ละความเหน็ ทช่ี ว่ั ตอ่ จากนน้ั ทรงอธบิ ายการ ทำกรรมที่เป็นธรรมและไม่เป็นธรรมแก่พระอุบาลี. ครน้ั แลว้ ทรงแสดงวธิ รี ะงบั การลงโทษทง้ั ๕ ประการนน้ั เมอ่ื ภกิ ษรุ ปู ท่ี ถกู ลงโทษตา่ ง ๆ แลว้ กลบั ประพฤตชิ อบหายเยอ่ หยง่ิ กลบั ตวั ได้ ขอระงบั กรรม นน้ั ๆ กบั สงฆ์ (การลงโทษทง้ั ๕ ประการน้ี เรยี กรวม ๆ วา่ การลงนคิ หกรรม) รายละเอยี ดพสิ ดารในเรอ่ื งน้ี ยงั จะมใี นพระไตรปฎิ ก เลม่ ๖ ตอนกมั มขนั ธกะ วา่ ดว้ ยสงั ฆกรรมเกย่ี วดว้ ยการลงโทษ หนา้ ๒๗๔ (และมรี ายละเอยี ดซง่ึ อธบิ าย ดว้ ยแผนผงั สรปุ วธิ กี ารทางสงฆเ์ พอ่ื จดั การอธกิ รณ์ ๔ ในภาคพเิ ศษ หนา้ ๔๗๕, ๔๘๓).
๒๗๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๖. โกสมั พขิ นั ธกะ หมวดว่าด้วยเหตุการณ์ในกรุงโกสัมพี เรอ่ื งมอี ยวู่ า่ ภกิ ษุ ๒ รปู ทะเลาะกนั คอื รปู หนง่ึ หาวา่ อกี รปู หนง่ึ ตอ้ งอาบตั ิ แล้วไม่เห็นอาบัติ จึงพาพวกมาประชุมสวดประกาศลงอุกเขปนียกรรม แกภ่ กิ ษรุ ปู นน้ั ตา่ งกม็ เี พอ่ื นฝงู มากดว้ ยกนั ทง้ั สองฝา่ ย และตา่ งหาวา่ อกี ฝา่ ยหนง่ึ ทำไมถ่ กู ถงึ กบั สงฆแ์ ตกกนั เปน็ สองฝา่ ย และแยกทำอโุ บสถ แมพ้ ระผพู้ ระภาค จะทรงแนะนำตักเตือนให้ประนีประนอมกันก็ไม่ฟัง ในที่สุดถึงกับทะเลาะวิวาท และแสดงอาการทางกายทางวาจา ทไ่ี มส่ มควรตอ่ กนั . พระผู้มีพระภาคทรงตักเตือนอีก ภิกษุเหล่านั้นก็กลับพูดขอให้ พระผู้มีพระภาคอย่าทรงเกี่ยวข้อง ขอให้ทรงหาความสุขส่วนพระองค์ไป ตนจะดำเนนิ การกนั เองตอ่ ไป (ดทู รงประฌามภกิ ษทุ ท่ี ะเลาะววิ าทกนั หนา้ ๓๘๗) พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงสง่ั สอนใหด้ ตู วั อยา่ งทฆี าวกุ มุ าร แหง่ แควน้ โกศล ผู้คิดแก้แค้นพระเจ้าพรหมทัตแห่งแคว้นกาสี ในการที่จับพระราชบิดาของ พระองค์ คือพระเจ้าทีฆีติไปทรมานประจานและประหารชีวิต เมื่อมีโอกาสจะ แก้แค้นได้ก็ยังระลึกถึงโอวาทของบิดา ที่ไม่ให้เห็นแก่ยาว (คือไม่ให้ผูกเวร จองเวรไวน้ าน) ไมใ่ หเ้ หน็ แกส่ น้ั (คอื ไมใ่ หต้ ดั ไมตร)ี และใหส้ ำนกึ วา่ เวรยอ่ มระงบั ดว้ ยการไมจ่ องเวร จงึ ไวช้ วี ติ พระเจา้ พรหมทตั แลว้ กลบั ไดร้ าชสมบตั ทิ เ่ี สยี ไปคนื พร้อมทั้งได้พระราชธิดาของพระเจ้าพรหมทัตด้วย. ทรงสรุปว่า พระราชาที่จับศัสตราอาวุธยังทรงมีขันติและโสรัจจะได้ จงึ ควรทภ่ี กิ ษทุ ง้ั หลายผบู้ วชในพระธรรมวนิ ยั นจ้ี ะมคี วามอดทนและความสงบเสงย่ี ม แต่ภิกษุเหล่านั้นก็มิได้เชื่อฟัง จึงเสด็จไปจากที่นั้นสู่พาลกโลณการกคาม, สปู่ า่ ชอ่ื ปาจนี วงั สะโดยลำดบั ไดท้ รงพบปะกบั พระเถระตา่ งๆในทท่ี เ่ี สดจ็ ไปนน้ั ในที่สุดได้เสด็จไปพำนักอยู่ ณ โคนไม้สาละอันร่มรื่น ณ ป่าชื่อปาริเลยยกะ ในตอนนี้ได้เล่าเรื่องแทรกว่า มีพญาช้างชื่อปาริเลยยกะ มาอุปัฏฐากดูแล พระผมู้ พี ระภาค ตอ่ จากนน้ั จงึ ไดเ้ สดจ็ ไปยงั กรงุ สาวตั ถ.ี
คมั ภรี ม์ หาวรรค ภาค ๒ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๕) ๒๗๑ อบุ าสกอบุ าสกิ าชาวโกสมั พไี มพ่ อใจภกิ ษทุ แ่ี ตกกนั เหลา่ นน้ั จงึ นดั กนั ไมแ่ สดงความเคารพไมถ่ วายอาหารบณิ ฑบาต ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ไดร้ บั ความลำบาก กร็ สู้ กึ สำนกึ ผดิ จงึ พากนั เดนิ ทางไปกรงุ สาวตั ถแี ละยอมตกลงระงบั ขอ้ ววิ าท แตกแยกกนั โดยภกิ ษรุ ปู ทเ่ี ปน็ ตน้ เหตยุ อมแสดงอาบตั ิ ภกิ ษฝุ า่ ยทส่ี วดประกาศ ลงโทษยอมถอนประกาศ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสให้ประชุมสงฆ์สวดประกาศ ระงบั เรอ่ื งนน้ั เปน็ สงั ฆสามคั คดี ว้ ยทตุ ยิ กรรมวาจา เสรจ็ แลว้ ใหส้ วดปาตโิ มกข.์ อนง่ึ ทรงแสดงเรอ่ื งสงั ฆสามคั คี คอื ความพรอ้ มเพรยี งแหง่ สงฆท์ ไ่ี มเ่ ปน็ ธรรมและทเ่ี ปน็ ธรรม โดยแสดงวา่ การสามคั คกี นั ภายหลงั ทแ่ี ตกกนั แลว้ จะตอ้ ง แกท้ ต่ี น้ เหตวุ นิ จิ ฉยั เรอ่ื งราวเขา้ หาเรอ่ื งเดมิ ใหเ้ สรจ็ สน้ิ ไป ไมใ่ ชป่ ลอ่ ยคลมุ ๆไว้ แลว้ สามคั คกี นั อยา่ งคลมุ ๆ. (เหน็ ไดว้ า่ ตอนนแ้ี สดงเปน็ ประวตั ไิ วเ้ ปน็ สว่ นใหญ่ สว่ นขอ้ วนิ ยั เกย่ี วกบั สงฆแ์ ตกกนั ในตอนน้ี มซี ำ้ กบั ทจ่ี ะกลา่ วขา้ งหนา้ ในเลม่ ๗ สงั ฆเภทขนั ธกะ คอื หมวดวา่ ดว้ ยสงฆแ์ ตกกนั ).
ผตู้ อ้ งตดิ ตอ่ ดว้ ยสตรี ทา่ นอานนท์ ทลู ถามวา่ : \"ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! ขา้ พระองคท์ ง้ั หลาย จะปฏบิ ตั ใิ นมาตคุ าม (สตร)ี อยา่ งไร?\" พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ : \"อานนท!์ การไมพ่ บปะกนั .\" \"ขา้ แตพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ! เมอ่ื ยงั มกี ารพบปะกนั จะพงึ ปฏบิ ตั ิ อยา่ งไรเลา่ ?\" \"อานนท!์ การไมพ่ ดู ดว้ ย\" \"ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! เมอ่ื ตอ้ งพดู ดว้ ย จะพงึ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งไรเลา่ ?\" \"อานนท!์ ถา้ ตอ้ งพดู ดว้ ย พงึ มสี ตแิ ล.\" ( พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั . ๑๐ / ๑๖๔ / ๑๓๒ )
จลุ วรรค ภาค ๑ (พระไตรปฎิ ก เลม่ ๖) วรรคเลก็ แบง่ เปน็ ๔ ขนั ธ์
๒๗๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๑.กมั มขนั ธกะ หมวดว่าด้วยสังฆกรรมลงโทษเพื่อให้แก้ไขพฤติกรรม ตชั ชนยี กรรมท่ี ๑ (ดว้ ยการขม่ ข)ู่ โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม ของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นภิกษุพวกปัณฑุกะและ พระโลหติ กะไดก้ อ่ ความบาดหมาง กอ่ การทะเลาะ กอ่ การววิ าท กอ่ อธกิ รณ์ ในสงฆ์ ยแุ หยใ่ หภ้ กิ ษทุ ง้ั หลายบาดหมางกนั ภกิ ษผุ ชู้ อบสงบมกั นอ้ ย สนั โดษ มีความละอายต่างก็ติเตียน ครั้นแล้ว กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระองคส์ อบถามไดค้ วามวา่ เปน็ ความจรงิ จงึ ทรงตเิ ตยี นภกิ ษพุ วกพระปณั ฑกุ ะ และพระโลหิตกะโดยเอนกปริยาย แล้วตรัสโทษแห่งความเป็นผู้เลี้ยงยาก ความเปน็ คนมกั มาก ความคลกุ คลี ความเกยี จครา้ น แลว้ ตรสั คณุ แหง่ ความเปน็ คนเลี้ยงง่าย ความมักน้อยสันโดษ การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยเอนกปรยิ าย แลว้ ตรสั สง่ั ใหส้ งฆท์ ำตชั ชนยี กรรมแกภ่ กิ ษพุ วกพระปณั ฑกุ ะ และพระโลหิตกะโดยให้โจทอาบัติให้ระลึกว่าได้ทำผิดจริงหรือไม่ แล้วให้ ยกอาบตั ขิ น้ึ เปน็ เหตสุ วดประกาศขอมตสิ งฆล์ งตชั ชนยี กรรมแกพ่ วกภกิ ษเุ หลา่ นน้ั โดยสวดเสนอญตั ติ ๑ ครง้ั สวดประกาศยำ้ ขอมติ ๓ ครง้ั ลกั ษณะกรรมไมเ่ ปน็ ธรรม ๑๒ หมวด ครั้นแล้วทรงแสดงลักษณะการทำตัชชนียกรรมว่า อย่างไรเป็นธรรม อยา่ งไรไมเ่ ปน็ ธรรม ๑๒ หมวด หมวดละ ๓ ขอ้ คอื
คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๖) ๒๗๕ หมวดท่ี ๑ ๑. ทำลบั หลงั ๑ ๒. ไม่สอบถามก่อนแล้วทำ ๓. ไม่ทำตามปฏิญาณ หมวดท่ี ๒ ๑. ทำเพราะไม่ต้องอาบัติ ๒. ทำเพราะอาบัติเป็นอเทสนาคามินี๒ ๓. ทำเพราะอาบัติที่แสดงแล้ว หมวดท่ี ๓ ๑. ไมโ่ จทกอ่ นแลว้ ทำ ๒. ไมใ่ หจ้ ำเลยใหก้ ารกอ่ นแลว้ ทำ ๓. ไม่ปรับอาบัติแล้วทำ หมวดท่ี ๔ ๑. ทำลบั หลงั ๒. ทำโดยไม่เป็นธรรม ๓. สงฆแ์ บง่ พวกกนั ทำ หมวดท่ี ๕ ๑. ไม่สอบถามก่อนแล้วทำ ๒. ทำโดยไม่เป็นธรรม ๓. สงฆแ์ บง่ พวกกนั ทำ หมวดท่ี ๖ ๑. ไม่ทำตามปฏิญาณ ๒. ทำโดยไม่เป็นธรรม ๓. สงฆแ์ บง่ พวกกนั ทำ ๑ ลงลบั หลงั หมายถงึ ลงโดยทส่ี งฆ์ ธรรมวนิ ยั และบคุ คลไมอ่ ยพู่ รอ้ มหนา้ กนั (ว.ิ อ. ๓ / ๔ / ๒๕๑) ๒ อาบตั ทิ เ่ี ปน็ อเทสนาคามนิ ี ไดแ้ ก่ อาบตั ปิ าราชกิ และสงั ฆาทเิ สส (ว.ิ อ. ๓ / ๔ / ๒๕๑) ทช่ี อ่ื วา่ อเทสนาคามนิ ี เพราะเปน็ อาบตั ทิ ไ่ี มอ่ าจพน้ ไดด้ ว้ ยการแสดง (ปลงอาบตั )ิ
๒๗๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก หมวดท่ี ๗ ๑. ทำเพราะไม่ต้องอาบัติ ๒. ทำโดยไม่เป็นธรรม ๓. สงฆแ์ บง่ พวกกนั ทำ หมวดท่ี ๘ ๑. ทำเพราะอาบัติที่เป็นอเทสนาคามินี ๒. ทำโดยไม่เป็นธรรม ๓. สงฆแ์ บง่ พวกกนั ทำ หมวดท่ี ๙ ๑. ทำเพราะอาบัติที่แสดงแล้ว ๒. ทำโดยไม่เป็นธรรม ๓. สงฆแ์ บง่ พวกกนั ทำ หมวดท่ี ๑๐ ๑. ไมโ่ จทกอ่ นแลว้ ทำ ๒. ทำโดยไม่เป็นธรรม ๓. สงฆแ์ บง่ พวกกนั ทำ หมวดท่ี ๑๑ ๑. ไมใ่ หจ้ ำเลยใหก้ ารกอ่ นแลว้ ทำ ๒. ทำโดยไม่เป็นธรรม ๓. สงฆแ์ บง่ พวกกนั ทำ หมวดท่ี ๑๒ ๑. ไม่ปรับอาบัติแล้วทำ ๒. ทำโดยไม่เป็นธรรม ๓. สงฆแ์ บง่ พวกกนั ทำ ตัชชนียกรรมประกอบด้วยองค์ ๓ สิบสองหมวดนี้ จัดว่าเป็นกรรม ไมเ่ ปน็ ธรรมไมเ่ ปน็ วนิ ยั และระงบั แลว้ ไมด่ ี สว่ นลกั ษณะกรรมทเ่ี ปน็ ธรรมเปน็ วนิ ยั ระงับดีแล้ว ๑๒ หมวด ก็ตรงกันข้ามกับ ๑๒ หมวดนี้ ทั้งนี้สงฆ์ต้อง พรอ้ มเพรยี งกนั ทำ สงฆท์ ำเปน็ คณะเปน็ พวกๆไมไ่ ด้
คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๖) ๒๗๗ ลักษณะของผู้ที่ควรลงตัชชนียกรรม ภกิ ษทุ ส่ี งฆป์ รารถนาจะลงตชั ชนกี รรม กล็ งได้ คอื หมวดท่ี ๑ ๑. เปน็ ผชู้ อบกอ่ เรอ่ื งทะเลาะววิ าทกอ่ เรอ่ื งออ้ื ฉาว กอ่ อธกิ รณใ์ นสงฆ์ ๒. เปน็ ผตู้ อ้ งอาบตั กิ ำหนดมไิ ด๑้ มคี วามประพฤตไิ มเ่ รยี บรอ้ ย ๓. เปน็ ผคู้ ลกุ คลดี ว้ ยคฤหสั ถใ์ นทางทไ่ี มส่ มควร หมวดท่ี ๒ ๑. มศี ลี วบิ ตั ิ ในอธศิ ลี ๒ ๒. มอี าจารวบิ ตั ิ ในอชั ฌาจาร ๓. มที ฏิ ฐวิ บิ ตั ิ ในอตทิ ฏิ ฐิ หมวดท่ี ๓ ๑. ติเตียนพระพุทธเจ้า ๒. ติเตียนพระธรรม ๓. ติเตียนพระสงฆ์ หมวดท่ี ๔ ภกิ ษุ ๓ รปู คอื ๑. รปู หนง่ึ เปน็ ผกู้ อ่ ความบาดหมาง กอ่ การทะเลาะ กอ่ การววิ าท กอ่ ความออ้ื ฉาว กอ่ อธกิ รณใ์ นสงฆ์ ๒. รปู หนง่ึ เปน็ พาลไมฉ่ ลาดมอี าบตั กิ ำหนดมไิ ด้ มมี ารยาทไมส่ มควร ๓. รปู หนง่ึ คลกุ คลกี บั คฤหสั ถ์ ดว้ ยการคลกุ คลอี นั ไมส่ มควร หมวดท่ี ๕ ภกิ ษุ ๓ รปู คอื ๑. รปู หนง่ึ เปน็ ผมู้ ศี ลี วบิ ตั ิ ในอธศิ ลี ๒. รูปหนึ่งเป็นผู้มีอาจารวิบัติในอัชฌาจาร ๓. รูปหน่ึงเปน็ ผู้มีทิฏฐิวบิ ตั ิในอติทฏิ ฐิ ๑ เปน็ ผตู้ อ้ งอาบตั กิ ำหนดมไิ ด้ คอื เวน้ จากการกำหนดอาบตั ิ หมายถงึ ตอ้ งอาบตั ไิ มม่ ขี อบเขต (ว.ิ อ. ๓ /๔๐๗ /๒๔๒) ๒ มศี ลี วบิ ตั ิ ในอธศิ ลี คอื ตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ หรอื สงั ฆาทเิ สส มอี าจารวบิ ตั ิ ในอชั ฌาจาร คอื ตอ้ งอาบตั ทิ เ่ี หลอื อกี ๕ มถี ลุ ลจั จยั เปน็ ตน้ มที ฏิ ฐวิ บิ ตั ิ ในอตทิ ฏิ ฐิ คอื ประกอบดว้ ยความเหน็ วา่ โลกเทย่ี ง โลกไมเ่ ทย่ี ง โลกมที ส่ี ดุ โลกไมม่ ที ส่ี ดุ เปน็ ตน้ (ว.ิ อ. ๓ / ๘๔ / ๔๘ - ๔๙, ดทู ฏิ ฐนิ อกพทุ ธศาสนาในพรหมชาลสตู ร พระไตรปฏิ กแปลไทย มจร. ๙ / ๕๓ / ๒๑)
๒๗๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก หมวดท่ี ๖ ภกิ ษุ ๓ รปู คอื ๑. รูปหน่ึงกล่าวตเิ ตยี นพระพุทธเจา้ ๒. รูปหนึ่งกล่าวติเตียนพระธรรม ๓. รูปหนึ่งกล่าวติเตียนพระสงฆ์ เมอ่ื สงฆจ์ ำนง พงึ ลงตชั ชนยี กรรมแกภ่ กิ ษเุ หลา่ นแ้ี ล การถูกลงโทษเป็นเหตุให้เสียสิทธิต่าง ๆ ภกิ ษถุ กู สงฆล์ งตชั ชนยี กรรม จะตอ้ งประพฤตวิ ตั รหรอื ถกู ตดั สทิ ธติ า่ ง ๆ รวม ๑๘ อยา่ ง คอื :- ๑. ไมพ่ งึ ใหอ้ ปุ สมบท (หา้ มเปน็ อปุ ชั ฌาย)์ ๒. ไมพ่ งึ ใหน้ สิ ยั (หา้ มรบั ภกิ ษสุ ามเณรไวใ้ นปกครอง) ๓. ไม่พึงมีสามเณรไว้รับใช้ ๔. ไมพ่ งึ รบั แตง่ ตง้ั ใหส้ ง่ั สอนนางภกิ ษณุ ี ๕. ไดร้ บั แตง่ ตง้ั แลว้ กไ็ มพ่ งึ สง่ั สอนนางภกิ ษณุ ี ๖. ถกู สงฆล์ งโทษดว้ ยอาบตั ใิ ด ไมพ่ งึ ตอ้ งอาบตั นิ น้ั อกี ๗. ไมพ่ งึ ตอ้ งอาบัตปิ ระเภทเดยี วกนั นน้ั ๘. ไมพ่ งึ ตอ้ งอาบตั ทิ เ่ี ลวกวา่ นน้ั ๙. ไม่พึงตำหนิกรรมนั้น ๑๐.ไม่พึงตำหนิสงฆ์ผู้ทำกรรมนั้น ๑๑.ไมพ่ งึ หา้ มอโุ บสถแกภ่ กิ ษปุ กติ (ปกตตั ตภกิ ษุ๑) ๑๒.ไม่พึงห้ามปวารณาแก่ภิกษุผู้ปกติ ๑๓.ไม่พึงไต่สวนภิกษุอื่น ๑๔.ไม่พึงเริ่มตั้งอนุวาทาธิกรณ์ ๑๕.ไมพ่ งึ ขอใหภ้ กิ ษอุ น่ื ทำโอกาส ๑ ปกตตั ตภกิ ษุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษผุ มู้ ศี ลี และอาจาระเสมอกบั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย หรอื ภกิ ษโุ ดยปกตทิ ไ่ี มถ่ กู ลงโทษ หรอื ไมต่ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ (ว.ิ อ. ๓ / ๓๙๔ / ๒๔๐, ๗๕ / ๒๕๖, ๑๐๒ / ๒๗๒)
คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๖) ๒๗๙ ๑๖.ไม่พึงโจทอาบัติภิกษุอื่น ๑๗.ไมพ่ งึ ทำภกิ ษอุ น่ื ใหร้ ะลกึ (วา่ ทำความผดิ ขอ้ นน้ั ขอ้ นห้ี รอื ไม)่ ๑๘.ไมพ่ งึ ชว่ ยภกิ ษทุ ง้ั หลายใหส้ กู้ นั ในอธกิ รณ์ การไม่ระงับและระงับโทษ ภิกษุที่ถูกสงฆ์ลงตัชชนียกรรมเสียสิทธิต่างๆ แล้วฝ่าฝืนทำในข้อที่ ถูกตัดสิทธินั้นไม่ควรระงับการลงโทษ ต่อเมื่อปฏิบัติตามในการยอมเสียสิทธิ ตา่ งๆ จงึ ควรสวดประกาศระงบั โทษ ดว้ ยญตั ตจิ ตตุ ถกรรมวาจา. นยิ สกรรมท่ี ๒ (ถอดยศ หรอื ตดั สทิ ธ)ิ โดยสมัยนั้นแล ท่านพระเสยยสกะเป็นพาล ไม่ฉลาดมีอาบัติมาก มีมารยาทไม่สมควร อยู่คลุกคลีกับคฤหัสถ์ด้วยการคลุกคลีไม่สมควร ทั้งที่ ปกตตั ตะภกิ ษทุ ง้ั หลายไดใ้ หป้ รวิ าส-ชกั เขา้ หาอาบตั เิ ดมิ -ใหม้ านตั -ใหอ้ พั ภานอยู่ บรรดาภิกษุผู้มักน้อยมีความละอายต่างก็ติเตียน แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแก่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคป์ ระชมุ สงฆส์ อบถามไดค้ วามจรงิ จงึ ทรงตเิ ตยี น โดยเอนกปรยิ าย แลว้ รบั สง่ั ใหส้ งฆท์ ำนยิ สกรรมแกภ่ กิ ษพุ วกนน้ั คอื ใหก้ ลบั ถอื นสิ ยั ใหม่ เวลานน้ั ตอ้ งถกู ตดั สทิ ธติ า่ งๆเหมอื นกนั กบั ตชั ชนยี กรรม นอกจากนน้ั ทรงแสดงลกั ษณะการทำนยิ สกรรมวา่ อยา่ งไรไมเ่ ปน็ ธรรม อยา่ งไรเปน็ ธรรม ซง่ึ มขี อ้ กำหนดเหมอื นตชั ชนยี กรรม แลว้ ทรงแสดงลกั ษณะ ของภิกษุผู้ควรลงนิยสกรรม เหมือนกับลักษณะของผู้ถูกสงฆ์ลงตัชชนียกรรม ทุกประการ๑ การเสยี สทิ ธิ การระงบั การลงโทษ การไมร่ ะงบั การลงโทษตา่ งๆ กเ็ ปน็ อยา่ งเดยี วกนั กบั ตชั ชนยี กรรม ๑ ขอ้ สงั เกต ตชั ชนยี กรรมเนน้ ในเรอ่ื งกอ่ การววิ าท แตน่ ยิ สกรรมเนน้ ในเรอ่ื งตอ้ งอาบตั มิ าก, มมี ารยาทไมด่ ,ี คลกุ คลี กบั คฤหสั ถใ์ นทางไมส่ มควรทง้ั ทป่ี กตตั ตะภกิ ษทุ ง้ั หลายไดใ้ หป้ รวิ าส ชกั เขา้ หาอาบตั เิ ดมิ ใหม้ านตั ใหอ้ พั ภานอยู่
๒๘๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ปพั พาชนยี กรรมท่ี ๓ (ขบั ไล)่ สมยั นน้ั ภกิ ษพุ วกพระอสั สชิ และพระปนุ พั พสกุ ะเปน็ เจา้ ถน่ิ ในชนบท กฏิ าครี ี เปน็ ภกิ ษอุ ลชั ชี ประพฤตเิ ลวทราม ภกิ ษพุ วกนน้ั ประพฤตอิ นาจาร เหน็ ปานดงั น้ี คอื นำดอกไมไ้ ปฝากกลุ สตร,ี กลุ ธดิ า, กมุ าร,ี กลุ ทาส,ี สะใภแ้ หง่ ตระกลู , ดม่ื นำ้ ขนั เดยี วกนั บา้ ง, นง่ั อาสนะเดยี วกนั บา้ ง, นอนบนเตยี งเดยี วกนั บา้ ง, นอนรว่ มเครอ่ื งปลู าดอนั เดยี วกนั บา้ ง นอนคลมุ ผา้ หม่ ผนื เดยี วกนั บา้ งกบั กลุ สตรี กลุ ธดิ า กมุ ารี กลุ ทาสี และสะใภ้ ในตระกลู นอกจากนน้ั ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั กฉ็ นั อาหาร ในเวลาวกิ าล, ดม่ื นำ้ เมา, ทรงดอกไมข้ องหอม,ฟอ้ นรำ, รอ้ งเพลง, เตน้ รำ, เลน่ หมากรกุ , เลน่ ชงิ นาง, วง่ิ เปย้ี วกนั , หดั ขช่ี า้ งขม่ี า้ และชกมวยกนั ดงั น้ี เปน็ ตน้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงทราบ จงึ ทรงสง่ พระสารบี ตุ ร และพระโมคคลั ลานะ ให้ไปลงปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น ทรงแนะวิธีทำ วิธีสวดประกาศ มใิ หภ้ กิ ษเุ ลวทรามเหลา่ นน้ั อยใู่ นชนบทชอ่ื กฏิ าครี อี กี ตอ่ ไป (ดคู ำตรสั หนา้ ๔๔) ทรงแสดงลักษณะการทำปัพพาชนียกรรมว่า อย่างไรไม่เป็นธรรม อยา่ งไรเปน็ ธรรม ซง่ึ มขี อ้ กำหนดเหมอื นตชั ชนยี กรรมซง่ึ ไดก้ ลา่ วผา่ นมาแลว้ . ลักษณะของผู้ควรลงปัพพาชนียกรรม ทรงแสดงลักษณะของภิกษุ ผู้ควรลงปัพพาชนียกรรมหลายประการ มที ง้ั ความไมด่ ไี มง่ ามแบบทก่ี ลา่ วไวแ้ ลว้ ในตชั ชนยี กรรม แตม่ เี พม่ิ อกี ๘ หมวด คอื หมวดท่ี ๗ ๑.เล่นคะนองกาย ๒.เลน่ คะนองวาจา ๓.เล่นคะนองทั้งกายและวาจา หมวดท่ี ๘ ๑.ประพฤติไม่สมควรทางกาย ๒.ประพฤติไม่สมควรทางวาจา ๓.ประพฤติไม่สมควรทางกายและวาจา
คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๖) ๒๘๑ หมวดท่ี ๙ ๑.ทำลายพระบัญญัติทางกาย๑ ๒.ทำลายพระบัญญัติทางวาจา ๓.ทำลายพระบัญญัติทางกายและวาจา หมวดท่ี ๑๐ ๑.ประกอบมิจฉาชีพทางกาย๒ ๒.ประกอบมิจฉาชีพทางวาจา ๓.ประกอบมิจฉาชีพทางกายและวาจา และหมวดท่ี ๑๑-๑๔ คอื ภกิ ษุ ๓ รปู แตล่ ะรปู ทำไมด่ ไี มง่ ามดงั ทก่ี ลา่ วไว้ ในแต่ละหมวดนั้นรูปละอย่าง๓ การเสียสิทธิของภิกษุผู้ถูกลงปัพพาชนียกรรม คงมี ๑๘ อย่าง เชน่ เดยี วกบั ตชั ชนยี กรรม ทรงแสดงลกั ษณะทไ่ี มค่ วรระงบั การลงโทษ และควรระงบั การลงโทษ เชน่ เดยี วกบั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ . ปฏสิ ารณยี กรรมท่ี ๔ (ใหก้ ลบั ไปขอโทษ) พระสุธรรมอาศัยอยู่ในวัดของจิตตะคฤหบดี ณ ราวป่าชื่อมัจฉิกา โกรธคฤหบดนี มิ นตพ์ ระเถระรปู อน่ื ไปฉนั ไมแ่ จง้ ตนกอ่ น จงึ เกดิ ถกเถยี งกนั กบั คหบดี ทง้ั พดู กระทบตระกลู ของคหบดี และไดแ้ สดงอาการ อนั ไมส่ มควรอยา่ งอน่ื คหบดีนิมนต์ให้ฉันก็ไม่ฉันโกรธ หนีไปกราบทูลความต่อพระผู้มีพระภาค ทพ่ี ระเชตวนั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงไตถ่ ามจนทราบเรอ่ื งชดั เจน จงึ ทรงใหส้ งฆ์ สวดประกาศลงปฏิสารณียกรรม แล้วให้พระสุธรรมกลับไปขอโทษคหบดี ทต่ี นลว่ งเกนิ . ๑ ทำลายพระบญั ญตั ทิ างกาย คอื ทำลายดว้ ยการไมศ่ กึ ษาสกิ ขาบท ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคทรงบญั ญตั เิ กย่ี วกบั ขอ้ ปฏบิ ตั ิ ทางกาย (ว.ิ อ. ๓ / ๒๗ / ๒๕๓) ๒ มจิ ฉาชพี ทางกาย คอื การหงุ นำ้ มนั ตม้ ยา เปน็ ตน้ ดว้ ยอำนาจแหง่ เวชกรรม (คอื เปน็ หมอยา) เปน็ ตน้ มจิ ฉาชพี ทางวาจา คอื การรบั และบอกขา่ วแกพ่ วกคฤหสั ถ์ (ว.ิ อ. ๓ / ๒๗ / ๒๕๓) ๓ ขอ้ สงั เกต ลกั ษณะทพ่ี เิ ศษออกไปกค็ อื การถกู ขบั ไลอ่ อกจากทอ่ี ยขู่ องตน เพราะประทษุ รา้ ยตระกลู คอื ประจบคฤหสั ถ์ และประพฤตเิ ลวทราม เปน็ ขา่ วเซง็ แซป่ รากฏเปน็ ทร่ี กู้ นั โดยทว่ั ไป
๒๘๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ลักษณะของผู้ที่ควรลงปฏิสารณียกรรม แล้วทรงแสดงลักษณะของการทำปฏิสารณียกรรมที่ไม่เป็นธรรม และ ทเ่ี ปน็ ธรรม ในทำนองเดยี วกบั ตชั ชนยี กรรม ส่วนลักษณะของภิกษุผู้ควรลงโทษแบบนี้ ท่านแสดงไว้ ๔ หมวด หมวดละ ๕ ขอ้ คอื :- หมวดท่ี ๑. ๑. ขวนขวายเพอ่ื ความเสอ่ื มลาภแกค่ ฤหสั ถ์ ๒. ขวนขวายเพอ่ื ความเสยี หายแกค่ ฤหสั ถ์ ๓. ขวนขวายเพอ่ื อยไู่ มไ่ ดแ้ กค่ ฤหสั ถ์ ๔. ดา่ หรอื พดู ขม่ คฤหสั ถด์ ว้ ยถอ้ ยคำอนั เลว ๕. ทำคฤหสั ถใ์ หแ้ ตกกนั หมวดท่ี ๒. ๑. ติเตียนพระพทุ ธเจา้ ให้คฤหัสถฟ์ ัง ๒. ติเตียนพระธรรมให้คฤหัสถ์ฟัง ๓. ติเตียนพระสงฆ์ให้คฤหัสถ์ฟัง ๔. ดา่ หรอื พดู ขม่ คฤหสั ถด์ ว้ ยถอ้ ยคำอนั เลว ๕. รบั ปากอนั เปน็ ธรรมแกค่ ฤหสั ถไ์ วแ้ ลว้ แตไ่ มท่ ำตามนน้ั (ปฏสิ สวทกุ ฏ) หมวดท่ี ๓. ภกิ ษุ ๕ รปู แตล่ ะรปู ทำความไมด่ ดี งั ทก่ี ลา่ วไวใ้ นหมวด ๑ รปู ละอยา่ ง หมวดท่ี ๔. ภกิ ษุ ๕ รปู แตล่ ะรปู ทำความไมด่ ดี งั ทก่ี ลา่ วไวใ้ นหมวด ๒ รปู ละอยา่ ง จากนั้นทรงแสดงการเสียสิทธิ หรือการประพฤติวัตร ๑๘ อย่าง เหมือนที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น แล้วทรงแสดงวิธีที่จะปฏิบัติในการทำ ปฏิสารณียกรรม โดยมีการสวดประกาศสงฆ์เพื่อส่งภิกษุเป็นทูตรูปหนึ่ง ร่วมไปกับภิกษุที่ถูกลงโทษ เพื่อช่วยเจรจาให้เขายกโทษให้ เมื่อทำได้ดังนี้ สงฆจ์ งึ สวดประกาศเพกิ ถอนการลงโทษนน้ั .
คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๖) ๒๘๓ ต่อมาทรงแสดงลักษณะของภิกษุที่ไม่ควร และควรที่จะเพิกถอนการ ลงโทษฝา่ ยละ ๑๘ ขอ้ เชน่ เดยี วกบั ตชั ชนยี กรรม. อกุ เขปนยี กรรมท่ี ๕ (ยกเสยี จากหม)ู่ พระฉนั นะตอ้ งอาบตั แิ ลว้ ไมเ่ หน็ อาบตั ิ และไม่ทำคืนอาบัติ กับกรณี พระอรฏิ ฐะ ผมู้ คี วามเหน็ ผดิ ทว่ี า่ ธรรมทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคตรสั วา่ เปน็ อนั ตราย (เชน่ กามราคะ) ไมส่ ามารถกอ่ อนั ตรายแกผ่ ซู้ อ่ งเสพไดจ้ รงิ ความเหลา่ นน้ั ทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ จึงทรงแนะให้สงฆ์ลงโทษผู้ไม่เห็นอาบัติ ผู้ไม่ทำคืนอาบัติ และผู้มีความเห็นผิด โดยยกเสียจากหมู่ คือไม่คบค้าด้วย ทรงแสดงลักษณะ การลงโทษทถ่ี กู ตอ้ งและไมถ่ กู ตอ้ ง เชน่ เดยี วกบั ทก่ี ลา่ วไว้ ในเรอ่ื งตชั ชนยี กรรม แต่มีการเน้นว่า การลงโทษยกเสียจากหมู่นี้ เพราะภิกษุไม่เห็นอาบัติ, ไม่ทำคืนอาบัติ, ไม่เลิกละความเห็นชั่ว และยังมีความไม่ดีข้ออื่นอีก ที่เหมือนกับตัชชนียกรรม แลว้ ทรงแสดงการเสยี สทิ ธิ เปน็ ตน้ เหมอื นกบั ทก่ี ลา่ วไวใ้ นตชั ชนยี กรรม ๑๘ ขอ้ (หนา้ ๒๗๘) โดยเพม่ิ เตมิ อกี ๒๕ ขอ้ (แทรกลงระหวา่ งขอ้ ๑๐ - ๑๑) คอื ๑. ไมพ่ งึ ยนิ ดกี ารกราบไหวข้ องภกิ ษปุ กติ ๒. ไมพ่ งึ ยนิ ดกี ารลกุ รบั ของภกิ ษปุ กติ ๓. ไม่พึงยินดีการประนมมือของภิกษุปกติ ๔. ไมพ่ งึ ยนิ ดกี ารทำสามจี กิ รรมของภกิ ษปุ กติ ๕. ไม่พึงยินดีการนำอาสนะมาให้ของภิกษุปกติ ๖. ไมพ่ งึ ยนิ ดกี ารนำทน่ี อนมาใหข้ องภกิ ษปุ กติ ๗. ไมพ่ งึ ยนิ ดกี ารนำนำ้ ลา้ งเทา้ ตง่ั รองเทา้ มาใหข้ องภกิ ษปุ กติ ๘. ไมพ่ งึ ยนิ ดกี ารนำกระเบอ้ื งเชด็ เทา้ มาใหข้ องภกิ ษปุ กติ ๙. ไม่พึงยินดีการรับบาตรและจีวรของภิกษุปกติ ๑๐.ไมพ่ งึ ยนิ ดกี ารถหู ลงั ใหข้ องภกิ ษปุ กติ ๑ ขอ้ สงั เกต คำวา่ การเสยี สทิ ธนิ น้ั เปน็ การพดู ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย ในภาษาบาลใี ชค้ ำวา่ วตั ร หรอื ขอ้ ปฏบิ ตั ิ ๑๘ ขอ้ นน่ั เอง
๒๘๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๑๑.ไมพ่ งึ ใสค่ วามภกิ ษปุ กตดิ ว้ ยศลี วบิ ตั ิ ๑๒.ไมพ่ งึ ใสค่ วามภกิ ษปุ กตดิ ว้ ยอาจารวบิ ตั ิ ๑๓.ไมพ่ งึ ใสค่ วามภกิ ษปุ กตดิ ว้ ยทฏิ ฐวิ บิ ตั ิ ๑๔.ไมพ่ งึ ใสค่ วามภกิ ษปุ กตดิ ว้ ยอาชวี วบิ ตั ิ ๑๕.ไมพ่ งึ ยยุ งภกิ ษปุ กตใิ หแ้ ตกกนั ๑๖. ไมพ่ งึ ใชเ้ ครอ่ื งนงุ่ หม่ อยา่ งคฤหสั ถ์ ๑๗. ไมพ่ งึ ใชเ้ ครอ่ื งนงุ่ หม่ อยา่ งเดยี รถยี ์ ๑๘.ไมพ่ งึ คบเดยี รถยี ์ ๑๙.พงึ คบพวกภกิ ษุ ๒๐.พงึ ศกึ ษาสกิ ขาบทของภกิ ษุ ๒๑.ไมพ่ งึ อยใู่ นอาวาสทม่ี เี ครอ่ื งมงุ เดยี วกนั กบั ภกิ ษปุ กติ ๒๒.ไมพ่ งึ อยใู่ นทม่ี ใิ ชอ่ าวาสทม่ี เี ครอ่ื งมงุ เดยี วกนั กบั ภกิ ษปุ กติ ๒๓.ไมพ่ งึ อยใู่ นอาวาสและมใิ ชอ่ าวาสมเี ครอ่ื งมงุ เดยี วกบั ภกิ ษปุ กติ ๒๔.เหน็ ภกิ ษปุ กตพิ งึ ลกุ จากอาสนะ ๒๕.ไมพ่ งึ รกุ รานภกิ ษปุ กตทิ ง้ั ขา้ งในหรอื ขา้ งนอกวหิ าร รวมเปน็ ขอ้ วตั รทง้ั หมด ๔๓ ขอ้ ตอ่ มาทรงแสดงลกั ษณะของภกิ ษทุ ไ่ี มค่ วร และควรเพกิ ถอนการลงโทษ ตอ่ เมอ่ื ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ วตั รตา่ ง ๆ จงึ ควรระงบั การลงโทษ และวธิ สี วดระงบั กรรม.
คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๖) ๒๘๕ ๒.ปรวิ าสกิ ขนั ธกะ หมวดว่าด้วยผู้อยู่ปริวาส หมายเหตุ วนิ ยั กรรมเกย่ี วกบั การออกจากอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ซง่ึ กลา่ ว ไวใ้ นหมวดนต้ี อ่ ไปนน้ั ทา่ นผอู้ า่ นควรจะไดท้ ราบความหมายเกย่ี วกบั ศพั ท์ และลำดบั การปฏบิ ตั ซิ ง่ึ กลา่ วในหมวดนก้ี อ่ น ซง่ึ มดี งั น้ี (ดแู ผนผงั หนา้ ๔๘๑):- ๑.การอยู่ปริวาส คือการลงโทษให้อบรมตนเองภายใต้ข้อกำหนด เทา่ จำนวนวนั ทป่ี กปดิ อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส นบั ตง้ั แตล่ ว่ งละเมดิ ถา้ ปดิ ไวก้ ว่ี นั กเ่ี ดอื น กจ็ ะตอ้ งอยปู่ รวิ าสเทา่ วนั เทา่ เดอื นทป่ี กปดิ นน้ั . ๒.การชักเข้าหาอาบัติเดิม หรือที่เรียกว่า มูลายปฏิกัสสนา คือ ในขณะทอ่ี ยปู่ รวิ าสกต็ าม ประพฤตมิ านตั กต็ าม เธอไปตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ซำ้ อกี กจ็ ะตอ้ งสวดประกาศใหเ้ รม่ิ ตน้ นบั วนั ทถ่ี กู ลงโทษใหม.่ ๓.การประพฤติมานัต เมื่ออยู่ปริวาสครบกำหนดที่ปิดไว้แล้ว หรือ ไมไ่ ดป้ ดิ ไวเ้ ลย ไมต่ อ้ งอยปู่ รวิ าส คงประพฤตมิ านตั ทเี ดยี ว การประพฤตมิ านตั คอื การถกู ลงโทษลกั ษณะเดยี วกบั การอย่ปู รวิ าส แตม่ กี ำหนด ๖ ราตรี ไมว่ า่ จะ ปดิ ไว้ หรอื ไมป่ ดิ อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส จะตอ้ งประพฤตมิ านตั ๖ ราตรเี หมอื นกนั หมด และตอ้ งไมป่ ระพฤตมิ านตั ในคณะสงฆอ์ นั พรอ่ ง (คอื มภี กิ ษปุ กตนิ อ้ ยกวา่ ๔ รปู ). ๔.การสวดถอนจากอาบัติสังฆาทิเสสหรืออัพภาน เมื่อภิกษุถูก ลงโทษให้อยู่ปริวาสและให้ประพฤติมานัตถูกต้องแล้ว ก็เป็นผู้ควรแก่การ สวดถอนจากอาบัตินั้น การสวดถอนจากอาบัตินี้จึงเรียกว่า อัพภาน ต้องใช้ ภกิ ษปุ ระชมุ กนั ไมน่ อ้ ยกวา่ ๒๐ รปู . ในระหวา่ งทถ่ี กู ลงโทษเหลา่ น้ี ภกิ ษถุ กู ตดั สทิ ธมิ ากมาย ทง้ั ยงั ตอ้ งคอย บอกความผดิ ของตนแกภ่ กิ ษผุ ผู้ า่ นไปมา และบอกในทป่ี ระชมุ สงฆ์ เมอ่ื ทำอโุ บสถ สงั ฆกรรมดว้ ย สรุปว่าเป็นการลงโทษที่ทำให้ผู้ถูกลงโทษรู้สึกว่าหนักมาก ต้อง เกย่ี วขอ้ งกบั สงฆส์ ว่ นมากโดยการประจานตวั และการสวดประกาศหลายขน้ั ตอน
๒๘๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ตัดสิทธิภิกษุผู้อยู่ปริวาส สมัยนั้น ภิกษุผู้อยู่ปริวาส ยินดีการกราบไหว้เป็นต้น ของภิกษุปกติ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงทราบ จงึ ทรงวางขอ้ กำหนด มใิ หภ้ กิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าสยนิ ดี การกราบไหว้, การนำที่นอนมาให้, การล้างเท้า, การตั้งตั่งรองเท้า, การตั้ง กระเบอ้ื งเชด็ เทา้ , การรบั บาตรจวี ร, การถหู ลงั ในเวลาอาบนำ้ ถา้ ยนิ ดใี หผ้ อู้ น่ื ทำแกต่ นนน้ั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่ปริวาสด้วยกันปฏิบัติ และแสดงความเคารพ เออ้ื เฟอ้ื ตอ่ กนั ดงั ทก่ี ลา่ วขา้ งตน้ ได้ ตามลำดบั พรรษา และทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษุ ผอู้ ยปู่ รวิ าสดว้ ยกนั ทำอโุ บสถ ปวารณา รบั แจกผา้ อาบนำ้ ฝน รบั อาหาร รบั แจก อาหารได้ตามลำดับพรรษา. วตั ร ๙๔ ข้อสำหรับภิกษผุ ู้อยปู่ รวิ าส ทรงแสดงวตั ร ๙๔ ขอ้ ของภกิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าส (หรอื กลา่ วอกี อยา่ งหนง่ึ กค็ อื การตดั สทิ ธติ า่ ง ๆ หา้ ม ทำอยา่ งนน้ั อยา่ งน)้ี รวมทง้ั สน้ิ ๙๔ ขอ้ ดงั ตอ่ ไปน้ี หมวดท่ี ๑ ๑. ภิกษุผู้อยปู่ ริวาสไม่พึงให้อุปสมบท ๒. ไมพ่ งึ ใหน้ สิ ยั ๓. ไม่พึงใช้สามเณรอุปัฏฐาก ๔. ไม่พึงรับสมมติเป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี ๕. แมไ้ ดร้ บั สมมตแิ ลว้ กไ็ มพ่ งึ สง่ั สอนภกิ ษณุ ี ๖. สงฆใ์ หป้ รวิ าสเพอ่ื อาบตั ใิ ด ไมพ่ งึ ตอ้ งอาบตั นิ น้ั ๗. ไม่พึงต้องอาบัติอื่นอันเช่นนั้น ๘. ไม่พึงต้องอาบัติอันเลวทรามกว่านั้น ๙. ไม่พึงติกรรม ๑๐. ไม่พึงติเตียนภิกษุทั้งหลายผู้ทำกรรม
คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๖) ๒๘๗ ๑๑. ไมพ่ งึ หา้ มอโุ บสถแกป่ กตตั ตะภกิ ษุ (ภกิ ษปุ กต)ิ ๑๒.ไม่พึงห้ามปวารณาแก่ปกตัตตะภิกษุ ๑๓.ไม่พึงทำการไต่สวน ๑๔.ไม่พึงเริ่มอนุวาทาธิกรณ์ ๑๕. ไมพ่ งึ ขอโอกาสภกิ ษอุ ่นื ๑๖. ไมพ่ งึ โจทภกิ ษอุ น่ื ๑๗. ไมพ่ งึ ใหภ้ กิ ษอุ น่ื ใหก้ าร ๑๘.ไมพ่ งึ ชว่ ยภกิ ษกุ บั ภกิ ษใุ หส้ อู้ ธกิ รณก์ นั หมวดท่ี ๒ ๑๙. ภกิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าสไมพ่ งึ เดนิ นำหนา้ ภกิ ษปุ กติ ๒๐. ไมพ่ งึ นง่ั ขา้ งหนา้ ภกิ ษปุ กติ ๒๑.พงึ พอใจในอาสนะสดุ ทา้ ย ทน่ี อนสดุ ทา้ ย วหิ ารสดุ ทา้ ยของสงฆ์ ทส่ี งฆจ์ ะใหแ้ กเ่ ธอ ๒๒.ไมพ่ งึ มปี กตตั ตะภกิ ษเุ ปน็ สมณะนำหนา้ หรอื ตามหลงั เขา้ ไป สสู่ กลุ ๒๓. ไมพ่ งึ สมาทานอารญั ญกิ ธดุ งค์ ๒๔. ไมพ่ งึ สมาทานบณิ ฑปาตกิ ธดุ งค์ ๒๕.ไมพ่ งึ ใหเ้ ขานำบณิ ฑบาตมาสง่ เพราะปจั จยั นน้ั ดว้ ยคดิ วา่ คนทง้ั หลายอย่ารู้จักเรา หมวดท่ี ๓ ๒๖. ภกิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าสเปน็ อาคนั ตกุ ะไปพงึ บอกใหท้ ราบ๑ ๒๗.มีอาคันตุกะมาก็พึงบอก ๒๘. พึงบอกในอุโบสถ ๒๙.พึงบอกในปวารณา ๓๐. ถา้ อาพาธพงึ สง่ั ทตู ใหบ้ อก ๑ คอื เปน็ อาคนั ตกุ ะไปวดั อน่ื พงึ บอกภกิ ษทุ ง้ั หลายในวดั นน้ั (ว.ิ อ. ๓ / ๗๗ / ๒๖๑)
๒๘๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก หมวดท่ี ๔ ๓๑.ไมพ่ งึ ออกจากอาวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสอู่ าวาสทห่ี าภกิ ษไุ มไ่ ด้ ๓๒. ไมพ่ งึ ออกจากอาวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสถู่ น่ิ มใิ ชอ่ าวาสทห่ี าภกิ ษไุ มไ่ ด้ ๓๓. ไมพ่ งึ ออกจากอาวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสอู่ าวาสหรอื ถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสท่ี หาภกิ ษไุ มไ่ ด้ ๓๔. ไมพ่ งึ ออกจากถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสอู่ าวาสทห่ี าภกิ ษไุ มไ่ ด้ ๓๕.ไม่พึงออกจากถิ่นมิใช่อาวาสที่มีภิกษุ ไปสู่ถิ่นมิใช่อาวาสที่ หาภกิ ษไุ มไ่ ด้ ๓๖. ไม่พึงออกจากถิ่นมิใช่อาวาสที่มีภิกษุ ไปสู่อาวาสหรือถิ่นมิใช่ อาวาสทห่ี าภกิ ษไุ มไ่ ด้ ๓๗.ไมพ่ งึ ออกจากอาวาสหรอื ถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสอู่ าวาส ทห่ี าภกิ ษไุ มไ่ ด้ ๓๘. ไมพ่ งึ ออกจากอาวาสหรอื ถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสถู่ น่ิ มใิ ช่ อาวาสทห่ี าภกิ ษไุ มไ่ ด้ ๓๙.ไมพ่ งึ ออกจากอาวาสหรอื ถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสอู่ าวาสหรอื ถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสทห่ี าภกิ ษไุ มไ่ ด้ ทง้ั น้ี เวน้ แตไ่ ปกบั ปกตตั ตะภกิ ษุ และเวน้ แตม่ อี นั ตราย หมวดท่ี ๕ ๔๐. ภกิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าส ไมพ่ งึ ออกจากอาวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสอู่ าวาส ทม่ี ภี กิ ษุ แตเ่ ปน็ นานาสงั วาส ๔๑.ไม่พึงออกจากอาวาสที่มีภิกษุ ไปสู่ถิ่นมิใช่อาวาสที่มีภิกษุ แต่เป็นนานาสังวาส ๔๒. ไมพ่ งึ ออกจากอาวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสอู่ าวาสหรอื ถน่ิ มใิ ชอ่ าวาส ทม่ี ภี กิ ษุ แตเ่ ปน็ นานาสงั วาส ๔๓. ไมพ่ งึ ออกจากถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสอู่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ แต่เป็นนานาสังวาส
คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๖) ๒๘๙ ๔๔. ไมพ่ งึ ออกจากถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสถู่ น่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ แต่เป็นนานาสังวาส ๔๕.ไม่พึงออกจากถิ่นมิใช่อาวาสที่มีภิกษุไปสู่อาวาสหรือถิ่นมิใช่ อาวาสมีภิกษุเป็นนานาสังวาส ๔๖. ไม่พึงออกจากอาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาสที่มีภิกษุ ไปสู่อาวาส ทม่ี ภี กิ ษุ แตเ่ ปน็ นานาสงั วาส ๔๗.ไม่พึงออกจากอาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาสที่มีภิกษุ ไปสู่ถิ่นมิใช่ อาวาสที่มีภิกษุนานาสังวาส ๔๘. ไม่พึงออกจากอาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาสที่มีภิกษุ ไปสู่อาวาส หรอื ถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ แตเ่ ปน็ นานาสงั วาส ทง้ั น้ี เวน้ แตไ่ ปกบั ปกตตั ตะภกิ ษุ และมอี นั ตราย หมวดท่ี ๖ ๔๙.ภกิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าส พงึ ออกจากอาวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสอู่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ เป็นสมานสังวาส ๕๐.พงึ ออกจากอาวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสถู่ น่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษเุ ปน็ สมานสังวาส ๕๑. พงึ ออกจากอาวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสอู่ าวาสหรอื ถน่ิ มใิ ชอ่ าวาส ทม่ี ภี กิ ษเุ ปน็ สมานสงั วาส ๕๒.พึงออกจากถิ่นมิใช่อาวาสที่มีภิกษุ ไปสู่อาวาสที่มีภิกษุเป็น สมานสังวาส ๕๓.พงึ ออกจากถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสถู่ น่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ เป็นสมานสังวาส ๕๔.พงึ ออกจากถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสอู่ าวาสหรอื ถน่ิ มใิ ชอ่ าวาส ทม่ี ภี กิ ษเุ ปน็ สมานสงั วาส ๕๕. พงึ ออกจากอาวาสหรอื ถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสอู่ าวาส ทม่ี ภี กิ ษเุ ปน็ สมานสงั วาส
๒๙๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๕๖. พงึ ออกจากอาวาสหรอื ถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสถู่ น่ิ มใิ ชอ่ าวาส ทม่ี ภี กิ ษเุ ปน็ สมานสงั วาส ๕๗. พงึ ออกจากอาวาสหรอื ถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสทม่ี ภี กิ ษุ ไปสอู่ าวาสหรอื ถิ่นมิใช่อาวาสที่มีภิกษุเป็นสมานสังวาส ทง้ั น้ี ทร่ี วู้ า่ อาจจะไปถงึ ในวนั นท้ี เี ดยี ว หมวดท่ี ๗ ๕๘.ภกิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าส ไมพ่ งึ อยใู่ นทม่ี งุ อนั เดยี วกนั ในอาวาส กับปกตัตตะภิกษุ ๕๙. ไมพ่ งึ อยใู่ นทม่ี งุ อนั เดยี วกนั ในถน่ิ มใิ ชอ่ าวาส ๖๐. ไมพ่ งึ อยใู่ นทม่ี งุ อนั เดยี วกนั ในอาวาสกด็ ี ในถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสกด็ ี ๖๑. เหน็ ปกตตั ตะภกิ ษแุ ลว้ พงึ ลกุ ออกจากอาสนะ ๖๒. พึงนิมนต์ปกตัตตะภิกษุใหันั่ง ๖๓. ไมพ่ งึ นง่ั ในอาสนะเดยี วกนั กบั ปกตตั ตะภกิ ษุ ๖๔. เมอ่ื ปกตตั ตะภกิ ษนุ ง่ั ณ อาสนะตำ่ ไมพ่ งึ นง่ั ณ อาสนะสงู ๖๕. เมอ่ื ปกตตั ตะภกิ ษนุ ง่ั ณ พน้ื ดนิ ไมพ่ งึ นง่ั ณ อาสนะ ๖๖. ไมพ่ งึ จงกรมในทจ่ี งกรมอนั เดยี วกนั กบั ปกตตั ตะภกิ ษุ ๖๗.เมื่อปกตัตตะภิกษุจงกรมอยู่ในที่จงกรมต่ำ ไม่พึงจงกรม ในทจ่ี งกรมสงู ๖๘. เมอ่ื ปกตตั ตะภกิ ษจุ งกรม ณ พน้ื ดนิ ไมพ่ งึ จงกรมในทจ่ี งกรม หมวดท่ี ๘ ๖๙. - ๘๙. ภิกษุผู้อยู่ปริวาสไม่พึงอยู่ในที่มุงอันเดียวกันในอาวาส, ไมพ่ งึ อยใู่ นทม่ี งุ เดยี วกนั ในถน่ิ มใิ ชอ่ าวาส, ไมพ่ งึ อยใู่ นทม่ี งุ เดยี วกนั ในอาวาสกด็ ี ในถน่ิ มใิ ชอ่ าวาสกด็ อี าวาส กบั ภกิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าสทแ่ี กพ่ รรษากวา่ ไมพ่ งึ นง่ั ในอาสนะเดยี วกนั กบั ภกิ ษอุ ยปู่ รวิ าสผแู้ กพ่ รรษากวา่ ... กบั ภกิ ษผุ คู้ วรชกั เขา้ หาอาบตั เิ ดมิ ... กบั ภกิ ษผุ คู้ วรมานตั ... กับภิกษุผู้ประพฤติมานัต
คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๖) ๒๙๑ ... กบั ภกิ ษผุ คู้ วรอพั ภาน ๙๐. เมอ่ื เธอนง่ั ณ อาสนะตำ่ ไมพ่ งึ นง่ั อาสนะสงู ๙๑. เมอ่ื เธอนง่ั พน้ื ดนิ ไมพ่ งึ นง่ั ณ อาสนะ ๙๒.ไมพ่ งึ จงกรมในทจ่ี งกรมเดยี วกนั ๙๓.เมอ่ื เธอจงกรมอยใู่ นทจ่ี งกรมตำ่ ไมพ่ งึ จงกรมในทจ่ี งกรมสงู ๙๔.เมอ่ื เธอจงกรมอยู่ ณ พน้ื ดนิ ไมพ่ งึ จงกรมในทจ่ี งกรม. ถา้ สงฆม์ ภี กิ ษอุ ยปู่ รวิ าสเปน็ ท่ี ๔ ใหป้ รวิ าส ชกั เขา้ หาอาบตั เิ ดมิ ใหม้ านตั ใชไ้ มไ่ ด้ ไมค่ วรทำ สงฆ์ ๒๐ รปู ทง้ั ภกิ ษผุ คู้ วรอพั ภานนน้ั ใหอ้ พั ภาน การกระทำดงั นน้ั ใชไ้ มไ่ ด้ และไมค่ วรทำฯ รตั ตเิ ฉท ๓ อยา่ งของภกิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าส รตั ตเิ ฉท๑ความขาดแหง่ ราตรขี องภกิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าสมี ๓ อยา่ ง คอื ๑. อยรู่ ว่ ม (สหวาสะ)๒ ๒. อยปู่ ราศ (วปิ ปวาสะ) ๓. ไมบ่ อก (อนาโรจนา) รตั ตเิ ฉท ๔ อยา่ งของภกิ ษผุ ปู้ ระพฤตมิ านตั ความขาดแหง่ ราตรขี องภกิ ษผุ ปู้ ระพฤตมิ านตั มี ๔ อยา่ ง คอื ๑. อยู่ร่วม ๒. อยู่ปราศ ๑ รตั ตเิ ฉท แปลวา่ ขาดราตรี หมายถงึ เหตใุ หข้ าดราตรี นบั ราตรที อ่ี ยปู่ รวิ าสไมไ่ ด้ พระผมู้ พี ระภาคทรงบญั ญตั ไิ ว้ สำหรบั ภกิ ษผุ ปู้ ระพฤตมิ านตั (ว.ิ อ. ๓ / ๔๗๕ / ๕๒๘) ๒ สหวาสะ การอยรู่ ว่ ม หมายถงึ อยใู่ นทม่ี งุ บงั เดยี วกนั กบั ปกตตั ตภกิ ษุ วปิ ปวาสะ การอยปู่ ราศ หมายถงึ การทภ่ี กิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าสนน้ั อยรู่ ปู เดยี ว อนาโรจนา การไมบ่ อก หมายถงึ การไมบ่ อกแกพ่ วกภกิ ษอุ าคนั ตกุ ะเปน็ ตน้ (ว.ิ อ. ๓ / ๘๓ / ๒๖๖)
๒๙๒ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๓. ไมบ่ อก ๔. การประพฤตมิ านตั ในคณะสงฆอ์ นั พรอ่ ง (มปี กตภิ กิ ษนุ อ้ ยกวา่ ๔ รปู ) วตั รสำหรบั ผอู้ ยปู่ รวิ าส, ผคู้ วรแกก่ ารชกั เขา้ หาอาบตั เิ ดมิ และวตั รของ ผปู้ ระพฤตมิ านตั มลี กั ษณะใกลเ้ คยี งกนั เพยี งแตว่ ตั รของผปู้ ระพฤตมิ านตั นน้ั ตอ้ งบอกทกุ วนั และตอ้ งไมป่ ระพฤตใิ นคณะสงฆอ์ นั พรอ่ ง การเก็บปริวาส และเก็บมานัต ในกรณีที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น อันทำให้ไม่สามารถอยู่ปริวาส หรือ ประพฤติมานัตได้สะดวก เช่น สงฆ์มาประชุมมากมาย จะเที่ยวบอกประจาน ตวั เองใหห้ มดสน้ิ ทว่ั ถงึ คงไมไ่ หว ทรงอนญุ าตใหเ้ กบ็ ปรวิ าสหรอื มานตั ได้ เมอ่ื เหตกุ ารณเ์ ปน็ ปกตแิ ลว้ จงึ สมาทานการอยปู่ รวิ าสหรอื ประพฤตมิ านตั ตอ่ ไปใหม่
คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๖) ๒๙๓ ๓. สมจุ จยขนั ธกะ หมวดวา่ ดว้ ย การรวบรวมเรอ่ื งการออกจากอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ในหมวดนแ้ี สดงวธิ อี อกจากอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส โดยเลา่ เรอ่ื งพระอทุ ายี ปรกึ ษาสงฆว์ า่ ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสแลว้ ควรปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร? มกี ารแสดง รายละเอียดซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสแนะดังต่อไปนี้ :- ๑. ต้องอาบัติสังฆาทิเสสข้อเดียว ไม่ได้ปกปิด ให้ขอมานัต ๖ ราตรี เพื่ออาบัติ ๑ ตัวกับสงฆ์ ให้สงฆ์สวดประกาศให้มานัต เมื่อประพฤติมานัต แลว้ จงึ ใหข้ ออพั ภานกบั สงฆ์ สงฆจ์ งึ สวดอพั ภานประกาศถอนจากอาบตั ใิ ห้ ๒. ต้องอาบัติสังฆาทิเสสข้อเดียวปิดไว้วันเดียว ให้ขอปริวาส ๑ วัน อยปู่ รวิ าสแลว้ จงึ ขอมานตั แลว้ ดำเนนิ การตอ่ ไปตามลำดบั เหมอื นขอ้ ๑ ๓. ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสขอ้ เดยี วแตป่ ดิ ไว้ ๒ วนั บา้ ง ๓ วนั บา้ ง ๔ วนั บา้ ง ๕ วนั บา้ ง ใหข้ อปรวิ าสเทา่ กบั วนั ทป่ี กปดิ ไวน้ น้ั อยปู่ รวิ าสแลว้ จงึ ขอมานตั ๖ ราตรเี พอ่ื อาบตั ิ ๑ ตวั กบั สงฆ์ และทำตามลำดบั เหมอื นขอ้ ๑ ๔. ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสแลว้ ปกปดิ ไว้ ๕ วนั ขอปรวิ าส ๕ วนั ระหวา่ ง อยปู่ รวิ าสตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสซำ้ อกี โดยไมป่ ดิ ไว้ ทรงใหข้ อมลู ายปฏกิ สั สนา คอื ขอชกั เขา้ หาอาบตั เิ ดมิ ตอ่ สงฆๆ์ ใหม้ ลู ายปฏกิ สั สนา เมอ่ื อยปู่ รวิ าสแลว้ เปน็ ผู้ ควรแกม่ านตั ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสซำ้ อกี โดยไมป่ ดิ ไว้ ทรงใหข้ อมลู ายปฏกิ สั สนา แลว้ ใหม้ านตั ๖ ราตรเี พอ่ื อาบตั ิ ๓ ตวั ขณะอยมู่ านตั เธอตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสซำ้ โดยไมป่ ดิ ไว้ ทรงใหข้ อมลู ายปฏกิ สั สนาเพอ่ื อาบตั ิ ๑ ตวั แลว้ ใหม้ านตั ๖ ราตรี เมอ่ื ประพฤตมิ านตั แลว้ เปน็ ผคู้ วรแกอ่ พั ภาน เธอตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสโดยไมป่ ดิ ทรงใหข้ อมลู ายปฏกิ สั สนา ใหม้ านตั ๖ ราตรเี พอ่ื อาบตั ิ ๑ ตวั ประพฤตมิ านตั แลว้ จงึ ขออพั ภานตอ่ สงฆ์ ๕. ตอ้ งสงั ฆาทเิ สสแลว้ ปกปดิ ไว้ ๑ ปกั ษ์ (๑๕วนั ) ใหข้ อปรวิ าส ๑ ปกั ษ์ ระหวา่ งทอ่ี ยปู่ รวิ าสตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสปดิ ไว้ ๕ วนั ทรงใหข้ อมลู ายปฏกิ สั สนา
๒๙๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก กบั สงฆ์ แลว้ ใหส้ โมธานปรวิ าสเพอ่ื อาบตั ติ วั กอ่ น คอื รวมวนั อยปู่ รวิ าสกบั อาบตั ิ ทป่ี ดิ ไวเ้ ดมิ เมอ่ื อยปู่ รวิ าสแลว้ เปน็ ผคู้ วรมานตั เธอตอ้ งสงั ฆาทเิ สสปดิ ไว้ ๕ วนั อกี ใหข้ อมลู ายปฏกิ สั สนา แลว้ ใหส้ โมธานปรวิ าสเพอ่ื อาบตั ติ วั กอ่ น อยปู่ รวิ าสแลว้ จงึ ขอมานตั ๖ ราตรเี พอ่ื อาบตั ิ ๓ ตวั กะสงฆ์ ระหวา่ งทป่ี ระพฤตมิ านตั เธอตอ้ ง สงั ฆาทเิ สสปดิ ไว้ ๕ วนั อกี ใหข้ อมลู ายปฏกิ สั สนา แลว้ ใหส้ โมธานปรวิ าสเพอ่ื อาบตั ติ วั กอ่ น อยปู่ รวิ าสแลว้ จงึ ขอมานตั ๖ ราตรเี พอ่ื อาบตั ติ วั กอ่ น และเพอ่ื อาบตั ิ ๑ ตวั ประพฤตมิ านตั แลว้ เปน็ ผคู้ วรอพั ภาน เธอตอ้ งสงั ฆาทเิ สส ปดิ ไว้ ๕ วนั อกี ใหข้ อมลู ายปฏกิ สั สนา แลว้ ใหส้ โมธานปรวิ าสเพอ่ื อาบตั ติ วั กอ่ น อยปู่ รวิ าสแลว้ จงึ ขอมานตั ๖ ราตรเี พอ่ื อาบตั ิ ๑ ตวั ประพฤตมิ านตั แลว้ จงึ ขออพั ภานกบั สงฆ.์ ๖. ตอ้ งสงั ฆาทเิ สส ๑ ตวั ปดิ ไว้ ๑ วนั อาบตั ิ ๒ ตวั ปดิ ไว้ ๒ วนั อาบตั ิ ๓ ตวั ปดิ ไว้ ๓ วนั อาบตั ิ ๔ ตวั ปดิ ไว้ ๔ วนั อาบตั ิ ๕ ตวั ปดิ ไว้ ๕ วนั อาบตั ิ ๖ ตวั ปดิ ไว้ ๖ วนั อาบตั ิ ๗ ตวั ปดิ ไว้ ๗ วนั อาบตั ิ ๘ ตวั ปดิ ไว้ ๘ วนั อาบตั ิ ๙ ตวั ปดิ ไว้ ๙ วนั อาบตั ิ ๑๐ ตวั ปดิ ไว้ ๑๐ วนั ตรสั วา่ “บรรดาอาบตั เิ หลา่ นน้ั อาบตั เิ หลา่ ใด ปดิ ไวน้ านกวา่ อาบตั ทิ งั้ หมด สงฆจ์ งใหอ้ คั ฆสโมธานปรวิ าสเพอ่ื อาบตั เิ หลา่ นน้ั ๗. ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ๒ ตวั ปดิ ไว้ ๒ เดอื น ไดข้ อปรวิ าส เพอ่ื อาบตั ิ ๑ ตวั ปดิ ไว้ ๒ เดอื นกบั สงฆ์ ภายหลงั ละอายใจจงึ แจง้ ความทป่ี ดิ อาบตั ิ ๒ ตวั ปดิ เอาไว้ ๒ เดอื น จงึ ทรงใหส้ งฆใ์ หป้ รวิ าส ๒ เดอื นเพอ่ื อาบตั แิ มน้ อกน้ี ๘.สมัยนั้นภิกษุรูปหนึ่งต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ไม่รู้จำนวน ระลึกไม่ได้ ไม่แน่ใจในอาบัติ และจำนวนราตรีที่ปกปิด จึงทรงให้สงฆ์ให้ สทุ ธนั ตปรวิ าส (คอื ปรวิ าสทอ่ี ยจู่ นกวา่ จะบรสิ ทุ ธ)์ิ แลว้ ดำเนนิ ตามขอ้ ๑ ๙.กรณีที่ภิกษุผู้กำลังอยู่ปริวาส ผู้ควรแก่การชักเข้าหาอาบัติเดิม ผคู้ วรแกม่ านตั ผคู้ วรแกอ่ พั ภานนน้ั สกึ ลดฐานะเปน็ สามเณร วกิ ลจรติ มจี ติ ฟงุ้ ซา่ น กระสบั กระสา่ ยเพราะเวทนา ถกู สงฆล์ งอกุ เขปนยี กรรม การอยปู่ รวิ าสและ กรรมทง้ั หลายนน้ั ใชไ้ มไ่ ด,้ ถา้ กลบั คนื สภาพเปน็ ภกิ ษอุ กี ปรวิ าสมานตั ทใ่ี หแ้ ลว้ หรอื อยปู่ ระพฤตแิ ลว้ เปน็ อนั ใหห้ รอื ประพฤตดิ แี ลว้ ใหท้ ำกรรมทเ่ี หลอื อยตู่ อ่ ไป นอกจากนย้ี งั มตี วั อยา่ งอน่ื อกี ในสมจุ จยขนั ธกะนเ้ี ปน็ การประมวลเรอ่ื ง การออกจากอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ทม่ี ปี ญั หาซบั ซอ้ น (ดแู ผนผงั หนา้ ๔๘๑ ประกอบ)
คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๖) ๒๙๕ ๔. สมถขนั ธกะ หมวดว่าด้วยวิธีระงับอธิกรณ์ ๑. สมั มขุ าวนิ ยั (การระงบั พรอ้ มหนา้ ) ภิกษุฉัพพัคคีย์ทำกรรมลงโทษแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่ไม่ได้อยู่ตอ่ หนา้ คอื ตชั ชนยี กรรมบา้ ง นยิ สกรรมบา้ ง ปพั พาชนยี กรรมบา้ ง ปฏสิ ารณยี กรรมบา้ ง อุกเขปนียกรรมบ้าง มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงบัญญัติพระวนิ ยั หา้ มทำการลบั หลงั ผถู้ กู ลงโทษ ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกผ่ ทู้ ำเชน่ นน้ั ทรงแสดงภกิ ษทุ เ่ี ปน็ บคุ คลฝา่ ยไมด่ ี ๓ ประเภท คอื ๑. บคุ คลคนเดยี ว ๒. บคุ คลหลายคน ๓. สงฆท์ พ่ี ดู ไมเ่ ปน็ ธรรมฝา่ ยหนง่ึ กบั ทรงแสดงภกิ ษทุ เ่ี ปน็ บคุ คลฝา่ ยดี ๓ ประเภท ทพ่ี ดู เปน็ ธรรมฝา่ ยหนง่ึ ฝ่ายที่พูดไม่เป็นธรรม แม้จะระงับเรื่องที่เกิดขึ้นในที่พร้อมหน้า ก็เรียกว่า สมั มขุ าวนิ ยั เทยี ม และระงบั ไมเ่ ปน็ ธรรม ฝา่ ยทพ่ี ดู เปน็ ธรรมระงบั เรอ่ื งทเ่ี กดิ ขน้ึ เรยี กวา่ สมั มขุ าวนิ ยั และระงบั อยา่ งเปน็ ธรรม ๒. สติวินัย (การระงับด้วยยกให้ว่าเป็นผู้มีสติสมบูรณ์) พระทพั พมลั ลบตุ รไดบ้ รรลอุ รหตั ตผลตง้ั แตอ่ ายุ ๗ ขวบ ทา่ นปรารถนา จะทำประโยชน์แก่สงฆ์ จึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอรับทำหน้าที่เป็นผู้จัด เสนาสนะและแจกภัต พระผู้มีพระภาคทรงเห็นชอบด้วย จึงตรัสให้เรียก ประชุมสงฆ์ ขอมติสวดประกาศแต่งตั้งพระทัพพมัลลบุตร เป็นผู้จัดเสนาสนะ และผแู้ จกภตั เมอ่ื ไมม่ ผี ใู้ ดคดั คา้ น จงึ เปน็ อนั ประกาศแตง่ ตง้ั เมอ่ื ไดร้ บั แตง่ ตง้ั แลว้
๒๙๖ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ปรากฏว่าได้จัดเสนาสนะได้ดีและเรียบร้อย ถึงกับมีภิกษุมาทดลองให้ท่าน จัดในที่ต่างๆกัน ซึ่งอยู่ห่างไกลกันทีละหลายๆรูป เพื่อจะดูความสามารถ แตท่ า่ นกจ็ ดั ไดเ้ รยี บรอ้ ย อยา่ งนา่ อศั จรรย์ สว่ นการจดั แบง่ ภกิ ษไุ ปรบั อาหารกท็ ำ ไดเ้ รยี บรอ้ ย แตม่ ภี กิ ษพุ วกหนง่ึ ซง่ึ เปน็ พวกภกิ ษเุ มตตยิ ะ และภมุ มชกะไมพ่ อใจ ว่าตนไม่ค่อยได้รับอาหารดี ๆ ภิกษุพวกนั้นเข้าใจผิดว่า พระทัพพมัลลบุตร กลั่นแกล้ง จึงหาเรื่องให้นางเมตติยาภิกษุณี แกล้งใส่ความหาว่าข่มขืนนาง เมื่อไต่สวนได้ความสัตย์แล้ว พระผู้มีพระภาคจึงทรงให้สงฆ์จัดการให้สึก นางเมตตยิ าภกิ ษณุ ี แมภ้ กิ ษทุ ก่ี อ่ เรอ่ื งจะขอรบั ผดิ แทนวา่ ตนเปน็ ผตู้ น้ คดิ . พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแนะวิธีระงับอธิกรณ์ชนิดนี้ ซึ่งเกิดขึ้นแก่ พระอรหนั ต์ โดยใหส้ งฆส์ วดประกาศใหส้ ตวิ นิ ยั แกพ่ ระทพั พมลั ลบตุ ร แลว้ ทรง แสดงเงอ่ื นไข ๕ ประการ ในการใหส้ ตวิ นิ ยั คอื ๑. ภกิ ษผุ ถู้ กู โจทฟอ้ ง เปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธ์ิ ไมม่ อี าบตั ิ ๒. มผี กู้ ลา่ วฟอ้ งเธอ ๓. เธอขอสตวิ นิ ยั ๔. สงฆใ์ หส้ ตวิ นิ ยั แกเ่ ธอ ๕. สงฆพ์ รอ้ มเพรยี งกนั ใหโ้ ดยธรรม อยา่ งนจ้ี งึ เรยี กวา่ การใหส้ ตวิ นิ ยั อันเป็นธรรม ๓. อมูฬหวินัย (การระงับด้วยยกให้ว่าเป็นบ้า) ภิกษุชื่อคัคคะเป็นบ้าได้ทำความผิดหลายประการ มีผู้โจทฟ้อง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแนะให้ระงับ ด้วยอมูฬหวินัย โดยให้ผู้ถูกฟ้อง (ซง่ึ หายแลว้ ) ขออมฬู หวนิ ยั และใหส้ งฆส์ วดประกาศใหอ้ มฬู หวนิ ยั เปน็ อนั ระงบั ดว้ ยยกใหว้ า่ เปน็ บา้ ในขณะทำความผดิ แตก่ ท็ รงวางเงอ่ื นไขไวว้ า่ ถา้ ทำความผดิ ขณะทร่ี สู้ กึ ตน และไมเ่ ปน็ บา้ แตแ่ กต้ วั วา่ ไมร่ ู้ หรอื รสู้ กึ เหมอื นฝนั หรอื แกต้ วั อา้ ง ความเปน็ บา้ สงฆใ์ หอ้ มฬู หวนิ ยั แกเ่ ธอดงั น้ี เรยี กวา่ ไมเ่ ปน็ ธรรม ถา้ ตรงกนั ขา้ ม คอื ทำไปในขณะเปน็ บา้ ไมร่ สู้ กึ ตวั จรงิ ๆ การใหอ้ มฬู หวนิ ยั จงึ เปน็ ธรรม
คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๖) ๒๙๗ ๔. ปฏญิ ญาตกรณะ (การระงบั ดว้ ยคำสารภาพของผถู้ กู ฟอ้ ง) ภิกษุฉัพพัคคีย์ลงกรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยไม่ฟังคำสารภาพ ของภกิ ษเุ หลา่ นน้ั มผี ตู้ เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคเจา้ จงึ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั หา้ มทำเชน่ นน้ั ถา้ ฝา่ ฝนื ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ แล้วจึงทรงแสดงวิธีระงับอธิกรณ์ ด้วยการรับสารภาพของจำเลย ที่ไม่เป็นธรรมและที่เป็นธรรม ลักษณะอธิกรณ์ที่ไม่เป็นธรรมคือสารภาพ ไมต่ รงตามทท่ี ำลงไปจรงิ เชน่ ตอ้ งอาบตั หิ นกั สารภาพวา่ ตอ้ งอาบตั ริ องลงมา หรือตอ้ งอาบตั ิเบา สารภาพวา่ ต้องอาบัตหิ นกั ส่วนที่เป็นธรรม คือต้องอาบัติอะไรก็สารภาพตามนั้น ๕. เยภุยยสิกา (การระงับด้วยถือเสียงข้างมาก) ภิกษุทั้งหลายบาดหมางทะเลาะวิวาทกันในท่ามกลางสงฆ์ ด่ากันอยู่ ไมอ่ าจระงบั อธกิ รณไ์ ด้ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงอนญุ าตใหร้ ะงบั อธกิ รณช์ นดิ นด้ี ว้ ย ถือเอาเสียงข้างมาก ให้สมมติภิกษุผู้ให้จับฉลาก(คือผู้ดูแลการลงคะแนน นับคะแนน) ภิกษุผู้ให้จับฉลากจะต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ ไม่ลำเอียง เพราะรกั เพราะเกลยี ด เพราะหลง เพราะกลวั และรวู้ า่ อยา่ งไรเปน็ อนั จบั อยา่ งไร ไม่เป็นอันจับ (คุมการลงคะแนนได้ดี) แล้วให้สวดประกาศแต่งตั้งภิกษุผู้ให้ จบั ฉลากในทา่ มกลางสงฆ์ ทรงแสดงการจับฉลาก (ลงคะแนน) ที่ไม่เป็นธรรมและที่เป็นธรรม อยา่ งละ ๑๐ ประการคอื ๑. อธกิ รณเ์ ปน็ เรอ่ื งเลก็ นอ้ ย ๒. ไมล่ กุ ลามไปทอ่ี น่ื ไกล ๓. ภกิ ษพุ วกนน้ั ระลกึ ไมไ่ ด้ และพวกอน่ื กไ็ มส่ ามารถใหร้ ะลกึ ได้ ๔. รู้ว่าผู้กล่าวไม่เป็นธรรมมีมากกว่า ๕. รู้ว่าผู้กล่าวไม่เป็นธรรมอาจมีมากกว่า ๖. รวู้ า่ สงฆ์จะแตกกนั
๒๙๘ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๗. รวู้ า่ สงฆอ์ าจแตกกนั ๘. จับฉลากโดยไม่เป็นธรรม ๙. จบั ฉลากเปน็ พวก ๆ ๑๐. มิได้จับฉลากตามความเห็นของตน ลกั ษณะอยา่ งนเ้ี รยี กวา่ ไมเ่ ปน็ ธรรม สว่ นทเ่ี ปน็ ธรรม คอื ทต่ี รงกนั ขา้ ม จากท่ีแสดงมาขา้ งต้น. ๖. ตัสสปาปิยสกิ า (การระงบั ด้วยการลงโทษ) ภิกษุชื่ออุปวาฬะ ถูกฟ้องด้วยเรื่องต้องอาบัติในที่ประชุมสงฆ์ ปฏิเสธแล้วกลับรับ รับแล้วกลับปฏิเสธ ให้การกลับกลอกกล่าวเท็จทั้งๆที่รู้ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงแนะให้สงฆ์ใช้วิธีตัสสปาปิยสิกา คือให้สวด ประกาศเปน็ การสงฆล์ งโทษจำเลย ทรงแสดงการทำตสั สปาปยิ สกิ ากรรม ทเ่ี ปน็ ธรรมวา่ ประกอบดว้ ยองค์ ๕ คอื ๑. ภกิ ษเุ ปน็ ผไู้ มบ่ รสิ ทุ ธ์ิ ๒. เป็นผู้ไม่มียางอาย ๓. มีผู้โจทฟ้อง ๔. สงฆท์ ำตสั สปาปยิ สกิ ากรรมแกเ่ ธอ ๕. สงฆ์พร้อมเพรียงกันลงโทษโดยธรรม อนง่ึ ทรงแสดงลกั ษณะการทำกรรมชนดิ นท้ี ไ่ี มเ่ ปน็ ธรรมและทเ่ี ปน็ ธรรม ตามแบบที่ทรงแสดงไว้ในเรื่องตัชชนียกรรม ทรงแสดงลักษณะที่สงฆ์ ควรลงโทษชนิดนี้ และการเสียสิทธิของภิกษุผู้ต้องโทษชนิดนี้เช่นเดียวกับ ตชั ชนยี กรรม (ซง่ึ ไดก้ ลา่ วไวแ้ ลว้ ใน จลุ วรรค ภาค ๑ หนา้ ๒๗๘). ๗. ตณิ วตั ถารกะ (การระงบั ดจุ หญา้ กลบไว,้ หยดุ ไมใ่ หล้ กุ ลาม) ภกิ ษทุ ง้ั หลายทะเลาะววิ าทกนั และเหน็ วา่ ถา้ ขนื ทะเลาะววิ าทกนั ตอ่ ไป
คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๖) ๒๙๙ เรอ่ื งกจ็ ะลกุ ลามเลวรา้ ยถงึ กบั แตกแยกกนั เพราะฉะนน้ั พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรง อนญุ าตใหร้ ะงบั อธกิ รณช์ นดิ น้ี ดว้ ยใหเ้ ลกิ แลว้ กนั ไป ทรงแสดงวิธีสวดประกาศขอมติในที่ประชุมสงฆ์ ให้เป็นอันพ้นอาบัติ ดว้ ยกนั ทง้ั สองฝา่ ย โดยมภี กิ ษรุ ปู หนง่ึ แตล่ ะฝา่ ยทเ่ี สนอญตั ตนิ น้ั เปน็ ผแู้ สดงแทน เวน้ อาบตั หิ ยาบ๑ เวน้ อาบตั ทิ เ่ี นอ่ื งดว้ ยคฤหสั ถ๒์ เวน้ ผแู้ สดงความเหน็ แยง้ เว้นผู้ไม่ได้ประชุมอยู่ในที่นั้น. อธกิ รณ์ ๔ (เรอ่ื งทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ จะตอ้ งจดั ตอ้ งทำ) อธกิ รณม์ ี ๔ คอื ๑. ววิ าทาธกิ รณ์ การววิ าทกนั ในเรอ่ื งเกย่ี วกบั ธรรม เกย่ี วกบั วนิ ยั วา่ นเ้ี ปน็ ธรรม นไ้ี มใ่ ชธ่ รรม, นเ้ี ปน็ วนิ ยั นไ้ี มใ่ ชว่ นิ ยั , นเ้ี ปน็ คำตรสั นม้ี ใิ ชค่ ำตรสั , นเ่ี ปน็ พทุ ธจรยิ า นไ่ี มใ่ ชพ่ ทุ ธจรยิ า, นท่ี รงบญั ญตั ิ นไ่ี มไ่ ดท้ รงบญั ญตั ,ิ นอ่ี าบตั ิ นไ่ี มอ่ าบตั ,ิ นอ่ี าบตั เิ บา นอ่ี าบตั หิ นกั , นอ่ี าบตั มิ สี ว่ นเหลอื นอ่ี าบตั ไิ มม่ สี ว่ นเหลอื (ปาราชกิ ), นอ่ี าบตั ชิ ว่ั หยาบ นอ่ี าบตั ไิ มช่ ว่ั หยาบ. ๒. อนวุ าทาธกิ รณ์ เปน็ การโจทฟอ้ งกนั ดว้ ยศลี วบิ ตั ,ิ อาจารวบิ ตั ,ิ ทฏิ ฐวิ บิ ตั ,ิ หรอื อาชวี วบิ ตั .ิ ๓. อาปตั ตาธกิ รณ์ การตอ้ งอาบตั ิ ทง้ั ๗ กอง ๔. กิจจาธิกรณ์ เรื่องที่สงฆ์จะต้องจัดต้องทำที่เป็นสังฆกรรม คือ อปโลกนกรรม, ญตั ตกิ รรม, ญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม, ญตั ตจิ ตตุ ถกรรม. ครน้ั แลว้ ทรงแสดงลกั ษณะของอธกิ รณแ์ ตล่ ะอยา่ ง พรอ้ มทง้ั มลู เหตโุ ดย พสิ ดาร ในทส่ี ดุ ตรสั สรปุ วา่ อธกิ รณแ์ ตล่ ะอยา่ งจะระงบั ไดด้ ว้ ยสมถะ (วธิ รี ะงบั ) อะไรบ้าง. ๑ อาบตั ทิ ม่ี โี ทษหยาบ คอื อาบตั ปิ าราชกิ และสงั ฆาทเิ สส (ว.ิ อ. ๓ / ๒๑๓ / ๒๙๕) ๒ อาบตั ทิ เ่ี นอ่ื งดว้ ยคฤหสั ถ์ คอื อาบตั ทิ ต่ี อ้ งเพราะดา่ คฤหสั ถ์ ขคู่ ฤหสั ถแ์ ละเพราะรบั คำคฤหสั ถ์ (แลว้ ไมท่ ำตาม) (ว.ิ อ. ๓ / ๒๐๓ / ๒๙๕)
๓๐๐ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก วธิ กี ารระงบั อธกิ รณ์ (อธกิ รณสมถะ) ๑. ววิ าทาธกิ รณ์ การววิ าทกนั ในเรอ่ื งเกย่ี วกบั พระธรรมวนิ ยั ยอ่ มระงบั ดว้ ยวธิ ี ๒ ประการ คอื ๑.สมั มขุ าวนิ ยั ๒.เยภยุ ยสกิ าวนิ ยั โดยเลอื กใช้ ๒ แบบ แบบแรกใชว้ ธิ สี มั มขุ าวนิ ยั อยา่ งเดยี ว แบบ ๒ ใชส้ มั มขุ าวนิ ยั รว่ มกบั เยภยุ ยสกิ า การระงบั ในทพ่ี รอ้ มหนา้ (สมั มขุ าวนิ ยั ) คอื ประชมุ ระงบั อธกิ รณโ์ ดย ๑.พร้อมหน้าสงฆ์ ๒.พร้อมหน้าธรรม ๓.พร้อมหน้าวินัย ๔.พร้อมหน้าบุคคลทั้งโจทและจำเลย ถา้ ระงบั ไดเ้ รยี กวา่ ระงบั ดว้ ยสมั มขุ าวนิ ยั กรณรี ะงบั ไมไ่ ดใ้ นอาวาสนน้ั ทรงใหไ้ ปสอู่ าวาสทม่ี ภี กิ ษมุ ากกวา่ เพอ่ื ใหภ้ กิ ษใุ นอาวาสนน้ั ปรกึ ษากนั เพอ่ื รบั และระงับอธิกรณ์ ถ้ากำลังเดินทางระงับอธิกรณ์ได้ในระหว่างไปสู่อาวาสนั้น กร็ ะงบั ดว้ ยสมั มขุ าวนิ ยั หรอื ภกิ ษใุ นอาวาสนน้ั ชว่ ยระงบั อธกิ รณใ์ นทพ่ี รอ้ มหนา้ กร็ ะงบั ดว้ ยสมั มขุ าวนิ ยั ถา้ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั กำลงั วนิ จิ ฉยั อยมู่ เี สยี งเซง็ แซไ่ มส่ งบ ทรงอนญุ าตใหร้ ะงบั อธกิ รณด์ ว้ ยอพุ พาหกิ วธิ ๑ี ถา้ ยงั ระงบั ไมไ่ ด้ ทรงใหม้ อบ อธกิ รณใ์ หส้ งฆ์ แลว้ ใหส้ งฆร์ ะงบั ดว้ ยเยภยุ ยสกิ าวนิ ยั . ระงับโดยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ (เยภุยยสิกาวินัย) โดย ทรงใหส้ งฆแ์ ตง่ ตง้ั ภกิ ษทุ ป่ี ระกอบดว้ ยองคค์ ณุ ๕ คอื ไมล่ ำเอยี งเพราะชอบ, ชงั , หลง, กลวั , และรจู้ กั ฉลากทจ่ี บั แลว้ หรอื ยงั ไมจ่ บั เปน็ ผใู้ หจ้ บั ฉลาก(ลงคะแนน) ตรสั วา่ วธิ ลี งคะแนนมี ๓ อยา่ ง คอื ปกปดิ , กระซบิ บอก, และเปดิ เผย ตามความ ยนิ ยอมของภกิ ษพุ วกนน้ั . (ดแู ผนผงั หนา้ ๔๗๗, ๔๗๙ ประกอบ) ๑ อพุ พาหกิ วธิ ี คอื วธิ รี ะงบั อธกิ รณ์ (เนอ่ื งดว้ ยในทป่ี ระชมุ สงฆม์ คี วามไมส่ ะดวกดว้ ยเหตบุ างประการ) โดยสงฆเ์ ลอื ก ภกิ ษบุ างรปู ในทป่ี ระชมุ นน้ั (ผมู้ อี งคค์ ณุ ๑๐ ประการ คอื ๑.เปน็ ผมู้ ศี ลี สำรวมสงั วรในปาตโิ มกข์ ถงึ พรอ้ มดว้ ยอาจาระ และโคจร มปี กตเิ หน็ ภยั ในโทษมีประมาณน้อย สมาทานศกึ ษาอย่ใู นสิกขาท้งั หลาย ๒.เปน็ พหูสตู ร ทรงสุตะ สงั่ สมสตุ ะ ธรรมเหล่าใดที่งามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และงามในที่สุด ที่สรรเสริญพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ บรสิ ทุ ธบิ รบิ รู ณส์ น้ิ เชง้ิ ธรรมเหลา่ นน้ั เธอยอ่ มสดบั มาก ทรงไว้ สง่ั สมดว้ ยวาจา เขา้ ไปเพง่ ดว้ ยใจ ประจกั ษช์ ดั ดแี ลว้ ดว้ ยทฏิ ฐิ ๓.จำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีโดยพิสดาร จำแนกดี สวดดี วินิจฉัยถูกต้องโดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ ๔.เป็นผู้ตั้งมั่นในพระวินัยไม่คลอนแคลน ๕. เป็นผู้อาจชี้แจงให้คู่ต่อสู้ในอธิกรณ์ยินยอม เข้าใจ เพ่ง เห็น เลื่อมใส ๖.เปน็ ผฉู้ ลาดเพอ่ื ยงั อธกิ รณอ์ นั เกดิ ขน้ึ ใหร้ ะงบั ๗.รอู้ ธกิ รณ์ ๘.รเู้ หตอุ ธกิ รณ์ ๙.รคู้ วามระงบั แหง่ อธกิ รณ์ ๑๐.รทู้ างระงบั อธิกรณ์) ตั้งเป็นคณะแล้วมอบเรื่องให้นำไปวินิจฉัย (ว.ิ อ. ๓ / ๒๓๑ / ๒๙๙)(ระหวา่ งวนิ จิ ฉยั ถา้ มภี กิ ษทุ ไ่ี ดร้ บั เลอื ก บางรูปขาดคุณสมบัติ จำพระสูตรไม่ได้... ย่อมค้านใจความ ตามเค้าพยัญชนะ ให้สวดประกาศถอดถอนภิกษุนั้น ใหภ้ กิ ษเุ หลา่ นน้ั ทราบดว้ ยญตั ตกิ รรม)
คมั ภรี จ์ ลุ วรรค ภาค ๑ (พระวนิ ยั ปฏิ ก เลม่ ๖) ๓๐๑ ๒. อนวุ าทาธกิ รณ์ การโจทฟอ้ งกนั ดว้ ยศลี วบิ ตั ิ อาจารวบิ ตั ิ ทฏิ ฐวิ บิ ตั ิ อาชวี วบิ ตั ิ ยอ่ มทร่ี ะงบั ดว้ ยสมถะ (วธิ รี ะงบั ) ๔ ประการ คอื ๑. ระงบั ดว้ ยระงบั ในทพ่ี รอ้ มหนา้ (สมั มขุ าวนิ ัยดหู นา้ ๒๙๕) ๒. ระงบั ดว้ ยสงฆย์ กใหว้ า่ เปน็ ผมู้ สี ติ (ขอสตวิ นิ ยั กบั สงฆ์ หนา้ ๒๙๕) ๓. ระงบั ดว้ ยสงฆย์ กใหว้ า่ เปน็ บา้ (ขออมฬู หวนิ ยั กบั สงฆ์ หนา้ ๒๙๖) ๔. ระงับด้วยการลงโทษโดยสงฆ์ แก่ภิกษุผู้ถูกซักถามถึงอาบัติ ในทา่ มกลางสงฆป์ ฏเิ สธแลว้ รบั รบั แลว้ ปฏเิ สธ เอาเรอ่ื งหนง่ึ มากลา่ วกลบเกลอ่ื น อกี เรอ่ื งหนง่ึ (ตสั สปาปยิ สกิ า หนา้ ๒๙๘). ทรงให้ใช้สัมมุขาวินัยร่วมกับสติวินัย, สัมมุขาวินัยร่วมกับอมูฬหวินัย หรอื สมั มขุ าวนิ ยั รว่ มกบั ตสั สปาปยิ สกิ าตามควรแกก่ รณี (ดหู นา้ ๔๗๗, ๔๗๙) ๓. อาปตั ตาธกิ รณ์ การตอ้ งอาบตั ติ า่ งๆระงบั ดว้ ยใช้วธิ รี ะงบั ๓ ประการ คอื ๑. ระงบั ดว้ ยระงบั ในทพ่ี รอ้ มหนา้ (สมั มขุ าวนิ ยั หนา้ ๒๙๕, ๓๐๐) ๒. ระงบั ดว้ ยปรบั โทษตามคำสารภาพ (ปฏญิ ญาตกรณะ หนา้ ๒๙๗) ๓. ระงบั ดจุ หญา้ กลบไว,้ หยดุ ไมใ่ หล้ กุ ลาม (ตณิ วตั ถารกวนิ ยั หนา้ ๒๙๘) ตามวธิ สี งฆท์ ท่ี รงบญั ญตั ไิ ว้ ทรงใหใ้ ชส้ มั มขุ าวนิ ยั รว่ มกบั ปฏญิ ญาตกรณะ หรอื ใชส้ มั มขุ าวนิ ยั รว่ มกบั ตณิ วตั ถารกวนิ ยั ตามควรแกก่ รณี (ดแู ผนผงั หนา้ ๔๗๗, ๔๗๙) ๔. กจิ จาธกิ รณ์ เรอ่ื งทส่ี งฆจ์ ะตอ้ งจดั ตอ้ งทำทเ่ี ปน็ สงั ฆกรรม ระงบั ดว้ ย วธิ รี ะงบั ประการเดยี ว คอื ดว้ ยสมั มขุ าวนิ ยั (ดแู ผนผงั หนา้ ๔๗๗, ๔๗๙) ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้รื้อฟื้นอธิกรณ์ที่ชำระตามธรรมเสร็จ ไปแล้ว และปรบั อาบตั ปิ าจิตตยี ์แก่ภกิ ษุผใู้ หฉ้ ันทะแลว้ บ่นวา่ ในภายหลัง.
ทรงแก้ข้อที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น “กาฝากสังคม” คามณ!ิ ตลอดเวลาลว่ งมา ๙๑ กปั ปน์ ้ี เราระลกึ ไมไ่ ดว้ า่ เราเคยเขา้ ไป ทำลายตระกูลใดๆ เพราะการรับเอาข้าวสุกมา โดยที่แท้นั้นตระกูลใดๆ ที่เป็น ตระกลู มง่ั คง่ั มที รพั ยม์ าก มโี ภคะมาก มที องและเงนิ มาก มอี ปุ กรณแ์ หง่ ทรพั ยม์ าก มีข้าวเปลือกเป็นหลักทรัพย์เป็นอันมาก ก็เพราะตระกูล เหล่านั้นเพียบพร้อม ดว้ ยทาน เพยี บพรอ้ มดว้ ยสจั จะ เพยี บพรอ้ มดว้ ยสญั ญมะ (ความสำรวมระวงั ) คามณ!ิ เหตปุ จั จยั มอี ยู่ ๘ อยา่ งเพอ่ื การทำลายแหง่ สกลุ กลา่ วคอื :- ตระกลู ถงึ ความขาดสญู เพราะ ราชภยั ๑, ตระกลู ถงึ ความขาดสญู เพราะ โจรภยั ๑, ตระกลู ถงึ ความขาดสญู เพราะ อคั คภี ยั ๑, ตระกลู ถงึ ความขาดสญู เพราะ อทุ กภยั ๑, ตระกลู ถงึ ความขาดสญู เพราะ ทรพั ยท์ ฝ่ี งั ไวเ้ คลอ่ื นทจ่ี ากเดมิ ๑, ตระกลู ถงึ ความขาดสญู เพราะ การงานวบิ ตั เิ พราะบรหิ ารไมด่ ี ๑, บุคคลกุลังคาร (แกะดำ) เกิดขึ้นล้างผลาญโภคทรัพย์ในตระกูล ๑, ความไม่เที่ยง (แห่งสังขารทั้งหลาย) นับเป็นที่แปด. คามณ!ิ เหลา่ นแ้ี ล คอื เหตปุ จั จยั ๘ อยา่ ง เพอ่ื การทำลายแหง่ สกลุ . (พระไตรปฎิ กบาลี สยามรฐั ๑๘/๔๐๐/๖๒๒)
จลุ วรรค ภาค ๒ (พระไตรปฎิ ก เลม่ ๗) เรอ่ื งเบด็ เตลด็ , ทอ่ี ย,ู่ ขอ้ วตั ร
๓๐๔ ประมวลพระพทุ ธบญั ญตั ิ อรยิ วนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ๑. ขทุ ทกวตั ถขุ นั ธกะ หมวดวา่ ดว้ ยเรอ่ื งเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ เรื่องเกี่ยวกับการอาบน้ำ ทรงปรารภการกระทำของภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ มผี ตู้ เิ ตยี น จงึ ตรสั หา้ มมใิ ห้ ภกิ ษเุ อากายสกี บั ตน้ ไม้ สกี บั เสา สกี บั ฝา ในขณะอาบนำ้ ทรงปรบั อาบตั ิ ทกุ กฏแกผ่ ลู้ ว่ งละเมดิ เพราะชาวบา้ นตวิ า่ ทำเหมอื นนกั มวยปลำ้ และทรงห้ามอาบน้ำในสถานที่อันไม่สมควร ทรงห้ามอาบน้ำโดยถูด้วยมือที่ทำด้วยไม้ (คนฺธพฺพหตฺถ)๑ หรือ ถดู ว้ ยกอ้ นจรุ ณหนิ สเี หมอื นพลอยแดง หรอื ผลดั กนั ถตู วั และทรงหา้ มถู ดว้ ยไมท้ จ่ี กั เปน็ ฟนั มงั กร ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกผ่ ลู้ ว่ งละเมดิ เพราะมผี ู้ ติเตียนว่าทำเหมือนอย่างคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม กรณภี กิ ษอุ าพาธ เชน่ เปน็ หดิ ทรงอนญุ าตใชไ้ มท้ ม่ี ไิ ดจ้ กั เปน็ ฟนั มงั กร เอามาถูได้ ส่วนการอาบน้ำนั้นทรงอนุญาตเกลียวผ้าหรือฝ่ามือถูตัวได้ ห้ามใช้เครื่องประดับแบบคฤหัสถ์ ทรงห้ามประดับกายด้วยตุ้มหู, สายสร้อย, สร้อยคอ, สร้อยเอว, เขม็ ขดั , บานพบั สำหรบั แขน, กำไลมอื , และแหวน ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏ แก่ผู้ทำเช่นนั้น ๑ คนธฺ พพฺ หตถฺ ไดแ้ ก่ มอื ทท่ี ำดว้ ยไมซ้ ง่ึ เขาวางไวท้ ท่ี า่ อาบนำ้ คนทง้ั หลายใชม้ อื นน้ั ตกั จรุ ณขดั สกี าย (ว.ิ อ.๓/๒๔๓/๓๐๒)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 571
Pages: