Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_32

tripitaka_32

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:35

Description: tripitaka_32

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 1 พระสตุ ตนั ตปฎก องั คตุ ตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ท่ี ๑ ภาคที่ ๑ขอนอบนอ มแดพระผูม พี ระภาคอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจา พระองคน ้ัน เอกธัมมาทิปาลิ บาลีแหงเอกธรรมเปนตน รปู าทิวรรคท่ี ๑ วาดว ยสง่ิ ที่ครอบงาํ จติ ใจบุรุษและสตรี [๑] ขาพเจาไดสดบั มาแลวอยางน้ี :- สมัยหนึ่ง พระผูมพี ระภาคเจาประทบั อยู ณ พระวหิ ารเชตวันอารามของทานอนาถบิณฑิกเศรษฐ.ี กรงุ สาวัตถี ณ ทีน่ น้ั แล พระ-ผมู ีพระภาคเจา ตรัสเรยี กภกิ ษุทง้ั หลายวา ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลายภกิ ษุเหลา น้ันทูลรับพระดํารัสของพระผูม พี ระภาคเจา แลว พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสวา [๒] ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย เรายอ มไมเ ล็งเห็นรปู อ่นื แมอยางหน่งึท่ีจะครอบงําจิตของบุรุษต้งั อยูเหมอื นรปู สตรเี ลย ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คุตรนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 2รูปสตรยี อมครอบงําจิตของบุรุษตงั้ อยู. [๓] ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย เรายอมไมเ ล็งเหน็ เสียงอน่ื แมอ ยางหนึง่ที่จะครอบงําจิตของบรุ ุษต้ังอยูเ หมือนเสยี งสตรเี ลย ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลายเสยี งสตรยี อ มครอบงาํ จิตของบรุ ุษตงั้ อย.ู [๔] ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย เรายอ มไมเล็งเหน็ กล่นิ อน่ื แมอยา งหน่งึทีจ่ ะครอบงําจิตของบุรษุ ต้ังอยูเหมือนกลิน่ สตรเี ลย ดูกอนภิกษทุ ั้งหลายกล่ินสตรียอมครอบงําจติ ของบุรษุ ต้งั อย.ู [๕] ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย เรายอ มไมเล็งเห็นรสอ่ืนแมอ ยา งหนง่ึทจี่ ะครอบงาํ จติ ของบรุ ษุ ต้งั อยเู หมอื นรสสตรเี ลย ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลายรสสตรียอมครอบงาํ จติ ของบุรุษต้ังอยู. [๖] ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย เรายอมไมเล็งเห็นโผฎฐพั พะอื่นแมอยา งหน่งึ ทจ่ี ะครอบงําจติ ของบรุ ุษตงั้ อยเู หมอื นโผฎฐัพพะสตรีเลยดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย โผฎฐพั พะสตรยี อ มครอบงาํ จติ ของบุรุษต้ังอยู. [๗] ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย เรายอ มไมเล็งเหน็ รปู อืน่ แมอ ยางหน่งึทีจ่ ะครอบงาํ จติ ของสตรีตงั้ อยูเหมือนรูปบรุ ษุ เลย ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลายรปู บรุ ษุ ยอมครอบงาํ จติ ของสตรตี งั้ อย.ู [๘] ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย เรายอมไมเลง็ เห็นเสยี งอน่ื แมอ ยา งหน่งึท่จี ะครอบงําจิตของสตรตี ั้งอยเู หมอื นเสียงบรุ ษุ เลย ดูกอนภิกษทุ ัง้ หลายเสียงบรุ ษุ ยอ มครอบงําจติ ของสตรีตงั้ อยู.

พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 3 [๙] ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย เรายอมไมเล็งเห็นกลิ่นอนื่ แมอ ยางหน่ึงทจี่ ะครอบงําจติ ของสตรตี ัง้ อยูเหมอื นกล่นิ บรุ ุษเลย ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลายกล่นิ บรุ ษุ ยอมครอบงาํ จิตของสตรตี ัง้ อยู. [๑๐] ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย เรายอมไมเ ลง็ เห็นรสอ่ืนแมอยางหนึ่งทจ่ี ะครอบงาํ จิตของสตรตี ง้ั อยูเหมือนรสบุรุษเลย ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลายรสบุรุษยอมครอบงําจิตของสตรตี ้ังอยู. [๑๑] ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย เรายอ มไมเ ล็งเหน็ โผฎฐัพพะอนื่ แมอยางหน่ึง ท่ีจะครอบงําจติ ของสตรีตง้ั อยูเหมือนโผฎฐัพพะบุรุษเลยดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย โผฎฐัพพะของบุรุษยอ มครอบงําจติ ของสตรตี ง้ั อยู. จบ รปู าทิวรรคที่ ๑

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 4 มโนรถปูรณี อรรถกถาองั คุตตรนกิ าย อรรถกถาเอกนบิ าต อารมั ภกถา ขาพเจา (พระพทุ ธโฆสาจารย) ขอไหว พระสุคต ผหู ลุดพน จากคติ ผูมีพระทัยเยือกเย็น ดว ยพระกรุณา ผมู มี ืดคือโมหะ อนั แสงสวาง แหงปญ ญาขจัดแลว ผเู ปนครขู องชาวโลก พรอ มทั้งมนษุ ยและเทวดา พระพุทธเจาทรงเจรญิ และทําใหแ จงคุณ เคร่ืองเปนพระพทุ ธเจา เขา ถงึ ธรรมใดอัน ปราศจากมลทิน ขาพเจา ขอไหวธรรมนัน้ อนั ยอดเยย่ี ม. ขา พเจาขอไหว ดว ยเศยี รเกลาซง่ึ พระ อริยสงฆท ั้ง ๘ ผูเปน โอรสของพระตถาคตเจา ผยู ํ่ายีเสยซึ่งกองทัพมาร. บุญใดสําเร็จดว ยการไหวพ ระรัตนตรัย ของขา พเจาผมู จี ติเลื่อมใสดังกลา วมาฉะน้ี ขาพเจาเปน ผทู อี่ านุภาพแหงบุญนัน้ ชวยขจดัอันตรายแลว จักถอดภาษาสหี ลออกจากคัมภรี อ รรถกถา ซง่ึ พระ

พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 5อรหนั ตผูเ ชย่ี วชาญ ๕๐๐ องคส งั คายนามาแตต น และสังคายนาตอ ๆมา แนภายหลัง ทานพระมหินทเถระนาํ นายงั เกาะสหี ล จัดทาํ ไวเปนภาษาสีหล เพื่อใหเปนประโยชนแ กช าวเกาะ แลวยกข้นึ สภู าษาท่ีนาร่ืนรมย ควรแกนยั แตง พระบาลี คือทาํ เปน ภาษามคธ ไมใ หข ดั แยงลัทธสิ มัยซงึ่ ปราศจากโทษของเหลา พระเถระประทีปแหงเถรวงศ ผอู ยูในมหาวิหาร ซึง่ มวี นิ ิจฉัยละเอยี ดดี ละเวนขอความความทซ่ี า้ํ ซากเสยี แลว ประกาศเนือ้ ความแตง คมั ภรี องั คุตตรนิกายอันประเสรฐิ อันประดับดว ยเอกนิบาต ทกุ นิบาต ติกนิบาต เปนตน เพือ่ ใหอรรถแจม แจง สาํ หรบั ใหเกิดปฏิภาณอนั วิจิตร แกเหลาพระธรรมกถึกที่ดีซงึ่ ขา พเจาเม่ือกลาวเน้อื ความ แหงคัมภีรท ฆี นกิ าย และคัมภรี ม ัชณมินกิ าย ภายหลงั จงึ พรรณนาเรอื่ งราวของพระนครท้ังหลาย มีกรงุ สาวตั ถีเปน ตน ใหส าธชุ นยินดี และเพอ่ื ใหพระธรรมต้งั อยยู ่ังยืน ไดย ินวาเรือ่ งเหลา ใด ที่กลาวไวในคัมภรี ท ้ังสองนัน้ (ทีฆ, มชั ฌิม) พสิ ดารในคมั ภรี อังคุตตรนกิ ายน้ี ขา พเจาจกั ไมก ลา วเรอื่ งเหลาน้ันใหพ สิ ดารย่งิ ขนึ้ ไปอกี แตสาํ หรับสตู รท้ังหลาย เน้ือความเหลาใด เวน เรื่องราวเสยี จะไมแ จมแจง ขาพเจา จกั กลาวเรอื่ งราวท้ังหลายไว เพื่อความแจม แจง แตง เน้อื ความเหลาน้ัน. พระพุทธวจนะนี้ คอื ศลี กถา ธดุ งคธรรม กรรมฐานทั้งหมดความพิสดารของฌานและสมาบตั ิ ทีป่ ระกอบดว ยวธิ ปี ฏบิ ตั ิ อภญิ ญาทัง้ หมด คาํ วนิ จิ ฉยั ทง้ั สน้ิ อันเก่ยี วดวยปญญา ขันธ ธาตุ อายตนะอนิ ทรีย อรยิ สัจ ๔ ปจจยาการเทศนา มนี ัยอนั หมดจดละเอยี ด ซงึ่ไมพนจากแนวพระบาลี และวิปสสนาภาวนา แตเ พราะเหตทุ พี่ ระ

พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 6พทุ ธวจนะที่กลา วมาแลวทง้ั หมด ขาพเจา กลา วแลว ในวสิ ุทธิมรรคอยา งหมดจดดี ฉะนนั้ ในทีน่ ีข้ าพเจา จกั ไมวิจารณเร่อื งท้งั หมดนี้ ใหย ง่ิข้ึนไป เพราะปกรณพ ิเศษ ชอื่ วาวสิ ทุ ธิมรรคนี้ ทข่ี า พเจารจนาไวแลว นัน้ ดํารงอยทู ามกลางแหงนิกายทง้ั ๔ จักประกาศขอความตามท่ไี ดก ลาวไวใ นนิกายทั้ง ๔ นั้น ฉะนน้ั ขอสาธุชนท้ังหลาย จงถือเอาปกรณวเิ ศษชื่อวิสุทธิมรรคน้นั พรอมดว ยอรรถกถานี้ แลวจกั ทราบขอความตามทีอ่ างองิ คัมภีรองั คตุ ตรนิกายแล.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 7 อรรถกถารูปาทิวรรคท่ี ๑ อรรถกถาสูตรที่ ๑ ในคมั ภรี เหลานัน้ คัมภรี  ชือ่ วา องั คตุ ตรนิกาย มี ๑๑ นิบาต คอืเอกนบิ าต ทกุ นิบาต ติกนิบาต จตกุ กนบิ าต ปญ จกนบิ าต ฉกั กนิบาตสตั ตกนบิ าต อฎั ฐกนบิ าต นวกนบิ าต ทสกนบิ าต เอกาทสกนบิ าต วาโดยสูตร องั คุตตรนกิ าย มี ๙,๕๕๗ สตู ร บรรดานบิ าตแหงอังคตุ ตรนิกายนนั้ เอกนิบาต เปน นิบาตตน บรรดาสตู ร จิตต-ปรยิ ายสูตร เปน สูตรตน คํานทิ านแมแหงสตู รนัน้ มีวา เอวมฺเม สตุ เปนตน ทา นพระอานนทกลา วไว ในกาลมหาสังคีติครั้งแรกเปนตนมหาสังคตี คิ รง้ั แรกนีน้ น้ั กลาวไวพิสดารแลวในเบื้องตนแหงอรรถกถาทฆี นกิ าย ช่ือวา สุมงั คลวิลาสินี เพราะฉะนนั้ มหาสังคีติ คร้งั แรกนน้ัพึงทราบโดยพสิ ดารในอรรถกถาทีฆนกิ ายนน้ั นัน่ แล. กบ็ ทวา เอว ในคํานทิ านวจนะวา เอวมเฺ ม สุต เปนตน เปน บทนิบาต บทวา เม เปนบทนาม บทวา วิ ในบทวา สาวตถฺ ิย วหิ รติ นี้เปน บทอุปสรรค. บทวา หรติ เปน บทอาขยาต. พึงทราบการจําแนกบทโดยนัยนี้กอน. แตเ มอื่ วา โดยอรรถ กอ อนื่ เอว ศัพทม อี รรถหลายประเภทอาทิเชน อุปมา เปรียบเทียบ. อุปเทส แนะนํา, สมั ปหังสนะ ยกยอ ง,ครหณะ ตเิ ตนี น, วจนสัมปฏิคคหณะ รับคํา, อาการะ อาการ,นิทสั สนะ ตวั อยา ง, และอวธารณะ กันความอ่นื , จรงิ อยา งนน้ั เอว

พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 8ศัพทน ั้น มาในอปุ มาเปรียบเทียบ ในคําเปนตน อยางนวี้ า เอว ชาเตนมจเฺ จน กตตฺ พพฺ  กุสล พหุ สตั วผเู กดิ มาแลว ควรทาํ กุศลใหมากฉนั นน้ั .มาใน อุปเทสะ แนะ นาํ ในคาํ เปน ตน วา เอวนฺเต อภกิ กฺ มติ พฺพ เอวปฏิกฺกมิตพฺพ ทา นพึงกา วไปอยางน้ี พึงถอยกลบั อยางนี้. มาในสัมปหงั สนะ ยกยอง ในคาํ เปนตน วา เอวเมต ภควา เอวเมต สุคตขา แตพ ระผมู ีพระภาคเจา ขอนัน้ เปนอยางน้นั ขา แตพระสคุ ตขอนนั้ เปนอยางนัน้ . มาในครหณะ ตเิ ตยี น ในคําเปนตนอยางน้ี เอวเมว ปนายวสลี ยสมฺ ึ วา ตสฺมึ วา ตสสฺ มุณฺฑกสฺส วณณฺ  ภาสติ (ก็หญิงถอ ยน้ียอมกลาวคณุ ของสมณะโลน ไมว าในทีไ่ ร ๆ อยา งนท้ี เี ดยี ว.) มาในวจนสมั ปฏิคคหณะ รับคํา ในคาํ เปนตนวา เอว ภนฺเตติ โข เต ภิกฺขู ภควโตปจจฺ สฺโสสุ ภกิ ษเุ หลา นั้นรับพระดาํ รสั ของพระผูมพี ระภาคเจา วาอยา งนนั้ พระพทุ ธเจา ขา. มาในอาการะอาการ ในคําเปน ตนวา เอว พฺยา โข อห ภนเฺ ตภควตา ธมฺม เทสิต อาชานามิ ทา นขอรับกระผมรทู ่ังถงึ ธรรมท่พี ระผูมีพระภาคเจา แสดงแลวดวยอาการอยา งน้.ี มาใน นิทัสสนะ ตัวอยาง ในคาํ เปนตน วา เอทิ ตฺว มาณวกฯ เป ฯ เอวจฺ วเทหิ สาธุ กิร ภว อานนฺโท เยน สภุ สฺส มาณวสฺสโตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสน เตนุปสงกฺ มตุ อนุกมปฺ  อุปาทาย มาเถิดมาณพ ทา นจงเขา ไปหาพระสมณะอานนท ถึงท่อี ยู ครัน้ แลว จงถามความมีอาพาธนอย ความมีโรคนอ ย ความคลอ งแคลว กาํ ลังวังชา การอยูผาสุก กะพระสมณะอานนท ตามคําของเราวา สภุ มาณพ โตเทยยบตุ ร

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 9ถามถงึ ความมอี าพาธนอ ย ความมีโรคนอ ย ความคลอ งแคลว กําลังวังชาการอยผู าสกุ กท็ า นพระอานนท และจงกลาวอยา งนวี้ า ดลี ะ ขอทา นพระอานนท โปรดอาศยั ความกรณุ า เขาไปยังนิเวสน ของสุภมาณพโตเทยยบตุ ร เถดิ . มาในอวธารณะ กันความอืน่ ในคําเปน ตนวา ต กึ มฺ ถกาลามา ฯเปฯ เอว โน เอตถฺ โหติ ดูกอ นชาวกาลามะทง้ั หลายทานสาํ คัญความขอ นน้ั เปน ไฉน ธรรมเหลา นเ้ี ปนกศุ ล หรืออกศุ ล ? เปน อกุศล พระเจาขา มีโทษ หรอื ไมมโี ทษ ? มโี ทษพระเจาขา วญิ ูชนติเตยี น หรอื สรรเสริญ ? วญิ ูชนติเตียนพระเจา ขา. บคุ คลสมาทานใหบริบรู ณแลว ยอ มเปนไปเพ่อื ไมเปนประโยชน เพอ่ื ทกุ ข หรอื ไมเปนไป หรอื ในขอน้ันเปนอยางไร ?พระเจาขา อนั บคุ คลสมาทานใหบรบิ ูรณแ ลว ยอมเปน ไปเพอ่ื ไมเ ปนประโยชนเพอ่ื ทกุ ข, ในขอ นพ้ี วกขาพระองคเหน็ อยา งน้ี. เอว ศพั ทน น้ี ั้นในท่นี ี้พงึ เห็นวาใชใ นอรรถวา อาการะ นทิ สั สนะและ อวธารณะ บรรดาอรรถ ๓ อยา งน้ัน ดวยเอว ศพั ท มอี าการะเปน อรรถพระเถระแสดงถึงอรรถนว้ี า พระดาํ รัสของพระผมู ีพระภาคเจาละเอยี ดดว ยนยั ตา ง ๆ มีอัธยาศัยเปนอันมากเปน สมุฎฐาน สมบรู ณดวยอรรถและพยญั ชนะ มีปาฏิหาริยตาง ๆ ลึกโดยธรรม, อรรถ,เทศนา, และปฏิเวธ มาปรากฏทางโสตทวารแหง สรรพสัตว ตาม

พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 10สมควรแกภาษาของตน ๆ ใครเลา จะสามารถทราบไดโดยอาการทงั้ ปวง แตขาพเจา ทําความอยากฟงใหเ กิดขนึ้ แลว ดวยเรี่ยวแรงทกุ อยา ง ไดฟ ง มาแลว ดวยอาการอยางนี้ คอื ขา พเจาเองไดฟง มาแลวดวยอาการอยางหนึ่ง ดว ย เอว ศัพท มีนทิ ัสสนะเปน อรรถ พระเถระเมอ่ื จะเปลือ้ งตนวา ขาพเจา ไมใชพระสยมั ภู พระสูตรนี้ ขาพเจา มิไดท าํ ใหแจงจงึ แสดงสูตรท้ังสิน้ ทจี่ ะควรกลา วในบดั น้วี า เอวมเฺ ม สตุ  แปลวาแมขาพเจากไ็ ดสดบั แลว อยางนี้. ดว ยเอว ศัพท อันมีอวธารณะ เปน อรรถ พระเถระเม่อื จะแสดงกาํ ลังแหงความทรงจําของตน อนั สมควรแกความเปน ผมู ีพระผูมีพระภาคเจา สรรเสริญแลวอยา งนีว้ า ภิกษทุ ั้งหลาย บรรดาภกิ ษสุ าวกผพู หูสตู ของเรา อานนทเ ปน เลศิ บรรดาภิกษสุ าวก ของเรา ผูมีสติ ผมู ีคติ ผมู ธี ติ ิ ผอู ุปฏฐาก อานนทเปน เลิศ และเปน ผทู พ่ี ระธรรมเสนาบดีสารีบตุ รสรรเสริญวา ทา นอานนท เปนผฉู ลาดในอรรถฉลาดในธรรม ฉลาดในพยญั ชนะ ฉลาดในนิรกุ ติ ฉลาดในอนุสนธิเบือ้ งตน และเบ้อื งปลาย จงึ ยงั ความเปน ผูใครเ พ่อื จะฟงของสัตวท ัง้ หลายใหเ กิดวาเราไดฟ งมาแลว อยางนี้ กส็ ูตรนั้นแล ไมขาดไมเกิน โดยอรรถหรือโดยพยญั ชนะ พึงเหน็ อยางน้แี หละ ไมพ ึงเหน็ โดยประการอืน่ . เม ศัพท ปรากฏในอรรถ ๓ อยา ง จริงอยา งนนั้ เม คัพทนนั้มอี รรถวา มยา (อนั เรา) ในคาํ เปน ตนวา คาถาภคิ ีต เม อโภชนียโภชนะที่ไดมาเพราะขบั คํารอยกรอง อนั เราไมค วรบรโิ ภค. เม ศพั ท

พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 11มอี รรถวา มยหฺ  (แกเรา) ในคําเปน ตนวา สาธุ เม ภนเฺ ต ภควาสงขฺ ติ ฺเตน ธมฺม เทเสตุ ขาแตพ ระองคผ ูเ จรญิ สาธุ ! ขอพระผมู ีพระภาคเจา โปรดทรงแสดงธรรมโดยยอ แกขา พระองคเ ถิด. เม ศัพทมีอรรถวา มม (ของเรา) ในคําเปน ตนวา ธมฺมทายาทา เม ภกิ ฺขเว ภวถภกิ ษุทงั้ หลาย พวกเธอจงเปนธรรมทายาท ของเรา. แตใ นท่ีน้ี ใชในอรรถทงั้ ๒ คอื มยา สตุ  อนั ขาพเจาฟง มาแลว และวา มม สุตการฟงของขาพเจา . ศัพทว า สุต ในบทวา สตุ  นี้ ทง้ั ท่ีมีอุปสรรค และทง้ั ทไ่ี มมอี ุปสรรคมปี ระเภทแหงอรรถเปนอันมาก เชน คมนะ ไป, วิสุตะ ปรากฏ,กิลนิ นะ ชมุ , อุปจติ ะ สาํ รวม, อนุยตุ ฺตะ ขวนขวาย, โสตวญิ เญยยะเสยี งทีร่ ูดว ยโสต, และโสตทวารานสุ สารวิญญา รทู างโสตทวารเปนตน จริงอยางนัน้ สุต ศพั ทน้นั มีอรรถวา ไป ในคําเปนตนวาเสนาย ปสโุ ต ไปในกองทพั . เม่อื อรรถวา เปนธรรมปรากฏแลวในคําเปน ตนวา สุตฺธมมฺ สฺส ปสสฺ โต ผูมธี รรมปรากฏแลว เห็นอย.ูอรรถวา ภกิ ษุณผี ูช มุ ดวยราคะตอบรุ ุษผูช ุมดว ยราคะในคําเปน ตนวาอวสสฺ ุตา อวสฺสตุ สฺส ภกิ ษณุ ผี กู ําหนัดดวยราคะ ตอบุรุษผูก าํ หนัดดว ยราคะ อรรถวา สง่ั สม ในคาํ เปน ตนวา ตมุ ฺเหหิ ปุฺ  ปสตุ  อนปปฺ กทานสั่งสมบญุ ไวมใิ ชนอย. อรรถวา ขวนขวายในฌาน ในคําเปน ตนวาเย ฌานปสตุ า ธีรา นักปราชญเหลา ใด ผขู วนขวายในฌาน อรรถวาเสียงที่รดู ว ยโสต ในคาํ เปน ตนวา ทิฏ  สุต มตุ  รปู ทีเ่ ห็น เสยี งทไ่ี ดย ิน

พระสุตตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 12อารมณท รี่ ,ู อรรถวา ทรงความรตู ามกระแสโสตทวาร ในคําเปน ตนวาสุตธโร สุตสนฺนจิ ฺจโย ผูทรงความรูสง่ั สมความร.ู แตใ นทนี่ ี้ สุต ศัพท มีอรรถวา อุปธารติ  ทรงไวทางโสตทวาร หรอื วา อุปธารณ ความทรงจํา.จรงิ อยู เม่ือ เม ศพั ท มอี รรถวา มยา ความวา ขา พเจา ไดฟ ง มาแลวอยา งนี้ คือ เขา ไปทรงจํา ตามกระแสแหง โสตทวารก็ถกู . เมือ่ มีอรรถวา มม ความวา การฟง ของขาพเจาอยา งน้ี คอื การทรงจาํ ตามกระแสแหง โสตทวาร กถ็ ูก. บรรดาบททั้ง ๓ น้นั ดังวามาน้ี บทวา เอว เปน บทแสดงกิจคอื หนาท่ีของวิญญาณ มีโสตวญิ ญาณเปน ตน บทวา เม เปน บทแสดงบคุ คลที่พรง่ั พรอมดว ยวญิ ญาณดงั กลาวแลว บทวา สตุ  เปนบทแสดงถงึ การถือเอา ไมขาด ไมเ กิน ไมว ปิ ริต เพราะปฏิเสธภาวะทไ่ี มไ ดย นิ อน่ึง บทวา เอว เปนบทประกาศวา วญิ ญาณ-วิถี ท่ีเปน ไปแลวตามกระแสแหงโสตทวารนัน้ เปนไปในอารมณโดยประการตาง ๆ. บทวา เม เปนบทประกาศตน. บทวา สุต เปนบทประกาศธรรม. ก็ในที่นี้ มีความสงั เขปดังนว้ี า ขา พเจา ไมกระทํากจิ อยา งอนื่ แตกจิ นขี้ าพเจาทําแลว ธรรมน้ี ขา พเจา ฟงมาแลว โดยวญิ ญาณวถิ ี ท่ีเปน ไปในอารมณ โดยประการตาง ๆ. อน่ึง บทวา เอว เปน บทประกาศอรรถทจ่ี ะพงึ ชแี้ จง. บทวาเม เปน บทประกาศบุคคล. บทวา สตุ  เปนบทประกาศกิจของบุคคล.ทานอธิบายไวว า ขาพเจา ชีแ้ จงพระสตู รใด พระสตู รน้นั ขาพเจาฟงมาแลว อยางน้.ี

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 13 อน่งึ ศัพทว า เอว แสดงอาการตา ง ๆ ของจติ สันดาน ทีถ่ อืเอาอรรถและพยญั ชนะตาง ๆ เพราะจิตสนั ดานเปนไปตาง ๆ กันจรงิ อยู ศพั ทว า เอว น้ี แสดงถึงบญั ญตั ิ คือ การรูโ ดยอาการ. ศพั ทวาเม แสดงถงึ ผูทาํ . ศัพทว า สุต แสดงอารมณ. ดว ยคาํ เพียงเทาน้ีการตกลงโดยยึดเอาผทู าํ อารมณ ของทานผพู ร่งั พรอมดว ยจติ สันดานนน้ั เปน อนั กระทาํ แลวดวยจิตสนั ดาน อันเปน ไปโดยประการตา ง ๆ. อกี อยางหน่ึง เอว ศัพท แสดงกจิ ของบคุ คล สตุ  ศพั ท แสดงกิจของวญิ ญาณ เม ศพั ท แสดงบคุ คลผูป ระกอบกจิ ทัง้ ๒ ก็ในทีน่ ้ีมีความสงั เขปดงั นี้วา ขา พเจาเปน บุคคลผพู รัง่ พรอ มดว ยวิญญาณซึ่งมีกิจคอื การฟง ไดฟงมาแลว โดยโวหารวา กจิ คือการฟงทไ่ี ดมาเนอ่ื งดวยวญิ ญาณ. บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา เอว และบทวา เม เปนอวิชชมาน-บญั ญัติ บัญญัติส่ิงท่ไี มม อี ยู ดว ยสามารถแหงสัจฉกิ ัฎฐ และปรมัตถ จรงิ อยใู นท่ีนี้ คาํ ทจ่ี ะพงึ ไดน เิ ทศวา เอว หรือวา เม เมอื่ วาโดยปรมัตถ จะมอี ยดู ว ยหรอื บทวา สตุ  เปน วิชชมานบัญญัติ บัญญตั ิสิ่งทม่ี อี ยู คือ ในท่นี สี้ ่ิงท่ไี ดมาดวยโสตวญิ ญาณน้นั มอี ยโู ดยปรมตั ถ.บทวา เอว และวา เม เปน ปาทายบัญญัตเิ พราะอาศัยสง่ิ ท่ีไดม าดวยโสตะนน้ั ๆ กลา วโดยประการนนั้ . บทวา สตุ  เปนอุปนธิ ายบัญญัติ(บัญญตั ิในการตั้งไว) เพราะเก็บเอาส่ิงท่ีเหน็ แลว เปน ตน มากลา วอนงึ่ บรรดาคําทงั้ ๒ นน้ั ดวยคําวา เอว ทา นพระอานนทแ สดงถึงความไมหลง จริงอยู ผูห ลง ยอมไมสามารถจะเขา ใจไดโ ดยประการตา ง ๆ.

พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 14ดว ยคําวา สตุ  ทา นพระอานนทแสดงความไมล ืมขอที่ฟงแลว. จรงิ อยูผูใดฟงแลวแตล ืมเสีย ตอมาผนู น้ั ก็รบั รองไมไดวา ขา พเจาฟงมาแลวดงั นนั้ พระอานนทนั้น ชอ่ื วา สาํ เร็จดวยปญญา เพราะความไมหลงช่อื วาสําเร็จดว ยสติ เพราะความไมล ืม บรรดาปญญา และสตินนั้ความท่ีสติซึ่งมีปญ ญาเปนตัวนํา สามารถจะทรงจําพยญั ชนะไดความท่ปี ญญาซง่ึ มสี ตเิ ปนตวั นาํ สามารถเขาใจอรรถได ชอ่ื วาสําเร็จดว ยความเปนธรรมภัณฑาคาริก เพราะสามารถอนรุ กั ษคลังธรรม ซ่งึ สมบูรณดว ยอรรถและพยัญชนะ เพราะประกอบดวยความสามารถทัง้ ๒ อยา งน้นั . อกี นัยหน่งึ ก็ดวยคาํ วา เอว ทานพระอานนทแสดงความใสใจโดยแยบคาย เพราะเมือ่ ใสใจโดยไมแยบคาย กไ็ มเขาใจโดยประการตาง ๆ ได กด็ วยคําวา สตุ  ทานพระอานนทแสดงถงึความไมฟ ุงซา น แมเ ขาจะพดู โดยถูกตองทกุ อยาง ก็กลา ววาขา พเจาไมไดย ิน ทานจงกลาวอีก ก็ดว ยการใสใจโดยแยบคายในขอน้ี ยอมใหส ําเร็จอัตตสมั มาปณิธิ ความตง้ั ตนไวชอบ และปพุ เพกตปญุ ญตา ความเปนผมู ีบญุ อันไดทาํ ไวในปางกอ น เพราะผูทไี่ มต ัง้ ตนไวช อบ และไมกระทําบญุ ไวใ นปางกอน ก็เปนอยางอืน่ คอื ไมมโี ยนโิ สมนสิการ ดวยความไมฟุงซา น กใ็ หส าํ เรจ็สัทธัมมัสสวนะ การฟง พระสัทธรรม และสปั ปุรสิ ูปสังสยะ การเขาไปคบหาสัตบรุ ุษ. เพราะผทู ่มี ีจิตฟุงซา นไมอ าจฟง และเมื่อไมเ ขาไปหาสัตบรุ ษุ การฟงก็ไมม ีแล.

พระสุตตันตปฎก องั คตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 15 อกี นยั หนงึ่ เพราะเหตทุ ก่ี ลา วมาแลววา ศพั ทวา เอว แสดงอาการตาง ๆ ของจติ สนั ดาน ท่ีถอื เอาอรรถและพยัญชนะตา ง ๆ เพราะจิตตสันดานเปนไปตา ง ๆ กนั และจติ ตสนั ดานน้นั ก็คอื อาการอนั งามอยา งนี้ ยอ มไมมีแกผูไมต ัง้ ตนไวชอบ หรอื แกผ ูไมกระทําบุญไวใ นปางกอ น ฉะนั้น ดวยคําวา เอว น้ีทา นพระอานนทแสดงสมบัติ คือจักรธรรม ๒ ขอหลังของตนดวยอาการอันงาม แสดงสมบตั ิ คอืจักรธรรม ๒ ขอแรกโดยประกอบการฟง ดวยบทวา สตุ  . เพราะผอู ยูในประเทศอันไมส มควร และผูเ วน จากการเขาไปคบหาสัตบุรษุการฟง กไ็ มมี ดงั น้นั ทา นพระอานนทน ้นั จงึ สําเร็จอาสยสุทธิความหมดจดแหง อาสยะ เพราะความสาํ เร็จแหงจักรธรรม ๒ ขอ หลงัสําเรจ็ ปโยคสทุ ธิ ความหมดจดแหง การประกอบ เพราะความสําเร็จแหง จักรธรรม ๒ ขอขางตน และทานพระอานนท สาํ เรจ็ ความเช่ียวชาญในอาคม (นกิ ายทั้ง ๕ ) กเ็ พราะอาสยสทุ ธิ ความหมดจดแหง อาสยะน้นั . สําเรจ็ ความเช่ียวชาญในอธคิ ม (มรรคผล) ก็เพราะปโยคสทุ ธิ ความหมดจดแหง ประโยค ดังน้นั คาํ ของพระอานนท ผูหมดจดดวยประโยค การประกอบและ อาสยะอธั ยาศัย ผูถึงพรอมดวยอาคมและอธิคม จงึ ควรจะเปนเบอื้ งตน (ตัวนาํ ) แหงพระดํารัสของพระผมู ีพระภาคเจา เหมือนอรณุ ขึ้นเปน เบ้อื งตน ของอาทติ ยอ ทุ ัยและเหมอื นโยนิโสมนสกิ าร เปนเบ้อื งตนแหงกศุ ลกรรมฉะน้นั เพราะฉะน้นั ทานพระอานนทเมอ่ื ตั้งนทิ านวจนะ คาํ เร่ิมตนในฐานท่คี วรจึงกลา วคาํ เปน ตนวา เอวมฺเม สุต ดังน้ี. อีกนยั หน่ึง ทา นพระอานนทแสดงสภาวะแหงสมบตั ิ คอื

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 16อรรถปฎิสัมภิทาและปฎิภาณปฎิสัมภทิ าของตน ดวยคาํ อันแสดงถึงความรแู จงดว ยประการตาง ๆ ดวยคําวา เอว น.้ี แสดงสภาวะแหงสมบัตคิ อื ธรรมปฏสิ มั ภทิ า และนิรตุ ติสัมภทิ า ดว ยคาํ อันแสดงความถงึ ความรแู จง ประเภทแหงธรรมทค่ี วรฟงดว ยคาํ วา สตุ  น้.ีพระเถระเม่อื กลา วถึงคาํ อนั แสดงโยนิโสมนสกิ ารนวี้ า เอว ยอมแสดงวา ธรรมเหลาน้ี เราเพง พินจิ แลวดว ยใจ ขบคิดดแี ลวดวยทฏิ ฐิ พระเถระเมอ่ื กลา วถงึ คาํ อนั แสดงการประกอบเนือง ๆ ซง่ึ การฟงนี้วาสุต ยอ มแสดงวา ธรรมเปน อันมาก เราฟงแลว ทรงจาํ แลว คลองปากแลว แมดวยคําทง้ั ๒ นัน้ พระเถระเม่ือแสดงความบรบิ รู ณ แหง อรรถและพยญั ชนะ จึงทําใหเกิดความเออื้ เฟอ ในการฟง . จริงอยู บคุ คลเมือ่ ไมฟงธรรมท่ีบริบูรณด ว ยอรรถและพยัญชนะ ดวยความเอื้อเฟอยอ มเหนิ หา งจากประโยชนเ กือ้ กูลเปน อนั มาก เพราะฉะนนั้ ควรทาํ ความเอ้อื เฟอ ใหเกิดแลว ฟงธรรมโดยความเคารพเถดิ . อน่งึ ดว ยคําทัง้ สิ้นวา เอวมเฺ ม สุต นี้ ทานพระอานนท เม่อื ไมตัง้ธรรมท่ตี ถาคตประกาศแลว ไวกับตน ชื่อวา กา วลวงภูมิอสตั บรุ ุษเม่ือปฎิญญาความเปน พระสาวก ช่อื วาหย่ังลงสูภูมิสตั บุรุษ. อนึง่ทําจิตใหอ อกจากอสทั ธรรม ชื่อวา ต้ังจิตไวใ นสทั ธรรม. เมือ่ แสดงวาอา งองิ พระดํารสั ของพระชินเจา ชือ่ วา ดํารงธรรมเนตตไิ ว (เนตติคือ ชกั นาํ สตั วในประโยชนโลกน้ี ประโยชนโ ลกหนา และปรมตั ถ-ประโยชน ตามควร) อกี นัยหนึง่ ทา นพระอานนทเม่ือไมปฏญิ าณวาธรรมนัน้ ตนทาํใหเกดิ ขนึ้ จึงไขคําเบื้องตนวา เอวมเฺ ม สุต กําจดั ความไมมีศรทั ธา

พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 17ทําสัทธาสมบัติใหเ กดิ ข้ึนในธรรมน้ี แกเ ทวดาและมนุษยท กุ เหลาวาพระดํารัสนเี้ รารบั แลว ในทเี่ ฉพาะพระพักตร ของพระผูมพี ระภาคเจาพระองคนน้ั ผแู กลว กลาดวยเวสารัชชญาณ ๔ ผูทรงไวซ่งึ พลญาณผูดํารงอยูในฐานะอันประเสริฐ. ผบู นั ลือสีหนาท ผสู งู สดุ กวา สัตวท้ังปวง ผูเ ปน ใหญในธรรม ผูเปนพระธรรมราชา เปน ธรรมาธบิ ดี ผูมีธรรมเปน ปทีป ผมู ีธรรมเปน ที่พึง ผูหมุนลอคอื พระสทั ธรรมอันประเสริฐ ผตู รสั รเู องโดยชอบ จึงไมควรทําความสงสยั หรอื ความเคลอื บแคลงในอรรถ ธรรม บท หรือพยญั ชนะ ในคํานี้ เพราะเหตุนน้ัทา นจึงกลา วคํานีไ้ ววา วนิ าสยติ อสสฺ ทธฺ  สทฺธ วฑเฺ ฒติ สาสเน เอวมฺเม สตุ มิจฺเจว วท โคตมสาวโก สาวกของพระโคดม เมอ่ื กลาวอยางนี้วา เอวมฺเม สตุ  ช่อื วา ทาํ ความไมม ีศรัทธาใหพนิ าศ ทาํ ศรัทธาในพระศาสนาใหเจรญิ ศพั ทวา เอก แสดงการกาํ หนดจํานวน ศัพทว า สมยแสดงกาลทกี่ ําหนดไวแ ลว คาํ วา เอก สมย เปนคาํ แสดงเวลาไมแนนอน สมยศพั ท ในคําวา เอก สมย นน้ั ใชในสมวายะพรอมเพรียง ๑ ขณะ ๑ กาล ๑ สมุหะ ชุมนมุ ๑ เหตุ ๑ ทิฏฐิความเหน็ ๑ ปฏลิ าภะ การไดเ ฉพาะ ๑ ปหานะ การละ ๑ ปฏเิ วธการแทงตลอด ๑.

พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 18 จรงิ อยางน้ัน สมย ศพั ท มอี รรถวา สมวายะ พรอมเพรียงในคํามอี าทอิ ยางน้วี า อปเฺ ปว นาม เสวฺ ป อุปสงฺกเมยยฺ าม กาลจฺสมยจฺ อปุ าทาย ถากระไร แมพ รงุ น้ี เราทั้งหลาย พงึ อาศัยกาละและความพรอ มเพรียงกันเขา ไป. มอี รรถวา ขณะ ในคํามอี าทิอยางนีว้ า เอโก จ โข ภกิ ขฺ เวขโณ จ สมโย จ พฺรหมฺ จรยิ วาสาย ภิกษทุ ัง้ หลาย ขณะ และสมัยหนง่ึมเี พอ่ื อยปู ระพฤตพิ รหมจรรยแ ล. มอี รรถวา กาล ในคํามอี าทิอยา งนีว้ า อณุ หฺ สมโย ปรฬิ าหสมโยคราวรอน คราวกระวนกระวาย. มอี รรถวา สมุหะ ประชุม ในคาํ มีอาทิอยางน้ี มหาสมโยปวนสฺมึ ประชมุ ใหญใ นปา ใหญ. มอี รรถวา เหตุ ในคาํ มอี าทอิ ยางนว้ี าสมโย ป โข เต ฯ เป ฯ อปฺปฏวิ ิทโฺ ธ อโหสิ แมเหตุแล ไดเปน เหตุท่ีเธอไมร แู จงวา แมพ ระผูม พี ระภาคเจา แล เสด็จอยูใ นกรุงสาวตั ถี.แมพ ระองคจกั ทรงทราบเราวา ภิกษชุ ่ือภัททาลิ มใิ ชผูม ปี กตทิ ําใหบรบิ รู ณ ดวยสิกขาในศาสนาของพระศาสดา ดกู อ นภทั ทาลิ เหตุแมน แ้ี ลไดเ ปนเหตุท่เี ธอไมร ูแจง แลว. มอี รรถวา ลทั ธิ ในคาํ มอี าทอิ ยา งนี้วา เตน โข ปน สมเยนฯ เป ฯ สมยปฺปวาทเก ตณิ ฺฑุกาจเิ ร เอกสาลเก มลลฺ ิกาย อาราเมปฏวิ สติ กส็ มยั นนั้ แล ปรพิ าชก ชอ่ื อคุ คาหมานะ บุตรของสมณมุณฑิกา อาศัยอยใู นอารามของพระนางมลั ลิกา มศี าลาหลังเดียวมีตนมะพลบั เรยี งราย อนั เปนที่สอนลทั ธิ.

พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 19 มอี รรถวาไดเฉพาะ ในคํามีอาทิอยา งนี้วา ทิฏเ  ธมฺเม จ โย อตฺโถ โย จตฺโถ สม-ฺ ปรายโิ ก อตฺถาภสิ มายา ธีโร ปณฑฺ โิ ตติ ปวุจฺจติ ผูมปี ญ ญาเปน เคร่ืองทรงจํา เราเรยี กวา บณั ฑติ เพราะการไดเฉพาะซึ่งประโยชนทั้งภพนแ้ี ละ ภพหนา . มอี รรถวา ปหานะ ละ ในคํามอี าทิอยางนว้ี า สมมฺ ามานาภิสมยาอนตฺ มกาสิ ทุกขฺ สสฺ ภิกนฺ ้ีไดก ระทําที่สุดทกุ ข เพราะละมานะโดยชอบ. มีอรรถวา ปฏิเวธ แทงตลอด ในคํามอี าทอิ ยา งนวี้ า ทกุ ฺขสฺสปฬนฏโ  ฯลฯ วิปริณามฏโ อภิสมยฏโ  ทุกข มอี รรถวา บบี คนั้ปรุงแตง เรา รอ น แปรปรวน แทงตลอด. แตในทนี่ ี้ สมยศัพทน ัน้ มีอรรถวา กาล. ดว ยคาํ น้นั พระเถระแสดงวา สมยั หนึ่ง ในบรรดาสมยั ทั้งหลายอนั เปนประเภทแหงกาล เปน ตนวา ป ฤดู เดอื น กึ่งเดือน กลางคนืกลางวัน เชา เที่ยง เยน็ ปฐมยาม มัชฌมิ ยาม ปจ ฉิมยาม และครู. ในคาํ วา เอก สมย นน้ั บรรดาสมัย มปี เปนตนเหลานนั้ พระ-สตู รใด ๆ พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสไวในป ฤดู เดอื น ปก ษ สวนแหงราตรี สว นแหง วันไร ๆ ทงั้ หมดนน้ั พระเถระรูด ีแลว กําหนดดแี ลว

พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 20ดวยปญ ญาแมโ ดยแท ถงึ อยา งน้ัน เม่อื พระเถระกลาวไวอ ยางนี้วาขา พเจาไดสดับมาแลว อยางน้วี า ในปโนน ฤดโู นน เดือนโนน ปกษโนน กาลอนั เปนสวนแหงราตรีโนน สว นแหง วนั โนน ใคร ๆ กไ็ มสามารถจะทรงจําไดห รือแสดงได หรือใหผ ูอ่นื แสดงไดโ ดยงายและเปน เรือ่ งทีต่ องกลาวมาก ฉะนั้นทา นจึงประมวลเนือ้ ความน้นัไวด ว ยบทเดยี วเทาน้ัน แลว กลาววา เอก สมย ดงั น้ี. อีกอยา งหนงึ่ ทา นพระอานนทยอ มแสดงวา สมัยของพระผูมีพระภาคเจา เปนประเภทของกาลมิใชนอ ยทีเ่ ดียว ท่ีปรากฏมากมายในหมเู ทวดาและมนษุ ยทง้ั หลาย มอี าทิอยา งน้ี คือ สมยั เสด็จกาวลงสพู ระครรภ สมยั ประสูติ สมัยทรงสลดพระทยั สมัยเสดจ็ ออกผนวชสมยั ทรงบําเพ็ญทุกกรกริ ิยา สมยั ทรงชนะมาร สมัยตรัสรู สมยัประทับเปนสุขในทฏิ ฐธรรม สมยั ตรสั เทศนา สมยั เสดจ็ ปรนิ พิ พานเหลา นใี้ ด ในบรรดาสมยั เหลา นั้น สมยั หนงึ่ คือสมัยตรัสเทศนา อนง่ึ ในบรรดาสมัยแหง ญาณกิจ และกรณุ ากิจ สมยั แหงกรุณากิจนีใ้ ด ในบรรดาสมัยทรงบําเพ็ญประโยชนพระองคแ ละทรงบําเพ็ญประโยชนผ อู ่นื สมัยทรงบําเพญ็ ประโยชนอื่นน้ีใดในบรรดาสมยั แหงกรณยี ะทง้ั หลายแกผ ูประชมุ กัน สมัยตรสั ธรรมี-กถานใี้ ด ในบรรดาสมัยแหงเทศนาและปฏิบัติ สมยั แหง เทศนานีใ้ ดทา นพระอานนทกลา ววา สมัยหนง่ึ ดังนี้ หมายถึงสมยั ใดสมัยหนงึ่ในบรรดาสมยั ทง้ั หลายแมเ หลานั้น. ถามวา ก็เหตุไร ในพระสูตรนท้ี า นจงึ ทาํ นเิ ทศดว ยทุตยิ า-วิภตั ตวิ า เอก สมย ไมก ารทําเหมือนอยางในพระอภธิ รรม ซ่ึง

พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 21ทานไดท าํ นเิ ทศดวยสตั ตมีวิภตั ตวิ า ยสฺมึ สมเย กามาวจร และในสตุ บทอ่นื ๆ จากพระอภิธรรมน้ี ก็ทานเิ ทศดวยสตั ตมวี ิภัตติวายสฺมึ สมเย ภกิ ฺขเว ภกิ ฺขุ ววิ จิ ฺเจว กาเมทิ สว นในพระวนิ ยั ทา นทํานิเทศดว ยตติยาวภิ ตั ตวิ า เตน สมเยน พทุ ฺโธ ภควา ? ตอบวา เพราะในพระอภธิ รรมและพระวนิ ัยนัน้ มีอรรถเปนอยา งนั้น สวนในพระสูตรน้มี อี รรถเปนอยา งอ่นื .. จริงอยู บรรดาปฎกทง้ั ๓ น้นั ในพระอภิธรรมและในสุตตบทอืน่ จากพระอภิธรรมนี้ยอมสําเร็จอรรถแหง อธกิ รณะและอรรถแหงการกําหนดภาวะดว ยภาวะ. กอ็ ธกิ รณะ. คอื สมัยทีม่ กี าลเปนอรรถและมปี ระชุมเปน อรรถและภาวะแหง ธรรมมผี ัสสะเปน ตน ทานกาํ หนดดว ยภาวะแหง สมยักลา วคือขณะความพรอมเพรียงและเหตุแหง ธรรมมผี สั สะเปนตนที่ตรสั ไวในพระอภิธรรมและสตุ ตบทอนื่ นน้ั ๆ เพราะฉะนัน้ เพ่ือสองอรรถนัน้ ทา นจงึ ทา นิเทศดว ยสัตตมวี ภิ ตั ติในพระอภิธรรมและในสตุ ตบทอืน่ นน้ั . สว นในพระวินัย ยอ มสาํ เรจ็ อรรถแหงเหตแุ ลอรรถแหง กรณะ. จรงิ อยู สมยั แหงการทรงบัญญตั สิ กิ ขาบทน้นั ใด แมพระสาวกมีพระสารีบุตรเปน ตน ก็ยังรยู าก โดยสมัยนน้ั อนั เปนเหตุและเปน กรณะ พระผมู พี ระภาคเจา เม่ือทรงบญั ญัตสิ กิ ขาบททงั้ หลายและทรงพิจารณาถึงเหตแุ หงการทรงบัญญตั สิ ิกขาบท ไดป ระทับอยูในทีน่ ้ัน ๆ เพราะฉะนน้ั เพือ่ สอ งความขอนน้ั ทานจงึ ทาํ นเิ ทศดวยตตยิ าวภิ ตั ตใิ นพระวินยั นน้ั . สวนในพระสูตรนแ้ี ละพระสูตรอืน่ที่มีกาํ เนดิ อยา งนี้ ยอ มสําเรจ็ อรรถแหง อัจจนั ตะสังโยคะ จรงิ อยูพระผูม ีพระภาคเจา ทรงแสดงพระสูตรนี้ หรอื พระสตู รอ่นื ตลอด

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 22สมัยใด เสด็จประทับอยดู ว ยธรรมเปน เคร่อื งอยคู อื กรุณา ตลอดสมัยนนั้ ทีเดียว. เพราะฉะน้นั เพื่อสอ งความขอน้ัน ทานจึงทํานเิ ทศดวยทุตยิ าวภิ ตั ตใิ นพระสูตรน้.ี เพราะเหตุน้นั ทานจงึ กลา วคาถาประพนั ธไ วด ังนีว้ า ทา นพจิ ารณาอรรถนั้น ๆ กลา วสมยศัพท ในปฎ กอ่นื ดวยสตั ตมีวภิ ตั ติและตตยิ าวิภตั ติ แต ในพระสตุ ตันตปฎกน้ี กลาวสมยศพั ทน นั้ ดว ย ทตุ ิยาวิภตั ต.ิ ก็พระโบราณาจารยท ้งั หลายพรรณนาไวว า นต้ี างกันแตเ พยี งโวหารวา ตสมฺ ึ สมเย บาง เตน สมเยน บา ง ต สมย บา ง ในที่ทกุ แหง มอี รรถเปน สตั ตมวี ิภัติทัง้ นน้ั เพราะฉะนัน้ แมท า นกลาววาเอก สมย ก็พงึ ทราบเนือ้ ความวา เอกสฺมึ สมเย (ในสมัยหนึ่ง) บทวา ภควา เปน คาํ กลา วดว ยความเคารพ. จรงิ อยู คนทงั้ หลายเรียกครใู นโลกวา ภควา. กพ็ ระผมู พี ระภาคเจา นี้ เปน ครูของสตั วทง้ั ปวง เพราะเปน ประเสรฐิ พเิ ศษโดยคุณทงั้ ปวง เพราะฉะนน้ัพึงทราบพระองควา ภควา. แมพ ระโบราณาจารยท ง้ั หลายก็กลาวไววา คําวา ภควา เปนคําประเสรฐิ คาํ วา ภควา เปน คําสูงสุด พระผูม ีพระภาคเจา น้นั ผูควรแก ความเคารพโดยฐานครู เพราะเหตุนน้ั บณั ฑติ จึงขนานพระนามวา ภควา.

พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 23 อกี อยา งหนงึ่ บัณฑติ พงึ ทราบความแหงบทน้นั โดยพิสดารดวยอํานาจแหงคาถาน้วี า พระผูมพี ระภาคเจา ทรงเปน ผมู โี ชค ทรง หกั กิเลส ทรงประกอบดวยภคธรรม ทรงจําแนก แจกธรรม ทรงนา คบ และทรงคายกเิ ลสเปน เคร่ืองไปในภพทั้งหลายเสียได เพราะเหตุนน้ั ทรงพระนามวา ภควา เนือ้ ความน้ัน กลา วไวแ ลว โดยพสิ ดารในพุทธานุสสตินิเทศในคัมภรี วสิ ทุ ธิมรรคนนั้ แล. กด็ วยคํามีประมาณเทา นี้ พระเถระเมอ่ื แสดงธรรมตามทีฟ่ ง มาจงึ กระทําพระสรรี ะคือพระธรรม ของพระผมู พี ระภาคเจาใหป ระจกั ษดว ยคาํ วา เอวมฺเม สตุ  ในสูตรนี.้ ดวยคาํ นั้น พระเถระชือ่ วา ปลอบโยนคนผูรันทด เพราะไมไ ดเหน็ พระศาสดาวา ปาพจน (ธรรม และวินัย)นี้ ชื่อวา มศี าสดาลวงไปแลวหามไิ ด พระธรรมวนิ ยั น้ี เปน ศาสดาของทานท้งั หลาย. ดวยคาํ วา เอก สมย ภควา พระเถระ เมื่อจะแสดงวาพระผมู ีพระภาคเจา ไมมอี ยใู นสมยั นัน้ ชอ่ื วายกการปรินิพพาน ทางรปู กายใหเห็น ดวยคาํ น้นั พระเถระจึงทาํ ผูม ัวเมา เพราะความเมาในชวี ิตใหเกดิ ความสงั เวช และทําใหคนน้ันเกิดความอุตสาหะ ในพระ-สทั ธรรมวา พระผมู พี ระภาคเจา นน้ั ผทู รงไวซ ึง่ ทศพลญาณ มีพระวรกายเสมอดว ยรางเพชร ผูทรงแสดงอรยิ ธรรม ชอื่ อยา งน้ี ยงั ปริ-

พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 24นพิ พาน คนอนื่ ใครเลาจะพงึ ใหเกิดความหวังในชีวิต และพระเถระเม่อืกลา ววา เอว ชื่อวา ชเ้ี ทศนาสมบัติ (สมบตั ิคอื การแสดง). กลาววาเม สตุ  ชอื่ วาช้ถี งึ สาวกสมบตั ิ (สมบตั ิของสาวก). กลาววา เอก สมยช่ือวาช้ีถงึ กาลสมบัติ (สมบตั คิ ือเวลา) กลา ววา ภควา ชอ่ื วาช้ีถงึเทสกสมบัติ (สมบตั คิ ือผแู สดง). บทวา สาวตฺถิย ไดแ ก ใกลนครช่อื อยา งน.ี้ กค็ าํ วา สาวตถฺ ิยุน้ี เปน สัตตมวี ิภตั ิ ใชใ นอรรถวา ใกล. บทวา วหิ รติ น้ี เปน บทแสดงความพรง่ั พรอมแหงการอยูอยา งใดอยา งหนึง่ ในบรรดาอิริยาบถ-วหิ าร ทพิ วหิ าร พรหมวิหาร และอรยิ วิหาร โดยไมแปลกกัน. แตในทนี่ ้แี สดงการประกอบพรอมดว ยอริ ยิ าบถอยางใดอยางหน่ึง บรรดาอิรยิ าบถ ตา งโดย ยืน เดิน นงั่ ละนอน ดว ยบทวา วิหรติ นน้ั พระผูมีพระภาคเจา ประทับยนื กด็ ี เดินก็ดี นัง่ ก็ดี บรรทมกด็ ี บณั ฑิตพงึ ทราบวา ประทับอยูทงั้ นั้น. จริงอยู พระผูมีพระภาคเจา น้ัน ทรงตัดขาดความลําบากแหงอิรยิ าบถหนง่ึ ดวยอริ ิยาบถหนึ่ง ทรงนําไปคือทําอตั ภาพใหเปน ไป ไมใหท รดุ โทรม เพราะเหตุน้ัน ทา นพระอานนทจึงกลาววา วิหรติ (ประทับอย)ู . บทวา เชตวเน ไดแ ก ในสวนของพระราชกุมาร พระนามวาเชต สวนนั้น พระราชกมุ ารพระนามวา เชต น้ัน ไดป ลกู ตน ไมใ หเจริญงอกงาม รกั ษาไวอ ยางดี และพระองคไ ดเ ปน เจา ของสวนน้ันเพราะฉะนัน้ สวนน้ัน จงึ นับวา เชตวัน.ในพระเชตวันน้ัน.

พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 25 บทวา อนาถปณ ฑฺ ิกสสฺ อาราเม ความวา อารามอนั นับวาของทานอนาถบณิ ฑกิ ะ เพราะเปนอารามท่คี ฤหบดนี ามวา อนาถ-บิณฑิกะ มอบถวายแดภกิ ษุสงฆม ีพระพทุ ธเจาเปน ประธาน โดยบรจิ าคทรพั ยเ ปน เงนิ ๕๔ โกฏิ กใ็ นทน่ี ้ี ความสังเขปมีเพียงเทาน้.ี สวนความพสิ ดาร กลา วไวแลว ในอรรถกถาสพั พาสวสูตรอรรถกถามัชฌมิ นิกาย ชือ่ ปปญจสทู นี ในขอ นนั้ หากมีคําถามสอดเขามาวา ถาพระผูม พี ระภาคเจา ประทับอยทู ีก่ รุงสาวัตถีกอน.พระเถระกไ็ มควรกลาววา พระวิหารชื่อวา เชตวัน ถา พระองคประทบั อยูใ นพระเชตวันนน้ั ก็ไมค วรกลาววา ใกลกรงุ สาวตั ถี.ความจริง ใคร ๆ ไมอ าจจะอยูไ ดใ นที่ ๒ แหง พรอ มคราวเดียวกนัแกว า ขอ นน้ั ไมพ ึงเห็นอยางนน้ั ขา พเจาท้งั หลาย ไดกลา วไวแ ลวมใิ ชห รือวา คําวา สาวตฺถยิ  เปน สตั ตมีวิภัติ ใชในอรรถวา ใกลเพราะฉะนั้น แมใ นทน่ี ี้ พระผมู พี ระภาคเจา ประทับอยใู นพระวิหารชอ่ื วาเชตวนั ทอ่ี ยูใ กลกรงุ สาวตั ถี ทานพระอานนทก ลา ววา ประทบัอยูใ นพระวหิ ารชื่อวา เชตวัน ใกลก รุงสาวัตถี เหมอื นฝูงโคเทย่ี วหากนิ ใกลแ มน ้าํ คงคา และแมน าํ้ ยมุนา เปน ตน เขาก็เรยี กวา เทย่ี วหากนิ ใกลแ มนํ้าคงคา ใกลแมน้ํายมุนา ฉะนน้ั . จริงอยู การกลา วถึงกรุงสาวตั ถี ของทา นพระอานนทน ้นั กเ็ พ่อื แสดงโคจรคาม การกลาวถึงสถานทท่ี ่เี หลือ กเ็ พือ่ แสดงสถานที่เปนท่อี าศัย อนั สมควรแกบรรพชติ ในคําเหลา น้ัน ดว ยคําวา สาวตฺถยิ  ทา นพระอานนท แสดงการทพ่ี ระผูมีพระภาคเจา ทรงกระทาํ การอนเุ คราะหแ กคฤหัสถ.แสดงการกระทําอนุเคราะหแ กบ รรพชติ ดว ยการระบุถึงพระเชตวัน

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 26อน่ึงพระเถระแสดงการเวนอตั ตกิลมถานโุ ยค เพราะการรับปจจยัดว ยคาํ ตน แสดงอบุ ายเปน เคร่อื งเวน กามสขุ ัลลกิ านุโยค เพราะวตั ถุกาม ดวยคาํ หลงั . อนึ่ง แสดงการประกอบพระธรรมเทศนา ดว ยคาํ ตน แสดงการนอ มไปเพอื่ วเิ วก ดว ยคําหลงั . แสดงการมีพระกรณุ าดว ยคาํ ตน แสดงการมพี ระปญญา ดว ยคําหลัง แสดงวา ทรงนอ มไปในอันใหส ําเร็จหติ สขุ แกเหลาสตั ว ดว ยคาํ ตน แสดงวา ไมทรงตดิในการทาํ หติ สุขแกผ ูอน่ื ดว ยคาํ หลัง แสดงการท่ีทรงอยูผาสุก ดวยการสละสขุ ที่ชอบธรรมเปน นมิ ิต ดว ยคาํ ตน แสดงการทรงประกอบเนือง ๆ ซึ่งธรรมอนั ย่ิงของมนุษยเ ปนนิมิต ดว ยคําหลัง แสดงการทีท่ รงเปนผมู ีอุปการะมากแกม นุษยท้งั หลาย ดวยคาํ ตน เสดงการทีท่ รงเปนผมู ีอุปการะมากแกเ ทวดาทงั้ หลาย ดว ยคาํ หลัง แสดงการท่ีเสดจ็ อบุ ตั ิขึน้ ในโลกแลวเจริญพรอ มในโลก ดวยคําตน แสดงการที่ไมท รงเขา ไปติดในโลก ดว ยคําหลัง. แสดงทรงทําประโยชนท ่ีเสดจ็ อุบัตใิ หส ําเรจ็ เรียบรอย ดว ยคําตน โดยพระบาลวี า \"ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย บุคคลเอก เม่อื อุบตั ิขน้ึ ในโลก ยอมอุบัติข้ึนเพ่อื เก้ือกูลแกช นมาก เพื่อความสขุ แกช นมาก เพือ่ อนุเคราะหสตั วโลก เพอื่ประโยชนเก้อื กลู เพอ่ื ความสุขแกเทวดาและมนษุ ยท้ังหลาย บุคคลเอกคอื บุคคลชนดิ ไหน คอื พระตถาคตอรหันตสมั มาสมั พุทธเจา\".แสดงการทที่ รงอยสู มควรแกส ถานท่เี ปนทอ่ี บุ ตั ิ ดว ยคําหลงั . จรงิ อยูพระผมู พี ระภาคเจาเสดจ็ อุบัติในปา ทง้ั นัน้ ดวยอบุ ตั ิท้ังทเ่ี ปนโลกิยะและโลกุตตระ คือ ครงั้ แรก ทล่ี ุมพนิ ีวัน ครัง้ ที่ ๒ ท่ีโพธิ-มณั ฑสถาน เพราะเหตุนนั้ พระเถระจงึ แสดงทปี่ ระทบั อยูของพระองค

พระสตุ ตันตปฎก องั คุตรนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 27ในปา ทง้ั นนั้ . ในสตู รนี้ พงึ ทราบการประกอบความโดยนยั ดงั กลา วมาแลว เปนตน ฉะน.้ี บทวา ตตฺร แสดงเทสะ และกาละ. กบ็ ทวา ตตรฺ นั้น พระเถระแสดงวา ในสมัยท่พี ระผูมพี ระภาคเจาประทบั อยู และในอารามที่ประทับอยู หรอื แสดงเทสะ และกาละ อันควรจะกลาวถงึ . จรงิ อยูพระผมู ี-พระภาคเจาไมต รัสธรรมในประเทศหรือในกาลอนั ไมส มควร๑. ก็คาํ วา\"ดูกอ นพาหิยะ น้เี ปนกาลไมสมควรกอ น\" เปน ขอ สาธกในเร่อื งน.้ีศพั ทวา โข เปนอวธารณะ ใชใ นอรรถเพยี งทําบทใหเต็มหรอื เปนนิบาต ใชในอรรถวา กาลเบื้องตน. บทวา ภควา แสดงความท่ที รงเปนครูของโลก. บทวา ภิกฺขุ เปนคําแสดงถงึ บคุ คลควรฟง พระดาํ รัส. อีกอยางหน่ึง ในบทวา ภิกษุ น้ีพงึ ทราบอรรถแหงคํามีอาทิวา ช่อื วาภิกษุ เพราะเปน ผขู อ หรือชอ่ื วา ภกิ ษุ เพราะเขาถึงการเทยี่ วขอ. บทวา อามนฺเตสิ แปลวา เรียก คอื กลา ว ไดแก ปลกุ ใหต ่นื . ในบทวาอามนเฺ ตสิ นี้มีใจความดงั น.้ี แตใ นท่อี ืน่ ใชใ นอรรถวา ใหร ูก็ม.ี เหมือนอยางตรสั ไวว า ภิกษทุ ง้ั หลาย เราขอบอกเธอท้งั หลายใหท ราบ ขอเตอื นเธอทัง้ หลาย. ใชในอรรถวา เรยี ก กม็ ี เหมอื นอยางทีต่ รสั ไววามาน่ีแนะ ภกิ ษุ เธอจงเรียกสารีบุตรมา ตามคําของเรา.๑. ปาฐะวา อยุตฺตเทเส วา ธมมฺ  ภาสติ พมา เปน อยตุ เฺ ต เทเสวา กาเลวา ธมมฺ  ภาสต.ิ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 28 บทวา ภกิ ขฺ โว แสดงอาการเรยี ก. กบ็ ทนน้ั ตรัสเพราะสาํ เรจ็ดวยการประกอบดว ยคุณ คือความเปน ผูข อโดยปกต.ิ ผูรสู ทั ทศาสตรยอ มสําคัญวา ก็ภกิ ษุผปู ระกอบดว ยคณุ คอื ความเปน ผขู อเปน ปกติกม็ ี ประกอบดวยคณุ คอื ความเปนผูข อเปน ธรรมดากม็ ี ประกอบดว ยคุณคือความเปน ผมู ปี กตกิ ารทําดีในการขอกม็ ี. พระผมู พี ระภาคเจา จะทรงประกาศความประพฤติที่ชนเลวและชนดเี สพแลว จงึ ทรงทําการขม ความเปนคนยากไรท่ียกขน้ึ ดวยพระดาํ รสั น้นั ทส่ี ําเร็จดว ยการประกอบดว ยคณุ มีความเปนผขู อเปนปกติเปน ตน ของภกิ ษุเหลา น้นัพระผูม พี ระภาคเจา ทรงการทาํ ภิกษุเหลาน้นั ใหหนั หนาตรงพระพักตรข องพระองค ดวยพระดํารัสท่ที รงทอดพระนยั นาลง ดว ยพระหฤทัยท่แี ชม ช่ืน แผไปดว ยพระกรุณาเปนเบือ้ งหนาวา ภิกขฺ โวน้ี ทรงทําใหภ ิกษเุ หลา นน้ั เกิดความอยากจะฟง ดว ยพระดํารัสอนัแสดงพทุ ธประสงคจ ะตรสั นั้นนน่ั แหละ. และทรงชกั ชวนภิกษเุ หลาน้ันไว แมในการใสใจฟงดวยดี ดว ยพระดํารัสนน้ั อันมีอรรถวา ปลุกใหต่นื นนั้ นั่นเอง. จรงิ อยู พระศาสนาจะสมบรู ณได ก็เพราะการใสใ จในการฟง ดวยด.ี หากมีคําถามวา เม่ือเทวดาและมนุษยแ มเหลาอน่ื ก็มอี ยูเพราะเหตุไร พระผมู พี ระภาคเจา จึงตรสั เรียกเฉพาะภิกษุเหลา น้ัน.แกวา เพราะภิกษุเหลาน้นั เปน ผูเจริญทีส่ ุด ประเสรฐิ ทส่ี ุด อยูใ กลช ดิและเปนผอู ยปู ระจาํ . จริงอยู พระธรรมเทศนาของพระผูม ีพระภาคเจายอ มทัว่ ไปแกค นท้งั ปวง. แตภ กิ ษุท้งั หลาย ชือ่ วาเปน ผเู จริญท่ีสุดของบริษัท ก็เพราะเปนผูเ กดิ กอน. และช่อื วา เปนผูป ระเสรฐิ ทส่ี ดุ

พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 29กเ็ พราะเปนผูดําเนินตามพระจรรยาของพระศาสดา ต้ังตน แตเปนผูไมค รองเรอื น และเพราะเปนผูรับพระศาสนาทงั้ สิน้ ชอื่ วาเปน ผูใกลช ิด เพราะเมือ่ เธอน่งั ในทน่ี น้ั ๆ กใ็ กลพระศาสดาทงั้ นั้น ชื่อวาอยูประจาํ กเ็ พราะขลุกงวนอยแู ตใ นสํานักพระศาสดา. อีกอยางหนึง่ภิกษุเหลานนั้ ชื่อวา เปน ภาชนะรองรบั พระธรรมเทศนา เพราะเกดิดว ยการปฏิบตั ิตามทที่ รงพรา่ํ สอน แมเ พราะเหตุนัน้ พระองคจ ึงตรสัเรียกภกิ ษเุ หลา น้นั ดว ยประการฉะนี้. ถามวา ก็เพ่อื ประโยชนอะไร พระผมู ีพระภาคเจา เมื่อทรงแสดงธรรม จงึ ตรัสเรยี กภิกษเุ สยี กอน ไมทรงแสดงธรรมเลยทเี ดียว.แกว า เพอื่ ใหเกิดสติ. ความจริง ภิกษทุ ้งั หลาย คิดเร่อื งอืน่ อยูกม็ ี มจี ิตฟุงซา นกม็ ี พจิ ารณาธรรมอยกู ม็ ี น่ังมนสิการกรรมฐานอยูก็มีภิกษเุ หลา นนั้ เมอื่ ไมตรัสเรียกใหร ู (ตัว) ทรงแสดงธรรมไปเลยกไ็ มสามารถจะกาํ หนดไดวา เทศนาน้ี มอี ะไรเปน เหตุ มอี ะไรเปนปจ จัย พระองคท รงแสดง เพราะอตั ถุปปตติ (เหตุเกิดเรือ่ ง) อยา งไหน ?จะพงึ รบั เอาไดย าก หรอื ไมพึงรับเอาเลย. เพ่ือใหภ กิ ษุเหลา นนั้ เกิดสติดว ยพระดาํ รสั น้ัน พระผูมีพระภาคเจา จงึ ตรัสเรียกเสยี กอน แลว จงึทรงแสดงธรรมภายหลงั . บทวา ภทนฺเต นี้ เปน คาํ แสดงความเคารพ หรือเปน การถวายคาํ ตอบ (คอื ขานรับ) แดพ ระศาสดา. อกี อยา งหนึง่ ในท่นี ี้ พระผมู ีพระภาคเจา เมือ่ ตรสั วา ภกิ ขฺ โว ช่ือวา เรยี กภิกษุเหลานั้น. ภิกษุทงั้ หลายเม่อื ทูลวา ภทนเฺ ต ช่อื วา ขานรบั พระผูม ีพระภาคเจาในภายหลงั . อนงึ่ พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั เรียกวา ภกิ ฺขโว. ภิกษุ

พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 30ทั้งหลาย กราบทูลในภายหลงั วา ภทนเฺ ต. พระผูมพี ระภาคเจา รับสง่ัใหภิกษตุ อบ พระดํารสั ทีว่ า ภิกฺขโว. ภิกษุถวายคาํ ตอบวา ภทนเฺ ต. บทวา เต ภกิ ขฺ ู ไดแก เหลา ภิกษุทพ่ี ระผมู พี ระภาคเจาตรสัเรียก. บทวา ภควโต ปจฺจสโฺ สสุ ความวา ภิกษุทัง้ หลายไดฟง เฉพาะพระดาํ รสั ตรัสเรยี กของพระผูมีพระภาคเจา . อธิบายวา หันหนามาฟงคือรบั ไดแ ก ประคองรับ. บทวา ภควา เอตทโวจ ความวา พระผูมีพระภาคเจา ไดต รัสคาํ น้ัน คอื พระสูตรท้ังสิน้ ท่ีจะพงึ กลาวในบดั น.้ี กด็ วยคาํ เพยี งเทา นี้ คําเรม่ิ ตน อันใด อันประกอบดว ยกาล, ผแู สดง, เทสะ, บรษิ ัท และประเทศ ทา นพระอานนทกลา วแลวเพื่อกําหนดเอาพระสูตรนไี้ ดโ ดยสะดวก. การพรรณนาเนอื้ ความแหงคาํ เรมิ ตนนน้ั จบบริบรู ณแลว แล. บัดนี้มาถึงโอกาสพรรณนาพระสตู ร ที่พระผมู พี ระภาคเจาทรงตั้งไว โดยนยั เปน ตนวา นาห ภกิ ขฺ เว อฺ  เอวร สมนปุ สฺสามิดงั น้แี ลว. กก็ ารพรรณนาความน้นี น้ั เพราะเหตุท่ีกําลงั กลา ววิจารณเหตุตั้งแหง พระสตู รปรากฏอยู ฉะนั้น บัณฑิตพงึ ทราบการวิจารณเหตตุ ง้ั แหง พระสตู รกอน. จริงอยู เหตตุ ้งั แหงพระสตู ร มี ๔ อยาง คอื เกิดเพราะอัธยาศยั ของตน ๑ เกดิ เพราะอธั ยาศัยของผูอ่นื ๑ เกิดดว ยอํานาจคําถาม ๑ เกิดเพราะเหตเุ กิดเรอื่ ง ๑. ในเหตุทง้ั ๔ อยางนนั้ พระสตู รเหลาใด พระผมู พี ระภาคเจาอนั ผูอืน่ มไิ ดอ าราธนา ตรสั โดยพระ

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 31อธั ยาศัยของพระองคอ ยา งเดยี ว เชน อากังเขยยสูตร, วตั ถสตู ร เปนตนสูตรเหลา นน้ั ช่ือวา มีเหตตุ งั้ เกิดจากอธั ยาศัยของพระองค. อน่งึ สตู รเหลาใดทีพ่ ระองคท รงสาํ รวจดู อัธยาศยั ความชอบใจใจ บญุ เกา และความตรัสรู แลว ตรัสโดยอัธยาศัยของผอู ื่นอยางนีว้ าธรรมเปนเครอ่ื งบมวมิ ตุ ติของพระราหุล แกกลา แลว ถา กระไร เราพงึแนะนาํ ในธรรมเปนทส่ี ้นิ อาสวะยิ่ง ๆ ข้ึนไปแกพ ระราหลุ เชน ราหโุ ล-วาทสตู ร ธรรมจกั กัปปวัตตนสูตรเปน ตน สตู รเหลานั้น ชอ่ื วา มีเหตุตั้งเกดิ จากอัธยาศัยของผูอ่ืน. กเ็ ทวดาและมนษุ ยเหลาน้ัน เขาไปเฝาพระผมู ีพระภาคเจาแลวถามปญ หา โดยประการตาง ๆ พระผูม ีพระภาคเจา ถูกเทวดาและมนุษยเ หลา นน้ั ทลู ถามแลว ตรัสสูตรใด มีเทวตาสงั ยตุ และโพชฌังคสงั ยุต เปน ตน . สูตรเหลา นนั้ ชอ่ื วา มีเหตตุ ั้งเกิดโดยอํานาจคาํ ถาม. อนงึ่ สูตรเหลา ใด พระผูมีพระภาคเจาตรัสเพราะอาศยั เหตุเกดิขึน้ เชน ธมั มทายาทสตู ร และปุตตมงั สปู มสูตรเปน ตน สูตรเหลานั้นช่อื วา มเี หตุตั้งโดยเหตเุ กิดเรือ่ งขึ้น. ในเหตตุ ้ังสตู รทั้ง ๔ นี้ สูตรนี้ชื่อวา มเี หตุตั้งเกดิ จากอัธยาศยัของผอู ืน่ อยางน.ี้ จรงิ อยู สูตรนีต้ ัง้ ขึ้นดวยอํานาจอัธยาศยั ของผอู ื่น.ถามวา ดว ยอธั ยาศยั ของคนพวกไหน ? แกว า ของบรุ ษุ ผหู นักในรปู . ในบทเหลานนั้ น อักษร ในคําวา นาห ภกิ ฺขเว เปนตน มีปฏิเสธเปน อรรถ. ดวยบทวา อห แสดงอางถงึ พระองค. พระผูมี

พระสุตตันตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 32พระภาคเจา ตรัสเรียกภิกษเุ หลา นั้นวา ภิกฺขเว. บทวา อฺ ความวาซึ่งรูปอืน่ จากรปู หญิงทพี่ ึงกลา วในบัดนี.้ บทวา เอกรปู ป ป แปลวารูปแมอยา งหนง่ึ . บทวา สมนุปสฺสามิ ความวา สมนุปส สนา ๒ อยา งคือญาณสมนปุ สสนา ๑ ทฏิ ฐิสมนุปส สนา ๑. ในสองอยา งน้ันอนุปส สนาวา ภกิ ษเุ หน็ โดยเปนของไมเที่ยง ไมใชเ หน็ โดยเปนของเทีย่ ง นชี้ ื่อวา ญาณสมนปุ ส สนา. สวนอนุปสสนามีอาทิวา ภิกษุพิจารณาเหน็ รูปโดยเปนอัตตา ชอ่ื วา ทฏิ ฐิสมนปุ ส สนา. ในสองอยา งน้นั ในทีน่ ี้ ทานประสงคเอาญาณสมนปุ สสนา. พึงทราบการเชื่อมบทนีด้ วย น อกั ษร. ทานกลาวอธิบายไวดงั นวี้ า ภิกษุท้ังหลายเราแมเ มื่อตรวจดู ดว ยสัพพัญุตญาณ ก็มองไมเ ห็น แมร ูปอืน่ สักอยางหนงึ่ . บทวา ย เอว ปรุ สิ สฺส จติ ฺต ปรยิ าทาย ตฏิ ติ ความวา รปู ใดเกาะกุมทํากุศลจิตอันเปน ไปในภูมิ ๔ ของบรุ ุษผหู นักในรูปใหส ิ้นไปตัง้ อย.ู จริงอยู การยดึ ถือ ชอ่ื วา การยดึ มนั่ ไดใ นคําวายึดมัน่ กายหญิงทั้งหมด เปน ตน . ชือ่ วา ใหส นิ้ ไป ไดใ นคาํ มีอาทิวาภกิ ษุทง้ั หลาย อนิจจสญั ญา อนั ภิกษอุ บรมแลว ทาํ ใหมากแลว ทาํกามราคะทัง้ ปวงใหส ิน้ ไป. ใน๑ทนี่ ้ี กถ็ กู ทงั้ สองอยา ง. ในการยดึ ถอื และการใหส น้ิ ไปทัง้ สองอยา งน้ัน รปู นีเ้ ม่อื ถือเอากศุ ลจติ อนั เปนไปในภูมิ ๔๑. ปาฐะวา อิธ อิท รปู  จตภุ มู ิก กุสลจติ ฺต ภณฺหนฺต นลี ปุ ฺปลกลาป ปุรโิ ส วยิ หตเฺ ถนคณหฺ าติ นาม ฯ เขปยมาน อคคฺ ิ วิย อ ทฺธเน อุทก สนฺตาเปตวฺ า เขเปติ ฯ พมา เปน ตตฺถอทิ  รูปจตภุ ูมถกสุ ลจติ ตฺ  คณหฺ นฺต น นีลปุ ฺปลกลาป ปรุ ิโสวิย หตฺเถ คณหฺ าติ, นาป เขปยามานอคฺคิ วิย อทุ ธเน อทุ ก สนฺตาเปตฺวา เขเปต.ิ (แปลตามพมา )

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 33ชื่อวาถอื เอา เหมอื นบุรุษเอามือถือกาํ อุบลบัวขาบ กห็ ามิได เมื่อทําใหสิ้นไป ช่อื วาทาํ ใหสิ้นไป เหมอื นไฟท่ีทํานา้ํ บนเตาไฟ ใหร อ นแลวใหสิน้ ไป ก็หามไิ ด อนงึ่ ๑รปู ท่ีหามการเกดิ ขึน้ แหง กุศลจิตนั้น นน่ั แหละพงึ ทราบวา ช่ือวายดึ และทาํ กศุ ลจิตอันแมท ่ีเปนไปในภูมิ ๔ ใหส ิ้นไป.ดวยเหตุนั้นจึงตรสั วา ปรุ สิ สฺส จติ ตฺ  ปรยิ าทาย ติฏติ (ยึดจติ ของบุรุษตั้งอยู) บทวา ยถยทิ  ตดั เปน ยถา อิท . บทวา อติ กฺ รี ูป แปลวา รปูของหญิง. ในคาํ วา รูป นั้น พงึ ทราบอรรถแหงคาํ และสามัญลกั ษณะแหงรปู ตามแนวแหง สูตรวา ภิกษทุ ้ังหลาย พวกเธอกลา วรปู อะไร ?ภิกษทุ ัง้ หลาย ธรรมชาตใิ ดยอมแตกสลาย เพราะเหตุนั้นธรรมชาตนิ ้นัจงึ เรียกวา รปู . รปู ยอมแตกสลายไปเพราะเหตอุ ะไร ? ยอ มแตกสลายไปเพราะเยน็ บาง ยอมแตกสลายไปเพราะรอ นบาง. ก็ศพั ทวา รูป นี้ ยอมไดในอรรถหลายอยา ง เชน ขันธ, ภพ,นิมิต, ปจจยั , สรรี ะ, วัณณะ, สณั ฐาน เปน ตน. จรงิ อยู ศพั ทว ารูปนี้ใชใ นอรรถวา ไปขันธ ในประโยคนวี้ า รูปขนั ธอยางใดอยางหนง่ึ ท่ีเปนอดตี อนาคต และปจจบุ ัน. ใชใ นอรรถวารปู ภพ ในประโยคน้วี า เจริญมรรคเพอื่ อุปบัตใิ นรปู ภพ. ใชในอรรถวา กสณิ นมิ ิต ในประโยคนว้ี ากาํ หนดอรปู ภายใน เห็นรูปกสณิ ภายนอก. ใชใ นอรรถวา ปจจัย ในประโยคนี้วา อกุศลธรรมอันลามกท้งั ที่มีรปู และไมม รี ปู ยอ มเกิดขนึ้ .๑. ปาฐะวา อุปปฺ ตตฺ ิฺจสสฺ นวิ ารยิ มานเมว จตุภูมิก กสุ ลจิตฺต คณหฺ าติ เจว เขเปติ จเวทิตพพฺ  ฯ พมา เปน อปุ ฺปตฺติ ฺจสสฺ นวิ ารยมานเมว จตภุ มู กมฺป กสุ ลจติ ฺต คณฺหาติ เจวเขเปฺติ จาติ เวทตพฺพ . (แปลตามพมา )

พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย เอกนบิ าต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 34ใชใ นอรรถวาสรรี ะ ในประโยคนวี้ า อากาศทลี่ อมรอบตัวกเ็ รยี กวาสรรี รปู เหมอื นกนั . ใชในอรรถวาวรรณะ ในประโยคนีว้ า อาศัยจกั ษุและวรรณรูปเกดิ จกั ขุวญิ ญาณ. ใชในอรรถวา สัญฐาน ในประโยคนว้ี าผถู อประมาณในรปู สญั ฐาน เลื่อมใสในรูปสณั ฐาน. พงึ สงเคราะหรูป มีอาทิวา ปย รูป สาตรปู  อรสรูโป (รปู นา รกั รปู นา ชน่ื ใจ ผมู รี ปู ไมนายนิ ดี)ดวย อาทิ ศพั ท. แตในทน่ี ี้ รปู ศพั ทน น้ั ใชใ นอรรถวา วรรณะ กลาวคือรปู ายตนะ อนั มีสมุฏฐาน ๔ ของหญิง. อกี อยา งหนึง่ วรรณะ (ส)ีอยา งใดอยางหนึ่งทเ่ี นอ่ื งดวยกายของหญงิ ไมวา ผา ทีน่ ุง เคร่อื งประดบักลิน่ หอม และผวิ พรรณเปน ตน หรอื เครอ่ื งประดับและระเบยี บดอกไมยอมสําเร็จเปนอารมณแ หงจกั ขุวิญญาณของชาย. ท้งั หมดน้ัน พงึทราบวา เปน รปู แหงหญงิ เหมือนกนั . บทวา อติ ถฺ รี ปู  ภิกฺขเว ปรุ สิ สฺส จติ ตฺ  ปริยาทาย ติฏ ติ นี้ตรัสไว เพ่อื ทาํ คําท่ีตรัสมากอ นนนั่ แลใหห นักแนน . หรือคาํ กอนตรัสไวดว ยอําหาอปุ มาอยางนี้วา ยถยิท ภิกฺขเว อติ ถฺ ีรูป (เหมือนรปู หญงินนี้ ะ ภิกษทุ ั้งหลาย). แตคาํ นตี้ รสั ดว ยอํานาจการชภ้ี าวะแหง การยึดถือ.ในการที่รูปหญิงครอบงาํ นัน้ มีเรื่องสาธกดังตอไปน้ี :- ไดยนิ วา พระราชาทรงพระนามวา มหาทาฐกิ นาค ใหสรา งพระสถูปใหญ ท่ถี ํ้า อมั พฏั ฐะ ใกลเจตยิ คริ วี ิหาร กระทาํ คริ ภิ ณั ฑ-วาหนบูชา (บูชาดวยนาํ ของท่ีเกิด ณ ภเู ขามา) มีหมูนางสนมแวดลอ มเสดจ็ ไปยงั เจติยคิรวี หิ าร ถวายมหาทาน แกภ ิกษสุ งฆ ตามกาลอนัสมควร. ธรรมดาวา สถานท่ีชนเปนอนั มากประชุมกัน ชนทัง้ หมดไมม สี ติทจ่ี ะตั้งมั่นอยูไ ด. พระอัครมเหสีของพระราชา ทรงพระนามวา

พระสตุ ตันตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย เอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 35ทมิฬเทวี ทรงตง้ั อยูในวยั สาว นา ชม นาพิศมัย. ครง้ั น้ันพระเถระรูปหน่ึงชื่อจิตตะ ผบู วชเม่ือแก แลดโู ดยทํานองทีไ่ มสาํ รวม ยึดเอานมิ ติในรปู ารมณของพระอคั รมเหสีน้ันเปน ดังคนบา . เทยี่ วพดู ไปในท่ี ๆตนยืนและนง่ั วา เชญิ สิ แมท มฬิ เทวี เชิญสิ แมท มิฬเทวี. ต้ังแตนัน้ มาภกิ ษหุ นุมและสามเณร ตั้งช่ือไวเรียกทานวา พระอุมมตั ตกจิตตเถระ(พระจติ บา ). ตอไมน านนกั พระเทวีนน้ั ก็ทิวงคต. เม่ือภิกษสุ งฆไปเยี่ยมในปาชา แลวกลับมา ภกิ ษุหนุมและสามเณรไดไปยังสํานกั ของทานกลา วอยางน้ีวา ทานพระจติ เถระ ขอรบั ทานพรํา่ เพอถึงพระเทวีพระองคใ ด พวกผมไปเยย่ี มปา ชาของพระเทวีพระองคน ัน้กลบั มาแลว ถงึ ภิกษุหนมุ และสามเณรทั้งหลายจะพูดอยา งนั้น ทา นก็ไมเ ชอ่ื ไดแตพดู ดังคนบา วา พวกทานไปเยีย่ มใคร ๆ กไ็ ดในปา ชาหนา ของพวกทานจึงมีสเี หมือนควันไฟ. รปู แหง หญงิ นไ้ี ดครอบงําจิตของพระจติ ตเถระ ผเู ปนบาตั้งอยูดว ยประการฉะน.ี้ อีกเรื่องหนึ่ง เลา กันวา วนั หน่งึ พระมหาราชา ทรงพระนามวาสัทธาติสสะ มหี มนู างสนมแวดลอมเสด็จมายังวิหาร. ภิกษุหนงึ่ รปูหนึ่ง ยนื อยูท ีซ่ ุมประตูแหง โลหปราสาท ต้งั อยใู นความไมส ํารวมแลหญิงคนหน่ึง. ฝายหญงิ นนั้ กห็ ยดุ ดูภิกษหุ นมุ รูปนน้ั . ทง้ั สองถกู ไฟคือ ราคะ ทต่ี ้งั ขึน้ ในทรวงแผดเผาไดตายไปดวยกนั . รปู แหงหญงิ ไดค รอบงําจิตของภกิ ษหุ นมุ ต้งั อยู ดวยประการอยางนี้. อีกเร่อื งหนงึ่ เลา กันมาวา ภกิ ษหุ นุม รปู หนึ่ง จากกัลยาณยิ -มหาวิหาร ไปยงั ประตบู านกาฬทฆี วาปค าม เพ่อื แสดงพระปาติโมกข






























Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook