Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ວິຊາ เทคโนโลยีเพื่อการจัดการสารสนเทศ

ວິຊາ เทคโนโลยีเพื่อการจัดการสารสนเทศ

Published by thongla4567, 2021-08-24 08:35:28

Description: ວິຊາ เทคโนโลยีเพื่อการจัดการสารสนเทศ

Search

Read the Text Version

206 ทศนยิ ม 1 ตาแหน่ง ทศนยิ ม 0 ตาแหนง่ ทศนยิ ม 2 ตาแหน่ง ภาพที่ 3.98 การใช้งานฟงั กช์ ัน ROUND 1.2.2 ROUNDDOWN การปัดเศษตัวเลขให้มีค่าเข้าใกล้ 0 โดยจะปัดเศษลงเสมอ มีรูปแบบ การใช้งาน ดังนี้ =ROUNDDOWN(number, num_digits) number: คือ ค่าตวั เลขทต่ี ้องการนาเศษมาปดั ทศนยิ ม num_digits: คือ ตาแหน่งทศนิยมจริงท่ีต้องการ หากค่ามากกว่า 0 ตัวเลขจะถูกปัดเศษลงตามจานวน ตาแหน่งทศนิยมทร่ี ะบุ หากค่าเทา่ กับ 0 จานวนจะถกู ปัดเศษลงใหเ้ ป็นจานวนเต็มทใ่ี กล้เคียง ที่สุด และหากค่านอ้ ยกว่า 0 จานวนจะถูกปัดเศษลงไปทางซา้ ยของจุดทศนยิ ม ทศนยิ ม 2 ตาแหนง่ ทศนิยม 1 ตาแหนง่ ทศนิยม 0 ตาแหนง่ ภาพที่ 3.99 การใช้งานฟังกช์ ัน ROUNDDOWN 1.2.3 ROUNDUP การปดั เศษตวั เลขให้มคี ่าหา่ งจาก 0 โดยจะปดั เศษขนึ้ เสมอ มีรูปแบบการ ใช้งาน ดงั นี้ =ROUNDUP(number, num_digits) number: คือ คา่ ตวั เลขที่ตอ้ งการนาเศษมาปัดทศนิยม num_digits: คือ ตาแหน่งทศนิยมจริงที่ต้องการ หากค่ามากกว่า 0 ตัวเลขจะถูกปัดเศษขึ้นตามจานวน ตาแหนง่ ทศนยิ มท่ีระบุ หากคา่ เทา่ กบั 0 จานวนจะถูกปัดเศษข้นึ ใหเ้ ปน็ จานวนเต็มท่ีใกล้เคียง ทส่ี ุด และหากค่านอ้ ยกว่า 0 จานวนจะถกู ปดั เศษขน้ึ ทางซ้ายของตาแหนง่ ทศนิยม ทศนิยม 2 ตาแหน่ง ทศนยิ ม 1 ตาแหนง่ ทศนยิ ม 0 ตาแหน่ง ภาพที่ 3.100 การใช้งานฟังก์ชนั ROUNDUP

207 1.2.4 EVEN ปดั เศษตัวเลขข้นึ ให้เป็นเลขคู่ท่ใี กลเ้ คียงท่สี ุด ถา้ number เปน็ เลขคอู่ ยแู่ ล้วจะ ไมม่ กี ารปัดเศษ มรี ูปแบบการใช้งาน ดังน้ี ตวั เลขทศนิยม =EVEN(number) ตัวเลขติดลบ ตวั เลขจานวนเต็ม ภาพที่ 3.101 การใช้งานฟังก์ชัน EVEN 1.2.5 ODD ปดั เศษตัวเลขข้ึนให้เปน็ จานวนเต็มเลขคี่ท่ีใกลเ้ คียงทีส่ ุด ถ้า number เป็นเลขคี่ จานวนเต็มอยแู่ ลว้ จะไมม่ กี ารปดั เศษ มีรปู แบบการใชง้ าน ดงั นี้ =ODD(number) ตัวเลขทศนิยม ตวั เลขจานวนเต็ม ตวั เลขติดลบ ภาพที่ 3.102 การใช้งานฟังก์ชัน ODD 1.2.6 INT ปัดเศษตัวเลขลงให้เป็นจานวนเต็มท่ีใกล้เคียงท่ีสุด โดยปกติมักจะตัดลงให้เหลือ เฉพาะจานวนเต็มของค่าตัวเลข มีรปู แบบการใชง้ าน ดังนี้ =INT(number) ภาพท่ี 3.103 การใช้งานฟังก์ชนั INT 1.2.7 TRUNC ย่อมากจาก truncate ปัดเศษตัวเลขทิ้งให้เป็นจานวนเต็ม โดยการนา ทศนยิ มหรือเศษสว่ นของตวั เลขออก ให้เหลอื คา่ เทา่ จานวนหลักท่ีตอ้ งการ โดยไมต่ อ้ งคานงึ ว่าหลกั ถัดไปเป็น เลขใด มีรูปแบบการใชง้ าน ดังนี้

208 =TRUNC(number, [num_digits]) number: คือ ค่าตวั เลขทต่ี อ้ งการนาเศษมาปัดทศนิยม num_digits: คือ ตัวเลขท่ีระบุหลักความแม่นยาของการตัดท้ิง ค่าเริ่มต้นสาหรับ num_digits เท่ากับ 0 (ระบุหรือไม่ก็ได)้ ภาพที่ 3.104 การใชง้ านฟังก์ชนั TRUNC 2. ฟงั ก์ชันวนั ท่แี ละเวลา ฟังก์ชันวันท่ีและเวลา (Date and Time) เป็นฟังก์ชันเกี่ยวกับการคานวณวัน เวลา และการ แสดงวัน เวลาในเอกสาร สามารถแปลงค่าวัน เวลา ให้อยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ เช่น การคานวณจานวนวัน เดอื น ปี ทเี่ กดิ มาแล้ว หรือการแสดงวัน เดอื น ปี ปจั จุบนั ในเอกสาร เป็นต้น ตารางท่ี 3.25 ฟังกช์ ันวันท่ีและเวลา ฟงั ก์ชนั รูปแบบ ความหมาย แสดงวันที่และเวลาปจั จุบันจากเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ NOW =NOW() แสดงวนั ทีป่ จั จบุ นั จากเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ ส่งกลับเลขลาดับของวันที่ ทเี่ ฉพาะเจาะจง TODAY =TODAY() แปลงวันทใ่ี นรปู แบบขอ้ ความเปน็ เลขลาดบั สง่ กลับเลขลาดับของเวลาที่เฉพาะเจาะจง DATE =DATE() แปลงเลขลาดับเปน็ นาที แปลงเลขลาดบั เปน็ ชั่วโมง DATEVALUE =DATEVALUE() แปลงเลขลาดับเปน็ วนั ในเดอื น แปลงเลขลาดบั เป็นเดือน TIME =TIME() แปลงเลขลาดับเปน็ ปี คานวณจานวนวันระหวา่ งวนั ทส่ี องวันโดยยึดตามปที ี่มี 360 วัน MINUTE =MINUTE() แปลงเลขลาดบั เป็นวันในสปั ดาห์ ส่งกลบั เลขลาดบั ของวันที่ทีเ่ ป็นจานวนเดือนทร่ี ะบกุ อ่ นหรือหลงั วนั ทเี่ รม่ิ ตน้ HOUR =HOUR() สง่ กลบั เลขลาดับของวนั สุดท้ายของเดือนกอ่ นหรอื หลังจานวนเดอื นทีร่ ะบุ ส่งกลบั เลขลาดับของวันทกี่ อ่ นหรือหลังจานวนวันทางานท่ีระบุ DAY =DAY() MONTH =MONTH() YEAR =YEAR() DAYS360 =DAYS360() WEEKDAY =WEEKDAY() EDATE =EDATE() EOMONTH =EOMONTH() WORKDAY =WORKDAY()

209 2.1 NOW จะแสดงคา่ วนั ทีแ่ ละเวลาปัจจุบัน และ TODAY จะแสดงค่าวันทปี่ ัจจบุ นั โดยยึดตาม เวลาของเครือ่ งคอมพวิ เตอร์ทกี่ าลงั ใชง้ าน มรี ปู แบบการใช้งาน ดังน้ี =NOW() =TODAY() ภาพที่ 3.105 การใช้งานฟังก์ชนั NOW และ TODAY 2.2 DATE ส่งกลับเลขลาดับของวันท่ี ที่เฉพาะเจาะจง ค่าเป็นวัน เดือน ปี ตามเลขท่ีปี เลขท่ี เดือน และวนั ที่ มรี ปู แบบการใชง้ าน ดงั น้ี =DATE(year, month, day) year: คือ ตวั เลขตั้งแต่ 1 ถงึ 4 หลัก โดยจะแปลง year ตามระบบวนั ท่ีของคอมพวิ เตอร์ที่กาลัง ใช้งานอยู่ตามค่าเร่ิมต้น Microsoft Excel สาหรับ Windows จะใช้ระบบวันท่ีแบบ 1900 โดยวันท่ีเริ่มต้นจะเป็น 1 มกราคม 1900 ผู้ใช้ควรกาหนดตัวเลข 4 หลัก สาหรับ year เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เช่น หากกาหนดปีเป็น “10” อาจหมายถึง “1910” หรอื “2010” เปน็ ต้น month: คือ จานวนเต็มบวกหรือจานวนเต็มลบแทนค่าเดือน ตั้งแต่ 1 ถึง 12 ในกรณีที่เดือนมีค่า มากกว่า 12 จะถูกนับทบขึ้นเป็นเดือนแรกของปีท่ีระบุ เช่น DATE (2018,14,2) จะ ส่งกลับเลขลาดับแทนวันท่ี 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 และในกรณีที่เดือน น้อยกว่า 1 จะ ลบจานวนเดือนน้ัน บวก 1 จากเดือนแรกของปีที่ระบุ เช่น DATE (2018, -3,2) จะ สง่ กลับเลขลาดบั แทนวันท่ี 2 กันยายน 2017 day: คือ จานวนเต็มบวกหรือจานวนเต็มลบท่ีแสดงวัน ตั้งแต่ 1 ถึง 31 ในกรณีที่วัน มีค่า มากกว่าจานวนวันในเดือนที่ระบุ จะถูกนับทบข้ึนเป็นวันแรกของเดือนต่อไป เช่น DATE (2018,1,35) ส่งกลับเลขลาดับแทนวนั ท่ี 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 และในกรณีที่วัน น้อย กว่า 1 จะลบจานวนวนั น้ันออก บวก 1 จากวันแรกของเดอื นทร่ี ะบุ เชน่ DATE (2018,1,- 15) จะส่งกลบั เลขลาดบั แทนวนั ท่ี 16 ธนั วาคม 2017

210 รูปแบบปกติ เดอื นเปน็ ค่าลบ วนั ทเ่ี กนิ 31 วนั ภาพท่ี 3.106 การใชง้ านฟังก์ชนั DATE สามารถเปล่ียนรูปแบบวันที่ตามรูปแบบท่ีต้องการได้ โดยคลิกขวาที่เซลล์แสดงวันที่ เลือกคาส่ัง Format cells จากน้นั เลือก Date แล้วเลอื กรปู แบบวนั ทต่ี ามต้องการ ดงั ภาพท่ี 3.107 ภาพท่ี 3.107 การแปลงรูปแบบวันท่ี 2.3 DATEVALUE แปลงค่าวันที่ ที่เก็บเปน็ ขอ้ ความให้เป็นเลขลาดบั ที่ Excel รจู้ ักว่าเปน็ วนั ท่ี มี ประโยชนใ์ นกรณที ่ีแผ่นงานมีวนั ที่ในรูปแบบข้อความทีต่ ้องการกรอง เรยี งลาดบั หรือจดั รปู แบบใหเ้ ป็นวันท่ี หรือใช้ในการคานวณวันที่ มรี ปู แบบการใชง้ าน ดังน้ี

211 =DATEVALUE(date_text) Date_text: คือ ข้อความทีแ่ สดงวนั ท่ีในรูปแบบวันท่ีของ Excel เชน่ \"30/1/2554\" หรือ \"30-ม.ค.-2554\" เม่ือใช้ระบบวันท่ีเริ่มต้นใน Microsoft Excel date_text ต้องใช้แทนวันท่ีระหว่างวันท่ี 1 มกราคม ค.ศ. 1900 และวันท่ี 31 ธันวาคม ค.ศ. 9999 ฟังก์ชัน DATEVALUE จะส่งกลบั คา่ # VALUE! เป็นค่าความผิดพลาดหาก date_text ไม่ไดอ้ ยใู่ นช่วงทก่ี าหนด ภาพที่ 3.108 การใช้งานฟังก์ชนั DATEVALUE 2.4 TIME ส่งกลับตัวเลขทศนิยมของเวลาท่ีระบุ หากรูปแบบของเซลล์เป็นแบบทั่วไป ก่อนท่ีจะ ใช้ฟังก์ชัน ผลลัพธ์ท่ีได้จะถูกจัดรูปแบบให้เป็นวันที่ โดยตัวเลขทศนิยมที่ส่งกลับ โดย TIME จะเป็นค่าท่ีอยู่ ในช่วงจาก 0 ถึง 0.99988426 ซึ่งจะแทนค่าของเวลาจาก 0:00:00 (12:00:00 AM) ถึง 23:59:59 (11:59:59 PM) มรี ปู แบบการใชง้ าน ดงั นี้ =TIME(hour, minute, second) hour: คอื ตัวเลขต้งั แต่ 0 ถึง 32767 ทแี่ ทนช่วั โมง ค่าใด ๆ ทม่ี ากกวา่ 23 จะถูกหารดว้ ย 24 และจะ ถอื วา่ เศษท่ีเหลือเปน็ ค่าชั่วโมง เช่น TIME (27,0,0) = TIME (3,0,0) = .125 หรือ 3:00 AM minute: คือ ตัวเลขต้ังแต่ 0 ถึง 32767 ที่แทนนาที ค่าใด ๆ ท่ีมากกว่า 59 จะถูกแปลงเป็นชั่วโมงและ นาที เชน่ TIME (0,750,0) = TIME (12,30,0) = .520833 หรือ 12:30 PM second: คือ ตัวเลขต้ังแต่ 0 ถึง 32767 ท่ีแทนวินาที ค่าใด ๆ ท่ีมากกว่า 59 จะถูกแปลงเป็นชั่วโมง นาที และวินาที เช่น TIME (0,0,2000) = TIME (0,33,22) = .023148 หรือ 12:33:20 AM ภาพที่ 3.109 การใชง้ านฟังก์ชัน TIME

212 2.5 MINUTE ส่งกลับค่านาทีของค่าเวลา ค่านาทีที่ได้จะเป็นจานวนเต็ม ต้ังแต่ 0 ถึง 59 และ HOUR ส่งกลับชว่ั โมงของค่าเวลา ซ่ึงเปน็ จานวนเต็ม ต้ังแต่ 0 (12:00 A.M.) ถึง 23 (11:00 P.M.) มีรปู แบบ การใชง้ าน ดังน้ี =MINUTE(serial_number) =HOUR(serial_number) serial_number: คือ เวลาท่ีมีค่านาที หรือเวลาท่ีมีค่าช่ัวโมง อาจระบุเวลาเป็นข้อความโดยมีเคร่ืองหมาย อญั ประกาศคร่อม เช่น \"6:45 PM\" เป็นเลขทศนิยม เช่น 0.78125 ซ่ึงแทน 6:45 PM ภาพท่ี 3.110 การใชง้ านฟังก์ชนั MINUTE และ HOUR 2.6 DAY ส่งกลับวันของวันท่ีแสดงด้วยเลขลาดับ ค่าที่ได้จะเป็นจานวนเต็ม ต้ังแต่ 1 ถึง 31, MONTH ส่งกลับค่าเดือนแสดงด้วยเลขลาดับ ค่าที่ได้จะเป็นจานวนเต็ม ต้ังแต่ 1 (มกราคม) ถึง 12 (ธนั วาคม) และ YEAR สง่ กลับปีทส่ี อดคล้องกับวันที่ โดยจะถกู ส่งกลับเปน็ จานวนเต็มในชว่ ง 1900-9999 มี รปู แบบการใช้งาน ดงั นี้ =DAY(serial_number) =MONTH(serial_number) =YEAR(serial_number) serial_number: คือ วนั ท่ี หรอื อาจใส่วนั ที่โดยใชฟ้ ังกช์ ัน DATE หรอื ใช้ผลลพั ธจ์ ากสตู รหรอื ฟังกช์ นั อ่ืน เชน่ ใช้ ฟังก์ชัน DATE (2008,5,23) แทนวันท่ี 23 พฤษภาคม 2008 เน่ืองจากอาจเกิดข้อผิดพลาด หากใส่วันท่ใี นรปู แบบขอ้ ความทัว่ ไป ภาพที่ 3.111 การใชง้ านฟังก์ชนั DAY MONTH และ YEAR

213 2.7 DAYS360 สง่ กลบั จานวนวันระหว่างวนั ท่ี 2 วันทีร่ ะบุ โดยคานวณจานวนวันระหวา่ งวนั ที่ 2 วนั ไดผ้ ลลพั ธเ์ ปน็ ตวั เลขจานวนวัน โดยมีพ้ืนฐานอยใู่ นปีท่ีมี 360 วนั (12 เดือน เดอื นละ 30 วัน) มรี ูปแบบ การใชง้ าน ดังนี้ =DAY360(start_date, enddate, method) start_date: คอื คา่ วนั ที่เริม่ ตน้ ท่จี ะใช้หาคา่ วัน enddate: คอื คา่ วนั ท่ีสิ้นสดุ ทีจ่ ะใช้หาคา่ วัน method: คือ ตรรกะท่ใี ชร้ ะบุวา่ จะใช้วธิ แี บบ U.S. หรือ European ในการคานวณ ภาพที่ 3.112 การใชง้ านฟังก์ชัน DAY360 2.8 EDATE ส่งกลับเลขลาดับที่ใช้แสดงถึงวันที่ท่ีเป็นจานวนเดือนก่อนหรือหลังวันที่ท่ีระบุ เช่น ใช้ฟังก์ชัน EDATE เพ่ือคานวณวันที่ครบกาหนดชาระ หรือวันท่ีสิ้นสุดที่มีวันที่ของเดือนตรงกับวันท่ีท่ี ออกจาหน่าย มีรูปแบบการใชง้ าน ดังนี้ =EDATE(start_date, months) start_date: คือ วันที่ที่ใช้แทนวันที่เริ่มต้น อาจใส่วันที่โดยใช้ฟังก์ชัน DATE หรือใช้ผลลัพธ์จากสูตรหรือ ฟังก์ชันอนื่ เช่น ใช้ฟังกช์ ัน DATE (2008,5,23) แทนวันท่ี 23 พฤษภาคม 2008 เน่ืองจากอาจ เกิดขอ้ ผิดพลาดหากใสว่ นั ทใี่ นรูปแบบขอ้ ความท่ัวไป months: คือ จานวนเดือนก่อนหรือหลัง start_date ค่าบวกของเดือนเป็นวันท่ีในอนาคต และค่าลบ เปน็ วันทใ่ี นอดตี ภาพที่ 3.113 การใชง้ านฟังก์ชัน EDATE

214 2.9 EOMONTH ส่งกลับเลขลาดับของวันสุดท้ายของเดือนตามตัวเลขที่ระบุจานวนเดือนก่อน หรือหลงั เชน่ ใชฟ้ ังก์ชนั EOMONTH ในการคานวณวันครบกาหนดชาระหรอื วนั ทส่ี นิ้ สดุ ตา่ ง ๆ ท่ีตรงกับวัน สุดทา้ ยของเดือน มรี ปู แบบการใช้งาน ดงั น้ี =EOMONTH(start_date, months) start_date: คือ วันท่ีที่ใช้แทนวันที่เร่ิมต้น อาจใส่วันท่ีโดยใช้ฟังก์ชัน DATE หรือใช้ผลลัพธ์จากสูตรหรือ ฟังก์ชันอ่ืน เช่น ใช้สูตร DATE (2008,5,23) แทนวันที่ 23 พฤษภาคม 2008 เน่ืองจากอาจ เกดิ ข้อผดิ พลาดหากใสว่ ันทใ่ี นรูปแบบข้อความท่ัวไป months: คือ จานวนเดือนก่อนหรือหลัง start_date ค่าบวกของเดือนเป็นวันที่ในอนาคต และค่าลบ เป็นวันท่ีในอดีต ภาพท่ี 3.114 การใช้งานฟังก์ชัน EMONTH 2.10 WEEKDAY ส่งกลับค่าวันในสัปดาห์ท่ีสอดคล้องกับค่าวันที่ ตามค่าเริ่มต้น วันจะเป็น จานวนเต็ม อยู่ในช่วงตั้งแต่ 1 (อาทิตย์) ถึง 7 (เสาร์) มีรปู แบบการใช้งาน ดงั นี้ =WEEKDAY(serial_number, [return_type]) serial_number: คือ เลขลาดับท่ีใช้แทนวันที่ของวัน อาจใส่วันท่ีโดยใช้ฟังก์ชัน DATE หรือใช้ผลลัพธ์จากสูตร หรอื ฟงั กช์ นั อ่ืน ๆ เช่น ใช้สตู ร DATE (2008,5,23) แทนวนั ที่ 23 พฤษภาคม 2008 เนื่องจาก อาจเกดิ ขอ้ ผดิ พลาดหากใสว่ ันท่ีในรูปแบบขอ้ ความทัว่ ไป return_type: คอื ตัวเลขที่ระบชุ นิดของคา่ ที่สง่ กลบั ภาพที่ 3.115 การใช้งานฟังก์ชัน WEEKDAY

215 2.11 WORKDAY ส่งกลับค่าตัวเลขท่ีใช้แสดงถึงวันที่เป็นจานวนวันทางานก่อนหรือหลังวันที่ที่ ระบุ (วันที่เร่ิมต้น) โดยจะไม่รวมวันหยุดสดุ สปั ดาห์และวันที่ใดก็ตามที่ถูกระบุให้เป็นวันหยดุ ไว้ในวันทางาน เชน่ ใช้ฟังก์ชนั WORKDAY แยกวนั หยุดสดุ สปั ดาหห์ รือวันหยดุ ต่าง ๆ ออก เพ่อื คานวณหาวันท่ีครบกาหนด ชาระค่าสินค้าตามใบแจ้งหน้ี เวลาจัดส่งที่กาหนด หรือจานวนวันท่ีใช้ทางานจนเสร็จสิ้น เป็นต้น มีรูปแบบ การใช้งาน ดังน้ี =WORKDAY(start_date, days, [holidays]) start_date: คอื วันที่ ทใี่ ชแ้ ทนวันท่เี รม่ิ ตน้ days: คือ จานวนของวันที่ไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ และไม่ใช่วันหยุดนักขัตฤกษ์ก่อนหรือหลัง start_date คา่ บวกของวันเปน็ วนั ทีใ่ นอนาคต และค่าลบเปน็ วนั ที่ในอดีต holidays: คือ รายการที่เลือกได้ของวันที่หนึ่งวันข้ึนไป ที่ไม่นับรวมในปฏิทินการทางาน เช่น วันหยุด ของรัฐหรือประจาชาติและวันหยุดอ่ืน ๆ ที่ไม่แน่นอน อาจเป็นช่วงของเซลล์ท่ีมีวันท่ีหรือ ค่าคงทอ่ี าร์เรย์ของเลขลาดับ (serial number) ท่ใี ช้แทนวนั ท่ี 3. ฟงั ก์ชันการเปรียบเทียบ ฟังก์ชันการเปรียบเทียบ (Logical) เป็นฟังก์ชันเกี่ยวกับการเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ ระหว่างค่าและส่ิงท่ีคาดหวังไว้ โดยการทดสอบเง่ือนไข และส่งกลับผลลัพธ์ว่าเงื่อนไขน้ันเป็นจริงหรือเท็จ (True & False) เช่น การแปลผลค่าตัวเลขจากแบบสอบถาม การแสดงเกรดตามคะแนน เป็นตน้ ตารางที่ 3.26 ฟังก์ชนั การเปรยี บเทียบ ฟังก์ชนั รปู แบบ ความหมาย IF =IF() การกาหนดเงือ่ นไข AND =AND() การทดสอบหลายเงอ่ื นไข OR =OR() การทดสอบเงื่อนไขแบบทางเลือก NOT =NOT() การปฏเิ สธเง่ือนไขที่ระบุ 3.1 IF การกาหนดเงื่อนไขเพ่ือช่วยในการตัดสินใจ โดยจะทดสอบเง่ือนไขแล้วส่งค่ากลับมาเป็น ตรรกศาสตรว์ ่าจรงิ หรือ เท็จ (True or False) และหากเงื่อนไขเปน็ จริงหรือเทจ็ โปรแกรมจะแสดงผลลัพธ์ ตามท่ีผ้ใู ช้กาหนด มีรูปแบบการใช้งาน ดงั นี้ =IF(logical_test, [value_if_ture], [value_if_flase]) logical_test: คือ เงอ่ื นไขหรอื คา่ ทจ่ี ะนาไปทดสอบวา่ เปน็ จริงหรอื เทจ็ value_if_ture: คือ ค่าทต่ี อ้ งการแสดงหากเงื่อนไขเปน็ จริง value_if_flase: คอื คา่ ทต่ี ้องการแสดงหากเง่อื นไขเป็นเท็จ

216 ตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชัน IF เพ่ือวิเคราะห์ยอดขายสินค้า โดยกาหนดเงื่อนไข คือ ถ้าราคาขาย รวมมยี อดมากกว่าหรือเทา่ กบั 20,000 บาท แสดงวา่ “กาไร” หากยอดขายรวมตา่ กว่า 20,000 บาท แสดง ว่า “ขาดทุน” ดงั ภาพที่ 3.116 =IF(F2>=20000,\"กาไร\",\"ขาดทนุ \") ภาพท่ี 3.116 การใชง้ านฟังก์ชัน IF การหาค่าคาตอบซ้อนกันแบบหลายเง่ือนไข (Nested IF) จะต้องใช้ฟังกช์ นั IF ซอ้ นกันหลายคร้ัง ถา้ เงือ่ นไขเปน็ จริง จะตรวจสอบเงอ่ื นไขถดั ไปเร่ือย ๆ หากเงือ่ นไขท้ังหมดทต่ี รวจสอบมาเป็นเท็จ คา่ คาตอบ จะเป็นเง่ือนไขสดุ ทา้ ยในฟังกช์ ัน =IF(H3>=$M$3,\"A\",IF(H3>=$M$4,\"B+\",IF(H3>=$M$5,\"B\",IF(H3>=$M$6,\"C+\",IF(H3>=$M$7,\"C\",IF(H3>=$M$8,\"D+\", IF(H3>=$M$9,\"D\",IF(H3<$M$10,\"F\")))))))) ภาพที่ 3.117 การใชง้ านฟังก์ชัน IF ซอ้ น IF จากภาพที่ 3.117 เป็นการแสดงเกรดในคอลัมน์ I (GRAD) โดยการกาหนดเง่ือนไข คือ ถ้า คะแนนมากกว่า 80 แสดงเกรด A ถ้าคะแนนระหว่าง 75-79 แสดงเกรด B+ ถ้าคะแนนระหว่าง 70-74 แสดงเกรด B ถ้าคะแนนระหวา่ ง 65-69 แสดงเกรด C+ ถา้ คะแนนระหว่าง 60-64 แสดงเกรด C ถา้ คะแนน ระหว่าง 55-59 แสดงเกรด D+ ถ้าคะแนนระหว่าง 50-54 แสดงเกรด D และถ้าคะแนนต่ากว่า 50 แสดง เกรด F และหากแสดงเกรด F จะใช้ Conditional Formating ในการกาหนดสีแดงให้กับตัวอักษรและพ้ืน หลงั ของเซลลเ์ พือ่ ความแตกตา่ ง

217 ในกรณีน้ี เง่ือนไขจะถูกกาหนดเป็นค่าคงที่ไว้ในคอลัมน์ M เน่ืองจากหากมีการเปลี่ยนแปลง เกณฑ์สาหรับคานวณเกรด ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเฉพาะตัวเลขในคอลัมน์ M ได้ทันที โดยที่ไม่ต้องแก้ไข ฟังก์ชันใหม่นอกจากนี้ ฟังก์ชัน IF ยังสามารถใช้งานร่วมกับฟังก์ชันอ่ืน ๆ ได้ ตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชัน IF ร่วมกับฟงั กช์ ัน SUM ดงั ภาพท่ี 3.118 ภาพที่ 3.118 การใช้งานฟังก์ชนั IF รว่ มกับฟงั กช์ ันอนื่ 3.2 AND เปน็ ฟงั ก์ชันสาหรับการทดสอบตรรกศาสตร์เพ่ิมเติม ถ้าเงือ่ นไขท้ังหมดในการทดสอบ เป็นจริง มรี ูปแบบการใชง้ าน ดังน้ี =AND(logical1, [logical2],…) logical1: คอื เง่อื นไขแรกทตี่ ้องการทดสอบ logical2: คือ เง่ือนไขเพมิ่ เติมท่ตี อ้ งการทดสอบวา่ เป็นจริงหรอื เทจ็ (ไม่เกนิ 255 เงอ่ื นไข) ตัวอย่างการใช้งานฟังกช์ ัน AND เพื่อตรวจสอบราคาขายรวมกับภาษี โดยเง่อื นไขท่ี 1 ตรวจสอบ จานวนขายท่ีมากกว่าหรือเท่ากับ 5 และเงื่อนไขท่ี 2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องแสดงคาว่า “มี” หากตรวจสอบ แล้วเป็นจริงท้ัง 2 เง่ือนไข จะคานวณภาษีเพ่ิมอีก 7% ในช่อง ราคารวม+ภาษี 7% หากเงื่อนไขใดเงื่อนไข หนึ่งเป็นเทจ็ จะแสดงราคารวมปกติ ดงั ภาพท่ี 3.119 =IF(AND(E2>=5, F2=\"มี\"), G2/100*7+G2, G2) ภาพที่ 3.119 การใชง้ านฟังก์ชัน AND เง่ือนไขเป็นจรงิ

218 กรณีที่ไม่กาหนดเซลลท์ ี่จะใหแ้ สดงค่า เมือ่ เงอ่ื นไขเป็นเท็จ โปรแกรมจะแสดงขอ้ ความ “FALSE” ในเซลล์โดยอตั โนมัติ ดงั ภาพท่ี 3.120 =IF(AND(E2>=5, F2=\"ม\"ี ), G2/100*7+G2, G2) หากเปน็ เท็จ กาหนดใหแ้ สดง G2 =IF(AND(E2>=5, F2=\"มี\"), G2/100*7+G2) หากเป็นเทจ็ ไมก่ าหนดใหแ้ สดง ภาพท่ี 3.120 การใช้งานฟังก์ชนั AND เงือ่ นไขเป็นเท็จ 3.3 OR เป็นฟังก์ชันสาหรับการทดสอบตรรกศาสตร์เพ่ิมเติม โดยจะทดสอบเงื่อนไขท่ีเป็นไปได้ ทง้ั จรงิ และเท็จ มีรปู แบบการใชง้ าน ดงั นี้ =OR(logical1, [logical2],…) logical1: คอื เง่อื นไขแรกท่ีต้องการทดสอบ logical2: คอื เงื่อนไขเพ่ิมเตมิ ที่ต้องการทดสอบวา่ เป็นจรงิ หรอื เท็จ (ไม่เกิน 255 เง่ือนไข) ตัวย่างการใช้งานฟังก์ชัน OR เพื่อตรวจสอบจานวนขายและภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยเง่ือนไขท่ี 1 ตรวจสอบจานวนขายท่ีมากกว่าหรือเท่ากับ 5 หรือเงื่อนไขท่ี 2 ภาษีมูลค่าเพ่ิม ต้องแสดงคาว่า “มี” หาก ตรวจสอบแลว้ เป็นจริงตามเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง หรือเป็นจริงท้ัง 2 เงื่อนไข จะได้รับส่วนลด 10% ดังภาพ ที่ 3.121 =IF(OR(E2>=5, F2=\"ม\"ี ), G2-G2/100*10, G2) ภาพท่ี 3.121 การใช้งานฟังก์ชัน OR

219 3.4 NOT เป็นฟังก์ชันสาหรับการทดสอบตรรกศาสตร์เพ่ิมเติม จะใช้ปฏิเสธหรือยกเว้นค่าท่ีถูก ระบุ หรือการตรวจสอบให้แนใ่ จวา่ ค่าหนึง่ ไม่เท่ากบั อีกคา่ หน่งึ มรี ูปแบบการใช้งาน ดงั น้ี =NOT(logical) logical: คือ คา่ หรอื เซลลท์ ่ีตอ้ งการนามาทดสอบ เงื่อนไขต้องเปน็ จรงิ ตวั อย่างการใช้งานฟังก์ชัน NOT เพ่อื ตรวจสอบงบประมาณ หากค่าใชจ้ า่ ยจริงไม่เกินงบประมาณ จะแสดงข้อความ “ไม่เกินงบประมาณ” หากตรวจสอบแล้ว ค่าใช้จ่ายจริงเกินงบประมาณ จะแสดงคาว่า “เกนิ งบประมาณ” ดงั ภาพที่ 3.122 =IF(NOT(D2>C2),\"ไมเ่ กนิ งบประมาณ\",\"เกินงบประมาณ\") ภาพท่ี 3.122 การใชง้ านฟังก์ชัน NOT AND =IF(AND (ถ้ามีบางอยา่ งเปน็ จรงิ , อยา่ งอนื่ เปน็ จรงิ ), ค่าถา้ เปน็ จรงิ , ค่าถา้ เปน็ เท็จ) OR =IF(OR (ถ้ามีบางอย่างเปน็ จริง, อย่างอ่นื เป็นจรงิ ), ค่าถ้าเปน็ จรงิ , ค่าถา้ เปน็ เทจ็ ) NOT =IF(NOT (มบี างอยา่ งเป็นจริง), คา่ ถ้าเป็นจรงิ , ค่าถา้ เปน็ เท็จ) 4. ฟังก์ชนั ทางสถิติ ฟังก์ชันทางสถิติ (Statistical) เป็นฟังก์ชันเก่ียวกับการคานวณหาค่าตัวเลขทางสถิติ เพ่ือนาค่า ทางสถิติไปวิเคราะห์ สรุปผล สร้างรายงาน ประกอบการตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล และค่าทางสถิตสิ ามารถ นาไปใช้ประกอบการพยากรณ์เหตุการณห์ รือแนวโน้มด้านต่าง ๆ ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ได้ เช่น การนบั จานวน การหา คา่ สงู สุด ค่าตา่ สดุ การหาคา่ เฉลี่ย เป็นตน้

220 ตารางที่ 3.27 ฟังก์ชันทางสถิติ ฟงั ก์ชัน รปู แบบ ความหมาย การหาคา่ เฉลย่ี AVERAGE =AVERAGE() การหาค่าเฉลยี่ สามารถกาหนดเงอื่ นไขได้ 1 เงอ่ื นไข การหาค่าเฉลย่ี สามารถกาหนดเงอื่ นไขได้ 1 ถึง 127 เงอ่ื นไข AVERAGEIF =AVERAGEIF() การนบั จานวนเซลล์ทเี่ ปน็ ตวั เลข การนับจานวนเซลล์ทเ่ี ป็นตวั เลขและขอ้ ความทง้ั หมด AVERAGEIFS =AVERAGEIFS() การนับจานวนเซลล์วา่ ง (เซลลไ์ มม่ ีขอ้ มลู ) การนบั จานวนแบบมเี งือ่ นไข สามารถกาหนดเงอื่ นไขได้ 1 เง่ือนไข COUNT =COUNT() การนับจานวนแบบมเี งื่อนไข สามารถกาหนดเงือ่ นไขได้ 1 ถงึ 127 เง่อื นไข การหาค่าสูงสุด COUNTA =COUNTA() การหาค่าตา่ สดุ คานวณหาคา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน COUNTBLANK =COUNTBLANK() คานวณหาคา่ เบี่ยงเบนมาตรฐานจากกลุ่มตวั อยา่ ง คานวณหาค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานจากประชากรทัง้ หมด COUNTIF =COUNTIF() COUNTIFS =COUNTIFS() MAX =MAX() MIN =MIN() STDEV =STDEV() STDEV.S =STDEV.S() STDEV.P =STDEV.P() 4.1 AVERAGE ใช้สาหรับหาค่าเฉล่ียของกลุ่มตัวเลขท่ัวไป โดยการนาตัวเลขทั้งหมดมารวมกัน แล้วหารด้วยจานวนรายการทงั้ หมด ไมส่ ามารถหาค่าเฉลีย่ ของข้อความหรือตรรกศาสตร์ได้ มีรูปแบบการใช้ งาน ดงั น้ี =AVERAGE(number1, [number2],…) number1, number2: คอื เซลล์หรอื กล่มุ เซลล์ทม่ี ีค่าเป็นตวั เลข ทีต่ ้องการหาค่าเฉลีย่ หาค่าเฉล่ยี ของราคาขายทัง้ หมด ภาพท่ี 3.123 การใชง้ านฟังก์ชนั AVERAGE

221 4.2 AVERAGEIF ใช้สาหรับหาค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวเลข โดยสามารถกาหนดเงื่อนไขในการหา ค่าเฉลี่ยได้ 1 เงือ่ นไข ไมส่ ามารถหาคา่ เฉลี่ยของข้อความหรือตรรกศาสตร์ได้ มรี ูปแบบการใชง้ าน ดงั นี้ =AVERAGEIF(range, criteria, average_range) range: คอื เซลลห์ รอื กลมุ่ เซลล์ทีจ่ ะใช้หาค่าเฉลี่ย criteria: คอื เงอ่ื นไขในการหาค่าเฉลยี่ average_range: คือ เซลลห์ รือกล่มุ เซลล์ที่นามาหาคา่ เฉล่ยี จรงิ (ไมร่ ะบกุ ็ได้) หาค่าเฉลยี่ ของราคาขายทงั้ หมด ท่ีมรี าคาขายมากกว่า 1 หม่นื บาท ภาพท่ี 3.124 การใชง้ านฟังก์ชนั AVERAGEIF 4.3 AVERAGEIFS ใช้สาหรับหาค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวเลขท่ัวไป โดยสามารถกาหนดเงื่อนไขใน การหาค่าเฉล่ียได้ 1 ถึง 127 เงื่อนไข ไม่สามารถหาค่าเฉลี่ยของข้อความหรือตรรกศาสตร์ได้ มีรูปแบบการ ใช้งาน ดังน้ี =AVERAGEIFS(average_range, criteria_range1, criteria1, [criteria_range2, criteria2],…) average_range: คือ เซลล์หรอื กลมุ่ เซลลท์ จ่ี ะใช้หาคา่ เฉลี่ย criteria_range1: คือ เซลลห์ รอื กลุม่ เซลลท์ ่จี ะใชก้ าหนดเง่อื นไขชุดแรก (ตอ้ งระบ)ุ criteria1: คอื เงือ่ นไขในการหาค่าเฉล่ียชุดแรก criteria_range2: คือ เซลลห์ รอื กลุ่มเซลล์ท่จี ะใชก้ าหนดเงอ่ื นไขชดุ อ่ืน ๆ (ไม่ระบกุ ็ได้) criteria2: คอื เงอ่ื นไขในการหาคา่ เฉลย่ี ชุดอืน่ ๆ (ไม่ระบกุ ็ได้)

222 ภาพท่ี 3.125 การใช้งานฟังก์ชนั AVERAGEIFS 4.4 COUNT การนบั จานวนเซลล์ทเ่ี ปน็ ตัวเลขตามเซลล์หรือช่วงเซลลท์ ีเ่ ลอื ก โดยจะสง่ กลบั คา่ เปน็ ตวั เลขตามจานวนทนี่ บั ได้ มีรูปแบบการใช้งาน ดังนี้ =COUNT(value1, [value2],…) value1, value2: คอื เซลล์หรอื ชว่ งเซลล์ทมี่ คี ่าเปน็ ตวั เลข ท่ตี ้องการนบั จานวน ภาพท่ี 3.126 การใช้งานฟังก์ชนั COUNT

223 4.5 COUNTA การนับจานวนเซลล์ท่ีเป็นตัวเลขและข้อความตามเซลล์หรือช่วงเซลล์ที่เลือก โดยจะส่งกลับคา่ เปน็ ตวั เลขตามจานวนทน่ี ับได้ มีรูปแบบการใชง้ าน ดงั นี้ =COUNTA(value1, [value2],…) value1, value2: คอื เซลล์หรอื ชว่ งเซลล์ทม่ี ีค่าเป็นตวั เลขหรือขอ้ ความ ที่ตอ้ งการนับจานวน ภาพที่ 3.127 การใชง้ านฟังก์ชัน COUNTA 4.6 COUNTBLANK การนับจานวนเซลล์ที่เป็นค่าว่างหรือเซลล์ท่ีไม่มีข้อมูล โดยจะส่งกลับค่า เปน็ ตัวเลขตามจานวนเซลลว์ า่ งที่นับได้ มรี ูปแบบการใช้งาน ดงั น้ี =COUNTBLANK(range) range: คือ เซลล์หรอื ช่วงเซลลท์ ีต่ อ้ งการนบั จานวนค่าวา่ ง ภาพที่ 3.128 การใชง้ านฟังก์ชนั COUNTBLANK

224 4.7 COUNTIF การนับจานวนเซลล์ตามเงื่อนไขที่กาหนด สามารถกาหนดได้ 1 เงื่อนไข โดยจะ สง่ กลับคา่ เป็นตวั เลขตามจานวนเซลล์ท่นี ับได้ มรี ปู แบบการใช้งาน ดังนี้ =COUNTIF(range, criteria) range: คือ เซลลห์ รือช่วงเซลล์ที่ตอ้ งการนบั จานวน criteria: คือ เง่อื นไขการนบั จานวน ภาพที่ 3.129 การใชง้ านฟังก์ชนั COUNTIF 4.8 COUNTIFS การนับจานวนเซลล์ตามเงื่อนไขที่กาหนด สามารถกาหนดได้ 1 ถึง 127 เงื่อนไข โดยจะสง่ กลับคา่ เป็นตัวเลขตามจานวนเซลล์ที่นบั ได้ มีรปู แบบการใช้งาน ดังนี้ =COUNTIFS(criteria_range1, criteria1, [criteria_range2, criteria2],…) criteria_range1: คอื เซลลห์ รอื ชว่ งเซลล์ทต่ี อ้ งการนับจานวน criteria1: คอื เงอื่ นไขการนับจานวนเงอ่ื นไขแรก criteria_range2: คือ เซลลห์ รอื ชว่ งเซลล์ทตี่ อ้ งการนับจานวนอ่นื ๆ criteria2: คือ เงอ่ื นไขการนบั จานวนเง่อื นไขอื่น ๆ ภาพท่ี 3.130 การใชง้ านฟังก์ชนั COUNTIFS

225 4.9 MAX การหาค่าสูงสุดในเซลล์หรือช่วงเซลล์ที่เลือก, MIN การหาคาต่าสุดในเซลล์หรือช่วง เซลลท์ ่ีเลือก มรี ปู แบบการใชง้ าน ดงั นี้ =MAX(number1, [number2],…) =MIN(number1, [number2],…) number1, number2: คือ เซลล์หรอื กลมุ่ เซลลท์ ่มี คี า่ เป็นตวั เลข ทตี่ ้องการหาคา่ สูงสดุ หรือค่าตา่ สุด ภาพท่ี 3.131 การใชง้ านฟังก์ชัน MAX และฟังกช์ ัน MIN 4.10 STDEV.S (Standard Deviation of Sample) การประมาณคา่ เบ่ียงเบนมาตรฐานจาก ตัวอย่าง (ยกเว้นค่าตรรกศาสตร์และข้อความในตัวอย่าง) โดยค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน คือการวัดขนาดของ การกระจายค่าที่ออกจากค่าเฉลีย่ มีรูปแบบการใชง้ าน ดังน้ี =STDEV.S(number1, [number2],…) number1: คือ จานวนค่าท่ี 1 ท่ีสอดคล้องกับตวั อย่าง number2: คือ จานวนคา่ ท่ี 2 ถึง 255 ที่สอดคลอ้ งกบั ตัวอย่าง ภาพท่ี 3.132 การใชง้ านฟังก์ชัน STDEV.S

226 4.11 STDEV.P (Standard Deviation of Population) การประเมินค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้ประชากรท้ังหมด (ยกเว้นค่าตรรกศาสตร์และข้อความในตัวอย่าง) ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน คือการวัด ขนาดของการกระจายคา่ ทอี่ อกจากค่าเฉล่ยี มรี ูปแบบการใช้งาน ดงั น้ี =STDEV.P(numbe1, [number2],…) number1: คือ จานวนค่าที่ 1 ที่สอดคล้องกับประชากร number2: คือ จานวนค่าท่ี 2 ถงึ 254 ท่ีสอดคลอ้ งกบั ประชากร ภาพที่ 3.133 การใชง้ านฟังก์ชนั STDEV.P 5. ฟังก์ชนั การเงนิ ฟังก์ชันการเงิน (Financial) เป็นฟังก์ชันเก่ียวกับการคานวณหาค่าตัวเลขทางการเงิน เพ่ือการ ตัดสินใจทางการเงินอย่างเป็นระบบ และอานวยความสะดวกให้กับนักลงทุน เช่น การคานวณสินเช่ือ การ คานวณดอกเบี้ย คานวณการชาระคา่ งวด เปน็ ตน้ ตารางท่ี 3.28 ฟังกช์ นั ทางการเงนิ ฟงั กช์ นั รปู แบบ ความหมาย คานวณคา่ งวดการชาระเงิน PMT =PMT() คานวณมลู ค่าเงนิ ปจั จุบนั คานวณค่าเงนิ ในอนาคต PV =PV() คานวณมลู คา่ ปัจจบุ นั สทุ ธิของเงนิ ลงทนุ คานวณหาจานวนงวดการชาระเงินลงทุน FV =FV() คานวณหาคา่ เสือ่ มราคาสินทรพั ย์ คานวณหาคา่ เสอื่ มราคาแบบลดดลุ ลง 2 เทา่ NPV =NPV() NPER =NPER() DB =DB() DDB =DDB() 5.1 PMT การคานวณเงินผ่อนชาระคืนเงินกู้ในแต่ละงวด โดยคานวณจากการผ่อนชาระคงที่ และอัตราดอกเบย้ี คงท่ี มีรปู แบบการใชง้ าน ดงั น้ี =PMT(rate, nper, pv, [fv], [type])

227 rate: คอื อัตราดอกเบ้ยี ของเงินกู้ nper: คือ จานวนงวดทง้ั หมดทต่ี ้องผ่อนชาระ pv: คือ มลู ค่าปจั จบุ ันหรือมลู ค่ารวมทัง้ หมด ณ เวลาปจั จบุ นั ของจานวนเงินในทุกงวดทจี่ ะตอ้ งชาระใน อนาคต หรือเรียกว่า เงนิ ต้น fv: คือ มูลค่าอนาคต หรือจานวนเงินที่ต้องการให้คงเหลือหลังจากชาระเงินงวดสุดท้ายแล้วถ้า fv ไมไ่ ด้ใสค่ ่าอะไรไว้ ค่าน้ีจะเปน็ 0 มลู ค่าในอนาคตของเงนิ กจู้ ึงเทา่ กับ 0 type: คือ ตวั เลข 0 หรือ 1 ซ่ึงแสดงเพอื่ กาหนดชาระเงิน ภาพที่ 3.134 การใชง้ านฟังก์ชัน PMT 5.2 PV การคานวณมลู คา่ ปจั จุบนั ของเงินกู้หรือการลงทุนโดยยดึ ตามอัตราดอกเบีย้ คงท่ี สามารถ ใช้ PV กับงวดการชาระเงนิ หรือการชาระเงินคงที่ เช่น เงนิ กยู้ ืมโดยการรบั จานองหรือเงนิ กูอ้ ื่น ๆ หรือมลู ค่า ในอนาคตที่ตงั้ คา่ ไว้ เป็นตน้ มีรปู แบบการใช้งาน ดงั นี้ =PV(rate, nper, pmt, [fv], [type]) rate: คือ อัตราดอกเบี้ยต่องวด เช่น หากกู้เงินในอัตราดอกเบ้ียต่อปี ร้อยละ 10 และชาระเป็นรายเดือน อัตราดอกเบ้ียต่อเดือน จะเท่ากับ ร้อยละ 10/12 หรือ 0.83% จะต้องใส่ 10%/12 หรือ 0.83% หรือ 0.0083 ลงในชอ่ งอัตราดอกเบี้ย nper: คือ จานวนงวดทั้งหมดของการชาระเงินรายปี เช่น หากกู้เงินในระยะเวลา 4 ปี และผ่อนชาระราย เดอื น เงนิ กูจ้ ะเทา่ กับ 4*12 หรอื 48 งวด จะต้องใส่ 48 ลงใน nper pmt: คือ ยอดเงินที่ต้องชาระในแต่ละงวดและไม่สามารถเปล่ียนแปลงได้ตลอดอายุการผ่อนชาระ โดยทั่วไป pmt ประกอบด้วยเงินต้นและดอกเบี้ย แต่ไม่รวมค่าธรรมเนียมอ่ืน ๆ หรือภาษี เช่น การ ผ่อนชาระรายเดือนสาหรับเงินกู้ 10,000 บาท เป็นระยะเวลา 4 ปี โดยมีดอกเบ้ียร้อยละ 12 จะ เทา่ กบั 263.33 จะต้องใส่ 263.33 fv: คอื มลู ค่าอนาคต หรือดุลเงนิ สดทีต่ อ้ งการใหเ้ ปน็ หลังจากได้ชาระเงินงวดสุดท้ายแล้ว ถ้าไมใ่ สจ่ ะถือ ว่า fv เท่ากับ 0 (มูลค่าอนาคตของหนี้สนิ เท่ากบั 0) เช่น ถา้ ต้องการเก็บเงนิ 50,000 บาท เพือ่ ชาระ ในโครงการพิเศษเป็นเวลา 18 ปี เงิน 50,000 บาท ก็ถือว่าเป็นมูลค่าในอนาคต สามารถคาดเดา อตั ราดอกเบ้ียได้ดว้ ยวิธเี ดิม แลว้ ระบุวา่ ตอ้ งเก็บเงนิ เดือนละเทา่ ไร ถา้ ไม่ระบุ fv จะต้องใส่ pmt type: คือ ตวั เลข 0 หรือ 1 และใชร้ ะบวุ ันครบกาหนดชาระเงนิ

228 ภาพท่ี 3.135 การใช้งานฟังก์ชัน PV 5.3 FV การคานวณมูลค่าในอนาคตของการลงทนุ ตามอตั ราดอกเบีย้ คงท่ี สามารถใช้ FV กับงวด การชาระเงนิ การชาระเงินคงท่ี หรือการชาระเงินทัง้ หมดในครั้งเดยี ว มีรปู แบบการใชง้ าน ดงั นี้ =FV(rate, nper, pmt, [pv], [type]) rate: คอื อตั ราดอกเบ้ยี ตอ่ งวด nper: คอื จานวนงวดทงั้ หมดของการชาระเงนิ รายปี pmt: คอื ยอดเงินท่ตี อ้ งชาระในแตล่ ะงวด ยอดน้ีไมส่ ามารถเปลีย่ นได้ตลอดอายกุ ารผ่อนชาระ โดยท่วั ไป pmt จะประกอบด้วยเงินตน้ และดอกเบ้ีย แต่ไม่มคี ่าธรรมเนียมอื่น ๆ หรอื ภาษี ถ้าไมร่ ะบุ pmt จะตอ้ งใส่ pv pv: คือ มูลค่าปัจจุบัน หรือมูลค่ารวมท้ังหมด ณ เวลาปัจจุบันของจานวนเงินในทุกงวดที่จะต้องชาระใน อนาคต ถ้าไมใ่ ส่ pv จะถอื ว่าค่านเ้ี ปน็ 0 และจะต้องใส่ pmt type: คือ ตวั เลข 0 หรือ 1 ซ่งึ ใช้บง่ ชก้ี าหนดการชาระเงนิ หากไมใ่ ส่ type จะถือวา่ มีคา่ เปน็ 0 1 คอื เมือ่ ต้นงวด 0 คอื เมือ่ สนิ้ งวด ภาพท่ี 3.136 การใช้งานฟังก์ชนั FV 5.4 NPV คานวณมูลค่าปัจจุบันสุทธิของเงินลงทุน โดยใช้อัตราส่วนลด ชุดข้อมูลของการชาระเงนิ (ค่าเปน็ ลบ) และรายได้ในอนาคต (ค่าเปน็ บวก) มรี ูปแบบการใช้งาน ดังน้ี =NPV(rate, value1, [value2],…) rate: คอื อัตราสว่ นลดในชว่ งงวดแรก value1, value2: คือ การชาระเงินและรายได้ จะต้องมีระยะห่างของระยะเวลาเท่า ๆ กันและเกิดข้ึนตอนส้ิน งวดของแตล่ ะงวด

229 ภาพท่ี 3.137 การใช้งานฟังก์ชัน NPV 5.5 NPER ส่งกลับค่าจานวนคาบเวลาทั้งหมดในการชาระเงินสาหรับการลงทุน จานวนดังกล่าว ถูกคานวณโดยมพี น้ื ฐานอยู่บนการชาระเงนิ เปน็ งวด ยอดการชาระเงนิ ทค่ี งที่ และอตั ราดอกเบี้ยตอ่ คาบเวลา ทีค่ งท่ี มรี ปู แบบการใชง้ าน ดงั น้ี =NPER(rate, pmt, pv, fv, type) rate: คือ อัตราดอกเบ้ียต่องวด pmt: คือ ยอดการชาระเงินในแต่ละงวด ซ่ึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไดโ้ ดยทั่วไป pmt จะรวมเงินต้นและ ดอกเบ้ยี เขา้ ดว้ ยกัน แต่จะไมร่ วมอากรและภาษี pv: คอื มลู คา่ ปจั จบุ ันหรือเงนิ กอ้ นทม่ี คี า่ เทา่ กับการชาระในอนาคตแต่ละงวด รวมกนั fv: คอื มลู คา่ อนาคต หรือ ดุลเงินสดท่ีตอ้ งการให้เปน็ หลังจากไดช้ าระเงนิ งวดสดุ ท้ายแลว้ ถ้าละไว้จะถอื วา่ fv เทา่ กบั 0 (ตัวอยา่ งเช่น มลู ค่าอนาคตของหนสี้ ินเท่ากับ 0) type: คือ ตวั เลข 0 หรือ 1 ซงึ่ ใช้บง่ ชก้ี าหนดการชาระเงนิ 1 คอื เมื่อตน้ งวด 0 คอื เมื่อสิน้ งวด 1 ภาพที่ 3.138 การใช้งานฟังก์ชนั NPER 5.6 DB ส่งกลับค่าเส่ือมราคาของสินทรัพย์ตามช่วงเวลาท่ีระบุ โดยใช้วิธีดุลท่ีลดลงแน่นอน มี รปู แบบการใชง้ าน ดังน้ี =DB(cost, salvage, life, period, [month])

230 cost: คอื ตน้ ทนุ แรกเรม่ิ ของสินทรัพย์ salvage: คือ มลู ค่าที่เหลอื อยู่หลังจากหกั ค่าเสื่อมราคาแล้ว life: คือ จานวนช่วงเวลาทั้งหมดที่สินทรพั ยถ์ กู ประเมินคา่ เสอ่ื มราคา period: คอื ช่วงเวลาทต่ี อ้ งการนามาคานวณคา่ เส่อื มราคา จะตอ้ งใชห้ น่วยเดียวกับค่า life month: คอื จานวนเดือนในปแี รก ถ้าละเดือนไว้ จะถอื วา่ มคี ่าเป็น 12 คา่ เส่อื มราคาปีท่ี 1 คานวนเพยี ง 7 เดือน ภาพท่ี 3.139 การใชง้ านฟังก์ชนั DB 5.7 DDB ส่งกลับค่าเส่ือมราคาของสินทรัพย์สาหรับช่วงเวลาท่ีระบุ โดยใช้วิธียอดลดลงหรือวิธี ทวีคณู มรี ปู แบบการใช้งาน ดงั นี้ =DDB(cost, salvage, life, period, factor) cost: คือ ตน้ ทุนแรกเรม่ิ ของสินทรัพย์ salvage: คอื มลู คา่ ที่เหลอื อยู่หลงั จากหักคา่ เส่ือมราคาแล้ว life: คือ จานวนชว่ งเวลาทั้งหมด ทสี่ ินทรพั ยถ์ ูกประเมินคา่ เสื่อมราคา period: คอื ชว่ งเวลาทต่ี อ้ งการคานวณหาคา่ เส่ือมราคา โดยจะตอ้ งใชห้ นว่ ยเดยี วกบั ค่า life factor: คือ อัตราทีด่ ุลลดลง ถ้า factor ถกู ละไว้ จะถอื วา่ คา่ นี้ คอื 2 (วิธดี ลุ ที่ลดลงสองเท่า) ภาพที่ 3.140 การใชง้ านฟังก์ชัน DDB

231 6. ฟงั ก์ชันข้อความ ฟังก์ชันข้อความ (Text) เป็นฟังก์ชันเกี่ยวกับการจัดการข้อความหรือตัวอักษร เช่น การตัดคา ตามตาแหน่งที่กาหนด การแปลงอักษรตัวพิมพ์เล็กเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ หรือตัวพิมพ์ใหญ่เป็นตัวพิมพ์เล็ก การ แปลงตัวเลขใหเ้ ปน็ ขอ้ ความสกุลเงนิ บาทภาษาไทย เปน็ ต้น ตารางท่ี 3.29 ฟังก์ชนั ข้อความ ฟังกช์ นั รปู แบบ ความหมาย แปลงตวั เลขเป็นขอ้ ความ ในรปู แบบสกุลเงนิ ไทย (บาท) BAHTTEXT =BAHTTEXT() แปลงตัวอกั ษรตวั พิมพใ์ หญเ่ ป็นตัวพมิ พเ์ ลก็ ทงั้ หมด แปลงตวั อกั ษรตัวพิมพ์เลก็ เป็นตัวพิมพใ์ หญ่ท้งั หมด LOWER =LOWER() เปลย่ี นตวั อักษรตัวแรกของคาใหเ้ ป็นตัวพิมพใ์ หญ่ ดึงขอ้ ความตาแหนง่ ด้านซา้ ย UPPER =UPPER() ดงึ ขอ้ ความตาแหนง่ ด้านขวา ดึงขอ้ ความตาแหนง่ กง่ึ กลาง PROPER =PROPER() นับจานวนอักขระในข้อความ ค้นหาตาแหน่งขอ้ ความ LEFT =LEFT() RIGHT =RIGHT() MID =MID() LEN =LEN() FIND =FIND() 6.1 BAHTTEXT แปลงตัวเลขเป็นข้อความ ในรูปแบบข้อความสกุลเงินไทย (บาท) เหมาะ สาหรบั การใช้งานทางดา้ นบญั ชีตา่ ง ๆ มรี ูปแบบการใชง้ าน ดังนี้ =BAHTTEXT(number) number: คอื คา่ ตัวเลขท่ีต้องการแปลงเปน็ ข้อความ ภาพท่ี 3.141 การใชง้ านฟังก์ชนั BAHTTEXT

232 6.2 LOWER แปลงตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด UPPER แปลงตัวอักษร ตัวพิมพ์เล็กเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ท้ังหมด PROPER เปล่ียนตัวอักษรตัวแรกของคาให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ (ไม่ สามารถใช้ไดก้ ับข้อความภาษาไทย) มีรูปแบบการใชง้ าน ดงั นี้ =LOWER(text) =UPPER(text) =PROER(text) text: คอื ขอ้ ความหรือตวั อกั ษรที่ต้องการแปลงรปู แบบ ภาพท่ี 3.142 การใช้งานฟังก์ชัน LOWER, UPPER และ PROPER 6.3 LEFT, RIGHT, MID สาหรับส่งกลับค่าตัวอักษรบางส่วนจากข้อความหรือเซลล์ที่ระบุ โดย จะนับจากตาแหน่งข้อความทางด้านซ้าย กึ่งกลาง และด้านขวา ตามจานวนอักขระที่ระบุ มีรูปแบบการใช้ งาน ดังน้ี =LEFT(text, [num_chars]) =RIGHT(text, [num_chars]) =MID(text, start_num, num_chars) text: คอื ข้อความ num_chars: คือ ระบุจานวนอักขระทีต่ อ้ งการใหแ้ ยก start_num_chars: คอื ระบุจานวนอกั ขระทต่ี อ้ งการให้ MID สง่ กลับคา่ จากข้อความ =LEFT(B2,8) =RIGHT(B3,11) =MID(B4,9,10) ภาพที่ 3.143 การใช้งานฟังก์ชนั LEFT, RIGHT และ MID 6.4 LEFTB, RIGHTB, MIDB สาหรับส่งกลับค่าตัวอักษรบางส่วนจากข้อความหรือเซลล์ท่ีระบุ โดยจะนับจากตาแหน่งข้อความทางด้านซ้าย ก่ึงกลาง และด้านขวา ตามจานวนไบต์ที่ระบุ ซ่ึงจะนับอักขระ แบบไบต์คู่แต่ละตัวเป็น 2 ต่อเม่ือเปิดใช้งานการแก้ไขภาษาที่สนับสนุน DBCS แล้วต้ังค่าเป็นภาษาเริ่มต้น หากไมต่ งั้ ค่าภาษาจะนบั อักขระแต่ละตัวเปน็ 1 มีรูปแบบการใชง้ าน ดังน้ี =LEFTB(text, [num_bytes]) =RIGHTB(text, [num_bytes]) =MIDB(text, start_num, num_bytes)

233 text: คือ ข้อความ num_chars: คอื ระบุจานวนอกั ขระทีต่ อ้ งการใหแ้ ยกตามไบต์ start_num_chars: คือ ระบุจานวนอกั ขระที่ต้องการให้ MID ส่งกลบั ค่าจากข้อความ ตามไบต์ ภาพท่ี 3.144 การใช้งานฟังก์ชนั LEFTB, RIGHTB และ MIDB 6.5 LEN การนับจานวนอักขระท้ังหมดในข้อความ หรือการค้นหาความยาวของข้อความหรือ ประโยค มรี ปู แบบการใช้งาน ดงั นี้ =LEN(text) text: คือ ข้อความทต่ี ้องการคน้ หาความยาว (นบั ชอ่ งว่างหรอื เวน้ วรรค เป็น 1 อักขระ) ภาพท่ี 3.145 การใชง้ านฟังก์ชัน LEN ตวั อยา่ งการใช้งานฟังกช์ ัน LEN รว่ มกับฟงั กช์ ัน RIGHT เพอื่ ตดั ตาแหนง่ ท่ีไมต่ ้องการออกจากชื่อ กบั สกุล โดยนับตาแหนง่ ไปทางด้านขวา 4 ตาแหนง่ ดงั ภาพท่ี 3.146 ตัดเลขลาดบั จดุ และชอ่ งวา่ ง ออก ภาพที่ 3.146 การใชง้ านฟังก์ชัน LEN ร่วมกบั ฟงั ก์ชันอื่น

234 6.6 FIND การค้นหาและส่งกลับค่าตัวเลขที่แสดงตาแหน่งของตัวอักษรตัวแรกของข้อความที่ ค้นหาพบ (อกั ษรต้องตรงกันทัง้ ตวั พิมพเ์ ลก็ และตวั พิมพ์ใหญ่) มีรปู แบบการใชง้ าน ดังน้ี =FIND(find_text, within_text, start_num) find_text: คอื ข้อความท่ีตอ้ งการคน้ หา within_text: คือ ข้อความที่มขี อ้ ความท่ีตอ้ งการค้นหา start_num: คอื ระบุอักขระท่จี ะใหเ้ รม่ิ การคน้ หา อักขระตัวแรกใน within_text ถอื เปน็ อักขระหมายเลข 1 ถา้ ไม่ใสค่ ่าน้ี จะถอื วา่ มคี ่าเท่ากบั 1 ภาพท่ี 3.147 การใชง้ านฟังก์ชัน FIND 7. ฟังก์ชนั การค้นหาและการอ้างอิง ฟังก์ชันการค้นหาและการอ้างอิง (Lookup & Reference) เป็นฟังก์ชันเกี่ยวกับการค้นหา ตาแหนง่ ของข้อมูลในเซลล์แล้วสง่ กลบั ค่าข้อมูล ทง้ั แนวแถวและคอลมั น์ เชน่ ค้นหาชื่อสนิ ค้าจากรหสั สินค้า ในตารางอา้ งอิงบนแผน่ งาน เปน็ ต้น ตารางท่ี 3.30 ฟังก์ชันการคน้ หาและอ้างอิง ฟงั กช์ นั รูปแบบ ความหมาย LOOKUP =LOOKUP() คน้ หาและส่งกลบั คา่ ขอ้ มลู VLOOKUP =VLOOKUP() คน้ หาและส่งกลบั คา่ ขอ้ มูลในแนวคอลมั น์ HLOOKUP =HLOOKUP() คน้ หาและสง่ กลบั คา่ ขอ้ มลู ในแนวแถว INDEX =INDEX() ส่งกลบั คา่ หรือการอา้ งอิงไปยังคา่ จากภายในตารางหรือช่วงขอ้ มูล 7.1 LOOKUP การค้นหาและส่งกลับค่าท่ีต้องการ จากช่วงข้อมูลหรืออาร์เรย์ข้อมูลที่ระบุ มี รปู แบบการใช้งาน คือ ฟอรม์ เวคเตอรแ์ ละฟอร์มอาร์เรย์ เพือ่ คน้ หาขอ้ มูลจากเวคเตอร์แรกทีม่ ีค่าที่ระบุ แล้ว ส่งกลับค่าในเวคเตอร์ที่ 2 ท่ีมีตาแหน่งตรงกับข้อมูลในเวคเตอร์แรก (เวคเตอร์คือ ช่วงข้อมูล 1 แถว หรือ 1 คอลัมน์) มรี ปู แบบการใช้งาน ดงั นี้ =LOOKUP(lookup_value, lookup_vector, [result_vector])

235 lookup_value: คือ ค่าท่ี LOOKUP จะค้นหาในเวคเตอร์แรก เป็นตัวเลข ข้อความ หรือค่าตรรกศาสตร์ หากไม่ สามารถค้นหาค่าท่ีตรงกับ lookup_value จะใช้ค่าที่มากท่ีสุดในอาร์เรย์ แต่น้อยกว่า lookup_value แทน 5 ถ้า lookup_value น้อยกว่าค่าท่ีน้อยที่สุดในแถวหรือคอลัมน์แรก โปรแกรมจะแสดงข้อผดิ พลาด #N/A lookup_vector: คือ ช่วงที่ประกอบด้วยแถวเพียง 1 แถว หรือคอลัมน์ 1 คอลัมน์เท่าน้ัน เป็นตัวเลข ข้อความ หรือค่าตรรกศาสตร์ result_vector: คือ ช่วงท่ีประกอบด้วยแถว 1 แถว หรือคอลัมน์ 1 คอลัมน์เท่านั้น และต้องมีขนาดเดียวกับ lookup_vector ภาพท่ี 3.148 การใช้งานฟังก์ชนั LOOKUP 7.2 VLOOKUP การคน้ หาขอ้ มูลแบบคอลมั นแ์ นวต้ัง (Vertical) โดยเรม่ิ จากคอลมั นซ์ า้ ยสุดของ ตารางหรือฐานข้อมูล หากพบข้อมูลตามค่าท่ีส่งไป จะส่งกลับค่าในแถวเดียวกันจากคอลัมน์ที่ระบุไว้ใน ตาราง ทาให้ดึงค่าที่ต้องการมาใช้งานได้ ซ่ึงค่านั้นอาจอยู่ในแผ่นงานอ่ืนหรือไฟล์เอกสารอ่ืน เหมาะกับการ นาขอ้ มลู มาอา้ งอิงในจุดอืน่ ๆ โดยไม่ตอ้ งปอ้ นใหม่ มรี ูปแบบการใช้งาน ดังนี้ =VLOOKUP(lookup_value, table_array, col_index_num, [range_lookup]) lookup_value: คอื ค่าท่ีจะใชส้ าหรบั ค้นหาจากคอลัมน์แรกของตารางขอ้ มลู หรือชว่ งของเซลล์ท่รี ะบุ อาจเป็นคา่ การอ้างอิงหรอื ขอ้ ความ table_array: คือ ตารางของขอ้ มูลหรือฐานขอ้ มลู ท่ีจะเขา้ ไปค้นหา เกบ็ รายการข้อมลู แบบคอลมั น์ (แนวตง้ั ) col_index_num: คือ หมายเลขคอลัมน์ในตาราง table_array ที่ระบุลงไป เพื่อท่ีจะให้นาค่าที่อยู่ในคอลัมน์น้ัน สง่ กลบั มายงั ตาแหนง่ ทใ่ี ช้สูตร โดยหมายเลขคอลัมน์จะนบั จากซ้ายไปขวา คือ 1, 2, 3 ตามลาดบั range_lookup: คอื ค่าตรรกศาสตร์ที่ระบุลงไปให้ VLOOKUP ส่งคา่ ใดกลบั มาจากผลการค้นหา หากเปน็ TRUE หรือไม่ใสค่ ่าอะไร จะสง่ กลบั ค่าทค่ี น้ หาตรงกบั ค่าที่ส่งไป หากไมพ่ บจะสง่ กลับคา่ ทใี่ กลเ้ คียงที่สุด กับคา่ ท่คี น้ หากลับมา และ FALSE จะคน้ หาและส่งกลบั เฉพาะคา่ ทีต่ รงกันเท่านน้ั และหากไมพ่ บ จะสง่ กลับคา่ ความผดิ พลาด #N/A

236 =VLOOKUP(C12,A2:E9,4,FALSE) ช่วงข้อมลู แบบอาเรย์ A2 ถงึ E9 ภาพที่ 3.149 การใช้งานฟังก์ชนั VLOOKUP C12: คอื lookup_value หรือคา่ ที่ต้องการค้นหา A2:E9: คือ table_array หรือชว่ งท่ีมีค่าการค้นหาอยู่ 4: คือ col_index_num หรือหมายเลขคอลมั นใ์ น table_array ท่ปี ระกอบดว้ ยค่าทีส่ ่งกลบั ตัวอย่าง คอื คอลมั น์ที่ 4 ในตารางอาเรย์ คือ คา่ ใชจ้ า่ ยจริง ดังนนั้ ผลลพั ธจ์ ะเป็นคา่ จากคอลมั น์ ค่าใชจ้ า่ ยจรงิ FALSE: คอื range_lookup ทาให้ค่าทสี่ ่งกลบั จะเป็นค่าตรงกนั พอดี ตัวอย่างการใช้ VLOOKUP ในการแสดงเกรด โดยเทียบจากคะแนนของนักศึกษา ใช้การค้นหา จากตารางท่ีกาหนด ซ่ึงมีการกาหนดเกณฑ์คะแนนท่ีจะได้เกรดต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว และมีการกาหนดหัว ตารางอย่างชัดเจน มีวิธกี ารดังน้ี 1. กาหนดเกณฑ์คะแนน โดยใหค้ ะแนนอยู่ในคอลัมนท์ ี่ 1 และเกรดอยใู่ นคอลมั ที่ 2 3. กาหนดชอื่ ตาราง 2. สรา้ งตารางเกณฑ์คะแนนในแถบ Insert > Table 4. =VLOOKUP(H2,Criteria,2) ภาพท่ี 3.150 การแสดงเกรดด้วย VLOOKUP

237 7.3 HLOOKUP การค้นหาค่าในแถวบนของตารางเป็นแถวแนวนอน (Horizontal) หรือค้นหา อาร์เรย์ของค่า แล้วส่งกลับค่าท่ีอยู่ในคอลัมน์เดียวกันจากแถวที่ระบุในตารางหรือในอาร์เรย์ โดยจะค้นหา จากแถวที่ 1 คือ แถวบนสุดก่อน หากพบข้อมูลท่ีตรงกับค่าที่ค้นหา ก็จะนาที่อยู่แถวถัดไปมาแสดงแทน มี รปู แบบการใชง้ าน ดังนี้ =HLOOKUP(lookup_value, table_array, row_index_num, [range_lookup]) lookup_value: คือ ค่าที่จะใช้สาหรับค้นหาจากแถวของตารางข้อมูลหรือช่วงของเซลล์ท่ีระบุ อาจเป็นค่าการ อา้ งอิงหรอื ขอ้ ความ table_array: คอื ตารางของขอ้ มลู หรือฐานขอ้ มูลท่ีจะเข้าไปคน้ หา เก็บรายการขอ้ มลู แบบแถว (แนวนอน) row_index_num: คือ หมายเลขแถวในตาราง table_array ท่ีต้องการให้ส่งกลับค่า หากตรงกับค่าที่ค้นหา ซึ่งจะ นับจากแถวบนสดุ เปน็ แถวท่ี 1 และแถวท่ี 2 ไล่ลงไปตามลาดบั range_lookup: คอื ค่าตรรกศาสตร์ท่รี ะบุลงไปให้ HLOOKUP ส่งคา่ ใดกลับมาจากผลการคน้ หา หากเป็น TRUE หรือไม่ใสค่ า่ อะไร จะส่งกลบั ค่าทีค่ น้ หาตรงกบั คา่ ทส่ี ่งไป หากไมพ่ บจะสง่ กลับคา่ ที่ใกล้เคยี งที่สุด กบั ค่าที่คน้ หากลบั มา และ FALSE จะคน้ หาและส่งกลบั เฉพาะคา่ ที่ตรงกันเท่าน้ันและหากไมพ่ บ จะส่งกลบั ค่าความผิดพลาด #N/A =HLOOKUP(\"รายการ\", A1:E9,4,TRUE) ภาพท่ี 3.151 การใชง้ านฟังก์ชัน HLOOKUP

238 7.4 INDEX การส่งกลับค่าของเซลล์หรือการอ้างอิง โดยจะมีรูปแบบการส่งกลับ 2 แบบ คือ ส่งกลับคา่ ของเซลลห์ รืออารเ์ รย์ของเซลล์ท่รี ะบุ และส่งกลบั การอา้ งอิงไปยังเซลลท์ ี่ระบุ สาหรับค่าท่ีส่งกลับ จะเป็นค่าขององค์ประกอบในตารางตามดชั นีหมายเลขแถวและหมายเลขคอลมั น์ที่ระบลุ งไป มีรูปแบบการ ใชง้ าน ดงั นี้ =INDEX(array, row_num, [column_num]) array: คือ ช่วงเซลลห์ รอื คา่ คงท่ีอารเ์ รย์ row_num: คือ ระบหุ มายเลขแถวในอารเ์ รย์ทต่ี ้องการส่งกลับคา่ colum_num: คือ ระบหุ มายเลขคอลัมนใ์ นอาร์เรย์ทต่ี อ้ งการส่งกลับคา่ =INDEX(A1:E9,4,2) 00 ภาพท่ี 3.152 การใช้งานฟังก์ชัน INDEX A1:E9: คอื array หรอื ช่วงเซลล์ของตารางข้อมูล 4: คือ row_num หรอื ตาแหน่งแถวในตาราง (แถวที่ 4) 2: คอื column_num หรือตาแหน่งคอลมั นใ์ นตาราง (คอลมั นท์ ี่ 2) 8. ฟังก์ชันข้อมูล ฟงั กช์ นั ข้อมลู (Information) เป็นฟังก์ชันทใ่ี ช้แสดงข้อมูลของไฟล์เอกสารและข้อมูลระบบ นยิ ม ใช้ร่วมกับฟังก์ชันอ่ืน ๆ เพ่ือตรวจสอบความถูกต้องของข้อมลู เชน่ ตรวจสอบข้อมูลว่าเป็นตัวเลขจรงิ หรือไม่ หรือตรวจสอบว่าเป็นข้อความจริงหรือไม่ เป็นต้น นอกจากน้ี ยังสามารถตรวจสอบข้อผิดพลาดท่ีเกิดจาก การใชง้ านฟังก์ชนั ท่มี คี วามซับซอ้ น เพอื่ ทาใหก้ ารใชง้ านฟังก์ชันมคี วามถูกต้องและได้ผลลพั ธ์ท่ีถกู ต้อง ตารางท่ี 3.31 ฟังก์ชนั ข้อมลู ฟงั กช์ ัน รูปแบบ ความหมาย แสดงข้อมลู ตา่ ง ๆ ของไฟล์เอกสารและระบบ INFO =INFO() ตรวจสอบขอ้ มลู และข้อผดิ พลาด IS =IS()

239 8.1 INFO การแสดงข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับเอกสาร เช่น ตาแหน่งจัดเก็บไฟล์ปัจจุบัน จานวนแผน่ งาน รุ่นของ Excel เป็นต้น มีรปู แบบการใชง้ าน ดงั นี้ =INFO(type_text) type_text: คือ ข้อความที่ใช้ระบุชนิดของข้อมูลที่ต้องการให้แสดง ประกอบด้วย จานวนแผ่นงานที่ใช้งานอยู่ใน เอกสาร (numfile) ส่งกลับการอ้างอิงเซลล์สัมบูรณ์ (origin) รุ่นของระบบปฏิบัติการปัจจุบัน (osversion) โหมดการคานวณ (recalc) รุน่ ของ Microsoft Excel system (release) ระบบปฏิบัติการ ของเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ (Macintosh = \"mac\" Windows = \"pcdos\") 8.2 IS การตรวจสอบค่าที่กาหนดและส่งกลับค่า TRUE หรือ FALSE ซึ่งขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ ออกมา เช่น ฟังก์ชัน ISBLANK จะสง่ กลบั ค่า TRUE ถ้าเปน็ การอา้ งองิ ไปยงั เซลล์ที่วา่ ง มิฉะนัน้ จะส่งกลับค่า FALSE เป็นต้น สามารถใช้ฟังก์ชัน IS เพื่อให้ได้ข้อมูลเก่ียวกับค่า ก่อนที่จะทาการคานวณหรือกระทาอย่าง อน่ื เชน่ ใชฟ้ งั ก์ชัน ISERROR รว่ มกบั ฟังก์ชัน IF เพือ่ ดาเนนิ การกระทาที่แตกต่างกันหากเกิดข้อผดิ พลาด = IF(ISERROR(A1), \"มีข้อผดิ พลาดเกิดข้นึ \", A1 * 2) เป็นตน้ มีรปู แบบการใชง้ าน ดังตารางที่ 3.33 ตารางที่ 3.32 การตรวจสอบค่าท่กี าหนดและส่งกลับค่า ไวยากรณ์ ความหมาย ตัวอย่าง ผลลพั ธ์ TRUE/FALSE =ISBLANK(value) Value อ้างอิงไปยังเซลล์ =ISBLANK(B10) TRUE/FALSE TRUE/FALSE วา่ ง ตรวจสอบว่าเซลล์ B10 เป็นเซลลว์ ่างหรือไม่ TRUE/FALSE =ISERR(value) Value อ้างอิงไปยังคา่ =ISERR(C16) TRUE/FALSE ความผิดพลาดใด ๆ ตรวจสอบวา่ คา่ ในเซลล์ C16 ซง่ึ คอื #N/A TRUE/FALSE ยกเว้น #N/A เป็นข้อผดิ พลาดหรือไม่ =ISERROR(value) Value อา้ งองิ ไปยงั ค่า =ISERROR(A10) ตรวจสอบวา่ ค่าในเซลล์ A10 ซงึ่ คอื #REF! ความผดิ พลาดใด ๆ (#N/A, #VALUE!, #REF!, เปน็ ข้อผิดพลาดหรือไม่ #DIV/0!, #NUM!, #NAME? หรอื #NULL!) =ISLOGICAL(value) Value อ้างอิงไปยังคา่ =ISLOGICAL(TRUE) ตรรกศาสตร์ ตรวจสอบวา่ TRUE เป็นคา่ ตรรกศาสตร์ หรอื ไม่ =ISNA(value) Value อ้างอิงไปยังคา่ =ISNA(E10) ความผิดพลาด #N/A ตรวจสอบว่าคา่ ในเซลล์ E10 ซง่ึ คอื #N/A (ค่าท่ไี ม่พรอ้ มใชง้ าน) เปน็ ขอ้ ผิดพลาด #N/A หรอื ไม่ =ISNONTEXT(value) Value อา้ งอิงไปยัง =ISNONTEXT(A12) รายการใด ๆ ที่ไม่ใช่ ตรวจสอบวา่ A12 เป็นการอ้างอิงขอ้ ความ ข้อความ หรือไม่

240 ไวยากรณ์ ความหมาย ตวั อยา่ ง ผลลพั ธ์ =ISNUMBER(value) Value อา้ งอิงไปยังตวั เลข =ISNUMBER(A15) TRUE/FALSE ตรวจสอบวา่ ค่าในเซลล์ A15 ซง่ึ คอื 10.254 =ISREF(value) Value อ้างอิงไปยงั การ เป็นตวั เลขหรือไม่ TRUE/FALSE อ้างองิ =ISREF(AA2) =ISTEXT(value) ตรวจสอบวา่ AA2 เป็นการอ้างอิงทถี่ กู ตอ้ ง TRUE/FALSE Value อา้ งองิ ไปยงั หรอื ไม่ ข้อความ =ISTEXT(C20) ตรวจสอบว่าค่าในเซลล์ C20 ซึ่งคอื คาว่า “ประเทศไทย 5” เป็นข้อความหรอื ไม่ 9. การแสดงฟังก์ชัน หากต้องการทราบว่าภายในเซลล์มีการใช้งานฟังก์ชันหรือสูตรอะไรบ้าง หรือต้องการทราบ รปู แบบการเขียนฟังกช์ ันหรือสูตร ใหค้ ลกิ ท่แี ถบ Formulas ribbon จากนน้ั คลกิ ท่ีคาสั่ง Show Formulas โปรแกรมจะแสดงฟังก์ชันหรือสูตรที่อยู่ในเซลลท์ ้ังหมด สามารถตรวจสอบหรอื แก้ไขได้อย่างสะดวก ดงั ภาพ ท่ี 3.153 ภาพท่ี 3.153 การแสดงฟงั กช์ ัน

241 10. แสดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งฟังก์ชันกบั เซลล์ หากต้องการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างฟังก์ชันกับเซลล์ ให้คลิกที่แถบ Formulas ribbon จากนัน้ คลิกทค่ี าสั่ง Trace Precedents โปรแกรมจะแสดงลูกศรโยงความสัมพันธร์ ะหว่างเซลล์ หรอื คลิกที่ คาสั่ง Trace Dependents เพ่ือติดตามเซลล์ที่อ้างถึง ทาให้ทราบว่าเซลล์ถูกนาไปอ้างอิงในฟังก์ชันหรือ สูตรใดบ้าง ดงั ภาพท่ี 3.154 ภาพที่ 3.154 การแสดงความสัมพันธร์ ะหว่างฟงั ก์ชนั กับเซลล์ แผนภูมิ การนาข้อมูลในแผ่นงานมาสร้างเป็นแผนภูมิหรือกราฟ เพื่อใชส้ าหรบั การนาเสนอข้อมูล จะช่วยให้ การนาเสนอข้อมูลมีความน่าสนใจ และผู้ใช้มีความเข้าใจในข้อมูลมากย่ิงข้ึน สามารถนาแผนภูมิหรือกราฟ ไปใช้ประกอบรายงานสรุปผลร่วมกับโปรแกรมอ่ืน ๆ ได้ เช่น Microsoft Word หรือ Microsoft PowerPoint เปน็ ต้น 1. Chart แผนภมู ิ คอื ทัศนว์ ัสดทุ แี่ สดงความสัมพนั ธข์ องเร่ืองราวตา่ ง ๆ โดยใช้เส้น ตวั อักษร ภาพลายเส้น หรือภาพโครงร่าง เพ่ืออธิบายข้อมูลให้ง่ายต่อความเข้าใจ แผนภูมิแต่ละชนิดมีรูปแบบและโครงสร้างที่ แตกต่างกัน และมีประโยชน์การใช้งานแตกต่างกนั (สุณิสา ประจอมพล, 2554: 1) การสร้างแผนภูมิ ให้ผใู้ ช้เลอื กช่วงขอ้ มลู ในแผ่นงานท่ตี ้องการนาไปสร้างเปน็ แผนภูมิ จากนัน้ คลิก ทเ่ี มนู Insert > Charts เพ่อื เลือกรูปแบบแผนภมู ิ ดงั ภาพท่ี 3.155

242 1. เลอื กช่วงข้อมูล 2. คลกิ เมนู Charts ภาพท่ี 3.155 การเลอื กชว่ งขอ้ มลู เพื่อสรา้ งแผนภมู ิ โปรแกรมจะแสดงหน้าต่าง Insert Chart ประกอบด้วย แถบแนะนาแผนภูมิท่ีเหมาะสมกับช่วง ข้อมูลท่ีเลือก (Recommended Charts) และแผนภูมิท้ังหมด (All Charts) สามารถเลือกรูปแบบแผนภูมิ ตามที่ต้องการ จากนน้ั คลกิ ทป่ี มุ่ OK เพื่อแทรกแผนภมู ิลงในแผน่ งาน ดงั ภาพท่ี 3.156 แผนภูมิแนะนา แผนภูมทิ ้งั หมด ภาพที่ 3.156 การเลอื กรปู แบบแผนภมู ิ การปรับแต่งแผนภูมิ สามารถเปล่ียนรูปแบบของแผนภูมิหรือเปลี่ยนสีของแผนภูมิได้ โดยคลิก เลือกแผนภูมบิ นแผน่ งาน โปรแกรมจะแสดงแถบเมนูออกแบบแผนภมู ิ (Design) อัตโนมัติ สามารถปรับแต่ง แผนภมู ิได้ตามตอ้ งการ ดังภาพที่ 3.157

243 เมนอู อกแบบแผนภูมิ ภาพท่ี 3.157 แผนภมู ทิ ี่แทรกลงในแผน่ งาน การเลือกใชง้ านแผนภูมิควรมีความเหมาะสมกับลักษณะของข้อมลู และควรพจิ ารณาถึงลักษณะ ความสอดคล้องของข้อมูลกับการนาเสนอ ดังนั้น ผู้ใช้ควรศึกษารูปแบบของแผนภูมิใน Microsoft Excel 2016 โดยมีรูปแบบตา่ ง ๆ (Microsoft, 2560ข: 1; พันจนั ทร์ ธนวัฒนเสถียร และอัมรนิ ทร์ เพ็ชรกุล, 2557: 119-135) ดงั นี้ 1.1 แผนภูมิคอลัมน์ (Column) หรือกราฟแท่งแนวตั้ง จะแสดงประเภทของข้อมูลเป็นแกน แนวนอน และค่าข้อมูลเป็นแกนแนวตั้ง เหมาะสาหรับการเปรียบเทียบค่าต่าง ๆ เพื่อให้เห็นความแตกต่าง ของข้อมูล หรือใชส้ าหรับแสดงแนวโนม้ ของข้อมลู ภาพที่ 3.158 แผนภมู ิ Column 1.2 แผนภูมิเส้น (Line) หรือกราฟเส้น ประเภทของข้อมูลจะถูกกระจายอย่างเท่า ๆ กัน ตาม แกนแนวนอน และค่าข้อมูลทั้งหมดจะถูกกระจายอย่างเท่า ๆ กัน ตามแกนแนวตั้ง แผนภูมิเส้นสามารถ แสดงข้อมูลที่ต่อเนื่องกันบนแกนเวลาที่มีมาตราส่วนเท่า ๆ กัน ดังน้ัน จึงเหมาะสาหรับการแสดงแนวโน้ม ของขอ้ มูล ณ ช่วงเวลาทีเ่ ท่ากัน เช่น รายเดอื น รายไตรมาส หรือรายปีงบประมาณ เป็นต้น

244 ภาพท่ี 3.159 แผนภมู ิ Line 1.3 แผนภูมิวงกลม (Pie) หรือกราฟวงกลม จะแสดงความสัมพันธ์ของส่วนต่าง ๆ ต่อส่วน ทงั้ หมด สามารถแสดงชุดขอ้ มูลได้มากกว่า 1 ชุดข้อมลู โดยแบ่งชุดขอ้ มลู ออกเปน็ สดั สว่ นตามค่าทกี่ าหนด ภาพที่ 3.160 แผนภมู ิ Pie 1.4 แผนภมู ิแทง่ (Bar) หรอื กราฟแนวนอน จะแสดงประเภทของข้อมูลเป็นแกนแนวต้ัง และค่า ข้อมูลเป็นแกนแนวนอน เหมาะสาหรับการเปรียบเทียบค่าต่าง ๆ เพ่ือให้เห็นความแตกต่างของข้อมูลที่มี ความเกีย่ วขอ้ งกับระยะทางหรอื เวลา หรือใช้สาหรับแสดงแนวโนม้ ของข้อมูล ภาพท่ี 3.161 แผนภมู ิ Bar

245 1.5 แผนภูมิพ้ืนที่ (Area) หรือกราฟพื้นที่ ใช้เพื่อลงจุดการเปล่ียนแปลงตามเวลา และดึงความ สนใจไปยงั คา่ ผลรวมภายในแนวโน้ม โดยการแสดงผลรวมของค่าทล่ี งจุด แผนภมู ิพ้ืนที่จะแสดงความสมั พันธ์ ของสว่ นต่าง ๆ จากส่วนทง้ั หมด เหมาะสาหรับแสดงแนวโน้มข้อมลู และผลรวมในชว่ งเวลา หรือชว่ งข้อมูลท่ี กาหนด ภาพที่ 3.162 แผนภมู ิ Area 1.6 แผนภูมิแบบกระจาย X Y (Scater) หรือกราฟ X Y มแี กนค่าแนวนอน (x) และแกนคา่ แนวตั้ง (y) แผนภมู จิ ะรวมค่า x และ y ลงในจุดข้อมลู เดยี ว และจะแสดงค่าในช่วงเวลาที่ไม่สม่าเสมอกัน หรือแสดงเปน็ กลุ่ม โดยท่วั ไปแผนภูมิกระจายจะใช้สาหรบั การแสดงและการเปรียบเทียบค่าตวั เลขเปน็ ชุด เช่น คา่ เชิงวิทยาศาสตร์ ค่าทางสถิติ และขอ้ มลู ทางวิศวกรรม เป็นตน้ ภาพท่ี 3.163 แผนภมู ิ X Y (Scater) 1.7 แผนภมู หิ ุ้น (Stock) ใชเ้ พ่ือแสดงความผันผวนของราคาหุน้ แสดงแนวโน้มตลาด หรือใช้ สาหรบั ขอ้ มลู เชงิ วทิ ยาศาสตร์ เช่น การใชแ้ ผนภูมิหุ้นเพ่อื ระบุความผนั ผวนของอณุ หภูมปิ ระจาวนั หรือ ประจาปี เป็นตน้ ภาพที่ 3.164 แผนภมู ิ Stock

246 1.8 แผนภูมิพ้ืนผวิ (Surface) จะแสดงแนวโนม้ ของข้อมูล โดยนาคา่ ทัง้ แกน X และ แกน Y มา ใชเ้ ปรยี บเทียบโดยแสดงเป็นกราฟที่มีพ้ืนผวิ ต่อเนื่อง แผนภมู พิ ้นื ผวิ มีประโยชนเ์ ม่ือตอ้ งการค้นหาชุดข้อมูลท่ี ดีที่สุดระหวา่ งชุดข้อมลู 2 ชุด ภาพที่ 3.165 แผนภมู ิ Surface 1.9 แผนภูมิเรดาร์ (Radar) ใช้เปรียบเทียบความแตกตา่ งของข้อมูล โดยประเภทของข้อมูลแต่ ละประเภทจะมีแกนค่าของตนเองที่มีรัศมีชี้ออกจากจุดศูนย์กลาง เส้นเชื่อมต่อค่าทั้งหมดอยู่ในชุดข้อมูล เดยี วกัน เหมาะสาหรับการเปรียบเทียบค่ารวมของชุดข้อมูลหลายชดุ ภาพท่ี 3.166 แผนภมู ิ Radar 1.10 แผนภูมิแผนท่ีต้นไม้ (Treemap) จะแสดงมุมมองลาดับช้ันของข้อมูลและวิธีการ เปรียบเทียบในระดับต่าง ๆ ของการจัดประเภท จะแสดงประเภทข้อมูลด้วยสีท่ีมีความใกล้เคียง และ สามารถแสดงข้อมูลจานวนมาก ซงึ่ เป็นข้อจากัดของแผนภูมชิ นดิ อ่ืน ๆ ได้ ภาพท่ี 3.167 แผนภูมิ Treemap

247 1.11 แผนภูมิรัศมีดวงอาทิตย์ (Sunburst) เหมาะสาหรับการแสดงข้อมูลตามลาดับชั้น มีรัศมี วงกลมในสุด เป็นอันดับแรกของลาดับชั้น มีลักษณะคล้ายกับแผนภูมิโดนัท และจะมีรัศมีหลายระดับเพ่ือ แสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งวงแหวนภายนอกกับวงแหวนภายใน ภาพท่ี 3.168 แผนภมู ิ Sunburst 1.12 แผนภูมฮิ ิสโตแกรม (Histogram) จะแสดงความถี่ภายใน การแจกแจงแต่ละคอลัมน์ของ แผนภูมิจะเรยี กวา่ ชอ่ ง ซ่งึ สามารถเปลยี่ นแปลงเพ่ือวิเคราะห์ขอ้ มลู เพ่ิมเตมิ ได้ ภาพที่ 3.169 แผนภมู ิ Histogram 1.13 แผนภูมิบ็อกซ์และวิสเกอร์ (Box & Whisker) จะแสดงการแจกแจงของข้อมูลใน รูปแบบควอร์ไทล์ และเน้นค่าเฉลี่ยหรือค่าผิดปกติ BOX อาจมีเส้นท่ีขยายตามแนวนอนท่ีเรียกว่า วิสเกอร์ (whiskers) เสน้ จะระบุค่าความแปรปรวนภายนอกจุดต่าสดุ และจดุ สูงสุดของควอรไ์ ทล์ และจดุ ต่าง ๆ ทอี่ ยู่ ภายนอกเสน้ หรือวิสเกอรจ์ ะถูกพิจารณาว่าเปน็ คา่ ผิดปกติ ภาพที่ 3.170 แผนภูมิ Box & Whisker

248 1.14 แผนภมู ิน้าตก (Waterfall) มีเฉพาะใน Microsoft Excel 2016 เหมาะสาหรบั การแสดง ข้อมูลท่ีแบ่งออกเป็นส่วน ๆ โดยจะมีส่วนย่อย ๆ ที่มีการทาผลรวมย่อย เช่น แสดงการเคล่ือนไหวของ จานวนสินค้า แสดงรายการในงบกาไรขาดทุน ท่ีมีการแบ่งหมวดของรายการออกเป็นส่วน ๆ เพื่อให้ผู้ดู แผนภมู สิ ามารถเหน็ สัดส่วนของแตล่ ะรายการไดด้ ียิง่ ขนึ้ เปน็ ต้น (ประเสริฐ คณาวฒั นไชย, 2560: 1) ภาพท่ี 3.171 แผนภูมิ Waterfall 1.15 แผนภูมิแบบผสม (Combo) หรือกราฟ 2 แกน โดยการนากราฟเส้นและกราฟแท่งมา ประกอบกัน ซ่ึงสามารถกาหนดใหเ้ ป็นกราฟประเภท 2 แกนได้ เหมาะสาหรบั การเปรยี บเทียบ 2 ข้อมูล ทีม่ ี ความแตกต่างกัน เช่น ยอดขายและร้อยละของผลกาไร หรือ ยอดขายเทียบกับจานวนลูกค้า เป็นต้น (9Expert, ม.ป.ป.: 1) ภาพที่ 3.172 แผนภมู ิ Combo 2. Pivot Table & Pivot Chart Pivot Table และ Pivot Chart คือ เครื่องมือสาหรับสรุปผลข้อมูล หรือวิเคราะห์ข้อมูลจานวน มากในรปู แบบของตาราง (Pivot Table) และรปู แบบกราฟ (Pivot Chart) ข้อมูลท่ีนามาสรุปได้มาจากแผ่น งานในเอกสาร สามารถนาหวั ข้อหรือสว่ นหัวในแตล่ ะคอลัมน์มาแทรกใน Pivot Table เพื่อใช้สรุปผลข้อมูล สามารถสร้างรายงานตัวเดียว แต่ปรับเปล่ียนรายงานให้แสดงผลข้อมูลตามเง่ือนไขท่ีผู้ใช้กาหนดได้ โดยไม่ ต้องออกแบบรายงานจานวนมาก สามารถนามาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างตรงเป้าหมาย เน่ืองจากสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลหรือวิเคราะห์แนวโน้มได้ง่าย และสามารถปรับเปล่ียน มุมมองไดต้ ลอดเวลา มวี ิธีการสรา้ ง ดังน้ี (ดวงพร เก๋ียงคา, 2557: 241-252)

249 2.1 การเตรียมข้อมูล ข้อมูลในเอกสารต้องเป็นตารางในรูปแบบฐานข้อมูล (Database) ประกอบดว้ ย ฟิลด์ (Field) และระเบียนข้อมลู หรือรายการข้อมูล (Record) โดยแถวแรกหรือแถวบนสุดจะ เป็นชอ่ื ฟลิ ด์ (หวั ตาราง) แถวถดั ลงมาทงั้ หมดจะเปน็ รายการข้อมูล ข้อมลู 1 รายการ คือ ข้อมลู ที่สมั พนั ธ์กับ ชื่อฟิลด์ จากซ้ายไปขวา ครบทุกฟิลด์ และข้อมูลจะต้องเรียงต่อกัน ห้ามไม่ให้มีคอลัมน์ว่างหรือแถวว่าง ดัง ภาพที่ 3.173 ฟิลด์ (Field) รายการขอ้ มลู (Record) ภาพที่ 3.173 ข้อมูลรปู แบบของฐานข้อมูล 2.2 การสรา้ ง Pivot Table เมอ่ื เตรียมข้อมูลเสร็จเรยี บร้อยแลว้ ให้ผใู้ ช้เลือกแถบเมนู Insert > Pivot Table & Pivot Chart โปรแกรมจะเลือกข้อมูลในแผ่นงานอัตโนมัติ ให้ทาการกาหนดคุณสมบัติของ Pivot Table จากนั้นใหค้ ลกิ ทป่ี ่มุ OK ดงั ภาพที่ 3.174 A B ภาพที่ 3.174 กาหนดคุณสมบตั ิ Pivot Table 2.2.1 (A) แสดงขอบเขตข้อมูลที่จะใช้ทา Pivot Table สามารถเลือกช่วงข้อมูลอ่ืนได้ หาก ขอ้ มลู ถกู กาหนดใหเ้ ปน็ ตารางมาก่อน ในสว่ นน้จี ะแสดงชื่อตาราง 2.2.2 (B) สร้างรายงานในแผน่ งานใหมห่ รือสร้างรายงานในแผ่นงานที่กาหนด

250 หากเลือกสร้างรายงานในแผ่นงานใหม่ โปรแกรมจะสร้างแผ่นงานใหม่สาหรับ Pivot Table และ Pivot Chart มรี ายละเอียดดังภาพที่ 3.175 แถบเคร่อื งมือเพมิ่ เติม รายละเอียดฟลิ ดข์ ้อมลู ในตาราง พื้นทแี่ สดง Table พน้ื ท่ีแสดง Chart ภาพท่ี 3.175 แผ่นงานใหม่สาหรับ Pivot Table & Pivot Chart FILTER: ตัวกรองรายงาน ใช้สาหรับเลือกกรองข้อมูลให้แสดงทีละ รายการ ซงึ่ โดยปกติจะแสดงท้ังหมด (All) COLUMNS: แสดงฟิลด์ข้อมูลในแนวคอลมั น์ โดยต้องมีขอ้ มลู ซ้าเพื่อ การจดั กลมุ่ สรุปข้อมูล ROWS: แสดงฟิลด์ข้อมูลในแนวแถว โดยต้องมีข้อมูลซ้าเพ่ือการจัด กลมุ่ สรุปขอ้ มลู VALUES: แสดงฟิลด์ท่ีเป็นค่าข้อมูล หรือฟิลด์ที่ใช้คานวณค่าของ ขอ้ มลู ภาพที่ 3.176 แสดงรายงานและตวั กรอง

251 2.3 การจัดรูปแบบรายงาน Pivot Table จะใช้รูปแบบเช่นเดียวกับตาราง โดยให้คลิกเลือกท่ี Pivot Table โปรแกรมจะแสดงแถบเมนู Design สาหรับจัดรูปแบบตาราง หรือหากต้องการจัดรูปแบบ Pivot Chart ให้คลิกเลือกที่ Chart โปรแกรมจะแสดงแถบเมนู Design สาหรับจัดการแผนภูมิ ดังภาพท่ี 3.177 ภาพที่ 3.177 การจดั รูปแบบรายงาน 2.4 การกรองข้อมลู ในรายงาน สามารถคลิกทป่ี ่มุ Filter ได้ทกุ หัวข้อการกรอง รายงานจะมกี าร เปลี่ยนแปลงตามรูปแบบการกรองของผู้ใช้ สามารถใช้งานการกรองเพ่ือวิเคราะห์ข้อมูลรายการต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องออกแบบหรอื จดั ตารางใหม่ ดงั ภาพท่ี 3.178 คลกิ รปู แบบรายงาน กาหนดตวั กรอง จะเปลย่ี นไปตามตัวกรอง ภาพที่ 3.178 การกรองข้อมลู ในรายงาน

252 นอกจากนี้ การกรองข้อมูลในรายงาน ผู้ใช้สามารถกาหนดเงื่อนไขการกรองข้อมูลได้มากกว่า 1 เงื่อนไขหรือการกรองหลายชนั้ ดงั ภาพที่ 3.179 กาหนดตัวกรอง 2 เง่อื นไข ภาพที่ 3.179 การกรองข้อมูลมากกว่า 1 เง่ือนไข 2.5 การกรองข้อมูลด้วย Slicer เพ่ือเพิ่มความสามารถให้กับการกรองข้อมูลในรายงาน จะทา ใหก้ ารทางานสะดวกมากย่งิ ขน้ึ ดงั ภาพที่ 3.180 1. คลกิ ปมุ่ Insert Slicer 2. คลกิ เลือกฟลิ ด์ ภาพที่ 3.180 การเรียกใช้งาน Slicer ภาพที่ 3.181 ตัวเลือกการกรองดว้ ย Slicer

253 ข้อผดิ พลาดที่เกดิ จากการคานวณ การคานวณด้วยสูตรหรือฟังก์ชันในโปรแกรมไมโครซอฟต์เอ็กเซล อาจเกิดความผิดพลาดจากการ คานวณ หรือเกิดความผิดปกติบางอย่างภายในเซลล์ โปรแกรมจะแสดงข้อผิดพลาด (Error) ให้ผู้ใช้ทราบ ผู้ใช้ควรศึกษาขอ้ ผิดพลาดและวธิ ีการแก้ไขข้อผิดพลาด ดงั ตารางที่ 3.33 ตารางที่ 3.33 ข้อผิดพลาดท่เี กิดจากการคานวณ Error สาเหตุ การแกไ้ ข ##### ตวั เลขในเซลล์ ยาวกวา่ ความกว้างของเซลล์ ขยายความกว้างของเซลล์ #VALUE ใช้สูตรผดิ หลกั ไวยากรณ์ เชน่ =5+cat ตรวจสอบสตู รในเซลล์ #DIV/0! ใช้ 0 เปน็ ตัวหาร เช่น =10/0 ใชเ้ ลขอน่ื ท่ีไม่ใช่ 0 เปน็ ตวั หารแทน #NAME? ในสูตรมขี ้อความที่ Excel ไมร่ ูจ้ ัก เช่น พิมพฟ์ ังก์ชนั ตรวจสอบช่ือฟังกช์ นั ให้ถกู ตอ้ ง =SUM เป็น =SAM #N/A ไมส่ ามารถคน้ หาตาแหน่งอา้ งองิ เซลล์ท่ีใช้ในสตู รได้ ตรวจสอบคา่ ว่างในตาแหน่งการอา้ งองิ #REF! ไม่สามารถคน้ หาตาแหนง่ อ้างองิ เซลล์ที่ใช้ในสูตรได้ ตรวจสอบตาแหน่งการอ้างองิ #NULL! ชว่ งเซลล์ 2 ช่วง ไมต่ ่อกัน แต่ลืมใส่เครอื่ งหมายจลุ ภาคคั่น แกไ้ ขโดยใส่เครอ่ื งหมายจลุ ภาคคน่ั ระหวา่ ง ระหวา่ งช่วงเซลล์ไว้ (,) เช่น =SUM(A1:A5B1:B5) ช่วงเซลล์ =SUM(A1:A5, B1:B5) #NUM! แสดงเมอื่ สตู รทีใ่ ช้คานวณตัวเลขไมส่ ามารถคานวณไดจ้ ริง แกไ้ ขรปู แบบการคานวณใหม้ ีความถกู ต้อง เชน่ =Sqrt(-1) บทสรปุ ไมโครซอฟต์เอ็กเซล รุ่น 2016 (Micosoft Excel 2016) โปรแกรมกระดาษคานวณท่ีมี ความสามารถในการคานวณหาค่าผลลัพธ์ได้อย่างถูกต้อง แม่นยา โปรแกรมมีความสามารถที่หลากหลาย ไมว่ ่าจะเป็น การสรา้ งตาราง การคานวณ การวิเคราะห์ การสรา้ งรายงานในรูปแบบแผนภูมิหรือกราฟ การ พิมพ์เอกสารในรูปแบบช่องตาราง มีสูตรและฟังก์ชันสาเร็จรูปสาหรับการคานวณเพ่ืองานด้านบัญชี (Accounting) งานด้านการเงิน (Financial) งานด้านการวางแผน (Planning) งานด้านงบประมาณ (Budgeting) งานดา้ นสถิติ (Statistic) และงานดา้ นการคานวณอ่นื ๆ ดังนัน้ การศึกษาและฝึกใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เอ็กเซลอยู่เปน็ ประจา ยอ่ มเกดิ ประโยชน์แก่ผู้ ที่ศึกษา และหากมีการฝึกใช้งานโปรแกรมจนเกิดความชานาญ ผู้ศึกษาสามารถประยุกต์ใช้งานโปรแกรม กับงานด้านต่าง ๆ นอกเหนอื จากงานทีย่ กตวั อย่างไว้ข้างต้น และหากผู้ศึกษามคี วามเช่ียวชาญในการใช้งาน โปรแกรมไมโครซอฟต์เอ็กเซล ย่อมเป็นทีต่ ้องการของหนว่ ยงานหรือองค์กรทั้งภาครฐั และเอกชน แต่อย่างไร ก็ตาม โปรแกรมกระดาษคานวณ ไม่ได้มีเพียงโปรแกรมไมโครซอฟต์เอ็กเซลเท่าน้ัน ยังมีโปรแกรมกระดาษ คานวณอื่น ๆ ที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพไม่ด้อยไปกว่าไมโครซอฟต์เอ็กเซล ผู้ศึกษาควรศึกษาโปรแกรม อื่น ๆ เพ่มิ เตมิ ควบคู่กบั การใชง้ านโปรแกรมไมโครซอฟตเ์ อ็กเซล

254 แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท 1. หากตอ้ งการพมิ พเ์ คร่ืองหมายทางคณิตศาสตร์ แต่ไม่ต้องการนาเครื่องหมายไปใช้ในการคานวณ จะต้องพมิ พ์เคร่ืองหมายใดกอ่ นการพิมพ์เคร่อื งหมายทางคณิตศาสตร์ 2. Auto Fill กับ Auto Complete มีคุณสมบตั ิแตกต่างกันอยา่ งไร 3. เคร่ืองหมายการเปรียบเทียบ เม่ือมีการทางานตามเง่ือนไขท่ีกาหนด จะแสดงรูปแบบการคืนค่า อย่างไร 4. การเรยี งข้อมลู และการกรองข้อมลู มปี ระโยชน์อยา่ งไร 5. ขอ้ ควรระวงั ท่ีผู้ใช้ควรใหค้ วามสาคัญ เม่ือใช้งานฟังก์ชัน IF ซ้อนกันหลายครง้ั คืออะไร 6. ให้ผู้ศึกษาสร้างเอกสารสาหรับเก็บคะแนนนักศึกษาในห้องเรียน ต้ังชื่อไฟล์เป็น student.xlsx โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้ 6.1 เอกสารประกอบด้วย 6 แผ่นงาน ได้แก่ คะแนนเข้าเรียน คะแนนการส่งงาน คะแนนสอบ ย่อย คะแนนสอบกลางภาค คะแนนสอบปลายภาค และสรุปคะแนน 6.2 กาหนดรายชื่อนักศึกษาจานวน 20 คน กาหนดคะแนนให้กับนักศึกษาด้วยตนเอง และ กาหนดคะแนนรวมเทา่ กบั 100% โดยแบง่ คะแนนออกเป็น คะแนนเข้าเรียน 16 สัปดาห์ 16 คะแนน คิดเปน็ 10% คะแนนสง่ งาน 10 ชิ้น 100 คะแนน คิดเปน็ 25% คะแนนสอบยอ่ ย 5 ครัง้ 50 คะแนน คิดเปน็ 10% คะแนนสอบกลางภาค 50 คะแนน คิดเปน็ 25% คะแนนสอบปลายภาค 90 คะแนน คดิ เป็น 30% 6.3 หาค่าสูงสุด ค่าต่าสุด ค่าเฉลี่ยของคะแนนในแต่ละแผ่นงาน และนาคะแนนท่ีคิดเป็นร้อยละ มารวมในแผ่นงานสรุปคะแนน หาค่าสูงสุด ค่าต่าสุด ค่าเฉลี่ย และคานวณเกรดตามเกณฑ์การประเมิน คือ เกรด A คะแนน 80-100 เกรด B+ คะแนน 75-79 เกรด B คะแนน 70-74 เกรด C+ คะแนน 65-69 เกรด C คะแนน 60-64 เกรด D+ คะแนน 55-59 เกรด D คะแนน 50-55 เกรด F คะแนน ตา่ กวา่ 50 6.4 ใช้งาน Conditional Formating แสดงพื้นหลังเซลล์สีแดงและตัวอักษรสีแดง หากคะแนน ในแต่ละเซลล์เท่ากับ 0 และเกรดเทา่ กับ F 6.5 สร้างแผนภมู แิ ท่งแสดงสัดส่วนของเกรด โดยแสดงเปน็ คา่ ร้อยละตอ่ จานวนนกั ศึกษา

เอกสารอา้ งองิ จีระสทิ ธิ์ องึ้ รัตนวงศ.์ (2558). คมู่ อื ใช้งาน Microsoft Office 2013. กรงุ เทพฯ: ซีเอ็ดยูเคช่นั . ดวงพร เก๋ยี งคา. (2557). ใช้งานอย่างมอื อาชพี EXCEL 2010 ฉบบั สมบูรณ์. นนทบรุ ี: ไอดีซี. _______. (2559). คมู่ ือ Office 2016 ฉบับใช้งานจรงิ . นนทบุรี: ไอดซี ฯี . ประเสรฐิ คณาวัฒนไชย. (2560). สอน EXCEL 2016: การสรา้ งกราฟแบบน้าตก (Waterfall chart). สบื คน้ เมอ่ื 14 ธนั วาคม 2559, จาก https://scitech.kpru.ac.th/portal/content/0brII3eyaW8. พนั จันทร์ ธนวัฒนเสถยี ร และอมั รนิ ทร์ เพช็ รกลุ . (2557). สรา้ งตารางงานและบรหิ ารข้อมลู ด้วย Excel 2010 ฉบบั สมบูรณ์. กรุงเทพฯ: รีไววา่ . สิทธิชัย ประสานวงศ์. (2553). Windows7 & Office 2010. กรงุ เทพฯ: ซอฟทเ์ พรส. สุณิสา ประจอมพล. (2554). แผนภูมิ. สบื คน้ เม่ือ 19 ธนั วาคม 2559, จาก http://sunisaict3.blogspot.com. 9Expert. (2560). การสร้างกราฟ 2 แกน (Combo Chart). สืบคน้ เม่ือ 20 ธันวาคม 2559, จาก http://www.9experttraining.com. Capterra. (2018). Spreadsheet Software. Retrieved 12 February 2018, from https://www.capterra.com/spreadsheet-software. Microsoft. (2560ก). ตวั ดาเนนิ การในการคานวณและความสาคัญใน Excel. สืบค้นเม่อื 14 มกราคม 2561, จาก https://support.office.com. _______. (2560ข). ชนดิ แผนภูมทิ ี่มีอย่.ู สืบค้นเม่ือ 14 มกราคม 2561, จาก https://support.office.com. Permsak. (2552). หลกั การอา้ งอิงเซลลแ์ ละแทนทสี่ ูตรใน Excel. สืบคน้ เม่ือ 10 เมษายน 2560, จาก http://www.skr.ac.th/link/web_education/web_teacher/com/ben/web_30201/webs ite_m2/excel/html/index_15.html. Tharapon. (2553ข). รปู แบบการอ้างอิงเซลลใ์ น Excel. สบื ค้นเมื่อ 5 มีนาคม 2559, จาก http://www.cleverdrive.net/1/excel-reference-style.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook