พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 1 พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลมที่ ๔ ภาคท่ี ๑ ขอนอบนอมแด พระผมู ีพระภาคอรหตั สมั มาสัมพทุ ธเจาพระองคนน้ั ๑. สฬายตนสังยตุ ปฐมปณณาสก อนจิ จวรรคท่ี ๑ ๑. อชั ฌัตติกอนิจจสตู ร วา ดวยความเปน อนจิ จงั แหงอายตนะภายใน [ ๑ ] ขาพเจา ไดสดับมาแลวอยางน้ี สมัยหนึ่ง พระผมู พี ระภาคเจาประทับอยู ณ พระวิหารเชตวันอารามของทานอนาถบิณฑกิ เศรษฐี กรงุ สาวัตถี ณ ท่นี ั้นแล พระผมู ี-พระภาคเจา ตรัสเรียกภิกษุท้ังหลายวา ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย ภกิ ษุเหลา น้ัน
พระสุตตันตปฎก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 2ทูลรับสนองพระผมู ีพระภาคเจาแลว พระผูมีพระภาคเจา ไดต รัสวา กอนภกิ ษุท้ังหลาย จกั ษเุ ปนของไมเ ทยี่ ง ส่งิ ใดไมเทย่ี ง สิ่งนัน้ เปนทุกข สง่ิ ใดเปนทุกข สิง่ นน้ั เปนอนตั ตา ส่งิ ใดเปนอนตั ตา สงิ่ นั้นทานทั้งหลายพึงเหน็ ดวยปญญาอนั ชอบ ตามความเปนจรงิ ดังน้วี า นั่นไมใ ชข องเราเราไมเ ปนนัน่ น่นั ไมใ ชต ัวตนของเรา. หเู ปน ของไมเ ทีย่ ง จมกู เปนของไมเ ที่ยง ลนิ้ เปนขอไมเ ท่ยี ง กายเปน ของไมเท่ียง ใจเปนของไมเ ที่ยง สิ่งใดไมเ ที่ยง สงิ่ นน้ั เปน ทุกข สิง่ ใดเปนทกุ ข สง่ิ นั้นเปน อนตั ตา ส่งิ ใดเปนอนตั ตา ส่งิ น้ันทา นทงั้ หลายพงึ เหน็ ดวยปญ ญาอนั ชอบตามความเปนจริงอยา งน้วี า นั่นไมใ ชของเรา เราไมเ ปนน่ัน นน่ั ไมใ ชตัวตนของเรา. ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย อริยสาวกผูไ ดสดบั แลว เห็นอยูอยา งนี้ ยอมเบอ่ื หนายแมใ นจักษุ ยอ มเบ่ือหนายแมใ นหู ยอ มเบ่ือหนา ยแมใ นจมกู ยอมเบ่อื หนา ยแมในล้นิ ยอ มเบ่อื หนายแมในกาย ยอ มเบอ่ื หนายแมในใจ เม่ือเบื่อหนา ยยอ มคลายกําหนัด เพราะคลายกําหนัด ยอ มหลดุ พน เมื่อหลดุ พนแลวยอ มมีญาณหยงั่ รูว า หลดุ พน แลว รชู ดั วา ชาติสิน้ แลว พรหมจรรยอยจู บแลว กิจที่ควรทาํ ทําเสรจ็ แลว กิจอืน่ เพือ่ ความเปน อยางน้ีมไิ ดม ี. จบ อัชฌตั ติกอนิจจสตู รที่ ๑
พระสุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 3สารตั ถปกาสินี อรรถกถาสังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค ปฐมปณณาสก อรรถกถาอัชฌัตติกอนิจจสตู รท่ี ๑ ในสฬายตนวรรค อชั ฌตั ตกิ อนจิ จสตู รที่ ๑ วินิจฉัยดังตอ ไปนี.้ บทวา จกขฺ ุ ไดแ กจกั ษุ ๒ คือ ญาณจกั ษุ ๑ มังสจักษุ ๑.ในจกั ษุ ๒ อยางน้นั ญาณจกั ษมุ ี ๕ อยาง คือ พุทธจกั ษุ ธรรมจกั ษุสมันตจักษุ ทิพยจกั ษุ ปญ ญาจกั ษุ. ในจักษุ ๕ ยา งนน้ั ทีช่ อ่ื วา พุทธจกั ษุไดแก อาสยานุสยญาณและอินทริยปโรปริยตั ตญาณ ซ่งึ มาในพระบาลวี าทรงตรวจดโู ลกดวยพุทธจกั ษ.ุ ที่ช่ีอธรรมจักษุ ไดแ กม รรคจติ ๓ ผลจติ ๓ซึ่งมาในพระบาลวี า วิรช วตี มล ธมฺมจกฺขุ อุทปาทิ ธรรมจกั ษุปราศจากกเิ ลสดุจธุลี ปราศจากมลทนิ เกดิ ขึน้ . ท่ีชอ่ื วา สมนั ตจกั ษุไดแ ก สพั พัญตุ ญาณ ทีม่ าในพระบาลวี า ปาสาทมารุยฺห สมนฺตจกขฺ ุสมันตจักษุขน้ึ สปู ราสาท. ทีช่ อ่ื วา ทิพยจักษุ ไดแ ก ญาณที่เกิดขนึ้ ดวยการขยายอาโลกกสณิ ท่ีมาในพระบาลีวา ทพิ ฺเพน จกขฺ นุ า วิสทุ ฺเธนดว ยทพิ ยจกั ษุอันหมดจด. ท่ชี ่ือวา ปญ ญาจกั ษุ ไดแก ญาณในการกําหนดสัจจะ ๔ ซ่ึงมาในพระบาลวี า จกขฺ ุ อุทปาทิ จกั ษุ ( ธรรมจกั ษุ )เกิดขนึ้ แลว. แมม งั สจักษุ ก็มี ๒ อยา ง คือ สัมภารจักษุ ๑ ปสาทจกั ษุ ๑.
พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 4ใน ๒ อยา งนั้น วาโดยสงั เขป ช้นิ เน้อื อนั ชน้ั ของตาลอ มไวในกระบอกตามีองคประกอบ ๑๓ อยา ง คือ ธาตุ ๔ วรรณะ คันธะ รสะ โอชาสัมภวรูป ชีวิตรูป ภาวรูป จกั ษปุ สาทรูป กายปสาทรูป. แตเมื่อวาโดยพิสดาร รูป ๙ เหลา น้ี คือ ธาตุ ๔ วรรณะ คันธะ รสะ โอชาสัมภวรูป วา ดว ยอาํ นาจสมุฏฐาน ๔ (๙ x ๔ ) เปน รูป ๓๖ รปู ทีม่ กี รรมเปน สมุฏฐาน ๔ เหลา นี้ คือ ชวี ิตรูป ๑ ภาวรูป ๑ จักษปุ สาทรูป ๑กายปสาทรปู ๑ จงึ รวมเปน สสมั ภารรูป ๔๐ นีช้ อ่ื วา สสมั ภารจกั ษุ.กใ็ นสสมั ภารจกั ษรุ ปู เหลา นี้ รูปใดที่สามารถเพื่ออันเห็นรปู ทตี่ ้งั อยูในลูกตาทีเ่ ห็นไดแ วดลอ มดว ยแววตาดําทกี่ าํ หนดไวดว ยลกู ตาขาว รูปนี้ ชอื่ วา ปสาทจักษ.ุ กถาวา โดยพสิ ดารแหงจกั ขุปสาทรปู และโสตปสาทรูปเปน ตน อ่ืนจากจักษปุ สาทรปู น้นั กลาวไวแลวในวิสุทธมิ รรคแล. ในรปู เหลา นน้ั พระผูมพี ระภาคเจา ทรงถอื เอาจกั ขปุ สาทรูป จึงตรสั วา จกฺขุ ภกิ ฺขเว อนิจฺจ ดงั น้ี เปนตน. ในพระบาลนี ัน้ กถาวาโดยพสิ ดารทานประกาศไวแลวในหนหลงั โดยนยั มีอาทวิ า จตหู ิ การเณหิอนจิ ฺจ อุทยพพฺ ยวนฺตตาย รปู ชื่อวา ไมเ ที่ยงดว ยเหตุ ๔ ประการเพราะมีอนั เกดิ ขนึ้ และเสอื่ มไปเปนธรรมดา. บทวา โสตจฺ ทานประสงคเอาเฉพาะโสตปสาทรูป. ฆานปสาทรูป ชวิ หาปสาทรูปและกายปสาทรูปกเ็ หมอื นกนั . บทวา มโน ไดแก จิตทด่ี ําเนนิ ไปในการพจิ ารณา อันเปน ไปในภมู ิ ๓. ดงั น้ันพระสตู รนี้ พระองคต รสั ไวต ามอธั ยาศัยของสตั วผูตรัสรู ในเพราะเม่ือพระองคต รัสแสดงลักษณะ ๓ ในอายตนะภายใน ๖ไวแลว. จบ อรรถกถาอัชฌัตตกิ อนิจจสูตรท่ี ๑
พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 5 ๒. อชั ฌัตติกทกุ ขสูตร วา ดวยความเปนทกุ ขแ หงอายตนะภายใน [ ๒ ] ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย จกั ษเุ ปน ทุกข สิ่งใดเปนทกุ ข ส่งิ น้ันเปน อนัตตา ส่ิงใดเปน อนัตตา สงิ่ น้นั ทานทัง้ หลายพึงเหน็ ดวยปญ ญาอันชอบตามเปน จริงอยางนีว้ า นนั่ ไมใชข องเรา เราไมเปนนั่น นั่นไมใ ชตวั ตนของเรา. หเู ปนทุกข จมูกเปน ทุกข ลิน้ เปน ทกุ ข กายเปน ทุกขใจเปน ทุกข สิ่งใดเปนทกุ ข สง่ิ นั้นเปน อนัตตา ส่งิ ใดเปน อนตั ตา ส่งิ น้นัทานท้งั หลายพึงเห็นดว ยปญญาอนั ชอบตามความเปนจริงอยา งนวี้ า นน่ั ไมใชข องเรา เราไมเ ปน นั่น นัน่ ไมใ ชต วั ตนของเรา ฯลฯ. จบ อัชฌัตตกิ ทุกขสตู รที่ ๒ อรรถกถาอชั ฌัตติกทกุ ขสูตรท่ี ๒ สตู รที่ ๒ ตรัสดว ยลักษณะสอง. จบ อรรถกถาอชั ฌตั ติกทกุ ขสตู รที่ ๒ ๓. อชั ฌตั ติกอนัตตสูตร วา ดว ยความเปน อนัตตาแหง อายตนะภายใน [ ๓ ] ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย จักษเุ ปนอนตั ตา สง่ิ ใดเปน อนัตตาสง่ิ น้นั ทานทั้งหลายพงึ เหน็ ดว ยปญญาอันชอบ ตามความเปน จรงิ อยางน้ีวานั่นไมใชข องเรา เราไมเปน นน่ั น่นั ไมใ ชต ัวตนของเรา. หูเปน อนตั ตาจมกู เปนอนตั ตา ล้นิ เปน อนตั ตา กายเปน อนตั ตา ใจเปนอนัตตา สิ่งใดเปนอนัตตา ส่งิ นัน้ ทา นทั้งหลายพึงเหน็ ดวยปญ ญาอนั ชอบตามความเปนจรงิ อยางน้ีวา นั่นไมใชข องเรา เราไมเ ปน น่ัน นั่นไมใชต ัวตนของเรา ฯลฯ. จบ อัชฌตั ติกอนัตตสูตรที่ ๓
พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 6 อรรถกถาอัชฌตั ติกอนัตตสูตรท่ี ๓ สูตรที่ ๓ ตรสั ตามอธั ยาศยั ของผตู รัสรู ในเมื่อพระองคตรสั แสตงลักษณะ ๑. สว นลักษณะท่ีเหลือพวกผจู ะตรสั รกู าํ หนดแลว หรือจกั กําหนดพระสูตรนนั้ ดวยลักษณะเพยี งเทา นีแ้ ล. จบ อรรถกถาอัชฌตั ติกอนตั ตสูตรที่ ๓ ๔. พาหริ อนิจจสตู ร วาดว ยความเปน อนจิ จงั แหงอายตนะภายนอก [ ๔ ] ดูกอนภิกษุท้ังหลาย รูปเปนของไมเ ทีย่ ง ส่งิ ใดไมเท่ียงสงิ่ น้ันเปนทกุ ข สิง่ ใดเปน ทุกข สิ่งนั้นเปน อนตั ตา สิ่งใดเปน อนตั ตาส่งิ นน้ั ทา นทั้งหลายพึงเห็นดว ยปญ ญาอนั ชอบตามความเปน จริงอยางนวี้ าน่นั ไมใ ชข องเรา เราไมเ ปนน่นั นน่ั ไมใ ชต วั ตนของเรา. เสียง กล่ินรส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ เปน ของไมเที่ยง สิ่งใดไมเทย่ี ง สงิ่ นนั้เปน ทกุ ข ส่ิงใดเปนทุกข สิง่ นนั้ เปน อนัตตา ส่งิ ใดเปน อนัตตา สงิ่ น้ันทา นทงั้ หลายพึงเห็นดวยปญญาอนั ชอบตามความเปนจรงิ อยางนวี้ า น่นั ไมใชของเรา เราไมเปน นน่ั นั่นไมใ ชต ัวตนของเรา ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลายอริยสาวกผูไดสดบั แลว เหน็ อยูอยา งนี้ ยอ มเบอ่ื หนา ยในรปู .........ยอ มทราบชดั .... จบ พาหิรอนจิ จสูตรท่ี ๔
พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 7 อรรถกถาพาหิรอนจิ จสูตรที่ ๔ ในพาหริ อนจิ จสตู รที่ ๔ มวี นิ จิ ฉยั ดงั ตอ ไปนี.้ รูป กลิ่น รส โผฏฐพั พะ มสี มฏุ ฐาน ๔ สัททรปู มสี มฏุ ฐาน ๒.บทวา ธมมฺ า ไดแกธรรมารมณอ นั เปนไปในภมู ิ ๓ บทวา ธมมฺ าแมน้ี พระองคต รสั ไวด ว ยอาํ นาจของผูจ ะตรสั รู ในเมือ่ พระองคต รัสแสดงลักษณะ ๓ ในอายตนะภายนอก ๖. จบ อรรถกถาพาหริ อนิจจสูตรท่ี ๔ ๕. พาหิรทกุ ขสูตร วา ดว ยความเปน ทกุ ขแ หง อายตนะภายนอก [ ๕ ] ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย รปู เปนทุกข ส่ิงใดเปนทุกข ส่งิ นัน้เปนอนัตตา สิ่งใดเปน อนัตตา สงิ่ นนั้ ทา นท้ังหลายพึงเห็นดว ยปญ ญาอนัชอบตามความเปน จรงิ อยางนว้ี า นัน่ ไมใ ชของเรา เราไมเ ปน นน่ั นน่ั ไมใชต ัวตนของเรา. เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ เปนทกุ ขสิ่งใดเปน ทุกข ส่ิงนั้นเปน อนัตตา สง่ิ ใดเปน อนัตตา สง่ิ นน้ั ทานทั้งหลายพึงเหน็ ดวยปญ ญาอนั ชอบตามความเปน จรงิ อยางน้ีวา นั่นไมใ ชข องเราเราไมเ ปน นั่น น่ันไมใชต วั ตนของเรา.... จบ พาหริ ทุกขสตู รที่ ๕
พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 8 ๖. พาหิรอนตั ตสูตร วา ดว ยความเปน อนัตตาแหง อายตนะภายนอก [ ๖ ] ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย รูปเปน อนตั ตา สง่ิ ใดเปน อนตั ตาส่งิ น้นั ทา นทัง้ หลายพึงเหน็ ดว ยปญ ญาอันชอบตามความเปน จรงิ อยา งนว้ี าน่นั ไมใชของเรา เราไมเปน น่ัน น่นั ไมใชต วั ตนของเรา. เสยี ง กลน่ิรส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ เปน อนตั ตา สง่ิ ใดเปนอนตั ตา สง่ิ น้นัทานทั้งหลายพงึ เหน็ ดวยปญญาอนั ชอบตามความเปน จรงิ อยา งนีว้ า นั่นไมใชข องเรา เราไมเ ปน นั่น นน่ั ไมใชตัวตนของเรา . . . . จบ พาหิรอนตั ตสูตรที่ ๖อรรถกถาพาหริ ทุกขสูตรท่ี ๕ - พาหริ อนตั ตสูตรท่ี ๖ ในสูตรที่ ๕ และสตู รที่ ๖ มีนยั เชนท่ีกลา วแลวในสตู รที่ ๒ และสตู รที่ ๓ นั่นแล. จบ อรรถกถาพาหริ ทกุ ขสูตรที่ ๕ - พาหริ อนัตตสูตรท่ี ๖ ๗. อตีตานาคตปจจปุ น นานจิ จสตู ร๑วา ดว ยความเปนอนิจจังแหง อายตนะภายในท้งั สามกาล [ ๗ ] ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย จกั ษุท่ีเปนอดตี และอนาคต เปนของไมเ ทย่ี ง จะกลาวไปไยถงึ จกั ษอุ นั เปน ปจ จบุ นั เลา อรยิ สาวกผไู ดส ดบั แลวเหน็ อยอู ยางนี้ ยอมไมม ีเยอื่ ใยในจกั ษทุ เ่ี ปนอดตี ไมเ พลิดเพลินจักษทุ ่ี๑. อรรถกถาสตู รที่ ๗ - ๑๐ แกรวมกนั ไวทายสตู รท่ี ๑๐.
พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 9เปน อนาคต ยอมปฏิบตั เิ พ่ือเบอ่ื หนา ย เพื่อคลายกาํ หนดั เพอ่ื ดับซ่งึ จกั ษุท่ีเปนปจจุบนั หู จมกู ลนิ้ กาย ใจทเ่ี ปน อดตี และอนาคต เปนของไมเ ท่ียงจะกลาวไปไยถงึ ใจทเ่ี ปน ปจ จุบนั เลา อรยิ สาวกผไู ดสดบั แลว เห็นอยูอยา งน้ี ยอมไมม ีเยอ่ื ใยในใจที่เปน อดตี ไมเพลิดเพลนิ ใจท่ีเปน อนาคตยอ มปฏบิ ัติเพือ่ หนาย เพ่ือคลายกาํ หนัด เพื่อดบั ซึง่ ใจทเ่ี ปนปจจุบนั . จบ อตตี านาคตปจจุปนนานิจจสตู รที่ ๗ ๘. อตีตานาคตปจจปุ นนทุกขสูตร วาดว ยความเปนทุกขแ หงอายตนะภายในทง้ั สามกาล [ ๘ ] ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย จักษุทเ่ี ปนอดีตและอนาคต เปน ทุกขจะกลา วไปใยถึงจกั ษุท่ีเปน ปจ จบุ ันเลา อริยสาวกผไู ดสดับแลว เหน็ อยูอยางน้ี ยอมไมมเี ยอ่ื ใยในจกั ษทุ เี่ ปนอดีต ไมเพลิดเพลินจกั ษุที่เปนอนาคตยอ มปฏบิ ัตเิ พอ่ื หนา ย เพือ่ คลายกําหนัด เพ่ือดบั ซึ่งจักษุที่เปน ปจจบุ ัน หูจมกู ลน้ิ กาย ใจ ทเี่ ปนอดีตและอนาคต เปนทุกข จะกลาวไปใยถึงใจท่เี ปนปจจบุ ันเลา อรยิ สาวกผูไ ดสดับแลว เหน็ อยอู ยา งน้ี ยอ มไมมเี ยอ่ื ใยในใจที่เปน อดตี ไมเพลดิ เพลินใจทเ่ี ปน อนาคต ยอ มปฏิบตั ิเพื่อเบ่อื หนา ยเพอ่ื คลายกําหนัด เพอื่ ดับซึ่งใจท่ีเปน ปจ จุบัน. จบ อตีตานาคตปจ จปุ น นทุกขสูตรที่ ๘
พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 10 ๙. อตีตานาคตปจจุปน นานัตตสตู รวา ดวยความเปนอนตั ตาแหงอายตนะภายในท้ังสามกาล [ ๙ ] ดูกอนภิกษุท้ังหลาย จกั ษทุ ่เี ปน อดีตและอนาคต เปนอนตั ตาจะกลาวไปใยถึงจกั ษุทเ่ี ปน ปจจบุ ันเลา อรยิ สาวกผไู ดสดับแลว เห็นอยูอยา งน้ี ยอ มไมมเี ยอื่ ใยในจกั ษทุ ่เี ปน อดีต ไมเ พลิดเพลนิ จักษทุ เี่ ปนอนาคตยอ มปฏิบตั เิ พอ่ื เมอื่ หนา ย เพือ่ คลายกําหนดั เพ่ือดบั ซ่งึ จักษุท่ีเปน ปจจุบันหู จมกู ล้นิ กาย ใจทเ่ี ปนอดีตและอนาคต เปน อนตั ตา จะกลาวไปใยถึงใจทีเ่ ปน ปจจบุ ันเลา อรยิ สาวกผไู ดส ดับแลว เหน็ อยูอ ยา งนี้ ยอมไมมีเยอ่ื ใยในใจท่ีเปนอดีต ไมเพลิดเพลินใจท่ีเปน อนาคต ยอ มปฏิบตั ิเพอื่ เบ่ือหนา ย เพื่อคลายกาํ หนัด เพือ่ ดบั ซ่ึงใจทีเ่ ปนปจจุบัน. จบ อตตี านาคตปจจปุ นนานตั ตสูตรท่ี ๙ ๑๐. พาหิรสูตรวาดวยความเปนอนิจจงั แหง อายตนะภายนอกทั้งสามกาล [ ๑๐ ] ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย รูปทเ่ี ปนอดตี และอนาคต เปนของไมเ ทีย่ ง จะกลา วไปใยถงึ รูปทีเ่ ปนปจ จุบนั เลา อรยิ สาวกผไู ดส ดับแลวเหน็ อยูอยา งนี้ ยอ มไมม เี ยื่อใยในรปู ท่ีเปนอดีต ยอมไมเพลิดเพลนิ ในรูปท่เี ปน อนาคต ยอมปฏบิ ัตเิ พ่อื เบ่อื หนา ย เพื่อคลายกาํ หนัด เพอ่ื ดับซง่ึ รปูทเ่ี ปนปจจบุ นั เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณทเี่ ปนอดีต
พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 11และอนาคต เปน ของไมเ ที่ยง จะกลาวไปใยถงึ ท่เี ปนปจ จบุ ันเลา อริยสาวกผูไดส ดบั แลว เห็นอยูอยา งนี้ ยอมไมมีเย่อื ใยในธรรมารมณท เี่ ปนอดีตยอ มไมเพลิดเพลินในธรรมารมณท ่ีเปนอนาคต ยอมปฏิบตั ิเพ่ือเบื่อหนา ยเพือ่ คลายกําหนดั เพอ่ื ดบั ซง่ึ ธรรมารมณที่เปนปจจุบนั .วาดวยความเปน ทุกขแหง อายตนะภายนอกทงั้ สามกาล [๑๑] ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย รูปท่เี ปน อดีตและอนาคต เปนทกุ ข จะกลา วไปใยถงึ รูปที่เปนปจ จุบันเลา อริยสาวกผูไดสดบั แลว เห็นอยอู ยา งนี้ยอ มไมม เี ยื่อใยในรูปทเี่ ปนอดีต ไมเพลดิ เพลนิ ในรูปทเ่ี ปน อนาคต ยอ มปฏบิ ตั เิ พอื่ เบ่ือหนา ย เพื่อคลายกาํ หนัด เพือ่ ดับซง่ึ รูปท่เี ปน ปจจุบนั ฯลฯ.วา ดวยความเปนอนัตตาแหงอายตนะภายนอกทง้ั สามกาล [ ๑๒ ] ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย รปู ทเ่ี ปนอดีตและอนาคต เปนอนตั ตาจะกลา วไปใยถงึ รูปท่ีเปน ปจ จุบนั เลา อริยสาวกผูไ ดส ดบั แลว เห็นอยูอยา งนี้ ยอ มไมม เี ย่อื ใยในรูปท่เี ปน อดีต ไมเพลดิ เพลนิ ในรูปที่เปนอนาคตยอมปฏบิ ตั เิ พื่อเบ่อื หนาย เพ่ือคลายกําหนดั เพือ่ ดบั ซ่ึงรูปท่ีเปนปจ จบุ นั .เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณทีเ่ ปน อดีตและอนาคต เปนอนตั ตาจะกลา วไปใยถงึ ทเี่ ปน ปจจบุ ันเลา อรยิ สาวกผไู ดส ดับแลว เห็นอยูอยางนี้ยอมไมมเี ยอื่ ใยในธรรมารมณเปนอดีต ไมเ พลิดเพลนิ ในธรรมารมณท ี่เปน อนาคต ยอ มปฏบิ ตั ิเพ่อื เบื่อหนาย เพือ่ คลายกาํ หนัด เพือ่ ดบั ซ่ึงธรรมารมณที่เปน ปจจุบนั . จบ พาหิรสตู รที่ ๑๐ อนิจจวรรคท่ี ๑
พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 12อรรถกถาอตีตานาคตปจจุปน นานิจจสูตรที่ ๗ - ๑๐ สูตรที่ ๗ เปนตน ตรัสดว ยอํานาจเวไนยสัตวผกู ําหนดอนจิ จ-ลกั ษณะเปนตนในจกั ษเุ ปน ตนท่เี ปน อดตี และอนาคต ลาํ บากดว ยการยดึ ถือในรูปทเี่ ปน ปจ จุบนั วามีกาํ ลัง. คาํ ทเ่ี หลอื ในทที่ กุ แหงมนี ัยดงั กลา วแลวในหนหลังนนั่ แล จบ อรรถกถาอตีตานาคตปจจุปน นานจิ จสตู รที่ ๗ - ๑๐ รวมพระสตู รทมี่ ใี นวรรคน้ี คือ ๑ อชั ฌัตตกิ อนจิ จสตู ร ๒. อชั ฌตั ติกทกุ ขสตู ร ๓. อชั ฌตั ตกิ -อนตั ตสูตร ๔. พาหริ อนจิ จสูตร ๕. พาหิรทุกขสตู ร ๖. พาหริ อนตั ตสตู ร๗. อตีตานาคตปจจุปนนานิจจสูตร ๘. อตีตานาคตปจจุปน นทกุ ขสตู ร๙. อตตี านาคตปจจปุ น นานัตตสตู ร ๑๐. พาหริ สตู ร. จบ อนจิ จวรรคที่ ๑
พระสตุ ตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 13 ยมกวรรคท่ี ๒ ๑. ปฐมสัมโพธสูตร๑ วา ดว ยความรูแทในเรือ่ งอายตนะ [๑๓] ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย กอ นแตต รัสรู เราเปน โพธิสตั วย งัไมไดตรสั รู ไดมีความคดิ ดังนีว้ า อะไรเปนคุณ อะไรเปนโทษ อะไรเปนความสลัดออกแหง ตา หู จมูก ล้ิน กาย อะไรเปน คุณ อะไรเปนโทษอะไรเปน ความสลดั ออกแหงใจ. ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย เรานัน้ ไดมคี วามคิดดังน้วี า สขุ โสมนสั เกดิ ขน้ึ เพราะอาศยั จกั ษุ นเี้ ปน คุณแหงจกั ษุ จักษุเปนของไมเทีย่ ง เปนทุกข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดา นเี้ ปนโทษแหง จกั ษุการกาํ จัด การละฉันทราคะในจกั ษุ นเ้ี ปน ความสลัดออกแหง จกั ษุ ฯลฯสุขโสมนัสเกดิ ขึน้ เพราะอาศัยใจ น้เี ปนคุณแหงใจ ใจเปนสภาพไมเทีย่ งเปนทกุ ข มีความแปรปรวนเปน ธรรมดา นี้เปน โทษแหง ใจ การกาํ จดัการละฉนั ทราคะในใจ น้ีเปน ความสลัดออกแหง ใจ ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลายเรายงั ไมร ตู ามความเปนจริง ซึง่ คณุ แหง อายตนะภายใน ๖ เหลานี้ โดยเปนคุณ ซง่ึ โทษโดยความเปน โทษ และซึ่งความสลัดออกโดยเปน ความสลดั ออก อยา งน้เี พียงใด เราก็ยงั ไมป ฏญิ าณวาไดตรสั รูซ ง่ึ อนตุ ตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พรอ มทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมูส ัตวพรอ มท้ังสมณพราหมณ เทวดาและมนษุ ยเพียงนัน้ . เมื่อใด เราไดร ตู ามความเปน จรงิ ซ่ึงคุณแหง อายตนะภายใน ๖ เหลา น้ี โดยเปนคณุ ซึง่ โทษ๑. อรรถกถาสูตรที่ ๑ - ๒ แกร วมไวท ายสูตรท่ี ๒
พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 14โดยความเปนโทษ และซึง่ ความสลดั ออกโดยเปน ความสลัดออก อยา งน้ีเมื่อนนั้ เราจงึ ปฏิญาณวา ไดตรสั รซู ึง่ อนตุ ตรสมั มาสมั โพธิญาณในโลกพรอมทง้ั เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมูสตั วพรอมทัง้ สมณพราหมณเทวดาและมนษุ ย กญ็ าณทัสสนะเกิดขน้ึ แลว แกเราวาความหลุดพน ของเราไมก ําเรบิ ชาตนิ เี้ ปนที่สดุ บดั น้ภี พใหมไมม.ี จบ สัมโพธสูตรท่ี ๑ ๒. ทุตยิ สมั โพธสตู ร วา ดว ยความรแู ทใ นเรอ่ื งอายตนะ [ ๑๔ ] ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย กอ นแตต รสั รู เราเปนโพธสิ ัตวยงั ไมไ ดตรัสรู ไดมคี วามคิดดังน้วี า อะไรเปน คณุ อะไรเปน โทษ อะไรเปน ความสลัดออกแหงรูป เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ อะไรเปน คณุอะไรเปน โทษ อะไรเปนความสลัดออกแหงธรรมารมณ. ดกู อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นไดมคี วามคิดดังนี้วา สขุ โสมนสั เกดิ ขนึ้ เพราะอาศัยรูปนเ้ี ปนคุณแหงรปู รปู เปนของไมเ ทย่ี ง เปนทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปนธรรมดา นี้เปนโทษแหงรปู การกําจัด การละฉันทราคะในรปู นี้เปน ความสลัดออกแหง รูป ฯลฯ สุขโสมนสั เกิดขน้ึ เพราะอาศยั ธรรมารมณ น้ีเปนคณุแหง ธรรมารมณ ธรรมารมณเปน สภาพไมเ ท่ยี ง เปน ทกุ ข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา นเี้ ปนโทษแหงธรรมารมณ การกําจดั การละฉันทราคะในธรรมารมณ น้ีเปนความสลดั ออกแหง ธรรมารมณ ดกู อน
พระสุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 15ภิกษทุ ั้งหลาย เรายงั ไมร ตู ามความเปนจรงิ ซ่งึ คณุ แหงอายตนะภายนอก ๖เหลา นี้ โดยเปนคุณ ซึ่งโทษโดยความเปนโทษ และซงึ่ ความสลดั ออกโดยเปน ความสลดั ออก อยา งน้ี เพยี งใด เรากย็ งั ไมปฏญิ าณวา ไดตรัสรูซึง่ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พรอ มทัง้ เทวโลก มารโลก พรหมโลกในหมูสตั ว พรอ มทั้งสมณพราหมณ เทวดาและมนษุ ยเพยี งน้นั . เมือ่ ใดเราไดรตู ามความเปนจรงิ ซึ่งคุณแหงอายตนะภายนอก ๖ เหลาน้ี โดยเปนคุณ ซึ่งโทษโดยความเปนโทษ และซ่ึงความสลดั ออกโดยเปนความสลดั ออกอยา งน้ี เม่อื นน้ั เราจึงปฏญิ าณวา ไดต รสั รูซง่ึ อนุตตรสัมมา-สัมโพธิญาณในโลก พรอ มทัง้ เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมสู ัตวพรอมทงั้ สมณพราหมณ เทวดาและมนษุ ย กญ็ าณทัสสนะเกดิ ขึน้ แลวแกเราวา ความหลดุ พนของเราไมก ําเริบ ชาตินเี้ ปน ท่สี ดุ บดั นภี้ พใหมไมม ี. จบ สัมโพธสตู รท่ี ๒
พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 16 ยมกวรรคที่ ๒อรรถกถาสมั โพธสตู รที่ ๑ - ๒ ยมกวรรคท่ี ๒ สูตรท่ี ๑ และสตู รที่ ๒ มีวนิ ิจฉัยดังตอ ไปนี้ . บทวา อชฌฺ ตตฺ ิกาน ไดแกช ่อื วาอชั ฌัตตกิ ะ โดยที่เปน ภายใน.กค็ วามท่อี ายตนะเหลา นั้นเปนภายใน พงึ ทราบไดก็เพราะฉันทราคะความกําหนดั ดว ยอํานาจความพอใจมกี ําลงั เกินประมาณ. จริงอยู อายตนะภายในเหมอื นภายในเรือนของพวกมนุษย อายตนะภายนอก เหมอื นอปุ จารใกล ๆ เรือนคือฉนั ทราคะในภายในเรอื นของพวกมนษุ ยท ่เี ต็มไปดวยลกู เมียทรัพยแ ละขาวเปลอื กมกี ําลงั เกินประมาณ. พวกมนุษยไมใหใ คร ๆ เขา ไปในทนี่ ัน้ . มผี ูกลา ววา จะประโยชนอะไรดวยเหตุเพียงเสยี งภาชนะมีประมาณนอ ยน้ี ฉนั ทราคะมกี ําลงั เกินประมาณในอายตนะภายใน ๖ ก็ฉันนน้ั เหมอื นกนั . อายตนะเหลานั้นทา นเรียกวา ภายใน เพราะฉนั ทราคะมีกาํ ลงั น้ี ดวยประการฉะน.้ี แตใ นอุปจารใกล ๆ เรอื น ไมมกี าํ ลังอยา งน้ันมนษุ ยก็ดี สัตวส ีเ่ ทา กด็ ี ทเ่ี ที่ยวไปในทีน่ ้ัน ไมม ใี ครหามเลย แมจ ะไมหา มกจ็ ริง ถงึ อยางนัน้ เม่ือไมปรารถนา กไ็ มใหจบั แมเพยี งตะกรา ขนดิน.ดงั น้ันพวกเขาเหลา นน้ั จึงไมม ฉี นั ทราคะมกี าํ ลงั เกินประมาณในทน่ี น้ั . แมในรปู เปน ตน ก็ไมม ฉี ันทราคะที่มกี าํ ลงั เกนิ ประมาณในทนี่ ้นั เหมอื นกันฉะนั้น ทา นจงึ เรยี กอายตนะเหลา น้ันวา ภายนอก. แตเ มือ่ วาโดยพสิ ดารอายตนะท้ังภายในและภายนอก ไดก ลาวไวแลว ในคมั ภรี ว สิ ทุ ธมิ รรค.คําที่เหลือในสตู รทงั้ ๒ มีนัยดังกลา วแลว ในหนหลงั นนั้ แล. จบ อรรถกถาสัมโพธสตู รที่ ๑ - ๒
พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 17 ๓. ปฐมอสั สาทสูตร วา ดวยคณุ และโทษแหง อายตนะ [ ๑๕ ] ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย เราไดเทีย่ วแสวงหาคุณแหง จักษุ ไดพบคณุ แหงจกั ษุ ไดเ ห็นดว ยดดี ว ยปญ ญา เราไดเ ทีย่ วแสวงหาโทษแหงจกั ษุ ไดพ บโทษแหงจกั ษุ ไดเ หน็ ดวยดดี ว ยปญ ญา เราไดเ ท่ียวแสวงหาความสลดั ออกแหงจกั ษุ ไดพ บความสลดั ออกแหง จักษุ ไดเหน็ ดวยดีดวยปญ ญา ฯลฯ หู จมูก ล้ิน กาย เราไดเ ทยี่ วแสวงหาคณุ แหงใจ ไดพ บคุณแหงใจ ไดเหน็ ดว ยดดี ว ยปญ ญา เราไดเ ที่ยวแสวงหาโทษแหงใจ ไดพบโทษแหง ใจ ไดเห็นดว ยดีดว ยปญญา เราไดเ ท่ียวแสวงหาความสลดั ออกแหงใจ ไดพ บความสลดั ออกแหงใจ ไดเห็นดว ยดีดว ยปญ ญา ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย เรายงั ไมรูตามความเปน จรงิ ซ่ึงคุณแหงอายตนะภายใน ๖ เหลานี้โดยเปน คณุ ซ่งึ โทษโดยความเปน โทษ ซึ่งความสลดั ออกโดยเปนความสลัดออก เพยี งใด ฯลฯ ก็ญาณทสั สนะเกิดขนึ้ แลวแกเราวา ความหลุดพนของเราไมกาํ เรบิ ชาตนิ เี้ ปนท่ีสดุ บดั นี้ภพใหมไมมี. จบ ปฐมอสั สาทสตู รท่ี ๓ ๔. ทุตยิ อัสสาทสตู ร วา ดวยคณุ แหงโทษแหง อายตนะ [ ๑๖ ] ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย เราไดเ ที่ยวแสวงหาคุณแหงรูป ไดพบคุณแหง รูป ไดเ ห็นดว ยดดี วยปญ ญา เราไดเท่ียวแสวงหาโทษแหง รปูไดพบโทษแหงรปู ไดเห็นดว ยดีดวยปญ ญา เราไดเทย่ี วเสวงหาความสลัด
พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 18ออกแหง รปู ไดพบความสลดั ออกแหงรปู ไดเหน็ ดวยดดี วยปญญา ฯลฯเสยี ง กล่นิ รส โผฏฐพั พะ เราไดเ ท่ียวแสวงหาคุณแหงธรรมารมณ ไดพบคุณแหง ธรรมารมณ ไดเ หน็ ดว ยดีดวยปญญา เราไดเท่ยี วแสวงหาโทษแหงธรรมารมณ ไดพ บโทษแหงธรรมารมณ ไดเ ห็นดว ยดีดวยปญญาเราไดเ ทยี วแสวงหาความสลดั ออกแหง ธรรมารมณ ไดพบความสลัดออกแหงธรรมารมณ ไดเห็นดว ยดดี ว ยปญญา ดูกอนภิกษุท้ังหลาย เรายงั ไมรตู ามความเปน จริง ซง่ึ คณุ แหงอายตนะภายนอก ๖ เหลา นี้โดยเปนคุณซ่งึ โทษโดยความเปนโทษ ซงึ่ ความสลดั ออกโดยเปน ความสลัดออก เพยี งใดฯลฯ กญ็ าณทสั สนะเกดิ ขึ้นแลว แกเ ราวาความหลุดพนของเราไมก ําเริบ ชาติน้เี ปนทส่ี ดุ บัดน้ภี พใหมไมม .ี จบ ทตุ ิยอสั สาทสูตรที่ ๔ อรรถกถาอสั สาทสูตรท่ี ๓ - ๔ ในสตู รที่ ๓ และสตู รที่ ๔ กเ็ หมอื นกนั ( กบั สตู รที่ ๑ - ๒ ) จบ อรรถกถาอสั สาทสตู รที่ ๓ - ๔ ๕. ปฐมโนอสั สาทสตู ร วาดวยการปฏิเสธคุณและโทษแหง อายตนะ [ ๑๗ ] ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย ถา คุณแหง จกั ษุจกั ไมม แี ลวไซร สตั วท้ังหลายก็จะไมพ ึงกาํ หนัดในจักษุ แตเ พราะคณุ ในจักษมุ ีอยู ฉะนัน้ สตั วท้งั หลายจึงกาํ หนัดในจกั ษุ ถาโทษแหง จกั ษุจกั ไมมีแลวไซร สัตวท ัง้ หลาย
พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 19ก็จะไมพงึ เบ่ือหนายในจกั ษุ แตเ พราะโทษแหงจักษมุ อี ยู ฉะนน้ั สตั วทงั้ หลายจงึ เบ่อื หนา ยในจกั ษุ ถา ความสลัดออกแหง จักษจุ กั ไมมแี ลวไซรสัตวทั้งหลายกไ็ มพ ึงสลดั ออกจากจักษุ แตเ พราะความสลดั ออกแหงจกั ษุมีอยู ฉะนน้ั สัตวท ั้งหลายจงึ สลดั ออกจากจักษุ หู จมูก ลิ้น กายถา คุณแหงใจจกั ไมมีแลวไซร สัตวท ้งั หลายก็จะไมพ ึงกาํ หนัดในใจ แตเพราะคุณแหงใจมีอยู ฉะนน้ั สตั วท้ังหลายจึงกาํ หนดั ในใจ ถา โทษแหงใจจักไมมแี ลว ไซร สตั วท้ังหลายกจ็ ะไมพ งึ เบ่ือหนายในใจ แตเ พราะโทษแหง ใจมีอยู ฉะนนั้ สัตวท ั้งหลายจึงเบอ่ื หนา ยในใจ ถา ความสลัดออกแหง ใจจกั ไมม ีแลวไซร สตั วทงั้ หลายก็จะไมพงึ สลดั ออกจากใจ แตเพราะความสลัดออกแหง ใจมีอยู ฉะน้นั สัตวท ง้ั หลายจงึ สลดั ออกจากใจ ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย สัตวท งั้ หลายยังไมร ูตามความเปนจริง ซง่ึ คุณแหง อายตนะภายใน ๖ เหลาน้ี โดยเปนคณุ ซึ่งโทษโดยความเปนโทษ ซ่งึ ความสลดัออกโดยเปน ความสลัดออก เพยี งใด สัตวท ้งั หลายกย็ งั ไมเ ปนผอู อกไปพรากไป หลุดพน ไปจากโลก พรอ มทงั้ เทวโลก มารโลก พรหมโลกจากหมสู ตั ว พรอ มทง้ั สมพราหมณ เทวดาและมนุษย มใี จถูกครอบงําอยูเพียงนน้ั แตเ มอ่ื ใด สัตวทั้งหลายไดรูตามความเปนจรงิ ซึง่ คุณแหงอายตนะภายใน ๖ เหลานั้น โดยเปน คุณ ซ่งึ โทษโดยความเปน โทษ และซ่งึ ความสลัดออกโดยเปน ความสลดั ออก เม่อื น้ัน สตั วทั้งหลายกเ็ ปนผูออกไป พรากไป หลุดพนไปจากโลก พรอมทั้งเทวโลก มารโลกพรหมโลก จากหมูสัตว พรอมทั้งสมณพราหมณ เทวดาและมนุษย มีใจไดถกู ครอบงําอยู. จบ ปฐมโนอสั สาทสตู รที่ ๕
พระสตุ ตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 20 อรรถกถาปฐมโนอสั สาทสตู รที่ ๕ ในสูตรท่ี ๕ มวี ินิจฉัยดังตอไปนี.้ บทวา นสิ สฺ ฏ แปลวา ออกไปแลว . บทวา วสิ ฺตุ ตฺ า แปลวาไมประกอบ. บทวา วิปฺปมุตฺตา แปลวา ไมพนแลว. บทวา วปิ ฺปรยิ า-ทกิ เตน เจตสา ไดแก มใี จท่ีไมมีอะไรยึดไวเ ปน ตน. บทวา ย ไดแกกเิ ลสชาตหรือวัฏฏะท่ยี ังละไมไ ด. จติ ของพระเสขะทงั้ หลาย เปนอนั ช่อื วาอนั กิเลสชาตหรือวฏั ฏะยงั ยดึ มัน่ อยูเปนตน แตใ นทีน่ ี้ จิตที่อนั กิเลสชาตหรือวฏั ฏะชื่อวา ไมยึดมั่นเปน ตน เพราะกเิ ลสและวัฏฏะทานละไดแลว โดยประการทง้ั ปวง อธบิ ายวา พระอรยิ เจามจี ติ ปราศจากความยึดม่นั คอืกา วลวงการยึดมน่ั ของกิเลสวัฏฏะ. จบ อรรถกถาปฐมในอัสสาทสูตรที่ ๕ ๖. ทุตยิ โนอสั สาทสูตร วา ดว ยการปฏเิ สธคณุ และโทษแหง อายตนะ [ ๑๘ ] ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย ถา คุณแหง รูปจักไมมแี ลว ไซร สตั วทัง้ หลายก็จะไมพงึ กาํ หนดในรปู แตเพราะคุณแหง รปู มอี ยู ฉะนนั้ สตั วท้ังหลายจงึ กําหนัดในรปู ถาโทษแหง รปู จกั ไมมแี ลวไซร สตั วท ้งั หลายกจ็ ะไมพ งึ เบอื่ หนายในรปู แตเพราะโทษแหง รูปมอี ยู ฉะนน้ั สัตวทั้งหลายจงึ เบ่ือหนายในรูป ถา ความสลัดออกแหง รปู จักไมม แี ลวไซร สัตวท งั้ หลายก็จะไมพ งึ สลัดออกจากรปู แตเ พราะความสลดั ออกแหงรูปมอี ยู ฉะน้นัสัตวท ้งั หลายจงึ สลดั ออกจากรปู เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ถา คุณแหงธรรมารมณจักไมม แี ลว ไซร สัตวทงั้ หลายก็จะไมพ งึ กําหนดั ในธรรมารมณ
พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 21แตเ พราะคณุ แหง ธรรมารมณม ีอยู ฉะนัน้ สตั วทั้งหลายจงึ กาํ หนดั ในธรรมารมณ ถา โทษแหง ธรรมารมณจ กั ไมม ีแลว ไซร สตั วท ้งั หลายกจ็ ะไมพงึ เบอ่ื หนายในธรรมารมณ แตเ พราะโทษแหงธรรมารมณม ีอยู ฉะนนั้สตั วท ัง้ หลายจึงเบอ่ื หนา ยในธรรมารมณ ถาความสลัดออกจากธรรมารมณจกั ไมม แี ลวไซร สตั วท ้ังหลายก็จะไมพ ึงสลดั ออกจากธรรมารมณ แตเ พราะความสลัดออกแหง ธรรมารมณม ีอยู ฉะนั้น สตั วทั้งหลายจงึ สลดั ออกจากธรรมารมณ ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย สตั วท ง้ั หลายยงั ไมร ตู ามความเปน จริงซง่ึ คุณแหง อายตนะภายนอก ๖ เหลา นโ้ี ดยเปน คุณ ซ่ึงโทษโดยความเปนโทษ ซงึ่ ความสลัดออกโดยเปน ความสลัดออกเพยี งใด สตั วท ั้งหลายก็ยงัไมเปน ผอู อกไป พรากไป หลดุ พนไปจากโลก พรอ มทัง้ เทวโลก มารโลกพรหมโลก จากหมูส ตั ว พรอ มทั้งสมณพราหมณ เทวดาและมนุษย มใี จถกู ครอบงําอยเู พียงน้นั เมอ่ื ใด สตั วทง้ั หลายไดร ูตามความเปนจริง ซ่งึคณุ แหง อายตนะภายนอก ๖ เหลา น้ี โดยเปนคุณ ซง่ึ โทษโดยความเปนโทษและซงึ่ ความสลดั ออกโ็ ดยเปนความสลัดออก เมือ่ น้ัน สตั วท ัง้ หลายก็เปนผอู อกไป พรากไป หลุดพนไปจากโลก พรอ มทง้ั เทวโลก มารโลกพรหมโลก จากหมูสัตว พรอมท้งั สมณพราหมณ เทวดาและมนษุ ยมใิ จมไิ ดถ ูกครอบงําอย.ู จบ ทุตยิ โนอัสสาทสูตรที่ ๖ อรรถกถาทตุ ิยโนอสั สาทสตู รท่ี ๖ แมใ นสูตรท่ี ๖ ก็นยั น้ี แตใ น ๖ สตู รนี้ พึงทราบวา ทา นกลาวเฉพาะสัจจะ ๔ เทา นัน้ . จบ อรรถกถาทตุ ยิ โนอสั สาทสตู รที่ ๖
พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 22 ๗. ปฐมอภนิ นั ทสตู รวาดวยผทู ี่เพลดิ เพลนิ อยใู นอายตนะภายในยอมไมพน ทกุ ข [ ๑๙ ] ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ผูใดยังเพลิดเพลินจกั ษุ ผูน้นั ช่อื วายอมเพลดิ เพลนิ ทกุ ข ผูใดเพลิดเพลนิ ทุกข เรากลาววา ผูน นั้ ยังไมพนไปจากทุกข ฯลฯ ผูใดยังเพลิดเพลินใจ ผนู ้นั ช่อื วายอมเพลิดเพลนิ ทกุ ข ผใู ดเพลิดเพลนิ ทุกข เรากลาววา ผนู ้นั ยงั ไมพ น ไปจากทกุ ข สว นผูใดไมเพลดิ -เพลินจกั ษุ ผูน้นั ช่ือวา ไมเพลดิ เพลินทุกข ผูใดไมเ พลดิ เพลินทกุ ขเ รากลาววา ผูนนั้ พน ไปจากทุกข ฯลฯ ผูใดไมเพลดิ เพลนิ ใจ ผนู ัน้ ชือ่ วาไมเพลดิ เพลินทกุ ข ผูใ ดไมเพลดิ เพลนิ ทุกข เรากลาววา ผนู น้ั พนไปจากทุกข. จบ ปฐมอภินันทสูตรท่ี ๗ ๘. ทุติยอภินนั ทสูตรวา ดว ยผเู พลดิ เพลนิ อยใู นอายตนะภายนอกยอมไมพนทุกข [ ๒๐ ] ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย ผใู ดยังเพลิดเพลินรปู ผูน ้นั ชอื่ วายอมเพลิดเพลินทกุ ข ผูใ ดเพลดิ เพลนิ ทุกข เรากลา ววา ผูน้ันยงั ไมพ นไปจากทุกข ฯลฯ ผูใ ดยังเพลิดเพลนิ ธรรมารมณ ผนู ั้นช่ือวา ยอมเพลดิ -เพลินทุกข ผูใดเพลดิ เพลินทกุ ข . เรากลา ววา ผนู ั้นยงั ไมพ น ไปจากทกุ ขสว นผใู ดไมเ พลดิ เพลินรปู ผนู ัน้ ชอื่ วาไมเ พลิดเพลนิ ทุกข ผูใดไมเ พลดิ -เพลนิ ทุกข เรากลาววา ผูนน้ั พนไปจากทกุ ข ฯลฯ ผูใดไมเ พลิดเพลนิธรรมารมณ ผนู ัน้ ชอ่ื วา ไมเพลดิ เพลนิ ทุกข ผูใดไมเ พลิดเพลนิ ทกุ ข เรากลา ววา ผนู น้ั พนไปจากทกุ ข. จบ ทตุ ิยอภินนั ทสตู รที่ ๘
พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 23 ๙. ปฐมอปุ ปาทสูตร วา ดวยความเกดิ ขนึ้ แหง อายตนะ [๒๑] ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย ความเกดิ ขึ้น ความต้ังอยู ความบงั เกิด ความปรากฏแหงจักษุ เปน ความเกิดข้ึนแหง ทกุ ข เปนความต้งั อยูแหง โรค เปน ความปรากฏแหงชราและมรณะ ฯลฯ ความเกิดขึน้ ความต้ังอยู ความบงั เกิด ความปรากฏแหง ใจ เปนความเกดิ แหง ทกุ ข เปนความตัง้ อยูแหงโรค เปนความปรากฏแหง ชราและมรณะ สว นความดับ ความสงบ ความไมม ีแหงจกั ษุ เปนความดบั แหง ทกุ ข เปนความสงบแหงโรคเปน ความไมม แี หชราและมรณะ ฯลฯ ความดับ ความสงบ ความไมมีแหงใจ เปนความขบั แหง ทุกข เปน ความสงบแหงโรค เปนความไมมีแหงชราและมรณะ. จบ ปฐมอุปปาทสูตรที่ ๙ ๑๐. ทุติยอปุ ปาทสูตร วาดวยความเกดิ ขนึ้ แหง อายตนะ [ ๒๒] ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความเกดิ ขึ้น ความตงั้ อยู ความบังเกดิ ความปรากฏแหงรปู เปน ความเกิดข้ึนแหง ทกุ ข เปนความตั้งอยูแหงโรค เปน ความปรากฏแหง ชราและมรณะ ฯลฯ ความเกิดขึน้ ความตั้งอยู ความบงั เกิด ความปรากฏแหง ธรรมารมณ เปน ความเกดิ แหง ทกุ ขเปน ความตั้งอยูแหงโรค เปนความปรากฏแหงชราและมรณะ.
พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 24 [๒๓] ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย ความดับ ความสงบ ความไมม ีแหงรูป เปนความดับแหง ทกุ ข เปนความสงบแหง โรค เปนความไมม ีแหง ชราและมรณะ ฯลฯ ความดับ ความสงบ ความไมมแี หงธรรมารมณเปน ความดบั แหงทกุ ข เปน ความสงบแหงโรค เปน ความไมม แี หง ชราและมรณะ. จบ ทุตยิ อุปปาทสตู รที่ ๑๐ ยมกวรรคที่ ๒อรรถกถาปฐมอภนิ ันทสตู รท่ี ๗ เปนตน ในสตู รที่ ๗ เปน ตน พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั วฏั ฏะและววิ ฏั ฏะไวใน ๔ สตู ร แตอ นุปพุ พิกกาพึงทราบโดยนัยท่ีตรสั แลว นั่นแหละ ในหนหลังแกภิกษเุ หลาน้นั . จบ อรรถกถาปฐมอภินันทสูตรที่ ๗ เปน ตน จบ อรรถกถายมกวรรคที่ ๒ รวมพระสตู รที่มีในวรรคน้ี คือ ๑. ปฐมสมั โพธสูตร ๒. ทุตยิ สัมโพธสูตร ๓. ปฐมอัสสาทสูตร๔. ทตุ ิยอสั สาทสตู ร ๕. ปฐมโนอสั สาทสูตร ๖. ทุตยิ โนอัสสาสตู ร๗. ปฐมอภินนั ทสตู ร ๘. ทุติยอภนิ ันทสูตร ๙. ปฐมอุปปาทสตู ร๑๐. ทตุ ิยอปุ ปาทสูตร
พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 25 สพั พวรรคที่ ๓ ๑. สพั พสูตร วาดว ยทรงแสดงส่งิ ทงั้ ปวง [๒๔] ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย เราจกั แสดงสงิ่ ทัง้ ปวงแกเ ธอท้ังหลายเธอทง้ั หลายจงฟงขอน้ัน ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย กอ็ ะไรเปนส่งิ ท้งั ปวง. จกั ษุกับรปู หูกบั เสยี ง จมูกกบั กลน่ิ ลนิ้ กบั รส กายกับโผฏฐัพพะ ใจกบัธรรมารมณ อนั น้ีเรากลาววาสิ่งทัง้ ปวง ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ผใู ดพึงกลา วอยางน้วี า เราบอกปฏิเสธสง่ิ ท้งั ปวง จักบัญญัติสิง่ อนื่ แทน วาจาของผนู ั้นพงึ เลอื่ นลอย ดจุ วตั ถุเทพดา แตค รนั้ ถกู ถามเขา กต็ อบไมได และจะอึดอดั ใจยง่ิ ข้นึ ขอน้นั เพราะเหตอุ ะไร. เพราะขอนนั้ ไมใชวสิ ัย. จบ สัพพสตู รที่ ๑ อรรถกถาสัพพสตู รท่ี ๑ สพั พวรรคท่ี ๓ สัพพสตู รท่ี ๑ มีวนิ ิจฉยั ดงั ตอไปนี้. บทวา สพพฺ โว ภิกฺขเว ชอ่ื วา สพั พะ มี ๔ อยาง คือสพั พสัพพะ, อายตนสพั พะ, สักกายสพั พะ, ปเทสสพั พะ ใน ๔ อยา งนนั้ สัพพะวา อะไร ๆ ท่พี ระองคไ มเคยเห็นในโลกนี้ ยอมไมมี ไมร สู ิง่ ทไี่ มค วรรูกไ็ มมี อนง่ึ พระตถาคต ทรงรูย ง่ิ ถงึ เนยยะ ซึง่ มีอยูทง้ั หมด เพราะฉะนั้น พระตถาคต จึงทรงพระนามวา สมนั ตจกั ษุ.
พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 26ชอื่ วา สพั พสพั พะ. สัพพะ วา สพพฺ โว ภกิ ฺขเว เทเสสสฺ ามิ ตสุณาถ ดกู อ นภิกษทุ ัง้ หลาย เราจกั แสดงสง่ิ ทั้งปวงแกพวกเธอ พวกเธอจงฟง สงิ่ นัน้ นี้ชอื่ วา อายตนสพั พะ. สัพพะ วา สพพฺ ธมฺมมลู ปรยิ ายโว ภิกขฺ เว เทสสิ สฺ ามิ ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย เราจกั แสดงมลู ปริยายแหงธรรมท้งั ปวงแกพวกเธอ น้ชี ่ือวา สกั กายสพั พะ. สัพพะวา สพพฺ -ธมฺเมสุ วา ปมสมนนฺ าหาโร อปุ ปฺ ชชฺ ติ จิตตฺ มโน มานสตชฺชา มโนวิ ฺ าณธาตุ หรือวา การรวบรวมใจครั้งแรก จติ มโนมานสั มโนวิญญาณธาตุที่เกดิ แตจ ติ นนั้ ยอมเกดิ ขึ้นในธรรมทงั้ ปวง น้ีชอื่ วา ปเทสสพั พะ. ดังนน้ั เพียงอารมณ ๕ ช่อื วา ปเทสสพั พะ. ธรรมอันเปน ไปในภูมิ ๓ ช่ือวา สักกายสัพพะ. ธรรมอันเปนไปในภูมิ ๔ ชอ่ื วา อายตน-สพั พะ. เนยยะ อยา งใดอยา งหนง่ึ ชอ่ื วา สัพพสัพพะ. ปเทสสพั พะไมถงึ สักกายสัพพะ, สักกายสพั พะ ไมถ ึงอายตนสพั พะ, อายตนสพั พะไมถงึ สพั พสพั พะ. เพราะเหตุไร. เพราะวา ธรรมช่ือนี้ท่ีไมเ ปนอารมณของพระสัพพัญตุ ญาณยอมไมม ี. แตในพระสูตรนี้ ทา นประสงคเอาอายตนสพั พะ. บทวา ปจฺจกขฺ าย แปลวา ปฏิเสธ. บทวา วาจา วตฺถเุ ทวสฺสไดแก พงึ เปน เพียงวตั ถุทจ่ี ะพงึ กลาวดว ยวาจาเทาน้ัน. พนอายตนะ ๑๒ น้ีไมอ าจแสดงไดว า ธรรมอื่นน้ี ช่อื วา สภาวธรรม. บทวา ปฏุ โ จ นสมฺปาเยยฺย ความวา เมือ่ ถกู ถามวา สิง่ อนื่ คืออะไร ชอื่ วาสัพพะ ก็ไมสามารถจะตอบไดวา ช่อื นี้. บทวา วิฆาต อาปชเฺ ชยยฺ ไดแกถ งึ ความ
พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 27ลําบาก. บทวา ต ในคําวา ยถา ต ภิกฺขเว อวิสยสมฺ ึ นเี้ ปนเพยี งนบิ าต. บทวา ยถา เปน คาํ บง เหตุ อธบิ ายวา เพราะเหตทุ ีถ่ ูกถามในสิง่ ที่ไมใชวสิ ัย. ความจริงสตั วท้งั หลายยอ มมคี วามคบั แคนใจในสง่ิ ท่ไี มใชวสิ ัย. การเทินศิลาประมาณเทาเรือนยอดขามน้ําลึก เปนเรือ่ งไมใชว สิ ยั .การฉดุ พระจันทรพระอาทติ ยลงมา กเ็ หมอื นกัน. เมอื่ พยายามในสิง่ ท่มี ใิ ชวสิ ัยน้ันยอ มลําบากแท อธบิ ายวา ตองลําบากในสิง่ ท่มี ิใชวสิ ยั แมน ้ี ดวยประการฉะนี้. จบ อรรถกถาสพั พสูตรที่ ๑ ๒. ปฐมปหานสูตร วา ดวยทรงแสดงธรรมเพ่อื ละส่ิงทัง้ ปวง [ ๒๕ ] ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย เราจกั แสดงธรรมเพ่ือละสิง่ ท้ังปวงนัน้ แกเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟง ขอนน้ั ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย ก็ธรรมสําหรบั ละส่ิงทง้ั ปวงนั้นเปน ไฉน. ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย จกั ษุ รปู จักษุ-วญิ ญาณ จกั ษุสมั ผัส เปน สง่ิ ทคี่ วรละ แมสขุ เวทนา ทุกขเวทนาหรอื อทุกขมสุขเวทนา ท่ีเกดิ ขน้ึ เพราะจกั ษสุ ัมผัสเปน ปจ จยั ก็เปน ส่งิ ที่ควรละ ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ มโนวิญญาณ มโนสมั ผสั เปน สิ่งทค่ี วรละแมสขุ เวทนา ทุกขเวทนา หรอื ทกุ ขมสุขเวทนา ท่เี กดิ ขน้ึ เพราะมโนสัมผสัเปนปจ จัย ก็เปน สงิ่ ท่คี วรละ ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย อนั น้แี ลเปนธรรมสาํ หรบั ละส่งิ ท้ังปวง. จบ ปฐมปหานสูตรที่ ๒
พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 28 อรรถกถาปฐมปหานสูตรที่ ๒ ในปฐมปหานสูตรท่ี ๒ มีวินิจฉยั ดังตอไปนี้ . บทวา สพพฺ ปหาย แปลวา ละซง่ึ ส่งิ ทง้ั ปวง. บทวา จกขฺ ุ-สมผฺ สสฺ ปจจฺ ยา อุปปฺ ชฺชาติ เวทยติ ไดแ กเ วทนาท่สี มั ปยตุ ดวยสมั ปฏิจ-ฉันนะ สนั ตีรณะ โวฏฐัพพนะและชวนะ ท่เี กดิ ข้นึ เพราะกระทาํ สห-ชาตธรรมท่มี ีจักษุสัมผัสเปนมลู ใหเปน ปจจัย แตธรรมทีส่ มั ปยตุ ดวยจกั ษุ-วิ ญิ ญาณไมจาํ ตองกลา วถงึ เลย. แมในธรรมท่มี เี วทนาเปนปจจัยมโี สตทวารเปนตน เปน อาทิ ก็นยั น้เี หมือนกนั . กใ็ นทีน่ ี้ บทวา มโน ไดแ กภวงั คจิต.บทวา ธมมฺ า ไดแ กอ ารมณ. บทวา มโนวิฺ าณ ไดแกช วนจติ ท่ีเกดิ พรอ มกบั อาวชั ชนจิต. บทวา มโนสมฺผสโฺ ส ไดแกผสั สะทเ่ี กิดพรอ มกบั ภวังคจิต. บทวา เวทยิต ไดแ กเวทนาท่ีเกิดพรอมกับชวนจติ .แมเ วทนาท่ีเกิดพรอมกับภวังคจติ ก็ยอ มเปน ไปพรอ มกบั อาวชั ชนจติเหมอื นกัน. แตในทน่ี ี้ เทศนาที่เปน คาํ สอนตอเนื่องกนั ช่ือวา บัญญตั .ิ จบ อรรถกถาปฐมปหานสูตรที่ ๒ ๓. ทตุ ยิ ปหานสูตร วา ดว ยทรงแสดงธรรมเพือ่ ละส่ิงท้งั ปวง [ ๒๖ ] ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย เราจกั แสดงธรรมเพอ่ื รยู ่ิงกําหนดรูแลวละสิ่งทัง้ ปวง แกเ ธอท้ังหลาย เธอท้งั หลายจงฟงธรรมนนั้ ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย ธรรมสําหรับรูย ิ่งกาํ หนดรแู ลวละเสียซงึ่ สงิ่ ท้งั ปวงเปน ไฉน.จักษุ รปู จกั ษุวญิ ญาณ จกั ษุสมั ผัส เปนสงิ่ ทีค่ วรรูยิ่งกําหนดรแู ลวละเสยี
พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 29แมสขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาทเี่ กิดเพราะจักษุสัมผสัเปน ปจจยั กเ็ ปนสิง่ ทค่ี วรรยู ่งิ ควรกาํ หนดรแู ลวละเสยี ฯลฯ ใจธรรมารมณ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส เปน ส่ิงที่ควรรยู ิ่ง ควรกาํ หนดรูแลวละเสีย แมสขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา หรืออทุกขมสขุ เวทนา ทีเ่ กดิ ขนึ้เพราะมโนสัมผัสเปนปจจัย กเ็ ปนสง่ิ ท่ีควรรยู ่ิง ควรกาํ หนดรูแลวละเสยีน้เี ปนธรรมสําหรบั รูยิง่ กําหนดรูแ ลวละสิ่งทงั้ ปวงเสีย ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลายอนั นี้แล เปน ธรรมสําหรบั รยู ิง่ กําหนดรแู ลวละส่งิ ทงั้ ปวง. จบ ทุตยิ ปหานสตู รที่ ๓ อรรถกถาทตุ ิยปหานสตู รที่ ๓ ในทตุ ยิ ปหานสูตรท่ี ๓ นีม้ ีวินจิ ฉยั ดงั ตอไปนี้ บทวา สพฺพ อภิฺา ปริ ฺา ปหานาย ไดแกเ พ่อื รูยิ่งกาํ หนดรแู ลวละสง่ิ ทัง้ ปวง. บทวา อภิ ฺา ปรริ ฺา ปหาตพพฺ ไดแ กรูยิ่งกําหนดรูแลวละเสยี . บทท่เี หลอื พึงทราบตามนยั ที่กลา วแลว น้ันแล. จบ อรรถกถาทุติยปหานสูตรท่ี ๓ ๔. ปฐมปริชานสตู ร วาดวยผยู งั ไมร ูย่ิงยองละสิ่งทั้งปวงไมไ ด [๒๗] ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ผูทีย่ งั ไมรยู งิ่ ยงั ไมกาํ หนดรู ยังไมคลายกําหนดั ยงั ละไมไ ดซงึ่ สิ่งทง้ั ปวง ยงั ไมเ ปน ผคู วรสิ้นทุกข ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย ก็สง่ิ ทง้ั ปวงคอื อะไร. บุคคลผยู ังไมรูย ง่ิ ยังไมก าํ หนดรูยงั ไมคลายกําหนดั ยังละไมได ยังไมเปน ผูควรสน้ิ ทกุ ข ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย
พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 30คือ จกั ษุ บคุ คลยงั ไมรูย่งิ ยังไมก าํ หนดรู ยังไมค ลายกาํ หนดั ยังละไมไดยงั ไมเ ปนผคู วรส้ินทกุ ข รูป จกั ษวุ ิญญาณ จกั ษุสัมผัส สขุ เวทนาทุกขเวทนา หรืออทกุ ขมสขุ เวทนา ท่เี กดิ ขึน้ เพราะจักษสุ ัมผัส เปน ปจ จยับุคคลยังไมร ยู ิ่ง ยังไมก าํ หนดรู ยังไมค ลายกาํ หนัด ยงั ละไมได กย็ ังเปน ผูไมควรสน้ิ ทกุ ข หู เสียง ลิ้น รส กาย โผฏฐัพพะ ใจ ธรรมารมณมโนวญิ ญาณ มโนสมั ผสั แมส ุขเวทนา ทกุ ขเวทนา หรืออทกุ ขมสุขเวทนาทีเ่ กดิ ขน้ึ เพราะมโนสมั ผัสเปนปจจัย บุคคลยงั ไมร ูยง่ิ ยงั ไมก ําหนดรู ยงั ไมคลายกําหนัด ยังละไมได กย็ ังเปนผไู มควรสน้ิ ทกุ ข ดูกอนภกิ ษุทั้งหลายบุคคลผทู ่ยี ังไมร ูยิ่ง ยงั ไมก ําหนดรู ยงั ไมค ลายกําหนดั ยังไมละซึ่งสงิ่ท้งั ปวงนี้ ยงั เปนผไู มควรส้ินทุกข. วาดวยผรู ยู ่งิ ยอมละสิง่ ทัง้ ปวงได [ ๒๘ ] ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย สว นบคุ คลผทู ีร่ ยู ่งิ กําหนดรู คลายกําหนดั ได ละไดซ ่ึงสิง่ ทั้งปวง เปนผคู วรส้นิ ทกุ ข ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลายกส็ ิง่ ทง้ั ปวง คอื อะไร ท่บี ุคคลรยู ่ิง กําหนดรู คลายกาํ หนัดได ละไดเปน ผคู วรสนิ้ ทุกข ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย คือ จักษุ บคุ คลรูย ่ิง กําหนดรูคลายกาํ หนดั ได ละได เปนผูควรสนิ้ ทกุ ข รปู จักษวุ ิญญาณ จกั ษสุ ัมผัสแมสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสขุ เวทนา ทีเ่ กิดขน้ึ เพราะจักษุสัมผสั เปน ปจ จยั บุคคลรูยง่ิ กาํ หนดรู คลายกําหนดั ได ละได ก็เปนผูควรส้นิ ทกุ ข หู เสยี ง ลิน้ รส กาย โผฏฐพั พะ ใจ ธรรมารมณมโนวญิ ญาณ มโนสมั ผัส แมสขุ เวทนา ทุกขเวทนา หรอื อทุกขมสขุ เวทนา
พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 31ท่ีเกิดข้ึนเพราะมโนสัมผสั เปนปจจัย บุคคลรูย่งิ กําหนดรู คลายกําหนดั ไดละได กเ็ ปน ผูควรสิน้ ทกุ ข ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย บุคคลผรู ูยิง่ กาํ หนดรูคลายกําหนัดได ละไดซ ึ่งสิ่งท้งั ปวงนแ้ี ล เปนผูควรสิ้นทุกข. จบ ปฐมปริชานสูตรท่ี ๔ อรรถกถาปฐมปริชานสูตรท่ี ๔ ในปฐมปริชานสตู รท่ี ๔ มวี นิ ิจฉยั ดังตอ ไปน้ี . บทวา อนภชิ าน อปริชาน อวิราชย อปปฺ ชห ไดแก ไมร ูย ิ่งไมก าํ หนดรู ไมคลายความยินดี ไมละ. และในทีน่ ้ี บทวา อวิราเชนโฺ ตไดแก ไมค ลายความยินดี ไมห ายหิว. ดงั น้นั ในพระสูตรนี้ เปน อันตรสัปรญิ ญาแมทง้ั สาม. จรงิ อยู ดวยคาํ วา อภชิ าน ตรัสถึงญาตปริญญาดว ยคําวา ปริชาน ตรสั ถงึ ตรี ณปรญิ ญา ดว ยสองคาํ วา วิราชย ปชหตรัสถงึ ปหานปรญิ ญา. จบ อรรถกถาปฐมปรชิ านสตู รที่ ๔ ๕. ทตุ ิยปรชิ านสตู ร วา ดวยผยู งั ไมรูยงิ่ ยอมละสง่ิ ทั้งปวงไมได [๒๙] ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั ผทู ี่ยังไมรูย่งิ ยงั ไมกาํ หนดรู ยังไมคลายกาํ หนดั ยงั ละไมไดซ ึง่ สง่ิ ทง้ั ปวง เปน ผูไ มควรส้ินทุกข ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย สิ่งทั้งปวง คืออะไร. บคุ คลยงั ไมร ูยง่ิ ยังไมกาํ หนดรู ยังไมค ลายกําหนัด ยังละไมไ ด เปน ผไู มค วรสนิ้ ทุกข ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย
พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 32คือ จกั ษุ รูป จกั ษุวญิ ญาณ และธรรมทีจ่ ะพึงรแู จง ดวยจกั ษุวญิ ญาณ ฯลฯใจ ธรรมารมณ มโนวญิ ญาณ และธรรมท่จี ะพงึ รแู จงดว ยมโนวิญญาณดกู อนภิกษุทั้งหลาย บคุ คลยงั ไมรูย่งิ ยังไมก ําหนดรู ยังคลายกําหนดั ไมไดยงั ละไมไ ด ซึ่งสง่ิ ทัง้ ปวงนแี้ ล เปนผูไ มควรสิ้นทุกข. วาดว ยผรู ูย่งิ ยอ มละส่งิ ท้ังปวงได [ ๓๐ ] ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย สวนบคุ คลผูรยู ่งิ กําหนดรู คลายกําหนัดได ละไดซ ่งึ สงิ่ ท้งั ปวง เปนผูค วรสน้ิ ทุกข ดกู อนภิกษุท้งั หลายสิ่งท้ังปวง คอื อะไร. ทบ่ี คุ คลรยู งิ่ กําหนดรู คลายกาํ หนัดได ละไดเปนผคู วรส้ินทุกข ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย จกั ษุ รูป จกั ษุวญิ ญาณ และธรรมทจ่ี ะพงึ รูแ จงดว ยจกั ษุวญิ ญาณ ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ มโนวิญญาณและธรรมที่จะพึงรูแจงดว ยมโนวญิ ญาณ ดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย บุคคลรยู ง่ิกาํ หนดรู คลายกาํ หนัดได ละไดซ ง่ึ สิง่ ทง้ั ปวงนีแ้ ล เปนผูควรสนิ้ ทุกข. จบ ทุตปิ ริชานสตู รท่ี ๕ อรรถกถาทุติยปริชานสูตรที่ ๕ ในทตุ ิยปริชานสูตรที่ ๕ มวี ินิจฉยั ดงั ตอ ไปน.้ี ดวยบทวา จกฺขุวิ ฺาณวิ ฺ าตพฺพา ธมมฺ า ทานแสดงถือเอาเฉพาะรูปท่ีถอื เอาในหนหลงั หรือถือเอารูปท่ปี รากฏในหนหลัง แตใ นทน่ี ม้ี ีไดป รากฏ แตนี้ก็เปนสันนิษฐานในขอน้ี. บทวา อาปาถคต ไดแ กถอืเอารปู ท่ไี มป รากฏเทาน้นั แตใ นที่น้หี มายเอาขันธ ๓ ทสี่ มั ปยตุ ดว ยจักษุวญิ ญาณ. ดวยวาขนั ธเหลานัน้ ทา นกลา ววา จกฺขุวิ ฺ าตพพฺ าเพราะพงึ รูแจง พรอ มกบั จักษุวิญาณ แมในบทท่ีเหลอื ก็นัยน้ีเหมือนกัน. จบ อรรถกถาทุตยิ ปริชานสูตรท่ี ๕
พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 33 ๖. อาทิตตปรยิ ายสูตร วา ดว ยส่ิงทง้ั ปวงเปนของรอน [ ๓๑ ] ขา พเจาไดสดบั มาแลวอยางน้ี สมัยหนงึ่ พระผมู พี ระภาคเจาประทับอยู ตําบลคยาสสี ะ ริมฝงแมน ้าํ คยา พรอมกับภิกษุ ๑,๐๐๐ รปู ณ ท่นี น้ั แล พระผมู ีพระภาคเจาไดตรสั กะพระภกิ ษทุ งั้ หลายวา ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ส่งิ ทั้งปวงเปน ของรอนดกู อนภิกษุทง้ั หลาย ก็สงิ่ ท้งั ปวงเปนของรอ น คืออะไร. คอื จกั ษุ รปูจกั ษวุ ิญญาณ จักษุสมั ผสั เปน ของรอ น. แมส ขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา หรืออทกุ ขมสขุ เวทนา ที่เกิดขนึ้ เพราะจักษุสมั ผัสเปนปจจัย กเ็ ปน ของรอ นรอนเพราะอะไร เรากลาววา รอ นเพราะไฟ คอื ราคะ โทสะ โมหะรอ นเพราะชาติ ชรา มร ะ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนัส และอุปายา ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ มโนวญิ ญาณ มโนสมั ผัส. เปน ของรอนแมส ขุ เวทนา ทุกขเวทนา หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทีเ่ กดิ ขึน้ เพราะมโน-สมั ผัสเปน ปจ จยั กเ็ ปนของรอ น รอ นเพราะอะไร เรากลา ววา รอนเพราะไฟ คอื ราคะ โทสะ โมหะ รอนเพราะชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทกุ ข โทมนสั และอุปายาส ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย อรยิ สาวกผไู ดสดบั แลว เห็นอยอู ยา งน้ี ยอ มเบ่อื หนา ยท่ีในจักษุ ทงั้ ในรูป ท้ังในจกั ษุวิญญาณ ท้ังในจกั ษสุ ัมผัส ทัง้ ในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรอื อทกุ ขมสุข-เวทนา ท่เี กิดขึ้นเพราะจักษสุ มั ผสั เปน ปจจัย ฯลฯ ยอมเบื่อหนา ยทง้ั ในใจท้ังในธรรมารมณ ทงั้ ในมโนวญิ ญาณ ท้งั ในมโนสัมผสั ทง้ั ในสขุ เวทนา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 517
Pages: